title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถทัวร์ประสบอุบัติเหตุมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต-บาดเจ็บในพื้นที่“วังน้ำเขียว”
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
คปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถทัวร์ประสบอุบัติเหตุมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต-บาดเจ็บในพื้นที่“วังน้ําเขียว”
• ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลืออย่างเต็มที่พร้อมสั่งการให้เร่งจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 รถทัวร์นักท่องเที่ยวหมายเลขทะเบียน 30-0161 กาฬสินธุ์ เสียหลักข้ามเกาะกลางถนนชนแผงค้าและต้นไม้ริมทาง และพลิกคว่ํา บริเวณทางหลวงหมายเลข 304 (กบินทร์บุรี-ปักธงชัย) บริเวณโค้งมะกรูดหวาน ช่วง กม. 240-241 บ้านห้วยน้ําเค็ม ตําบลอุดมทรัพย์ อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเหตุให้มีมีผู้เสียชีวิต 18 ราย และผู้บาดเจ็บกว่า 30 ราย นั้นฃ
จากการติดตามและบูรณาการทํางานอย่างใกล้ชิดของสํานักงาน คปภ. ส่วนกลาง สํานักงาน คปภ. ภาค 4 สํานักงาน คปภ. จังหวัดนครราชสีมา และสํานักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ รวมทั้งข้อมูลจากระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรายงานข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ ในรูปแบบของ Platform ซึ่งสํานักงาน คปภ.จังหวัดนครราชสีมาและ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ประสานงานและบูรณาการการทํางานให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างเร่งด่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และบริษัทประกันภัย เพื่ออํานวยความสะดวกกับผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างทันท่วงที โดยพบว่ารถทัวร์คันดังกล่าวมีการทําประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท อาคเนย์ ประกันภัย จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ NCMI0000351359 เริ่มคุ้มครองเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และสิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็นการประกันภัยพื้นฐานที่กฎหมายกําหนดให้ผู้ใช้รถทุกคันต้องทําประกันภัยเพื่อคุ้มครองผู้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย โดยกรณีบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวรจะได้รับค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาทต่อคน และกรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-300,000 บาท กรณีเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ใน จะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 304,000 บาท
นอกจากนี้รถคันดังกล่าวได้มีการทําประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับ บริษัท อาคเนย์ ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ด้วยเช่นกัน ตามกรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ NVMI0000296805 เริ่มคุ้มครองเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560 และสิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งกรมธรรม์ฉบับนี้ ให้ความคุ้มครองความรับผิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย ของบุคคลภายนอก เป็นจํานวนเงิน 300,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 บาท/ครั้ง คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินไม่เกิน 600,000 บาท/ครั้ง และมีความคุ้มครองจากการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ให้ความคุ้มครองต่อกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ 50,000 บาท และผู้โดยสาร 39 คนๆคนละ 50,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาลอีกจํานวน 50,000 บาท
“จากการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ผมได้สั่งการให้ สํานักงาน คปภ.ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา สํานักงานคปภ.จังหวัดกาฬสินธ์และจังหวัดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสํานักงาน คปภ.ภาค 4 ลงพื้นที่ติดตามให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกับผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างใกล้ชิด ซึ่งล่าสุดเมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 22 มีนาคม 2561 ผมได้รับรายงานจากสํานักงานคปภ.จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่าได้เข้าร่วมประชุมหารือกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกเรื่องเอกสารประกอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแล้ว เนื่องจากรถคันที่ประสบอุบัติเหตุเป็นรถที่จดทะเบียนในจังหวัดกาฬสินธุ์และมีผู้ประสบเหตุที่มีภูมิลําเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นส่วนใหญ่อีกด้วย”
สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบอุบัติเหตุ จึงได้สั่งการให้สํานักงาน คปภ. จังหวัดนคราชสีมาและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของสํานักงาน คปภ. ประสานบริษัทประกันภัย เพื่อให้เร่งจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าผู้ประสบภัยได้มีการทําประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุส่วนบุคคลอื่นไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าได้มีการทําประกันภัยไว้ สํานักงาน คปภ. จะประสานงานให้บริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บต่อไป
“อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ถึงแม้ว่าจะมีความระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม ดังนั้น ฝากเตือนประชาชนให้ความสําคัญในเรื่องของการทําประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยง ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะช่วยอํานวยความสะดวกด้านการประกันภัยและประสานงานการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนและผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกันภัยสามารถติดต่อมาที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถทัวร์ประสบอุบัติเหตุมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต-บาดเจ็บในพื้นที่“วังน้ำเขียว”
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
คปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถทัวร์ประสบอุบัติเหตุมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต-บาดเจ็บในพื้นที่“วังน้ําเขียว”
• ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลืออย่างเต็มที่พร้อมสั่งการให้เร่งจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 รถทัวร์นักท่องเที่ยวหมายเลขทะเบียน 30-0161 กาฬสินธุ์ เสียหลักข้ามเกาะกลางถนนชนแผงค้าและต้นไม้ริมทาง และพลิกคว่ํา บริเวณทางหลวงหมายเลข 304 (กบินทร์บุรี-ปักธงชัย) บริเวณโค้งมะกรูดหวาน ช่วง กม. 240-241 บ้านห้วยน้ําเค็ม ตําบลอุดมทรัพย์ อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเหตุให้มีมีผู้เสียชีวิต 18 ราย และผู้บาดเจ็บกว่า 30 ราย นั้นฃ
จากการติดตามและบูรณาการทํางานอย่างใกล้ชิดของสํานักงาน คปภ. ส่วนกลาง สํานักงาน คปภ. ภาค 4 สํานักงาน คปภ. จังหวัดนครราชสีมา และสํานักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ รวมทั้งข้อมูลจากระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรายงานข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ ในรูปแบบของ Platform ซึ่งสํานักงาน คปภ.จังหวัดนครราชสีมาและ จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ประสานงานและบูรณาการการทํางานให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างเร่งด่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และบริษัทประกันภัย เพื่ออํานวยความสะดวกกับผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างทันท่วงที โดยพบว่ารถทัวร์คันดังกล่าวมีการทําประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท อาคเนย์ ประกันภัย จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ NCMI0000351359 เริ่มคุ้มครองเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และสิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็นการประกันภัยพื้นฐานที่กฎหมายกําหนดให้ผู้ใช้รถทุกคันต้องทําประกันภัยเพื่อคุ้มครองผู้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย โดยกรณีบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวรจะได้รับค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาทต่อคน และกรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-300,000 บาท กรณีเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ใน จะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 304,000 บาท
นอกจากนี้รถคันดังกล่าวได้มีการทําประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับ บริษัท อาคเนย์ ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ด้วยเช่นกัน ตามกรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ NVMI0000296805 เริ่มคุ้มครองเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560 และสิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งกรมธรรม์ฉบับนี้ ให้ความคุ้มครองความรับผิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย ของบุคคลภายนอก เป็นจํานวนเงิน 300,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 บาท/ครั้ง คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินไม่เกิน 600,000 บาท/ครั้ง และมีความคุ้มครองจากการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ให้ความคุ้มครองต่อกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ และทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ 50,000 บาท และผู้โดยสาร 39 คนๆคนละ 50,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาลอีกจํานวน 50,000 บาท
“จากการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ผมได้สั่งการให้ สํานักงาน คปภ.ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา สํานักงานคปภ.จังหวัดกาฬสินธ์และจังหวัดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสํานักงาน คปภ.ภาค 4 ลงพื้นที่ติดตามให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกับผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างใกล้ชิด ซึ่งล่าสุดเมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 22 มีนาคม 2561 ผมได้รับรายงานจากสํานักงานคปภ.จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่าได้เข้าร่วมประชุมหารือกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกเรื่องเอกสารประกอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแล้ว เนื่องจากรถคันที่ประสบอุบัติเหตุเป็นรถที่จดทะเบียนในจังหวัดกาฬสินธุ์และมีผู้ประสบเหตุที่มีภูมิลําเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นส่วนใหญ่อีกด้วย”
สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบอุบัติเหตุ จึงได้สั่งการให้สํานักงาน คปภ. จังหวัดนคราชสีมาและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของสํานักงาน คปภ. ประสานบริษัทประกันภัย เพื่อให้เร่งจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว พร้อมทั้งได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าผู้ประสบภัยได้มีการทําประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุส่วนบุคคลอื่นไว้ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าได้มีการทําประกันภัยไว้ สํานักงาน คปภ. จะประสานงานให้บริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บต่อไป
“อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ถึงแม้ว่าจะมีความระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม ดังนั้น ฝากเตือนประชาชนให้ความสําคัญในเรื่องของการทําประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยง ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะช่วยอํานวยความสะดวกด้านการประกันภัยและประสานงานการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนและผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกันภัยสามารถติดต่อมาที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10966
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษหัวข้อ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม” ในหลักสูตรประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่นที่ ๓
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ณ ห้องสุโขทัยธรรมราชา สถาบันพระปกเกล้า
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษหัวข้อ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
ในหลักสูตรประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่นที่ ๓
ซึ่งจัดโดย สถาบันพระปกเกล้า โดยมีผู้เข้ารับการอบรมกว่า ๕๐ คน
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
“การกระทําความผิดทางอาญาและมาตรการทางอาญา โดยหลักจะนํามาใช้ลงโทษผู้กระทําความผิด
ซึ่งการลงโทษทางอาญาจะเป็นผลร้ายต่อผู้ที่กระทําความชั่ว
จากวิวัฒนาการของสังคม รัฐมีความจําเป็นที่จะต้องกําหนดลักษณะความผิดทางอาญา
ด้วยเหตุผลทางเทคนิคเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ส่วนรวม
บางครั้งอาจขัดแย้งต่อความรู้สึกของผู้กระทําความผิด ทําให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
จึงไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมการการฝ่าฝืนกฎหมายได้
ด้วยเหตุผลในหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ
จึงมีแนวคิด “โทษปรับทางปกครอง” ซึ่งมีการนําไปใช้ในหลายประเทศ
เพื่อลงโทษการกระทําฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบ ที่ไม่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นอาชญากรรม
โดยเจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจ และดําเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษหัวข้อ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม” ในหลักสูตรประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่นที่ ๓
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ณ ห้องสุโขทัยธรรมราชา สถาบันพระปกเกล้า
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษหัวข้อ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์และช่วยเหลือเยียวยาในมิติของความยุติธรรม”
ในหลักสูตรประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่นที่ ๓
ซึ่งจัดโดย สถาบันพระปกเกล้า โดยมีผู้เข้ารับการอบรมกว่า ๕๐ คน
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
“การกระทําความผิดทางอาญาและมาตรการทางอาญา โดยหลักจะนํามาใช้ลงโทษผู้กระทําความผิด
ซึ่งการลงโทษทางอาญาจะเป็นผลร้ายต่อผู้ที่กระทําความชั่ว
จากวิวัฒนาการของสังคม รัฐมีความจําเป็นที่จะต้องกําหนดลักษณะความผิดทางอาญา
ด้วยเหตุผลทางเทคนิคเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ส่วนรวม
บางครั้งอาจขัดแย้งต่อความรู้สึกของผู้กระทําความผิด ทําให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
จึงไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมการการฝ่าฝืนกฎหมายได้
ด้วยเหตุผลในหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ
จึงมีแนวคิด “โทษปรับทางปกครอง” ซึ่งมีการนําไปใช้ในหลายประเทศ
เพื่อลงโทษการกระทําฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบ ที่ไม่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นอาชญากรรม
โดยเจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจ และดําเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17680
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงโทษไล่ออก ข้าราชการซี 8 กรณีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ศธ.ลงโทษไล่ออก ข้าราชการซี 8 กรณีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุม อ.ก.พ.สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
วันนี้(26 มี.ค.2561) นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุม อ.ก.พ.สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการโดยมีวาระสําคัญในการพิจารณาลงโทษทางวินัย กรณีนางรจนา สินที ข้าราชการระดับชํานาญการพิเศษ สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่าจากผลการสอบสวน ข้าราชการรายดังกล่าวได้รับสารภาพข้อกล่าวหาดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทําของนางรจนา สินที เป็นการกระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ และฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานกระทําอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 (2) มาตรา 83 (1) ประกอบมาตรา 85 (1) (4) และ (7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการลงโทษข้าราชการผู้กระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 7 : 0ให้ลงโทษไล่นางรจนา สินที ออกจากราชการ มีผลทันที
ในส่วนของผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะดําเนินการสอบสวนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการขอขอบคุณความร่วมมือจากสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่ร่วมกันทํางานจนสามารถรวบรวมหลักฐานเพื่อตั้งข้อกล่าวหา นํามาสู่การพิจารณาในวันนี้ ซึ่งเป็นการลงโทษทางวินัยราชการ
ส่วนขั้นตอนต่อไปเป็นหน้าที่ของทาง ปปง. และ ป.ป.ท. ในการดําเนินการยึดทรัพย์และรวบรวมข้อมูลส่งให้อัยการเพื่อฟ้องศาลต่อไป
*อนึ่ง ในวันเดียวกัน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการด้วยว่าศธ.พร้อมมีบทลงโทษทางวินัยกรณีเกิดการกระทําผิด เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีก สิ่งสําคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบต่าง ๆ ก็คือ “การข่าว” ที่จะขอให้หลาย ๆ ฝ่ายช่วยกันแจ้งเข้ามา เช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีให้ประชาชนช่วยแจ้งข่าวมายังส่วนกลาง เพราะประเทศเราจะโปร่งใสได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่งานของกระทรวงที่จะปราบได้หมดจดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีขั้นตอนการปรามและการนําเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นบทเรียนด้วย
ดังเช่นการหารือกับสภาการศึกษาเอกชนฯ ในครั้งนี้ ทําให้ได้การข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานในหลายเรื่อง อาทิ กรณีการแจ้งรายชื่อนักเรียนล่องหนหรือนักเรียนผี เพื่อขอรับเงินอุดหนุนรายหัวจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เป็นต้น*
Written byปารัชญ์ ไชยเวช, นวรัตน์ รามสูต*
Photoธนภัทร จันทร์ห้างหว้า,กิตติกร แซ่หมู่
Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงโทษไล่ออก ข้าราชการซี 8 กรณีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ศธ.ลงโทษไล่ออก ข้าราชการซี 8 กรณีทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุม อ.ก.พ.สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
วันนี้(26 มี.ค.2561) นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุม อ.ก.พ.สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการโดยมีวาระสําคัญในการพิจารณาลงโทษทางวินัย กรณีนางรจนา สินที ข้าราชการระดับชํานาญการพิเศษ สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่าจากผลการสอบสวน ข้าราชการรายดังกล่าวได้รับสารภาพข้อกล่าวหาดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทําของนางรจนา สินที เป็นการกระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ และฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานกระทําอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 (2) มาตรา 83 (1) ประกอบมาตรา 85 (1) (4) และ (7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการลงโทษข้าราชการผู้กระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 7 : 0ให้ลงโทษไล่นางรจนา สินที ออกจากราชการ มีผลทันที
ในส่วนของผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะดําเนินการสอบสวนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการขอขอบคุณความร่วมมือจากสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่ร่วมกันทํางานจนสามารถรวบรวมหลักฐานเพื่อตั้งข้อกล่าวหา นํามาสู่การพิจารณาในวันนี้ ซึ่งเป็นการลงโทษทางวินัยราชการ
ส่วนขั้นตอนต่อไปเป็นหน้าที่ของทาง ปปง. และ ป.ป.ท. ในการดําเนินการยึดทรัพย์และรวบรวมข้อมูลส่งให้อัยการเพื่อฟ้องศาลต่อไป
*อนึ่ง ในวันเดียวกัน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ เกี่ยวกับการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการด้วยว่าศธ.พร้อมมีบทลงโทษทางวินัยกรณีเกิดการกระทําผิด เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีก สิ่งสําคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบต่าง ๆ ก็คือ “การข่าว” ที่จะขอให้หลาย ๆ ฝ่ายช่วยกันแจ้งเข้ามา เช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีให้ประชาชนช่วยแจ้งข่าวมายังส่วนกลาง เพราะประเทศเราจะโปร่งใสได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่งานของกระทรวงที่จะปราบได้หมดจดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีขั้นตอนการปรามและการนําเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นบทเรียนด้วย
ดังเช่นการหารือกับสภาการศึกษาเอกชนฯ ในครั้งนี้ ทําให้ได้การข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานในหลายเรื่อง อาทิ กรณีการแจ้งรายชื่อนักเรียนล่องหนหรือนักเรียนผี เพื่อขอรับเงินอุดหนุนรายหัวจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เป็นต้น*
Written byปารัชญ์ ไชยเวช, นวรัตน์ รามสูต*
Photoธนภัทร จันทร์ห้างหว้า,กิตติกร แซ่หมู่
Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11081
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจำปี 2561
|
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี 2561
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ณ HALL ๙ ศูนย์การประชุม IMPACT Forum เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี ๒๕๖๑
ซึ่งถือเป็นการประกาศถึงความสําเร็จและความก้าวหน้าของโครงการ TO BE NUMBER ONE
กับการก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 16 ด้วยรูปแบบของการประกวดจังหวัด TO BE NUMBER ONE
และชมรม TO BE NUMBER ONE ในชุมชน สถานประกอบการ สถานศึกษา
สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เรือนจํา ทัณฑสถาน
และกรมคุมประพฤติที่ผ่านการคัดเลือกจากทั่วประเทศ
การจัดแสดงทั้งผลงานนวัตกรรมและนิทรรศการจากสมาชิก TO BE NUMBER ONE
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจำปี 2561
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี 2561
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ณ HALL ๙ ศูนย์การประชุม IMPACT Forum เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดงานมหกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE ประจําปี ๒๕๖๑
ซึ่งถือเป็นการประกาศถึงความสําเร็จและความก้าวหน้าของโครงการ TO BE NUMBER ONE
กับการก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 16 ด้วยรูปแบบของการประกวดจังหวัด TO BE NUMBER ONE
และชมรม TO BE NUMBER ONE ในชุมชน สถานประกอบการ สถานศึกษา
สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เรือนจํา ทัณฑสถาน
และกรมคุมประพฤติที่ผ่านการคัดเลือกจากทั่วประเทศ
การจัดแสดงทั้งผลงานนวัตกรรมและนิทรรศการจากสมาชิก TO BE NUMBER ONE
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13872
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอำนวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอํานวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอํานวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แถลงข่าว โดยมีนายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร. จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายในและโฆษกประจํากระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลงข่าว สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แจ้งเตือนทุกประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 11 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่มีคําสั่งให้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เรียกโดยย่อว่า ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 มีอํานาจหน้ารวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่อย่างถูกต้อง รับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียน และประสานการช่วยเหลือ ติดตามการปฏิบัติงาน พร้อมชี้แจงประชาชนและภาคเอกชน ประสานความร่วมมือ โดยให้รายงานความคืบหน้าต่อนายกฯ ทุกวัน หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 288 6070-4 หรือ 1111 นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดําเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19) ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล บัญชีเลขที่ 067-0-13829-0 เพื่อจัดหาและดูแลสิ่งจําเป็นสนับสนุนการป้องกันโรคไวรัสโควิด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลโควิด-19 จะเป็นพลังในการร่วมมือร่วมใจของคนไทยที่จะฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึง กระบวนการขั้นตอนแรงงานไทยนอกระบบในเกาหลีใต้ว่า แรงงานไทยพํานักในประเทศเกาหลีใต้ 209,909 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1. กลุ่มพํานักอย่างถูกกฎหมาย จํานวน 57,470 คน 2. กลุ่มพํานักอย่างผิดกฎหมาย จํานวน 152,439 คน โดยในจํานวนนี้ได้มีการรายงานตัวกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ถึงขั้นตอนการเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรการจูงใจ ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากสถิติตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2562-1 มี.ค. 2563 แรงงานที่แสดงความประสงค์กลับไทย จํานวน 5,386 คน ได้มีจํานวนหนึ่งเดินทางกลับไทย จํานวน 4,727 คน โดยมี 2 ขั้นตอน คือ รายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ตรวจประวัติอาชญากรรม ใช้ระยะเวลา 3-15 วัน เมื่อได้ใบอนุญาตต้องรายงานตัวที่ตม.เพื่อรับเอกสารอีกฉบับหนึ่งจึงนําไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์สายการบิน 2. การคัดกรองก่อนจะขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเป็นแรงผลักดันจากรัฐบาลไทยในการที่ผลักดันให้เกาหลีใต้เพิ่มมาตรการคัดกรองเข้มข้นมากขึ้น หากพบอาการป่วยจะไม่สามารถขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยได้ จะต้องอยู่ที่สนามบินและมีการคัดกรองอยู่จํานวน 3 จุด ตั้งแต่ก่อนเข้าอาคาร การคัดแยกอุณหภูมิ และก่อนขึ้นเครื่อง จึงทําให้มั่นใจได้ว่า หากมีผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศา จะไม่ได้รับการขึ้นเครื่อง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการรับมือกับผู้ใช้แรงงานที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ว่า ดูแลคัดกรองตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง โดยการจัดระเบียบที่นั่งภายในเครื่องบิน แยกอาการผู้ป่วย ใส่หน้ากากป้องกัน และเมื่อเครื่องลงจอดจะมีจุดจอดเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการคัดกรอง โดยกระทรวงสาธารณสุขยืนยันประสิทธิภาพในการทํางาน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.กระทรวงสาธารณสุขทราบข้อมูลของผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาทุกราย โดยประสานกับตํารวจตรวจคนเข้าเมืองอย่างใกล้ชิด 2.มีจุดจอดเครื่องบินจําเพาะ สําหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะนําตัวมาคัดกรองตั้งแต่เดินทางถึงสนามบินพร้อมทั้งให้ความรู้และข้อปฏิบัติ 3.สําหรับผู้ที่มีความเสี่ยงน้อย ไม่เพียงแต่ตรวจที่ด่านตรวจแต่มีการติดตามสังเกตอาการ โดยโรงพยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และชุมชน ก็ร่วมช่วยติดตามด้วย 4.ใช้มาตรการทางกฎหมายสําหรับผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ กล่าวย้ําว่า “ทุกคนไม่ใช่เชื้อโรค เป็นประชาชนเหมือนกัน” ขอให้ทุกคนเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน
รศ.ดร. จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลีใต้ อํานวยความสะดวกให้แรงงานไทยเดินทางกลับประเทศ กรณีแรงงานไทยเจ็บป่วยหรือมีผลการตรวจออกมาเป็นบวกนั้น ทางการเกาหลีใต้จะดําเนินการรักษาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่กําหนด และไม่จํากัดว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวพํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย และเมื่อแรงงานไทยเดินทางกลับสู่ประเทศไทยแล้ว อาสาสมัครแรงงานในภูมิลําเนาจะติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกวันทําการตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ กระทรวงงานจัด video conference กับทุกหน่วยงานที่สังกัดภายใต้กระทรวงแรงงานและทูตแรงงานที่ประจําอยู่ต่างประเทศ 13 ประเทศ เพื่อติดตามข้อมูลอย่างสม่ําเสมอ
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า หลังจากมีข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงมหาดไทย จัดสถานที่สําหรับรองรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ขณะนี้ในได้เตรียมสถานที่รองรับไว้พร้อมแล้ว ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรับมือต่อกลุ่มเป้าหมาย สําหรับผู้ที่กลับมาก่อนที่จะมีมาตรการดังกล่าว มีกลไกส่วนภูมิภาคเข้าไปสังเกตในทุกพื้นที่ที่มีคนไทยเดินทางไปทํางานที่ต่างประเทศแล้วเดินทางกลับมายังประเทศไทยด้วย
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายในและโฆษกประจํากระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่าขณะนี้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยนั้นมี 11 โรงงานและกําลังการผลิตหน้ากากอนามัยจํานวน 1 ล้าน 2 แสนชิ้นต่อวัน โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาร่วมกันดูแลและควบคุมการผลิตทั้งหมด จะมีการจัดสรรปันส่วนหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลจํานวน 7 แสนชิ้น เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน และจะมีบางส่วนที่จัดเตรียมเอาไว้เพื่อนําไปขายในร้านขายปลีก ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เทสโก้ โลตัส รวมถึงร้านค้าธงฟ้าจํานวน 1,400 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีขบวนรถคาราวานที่จะให้บริการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจํานวน 111 คันตามจุดต่าง ๆ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ทางเว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน ว่ารถจะไปบริการที่จุดไหนในแต่ละวัน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเจอการขายหน้ากากอนามัยเกินราคาสามารถแจ้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้า กรมการค้าภายใน เบอร์โทรศัพท์ 1569 และจะดําเนินคดีตามกฎหมายทันที
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอำนวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอํานวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ในฐานะผอ.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 แถลงข่าวแบบบูรณาการมาตรการรองรับแรงงานไทยในเกาหลีกลับไทยทั้งการอํานวยความสะดวกเดินทางกลับ คัดกรอง ติดตาม เฝ้าระวัง
วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แถลงข่าว โดยมีนายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร. จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายในและโฆษกประจํากระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลงข่าว สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แจ้งเตือนทุกประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 11 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่มีคําสั่งให้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เรียกโดยย่อว่า ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 มีอํานาจหน้ารวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่อย่างถูกต้อง รับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียน และประสานการช่วยเหลือ ติดตามการปฏิบัติงาน พร้อมชี้แจงประชาชนและภาคเอกชน ประสานความร่วมมือ โดยให้รายงานความคืบหน้าต่อนายกฯ ทุกวัน หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 288 6070-4 หรือ 1111 นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดําเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19) ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล บัญชีเลขที่ 067-0-13829-0 เพื่อจัดหาและดูแลสิ่งจําเป็นสนับสนุนการป้องกันโรคไวรัสโควิด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลโควิด-19 จะเป็นพลังในการร่วมมือร่วมใจของคนไทยที่จะฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึง กระบวนการขั้นตอนแรงงานไทยนอกระบบในเกาหลีใต้ว่า แรงงานไทยพํานักในประเทศเกาหลีใต้ 209,909 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1. กลุ่มพํานักอย่างถูกกฎหมาย จํานวน 57,470 คน 2. กลุ่มพํานักอย่างผิดกฎหมาย จํานวน 152,439 คน โดยในจํานวนนี้ได้มีการรายงานตัวกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ถึงขั้นตอนการเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรการจูงใจ ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากสถิติตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2562-1 มี.ค. 2563 แรงงานที่แสดงความประสงค์กลับไทย จํานวน 5,386 คน ได้มีจํานวนหนึ่งเดินทางกลับไทย จํานวน 4,727 คน โดยมี 2 ขั้นตอน คือ รายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ตรวจประวัติอาชญากรรม ใช้ระยะเวลา 3-15 วัน เมื่อได้ใบอนุญาตต้องรายงานตัวที่ตม.เพื่อรับเอกสารอีกฉบับหนึ่งจึงนําไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์สายการบิน 2. การคัดกรองก่อนจะขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเป็นแรงผลักดันจากรัฐบาลไทยในการที่ผลักดันให้เกาหลีใต้เพิ่มมาตรการคัดกรองเข้มข้นมากขึ้น หากพบอาการป่วยจะไม่สามารถขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยได้ จะต้องอยู่ที่สนามบินและมีการคัดกรองอยู่จํานวน 3 จุด ตั้งแต่ก่อนเข้าอาคาร การคัดแยกอุณหภูมิ และก่อนขึ้นเครื่อง จึงทําให้มั่นใจได้ว่า หากมีผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศา จะไม่ได้รับการขึ้นเครื่อง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการรับมือกับผู้ใช้แรงงานที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ว่า ดูแลคัดกรองตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง โดยการจัดระเบียบที่นั่งภายในเครื่องบิน แยกอาการผู้ป่วย ใส่หน้ากากป้องกัน และเมื่อเครื่องลงจอดจะมีจุดจอดเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการคัดกรอง โดยกระทรวงสาธารณสุขยืนยันประสิทธิภาพในการทํางาน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.กระทรวงสาธารณสุขทราบข้อมูลของผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาทุกราย โดยประสานกับตํารวจตรวจคนเข้าเมืองอย่างใกล้ชิด 2.มีจุดจอดเครื่องบินจําเพาะ สําหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะนําตัวมาคัดกรองตั้งแต่เดินทางถึงสนามบินพร้อมทั้งให้ความรู้และข้อปฏิบัติ 3.สําหรับผู้ที่มีความเสี่ยงน้อย ไม่เพียงแต่ตรวจที่ด่านตรวจแต่มีการติดตามสังเกตอาการ โดยโรงพยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และชุมชน ก็ร่วมช่วยติดตามด้วย 4.ใช้มาตรการทางกฎหมายสําหรับผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งนายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ กล่าวย้ําว่า “ทุกคนไม่ใช่เชื้อโรค เป็นประชาชนเหมือนกัน” ขอให้ทุกคนเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน
รศ.ดร. จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลีใต้ อํานวยความสะดวกให้แรงงานไทยเดินทางกลับประเทศ กรณีแรงงานไทยเจ็บป่วยหรือมีผลการตรวจออกมาเป็นบวกนั้น ทางการเกาหลีใต้จะดําเนินการรักษาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่กําหนด และไม่จํากัดว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวพํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย และเมื่อแรงงานไทยเดินทางกลับสู่ประเทศไทยแล้ว อาสาสมัครแรงงานในภูมิลําเนาจะติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกวันทําการตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ กระทรวงงานจัด video conference กับทุกหน่วยงานที่สังกัดภายใต้กระทรวงแรงงานและทูตแรงงานที่ประจําอยู่ต่างประเทศ 13 ประเทศ เพื่อติดตามข้อมูลอย่างสม่ําเสมอ
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า หลังจากมีข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรีให้กระทรวงมหาดไทย จัดสถานที่สําหรับรองรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ขณะนี้ในได้เตรียมสถานที่รองรับไว้พร้อมแล้ว ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรับมือต่อกลุ่มเป้าหมาย สําหรับผู้ที่กลับมาก่อนที่จะมีมาตรการดังกล่าว มีกลไกส่วนภูมิภาคเข้าไปสังเกตในทุกพื้นที่ที่มีคนไทยเดินทางไปทํางานที่ต่างประเทศแล้วเดินทางกลับมายังประเทศไทยด้วย
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายในและโฆษกประจํากระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่าขณะนี้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยนั้นมี 11 โรงงานและกําลังการผลิตหน้ากากอนามัยจํานวน 1 ล้าน 2 แสนชิ้นต่อวัน โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาร่วมกันดูแลและควบคุมการผลิตทั้งหมด จะมีการจัดสรรปันส่วนหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลจํานวน 7 แสนชิ้น เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน และจะมีบางส่วนที่จัดเตรียมเอาไว้เพื่อนําไปขายในร้านขายปลีก ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เทสโก้ โลตัส รวมถึงร้านค้าธงฟ้าจํานวน 1,400 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีขบวนรถคาราวานที่จะให้บริการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจํานวน 111 คันตามจุดต่าง ๆ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ทางเว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน ว่ารถจะไปบริการที่จุดไหนในแต่ละวัน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเจอการขายหน้ากากอนามัยเกินราคาสามารถแจ้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้า กรมการค้าภายใน เบอร์โทรศัพท์ 1569 และจะดําเนินคดีตามกฎหมายทันที
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27266
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ำ อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพ
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ํา อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ํา อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย
วันนี้ (18 ต.ค. 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา เพื่อมอบหนังสือให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก" จัดโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ท้องถิ่นจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงานกว่า 1,000 คน
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในฐานะหน่วยงานหลักในการกํากับดูแล อปท. ให้ขับเคลื่อนด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย จึงได้ร่วมกับบริษัท นานมีบุ๊คส์ จํากัด และภาคีเครือข่ายจัด "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา เพื่อมอบหนังสือให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก" เพื่อให้มีการรณรงค์ให้ช่วยกันกําจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ถูกวิธี และได้มาตรฐานสากล ผ่านการขอรับบริจาคจาก อปท. ทั่วประเทศ รวม 7,285 แห่ง และนํารายได้จากการรีไซเคิลไปจัดหาหนังสือสําหรับเด็กและสื่อเพื่อการศึกษาอื่น ๆ มอบให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของ อปท. ที่ขาดแคลนในพื้นที่ห่างไกล จํานวน 2,000 แห่ง มูลค่า 20 ล้านบาท ซึ่งเด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์จากหนังสือและสื่อการศึกษา อันเป็นการส่งเสริมและปลูกฝังการรักการอ่านในวัยเด็กส่งผลให้เกิดการยกระดับทางด้านทักษะการอ่านและการเรียนรู้ อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการรณรงค์และมีกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ เป็นการมอบรางวัลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการและรวบรวมโทรศัพท์มือถือเก่าที่เสียแล้วไม่ใช้แล้วจากประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ รวม 1,000 แห่ง แบ่งประเภทรางวัลเป็น 3 ประเภท คือ 1. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 500 เครื่องขึ้นไป 2. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 200 เครื่องขึ้นไป และ 3. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 50 เครื่องขึ้นไป
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและผู้บริหาร อปท. โดยกล่าวว่า "ปัญหาขยะ" เป็นปัญหาสําคัญและสะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยมอบกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปขับเคลื่อนให้เกิดผล ซึ่งประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์จํานวนมากและรอการกําจัดกว่า 5 แสนตัน หากกําจัดผิดวิธีจะส่งผลต่อลูกหลานในอนาคต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะเกิดขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 27.06 ล้านตันต่อปี และมีขยะตกค้าง 10 ล้านตันต่อปี โดยมีอัตราการผลิตขยะเฉลี่ย 1.14 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน และที่ผ่านมาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บขนและกําจัดขยะมากกว่าปีละ 2 หมื่นล้านบาทแต่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมค่าบริการได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาททําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องใช้งบประมาณเพื่อการจัดการขยะมูลฝอยไปไม่น้อยกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จึงต้องร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น/หมู่บ้าน/ชุมชน โดยซักซ้อมการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง คือ "ครัวเรือน" ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของการบริหารจัดการขยะ เพราะจะทําให้ลดปริมาณขยะได้อย่างมากตั้งแต่แหล่งกําเนิด ตามกระบวนการ 3Rs หรือ 3ช คือ Reuse (ใช้น้อย) Reduce (ใช้ซ้ํา) Recycle (ใช้ใหม่)
สําหรับแนวทางการบริหารจัดการขยะด้วยการคัดแยกขยะตั้งแต่ระดับครัวเรือน โดยได้กําหนดสี 4 สี คือ 1) สีฟ้า/สีน้ําเงิน คือ ขยะทั่วไป 2) สีเขียว คือ ขยะย่อยสลายได้ 3) สีเหลือง คือ ขยะรีไซเคิล 4) สีแดง คือ ขยะอันตราย/ขยะพิษชุมชน โดยในระยะแรกให้ประชาชนใช้ถุงดําและติดสัญลักษณ์ที่บอกประเภทขยะซึ่ง อปท. อาจจัดทําสติ๊กเกอร์แยกสีตามประเภทขยะแจกจ่ายประชาชน และสําหรับในที่สาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวจะมีการจัดการขยะ 2 ประเภท คือ ถังขยะรีไซเคิลและถังขยะทั่วไป/ขยะอินทรีย์ ซึ่ง อปท. ทั่วประเทศจะต้องดําเนินการ รณรงค์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการคัดแยกขยะอย่างต่อเนื่องเพื่อนําไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ หมู่บ้านปลอดขยะ (Zero Waste)
ในขั้นตอนการจัดการขยะกลางทางหรือการเก็บขนขยะมูลฝอย ซึ่งยังมีข้อจํากัดเรื่องยานพาหนะเก็บขนขยะ จึงขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการขยะโดยกําหนดวัน เวลา ในการเก็บขนขยะแต่ละประเภทที่เหมาะสมกับปริมาณขยะและลักษณะของชุมชน
และในด้านการจัดการขยะปลายทาง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดการมูลฝอย พ.ศ. 2560 ได้กําหนดวิธีการกําจัดขยะ ได้แก่ การฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล การหมักทําปุ๋ยหรือก๊าซชีวภาพ การกําจัดด้วยพลังงานความร้อน (เผาในเตาเผาที่มีการควบคุมมลพิษ) และการแปรสภาพเป็นเชื้อเพลิงหรือพลังงาน ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการรวมกลุ่มขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการขยะกว่า 2,810 กองขยะ ในลักษณะ Cluster ทั่วประเทศ 324 กลุ่ม ซึ่งหาก อปท. สามารถดําเนินการแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิงหรือพลังงาน จะทําให้ขยะหมดไปจากประเทศไทย และจะทําให้เกิดพลังงานแก่ประเทศอันจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยอีกด้วย จึงขอให้ อปท. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจัดการขยะ มิได้ส่งเสริมในด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่มีส่วนส่งเสริมด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จึงต้องร่วมรณรงค์ให้ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้น และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ำ อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพ
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ํา อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา" เน้นย้ํา อปท. ต้องร่วมรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย
วันนี้ (18 ต.ค. 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา เพื่อมอบหนังสือให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก" จัดโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ท้องถิ่นจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงานกว่า 1,000 คน
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในฐานะหน่วยงานหลักในการกํากับดูแล อปท. ให้ขับเคลื่อนด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย จึงได้ร่วมกับบริษัท นานมีบุ๊คส์ จํากัด และภาคีเครือข่ายจัด "โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา เพื่อมอบหนังสือให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก" เพื่อให้มีการรณรงค์ให้ช่วยกันกําจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ถูกวิธี และได้มาตรฐานสากล ผ่านการขอรับบริจาคจาก อปท. ทั่วประเทศ รวม 7,285 แห่ง และนํารายได้จากการรีไซเคิลไปจัดหาหนังสือสําหรับเด็กและสื่อเพื่อการศึกษาอื่น ๆ มอบให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของ อปท. ที่ขาดแคลนในพื้นที่ห่างไกล จํานวน 2,000 แห่ง มูลค่า 20 ล้านบาท ซึ่งเด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์จากหนังสือและสื่อการศึกษา อันเป็นการส่งเสริมและปลูกฝังการรักการอ่านในวัยเด็กส่งผลให้เกิดการยกระดับทางด้านทักษะการอ่านและการเรียนรู้ อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการรณรงค์และมีกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ เป็นการมอบรางวัลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการและรวบรวมโทรศัพท์มือถือเก่าที่เสียแล้วไม่ใช้แล้วจากประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ รวม 1,000 แห่ง แบ่งประเภทรางวัลเป็น 3 ประเภท คือ 1. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 500 เครื่องขึ้นไป 2. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 200 เครื่องขึ้นไป และ 3. หน่วยงานที่รับบริจาคมือถือเก่าได้จํานวน 50 เครื่องขึ้นไป
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและผู้บริหาร อปท. โดยกล่าวว่า "ปัญหาขยะ" เป็นปัญหาสําคัญและสะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยมอบกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปขับเคลื่อนให้เกิดผล ซึ่งประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์จํานวนมากและรอการกําจัดกว่า 5 แสนตัน หากกําจัดผิดวิธีจะส่งผลต่อลูกหลานในอนาคต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะเกิดขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 27.06 ล้านตันต่อปี และมีขยะตกค้าง 10 ล้านตันต่อปี โดยมีอัตราการผลิตขยะเฉลี่ย 1.14 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน และที่ผ่านมาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บขนและกําจัดขยะมากกว่าปีละ 2 หมื่นล้านบาทแต่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมค่าบริการได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาททําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องใช้งบประมาณเพื่อการจัดการขยะมูลฝอยไปไม่น้อยกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จึงต้องร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น/หมู่บ้าน/ชุมชน โดยซักซ้อมการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง คือ "ครัวเรือน" ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญของการบริหารจัดการขยะ เพราะจะทําให้ลดปริมาณขยะได้อย่างมากตั้งแต่แหล่งกําเนิด ตามกระบวนการ 3Rs หรือ 3ช คือ Reuse (ใช้น้อย) Reduce (ใช้ซ้ํา) Recycle (ใช้ใหม่)
สําหรับแนวทางการบริหารจัดการขยะด้วยการคัดแยกขยะตั้งแต่ระดับครัวเรือน โดยได้กําหนดสี 4 สี คือ 1) สีฟ้า/สีน้ําเงิน คือ ขยะทั่วไป 2) สีเขียว คือ ขยะย่อยสลายได้ 3) สีเหลือง คือ ขยะรีไซเคิล 4) สีแดง คือ ขยะอันตราย/ขยะพิษชุมชน โดยในระยะแรกให้ประชาชนใช้ถุงดําและติดสัญลักษณ์ที่บอกประเภทขยะซึ่ง อปท. อาจจัดทําสติ๊กเกอร์แยกสีตามประเภทขยะแจกจ่ายประชาชน และสําหรับในที่สาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวจะมีการจัดการขยะ 2 ประเภท คือ ถังขยะรีไซเคิลและถังขยะทั่วไป/ขยะอินทรีย์ ซึ่ง อปท. ทั่วประเทศจะต้องดําเนินการ รณรงค์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการคัดแยกขยะอย่างต่อเนื่องเพื่อนําไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ หมู่บ้านปลอดขยะ (Zero Waste)
ในขั้นตอนการจัดการขยะกลางทางหรือการเก็บขนขยะมูลฝอย ซึ่งยังมีข้อจํากัดเรื่องยานพาหนะเก็บขนขยะ จึงขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการขยะโดยกําหนดวัน เวลา ในการเก็บขนขยะแต่ละประเภทที่เหมาะสมกับปริมาณขยะและลักษณะของชุมชน
และในด้านการจัดการขยะปลายทาง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดการมูลฝอย พ.ศ. 2560 ได้กําหนดวิธีการกําจัดขยะ ได้แก่ การฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล การหมักทําปุ๋ยหรือก๊าซชีวภาพ การกําจัดด้วยพลังงานความร้อน (เผาในเตาเผาที่มีการควบคุมมลพิษ) และการแปรสภาพเป็นเชื้อเพลิงหรือพลังงาน ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการรวมกลุ่มขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการขยะกว่า 2,810 กองขยะ ในลักษณะ Cluster ทั่วประเทศ 324 กลุ่ม ซึ่งหาก อปท. สามารถดําเนินการแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิงหรือพลังงาน จะทําให้ขยะหมดไปจากประเทศไทย และจะทําให้เกิดพลังงานแก่ประเทศอันจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยอีกด้วย จึงขอให้ อปท. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจัดการขยะ มิได้ส่งเสริมในด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่มีส่วนส่งเสริมด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จึงต้องร่วมรณรงค์ให้ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้น และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16168
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
|
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายเมอีร์ ชโลโม (H.E. Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยเห็นพ้องให้ไทยและอิสราเอลกระชับความร่วมมือให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ของอิสราเอล โดยไทยประสงค์ที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านนี้ รวมถึงด้านการบริหารจัดการน้ําจากอิสราเอลมากยิ่งขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้ติดตามผลการเลือกตั้งทั่วไปในอิสราเอล และอวยพรให้อิสราเอลมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สําเร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ไทยและอิสราเอลยินดีที่มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและความร่วมมือที่ก้าวหน้า และครอบคลุมในหลายๆด้าน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ไทย – อิสราเอลกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายเมอีร์ ชโลโม (H.E. Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยเห็นพ้องให้ไทยและอิสราเอลกระชับความร่วมมือให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ของอิสราเอล โดยไทยประสงค์ที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านนี้ รวมถึงด้านการบริหารจัดการน้ําจากอิสราเอลมากยิ่งขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้ติดตามผลการเลือกตั้งทั่วไปในอิสราเอล และอวยพรให้อิสราเอลมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สําเร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ไทยและอิสราเอลยินดีที่มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและความร่วมมือที่ก้าวหน้า และครอบคลุมในหลายๆด้าน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24835
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. เป็นผู้นำอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
|
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562
อว. เป็นผู้นําอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
อว. เป็นผู้นําอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2562 รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิด “การประชุมเชิงปฏิบัติการ The 1st Japan-ASEAN Multi-Stakeholder Strategic Consultancy Forum” จัดโดยสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เพื่อหารือแนวทางการสร้างโอกาสในการพัฒนางานวิจัยเพื่อนําไปใช้ได้จริงในสังคม และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ณ ไบเทค บางนา
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Smart Energy Transformation Asia (SETA 2019) มีวัตถุประสงค์เพื่อจับคู่งานวิจัยที่มีความสําคัญสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์และสังคมที่เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ และหารือแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านงานวิจัยที่มีความสําคัญทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงส่งเสริมให้เกิดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรงกับความต้องการของตลาด และเกิดผลงานวิจัยที่นําไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ว่าด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลักดันวาระเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นกระทรวงที่มีทั้งหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยในสังกัดที่ทํางานวิจัยหลายประเภทและมีจํานวนมาก โดยมีนโยบายที่ใช้กํากับดูแลการวิจัยและพัฒนาที่สร้างความมั่นคงทางสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันได้นํานโยบาย BCG มาใช้ในการพัฒนางานวิจัยของประเทศ BCG มาจาก Bioeconomy, Circular Economy, and Green Economy มาบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการปรับตั้งให้เป็น Innovation Driven Enterprise โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีบทบาทนําในอาเซียน ในการดําเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา และการเพิ่มศักยภาพงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ให้เป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาประชาคมอาเซียนให้มีความยั่งยืน และเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศญี่ปุ่น ในการร่วมทําวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไปใช้สร้างธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ เกิดการสร้าง Business Model รูปแบบใหม่ ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ได้มีการต่อยอดไปสู่ ASEAN Innovation Roadmap ซึ่งเป็นแผนที่นําทางเชิงกลยุทธ์ในการดําเนินงานความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. เป็นผู้นำอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562
อว. เป็นผู้นําอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
อว. เป็นผู้นําอาเซียน เปิดเวทีส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น สร้างผู้ประกอบการธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2562 รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิด “การประชุมเชิงปฏิบัติการ The 1st Japan-ASEAN Multi-Stakeholder Strategic Consultancy Forum” จัดโดยสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เพื่อหารือแนวทางการสร้างโอกาสในการพัฒนางานวิจัยเพื่อนําไปใช้ได้จริงในสังคม และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ณ ไบเทค บางนา
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Smart Energy Transformation Asia (SETA 2019) มีวัตถุประสงค์เพื่อจับคู่งานวิจัยที่มีความสําคัญสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์และสังคมที่เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ และหารือแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านงานวิจัยที่มีความสําคัญทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงส่งเสริมให้เกิดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรงกับความต้องการของตลาด และเกิดผลงานวิจัยที่นําไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ว่าด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลักดันวาระเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นกระทรวงที่มีทั้งหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยในสังกัดที่ทํางานวิจัยหลายประเภทและมีจํานวนมาก โดยมีนโยบายที่ใช้กํากับดูแลการวิจัยและพัฒนาที่สร้างความมั่นคงทางสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันได้นํานโยบาย BCG มาใช้ในการพัฒนางานวิจัยของประเทศ BCG มาจาก Bioeconomy, Circular Economy, and Green Economy มาบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการปรับตั้งให้เป็น Innovation Driven Enterprise โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีบทบาทนําในอาเซียน ในการดําเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา และการเพิ่มศักยภาพงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ให้เป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาประชาคมอาเซียนให้มีความยั่งยืน และเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศญี่ปุ่น ในการร่วมทําวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไปใช้สร้างธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ เกิดการสร้าง Business Model รูปแบบใหม่ ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ได้มีการต่อยอดไปสู่ ASEAN Innovation Roadmap ซึ่งเป็นแผนที่นําทางเชิงกลยุทธ์ในการดําเนินงานความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23914
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ” [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ” [กระทรวงการคลัง]
SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ”
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับ บริษัท AJ E-Commerce จัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์พาผู้ประกอบการไทยฝ่าวิกฤตมุ่งสู่ตลาดการส่งออกกับกิจกรรม “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 ด้วยแพลตฟอร์มอาลีบาบา”ในวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 13.00 – 14.00 น. โดยรับชมผ่าน Facebook Live ที่เพจ SME-D Coach Academy 2020 พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดจากอาลีบาบาดอทคอม คุณสิรินันท์ ทองเพ็ญ มาให้ความรู้ในหัวข้อการตลาดออนไลน์ตอบโจทย์ช่วงวิกฤต COVID-19 ช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มอาลีบาบาที่ทําให้เกิดโอกาสการขายสินค้าได้อย่างไร้พรมแดน เรียนรู้เทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อทั่วโลก เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าบนอาลีบาบาดอทคอม อัพเดตเทคนิคการขายสินค้าและการเจรจาต่อรอง พร้อมร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง Facebook Live ได้ด้วย
ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถสมัครได้ทาง QR Code ในโปสเตอร์ หรือคลิกที่ลิงค์https://qrgo.page.link/cNZ3f ผู้สมัครจะได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ เพื่อส่งลิงค์ Facebook Page ในการ Live สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 080-444-2166 (พลอย)
#คลังรวมใจสู้ภัยโควิด19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ” [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ” [กระทรวงการคลัง]
SME D Bank จับมือ AJ E-Commerce ติดปีกเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ จัดสัมมนาออนไลน์ “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 พิชิตตลาดโลกฯ”
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับ บริษัท AJ E-Commerce จัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์พาผู้ประกอบการไทยฝ่าวิกฤตมุ่งสู่ตลาดการส่งออกกับกิจกรรม “Alibaba The Next Gen 2 พลิกวิกฤต COVID-19 ด้วยแพลตฟอร์มอาลีบาบา”ในวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 13.00 – 14.00 น. โดยรับชมผ่าน Facebook Live ที่เพจ SME-D Coach Academy 2020 พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดจากอาลีบาบาดอทคอม คุณสิรินันท์ ทองเพ็ญ มาให้ความรู้ในหัวข้อการตลาดออนไลน์ตอบโจทย์ช่วงวิกฤต COVID-19 ช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มอาลีบาบาที่ทําให้เกิดโอกาสการขายสินค้าได้อย่างไร้พรมแดน เรียนรู้เทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อทั่วโลก เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าบนอาลีบาบาดอทคอม อัพเดตเทคนิคการขายสินค้าและการเจรจาต่อรอง พร้อมร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง Facebook Live ได้ด้วย
ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถสมัครได้ทาง QR Code ในโปสเตอร์ หรือคลิกที่ลิงค์https://qrgo.page.link/cNZ3f ผู้สมัครจะได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ เพื่อส่งลิงค์ Facebook Page ในการ Live สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 080-444-2166 (พลอย)
#คลังรวมใจสู้ภัยโควิด19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28989
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค [กระทรวงสาธารณสุข]
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ข้อมูลจากไทยชนะ.com เพื่อสอบสวนติดตามผู้สัมผัสโรคหากพบผู้ป่วยรายใหม่จากการใช้บริการในสถานประกอบกิจการต่างๆ และตรวจสอบประเมินแนวปฏิบัติวิถีใหม่ของสถานประกอบการ ย้ําทํา New Normal ดีจะไม่มี New Wave ส่วนผลสํารวจข่าวปลอมโควิด19 พบว่า ประชาชนร้อยละ 78.21 รู้เท่าทันข่าวปลอมโควิด 19 ส่วนที่แชร์ข่าวปลอมพบในเฟสบุ๊กมากที่สุด
บ่ายวันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงรายงานผลสํารวจโครงการประเมินพฤติกรรมของประชาชนต่อข่าวปลอมช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า ผลการสํารวจในสัปดาห์ที่ 1 (4-14 พฤษภาคม 2563) ดัชนีการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ข่าวสารเกี่ยวกับโควิด 19 อยู่ที่ร้อยละ 78.21 โดยที่ร้อยละ 57.6 เคยเห็น/ได้ยิน/ได้อ่าน ข่าวปลอมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากเฟสบุ๊กมากถึงร้อยละ 51.1, สื่ออื่นที่ไม่ใช่ออนไลน์ ร้อยละ 28.6, และออนไลน์อื่น ๆ ได้แก่ ไลน์, ทวิตเตอร์/ยูทูป/อินสตาแกรม ร้อยละ 20.14 ขณะเดียวกันมีอยู่ถึงร้อยละ 35.7 ที่ไม่สามารถแยกข่าวจริงและข่าวเท็จ โดยมีประชาชนร้อยละ 4.8 แชร์ข่าวเท็จ และจากประชาชนที่แชร์ข่าวเท็จ พบว่าร้อยละ 83.8 แชร์ทางเฟสบุ๊กเป็นหลัก ผลสํารวจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีว่าประชาชนสามารถแยกแยะข่าวจริงข่าวปลอมตัวข่าวปลอม เรื่องโควิด19 ได้ ซึ่งจะติดตามสํารวจความเข้าใจเรื่องข่าวปลอมต่อไป
ส่วนกรณีเรื่อง www.ไทยชนะ.com ปลอมนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งติดตามพร้อมสั่งปิดเว็บไซต์ที่ตรวจพบ เบื้องต้นทราบว่าเป็นเว็บต่างชาติที่ทําปลอมขึ้นมาล่อลวงให้เข้าไปใช้งานและให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากเว็บ ซึ่งอาจทําให้ติดมัลแวร์หรือไวรัสมาได้ จึงไม่แนะนําให้เข้าไปใช้งาน รวมทั้งการมีข้อความสั้น (SMS) ส่งเข้าไปยังเครื่องโทรศัพท์ ขอให้ประชาชนอย่ากดดาวน์โหลดใดๆ หากเผลอกดดาวน์โหลดมาแล้วขอให้ลบออก หากยังไม่มั่นใจให้นําโทรศัพท์ไปให้ศูนย์บริการล้างเครื่องและเคลียร์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการทําเว็บไซต์ปลอมหรือมีปัญหาการใช้งานสามารถแจ้งที่สายด่วน 1119 ส่วนเรื่องการนําข้อมูลต่างๆ ไปใช้นั้น ยืนยันว่าwww.ไทยชนะ.comเน้นความปลอดภัยส่วนบุคคลเป็นสําคัญ ไม่มีการระบุชื่อนามสกุลใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ลงทะเบียนครั้งแรก และข้อมูลใช้เพื่อการติดตามควบคุมโรคโควิด 19 เท่านั้น
ด้านนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ส่วนสําคัญของข้อมูลจากwww.ไทยชนะ.comจะถูกส่งต่อมาที่กรมอนามัย จะเป็นข้อมูลสถานประกอบการที่ประชาชนประเมินผ่านwww.ไทยชนะ.comนํามาพิจารณาประกอบกับข้อมูลสถานการณ์โรครายวัน พฤติกรรมสุขภาพที่กรมอนามัยสํารวจว่าการ์ดตกเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพบที่น่าเป็นห่วงคือการใช้มือสัมผัสใบหน้า และการเว้นระยะห่างที่ยังพบว่าทําได้ไม่ดีเท่าที่ควร และจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เริ่มผ่อนปรนระยะสอง และเก็บข้อมูลอีก 7 วันถัดมา เพื่อมาประมวลผลว่าพฤติกรรมของประชาชน ความใส่ใจของผู้ประกอบการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดใหม่อีกครั้งหรือไม่ เรียกว่าถ้าทํา New Normal ได้ดีก็จะไม่เกิด New Wave
******************************** 26 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค [กระทรวงสาธารณสุข]
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ข้อมูลจากไทยชนะ.com เพื่อสอบสวนติดตามผู้สัมผัสโรคหากพบผู้ป่วยรายใหม่จากการใช้บริการในสถานประกอบกิจการต่างๆ และตรวจสอบประเมินแนวปฏิบัติวิถีใหม่ของสถานประกอบการ ย้ําทํา New Normal ดีจะไม่มี New Wave ส่วนผลสํารวจข่าวปลอมโควิด19 พบว่า ประชาชนร้อยละ 78.21 รู้เท่าทันข่าวปลอมโควิด 19 ส่วนที่แชร์ข่าวปลอมพบในเฟสบุ๊กมากที่สุด
บ่ายวันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงรายงานผลสํารวจโครงการประเมินพฤติกรรมของประชาชนต่อข่าวปลอมช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า ผลการสํารวจในสัปดาห์ที่ 1 (4-14 พฤษภาคม 2563) ดัชนีการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ข่าวสารเกี่ยวกับโควิด 19 อยู่ที่ร้อยละ 78.21 โดยที่ร้อยละ 57.6 เคยเห็น/ได้ยิน/ได้อ่าน ข่าวปลอมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากเฟสบุ๊กมากถึงร้อยละ 51.1, สื่ออื่นที่ไม่ใช่ออนไลน์ ร้อยละ 28.6, และออนไลน์อื่น ๆ ได้แก่ ไลน์, ทวิตเตอร์/ยูทูป/อินสตาแกรม ร้อยละ 20.14 ขณะเดียวกันมีอยู่ถึงร้อยละ 35.7 ที่ไม่สามารถแยกข่าวจริงและข่าวเท็จ โดยมีประชาชนร้อยละ 4.8 แชร์ข่าวเท็จ และจากประชาชนที่แชร์ข่าวเท็จ พบว่าร้อยละ 83.8 แชร์ทางเฟสบุ๊กเป็นหลัก ผลสํารวจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีว่าประชาชนสามารถแยกแยะข่าวจริงข่าวปลอมตัวข่าวปลอม เรื่องโควิด19 ได้ ซึ่งจะติดตามสํารวจความเข้าใจเรื่องข่าวปลอมต่อไป
ส่วนกรณีเรื่อง www.ไทยชนะ.com ปลอมนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งติดตามพร้อมสั่งปิดเว็บไซต์ที่ตรวจพบ เบื้องต้นทราบว่าเป็นเว็บต่างชาติที่ทําปลอมขึ้นมาล่อลวงให้เข้าไปใช้งานและให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากเว็บ ซึ่งอาจทําให้ติดมัลแวร์หรือไวรัสมาได้ จึงไม่แนะนําให้เข้าไปใช้งาน รวมทั้งการมีข้อความสั้น (SMS) ส่งเข้าไปยังเครื่องโทรศัพท์ ขอให้ประชาชนอย่ากดดาวน์โหลดใดๆ หากเผลอกดดาวน์โหลดมาแล้วขอให้ลบออก หากยังไม่มั่นใจให้นําโทรศัพท์ไปให้ศูนย์บริการล้างเครื่องและเคลียร์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการทําเว็บไซต์ปลอมหรือมีปัญหาการใช้งานสามารถแจ้งที่สายด่วน 1119 ส่วนเรื่องการนําข้อมูลต่างๆ ไปใช้นั้น ยืนยันว่าwww.ไทยชนะ.comเน้นความปลอดภัยส่วนบุคคลเป็นสําคัญ ไม่มีการระบุชื่อนามสกุลใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ลงทะเบียนครั้งแรก และข้อมูลใช้เพื่อการติดตามควบคุมโรคโควิด 19 เท่านั้น
ด้านนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ส่วนสําคัญของข้อมูลจากwww.ไทยชนะ.comจะถูกส่งต่อมาที่กรมอนามัย จะเป็นข้อมูลสถานประกอบการที่ประชาชนประเมินผ่านwww.ไทยชนะ.comนํามาพิจารณาประกอบกับข้อมูลสถานการณ์โรครายวัน พฤติกรรมสุขภาพที่กรมอนามัยสํารวจว่าการ์ดตกเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพบที่น่าเป็นห่วงคือการใช้มือสัมผัสใบหน้า และการเว้นระยะห่างที่ยังพบว่าทําได้ไม่ดีเท่าที่ควร และจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เริ่มผ่อนปรนระยะสอง และเก็บข้อมูลอีก 7 วันถัดมา เพื่อมาประมวลผลว่าพฤติกรรมของประชาชน ความใส่ใจของผู้ประกอบการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดใหม่อีกครั้งหรือไม่ เรียกว่าถ้าทํา New Normal ได้ดีก็จะไม่เกิด New Wave
******************************** 26 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31550
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันจ่ายแล้ว..! ค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงในประเทศฝรั่งเศส
|
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561
ประกันจ่ายแล้ว..! ค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงในประเทศฝรั่งเศส
• เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานสักขีพยานการมอบค่าสินไหมฯ ที่จังหวัดชลบุรี
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุมือปืนกราดยิงบริเวณตลาดคริสต์มาส เขตเมืองสทราซบูร์ ประเทศฝรั่งเศส ทําให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 12 ราย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา และหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นคนไทย ชื่อ นายอนุพงษ์ สืบสมาน อายุ 45 ปี เป็นผู้บริหารโรงงาน “อึ้ง ฮั้ว เชียง” ผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวและขนมจีน “ตราเพียว” ตั้งอยู่หมู่ 3 ตําบลวังตะเคียน อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น
สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยเพื่อเป็นการแสดงความห่วงใย ตนได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสํานักงานคปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสํานักงาน คปภ. จังหวัดฉะเชิงเทรา ตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตได้ทําประกันไว้หรือไม่ หากทําประกันภัยกับบริษัทประกันภัยใดและมีเงื่อนไขการคุ้มครองเป็นอย่างไร ซึ่งหากพบว่ามีการทําประกันไว้ก็ให้เร่งติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความสูญเสียให้กับผู้รับประโยชน์ให้ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่านายอนุพงษ์ สืบสมาน ผู้เสียชีวิต ได้ทําประกันชีวิตไว้กับบริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) โดยมีนางยกหลั่ง สืบสมาน มารดาของผู้เสียชีวิตเป็นผู้รับประโยชน์ จํานวน 2 กรมธรรม์ คือ กรมธรรม์เลขที่ 21484142 เป็นจํานวนเงิน 400,000 บาท และกรมธรรม์เลขที่ 44020917 เป็นจํานวนเงิน 329,350 บาท ซึ่งจากการประสานงานกับบริษัทไทยประกันชีวิตจํากัด (มหาชน) ได้มีการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนจากกรณีมรณกรรมจากอุบัติเหตุดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 729,350 บาท และในวันนี้ (14 ธันวาคม 2561) ได้มีการมอบค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตโดยนายดําเกิง เสือคําราม ผู้จัดการสายการตลาดภูมิภาค 5 บริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) เป็นผู้แทนจากบริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) มอบค่าสินไหมทดแทนจํานวน 2 กรมธรรม์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 729,350 บาท ให้กับนายสุชาติ สืบสมาน ซึ่งเป็นอาของผู้เสียชีวิตที่ได้รับมอบหมายจาก นางยกหลั่ง สืบสมาน มารดาของผู้เสียชีวิต โดยมี ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานสักขีพยาน และคณะผู้บริหารสํานักงาน คปภ. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบค่าสินไหมทดแทนครั้งนี้ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี
"สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานที่ จึงควรให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยเพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง และเยียวยาความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันจ่ายแล้ว..! ค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงในประเทศฝรั่งเศส
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561
ประกันจ่ายแล้ว..! ค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงในประเทศฝรั่งเศส
• เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานสักขีพยานการมอบค่าสินไหมฯ ที่จังหวัดชลบุรี
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุมือปืนกราดยิงบริเวณตลาดคริสต์มาส เขตเมืองสทราซบูร์ ประเทศฝรั่งเศส ทําให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 12 ราย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา และหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นคนไทย ชื่อ นายอนุพงษ์ สืบสมาน อายุ 45 ปี เป็นผู้บริหารโรงงาน “อึ้ง ฮั้ว เชียง” ผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวและขนมจีน “ตราเพียว” ตั้งอยู่หมู่ 3 ตําบลวังตะเคียน อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น
สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยเพื่อเป็นการแสดงความห่วงใย ตนได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสํานักงานคปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสํานักงาน คปภ. จังหวัดฉะเชิงเทรา ตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตได้ทําประกันไว้หรือไม่ หากทําประกันภัยกับบริษัทประกันภัยใดและมีเงื่อนไขการคุ้มครองเป็นอย่างไร ซึ่งหากพบว่ามีการทําประกันไว้ก็ให้เร่งติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความสูญเสียให้กับผู้รับประโยชน์ให้ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่านายอนุพงษ์ สืบสมาน ผู้เสียชีวิต ได้ทําประกันชีวิตไว้กับบริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) โดยมีนางยกหลั่ง สืบสมาน มารดาของผู้เสียชีวิตเป็นผู้รับประโยชน์ จํานวน 2 กรมธรรม์ คือ กรมธรรม์เลขที่ 21484142 เป็นจํานวนเงิน 400,000 บาท และกรมธรรม์เลขที่ 44020917 เป็นจํานวนเงิน 329,350 บาท ซึ่งจากการประสานงานกับบริษัทไทยประกันชีวิตจํากัด (มหาชน) ได้มีการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนจากกรณีมรณกรรมจากอุบัติเหตุดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 729,350 บาท และในวันนี้ (14 ธันวาคม 2561) ได้มีการมอบค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตโดยนายดําเกิง เสือคําราม ผู้จัดการสายการตลาดภูมิภาค 5 บริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) เป็นผู้แทนจากบริษัทไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) มอบค่าสินไหมทดแทนจํานวน 2 กรมธรรม์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 729,350 บาท ให้กับนายสุชาติ สืบสมาน ซึ่งเป็นอาของผู้เสียชีวิตที่ได้รับมอบหมายจาก นางยกหลั่ง สืบสมาน มารดาของผู้เสียชีวิต โดยมี ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานสักขีพยาน และคณะผู้บริหารสํานักงาน คปภ. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบค่าสินไหมทดแทนครั้งนี้ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี
"สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานที่ จึงควรให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยเพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง และเยียวยาความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรฐานบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ฉบับใหม่ มีผล 20 ธันวาคมนี้
|
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
มาตรฐานบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ฉบับใหม่ มีผล 20 ธันวาคมนี้
สมอ. กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.23-2558 เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน มีผลบังคับใช้ 20 ธันวาคมนี้
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 23-2558 ภายหลังจากที่ สมอ. ได้ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐาน รวมทั้งดําเนินการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับมาตรฐานดังกล่าว ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติอุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ซึ่งผู้ทํา ผู้นําเข้า จะต้องขออนุญาตทําและนําเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามมาตรฐานฉบับนี้
ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุญาตให้ทําผลิตภัณฑ์ตาม มอก. 23-2531 จํานวน 34 ราย อนุญาตให้นําเข้า จํานวน 29 ราย ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการรักษาสิทธิ์ในการผ่อนผันเพื่อประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิม จะต้องยื่นคําขออนุญาตตาม มอก.23-2558 กับ สมอ. ก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2560 เท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิผ่อนผันให้ประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิมได้ตามกฎหมาย
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ มอก. 23-2558 จะมีการทดสอบเรื่องความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เช่น การทนความร้อนและไฟ ความคงทนทางไฟฟ้า การทดสอบแรงดันไฟฟ้าสูงแบบอิมพัลส์ และการประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยในการใช้งาน และเป็นการประหยัดพลังงานอีกด้วย
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้มีการทบทวนมาตรฐาน เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้งาน สถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถรับทราบการปรับปรุงมาตรฐาน และติดตามความเคลื่อนไหวด้านการมาตรฐานได้ที่ www.tisi.go.th หรือ www.facebook.com /tisiofficial
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรฐานบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ฉบับใหม่ มีผล 20 ธันวาคมนี้
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
มาตรฐานบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ฉบับใหม่ มีผล 20 ธันวาคมนี้
สมอ. กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.23-2558 เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน มีผลบังคับใช้ 20 ธันวาคมนี้
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 23-2558 ภายหลังจากที่ สมอ. ได้ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐาน รวมทั้งดําเนินการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับมาตรฐานดังกล่าว ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติอุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป ซึ่งผู้ทํา ผู้นําเข้า จะต้องขออนุญาตทําและนําเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตามมาตรฐานฉบับนี้
ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุญาตให้ทําผลิตภัณฑ์ตาม มอก. 23-2531 จํานวน 34 ราย อนุญาตให้นําเข้า จํานวน 29 ราย ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการรักษาสิทธิ์ในการผ่อนผันเพื่อประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิม จะต้องยื่นคําขออนุญาตตาม มอก.23-2558 กับ สมอ. ก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2560 เท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิผ่อนผันให้ประกอบกิจการตามใบอนุญาตเดิมได้ตามกฎหมาย
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สําหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ มอก. 23-2558 จะมีการทดสอบเรื่องความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เช่น การทนความร้อนและไฟ ความคงทนทางไฟฟ้า การทดสอบแรงดันไฟฟ้าสูงแบบอิมพัลส์ และการประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยในการใช้งาน และเป็นการประหยัดพลังงานอีกด้วย
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้มีการทบทวนมาตรฐาน เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้งาน สถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถรับทราบการปรับปรุงมาตรฐาน และติดตามความเคลื่อนไหวด้านการมาตรฐานได้ที่ www.tisi.go.th หรือ www.facebook.com /tisiofficial
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8855
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
|
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ตั้งคณะทํางานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร บูรณาการหน่วยงานในสังกัดแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร ณ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่า จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ ไอเสียรถยนต์ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น การประกอบโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษจากการทําการเกษตร และหมอกควันที่เกิดจากการเผาเศษวากพืชหรือวัชพืช และวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ตั้งคณะทํางานฯ ดังกล่าว เพื่อบูรณาการหน่วยงานในสังกัดอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยมีอํานาจหน้าที่ในการจัดทําแผนป้องกันและเฝ้าระวังเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร เสนอแนะมาตรการและแนวทางในการป้องกันต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กํากับดูแล การดําเนินงานการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าและรายงานผลการดําเนินการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบ
นายอนันต์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทําโครงการ/แผนงาน เพื่อสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหากาคเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2563 จํานวน 4 โครงการ/แผนงาน ได้แก่ 1)โครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร จํานวน 2 กิจกรรม คือ การถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร เป้าหมาย 16,800 ราย และการสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา เป้าหมาย 150 ตําบล และ 80 ศพก.ในพื้นที่ 42 จังหวัด จํานวน 226 แห่ง อีกทั้งยังได้จัดกิจกรรมรณรงค์หยุดการเผา และได้มีการรณรงค์ไปแล้ว 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และจะดําเนินการกิจกรรมต่อเนื่องในจังหวัดนครปฐม ในวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่จะถึงนี้2) โครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันมอกควันในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ จํานวน 2 กิจกรรม คือ การไถกลบตอซัง เป้าหมาย 70,000 ไร่ การผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน 3,645 ตัน งบประมาณการดําเนินงาน 38.994 ล้านบาท3)โครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน 45,000ไร่ โดยส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้น ไม้ป่า ไม้หายากหรือไม้ประจําถิ่น และ 4)แผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปรสภาพอากาศเพื่อลดความหนาแน่นของหมอกควันและไฟป่า ซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตรจะเปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ ให้เร็วขึ้น โดยจะเปิดในวันที่ 3กุมภาพันธ์ 2563 ที่จะถึงนี้ จํานวน7ศูนย์
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดคือ 1) ให้กรมส่งเสริมการเกษตรมอบหมายเกษตรจังหวัดบูรณาการแผนงานโครงการฯ ในพื้นที่การเกษตรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประสานการปฏิบัติการร่วมกับกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และมอบหมายเกษตรอําเภอ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด จัดชุดปฏิบัติการประจําพื้นที่ เพื่อออกตรวจ ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง และแจ้งเหตุการณ์เผาในพื้นที่การเกษตร 2) ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด รายงานผลการดําเนินการงานในพื้นที่ให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบ 3) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อํานวยการ กํากับ ติดตาม ให้หน่วยงานในระดับจังหวัดปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง 4) ให้อธิบดีและหัวหน้าสนับสนุนการดําเนินงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ 5) ให้หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายผู้ตรวจกระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานอย่างใกล้ชิด และ 6) ให้สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดําเนินงานต่อปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทราบต่อไป
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีมติให้จัดตั้งคณะทํางานชุดเล็ก จํานวน 3 คณะ ใน 3 สินค้าเกษตร คือ ข้าว ข้าวโพด และอ้อย เพื่อหาพื้นที่เสี่ยงที่ยังมีการเผาและมีแนวโน้มที่จะมีการเผา และหามาตรการในการดําเนินในเรื่องดังกล่าว ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
ก.เกษตรฯ ขอมีส่วนร่วมช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ตั้งคณะทํางานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร บูรณาการหน่วยงานในสังกัดแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร ณ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่า จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ ไอเสียรถยนต์ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น การประกอบโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษจากการทําการเกษตร และหมอกควันที่เกิดจากการเผาเศษวากพืชหรือวัชพืช และวัสดุทางการเกษตร ในพื้นที่การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ตั้งคณะทํางานฯ ดังกล่าว เพื่อบูรณาการหน่วยงานในสังกัดอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยมีอํานาจหน้าที่ในการจัดทําแผนป้องกันและเฝ้าระวังเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช และเศษวัสดุทางการเกษตร เสนอแนะมาตรการและแนวทางในการป้องกันต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กํากับดูแล การดําเนินงานการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าและรายงานผลการดําเนินการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบ
นายอนันต์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทําโครงการ/แผนงาน เพื่อสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหากาคเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2563 จํานวน 4 โครงการ/แผนงาน ได้แก่ 1)โครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร จํานวน 2 กิจกรรม คือ การถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร เป้าหมาย 16,800 ราย และการสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา เป้าหมาย 150 ตําบล และ 80 ศพก.ในพื้นที่ 42 จังหวัด จํานวน 226 แห่ง อีกทั้งยังได้จัดกิจกรรมรณรงค์หยุดการเผา และได้มีการรณรงค์ไปแล้ว 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และจะดําเนินการกิจกรรมต่อเนื่องในจังหวัดนครปฐม ในวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่จะถึงนี้2) โครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันมอกควันในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ จํานวน 2 กิจกรรม คือ การไถกลบตอซัง เป้าหมาย 70,000 ไร่ การผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน 3,645 ตัน งบประมาณการดําเนินงาน 38.994 ล้านบาท3)โครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน 45,000ไร่ โดยส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้น ไม้ป่า ไม้หายากหรือไม้ประจําถิ่น และ 4)แผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปรสภาพอากาศเพื่อลดความหนาแน่นของหมอกควันและไฟป่า ซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตรจะเปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ ให้เร็วขึ้น โดยจะเปิดในวันที่ 3กุมภาพันธ์ 2563 ที่จะถึงนี้ จํานวน7ศูนย์
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดคือ 1) ให้กรมส่งเสริมการเกษตรมอบหมายเกษตรจังหวัดบูรณาการแผนงานโครงการฯ ในพื้นที่การเกษตรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประสานการปฏิบัติการร่วมกับกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และมอบหมายเกษตรอําเภอ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด จัดชุดปฏิบัติการประจําพื้นที่ เพื่อออกตรวจ ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง และแจ้งเหตุการณ์เผาในพื้นที่การเกษตร 2) ให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด รายงานผลการดําเนินการงานในพื้นที่ให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบ 3) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อํานวยการ กํากับ ติดตาม ให้หน่วยงานในระดับจังหวัดปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง 4) ให้อธิบดีและหัวหน้าสนับสนุนการดําเนินงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ 5) ให้หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายผู้ตรวจกระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานอย่างใกล้ชิด และ 6) ให้สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดําเนินงานต่อปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทราบต่อไป
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีมติให้จัดตั้งคณะทํางานชุดเล็ก จํานวน 3 คณะ ใน 3 สินค้าเกษตร คือ ข้าว ข้าวโพด และอ้อย เพื่อหาพื้นที่เสี่ยงที่ยังมีการเผาและมีแนวโน้มที่จะมีการเผา และหามาตรการในการดําเนินในเรื่องดังกล่าว ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26046
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) แถลงข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรีช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงโควิด-19 ภายใต้กิจกรรม “ดีอีเอสช่วยประชาชนสู้ภัยโควิด-19” โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ในการสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจําที่ (Fixed Broadband) แพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็ว 100/50 Mbps ให้กับประชาชนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยจะติดตั้งและให้บริการแก่ประชาชนฟรีเป็นระยะเวลา 3 เดือน สําหรับแพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็วสูงสุด 100/50 Mbps ระยะเวลาสัญญาใช้บริการ 12 เดือน ได้จัดเตรียมรองรับประชาชนจํานวน 100,000 ราย ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนใช้งานฟรี 3 เดือน โดยฟรีค่าใช้จ่ายแรกเข้าและค่าติดตั้งสําหรับผู้ใช้บริการต่อเนื่องจนครบตามระยะเวลาในอัตรา 390.- บาท/เดือน ประชาชนที่สนใจสามารถสมัครรับสิทธิ์แพ็กเกจดังกล่าวได้ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 31 ก.ค.63 ณ สํานักงานบริการลูกค้า CAT และ TOT, ช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.CinternetBYCAT.com Facebook : CinternetBYCAT และ www.tot.co.th หรือสอบถามที่ CAT Contact Center 1322 และ TOT Contact Center 1100
ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสคํานึงถึงการรองรับสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบไปอีกระยะหนึ่ง โดยประชาชนที่ยังคงอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ยังคงมีความจําเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนอินเทอร์เน็ตบ้านจึงมีความจําเป็นโดยนอกจากรองรับการทํางานที่บ้าน (WFH) ยังรวมถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจํานวนมากที่ยังไม่สามารถเรียนตามปกติจะต้องเรียนออนไลน์เพิ่มขึ้น
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
“ดีอีเอส” เพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรี เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) แถลงข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการเน็ตบ้านฟรีช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายช่วงโควิด-19 ภายใต้กิจกรรม “ดีอีเอสช่วยประชาชนสู้ภัยโควิด-19” โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ในการสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจําที่ (Fixed Broadband) แพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็ว 100/50 Mbps ให้กับประชาชนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยจะติดตั้งและให้บริการแก่ประชาชนฟรีเป็นระยะเวลา 3 เดือน สําหรับแพ็กเกจ “เน็ตอยู่บ้าน” ความเร็วสูงสุด 100/50 Mbps ระยะเวลาสัญญาใช้บริการ 12 เดือน ได้จัดเตรียมรองรับประชาชนจํานวน 100,000 ราย ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนใช้งานฟรี 3 เดือน โดยฟรีค่าใช้จ่ายแรกเข้าและค่าติดตั้งสําหรับผู้ใช้บริการต่อเนื่องจนครบตามระยะเวลาในอัตรา 390.- บาท/เดือน ประชาชนที่สนใจสามารถสมัครรับสิทธิ์แพ็กเกจดังกล่าวได้ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 31 ก.ค.63 ณ สํานักงานบริการลูกค้า CAT และ TOT, ช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.CinternetBYCAT.com Facebook : CinternetBYCAT และ www.tot.co.th หรือสอบถามที่ CAT Contact Center 1322 และ TOT Contact Center 1100
ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสคํานึงถึงการรองรับสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบไปอีกระยะหนึ่ง โดยประชาชนที่ยังคงอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ยังคงมีความจําเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนอินเทอร์เน็ตบ้านจึงมีความจําเป็นโดยนอกจากรองรับการทํางานที่บ้าน (WFH) ยังรวมถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจํานวนมากที่ยังไม่สามารถเรียนตามปกติจะต้องเรียนออนไลน์เพิ่มขึ้น
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30455
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
|
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
วันนี้ (15 มิถุนายน 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 0 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,135 ราย อยู่สถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ 198 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,987 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 58 ราย ยังมีรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 90 ราย จําแนกตามประเภทผู้ป่วยที่มีประวัติติดเชื้อจากต่างประเทศ 691 รายจากจํานวนผู้ป่วยทั้งหมด 3,135 ราย โดยอันดับ 1 คือ คนไทยที่เดินทางกลับมาจาก ประเทศคูเวต ผู้ป่วยยืนยัน 34 ราย จากที่มีคนไทยกลับมาสะสม 174 ราย อันดับ 2 ได้แก่ อินโดนีเซีย ผู้ป่วยยืนยัน 65 รายจากคนไทยกลับมาสะสม 648 ราย และอันดับ 3 ปากีสถาน ผู้ป่วยยืนยัน 13 รายจากคนไทยกลับมาสะสม 196 ราย รวมทั้ง ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และมาเลเซีย ตามลําดับ ซึ่ง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบผู้ป่วยภายในประเทศ พร้อมขอขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคนที่พยายามผ่านช่วงเวลาที่ยากลําบากมาด้วยกัน
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,988,615 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 127,863 ราย จํานวนผู้ที่หายแล้ว 4,107,520 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.4 และจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 435,446 ราย คิดเป็นร้อยละ 5.5 โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองมาคือบราซิล รัสเซียและอินเดียตามลําดับ ปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 88 ของโลก
ประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ การระบาดระลอกใหม่ในปักกิ่งพบว่ามีการยืนยันผู้ป่วยรายใหม่ 57 ราย สูงสุดในรอบ 2 เดือน โดยพบผู้ติดเชื้อในกรุงปักกิ่ง 36 คนเชื่อมโยงกับตลาดค้าส่ง “ซินฟาตี้” โดยพบเชื้อไวรัสโควิด-19 บนเขียงปลาแซลมอน ส่งผลให้ปิดตลาดซินฟาตี้อย่างไม่มีกําหนดและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดซินฟาตี้ประมาณ 10,000 ราย ต้องตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ปักกิ่งยังระงับแผนการเปิดการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถม 1-3 และล็อกดาวน์ปิดพื้นที่ชุมชนที่พักอาศัยจํานวน 11 แห่งในเขตเฟิงไถโดยห้ามออกจากบ้าน ห้ามเดินทางข้ามเมืองและงดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาทุกชนิด ขณะที่ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกรุงโตเกียว 47 คน เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรก ในท้องถิ่นหลังผู้ป่วยใหม่เป็นศูนย์ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม โดยผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลยอาจจะแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้
3. การดําเนินการตามมาตรการ
แผนการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศวันนี้ เวลา 07.10 น. มีคนไทยเดินทางกลับมาจากอินเดีย 191 คน จากสหราชอาณาจักร 250 คน และจากสิงคโปร์ 29 คน ในวันพรุ่งนี้ (16 มิถุนายน 63) เวลา 08.15 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ 161 คน จากญี่ปุ่น 192 คน จากอุซเบกิสถาน 44 คน และจากกาตาร์ 156 คน ในวันที่ 17 มิถุนายน มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ อินเดียและเนปาล วันที่ 18 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา 2 เที่ยวบิน วันที่ 19 มิถุนายน มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ แคนาดาและไต้หวัน วันที่ 20 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนีและเกาหลีใต้ วันที่ 21 มิถุนายน 5 เที่ยวบิน ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ยูเครน จีน และบาห์เรน และวันที่ 22 มิถุนายน 4 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย เนปาล และออสเตรีย/ฮังการี สําหรับรายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกเดินทางจากมาเลเซีย 187 คน สปป.ลาว 6 คน และกัมพูชา 5 คน รวม 198 คน
สรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 189,946 ร้าน ผู้ใช้งาน 26,871,479 คน ผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ 26,668,582 คน ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ 202,897 คน และจํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 308,447 ครั้ง
ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ยังเชิญชวนให้ใช้ “ไทยชนะ” นอกเหนือจาก 5 มาตรการด้านสุขอนามัยแล้ว เพื่อควบคุมและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย
----------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
โฆษก ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 0 ต่อเนื่อง 21 วัน เชิญชวนใช้ “ไทยชนะ” เป็นอีกหนึ่งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
วันนี้ (15 มิถุนายน 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 0 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,135 ราย อยู่สถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ 198 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,987 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 58 ราย ยังมีรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 90 ราย จําแนกตามประเภทผู้ป่วยที่มีประวัติติดเชื้อจากต่างประเทศ 691 รายจากจํานวนผู้ป่วยทั้งหมด 3,135 ราย โดยอันดับ 1 คือ คนไทยที่เดินทางกลับมาจาก ประเทศคูเวต ผู้ป่วยยืนยัน 34 ราย จากที่มีคนไทยกลับมาสะสม 174 ราย อันดับ 2 ได้แก่ อินโดนีเซีย ผู้ป่วยยืนยัน 65 รายจากคนไทยกลับมาสะสม 648 ราย และอันดับ 3 ปากีสถาน ผู้ป่วยยืนยัน 13 รายจากคนไทยกลับมาสะสม 196 ราย รวมทั้ง ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และมาเลเซีย ตามลําดับ ซึ่ง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบผู้ป่วยภายในประเทศ พร้อมขอขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคนที่พยายามผ่านช่วงเวลาที่ยากลําบากมาด้วยกัน
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,988,615 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 127,863 ราย จํานวนผู้ที่หายแล้ว 4,107,520 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.4 และจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 435,446 ราย คิดเป็นร้อยละ 5.5 โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองมาคือบราซิล รัสเซียและอินเดียตามลําดับ ปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 88 ของโลก
ประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ การระบาดระลอกใหม่ในปักกิ่งพบว่ามีการยืนยันผู้ป่วยรายใหม่ 57 ราย สูงสุดในรอบ 2 เดือน โดยพบผู้ติดเชื้อในกรุงปักกิ่ง 36 คนเชื่อมโยงกับตลาดค้าส่ง “ซินฟาตี้” โดยพบเชื้อไวรัสโควิด-19 บนเขียงปลาแซลมอน ส่งผลให้ปิดตลาดซินฟาตี้อย่างไม่มีกําหนดและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดซินฟาตี้ประมาณ 10,000 ราย ต้องตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ปักกิ่งยังระงับแผนการเปิดการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถม 1-3 และล็อกดาวน์ปิดพื้นที่ชุมชนที่พักอาศัยจํานวน 11 แห่งในเขตเฟิงไถโดยห้ามออกจากบ้าน ห้ามเดินทางข้ามเมืองและงดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาทุกชนิด ขณะที่ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกรุงโตเกียว 47 คน เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรก ในท้องถิ่นหลังผู้ป่วยใหม่เป็นศูนย์ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม โดยผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลยอาจจะแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้
3. การดําเนินการตามมาตรการ
แผนการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศวันนี้ เวลา 07.10 น. มีคนไทยเดินทางกลับมาจากอินเดีย 191 คน จากสหราชอาณาจักร 250 คน และจากสิงคโปร์ 29 คน ในวันพรุ่งนี้ (16 มิถุนายน 63) เวลา 08.15 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ 161 คน จากญี่ปุ่น 192 คน จากอุซเบกิสถาน 44 คน และจากกาตาร์ 156 คน ในวันที่ 17 มิถุนายน มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ อินเดียและเนปาล วันที่ 18 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา 2 เที่ยวบิน วันที่ 19 มิถุนายน มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ แคนาดาและไต้หวัน วันที่ 20 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนีและเกาหลีใต้ วันที่ 21 มิถุนายน 5 เที่ยวบิน ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ยูเครน จีน และบาห์เรน และวันที่ 22 มิถุนายน 4 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย เนปาล และออสเตรีย/ฮังการี สําหรับรายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกเดินทางจากมาเลเซีย 187 คน สปป.ลาว 6 คน และกัมพูชา 5 คน รวม 198 คน
สรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 189,946 ร้าน ผู้ใช้งาน 26,871,479 คน ผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ 26,668,582 คน ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ 202,897 คน และจํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 308,447 ครั้ง
ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ยังเชิญชวนให้ใช้ “ไทยชนะ” นอกเหนือจาก 5 มาตรการด้านสุขอนามัยแล้ว เพื่อควบคุมและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย
----------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับฟังภาพรวมการศึกษาเชียงใหม่
|
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
รับฟังภาพรวมการศึกษาเชียงใหม่
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและหารือถึงการจัดการศึกษาภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและหารือถึงการจัดการศึกษาภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่กับศึกษาธการภาค 15 ศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึษา เขต 34 และผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1-6 ณ ห้องประชุมโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการหารือว่า ได้รับฟังสภาพการศึกษาและการจัดการศึกษาภาพรวมในปัจจุบันของสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนําไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาใน 2 เรื่องที่สําคัญ คือ การลดความซ้ําซ้อน และเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ทั้งคุณภาพของโรงเรียน ครู และนักเรียน
ซึ่งแน่นอนว่า สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่มีบริบทของการจัดการศึกษาที่แตกต่างกัน และแต่ละบริบทก็ต้องได้รับการสนับสนุนที่มีระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันด้วย อาทิ โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลต้องได้รับการสนับสนุนในหลายมิติจึงจะเพิ่มคุณภาพอย่างเห็นผลได้ชัด เรื่องของอาหารกลางวัน หรือแม้กระทั่งเรื่องของครูในโรงเรียนบนเขาสูงหรือในเกาะแก่ง ที่มีครูไม่ครบชั้น เป็นต้น ดังนั้นเรื่องของสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมทั่วถึงทุกโรงเรียน เป็นปัจจัยสําคัญที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา และเป็นการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อผลิตกําลังคนที่มีคุณภาพไปช่วยพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล
ในส่วนของครู จะต้องได้รับการพัฒนาความสามารถการสอนขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าครูคนนั้นจะอยู่ในพื้นที่ใด จะต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ ก็ตาม หนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงความรู้ ก็คือการนําเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการเรียนการสอนและอบรมพัฒนาครู แบบ Two way communication ทั้งการใช้เทคโนโลยี Voice to text (เปลี่ยนเสียงเป็นข้อความ พร้อมจําแนกข้อมูล) การพูดคุยสดผ่าน youtube เป็นต้น เพื่อลดภาระ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของครู รวมไปถึงการเพิ่มสวัสดิการครู เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้กับครูที่พัฒนาตนเอง หากครูมีคุณภาพสูงขึ้นก็ควรได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขอฝากผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ บริหารจัดการสถานศึกษาโดยคํานึงถึงคุณภาพเป็นสําคัญ และหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือร่วมใจกัน ทํางานร่วมกัน เพื่อเด็ก ๆ และประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับฟังภาพรวมการศึกษาเชียงใหม่
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
รับฟังภาพรวมการศึกษาเชียงใหม่
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและหารือถึงการจัดการศึกษาภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและหารือถึงการจัดการศึกษาภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่กับศึกษาธการภาค 15 ศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึษา เขต 34 และผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1-6 ณ ห้องประชุมโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการหารือว่า ได้รับฟังสภาพการศึกษาและการจัดการศึกษาภาพรวมในปัจจุบันของสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนําไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาใน 2 เรื่องที่สําคัญ คือ การลดความซ้ําซ้อน และเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ทั้งคุณภาพของโรงเรียน ครู และนักเรียน
ซึ่งแน่นอนว่า สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่มีบริบทของการจัดการศึกษาที่แตกต่างกัน และแต่ละบริบทก็ต้องได้รับการสนับสนุนที่มีระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันด้วย อาทิ โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลต้องได้รับการสนับสนุนในหลายมิติจึงจะเพิ่มคุณภาพอย่างเห็นผลได้ชัด เรื่องของอาหารกลางวัน หรือแม้กระทั่งเรื่องของครูในโรงเรียนบนเขาสูงหรือในเกาะแก่ง ที่มีครูไม่ครบชั้น เป็นต้น ดังนั้นเรื่องของสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมทั่วถึงทุกโรงเรียน เป็นปัจจัยสําคัญที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา และเป็นการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อผลิตกําลังคนที่มีคุณภาพไปช่วยพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล
ในส่วนของครู จะต้องได้รับการพัฒนาความสามารถการสอนขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าครูคนนั้นจะอยู่ในพื้นที่ใด จะต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ ก็ตาม หนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงความรู้ ก็คือการนําเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการเรียนการสอนและอบรมพัฒนาครู แบบ Two way communication ทั้งการใช้เทคโนโลยี Voice to text (เปลี่ยนเสียงเป็นข้อความ พร้อมจําแนกข้อมูล) การพูดคุยสดผ่าน youtube เป็นต้น เพื่อลดภาระ ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของครู รวมไปถึงการเพิ่มสวัสดิการครู เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้กับครูที่พัฒนาตนเอง หากครูมีคุณภาพสูงขึ้นก็ควรได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขอฝากผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ บริหารจัดการสถานศึกษาโดยคํานึงถึงคุณภาพเป็นสําคัญ และหวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือร่วมใจกัน ทํางานร่วมกัน เพื่อเด็ก ๆ และประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22038
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลำพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลำพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลําพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลําพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่ จ.อ่างทอง
วันนี้ (23 ส.ค.61) เวลา 08.30 น. นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 114/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อายุ 3 ขวบ , 1 ขวบ และ 1 เดือน ซึ่งทําให้ต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง เพื่ออยู่ดูแลน้องๆ เนื่องจากผู้เป็นพ่อต้องไปทํางานรับจ้าง ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ทําให้ทั้ง 4 ชีวิต ต้องอาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (พมจ.เพชรบูรณ์) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กที่กําลังศึกษาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมถึงให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม และการลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมให้ความช่วยเหลือดูแลและคุ้มครอง สวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546
อีกกรณีหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง อาศัย เพื่อนบ้านช่วยดูแลและแบ่งปันอาหารให้กินประทังชีวิต ที่จังหวัดอ่างทอง นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์จังหวัดอ่างทอง (พมจ.อ่างทอง) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมิน ทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของคนพิการ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม อีกทั้งให้คําแนะนําเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีหญิงรายหนึ่งรับภาระดูแลสามี อดีตเป็นอาสาสมัคร อปพร. ประสบอุบัติเหตุแก๊สรั่ว ได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องดูแลลูกชายที่ป่วยเป็นเชื้อราขึ้นสมอง ที่จังหวัดระนอง นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย มอบถุงยังชีพ ดําเนินการทําบัตรคนพิการ จัดรถรับ-ส่งไปรักษาพยาบาล จัดหางานให้กับภรรยา พร้อมหารือแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาว และ 2) กรณีหญิงรายหนึ่ง รับภาระดูแลลูกชายวัย 3 ขวบ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกน้ํามันเดือดราดทั้งตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกอีก 4 คน และกําลังตั้งครรภ์ 6 เดือน ที่จังหวัดยะลา นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลัง พร้อมให้ค้ําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการลงทะเบียนโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมหารือแนวทางให้ความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้ประสบปัญหากรณีฉุกเฉิน อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําการเลี้ยงดูบุตรของแม่เลี้ยงเดี่ยว และแนะนําส่งเสริมด้านอาชีพ
ทั้งนี้ หากประชาชนที่ประสบปัญหา และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทางกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามภารกิจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลำพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลำพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลําพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่
พม. เร่งช่วยเหลือเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อาศัยอยู่กันตามลําพัง ที่ จ.เพชรบูรณ์ และหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าใกล้ผุพัง ที่ จ.อ่างทอง
วันนี้ (23 ส.ค.61) เวลา 08.30 น. นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 114/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 ต้องรับภาระดูแลน้องอีก 3 คน อายุ 3 ขวบ , 1 ขวบ และ 1 เดือน ซึ่งทําให้ต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง เพื่ออยู่ดูแลน้องๆ เนื่องจากผู้เป็นพ่อต้องไปทํางานรับจ้าง ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ทําให้ทั้ง 4 ชีวิต ต้องอาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ (พมจ.เพชรบูรณ์) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กที่กําลังศึกษาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมถึงให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม และการลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมให้ความช่วยเหลือดูแลและคุ้มครอง สวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546
อีกกรณีหญิงวัย 42 ปี พิการขาด้วนและตาบอด อาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง อาศัย เพื่อนบ้านช่วยดูแลและแบ่งปันอาหารให้กินประทังชีวิต ที่จังหวัดอ่างทอง นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์จังหวัดอ่างทอง (พมจ.อ่างทอง) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมิน ทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของคนพิการ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม อีกทั้งให้คําแนะนําเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีหญิงรายหนึ่งรับภาระดูแลสามี อดีตเป็นอาสาสมัคร อปพร. ประสบอุบัติเหตุแก๊สรั่ว ได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องดูแลลูกชายที่ป่วยเป็นเชื้อราขึ้นสมอง ที่จังหวัดระนอง นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย มอบถุงยังชีพ ดําเนินการทําบัตรคนพิการ จัดรถรับ-ส่งไปรักษาพยาบาล จัดหางานให้กับภรรยา พร้อมหารือแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาว และ 2) กรณีหญิงรายหนึ่ง รับภาระดูแลลูกชายวัย 3 ขวบ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกน้ํามันเดือดราดทั้งตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกอีก 4 คน และกําลังตั้งครรภ์ 6 เดือน ที่จังหวัดยะลา นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลัง พร้อมให้ค้ําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการลงทะเบียนโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมหารือแนวทางให้ความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้ประสบปัญหากรณีฉุกเฉิน อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําการเลี้ยงดูบุตรของแม่เลี้ยงเดี่ยว และแนะนําส่งเสริมด้านอาชีพ
ทั้งนี้ หากประชาชนที่ประสบปัญหา และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทางกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามภารกิจ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14854
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผชท.เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคำนับ ปล.กห.
|
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
ผชท.เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ ปล.กห.
เมื่อ 13 ม.ค.63, เวลา 1030 น.อ.คริส สมิท (Chris Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้นํา พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ในโอกาสแนะนําตัวเข้ารับตําแหน่งใหม่
เมื่อ 13 ม.ค.63, เวลา 1030 น.อ.คริส สมิท (Chris Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้นํา พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ในโอกาสแนะนําตัวเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ. ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย รวมทั้งชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง กห.ไทย กับ กห.ออสเตรเลีย และได้แสดงความยินดีในโอกาสที่ไปรับตําแหน่ง ผชท.ทหาร อต./กรุงโซล (กลต.) อีก ทั้งยังได้แสดงความห่วงใยและกังวลไปยังสถานการณ์ไฟป่าในออสเตรเลีย ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในรัฐโดยเฉพาะรัฐนิวเซาท์เวลส์
น.อ.คริส สมิท (Chirs Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้กล่าวขอบคุณและกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างแน่นแฟ้นและได้แนะนํา พ.อ.Stephen Fomiatti ผชท.ทหาร อต./ไทย ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่
พล.อ.ณัฐ ได้แสดงความยินดีและกล่าวต้อนรับ พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย ท่านใหม่ที่จะเข้ารับหน้าที่และอวยพรให้ประสบผลสําเร็จลุล่วงในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทั้งสองประเทศพร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่วมกันในการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผชท.เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคำนับ ปล.กห.
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
ผชท.เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ ปล.กห.
เมื่อ 13 ม.ค.63, เวลา 1030 น.อ.คริส สมิท (Chris Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้นํา พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ในโอกาสแนะนําตัวเข้ารับตําแหน่งใหม่
เมื่อ 13 ม.ค.63, เวลา 1030 น.อ.คริส สมิท (Chris Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้นํา พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ในโอกาสแนะนําตัวเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ. ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย รวมทั้งชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง กห.ไทย กับ กห.ออสเตรเลีย และได้แสดงความยินดีในโอกาสที่ไปรับตําแหน่ง ผชท.ทหาร อต./กรุงโซล (กลต.) อีก ทั้งยังได้แสดงความห่วงใยและกังวลไปยังสถานการณ์ไฟป่าในออสเตรเลีย ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในรัฐโดยเฉพาะรัฐนิวเซาท์เวลส์
น.อ.คริส สมิท (Chirs Smith) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย/ไทย ได้กล่าวขอบคุณและกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างแน่นแฟ้นและได้แนะนํา พ.อ.Stephen Fomiatti ผชท.ทหาร อต./ไทย ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่
พล.อ.ณัฐ ได้แสดงความยินดีและกล่าวต้อนรับ พ.อ.สตีเฟน ฟอมิดาที (Stephen Fomiatti) ผชท.ทหาร เครือรัฐออสเตรเลีย ท่านใหม่ที่จะเข้ารับหน้าที่และอวยพรให้ประสบผลสําเร็จลุล่วงในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทั้งสองประเทศพร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่วมกันในการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 ประเทศลุ่มน้ำโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ
|
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
6 ประเทศลุ่มน้ําโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ
6 ประเทศลุ่มน้ําโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ หวังผนึกกําลังเป็นแหล่งผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลก เตรียมเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีเกษตร GMS ก.ย. นี้ ณ ประเทศกัมพูชา
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มประเทศภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง 6 ประเทศ (GMS)หรือประเทศหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะขยายการเข้าถึงตลาดสําหรับผลิตภัณฑ์เกษตรที่ปลอดภัยและมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในตลาดโลก เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศGMSมีความพร้อมที่จะเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยและมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งได้เปรียบในการเป็นแหล่งผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก และมีความได้เปรียบในเชิงแข่งขันในสินค้าหลายชนิด
“ล่าสุด ได้มีการจัดประชุมสําหรับจัดทําร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าฯ ร่วมกัน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง จากผู้แทนจากประเทศสมาชิกGMSโดยจะเสนอร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีเกษตรอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS Agriculture Minister Meeting)พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในเดือนกันยายน 2560 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1) นโยบายและกฎระเบียบ เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการผลิต การค้า และการลงทุนในห่วงโซ่คุณค่าฯ 2) โครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งสําหรับห่วงโซ่คุณค่าฯ แบบบูรณาการทั้งภูมิภาค 3) ระบบการแลกเปลี่ยนและการเผยแพร่นวัตกรรมเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าฯ และ 4) การพัฒนาตราสินค้าและช่องทางการตลาดเพื่อส่งเสริมให้GMSเป็นผู้นําของโลกในห่วงโซ่คุณค่าฯ” นายระพีภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้ ร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะทําให้ประเทศสมาชิกGMSมีแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าฯ ของอนุภาคที่ชัดเจน ตั้งแต่การผลิตจากแหล่งผลิตต่าง ๆ การแปรรูป การตลาด การจัดจําหน่ายสู่ผู้บริโภค ทั้งตลาดภายในประเทศ ตลาดภายในภูมิภาค และตลาดโลก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงตลาดของสินค้าดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศหรือนุภาค ควรพัฒนาด้านใดเพิ่มเติม เพื่อให้ประเทศGMSเป็นผู้นําในการผลิตสินค้าด้านนี้และทําให้ห่วงโซ่คุณค่าฯ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค ประเทศอนุภาคและภูมิภาค ทั้งนี้ หากร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้วเสร็จ และมีการรับรองแล้ว คาดว่าจะมีแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ที่สนใจเข้าร่วมลงทุนด้วยงบประมาณมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 ประเทศลุ่มน้ำโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
6 ประเทศลุ่มน้ําโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ
6 ประเทศลุ่มน้ําโขง ร่วมถกร่างแผนยุทธ์ศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยฯ หวังผนึกกําลังเป็นแหล่งผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลก เตรียมเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีเกษตร GMS ก.ย. นี้ ณ ประเทศกัมพูชา
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มประเทศภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง 6 ประเทศ (GMS)หรือประเทศหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะขยายการเข้าถึงตลาดสําหรับผลิตภัณฑ์เกษตรที่ปลอดภัยและมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในตลาดโลก เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศGMSมีความพร้อมที่จะเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยและมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งได้เปรียบในการเป็นแหล่งผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก และมีความได้เปรียบในเชิงแข่งขันในสินค้าหลายชนิด
“ล่าสุด ได้มีการจัดประชุมสําหรับจัดทําร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าฯ ร่วมกัน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง จากผู้แทนจากประเทศสมาชิกGMSโดยจะเสนอร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีเกษตรอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS Agriculture Minister Meeting)พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในเดือนกันยายน 2560 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1) นโยบายและกฎระเบียบ เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการผลิต การค้า และการลงทุนในห่วงโซ่คุณค่าฯ 2) โครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งสําหรับห่วงโซ่คุณค่าฯ แบบบูรณาการทั้งภูมิภาค 3) ระบบการแลกเปลี่ยนและการเผยแพร่นวัตกรรมเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าฯ และ 4) การพัฒนาตราสินค้าและช่องทางการตลาดเพื่อส่งเสริมให้GMSเป็นผู้นําของโลกในห่วงโซ่คุณค่าฯ” นายระพีภัทร์ กล่าว
ทั้งนี้ ร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะทําให้ประเทศสมาชิกGMSมีแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าฯ ของอนุภาคที่ชัดเจน ตั้งแต่การผลิตจากแหล่งผลิตต่าง ๆ การแปรรูป การตลาด การจัดจําหน่ายสู่ผู้บริโภค ทั้งตลาดภายในประเทศ ตลาดภายในภูมิภาค และตลาดโลก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงตลาดของสินค้าดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศหรือนุภาค ควรพัฒนาด้านใดเพิ่มเติม เพื่อให้ประเทศGMSเป็นผู้นําในการผลิตสินค้าด้านนี้และทําให้ห่วงโซ่คุณค่าฯ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค ประเทศอนุภาคและภูมิภาค ทั้งนี้ หากร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้วเสร็จ และมีการรับรองแล้ว คาดว่าจะมีแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ที่สนใจเข้าร่วมลงทุนด้วยงบประมาณมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3627
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ. เตือนประชาชนถูกงูกัดห้ามดูดแผล รีบพบแพทย์
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
โฆษกสธ. เตือนประชาชนถูกงูกัดห้ามดูดแผล รีบพบแพทย์
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนถูกงูกัด ห้ามดูดแผล กรีดแผลเพื่อพอกยา เพราะจะทําให้แผลสกปรก ติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ําสะอาดและไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นําซากงูที่กัดไปด้วยหากมี เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนถูกงูกัด ห้ามดูดแผล กรีดแผลเพื่อพอกยาเพราะจะทําให้แผลสกปรก ติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ําสะอาดและไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นําซากงูที่กัดไปด้วยหากมี เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ เป็นช่วงหน้าฝน บางพื้นที่มีน้ําท่วมขัง ประชาชนอาจได้รับอันตรายจากการถูกสัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ แมงป่อง โดยเฉพาะงู ที่หนีน้ํามาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านกัดได้ จึงขอให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รก มีหญ้าสูง ที่น่าห่วงคือยังมีประชาชนบางส่วนเข้าใจผิด บางส่วนอาจจดจําจากละครว่า หากถูกงูกัดให้ดูดแผลเพื่อเอาเลือดที่มีพิษงูออกจากแผลหรือกรีดแผลแล้วพอกยา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจะทําให้แผลสกปรก เกิดการติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ วิธีที่ถูกต้องคือ ต้องล้างแผลด้วยน้ําสะอาดเคลื่อนไหวขาหรือแขนที่ถูกกัดน้อยที่สุด โดยใช้ไม้กระดาน กระดาษแข็งๆ รองดามไว้ รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หากทําได้ขอนําซากงูที่กัดไปด้วย เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
สําหรับการขันชะเนาะ โดยใช้ผ้าหรือเชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกงูกัดให้แน่นพอสอดนิ้วได้ แล้วคลายออกทุก15นาที ช่วยลดปริมาณพิษงูแผ่ซ่านได้เพียงเล็กน้อย อาจได้ประโยชน์บ้างในกรณีที่เป็นงูพิษที่มีผลต่อระบบประสาท และไม่สามารถไปพบบุคลากรทางการแพทย์ได้ในเวลาอันสั้น แต่โดยทั่วไปไม่แนะนําให้ทํา เนื่องจากมักทําไม่ถูกวิธี รัดแน่นและนานเกินไป ทําให้เนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือด และยังห้ามทําในกรณีที่เป็นงูพิษต่อระบบเลือด เพราะจะทําให้มีการบวมและเลือดออกบริเวณแผลมากขึ้นจากข้อมูลสํานักระบาดวิทยา ในปี 2558 มีรายงานผู้ถูกงูกัด 4,618 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต พบมากในช่วงปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้ป่วยสูงสุดในเดือนตุลาคม
ทั้งนี้ หากถูกงูกัด สามารถสังเกตว่าเป็นงูพิษหรือไม่ โดยดูจาก1.รอยเขี้ยว มี2ข้าง และมีอาการบวมแดงรอบ ๆ รอยกัดบางครั้งอาจเห็นเพียงรอยเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกกัดบริเวณปลายมือปลายเท้า หรือบางครั้งอาจเห็นมากกว่า 2รอยในกรณีที่ถูกกัดมากกว่า1ครั้ง2.อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง3.คลื่นไส้อาเจียน4.หายใจติดขัด หากรุนแรงอาจหยุดหายใจได้5.สายตาขุ่นมัว6.มีน้ําลายมากผิดปกติ และ7.หน้าชาไม่รู้สึกหรือชาตามแขนขา โดยพิษนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของงู เช่นงูเห่างูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อระบบประสาท ทําให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหนังตาตก กลืนลําบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจ
************************************ 28สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ. เตือนประชาชนถูกงูกัดห้ามดูดแผล รีบพบแพทย์
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
โฆษกสธ. เตือนประชาชนถูกงูกัดห้ามดูดแผล รีบพบแพทย์
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนถูกงูกัด ห้ามดูดแผล กรีดแผลเพื่อพอกยา เพราะจะทําให้แผลสกปรก ติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ําสะอาดและไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นําซากงูที่กัดไปด้วยหากมี เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนถูกงูกัด ห้ามดูดแผล กรีดแผลเพื่อพอกยาเพราะจะทําให้แผลสกปรก ติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ําสะอาดและไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นําซากงูที่กัดไปด้วยหากมี เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ เป็นช่วงหน้าฝน บางพื้นที่มีน้ําท่วมขัง ประชาชนอาจได้รับอันตรายจากการถูกสัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ แมงป่อง โดยเฉพาะงู ที่หนีน้ํามาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านกัดได้ จึงขอให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รก มีหญ้าสูง ที่น่าห่วงคือยังมีประชาชนบางส่วนเข้าใจผิด บางส่วนอาจจดจําจากละครว่า หากถูกงูกัดให้ดูดแผลเพื่อเอาเลือดที่มีพิษงูออกจากแผลหรือกรีดแผลแล้วพอกยา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจะทําให้แผลสกปรก เกิดการติดเชื้อ และอาจเป็นบาดทะยักได้ วิธีที่ถูกต้องคือ ต้องล้างแผลด้วยน้ําสะอาดเคลื่อนไหวขาหรือแขนที่ถูกกัดน้อยที่สุด โดยใช้ไม้กระดาน กระดาษแข็งๆ รองดามไว้ รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หากทําได้ขอนําซากงูที่กัดไปด้วย เพื่อให้การรักษาถูกต้อง รวดเร็ว
สําหรับการขันชะเนาะ โดยใช้ผ้าหรือเชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกงูกัดให้แน่นพอสอดนิ้วได้ แล้วคลายออกทุก15นาที ช่วยลดปริมาณพิษงูแผ่ซ่านได้เพียงเล็กน้อย อาจได้ประโยชน์บ้างในกรณีที่เป็นงูพิษที่มีผลต่อระบบประสาท และไม่สามารถไปพบบุคลากรทางการแพทย์ได้ในเวลาอันสั้น แต่โดยทั่วไปไม่แนะนําให้ทํา เนื่องจากมักทําไม่ถูกวิธี รัดแน่นและนานเกินไป ทําให้เนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือด และยังห้ามทําในกรณีที่เป็นงูพิษต่อระบบเลือด เพราะจะทําให้มีการบวมและเลือดออกบริเวณแผลมากขึ้นจากข้อมูลสํานักระบาดวิทยา ในปี 2558 มีรายงานผู้ถูกงูกัด 4,618 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต พบมากในช่วงปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้ป่วยสูงสุดในเดือนตุลาคม
ทั้งนี้ หากถูกงูกัด สามารถสังเกตว่าเป็นงูพิษหรือไม่ โดยดูจาก1.รอยเขี้ยว มี2ข้าง และมีอาการบวมแดงรอบ ๆ รอยกัดบางครั้งอาจเห็นเพียงรอยเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกกัดบริเวณปลายมือปลายเท้า หรือบางครั้งอาจเห็นมากกว่า 2รอยในกรณีที่ถูกกัดมากกว่า1ครั้ง2.อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรง3.คลื่นไส้อาเจียน4.หายใจติดขัด หากรุนแรงอาจหยุดหายใจได้5.สายตาขุ่นมัว6.มีน้ําลายมากผิดปกติ และ7.หน้าชาไม่รู้สึกหรือชาตามแขนขา โดยพิษนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของงู เช่นงูเห่างูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อระบบประสาท ทําให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหนังตาตก กลืนลําบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจ
************************************ 28สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14960
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงกรณีสื่อนำเสนอข่าว การจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
|
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงกรณีสื่อนําเสนอข่าว การจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอข่าวการจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
วันที่ 6 มีนาคม 2561 นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ชี้แจงการจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง กรณีสํานักข่าวอิศรา นําเสนอข่าวว่าได้ตรวจสอบพบว่าในช่วงปีงบประมาณ 2557 –2559 หน่วยงานอย่างน้อย 2 แห่ง ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวอย่างน้อย 6 ครั้ง จากวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มพัฒนาอาชีพ จํานวน 1,637,500 ผืน ผืนละ 240 บาท รวมทั้งสิ้น 393 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเย็บผ้า อาทิ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มขวัญฤดีการค้า , วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสุนทรการค้า วิสาหกิจชุมชนกรกนกผ้าห่มบ้านโพธิ์ชัย วิสาหกิจชุมชนวิไลวรรณเครื่องนอน จ.สกลนคร เป็นต้น
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการขอชี้แจงประเด็น ดังนี้
- กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดซื้อผ้าห่มกันหนาวเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ยากจน หรืออยู่ในภาวะยากลําบากและสมควรให้ความช่วยเหลือให้ถูกต้องตรงกับสภาพปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชน โดยได้มีการสํารวจข้อมูลประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนบนพื้นที่สูง (ชาวเขา) และกลุ่มประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ซึ่งเป็นการใช้เงินงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552
โดยในการจัดซื้อผ้าห่มกันหนาวจากกลุ่มอาชีพ/กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อจะสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดรายได้แก่กลุ่มอาชีพในหมู่บ้าน–ตําบลอย่างแท้จริงและทั่วถึง โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่างๆ ในหมู่บ้าน-ตําบล ให้ดําเนินการโดยวิธีกรณีพิเศษ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกรมฯ ได้ดําเนินการจัดซื้อผ้าห่มกันหนาวด้วยวิธีกรณีพิเศษ ตามข้อ 26 ข้อ 59 และข้อ 67 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอธิบดีมีอํานาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จํากัดวงเงิน
- กรมฯ ได้กําหนดคุณลักษณะของผ้าห่มนวมกันหนาวโดยอ้างอิงกับคุณลักษณะเดียวกันกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดไว้ตามประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556 เรื่องรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะและกําหนดราคากลางสิ่งของสํารองจ่าย พ.ศ. 2556 โดยมีการกําหนดเพิ่มในส่วนของขนาดและน้ําหนักของผ้าห่มนวมกันหนาว ซึ่งอยู่ในราคาเดียวกันกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จัดซื้อ (ราคาผืนละไม่เกิน 240 บาท) และในการดําเนินการสั่งซื้อสั่งจ้าง กรมฯได้จัดซื้อกับกลุ่มอาชีพที่อยู่ในพื้นที่ตามนัยแห่งหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/ว 50 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 แจ้งว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เห็นชอบในหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มอาชีพต่างๆ ในหมู่บ้าน-ตําบล ในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์ไว้ใช้ในราชการ โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่างๆในหมู่บ้าน-ตําบล ให้ดําเนินการโดยวิธีกรณีพิเศษตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
--------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงกรณีสื่อนำเสนอข่าว การจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงกรณีสื่อนําเสนอข่าว การจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอข่าวการจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง
วันที่ 6 มีนาคม 2561 นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ชี้แจงการจัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวราคาสูง กรณีสํานักข่าวอิศรา นําเสนอข่าวว่าได้ตรวจสอบพบว่าในช่วงปีงบประมาณ 2557 –2559 หน่วยงานอย่างน้อย 2 แห่ง ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดซื้อผ้าห่มนวมกันหนาวอย่างน้อย 6 ครั้ง จากวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มพัฒนาอาชีพ จํานวน 1,637,500 ผืน ผืนละ 240 บาท รวมทั้งสิ้น 393 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเย็บผ้า อาทิ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มขวัญฤดีการค้า , วิสาหกิจชุมชนกลุ่มสุนทรการค้า วิสาหกิจชุมชนกรกนกผ้าห่มบ้านโพธิ์ชัย วิสาหกิจชุมชนวิไลวรรณเครื่องนอน จ.สกลนคร เป็นต้น
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการขอชี้แจงประเด็น ดังนี้
- กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดซื้อผ้าห่มกันหนาวเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ยากจน หรืออยู่ในภาวะยากลําบากและสมควรให้ความช่วยเหลือให้ถูกต้องตรงกับสภาพปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชน โดยได้มีการสํารวจข้อมูลประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนบนพื้นที่สูง (ชาวเขา) และกลุ่มประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ซึ่งเป็นการใช้เงินงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2552
โดยในการจัดซื้อผ้าห่มกันหนาวจากกลุ่มอาชีพ/กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อจะสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดรายได้แก่กลุ่มอาชีพในหมู่บ้าน–ตําบลอย่างแท้จริงและทั่วถึง โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่างๆ ในหมู่บ้าน-ตําบล ให้ดําเนินการโดยวิธีกรณีพิเศษ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกรมฯ ได้ดําเนินการจัดซื้อผ้าห่มกันหนาวด้วยวิธีกรณีพิเศษ ตามข้อ 26 ข้อ 59 และข้อ 67 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอธิบดีมีอํานาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จํากัดวงเงิน
- กรมฯ ได้กําหนดคุณลักษณะของผ้าห่มนวมกันหนาวโดยอ้างอิงกับคุณลักษณะเดียวกันกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดไว้ตามประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556 เรื่องรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะและกําหนดราคากลางสิ่งของสํารองจ่าย พ.ศ. 2556 โดยมีการกําหนดเพิ่มในส่วนของขนาดและน้ําหนักของผ้าห่มนวมกันหนาว ซึ่งอยู่ในราคาเดียวกันกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จัดซื้อ (ราคาผืนละไม่เกิน 240 บาท) และในการดําเนินการสั่งซื้อสั่งจ้าง กรมฯได้จัดซื้อกับกลุ่มอาชีพที่อยู่ในพื้นที่ตามนัยแห่งหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/ว 50 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 แจ้งว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เห็นชอบในหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มอาชีพต่างๆ ในหมู่บ้าน-ตําบล ในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์ไว้ใช้ในราชการ โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่างๆในหมู่บ้าน-ตําบล ให้ดําเนินการโดยวิธีกรณีพิเศษตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
--------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10656
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทำงบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกําชับจัดทํางบประมาณครอบคลุมทุกมิติ และเน้นพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
วันนี้ (16 ส.ค.60) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาและมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้ง เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายของรัฐบาล และแนวทางจัดทํางบประมาณตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2562 อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมประมาณ 1,600 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชั้น 1อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี
การประชุมครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค.60) มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยตามปฏิทินงบประมาณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบนโยบายในการจัดทํางบประมาณฯ เพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้ง จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนและจัดทําคําขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่มีการบูรณาการใน 3 มิติ ได้แก่ มิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) มิติบูรณาการ (Agenda) และมิติพื้นที่ (Area) รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายสําคัญของรัฐบาล และแผนแม่บทอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สามารถขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในระดับภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบังเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และมีการจัดสรรงบประมาณที่มีการบูรณาการงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพื้นที่ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดกระบวนการวางแผนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคที่มีความสอดคล้องกัน
สําหรับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างการเติบโตจากภายใน ด้านการจัดการน้ําและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ส่วนรายการค่าดําเนินการภาครัฐ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ รายการเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น และการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ
ส่วนยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีจํานวน 6 ภาค ได้แก่ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน ซึ่งแต่ละภาคจะนํายุทธศาสตร์ที่ 9 การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มาเป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาพื้นที่และได้กําหนดยุทธศาสตร์ชี้นําเพิ่มเติม ทั้งในมิติบูรณาการ (Agenda) และมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอจัดสรรงบประมาณลงในภาค/พื้นที่อย่างเหมาะสมาต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายการเตรียมการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยเน้นให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ จะต้องมีการบริหารจัดการและใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของการพัฒนาประเทศ โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศภายใต้พลังประชาชนในรูปแบบประชารัฐ เพื่อไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่กําหนดไว้คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และทําให้ประเทศไทยสามารถยืนอยู่บนสังคมประชาคมโลกในจุดที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยรัฐบาลได้น้อมนําแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปฏิบัติ รวมทั้งการทํางานภายใต้กรอบกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายสําคัญของรัฐบาล และแผนแม่บทอื่น ๆ โดยได้มีการแต่ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ และจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ประเทศที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับวาระการพัฒนาในระดับโลก ให้ประเทศไทยมีเกียรติภูมิ ยืนอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีในเวทีและสังคมโลก เช่น การเร่งรัดแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ที่รัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขและพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ รวมถึงการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ของ UNDP ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้องค์การสหประชาชาติ กําหนดวาระการพัฒนาในระดับโลก 17 ข้อ ตั้งแต่การขจัดความยากจน ความหิวโหย การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การศึกษาที่เท่าเทียม ไปจนถึง สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก และความร่วมมือพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการมุ่งไปสู่ประเทศพัฒนานั้น ไม่ใช่มีเพียงยุทธศาสตร์การพัฒนาในกรอบระยะเวลาต่าง ๆ จะสําเร็จได้ แต่ประเทศจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป รัฐบาลจึงพยายามให้ทุกภาคส่วนปรับจากประเทศไทย 2.0 ในปัจจุบัน ที่ลงแรงมากแต่ได้ผลลัพธ์น้อย ไปสู่ประเทศไทย 3.0 และประเทศไทย 4.0 ในที่สุด ให้ใช้เครื่องมือและเครื่องทุนแรงที่มีเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เพื่อทําให้ลงแรงน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น เพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวทันกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงระบบงบประมาณว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขอให้สํานักงบประมาณปรับปรุงในเชิงโครงสร้างควบคู่กับส่งเสริมให้มีการบูรณาการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้แผนงานบูรณาการ และให้จําแนกงบประมาณเป็น 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มงบกลาง กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ กลุ่มงบประมาณรายจ่ายกระทรวง/หน่วยงาน กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ กลุ่มงบประมาณรายจ่ายพื้นที่ และงบประมาณรายจ่ายบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ เพื่อให้สะท้อนค่าใช้จ่ายที่มีลักษณะต้องจ่ายเป็นประจํา และค่าใช้จ่ายที่มาจากภารกิจในเชิงยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักถึงจุดอ่อนของการบริหารจัดการภาครัฐของไทย คือ ขาดการบูรณาการในมิติต่าง ๆ จึงได้ส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการตามวาระการพัฒนาที่สําคัญต่างๆ และมีการบูรณาการตามมิติพื้นที่ แต่ทั้งสองมิติยังไม่เชื่อมโยงอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น การจัดทํางบประมาณจากนี้ไป ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ต้องเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่กับเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์และวาระสําคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้มองการพัฒนาพื้นที่ในระดับภาคเป็นกรอบในการเชื่อมโยงและบูรณาการภารกิจของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณลงไปในพื้นที่ต้องคํานึงและพิจารณาถึงศักยภาพและขีดความสามารถของแต่ละภาคประกอบการดําเนินการ ทั้งเรื่องของคน วัตถุดิบ อัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ฯลฯ เพื่อให้พื้นที่ระดับภาคมีการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน ประชาชนมีรายสูงขึ้น และเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม นําไปสู่การพัฒนาพื้นที่ระดับภาคอย่างยั่งยืน โดยปฏิทินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สิ่งที่มีความพิเศษอย่างชัดเจน คือ กระบวนการงบประมาณของปีงบประมาณ 2562 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จากเดิมที่เริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน และภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้จะต้องมีการทําแผนพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าแต่ละภาค จังหวัด ต้องพัฒนาไปในทิศทางใด เพื่อภาพรวมของประเทศไทยมีการพัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี รวมทั้งแผนพัฒนาฯ และแผนอื่น ๆ ที่วางไว้ เมื่อได้ภาพระดับภาค จังหวัดแล้ว ในเดือนตุลาคมจึงทํากระบวนการบูรณาการงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์
สําหรับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเป็นจุดเริ่มให้เกิดกระบวนการวางแผนระดับพื้นที่ ในส่วนภาคแรกของยุทธศาสตร์จัดสรรฯ ซึ่งมีการนําเนื้อหาของแผนพัฒนาภาค ตามแผนฯ 12 มาบรรจุไว้ ส่วนที่สองจะเป็นยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณพื้นที่ระดับภาค เปรียบเสมือนประเด็นชี้นําให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้ง จังหวัด และ อปท. นําไปพิจารณาประกอบการจัดทําแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงาน แผนบูรณาการ แผนยุทธศาสตร์ และคําของบประมาณ ซึ่งการทําในลักษณะนี้ถือเป็นปีแรก จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ นําไปคิดต่อว่าในแต่ละพื้นที่ทั้งในระดับภาค และระดับจังหวัด แต่ละหน่วยงานจะวางภารกิจของตนเองอย่างไร ให้ตอบสนองทั้งมิติ function agenda และ area
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้หน่วยงานต่างๆ ให้ความสําคัญในการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ที่กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเป็น 6 ยุทธศาสตร์ 36 ประเด็นการพัฒนา ดังนี้ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ประกอบด้วย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบสําคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามประเพณีการปกครองของไทย รัฐบาลจึงถือเป็นหน้าที่สําคัญยิ่งยวดในอันที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการจัดกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีการติดตามตรวจสอบผู้กระทําผิดเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป คือ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน รวมทั้งเร่งขยายผลโครงการตามแนวพระราชดําริและตามหลักการทรงงาน การปฏิรูปกลไกการบริหารประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเมือง สามารถขจัดคอรัปชั่น และมีกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ขณะนี้มีความก้าวหน้าในระดับที่น่าพอใจ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ต้องน้อมนําแนวทางพระราชทาน “เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา” มาเป็นหลักในการพัฒนาพื้นที่ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม หน่วยงานต้องสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม ตลอดจนการให้บริการด้านสาธารณสุขและส่งเสริมการศึกษา จะต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ที่มีความเข้มแข็ง การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ประเด็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายถือปัญหาที่สั่งสมมามากกว่า 20 ปี ขณะนี้รัฐบาลต้องการดําเนินการแก้ไขให้เป็นระบบ เริ่มจากการออก พรก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ต่อไปนี้กระบวนการด้านเอกสารของคนต่างด้าวต้องมาจากประเทศต้นทาง การเข้างาน การย้ายงาน ต้องทําให้เป็นระบบ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลดีกับทั้งผู้จ้างและตัวแรงงานต่างด้าว การป้องกันภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย ภัยเกี่ยวกับความมั่งคงทางทะเล ภัยพิบัติขนาดใหญ่ หรือโรคระบาดร้ายแรง เป็นเรื่องสําคัญที่ต้องอาศัยการสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ รวมทั้งต้องมีการวางระบบและเตรียมการรองรับให้สามารถดําเนินการได้ทันท่วงที
2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจากด้านต้นทุน ซึ่งเดิมประเทศไทยอาศัยแรงงานราคาถูก แนวโน้มดังกล่าวถูกจํากัดโดยกระแสโลกาภิวัตน์ และกระบวนการ Global Supply Chain ผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ อาจมีส่วนประกอบจากแหล่งผลิตจากหลายประเทศได้ การอาศัยแรงงานราคาถูกแต่เพียงปัจจัยเดียวจึงไม่สามารถกระทําได้ในปัจจุบัน รัฐบาลจึงมีความจําเป็นต้องวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ โครงข่ายโลจิสติกส์สําหรับอนาคต ต้องมีการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ พัฒนาผู้ประกอบการระดับ SMEs พัฒนาศักยภาพการผลิตทางการเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการกําหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ขณะเดียวกันในเรื่องการเกษตร รัฐบาลได้ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งสําเร็จไปในระดับหนึ่ง ยังต้องดําเนินการต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ต้องมีการเสริมศักยภาพเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการ ขณะนี้ได้จัดเป็นกลุ่ม Cluster ซึ่งดูแล้วมีความหลากหลายและสามารถดึงดูดเพียงพอให้เกิดการท่องเที่ยวในภูมิภาค สิ่งสําคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวจําเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้ได้มาตรฐาน มีจิตสาธารณะ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามอัตลักษณ์ไทย มีทักษะในการสื่อสารภาษาต่างประเทศ ตลอดจนต้องให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ด้านโลจิสติกส์ขณะนี้โครงการที่อยู่ระหว่างเร่งรัดดําเนินการ ได้แก่ การพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร จํานวน 5 โครงการ รถไฟทางคู่ ขนาดมาตรฐาน 4 โครงการ ซึ่งการก่อสร้างรถไฟทางคู่นี้ส่วนหนึ่งเป็นการเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจจากตะวันออกสู่ตะวันตก และลงใต้สู่การเชื่อมโยง One Belt-One Road นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนใน 8 เส้นทาง คือ สายสีแดงอ่อน ส้ม ชมพู เหลือง ม่วง น้ําเงิน เขียวเข้ม ส้ม Airport line ส่วนต่อขยาย และก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 3 สาย สายบางปะอิน–สระบุรี–นครราชสีมา สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายนครปฐม–ชะอํา ทางพิเศษสายศรีรัช –วงแหวนรอบนอก สายพระราม 3–ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก 13 สายทาง และรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษอีก 3 สายทาง การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท สนับสนุนแหล่งเกษตรและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการขยายท่าอากาศยานและท่าเรือสําคัญเพื่อเป็นประตูขนส่งของอนุภูมิภาค CLMV พัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ํา 2 โครงการ พัฒนาสถานีขนส่งสินค้าในชายแดน 9 จังหวัด สถานีขนส่งสินค้า 8 เมืองหลัก นอกจากนี้ ยังเร่งรัดให้เกิดโครงการรถไฟความเร็วสูงอีก 2 เส้นทาง ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งประเด็นที่ควรดําเนินการต่อ คือจะต้องมีการวางแผนพัฒนาพื้นที่และศูนย์กระจายสินค้าตามโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นใหม่ ให้มีการกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานครไปสู่เมืองใหญ่และเมืองรองตามโครงข่ายที่เกิดขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นนโยบายสําคัญที่รัฐบาลได้เร่งรัดดําเนินการตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามวางรากฐานเพื่อนําประเทศไปสู่ยุค 4.0 โดยรัฐบาลได้ดําเนินการแก้กฎหมาย 7 ฉบับ เพื่อลดอุปสรรค และเกิดการพัฒนาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง ขณะนี้รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้าภาครัฐไทยจะมีการบริหารจัดการแบบรัฐบาลดิจิทัลที่มีการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ โครงการที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว เช่น การลดสําเนากระดาษเพื่อบริการประชากร ฯลฯ
3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน อาทิ รัฐบาลมีกรอบแนวคิดในการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพคนที่มิใช่มุ่งแต่จะเฉพาะพัฒนาคนในวัยเรียนเท่านั้น แต่ต้องปูพื้นตั้งแต่แรกเกิด โดยกระทรวงศึกษาธิการต้องก้าวข้ามภารกิจในการจัดการศึกษาไปสู่การเป็นผู้วางแผนกําลังคนของประเทศร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยว กระทรวงดิจิทัล และกระทรวงทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับความต้องการกําลังคนในอนาคต ต้องเตรียมการสําหรับสาขาวิชาที่จะทําให้ประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ต้องเตรียมคนสําหรับอุตสาหกรรมศักยภาพ ต้องมองว่าคนไทยในศตวรรษที่ 21 ควรมีลักษณะพึงประสงค์อย่างไร เช่น มีทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ ควบคู่กันไป คนไทยต้องมีศีลธรรมตามหลักศาสนาของตน มีความเป็นไทยที่ดีงาม และมีจิตสํานึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม นอกจากนี้ ลักษณะคนไทยที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ต้องมีสุขภาวะที่ดี รู้จักการดูแลสุขภาพ การเสริมสร้างสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับระบบบริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการปฐมภูมิให้มากยิ่งขึ้น หากประชาชนในพื้นที่เจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิได้ โดยไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ส่วนนี้จะช่วยลดความแออัดการเข้ารับบริการได้ระดับหนึ่ง
4) ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างการเจริญเติบโตจากภายใน อาทิ การลดความเหลื่อมล้ําของคนในสังคมจะต้องดําเนินมาตรการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาทางด้านสังคมควบคู่กันไป ที่ผ่านมารัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพในการสนับสนุนการพัฒนาสินค้า OTOP อย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือ ทําอย่างไรให้สินค้า OTOP ในแต่ละพื้นที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน สามารถดึงดูดให้เกิดความต้องการสินค้า มีกระบวนการผลิตที่สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นมาตรฐานได้ และเป้าหมายสูงสุด คือ OTOP ไทย สามารถไปสู่สากล การพัฒนาระบบประกันสุขภาพเป็นอีกกลไกหนึ่งในการช่วยเหลือให้ครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงต้องประสบปัญหาทางการเงินเมื่อสมาชิกในครอบครัวเกิดภาวะเจ็บป่วย โดยเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการที่สําคัญของประเทศ และยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติต้องการประเทศต่างๆ นําไปพิจารณาดําเนินการ รวมทั้งรัฐบาลจะมีการพิจารณาหาแนวทางปรับปรุงการบริการจัดการให้เกิดความยั่งยืน ให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ รวมถึงการเตรียมการรองรับประเทศไทยที่กําลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยมอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงมหาดไทยที่กํากับดูแล อปท. และจังหวัด กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมกันคิดต่อว่าจะวางระบบอย่างไรให้เหมาะกับสังคมไทย
5) ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้ําและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ํา ขณะนี้จึงได้สั่งการให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําภายใต้กํากับสํานักนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ต้องเร่งรัดดําเนินการ คือ ให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพให้เกิดการจัดทําโครงการให้ครอบคลุมทั้งระบบการกักเก็บน้ํา ระบบการกระจายน้ํา น้ําบาดาล และระบบสูบน้ํา ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และบริหารจัดการน้ําให้ทั่วถึงประชาชนมากที่สุด ต้องเร่งรัดให้มีการจัดทําและวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรน้ําให้เป็นระบบ ให้มีแผนที่น้ํา เส้นทางน้ํา ที่สามารถใช้เป็นฐานในการวางแผนและบริหารจัดการในเชิงพื้นที่ หรือเป็นลุ่มน้ํา รวมทั้งเตือนภัยหรือป้องกันภัยพิบัติได้ การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลให้ความสําคัญกับการผลักดันไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ยืนต้นภายในบริเวณบ้าน หรือในสวนสาธารณะ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นของประเทศ และหนึ่งในเป้าหมายสําคัญของรัฐบาล คือ ต้องลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิลจากก๊าซและน้ํามัน ต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาพื้นที่ต้องมองหาโอกาสในการผลิตพลังงานจากชีวมวล แสงแดด และลม ซึ่งจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงานของประเทศได้ และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในส่วนนี้ถือเป็นข้อปฏิบัติที่ประเทศไทยต้องดําเนินการตามพันธะสัญญา
6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เช่น การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนและพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ต้องมุ่งเน้นในการปรับความคิดข้าราชการ บุคลากรของรัฐให้เป็น “ผู้นําการเปลี่ยนแปลง” นําเทคโนโลยี และระบบดิจิทัลมาเสริมการทํางาน ต้องสร้างระบบให้ข้าราชการมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิตและต้องทันสมัย โดยคํานึงถึงการทํางานระหว่าง คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ที่จะต้องเตรียมพร้อมและก้าวเดินไปด้วยกัน การปรับปรุงระเบียบต่างๆ ปฏิรูปกฎหมาย ต้องการมุ่งเน้นให้กฎหมายมีการอํานวยความสะดวก และดูแลประชาชนให้ทั่วถึง ให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่ไว้วางใจ กฎหมายต้องทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นการต่อยอดจากเดิมที่รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business ซึ่งในปัจจุบันพัฒนามาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจตามการจัดอันดับของธนาคารโลก การพัฒนาขั้นต่อไป ทุกหน่วยงานต้องมีกระบวนการเพื่อยกระดับงานบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Citizen-centric Services) ต้องจัดให้มีช่องทางการให้บริการที่สะดวก ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ลดขั้นตอน ระยะเวลา การใช้เอกสาร และตอบสนองต่อข้อเรียกร้องได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคว่า ขอให้ทุกส่วนราชการคิดหาแนวทางในการขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการใช้จ่ายงบประมาณต้องเชื่อมโยงทั้งในมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) มิติบูรณาการ (Agenda) และมิติพื้นที่ (Area) และดําเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งขอให้ทุกหน่วยงาน ทุกภาค ทุกจังหวัด ทุกท้องถิ่น ที่ขอรับงบประมาณ คํานึงถึงยุทธศาสตร์ชาติ จุดเน้นของรัฐบาล และการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคอย่างเคร่งครัด เพื่อทําให้รัฐนาวาของประเทศขับเคลื่อนไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน คือ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทำงบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกําชับจัดทํางบประมาณครอบคลุมทุกมิติ และเน้นพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
วันนี้ (16 ส.ค.60) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาและมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อให้การจัดทํางบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้ง เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ให้สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายของรัฐบาล และแนวทางจัดทํางบประมาณตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2562 อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมประมาณ 1,600 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชั้น 1อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี
การประชุมครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค.60) มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยตามปฏิทินงบประมาณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบนโยบายในการจัดทํางบประมาณฯ เพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้ง จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนและจัดทําคําขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่มีการบูรณาการใน 3 มิติ ได้แก่ มิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) มิติบูรณาการ (Agenda) และมิติพื้นที่ (Area) รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายสําคัญของรัฐบาล และแผนแม่บทอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สามารถขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในระดับภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบังเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และมีการจัดสรรงบประมาณที่มีการบูรณาการงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพื้นที่ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดกระบวนการวางแผนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคที่มีความสอดคล้องกัน
สําหรับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพ ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างการเติบโตจากภายใน ด้านการจัดการน้ําและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ส่วนรายการค่าดําเนินการภาครัฐ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ รายการเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น และการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ
ส่วนยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีจํานวน 6 ภาค ได้แก่ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน ซึ่งแต่ละภาคจะนํายุทธศาสตร์ที่ 9 การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มาเป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาพื้นที่และได้กําหนดยุทธศาสตร์ชี้นําเพิ่มเติม ทั้งในมิติบูรณาการ (Agenda) และมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอจัดสรรงบประมาณลงในภาค/พื้นที่อย่างเหมาะสมาต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายการเตรียมการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยเน้นให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ จะต้องมีการบริหารจัดการและใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของการพัฒนาประเทศ โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศภายใต้พลังประชาชนในรูปแบบประชารัฐ เพื่อไปสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่กําหนดไว้คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และทําให้ประเทศไทยสามารถยืนอยู่บนสังคมประชาคมโลกในจุดที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยรัฐบาลได้น้อมนําแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปฏิบัติ รวมทั้งการทํางานภายใต้กรอบกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายสําคัญของรัฐบาล และแผนแม่บทอื่น ๆ โดยได้มีการแต่ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ และจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ประเทศที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับวาระการพัฒนาในระดับโลก ให้ประเทศไทยมีเกียรติภูมิ ยืนอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีในเวทีและสังคมโลก เช่น การเร่งรัดแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ที่รัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขและพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ รวมถึงการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ของ UNDP ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้องค์การสหประชาชาติ กําหนดวาระการพัฒนาในระดับโลก 17 ข้อ ตั้งแต่การขจัดความยากจน ความหิวโหย การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การศึกษาที่เท่าเทียม ไปจนถึง สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก และความร่วมมือพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการมุ่งไปสู่ประเทศพัฒนานั้น ไม่ใช่มีเพียงยุทธศาสตร์การพัฒนาในกรอบระยะเวลาต่าง ๆ จะสําเร็จได้ แต่ประเทศจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป รัฐบาลจึงพยายามให้ทุกภาคส่วนปรับจากประเทศไทย 2.0 ในปัจจุบัน ที่ลงแรงมากแต่ได้ผลลัพธ์น้อย ไปสู่ประเทศไทย 3.0 และประเทศไทย 4.0 ในที่สุด ให้ใช้เครื่องมือและเครื่องทุนแรงที่มีเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เพื่อทําให้ลงแรงน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น เพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวทันกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงระบบงบประมาณว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขอให้สํานักงบประมาณปรับปรุงในเชิงโครงสร้างควบคู่กับส่งเสริมให้มีการบูรณาการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้แผนงานบูรณาการ และให้จําแนกงบประมาณเป็น 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มงบกลาง กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ กลุ่มงบประมาณรายจ่ายกระทรวง/หน่วยงาน กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ กลุ่มงบประมาณรายจ่ายพื้นที่ และงบประมาณรายจ่ายบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ เพื่อให้สะท้อนค่าใช้จ่ายที่มีลักษณะต้องจ่ายเป็นประจํา และค่าใช้จ่ายที่มาจากภารกิจในเชิงยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักถึงจุดอ่อนของการบริหารจัดการภาครัฐของไทย คือ ขาดการบูรณาการในมิติต่าง ๆ จึงได้ส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการตามวาระการพัฒนาที่สําคัญต่างๆ และมีการบูรณาการตามมิติพื้นที่ แต่ทั้งสองมิติยังไม่เชื่อมโยงอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น การจัดทํางบประมาณจากนี้ไป ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ต้องเชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่กับเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์และวาระสําคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้มองการพัฒนาพื้นที่ในระดับภาคเป็นกรอบในการเชื่อมโยงและบูรณาการภารกิจของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณลงไปในพื้นที่ต้องคํานึงและพิจารณาถึงศักยภาพและขีดความสามารถของแต่ละภาคประกอบการดําเนินการ ทั้งเรื่องของคน วัตถุดิบ อัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ฯลฯ เพื่อให้พื้นที่ระดับภาคมีการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน ประชาชนมีรายสูงขึ้น และเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม นําไปสู่การพัฒนาพื้นที่ระดับภาคอย่างยั่งยืน โดยปฏิทินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สิ่งที่มีความพิเศษอย่างชัดเจน คือ กระบวนการงบประมาณของปีงบประมาณ 2562 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จากเดิมที่เริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน และภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้จะต้องมีการทําแผนพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าแต่ละภาค จังหวัด ต้องพัฒนาไปในทิศทางใด เพื่อภาพรวมของประเทศไทยมีการพัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี รวมทั้งแผนพัฒนาฯ และแผนอื่น ๆ ที่วางไว้ เมื่อได้ภาพระดับภาค จังหวัดแล้ว ในเดือนตุลาคมจึงทํากระบวนการบูรณาการงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์
สําหรับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเป็นจุดเริ่มให้เกิดกระบวนการวางแผนระดับพื้นที่ ในส่วนภาคแรกของยุทธศาสตร์จัดสรรฯ ซึ่งมีการนําเนื้อหาของแผนพัฒนาภาค ตามแผนฯ 12 มาบรรจุไว้ ส่วนที่สองจะเป็นยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณพื้นที่ระดับภาค เปรียบเสมือนประเด็นชี้นําให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้ง จังหวัด และ อปท. นําไปพิจารณาประกอบการจัดทําแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงาน แผนบูรณาการ แผนยุทธศาสตร์ และคําของบประมาณ ซึ่งการทําในลักษณะนี้ถือเป็นปีแรก จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ นําไปคิดต่อว่าในแต่ละพื้นที่ทั้งในระดับภาค และระดับจังหวัด แต่ละหน่วยงานจะวางภารกิจของตนเองอย่างไร ให้ตอบสนองทั้งมิติ function agenda และ area
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้หน่วยงานต่างๆ ให้ความสําคัญในการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ที่กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเป็น 6 ยุทธศาสตร์ 36 ประเด็นการพัฒนา ดังนี้ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ประกอบด้วย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประกอบสําคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามประเพณีการปกครองของไทย รัฐบาลจึงถือเป็นหน้าที่สําคัญยิ่งยวดในอันที่จะเชิดชูสถาบันนี้ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการจัดกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีการติดตามตรวจสอบผู้กระทําผิดเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป คือ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน รวมทั้งเร่งขยายผลโครงการตามแนวพระราชดําริและตามหลักการทรงงาน การปฏิรูปกลไกการบริหารประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเมือง สามารถขจัดคอรัปชั่น และมีกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ขณะนี้มีความก้าวหน้าในระดับที่น่าพอใจ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ต้องน้อมนําแนวทางพระราชทาน “เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา” มาเป็นหลักในการพัฒนาพื้นที่ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม หน่วยงานต้องสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม ตลอดจนการให้บริการด้านสาธารณสุขและส่งเสริมการศึกษา จะต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ที่มีความเข้มแข็ง การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ประเด็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายถือปัญหาที่สั่งสมมามากกว่า 20 ปี ขณะนี้รัฐบาลต้องการดําเนินการแก้ไขให้เป็นระบบ เริ่มจากการออก พรก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ต่อไปนี้กระบวนการด้านเอกสารของคนต่างด้าวต้องมาจากประเทศต้นทาง การเข้างาน การย้ายงาน ต้องทําให้เป็นระบบ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลดีกับทั้งผู้จ้างและตัวแรงงานต่างด้าว การป้องกันภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย ภัยเกี่ยวกับความมั่งคงทางทะเล ภัยพิบัติขนาดใหญ่ หรือโรคระบาดร้ายแรง เป็นเรื่องสําคัญที่ต้องอาศัยการสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ รวมทั้งต้องมีการวางระบบและเตรียมการรองรับให้สามารถดําเนินการได้ทันท่วงที
2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันจากด้านต้นทุน ซึ่งเดิมประเทศไทยอาศัยแรงงานราคาถูก แนวโน้มดังกล่าวถูกจํากัดโดยกระแสโลกาภิวัตน์ และกระบวนการ Global Supply Chain ผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ อาจมีส่วนประกอบจากแหล่งผลิตจากหลายประเทศได้ การอาศัยแรงงานราคาถูกแต่เพียงปัจจัยเดียวจึงไม่สามารถกระทําได้ในปัจจุบัน รัฐบาลจึงมีความจําเป็นต้องวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ โครงข่ายโลจิสติกส์สําหรับอนาคต ต้องมีการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ พัฒนาผู้ประกอบการระดับ SMEs พัฒนาศักยภาพการผลิตทางการเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการกําหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ขณะเดียวกันในเรื่องการเกษตร รัฐบาลได้ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งสําเร็จไปในระดับหนึ่ง ยังต้องดําเนินการต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ต้องมีการเสริมศักยภาพเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการ ขณะนี้ได้จัดเป็นกลุ่ม Cluster ซึ่งดูแล้วมีความหลากหลายและสามารถดึงดูดเพียงพอให้เกิดการท่องเที่ยวในภูมิภาค สิ่งสําคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวจําเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้ได้มาตรฐาน มีจิตสาธารณะ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามอัตลักษณ์ไทย มีทักษะในการสื่อสารภาษาต่างประเทศ ตลอดจนต้องให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ด้านโลจิสติกส์ขณะนี้โครงการที่อยู่ระหว่างเร่งรัดดําเนินการ ได้แก่ การพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร จํานวน 5 โครงการ รถไฟทางคู่ ขนาดมาตรฐาน 4 โครงการ ซึ่งการก่อสร้างรถไฟทางคู่นี้ส่วนหนึ่งเป็นการเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจจากตะวันออกสู่ตะวันตก และลงใต้สู่การเชื่อมโยง One Belt-One Road นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนใน 8 เส้นทาง คือ สายสีแดงอ่อน ส้ม ชมพู เหลือง ม่วง น้ําเงิน เขียวเข้ม ส้ม Airport line ส่วนต่อขยาย และก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 3 สาย สายบางปะอิน–สระบุรี–นครราชสีมา สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายนครปฐม–ชะอํา ทางพิเศษสายศรีรัช –วงแหวนรอบนอก สายพระราม 3–ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก 13 สายทาง และรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษอีก 3 สายทาง การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท สนับสนุนแหล่งเกษตรและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการขยายท่าอากาศยานและท่าเรือสําคัญเพื่อเป็นประตูขนส่งของอนุภูมิภาค CLMV พัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ํา 2 โครงการ พัฒนาสถานีขนส่งสินค้าในชายแดน 9 จังหวัด สถานีขนส่งสินค้า 8 เมืองหลัก นอกจากนี้ ยังเร่งรัดให้เกิดโครงการรถไฟความเร็วสูงอีก 2 เส้นทาง ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งประเด็นที่ควรดําเนินการต่อ คือจะต้องมีการวางแผนพัฒนาพื้นที่และศูนย์กระจายสินค้าตามโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นใหม่ ให้มีการกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานครไปสู่เมืองใหญ่และเมืองรองตามโครงข่ายที่เกิดขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นนโยบายสําคัญที่รัฐบาลได้เร่งรัดดําเนินการตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามวางรากฐานเพื่อนําประเทศไปสู่ยุค 4.0 โดยรัฐบาลได้ดําเนินการแก้กฎหมาย 7 ฉบับ เพื่อลดอุปสรรค และเกิดการพัฒนาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง ขณะนี้รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้าภาครัฐไทยจะมีการบริหารจัดการแบบรัฐบาลดิจิทัลที่มีการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ โครงการที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว เช่น การลดสําเนากระดาษเพื่อบริการประชากร ฯลฯ
3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน อาทิ รัฐบาลมีกรอบแนวคิดในการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพคนที่มิใช่มุ่งแต่จะเฉพาะพัฒนาคนในวัยเรียนเท่านั้น แต่ต้องปูพื้นตั้งแต่แรกเกิด โดยกระทรวงศึกษาธิการต้องก้าวข้ามภารกิจในการจัดการศึกษาไปสู่การเป็นผู้วางแผนกําลังคนของประเทศร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยว กระทรวงดิจิทัล และกระทรวงทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับความต้องการกําลังคนในอนาคต ต้องเตรียมการสําหรับสาขาวิชาที่จะทําให้ประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ต้องเตรียมคนสําหรับอุตสาหกรรมศักยภาพ ต้องมองว่าคนไทยในศตวรรษที่ 21 ควรมีลักษณะพึงประสงค์อย่างไร เช่น มีทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ ควบคู่กันไป คนไทยต้องมีศีลธรรมตามหลักศาสนาของตน มีความเป็นไทยที่ดีงาม และมีจิตสํานึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม นอกจากนี้ ลักษณะคนไทยที่พึงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ต้องมีสุขภาวะที่ดี รู้จักการดูแลสุขภาพ การเสริมสร้างสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับระบบบริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการปฐมภูมิให้มากยิ่งขึ้น หากประชาชนในพื้นที่เจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการระดับปฐมภูมิได้ โดยไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ส่วนนี้จะช่วยลดความแออัดการเข้ารับบริการได้ระดับหนึ่ง
4) ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างการเจริญเติบโตจากภายใน อาทิ การลดความเหลื่อมล้ําของคนในสังคมจะต้องดําเนินมาตรการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาทางด้านสังคมควบคู่กันไป ที่ผ่านมารัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพในการสนับสนุนการพัฒนาสินค้า OTOP อย่างต่อเนื่อง เป้าหมายคือ ทําอย่างไรให้สินค้า OTOP ในแต่ละพื้นที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน สามารถดึงดูดให้เกิดความต้องการสินค้า มีกระบวนการผลิตที่สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นมาตรฐานได้ และเป้าหมายสูงสุด คือ OTOP ไทย สามารถไปสู่สากล การพัฒนาระบบประกันสุขภาพเป็นอีกกลไกหนึ่งในการช่วยเหลือให้ครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงต้องประสบปัญหาทางการเงินเมื่อสมาชิกในครอบครัวเกิดภาวะเจ็บป่วย โดยเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการที่สําคัญของประเทศ และยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติต้องการประเทศต่างๆ นําไปพิจารณาดําเนินการ รวมทั้งรัฐบาลจะมีการพิจารณาหาแนวทางปรับปรุงการบริการจัดการให้เกิดความยั่งยืน ให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ รวมถึงการเตรียมการรองรับประเทศไทยที่กําลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยมอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงมหาดไทยที่กํากับดูแล อปท. และจังหวัด กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมกันคิดต่อว่าจะวางระบบอย่างไรให้เหมาะกับสังคมไทย
5) ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้ําและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ํา ขณะนี้จึงได้สั่งการให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําภายใต้กํากับสํานักนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ต้องเร่งรัดดําเนินการ คือ ให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพให้เกิดการจัดทําโครงการให้ครอบคลุมทั้งระบบการกักเก็บน้ํา ระบบการกระจายน้ํา น้ําบาดาล และระบบสูบน้ํา ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และบริหารจัดการน้ําให้ทั่วถึงประชาชนมากที่สุด ต้องเร่งรัดให้มีการจัดทําและวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรน้ําให้เป็นระบบ ให้มีแผนที่น้ํา เส้นทางน้ํา ที่สามารถใช้เป็นฐานในการวางแผนและบริหารจัดการในเชิงพื้นที่ หรือเป็นลุ่มน้ํา รวมทั้งเตือนภัยหรือป้องกันภัยพิบัติได้ การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลให้ความสําคัญกับการผลักดันไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ยืนต้นภายในบริเวณบ้าน หรือในสวนสาธารณะ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นของประเทศ และหนึ่งในเป้าหมายสําคัญของรัฐบาล คือ ต้องลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิลจากก๊าซและน้ํามัน ต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาพื้นที่ต้องมองหาโอกาสในการผลิตพลังงานจากชีวมวล แสงแดด และลม ซึ่งจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงานของประเทศได้ และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในส่วนนี้ถือเป็นข้อปฏิบัติที่ประเทศไทยต้องดําเนินการตามพันธะสัญญา
6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เช่น การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนและพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ต้องมุ่งเน้นในการปรับความคิดข้าราชการ บุคลากรของรัฐให้เป็น “ผู้นําการเปลี่ยนแปลง” นําเทคโนโลยี และระบบดิจิทัลมาเสริมการทํางาน ต้องสร้างระบบให้ข้าราชการมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิตและต้องทันสมัย โดยคํานึงถึงการทํางานระหว่าง คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ที่จะต้องเตรียมพร้อมและก้าวเดินไปด้วยกัน การปรับปรุงระเบียบต่างๆ ปฏิรูปกฎหมาย ต้องการมุ่งเน้นให้กฎหมายมีการอํานวยความสะดวก และดูแลประชาชนให้ทั่วถึง ให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่ไว้วางใจ กฎหมายต้องทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นการต่อยอดจากเดิมที่รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business ซึ่งในปัจจุบันพัฒนามาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจตามการจัดอันดับของธนาคารโลก การพัฒนาขั้นต่อไป ทุกหน่วยงานต้องมีกระบวนการเพื่อยกระดับงานบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Citizen-centric Services) ต้องจัดให้มีช่องทางการให้บริการที่สะดวก ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ลดขั้นตอน ระยะเวลา การใช้เอกสาร และตอบสนองต่อข้อเรียกร้องได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคว่า ขอให้ทุกส่วนราชการคิดหาแนวทางในการขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการใช้จ่ายงบประมาณต้องเชื่อมโยงทั้งในมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) มิติบูรณาการ (Agenda) และมิติพื้นที่ (Area) และดําเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งขอให้ทุกหน่วยงาน ทุกภาค ทุกจังหวัด ทุกท้องถิ่น ที่ขอรับงบประมาณ คํานึงถึงยุทธศาสตร์ชาติ จุดเน้นของรัฐบาล และการพัฒนาพื้นที่ระดับภาคอย่างเคร่งครัด เพื่อทําให้รัฐนาวาของประเทศขับเคลื่อนไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน คือ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5974
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย รวมผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,928 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.25 ของผู้ป่วยทั้งหมด เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลจํานวน 57 ราย หรือร้อยละ 1.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติด
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่25 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย รวมผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,928 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.25 ของผู้ป่วยทั้งหมด เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลจํานวน 57 ราย หรือร้อยละ 1.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,042 ราย
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย จําแนกเป็น
เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ พบที่จังหวัดภูเก็ต 1 ราย
เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศรัสเซียและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ 1 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิต 1 รายวันนี้ เป็นหญิงไทย อายุ 56 ปี มีประวัติโรคประจําตัว คือไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เข้ารับรักษาด้วยอาการหอบ เหนื่อย เก็บตัวอย่างส่งตรวจพบเชื้อ โควิด 19 ต่อมาผู้ป่วยมีอาการแย่ลง เสียชีวิตวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 57)
จากข้อมูลรายงานการติดเชื้อในประเทศไทย พบว่าสาเหตุหลักของการติดเชื้อ มาจากการสัมผัสใกล้ชิด รองลงมาคือ อาชีพเสี่ยง การรวมกลุ่มในสถานที่แออัด เช่น สนามมวย สถานบันเทิง และการเดินทางไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานที่แออัด คนอยู่มาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีประวัติเดินทางไปที่โรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เสี่ยง กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนที่ต้องมารอคิวรักษาทําให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการแพร่และสัมผัสเชื้อได้ จึงได้จัดบริการในรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ด้วยการนําเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การพบแพทย์ผ่านระบบวิดีโอ (Tele –medicine) การรับยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ ในกลุ่มที่ต้องรับยาต่อเนื่อง เพื่อลดจํานวนผู้ป่วยที่ไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล ช่วยลดความเสี่ยงการรับเชื้อ รวมถึงการจัดพื้นที่บริการ มีระบบคัดกรอง แยกผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจออกจากผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ที่รับการรักษาและบุคลากรทางการแพทย์
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังโรงพยาบาลโดยไม่จําเป็น อาทิ การเยี่ยมไข้ผู้ป่วย การพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่สามารถดูแลตัวเองได้ที่บ้าน เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อหรือนําเชื้อไปแพร่ให้กับผู้ป่วย ไม่ควรนํา เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวไปด้วย เนื่องจากกลุ่มนี้หากป่วยอาจมีอาการรุนแรงได้ และให้เคร่งครัดมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการจับพื้นผิวที่มีคนสัมผัสจํานวนมาก เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ ไม่นํามือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า พร้อมทั้งปฏิบัติตามคําแนะนําของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด เมื่อกลับบ้านให้รีบล้างมือ อาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที ก่อนที่จะใกล้ชิดกับคนในครอบครัว
สําหรับเขตสุขภาพที่ 6 มีสถานที่เฝ้าระวังกักกันของรัฐ (State Quarantine) มากที่สุดในประเทศ จํานวน 11 แห่ง รวมอยู่ในจังหวัด สมุทรปราการ และชลบุรี มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 5,713 ราย กลับบ้านแล้ว 2,781 ราย มีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรค 39 ราย พบผู้ป่วยยืนยันรวม 21 ราย ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ระหว่างเข้ารับการกักตัว จํานวน 2,932 ราย และในวันนี้ จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจาก ประเทศศรีลังกา มัลดีฟส์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กลับประเทศ รวมจํานวน 395 ราย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย รวมผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,928 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.25 ของผู้ป่วยทั้งหมด เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลจํานวน 57 ราย หรือร้อยละ 1.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติด
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่25 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย รวมผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,928 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.25 ของผู้ป่วยทั้งหมด เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลจํานวน 57 ราย หรือร้อยละ 1.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,042 ราย
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย จําแนกเป็น
เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ พบที่จังหวัดภูเก็ต 1 ราย
เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศรัสเซียและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ 1 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิต 1 รายวันนี้ เป็นหญิงไทย อายุ 56 ปี มีประวัติโรคประจําตัว คือไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เข้ารับรักษาด้วยอาการหอบ เหนื่อย เก็บตัวอย่างส่งตรวจพบเชื้อ โควิด 19 ต่อมาผู้ป่วยมีอาการแย่ลง เสียชีวิตวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 57)
จากข้อมูลรายงานการติดเชื้อในประเทศไทย พบว่าสาเหตุหลักของการติดเชื้อ มาจากการสัมผัสใกล้ชิด รองลงมาคือ อาชีพเสี่ยง การรวมกลุ่มในสถานที่แออัด เช่น สนามมวย สถานบันเทิง และการเดินทางไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานที่แออัด คนอยู่มาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีประวัติเดินทางไปที่โรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เสี่ยง กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยประชาชนที่ต้องมารอคิวรักษาทําให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการแพร่และสัมผัสเชื้อได้ จึงได้จัดบริการในรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ด้วยการนําเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การพบแพทย์ผ่านระบบวิดีโอ (Tele –medicine) การรับยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ ในกลุ่มที่ต้องรับยาต่อเนื่อง เพื่อลดจํานวนผู้ป่วยที่ไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล ช่วยลดความเสี่ยงการรับเชื้อ รวมถึงการจัดพื้นที่บริการ มีระบบคัดกรอง แยกผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจออกจากผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ที่รับการรักษาและบุคลากรทางการแพทย์
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังโรงพยาบาลโดยไม่จําเป็น อาทิ การเยี่ยมไข้ผู้ป่วย การพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่สามารถดูแลตัวเองได้ที่บ้าน เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อหรือนําเชื้อไปแพร่ให้กับผู้ป่วย ไม่ควรนํา เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวไปด้วย เนื่องจากกลุ่มนี้หากป่วยอาจมีอาการรุนแรงได้ และให้เคร่งครัดมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการจับพื้นผิวที่มีคนสัมผัสจํานวนมาก เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ ไม่นํามือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า พร้อมทั้งปฏิบัติตามคําแนะนําของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด เมื่อกลับบ้านให้รีบล้างมือ อาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที ก่อนที่จะใกล้ชิดกับคนในครอบครัว
สําหรับเขตสุขภาพที่ 6 มีสถานที่เฝ้าระวังกักกันของรัฐ (State Quarantine) มากที่สุดในประเทศ จํานวน 11 แห่ง รวมอยู่ในจังหวัด สมุทรปราการ และชลบุรี มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 5,713 ราย กลับบ้านแล้ว 2,781 ราย มีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรค 39 ราย พบผู้ป่วยยืนยันรวม 21 ราย ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ระหว่างเข้ารับการกักตัว จํานวน 2,932 ราย และในวันนี้ จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจาก ประเทศศรีลังกา มัลดีฟส์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กลับประเทศ รวมจํานวน 395 ราย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31440
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม
|
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2562
“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม
“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม หนุนพัฒนาศักยภาพการแปรรูปอินทผลัมผลสด สายพันธุ์บาฮี พร้อมเชื่อมโยงการตลาด - แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ดันเกษตรกรตัวจริงพบผู้บริโภค
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงาน “เปิดสวนและเปิดตลาดอินทผลัมผลสด สายพันธุ์บาฮี”ณ บ้านสวนสระเพลง ตําบลสูงเนิน อําเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคง ตลอดทั้งส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยเน้นเรื่องการตลาดนําการผลิต มุ่งเน้นไปที่เกษตรกรให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ และมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข
การจัดงาน “เปิดสวนและเปิดตลาดอินทผลัมผลสดสายพันธุ์บาฮี” ในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ เช็คอินอินทผลัม@สีคิ้ว โคราช โดยบริษัท เอ็ดวูดฟาร์ม (ไทยแลนด์) จํากัด ร่วมกับสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมเกษตรอินทรีย์นครราชสีมา ในระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ สวนบ้านสระเพลง ตําบลสูงเนิน อําเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา นับเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง จากการเปิดตลาดทางการค้าเสรีอินทผลัมสดชนิดเพาะเนื้อเยื่อ “สายพันธุ์บาฮี” ระหว่างสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัม กับตัวแทนจําหน่ายหรือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด อีกทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีแหล่งจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตร ได้พบปะนักธุรกิจการค้าและผู้บริโภคโดยตรงกับเกษตรกรที่ปลูกอินทผลัมจากภาคอื่นๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแปรรูปอินทผลัมผลสดให้ได้คุณภาพที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง
“กระทรวงเกษตรฯ มีรัฐมนตรี 4 คน ที่จะรวมพลังกันช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างเต็มที่เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สําหรับการจัดงานในครั้งนี้ มีประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ที่สนใจปลูกอินทผลัม ขอชื่นชมในความตั้งใจของคณะผู้จัดงานและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมเกษตรอินทรีย์ ที่มีการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัม ในนามกลุ่ม Ed Wood Thailand เพื่อการพัฒนาเกษตรกรรมของประเทศไทย โดยมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องการเพาะปลูกอินทผลัมจนประสบความสําเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีการพัฒนาจนสามารถได้ผลผลิตตรงตามสายพันธุ์ที่แท้จริง ผลผลิตสมบูรณ์ และราคาดี จึงเป็นการสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง ทั้งนี้ อยากฝากถึงพี่น้องเกษตรกรไทย ขอให้น้อมนําแนวพระราชดําริด้านเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มายึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะการทําการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งในด้านผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย “ นางสาวมนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ ภายในงาน มีกิจกรรมเช็คอิน ชิม ช้อป เกษตรกรพบปะผู้บริโภค เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรตัวจริงได้พบกับผู้ซื้อและผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทําให้รายได้เข้าถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง นิทรรศการงานจําหน่ายสินค้าของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย งานเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “อินทผลัม พืชเศรษฐกิจใหม่ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน” โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้บุกเบิกการปลูกพืชอินทผลัมชนิดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ “สายพันธุ์บาฮี” และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดทั้งมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังที่มามอบความสุขความสนุกสนานให้กับผู้ที่มาร่วมงานด้วย
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2562
“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม
“รมช.มนัญญา” เปิดงานตลาดอินทผลัมเมืองย่าโม หนุนพัฒนาศักยภาพการแปรรูปอินทผลัมผลสด สายพันธุ์บาฮี พร้อมเชื่อมโยงการตลาด - แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ดันเกษตรกรตัวจริงพบผู้บริโภค
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงาน “เปิดสวนและเปิดตลาดอินทผลัมผลสด สายพันธุ์บาฮี”ณ บ้านสวนสระเพลง ตําบลสูงเนิน อําเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคง ตลอดทั้งส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยเน้นเรื่องการตลาดนําการผลิต มุ่งเน้นไปที่เกษตรกรให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ และมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข
การจัดงาน “เปิดสวนและเปิดตลาดอินทผลัมผลสดสายพันธุ์บาฮี” ในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ เช็คอินอินทผลัม@สีคิ้ว โคราช โดยบริษัท เอ็ดวูดฟาร์ม (ไทยแลนด์) จํากัด ร่วมกับสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมเกษตรอินทรีย์นครราชสีมา ในระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ สวนบ้านสระเพลง ตําบลสูงเนิน อําเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา นับเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง จากการเปิดตลาดทางการค้าเสรีอินทผลัมสดชนิดเพาะเนื้อเยื่อ “สายพันธุ์บาฮี” ระหว่างสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัม กับตัวแทนจําหน่ายหรือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด อีกทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีแหล่งจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตร ได้พบปะนักธุรกิจการค้าและผู้บริโภคโดยตรงกับเกษตรกรที่ปลูกอินทผลัมจากภาคอื่นๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแปรรูปอินทผลัมผลสดให้ได้คุณภาพที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง
“กระทรวงเกษตรฯ มีรัฐมนตรี 4 คน ที่จะรวมพลังกันช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างเต็มที่เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สําหรับการจัดงานในครั้งนี้ มีประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ที่สนใจปลูกอินทผลัม ขอชื่นชมในความตั้งใจของคณะผู้จัดงานและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมเกษตรอินทรีย์ ที่มีการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัม ในนามกลุ่ม Ed Wood Thailand เพื่อการพัฒนาเกษตรกรรมของประเทศไทย โดยมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องการเพาะปลูกอินทผลัมจนประสบความสําเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีการพัฒนาจนสามารถได้ผลผลิตตรงตามสายพันธุ์ที่แท้จริง ผลผลิตสมบูรณ์ และราคาดี จึงเป็นการสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง ทั้งนี้ อยากฝากถึงพี่น้องเกษตรกรไทย ขอให้น้อมนําแนวพระราชดําริด้านเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มายึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะการทําการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งในด้านผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย “ นางสาวมนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ ภายในงาน มีกิจกรรมเช็คอิน ชิม ช้อป เกษตรกรพบปะผู้บริโภค เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรตัวจริงได้พบกับผู้ซื้อและผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทําให้รายได้เข้าถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง นิทรรศการงานจําหน่ายสินค้าของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย งานเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “อินทผลัม พืชเศรษฐกิจใหม่ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน” โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้บุกเบิกการปลูกพืชอินทผลัมชนิดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ “สายพันธุ์บาฮี” และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดทั้งมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังที่มามอบความสุขความสนุกสนานให้กับผู้ที่มาร่วมงานด้วย
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21852
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด
|
วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2560
"ปลัดกระทรวงเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด
"ปลัดเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปรับใช้ในงานสหกรณ์ พร้อมให้ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานการจัดประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ว่า ประเทศไทยได้นําเอาสหกรณ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งและดําเนินงานสหกรณ์ ในฐานะการเป็นองค์การของสมาชิก เพื่อสมาชิก โดยสมาชิก เพื่อการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของสมาชิก ซึ่งยึดมั่นในหลักการและวิธีการสหกรณ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การสหกรณ์ไทยมีพัฒนาการมาโดยตลอด โดยเป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการยกระดับสหกรณ์ 7,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ด้วย เพื่อนําไปสู่การพัฒนาในระยะยาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาระกัลยะ) ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้เข้ามาดําเนินการในการจัดระดับชั้นสหกรณ์ พร้อมทั้งมีการวางหลักเกณฑ์ต่างๆ อันจะนําไปสู่ความเชื่อมั่นในสหกรณ์เพิ่มมากขึ้น โดยหลังจากนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการอย่างใกล้ชิดกับสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสถาบันที่เกี่ยวข้องด้านการเงิน โดยจะมีคณะทํางานติดตามการทํางาน และมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อนําไปสู่การติดตามตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนสหกรณ์ ทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เกี่ยวกับการวางหลักเกณฑ์ที่จะเข้ามาติดตามการทํางาน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นระบบสหกรณ์ในระยะยาว
สําหรับการรายงานผลการดําเนินงาน ของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด (ชสอ.) ปีบัญชี 2559 ได้ประสบผลสําเร็จและมีความก้าวหน้า โดยชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ได้มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางของสหกรณ์ออมทรัพย์ไทย การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่งเสริมการออม และพัฒนาขบวนการสหกรณ์ให้เข้มแข็งอย่างดียิ่ง
“นอกจากนี้ ได้ฝากให้ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ และสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ ได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นําไปใช้ในการดําเนินงานด้านสหกรณ์อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ตลอดทั้งการนําระบบสหกรณ์มาปรับใช้ในการแก้ปัญหา โดยการช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันบนพื้นฐานของอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ มีความซื่อสัตย์สุจริตยึดหลักธรรมมาภิบาลในการบริหารจัดการสหกรณ์ และส่งเสริมการออม อันจะส่งผลให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจะสอดรับกับภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศด้วยกลไกประชารัฐ โดยสหกรณ์สามารถเป็นโซ่กลาง ส่งผ่านการสนับสนุนของรัฐบาลไปยังประชาชนในพื้นที่ ทําให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองได้ โดยสหกรณ์ถือเป็นรากฐานในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และเป็นองค์กรภาคประชาชนที่มีพลังในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคง” นายธีรภัทร กล่าว
พลโท ดร.วีระ วงศ์สรรค์ ประธานกรรมการ ชสอ. กล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบผลการดําเนินงาน แผนงานและงบประมาณประจําปี 2560 รวมถึงการเลือกตั้งประธานกรรมการ กรรมการดําเนินการและผู้ตรวจสอบกิจการชุดใหม่ สําหรับการบริหารงานในรอบปีบัญชีที่ผ่านมา ชสอ. มีสหกรณ์สมาชิก 1,079 สหกรณ์ มีสินทรัพย์รวม 110,018 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน 12,025 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 12.27 ของปีก่อน สามารถบริหารสินทรัพย์ให้เกิดกําไรสุทธิ 1,356 ล้านบาท สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราร้อยละ 5.80 และเงินเฉลี่ยคืน ร้อยละ 4.00 ซึ่ง ชสอ.ได้จัดทําระบบธรรมาภิบาลในการบริหารงานตามแนวทางของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ส่งผลให้การประเมินอยู่ในระดับดีเลิศ และสามารถรักษาระดับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร จากบริษัททริสเรทติ่ง จํากัด ที่ระดับ A- นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับขบวนการสหกรณ์ไทย จัดทําแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยตระหนักถึงความสําคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงทางด้านการบริหารจัดการเชิงคุณภาพให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ และสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อชุมชนและสังคม
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบโล่เกียรติคุณให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ให้การสนับสนุนและใช้บริการธุรกรรมกับ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด (ชสอ.) สหกรณ์ออมทรัพย์และนักสหกรณ์ดีเด่น ชมรมสหกรณ์ออมทรัพย์ภาคดีเด่น และผลงานนวัตกรรมการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ดีเด่นระดับประเทศ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด
วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2560
"ปลัดกระทรวงเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด
"ปลัดเกษตรฯ” เปิดประชุมใหญ่สามัญ ปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปรับใช้ในงานสหกรณ์ พร้อมให้ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานการจัดประชุมใหญ่สามัญ ประจําปี 2560 ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ว่า ประเทศไทยได้นําเอาสหกรณ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งและดําเนินงานสหกรณ์ ในฐานะการเป็นองค์การของสมาชิก เพื่อสมาชิก โดยสมาชิก เพื่อการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของสมาชิก ซึ่งยึดมั่นในหลักการและวิธีการสหกรณ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การสหกรณ์ไทยมีพัฒนาการมาโดยตลอด โดยเป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการยกระดับสหกรณ์ 7,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ด้วย เพื่อนําไปสู่การพัฒนาในระยะยาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาระกัลยะ) ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้เข้ามาดําเนินการในการจัดระดับชั้นสหกรณ์ พร้อมทั้งมีการวางหลักเกณฑ์ต่างๆ อันจะนําไปสู่ความเชื่อมั่นในสหกรณ์เพิ่มมากขึ้น โดยหลังจากนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการอย่างใกล้ชิดกับสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสถาบันที่เกี่ยวข้องด้านการเงิน โดยจะมีคณะทํางานติดตามการทํางาน และมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อนําไปสู่การติดตามตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนสหกรณ์ ทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เกี่ยวกับการวางหลักเกณฑ์ที่จะเข้ามาติดตามการทํางาน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นระบบสหกรณ์ในระยะยาว
สําหรับการรายงานผลการดําเนินงาน ของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด (ชสอ.) ปีบัญชี 2559 ได้ประสบผลสําเร็จและมีความก้าวหน้า โดยชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ได้มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางของสหกรณ์ออมทรัพย์ไทย การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่งเสริมการออม และพัฒนาขบวนการสหกรณ์ให้เข้มแข็งอย่างดียิ่ง
“นอกจากนี้ ได้ฝากให้ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ และสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ ได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นําไปใช้ในการดําเนินงานด้านสหกรณ์อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ตลอดทั้งการนําระบบสหกรณ์มาปรับใช้ในการแก้ปัญหา โดยการช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันบนพื้นฐานของอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ มีความซื่อสัตย์สุจริตยึดหลักธรรมมาภิบาลในการบริหารจัดการสหกรณ์ และส่งเสริมการออม อันจะส่งผลให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจะสอดรับกับภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศด้วยกลไกประชารัฐ โดยสหกรณ์สามารถเป็นโซ่กลาง ส่งผ่านการสนับสนุนของรัฐบาลไปยังประชาชนในพื้นที่ ทําให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองได้ โดยสหกรณ์ถือเป็นรากฐานในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และเป็นองค์กรภาคประชาชนที่มีพลังในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคง” นายธีรภัทร กล่าว
พลโท ดร.วีระ วงศ์สรรค์ ประธานกรรมการ ชสอ. กล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบผลการดําเนินงาน แผนงานและงบประมาณประจําปี 2560 รวมถึงการเลือกตั้งประธานกรรมการ กรรมการดําเนินการและผู้ตรวจสอบกิจการชุดใหม่ สําหรับการบริหารงานในรอบปีบัญชีที่ผ่านมา ชสอ. มีสหกรณ์สมาชิก 1,079 สหกรณ์ มีสินทรัพย์รวม 110,018 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน 12,025 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 12.27 ของปีก่อน สามารถบริหารสินทรัพย์ให้เกิดกําไรสุทธิ 1,356 ล้านบาท สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราร้อยละ 5.80 และเงินเฉลี่ยคืน ร้อยละ 4.00 ซึ่ง ชสอ.ได้จัดทําระบบธรรมาภิบาลในการบริหารงานตามแนวทางของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ส่งผลให้การประเมินอยู่ในระดับดีเลิศ และสามารถรักษาระดับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กร จากบริษัททริสเรทติ่ง จํากัด ที่ระดับ A- นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับขบวนการสหกรณ์ไทย จัดทําแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยตระหนักถึงความสําคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงทางด้านการบริหารจัดการเชิงคุณภาพให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ และสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อชุมชนและสังคม
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบโล่เกียรติคุณให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ให้การสนับสนุนและใช้บริการธุรกรรมกับ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จํากัด (ชสอ.) สหกรณ์ออมทรัพย์และนักสหกรณ์ดีเด่น ชมรมสหกรณ์ออมทรัพย์ภาคดีเด่น และผลงานนวัตกรรมการบริหารจัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ดีเด่นระดับประเทศ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
|
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
วันนี้ (9 ธ.ค. 62) เวลา 13.00 น. นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เยี่ยมและช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ทั้งเด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสที่ประสบปัญหาทางสังคม จํานวน 9 ครอบครัว ณ ชุมชนบางพรานพัฒนา เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร
นายสากล กล่าวว่า วันนี้ ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) 2. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) โดยศูนย์บริการคนพิการ สาขาอ้อมน้อย 3. กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) 4. กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร 5. สํานักงานเขตบางบอน โดยฝ่ายพัฒนาชุมชน และ 6. ศูนย์บริการสาธารณสุข 65 รักษาศุขบางบอน รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมและช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคม รวมจํานวน 9 ครอบครัว อาทิ 1) หญิงเร่ร่อนอายุ 48 ปี ไม่มีบัตรประจําตัวประชาชน และไม่มีที่อยู่อาศัยของตนเอง 2) ชายพิการทางสติปัญญา อายุ 23 ปี อาศัยอยู่ภายในห้องเช่ากับแม่อายุ 50 ปี ซึ่งประกอบอาชีพค้าขายมีรายได้วันละ 300 บาท 3) ชายพิการทางการเคลื่อนไหว อายุ 57 ปี อาศัยอยู่กับภรรยา อายุ 62 ปี ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและไม่ได้ประกอบอาชีพ ลูกสาวอายุ 28 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และหลาน 4 คน อายุ 3 - 9 ปี ซึ่งทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรม 5) หญิงชราอายุ 65 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่กับพ่ออายุ 80 ปี ซึ่งพิการทางการได้ยิน น้องสาวอายุ 61 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ และสามีอายุ 66 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ยังมีลูกและหลานอาศัยอยู่รวมกันทั้งหมด 10 คน และ 6) หญิงชราอายุ 70 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่ภายในห้องเช่าเพียงลําพัง เป็นต้น
นายสากล กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันประเมินทางสังคมและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ดังนี้ 1) มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 2) นําเรื่องของทั้ง 9 ครอบครัว เข้าพิจารณาเพื่อขอรับเงินสงเคราะห์ 3) การซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสม มั่นคง และถูกสุขลักษณะ สําหรับกลุ่มเป้าหมาย 4) การให้คําปรึกษาแนะนําสําหรับการเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างเหมาะสม 5) การรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 6) การส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องของเด็กและเยาวชน 7) การให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อการส่งเสริมอาชีพและรายได้อย่างเพียงพอและมั่นคง และ 8) การให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการอื่นตามกฎหมาย รวมทั้ง การหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวต่อไป
นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทร 1300 สายด่วน พม. บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
ผช.รมว.พม. พร้อมสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ 9 ครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคมในชุมชนย่านเขตบางบอน กทม.
วันนี้ (9 ธ.ค. 62) เวลา 13.00 น. นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เยี่ยมและช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ทั้งเด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสที่ประสบปัญหาทางสังคม จํานวน 9 ครอบครัว ณ ชุมชนบางพรานพัฒนา เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร
นายสากล กล่าวว่า วันนี้ ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) 2. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) โดยศูนย์บริการคนพิการ สาขาอ้อมน้อย 3. กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) 4. กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร 5. สํานักงานเขตบางบอน โดยฝ่ายพัฒนาชุมชน และ 6. ศูนย์บริการสาธารณสุข 65 รักษาศุขบางบอน รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมและช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคม รวมจํานวน 9 ครอบครัว อาทิ 1) หญิงเร่ร่อนอายุ 48 ปี ไม่มีบัตรประจําตัวประชาชน และไม่มีที่อยู่อาศัยของตนเอง 2) ชายพิการทางสติปัญญา อายุ 23 ปี อาศัยอยู่ภายในห้องเช่ากับแม่อายุ 50 ปี ซึ่งประกอบอาชีพค้าขายมีรายได้วันละ 300 บาท 3) ชายพิการทางการเคลื่อนไหว อายุ 57 ปี อาศัยอยู่กับภรรยา อายุ 62 ปี ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและไม่ได้ประกอบอาชีพ ลูกสาวอายุ 28 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และหลาน 4 คน อายุ 3 - 9 ปี ซึ่งทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรม 5) หญิงชราอายุ 65 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่กับพ่ออายุ 80 ปี ซึ่งพิการทางการได้ยิน น้องสาวอายุ 61 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ และสามีอายุ 66 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ยังมีลูกและหลานอาศัยอยู่รวมกันทั้งหมด 10 คน และ 6) หญิงชราอายุ 70 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่ภายในห้องเช่าเพียงลําพัง เป็นต้น
นายสากล กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันประเมินทางสังคมและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ดังนี้ 1) มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 2) นําเรื่องของทั้ง 9 ครอบครัว เข้าพิจารณาเพื่อขอรับเงินสงเคราะห์ 3) การซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสม มั่นคง และถูกสุขลักษณะ สําหรับกลุ่มเป้าหมาย 4) การให้คําปรึกษาแนะนําสําหรับการเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างเหมาะสม 5) การรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 6) การส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องของเด็กและเยาวชน 7) การให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อการส่งเสริมอาชีพและรายได้อย่างเพียงพอและมั่นคง และ 8) การให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการอื่นตามกฎหมาย รวมทั้ง การหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวต่อไป
นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทร 1300 สายด่วน พม. บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25117
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. ร่วมผนึกกำลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สำเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
วศ. ร่วมผนึกกําลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สําเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
วศ. ร่วมผนึกกําลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สําเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมงานแถลงข่าว นวัตกรรมใหม่ ไทยพร้อมผลิตชุด PPE (Gown) ใช้ซ้ําได้ รุ่นเราสู้ โดยให้ข้อมูลว่าโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ วันที่ 25 มีนาคม 2563 เพื่อพัฒนานวัตกรรมชุด PPE (lsolation Gown) รุ่น “เราสู้” ซึ่งเป็นความร่วมมือ 4 องค์กรเอกชน ได้แก่ สมาพันธ์อุตสาหกรรมสิ่งทอ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สภาอุตสาหกรรม และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กับ 2 กระทรวง ได้แก่ สธ. 4 หน่วยงาน ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค และ อว. 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์บริการ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นภารกิจของคนไทยที่จะร่วมกันสู้กับการระบาดของโควิด-19 นี้ไปกับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทุกคน
กรมวิทยาศาสตร์บริการได้ดําเนินการในส่วนการกําหนด spec และการตรวจสอบคุณภาพและการตรวจสอบคุณภาพชุดป้องกันการติด เชื้อ Surgical gown/Isolation gown สําหรับงานที่ต้องป้องกันการซึมผ่านของเหลว เช่น การใช้ งานในสภาวะที่มีทําหัตถกรรม มีเลือดกระเด็นใส่ในปริมาณมากหรือภายในห้องฉุกเฉิน เป็นต้น ตามมาตรฐานอเมริกา ANSI/AAMI PB70 Level 2 ซึ่งต้องทดสอบการต้านการซึมผ่านของน้ําที่มีแรงดัน และการต้านการทะลุผ่านของน้ํา ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์บริการและสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอสามารถให้บริการทดสอบรายการดังกล่าวได้
ทั้งนี้นวัตกรรมชุด PPE (lsolation Gown) รุ่น “เราสู้” เป็นชุดแบบเสื้อคลุมแขนยาวกันน้ําชนิดใช้ซ้ําได้ (Reusable lsolation Gown) สามารถซักและใช้ซ้ําได้ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง การผลิตล็อตแรก 44,000 ชุด และทยอยส่งมอบให้องค์การเภสัชกรรมจนครบภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากนั้นจะส่งมอบให้ศูนย์ปฏิบัติการกระจายเวชภัณฑ์ ดําเนินการจัดสรรและกระจายให้โรงพยาบาลต่างๆ ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถทดแทนแบบ lsolation Gown ที่ต้องสั่งนําเข้ากว่า 880,000 ชุด
นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์บริการยังได้ตั้งเป้าผลักดันการส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการ นวัตกร หน่วยตรวจสอบและรับรองทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ในการผลิตและการพัฒนาอุปกรณ์ PPE และสร้างนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure, NQI) ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ PPE และนวัตกรรม เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ โดยจะพัฒนาห้องปฏิบัติการไปสู่การรับรองมาตรฐานเพิ่มขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันระหว่าง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมทางการแพทย์ได้รับความน่าเชื่อถือเป็นผู้นําในอาเซียนต่อไป
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. ร่วมผนึกกำลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สำเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
วศ. ร่วมผนึกกําลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สําเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
วศ. ร่วมผนึกกําลัง พัฒนา PPE รุ่นเราสู้ สําเร็จพร้อมผลักดัน NQI อุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย สร้างความเชื่อถือก้าวสู่อาเซียน
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมงานแถลงข่าว นวัตกรรมใหม่ ไทยพร้อมผลิตชุด PPE (Gown) ใช้ซ้ําได้ รุ่นเราสู้ โดยให้ข้อมูลว่าโครงการนี้เริ่มตั้งแต่ วันที่ 25 มีนาคม 2563 เพื่อพัฒนานวัตกรรมชุด PPE (lsolation Gown) รุ่น “เราสู้” ซึ่งเป็นความร่วมมือ 4 องค์กรเอกชน ได้แก่ สมาพันธ์อุตสาหกรรมสิ่งทอ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สภาอุตสาหกรรม และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กับ 2 กระทรวง ได้แก่ สธ. 4 หน่วยงาน ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค และ อว. 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์บริการ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นภารกิจของคนไทยที่จะร่วมกันสู้กับการระบาดของโควิด-19 นี้ไปกับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทุกคน
กรมวิทยาศาสตร์บริการได้ดําเนินการในส่วนการกําหนด spec และการตรวจสอบคุณภาพและการตรวจสอบคุณภาพชุดป้องกันการติด เชื้อ Surgical gown/Isolation gown สําหรับงานที่ต้องป้องกันการซึมผ่านของเหลว เช่น การใช้ งานในสภาวะที่มีทําหัตถกรรม มีเลือดกระเด็นใส่ในปริมาณมากหรือภายในห้องฉุกเฉิน เป็นต้น ตามมาตรฐานอเมริกา ANSI/AAMI PB70 Level 2 ซึ่งต้องทดสอบการต้านการซึมผ่านของน้ําที่มีแรงดัน และการต้านการทะลุผ่านของน้ํา ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์บริการและสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอสามารถให้บริการทดสอบรายการดังกล่าวได้
ทั้งนี้นวัตกรรมชุด PPE (lsolation Gown) รุ่น “เราสู้” เป็นชุดแบบเสื้อคลุมแขนยาวกันน้ําชนิดใช้ซ้ําได้ (Reusable lsolation Gown) สามารถซักและใช้ซ้ําได้ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง การผลิตล็อตแรก 44,000 ชุด และทยอยส่งมอบให้องค์การเภสัชกรรมจนครบภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากนั้นจะส่งมอบให้ศูนย์ปฏิบัติการกระจายเวชภัณฑ์ ดําเนินการจัดสรรและกระจายให้โรงพยาบาลต่างๆ ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถทดแทนแบบ lsolation Gown ที่ต้องสั่งนําเข้ากว่า 880,000 ชุด
นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์บริการยังได้ตั้งเป้าผลักดันการส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการ นวัตกร หน่วยตรวจสอบและรับรองทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ในการผลิตและการพัฒนาอุปกรณ์ PPE และสร้างนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure, NQI) ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ PPE และนวัตกรรม เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ โดยจะพัฒนาห้องปฏิบัติการไปสู่การรับรองมาตรฐานเพิ่มขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันระหว่าง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมทางการแพทย์ได้รับความน่าเชื่อถือเป็นผู้นําในอาเซียนต่อไป
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31841
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-สภากาชาดไทย เสริมความเข้มแข็งรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
สธ.-สภากาชาดไทย เสริมความเข้มแข็งรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา
กระทรวงสาธารณสุข และสภากาชาดไทย ร่วมมือกันสนับสนุนการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตาให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว
กระทรวงสาธารณสุข และสภากาชาดไทย ร่วมมือกันสนับสนุนการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตาให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว มีโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปในทุกเขตสุขภาพเป็นศูนย์รับบริจาค และเป็นศูนย์ปลูกถ่ายไตและดวงตา ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย
วันนี้ (14 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสภากาชาดไทย
นายอนุทินกล่าวว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา เป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดความพิการ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด แต่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงการปลูกถ่าย ซึ่งมีผู้รอปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย ขณะที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ปีละ 500 – 700 ราย และปลูกถ่ายกระจกตาได้เพียงปีละ 700 - 800 ราย กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย สนับสนุนการดําเนินงานระบบบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยให้โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปเป็นศูนย์รับบริจาคอวัยวะ (Donor Center) พัฒนาทีมผ่าตัดนําไตออกส่วนภูมิภาคอย่างน้อยเขตละ 1 ทีม ลดข้อจํากัดในการนําอวัยวะออก และมีศูนย์ปลูกถ่ายไตและดวงตาอย่างน้อยเขตละ 1 โรงพยาบาล เพื่อให้ดําเนินการได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งจัดทําโครงการดวงตาสดใส เทิดไท้ 84 พรรษามหาราชินี เพิ่มการปลูกถ่ายกระจกตาในผู้ป่วยกระจกตาพิการ 8,400 ราย ที่จะครบกําหนด 12 สิงหาคม 2564 ทําให้มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยเฉพาะไตและดวงตาเพิ่มมากขึ้น ลดการเดินทางไปส่วนกลาง เป็นไปตามเป้าหมาย เพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว
ด้านนายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนพัฒนาระบบบริการด้านรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ พัฒนาคุณภาพงานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ และความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะเป็นไปอย่างครบวงจร เพิ่มจํานวนผู้บริจาคอวัยวะสําเร็จ ประชาชนเข้าถึงบริการใกล้บ้าน เพิ่มการปลูกถ่าย ลดระยะเวลารอคอย และลดอัตราตายระหว่างการรอปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งในจํานวนผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายมากถึง 5,930 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2562) และผู้รอรับการปลูกถ่ายดวงตา 12,525 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562)
************************************ 14 สิงหาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-สภากาชาดไทย เสริมความเข้มแข็งรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
สธ.-สภากาชาดไทย เสริมความเข้มแข็งรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา
กระทรวงสาธารณสุข และสภากาชาดไทย ร่วมมือกันสนับสนุนการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตาให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว
กระทรวงสาธารณสุข และสภากาชาดไทย ร่วมมือกันสนับสนุนการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตาให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว มีโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปในทุกเขตสุขภาพเป็นศูนย์รับบริจาค และเป็นศูนย์ปลูกถ่ายไตและดวงตา ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย
วันนี้ (14 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสภากาชาดไทย
นายอนุทินกล่าวว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา เป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดความพิการ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด แต่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงการปลูกถ่าย ซึ่งมีผู้รอปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย ขณะที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ปีละ 500 – 700 ราย และปลูกถ่ายกระจกตาได้เพียงปีละ 700 - 800 ราย กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย สนับสนุนการดําเนินงานระบบบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะให้มีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยให้โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปเป็นศูนย์รับบริจาคอวัยวะ (Donor Center) พัฒนาทีมผ่าตัดนําไตออกส่วนภูมิภาคอย่างน้อยเขตละ 1 ทีม ลดข้อจํากัดในการนําอวัยวะออก และมีศูนย์ปลูกถ่ายไตและดวงตาอย่างน้อยเขตละ 1 โรงพยาบาล เพื่อให้ดําเนินการได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งจัดทําโครงการดวงตาสดใส เทิดไท้ 84 พรรษามหาราชินี เพิ่มการปลูกถ่ายกระจกตาในผู้ป่วยกระจกตาพิการ 8,400 ราย ที่จะครบกําหนด 12 สิงหาคม 2564 ทําให้มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยเฉพาะไตและดวงตาเพิ่มมากขึ้น ลดการเดินทางไปส่วนกลาง เป็นไปตามเป้าหมาย เพิ่มการปลูกถ่าย ลดการตาย ได้คิวเร็ว
ด้านนายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนพัฒนาระบบบริการด้านรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ พัฒนาคุณภาพงานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ และความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะเป็นไปอย่างครบวงจร เพิ่มจํานวนผู้บริจาคอวัยวะสําเร็จ ประชาชนเข้าถึงบริการใกล้บ้าน เพิ่มการปลูกถ่าย ลดระยะเวลารอคอย และลดอัตราตายระหว่างการรอปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งในจํานวนผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายมากถึง 5,930 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2562) และผู้รอรับการปลูกถ่ายดวงตา 12,525 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562)
************************************ 14 สิงหาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22212
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
|
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่าน
ตามที่ทุกท่านได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง กรณีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส “โคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ณ เวลานี้ การคัดกรองและเฝ้าระวัง เป็นไปอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นระดับ 3 ให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อติดตามสถานการณ์โรค ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และกําหนดมาตรการต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้ง สามารถบริหารจัดการทรัพยากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และทางทหาร ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวัง ค้นหา และคัดกรอง ณ ช่องทางเข้า-ออกประเทศ ทั้ง 5 สนามบิน และช่องทางอื่นๆ ทั้งทางบก บริเวณชายแดน และทางเรือ ณ ท่าเรือต่างๆ ด้วย เพื่อคัดกรองผู้เดินทางมาจากทุกพื้นที่เสี่ยง อาทิ เมืองอู่ฮั่น กว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง และเมืองอื่นๆ ที่มีการระบาด ตามคําประกาศของทางการจีน นอกจากนี้ ยังมีความพร้อมในการรักษา ส่งต่อ และการจัดตั้งพื้นที่ควบคุม เมื่อมีความจําเป็น ที่สําคัญ รัฐบาลได้บูรณาการการทํางานร่วมกันของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รวมทั้งกรมประชาสัมพันธ์ในการรับมือ ป้องกัน และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง แม่นยํา ให้กับประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศในบ้านเรา โดยผมได้เน้นย้ําการชี้แจงสถานการณ์ตามข้อเท็จจริง โดยไม่ปิดบังข้อมูลใดๆ และยึดหลักการว่า “ชีวิตและสุขภาพของประชาชนสําคัญที่สุด” ขอให้มั่นใจว่าการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาตรฐานสากล การคัดกรองได้ผลดี พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสนี้ 8 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากประเทศจีน โดย 5 รายแรกหายแล้ว แพทย์ให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี เหลือผู้ป่วยอีก 3 ราย ที่ยังคงรับการรักษาในโรงพยาบาลของเรา สถานการณ์โดยรวมขณะนี้
ถือว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 100% แต่เราต้องไม่ประมาท เราต้องช่วยกันสอดส่อง เป็นหูเป็นตา ในการเฝ้าระวังและดูแลตัวเอง ให้ความร่วมมือกับทางการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกันกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ เน้นดูแลสุขอนามัยเรื่อง “กินร้อน ช้อนกลางล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย” ทั้งนี้ รัฐบาลขอยืนยันในความพร้อมของระบบการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีมาตรการเฝ้าระวังและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ติดอันดับ 6 จาก 195 ประเทศ จากการจัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของทุกคน ว่าเราเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
สําหรับการเตรียมอพยพชาวไทยในพื้นที่เสี่ยง ณ เมืองต่างๆ จากประเทศจีนนั้น ขณะนี้รัฐบาลมีความพร้อมที่จะปฏิบัติได้ทันที ในโอกาสแรกที่ได้รับการอนุญาตจากประเทศจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดของกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบัน เราสามารถติดต่อได้กับทุกคน ทั้งในลักษณะบุคคลและการแจ้งการปฏิบัติเป็นกลุ่ม สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคระบาด คือ “ข่าวปลอม” รวมทั้งแหล่งข่าวที่หวังดี แต่อาจคลาดเคลื่อน รัฐบาลได้วางแนวทางการรับมือ ในการกําหนดช่องทางสื่อสารหลัก เพื่อให้เกิดเอกภาพ และน่าเชื่อถือได้ที่สุด จากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้โดยตรง ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดําเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคน สื่อโซเชี่ยล ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการแชร์ หรือเผยแพร่ออกไป เนื่องจากจะสร้างความสับสน และตื่นตระหนกในภาพรวมของประเทศได้
ส่วนมาตรการในระยะยาว และคําแนะนําในการปฏิบัติตัวของแต่ละคน และข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันที่สุด ในรายละเอียดอื่นๆ พี่น้องประชาชนสามารถติดตามข่าวสารได้อย่างต่อเนื่องจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการแถลงข่าวทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายนะครับ
ในส่วนของสถานการณ์ปัญหา “ฝุ่นละออง PM2.5” ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยและไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกําหนดมาตรการและแนวทางการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง และได้ประกาศให้ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติ ออกมาตรการและแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนฯ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง หรือแหล่งกําเนิด และการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบ เครื่องมือ และกลไกการบริหารจัดการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทวงอุตสาหกรรม และอื่นๆ ทั้งหมดถูกกําหนดอยู่ในแผนปฏิบัติการระยะสั้น และระยะยาว
รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่ากรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ใช้ระบบบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Single Command ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเข้มงวด ในการกํากับดูแลควบคุมแหล่งกําเนิดฝุ่นละออง ทั้งจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง โดยให้รายงานผลการดําเนินการในการแก้ไขปัญหาไปยังกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบเป็นประจํา “ทุกวัน” ถึงผลการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติรายกิจกรรม
สําหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้น รัฐบาลมีแผนเร่งการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงกันทุกระบบ การปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะ การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิง และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับกําชับให้หน่วยงานเร่งรัดการดําเนินงานให้เป็นตามแผนงานที่กําหนดหรือให้แล้วเสร็จก่อนกําหนด สําหรับภาคการเกษตรจะมีการรณรงค์ให้ใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุการเกษตร เพื่อไม่ให้มีการเผา และส่งเสริมเกษตรกรที่ไม่ใช้วิธีการเผา การปรับเปลี่ยนร่องการปลูกพืชการเกษตรให้สามารถใช้เครื่องมือได้ โดยเฉพาะอ้อย โรงงานเอกชนต้องร่วมมือกันจัดหาเครื่องจักรที่มีราคาสูงให้ประชาชนและเกษตรกรใช้ได้ นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐ สําหรับภาคอุตสาหกรรม จะมีการปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และกํากับดูแลควบคุมการระบายมลพิษอย่างเข้มงวด ทางด้านสาธารณสุข ได้มีการเปิดคลินิกมลพิษเพื่อรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง มีการขอความร่วมมือจัด “ห้องสะอาด” หรือ clean room ตามศูนย์เด็กเล็ก บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทําแผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ
พี่น้องประชาชนครับ แม้ช่วงนี้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นช่วงเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศจะแปรปรวน ความกดอากาศอ่อนกําลังลง ก็เป็นอีกช่วงที่เราต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องสําหรับรายละเอียดมาตรการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กล่าวข้างต้น พี่น้องประชาชนสามารถ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ
สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า รัฐบาลได้ยกระดับให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ติดตามและประเมินสถานการณ์ รวมทั้งการสั่งการต่างๆ ทั้งในเรื่องของไวรัสโคโรนา และฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างเป็นเอกภาพ โดยผมจะกํากับดูแลเองอย่างใกล้ชิด เพื่อหาข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการของทุกกระทรวงรายกิจกรรมเพื่อสั่งการเพิ่มเติมได้ทันที จากมาตรฐานตามกฎหมายที่กําหนดไว้เดิม เมื่อจําเป็น โดยต้องร่วมกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศให้เป็นไปในทางเดียวกัน ตามหลักสากลอย่างเข้มงวดและปฏิบัติได้จริง ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศด้วยดีมาโดยตลอด ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย รักษาสุขภาพ และช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ กลับสู่สถานการณ์ปกติให้ได้โดยเร็ว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยของทุกคนด้วย นะครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
..............
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณี “ไวรัสโคโรนา” และ “ฝุ่น PM 2.5” 27 มกราคม 2563
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่าน
ตามที่ทุกท่านได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง กรณีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส “โคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ณ เวลานี้ การคัดกรองและเฝ้าระวัง เป็นไปอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นระดับ 3 ให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อติดตามสถานการณ์โรค ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และกําหนดมาตรการต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้ง สามารถบริหารจัดการทรัพยากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และทางทหาร ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวัง ค้นหา และคัดกรอง ณ ช่องทางเข้า-ออกประเทศ ทั้ง 5 สนามบิน และช่องทางอื่นๆ ทั้งทางบก บริเวณชายแดน และทางเรือ ณ ท่าเรือต่างๆ ด้วย เพื่อคัดกรองผู้เดินทางมาจากทุกพื้นที่เสี่ยง อาทิ เมืองอู่ฮั่น กว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง และเมืองอื่นๆ ที่มีการระบาด ตามคําประกาศของทางการจีน นอกจากนี้ ยังมีความพร้อมในการรักษา ส่งต่อ และการจัดตั้งพื้นที่ควบคุม เมื่อมีความจําเป็น ที่สําคัญ รัฐบาลได้บูรณาการการทํางานร่วมกันของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รวมทั้งกรมประชาสัมพันธ์ในการรับมือ ป้องกัน และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง แม่นยํา ให้กับประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศในบ้านเรา โดยผมได้เน้นย้ําการชี้แจงสถานการณ์ตามข้อเท็จจริง โดยไม่ปิดบังข้อมูลใดๆ และยึดหลักการว่า “ชีวิตและสุขภาพของประชาชนสําคัญที่สุด” ขอให้มั่นใจว่าการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาตรฐานสากล การคัดกรองได้ผลดี พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสนี้ 8 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากประเทศจีน โดย 5 รายแรกหายแล้ว แพทย์ให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี เหลือผู้ป่วยอีก 3 ราย ที่ยังคงรับการรักษาในโรงพยาบาลของเรา สถานการณ์โดยรวมขณะนี้
ถือว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 100% แต่เราต้องไม่ประมาท เราต้องช่วยกันสอดส่อง เป็นหูเป็นตา ในการเฝ้าระวังและดูแลตัวเอง ให้ความร่วมมือกับทางการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกันกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ เน้นดูแลสุขอนามัยเรื่อง “กินร้อน ช้อนกลางล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย” ทั้งนี้ รัฐบาลขอยืนยันในความพร้อมของระบบการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีมาตรการเฝ้าระวังและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ติดอันดับ 6 จาก 195 ประเทศ จากการจัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของทุกคน ว่าเราเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
สําหรับการเตรียมอพยพชาวไทยในพื้นที่เสี่ยง ณ เมืองต่างๆ จากประเทศจีนนั้น ขณะนี้รัฐบาลมีความพร้อมที่จะปฏิบัติได้ทันที ในโอกาสแรกที่ได้รับการอนุญาตจากประเทศจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดของกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบัน เราสามารถติดต่อได้กับทุกคน ทั้งในลักษณะบุคคลและการแจ้งการปฏิบัติเป็นกลุ่ม สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคระบาด คือ “ข่าวปลอม” รวมทั้งแหล่งข่าวที่หวังดี แต่อาจคลาดเคลื่อน รัฐบาลได้วางแนวทางการรับมือ ในการกําหนดช่องทางสื่อสารหลัก เพื่อให้เกิดเอกภาพ และน่าเชื่อถือได้ที่สุด จากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้โดยตรง ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดําเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคน สื่อโซเชี่ยล ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการแชร์ หรือเผยแพร่ออกไป เนื่องจากจะสร้างความสับสน และตื่นตระหนกในภาพรวมของประเทศได้
ส่วนมาตรการในระยะยาว และคําแนะนําในการปฏิบัติตัวของแต่ละคน และข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันที่สุด ในรายละเอียดอื่นๆ พี่น้องประชาชนสามารถติดตามข่าวสารได้อย่างต่อเนื่องจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการแถลงข่าวทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายนะครับ
ในส่วนของสถานการณ์ปัญหา “ฝุ่นละออง PM2.5” ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยและไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกําหนดมาตรการและแนวทางการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง และได้ประกาศให้ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติ ออกมาตรการและแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนฯ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง หรือแหล่งกําเนิด และการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบ เครื่องมือ และกลไกการบริหารจัดการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทวงอุตสาหกรรม และอื่นๆ ทั้งหมดถูกกําหนดอยู่ในแผนปฏิบัติการระยะสั้น และระยะยาว
รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่ากรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ใช้ระบบบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Single Command ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเข้มงวด ในการกํากับดูแลควบคุมแหล่งกําเนิดฝุ่นละออง ทั้งจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง โดยให้รายงานผลการดําเนินการในการแก้ไขปัญหาไปยังกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบเป็นประจํา “ทุกวัน” ถึงผลการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติรายกิจกรรม
สําหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้น รัฐบาลมีแผนเร่งการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงกันทุกระบบ การปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะ การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิง และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับกําชับให้หน่วยงานเร่งรัดการดําเนินงานให้เป็นตามแผนงานที่กําหนดหรือให้แล้วเสร็จก่อนกําหนด สําหรับภาคการเกษตรจะมีการรณรงค์ให้ใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุการเกษตร เพื่อไม่ให้มีการเผา และส่งเสริมเกษตรกรที่ไม่ใช้วิธีการเผา การปรับเปลี่ยนร่องการปลูกพืชการเกษตรให้สามารถใช้เครื่องมือได้ โดยเฉพาะอ้อย โรงงานเอกชนต้องร่วมมือกันจัดหาเครื่องจักรที่มีราคาสูงให้ประชาชนและเกษตรกรใช้ได้ นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐ สําหรับภาคอุตสาหกรรม จะมีการปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และกํากับดูแลควบคุมการระบายมลพิษอย่างเข้มงวด ทางด้านสาธารณสุข ได้มีการเปิดคลินิกมลพิษเพื่อรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง มีการขอความร่วมมือจัด “ห้องสะอาด” หรือ clean room ตามศูนย์เด็กเล็ก บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทําแผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ
พี่น้องประชาชนครับ แม้ช่วงนี้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นช่วงเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศจะแปรปรวน ความกดอากาศอ่อนกําลังลง ก็เป็นอีกช่วงที่เราต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องสําหรับรายละเอียดมาตรการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กล่าวข้างต้น พี่น้องประชาชนสามารถ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ
สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า รัฐบาลได้ยกระดับให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ติดตามและประเมินสถานการณ์ รวมทั้งการสั่งการต่างๆ ทั้งในเรื่องของไวรัสโคโรนา และฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างเป็นเอกภาพ โดยผมจะกํากับดูแลเองอย่างใกล้ชิด เพื่อหาข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการของทุกกระทรวงรายกิจกรรมเพื่อสั่งการเพิ่มเติมได้ทันที จากมาตรฐานตามกฎหมายที่กําหนดไว้เดิม เมื่อจําเป็น โดยต้องร่วมกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศให้เป็นไปในทางเดียวกัน ตามหลักสากลอย่างเข้มงวดและปฏิบัติได้จริง ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศด้วยดีมาโดยตลอด ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย รักษาสุขภาพ และช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ กลับสู่สถานการณ์ปกติให้ได้โดยเร็ว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยของทุกคนด้วย นะครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
..............
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26091
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
|
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมขยายการให้บริการผสมเทียมครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เกษตรกรเข้าถึงมากขึ้น
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ โครงการหลวงอินทนนท์ ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ริเริ่มพัฒนาปรับปรุงพันธุ์โคนม โคเนื้อโดยใช้เทคโนโลยีผสมเทียมตั้งแต่ปี 2499 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้นําเข้าพ่อโคพันธ์ุจากต่างประเทศมาใช้ในการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถปรับปรุงโคนม โคเนื้อของเกษตรกร และเพิ่มมูลค่าให้แก่ปศุสัตว์ของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง กรมปศุสัตว์จึงได้มีการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ขึ้น เพื่อวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงสัตว์พ่อพันธุ์โคเนื้อโคนมพันธุ์ดีเยี่ยมที่ผ่านการทดสอบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโคสายพันธุ์ยุโรปซึ่งมีศักยภาพสูงในการปรับปรุงพันธุ์ปศุสัตว์ของประเทศไทย รวมทั้งวิจัยและพัฒนาการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งให้มีประสิทธิภาพสูงตลอดปี
นายลักษณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีศูนย์วิจัยและผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการหลวงอินทนนท์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และลําพญากลาง โดยจะผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โค ทั้งโคเนื้อและโคนม ในส่วนของโครงการหลวงอินทนนท์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นพ่อพันธุ์โคเนื้อจากต่างประเทศ และพ่อพันธุ์ที่ต้องการอากาศเย็น ซึ่งทั้ง 3 ศูนย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มและศูนย์ผลิตน้ําเชื้อมาตรฐาน โดยมีพ่อโครวมทั้งสิ้น 111 ตัว (โคนม 73 ตัว และโคเนื้อ 38ตัว) ศูนย์ฯ มีกําลังการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งรวม 974,000 โด๊สต่อปี แบ่งเป็น 1. น้ําเชื้อโคนม 570,000 โด๊ส และ 2. น้ําเชื้อโคเนื้อ 404,000 โด๊ส
ทั้งนี้ ภาพรวมการผสมเทียมโคนมในประเทศไทยนั้น มีจํานวนโคนมในประเทศ ประมาณ 560,000 ตัว อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่สามารถผสมได้ 400,000 ตัว ได้รับบริการผสมเทียมร้อยละ 99 และมีปริมาณการใช้น้ําเชื้อแช่แข็งของกรมปศุสัตว์400,000 โด๊สต่อปี ส่วนจํานวนโคเนื้อเพศเมีย (วัยเจริญพันธุ์) มีประมาณ 1.66 ล้านตัว ได้รับบริการผสมเทียมประมาณ600,000 ตัว และมีปริมาณการใช้น้ําเชื้อแช่แข็งของกรมปศุสัตว์ 400,000 โด๊สต่อปี
สําหรับแนวทางการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อและโคนมเพื่อรองรับ FTA กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จะผลักดันเรื่องการรองรับมาตรฐานศูนย์ผลิตน้ําเชื้อเอกชนเพื่อกระตุ้นให้เอกชนผลิตน้ําเชื้อคุณภาพดีเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการผสมเทียมให้ดีขึ้น และส่งเสริมการส่งออกน้ําเชื้อไปจําหน่ายยังต่างประเทศ รวมทั้งดําเนินการด้านกฎหมายในศูนย์ผลิตน้ําเชื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมเพิ่มศักยภาพห้องปฏิบัติการตรวจคุณภาพน้ําเชื้อของกรมปศุสัตว์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (ISO17025 ภายในปี 2563) อีกทั้งสนับสนุนงบประมาณในการเพิ่มหน่วยผสมเทียมและเพิ่มการให้บริการผสมเทียมของกรมปศุสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เกษตรกรเข้าถึงบริการได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนผลักดันการจําหน่ายน้ําเชื้อของกรมปศุสัตว์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
กระทรวงเกษตรฯ ผลักดันศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน จําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมขยายการให้บริการผสมเทียมครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เกษตรกรเข้าถึงมากขึ้น
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ โครงการหลวงอินทนนท์ ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ริเริ่มพัฒนาปรับปรุงพันธุ์โคนม โคเนื้อโดยใช้เทคโนโลยีผสมเทียมตั้งแต่ปี 2499 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้นําเข้าพ่อโคพันธ์ุจากต่างประเทศมาใช้ในการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถปรับปรุงโคนม โคเนื้อของเกษตรกร และเพิ่มมูลค่าให้แก่ปศุสัตว์ของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง กรมปศุสัตว์จึงได้มีการดําเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ผลิตน้ําเชื้อพ่อโคพันธุ์ขึ้น เพื่อวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงสัตว์พ่อพันธุ์โคเนื้อโคนมพันธุ์ดีเยี่ยมที่ผ่านการทดสอบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโคสายพันธุ์ยุโรปซึ่งมีศักยภาพสูงในการปรับปรุงพันธุ์ปศุสัตว์ของประเทศไทย รวมทั้งวิจัยและพัฒนาการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งให้มีประสิทธิภาพสูงตลอดปี
นายลักษณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีศูนย์วิจัยและผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการหลวงอินทนนท์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และลําพญากลาง โดยจะผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์โค ทั้งโคเนื้อและโคนม ในส่วนของโครงการหลวงอินทนนท์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นพ่อพันธุ์โคเนื้อจากต่างประเทศ และพ่อพันธุ์ที่ต้องการอากาศเย็น ซึ่งทั้ง 3 ศูนย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มและศูนย์ผลิตน้ําเชื้อมาตรฐาน โดยมีพ่อโครวมทั้งสิ้น 111 ตัว (โคนม 73 ตัว และโคเนื้อ 38ตัว) ศูนย์ฯ มีกําลังการผลิตน้ําเชื้อแช่แข็งรวม 974,000 โด๊สต่อปี แบ่งเป็น 1. น้ําเชื้อโคนม 570,000 โด๊ส และ 2. น้ําเชื้อโคเนื้อ 404,000 โด๊ส
ทั้งนี้ ภาพรวมการผสมเทียมโคนมในประเทศไทยนั้น มีจํานวนโคนมในประเทศ ประมาณ 560,000 ตัว อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่สามารถผสมได้ 400,000 ตัว ได้รับบริการผสมเทียมร้อยละ 99 และมีปริมาณการใช้น้ําเชื้อแช่แข็งของกรมปศุสัตว์400,000 โด๊สต่อปี ส่วนจํานวนโคเนื้อเพศเมีย (วัยเจริญพันธุ์) มีประมาณ 1.66 ล้านตัว ได้รับบริการผสมเทียมประมาณ600,000 ตัว และมีปริมาณการใช้น้ําเชื้อแช่แข็งของกรมปศุสัตว์ 400,000 โด๊สต่อปี
สําหรับแนวทางการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อและโคนมเพื่อรองรับ FTA กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จะผลักดันเรื่องการรองรับมาตรฐานศูนย์ผลิตน้ําเชื้อเอกชนเพื่อกระตุ้นให้เอกชนผลิตน้ําเชื้อคุณภาพดีเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการผสมเทียมให้ดีขึ้น และส่งเสริมการส่งออกน้ําเชื้อไปจําหน่ายยังต่างประเทศ รวมทั้งดําเนินการด้านกฎหมายในศูนย์ผลิตน้ําเชื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมเพิ่มศักยภาพห้องปฏิบัติการตรวจคุณภาพน้ําเชื้อของกรมปศุสัตว์ให้ได้รับมาตรฐานสากล (ISO17025 ภายในปี 2563) อีกทั้งสนับสนุนงบประมาณในการเพิ่มหน่วยผสมเทียมและเพิ่มการให้บริการผสมเทียมของกรมปศุสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เกษตรกรเข้าถึงบริการได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนผลักดันการจําหน่ายน้ําเชื้อของกรมปศุสัตว์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18107
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" ลั่น 1 ปี ผุดกระทรวงการอุดมศึกษา จี้มหาวิทยาลัยเปิดช่องเรียนข้ามคณะ จัดหลักสูตรรับผู้สูงอายุทำงาน
|
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" ลั่น 1 ปี ผุดกระทรวงการอุดมศึกษา จี้มหาวิทยาลัยเปิดช่องเรียนข้ามคณะ จัดหลักสูตรรับผู้สูงอายุทํางาน
คึกคัก!! ศธ.รับ "หมออุดม" ถือฤกษ์ดี 5 ธันวา วันมงคล เข้าทํางานที่กระทรวงศึกษาฯ โดยมีเจ้ากระทรวงรอให้การต้อนรับ พร้อมเน้นย้ําการปฏิรูปการศึกษาต้องทําทุกระทุกระดับ เชื่อมโยงทั้งระบบ และบูรณาการนํายุทธศาสตร์ประเทศมาเป็นเป้าหมายหลัก
คึกคัก!! ศธ.รับ "หมออุดม" ถือฤกษ์ดี 5 ธันวา วันมงคล เข้าทํางานที่กระทรวงศึกษาฯ โดยมีเจ้ากระทรวงรอให้การต้อนรับ พร้อมเน้นย้ําการปฏิรูปการศึกษาต้องทําทุกระทุกระดับ เชื่อมโยงทั้งระบบ และบูรณาการนํายุทธศาสตร์ประเทศมาเป็นเป้าหมายหลัก
เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 5 ธ.ค.2560 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ ได้เข้ารับตําแหน่งที่ ศธ.อย่างเป็นทางการ โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ. ข้าราชการ บุคลากรต้อนรับ โดย นพ.อุดม ได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํา ศธ. ก่อนขึ้นห้องทํางานบนชั้น 2 ของอาคารราชวัลลภ
"ดังนั้นจากนี้ อยากให้บรรยากาศการทํางานอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไป ช่วยวางแนวทางเพราะเมืองนักการเมืองเข้ามา หากแนวทางเราดี เขาก็ต้องทําตามที่เราวางไว้ ข้าราชการจะได้ไม่ต้องรับแรงกดดันทางการเมืองโดยไม่จําเป็น" นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
นพ.อุดมเปิดเผยถึงนโยบายที่อยากผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในช่วง 1 ปีที่ดํารงตําแหน่ง รมช.ศึกษาธิการว่าอย่างแรกคือ ผลักดันให้เกิดกระทรวงการอุดมศึกษา ซึ่งได้หารือกับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่มี ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธานเรียบร้อยแล้ว รายละเอียดต่าง ๆ ที่ได้รับข้อเสนอมา ทางคณะทํางานเตรียมการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาซึ่งตนเป็นประธานได้ปรับปรุงรายละเอียดค่อนข้างเรียบร้อย คาดว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอิสระฯ ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หากคณะกรรมการอิสระฯให้ความเห็นชอบจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา
เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล จากนั้นก็นําเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ คาดว่าใช้เวลา 8-9 เดือน ก็จะมีผลบังคับใช้และเกิดเป็นกระทรวงการอุดมศึกษาซึ่งต้องเร่งดําเนินการให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษาจะเป็นหน่วยงานสําคัญในการวางแผนผลิตกําลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องเดินหน้าการปฏิรูปการศึกษา ระยะเร่งด่วน ตนจะไปทําความเข้าใจกับทุกมหาวิทยาลัยในเรื่องการจัดการเรียนการสอนที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันอัตราการเกิดน้อยลง การเรียนเพียงศาสตร์เดียวไม่เพียงพอ จึงอยากให้มหาวิทยาลัยปรับรูปแบบการเรียนการสอนโดยเปิดช่องให้นักศึกษาสามารถเรียนข้ามสาขา/คณะได้ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ สามารถเลือกเรียนบริหารหรือนิติศาสตร์ได้ เพื่อให้มีความรู้รอบด้าน
รวมทั้งอยากให้มหาวิทยาลัยจัดทําหลักสูตรรองรับผู้สูงอายุ เพราะอีกประมาณ 13 ปีจํานวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น 25% ของจํานวนประชากรทั้งหมดมหาวิทยาลัยต้องรองรับเปิดหลักสูตรให้ผู้สูงอายุได้เรียนและจบออกไปทํางานอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งต้องปลดล็อกระเบียบการจํากัดอายุผู้เรียนที่ส่วนใหญ่กําหนดรับผู้เรียนปริญญาตรีไม่เกิน 35 ปี เรื่องเหล่านี้เป็นอํานาจของสภามหาวิทยาลัยดําเนินการได้ทันที
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่านอกจากเรื่องอุดมศึกษาแล้ว ตนยังได้รับมอบหมายให้ลงไปแก้ปัญหาระบบอินเตอร์เน็ตในโรงเรียนกว่า 3 หมื่นโรง ให้สามารถใช้ประกอบการเรียนการสอนได้อย่างราบรื่น เพราะที่ผ่านมาพบว่าใช้งานได้ดีเพียงไม่กี่แห่ง โดยในการประชุม ครม.สัญจร วันที่ 25-26 ธ.ค. ตนจะลงพื้นที่ไปดูปัญหาการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ จ.พิษณุโลก ก่อน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
-https://www.thairath.co.th/content/1144783
- https://www.thairath.co.th/content/1145292
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" ลั่น 1 ปี ผุดกระทรวงการอุดมศึกษา จี้มหาวิทยาลัยเปิดช่องเรียนข้ามคณะ จัดหลักสูตรรับผู้สูงอายุทำงาน
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" ลั่น 1 ปี ผุดกระทรวงการอุดมศึกษา จี้มหาวิทยาลัยเปิดช่องเรียนข้ามคณะ จัดหลักสูตรรับผู้สูงอายุทํางาน
คึกคัก!! ศธ.รับ "หมออุดม" ถือฤกษ์ดี 5 ธันวา วันมงคล เข้าทํางานที่กระทรวงศึกษาฯ โดยมีเจ้ากระทรวงรอให้การต้อนรับ พร้อมเน้นย้ําการปฏิรูปการศึกษาต้องทําทุกระทุกระดับ เชื่อมโยงทั้งระบบ และบูรณาการนํายุทธศาสตร์ประเทศมาเป็นเป้าหมายหลัก
คึกคัก!! ศธ.รับ "หมออุดม" ถือฤกษ์ดี 5 ธันวา วันมงคล เข้าทํางานที่กระทรวงศึกษาฯ โดยมีเจ้ากระทรวงรอให้การต้อนรับ พร้อมเน้นย้ําการปฏิรูปการศึกษาต้องทําทุกระทุกระดับ เชื่อมโยงทั้งระบบ และบูรณาการนํายุทธศาสตร์ประเทศมาเป็นเป้าหมายหลัก
เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 5 ธ.ค.2560 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ ได้เข้ารับตําแหน่งที่ ศธ.อย่างเป็นทางการ โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ. ข้าราชการ บุคลากรต้อนรับ โดย นพ.อุดม ได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํา ศธ. ก่อนขึ้นห้องทํางานบนชั้น 2 ของอาคารราชวัลลภ
"ดังนั้นจากนี้ อยากให้บรรยากาศการทํางานอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไป ช่วยวางแนวทางเพราะเมืองนักการเมืองเข้ามา หากแนวทางเราดี เขาก็ต้องทําตามที่เราวางไว้ ข้าราชการจะได้ไม่ต้องรับแรงกดดันทางการเมืองโดยไม่จําเป็น" นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
นพ.อุดมเปิดเผยถึงนโยบายที่อยากผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในช่วง 1 ปีที่ดํารงตําแหน่ง รมช.ศึกษาธิการว่าอย่างแรกคือ ผลักดันให้เกิดกระทรวงการอุดมศึกษา ซึ่งได้หารือกับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่มี ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธานเรียบร้อยแล้ว รายละเอียดต่าง ๆ ที่ได้รับข้อเสนอมา ทางคณะทํางานเตรียมการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาซึ่งตนเป็นประธานได้ปรับปรุงรายละเอียดค่อนข้างเรียบร้อย คาดว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอิสระฯ ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หากคณะกรรมการอิสระฯให้ความเห็นชอบจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา
เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล จากนั้นก็นําเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ คาดว่าใช้เวลา 8-9 เดือน ก็จะมีผลบังคับใช้และเกิดเป็นกระทรวงการอุดมศึกษาซึ่งต้องเร่งดําเนินการให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษาจะเป็นหน่วยงานสําคัญในการวางแผนผลิตกําลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องเดินหน้าการปฏิรูปการศึกษา ระยะเร่งด่วน ตนจะไปทําความเข้าใจกับทุกมหาวิทยาลัยในเรื่องการจัดการเรียนการสอนที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันอัตราการเกิดน้อยลง การเรียนเพียงศาสตร์เดียวไม่เพียงพอ จึงอยากให้มหาวิทยาลัยปรับรูปแบบการเรียนการสอนโดยเปิดช่องให้นักศึกษาสามารถเรียนข้ามสาขา/คณะได้ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ สามารถเลือกเรียนบริหารหรือนิติศาสตร์ได้ เพื่อให้มีความรู้รอบด้าน
รวมทั้งอยากให้มหาวิทยาลัยจัดทําหลักสูตรรองรับผู้สูงอายุ เพราะอีกประมาณ 13 ปีจํานวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น 25% ของจํานวนประชากรทั้งหมดมหาวิทยาลัยต้องรองรับเปิดหลักสูตรให้ผู้สูงอายุได้เรียนและจบออกไปทํางานอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งต้องปลดล็อกระเบียบการจํากัดอายุผู้เรียนที่ส่วนใหญ่กําหนดรับผู้เรียนปริญญาตรีไม่เกิน 35 ปี เรื่องเหล่านี้เป็นอํานาจของสภามหาวิทยาลัยดําเนินการได้ทันที
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่านอกจากเรื่องอุดมศึกษาแล้ว ตนยังได้รับมอบหมายให้ลงไปแก้ปัญหาระบบอินเตอร์เน็ตในโรงเรียนกว่า 3 หมื่นโรง ให้สามารถใช้ประกอบการเรียนการสอนได้อย่างราบรื่น เพราะที่ผ่านมาพบว่าใช้งานได้ดีเพียงไม่กี่แห่ง โดยในการประชุม ครม.สัญจร วันที่ 25-26 ธ.ค. ตนจะลงพื้นที่ไปดูปัญหาการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ จ.พิษณุโลก ก่อน
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
-https://www.thairath.co.th/content/1144783
- https://www.thairath.co.th/content/1145292
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เข้ม ต่างด้าว แย่งอาชีพคนไทย
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
กกจ. เข้ม ต่างด้าว แย่งอาชีพคนไทย
กรมการจัดหางานชี้แจงไม่เคยอนุญาตให้คนต่างด้าวทําอาชีพขายไอติม เพราะคนต่างด้าวไม่สามารถทําได้ พร้อมสั่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด พบกระทําผิดดําเนินคดีทั้งนายจ้างและคนต่างด้าวทันที ไม่มีข้อยกเว้น
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า พบแรงงานต่างด้าวขี่รถขายไอติม แย่งอาชีพคนไทย ทําให้คนไทยได้รับความเดือดร้อน ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานมิได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศของกรมการจัดหางาน โดยเฉพาะจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวทํางานเป็นจํานวนมาก เช่น สมุทรสาคร ปทุมธานี สมุทรปราการ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร อาทิ เขตห้วยขวาง เขตสุขุมวิท เป็นต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากรถขายไอติมเป็นงานเร่ขายสินค้า ที่ห้ามคนต่างด้าวทําและเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กําหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทํา ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2563 และหากนายจ้าง/สถานประกอบการจะจ้างแรงงานต่างด้าวทํางานงานกรรมกร และงานขายของหน้าร้าน จะต้องปฏิบัติตามประกาศกรมการจัดหางาน เรื่อง เงื่อนไขการรับคนต่างด้าวเข้าทํางานกรรกรและงานขายของหน้าร้านกับนายจ้าง ซึ่งต้องเป็นคนต่างด้าวของประเทศที่ไทยมี MOU ด้วยเท่านั้น คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
“ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว นายจ้างต้องดําเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว ต้องคํานึงถึงความมั่นคงของชาติ ความจําเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทย พร้อมเร่งให้กรมการจัดหางานประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ ให้ทราบและปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับคนต่างด้าวเข้าทํางาน
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 กรมการจัดหางาน ได้ตรวจสอบการทํางานของแรงงานต่างด้าวทั่วประเทศ จํานวน 367,343 คน ดําเนินคดี จํานวน 1,601 คน พบเป็นเมียนมามากสุด จํานวน 832 คน รองลงมาเป็นกัมพูชา 318 คน ลาว 301 คน เวียดนาม 43 คน และอื่นๆ 107 คน
เป็นแรงงานต่างด้าวทํางานที่ห้ามคนต่างด้าวทํา คือ งานขายของหน้าร้าน จํานวน 9,582 คน งานเร่ขายสินค้า 490 คน และงานอื่นๆ จํานวน 19,811 คน ได้แก่ คนงานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย งานนวดแผนไทย งานจําหน่ายอาหาร(คนต่างด้าวเป็นเจ้าของเอง) งานเสริมสวย คนงานบริการ งานก่ออิฐช่างไม้หรืองานก่อสร้างอื่น พนักงานรักษาความปลอดภัย ขับขี่ยานพาหนะ งานบริการนําเที่ยว งานรับใช้ในบ้าน งานทําหมวก งานกสิกรรม และได้เปรียบเทียบปรับแรงงานต่างด้าว คิดเป็นเงินค่าปรับจํานวน 1,948,500 บาท ผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้ว จํานวน 368 คน ” อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรมการจัดหางานไม่เคยออกใบอนุญาตทํางานให้กับคนต่างด้าวในอาชีพขายไอติมแต่อย่างใด เพราะเป็นงานที่คนต่างด้าวไม่สามารถทําได้ นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างด้าวทํางานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องทุกข์ได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เข้ม ต่างด้าว แย่งอาชีพคนไทย
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
กกจ. เข้ม ต่างด้าว แย่งอาชีพคนไทย
กรมการจัดหางานชี้แจงไม่เคยอนุญาตให้คนต่างด้าวทําอาชีพขายไอติม เพราะคนต่างด้าวไม่สามารถทําได้ พร้อมสั่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด พบกระทําผิดดําเนินคดีทั้งนายจ้างและคนต่างด้าวทันที ไม่มีข้อยกเว้น
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า พบแรงงานต่างด้าวขี่รถขายไอติม แย่งอาชีพคนไทย ทําให้คนไทยได้รับความเดือดร้อน ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานมิได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศของกรมการจัดหางาน โดยเฉพาะจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวทํางานเป็นจํานวนมาก เช่น สมุทรสาคร ปทุมธานี สมุทรปราการ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร อาทิ เขตห้วยขวาง เขตสุขุมวิท เป็นต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากรถขายไอติมเป็นงานเร่ขายสินค้า ที่ห้ามคนต่างด้าวทําและเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กําหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทํา ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2563 และหากนายจ้าง/สถานประกอบการจะจ้างแรงงานต่างด้าวทํางานงานกรรมกร และงานขายของหน้าร้าน จะต้องปฏิบัติตามประกาศกรมการจัดหางาน เรื่อง เงื่อนไขการรับคนต่างด้าวเข้าทํางานกรรกรและงานขายของหน้าร้านกับนายจ้าง ซึ่งต้องเป็นคนต่างด้าวของประเทศที่ไทยมี MOU ด้วยเท่านั้น คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
“ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว นายจ้างต้องดําเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว ต้องคํานึงถึงความมั่นคงของชาติ ความจําเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทย พร้อมเร่งให้กรมการจัดหางานประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ ให้ทราบและปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับคนต่างด้าวเข้าทํางาน
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 กรมการจัดหางาน ได้ตรวจสอบการทํางานของแรงงานต่างด้าวทั่วประเทศ จํานวน 367,343 คน ดําเนินคดี จํานวน 1,601 คน พบเป็นเมียนมามากสุด จํานวน 832 คน รองลงมาเป็นกัมพูชา 318 คน ลาว 301 คน เวียดนาม 43 คน และอื่นๆ 107 คน
เป็นแรงงานต่างด้าวทํางานที่ห้ามคนต่างด้าวทํา คือ งานขายของหน้าร้าน จํานวน 9,582 คน งานเร่ขายสินค้า 490 คน และงานอื่นๆ จํานวน 19,811 คน ได้แก่ คนงานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย งานนวดแผนไทย งานจําหน่ายอาหาร(คนต่างด้าวเป็นเจ้าของเอง) งานเสริมสวย คนงานบริการ งานก่ออิฐช่างไม้หรืองานก่อสร้างอื่น พนักงานรักษาความปลอดภัย ขับขี่ยานพาหนะ งานบริการนําเที่ยว งานรับใช้ในบ้าน งานทําหมวก งานกสิกรรม และได้เปรียบเทียบปรับแรงงานต่างด้าว คิดเป็นเงินค่าปรับจํานวน 1,948,500 บาท ผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้ว จํานวน 368 คน ” อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรมการจัดหางานไม่เคยออกใบอนุญาตทํางานให้กับคนต่างด้าวในอาชีพขายไอติมแต่อย่างใด เพราะเป็นงานที่คนต่างด้าวไม่สามารถทําได้ นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างด้าวทํางานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องทุกข์ได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33268
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ CCOP
|
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Datuk Shahar Effendi bin Abdullah Azizi ประธานคณะกรรมการบริหารของคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับการสํารวจทรัพยากรธรณีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (Coordinating Committee for Geoscience Programmes in East and Southeast Asia: CCOP) และ Dr. Young Joo Lee ผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP โดยประธาน CCOP ได้กล่าวขอบคุณที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจําปีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับการสํารวจทรัพยากรธรณีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (CCOP) ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมคณะกรรมการบริหาร CCOP ครั้งที่ ๗๓ เมื่อวันที่ ๓ – ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และชื่นชมประเทศไทยที่สนับสนุนการดําเนินงานของ CCOP และความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งยินดีที่ประเทศไทยผลักดันการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรณีวิทยา (GEO park) แห่งใหม่ ในการนี้ Dr. Young Joo Lee ผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP ได้นําเสนอความเป็นมาของ CCOP โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากประเทศที่ให้ความร่วมมือ (Cooperating Countries) ๑๕ ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศที่ให้ความร่วมมือ (Cooperating Organizations) มีกลไกการบริหารงานโดยคณะกรรมการบริหาร (Steering Committee) ประกอบด้วย ผู้แทนถาวรจากประเทศสมาชิก ๑๕ ประเทศ มีฝ่ายเลขาธิการ คือ สํานักงานเลขาธิการ CCOP (CCOP Technical Secretariat) ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศไทยรวมถึงการดําเนินงานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเทคโนโลยีด้านธรณีวิทยาที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวกับผู้แทน CCOPว่ามีความสนใจในเรื่องการจัดทํา Underground water mapping ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเพื่อใช้ในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพต่อไป ท้ายสุดนี้ ผู้แทน CCOP ได้นําเสนอโครงการ Urban Geology ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีในการสํารวจธรณีสัณฐานใต้ดินที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงการยุบตัวของเมืองอีกทั้งข้อมูลดังกล่าวจะใช้ในการป้องกันน้ําท่วนทั้งที่เกิดจากน้ําท่วมตามฤดูการและน้ําทะเลหนุน โดยได้เลือกกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ทําการศึกษา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ยินดีที่จะสนับสนุนการดําเนินงานร่วมกันในอนาคตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ CCOP
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รมว.ทส. ให้การต้อนรับประธานคณะกรรมการบริหาร CCOP และผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Datuk Shahar Effendi bin Abdullah Azizi ประธานคณะกรรมการบริหารของคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับการสํารวจทรัพยากรธรณีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (Coordinating Committee for Geoscience Programmes in East and Southeast Asia: CCOP) และ Dr. Young Joo Lee ผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP โดยประธาน CCOP ได้กล่าวขอบคุณที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจําปีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับการสํารวจทรัพยากรธรณีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (CCOP) ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมคณะกรรมการบริหาร CCOP ครั้งที่ ๗๓ เมื่อวันที่ ๓ – ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และชื่นชมประเทศไทยที่สนับสนุนการดําเนินงานของ CCOP และความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งยินดีที่ประเทศไทยผลักดันการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรณีวิทยา (GEO park) แห่งใหม่ ในการนี้ Dr. Young Joo Lee ผู้อํานวยการสํานักงานเลขาธิการ CCOP ได้นําเสนอความเป็นมาของ CCOP โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากประเทศที่ให้ความร่วมมือ (Cooperating Countries) ๑๕ ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศที่ให้ความร่วมมือ (Cooperating Organizations) มีกลไกการบริหารงานโดยคณะกรรมการบริหาร (Steering Committee) ประกอบด้วย ผู้แทนถาวรจากประเทศสมาชิก ๑๕ ประเทศ มีฝ่ายเลขาธิการ คือ สํานักงานเลขาธิการ CCOP (CCOP Technical Secretariat) ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศไทยรวมถึงการดําเนินงานในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเทคโนโลยีด้านธรณีวิทยาที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวกับผู้แทน CCOPว่ามีความสนใจในเรื่องการจัดทํา Underground water mapping ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเพื่อใช้ในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพต่อไป ท้ายสุดนี้ ผู้แทน CCOP ได้นําเสนอโครงการ Urban Geology ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีในการสํารวจธรณีสัณฐานใต้ดินที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงการยุบตัวของเมืองอีกทั้งข้อมูลดังกล่าวจะใช้ในการป้องกันน้ําท่วนทั้งที่เกิดจากน้ําท่วมตามฤดูการและน้ําทะเลหนุน โดยได้เลือกกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ทําการศึกษา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ยินดีที่จะสนับสนุนการดําเนินงานร่วมกันในอนาคตต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25310
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 (เพิ่มเติม 2)
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 (เพิ่มเติม 2)
ก.คลังเปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิมคือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.46 ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะแถลงข่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังเป็นอย่างดี และเพื่อรองรับความต้องการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของประชาชนที่มีอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงจะเปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิมคือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.46 ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับเงื่อนไขการจําหน่าย โดยจะจําหน่ายให้กับประชาชนรายย่อยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น จํากัดวงเงินการซื้อรวมทุกรุ่นไม่เกิน 2,000,000 บาท ต่อ 1 ธนาคารตัวแทนจําหน่าย และเริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562
กระทรวงการคลังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากประชาชนเช่นเดิม โดยผู้ที่มีความประสงค์จะลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์สามารถสอบถามและซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งเคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ระบบ Internet Banking และ Mobile Application ของตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน)
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 (เพิ่มเติม 2)
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 (เพิ่มเติม 2)
ก.คลังเปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิมคือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.46 ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะแถลงข่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังเป็นอย่างดี และเพื่อรองรับความต้องการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของประชาชนที่มีอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงจะเปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิมคือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.46 ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับเงื่อนไขการจําหน่าย โดยจะจําหน่ายให้กับประชาชนรายย่อยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น จํากัดวงเงินการซื้อรวมทุกรุ่นไม่เกิน 2,000,000 บาท ต่อ 1 ธนาคารตัวแทนจําหน่าย และเริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562
กระทรวงการคลังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากประชาชนเช่นเดิม โดยผู้ที่มีความประสงค์จะลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์สามารถสอบถามและซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งเคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ระบบ Internet Banking และ Mobile Application ของตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน)
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17337
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเผย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 61 บูม กิจการท่องเที่ยวแห่ลงทุนในภูเก็ต-ชลบุรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561
บีโอไอเผย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 61 บูม กิจการท่องเที่ยวแห่ลงทุนในภูเก็ต-ชลบุรี
บีโอไอเผย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยปีนี้มีโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ได้รับการส่งเสริมหลายราย มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ในจังหวัดภูเก็ตและชลบุรีซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสําคัญ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในปีนี้ กิจการสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดยมีนักลงทุนยื่นขอรับการส่งเสริมเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ หลายราย และบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมโครงการใหญ่ไปแล้วรวม 5 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 5,000 ล้านบาท
โดยมีโครงการที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสวนน้ํา วานานาวา เงินลงทุน 2,430 ล้านบาท และสวนน้ําของนักธุรกิจจากประเทศสหราชอาณาจักร เงินลงทุน 1,346 ล้านบาท
ส่วนที่จังหวัดชลบุรี มีกิจการหลากหลายได้แก่ โครงการเมืองจําลองอาณาจักรในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ของบริษัท บูรพา สตูดิโอ จํากัด เงินลงทุน 975 ล้านบาท โครงการจัดแสดงโลมา สิงโตทะเลและแมวน้ํา ของบริษัท ดอลฟินส์ เบย์ พัทยา จํากัด เงินลงทุน 170 ล้านบาท และโครงการพิพิธภัณฑ์งานศิลปะและประติมากรรมของบริษัท พาโรดี้ อาร์ท มิวเซียม จํากัด เงินลงทุน 80 ล้านบาท
“เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศและมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับประโยชน์อีกมาก บีโอไอได้ให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการหลากหลายประเภท อาทิ กิจการสวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมและพิพิธภัณฑ์ กระเช้าไฟฟ้า เรือเฟอร์รี่หรือเดินเรือท่องเที่ยว สวนสัตว์เปิด และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ํา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และทําให้เมืองท่องเที่ยวของไทยมีจุดขายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้วรวม 32 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท อาทิ สวนน้ําการ์ตูนเน็ตเวิร์ค สวนน้ํารามายณะ สวนน้ําซานโตรินี่พาร์ค สวนน้ําวานา นาวา สวนน้ําไดโน วอเตอร์พาร์ค ขอนแก่น หอชมเมืองกรุงเทพมหานคร คิดส์ซาเนีย ไลน์วิลเลจ พิพิธภัณฑ์ภาพวาดสามมิติ อาร์ท อิน พาราไดซ์ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ และสวนสนุกแหล่งรวมซูเปอร์ฮีโร่ เดอะมาร์เวล เอ็กซ์พีเรียนซ์ ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่นานมานี้
****************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเผย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 61 บูม กิจการท่องเที่ยวแห่ลงทุนในภูเก็ต-ชลบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561
บีโอไอเผย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 61 บูม กิจการท่องเที่ยวแห่ลงทุนในภูเก็ต-ชลบุรี
บีโอไอเผย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยปีนี้มีโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ได้รับการส่งเสริมหลายราย มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ในจังหวัดภูเก็ตและชลบุรีซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสําคัญ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในปีนี้ กิจการสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดยมีนักลงทุนยื่นขอรับการส่งเสริมเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ หลายราย และบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมโครงการใหญ่ไปแล้วรวม 5 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 5,000 ล้านบาท
โดยมีโครงการที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสวนน้ํา วานานาวา เงินลงทุน 2,430 ล้านบาท และสวนน้ําของนักธุรกิจจากประเทศสหราชอาณาจักร เงินลงทุน 1,346 ล้านบาท
ส่วนที่จังหวัดชลบุรี มีกิจการหลากหลายได้แก่ โครงการเมืองจําลองอาณาจักรในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ของบริษัท บูรพา สตูดิโอ จํากัด เงินลงทุน 975 ล้านบาท โครงการจัดแสดงโลมา สิงโตทะเลและแมวน้ํา ของบริษัท ดอลฟินส์ เบย์ พัทยา จํากัด เงินลงทุน 170 ล้านบาท และโครงการพิพิธภัณฑ์งานศิลปะและประติมากรรมของบริษัท พาโรดี้ อาร์ท มิวเซียม จํากัด เงินลงทุน 80 ล้านบาท
“เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศและมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับประโยชน์อีกมาก บีโอไอได้ให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการหลากหลายประเภท อาทิ กิจการสวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมและพิพิธภัณฑ์ กระเช้าไฟฟ้า เรือเฟอร์รี่หรือเดินเรือท่องเที่ยว สวนสัตว์เปิด และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ํา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และทําให้เมืองท่องเที่ยวของไทยมีจุดขายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้วรวม 32 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท อาทิ สวนน้ําการ์ตูนเน็ตเวิร์ค สวนน้ํารามายณะ สวนน้ําซานโตรินี่พาร์ค สวนน้ําวานา นาวา สวนน้ําไดโน วอเตอร์พาร์ค ขอนแก่น หอชมเมืองกรุงเทพมหานคร คิดส์ซาเนีย ไลน์วิลเลจ พิพิธภัณฑ์ภาพวาดสามมิติ อาร์ท อิน พาราไดซ์ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ และสวนสนุกแหล่งรวมซูเปอร์ฮีโร่ เดอะมาร์เวล เอ็กซ์พีเรียนซ์ ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่นานมานี้
****************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 62 ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ในขณะนี้ ได้เกิดสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สูงเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร รวมถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการใช้พาหนะเครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรถส่วนบุคคล ดังนั้น เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ได้กําชับและสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการและเน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการซึ่งมีที่ตั้งในบริเวณกระทรวงมหาดไทย ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และได้ออกมาตรการและรณรงค์ให้ข้าราชการทุกคนร่วมปฏิบัติ
เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองฯ ดังกล่าว ดังนี้
1) ให้ส่วนราชการ หน่วยงาน ที่มีที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณกระทรวงมหาดไทย งดการใช้รถยนต์ของราชการ หน่วยงานที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล
2) แจ้งบุคลากรในสังกัด งดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ในการเดินทางมาปฏิบัติราชการ โดยให้เปลี่ยนมาใช้การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน หรือการเดินทางแบบทางเดียวกันไปด้วยกัน 1 คันหลายคน (Car Pool)
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ร่วมกันแก้ไขปัญหา ด้วยการงดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อลดความหนาแน่นของสภาพการจราจรและปริมาณฝุ่นละอองที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนน และสําหรับในระยะยาวนั้น ให้หันมาใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากแหล่งกําเนิดตรงร่วมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
มท. ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ลดการใช้รถราชการ-รถยนต์ส่วนบุคคล
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 62 ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ในขณะนี้ ได้เกิดสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สูงเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร รวมถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการใช้พาหนะเครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรถส่วนบุคคล ดังนั้น เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ได้กําชับและสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการและเน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการซึ่งมีที่ตั้งในบริเวณกระทรวงมหาดไทย ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และได้ออกมาตรการและรณรงค์ให้ข้าราชการทุกคนร่วมปฏิบัติ
เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองฯ ดังกล่าว ดังนี้
1) ให้ส่วนราชการ หน่วยงาน ที่มีที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณกระทรวงมหาดไทย งดการใช้รถยนต์ของราชการ หน่วยงานที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล
2) แจ้งบุคลากรในสังกัด งดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ในการเดินทางมาปฏิบัติราชการ โดยให้เปลี่ยนมาใช้การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน หรือการเดินทางแบบทางเดียวกันไปด้วยกัน 1 คันหลายคน (Car Pool)
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ร่วมกันแก้ไขปัญหา ด้วยการงดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อลดความหนาแน่นของสภาพการจราจรและปริมาณฝุ่นละอองที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนน และสําหรับในระยะยาวนั้น ให้หันมาใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากแหล่งกําเนิดตรงร่วมกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
|
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการ EEC ยืนยันทุกโครงการภายใต้ EEC Track ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายฯ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2556
วันนี้ (23 ส.ค.60) นายคณิศ แสงสุพรรณเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวชี้แจงกรณีประเด็นข่าว นสพ.แนวหน้า (ประจําวันที่ 19 สิงหาคม 2560) คอลัมน์บ้านเกิดเมืองนอน ตั้งข้อสังเกตถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ดังนี้
1) เหตุใด EEC จึงมีอํานาจกําหนดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา กําหนดการทํากิจการรถไฟโดยสารความเร็วสูง สายสนามบินดอนเมือง-มักกะสัน-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา-ระยอง รวมทั้งบริหารจัดการทํารถไฟทางคู่รางกว้าง 1 เมตรเชื่อมสามท่าเรือในภาคตะวันออก และนําที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยไปใช้ประโยชน์ นั้น เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวว่า รัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี ได้กําหนดให้มีสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามคําสั่ง คสช. ที่ 2/2560 วันที่ 17 มกราคม 2560 ที่กําหนดและกําหนดให้ มีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทําหน้าที่ในการพิจารณากําหนดและอนุมัติโครงการในพื้นที่ EEC ซึ่งหมายถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดย กรรมการนโยบายฯ ได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงสนามบิน 3 แห่ง อย่างไร้รอยต่อ มอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้ดําเนินการ สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) เป็นหน่วยงานประสานและร่วมกํากับการดําเนินโครงการ ให้มีประสิทธิภาพ
2) ส่วนมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทั้งสนามบิน รถไฟ ที่ดิน อันเป็นผลประโยชน์จํานวนกว่า 2 ล้านล้านบาทหรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้ชี้แจงว่า การดําเนินกิจกรรมต่างๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาเห็นชอบโครงการทุกโครงการ หน่วยงานเจ้าของโครงการ จะดําเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ ซึ่งจะได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจัดทํารายงานการศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ ตามเกณฑ์/ระเบียบที่ราชการกําหนดทุกประการ ตามมาตรฐานสากล และโปร่งใส
3) กรณีไม่มีการเปิดประมูลรายโครงการ ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบไม่ดําเนินการและกระทําโดยการเปิดเผยภายใต้กฎหมายการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวยืนยันว่า ทุกโครงการภายใต้ EEC Track ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายฯ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2556 โดยมีการปรับวิธีดําเนินการใหม่ให้กระชับขึ้น เรียกว่า. โดยประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ.... ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบวิธีปฏิบัติติราชการให้สอดคล้องกับยุคสมัย และดําเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ
4) มีการประเมินผลได้ ผลเสีย จากการใช้ทรัพย์สมบัติของชาติมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ในเวลา 99 ปี ว่าคุ้มค่ากันหรือไม่เพียงใด เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวว่า ทุกโครงการ (ข้อ 2) มีการประเมินการความคุ้มค่า ของโครงการ ตามหลักการสํารวจศึกษา feasibility study โดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับและมีการดําเนินการตาม พรบ...บริหารราชการแผ่นดิน และเป็นการพัฒนา ขีดความสามารถในการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า โดยไม่ได้ ใช้ ทรัพยากรของชาติโดยสิ้นเปลืองออกไปแต่อย่างใด การพัฒนาระบบ infrastructure ไม่ควรนํามาเปรียบเทียบกับ ทรัพยากรธรรมชาติในสาขาอื่น เพราะผลประโยชน์โดยรอบในเชิงสังคมโดยรวมมีมูลค่ามากกว่า
5) ส่วนรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ไม่ใช่รถไฟแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่เชื่อมต่อสนามบินโดยไม่ต้องมีการ check in และ check out แต่เป็นระบบรถไฟโดยสารที่เป็นธุรกิจโดยสารปกตินั้น มีความจําเป็นใด โดยเฉพาะจะปล่อยแอร์พอร์ตลิ้งค์เดิมให้เสียหายต่อไปหรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวชี้แจงว่า รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งคือรองรับผู้โดยสารเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯกับสนามบินอู่ตะเภา จึงต้องการ check in check out ที่สถานีมักกะสัน การเชื่อมต่อ 3 สนามบินจะทําให้กิจการของแอร์พอร์ตลิงค์มีทางเลือกในการใช้บริการเพิ่มขึ้น เพราะผู้โดยสารจะสามารถเชื่อมการเดินทางโดยโครงข่ายที่เชื่อมต่อได้มากขึ้น
------------------------
ข้อ: สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ชี้แจงโครงการ EEC ยืนยันทุกโครงการภายใต้ EEC Track ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายฯ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2556
วันนี้ (23 ส.ค.60) นายคณิศ แสงสุพรรณเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวชี้แจงกรณีประเด็นข่าว นสพ.แนวหน้า (ประจําวันที่ 19 สิงหาคม 2560) คอลัมน์บ้านเกิดเมืองนอน ตั้งข้อสังเกตถึงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ดังนี้
1) เหตุใด EEC จึงมีอํานาจกําหนดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา กําหนดการทํากิจการรถไฟโดยสารความเร็วสูง สายสนามบินดอนเมือง-มักกะสัน-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา-ระยอง รวมทั้งบริหารจัดการทํารถไฟทางคู่รางกว้าง 1 เมตรเชื่อมสามท่าเรือในภาคตะวันออก และนําที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยไปใช้ประโยชน์ นั้น เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวว่า รัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี ได้กําหนดให้มีสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามคําสั่ง คสช. ที่ 2/2560 วันที่ 17 มกราคม 2560 ที่กําหนดและกําหนดให้ มีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทําหน้าที่ในการพิจารณากําหนดและอนุมัติโครงการในพื้นที่ EEC ซึ่งหมายถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดย กรรมการนโยบายฯ ได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงสนามบิน 3 แห่ง อย่างไร้รอยต่อ มอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้ดําเนินการ สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) เป็นหน่วยงานประสานและร่วมกํากับการดําเนินโครงการ ให้มีประสิทธิภาพ
2) ส่วนมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทั้งสนามบิน รถไฟ ที่ดิน อันเป็นผลประโยชน์จํานวนกว่า 2 ล้านล้านบาทหรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้ชี้แจงว่า การดําเนินกิจกรรมต่างๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาเห็นชอบโครงการทุกโครงการ หน่วยงานเจ้าของโครงการ จะดําเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายฯ ซึ่งจะได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจัดทํารายงานการศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ ตามเกณฑ์/ระเบียบที่ราชการกําหนดทุกประการ ตามมาตรฐานสากล และโปร่งใส
3) กรณีไม่มีการเปิดประมูลรายโครงการ ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบไม่ดําเนินการและกระทําโดยการเปิดเผยภายใต้กฎหมายการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวยืนยันว่า ทุกโครงการภายใต้ EEC Track ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายฯ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2556 โดยมีการปรับวิธีดําเนินการใหม่ให้กระชับขึ้น เรียกว่า. โดยประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ.... ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบวิธีปฏิบัติติราชการให้สอดคล้องกับยุคสมัย และดําเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ
4) มีการประเมินผลได้ ผลเสีย จากการใช้ทรัพย์สมบัติของชาติมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ในเวลา 99 ปี ว่าคุ้มค่ากันหรือไม่เพียงใด เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวว่า ทุกโครงการ (ข้อ 2) มีการประเมินการความคุ้มค่า ของโครงการ ตามหลักการสํารวจศึกษา feasibility study โดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับและมีการดําเนินการตาม พรบ...บริหารราชการแผ่นดิน และเป็นการพัฒนา ขีดความสามารถในการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า โดยไม่ได้ ใช้ ทรัพยากรของชาติโดยสิ้นเปลืองออกไปแต่อย่างใด การพัฒนาระบบ infrastructure ไม่ควรนํามาเปรียบเทียบกับ ทรัพยากรธรรมชาติในสาขาอื่น เพราะผลประโยชน์โดยรอบในเชิงสังคมโดยรวมมีมูลค่ามากกว่า
5) ส่วนรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ไม่ใช่รถไฟแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่เชื่อมต่อสนามบินโดยไม่ต้องมีการ check in และ check out แต่เป็นระบบรถไฟโดยสารที่เป็นธุรกิจโดยสารปกตินั้น มีความจําเป็นใด โดยเฉพาะจะปล่อยแอร์พอร์ตลิ้งค์เดิมให้เสียหายต่อไปหรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้กล่าวชี้แจงว่า รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งคือรองรับผู้โดยสารเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯกับสนามบินอู่ตะเภา จึงต้องการ check in check out ที่สถานีมักกะสัน การเชื่อมต่อ 3 สนามบินจะทําให้กิจการของแอร์พอร์ตลิงค์มีทางเลือกในการใช้บริการเพิ่มขึ้น เพราะผู้โดยสารจะสามารถเชื่อมการเดินทางโดยโครงข่ายที่เชื่อมต่อได้มากขึ้น
------------------------
ข้อ: สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมีนาคม 2563
|
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมีนาคม 2563
ดัชนี RSI เดือนมีนาคม 2563 ชี้ผลสํารวจแนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) อย่างไรก็ตาม ภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะลดลงจากเดือนก่อนหน้า
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทําดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) อย่างไรก็ตาม ภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะลดลงจากเดือนก่อนหน้า”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 52.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังขยายตัวได้แม้จะชะลอลงกว่าเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคการบริการ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ดี ยังควรเฝ้าระวังในส่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 46.4 สะท้อนถึงการคาดการณ์การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังคงขยายตัวได้ เนื่องจากระบบชลประทานมีการปล่อยน้ําให้เกษตรกรทํานาทําไร่ ทําให้ภาคเกษตรมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และการจ้างงานหดตัวลงน้อยกว่าด้านอื่น ๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 41.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอตัวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรบางชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี และมีการช่วยเหลือของภาครัฐในการประกันรายได้ สอดคล้องกับการจ้างงานที่หดตัวลงไม่มากนัก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ 41.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยแสดงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน เนื่องจากผู้ประกอบการยังชะลอการลงทุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 39.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอตัวลงในภาพรวม แต่ยังมีภาคเกษตรเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจจากนโยบายประกันราคาสินค้าเกษตรรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลทําให้ทิศทาง
เศรษฐกิจภาคการเกษตรมีเสถียรภาพมากขึ้น และภาคอุตสาหกรรมแสดงแนวโน้มหดตัวน้อยกว่าภาคการผลิตอื่น ๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 38.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยแสดงแนวโน้มการชะลอตัวในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล หดตัวจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 36.1 โดยแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคบริการที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนมีนาคม 2563)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ภาพรวม
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 36.1 52.9 41.3 39.9 38.7 41.3 46.4
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 44.6 54.7 56.6 53.1 43.6 43.0 58.6
2) ภาคอุตสาหกรรม 37.2 52.8 29.6 43.5 29.7 39.4 44.3
3) ภาคบริการ 20.5 54.1 37.0 31.3 42.5 43.7 42.1
4) ภาคการจ้างงาน 38.3 52.7 44.5 39.9 40.1 40.5 46.5
5) ภาคการลงทุน 39.8 53.4 38.6 31.8 37.6 40.0 40.7
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมีนาคม 2563
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมีนาคม 2563
ดัชนี RSI เดือนมีนาคม 2563 ชี้ผลสํารวจแนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) อย่างไรก็ตาม ภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะลดลงจากเดือนก่อนหน้า
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทําดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) อย่างไรก็ตาม ภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะลดลงจากเดือนก่อนหน้า”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 52.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังขยายตัวได้แม้จะชะลอลงกว่าเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคการบริการ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ดี ยังควรเฝ้าระวังในส่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 46.4 สะท้อนถึงการคาดการณ์การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังคงขยายตัวได้ เนื่องจากระบบชลประทานมีการปล่อยน้ําให้เกษตรกรทํานาทําไร่ ทําให้ภาคเกษตรมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และการจ้างงานหดตัวลงน้อยกว่าด้านอื่น ๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 41.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอตัวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรบางชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี และมีการช่วยเหลือของภาครัฐในการประกันรายได้ สอดคล้องกับการจ้างงานที่หดตัวลงไม่มากนัก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ 41.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยแสดงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน เนื่องจากผู้ประกอบการยังชะลอการลงทุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 39.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอตัวลงในภาพรวม แต่ยังมีภาคเกษตรเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจจากนโยบายประกันราคาสินค้าเกษตรรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลทําให้ทิศทาง
เศรษฐกิจภาคการเกษตรมีเสถียรภาพมากขึ้น และภาคอุตสาหกรรมแสดงแนวโน้มหดตัวน้อยกว่าภาคการผลิตอื่น ๆ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 38.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยแสดงแนวโน้มการชะลอตัวในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล หดตัวจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 36.1 โดยแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคบริการที่ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนมีนาคม 2563)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ภาพรวม
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 36.1 52.9 41.3 39.9 38.7 41.3 46.4
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 44.6 54.7 56.6 53.1 43.6 43.0 58.6
2) ภาคอุตสาหกรรม 37.2 52.8 29.6 43.5 29.7 39.4 44.3
3) ภาคบริการ 20.5 54.1 37.0 31.3 42.5 43.7 42.1
4) ภาคการจ้างงาน 38.3 52.7 44.5 39.9 40.1 40.5 46.5
5) ภาคการลงทุน 39.8 53.4 38.6 31.8 37.6 40.0 40.7
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28135
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
|
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
รัฐบาลส่งเสริมการจัดตั้งตลาดประชารัฐ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ค้าขาย
ศุกร์ที่ 28 ก.ย.61
ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมการจัดตั้งตลาดประชารัฐ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ค้าขาย โดยได้จัดอบรมและแต่งตั้งผู้จัดการตลาดประชารัฐในทุกจังหวัด พร้อมทั้งจัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการระดับอําเภอ และได้จัดการอบรมเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 6,000 ราย ทั้งนี้ จากการดําเนินงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ไปลงทะเบียนจับจองพื้นที่ค้าขายในตลาดประชารัฐแล้วกว่า 1 แสนราย โดยมีผู้ได้รับจัดสรรพื้นที่เกือบทั้งหมดหรือราว 96,000 ราย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้มากกว่า 1,200 ล้านบาท และในระยะต่อไปรัฐบาลจะพัฒนาตลาดประชารัฐให้เป็นตลาดต้นแบบ เน้นความสะอาด สะดวก ปลอดภัย และลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
รัฐบาลส่งเสริมการจัดตั้งตลาดประชารัฐ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ค้าขาย
ศุกร์ที่ 28 ก.ย.61
ยกระดับตลาดประชารัฐ เป็นตลาดต้นแบบในอนาคต
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมการจัดตั้งตลาดประชารัฐ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ค้าขาย โดยได้จัดอบรมและแต่งตั้งผู้จัดการตลาดประชารัฐในทุกจังหวัด พร้อมทั้งจัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการระดับอําเภอ และได้จัดการอบรมเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 6,000 ราย ทั้งนี้ จากการดําเนินงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ไปลงทะเบียนจับจองพื้นที่ค้าขายในตลาดประชารัฐแล้วกว่า 1 แสนราย โดยมีผู้ได้รับจัดสรรพื้นที่เกือบทั้งหมดหรือราว 96,000 ราย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้มากกว่า 1,200 ล้านบาท และในระยะต่อไปรัฐบาลจะพัฒนาตลาดประชารัฐให้เป็นตลาดต้นแบบ เน้นความสะอาด สะดวก ปลอดภัย และลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15728
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง
|
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
รัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาทักษะผู้ประกอบการให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินธุรกิจ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและตลาด ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและบริการคุณภาพสูงในอาเซียนโดยคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น นอกจากนี้ ยังผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก รักษามาตรฐานการดําเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรับมนตรี เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จแล้วช่วยเหลือผู้อื่น เสมือนพี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เกื้อกูลกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมอย่างยั่งยืน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
รัฐบาลพัฒนาภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาทักษะผู้ประกอบการให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินธุรกิจ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและตลาด ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและบริการคุณภาพสูงในอาเซียนโดยคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น นอกจากนี้ ยังผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก รักษามาตรฐานการดําเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรับมนตรี เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จแล้วช่วยเหลือผู้อื่น เสมือนพี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เกื้อกูลกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมอย่างยั่งยืน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22856
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. อนุมัติเงินกู้ 13 ล้าน ลดภาระหนี้ลูกจ้าง
|
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562
กสร. อนุมัติเงินกู้ 13 ล้าน ลดภาระหนี้ลูกจ้าง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อนุมัติเงินกู้ให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีซูซุเอ็นยิ่น 13 ล้านบาทแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้ลูกจ้าง พร้อมเผย 5 เดือนแรกงบ 62 ปล่อยกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการแล้ว 34 ล้านบาท ลูกจ้างได้ประโยชน์กว่า 1,705 คน
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานได้มีมติอนุมัติเงินกู้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน จํานวน 13 ล้านบาท ให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีซูซุเอ็นยิ่น (ประเทศไทย) จํากัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เพื่อให้สหกรณ์เป็นทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องและเป็นสินเชื่อให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกได้กู้ยืมเพื่อนําไปลดภาระหนี้สิน และค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งสหกรณ์ดังกล่าวเคยได้รับการอนุมัติเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกจ้างแล้ว 1,381 คน สําหรับเงินกู้ครั้งนี้คาดว่าจะเกิดประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหกรณ์อีก 657 คน ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 61 ถึงปัจจุบัน) กสร. ได้อนุมัติเงินกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการไปแล้ว 5 แห่ง เป็นเงิน 34,500,000 บาท ลูกจ้างได้รับประโยชน์ 1,705 คน
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการออมทรัพย์ สนับสนุนการปลดเปลื้องหนี้นอกระบบของผู้ใช้แรงงานโดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ําผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ลูกจ้างได้มีคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวที่ดียิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้าง และหากสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจใดสนใจกู้เงินกองทุน เพื่อผู้ใช้แรงงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กลุ่มงานกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน โทรศัพท์ 0 2248 6684 หรือ 0 2246 0383
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. อนุมัติเงินกู้ 13 ล้าน ลดภาระหนี้ลูกจ้าง
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562
กสร. อนุมัติเงินกู้ 13 ล้าน ลดภาระหนี้ลูกจ้าง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อนุมัติเงินกู้ให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีซูซุเอ็นยิ่น 13 ล้านบาทแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้ลูกจ้าง พร้อมเผย 5 เดือนแรกงบ 62 ปล่อยกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการแล้ว 34 ล้านบาท ลูกจ้างได้ประโยชน์กว่า 1,705 คน
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานได้มีมติอนุมัติเงินกู้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน จํานวน 13 ล้านบาท ให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีซูซุเอ็นยิ่น (ประเทศไทย) จํากัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เพื่อให้สหกรณ์เป็นทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องและเป็นสินเชื่อให้ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกได้กู้ยืมเพื่อนําไปลดภาระหนี้สิน และค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งสหกรณ์ดังกล่าวเคยได้รับการอนุมัติเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกจ้างแล้ว 1,381 คน สําหรับเงินกู้ครั้งนี้คาดว่าจะเกิดประโยชน์แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหกรณ์อีก 657 คน ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 61 ถึงปัจจุบัน) กสร. ได้อนุมัติเงินกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการไปแล้ว 5 แห่ง เป็นเงิน 34,500,000 บาท ลูกจ้างได้รับประโยชน์ 1,705 คน
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการออมทรัพย์ สนับสนุนการปลดเปลื้องหนี้นอกระบบของผู้ใช้แรงงานโดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ําผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ลูกจ้างได้มีคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวที่ดียิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้าง และหากสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจใดสนใจกู้เงินกองทุน เพื่อผู้ใช้แรงงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กลุ่มงานกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน โทรศัพท์ 0 2248 6684 หรือ 0 2246 0383
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18932
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand GreenMech Contest 2018
|
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
Thailand GreenMech Contest 2018
นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานการแข่งขัน “การออกแบบนวัตกรรม เทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand GreenMech Contest 2018” ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานการแข่งขัน “การออกแบบนวัตกรรม เทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand GreenMech Contest 2018” ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ชิงถ้วยประทานรางวัลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561 ณ Westgate Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกตอ.บางใหญ่จ.นนทบุรี
นายพีระ รัตนวิจิตรกล่าวว่าการแข่งขันครั้งนี้เพื่อคัดเลือกตัวแทนจากประเทศไทยไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ “2018 GreenMech World and Taiwan Contests” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ National Chung Hsing University เมืองไทยจง ประเทศไต้หวัน
ขอชื่นชมในความตั้งใจของคณะกรรมการจัดการแข่งขันที่ได้ให้ความสําคัญต่อสถานการณ์ของโลกปัจจุบันในเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทําให้โอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนและบุคลากรการศึกษาต้องมีการปรับตัวอย่างสม่ําเสมอให้ทันกับเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21
ทั้งนี้ โอกาสทางการศึกษาของเยาวชนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากมีการพัฒนาโปรแกรมเพิ่มทักษะและการเรียนรู้สําหรับการเรียนการสอนให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น ส่งเสริมพัฒนารูปแบบในการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นพื้นฐานไปสู่การเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นเชิงนวัตกรรมในอนาคต
การแข่งขันออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยี Thailand Green Mech Contest 2018 นี้นอกจากจะทําให้นักเรียนตื่นตัวในด้านการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นการฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักประยุกต์วิทยาศาสตร์ในการพัฒนาสร้างอุปกรณ์หรือระบบที่ช่วยกู้ภัยต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักเรียนรู้ในการทํางานร่วมกัน รวมทั้งทําให้เกิดจิตสํานึกรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่สําคัญยิ่งของการพัฒนาประเทศ
กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมสนับสนุนการแข่งขันออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand Green Mech contest 2018
Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditคณะทํางานฯ
Rewriter
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand GreenMech Contest 2018
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
Thailand GreenMech Contest 2018
นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานการแข่งขัน “การออกแบบนวัตกรรม เทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand GreenMech Contest 2018” ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานการแข่งขัน “การออกแบบนวัตกรรม เทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand GreenMech Contest 2018” ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ชิงถ้วยประทานรางวัลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561 ณ Westgate Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกตอ.บางใหญ่จ.นนทบุรี
นายพีระ รัตนวิจิตรกล่าวว่าการแข่งขันครั้งนี้เพื่อคัดเลือกตัวแทนจากประเทศไทยไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ “2018 GreenMech World and Taiwan Contests” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ National Chung Hsing University เมืองไทยจง ประเทศไต้หวัน
ขอชื่นชมในความตั้งใจของคณะกรรมการจัดการแข่งขันที่ได้ให้ความสําคัญต่อสถานการณ์ของโลกปัจจุบันในเชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทําให้โอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนและบุคลากรการศึกษาต้องมีการปรับตัวอย่างสม่ําเสมอให้ทันกับเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21
ทั้งนี้ โอกาสทางการศึกษาของเยาวชนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากมีการพัฒนาโปรแกรมเพิ่มทักษะและการเรียนรู้สําหรับการเรียนการสอนให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น ส่งเสริมพัฒนารูปแบบในการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นพื้นฐานไปสู่การเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นเชิงนวัตกรรมในอนาคต
การแข่งขันออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยี Thailand Green Mech Contest 2018 นี้นอกจากจะทําให้นักเรียนตื่นตัวในด้านการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นการฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักประยุกต์วิทยาศาสตร์ในการพัฒนาสร้างอุปกรณ์หรือระบบที่ช่วยกู้ภัยต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักเรียนรู้ในการทํางานร่วมกัน รวมทั้งทําให้เกิดจิตสํานึกรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่สําคัญยิ่งของการพัฒนาประเทศ
กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมสนับสนุนการแข่งขันออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีพื้นฐานวิศวกรรม Thailand Green Mech contest 2018
Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditคณะทํางานฯ
Rewriter
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13127
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
|
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
รัฐบาลเห็นชอบแผนพัฒนาบุคลากร การศึกษาวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ประกอบด้วยโครงการเร่งด่วน 14 โครงการ
ศุกร์ที่ 27 ก.ค.61
รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนพัฒนาบุคลากร การศึกษาวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ประกอบด้วยโครงการเร่งด่วน 14 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนาบุคลากร เช่น โครงการพัฒนาครูด้านการบินและอวกาศ โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านการเงิน การลงทุน สําหรับธุรกิจ SMEs ในภาคตะวันออก การพัฒนาการศึกษาและหลักสูตรขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการโรงเรียนเอกชนต้นแบบเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โครงการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ การสร้างความร่วมมือเพื่อให้เกิดนักวิจัยและงานวิจัย เช่น โครงการสนับสนุนนักวิจัยต่างชาติให้มาทํางานในสถาบันวิจัยไทย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรมีความพร้อมและผลักดันให้ EEC ประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
รัฐบาลเห็นชอบแผนพัฒนาบุคลากร การศึกษาวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ประกอบด้วยโครงการเร่งด่วน 14 โครงการ
ศุกร์ที่ 27 ก.ค.61
รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาบุคลากรใน EEC
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนพัฒนาบุคลากร การศึกษาวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ประกอบด้วยโครงการเร่งด่วน 14 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนาบุคลากร เช่น โครงการพัฒนาครูด้านการบินและอวกาศ โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านการเงิน การลงทุน สําหรับธุรกิจ SMEs ในภาคตะวันออก การพัฒนาการศึกษาและหลักสูตรขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการโรงเรียนเอกชนต้นแบบเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โครงการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ การสร้างความร่วมมือเพื่อให้เกิดนักวิจัยและงานวิจัย เช่น โครงการสนับสนุนนักวิจัยต่างชาติให้มาทํางานในสถาบันวิจัยไทย เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรมีความพร้อมและผลักดันให้ EEC ประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14229
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
|
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
วันที่ 13 ธ.ค.2562เวลา 09:00 น. ที่ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม 2 โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ เป็นประธานพิธีเปิดและมอบนโยบายการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐระดับประเทศ โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิสภา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นาย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ดร.มีชัย วีระไวทยะ ประธานกรรมการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) คณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการจังหวัด และภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชนจากทั่วประเทศ ร่วมพิธีกว่า 400 คน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายภาคเอกชนทุก ๆ หน่วยงานที่ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ทําให้ชุมชนได้รับการต่อยอดและส่งเสริมให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง และในส่วนภาครัฐ "พัฒนากร" ถือเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในฐานะ "พี่เลี้ยง" หรือ "โค้ช" ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนและชุมชนที่สุด จึงถือเป็นส่วนสําคัญในการบูรณาการประสานงานกับประชาชนด้วยการต่อยอดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน 5 กระบวนงาน ได้แก่ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การสร้างองค์ความรู้ การตลาด การสื่อสารสร้างการรับรู้เพื่อความยั่งยืน และการบริหารจัดการ และอาศัยเทคนิคการทํางานของภาคเอกชนในการส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาสินค้าและบริการของประชาชนในพื้นที่ เช่น รูปแบบผลิตภัณฑ์ ระบบขนส่งกระจายสินค้า และระบบการตลาด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้กลไกคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) เป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการต่อยอดให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว
พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า ขอชื่นชมการดําเนินการที่ผ่านมา มีผลสําเร็จเป็นรูปธรรมในหลาย ๆ จังหวัด กว่า 900 โครงการ ได้แก่ น่าน ส้ม กาญจนบุรี ผักปลอดสารพิษ สุโขทัย ผ้าขาวม้า เป็นต้น เป้าหมายต่อไป คือ คสป.ต้องดําเนินการขับเคลื่อนทั้ง 5 กระบวนงานอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเป็นการพัฒนาสินค้าตัวเดิมให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หรือผลิตสินค้าตัวใหม่ และในอนาคตข้างหน้า อาจจะมีการจัดตั้งกองทุนประชารัฐรักสามัคคี เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมเรื่องของการทําการตลาดให้ผู้ประกอบการมีช่องทางในการกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ขอให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนข้อมูลโอกาสในการพัฒนา เพื่อนําไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแต่ละพื้นที่ต่อไป
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า การทํางานของคณะทํางานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากฯ ที่ผ่านมา ได้ดําเนินการตามกรอบความร่วมมือ "ชุมชนลงมือทํา เอกชนขับเคลื่อน รัฐบาลสนับสนุน" โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน 17 ด้านขององค์การสหประชาชาติ โดยมีความก้าวหน้า คือ สามารถดําเนินโครงการกว่า 900 โครงการ ใน 3,000 ชุมชน 68,000 ครัวเรือน เกิดการลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานราก ด้วยพลังชุมชนและศักยภาพของเครือข่าย ดังจะเห็นได้จากยอดจําหน่ายสินค้า OTOP ปีที่ผ่านมากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 24
ในโอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เยี่ยมชมความก้าวหน้าของการพัฒนากลไกเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐผ่านโครงการระดับประเทศ เช่น โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย โครงการสานพลังเพื่อบ้านเกิด โครงการเครื่องสีข้าวขนาดครัวเรือน โครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย โครงการสะพายสายแนว และแหล่งตลาดเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย เป็นต้น.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 211/2562 วันที่ 13 ธ.ค. 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
มท.1 มอบนโนบายเดินหน้าพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) บูรณาการทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย “สร้างรายได้ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข”
วันที่ 13 ธ.ค.2562เวลา 09:00 น. ที่ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม 2 โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ เป็นประธานพิธีเปิดและมอบนโยบายการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนากลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐระดับประเทศ โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิสภา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นาย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ดร.มีชัย วีระไวทยะ ประธานกรรมการ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) คณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการจังหวัด และภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชนจากทั่วประเทศ ร่วมพิธีกว่า 400 คน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายภาคเอกชนทุก ๆ หน่วยงานที่ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ทําให้ชุมชนได้รับการต่อยอดและส่งเสริมให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง และในส่วนภาครัฐ "พัฒนากร" ถือเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในฐานะ "พี่เลี้ยง" หรือ "โค้ช" ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนและชุมชนที่สุด จึงถือเป็นส่วนสําคัญในการบูรณาการประสานงานกับประชาชนด้วยการต่อยอดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน 5 กระบวนงาน ได้แก่ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การสร้างองค์ความรู้ การตลาด การสื่อสารสร้างการรับรู้เพื่อความยั่งยืน และการบริหารจัดการ และอาศัยเทคนิคการทํางานของภาคเอกชนในการส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาสินค้าและบริการของประชาชนในพื้นที่ เช่น รูปแบบผลิตภัณฑ์ ระบบขนส่งกระจายสินค้า และระบบการตลาด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้กลไกคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) เป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการต่อยอดให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว
พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า ขอชื่นชมการดําเนินการที่ผ่านมา มีผลสําเร็จเป็นรูปธรรมในหลาย ๆ จังหวัด กว่า 900 โครงการ ได้แก่ น่าน ส้ม กาญจนบุรี ผักปลอดสารพิษ สุโขทัย ผ้าขาวม้า เป็นต้น เป้าหมายต่อไป คือ คสป.ต้องดําเนินการขับเคลื่อนทั้ง 5 กระบวนงานอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเป็นการพัฒนาสินค้าตัวเดิมให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หรือผลิตสินค้าตัวใหม่ และในอนาคตข้างหน้า อาจจะมีการจัดตั้งกองทุนประชารัฐรักสามัคคี เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมเรื่องของการทําการตลาดให้ผู้ประกอบการมีช่องทางในการกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ขอให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนข้อมูลโอกาสในการพัฒนา เพื่อนําไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแต่ละพื้นที่ต่อไป
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กล่าวว่า การทํางานของคณะทํางานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากฯ ที่ผ่านมา ได้ดําเนินการตามกรอบความร่วมมือ "ชุมชนลงมือทํา เอกชนขับเคลื่อน รัฐบาลสนับสนุน" โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน 17 ด้านขององค์การสหประชาชาติ โดยมีความก้าวหน้า คือ สามารถดําเนินโครงการกว่า 900 โครงการ ใน 3,000 ชุมชน 68,000 ครัวเรือน เกิดการลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานราก ด้วยพลังชุมชนและศักยภาพของเครือข่าย ดังจะเห็นได้จากยอดจําหน่ายสินค้า OTOP ปีที่ผ่านมากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 24
ในโอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เยี่ยมชมความก้าวหน้าของการพัฒนากลไกเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐผ่านโครงการระดับประเทศ เช่น โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย โครงการสานพลังเพื่อบ้านเกิด โครงการเครื่องสีข้าวขนาดครัวเรือน โครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย โครงการสะพายสายแนว และแหล่งตลาดเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย เป็นต้น.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 211/2562 วันที่ 13 ธ.ค. 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25286
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กำพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
|
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กําพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กําพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
วันนี้ (26 มิ.ย. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 658/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง สู้ชีวิต ตระเวนแข่งขันชกมวยเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งกําพร้าพ่อ-แม่ อาศัยอยู่กับย่า ที่มีอาชีพค้าขาย ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร มีความมุมานะ อุตสาหะ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการดําเนินชีวิต น่ายกย่อง เป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุโขทัย (พมจ.สุโขทัย) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงดังกล่าวในระยะยาว นอกจากนี้ ให้คําแนะนําปรึกษาแก่เด็ก และผู้เป็นย่าในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า อีกกรณีชายวัย 37 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราหญิงชราวัย 90 ปี ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง โดยญาติผู้ก่อเหตุอ้างว่าชายคนดังกล่าวมีอาการทางประสาท กําลังอยู่ในช่วงรับการรักษา ที่อําเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด (พมจ.ร้อยเอ็ด) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจหญิงชราผู้เสียหายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคม อีกทั้ง ร่วมกัน หาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กสาววัย 16 ปี โพสข้อความขอความช่วยเหลือบนเฟซบุ๊ก กรณีผู้เป็นแม่วัย 43 ปี มีอาชีพขายชาไข่มุก ถูกแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวสองแม่-ลูก ที่เคยมีปากเสียงกัน รุมทําร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยม โดยการใช้เหล็กและเก้าอี้ฟาดที่ศีรษะ และใช้น้ําร้อนเดือดราดทั่วตัว ทําให้เกิดแผลพุพอง ซึ่งร่างกาย ถูกลวกกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้แจ้งความดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตํารวจแล้ว แต่ผ่านมา 2 สัปดาห์ คดีความไม่คืบหน้า เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวของในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลของหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิดในระยะยาว อีกทั้ง ร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพในระยะยาวต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กำพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กําพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหญิงวัย 14 ปี สู้ชีวิต กําพร้าพ่อ-แม่ แข่งชกมวยหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ที่ จ.สุโขทัย และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 90 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ร้อยเอ็ด
วันนี้ (26 มิ.ย. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 658/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง สู้ชีวิต ตระเวนแข่งขันชกมวยเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งกําพร้าพ่อ-แม่ อาศัยอยู่กับย่า ที่มีอาชีพค้าขาย ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร มีความมุมานะ อุตสาหะ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และช่วยแบ่งเยาภาระของครอบครัว ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการดําเนินชีวิต น่ายกย่อง เป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุโขทัย (พมจ.สุโขทัย) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง การพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงดังกล่าวในระยะยาว นอกจากนี้ ให้คําแนะนําปรึกษาแก่เด็ก และผู้เป็นย่าในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า อีกกรณีชายวัย 37 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราหญิงชราวัย 90 ปี ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง โดยญาติผู้ก่อเหตุอ้างว่าชายคนดังกล่าวมีอาการทางประสาท กําลังอยู่ในช่วงรับการรักษา ที่อําเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด (พมจ.ร้อยเอ็ด) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจหญิงชราผู้เสียหายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคม อีกทั้ง ร่วมกัน หาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กสาววัย 16 ปี โพสข้อความขอความช่วยเหลือบนเฟซบุ๊ก กรณีผู้เป็นแม่วัย 43 ปี มีอาชีพขายชาไข่มุก ถูกแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวสองแม่-ลูก ที่เคยมีปากเสียงกัน รุมทําร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยม โดยการใช้เหล็กและเก้าอี้ฟาดที่ศีรษะ และใช้น้ําร้อนเดือดราดทั่วตัว ทําให้เกิดแผลพุพอง ซึ่งร่างกาย ถูกลวกกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้แจ้งความดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตํารวจแล้ว แต่ผ่านมา 2 สัปดาห์ คดีความไม่คืบหน้า เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช (พมจ.นครศรีธรรมราช) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวของในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลของหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิดในระยะยาว อีกทั้ง ร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพในระยะยาวต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4780
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
|
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
วันนี้ 3 พฤษภาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี ซึ่งภายในงานได้จัดพิธีถวายเครื่องบวงสรวงองค์พระนารายณ์และพระภูมิ ถวายภัตตาหารเพลและเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ และยังมีกิจกรรมรับบริจาคเงินสมทบทุนโรงพยาบาลสงฆ์เพื่อเข้าร่วมในกิจกรรม "ทําดีเพื่อพ่อ" โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี
วันนี้ 3 พฤษภาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 75 ปี ซึ่งภายในงานได้จัดพิธีถวายเครื่องบวงสรวงองค์พระนารายณ์และพระภูมิ ถวายภัตตาหารเพลและเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ และยังมีกิจกรรมรับบริจาคเงินสมทบทุนโรงพยาบาลสงฆ์เพื่อเข้าร่วมในกิจกรรม "ทําดีเพื่อพ่อ" โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3481
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ร่วมงานในพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร
|
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
นรม. ร่วมงานในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นรม. ร่วมในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันนี้ (26 ธันวาคม 2560) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา ภริยาร่วมงานในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางมาถึงบริเวณงานพิธี เจ้าหน้าที่สํานักพระราชวังเชิญ นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมเชิญ นายกรัฐมนตรีและภริยา เข้าสู่พลับพลาพิธี จากนั้น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จถึงพลับพลาพิธี
ผู้อัญเชิญฯ นําพระราชยานที่ประดิษฐานพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ จากหน้าพระที่นั่งอัมพรสถานไปยังพลับพลาพิธี ริ้วขบวนพระราชยานถึงพลับพลาพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยา ยืนประนมมือ เจ้าพนักงานอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ประดิษฐาน ณ พลับพลาพิธี พร้อมกราบราบ
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้แทนพระองค์ เดินทางถึงพระลานพระราชวังดุสิต ผู้แทนพระองค์ ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมวางพวงมาลัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและกราบราบ
จากนั้น ผู้แทนพระองค์ขึ้นรถยนต์ประเทียบไปยังพลับพลาพิธี โดยมี นายกรัฐมนตรี รอรับ พร้อมกันนี้ ผู้แทนพระองค์จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ พร้อมกราบราบ จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมกราบราบ จากนั้น เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนเเพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วกราบราบ พร้อมถวายความเคารพพระราชอาสน์
ต่อมา เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาศีล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ให้ศีล พระสงฆ์ 285 รูป สวดมาติกา เจ้าพนักงานภูษามาลาลาดภูษาโยง จากนั้นผู้แทนพระองค์ทอดผ้าไตรพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรีทอดผ้าไตรพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป เป็นลําดับที่ 2 ต่อจากผู้แทนพระองค์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทอดผ้าไตรจนครบ 275 รูป) พระสงฆ์สดับปกรณ์ กรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์ 275 รูป เจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระสยามเทวาธิราช และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โอกาสนี้ ผู้แทนพระองค์ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรี ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป เป็นลําดับที่ 2 ต่อจากผู้แทนพระองค์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์จนครบ 275 รูป) กรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ผู้แทนพระองค์กราบที่หน้าเครื่องนมัสการ พร้อมกราบที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมถวายความเคารพพระราชอาสน์ ตามลําดับ
หลังจากนั้น ผู้อัญเชิญฯ กราบราบพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ที่โต๊ะหมู่บูชา นายทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์อัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ออกจากโต๊ะหมู่บูชาขึ้นพระราชยานฯ จากนั้นขบวนพระราชยานอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ออกจากพลับพลาพิธี เพื่อกลับมาประดิษฐานที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อริ้วขบวนอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ผ่านประตูภูธรลีลาศ พระที่นั่งอัมพรสถาน ผู้แทนพระองค์เดินออกจากพลับพลาพิธีไปยังรถยนต์ประเทียบ โดยมีนายกรัฐมนตรีและภริยารอส่ง
เมื่อผู้แทนพระองค์เดินทางกลับ และเสร็จภารกิจดังกล่าวแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ เป็นอันเสร็จพิธี
**************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ร่วมงานในพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
นรม. ร่วมงานในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นรม. ร่วมในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันนี้ (26 ธันวาคม 2560) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา ภริยาร่วมงานในพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางมาถึงบริเวณงานพิธี เจ้าหน้าที่สํานักพระราชวังเชิญ นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมเชิญ นายกรัฐมนตรีและภริยา เข้าสู่พลับพลาพิธี จากนั้น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จถึงพลับพลาพิธี
ผู้อัญเชิญฯ นําพระราชยานที่ประดิษฐานพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ จากหน้าพระที่นั่งอัมพรสถานไปยังพลับพลาพิธี ริ้วขบวนพระราชยานถึงพลับพลาพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยา ยืนประนมมือ เจ้าพนักงานอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ประดิษฐาน ณ พลับพลาพิธี พร้อมกราบราบ
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้แทนพระองค์ เดินทางถึงพระลานพระราชวังดุสิต ผู้แทนพระองค์ ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมวางพวงมาลัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและกราบราบ
จากนั้น ผู้แทนพระองค์ขึ้นรถยนต์ประเทียบไปยังพลับพลาพิธี โดยมี นายกรัฐมนตรี รอรับ พร้อมกันนี้ ผู้แทนพระองค์จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ พร้อมกราบราบ จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมกราบราบ จากนั้น เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนเเพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วกราบราบ พร้อมถวายความเคารพพระราชอาสน์
ต่อมา เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาศีล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ให้ศีล พระสงฆ์ 285 รูป สวดมาติกา เจ้าพนักงานภูษามาลาลาดภูษาโยง จากนั้นผู้แทนพระองค์ทอดผ้าไตรพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรีทอดผ้าไตรพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป เป็นลําดับที่ 2 ต่อจากผู้แทนพระองค์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทอดผ้าไตรจนครบ 275 รูป) พระสงฆ์สดับปกรณ์ กรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์ 275 รูป เจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระสยามเทวาธิราช และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โอกาสนี้ ผู้แทนพระองค์ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรี ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป เป็นลําดับที่ 2 ต่อจากผู้แทนพระองค์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์จนครบ 275 รูป) กรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ผู้แทนพระองค์กราบที่หน้าเครื่องนมัสการ พร้อมกราบที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมถวายความเคารพพระราชอาสน์ ตามลําดับ
หลังจากนั้น ผู้อัญเชิญฯ กราบราบพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ที่โต๊ะหมู่บูชา นายทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์อัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ออกจากโต๊ะหมู่บูชาขึ้นพระราชยานฯ จากนั้นขบวนพระราชยานอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ออกจากพลับพลาพิธี เพื่อกลับมาประดิษฐานที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อริ้วขบวนอัญเชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ผ่านประตูภูธรลีลาศ พระที่นั่งอัมพรสถาน ผู้แทนพระองค์เดินออกจากพลับพลาพิธีไปยังรถยนต์ประเทียบ โดยมีนายกรัฐมนตรีและภริยารอส่ง
เมื่อผู้แทนพระองค์เดินทางกลับ และเสร็จภารกิจดังกล่าวแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ เป็นอันเสร็จพิธี
**************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9045
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ำยึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
|
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ํายึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ํายึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
วันนี้ (5 มิถุนายน 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,102 ราย อยู่สถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ 165 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,971 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 58 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine จากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 45 ปี อาชีพรับจ้างทํางาน กลับถึงไทยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม และเข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพมหานคร ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 26 พฤษภาคม ไม่พบเชื้อ ตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 3 มิถุนายน พบเชื้อแต่ไม่มีอาการ ขณะที่สถิติที่คนไทยเดินทางกลับมาจากคูเวตแล้วเข้าอยู่ในสถานกักกันโรคของรัฐสะสม 174 ราย ยืนยันผู้ป่วยแล้ว 32 ราย ทําให้มีสัดส่วนผู้ป่วยถึงร้อยละ 18.79
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,698,370 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 129,860 ราย รวมจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 393,142 ราย สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ขณะที่ประเทศอินเดียเป็นประเทศในทวีปเอเชียที่มีจํานวนผู้ป่วยสะสมมากที่สุด ซึ่งปัจจุบัน ไทยอยู่อันดับที่ 80 ของโลก สําหรับประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ งานวิจัยล่าสุดจากประเทศจีน พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อได้นานถึง 12 วัน (เฉลี่ย 8 วัน) ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการ มีระยะการแพร่เชื้อสูงสุด 24 วัน (เฉลี่ย 19 วัน) สําหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในอังกฤษ ไม่ว่าจะโดยทางเครื่องบินหรือทางเรือ จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันในสถานที่ที่กําหนด ซึ่งจะเริ่มในวันจันทร์ที่ 8 มิ.ย. เป็นต้นไป นอกจากนี้ อิตาลีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่เปิดพรมแดนเต็มที่และยกเลิกเงื่อนไขการกักตัวเฝ้าระวังอาการ 14 วันสําหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ขณะที่เยอรมนีมีการเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเบลเยียมจะเปิดพรมแดนเพื่อให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU)รวมทั้งอังกฤษ และเขตการเดินทางปลอดหนังสือเดินทางของยุโรป เข้าสู่ประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. เป็นต้นไป โดยสถานบันเทิง และร้านอาหารต่างๆ จะเปิดในวันที่ 8 มิ.ย. และโรงภาพยนตร์ จะเปิดในวันที่ 1 ก.ค. และที่ประชุมสภาแห่งรัฐประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เห็นชอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันติดตามตัว SwissCovid และเสนอให้มีบริการตรวจหาเชื้อไวรัสแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่บุคคลที่ได้รับแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 156,982 ร้าน ผู้ใช้งาน 21,524,238 คน ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ 21,407,868 คน ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ 116,370 คน จํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 188,530 คน สําหรับรายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต ได้ทําการตรวจทั้งหมด 20,110 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 20,088 แห่ง ปฏิบัติไม่ครบ 22 แห่ง โดยมีชุดตรวจตามมาตรการหลัก ได้แก่ชุดตรวจร่วม 90 ชุด ชุดตรวจทั่วไป 1,859 ชุด และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุด ที่จะกระจายการตรวจไปทั่วประเทศ ส่วนรายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 5 มิถุนายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 22 ราย เพิ่มขึ้น 12 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 236 ราย ลดลง 21 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 ลําดับแรกคือ อื่นๆ ร้อยละ 45 เสพยาเสพติดร้อยละ 23 และลักลอบเล่นการพนันร้อยละ 18
โฆษก ศบค. ยังแนะนําให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ ดังนี้ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
-----------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ำยึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ํายึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
โฆษก ศบค. เผยงานวิจัยพบกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้นาน 12 วัน ย้ํายึดหลักปฏิบัติ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
วันนี้ (5 มิถุนายน 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,102 ราย อยู่สถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ 165 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,971 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 58 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine จากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 45 ปี อาชีพรับจ้างทํางาน กลับถึงไทยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม และเข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพมหานคร ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 26 พฤษภาคม ไม่พบเชื้อ ตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 3 มิถุนายน พบเชื้อแต่ไม่มีอาการ ขณะที่สถิติที่คนไทยเดินทางกลับมาจากคูเวตแล้วเข้าอยู่ในสถานกักกันโรคของรัฐสะสม 174 ราย ยืนยันผู้ป่วยแล้ว 32 ราย ทําให้มีสัดส่วนผู้ป่วยถึงร้อยละ 18.79
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,698,370 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 129,860 ราย รวมจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 393,142 ราย สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ขณะที่ประเทศอินเดียเป็นประเทศในทวีปเอเชียที่มีจํานวนผู้ป่วยสะสมมากที่สุด ซึ่งปัจจุบัน ไทยอยู่อันดับที่ 80 ของโลก สําหรับประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ งานวิจัยล่าสุดจากประเทศจีน พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อได้นานถึง 12 วัน (เฉลี่ย 8 วัน) ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการ มีระยะการแพร่เชื้อสูงสุด 24 วัน (เฉลี่ย 19 วัน) สําหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในอังกฤษ ไม่ว่าจะโดยทางเครื่องบินหรือทางเรือ จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันในสถานที่ที่กําหนด ซึ่งจะเริ่มในวันจันทร์ที่ 8 มิ.ย. เป็นต้นไป นอกจากนี้ อิตาลีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่เปิดพรมแดนเต็มที่และยกเลิกเงื่อนไขการกักตัวเฝ้าระวังอาการ 14 วันสําหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ขณะที่เยอรมนีมีการเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเบลเยียมจะเปิดพรมแดนเพื่อให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU)รวมทั้งอังกฤษ และเขตการเดินทางปลอดหนังสือเดินทางของยุโรป เข้าสู่ประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. เป็นต้นไป โดยสถานบันเทิง และร้านอาหารต่างๆ จะเปิดในวันที่ 8 มิ.ย. และโรงภาพยนตร์ จะเปิดในวันที่ 1 ก.ค. และที่ประชุมสภาแห่งรัฐประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เห็นชอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันติดตามตัว SwissCovid และเสนอให้มีบริการตรวจหาเชื้อไวรัสแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่บุคคลที่ได้รับแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 156,982 ร้าน ผู้ใช้งาน 21,524,238 คน ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ 21,407,868 คน ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ 116,370 คน จํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 188,530 คน สําหรับรายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต ได้ทําการตรวจทั้งหมด 20,110 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 20,088 แห่ง ปฏิบัติไม่ครบ 22 แห่ง โดยมีชุดตรวจตามมาตรการหลัก ได้แก่ชุดตรวจร่วม 90 ชุด ชุดตรวจทั่วไป 1,859 ชุด และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุด ที่จะกระจายการตรวจไปทั่วประเทศ ส่วนรายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 5 มิถุนายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 22 ราย เพิ่มขึ้น 12 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 236 ราย ลดลง 21 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 ลําดับแรกคือ อื่นๆ ร้อยละ 45 เสพยาเสพติดร้อยละ 23 และลักลอบเล่นการพนันร้อยละ 18
โฆษก ศบค. ยังแนะนําให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ ดังนี้ “อยู่ห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลักรักสะอาด ปราศจากแออัด”
-----------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31969
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
|
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานคร จังหวัดใกล้เคียง และคนไทยทุกคน มาร่วมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 11 มีนาคม 2561ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์จัดงานนี้ขึ้น เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีความสุข เป็นการสืบสานวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติรวมทั้งได้ชมการจัดสวนดอกไม้และงานศิลปะอันงดงามของไทย โดยพร้อมใจกันแต่งกายให้เข้าบรรยากาศย้อนยุคของไทยหรือชุดสุภาพตามความสมัครใจ ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน พาลูกหลาน ชวนเพื่อนชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยว มาร่วมงานกันมาก ๆ เราจะได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทยที่มีวัฒนธรรม และประวัติ ศาสตร์มายาวนาน
พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก ครับ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่และได้มีโอกาสพบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดตราดและจันทบุรี ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน ข้าราชการ และทุกภาคส่วน ในทั้ง 2 จังหวัด ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้ความเป็นกันเอง และร่วมมือในการเสนอข้อคิดเห็นที่สะท้อนถึงความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่จะช่วยให้การกําหนดนโยบายของภาครัฐสามารถทําได้อย่างตรงจุด ตรงความต้องการ
ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตอยู่ในระดับสูง มีศักยภาพในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเป็นพื้นที่ศูนย์รวมอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ รวมถึงเป็นที่ตั้งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษEECที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต อีกทั้ง ยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะผลไม้ และมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เช่นพัทยา บางแสน เกาะเสม็ด เกาะช้างอีกทั้งเป็นศูนย์การค้าชายแดน และมีโครงสร้างการคมนาคมที่เป็นประตูเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกได้สะดวกแต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของพื้นที่ในภาคตะวันออกนี้ ก็อาจจะทําให้เกิดปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ตามมาด้วย ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ปริมาณน้ําที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ การขาดแคลนแรงงาน ไปจนถึง ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวไม่ทัน
ผมและตัวแทนคณะรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออกรวมทั้งสิ้น 8 จังหวัดโดยได้รับทราบปัญหา และความต้องการของพื้นที่หลักๆ ก็มี 6 ด้านด้วยกัน ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในเรื่องของถนน ก็ได้มีการรับไปศึกษาออกแบบก่อสร้างเส้นทาง ที่จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น เส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิศ อู่ตะเภา-ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี เส้นทางเลียบชายทะเลจังหวัดชลบุรี รวมถึงเส้นทางในจังหวัดชลบุรีเพื่อจะบรรเทาปัญหาการจราจร และเส้นทางตัดใหม่ในจังหวัดสระแก้ว เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงข่ายถนน โดยการเพิ่มช่องทางจราจร เพื่อจะสนับสนุนการขนส่งที่เชื่อมโยงกับพื้นที่EECพื้นที่ท่องเที่ยวและชายแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งคงจะต้องพิจารณาในรายละเอียดและจัดลําดับความสําคัญ โดยคํานึงถึงการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่EECและพื้นที่ระหว่างจังหวัดในภาค และระหว่างภาคด้วย รวมทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่เราต้องให้ความสําคัญ และประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับต่อไป ทั้งปัจจุบัน และอนาคตด้วย สําหรับในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะ ต้องมีการศึกษาออกแบบรถไฟทางคู่สายระยอง – จันทบุรี - ตราด เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -ระยองการเปิดเดินรถไฟสายด่วนพิเศษSprinterสายกรุงเทพฯ – อรัญประเทศ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนขณะที่ในเรื่องของระบบไฟฟ้าก็จะพิจารณาแผนปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟฟ้าแรงสูงที่มั่นคง มีเสถียรภาพ ในพื้นที่จังหวัดนครนายกต่อไป
2. ด้านอุตสาหกรรม การลงทุน การค้าและการค้าชายแดน ก็ได้มีการหารือในการยกระดับด่านชายแดนให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งรัฐบาลจะนําไปพิจารณาเพิ่มเติมและเร่งรัดเตรียมการเพื่อเจรจากับต่างประเทศด้วย เพื่อนบ้าน โดยจะต้องคํานึงถึง ทั้งเรื่องการพัฒนา ความมั่นคง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วก็มีความคุ้มค่ากับการลงทุนในอนาคตด้วย นอกจากนี้จะมีการให้สนับสนุนจังหวัดจันทบุรีให้เป็น “นครอัญมณี” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกทั้งต้นทาง ในการนํานวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพอัญมณีกลางทาง คือการพัฒนานักออกแบบ ช่างเจียระไน และช่างผู้ผลิตให้มีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลายทางคือการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะรับไปพิจารณาและนํามารายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
3. ด้านการเกษตร ได้มีการหารือในเรื่องการสนับสนุนภาคตะวันออกให้เป็น “มหานครผลไม้โลก” ที่มีคุณภาพปลอดภัยอย่างครบวงจร ในเรื่องนี้ ครม. ได้มีมติอนุมัติในหลักการ โครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะตะวันออก จะต้องเชื่อมโยงไปพื้นที่อื่นๆ มาที่ตะวันออกนี้ด้วย เพราะเหมือนกับเป็นประตูส่งออกผลไม้ของเรา ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและตลาดจําหน่ายผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจะผลักดันประเทศไทยให้เป็น “มหานครผลไม้ของโลก” โดยจะร่วมกันกําหนดมาตรฐานผลไม้ไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศ และได้มีการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร เพื่อจะสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว
4. ด้านการท่องเที่ยว ได้มีการหารือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ทั้งในด้านเชิงสุขภาพ ผ่านการใช้แบรนด์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เพื่อจัดสร้างศูนย์บริการสปา ในจังหวัดภาคตะวันออก และศึกษาออกแบบ ปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางจักรยานในพื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีโดยคํานึงถึงรูปแบบการบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืนนอกจากนั้น มีการเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากร เพื่อจะรองรับการท่องเที่ยวและโรงแรมภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน
5. ด้านคุณภาพชีวิตก็ได้มีการหารือกันในการสนับสนุนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อจะรองรับความต้องการบริการสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น ตามจํานวนประชากร ทั้งในเรื่องการยกระดับโรงพยาบาลให้รองรับคนไข้ได้เพียงพอ การจัดสรรอัตรากําลังบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน และศูนย์การแพทย์ครบวงจร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและดําเนินการในพื้นที่ ที่เหมาะสมต่อไป
6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการตั้งประเด็นหารือในเรื่องระบบรวบรวมและบําบัดน้ําเสียในจังหวัดระยองการศึกษาการขุดลอกแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อจะแก้ไขปัญหาแม่น้ําตื้นเขิน และศักยภาพการขนส่งพืชผลทางการเกษตรทางน้ํา การป้องกันและแก้ไขปัญหาช้างป่า นอกพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ของป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม การระบายน้ํา ระบบรวบรวม และบําบัดน้ําเสียในเมืองพัทยาอย่างครบวงจร
ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นข้อเสนอจากส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่ ประชาชนด้วย ที่รัฐบาลจะขอนําไปพิจารณาจัดลําดับความสําคัญเพื่อจะดําเนินการต่อไป เพราะว่าต้องใช้งบประมาณสูง บางอย่างนะครับสูงมากเพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องทยอยดําเนินการไป จัดความเร่งด่วนให้ดี ใช้งบประมาณให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุด บางประเด็นนั้นได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือต่อเนื่องในการประชุมครม. เช่น เรื่องการสนับสนุนด้านการผลิตและการตลาดผลไม้ เพื่อจะให้ไทยเป็นประเทศมหานครผลไม้ครบวงจร นอกจากประเด็นที่ผมกล่าวถึงข้างต้นแล้วนั้น ครม. ได้มีการพิจารณาวาระที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่สําคัญ เช่น ร่างทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกในภาพรวม ที่คํานึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ
สําหรับในเรื่องของพื้นที่EECเอง ก็มีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2560 เราได้เห็นแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เราวางไว้ ในหลาย ๆ โครงการ ซึ่งมีแผนงานชัดเจน เช่น ด้านการซ่อมอากาศยาน การเป็นเมืองการบิน โครงการรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนาท่าเรือในพื้นที่เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีการจัดทําแผนการบริหารจัดการน้ําที่จะทําให้มีการหาแหล่งน้ําใหม่ เพื่อจะเพิ่มความจุแหล่งน้ําเดิม และระบบเชื่อมโยงโครงข่ายน้ํา เพื่อจะรองรับกิจกรรมในEECได้อย่างเพียงพอกับความต้องการในระยะยาวด้วยครับ 10- 20 ปีด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากผมและคณะ จะได้เข้าไปทําความเข้าใจกับปัญหาและความต้องการของพื้นที่เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนแล้ว ผมยังได้มีโอกาสพบกับผู้ประกอบการ และผู้นําชุมชนแบบกลุ่มย่อย ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้เปิดรับฟังมุมมองต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดได้พูดจาทําความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ และชี้แจงในเรื่องของการปฏิบัติด้วยบางอย่างได้กําหนดนโยบายไปแล้ว ก็ต้องมีวิธีการขับเคลื่อนทั้งในระดับรัฐบาล ระดับพื้นที่ จะต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน ผมถือว่าเป็นการดําเนินการด้านปรองดองที่สําคัญผมได้เน้นย้ําในเรื่องของการต้องช่วยกันเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ไม่หวาดระแวงกัน ผู้นําท้องถิ่น และนักการเมือง จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องช่วยกันทํางาน อยากให้มองว่าประเทศเป็นของพวกเราทุกคน เรามีหลายจังหวัดด้วยกันทุกจังหวัดเราจะต้องพัฒนานําไปสู่วิสัยทัศน์ของเรา ให้ทั่วถึงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทําในหน้าที่ อย่ามัวแต่ขัดแย้งกัน ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือกับเราเพื่อจะเดินหน้าประเทศต่อไป มองไปข้างหน้า
พ่อแม่พี่น้องประชาชน ครับ
เราทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปัญหาของผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่สามารถเข้าถึงการอํานวยความยุติธรรมได้ด้วยตนเอง เพราะอาจจะไม่มีความรู้เพียงพอ อยู่ห่างไกล ไม่รู้สิทธิ์ ไม่รู้กระบวนการ โดยเฉพาะเรื่องการไม่มีค่าใช้จ่ายในการขึ้นโรงขึ้นศาล การต่อสู้คดี บางรายต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ว่าจะในระบบ หรือนอกระบบ หลายครอบครัวต้องล้มละลาย เพียงแค่ต้องการความเป็นธรรม จากข้อมูลทางสถิติ ปัจจุบันมีผู้ต้องขังถูกควบคุมตัว ระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดี มากกว่า 6 หมื่นคน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายถือว่า “ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคําพิพากษา”ทั้งนี้ แม้ผู้ต้องหาทุกคนจะมีสิทธิได้รับการประกันตัวดังกล่าวเป็นการชั่วคราว เพื่อออกมารวบรวมพยานหลักฐานและพบทนายความ แต่เมื่อไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ได้ใช้โอกาสนั้น ซึ่งเป็นโจทย์ของ “กองทุนยุติธรรม”ไม่อาจหยิบยื่นความยุติธรรมให้ถึงมือผู้ต้องคดีที่ยากจน ซึ่งเป็นที่มาของนโยบายของรัฐบาลนี้ ที่เห็นถึงความสําคัญของการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําโดยการตรากฎหมายจัดตั้งกองทุนยุติธรรมให้เป็นนิติบุคคล สําหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมได้ ตลอดกระบวนการในรูปแบบการช่วยเหลือด้านการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการปล่อยตัวชั่วคราว ค่าจ้างทนายความค่าพาหนะค่าที่พักค่าฤชาธรรมเนียมในทุกประเภทคดี และค่าใช่จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยไม่จํากัดวงเงิน ยิ่งกว่านั้น สามารถจะอนุมัติคําร้องนั้นๆ ได้ในจังหวัดของตนเอง โดยการรับคําร้องผ่าน “ศูนย์ยุติธรรมชุมชน” ซึ่งตั้ง ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ จังหวัด และยุติธรรมจังหวัด หรือที่ สํานักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พูดโดยรวมว่าเป็น “เครือข่ายยุติธรรมชุมชน” ด้วยการยกระดับกลไกในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของกองทุนยุติธรรมดังกล่าวของรัฐบาลนี้ นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ เมื่อเดือนเมษายน 2559สามารถลดความเหลื่อมล้ํา ช่วยให้พี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว เพื่อออกไปปกป้องความบริสุทธิ์ของตนตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องนอนคุก เหมือนที่ใครๆ ชอบกล่าวว่า “คนจนนอนคุก คนรวยนอนบ้าน”
ในระยะเวลา 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา กองทุนยุติธรรมได้ใช้เงิน ราว 271 ล้านบาท ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องการช่วยให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว คิดเป็นร้อยละ 90เทียบกับก่อนที่จะมีกฎหมายนี้ 12 ปีที่ผ่านมารวมกัน ใช้จ่ายเงินทําได้เพียง 742 ล้านบาทยังไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ ในอนาคตประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะต้องสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ง่าย และสะดวกขึ้น ณ ที่บ้านของตนเองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพราะผมไม่อยากเห็น “คนจนร้องไห้ในคุก” ถ้าเขาไม่ได้ทําความผิด ถ้าผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง หลายคนก็อาจจะพูดว่าเอ๊ะคนจนก็ยังไม่ได้อยู่เหมือนเดิมผมว่าต้องไปดูที่กระบวนการในการที่จะเข้าถึง ในการที่จะอํานวยความสะดวกให้พี่น้องที่ยากจนจริง ไม่ใช่ให้แต่เฉพาะพรรคพวก เพื่อนฝูง ที่กล่าวอ้างกันในเวลานี้ก็ทําให้ชัดเจน โปร่งใส ทั่วถึง และเป็นธรรมแล้วกัน ทุกคนทราบดี
สุดท้ายนี้ผมมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่น่ายินดี สําหรับพี่น้องประชาชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ปากท้อง” การทํามาหากิน การเข้าถึงแหล่งเงิน และโอกาสการประกอบอาชีพของทุกคน โดยเฉพาะระดับฐานรากของเศรษฐกิจ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ สถาบันการเงินประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศที่สําคัญ ที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้ประชาชน สามารถจัดตั้งสถาบันการเงินเล็กๆ ในชุมชนของตนเองได้ในทุกๆ ตําบลทั่วประเทศ โดยกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลดีกับพี่น้องประชาชนมากกว่า 20-30 ล้านคน ทั้งในชนบทและในเมือง โดยเฉพาะผู้ที่เข้าไม่ถึงธนาคารพาณิชย์ อาจจะเพราะว่าไม่มีสาขาแบงก์อยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ในชุมชนจะฝาก จะถอนเงิน แต่ละครั้ง ต้องเดินทาง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมาก และเสียเวลาไปครึ่งค่อนวันหรือ อาจเป็นเพราะไม่มีเอกสาร ไม่มีประวัติเครดิต ที่สําคัญคือ ไม่มีหลักทรัพย์มาค้ําประกันผลที่ตามมาก็คือ พี่น้องเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการทํามาหากิน ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจกการและ ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้สักทีต้องหันไปพึ่ง “แหล่งเงินนอกระบบ” โดนขูดรีด เรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูง20-30% ต่อเดือน สุดท้ายทําให้หลายรายต้องสูญเสียที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษไปให้แก่นายทุนเงินกู้นอกระบบ รวมทั้งโดนทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้ผลักดัน พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 สามารถแก้ไขปัญหาได้ส่วนหนึ่ง
พ.ร.บ.ฉบับนี้จะอํานวยความสะดวกให้ท่านสามารถตั้งสถาบันการเงินเล็กๆ ในชุมชนของท่าน ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีพี่เลี้ยงคือ ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คอยสนับสนุนในทุกๆ ด้าน อาทิ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้แก่กรรมการและผู้บริหารการสร้างความโปร่งใสการพัฒนาระบบ เช่น สอนวิธีการลงบัญชีที่ถูกต้อง เป็นต้น และให้คําแนะนําเรื่องกฎหมายด้วย ต้องระมัดระวัง อย่าไปทําผิดกฎหมายให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ซึ่งจะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถออม - ถอน - โอน - กู้เงิน ได้สะดวก เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย ในพื้นที่ชุมชนของตนโดยไม่เสี่ยงที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ เหมือนในอดีต ทําให้สามารถลืมตาอ้าปาก และเข้มแข็งได้ในที่สุด นี่คือการแก้ปัญหาทั้งระบบ
สถาบันการเงินเล็กๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ทําอยู่แล้ว ปัจจุบัน ทั้งประเทศมีรวมกันเกือบ 30,000 แห่ง ในรูปแบบกลุ่มสัจจะออมทรัพย์กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตหรือ สถาบันการเงินชุมชน เป็นต้น บางแห่งตั้งมา 10 ปี เก็บออมกันได้ 1 ล้าน 10 ล้าน 50 ล้าน บางแห่งประสบความสําเร็จ ขยายไปถึง 100 ล้านก็มี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนนั้นๆ
ยกตัวอย่างที่จังหวัดตราดผมก็ได้พบกับพระอาจารย์ สุบิน ผู้ที่ได้นําพี่น้องประชาชน เก็บออมวันละเล็ก วันละน้อย 1 บาท 5 บาท 10 บาท จนกระทั่งวันนี้ จากเม็ดเงินเล็กๆ ที่ทุกคนช่วยกันเก็บออม เครือข่ายการออมของท่านในจังหวัดตราด มีเงินออมถึง 2,700 ล้านบาท วันละ 5 บาท 10 บาท 20 บาทก็ได้ และเงินออมก้อนนี้ 2,700 ล้านบาท สามารถช่วยปลดหนี้นอกระบบ อันนี้ผมหมายความถึงทุกคนอาจจะเก็บของตนเองก็ได้ทุกวันไป ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือลูกหลานก็เก็บได้ เหมือนกับธนาคารในบ้านก็ได้ ก็ไปเก็บในกองทุนชุมชนเช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยปลดหนี้นอกระบบหรือวางอนาคตของตัวเองได้ เป็นทุนในการทําการเกษตร ทําธุรกิจ และนํากําไรมาแบ่งปันจัดสรรเป็นสวัสดิการในชุมชนให้กับสมาชิก แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ อยากได้จากรัฐบาล ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครทําให้คือกฎหมายที่จะมารองรับสิ่งที่พี่น้องประชาชนทําอยู่ ให้ความเป็น “นิติบุคคล” เพื่อสถาบันการเงินเหล่านี้ จะได้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน
ผมหวังว่ากฎหมายฉบับนี้ที่รัฐบาลนี้ทําจะผ่านการพิจารณาของสนช. ภายในปีนี้และเมื่อผ่านแล้วเราจะเปิดให้กลุ่มการออมของพี่น้องประชาชน สมัครยกระดับเป็นสถาบันการเงินประชาชนต่อไป ด้วยความสมัครใจ ผมขอย้ําว่า โดยสมัครใจ ไม่มีการบังคับ นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่ “วงจร” หรือ “เครือข่าย” การเงิน - การธนาคาร - สถาบันการเงินของประเทศแล้ว ก็จะเป็นการเติมเต็ม โดยท่านจะยังมีอิสระในการบริหารจัดการ รับเงินฝาก ปล่อยกู้ ด้วยกฎเกณฑ์ของชุมชนของท่านเช่นเดิมต้องช่วยกันดูแล ตรงนี้ผมขอย้ําเช่นกันว่าทุกชุมชนจะยังสามารถกําหนดเกณฑ์ต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะทุกพื้นที่ มีลักษณะที่ต่างกัน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกัน เราต้องให้ทุกคนสามารถเลือกแนวทางที่เหมาะกับตนเอง
ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายได้ประกาศใช้แล้ว รัฐบาลจะทยอยอนุญาตให้กับชุมชนที่พร้อมและสนใจ ประมาณตําบลละแห่งไปก่อน หากเป็นตําบลใหญ่ อาจจะมีมากกว่านั้นก็ได้ซึ่งในระยะยาว จะทําให้เรามี “โครงข่ายสถาบันการเงินประชาชน” ตามกฎหมายนี้ อย่างน้อย 7,000 แห่ง ทั่วไทยที่เป็นของพี่น้องประชาชน ดําเนินการโดยพี่น้องประชาชน และเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งจะนํามาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการ“ระเบิดจากภายใน” นําไปสู่ความพอเพียง พึ่งตนเอง ตามพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้สืบสานและต่อยอดประยุกต์ขยายออกไป
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และอย่าลืมชวนกันแต่งชุดไทย ชุดสุภาพไปร่วมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" กันมากๆ นะครับสวัสดีครับ
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานคร จังหวัดใกล้เคียง และคนไทยทุกคน มาร่วมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 11 มีนาคม 2561ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์จัดงานนี้ขึ้น เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีความสุข เป็นการสืบสานวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติรวมทั้งได้ชมการจัดสวนดอกไม้และงานศิลปะอันงดงามของไทย โดยพร้อมใจกันแต่งกายให้เข้าบรรยากาศย้อนยุคของไทยหรือชุดสุภาพตามความสมัครใจ ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน พาลูกหลาน ชวนเพื่อนชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยว มาร่วมงานกันมาก ๆ เราจะได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทยที่มีวัฒนธรรม และประวัติ ศาสตร์มายาวนาน
พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก ครับ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่และได้มีโอกาสพบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดตราดและจันทบุรี ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน ข้าราชการ และทุกภาคส่วน ในทั้ง 2 จังหวัด ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้ความเป็นกันเอง และร่วมมือในการเสนอข้อคิดเห็นที่สะท้อนถึงความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่จะช่วยให้การกําหนดนโยบายของภาครัฐสามารถทําได้อย่างตรงจุด ตรงความต้องการ
ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตอยู่ในระดับสูง มีศักยภาพในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเป็นพื้นที่ศูนย์รวมอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ รวมถึงเป็นที่ตั้งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษEECที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต อีกทั้ง ยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะผลไม้ และมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เช่นพัทยา บางแสน เกาะเสม็ด เกาะช้างอีกทั้งเป็นศูนย์การค้าชายแดน และมีโครงสร้างการคมนาคมที่เป็นประตูเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกได้สะดวกแต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของพื้นที่ในภาคตะวันออกนี้ ก็อาจจะทําให้เกิดปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ตามมาด้วย ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ปริมาณน้ําที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ การขาดแคลนแรงงาน ไปจนถึง ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวไม่ทัน
ผมและตัวแทนคณะรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออกรวมทั้งสิ้น 8 จังหวัดโดยได้รับทราบปัญหา และความต้องการของพื้นที่หลักๆ ก็มี 6 ด้านด้วยกัน ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในเรื่องของถนน ก็ได้มีการรับไปศึกษาออกแบบก่อสร้างเส้นทาง ที่จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น เส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิศ อู่ตะเภา-ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี เส้นทางเลียบชายทะเลจังหวัดชลบุรี รวมถึงเส้นทางในจังหวัดชลบุรีเพื่อจะบรรเทาปัญหาการจราจร และเส้นทางตัดใหม่ในจังหวัดสระแก้ว เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงข่ายถนน โดยการเพิ่มช่องทางจราจร เพื่อจะสนับสนุนการขนส่งที่เชื่อมโยงกับพื้นที่EECพื้นที่ท่องเที่ยวและชายแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งคงจะต้องพิจารณาในรายละเอียดและจัดลําดับความสําคัญ โดยคํานึงถึงการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่EECและพื้นที่ระหว่างจังหวัดในภาค และระหว่างภาคด้วย รวมทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่เราต้องให้ความสําคัญ และประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับต่อไป ทั้งปัจจุบัน และอนาคตด้วย สําหรับในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะ ต้องมีการศึกษาออกแบบรถไฟทางคู่สายระยอง – จันทบุรี - ตราด เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ -ระยองการเปิดเดินรถไฟสายด่วนพิเศษSprinterสายกรุงเทพฯ – อรัญประเทศ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนขณะที่ในเรื่องของระบบไฟฟ้าก็จะพิจารณาแผนปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟฟ้าแรงสูงที่มั่นคง มีเสถียรภาพ ในพื้นที่จังหวัดนครนายกต่อไป
2. ด้านอุตสาหกรรม การลงทุน การค้าและการค้าชายแดน ก็ได้มีการหารือในการยกระดับด่านชายแดนให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งรัฐบาลจะนําไปพิจารณาเพิ่มเติมและเร่งรัดเตรียมการเพื่อเจรจากับต่างประเทศด้วย เพื่อนบ้าน โดยจะต้องคํานึงถึง ทั้งเรื่องการพัฒนา ความมั่นคง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วก็มีความคุ้มค่ากับการลงทุนในอนาคตด้วย นอกจากนี้จะมีการให้สนับสนุนจังหวัดจันทบุรีให้เป็น “นครอัญมณี” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกทั้งต้นทาง ในการนํานวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพอัญมณีกลางทาง คือการพัฒนานักออกแบบ ช่างเจียระไน และช่างผู้ผลิตให้มีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลายทางคือการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนผู้ผลิตเครื่องประดับอัญมณี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะรับไปพิจารณาและนํามารายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
3. ด้านการเกษตร ได้มีการหารือในเรื่องการสนับสนุนภาคตะวันออกให้เป็น “มหานครผลไม้โลก” ที่มีคุณภาพปลอดภัยอย่างครบวงจร ในเรื่องนี้ ครม. ได้มีมติอนุมัติในหลักการ โครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะตะวันออก จะต้องเชื่อมโยงไปพื้นที่อื่นๆ มาที่ตะวันออกนี้ด้วย เพราะเหมือนกับเป็นประตูส่งออกผลไม้ของเรา ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตและตลาดจําหน่ายผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจะผลักดันประเทศไทยให้เป็น “มหานครผลไม้ของโลก” โดยจะร่วมกันกําหนดมาตรฐานผลไม้ไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศ และได้มีการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร เพื่อจะสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว
4. ด้านการท่องเที่ยว ได้มีการหารือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ทั้งในด้านเชิงสุขภาพ ผ่านการใช้แบรนด์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เพื่อจัดสร้างศูนย์บริการสปา ในจังหวัดภาคตะวันออก และศึกษาออกแบบ ปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางจักรยานในพื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีโดยคํานึงถึงรูปแบบการบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืนนอกจากนั้น มีการเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากร เพื่อจะรองรับการท่องเที่ยวและโรงแรมภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน
5. ด้านคุณภาพชีวิตก็ได้มีการหารือกันในการสนับสนุนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อจะรองรับความต้องการบริการสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น ตามจํานวนประชากร ทั้งในเรื่องการยกระดับโรงพยาบาลให้รองรับคนไข้ได้เพียงพอ การจัดสรรอัตรากําลังบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน และศูนย์การแพทย์ครบวงจร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและดําเนินการในพื้นที่ ที่เหมาะสมต่อไป
6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการตั้งประเด็นหารือในเรื่องระบบรวบรวมและบําบัดน้ําเสียในจังหวัดระยองการศึกษาการขุดลอกแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อจะแก้ไขปัญหาแม่น้ําตื้นเขิน และศักยภาพการขนส่งพืชผลทางการเกษตรทางน้ํา การป้องกันและแก้ไขปัญหาช้างป่า นอกพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ของป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม การระบายน้ํา ระบบรวบรวม และบําบัดน้ําเสียในเมืองพัทยาอย่างครบวงจร
ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นข้อเสนอจากส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่ ประชาชนด้วย ที่รัฐบาลจะขอนําไปพิจารณาจัดลําดับความสําคัญเพื่อจะดําเนินการต่อไป เพราะว่าต้องใช้งบประมาณสูง บางอย่างนะครับสูงมากเพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องทยอยดําเนินการไป จัดความเร่งด่วนให้ดี ใช้งบประมาณให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุด บางประเด็นนั้นได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือต่อเนื่องในการประชุมครม. เช่น เรื่องการสนับสนุนด้านการผลิตและการตลาดผลไม้ เพื่อจะให้ไทยเป็นประเทศมหานครผลไม้ครบวงจร นอกจากประเด็นที่ผมกล่าวถึงข้างต้นแล้วนั้น ครม. ได้มีการพิจารณาวาระที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่สําคัญ เช่น ร่างทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกในภาพรวม ที่คํานึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ
สําหรับในเรื่องของพื้นที่EECเอง ก็มีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2560 เราได้เห็นแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เราวางไว้ ในหลาย ๆ โครงการ ซึ่งมีแผนงานชัดเจน เช่น ด้านการซ่อมอากาศยาน การเป็นเมืองการบิน โครงการรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนาท่าเรือในพื้นที่เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีการจัดทําแผนการบริหารจัดการน้ําที่จะทําให้มีการหาแหล่งน้ําใหม่ เพื่อจะเพิ่มความจุแหล่งน้ําเดิม และระบบเชื่อมโยงโครงข่ายน้ํา เพื่อจะรองรับกิจกรรมในEECได้อย่างเพียงพอกับความต้องการในระยะยาวด้วยครับ 10- 20 ปีด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากผมและคณะ จะได้เข้าไปทําความเข้าใจกับปัญหาและความต้องการของพื้นที่เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนแล้ว ผมยังได้มีโอกาสพบกับผู้ประกอบการ และผู้นําชุมชนแบบกลุ่มย่อย ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้เปิดรับฟังมุมมองต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดได้พูดจาทําความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ และชี้แจงในเรื่องของการปฏิบัติด้วยบางอย่างได้กําหนดนโยบายไปแล้ว ก็ต้องมีวิธีการขับเคลื่อนทั้งในระดับรัฐบาล ระดับพื้นที่ จะต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน ผมถือว่าเป็นการดําเนินการด้านปรองดองที่สําคัญผมได้เน้นย้ําในเรื่องของการต้องช่วยกันเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ไม่หวาดระแวงกัน ผู้นําท้องถิ่น และนักการเมือง จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องช่วยกันทํางาน อยากให้มองว่าประเทศเป็นของพวกเราทุกคน เรามีหลายจังหวัดด้วยกันทุกจังหวัดเราจะต้องพัฒนานําไปสู่วิสัยทัศน์ของเรา ให้ทั่วถึงต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทําในหน้าที่ อย่ามัวแต่ขัดแย้งกัน ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือกับเราเพื่อจะเดินหน้าประเทศต่อไป มองไปข้างหน้า
พ่อแม่พี่น้องประชาชน ครับ
เราทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปัญหาของผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่สามารถเข้าถึงการอํานวยความยุติธรรมได้ด้วยตนเอง เพราะอาจจะไม่มีความรู้เพียงพอ อยู่ห่างไกล ไม่รู้สิทธิ์ ไม่รู้กระบวนการ โดยเฉพาะเรื่องการไม่มีค่าใช้จ่ายในการขึ้นโรงขึ้นศาล การต่อสู้คดี บางรายต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ว่าจะในระบบ หรือนอกระบบ หลายครอบครัวต้องล้มละลาย เพียงแค่ต้องการความเป็นธรรม จากข้อมูลทางสถิติ ปัจจุบันมีผู้ต้องขังถูกควบคุมตัว ระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดี มากกว่า 6 หมื่นคน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายถือว่า “ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคําพิพากษา”ทั้งนี้ แม้ผู้ต้องหาทุกคนจะมีสิทธิได้รับการประกันตัวดังกล่าวเป็นการชั่วคราว เพื่อออกมารวบรวมพยานหลักฐานและพบทนายความ แต่เมื่อไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่ได้ใช้โอกาสนั้น ซึ่งเป็นโจทย์ของ “กองทุนยุติธรรม”ไม่อาจหยิบยื่นความยุติธรรมให้ถึงมือผู้ต้องคดีที่ยากจน ซึ่งเป็นที่มาของนโยบายของรัฐบาลนี้ ที่เห็นถึงความสําคัญของการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําโดยการตรากฎหมายจัดตั้งกองทุนยุติธรรมให้เป็นนิติบุคคล สําหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมได้ ตลอดกระบวนการในรูปแบบการช่วยเหลือด้านการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการปล่อยตัวชั่วคราว ค่าจ้างทนายความค่าพาหนะค่าที่พักค่าฤชาธรรมเนียมในทุกประเภทคดี และค่าใช่จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยไม่จํากัดวงเงิน ยิ่งกว่านั้น สามารถจะอนุมัติคําร้องนั้นๆ ได้ในจังหวัดของตนเอง โดยการรับคําร้องผ่าน “ศูนย์ยุติธรรมชุมชน” ซึ่งตั้ง ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ จังหวัด และยุติธรรมจังหวัด หรือที่ สํานักงานกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พูดโดยรวมว่าเป็น “เครือข่ายยุติธรรมชุมชน” ด้วยการยกระดับกลไกในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของกองทุนยุติธรรมดังกล่าวของรัฐบาลนี้ นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ เมื่อเดือนเมษายน 2559สามารถลดความเหลื่อมล้ํา ช่วยให้พี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว เพื่อออกไปปกป้องความบริสุทธิ์ของตนตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องนอนคุก เหมือนที่ใครๆ ชอบกล่าวว่า “คนจนนอนคุก คนรวยนอนบ้าน”
ในระยะเวลา 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา กองทุนยุติธรรมได้ใช้เงิน ราว 271 ล้านบาท ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องการช่วยให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว คิดเป็นร้อยละ 90เทียบกับก่อนที่จะมีกฎหมายนี้ 12 ปีที่ผ่านมารวมกัน ใช้จ่ายเงินทําได้เพียง 742 ล้านบาทยังไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ ในอนาคตประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะต้องสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ง่าย และสะดวกขึ้น ณ ที่บ้านของตนเองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพราะผมไม่อยากเห็น “คนจนร้องไห้ในคุก” ถ้าเขาไม่ได้ทําความผิด ถ้าผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง หลายคนก็อาจจะพูดว่าเอ๊ะคนจนก็ยังไม่ได้อยู่เหมือนเดิมผมว่าต้องไปดูที่กระบวนการในการที่จะเข้าถึง ในการที่จะอํานวยความสะดวกให้พี่น้องที่ยากจนจริง ไม่ใช่ให้แต่เฉพาะพรรคพวก เพื่อนฝูง ที่กล่าวอ้างกันในเวลานี้ก็ทําให้ชัดเจน โปร่งใส ทั่วถึง และเป็นธรรมแล้วกัน ทุกคนทราบดี
สุดท้ายนี้ผมมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่น่ายินดี สําหรับพี่น้องประชาชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ปากท้อง” การทํามาหากิน การเข้าถึงแหล่งเงิน และโอกาสการประกอบอาชีพของทุกคน โดยเฉพาะระดับฐานรากของเศรษฐกิจ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ สถาบันการเงินประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศที่สําคัญ ที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้ประชาชน สามารถจัดตั้งสถาบันการเงินเล็กๆ ในชุมชนของตนเองได้ในทุกๆ ตําบลทั่วประเทศ โดยกฎหมายฉบับนี้ จะส่งผลดีกับพี่น้องประชาชนมากกว่า 20-30 ล้านคน ทั้งในชนบทและในเมือง โดยเฉพาะผู้ที่เข้าไม่ถึงธนาคารพาณิชย์ อาจจะเพราะว่าไม่มีสาขาแบงก์อยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ในชุมชนจะฝาก จะถอนเงิน แต่ละครั้ง ต้องเดินทาง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมาก และเสียเวลาไปครึ่งค่อนวันหรือ อาจเป็นเพราะไม่มีเอกสาร ไม่มีประวัติเครดิต ที่สําคัญคือ ไม่มีหลักทรัพย์มาค้ําประกันผลที่ตามมาก็คือ พี่น้องเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการทํามาหากิน ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจกการและ ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้สักทีต้องหันไปพึ่ง “แหล่งเงินนอกระบบ” โดนขูดรีด เรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูง20-30% ต่อเดือน สุดท้ายทําให้หลายรายต้องสูญเสียที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษไปให้แก่นายทุนเงินกู้นอกระบบ รวมทั้งโดนทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้ผลักดัน พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 สามารถแก้ไขปัญหาได้ส่วนหนึ่ง
พ.ร.บ.ฉบับนี้จะอํานวยความสะดวกให้ท่านสามารถตั้งสถาบันการเงินเล็กๆ ในชุมชนของท่าน ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีพี่เลี้ยงคือ ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คอยสนับสนุนในทุกๆ ด้าน อาทิ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้แก่กรรมการและผู้บริหารการสร้างความโปร่งใสการพัฒนาระบบ เช่น สอนวิธีการลงบัญชีที่ถูกต้อง เป็นต้น และให้คําแนะนําเรื่องกฎหมายด้วย ต้องระมัดระวัง อย่าไปทําผิดกฎหมายให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ซึ่งจะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถออม - ถอน - โอน - กู้เงิน ได้สะดวก เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย ในพื้นที่ชุมชนของตนโดยไม่เสี่ยงที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ เหมือนในอดีต ทําให้สามารถลืมตาอ้าปาก และเข้มแข็งได้ในที่สุด นี่คือการแก้ปัญหาทั้งระบบ
สถาบันการเงินเล็กๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ทําอยู่แล้ว ปัจจุบัน ทั้งประเทศมีรวมกันเกือบ 30,000 แห่ง ในรูปแบบกลุ่มสัจจะออมทรัพย์กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตหรือ สถาบันการเงินชุมชน เป็นต้น บางแห่งตั้งมา 10 ปี เก็บออมกันได้ 1 ล้าน 10 ล้าน 50 ล้าน บางแห่งประสบความสําเร็จ ขยายไปถึง 100 ล้านก็มี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนนั้นๆ
ยกตัวอย่างที่จังหวัดตราดผมก็ได้พบกับพระอาจารย์ สุบิน ผู้ที่ได้นําพี่น้องประชาชน เก็บออมวันละเล็ก วันละน้อย 1 บาท 5 บาท 10 บาท จนกระทั่งวันนี้ จากเม็ดเงินเล็กๆ ที่ทุกคนช่วยกันเก็บออม เครือข่ายการออมของท่านในจังหวัดตราด มีเงินออมถึง 2,700 ล้านบาท วันละ 5 บาท 10 บาท 20 บาทก็ได้ และเงินออมก้อนนี้ 2,700 ล้านบาท สามารถช่วยปลดหนี้นอกระบบ อันนี้ผมหมายความถึงทุกคนอาจจะเก็บของตนเองก็ได้ทุกวันไป ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือลูกหลานก็เก็บได้ เหมือนกับธนาคารในบ้านก็ได้ ก็ไปเก็บในกองทุนชุมชนเช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยปลดหนี้นอกระบบหรือวางอนาคตของตัวเองได้ เป็นทุนในการทําการเกษตร ทําธุรกิจ และนํากําไรมาแบ่งปันจัดสรรเป็นสวัสดิการในชุมชนให้กับสมาชิก แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ อยากได้จากรัฐบาล ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครทําให้คือกฎหมายที่จะมารองรับสิ่งที่พี่น้องประชาชนทําอยู่ ให้ความเป็น “นิติบุคคล” เพื่อสถาบันการเงินเหล่านี้ จะได้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน
ผมหวังว่ากฎหมายฉบับนี้ที่รัฐบาลนี้ทําจะผ่านการพิจารณาของสนช. ภายในปีนี้และเมื่อผ่านแล้วเราจะเปิดให้กลุ่มการออมของพี่น้องประชาชน สมัครยกระดับเป็นสถาบันการเงินประชาชนต่อไป ด้วยความสมัครใจ ผมขอย้ําว่า โดยสมัครใจ ไม่มีการบังคับ นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่ “วงจร” หรือ “เครือข่าย” การเงิน - การธนาคาร - สถาบันการเงินของประเทศแล้ว ก็จะเป็นการเติมเต็ม โดยท่านจะยังมีอิสระในการบริหารจัดการ รับเงินฝาก ปล่อยกู้ ด้วยกฎเกณฑ์ของชุมชนของท่านเช่นเดิมต้องช่วยกันดูแล ตรงนี้ผมขอย้ําเช่นกันว่าทุกชุมชนจะยังสามารถกําหนดเกณฑ์ต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะทุกพื้นที่ มีลักษณะที่ต่างกัน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกัน เราต้องให้ทุกคนสามารถเลือกแนวทางที่เหมาะกับตนเอง
ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายได้ประกาศใช้แล้ว รัฐบาลจะทยอยอนุญาตให้กับชุมชนที่พร้อมและสนใจ ประมาณตําบลละแห่งไปก่อน หากเป็นตําบลใหญ่ อาจจะมีมากกว่านั้นก็ได้ซึ่งในระยะยาว จะทําให้เรามี “โครงข่ายสถาบันการเงินประชาชน” ตามกฎหมายนี้ อย่างน้อย 7,000 แห่ง ทั่วไทยที่เป็นของพี่น้องประชาชน ดําเนินการโดยพี่น้องประชาชน และเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งจะนํามาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการ“ระเบิดจากภายใน” นําไปสู่ความพอเพียง พึ่งตนเอง ตามพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้สืบสานและต่อยอดประยุกต์ขยายออกไป
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และอย่าลืมชวนกันแต่งชุดไทย ชุดสุภาพไปร่วมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" กันมากๆ นะครับสวัสดีครับ
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9970
|
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
|
วันนี้ผมมีเรื่องสําคัญที่อยากจะเรียนให้ทราบในสัปดาห์นี้
เรื่องที่ 1. อยากให้ประชาชนทุกท่านลองพิจารณาดูว่าท่านทราบหรือยังว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ดําเนินการไว้มีอะไรบ้าง ช่วยกรุณาพิจารณาคิดย้อนกลับไปดูว่า อะไรที่เราทําเสร็จแล้ว อะไรที่เริ่มทํา แล้วมีการแก้ไขอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง อะไรที่ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วทําต่อเนื่อง
หลังจากเข้ามาวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และ คสช. ได้นําความสงบสุขกลับคืนมา ได้ดําเนินการสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคงให้กับประเทศ ปลดล๊อคในทุกเรื่องที่ติดขัดทั้ง ๆ ที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งในเรื่องอื่น ๆ ด้วยก็ตาม ตลอดจนกระบวนการประชาธิปไตยที่มีข้อจํากัด เพื่อจะขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้นั้น เราได้นําทุกเรื่องเข้าสู่การพิจารณาดําเนินการ โดยเฉพาะเรื่องคดีต่างๆ ก็นําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ
ส่วนของการบริหารราชการแผ่นดินในห้วงต่อมานั้น ผมได้พบปัญหาต่างๆ ที่สะสมมากมายของประเทศเรานี้ มีหลายอย่างด้วยกัน อาทิ ปัญหางาช้าง ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน ตลอดจนความไม่เป็นสากลต่างๆ กฎหมายที่ไม่ทันสมัยเหล่านี้ เป็นปัญหาทั้งสิ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถานะของประเทศในเวทีโลก ในการค้า การลงทุน ทั้งสิ้น
สําหรับปัญหาภายในประเทศที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ปัญหาความมั่นคงหลายอย่างด้วยกัน ทั้งในส่วนของการบูรณาการ การสร้างความเชื่อมั่น ในการลงทุนจากต่างประเทศ ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องเกษตรกร ปัญหาในการจัดระเบียบสังคม ถนนหนทาง การขายของ ปัญหาการทํางานที่ไม่บูรณาการ ผมเคยกราบเรียนแล้วว่าจะต้องบูรณาการทั้งคน เจ้าหน้าที่แผนงานโครงการ และงบประมาณ เพื่อจะไม่ซ้ําซ้อนกัน ทําในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นพื้นที่ หรือเป็นกิจกรรมซึ่งเรากําลังเดินหน้าอยู่ ปัญหาทีแก้ต่อไปคือปัญหารัฐวิสาหกิจที่ต้องมีการฟื้นฟู จากภาวะการขาดทุนแล้วอาจจะมีความไม่โปร่งใสในบางประเด็น รัฐบาลก็พยายามจะแก้ไข ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วย ถ้าเร็วเกินไปก็อาจจะมีปัญหาต่อไปในอนาคต ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี ในระดับที่เป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตามรัฐบาลและ คสช. นั้นปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว ในการบริหารราชการแผ่นดินในวันนี้ ก็เป็นโอกาสที่พวกเราเข้ามาพอดีเศรษฐกิจโลกตกต่ําลงทั้งหมด ด้วยสาเหตุหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ทุกเรื่องถ้าเรายังไม่มีความพร้อมต้องรีบแก้ไข ต้องปรับปรุง ต้องสร้างความเข้มแข็ง เร่งช่วยเหลือผู้เดือดร้อน เพื่อเป็นการบรรเทาไประยะหนึ่งก่อนนะครับ แล้วก็เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น รัฐบาล และ คสช. รวมทั้ง สนช. สปท. กรธ. ก็ได้ดําเนินการในทุกเรื่อง หลายเรื่องเสร็จแล้วหลายเรื่องกําลังทํา หลายเรื่องต้องทําต่อเนื่องอีกมากมาย ซึ่งคือเหตุผลที่ผมต้องพูดมากทุกวันนี้ เพราะบางทีก็ลืมไปแล้วปีกว่าๆ สองปี ลืมหมด
เรื่องการปฏิรูป สิ่งสําคัญคือ ทุกเรื่องต้องมีการประสานสอดคล้องกันทั้งหมด ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุก 5 ปี นโยบายความมั่นคง ของ สปช. แล้วก็แผนงานของทุกส่วนราชการ รวมความถึงแผนการปฏิรูปที่เราได้วางไว้ แผนการปฏิรูปในช่วง 1-5 ปี แล้วสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี แล้วไป 4 แผน 4 x5 =20 นะครับ เพราะฉะนั้นเราได้เตรียมแผนปฏิรูปไว้เป็นระยะ ระยะที่ 1 คือ ถึงปี 2560 รัฐบาลนี้ยังอยู่ อันนี้คือใช้แผนที่ 12 เริ่มต้นเราจะเอาแผน 12 นี้ บางอย่างที่เราร่างไว้แล้วมาขับเคลื่อนให้ได้ก่อน ในปี 2559 นี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรากําลังสร้างความเข้มแข็งของประเทศ วางพื้นฐานทั้งหมด เหลือเวลาของผมอีกประมาณ ปีกว่า ๆ ถึงปี 2560 หลังปี 2560 ไปแล้ว เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 เต็ม ๆ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องวางว่าปี 2560-64 จะเป็นยังไง 70-74 เป็นยังไง 75-79 จะเป็นอย่างไร นั้นคือยุทธศาสตร์ 20 ปี แล้วมองย้อนกลับมาว่าเราจะทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ แผน 12 – 15 ได้อย่างไร เพื่อเป็นการประเมินผลความคืบหน้าในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทุกรัฐบาล ถอยหลังมาทุก 5 ปี แล้วกําหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้า แล้วมีการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลต่อ ๆ ไป ในลักษณะที่จะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้อง
เพราะฉะนั้นการปฏิรูปประเทศนั้น เราอาจจะต้องทําไปอย่างต่อเนื่อง บางเรื่องอาจจบภายในปีเดียว หรือภายใน 5 ปี หรือภายใน 10 ปี หรือภายในเวลา 20 ปี อาจจะนานกว่านั้นก็ได้ เพราะว่าโลกเปลี่ยนแปลงไป 20 ปีข้างหน้า ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เราต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งสําคัญ ทุกประเทศในโลกนี้มีผลกระทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การบริหารประเทศของทุกรัฐบาลต่อไปนี้ ต้องทันต่อทุกสถานการณ์ มีการวางแผนล่วงหน้าตลอดเวลา มีมาตรการลดความเสี่ยง แล้วมีกลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ตามห้วงระยะเวลาที่จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนด้วย เหมือนทหาร เขาใช้คําว่าแผนเผชิญเหตุ มีสมมุติฐาน แล้วก็ทําแผนรองรับไว้ 1 – 2 – 3 – 4 – 5 แผน ปกติเขาใช้แผนแรกเป็นคําสั่ง จากนั้นมาถ้าไม่มีเหตุการณ์แทรกซ้อนมาก็ใช้แผนเผชิญเหตุเข้ามาประกอบ แล้วมาปฏิบัติเพื่อเป็นการชดเชย การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากแผนแรกใช้ไม่ได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ อยากจะเรียนว่า การปฏิรูปประเทศนั้น อย่าใจร้อนมาก เพราะว่ามหาอํานาจบางประเทศผมไม่อาจจะกล่าวนามได้ยังไม่หยุดการปฏิรูปเลยวันนี้ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยมากกว่าเราอีก แต่ส่วนรวยคือรวย ส่วนตรงกลางก็ตรงกลาง แต่เขามากกว่าเรา เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตาม เขาต้องพัฒนาไปสู่ข้างล่างเพราะว่าเป็นสาเหตุของการที่มีความขัดแย้ง หรือความเหลื่อมล้ําในสังคม ในเรื่องของอาชีพ รายได้ ทําให้มีช่องว่างในการพัฒนา
ประชาชนอาจจะไม่มีความสุขถ้าเขามีรายได้น้อย หนี้สิ้นมาก บ้านเราก็เป็นมาก เรื่องที่ผมกล่าวนี้ เราต้องแก้ปัญหา แล้วก็ไม่ใช่แก้ทั้งหมดที่เดียว มันแก้ไม่ได้หรอก เพราะงบประมาณจํานวนมาก เราต้องทําทั้งระดับบน-กลาง-ล่าง คือรวยมาก รวยน้อย ตรงกลาง มาถึงรายได้น้อย จะต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อยู่ในวงจรที่เรียกว่า “ห่วงโซ่คุณค่า” ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เกื้อกูลต่อกัน พี่จูงน้อง อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราต้องเข้มแข็งจากทั้งภายในประเทศ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ก็คือชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัดนะครับ แล้วก็ไปต่างประเทศ เราต้องร่วมมือกันทํางานกันแบบ “ประชารัฐ” ในทุก ๆ อย่าง ทั้งในการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติงานในพื้นที่ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันให้ได้ เพราะฉะนั้น ผมอยากเรียนถึงบรรดากลุ่ม NGO ทั้งหมด ขอความกรุณาต้องเข้าใจ ว่าบางอย่างนั้นเราต้องเดินหน้าประเทศ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนได้พิจารณาดูให้ถ่องแท้ว่า สิ่งที่ทําไปนั้นมีประโยชน์กับใคร หรือทําให้ใครเสียประโยชน์และอะไรมาก อะไรน้อย แล้วจะแก้ปัญหาที่เสียประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ส่วนใหญ่จะได้มาเพื่อส่วนรวมหรือไม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องพิจารณาใหม่ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาทั้งหมด แล้วท่านก็บอกว่ารัฐบาลนี้ทําอะไรไม่ได้เลย ทุกรัฐบาลทําไม่ได้หมด เพราะว่าขัดแย้งกัน ไปในตัวอยู่แล้ว โดยปัจจัยพื้นฐาน บางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง บางอย่างต้องมีการเปลี่ยนวิธีการถ้าท่านบอกว่าเอาพื้นฐานเดิมมาหมด ก็ไม่ได้ มีการต่อต้าน ขัดแย้งกันทั้งหมด ทําอะไรก็ไม่สําเร็จ ประเทศก็ไปไม่ได้ เรามีผู้มีรายได้น้อยอยู่แบบนี้ตลอดเวลา
ถ้าท่านได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ําทั้ง 5 สาย ผมได้จัดทําแผนผังขึ้นมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ แล้วท่านคงได้เห็นกันทั่วไป กรุณาดูด้วยว่าวันนี้เราทํางานมากมายแค่ไหน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ทุกอย่างเดินหน้าไปตาม Road Map ที่ผมกําหนดไว้ทั้งสิ้น แล้วมีกิจกรรมในนั้นทั้งที่เขียนลงไปแล้ว บางอย่างก็อาจจะลงไปยังไม่ครบ แต่ให้รู้ว่าเราต้องเดินหน้าประเทศแบบนี้ ทั้ง 6 กลุ่ม ที่เรามีรองนายกรัฐมนตรีกํากับอยู่ในขณะนี้ ทั้ง 19 กระทรวง ที่กําลังเดินหน้าประเทศอยู่ เพราะฉะนั้นเราจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกพวก ทุกฝ่าย แม้กระทั่งฝ่ายการเมืองที่จะอาสาเข้ามาทํางานให้กับประเทศในห้วงต่อไป เพราะฉะนั้นประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา ขอให้ท่านเคารพในสิทธิของเขาบ้าง สิทธิของประชาชน ไม่ต้องรอให้เขาขอความช่วยเหลือทุกครั้งไป แล้วถึงจะช่วย หรือเลือกช่วย หรือเฉพาะ เพื่อเป็นฐานเสียง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ผิดหลักการประชาธิปไตย หลายท่านได้กล่าวไว้แล้วในขณะนี้
เรื่องที่ 2 คือการดําเนินการดังกล่าวนั้น จําเป็นต้องมีการกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือมีกฎหมายลูก เพื่อให้ดําเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่องนะครับ ผมกล่าวไปแล้วเรื่องปฏิรูป เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ เรื่องความมั่นคง นโยบาย ทุกอย่างไม่ใช่เดินไปทีเดียวแล้วเลิก ปีหน้าเปลี่ยนใหม่เป็นไปไม่ได้ เราก็จะไม่มีทิศทางหางเสือ เพราะฉะนั้นอันนั้นคือเข็มทิศนําทางทั้งหมด เพราะฉะนั้นใช้เข็มทิศให้เกิดประโยชน์ด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะเกิดปัญหากับการบริหารราชการแผ่นดินไปอนาคต
ผมเข้าใจดีว่า รัฐบาลต่อไป ก็อาจจะเกิด ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจว่าสิ่งที่ผมทําไว้แล้ว จะทําให้ท่านลําบากหรือไม่ ผมกราบเรียนว่าถ้าทุกคนจะต้องลําบาก ลําบากด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลําบากเพราะเราทําทุ่มเทให้กับประชาชน ผมว่านั่นคือความลําบากที่ต้องเจอ ไม่ใช่ลําบากในการที่จะใช้จ่ายงบประมาณ ลําบากในการที่จะทํานโยบายต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา ผมไม่ต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านก็กรุณาบริหารราชการแผ่นดินในลักษณะที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ เป็นไปตามแผนปฏิรูป เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคง แล้วก็เดินไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินในสิ่งที่ท่านเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีนโยบายพรรค มีอะไรต่าง ๆ ท่านก็ว่าของท่านไป เรากําหนดแนวทางไว้ให้ มีแผนสําเร็จรูปไว้ให้ แต่ท่านจะทําหรือไม่ทําก็ขึ้นอยู่กับท่าน ท่านก็ต้องตอบสภา ตอบในส่วนที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด มีเหตุผลความจําเป็นอย่างไรถึงทํา ไม่ทํา อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่บังอาจไปบังคับท่านได้อีกต่อไปแล้วในวันหน้า เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคง สร้างความเชื่อมั่น ไว้เนื้อเชื่อใจในการที่จะทําอะไรก็ตาม เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ ทําเพื่อประชาชน เราต้องปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ การเกษตร อุตสาหกรรม การค้าการลงทุนนะครับ และทุกอย่างต้องเข้มแข็งจากภายในตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระดับหมู่บ้านชุมชนจังหวัด กลุ่มจังหวัด ไปการค้าชายแดน ไป CLMV ไปอาเซียนไปประชาคมโลกอื่น ๆ
เพราะฉะนั้น รัฐบาลนี้จะทําแผนระยะยาวไว้ 20 ปี แผนที่ว่าไม่ใช่แผนที่จะต้องลงละเอียด บังคับท่านไม่ได้ แต่จะเป็นกรอบที่จะต้องเป็นเข็มทิศนําทางที่ ผมเรียนท่านแล้ว เป็น Road Map ในทุกเรื่อง ในนั้นจะบรรจุเรื่องของแผนปฏิรูปไว้ด้วย ให้สอดคล้องกับแผนตรงนี้ สภาพัฒน์ฯ ก็ทําแผน 5 ปี สอดคล้องกับตรงนี้ ทุก 5 ปี ก็เปลี่ยนได้ ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ ถ้ามีความจําเป็น เช่น ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้ต้องรู้แล้วว่าประเทศไทย 20 ปีข้างหน้าจะเดือดร้อนอะไร วันนี้เราเดินมาเท่าไรแล้ว เราต้องเดินอะไร ระยะที่เหลือ ทุก 5ปี ๆ หรือทุกปีที่เป็นเรื่องของท้องถิ่น นี่แหละถึงจะไปสู่การกระจายอํานาจ การใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากวันหน้าท่านมีปัญหากันในเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของสภาทั้งสองสภา ก็ต้องไปหารือร่วมกันว่าจะทํายังไง จะแก้ปัญหาอย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสิน ไม่รู้ ท่านต้องไปสร้างความเข้าใจให้ได้ก่อน อย่ามองว่าทําอันนี้เพื่อจะอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่าท่านก็คิดว่าจะมีเรื่อง จะมีความทุจริต จะมีความขัดแย้งใช่หรือไม่ ถ้าเราคิดว่าทุกคน พยายามไม่ไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ไปสู่ประเด็นแห่งปัญหา ทั้งหมดผมว่าไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น เพราะทําอะไรท่านไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งทําแบบผมก็ทําไม่ได้ ถ้าไม่มีสาเหตุ แล้วก็ให้แก้ปัญหาอะไรก็แก้ไม่ได้ ก็ต้องดําเนินการตามที่ผมทํามา เพราะฉะนั้นขอให้แยกแยะให้ออกว่าอะไรยุทธศาสตร์ อะไรคือนโยบายพรรค อะไรคือนโยบายรัฐบาล อะไรคือประชาชน ขอให้ดูด้วย ฝากไว้แล้วกัน ประชาชนช่วยกันดูด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่กําหนดไว้คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ํา เพิ่มความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนได้เห็นอนาคต 20 ปีข้างหน้า คือเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมา ปี 2560 นี้ เกิดมาพร้อมแผน 12 เขาจะได้รู้ว่า 20 ปีข้างหน้า เขาเรียนหนังสือ จบปริญญาตรีแล้วเขาจะเห็นอะไรในประเทศเขา เขาจะได้คิดว่าจะเรียนหนังสือยังไง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างไร เพื่อจะไปสู่จุด ๆ นั้นเมื่อเขาจบปริญญาตรี อายุ 19 -20 อะไรทํานองนี้ ผมก็คิดไว้แบบนี้ ถูกหรือผิดก็ไปคิดกันเอาเอง
เรื่องที่ 3. ทุกรัฐบาลจะต้องเอาปัญหาประเทศมาเป็นตัวกําหนด แยกปัญหาออกให้ชัดเจน ปัญหาหลัก ปัญหารอง ปัญหาที่เป็นปัจจัยเสริมให้ปัญหานี้แรงขึ้น ความขัดแย้งแรงขึ้นท่านต้องเอาปัญหาทุกอันมาคลี่ดูให้หมด แล้วเอาประชาชนทุกคนในประเทศมาเป็นเป้าหมาย การจะแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อให้เกิดผลกับประชาชนมีความสุข ระหว่างทางนี้เราก็มาสู่วิธีการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นธรรมาภิบาล ก็ต้องไปดูเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณด้วย การจัดทําแผนงานโครงการ ทุกกระทรวงนั้น ถ้าหากว่าเราทําไปโดยไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเหล่านี้ไปด้วย ก็ไม่อาจจะนําประเทศไปสู่ความเข้มแข็งได้เลย เพราะฉะนั้นเราจําเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งหน่วยงาน ทั้งโครงสร้าง ทั้งกระบวนการที่จะนําไปสู่ความมั่งคั่ง อย่างแท้จริง
เรื่องที่ 4. คือการที่จะเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ จะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในทุกประเด็น เรียนไว้แล้วว่าต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงและรู้ว่าปัจจัยภายนอก สถานการณ์โลกจะเป็นยังไง โดยการประเมิน ผมคิดว่ามีหน่วยงานมากมายไป ของ UN ก็มี ประชาคมแต่ละประชาคมก็มีทุกคนก็เขียนแผน เขียนกลยุทธ์กันไว้หมด เอามาศึกษากันบ้าง เราจะได้ทําแผนสํารองไว้ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน ภัยพิบัติ น้ําแล้ง หรือการสู้รบ อะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เพราะฉะนั้นให้ปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์โลกมาเป็นตัวกําหนดด้วยว่า เราจะแก้ปัญหาแล้วเตรียมการประเทศเราให้พร้อมอย่างไร เข้มแข็งได้อย่างไร
เรื่องเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเหมือนกันกับทุกคน ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยก็หนัก เพราะเรามีประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทําการเกษตร แล้วก็อาชีพอิสระอื่น ๆ ประมาณ 30-40 ล้านคน ในท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะฉะนั้น อาจจะไม่เข้าใจคําว่า “เศรษฐกิจ” มากนัก ต้องเห็นใจพ่อแม่พี่น้อง เพราะวัน ๆ ทํางานหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด อาจจะไม่มีเวลาที่ศึกษาในรายละเอียดนะครับ เพราะฉะนั้นให้ทุกคนช่วยกันถ่ายทอด สร้างความเข้าใจ สร้างการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เพราะ “เศรษฐกิจ” ผูกพันหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่ส่งออก – นําเข้า ตั้งแต่ภาษี รายได้ประเทศ เศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ต้องเกื้อกูลกันอย่างไร ถ้าเรามองแต่เพียงว่าหาเงินให้ประชาชนมีใช้ไปเรื่อย ๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปใช้ให้เขา แล้วเขาจะเข้มแข็งหรือไม่ วันนี้รัฐบาลพยายามทําทุกอย่าง ขอให้เข้าใจด้วย ก็เสียใจทุกครั้ง เวลาที่ทําอะไรไปแล้ว ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ อย่าไปทําอะไรที่เป็นเหมือนภาพลวงตา ไม่สร้างความยั่งยืน กลายเป็นว่าประชาชนกลายเป็นคนไม่มีเหตุ มีผลมันมาอย่างนี้ได้ยังไง ใช้อย่างนี้ได้ยังไง ไม่สนใจ สนใจแต่เพียงว่าเราได้อะไร เราไม่ได้อะไร อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ได้สร้างวัฒนธรรมในองค์กร หรือในประเทศของเราให้เป็นองค์ที่มีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน ลําบากก็ต้องลําบากด้วยกัน แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหา พยุงเพื่อน พยุงน้อง พยุงพี่ อะไรก็แล้วแต่ ต้องจูงมือไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นให้คํานึงถึงความสัมพันธ์ปัจจัยภายใน ภายนอก เป็นหลักด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เป็นธรรม/เหลื่อมล้ํา ปัจจัยภายนอก โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ความเข้มแข็งภาครัฐ–ภาคธุรกิจ–ภาคประชาชน เหล่านี้ทั้งหมดต้องแก้ไข
เรื่องที่ 5. เป็นเรื่องสําคัญที่มองเห็นอีกอย่างคือ การบูรณาการแผนงาน โครงการของทุกกระทรวงในกิจกรรมเดียวกัน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ํา โครงการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบ โครงการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบนะครับ การปรับปรุงเรื่องการค้า การอํานวยความสะดวก กฎหมาย เรื่องการลงทุน สิทธิประโยชน์ อุตสาหกรรม ขยายศักยภาพในการทําอุตสาหกรรมให้ทันสมัยขึ้น รองรับการที่จะปรับเปลี่ยนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ระยะที่ 4 ของโลกใบนี้นะครับ งานทุกงานนี่ หลายงานไม่ใช่กระทรวงเดียวทําสําเร็จ เช่น เรื่องน้ํา มีทั้งกระทรวงเกษตร มหาดไทย ทรัพยากรฯ มีหลายกรมอยู่ในนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนต่างคนต่างทําก็จะกระจายเป็นเบี้ยหัวแตกไปทั่ว เหมือนไปขุดตรงนั้น ตรงนี้ แต่ระบบส่งน้ําไม่มี ก็ไปสู่ผู้ใช้น้ําไม่ได้ยังไง แล้วก็บริหารจัดการไม่ได้ นี่คือปัญหาของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาทํางานในเรื่องของงบประมาณกันใหม่ ทําแผนโครงการกันใหม่ ต้องมีการบูรณาการ ผมจะใช้ตั้งแต่ปี 59 ไปเลย ถึงงบประมาณออกมาแล้ว แผนงานออกมาแล้ว แต่ผมจะจัดเข้ากรอบใหม่ และจะต้องจัดทําตาม Road Map ที่ผมมีอยู่ ปีกว่าๆ นี้ ให้ได้ อย่างน้อยก็ให้เกิดประโยชน์ให้จบเป็นพื้นที่ ตามความต้องการของประเทศ ตามความเร่งด่วนให้ได้ก่อน ทํายังไงจะเกิดขึ้นได้พร้อม ๆ กัน อันนี้เสร็จ อันนี้อาจจะยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชน แต่ถ้าทุกคนต้องการเท่ากันทั้งหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามีความแตกต่าง
สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด จะเข้ามาข้อ 6. คือเราต้องมีการจัดทําพระราชบัญญัติงบประมาณใหม่ ซึ่งผมกําลังให้ร่างอยู่ ถึงจะทําให้เกิดการบูรณาการอย่างนั้นได้ เพราะไม่เช่นนั้นต่างคนต่างทําแผน ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างเบิก ทําสัญญาก็ทําคนละที่หมด วันนี้ต้องมาทําร่วมกัน แล้ววาง Road map ว่าทุกอย่างต้องทําพร้อมกัน เรืองน้ํา ทุกกระทรวงต้องเสนอมาพร้อมกัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน แล้วไปเปิดทําสัญญาพร้อมกัน ผมว่าน่าจะทําได้ กําลังทําอยู่ ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็เสนอมาแล้วกัน ผมว่าเป็นสิ่งที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วย ตรวจสอบง่ายขึ้น แล้วก็จับต้องได้
เรื่องที่ 7. เรื่องการสร้างการรับรู้ รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะทําให้ประชาชนเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน บิดเบือนอยู่มากพอสมควร ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุอะไร วันนี้เราไม่ได้ห้ามใครแสดงความคิดเห็นอันบริสุทธิ์เลย เว้นแต่อย่าทําผิดกฎหมาย เข้าช่องทางที่ไม่ถูกต้อง หรือไปวิพากษ์วิจารณ์โดยเจตนาไม่สุจริต เหล่านี้ผมคิดว่าถ้าท่านยังทําอย่างนี้ต่อไป ก็สร้างความไม่เข้าใจไปมากขึ้น แล้วประโยชน์เกิดกับใคร หรือผลเสียเกิดกับใคร เกิดกับประเทศชาติใช่หรือไม่ แล้วท่านไม่รับผิดชอบกันเลยหรืออย่างไร การที่ไปพูดในต่างประเทศ ไปออกอากาศ ออกสื่อ สื่อก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ขยายความออกไป สื่อดีๆ ก็มีมากอยู่แล้ว ที่พยายามไม่เข้าใจก็มีอยู่ไม่กี่สื่อ เพราะฉะนั้นท่านต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนเห็นต่าง แต่ต้องหาประเด็นเห็นร่วมกันได้ แล้วอย่าไปบิดเบือนว่าตัวเองทําความผิดแล้วจะต้องพ้นผิด เพราะใช้สิทธิมนุษยชน ใช้เสรีภาพ ใช้เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เวลาวันนี้
เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนอย่าไปเชื่อมากนัก ก็ไปพิสูจน์กันเอาเองวันหน้าแล้วกัน สิ่งใดที่เป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้น ทําให้ทุกคนลืมไปหมด นึกถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว ว่าตัวเองทําอย่างไรจึงจะดีกว่าคนอื่น มีหน้ามีตากว่าคนอื่น มีเงินมีทองใช้มากกว่า อยากมีอํานาจกันทั้งหมดด้วยเงิน ด้วยอิทธิพล ด้วยอะไร ผมว่าเลิกได้แล้ว หลายประเทศเขาเลิกไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเรายังทําแบบเดิม รอรับการช่วยเหลือ ประกอบอาชีพแบบเดิมๆไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเพิ่มเสริมเติมต่ออะไรก็แล้วแต่ ไม่พัฒนาทั้งความรู้ เทคโนโลยี ไม่ใช้น้ําอย่างประหยัด ทุกอาชีพไม่สุจริต รัฐบาลก็ต้องเข้าเนื้อไปให้เรื่อยๆ ดูแลแล้วเมื่อไรจะพอ แล้วเมื่อไรจะแข็งแรง ต้องช่วยตัวเองบ้าง ฟังบ้างที่พูดออกไป ศูนย์แนะนําต่าง ๆ ก็มีทุกจังหวัด ท่านไม่ฟัง แต่ท่านต้องการ เมื่อให้ไปไม่ได้เพราะไม่ตรงกับสิ่งที่เราวางเจตนารมณ์ไว้ ก็ให้ไม่ได้ ท่านก็กลับมาโจมตีรัฐบาล เพราะฉะนั้นท่านอยากให้รัฐบาลตามใจ ง่ายนิดเดียว ผมก็ไม่ต้องทําอะไร ไม่ต้องมาปวดหัว ไม่ต้องมาทะเลาะ ขัดแย้งกับใคร ไม่ต้องหงุดหงิดด้วย ก็ขอร้องพี่น้องแล้วกัน ช่วยกันนิดหนึ่ง แต่ถ้าผิด ต่อไปก็มาว่าผมแล้วกัน ว่ามันผิด ผมจะได้ไม่พูด
อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เราหวังสร้างอนาคตให้กับประเทศ ซึ่งยากเหมือนกันในการปฏิรูป วันนี้ต้องปฏิรูปเกือบทุกอย่าง 37 วาระ ท่านคงจะเห็นในผังที่ผมเขียนสรุปให้ไป แต่วันนี้เราเริ่มต้นให้แล้ว ผมคิดว่าถ้าทุกคนร่วมมือตรงนี้จะมีอนาคตแล้ว แต่ถ้าขัดแย้งกันตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ประชามติ ตั้งแต่เลือกตั้ง ไปไม่ได้ทั้งหมด ล้มทั้งหมด ก็ขอร้องสื่อมวลชนกรุณาอย่าเสนอข่าวที่มีแต่ความรุนแรงมากนักเลย ภาพอาชญากรรม ความเสียหาย ความเดือดร้อน ความรุนแรง ไม่ทําให้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย โอเค คนสนใจ ขายหนังสือได้ แต่ประเทศชาติเสียหาย ท่านจะทํายังไง ให้ลดรูปเล็กลงบ้าง หรือบางเรื่องเสียหายกับประเทศรุนแรงเกินไป ก็หยุดบ้าง ตํารวจเขาจับแล้วก็คอยให้กระบวนการ ถึงเวลาพิจารณาคดีอะไรท่านก็ไปเสนอข่าวอีกทีได้หรือไม่
ถ้าท่านมุ่งเน้นจะขายหนังสืออย่างเดียวก็เป็นแบบนี้ แล้วต่างชาติเขาจะกลับมาเที่ยวบ้านเราหรือไม่ ความรุนแรงก็เกิดขึ้น คดีโน้น คดีนี้ มากไปหมด แต่เรื่องดีๆ อยู่หน้า 3 หน้า 4 เรื่องหน้า 1 ตัวใหญ่ทุกวัน ทวนแล้วทวนอีกๆ จนกระทั่งแทบจะเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยเลย คนอ่านข่าวนี่อะไรเหล่านี้ คนเขียนข่าว หรือไปอยู่ในกระบวนการเขาไม่รู้นะ อย่าไปซักมากนัก คนเป็นเหยื่อ เป็นอะไรเขาก็อับอายบ้าง เสียความเป็นส่วนตัวละเมิดสิทธิมนุษยชนเขานะ ขอให้พยายามแก้ไขด้วย
เรื่องที่ 8. คือตัวอย่างที่จะมีการนําพาประเทศชาติไปสู่อนาคตได้ ของรัฐบาลและ คสช. ในวันนี้ก็คือ อาทิเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมทางราง เพื่อการเชื่อมโยงรถไฟ – รถไฟฟ้า – รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า – รถรางไฟฟ้าล้อยาง กําลังคิดต่อว่าจะทํายังไรในพื้นที่ปริมณฑลที่การจราจรไม่ติดขัดมากนัก ไม่ต้องทําราง ใช้สายไฟข้างบน ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าข้างบน เหมือนที่ต่างประเทศเขาใช้ ทําอย่างไรจะเชื่อมต่อกัน ตรงไหนควรใช้อย่างไร แม้กระทั่งการขนส่งในเมืองใหญ่ หรือในเมืองท่องเที่ยวก็กําลังคิดอยู่ทั้งหมด แต่ถ้าเราไปทําอะไรมาก ๆ เข้าในพื้นที่ที่แออัดอยู่แล้วก็ลําบาก
ผมถึงบอกว่า ต้องมีการจัดระเบียบใหม่ การวางผังเมือง การขยายเมือง วงรอบออกไป ไม่ใช่แออัดอยู่ข้างใน มันไม่ได้แล้ว ต้องสร้างสังคมเมืองใหม่ขึ้นมา อันนี้คือปฏิรูประยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเพิ่มศักยภาพระบบขนส่งมวลชนเดิมให้ทันสมัย ลดปัญหาการจราจร และลดมลพิษ การใช้รถเก่ามาก ๆ ก็ไม่ดี เพราะปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ขึ้นไปในอากาศมากมาย เราก็ต้องรักษาโลกให้ไม่ร้อนไปมากกว่า 2% เราก็ลงนามสัญญากับเขาไปแล้วด้วย ทุกประเทศในโลกนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อมกรุงเทพ – หัวเมือง ตัวเมือง – ชานเมือง ที่จอดรถ ที่พักคอยอะไรก็แล้วแต่ให้ตรงกับความต้องการ ไม่เช่นนั้นก็ใช้ไปท่อน ๆ ทุกคนก็ไม่สะดวกไง ทุกคนก็ขับรถกันหมด คนเดียวก็ขับ สองคนก็ขับ สามคนก็ขับ คือสรุปว่าใช้รถหมดทุกคนก็มีรถทุกบ้าน แล้วก็สร้างมลภาวะขึ้นไป แต่ถามบอกว่าไปขึ้นรถไฟฟ้าบอกขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ต่อกันนะ ไปถึงก็จอดรถ ไม่มีที่จอดรถ ก็ห่วงรถ สู้ขับรถไปเลยดีกว่า ติดกันอยู่แบบนี้
เพราะฉะนั้น กี่รัฐบาลแก้ไม่ได้หมด ต้องแก้ปัญหาเรื่องที่จอดรถอีกด้วย วันนี้ผมให้นโยบายไปทําที่จอดรถใต้ดิน ในพื้นที่ที่แออัดมากๆ จะได้ลดการใช้รถในพื้นที่ที่แออัด คับคั่ง เช่นใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว ใกล้สถานที่ที่เกี่ยวกับการค้า ซึ่งเหล่านี้ทั้งรถ ทั้งคน ลําบากนะ อันตรายด้วย ถ้าเราทําที่จอดรถใต้ดินได้ก็จะดี หรือเป็นที่จอดรถที่มีหลายๆ ชั้น แล้วยกเลื่อนขึ้นลง ต่างประเทศลองดูแล้วกัน ทําได้ไม่ได้ แล้วก็อยากให้เป็นการร่วมทุนของภาคเอกชนบ้าง ก็ดีจะได้ลดภาระของรัฐบาลลงบ้าง ผมขอเชิญชวนบริษัทห้างร้านหรือธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยกันลงทุนได้ไหม เรื่องที่จอดรถใต้ดิน ก็หารือกับกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องของที่ดินต่างๆ ที่จะใช้ได้ หรือเป็นที่ด้านธุรกิจอยู่แล้ว เพียงแต่ทําข้างใต้ลงไป ตัวเลขคร่าวๆ ผมจําได้ พื้นที่ใต้ดินเมื่อหลายปีมาแล้วผมทราบว่า 1 คันประมาณ 2-3 ล้าน ถ้าพูดถึง 200 คันก็ประมาณ 6-7 ร้อยล้าน คุ้มค่าหรือไม่ไม่ทราบ วันนี้เท่าไรไม่ทราบเหมือนกัน ไปถามพวกก่อสร้าง
โครงการรถไฟฟ้า 10 เส้นทางใน กทม. สายสีม่วง บางใหญ่ – เตาปูน สร้างเสร็จแล้ว จะทดลองเดินรถเต็มรูปแบบ พฤษภาคม 2559 ผมเคยนั่งมาแล้ววันทดลอง ก็ดีเหมือนกัน แล้วจะเปิดบริการในเดือนสิงหาคม 2559 เฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วย สายที่ 2 สายสีน้ําเงิน ช่วงหัวลําโพง – บางแค บางซื่อ – ท่าพระ ก่อสร้างไปแล้ว 70 % มีทั้งแบบใต้ดินและยกระดับ มีอุโมงค์ลอดแม่น้ําเจ้าพระยาแห่งแรกของไทย จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2562 ผมไปดูแล้วการเจาะอุโมงค์มีความทันสมัยมาก เส้นที่ 3 สายสีเขียว (ตอนใต้) ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ก่อสร้างแล้ว 70 % จะเปิดให้บริการเดือน กุมภาพันธ์ 2561 และ (4) ส่วนต่อขยาย สายสีเขียว (ตอนเหนือ) ช่วงหมอชิต – คูคต จะเปิดให้บริการ กุมภาพันธ์ 2563 สายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต ก่อสร้างคืบหน้ากว่า 50 % จะเปิดให้บริการ เดือนกันยายน 2563 สายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ – พญาไท – มักกะสัน – หัวหมาก และ สายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ – หัวลําโพง ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและการพิจารณาของ สศช. และ สภาพัฒน์ฯ สายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี ครม. มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อปลายปี 2558 อยู่ระหว่างการจัดทําราคากลาง จะเริ่มประกวดราคา มกราคม 2559 เริ่มก่อสร้าง มีนาคม 2560 ซึ่งเริ่มไปแล้วในการประกวดราคา ดําเนินการอยู่ มีแผนจะเปิดให้บริการปลายปี 2563 สําหรับสายสีส้มนี้จะเป็นโครงข่ายเส้นแรก เชื่อมแนวขวางของกรุงเทพฯ เรียกว่า East-West จะต้องมีแนวขวางด้วย เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วเราสามารถจะใช้เส้นนี้เชื่อมโยงเข้ากับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น อีก 4 สาย ได้แก่ สายสีแดง สีน้ําเงิน แอร์พอร์ตเรลลิงค์ และสายสีชมพู จะสามารถรองรับผู้โดยสาร ราว 5 แสนคน/วันได้ ต่อไป สายที่ 8 สายสีชมพู มีนบุรี – แคราย และสายที่ 9 สายสีเหลือง ลาดพร้าว – สําโรง ทั้ง 8 และ 9 นี้เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว ซึ่งพยายามผลักดันให้เปิดบริการในปี 2563 เป็นโครงการที่เอกชนร่วมทุนกับรัฐกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ PPP เป็นการร่วมทุน สายที่ 10 ส่วนต่อขยาย สายสีม่วง ลงทางใต้ เตาปูน – ราษฎร์บูรณะ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน สถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่สําคัญ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ EIA และเกาะรัตนโกสินทร์
ส่วนการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ ขนาด 1 เมตร เดี๋ยวจะสับสนนะ ผมว่าทางคู่มากกว่า ไม่ใช่รางคู่เดี๋ยวจะเรียกกันผิด ทางคู่คือสวนกันได้ ถ้าเป็นรถไฟเมืองไทยวันนี้ก็มีคู่กันอยู่แล้ว ต้องมีซ้ายขวาไง ทางคู่สวนกันได้ ไม่ต้องวิ่งทับเส้นทางเดียวกัน เขาเรียกว่าทางคู่ วันนี้ก็ต้องใช้คําว่าทางคู่ แต่รางก็เป็นรางคู่อยู่แล้ว ก็เท่ากับ พูดง่าย ๆ ก็มีราง 4 เส้น ไม่เช่นนั้นสับสนไปหมด โดยทางเดี่ยวที่มีอยู่เดิม 4,000 กว่ากิโลเมตร ที่วิ่งสวนกันไม่ได้ ต้องทําเสริมเป็นทางคู่ วิ่งสวนคนละเส้นทาง ในระยะแรก ระยะทาง 905 กิโลเมตร เฉพาะในเส้นทางที่สําคัญในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ รองรับการขนส่งสินค้า ขนาดหนัก และเชิงสังคมนะครับ บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชั้นประหยัด เพื่อสะดวกในการขนส่งคนระหว่างเมือง จอดทุกสถานี และมีความปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะจุดตัดต่าง ๆ ที่สําคัญสามารถย่นเวลาการเดินทาง โดยไม่ต้องรอสับหลีกราง เพราะสวนกันได้ คนละเส้น ทั้งนี้มี 2 เส้นทาง ที่เริ่มก่อสร้างในเดือน ธันวาคม 2558 ถึงต้นปี 2559 ทําไปแล้ว ได้แก่ ช่วงฉะเชิงเทรา – คลอง 19 – แก่งคอย น่าจะเสร็จได้ในปี 61 แล้วช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น แล้วเสร็จปี 2562 กับอีก 4 เส้นทาง ที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EIA ช่วง ช่วงประจวบคิรีขันธ์ – ชุมพร มาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ ช่วงนครปฐม – หัวหิน ลพบุรี – ปากน้ําโพ จากนั้นจะนําเสนอ ครม. เมื่อผ่านการทําประชาพิจารณ์แล้วให้ ครม. พิจารณาอนุมัติโครงการต่อไป
สําหรับเดิมเรามีเส้นทาง Standard Gage อยู่แล้วคือ 1 เมตร ทุกวันนี้ใช้ 1 เมตรอยู่ รถไฟขนาด 1.435 เมตร เป็นรถไฟอนาคต เพื่อจะเตรียมการสู่ การใช้รถไฟความเร็วสูง อย่างที่กราบเรียนไปแล้วว่า วันนี้เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น การใช้บริการ ขีดความสามารถของผู้ใช้บริการ โดยสารอะไรต่างๆ ยังไม่พร้อม เราก็เตรียมทําไว้ก่อน ทํารางให้สามารถเป็นรถไฟความเร็วสูงได้ในวันหน้า แต่วันนี้เอารถไฟความเร็วปานกลางมาใช้ก่อน นี่คือความแตกต่าง ทุกคนไม่เข้าใจ หลายอย่างมีการปรับเปลี่ยน เช่นเรื่องของราคา เรื่องของสถานี เรื่องของความยาวของรถไฟนี่ ทางรถไฟ เหล่านี้ต่างกันหมด ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบ ของเก่าเท่านี้ ของใหม่ทําไมแพงกว่า อะไรทํานองนี้ ไปดูรายละเอียดเขาพูดหลายครั้งแล้ว มองกันแต่ว่าทุจริต เอื้อประโยชน์ ทําไมไม่มองว่าเราเข้ามาทําอะไร เจตนาคืออะไร จะดีไม่ดีก็แนะนํามา ผมก็พร้อมจะตรวจสอบ ผมก็จะไล่กระทรวงคมนาคมทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ขอให้มีหลักการ อย่าไปพูดตามสื่อ เสียหาย เสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะไทย ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม คือ 1 ประเทศ ใหญ่เล็กเหมือนกัน ต้องเท่าเทียม ผมไม่ยอมใครอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นความร่วมมือไทย-จีน ในช่วงกรุงเทพฯ – แก่งคอย ใช้ขนผู้โดยสารอย่างเดียว เพราะว่าอันนี้มีความจําเป็น ส่วนช่วงหนองคาย – นครราชสีมา นครราชสีมา – แก่งคอย และแก่งคอย –มาบตาพุด บริเวณท่าเรือ/นิคมอุตสาหกรรม จะใช้ทั้งขนคนและส่งทั้งสินค้า เดิมมีการพัฒนาทั้งหมดตลอดเส้น วันนี้ไม่ได้แล้ว ดูแล้วความพร้อมบางเส้นทางยังไม่สมบูรณ์เลย เพราะว่าคนบุกรุกมาก ต้องขยายเส้นทาง ต้องเวนคืน ต้องอะไรอีกมากมายไปหมด ท่านไม่เข้าใจว่าเราทําอะไรไปบ้าง ทําไมช้า ที่ผ่านมาก่อน ๆ หน้านี้จะทําโครงการเสร็จแล้วยกไปเลย ใครทํา ก็ทําไป ทุกอย่างไปทําเองหมด ทําได้หรือไม่ วันนี้ขนาดทําเองทุกอย่าง คิดอย่างนี้ยังไปไม่ค่อยจะได้เลย ความขัดแย้งก็สูง เข้าใจเจตนาของเราด้วย วันนี้ระยะทาง 1.435 เพื่ออนาคต วันหน้าต้องไป 1.435 แน่นอน เพราะกว้าง บรรทุกน้ําหนักได้มากกว่า แล้วก็เชื่อมโยงไปไกล ๆ ไม่ใช่วิ่งแค่นี้ 1.435 วิ่งแค่รอบบ้าน ไม่ใช่เลย เขามีเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก ตะวันออกโน่น ไปถึงยุโรปโน่น เราไม่เริ่มวันนี้จะไปตรงไหนล่ะ ถ้าเริ่มวันนี้เราไม่มีเงิน ก็เริ่มทําเฉพาะรางไปก่อน แล้วเอารถความเร็วปานกลางมาขึ้น อย่างน้อยก็เร็วกว่าความเร็วเดิม รถเก่าเราวิ่งเช้าถึงเย็นถึง ต้องมีการลงทุนตรงนี้ด้วย ไม่ใช่เราจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ๆ จะขายรถไฟไม่ได้วิ่งทางเดียว วิ่ง 2 ทาง วิ่งไปแล้ววิ่งกลับ สินค้าก็ส่งได้ทั้ง 2 ทาง สําคัญเรามีสินค้าส่งสู่เขาได้หรือไม่ มีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจการค้า การลงทุนหรือไม่ พัฒนานวัตกรรมหรือไม่ ถ้าไม่ทํายังไงก็เสียเปรียบทั้งชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีรถไฟ หรือไม่มีรถไฟ
เรื่องที่ 2 โครงการความร่วมมือรถไฟ ไทย – ญี่ปุ่น เรียกว่าแบบ “ชินคันเซ็น” ระยะทางรวม 672 กิโลเมตร อันนี้ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร ยังทําอะไรไม่ได้เลย ศึกษาความเป็นไปได้ก่อน มีความร่วมมือระหว่างกัน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยกับญี่ปุ่น แล้วมีความปลอดภัย ในขณะนี้ปลอดภัยที่สุดในโลกของญี่ปุ่น ประเทศหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศ คาดว่าจะศึกษาเสร็จในเดือนมิถุนายน 2559 แล้วก็จะดําเนินการต่อไป มีเงินหรือไม่ ไม่มียังไง ประชาชนจะผ่าน EIA HEIA หรือไม่ เพราะขึ้นทางเหนือ ถ้าอยากได้ก็ต้องลงทุน แล้วทําให้เหมาะสมจะยังไง ขั้นที่ 1 จะเอายังไง แค่ไหน เส้นไหนก่อน เพื่อเป็นการทดลอง แล้วเป็นการให้ประชาชนเข้าใจก่อน บางทีลงทุนมากๆ ก็มีปัญหาอีก
ส่วนที่3 คือ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง อันนี้เราไปคิดถึงเรื่องการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน ร่วมกับรัฐหรือ PPP Fast Track จํานวน 2 โครงการ 2 เส้นทาง คือ ช่วงกรุงเทพฯ – หัวหิน 211 กิโลเมตร และ กรุงเทพฯ – พัทยา – ระยอง 193 กิโลเมตร อันนี้จะเน้นการการขนส่งผู้โดยสารเช่นกัน ต้องไปดูว่าได้หรือไม่ได้อย่างไร แต่เป็นการวางแผนไว้อย่างนี้ ก็เดินหน้าไปก่อน ไม่ได้ก็ว่ากันมา เราสามารถจะรับนักท่องเที่ยว สามารถไป – กลับในวันเดียวได้ ไม่เสียเวลาเดินทาง เราต้องคิดถึงว่าวันนี้ วันหน้าถ้าเราสามารถขจัดความแออัดในเมืองออกไปได้ ในกรุงเทพฯ ออกไปได้ โดยคนในกรุงเทพฯ สามารถไปทํางานที่หัวหินได้ ไปเร็วกลับเร็ว ไปเช้า กลับเย็นได้ หรือไปเชียงใหม่ ไปเช้ากลับเย็น ก็จะทําให้การเจริญเติบโตไปข้างนอกได้มากขึ้น สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างอะไรต่าง ๆ จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนี้ นั่นคือเหตุผลของการสร้างความเชื่อมโยง ในเรื่องของการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็ต้องมีทั้งคน ทั้งสินค้า ทั้งเร็ว ทั้งช้า บางคนก็ไปเร็ว บางคนก็ไปช้า สินค้าก็ช้าหน่อย ต้องวางแผนเหล่านี้ วางไว้ 20 ปีข้างหน้า ต้องวางแบบนี้
เรื่องต่อไปคือ เรื่องโครงการพัฒนารถไฟฟ้านะครับ รถไฟฟ้า คือรถที่ใช้แบตเตอรี่ ต้องเติมไฟอะไรต่าง ๆ ระยะแรกเท่านั้นเอง อย่าไปเขียนกันเรื่อยเปื่อยว่ารัฐบาลจะยกเลิกการสนับสนุน อีโค คาร์ ยกเลิกได้ยังไง เราเป็นศูนย์กลางอยู่ อีโค คาร์ 1-2-3-4-5 วันนี้ จะไปเลิกได้ยังไง วันนี้โลกยังใช้อยู่ วันนี้ส่งออกเราก็ดีขึ้น รถไฟฟ้าเพื่ออนาคต เรายังทําไม่ได้หมด อนาคตคืออนาคต แต่วันนี้เราจะคิดได้หรือไม่ ถ้าวันนี้เราซื้อมาทดลองใช้ก่อน แล้วมาดูว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสําคัญคือ สามารถสร้างมูลค่าของชิ้นส่วนประกอบได้ ให้กับสถานประกอบการของเราในประเทศ SMEs ทั้งหมด ก็เป็นชิ้นส่วนอะไหล่ของรถไฟฟ้าเหล่านี้ในอนาคต วันนี้ยังทําไม่ได้ อย่างมากก็ได้ตัวถัง แต่สิ่งสําคัญที่สุด ผมต้องเตรียมการวันนี้ คือการพัฒนาเรื่องแบตเตอรี่ลิเทียม ซึ่งต้องใช้ในรถไฟฟ้า วันนี้เรายังไม่พร้อม เราผลิตเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราใช้วันนี้ก็แพง วันนี้รถไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า รถเมล์ แพงกว่ารถแก๊ส รถน้ํามันหลายเท่า แพงเพราะอะไร แพงเพราะแบตเตอรี่ ตัวรถไม่แพง เรายังทําไม่ได้ทั้งมอเตอร์ ทั้งไฟฟ้า แล้วจะไปวันนี้ได้ยังไง ก็ต้องขอรับการสนับสนุน หรือลงทุนร่วม หรือจากมิตรประเทศพัฒนาต่อไปในอนาคต อย่าไปตกใจ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ส่งเสริมการทํารถยนต์ในประเทศอีก นี่ชอบไปบิดเบือนผม
เรื่องรถยานยนต์ไฟฟ้า อาจจะต้องให้คนใช้ได้มากขึ้น ในระยะทางใกล้ ๆ จดทะเบียนให้ได้ ก็กําลังทําอยู่ บางคนบอกว่าจดทะเบียนไม่ได้แล้วจะใช้ได้อย่างไร เราแก้ปัญหาไม่ครบ ให้ใช้นั้น ใช้นี่ ใช้แก๊สโซฮอล์ แก๊สไม่ครบก็เกิดปัญหาหมด ผลิตออกมาก็ขายไม่ออก คนไม่ใช้ ใช้แก๊ส ก็ไม่มีปั้มแก๊ส ก็คิดไม่จบ ดูหนังไม่จบเรื่องซะที เพราะฉะนั้นเราจะต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยมีศักยภาพ ให้มีความเชื่อมั่น นโยบายภาครัฐ ภาคธุรกิจ ร่วมมือกับต่างประเทศ ไม่ใช่เขามาเอาประโยชน์จากเราไปฝ่ายเดียว หลายเรื่องกําลังผลักดันอยู่ การวิจัยพัฒนา เพื่อจะนําสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ในอนาคต รู้จักคําว่า อนาคตหรือไม่ ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ปีโน้น ยังไม่ใช่ อนาคตยังยาว อย่าไปตกใจ เราต้องใช้แนวทาง “ประชารัฐ” ขับเคลื่อน ตั้งเป้าหมาย ยกระดับประเทศไทย ให้เป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตให้ได้ จะโดยเร็วอย่างไรก็ว่ากันไป เพราะวันหน้าเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าไม่ทราบ แหล่งพลังงานเปลี่ยนหรือไม่ แก๊ส น้ํามันจะเป็นอย่างไร ไฮบริด จะใช้ได้หรือไม่ ในวันหน้า วันนี้ไฮบริด มีอยู่แล้ว วันหน้าถ้าพลังงานเปลี่ยน ถ้าเราไม่เตรียมการเอาไว้ ในอนาคตก็เดือดร้อนอีก แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ยังไม่เดือดร้อนก็ทดลอง ศึกษา ค้นคว้าวิจัยไปก่อน ให้ราคาถูกลง จะได้ไม่ต้องไปซื้อจากต่างประเทศมาก ใช้กับรถยนต์ไฮบริด อะไรทํานองนี้ ก็ใช้อยู่แล้ว รถไฟฟ้าเต็มระบบค่อยว่ากันอีกที พร้อมหรือยัง ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหาเรื่องก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ วันนี้ต้องลดโลกร้อนลงให้ได้ แล้วประหยัดเชื้อเพลิง ประชาชนก็มีความสุข
อันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นก้าวหนึ่งของการปฏิรูปเหมือนกัน เรื่องของคําว่า “ศูนย์กลาง” วันนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่หลายประเทศนะ เสนอมาแล้วว่าอยากจะมาลงทุนเรื่องรถไฟฟ้าในประเทศไทย ให้เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะเป็น “ฮับ” (ศูนย์กลาง) ของการผลิตรถไฟฟ้าในอนาคต แล้ววันนี้เป็นฮับเรื่องการผลิตยานยนต์อยู่แล้ว เราได้มีการทบทวนเรื่องการใช้รถเมล์ของ ขสมก. อยู่ เดิมจะมีการจัดซื้อรถทั้งหมด จากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 3,183 คัน แต่ซื้อไม่ได้ วันนี้เปลี่ยนมาเป็นการจัดหารถโดยสารไฟฟ้า 500 คัน อาจจะต้องเช่ามาก่อน 200 คัน คาดว่าจะได้รับรถในปี 2560 นี้ เพื่อจะทดลองใช้ว่าเป็นยังไร ถ้าดี เราจะได้ไปผลิต ซื้อ หรือซื้อมาแล้วให้เราประกอบเอง ใช้ชิ้นส่วนในประเทศต้องไปอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก ใช้น้ํามัน ใช้แก๊ส มาตลอด แล้วแก้อะไรไม่ได้ทั้งระบบ ตอนนี้กําลังแก้
เรื่องการจราจรแออัด ลดมลพิษที่จอดรถ ต้องทําเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้ เขามีรถรางไฟฟ้าเข้ามาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสริมระบบขนส่งมวลชนเขตเมือง ในเมืองคงลําบากแล้ว เพราะแน่น สมัยก่อนเราเคยมีรถราง วันนี้มีแต่รางไม่มีรถ วันนี้ก็ไปอยู่ข้างนอก ไปเชื่อมโยงข้างนอก ไม่ต้องมีรางใช้ล้อยาง ไปคิดเอา คิดอยู่ เรียกว่า “Light Rail” เหมือน นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน ปารีส เรียกว่า “City Tram” เหมือน เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ เท็กซัส หรือ “Mono Rail” เหมือน ซิดนีย์ ลาสเวกัส หลายคนเคยไปมาแล้ว ผมก็ไปบางประเทศเท่านั้น แต่ผมก็เห็นมา ผมถึงมาสั่งได้ ก็ไปคิดเอาว่าจะทําได้หรือไม่ คิดต่อไปแล้วกัน สิ่งที่เรากําลังทําอยู่คือ การบริการประชาชน คือการใช้บัตรใบเดียว ระบบตั๋วร่วม กับทุกบริการขนส่งมวลชน กําลังดําเนินการอยู่ และอะไรต่างๆ ก็ตามที เป็นเรื่องของสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ดูว่าจะทําได้ยังไง ลงทะเบียน ไม่ลงทะเบียน จะทํายังไง คณะกรรมการกําลังคิดกันอยู่ ไม่ใช่สั่งแล้วเลิกแล้วอะไรทํานองนี้ เกิดขึ้นแล้ว บางอย่างเกิดไม่ได้ ต้องพิจารณากันอย่าง โวยวายกันทุกอย่างไป เพราะมีคนไม่เข้าใจ แล้วก็เริ่มก่อนทุกที โดยเฉพาะ Social Media ไม่รู้ก็พูด จินตนาการเอาเองตลอด
เรื่องการออกแบบสถานี สิ่งที่อํานวยความสะดวกนั้น น่าจะต้องเป็น “อารยสถาปัตย์” ที่รองรับการเดินทางของผู้พิการ ผู้ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการดําเนินชีวิต ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น ตํารวจ-ทหารผ่านศึก สตรีมีครรภ์ และเด็กเล็กด้วย
สําหรับ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อจะช่วยในการถ่ายเทการจราจร โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสําคัญต่าง ๆ และเปิดช่องทางสัญจรกรุงเทพฯ – หัวเมืองใหญ่ จํานวน 3 เส้นทาง ได้แก่ สายพัทยา – มาบตาพุด สร้างแล้วเสร็จปี 2562 สายบางปะอิน – นครราชสีมา จะลงนาม เมษายน 2559 เสร็จปี 5263 และ สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี จะลงนามสัญญาก่อสร้าง กรกฎาคม 2559 และกําหนดเสร็จปี 2563 เช่นกัน
เรื่องสุดท้าย เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นการเมือง ตลอดระยะเวลาเป็นเดือนมาแล้ว โดยเฉพาะ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว ที่ผ่านมาจนวุ่นวายไปหมดแล้ว ก็ให้เขาทํางานไป ท่านก็ไปศึกษา แล้วท่านก็ไปดูว่าจะลงมติกันยังไง แต่ต้องนึกถึงปัญหาประเทศ ฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง อีกฝ่ายหนึ่งอยากปฏิรูป ฝ่ายหนึ่งไม่สนใจ ประชาธิปไตยอย่างเดียวไปไม่ได้หมด ที่พูดกันทั้งหมดตั้งแต่ต้น ถึงเวลานี้ ผมเหนื่อยที่จะพูด ไปไม่ได้สักอัน ถ้าเรามองอย่างที่เรามองกันทุกวันนี้ ขัดแย้งกันทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นไปดูว่าอะไรสากล อะไรที่ต้องเปลี่ยนผ่าน มีกลไกอะไรบ้าง
ผมพูดหลายครั้งแล้ว ไปคิดกันให้ได้แล้วกัน ตรวจสอบได้อย่างไร ป้องกันปราบปรามอย่างไร ขัดแย้งกันจะทํายังไง ติดล็อคแล้วจะทําอย่างไร ทํางบประมาณไม่ได้จะทํายังไง รัฐบาลไม่มีจะทํายังไง เขากําลังคิดอยู่ทั้งสิ้น กมธ. เขาถึงออกรัฐธรรมนูญมาแบบนั้น แล้วไปตีเทียบกับโน่นนี่ จะเหมือนกันหรือไม่ สถานการณ์เหมือนกันหรือไม่ แต่เราไม่ได้ไปทาบทับอํานาจกับทางการบริหาร เพียงแต่ทําให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกเท่านั้นเอง วันนี้ก็ยังจะกลับไปที่เก่าอยู่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เกิดขึ้นมาอีก การใช้ความรุนแรง อาวุธสงคราม เจ้าหน้าที่ทํางานไม่ได้ จะทํายังไร เกิดมาแล้วทั้งหมด อย่าบอกว่าไม่เคยเกิด แล้วจะไม่เกิดอีก ถ้าประชาชนคิดเองยังไม่ได้ ไม่ทําความเข้าใจ แล้วให้บรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือนักการเมืองที่ไม่ดีมาชี้นําประเทศ ย่อมไปไม่ได้ ไม่หลุดพ้นกับดักประชาธิปไตย กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง กับดักความล้มเหลว ไม่มีพ้น ไม่มีใครแก้ไขได้ รัฐบาล คสช. แม่น้ํา 5 สายก็แก้ไม่ได้ ถ้าไม่ทํากันวันนี้ ขอให้ช่วยกัน ประชาชน 70 ล้าน ต้องช่วยกัน อะไรร่วม อะไรต่าง ๆ ว่าไป ประเทศมาก่อน
ปัญหาต่าง ๆ ในประเทศนั้น สําคัญที่สุดคือ การขาดแคลนน้ํา ความยากจน ความเหลื่อมล้ํา ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา เกษตรที่ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่มีเงินทุน ค่าใช้จ่ายในการต้นทุนสูง เราต้องมีมาตรการ มารองรับ ทํายังไง ส่วนนี้ประทังความเดือดร้อน ส่วนนี้สร้างความเข้มแข็ง ส่วนนี้สร้างวงจรการผลิต ส่วนนี้ไปสร้างห่วงโซ่ ต้องมีเงินไปทุกส่วน ไปทุกกิจกรรม ผมถามว่าใช้เงินมากหรือไม่ เราหาเงินเพิ่มได้หรือยัง ก็ต้องไปดูระบบเศรษฐกิจ ว่าเราต้องปรับปรุงเศรษฐกิจ นําเข้าส่งออกยังไง ให้ได้ภาษียังไง เหล่านี้ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่เรื่องของใคร หรือของรัฐบาลอย่างเดียว ต้องช่วยเหลือแบ่งปันกัน อย่าคิดว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างกลุ่มต่างทํา แล้วก็ไม่เกื้อกูลกัน สิ่งไหนกําไรมาก กําไรน้อยก็ให้ล้มละลายไป ไม่ใช่ ต้องทําอย่างไร ใหญ่ กลาง เล็กถึงจะเชื่อมโยงสร้าง สร้างขึ้นมา เล็ก มากลาง กลางมาใหญ่ ใหญ่ไปใหญ่มาก ถึงจะไปอย่างนี้ ถึงจะลงมาสู่ประชาชน ทุกนต้องเผื่อแผ่น “จิตสาธารณะ” ใช้หลักเกณฑ์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ได้ดํารงชีวิตให้ได้และมีภูมิคุ้มกันตนเอง และกลไกบ้าน-วัด-โรงเรียน ตามแนวทางพระราชดําริ ทําให้สังคม ปลอดภัย มั่นคง ปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน
สิ่งสําคัญคือ การเคารพกฎหมาย จิตสํานึก อุดมการณ์ ประเทศชาติมาก่อน เคารพกระบวนการยุติธรรม รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้เสรีภาพตามกฎหมาย อย่าไปรบกวนคนอื่นนะ เป็นพื้นฐานของ “ประชาธิปไตย” ที่ถูกต้อง อย่ามองเลือกตั้งอย่างเดียว ถือเสียงส่วนใหญ่ ไม่สนใจส่วนน้อย เรียกร้องสิทธิอย่างเดียว ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เข้มแข็ง หรือเป็นการทําอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย หรือแสดงความเห็นต่าง ความไม่ร่วมมือ ตามสื่อ ตาม Social Media โดยที่ไม่มีข้อมูล ข้อเท็จจริง ผมคิดว่าหลาย ๆ อันผิดกฎหมาย ผมเข้าใจว่ามันผิดกฎหมายนะ กําลังดูอยู่นะ การพูดจาที่ไม่มีสาระ ไม่มีหลักฐานนี่ พูดเรื่อยเปื่อย อาจจะผิดกฎหมายด้วย ไม่ได้ขู่ เดี๋ยวหาว่าผมขู่อีก ผมไม่ชอบ คํา 2 คํานี้ ขู่ หรืออะไร จ้อ โม้ อะไรทํานองนี้ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นทหาร ผู้บัญชาการทหารบกเก่า ผมเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ เพราะฉะนั้นจําไว้ด้วย
วันที่ 14 – 18 กุมภาพันธ์ ผมมีภารกิจเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน – สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ณ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สําหรับรายละเอียดต่าง ๆ ผลการปฏิบัติงาน ผลการประชุม ผมจะนํามาเล่าให้ฟังต่อไป ไม่อยากให้มีการขัดแย้งในต่างประเทศด้วย ขอบคุณบรรดาพ่อแม่พี่น้อง ที่จะไปรับผมที่โน่น ให้กําลังใจผม ขอขอบคุณ ขอให้อยู่ในความสงบ ผมทําเพื่อทุกคน เพื่อประเทศชาติ ใครไม่ทําเขาก็ต้องมีผลกรรมของเขาเอง ทําไม่ดีล่ะก็ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายไป ขอให้ทุกคนมีความสุข
ที่ผ่านมาก็วันตรุษจีน และวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะ “วันแห่งความรัก” ผมเป็นห่วงนะ บรรดาวัยรุ่น คู่รักต่างๆ ระมัดระวังตัวเองนะครับ ไปเที่ยวอะไรต่างๆ ผู้หญิงต้องระวังตัว มีคุณค่า ผู้ชายก็ให้เกียรติผู้หญิงบ้าง อย่าเอารัดเอาเปรียบ แล้วทําให้ประเพณีไทยเสียหาย เราไม่ใช่ต่างประเทศที่เขาเลยไปแล้วนะ วัฒนธรรมเราดีงาม สวยงาม ต่างชาติเขาก็เป็นแบบของเขามา ไม่ใช่เขาดีหรือไม่ดี ผมไม่ว่าเขา แต่ของเราเคยดีอยู่แล้ว อย่าทํา อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกันนะ ขอขอบคุณนะครับ ขอให้ “รู้ รัก สามัคคี” สําเร็จ ปลอดภัย มีความสุข สวัสดีครับ
|
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันนี้ผมมีเรื่องสําคัญที่อยากจะเรียนให้ทราบในสัปดาห์นี้
เรื่องที่ 1. อยากให้ประชาชนทุกท่านลองพิจารณาดูว่าท่านทราบหรือยังว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ดําเนินการไว้มีอะไรบ้าง ช่วยกรุณาพิจารณาคิดย้อนกลับไปดูว่า อะไรที่เราทําเสร็จแล้ว อะไรที่เริ่มทํา แล้วมีการแก้ไขอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง อะไรที่ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วทําต่อเนื่อง
หลังจากเข้ามาวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และ คสช. ได้นําความสงบสุขกลับคืนมา ได้ดําเนินการสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคงให้กับประเทศ ปลดล๊อคในทุกเรื่องที่ติดขัดทั้ง ๆ ที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งในเรื่องอื่น ๆ ด้วยก็ตาม ตลอดจนกระบวนการประชาธิปไตยที่มีข้อจํากัด เพื่อจะขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้นั้น เราได้นําทุกเรื่องเข้าสู่การพิจารณาดําเนินการ โดยเฉพาะเรื่องคดีต่างๆ ก็นําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ
ส่วนของการบริหารราชการแผ่นดินในห้วงต่อมานั้น ผมได้พบปัญหาต่างๆ ที่สะสมมากมายของประเทศเรานี้ มีหลายอย่างด้วยกัน อาทิ ปัญหางาช้าง ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน ตลอดจนความไม่เป็นสากลต่างๆ กฎหมายที่ไม่ทันสมัยเหล่านี้ เป็นปัญหาทั้งสิ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถานะของประเทศในเวทีโลก ในการค้า การลงทุน ทั้งสิ้น
สําหรับปัญหาภายในประเทศที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ปัญหาความมั่นคงหลายอย่างด้วยกัน ทั้งในส่วนของการบูรณาการ การสร้างความเชื่อมั่น ในการลงทุนจากต่างประเทศ ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องเกษตรกร ปัญหาในการจัดระเบียบสังคม ถนนหนทาง การขายของ ปัญหาการทํางานที่ไม่บูรณาการ ผมเคยกราบเรียนแล้วว่าจะต้องบูรณาการทั้งคน เจ้าหน้าที่แผนงานโครงการ และงบประมาณ เพื่อจะไม่ซ้ําซ้อนกัน ทําในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นพื้นที่ หรือเป็นกิจกรรมซึ่งเรากําลังเดินหน้าอยู่ ปัญหาทีแก้ต่อไปคือปัญหารัฐวิสาหกิจที่ต้องมีการฟื้นฟู จากภาวะการขาดทุนแล้วอาจจะมีความไม่โปร่งใสในบางประเด็น รัฐบาลก็พยายามจะแก้ไข ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วย ถ้าเร็วเกินไปก็อาจจะมีปัญหาต่อไปในอนาคต ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี ในระดับที่เป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตามรัฐบาลและ คสช. นั้นปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว ในการบริหารราชการแผ่นดินในวันนี้ ก็เป็นโอกาสที่พวกเราเข้ามาพอดีเศรษฐกิจโลกตกต่ําลงทั้งหมด ด้วยสาเหตุหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ทุกเรื่องถ้าเรายังไม่มีความพร้อมต้องรีบแก้ไข ต้องปรับปรุง ต้องสร้างความเข้มแข็ง เร่งช่วยเหลือผู้เดือดร้อน เพื่อเป็นการบรรเทาไประยะหนึ่งก่อนนะครับ แล้วก็เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น รัฐบาล และ คสช. รวมทั้ง สนช. สปท. กรธ. ก็ได้ดําเนินการในทุกเรื่อง หลายเรื่องเสร็จแล้วหลายเรื่องกําลังทํา หลายเรื่องต้องทําต่อเนื่องอีกมากมาย ซึ่งคือเหตุผลที่ผมต้องพูดมากทุกวันนี้ เพราะบางทีก็ลืมไปแล้วปีกว่าๆ สองปี ลืมหมด
เรื่องการปฏิรูป สิ่งสําคัญคือ ทุกเรื่องต้องมีการประสานสอดคล้องกันทั้งหมด ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุก 5 ปี นโยบายความมั่นคง ของ สปช. แล้วก็แผนงานของทุกส่วนราชการ รวมความถึงแผนการปฏิรูปที่เราได้วางไว้ แผนการปฏิรูปในช่วง 1-5 ปี แล้วสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี แล้วไป 4 แผน 4 x5 =20 นะครับ เพราะฉะนั้นเราได้เตรียมแผนปฏิรูปไว้เป็นระยะ ระยะที่ 1 คือ ถึงปี 2560 รัฐบาลนี้ยังอยู่ อันนี้คือใช้แผนที่ 12 เริ่มต้นเราจะเอาแผน 12 นี้ บางอย่างที่เราร่างไว้แล้วมาขับเคลื่อนให้ได้ก่อน ในปี 2559 นี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรากําลังสร้างความเข้มแข็งของประเทศ วางพื้นฐานทั้งหมด เหลือเวลาของผมอีกประมาณ ปีกว่า ๆ ถึงปี 2560 หลังปี 2560 ไปแล้ว เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 เต็ม ๆ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องวางว่าปี 2560-64 จะเป็นยังไง 70-74 เป็นยังไง 75-79 จะเป็นอย่างไร นั้นคือยุทธศาสตร์ 20 ปี แล้วมองย้อนกลับมาว่าเราจะทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ แผน 12 – 15 ได้อย่างไร เพื่อเป็นการประเมินผลความคืบหน้าในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทุกรัฐบาล ถอยหลังมาทุก 5 ปี แล้วกําหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้า แล้วมีการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลต่อ ๆ ไป ในลักษณะที่จะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้อง
เพราะฉะนั้นการปฏิรูปประเทศนั้น เราอาจจะต้องทําไปอย่างต่อเนื่อง บางเรื่องอาจจบภายในปีเดียว หรือภายใน 5 ปี หรือภายใน 10 ปี หรือภายในเวลา 20 ปี อาจจะนานกว่านั้นก็ได้ เพราะว่าโลกเปลี่ยนแปลงไป 20 ปีข้างหน้า ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เราต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งสําคัญ ทุกประเทศในโลกนี้มีผลกระทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การบริหารประเทศของทุกรัฐบาลต่อไปนี้ ต้องทันต่อทุกสถานการณ์ มีการวางแผนล่วงหน้าตลอดเวลา มีมาตรการลดความเสี่ยง แล้วมีกลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ตามห้วงระยะเวลาที่จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนด้วย เหมือนทหาร เขาใช้คําว่าแผนเผชิญเหตุ มีสมมุติฐาน แล้วก็ทําแผนรองรับไว้ 1 – 2 – 3 – 4 – 5 แผน ปกติเขาใช้แผนแรกเป็นคําสั่ง จากนั้นมาถ้าไม่มีเหตุการณ์แทรกซ้อนมาก็ใช้แผนเผชิญเหตุเข้ามาประกอบ แล้วมาปฏิบัติเพื่อเป็นการชดเชย การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากแผนแรกใช้ไม่ได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ อยากจะเรียนว่า การปฏิรูปประเทศนั้น อย่าใจร้อนมาก เพราะว่ามหาอํานาจบางประเทศผมไม่อาจจะกล่าวนามได้ยังไม่หยุดการปฏิรูปเลยวันนี้ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยมากกว่าเราอีก แต่ส่วนรวยคือรวย ส่วนตรงกลางก็ตรงกลาง แต่เขามากกว่าเรา เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตาม เขาต้องพัฒนาไปสู่ข้างล่างเพราะว่าเป็นสาเหตุของการที่มีความขัดแย้ง หรือความเหลื่อมล้ําในสังคม ในเรื่องของอาชีพ รายได้ ทําให้มีช่องว่างในการพัฒนา
ประชาชนอาจจะไม่มีความสุขถ้าเขามีรายได้น้อย หนี้สิ้นมาก บ้านเราก็เป็นมาก เรื่องที่ผมกล่าวนี้ เราต้องแก้ปัญหา แล้วก็ไม่ใช่แก้ทั้งหมดที่เดียว มันแก้ไม่ได้หรอก เพราะงบประมาณจํานวนมาก เราต้องทําทั้งระดับบน-กลาง-ล่าง คือรวยมาก รวยน้อย ตรงกลาง มาถึงรายได้น้อย จะต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อยู่ในวงจรที่เรียกว่า “ห่วงโซ่คุณค่า” ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เกื้อกูลต่อกัน พี่จูงน้อง อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในสังคมไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราต้องเข้มแข็งจากทั้งภายในประเทศ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ก็คือชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัดนะครับ แล้วก็ไปต่างประเทศ เราต้องร่วมมือกันทํางานกันแบบ “ประชารัฐ” ในทุก ๆ อย่าง ทั้งในการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติงานในพื้นที่ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันให้ได้ เพราะฉะนั้น ผมอยากเรียนถึงบรรดากลุ่ม NGO ทั้งหมด ขอความกรุณาต้องเข้าใจ ว่าบางอย่างนั้นเราต้องเดินหน้าประเทศ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนได้พิจารณาดูให้ถ่องแท้ว่า สิ่งที่ทําไปนั้นมีประโยชน์กับใคร หรือทําให้ใครเสียประโยชน์และอะไรมาก อะไรน้อย แล้วจะแก้ปัญหาที่เสียประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ส่วนใหญ่จะได้มาเพื่อส่วนรวมหรือไม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องพิจารณาใหม่ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาทั้งหมด แล้วท่านก็บอกว่ารัฐบาลนี้ทําอะไรไม่ได้เลย ทุกรัฐบาลทําไม่ได้หมด เพราะว่าขัดแย้งกัน ไปในตัวอยู่แล้ว โดยปัจจัยพื้นฐาน บางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง บางอย่างต้องมีการเปลี่ยนวิธีการถ้าท่านบอกว่าเอาพื้นฐานเดิมมาหมด ก็ไม่ได้ มีการต่อต้าน ขัดแย้งกันทั้งหมด ทําอะไรก็ไม่สําเร็จ ประเทศก็ไปไม่ได้ เรามีผู้มีรายได้น้อยอยู่แบบนี้ตลอดเวลา
ถ้าท่านได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ําทั้ง 5 สาย ผมได้จัดทําแผนผังขึ้นมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ แล้วท่านคงได้เห็นกันทั่วไป กรุณาดูด้วยว่าวันนี้เราทํางานมากมายแค่ไหน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ทุกอย่างเดินหน้าไปตาม Road Map ที่ผมกําหนดไว้ทั้งสิ้น แล้วมีกิจกรรมในนั้นทั้งที่เขียนลงไปแล้ว บางอย่างก็อาจจะลงไปยังไม่ครบ แต่ให้รู้ว่าเราต้องเดินหน้าประเทศแบบนี้ ทั้ง 6 กลุ่ม ที่เรามีรองนายกรัฐมนตรีกํากับอยู่ในขณะนี้ ทั้ง 19 กระทรวง ที่กําลังเดินหน้าประเทศอยู่ เพราะฉะนั้นเราจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกพวก ทุกฝ่าย แม้กระทั่งฝ่ายการเมืองที่จะอาสาเข้ามาทํางานให้กับประเทศในห้วงต่อไป เพราะฉะนั้นประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา ขอให้ท่านเคารพในสิทธิของเขาบ้าง สิทธิของประชาชน ไม่ต้องรอให้เขาขอความช่วยเหลือทุกครั้งไป แล้วถึงจะช่วย หรือเลือกช่วย หรือเฉพาะ เพื่อเป็นฐานเสียง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ผิดหลักการประชาธิปไตย หลายท่านได้กล่าวไว้แล้วในขณะนี้
เรื่องที่ 2 คือการดําเนินการดังกล่าวนั้น จําเป็นต้องมีการกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือมีกฎหมายลูก เพื่อให้ดําเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่องนะครับ ผมกล่าวไปแล้วเรื่องปฏิรูป เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ เรื่องความมั่นคง นโยบาย ทุกอย่างไม่ใช่เดินไปทีเดียวแล้วเลิก ปีหน้าเปลี่ยนใหม่เป็นไปไม่ได้ เราก็จะไม่มีทิศทางหางเสือ เพราะฉะนั้นอันนั้นคือเข็มทิศนําทางทั้งหมด เพราะฉะนั้นใช้เข็มทิศให้เกิดประโยชน์ด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะเกิดปัญหากับการบริหารราชการแผ่นดินไปอนาคต
ผมเข้าใจดีว่า รัฐบาลต่อไป ก็อาจจะเกิด ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจว่าสิ่งที่ผมทําไว้แล้ว จะทําให้ท่านลําบากหรือไม่ ผมกราบเรียนว่าถ้าทุกคนจะต้องลําบาก ลําบากด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลําบากเพราะเราทําทุ่มเทให้กับประชาชน ผมว่านั่นคือความลําบากที่ต้องเจอ ไม่ใช่ลําบากในการที่จะใช้จ่ายงบประมาณ ลําบากในการที่จะทํานโยบายต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา ผมไม่ต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านก็กรุณาบริหารราชการแผ่นดินในลักษณะที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ เป็นไปตามแผนปฏิรูป เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคง แล้วก็เดินไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินในสิ่งที่ท่านเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีนโยบายพรรค มีอะไรต่าง ๆ ท่านก็ว่าของท่านไป เรากําหนดแนวทางไว้ให้ มีแผนสําเร็จรูปไว้ให้ แต่ท่านจะทําหรือไม่ทําก็ขึ้นอยู่กับท่าน ท่านก็ต้องตอบสภา ตอบในส่วนที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด มีเหตุผลความจําเป็นอย่างไรถึงทํา ไม่ทํา อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่บังอาจไปบังคับท่านได้อีกต่อไปแล้วในวันหน้า เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคง สร้างความเชื่อมั่น ไว้เนื้อเชื่อใจในการที่จะทําอะไรก็ตาม เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ ทําเพื่อประชาชน เราต้องปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ การเกษตร อุตสาหกรรม การค้าการลงทุนนะครับ และทุกอย่างต้องเข้มแข็งจากภายในตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระดับหมู่บ้านชุมชนจังหวัด กลุ่มจังหวัด ไปการค้าชายแดน ไป CLMV ไปอาเซียนไปประชาคมโลกอื่น ๆ
เพราะฉะนั้น รัฐบาลนี้จะทําแผนระยะยาวไว้ 20 ปี แผนที่ว่าไม่ใช่แผนที่จะต้องลงละเอียด บังคับท่านไม่ได้ แต่จะเป็นกรอบที่จะต้องเป็นเข็มทิศนําทางที่ ผมเรียนท่านแล้ว เป็น Road Map ในทุกเรื่อง ในนั้นจะบรรจุเรื่องของแผนปฏิรูปไว้ด้วย ให้สอดคล้องกับแผนตรงนี้ สภาพัฒน์ฯ ก็ทําแผน 5 ปี สอดคล้องกับตรงนี้ ทุก 5 ปี ก็เปลี่ยนได้ ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ ถ้ามีความจําเป็น เช่น ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้ต้องรู้แล้วว่าประเทศไทย 20 ปีข้างหน้าจะเดือดร้อนอะไร วันนี้เราเดินมาเท่าไรแล้ว เราต้องเดินอะไร ระยะที่เหลือ ทุก 5ปี ๆ หรือทุกปีที่เป็นเรื่องของท้องถิ่น นี่แหละถึงจะไปสู่การกระจายอํานาจ การใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากวันหน้าท่านมีปัญหากันในเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของสภาทั้งสองสภา ก็ต้องไปหารือร่วมกันว่าจะทํายังไง จะแก้ปัญหาอย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสิน ไม่รู้ ท่านต้องไปสร้างความเข้าใจให้ได้ก่อน อย่ามองว่าทําอันนี้เพื่อจะอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่าท่านก็คิดว่าจะมีเรื่อง จะมีความทุจริต จะมีความขัดแย้งใช่หรือไม่ ถ้าเราคิดว่าทุกคน พยายามไม่ไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ไปสู่ประเด็นแห่งปัญหา ทั้งหมดผมว่าไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น เพราะทําอะไรท่านไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งทําแบบผมก็ทําไม่ได้ ถ้าไม่มีสาเหตุ แล้วก็ให้แก้ปัญหาอะไรก็แก้ไม่ได้ ก็ต้องดําเนินการตามที่ผมทํามา เพราะฉะนั้นขอให้แยกแยะให้ออกว่าอะไรยุทธศาสตร์ อะไรคือนโยบายพรรค อะไรคือนโยบายรัฐบาล อะไรคือประชาชน ขอให้ดูด้วย ฝากไว้แล้วกัน ประชาชนช่วยกันดูด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่กําหนดไว้คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ํา เพิ่มความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนได้เห็นอนาคต 20 ปีข้างหน้า คือเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมา ปี 2560 นี้ เกิดมาพร้อมแผน 12 เขาจะได้รู้ว่า 20 ปีข้างหน้า เขาเรียนหนังสือ จบปริญญาตรีแล้วเขาจะเห็นอะไรในประเทศเขา เขาจะได้คิดว่าจะเรียนหนังสือยังไง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างไร เพื่อจะไปสู่จุด ๆ นั้นเมื่อเขาจบปริญญาตรี อายุ 19 -20 อะไรทํานองนี้ ผมก็คิดไว้แบบนี้ ถูกหรือผิดก็ไปคิดกันเอาเอง
เรื่องที่ 3. ทุกรัฐบาลจะต้องเอาปัญหาประเทศมาเป็นตัวกําหนด แยกปัญหาออกให้ชัดเจน ปัญหาหลัก ปัญหารอง ปัญหาที่เป็นปัจจัยเสริมให้ปัญหานี้แรงขึ้น ความขัดแย้งแรงขึ้นท่านต้องเอาปัญหาทุกอันมาคลี่ดูให้หมด แล้วเอาประชาชนทุกคนในประเทศมาเป็นเป้าหมาย การจะแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อให้เกิดผลกับประชาชนมีความสุข ระหว่างทางนี้เราก็มาสู่วิธีการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นธรรมาภิบาล ก็ต้องไปดูเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณด้วย การจัดทําแผนงานโครงการ ทุกกระทรวงนั้น ถ้าหากว่าเราทําไปโดยไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเหล่านี้ไปด้วย ก็ไม่อาจจะนําประเทศไปสู่ความเข้มแข็งได้เลย เพราะฉะนั้นเราจําเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งหน่วยงาน ทั้งโครงสร้าง ทั้งกระบวนการที่จะนําไปสู่ความมั่งคั่ง อย่างแท้จริง
เรื่องที่ 4. คือการที่จะเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ จะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในทุกประเด็น เรียนไว้แล้วว่าต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงและรู้ว่าปัจจัยภายนอก สถานการณ์โลกจะเป็นยังไง โดยการประเมิน ผมคิดว่ามีหน่วยงานมากมายไป ของ UN ก็มี ประชาคมแต่ละประชาคมก็มีทุกคนก็เขียนแผน เขียนกลยุทธ์กันไว้หมด เอามาศึกษากันบ้าง เราจะได้ทําแผนสํารองไว้ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน ภัยพิบัติ น้ําแล้ง หรือการสู้รบ อะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เพราะฉะนั้นให้ปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์โลกมาเป็นตัวกําหนดด้วยว่า เราจะแก้ปัญหาแล้วเตรียมการประเทศเราให้พร้อมอย่างไร เข้มแข็งได้อย่างไร
เรื่องเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเหมือนกันกับทุกคน ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยก็หนัก เพราะเรามีประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทําการเกษตร แล้วก็อาชีพอิสระอื่น ๆ ประมาณ 30-40 ล้านคน ในท้องถิ่นต่าง ๆ เพราะฉะนั้น อาจจะไม่เข้าใจคําว่า “เศรษฐกิจ” มากนัก ต้องเห็นใจพ่อแม่พี่น้อง เพราะวัน ๆ ทํางานหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด อาจจะไม่มีเวลาที่ศึกษาในรายละเอียดนะครับ เพราะฉะนั้นให้ทุกคนช่วยกันถ่ายทอด สร้างความเข้าใจ สร้างการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เพราะ “เศรษฐกิจ” ผูกพันหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่ส่งออก – นําเข้า ตั้งแต่ภาษี รายได้ประเทศ เศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ต้องเกื้อกูลกันอย่างไร ถ้าเรามองแต่เพียงว่าหาเงินให้ประชาชนมีใช้ไปเรื่อย ๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปใช้ให้เขา แล้วเขาจะเข้มแข็งหรือไม่ วันนี้รัฐบาลพยายามทําทุกอย่าง ขอให้เข้าใจด้วย ก็เสียใจทุกครั้ง เวลาที่ทําอะไรไปแล้ว ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ อย่าไปทําอะไรที่เป็นเหมือนภาพลวงตา ไม่สร้างความยั่งยืน กลายเป็นว่าประชาชนกลายเป็นคนไม่มีเหตุ มีผลมันมาอย่างนี้ได้ยังไง ใช้อย่างนี้ได้ยังไง ไม่สนใจ สนใจแต่เพียงว่าเราได้อะไร เราไม่ได้อะไร อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ได้สร้างวัฒนธรรมในองค์กร หรือในประเทศของเราให้เป็นองค์ที่มีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน ลําบากก็ต้องลําบากด้วยกัน แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหา พยุงเพื่อน พยุงน้อง พยุงพี่ อะไรก็แล้วแต่ ต้องจูงมือไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นให้คํานึงถึงความสัมพันธ์ปัจจัยภายใน ภายนอก เป็นหลักด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เป็นธรรม/เหลื่อมล้ํา ปัจจัยภายนอก โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ความเข้มแข็งภาครัฐ–ภาคธุรกิจ–ภาคประชาชน เหล่านี้ทั้งหมดต้องแก้ไข
เรื่องที่ 5. เป็นเรื่องสําคัญที่มองเห็นอีกอย่างคือ การบูรณาการแผนงาน โครงการของทุกกระทรวงในกิจกรรมเดียวกัน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ํา โครงการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบ โครงการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบนะครับ การปรับปรุงเรื่องการค้า การอํานวยความสะดวก กฎหมาย เรื่องการลงทุน สิทธิประโยชน์ อุตสาหกรรม ขยายศักยภาพในการทําอุตสาหกรรมให้ทันสมัยขึ้น รองรับการที่จะปรับเปลี่ยนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ระยะที่ 4 ของโลกใบนี้นะครับ งานทุกงานนี่ หลายงานไม่ใช่กระทรวงเดียวทําสําเร็จ เช่น เรื่องน้ํา มีทั้งกระทรวงเกษตร มหาดไทย ทรัพยากรฯ มีหลายกรมอยู่ในนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนต่างคนต่างทําก็จะกระจายเป็นเบี้ยหัวแตกไปทั่ว เหมือนไปขุดตรงนั้น ตรงนี้ แต่ระบบส่งน้ําไม่มี ก็ไปสู่ผู้ใช้น้ําไม่ได้ยังไง แล้วก็บริหารจัดการไม่ได้ นี่คือปัญหาของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาทํางานในเรื่องของงบประมาณกันใหม่ ทําแผนโครงการกันใหม่ ต้องมีการบูรณาการ ผมจะใช้ตั้งแต่ปี 59 ไปเลย ถึงงบประมาณออกมาแล้ว แผนงานออกมาแล้ว แต่ผมจะจัดเข้ากรอบใหม่ และจะต้องจัดทําตาม Road Map ที่ผมมีอยู่ ปีกว่าๆ นี้ ให้ได้ อย่างน้อยก็ให้เกิดประโยชน์ให้จบเป็นพื้นที่ ตามความต้องการของประเทศ ตามความเร่งด่วนให้ได้ก่อน ทํายังไงจะเกิดขึ้นได้พร้อม ๆ กัน อันนี้เสร็จ อันนี้อาจจะยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชน แต่ถ้าทุกคนต้องการเท่ากันทั้งหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามีความแตกต่าง
สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด จะเข้ามาข้อ 6. คือเราต้องมีการจัดทําพระราชบัญญัติงบประมาณใหม่ ซึ่งผมกําลังให้ร่างอยู่ ถึงจะทําให้เกิดการบูรณาการอย่างนั้นได้ เพราะไม่เช่นนั้นต่างคนต่างทําแผน ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างเบิก ทําสัญญาก็ทําคนละที่หมด วันนี้ต้องมาทําร่วมกัน แล้ววาง Road map ว่าทุกอย่างต้องทําพร้อมกัน เรืองน้ํา ทุกกระทรวงต้องเสนอมาพร้อมกัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน แล้วไปเปิดทําสัญญาพร้อมกัน ผมว่าน่าจะทําได้ กําลังทําอยู่ ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็เสนอมาแล้วกัน ผมว่าเป็นสิ่งที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วย ตรวจสอบง่ายขึ้น แล้วก็จับต้องได้
เรื่องที่ 7. เรื่องการสร้างการรับรู้ รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะทําให้ประชาชนเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน บิดเบือนอยู่มากพอสมควร ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุอะไร วันนี้เราไม่ได้ห้ามใครแสดงความคิดเห็นอันบริสุทธิ์เลย เว้นแต่อย่าทําผิดกฎหมาย เข้าช่องทางที่ไม่ถูกต้อง หรือไปวิพากษ์วิจารณ์โดยเจตนาไม่สุจริต เหล่านี้ผมคิดว่าถ้าท่านยังทําอย่างนี้ต่อไป ก็สร้างความไม่เข้าใจไปมากขึ้น แล้วประโยชน์เกิดกับใคร หรือผลเสียเกิดกับใคร เกิดกับประเทศชาติใช่หรือไม่ แล้วท่านไม่รับผิดชอบกันเลยหรืออย่างไร การที่ไปพูดในต่างประเทศ ไปออกอากาศ ออกสื่อ สื่อก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ขยายความออกไป สื่อดีๆ ก็มีมากอยู่แล้ว ที่พยายามไม่เข้าใจก็มีอยู่ไม่กี่สื่อ เพราะฉะนั้นท่านต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนเห็นต่าง แต่ต้องหาประเด็นเห็นร่วมกันได้ แล้วอย่าไปบิดเบือนว่าตัวเองทําความผิดแล้วจะต้องพ้นผิด เพราะใช้สิทธิมนุษยชน ใช้เสรีภาพ ใช้เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เวลาวันนี้
เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนอย่าไปเชื่อมากนัก ก็ไปพิสูจน์กันเอาเองวันหน้าแล้วกัน สิ่งใดที่เป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้น ทําให้ทุกคนลืมไปหมด นึกถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว ว่าตัวเองทําอย่างไรจึงจะดีกว่าคนอื่น มีหน้ามีตากว่าคนอื่น มีเงินมีทองใช้มากกว่า อยากมีอํานาจกันทั้งหมดด้วยเงิน ด้วยอิทธิพล ด้วยอะไร ผมว่าเลิกได้แล้ว หลายประเทศเขาเลิกไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเรายังทําแบบเดิม รอรับการช่วยเหลือ ประกอบอาชีพแบบเดิมๆไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเพิ่มเสริมเติมต่ออะไรก็แล้วแต่ ไม่พัฒนาทั้งความรู้ เทคโนโลยี ไม่ใช้น้ําอย่างประหยัด ทุกอาชีพไม่สุจริต รัฐบาลก็ต้องเข้าเนื้อไปให้เรื่อยๆ ดูแลแล้วเมื่อไรจะพอ แล้วเมื่อไรจะแข็งแรง ต้องช่วยตัวเองบ้าง ฟังบ้างที่พูดออกไป ศูนย์แนะนําต่าง ๆ ก็มีทุกจังหวัด ท่านไม่ฟัง แต่ท่านต้องการ เมื่อให้ไปไม่ได้เพราะไม่ตรงกับสิ่งที่เราวางเจตนารมณ์ไว้ ก็ให้ไม่ได้ ท่านก็กลับมาโจมตีรัฐบาล เพราะฉะนั้นท่านอยากให้รัฐบาลตามใจ ง่ายนิดเดียว ผมก็ไม่ต้องทําอะไร ไม่ต้องมาปวดหัว ไม่ต้องมาทะเลาะ ขัดแย้งกับใคร ไม่ต้องหงุดหงิดด้วย ก็ขอร้องพี่น้องแล้วกัน ช่วยกันนิดหนึ่ง แต่ถ้าผิด ต่อไปก็มาว่าผมแล้วกัน ว่ามันผิด ผมจะได้ไม่พูด
อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เราหวังสร้างอนาคตให้กับประเทศ ซึ่งยากเหมือนกันในการปฏิรูป วันนี้ต้องปฏิรูปเกือบทุกอย่าง 37 วาระ ท่านคงจะเห็นในผังที่ผมเขียนสรุปให้ไป แต่วันนี้เราเริ่มต้นให้แล้ว ผมคิดว่าถ้าทุกคนร่วมมือตรงนี้จะมีอนาคตแล้ว แต่ถ้าขัดแย้งกันตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ประชามติ ตั้งแต่เลือกตั้ง ไปไม่ได้ทั้งหมด ล้มทั้งหมด ก็ขอร้องสื่อมวลชนกรุณาอย่าเสนอข่าวที่มีแต่ความรุนแรงมากนักเลย ภาพอาชญากรรม ความเสียหาย ความเดือดร้อน ความรุนแรง ไม่ทําให้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย โอเค คนสนใจ ขายหนังสือได้ แต่ประเทศชาติเสียหาย ท่านจะทํายังไง ให้ลดรูปเล็กลงบ้าง หรือบางเรื่องเสียหายกับประเทศรุนแรงเกินไป ก็หยุดบ้าง ตํารวจเขาจับแล้วก็คอยให้กระบวนการ ถึงเวลาพิจารณาคดีอะไรท่านก็ไปเสนอข่าวอีกทีได้หรือไม่
ถ้าท่านมุ่งเน้นจะขายหนังสืออย่างเดียวก็เป็นแบบนี้ แล้วต่างชาติเขาจะกลับมาเที่ยวบ้านเราหรือไม่ ความรุนแรงก็เกิดขึ้น คดีโน้น คดีนี้ มากไปหมด แต่เรื่องดีๆ อยู่หน้า 3 หน้า 4 เรื่องหน้า 1 ตัวใหญ่ทุกวัน ทวนแล้วทวนอีกๆ จนกระทั่งแทบจะเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยเลย คนอ่านข่าวนี่อะไรเหล่านี้ คนเขียนข่าว หรือไปอยู่ในกระบวนการเขาไม่รู้นะ อย่าไปซักมากนัก คนเป็นเหยื่อ เป็นอะไรเขาก็อับอายบ้าง เสียความเป็นส่วนตัวละเมิดสิทธิมนุษยชนเขานะ ขอให้พยายามแก้ไขด้วย
เรื่องที่ 8. คือตัวอย่างที่จะมีการนําพาประเทศชาติไปสู่อนาคตได้ ของรัฐบาลและ คสช. ในวันนี้ก็คือ อาทิเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมทางราง เพื่อการเชื่อมโยงรถไฟ – รถไฟฟ้า – รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า – รถรางไฟฟ้าล้อยาง กําลังคิดต่อว่าจะทํายังไรในพื้นที่ปริมณฑลที่การจราจรไม่ติดขัดมากนัก ไม่ต้องทําราง ใช้สายไฟข้างบน ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าข้างบน เหมือนที่ต่างประเทศเขาใช้ ทําอย่างไรจะเชื่อมต่อกัน ตรงไหนควรใช้อย่างไร แม้กระทั่งการขนส่งในเมืองใหญ่ หรือในเมืองท่องเที่ยวก็กําลังคิดอยู่ทั้งหมด แต่ถ้าเราไปทําอะไรมาก ๆ เข้าในพื้นที่ที่แออัดอยู่แล้วก็ลําบาก
ผมถึงบอกว่า ต้องมีการจัดระเบียบใหม่ การวางผังเมือง การขยายเมือง วงรอบออกไป ไม่ใช่แออัดอยู่ข้างใน มันไม่ได้แล้ว ต้องสร้างสังคมเมืองใหม่ขึ้นมา อันนี้คือปฏิรูประยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเพิ่มศักยภาพระบบขนส่งมวลชนเดิมให้ทันสมัย ลดปัญหาการจราจร และลดมลพิษ การใช้รถเก่ามาก ๆ ก็ไม่ดี เพราะปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ขึ้นไปในอากาศมากมาย เราก็ต้องรักษาโลกให้ไม่ร้อนไปมากกว่า 2% เราก็ลงนามสัญญากับเขาไปแล้วด้วย ทุกประเทศในโลกนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อมกรุงเทพ – หัวเมือง ตัวเมือง – ชานเมือง ที่จอดรถ ที่พักคอยอะไรก็แล้วแต่ให้ตรงกับความต้องการ ไม่เช่นนั้นก็ใช้ไปท่อน ๆ ทุกคนก็ไม่สะดวกไง ทุกคนก็ขับรถกันหมด คนเดียวก็ขับ สองคนก็ขับ สามคนก็ขับ คือสรุปว่าใช้รถหมดทุกคนก็มีรถทุกบ้าน แล้วก็สร้างมลภาวะขึ้นไป แต่ถามบอกว่าไปขึ้นรถไฟฟ้าบอกขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ต่อกันนะ ไปถึงก็จอดรถ ไม่มีที่จอดรถ ก็ห่วงรถ สู้ขับรถไปเลยดีกว่า ติดกันอยู่แบบนี้
เพราะฉะนั้น กี่รัฐบาลแก้ไม่ได้หมด ต้องแก้ปัญหาเรื่องที่จอดรถอีกด้วย วันนี้ผมให้นโยบายไปทําที่จอดรถใต้ดิน ในพื้นที่ที่แออัดมากๆ จะได้ลดการใช้รถในพื้นที่ที่แออัด คับคั่ง เช่นใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว ใกล้สถานที่ที่เกี่ยวกับการค้า ซึ่งเหล่านี้ทั้งรถ ทั้งคน ลําบากนะ อันตรายด้วย ถ้าเราทําที่จอดรถใต้ดินได้ก็จะดี หรือเป็นที่จอดรถที่มีหลายๆ ชั้น แล้วยกเลื่อนขึ้นลง ต่างประเทศลองดูแล้วกัน ทําได้ไม่ได้ แล้วก็อยากให้เป็นการร่วมทุนของภาคเอกชนบ้าง ก็ดีจะได้ลดภาระของรัฐบาลลงบ้าง ผมขอเชิญชวนบริษัทห้างร้านหรือธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยกันลงทุนได้ไหม เรื่องที่จอดรถใต้ดิน ก็หารือกับกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องของที่ดินต่างๆ ที่จะใช้ได้ หรือเป็นที่ด้านธุรกิจอยู่แล้ว เพียงแต่ทําข้างใต้ลงไป ตัวเลขคร่าวๆ ผมจําได้ พื้นที่ใต้ดินเมื่อหลายปีมาแล้วผมทราบว่า 1 คันประมาณ 2-3 ล้าน ถ้าพูดถึง 200 คันก็ประมาณ 6-7 ร้อยล้าน คุ้มค่าหรือไม่ไม่ทราบ วันนี้เท่าไรไม่ทราบเหมือนกัน ไปถามพวกก่อสร้าง
โครงการรถไฟฟ้า 10 เส้นทางใน กทม. สายสีม่วง บางใหญ่ – เตาปูน สร้างเสร็จแล้ว จะทดลองเดินรถเต็มรูปแบบ พฤษภาคม 2559 ผมเคยนั่งมาแล้ววันทดลอง ก็ดีเหมือนกัน แล้วจะเปิดบริการในเดือนสิงหาคม 2559 เฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วย สายที่ 2 สายสีน้ําเงิน ช่วงหัวลําโพง – บางแค บางซื่อ – ท่าพระ ก่อสร้างไปแล้ว 70 % มีทั้งแบบใต้ดินและยกระดับ มีอุโมงค์ลอดแม่น้ําเจ้าพระยาแห่งแรกของไทย จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2562 ผมไปดูแล้วการเจาะอุโมงค์มีความทันสมัยมาก เส้นที่ 3 สายสีเขียว (ตอนใต้) ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ก่อสร้างแล้ว 70 % จะเปิดให้บริการเดือน กุมภาพันธ์ 2561 และ (4) ส่วนต่อขยาย สายสีเขียว (ตอนเหนือ) ช่วงหมอชิต – คูคต จะเปิดให้บริการ กุมภาพันธ์ 2563 สายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต ก่อสร้างคืบหน้ากว่า 50 % จะเปิดให้บริการ เดือนกันยายน 2563 สายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ – พญาไท – มักกะสัน – หัวหมาก และ สายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ – หัวลําโพง ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและการพิจารณาของ สศช. และ สภาพัฒน์ฯ สายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี ครม. มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อปลายปี 2558 อยู่ระหว่างการจัดทําราคากลาง จะเริ่มประกวดราคา มกราคม 2559 เริ่มก่อสร้าง มีนาคม 2560 ซึ่งเริ่มไปแล้วในการประกวดราคา ดําเนินการอยู่ มีแผนจะเปิดให้บริการปลายปี 2563 สําหรับสายสีส้มนี้จะเป็นโครงข่ายเส้นแรก เชื่อมแนวขวางของกรุงเทพฯ เรียกว่า East-West จะต้องมีแนวขวางด้วย เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วเราสามารถจะใช้เส้นนี้เชื่อมโยงเข้ากับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น อีก 4 สาย ได้แก่ สายสีแดง สีน้ําเงิน แอร์พอร์ตเรลลิงค์ และสายสีชมพู จะสามารถรองรับผู้โดยสาร ราว 5 แสนคน/วันได้ ต่อไป สายที่ 8 สายสีชมพู มีนบุรี – แคราย และสายที่ 9 สายสีเหลือง ลาดพร้าว – สําโรง ทั้ง 8 และ 9 นี้เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว ซึ่งพยายามผลักดันให้เปิดบริการในปี 2563 เป็นโครงการที่เอกชนร่วมทุนกับรัฐกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ PPP เป็นการร่วมทุน สายที่ 10 ส่วนต่อขยาย สายสีม่วง ลงทางใต้ เตาปูน – ราษฎร์บูรณะ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน สถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่สําคัญ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ EIA และเกาะรัตนโกสินทร์
ส่วนการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ ขนาด 1 เมตร เดี๋ยวจะสับสนนะ ผมว่าทางคู่มากกว่า ไม่ใช่รางคู่เดี๋ยวจะเรียกกันผิด ทางคู่คือสวนกันได้ ถ้าเป็นรถไฟเมืองไทยวันนี้ก็มีคู่กันอยู่แล้ว ต้องมีซ้ายขวาไง ทางคู่สวนกันได้ ไม่ต้องวิ่งทับเส้นทางเดียวกัน เขาเรียกว่าทางคู่ วันนี้ก็ต้องใช้คําว่าทางคู่ แต่รางก็เป็นรางคู่อยู่แล้ว ก็เท่ากับ พูดง่าย ๆ ก็มีราง 4 เส้น ไม่เช่นนั้นสับสนไปหมด โดยทางเดี่ยวที่มีอยู่เดิม 4,000 กว่ากิโลเมตร ที่วิ่งสวนกันไม่ได้ ต้องทําเสริมเป็นทางคู่ วิ่งสวนคนละเส้นทาง ในระยะแรก ระยะทาง 905 กิโลเมตร เฉพาะในเส้นทางที่สําคัญในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ รองรับการขนส่งสินค้า ขนาดหนัก และเชิงสังคมนะครับ บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชั้นประหยัด เพื่อสะดวกในการขนส่งคนระหว่างเมือง จอดทุกสถานี และมีความปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะจุดตัดต่าง ๆ ที่สําคัญสามารถย่นเวลาการเดินทาง โดยไม่ต้องรอสับหลีกราง เพราะสวนกันได้ คนละเส้น ทั้งนี้มี 2 เส้นทาง ที่เริ่มก่อสร้างในเดือน ธันวาคม 2558 ถึงต้นปี 2559 ทําไปแล้ว ได้แก่ ช่วงฉะเชิงเทรา – คลอง 19 – แก่งคอย น่าจะเสร็จได้ในปี 61 แล้วช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น แล้วเสร็จปี 2562 กับอีก 4 เส้นทาง ที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EIA ช่วง ช่วงประจวบคิรีขันธ์ – ชุมพร มาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ ช่วงนครปฐม – หัวหิน ลพบุรี – ปากน้ําโพ จากนั้นจะนําเสนอ ครม. เมื่อผ่านการทําประชาพิจารณ์แล้วให้ ครม. พิจารณาอนุมัติโครงการต่อไป
สําหรับเดิมเรามีเส้นทาง Standard Gage อยู่แล้วคือ 1 เมตร ทุกวันนี้ใช้ 1 เมตรอยู่ รถไฟขนาด 1.435 เมตร เป็นรถไฟอนาคต เพื่อจะเตรียมการสู่ การใช้รถไฟความเร็วสูง อย่างที่กราบเรียนไปแล้วว่า วันนี้เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น การใช้บริการ ขีดความสามารถของผู้ใช้บริการ โดยสารอะไรต่างๆ ยังไม่พร้อม เราก็เตรียมทําไว้ก่อน ทํารางให้สามารถเป็นรถไฟความเร็วสูงได้ในวันหน้า แต่วันนี้เอารถไฟความเร็วปานกลางมาใช้ก่อน นี่คือความแตกต่าง ทุกคนไม่เข้าใจ หลายอย่างมีการปรับเปลี่ยน เช่นเรื่องของราคา เรื่องของสถานี เรื่องของความยาวของรถไฟนี่ ทางรถไฟ เหล่านี้ต่างกันหมด ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบ ของเก่าเท่านี้ ของใหม่ทําไมแพงกว่า อะไรทํานองนี้ ไปดูรายละเอียดเขาพูดหลายครั้งแล้ว มองกันแต่ว่าทุจริต เอื้อประโยชน์ ทําไมไม่มองว่าเราเข้ามาทําอะไร เจตนาคืออะไร จะดีไม่ดีก็แนะนํามา ผมก็พร้อมจะตรวจสอบ ผมก็จะไล่กระทรวงคมนาคมทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ขอให้มีหลักการ อย่าไปพูดตามสื่อ เสียหาย เสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะไทย ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม คือ 1 ประเทศ ใหญ่เล็กเหมือนกัน ต้องเท่าเทียม ผมไม่ยอมใครอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นความร่วมมือไทย-จีน ในช่วงกรุงเทพฯ – แก่งคอย ใช้ขนผู้โดยสารอย่างเดียว เพราะว่าอันนี้มีความจําเป็น ส่วนช่วงหนองคาย – นครราชสีมา นครราชสีมา – แก่งคอย และแก่งคอย –มาบตาพุด บริเวณท่าเรือ/นิคมอุตสาหกรรม จะใช้ทั้งขนคนและส่งทั้งสินค้า เดิมมีการพัฒนาทั้งหมดตลอดเส้น วันนี้ไม่ได้แล้ว ดูแล้วความพร้อมบางเส้นทางยังไม่สมบูรณ์เลย เพราะว่าคนบุกรุกมาก ต้องขยายเส้นทาง ต้องเวนคืน ต้องอะไรอีกมากมายไปหมด ท่านไม่เข้าใจว่าเราทําอะไรไปบ้าง ทําไมช้า ที่ผ่านมาก่อน ๆ หน้านี้จะทําโครงการเสร็จแล้วยกไปเลย ใครทํา ก็ทําไป ทุกอย่างไปทําเองหมด ทําได้หรือไม่ วันนี้ขนาดทําเองทุกอย่าง คิดอย่างนี้ยังไปไม่ค่อยจะได้เลย ความขัดแย้งก็สูง เข้าใจเจตนาของเราด้วย วันนี้ระยะทาง 1.435 เพื่ออนาคต วันหน้าต้องไป 1.435 แน่นอน เพราะกว้าง บรรทุกน้ําหนักได้มากกว่า แล้วก็เชื่อมโยงไปไกล ๆ ไม่ใช่วิ่งแค่นี้ 1.435 วิ่งแค่รอบบ้าน ไม่ใช่เลย เขามีเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก ตะวันออกโน่น ไปถึงยุโรปโน่น เราไม่เริ่มวันนี้จะไปตรงไหนล่ะ ถ้าเริ่มวันนี้เราไม่มีเงิน ก็เริ่มทําเฉพาะรางไปก่อน แล้วเอารถความเร็วปานกลางมาขึ้น อย่างน้อยก็เร็วกว่าความเร็วเดิม รถเก่าเราวิ่งเช้าถึงเย็นถึง ต้องมีการลงทุนตรงนี้ด้วย ไม่ใช่เราจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ๆ จะขายรถไฟไม่ได้วิ่งทางเดียว วิ่ง 2 ทาง วิ่งไปแล้ววิ่งกลับ สินค้าก็ส่งได้ทั้ง 2 ทาง สําคัญเรามีสินค้าส่งสู่เขาได้หรือไม่ มีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจการค้า การลงทุนหรือไม่ พัฒนานวัตกรรมหรือไม่ ถ้าไม่ทํายังไงก็เสียเปรียบทั้งชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีรถไฟ หรือไม่มีรถไฟ
เรื่องที่ 2 โครงการความร่วมมือรถไฟ ไทย – ญี่ปุ่น เรียกว่าแบบ “ชินคันเซ็น” ระยะทางรวม 672 กิโลเมตร อันนี้ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร ยังทําอะไรไม่ได้เลย ศึกษาความเป็นไปได้ก่อน มีความร่วมมือระหว่างกัน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยกับญี่ปุ่น แล้วมีความปลอดภัย ในขณะนี้ปลอดภัยที่สุดในโลกของญี่ปุ่น ประเทศหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศ คาดว่าจะศึกษาเสร็จในเดือนมิถุนายน 2559 แล้วก็จะดําเนินการต่อไป มีเงินหรือไม่ ไม่มียังไง ประชาชนจะผ่าน EIA HEIA หรือไม่ เพราะขึ้นทางเหนือ ถ้าอยากได้ก็ต้องลงทุน แล้วทําให้เหมาะสมจะยังไง ขั้นที่ 1 จะเอายังไง แค่ไหน เส้นไหนก่อน เพื่อเป็นการทดลอง แล้วเป็นการให้ประชาชนเข้าใจก่อน บางทีลงทุนมากๆ ก็มีปัญหาอีก
ส่วนที่3 คือ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง อันนี้เราไปคิดถึงเรื่องการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน ร่วมกับรัฐหรือ PPP Fast Track จํานวน 2 โครงการ 2 เส้นทาง คือ ช่วงกรุงเทพฯ – หัวหิน 211 กิโลเมตร และ กรุงเทพฯ – พัทยา – ระยอง 193 กิโลเมตร อันนี้จะเน้นการการขนส่งผู้โดยสารเช่นกัน ต้องไปดูว่าได้หรือไม่ได้อย่างไร แต่เป็นการวางแผนไว้อย่างนี้ ก็เดินหน้าไปก่อน ไม่ได้ก็ว่ากันมา เราสามารถจะรับนักท่องเที่ยว สามารถไป – กลับในวันเดียวได้ ไม่เสียเวลาเดินทาง เราต้องคิดถึงว่าวันนี้ วันหน้าถ้าเราสามารถขจัดความแออัดในเมืองออกไปได้ ในกรุงเทพฯ ออกไปได้ โดยคนในกรุงเทพฯ สามารถไปทํางานที่หัวหินได้ ไปเร็วกลับเร็ว ไปเช้า กลับเย็นได้ หรือไปเชียงใหม่ ไปเช้ากลับเย็น ก็จะทําให้การเจริญเติบโตไปข้างนอกได้มากขึ้น สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างอะไรต่าง ๆ จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนี้ นั่นคือเหตุผลของการสร้างความเชื่อมโยง ในเรื่องของการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็ต้องมีทั้งคน ทั้งสินค้า ทั้งเร็ว ทั้งช้า บางคนก็ไปเร็ว บางคนก็ไปช้า สินค้าก็ช้าหน่อย ต้องวางแผนเหล่านี้ วางไว้ 20 ปีข้างหน้า ต้องวางแบบนี้
เรื่องต่อไปคือ เรื่องโครงการพัฒนารถไฟฟ้านะครับ รถไฟฟ้า คือรถที่ใช้แบตเตอรี่ ต้องเติมไฟอะไรต่าง ๆ ระยะแรกเท่านั้นเอง อย่าไปเขียนกันเรื่อยเปื่อยว่ารัฐบาลจะยกเลิกการสนับสนุน อีโค คาร์ ยกเลิกได้ยังไง เราเป็นศูนย์กลางอยู่ อีโค คาร์ 1-2-3-4-5 วันนี้ จะไปเลิกได้ยังไง วันนี้โลกยังใช้อยู่ วันนี้ส่งออกเราก็ดีขึ้น รถไฟฟ้าเพื่ออนาคต เรายังทําไม่ได้หมด อนาคตคืออนาคต แต่วันนี้เราจะคิดได้หรือไม่ ถ้าวันนี้เราซื้อมาทดลองใช้ก่อน แล้วมาดูว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสําคัญคือ สามารถสร้างมูลค่าของชิ้นส่วนประกอบได้ ให้กับสถานประกอบการของเราในประเทศ SMEs ทั้งหมด ก็เป็นชิ้นส่วนอะไหล่ของรถไฟฟ้าเหล่านี้ในอนาคต วันนี้ยังทําไม่ได้ อย่างมากก็ได้ตัวถัง แต่สิ่งสําคัญที่สุด ผมต้องเตรียมการวันนี้ คือการพัฒนาเรื่องแบตเตอรี่ลิเทียม ซึ่งต้องใช้ในรถไฟฟ้า วันนี้เรายังไม่พร้อม เราผลิตเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราใช้วันนี้ก็แพง วันนี้รถไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า รถเมล์ แพงกว่ารถแก๊ส รถน้ํามันหลายเท่า แพงเพราะอะไร แพงเพราะแบตเตอรี่ ตัวรถไม่แพง เรายังทําไม่ได้ทั้งมอเตอร์ ทั้งไฟฟ้า แล้วจะไปวันนี้ได้ยังไง ก็ต้องขอรับการสนับสนุน หรือลงทุนร่วม หรือจากมิตรประเทศพัฒนาต่อไปในอนาคต อย่าไปตกใจ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ส่งเสริมการทํารถยนต์ในประเทศอีก นี่ชอบไปบิดเบือนผม
เรื่องรถยานยนต์ไฟฟ้า อาจจะต้องให้คนใช้ได้มากขึ้น ในระยะทางใกล้ ๆ จดทะเบียนให้ได้ ก็กําลังทําอยู่ บางคนบอกว่าจดทะเบียนไม่ได้แล้วจะใช้ได้อย่างไร เราแก้ปัญหาไม่ครบ ให้ใช้นั้น ใช้นี่ ใช้แก๊สโซฮอล์ แก๊สไม่ครบก็เกิดปัญหาหมด ผลิตออกมาก็ขายไม่ออก คนไม่ใช้ ใช้แก๊ส ก็ไม่มีปั้มแก๊ส ก็คิดไม่จบ ดูหนังไม่จบเรื่องซะที เพราะฉะนั้นเราจะต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยมีศักยภาพ ให้มีความเชื่อมั่น นโยบายภาครัฐ ภาคธุรกิจ ร่วมมือกับต่างประเทศ ไม่ใช่เขามาเอาประโยชน์จากเราไปฝ่ายเดียว หลายเรื่องกําลังผลักดันอยู่ การวิจัยพัฒนา เพื่อจะนําสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ในอนาคต รู้จักคําว่า อนาคตหรือไม่ ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ปีโน้น ยังไม่ใช่ อนาคตยังยาว อย่าไปตกใจ เราต้องใช้แนวทาง “ประชารัฐ” ขับเคลื่อน ตั้งเป้าหมาย ยกระดับประเทศไทย ให้เป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตให้ได้ จะโดยเร็วอย่างไรก็ว่ากันไป เพราะวันหน้าเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าไม่ทราบ แหล่งพลังงานเปลี่ยนหรือไม่ แก๊ส น้ํามันจะเป็นอย่างไร ไฮบริด จะใช้ได้หรือไม่ ในวันหน้า วันนี้ไฮบริด มีอยู่แล้ว วันหน้าถ้าพลังงานเปลี่ยน ถ้าเราไม่เตรียมการเอาไว้ ในอนาคตก็เดือดร้อนอีก แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ยังไม่เดือดร้อนก็ทดลอง ศึกษา ค้นคว้าวิจัยไปก่อน ให้ราคาถูกลง จะได้ไม่ต้องไปซื้อจากต่างประเทศมาก ใช้กับรถยนต์ไฮบริด อะไรทํานองนี้ ก็ใช้อยู่แล้ว รถไฟฟ้าเต็มระบบค่อยว่ากันอีกที พร้อมหรือยัง ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหาเรื่องก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ วันนี้ต้องลดโลกร้อนลงให้ได้ แล้วประหยัดเชื้อเพลิง ประชาชนก็มีความสุข
อันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นก้าวหนึ่งของการปฏิรูปเหมือนกัน เรื่องของคําว่า “ศูนย์กลาง” วันนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่หลายประเทศนะ เสนอมาแล้วว่าอยากจะมาลงทุนเรื่องรถไฟฟ้าในประเทศไทย ให้เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะเป็น “ฮับ” (ศูนย์กลาง) ของการผลิตรถไฟฟ้าในอนาคต แล้ววันนี้เป็นฮับเรื่องการผลิตยานยนต์อยู่แล้ว เราได้มีการทบทวนเรื่องการใช้รถเมล์ของ ขสมก. อยู่ เดิมจะมีการจัดซื้อรถทั้งหมด จากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 3,183 คัน แต่ซื้อไม่ได้ วันนี้เปลี่ยนมาเป็นการจัดหารถโดยสารไฟฟ้า 500 คัน อาจจะต้องเช่ามาก่อน 200 คัน คาดว่าจะได้รับรถในปี 2560 นี้ เพื่อจะทดลองใช้ว่าเป็นยังไร ถ้าดี เราจะได้ไปผลิต ซื้อ หรือซื้อมาแล้วให้เราประกอบเอง ใช้ชิ้นส่วนในประเทศต้องไปอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก ใช้น้ํามัน ใช้แก๊ส มาตลอด แล้วแก้อะไรไม่ได้ทั้งระบบ ตอนนี้กําลังแก้
เรื่องการจราจรแออัด ลดมลพิษที่จอดรถ ต้องทําเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้ เขามีรถรางไฟฟ้าเข้ามาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสริมระบบขนส่งมวลชนเขตเมือง ในเมืองคงลําบากแล้ว เพราะแน่น สมัยก่อนเราเคยมีรถราง วันนี้มีแต่รางไม่มีรถ วันนี้ก็ไปอยู่ข้างนอก ไปเชื่อมโยงข้างนอก ไม่ต้องมีรางใช้ล้อยาง ไปคิดเอา คิดอยู่ เรียกว่า “Light Rail” เหมือน นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน ปารีส เรียกว่า “City Tram” เหมือน เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ เท็กซัส หรือ “Mono Rail” เหมือน ซิดนีย์ ลาสเวกัส หลายคนเคยไปมาแล้ว ผมก็ไปบางประเทศเท่านั้น แต่ผมก็เห็นมา ผมถึงมาสั่งได้ ก็ไปคิดเอาว่าจะทําได้หรือไม่ คิดต่อไปแล้วกัน สิ่งที่เรากําลังทําอยู่คือ การบริการประชาชน คือการใช้บัตรใบเดียว ระบบตั๋วร่วม กับทุกบริการขนส่งมวลชน กําลังดําเนินการอยู่ และอะไรต่างๆ ก็ตามที เป็นเรื่องของสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ดูว่าจะทําได้ยังไง ลงทะเบียน ไม่ลงทะเบียน จะทํายังไง คณะกรรมการกําลังคิดกันอยู่ ไม่ใช่สั่งแล้วเลิกแล้วอะไรทํานองนี้ เกิดขึ้นแล้ว บางอย่างเกิดไม่ได้ ต้องพิจารณากันอย่าง โวยวายกันทุกอย่างไป เพราะมีคนไม่เข้าใจ แล้วก็เริ่มก่อนทุกที โดยเฉพาะ Social Media ไม่รู้ก็พูด จินตนาการเอาเองตลอด
เรื่องการออกแบบสถานี สิ่งที่อํานวยความสะดวกนั้น น่าจะต้องเป็น “อารยสถาปัตย์” ที่รองรับการเดินทางของผู้พิการ ผู้ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการดําเนินชีวิต ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น ตํารวจ-ทหารผ่านศึก สตรีมีครรภ์ และเด็กเล็กด้วย
สําหรับ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อจะช่วยในการถ่ายเทการจราจร โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสําคัญต่าง ๆ และเปิดช่องทางสัญจรกรุงเทพฯ – หัวเมืองใหญ่ จํานวน 3 เส้นทาง ได้แก่ สายพัทยา – มาบตาพุด สร้างแล้วเสร็จปี 2562 สายบางปะอิน – นครราชสีมา จะลงนาม เมษายน 2559 เสร็จปี 5263 และ สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี จะลงนามสัญญาก่อสร้าง กรกฎาคม 2559 และกําหนดเสร็จปี 2563 เช่นกัน
เรื่องสุดท้าย เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นการเมือง ตลอดระยะเวลาเป็นเดือนมาแล้ว โดยเฉพาะ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว ที่ผ่านมาจนวุ่นวายไปหมดแล้ว ก็ให้เขาทํางานไป ท่านก็ไปศึกษา แล้วท่านก็ไปดูว่าจะลงมติกันยังไง แต่ต้องนึกถึงปัญหาประเทศ ฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง อีกฝ่ายหนึ่งอยากปฏิรูป ฝ่ายหนึ่งไม่สนใจ ประชาธิปไตยอย่างเดียวไปไม่ได้หมด ที่พูดกันทั้งหมดตั้งแต่ต้น ถึงเวลานี้ ผมเหนื่อยที่จะพูด ไปไม่ได้สักอัน ถ้าเรามองอย่างที่เรามองกันทุกวันนี้ ขัดแย้งกันทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นไปดูว่าอะไรสากล อะไรที่ต้องเปลี่ยนผ่าน มีกลไกอะไรบ้าง
ผมพูดหลายครั้งแล้ว ไปคิดกันให้ได้แล้วกัน ตรวจสอบได้อย่างไร ป้องกันปราบปรามอย่างไร ขัดแย้งกันจะทํายังไง ติดล็อคแล้วจะทําอย่างไร ทํางบประมาณไม่ได้จะทํายังไง รัฐบาลไม่มีจะทํายังไง เขากําลังคิดอยู่ทั้งสิ้น กมธ. เขาถึงออกรัฐธรรมนูญมาแบบนั้น แล้วไปตีเทียบกับโน่นนี่ จะเหมือนกันหรือไม่ สถานการณ์เหมือนกันหรือไม่ แต่เราไม่ได้ไปทาบทับอํานาจกับทางการบริหาร เพียงแต่ทําให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกเท่านั้นเอง วันนี้ก็ยังจะกลับไปที่เก่าอยู่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เกิดขึ้นมาอีก การใช้ความรุนแรง อาวุธสงคราม เจ้าหน้าที่ทํางานไม่ได้ จะทํายังไร เกิดมาแล้วทั้งหมด อย่าบอกว่าไม่เคยเกิด แล้วจะไม่เกิดอีก ถ้าประชาชนคิดเองยังไม่ได้ ไม่ทําความเข้าใจ แล้วให้บรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือนักการเมืองที่ไม่ดีมาชี้นําประเทศ ย่อมไปไม่ได้ ไม่หลุดพ้นกับดักประชาธิปไตย กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง กับดักความล้มเหลว ไม่มีพ้น ไม่มีใครแก้ไขได้ รัฐบาล คสช. แม่น้ํา 5 สายก็แก้ไม่ได้ ถ้าไม่ทํากันวันนี้ ขอให้ช่วยกัน ประชาชน 70 ล้าน ต้องช่วยกัน อะไรร่วม อะไรต่าง ๆ ว่าไป ประเทศมาก่อน
ปัญหาต่าง ๆ ในประเทศนั้น สําคัญที่สุดคือ การขาดแคลนน้ํา ความยากจน ความเหลื่อมล้ํา ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา เกษตรที่ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่มีเงินทุน ค่าใช้จ่ายในการต้นทุนสูง เราต้องมีมาตรการ มารองรับ ทํายังไง ส่วนนี้ประทังความเดือดร้อน ส่วนนี้สร้างความเข้มแข็ง ส่วนนี้สร้างวงจรการผลิต ส่วนนี้ไปสร้างห่วงโซ่ ต้องมีเงินไปทุกส่วน ไปทุกกิจกรรม ผมถามว่าใช้เงินมากหรือไม่ เราหาเงินเพิ่มได้หรือยัง ก็ต้องไปดูระบบเศรษฐกิจ ว่าเราต้องปรับปรุงเศรษฐกิจ นําเข้าส่งออกยังไง ให้ได้ภาษียังไง เหล่านี้ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่เรื่องของใคร หรือของรัฐบาลอย่างเดียว ต้องช่วยเหลือแบ่งปันกัน อย่าคิดว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างกลุ่มต่างทํา แล้วก็ไม่เกื้อกูลกัน สิ่งไหนกําไรมาก กําไรน้อยก็ให้ล้มละลายไป ไม่ใช่ ต้องทําอย่างไร ใหญ่ กลาง เล็กถึงจะเชื่อมโยงสร้าง สร้างขึ้นมา เล็ก มากลาง กลางมาใหญ่ ใหญ่ไปใหญ่มาก ถึงจะไปอย่างนี้ ถึงจะลงมาสู่ประชาชน ทุกนต้องเผื่อแผ่น “จิตสาธารณะ” ใช้หลักเกณฑ์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ได้ดํารงชีวิตให้ได้และมีภูมิคุ้มกันตนเอง และกลไกบ้าน-วัด-โรงเรียน ตามแนวทางพระราชดําริ ทําให้สังคม ปลอดภัย มั่นคง ปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน
สิ่งสําคัญคือ การเคารพกฎหมาย จิตสํานึก อุดมการณ์ ประเทศชาติมาก่อน เคารพกระบวนการยุติธรรม รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้เสรีภาพตามกฎหมาย อย่าไปรบกวนคนอื่นนะ เป็นพื้นฐานของ “ประชาธิปไตย” ที่ถูกต้อง อย่ามองเลือกตั้งอย่างเดียว ถือเสียงส่วนใหญ่ ไม่สนใจส่วนน้อย เรียกร้องสิทธิอย่างเดียว ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เข้มแข็ง หรือเป็นการทําอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย หรือแสดงความเห็นต่าง ความไม่ร่วมมือ ตามสื่อ ตาม Social Media โดยที่ไม่มีข้อมูล ข้อเท็จจริง ผมคิดว่าหลาย ๆ อันผิดกฎหมาย ผมเข้าใจว่ามันผิดกฎหมายนะ กําลังดูอยู่นะ การพูดจาที่ไม่มีสาระ ไม่มีหลักฐานนี่ พูดเรื่อยเปื่อย อาจจะผิดกฎหมายด้วย ไม่ได้ขู่ เดี๋ยวหาว่าผมขู่อีก ผมไม่ชอบ คํา 2 คํานี้ ขู่ หรืออะไร จ้อ โม้ อะไรทํานองนี้ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นทหาร ผู้บัญชาการทหารบกเก่า ผมเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ เพราะฉะนั้นจําไว้ด้วย
วันที่ 14 – 18 กุมภาพันธ์ ผมมีภารกิจเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน – สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ณ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สําหรับรายละเอียดต่าง ๆ ผลการปฏิบัติงาน ผลการประชุม ผมจะนํามาเล่าให้ฟังต่อไป ไม่อยากให้มีการขัดแย้งในต่างประเทศด้วย ขอบคุณบรรดาพ่อแม่พี่น้อง ที่จะไปรับผมที่โน่น ให้กําลังใจผม ขอขอบคุณ ขอให้อยู่ในความสงบ ผมทําเพื่อทุกคน เพื่อประเทศชาติ ใครไม่ทําเขาก็ต้องมีผลกรรมของเขาเอง ทําไม่ดีล่ะก็ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายไป ขอให้ทุกคนมีความสุข
ที่ผ่านมาก็วันตรุษจีน และวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะ “วันแห่งความรัก” ผมเป็นห่วงนะ บรรดาวัยรุ่น คู่รักต่างๆ ระมัดระวังตัวเองนะครับ ไปเที่ยวอะไรต่างๆ ผู้หญิงต้องระวังตัว มีคุณค่า ผู้ชายก็ให้เกียรติผู้หญิงบ้าง อย่าเอารัดเอาเปรียบ แล้วทําให้ประเพณีไทยเสียหาย เราไม่ใช่ต่างประเทศที่เขาเลยไปแล้วนะ วัฒนธรรมเราดีงาม สวยงาม ต่างชาติเขาก็เป็นแบบของเขามา ไม่ใช่เขาดีหรือไม่ดี ผมไม่ว่าเขา แต่ของเราเคยดีอยู่แล้ว อย่าทํา อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกันนะ ขอขอบคุณนะครับ ขอให้ “รู้ รัก สามัคคี” สําเร็จ ปลอดภัย มีความสุข สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต
อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต้องนําความรู้ระดับสูงจากต่างประเทศมาต่อยอดประยุกต์ให้เหมาะสมกับ ประเทศไ
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิชาการ และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประเทศประเทศไทยเป็นผู้ลงนามฝ่ายจีน และมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสักขีพยาน ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมและต่อยอดกิจกรรมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนที่มีอยู่เดิม รวมทั้งพัฒนากลไกความร่วมมือใหม่ ๆ ให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมกับทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน โดยสาขาความร่วมมือที่ระบุในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ครอบคลุมความร่วมมือ 11 สาขา ได้แก่ 1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2. เทคโนโลยีการเกษตร 3. เทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์การแพทย์ 4. เทคโนโลยีพลังงาน 5. เทคโนโลยีวัสดุและการผลิต 6.เทคโนโลยียานยนต์และรถไฟความเร็วสูง 7.เทคโนโลยีการบินและอวกาศ 8. นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) 9. การถ่ายทอดเทคโนโลยี 10. การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย และ 11. สาขาอื่น ๆ ด้าน วทน. ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน ขอบเขตความร่วมมือ ครอบคลุม 5 รูปแบบ ได้แก่ 1. การร่วมกันดําเนินการวิจัยและพัฒนา 2. การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้ชํานาญการ และนักวิจัยระหว่างกัน 3. การแลกเปลี่ยนนโยบายด้าน วทน. และประสบการณ์ความเป็นผู้ประกอบการ 4. การประชุมทางวิชาการ การพัฒนาหลักสูตร การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนา การฝึกอบรม การฝึกงานวิจัยและการศึกษาดูงานของกลุ่มเป้าหมายร่วมกัน และ 5. รูปแบบอื่น ๆ ของความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจร่วมกัน
“บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เป็นหนึ่งในการดําเนินงานตามนโยบายด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของ อว. เพื่อพัฒนากําลังคน พัฒนาองค์ความรู้ และพัฒนานวัตกรรมของประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติ ในต่างประเทศ เชื่อมโยงให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งเป็นไปได้ด้วยการนําองค์ความรู้ระดับสูงจากต่างประเทศมาพัฒนาต่อยอดและประยุกต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่และบริบทของประเทศไทย ผ่านการผลักดันความความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ดังตัวอย่างการทํางานร่วมกันระหว่างไทยและจีนที่มีความสัมพันธ์ด้าน วทน. ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” ดร.สุวิทย์ กล่าว
สําหรับบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เป็นการต่ออายุจากบันทึกความเข้าใจระหว่าง 2 กระทรวง ที่หมดอายุเมื่อปี 2561 ตามกรอบความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน มีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อดําเนินการวิจัยร่วมกัน การจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยร่วม การถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมไปถึงการอํานวยความสะดวกในการจับคู่เพื่อเจรจาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในสาขาต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผลของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม เช่น การจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมชีวภาพจุลินทรีย์ไทย-จีน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการร่วมวิจัยด้านการสํารวจระยะไกลผ่านดาวเทียมเพื่อ การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติล่วงหน้า ความร่วมมือด้านการทดสอบเมล็ดพันธุ์พืชไทยในพื้นที่แปลงทดลองปลูกในมณฑล กว่างตง (กวางตุ้ง) ประเทศจีนพร้อมทั้งการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์ไทยกับจีน เป็นต้น
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต
อว. - กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใน 11 สาขา 5 รูปแบบ ทั้งเกษตร การแพทย์ พลังงาน การบินและอวกาศ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” เผยต้องนําความรู้ระดับสูงจากต่างประเทศมาต่อยอดประยุกต์ให้เหมาะสมกับ ประเทศไ
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิชาการ และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประเทศประเทศไทยเป็นผู้ลงนามฝ่ายจีน และมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสักขีพยาน ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมและต่อยอดกิจกรรมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนที่มีอยู่เดิม รวมทั้งพัฒนากลไกความร่วมมือใหม่ ๆ ให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมกับทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน โดยสาขาความร่วมมือที่ระบุในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ครอบคลุมความร่วมมือ 11 สาขา ได้แก่ 1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2. เทคโนโลยีการเกษตร 3. เทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์การแพทย์ 4. เทคโนโลยีพลังงาน 5. เทคโนโลยีวัสดุและการผลิต 6.เทคโนโลยียานยนต์และรถไฟความเร็วสูง 7.เทคโนโลยีการบินและอวกาศ 8. นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) 9. การถ่ายทอดเทคโนโลยี 10. การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย และ 11. สาขาอื่น ๆ ด้าน วทน. ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน ขอบเขตความร่วมมือ ครอบคลุม 5 รูปแบบ ได้แก่ 1. การร่วมกันดําเนินการวิจัยและพัฒนา 2. การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้ชํานาญการ และนักวิจัยระหว่างกัน 3. การแลกเปลี่ยนนโยบายด้าน วทน. และประสบการณ์ความเป็นผู้ประกอบการ 4. การประชุมทางวิชาการ การพัฒนาหลักสูตร การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนา การฝึกอบรม การฝึกงานวิจัยและการศึกษาดูงานของกลุ่มเป้าหมายร่วมกัน และ 5. รูปแบบอื่น ๆ ของความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจร่วมกัน
“บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เป็นหนึ่งในการดําเนินงานตามนโยบายด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของ อว. เพื่อพัฒนากําลังคน พัฒนาองค์ความรู้ และพัฒนานวัตกรรมของประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติ ในต่างประเทศ เชื่อมโยงให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งเป็นไปได้ด้วยการนําองค์ความรู้ระดับสูงจากต่างประเทศมาพัฒนาต่อยอดและประยุกต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่และบริบทของประเทศไทย ผ่านการผลักดันความความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ดังตัวอย่างการทํางานร่วมกันระหว่างไทยและจีนที่มีความสัมพันธ์ด้าน วทน. ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” ดร.สุวิทย์ กล่าว
สําหรับบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เป็นการต่ออายุจากบันทึกความเข้าใจระหว่าง 2 กระทรวง ที่หมดอายุเมื่อปี 2561 ตามกรอบความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน มีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อดําเนินการวิจัยร่วมกัน การจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยร่วม การถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมไปถึงการอํานวยความสะดวกในการจับคู่เพื่อเจรจาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในสาขาต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผลของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม เช่น การจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมชีวภาพจุลินทรีย์ไทย-จีน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการร่วมวิจัยด้านการสํารวจระยะไกลผ่านดาวเทียมเพื่อ การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติล่วงหน้า ความร่วมมือด้านการทดสอบเมล็ดพันธุ์พืชไทยในพื้นที่แปลงทดลองปลูกในมณฑล กว่างตง (กวางตุ้ง) ประเทศจีนพร้อมทั้งการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์ไทยกับจีน เป็นต้น
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24386
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 16 เมษายน 2563
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)
ประจําวันที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่16 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –16 เมษายน2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 2,081,770 ราย เสียชีวิต 134,508 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 644,061 ราย เสียชีวิต 28,526 รายสเปนพบผู้ป่วย 180,659 ราย เสียชีวิต 18,812 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 165,155 ราย เสียชีวิต 21,645 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (15 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งมีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 96 ราย (สะสม 1,593 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 29 ราย ทําให้จํานวนผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือ 1,033 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย เป็นลําดับที่ 2,644-2,672 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว14ราย (ในจํานวนนี้เป็นผู้สัมผัสในครอบครัว 6 ราย / พบผู้ป่วยที่จังหวัดปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, ภูเก็ต, ชุมพร, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน5รายมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 2 ราย (กลับจากอังกฤษ)
2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย
2.3 อาชีพเสี่ยง 2 ราย (เป็นพนักงานบริษัท สัมผัสกับชาวต่างชาติ)
กลุ่มที่ 3ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างสอบสวนโรค10ราย
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย
รายที่ 1เป็นชายสัญชาติมาเลเซีย อายุ 55 ปี อาชีพไกด์ทัวร์ ไม่มีโรคประจําตัว มีประวัติเสี่ยงคือ เป็นไกด์ทัวร์ไปประเทศจอร์เจีย และมีลูกทัวร์เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ด้วยอาการไอ มีเสมหะ หายใจลําบาก เหนื่อย เสียชีวิตวันที่ 14 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 44)
รายที่ 2เป็นหญิงไทย อายุ 35 ปี มีโรคประจําตัวเป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ประวัติเสี่ยง คือ แฟนทํางานในสถานบันเทิงที่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 (แต่แฟนตรวจไม่พบเชื้อ) เข้ารับรักษาครั้งแรกเป็นผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไอ เหนื่อย และกลับมารักษาอีกครั้ง ด้วยอาการไอ เหนื่อย เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจลําบาก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่ 15 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 45)
รายที่ 3เป็นชายไทย อายุ 37 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไปและขับรถแบคโฮ มีโรคประจําตัว คือ ความดันโลหิตสูงและภาวะอ้วน ประวัติเสี่ยง คือ ภรรยาเคยทํางานเป็นพนักงานร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ารับรักษาครั้งแรกที่คลินิกแห่งหนึ่ง ด้วยอาการไข้สูง ร่วมกับทอนซิลอักเสบ และเข้ารับรักษาที่คลินิกอีก 5 ครั้ง จากนั้นจึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรีด้วยอาการไข้ วูบ หน้ามืด แพทย์ทําการกู้ชีพและใส่ท่อช่วยหายใจ ผลภาพถ่ายรังสีทรวงอกพบปอดอักเสบ เก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่
15 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 46)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,593 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,033 รายเสียชีวิตรวม46 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,672 รายพบผู้ป่วยกระจายใน 68 จังหวัด มากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,349 ราย ภูเก็ต 191 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ส่วนจังหวัดที่ยังไม่พบรายงานผู้ป่วย มี 9 จังหวัด คือ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง
*********************************** 16 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 16 เมษายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)
ประจําวันที่ 16 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่16 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –16 เมษายน2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 2,081,770 ราย เสียชีวิต 134,508 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 644,061 ราย เสียชีวิต 28,526 รายสเปนพบผู้ป่วย 180,659 ราย เสียชีวิต 18,812 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 165,155 ราย เสียชีวิต 21,645 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (15 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งมีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 96 ราย (สะสม 1,593 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 29 ราย ทําให้จํานวนผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือ 1,033 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย เป็นลําดับที่ 2,644-2,672 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว14ราย (ในจํานวนนี้เป็นผู้สัมผัสในครอบครัว 6 ราย / พบผู้ป่วยที่จังหวัดปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, ภูเก็ต, ชุมพร, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน5รายมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 2 ราย (กลับจากอังกฤษ)
2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย
2.3 อาชีพเสี่ยง 2 ราย (เป็นพนักงานบริษัท สัมผัสกับชาวต่างชาติ)
กลุ่มที่ 3ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างสอบสวนโรค10ราย
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย
รายที่ 1เป็นชายสัญชาติมาเลเซีย อายุ 55 ปี อาชีพไกด์ทัวร์ ไม่มีโรคประจําตัว มีประวัติเสี่ยงคือ เป็นไกด์ทัวร์ไปประเทศจอร์เจีย และมีลูกทัวร์เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ด้วยอาการไอ มีเสมหะ หายใจลําบาก เหนื่อย เสียชีวิตวันที่ 14 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 44)
รายที่ 2เป็นหญิงไทย อายุ 35 ปี มีโรคประจําตัวเป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ประวัติเสี่ยง คือ แฟนทํางานในสถานบันเทิงที่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 (แต่แฟนตรวจไม่พบเชื้อ) เข้ารับรักษาครั้งแรกเป็นผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไอ เหนื่อย และกลับมารักษาอีกครั้ง ด้วยอาการไอ เหนื่อย เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจลําบาก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่ 15 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 45)
รายที่ 3เป็นชายไทย อายุ 37 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไปและขับรถแบคโฮ มีโรคประจําตัว คือ ความดันโลหิตสูงและภาวะอ้วน ประวัติเสี่ยง คือ ภรรยาเคยทํางานเป็นพนักงานร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ารับรักษาครั้งแรกที่คลินิกแห่งหนึ่ง ด้วยอาการไข้สูง ร่วมกับทอนซิลอักเสบ และเข้ารับรักษาที่คลินิกอีก 5 ครั้ง จากนั้นจึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรีด้วยอาการไข้ วูบ หน้ามืด แพทย์ทําการกู้ชีพและใส่ท่อช่วยหายใจ ผลภาพถ่ายรังสีทรวงอกพบปอดอักเสบ เก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่
15 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 46)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,593 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,033 รายเสียชีวิตรวม46 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,672 รายพบผู้ป่วยกระจายใน 68 จังหวัด มากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,349 ราย ภูเก็ต 191 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ส่วนจังหวัดที่ยังไม่พบรายงานผู้ป่วย มี 9 จังหวัด คือ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง
*********************************** 16 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29190
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
|
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีการเดินทางเยือนไทยของนายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊กว่า นายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก มีกําหนดการเดินทางเยือนประเทศไทย และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยจะหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านการใช้เฟซบุ๊ก ผลกระทบอันเกิดจากอาชญากรรมข้ามชาติบนเฟซบุ๊ก เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าพบและหารือของนายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะมีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อนําไปสู่ผลประโยชน์สูงสุดของทั้งสองฝ่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการเดินทางเยือนของผู้บริหารเฟซบุ๊ก
วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีการเดินทางเยือนไทยของนายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊กว่า นายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก มีกําหนดการเดินทางเยือนประเทศไทย และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยจะหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านการใช้เฟซบุ๊ก ผลกระทบอันเกิดจากอาชญากรรมข้ามชาติบนเฟซบุ๊ก เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าพบและหารือของนายมาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก ครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะมีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อนําไปสู่ผลประโยชน์สูงสุดของทั้งสองฝ่าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7463
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018”
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018” โดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาคมนิสิตเก่า เอ็มไอที ประเทศไทย และ Massacchusetts Institute of Technology Global Startup Workshop (MITGSW) จัดขึ้น เพื่อยกระดับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย และให้ความรู้แก่ผู้สนใจประกอบธุรกิจ ติดอาวุธความคิดให้พร้อมรับยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งแบ่งหัวข้อสัมมนาฯ ออกเป็นสองช่วงใหญ่ ได้แก่ วันที่ 26-27 มีนาคม 2561 เป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโดยผู้ทรงคุณวุฒิของสถาบันการศึกษาชั้นนํา และผู้ประกอบธุรกิจยุคใหม่ที่ประสบความสําเร็จในยุคไทยแลนด์ 4.0 ช่วงที่สอง วันที่ 28 มีนาคม 2561 เป็นการประกวดแผนธุรกิจนานาชาติของนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ที่จะนําโมเดลธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจมาร่วมแข่งขัน ทั้งนี้ การยกระดับกลุ่มนักธุรกิจสตาร์ทอัพ เป็นภารกิจหลัก 1 ใน 5 โครงการที่กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยโครงการพัฒนาสภาพแวดล้อมและส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ (Digital Startup) ซึ่งเป็นการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัลในระยะเริ่มต้น (Digital Startup) ผลักดันนักธุรกิจให้สามารถจัดตั้งดําเนินธุรกิจได้จริงในตลาด และยังเป็นการสร้างโอกาสและเครือข่าย Digital Startup ระดับนานาชาติ (Digital Startup International Network Events) ผ่านกิจกรรมต่างๆ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018”
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “MIT Global Startup Workshop 2018” โดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาคมนิสิตเก่า เอ็มไอที ประเทศไทย และ Massacchusetts Institute of Technology Global Startup Workshop (MITGSW) จัดขึ้น เพื่อยกระดับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย และให้ความรู้แก่ผู้สนใจประกอบธุรกิจ ติดอาวุธความคิดให้พร้อมรับยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งแบ่งหัวข้อสัมมนาฯ ออกเป็นสองช่วงใหญ่ ได้แก่ วันที่ 26-27 มีนาคม 2561 เป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโดยผู้ทรงคุณวุฒิของสถาบันการศึกษาชั้นนํา และผู้ประกอบธุรกิจยุคใหม่ที่ประสบความสําเร็จในยุคไทยแลนด์ 4.0 ช่วงที่สอง วันที่ 28 มีนาคม 2561 เป็นการประกวดแผนธุรกิจนานาชาติของนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ที่จะนําโมเดลธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจมาร่วมแข่งขัน ทั้งนี้ การยกระดับกลุ่มนักธุรกิจสตาร์ทอัพ เป็นภารกิจหลัก 1 ใน 5 โครงการที่กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยโครงการพัฒนาสภาพแวดล้อมและส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ (Digital Startup) ซึ่งเป็นการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัลในระยะเริ่มต้น (Digital Startup) ผลักดันนักธุรกิจให้สามารถจัดตั้งดําเนินธุรกิจได้จริงในตลาด และยังเป็นการสร้างโอกาสและเครือข่าย Digital Startup ระดับนานาชาติ (Digital Startup International Network Events) ผ่านกิจกรรมต่างๆ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11089
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำชับดูแลการทำเหมืองไม่ให้กระทบถ้ำพระโพธิสัตว์พร้อมประมวลข้อร้องเรียนประกอบการพิจารณาคำขอประทานบัตร
|
วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กําชับดูแลการทําเหมืองไม่ให้กระทบถ้ําพระโพธิสัตว์พร้อมประมวลข้อร้องเรียนประกอบการพิจารณาคําขอประทานบัตร
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เผยผลตรวจสอบการทําเหมืองในปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบต่อถ้ําพระโพธิสัตว์ แต่กําชับดูแลการทําเหมืองตามแผนผังและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเคร่งครัด ป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสถานที่สําคัญ...
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำชับดูแลการทำเหมืองไม่ให้กระทบถ้ำพระโพธิสัตว์พร้อมประมวลข้อร้องเรียนประกอบการพิจารณาคำขอประทานบัตร
วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กําชับดูแลการทําเหมืองไม่ให้กระทบถ้ําพระโพธิสัตว์พร้อมประมวลข้อร้องเรียนประกอบการพิจารณาคําขอประทานบัตร
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เผยผลตรวจสอบการทําเหมืองในปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบต่อถ้ําพระโพธิสัตว์ แต่กําชับดูแลการทําเหมืองตามแผนผังและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเคร่งครัด ป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสถานที่สําคัญ...
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2878
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. นำชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทำเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
|
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560
ปลัด พม. นําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทําเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
ปลัด พม. นําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทําเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 60 เวลา 10.00 น. ที่ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การออกแบบบ้านย่านบางซื่อ “จากวังหลังสู่บางซื่อ” พร้อมนําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ เยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัยชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เพื่อให้ตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้เห็นรูปแบบการพัฒนาชุมชน และนํากลับไปใช้ในการออกแบบบ้านและผังชุมชนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อ โดยมีตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ นักวิชาการด้านที่อยู่อาศัย และเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จํานวนทั้งสิ้น 50 คน เข้าร่วมกิจกรรม
นายไมตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีโครงการจัดการสิ่งปลูกสร้างรุกล้ําลําน้ํา โดยการรื้อย้ายบ้านเรือนที่อยู่ในคลองลาดพร้าว และคลองบางซื่อออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน เพื่อให้สํานักการระบายน้ํากรุงเทพมหานคร สร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จัดทําแผนงานที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน ตามโครงการ “บ้านประชารัฐริมคลอง” นั้น ขณะนี้การก่อสร้างบ้านใหม่ในชุมชนริมคลองลาดพร้าวมีความคืบหน้าไปตามลําดับขั้น โดย พอช. ได้สนับสนุนการก่อสร้างบ้านไปแล้ว 9 ชุมชน สร้างเสร็จไปแล้วประมาณ 900 หลัง ส่วนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อซึ่งมีจํานวน 7 ชุมชน ประมาณเกือบ 500 ครัวเรือน ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการเพื่อออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย
นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์เป็น 1 ในโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช. ให้การสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในชุมชนเดิม จํานวน 33 หลังคาเรือน โดยเช่าที่ดินกรมธนารักษ์ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ทําพิธีมอบบ้านให้แก่ชาวชุมชนไปแล้วในช่วงต้นปี 2559 ซึ่งจากสภาพเดิมของชุมชนที่มีความแออัด ไม่เป็นระเบียบ บ้านเรือนมีสภาพทรุดโทรม จึงได้ออกแบบบ้านและก่อสร้างใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและสามารถเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญ มีประชาชนและนักท่องเที่ยวสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน สําหรับชุมชนริมคลองบางซื่อ ในอนาคตจะไม่แตกต่างจากชุมชนวังหลังฯ คือ ชาวชุมชนสามารถใช้บ้านเป็นที่อยู่อาศัยและสามารถเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะชุมชนตั้งอยู่ระหว่างถนนสองสายที่สําคัญ คือ ถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว และขณะนี้ถนนรัชดาภิเษกมีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว ส่วนถนนลาดพร้าวรัฐบาลมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ ทําให้ชุมชนริมคลองบางซื่อสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ําได้
นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย ชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัยชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ และมีการแบ่งกลุ่มศึกษาแลกเปลี่ยนกับชาวชุมชนวังหลัง ในประเด็นแนวคิดการพัฒนาชุมชน รูปแบบการพัฒนา การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ การแบ่งพื้นที่สาธารณะ การสร้างเอกลักษณ์ชุมชน การสร้างเศรษฐกิจชุมชน ฯลฯ เพื่อนําข้อมูลและแนวคิดที่ได้รับกลับไปร่วมกันวางผังออกแบบบ้าน และผังชุมชนร่วมกับนักวิชาการด้านที่อยู่อาศัย ชุมชนริมคลองบางซื่อมีทั้งหมด 7 ชุมชน มีประชากรรวม 2,970 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป พนักงานบริษัทเอกชน และรับราชการ ประกอบด้วย ชุมชนริมคลองบางซื่อรัชดาภิเษก ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 34 ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 42-44 ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 46 ซึ่งทั้ง 4 ชุมชนนี้ชาวบ้านสามารถอยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้ แต่จะต้องมีการปรับผังชุมชนใหม่ เพื่อรื้อบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน และสร้างบ้านใหม่โดยจัดสรรให้แต่ละครอบครัวได้ขนาดบ้านเท่ากัน รวมทั้งสิ้น 423 ครัวเรือน ส่วนอีก 3 ชุมชนที่อยู่ในแนวเขื่อนไม่มีพื้นที่เหลือให้สร้างบ้าน ต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ คือ ชุมชนรุ่งเรืองตอนปลาย ชุมชนวัฒนานิเวศ 5 และชุมชนซอยพัทลุง รวมทั้งชาวชุมชนริมคลองบางซื่อที่ต้องการไปอยู่ในที่ดินใหม่
รวม 43 ครัวเรือน โดยที่ผ่านมาชาวบ้านกลุ่มนี้ได้เคยไปดูที่ดินแปลงใหม่ซึ่งเป็นที่ดินของเอกชนบริเวณบึงนายพลในเขตมีนบุรีแล้ว
นายไมตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับคลองบางซื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วมในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเชื่อมต่อกับคลองลาดพร้าวบริเวณใกล้วัดลาดพร้าว ส่วนต้นคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ําเจ้าพระยาที่บริเวณย่านเกียกกาย เขตดุสิต มีความยาวทั้งหมดประมาณ 7.9 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้ กทม. กําลังก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ํา เพื่อระบายน้ําในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ลงคลองบางซื่อออกสู่แม่น้ําเจ้าพระยา (คาดว่าจะแล้วเสร็จกรกฎาคม 2560 นี้) โดย พอช. สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อทําสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ และพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ในที่ดินเดิมภายใต้โครงการ “บ้านมั่นคง” โดยมีเงื่อนไขการเช่าที่ดิน คือ เช่าเพื่อที่อยู่อาศัยและเช่าเชิงธุรกิจ รวมทั้งหมด 33 หลังคาเรือน อัตราค่าเช่าตารางวาละ 59 บาทต่อเดือน โดยเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 42 ตารางเมตร ราคา 240,580 บาท และสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่งชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะต้องผ่อนชําระสินเชื่อสําหรับสร้างบ้านกับ พอช. ประมาณ 1,600 บาทต่อเดือน ในระยะเวลา 15 ปี
"ทั้งนี้ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบ้านประชารัฐริมคลอง เป็นโครงการที่ดําเนินการพัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ มีการพัฒนาคลองให้ใสสะอาด มีพื้นที่ให้ลูกหลานได้ออกกําลังกาย และมีทางขี่จักรยานเลียบคลอง เป็นต้น เพื่อพัฒนาชุมชนริมคลองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยความมั่นคงในที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. นำชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทำเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560
ปลัด พม. นําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทําเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
ปลัด พม. นําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัย-เศรษฐกิจชุมชนที่วังหลัง เพื่อเป็นต้นแบบในการออกแบบบ้านและผังชุมชนรองรับทําเลทองเชื่อมลาดพร้าว-รัชดาภิเษก
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 60 เวลา 10.00 น. ที่ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การออกแบบบ้านย่านบางซื่อ “จากวังหลังสู่บางซื่อ” พร้อมนําชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ เยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัยชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เพื่อให้ตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้เห็นรูปแบบการพัฒนาชุมชน และนํากลับไปใช้ในการออกแบบบ้านและผังชุมชนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อ โดยมีตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ นักวิชาการด้านที่อยู่อาศัย และเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จํานวนทั้งสิ้น 50 คน เข้าร่วมกิจกรรม
นายไมตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีโครงการจัดการสิ่งปลูกสร้างรุกล้ําลําน้ํา โดยการรื้อย้ายบ้านเรือนที่อยู่ในคลองลาดพร้าว และคลองบางซื่อออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน เพื่อให้สํานักการระบายน้ํากรุงเทพมหานคร สร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จัดทําแผนงานที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชาชนที่ต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน ตามโครงการ “บ้านประชารัฐริมคลอง” นั้น ขณะนี้การก่อสร้างบ้านใหม่ในชุมชนริมคลองลาดพร้าวมีความคืบหน้าไปตามลําดับขั้น โดย พอช. ได้สนับสนุนการก่อสร้างบ้านไปแล้ว 9 ชุมชน สร้างเสร็จไปแล้วประมาณ 900 หลัง ส่วนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อซึ่งมีจํานวน 7 ชุมชน ประมาณเกือบ 500 ครัวเรือน ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการเพื่อออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย
นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์เป็น 1 ในโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช. ให้การสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในชุมชนเดิม จํานวน 33 หลังคาเรือน โดยเช่าที่ดินกรมธนารักษ์ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ทําพิธีมอบบ้านให้แก่ชาวชุมชนไปแล้วในช่วงต้นปี 2559 ซึ่งจากสภาพเดิมของชุมชนที่มีความแออัด ไม่เป็นระเบียบ บ้านเรือนมีสภาพทรุดโทรม จึงได้ออกแบบบ้านและก่อสร้างใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและสามารถเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญ มีประชาชนและนักท่องเที่ยวสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน สําหรับชุมชนริมคลองบางซื่อ ในอนาคตจะไม่แตกต่างจากชุมชนวังหลังฯ คือ ชาวชุมชนสามารถใช้บ้านเป็นที่อยู่อาศัยและสามารถเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะชุมชนตั้งอยู่ระหว่างถนนสองสายที่สําคัญ คือ ถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว และขณะนี้ถนนรัชดาภิเษกมีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว ส่วนถนนลาดพร้าวรัฐบาลมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ ทําให้ชุมชนริมคลองบางซื่อสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ําได้
นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย ชาวชุมชนริมคลองบางซื่อเยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัยชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ และมีการแบ่งกลุ่มศึกษาแลกเปลี่ยนกับชาวชุมชนวังหลัง ในประเด็นแนวคิดการพัฒนาชุมชน รูปแบบการพัฒนา การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ การแบ่งพื้นที่สาธารณะ การสร้างเอกลักษณ์ชุมชน การสร้างเศรษฐกิจชุมชน ฯลฯ เพื่อนําข้อมูลและแนวคิดที่ได้รับกลับไปร่วมกันวางผังออกแบบบ้าน และผังชุมชนร่วมกับนักวิชาการด้านที่อยู่อาศัย ชุมชนริมคลองบางซื่อมีทั้งหมด 7 ชุมชน มีประชากรรวม 2,970 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป พนักงานบริษัทเอกชน และรับราชการ ประกอบด้วย ชุมชนริมคลองบางซื่อรัชดาภิเษก ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 34 ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 42-44 ชุมชนริมคลองบางซื่อลาดพร้าว(ซอย) 46 ซึ่งทั้ง 4 ชุมชนนี้ชาวบ้านสามารถอยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้ แต่จะต้องมีการปรับผังชุมชนใหม่ เพื่อรื้อบ้านออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน และสร้างบ้านใหม่โดยจัดสรรให้แต่ละครอบครัวได้ขนาดบ้านเท่ากัน รวมทั้งสิ้น 423 ครัวเรือน ส่วนอีก 3 ชุมชนที่อยู่ในแนวเขื่อนไม่มีพื้นที่เหลือให้สร้างบ้าน ต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ คือ ชุมชนรุ่งเรืองตอนปลาย ชุมชนวัฒนานิเวศ 5 และชุมชนซอยพัทลุง รวมทั้งชาวชุมชนริมคลองบางซื่อที่ต้องการไปอยู่ในที่ดินใหม่
รวม 43 ครัวเรือน โดยที่ผ่านมาชาวบ้านกลุ่มนี้ได้เคยไปดูที่ดินแปลงใหม่ซึ่งเป็นที่ดินของเอกชนบริเวณบึงนายพลในเขตมีนบุรีแล้ว
นายไมตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับคลองบางซื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วมในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเชื่อมต่อกับคลองลาดพร้าวบริเวณใกล้วัดลาดพร้าว ส่วนต้นคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ําเจ้าพระยาที่บริเวณย่านเกียกกาย เขตดุสิต มีความยาวทั้งหมดประมาณ 7.9 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้ กทม. กําลังก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ํา เพื่อระบายน้ําในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ลงคลองบางซื่อออกสู่แม่น้ําเจ้าพระยา (คาดว่าจะแล้วเสร็จกรกฎาคม 2560 นี้) โดย พอช. สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อทําสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ และพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ในที่ดินเดิมภายใต้โครงการ “บ้านมั่นคง” โดยมีเงื่อนไขการเช่าที่ดิน คือ เช่าเพื่อที่อยู่อาศัยและเช่าเชิงธุรกิจ รวมทั้งหมด 33 หลังคาเรือน อัตราค่าเช่าตารางวาละ 59 บาทต่อเดือน โดยเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 42 ตารางเมตร ราคา 240,580 บาท และสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่งชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะต้องผ่อนชําระสินเชื่อสําหรับสร้างบ้านกับ พอช. ประมาณ 1,600 บาทต่อเดือน ในระยะเวลา 15 ปี
"ทั้งนี้ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบ้านประชารัฐริมคลอง เป็นโครงการที่ดําเนินการพัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ มีการพัฒนาคลองให้ใสสะอาด มีพื้นที่ให้ลูกหลานได้ออกกําลังกาย และมีทางขี่จักรยานเลียบคลอง เป็นต้น เพื่อพัฒนาชุมชนริมคลองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยความมั่นคงในที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้า
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4441
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 9/2562
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562 ณ ห้องประชุมชั้น 1 สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย
วัน 7 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และนายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมด้วย โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ หลักเกณฑ์การกําหนดค่าตัวแปรสําหรับปรับเพิ่มหรือปรับลดต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ําตาลทราย แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมจากการใช้ประโยชน์จากใบ และยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าชีวมวล ณ ห้องประชุมชั้น 1 สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย #อ้อยและน้ําตาลทราย #ปลัดกอบชัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สํานักงานคณะกรรมการอ่อยและน้ําตาลทราย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 9/2562
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562 ณ ห้องประชุมชั้น 1 สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย
วัน 7 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 9/2562 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และนายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมด้วย โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ หลักเกณฑ์การกําหนดค่าตัวแปรสําหรับปรับเพิ่มหรือปรับลดต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ําตาลทราย แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมจากการใช้ประโยชน์จากใบ และยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าชีวมวล ณ ห้องประชุมชั้น 1 สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย #อ้อยและน้ําตาลทราย #ปลัดกอบชัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สํานักงานคณะกรรมการอ่อยและน้ําตาลทราย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24422
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอบหมายให้ ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ประธานสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ
****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
“ดีอีเอส” ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอบหมายให้ ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา ด้านการปฏิรูประบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยรวมของประเทศ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ประธานสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ
****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32219
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพศ.ขอนแก่น เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยทั่วไป ลดเวลารอคอยจาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที
|
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560
รพศ.ขอนแก่น เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยทั่วไป ลดเวลารอคอยจาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที
โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ปรับระบบบริการสุขภาพ เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยนอกทั่วไป และผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ช่วยลดเวลารอคอยพบแพทย์จาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที ลดความแออัด ในโรงพยาบาลใหญ่ ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้าน
วันนี้ (25 สิงหาคม 2560) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ เชื่อมโยงกับบริการในระดับสูงขึ้นคือระดับทุติยภูมิ และตติยภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่งปรับระบบบริการมีการเชื่อมโยงบริการตติยภูมิสู่ปฐมภูมิ เน้นการสนับสนุนเครือข่ายพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในเครือข่ายให้มีศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพ ใกล้บ้านมากขึ้น ลดความแออัดในโรงพยาบาลแม่ข่าย
สําหรับโรงพยาบาลขอนแก่นได้ปรับระบบบริการ โดยแยกคลินิกผู้ป่วยนอกออกนอกโรงพยาบาลและปิดคลินิกผู้ป่วยนอกทั่วไป (OPD Walk-in) รวมทั้งผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน โดยให้ไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิตามที่กําหนด เพื่อเป็นด่านแรกในการให้บริการกับประชาชน ในระยะแรกระหว่างปี 2554-2558 จัดบริการในเครือข่ายย่อยที่เป็นศูนย์แพทย์ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นคลินิกหมอครอบครัว (PCC) 4 เครือข่าย ได้แก่ ศูนย์แพทย์มิตรภาพ, วัดหนองแวงพระอารามหลวง, ชาตะผดุง และประชาสโมสร มีผู้รับบริการเฉลี่ยศูนย์ละ 150-250 รายต่อวัน
ทั้งนี้ จากการปรับระบบริการดังกล่าว ทําให้คลินิกหมอครอบครัวสามารถรักษาบริการผู้ป่วยนอกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ถึง 26,621 คนต่อเดือน หรือ 319,451 คนต่อปี และ 75,480 ครั้งบริการต่อเดือน หรือ 905,762 ครั้งบริการต่อปี ลดระยะเวลาการรอคอยจาก 184 นาทีที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น เหลือเฉลี่ยอยู่ที่ 47 นาทีที่คลินิกหมอครอบครัว ผู้ป่วยได้รับความสะดวกรวดเร็ว ทําให้สัดส่วนการมารับบริการระหว่างหน่วยบริการปฐมภูมิเครือข่ายกับโรงพยาบาลแม่ข่ายคิดเป็น 74 : 26 โดยในกลุ่มผู้สูงอายุติดเตียง/ติดบ้าน 869 คนผู้ป่วยระยะท้าย 134 คน คนพิการ 199 คน ผู้ป่วยจิตเวช 109 คน ผู้ป่วยเอดส์ 86 คน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 17,203 คน ผู้ป่วยวัณโรค 357 คน ผู้ป่วยมะเร็ง 81 คน ผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ยังได้รับการดูแลเยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่อง จากแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวคนเดิม หากมีภาวะแทรกซ้อนสามารถส่งต่อพบแพทย์เฉพาะทาง ที่โรงพยาบาลแม่ข่ายอย่างเป็นระบบอีกด้วย
***************************** 25 สิงหาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพศ.ขอนแก่น เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยทั่วไป ลดเวลารอคอยจาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560
รพศ.ขอนแก่น เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยทั่วไป ลดเวลารอคอยจาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที
โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ปรับระบบบริการสุขภาพ เปิดคลินิกหมอครอบครัวรองรับผู้ป่วยนอกทั่วไป และผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ช่วยลดเวลารอคอยพบแพทย์จาก 184 นาทีเหลือ 47 นาที ลดความแออัด ในโรงพยาบาลใหญ่ ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้าน
วันนี้ (25 สิงหาคม 2560) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ เชื่อมโยงกับบริการในระดับสูงขึ้นคือระดับทุติยภูมิ และตติยภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกแห่งปรับระบบบริการมีการเชื่อมโยงบริการตติยภูมิสู่ปฐมภูมิ เน้นการสนับสนุนเครือข่ายพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในเครือข่ายให้มีศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพ ใกล้บ้านมากขึ้น ลดความแออัดในโรงพยาบาลแม่ข่าย
สําหรับโรงพยาบาลขอนแก่นได้ปรับระบบบริการ โดยแยกคลินิกผู้ป่วยนอกออกนอกโรงพยาบาลและปิดคลินิกผู้ป่วยนอกทั่วไป (OPD Walk-in) รวมทั้งผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน โดยให้ไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิตามที่กําหนด เพื่อเป็นด่านแรกในการให้บริการกับประชาชน ในระยะแรกระหว่างปี 2554-2558 จัดบริการในเครือข่ายย่อยที่เป็นศูนย์แพทย์ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นคลินิกหมอครอบครัว (PCC) 4 เครือข่าย ได้แก่ ศูนย์แพทย์มิตรภาพ, วัดหนองแวงพระอารามหลวง, ชาตะผดุง และประชาสโมสร มีผู้รับบริการเฉลี่ยศูนย์ละ 150-250 รายต่อวัน
ทั้งนี้ จากการปรับระบบริการดังกล่าว ทําให้คลินิกหมอครอบครัวสามารถรักษาบริการผู้ป่วยนอกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ถึง 26,621 คนต่อเดือน หรือ 319,451 คนต่อปี และ 75,480 ครั้งบริการต่อเดือน หรือ 905,762 ครั้งบริการต่อปี ลดระยะเวลาการรอคอยจาก 184 นาทีที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น เหลือเฉลี่ยอยู่ที่ 47 นาทีที่คลินิกหมอครอบครัว ผู้ป่วยได้รับความสะดวกรวดเร็ว ทําให้สัดส่วนการมารับบริการระหว่างหน่วยบริการปฐมภูมิเครือข่ายกับโรงพยาบาลแม่ข่ายคิดเป็น 74 : 26 โดยในกลุ่มผู้สูงอายุติดเตียง/ติดบ้าน 869 คนผู้ป่วยระยะท้าย 134 คน คนพิการ 199 คน ผู้ป่วยจิตเวช 109 คน ผู้ป่วยเอดส์ 86 คน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 17,203 คน ผู้ป่วยวัณโรค 357 คน ผู้ป่วยมะเร็ง 81 คน ผู้ป่วยเรื้อรังที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ยังได้รับการดูแลเยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่อง จากแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวคนเดิม หากมีภาวะแทรกซ้อนสามารถส่งต่อพบแพทย์เฉพาะทาง ที่โรงพยาบาลแม่ข่ายอย่างเป็นระบบอีกด้วย
***************************** 25 สิงหาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6188
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
|
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
สํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ โดย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ ประจําปี 2560 ระดับประเทศ (Research to Market Thailand : R2M 2017) ณ โรงแรมทีอาร์ ร็อคฮิลล์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2560 โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม ในการนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน ซึ่งมีรางวัลทั้งหมด 6 รางวัล ได้แก่รางวัลชนะเลิศ คือ ทีมชายสามหญิงหนึ่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย วัสดุปิดแผลที่ได้จากเซลลูโลสที่ผลิตจากแบคทีเรียผสมสารชีวภาพจากเชื้อแลกโตบาซิลลัส แรมโนซัส จีจี เอทีซีซี 53103 (Lactobacillus rhamnosus GG ATCC 53103)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม Pack for green มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ชื่อผลงานวิจัย สารชะลอการสุกของผลไม้
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม The Folks มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่อผลงานวิจัย แผ่นฟิล์มเส้นใยพรอพอลิสใช้ระงับเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งในช่องปาก
รางวัลชมเชย 3 รางวัล คือ ทีม Light มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย แผ่นแปะกระพุ้งแก้มที่มีนอร์ททริปไทลีนเป็นส่วนประกอบและเปคตินเป็นสารก่อฟิล์มยึดเกาะ ,ทีม Ideanity มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชื่อผลงานวิจัย ระบบนําความเย็นจากน้ําล้นของเครื่องผลิตน้ําแข็งกลับมาใช้ในการผลิตน้ําแข็ง และทีม Young Blood มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย สารลดโลหะหนักในอาหารทะเล
สําหรับโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ หรือ Research to Market (R2M) เป็นโครงการที่จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้มีการนําผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนา ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ โดยอาศัยกลไกและบริการของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ซึ่งจําเป็นที่จะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ของผลงานวิจัยดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและนําไปประยุกต์ใช้ โดยจะศึกษาความเหมาะสมของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมกับความต้องการของตลาดควบคู่กันไป รูปแบบการจัดกิจกรรม R2M คือ รับสมัครทีมตัวแทนนักศึกษาทีมละไม่เกิน 5 คน จับคู่ผลงานวิจัย เพื่อจัดทําเป็นแผนศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจประกวดเลือกสรรตัวแทนในระดับมหาวิทยาลัย ระดับภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ) เข้าสู่การแข่งขันระดับประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจากสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สอว.)
สําหรับการแข่งขันโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ ประจําปี 2561 ระดับประเทศ (Research to Market Thailand : R2M 2018) จะจัด ณ จ.เชียงใหม่ โดยมีอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) เป็นเจ้าภาพ
ข่าว/ภาพโดย : สํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโทร. (66) 2333 3942-3
เผยแพร่ข่าวโดย : นายภูษิต โพธิ์แสง
E-Mail : [email protected] Facebook : spaMOST
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
ก.วิทย์ จัดนวัตวณิชย์ 60 เด็ก มอ.คว้าชัยระดับประเทศ
สํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ โดย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ ประจําปี 2560 ระดับประเทศ (Research to Market Thailand : R2M 2017) ณ โรงแรมทีอาร์ ร็อคฮิลล์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2560 โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม ในการนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน ซึ่งมีรางวัลทั้งหมด 6 รางวัล ได้แก่รางวัลชนะเลิศ คือ ทีมชายสามหญิงหนึ่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย วัสดุปิดแผลที่ได้จากเซลลูโลสที่ผลิตจากแบคทีเรียผสมสารชีวภาพจากเชื้อแลกโตบาซิลลัส แรมโนซัส จีจี เอทีซีซี 53103 (Lactobacillus rhamnosus GG ATCC 53103)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม Pack for green มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ชื่อผลงานวิจัย สารชะลอการสุกของผลไม้
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม The Folks มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่อผลงานวิจัย แผ่นฟิล์มเส้นใยพรอพอลิสใช้ระงับเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งในช่องปาก
รางวัลชมเชย 3 รางวัล คือ ทีม Light มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย แผ่นแปะกระพุ้งแก้มที่มีนอร์ททริปไทลีนเป็นส่วนประกอบและเปคตินเป็นสารก่อฟิล์มยึดเกาะ ,ทีม Ideanity มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชื่อผลงานวิจัย ระบบนําความเย็นจากน้ําล้นของเครื่องผลิตน้ําแข็งกลับมาใช้ในการผลิตน้ําแข็ง และทีม Young Blood มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชื่อผลงานวิจัย สารลดโลหะหนักในอาหารทะเล
สําหรับโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ หรือ Research to Market (R2M) เป็นโครงการที่จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้มีการนําผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนา ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ โดยอาศัยกลไกและบริการของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ซึ่งจําเป็นที่จะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ของผลงานวิจัยดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและนําไปประยุกต์ใช้ โดยจะศึกษาความเหมาะสมของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมกับความต้องการของตลาดควบคู่กันไป รูปแบบการจัดกิจกรรม R2M คือ รับสมัครทีมตัวแทนนักศึกษาทีมละไม่เกิน 5 คน จับคู่ผลงานวิจัย เพื่อจัดทําเป็นแผนศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจประกวดเลือกสรรตัวแทนในระดับมหาวิทยาลัย ระดับภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ) เข้าสู่การแข่งขันระดับประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจากสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สอว.)
สําหรับการแข่งขันโครงการเส้นทางสู่นวัตวณิชย์ ประจําปี 2561 ระดับประเทศ (Research to Market Thailand : R2M 2018) จะจัด ณ จ.เชียงใหม่ โดยมีอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) เป็นเจ้าภาพ
ข่าว/ภาพโดย : สํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโทร. (66) 2333 3942-3
เผยแพร่ข่าวโดย : นายภูษิต โพธิ์แสง
E-Mail : [email protected] Facebook : spaMOST
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1844
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” คิกออฟโครงการ “พาณิชย์ลดราคา” ล็อต 4 นำสินค้าถูกสุดๆ ขาย 878 อำเภอ
|
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
“จุรินทร์” คิกออฟโครงการ “พาณิชย์ลดราคา” ล็อต 4 นําสินค้าถูกสุดๆ ขาย 878 อําเภอ
“จุรินทร์” คิกออฟเปิดตัวโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ล็อตที่ 4 รอบนี้จัดพิเศษลงลึกถึงระดับอําเภอ 878 อําเภอทั่วประเทศ ดีเดย์ 7 มิ.ย.นี้ เริ่มก่อน 45 จังหวัด 45 อําเภอ ก่อนจัดให้ครบทุกอําเภอภายใน 2 เดือน
“จุรินทร์”คิกออฟเปิดตัวโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ล็อตที่ 4 รอบนี้จัดพิเศษลงลึกถึงระดับอําเภอ 878 อําเภอทั่วประเทศ ดีเดย์ 7 มิ.ย.นี้ เริ่มก่อน 45 จังหวัด 45 อําเภอ ก่อนจัดให้ครบทุกอําเภอภายใน 2 เดือน เผยมีสินค้าพิเศษ 6 รายการสุดถูก ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ํามันปาล์ม ปลากระป๋อง น้ําตาลทราย และสินค้าอุปโภคบริโภค
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ระดับอําเภอ” (Lot 4) ร่วมกับนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ว่า เป็นการเริ่มต้นภารกิจสําคัญอีกครั้งหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ คือ การร่วมมือกับภาคเอกชนสนองตอบต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนผู้บริโภคชาวไทยทั่วทั้งประเทศ เพื่อลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน เป็นล็อตที่ 4 ซึ่งถือเป็นล็อตพิเศษที่ลงลึกไปถึงทุกอําเภอทั่วทั้งประเทศทั้ง 76 จังหวัด โดยจะมีการดําเนินการจัดสถานที่ลดราคาทั้ง 878 อําเภอ ภายในระยะเวลา 2 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ก.ค.2563
ทั้งนี้ การลดราคาจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 มิ.ย.2563 เริ่มต้นก่อนใน 45 จังหวัด 45 อําเภอทั่วทั้งประเทศ โดยสถานที่จัดงานอาจจะเป็นที่ที่ว่าการอําเภอ หรือศาลากลางจังหวัด หรือพื้นที่อื่นๆ ที่เหมาะสม โดยตนจะเดินทางไปเริ่มต้นที่อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดตัว พร้อมทั้งอีก 44 อําเภอ 45 จังหวัด จากนั้นจะทยอยดําเนินการให้ครบทุกอําเภอต่อไป
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินโครงการ ในล็อตที่ 1 ล็อตที่ 2 และล็อตที่ 3 มาระยะหนึ่งแล้ว มีสินค้าเข้าร่วมจํานวนถึง 4,845 รายการ มีห้างสรรพสินค้าทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเข้าร่วมลดราคาในทุกจังหวัด และหากรวมล็อตที่ 4 จะมีสินค้าลดราคาเพิ่มขึ้นเป็น 7,158 รายการ
สําหรับสินค้าเด่นที่จะมีการลดราคาเป็นพิเศษประกอบด้วย 6 รายการ ได้แก่ 1.ข้าวสาร น้ําหนัก 5 กิโลกรัม ยี่ห้อ อคส. ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จําหน่ายถุงละ 99 บาท 2.ไข่ไก่แพ็กละ 10 ฟองขาย ขายแพ็กละ 20 บาท หรือตกฟองละ 2 บาท ทั้งหมด 15 ล้านฟอง 3.น้ํามันปาล์มขวดขนาด 1 ลิตร ขายขวดละ 30 บาท 4.ปลากระป๋อง กระป๋องละ 10 บาท 5.น้ําตาลทราย กิโลกรัมละ 20 บาท และ 6.รายการอื่นๆ ซึ่งจะมีสินค้าอยู่ในแต่ละเต็นท์ 50-100 รายการด้วยกัน ลดราคาสูงสุด 68%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเปิดตัวโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ล็อตที่ 4 นี้ นายจุรินทร์ได้มีการประชุมผ่านระบบออนไลน์ Zoom conference เพื่อซักซ้อมการลดราคาช่วยประชาชนทุกอําเภอทั่วไทยกับพาณิชย์จังหวัด และผู้ประกอบการในต่างจังหวัด และได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายในหมู่บ้านด้วย เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่าจะจัดงานที่ไหน และจะได้ไปซื้อสินค้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” คิกออฟโครงการ “พาณิชย์ลดราคา” ล็อต 4 นำสินค้าถูกสุดๆ ขาย 878 อำเภอ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
“จุรินทร์” คิกออฟโครงการ “พาณิชย์ลดราคา” ล็อต 4 นําสินค้าถูกสุดๆ ขาย 878 อําเภอ
“จุรินทร์” คิกออฟเปิดตัวโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ล็อตที่ 4 รอบนี้จัดพิเศษลงลึกถึงระดับอําเภอ 878 อําเภอทั่วประเทศ ดีเดย์ 7 มิ.ย.นี้ เริ่มก่อน 45 จังหวัด 45 อําเภอ ก่อนจัดให้ครบทุกอําเภอภายใน 2 เดือน
“จุรินทร์”คิกออฟเปิดตัวโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ล็อตที่ 4 รอบนี้จัดพิเศษลงลึกถึงระดับอําเภอ 878 อําเภอทั่วประเทศ ดีเดย์ 7 มิ.ย.นี้ เริ่มก่อน 45 จังหวัด 45 อําเภอ ก่อนจัดให้ครบทุกอําเภอภายใน 2 เดือน เผยมีสินค้าพิเศษ 6 รายการสุดถูก ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ํามันปาล์ม ปลากระป๋อง น้ําตาลทราย และสินค้าอุปโภคบริโภค
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ระดับอําเภอ” (Lot 4) ร่วมกับนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ว่า เป็นการเริ่มต้นภารกิจสําคัญอีกครั้งหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ คือ การร่วมมือกับภาคเอกชนสนองตอบต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนผู้บริโภคชาวไทยทั่วทั้งประเทศ เพื่อลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน เป็นล็อตที่ 4 ซึ่งถือเป็นล็อตพิเศษที่ลงลึกไปถึงทุกอําเภอทั่วทั้งประเทศทั้ง 76 จังหวัด โดยจะมีการดําเนินการจัดสถานที่ลดราคาทั้ง 878 อําเภอ ภายในระยะเวลา 2 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ก.ค.2563
ทั้งนี้ การลดราคาจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 มิ.ย.2563 เริ่มต้นก่อนใน 45 จังหวัด 45 อําเภอทั่วทั้งประเทศ โดยสถานที่จัดงานอาจจะเป็นที่ที่ว่าการอําเภอ หรือศาลากลางจังหวัด หรือพื้นที่อื่นๆ ที่เหมาะสม โดยตนจะเดินทางไปเริ่มต้นที่อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดตัว พร้อมทั้งอีก 44 อําเภอ 45 จังหวัด จากนั้นจะทยอยดําเนินการให้ครบทุกอําเภอต่อไป
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินโครงการ ในล็อตที่ 1 ล็อตที่ 2 และล็อตที่ 3 มาระยะหนึ่งแล้ว มีสินค้าเข้าร่วมจํานวนถึง 4,845 รายการ มีห้างสรรพสินค้าทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเข้าร่วมลดราคาในทุกจังหวัด และหากรวมล็อตที่ 4 จะมีสินค้าลดราคาเพิ่มขึ้นเป็น 7,158 รายการ
สําหรับสินค้าเด่นที่จะมีการลดราคาเป็นพิเศษประกอบด้วย 6 รายการ ได้แก่ 1.ข้าวสาร น้ําหนัก 5 กิโลกรัม ยี่ห้อ อคส. ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จําหน่ายถุงละ 99 บาท 2.ไข่ไก่แพ็กละ 10 ฟองขาย ขายแพ็กละ 20 บาท หรือตกฟองละ 2 บาท ทั้งหมด 15 ล้านฟอง 3.น้ํามันปาล์มขวดขนาด 1 ลิตร ขายขวดละ 30 บาท 4.ปลากระป๋อง กระป๋องละ 10 บาท 5.น้ําตาลทราย กิโลกรัมละ 20 บาท และ 6.รายการอื่นๆ ซึ่งจะมีสินค้าอยู่ในแต่ละเต็นท์ 50-100 รายการด้วยกัน ลดราคาสูงสุด 68%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเปิดตัวโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน ล็อตที่ 4 นี้ นายจุรินทร์ได้มีการประชุมผ่านระบบออนไลน์ Zoom conference เพื่อซักซ้อมการลดราคาช่วยประชาชนทุกอําเภอทั่วไทยกับพาณิชย์จังหวัด และผู้ประกอบการในต่างจังหวัด และได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายในหมู่บ้านด้วย เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่าจะจัดงานที่ไหน และจะได้ไปซื้อสินค้า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31996
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
|
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
24 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์/ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จัดงาน “Talent Mobility for Food Inno vation 2017” อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 24 - 25 มีนาคม 2560 โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน
งาน Talent Mobility for Food Innovation 2017 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ยกระดับเมืองอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการวิจัยและพัฒนา" เพื่อสร้างการรับรู้และตระห นักถึงศักยภาพของบุคลากรด้านอาหารของไทย ส่งเสริมให้เกิดการเผยแพร่ผลงานวิจัยหรือเทคโนโลยีที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้านการทําวิจัยระหว่างผู้ประกอบการและนักวิจัย
ดร.อรรชกา กล่าวว่า การจัดงาน Talent Mobility for Food Innovation 2017 ถือเป็นเรื่องที่ดี และนับเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในมิติใหม่ ที่จะขยายฐานการใช้ประโยชน์จากบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เติบโตสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ นอกจากนี้การจัดให้มีเวทีพบกันระหว่างนักวิจัยจากภาครัฐกับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการลงนามความร่วมมือสนับสนุนทุนโครงการวิจัยระหว่าง สวทน. กับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) นั้น เป็นจุดเริ่มที่สําคัญในการส่งเสริมบุคลากรจากภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษา ไปช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคผลิตและบริการอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.อรรชกา กล่าวด้วยว่า นโยบายและภารกิจเร่งด่วนประการหนึ่งของรัฐบาลก็คือ การเร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรมอาหาร ตระหนักดีว่า การยกระดับขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของผู้ประกอบการนั้นเป็นกลไกสําคัญของการก้าวพ้นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นผู้ประกอบการกลุ่มสําคัญของประเทศ จึงได้บูรณาการเมืองนวัตกรรมอาหาร ร่วมกับโครงการทาเลนท์ โมบิลิตี้ และร่วมกับแหล่งทุนสนับสนุนนักวิจัยให้ทํางานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อเป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชนแบบครบวงจรต่อไป
ด้าน ผศ.ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ รักษาการรองเลขาธิการ สวทน. และซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร กล่าวว่า ปัจจัยที่สําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเมืองนวัตกรรมอาหาร คือ นักวิจัย และกลไกสนับสนุนให้นักวิจัยในภาครัฐและเอกชนได้ทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนบริษัทอาหารในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ และบริการครบวงจร นอกจากนี้ยังเน้นส่งเสริมการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานวิเคราะห์ทดสอบและความปลอดภัยด้านอาหาร โดยอาศัยกลไกประชารัฐ เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานวิจัย เพื่อสร้างนวัตกรรมอาหาร โดยระบบมีความปลอดภัยสูง เพื่อรักษาข้อมูลความลับและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยพัฒนาจากทั่วโลก มาร่วมวิจัยพัฒนากับบริษัทและหน่วยงานในเมืองนวัตกรรมอาหาร เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมอาหารด้วย
"ผู้ประกอบการที่สนใจค้นหานักวิจัยไปต่อยอดในอุตสาหกรรมอาหาร นักวิจัยที่ต้องการนําความรู้ด้านการวิจัยไปพัฒนาให้เป็นรูปธรรม จะได้รับการจุดประกายความคิดภายในงานนี้ นอกจากนี้ เมืองนวัตกรรมอาหารยังได้จัดทําเว็บไซต์ FI-Databank เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานนักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเว็บไซต์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม การวิจัยในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากผลงานวิจัย เพื่อร่วมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืนครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํายันปลายน้ํา" ดร.อัครวิทย์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รักษาการผู้อํานวยการด้านพัฒนากําลังคนสะเต็ม สวทน. กล่าวเสริมถึง นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยภาครัฐ เพื่อเข้าไปขับเคลื่อนและปฏิบัติงานเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน หรือ ทาเลนท์ โมบิลิตี้ ว่าสามารถช่วยปลดล็อกปัญหา ทําให้นักวิจัยและนักเรียนทุนมาทํางานในภาคเอกชนโดยสามารถนับอายุงานและการใช้ทุนได้ทั้งยังสามารถนําผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนไปใช้ในการขอตําแหน่งทางวิชาการได้ตามเกณฑ์การตกลงของต้นสังกัด ซึ่งปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายบุคลากรไปยังองค์กรเอกชนแล้วทั้งสิ้น 568 คน โดยมีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการ 177 บริษัท และมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมแล้วกว่า 21 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการข้อมูลนักวิจัยและหน่วยงานสนับสนุน การจัดพื้นที่ Matching Zone จํานวนกว่า 15 จุด เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ นักวิจัยจากภาครัฐ และหน่วยงานสนับสนุน ได้พบปะ แลกเปลี่ยน และเกิดความร่วมมือด้านการทําวิจัยระหว่างกัน พร้อมรับคําปรึกษาด้านขอรับการสนับสนุนแหล่งทุนวิจัยจากภาครัฐ ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นต้น
อีกกิจกรรมที่สําคัญคือ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "โครงการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพการวิจัยและพัฒนาของประเทศและการยกระดับความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม" ระหว่างสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สวทน.ซึ่งจะส่งผลให้มีแหล่งเงินทุนสนับสนุนร่วมหรือความร่วมมือเครือข่าย สําหรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรในโครงการ ทาเลนท์ โมบิลิตี้ เพิ่มเติม อีกทั้งผู้ประกอบการจะมีทางเลือกในการรับทุนวิจัยตามลักษณะงานวิจัยได้มากขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คณะทํางานโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร
โทรศัพท์ 02160 5432 ต่อ 703 (นิรมล) หรือ 081-7536119 (แพรประพันธ์)
Email:[email protected]/ Website: www.sti.or.th / Facebook:www.facebook/STIReform
ข่าว : นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ
ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
สวทน. โต้โผจัดงาน “Talent Mobility for Food Innovation 2017” เปิดเวทีเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร แบบครบวงจร
24 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์/ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จัดงาน “Talent Mobility for Food Inno vation 2017” อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 24 - 25 มีนาคม 2560 โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน
งาน Talent Mobility for Food Innovation 2017 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ยกระดับเมืองอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการวิจัยและพัฒนา" เพื่อสร้างการรับรู้และตระห นักถึงศักยภาพของบุคลากรด้านอาหารของไทย ส่งเสริมให้เกิดการเผยแพร่ผลงานวิจัยหรือเทคโนโลยีที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้านการทําวิจัยระหว่างผู้ประกอบการและนักวิจัย
ดร.อรรชกา กล่าวว่า การจัดงาน Talent Mobility for Food Innovation 2017 ถือเป็นเรื่องที่ดี และนับเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในมิติใหม่ ที่จะขยายฐานการใช้ประโยชน์จากบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เติบโตสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ นอกจากนี้การจัดให้มีเวทีพบกันระหว่างนักวิจัยจากภาครัฐกับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการลงนามความร่วมมือสนับสนุนทุนโครงการวิจัยระหว่าง สวทน. กับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) นั้น เป็นจุดเริ่มที่สําคัญในการส่งเสริมบุคลากรจากภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษา ไปช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคผลิตและบริการอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.อรรชกา กล่าวด้วยว่า นโยบายและภารกิจเร่งด่วนประการหนึ่งของรัฐบาลก็คือ การเร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรมอาหาร ตระหนักดีว่า การยกระดับขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของผู้ประกอบการนั้นเป็นกลไกสําคัญของการก้าวพ้นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นผู้ประกอบการกลุ่มสําคัญของประเทศ จึงได้บูรณาการเมืองนวัตกรรมอาหาร ร่วมกับโครงการทาเลนท์ โมบิลิตี้ และร่วมกับแหล่งทุนสนับสนุนนักวิจัยให้ทํางานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อเป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชนแบบครบวงจรต่อไป
ด้าน ผศ.ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ รักษาการรองเลขาธิการ สวทน. และซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร กล่าวว่า ปัจจัยที่สําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเมืองนวัตกรรมอาหาร คือ นักวิจัย และกลไกสนับสนุนให้นักวิจัยในภาครัฐและเอกชนได้ทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนบริษัทอาหารในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ และบริการครบวงจร นอกจากนี้ยังเน้นส่งเสริมการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานวิเคราะห์ทดสอบและความปลอดภัยด้านอาหาร โดยอาศัยกลไกประชารัฐ เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานวิจัย เพื่อสร้างนวัตกรรมอาหาร โดยระบบมีความปลอดภัยสูง เพื่อรักษาข้อมูลความลับและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยพัฒนาจากทั่วโลก มาร่วมวิจัยพัฒนากับบริษัทและหน่วยงานในเมืองนวัตกรรมอาหาร เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมอาหารด้วย
"ผู้ประกอบการที่สนใจค้นหานักวิจัยไปต่อยอดในอุตสาหกรรมอาหาร นักวิจัยที่ต้องการนําความรู้ด้านการวิจัยไปพัฒนาให้เป็นรูปธรรม จะได้รับการจุดประกายความคิดภายในงานนี้ นอกจากนี้ เมืองนวัตกรรมอาหารยังได้จัดทําเว็บไซต์ FI-Databank เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานนักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเว็บไซต์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม การวิจัยในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากผลงานวิจัย เพื่อร่วมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืนครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํายันปลายน้ํา" ดร.อัครวิทย์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รักษาการผู้อํานวยการด้านพัฒนากําลังคนสะเต็ม สวทน. กล่าวเสริมถึง นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยภาครัฐ เพื่อเข้าไปขับเคลื่อนและปฏิบัติงานเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน หรือ ทาเลนท์ โมบิลิตี้ ว่าสามารถช่วยปลดล็อกปัญหา ทําให้นักวิจัยและนักเรียนทุนมาทํางานในภาคเอกชนโดยสามารถนับอายุงานและการใช้ทุนได้ทั้งยังสามารถนําผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนไปใช้ในการขอตําแหน่งทางวิชาการได้ตามเกณฑ์การตกลงของต้นสังกัด ซึ่งปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายบุคลากรไปยังองค์กรเอกชนแล้วทั้งสิ้น 568 คน โดยมีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการ 177 บริษัท และมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมแล้วกว่า 21 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการข้อมูลนักวิจัยและหน่วยงานสนับสนุน การจัดพื้นที่ Matching Zone จํานวนกว่า 15 จุด เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ นักวิจัยจากภาครัฐ และหน่วยงานสนับสนุน ได้พบปะ แลกเปลี่ยน และเกิดความร่วมมือด้านการทําวิจัยระหว่างกัน พร้อมรับคําปรึกษาด้านขอรับการสนับสนุนแหล่งทุนวิจัยจากภาครัฐ ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นต้น
อีกกิจกรรมที่สําคัญคือ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "โครงการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพการวิจัยและพัฒนาของประเทศและการยกระดับความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม" ระหว่างสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สวทน.ซึ่งจะส่งผลให้มีแหล่งเงินทุนสนับสนุนร่วมหรือความร่วมมือเครือข่าย สําหรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรในโครงการ ทาเลนท์ โมบิลิตี้ เพิ่มเติม อีกทั้งผู้ประกอบการจะมีทางเลือกในการรับทุนวิจัยตามลักษณะงานวิจัยได้มากขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คณะทํางานโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร
โทรศัพท์ 02160 5432 ต่อ 703 (นิรมล) หรือ 081-7536119 (แพรประพันธ์)
Email:[email protected]/ Website: www.sti.or.th / Facebook:www.facebook/STIReform
ข่าว : นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ
ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2899
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือ ปตท. ขยายร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ
|
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
พาณิชย์จับมือ ปตท. ขยายร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ํามันทั่วประเทศ
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ “ประชารัฐ”
โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และได้เพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้า ที่จําเป็นต่อการครองชีพได้อย่างเหมาะสม ภายใต้แนวคิด “ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้” ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและผลักดันโครงการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ “ร้านอาหารหนูณิชย์” ของกรมการค้าภายใน ในวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในจึงจัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เพื่อกําหนดให้มีร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 600 สาขา โดยมีคุณสมบัติเบื้องต้นคือราคาไม่เกิน 35 บาท และอาหารอร่อย คุณภาพดี สะอาด ประหยัด
ทั้งนี้ ปตท. และกรมการค้าภายในได้ตกลงร่วมกันที่จะดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาการประกอบธุรกิจร้านอาหารปรุงสําเร็จ และจัดทําโฆษณา ประชาสัมพันธ์โครงการในสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ตามช่องทางของแต่ละฝ่ายเพื่อให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย โดยกรมการค้าภายในจะสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการในด้านต่างๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ที่มีตราสัญลักษณ์หนูณิชย์ และให้ห้างแม็คโคร ห้าง Modern Trade และร้านค้าส่งในพื้นที่สนับสนุนวัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีร้านอาหารเข้าร่วมโครงการหนูณิชย์ ทั่วประเทศ จํานวน 11,809 ราย เป็นเขตกรุงเทพฯ 3,780 ราย ภูมิภาค 8,012 ราย และร้านหนูณิชย์ ในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จํานวน 17 ราย/คัน (ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560) สําหรับเป้าหมาย ปี 2560 กระทรวงพาณิชย์จะเน้นพัฒนายกระดับคุณภาพร้านอาหารหนูณิชย์ โดยให้ความรู้ด้านเทคนิคการปรุงอาหาร การจัดตกแต่งร้าน การออกแบบเมนูอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ ในท้องถิ่นราคาประหยัดให้มีคุณภาพดีมากลดหลั่นตามลําดับเป็น A B C รวมทั้งจะมีการจัดประกวดเพื่อคัดเลือกร้านหนูณิชย์ติดดาวให้กับร้านที่มีความอร่อย สะอาดและประชาชนนิยมมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้จะขยายจํานวนร้านหนูณิชย์เพิ่มมากขึ้น โดยได้กําหนดเป้าหมายปี 2560 ให้มีร้านหนูณิชย์ ครบ 15,000 ร้าน และรถ Food Truck ไม่น้อยกว่า 35 คันต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือ ปตท. ขยายร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
พาณิชย์จับมือ ปตท. ขยายร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ํามันทั่วประเทศ
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ “ประชารัฐ”
โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และได้เพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้า ที่จําเป็นต่อการครองชีพได้อย่างเหมาะสม ภายใต้แนวคิด “ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้” ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและผลักดันโครงการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ “ร้านอาหารหนูณิชย์” ของกรมการค้าภายใน ในวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในจึงจัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เพื่อกําหนดให้มีร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 600 สาขา โดยมีคุณสมบัติเบื้องต้นคือราคาไม่เกิน 35 บาท และอาหารอร่อย คุณภาพดี สะอาด ประหยัด
ทั้งนี้ ปตท. และกรมการค้าภายในได้ตกลงร่วมกันที่จะดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาการประกอบธุรกิจร้านอาหารปรุงสําเร็จ และจัดทําโฆษณา ประชาสัมพันธ์โครงการในสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ตามช่องทางของแต่ละฝ่ายเพื่อให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย โดยกรมการค้าภายในจะสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการในด้านต่างๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ที่มีตราสัญลักษณ์หนูณิชย์ และให้ห้างแม็คโคร ห้าง Modern Trade และร้านค้าส่งในพื้นที่สนับสนุนวัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีร้านอาหารเข้าร่วมโครงการหนูณิชย์ ทั่วประเทศ จํานวน 11,809 ราย เป็นเขตกรุงเทพฯ 3,780 ราย ภูมิภาค 8,012 ราย และร้านหนูณิชย์ ในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จํานวน 17 ราย/คัน (ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560) สําหรับเป้าหมาย ปี 2560 กระทรวงพาณิชย์จะเน้นพัฒนายกระดับคุณภาพร้านอาหารหนูณิชย์ โดยให้ความรู้ด้านเทคนิคการปรุงอาหาร การจัดตกแต่งร้าน การออกแบบเมนูอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ ในท้องถิ่นราคาประหยัดให้มีคุณภาพดีมากลดหลั่นตามลําดับเป็น A B C รวมทั้งจะมีการจัดประกวดเพื่อคัดเลือกร้านหนูณิชย์ติดดาวให้กับร้านที่มีความอร่อย สะอาดและประชาชนนิยมมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้จะขยายจํานวนร้านหนูณิชย์เพิ่มมากขึ้น โดยได้กําหนดเป้าหมายปี 2560 ให้มีร้านหนูณิชย์ ครบ 15,000 ร้าน และรถ Food Truck ไม่น้อยกว่า 35 คันต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1991
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)”
วันนี้ (24 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)”
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการศึกษามีส่วนสําคัญอย่างมากที่จะช่วยสร้างบุคลากรทางด้านงานวิจัยและการประดิษฐ์ ส่งเสริมการสร้างบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน ซึ่งจะส่งผลให้งานทางด้านการวิจัยและการประดิษฐ์มีการพัฒนา โดยจะส่งผลทําให้เกิดเป็นกลไกสําคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกิดการสร้างองค์ความรู้ใหม่ แนวทางใหม่ ทฤษฎีใหม่ หรือชิ้นงานใหม่ ๆ โดยเป็นการสร้างฐานสติปัญญาในการพัฒนาให้กับประเทศได้ อีกทั้งยังสามารถนําไปสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งอาจเป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินโดยตรงก็ได้
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า การพัฒนาให้ผลงานที่เกิดจากการวิจัย และการประดิษฐ์คิดค้นได้ถูกนําไปพัฒนาปรับปรุงให้นําไปสู่นวัตกรรมซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic Benefits) ขึ้นมาได้ ซึ่งนโยบายรัฐบาล นําโดยพลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมด้วยผลงานวิจัยและนวัตกรรม และนําประเทศไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” อย่างเป็นรูปธรรม
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นในตอนท้ายของการปาฐกถาครั้งนี้ว่า มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้ผลงานวิจัย และผลงานประดิษฐ์คิดค้นสามารถนําไปสู่การพัฒนาก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าและคุณค่าอันเป็นประโยชน์กับประเทศผ่านรูปแบบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชัดเจนเช่น การพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัย การสนับสนุนการนําเสนอผลงานวิจัย ผลงานประดิษฐ์คิดค้นในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ ซึ่งจากผลการดําเนินงานที่ผ่านมา ปรากฎผลสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนของนวัตกรรมนั้นได้ให้ความสําคัญกับการผลักดันการวิจัยที่มีอยู่ ไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนอย่างจริงจัง อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ต่อไป
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบเกียรติบัตรรับรองวิทยากร “หลักสูตรการพัฒนานักวิจัย” ภาคบรรยาย ครั้งที่ 1/2560 พร้อมทั้งได้ร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก กับผู้ที่ได้รับเกียรติบัตรรับรองวิทยากร อีกด้วย
************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ รับมอบหมายจาก นรม. เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)”
วันนี้ (24 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” ภายในงาน “มหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)”
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการศึกษามีส่วนสําคัญอย่างมากที่จะช่วยสร้างบุคลากรทางด้านงานวิจัยและการประดิษฐ์ ส่งเสริมการสร้างบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน ซึ่งจะส่งผลให้งานทางด้านการวิจัยและการประดิษฐ์มีการพัฒนา โดยจะส่งผลทําให้เกิดเป็นกลไกสําคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกิดการสร้างองค์ความรู้ใหม่ แนวทางใหม่ ทฤษฎีใหม่ หรือชิ้นงานใหม่ ๆ โดยเป็นการสร้างฐานสติปัญญาในการพัฒนาให้กับประเทศได้ อีกทั้งยังสามารถนําไปสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งอาจเป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินโดยตรงก็ได้
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า การพัฒนาให้ผลงานที่เกิดจากการวิจัย และการประดิษฐ์คิดค้นได้ถูกนําไปพัฒนาปรับปรุงให้นําไปสู่นวัตกรรมซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic Benefits) ขึ้นมาได้ ซึ่งนโยบายรัฐบาล นําโดยพลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมด้วยผลงานวิจัยและนวัตกรรม และนําประเทศไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” อย่างเป็นรูปธรรม
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นในตอนท้ายของการปาฐกถาครั้งนี้ว่า มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้ผลงานวิจัย และผลงานประดิษฐ์คิดค้นสามารถนําไปสู่การพัฒนาก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าและคุณค่าอันเป็นประโยชน์กับประเทศผ่านรูปแบบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชัดเจนเช่น การพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัย การสนับสนุนการนําเสนอผลงานวิจัย ผลงานประดิษฐ์คิดค้นในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ ซึ่งจากผลการดําเนินงานที่ผ่านมา ปรากฎผลสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนของนวัตกรรมนั้นได้ให้ความสําคัญกับการผลักดันการวิจัยที่มีอยู่ ไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนอย่างจริงจัง อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ต่อไป
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบเกียรติบัตรรับรองวิทยากร “หลักสูตรการพัฒนานักวิจัย” ภาคบรรยาย ครั้งที่ 1/2560 พร้อมทั้งได้ร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก กับผู้ที่ได้รับเกียรติบัตรรับรองวิทยากร อีกด้วย
************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ รพ.จุฬาภรณ์ ในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี CAT
|
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ รพ.จุฬาภรณ์ ในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี CAT
กระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมแสดงความยินดีกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี ก้าวสู่ปีที่ 15 แห่งการจัดตั้งบริษัทฯ โดยมีคณะผู้บริหาร CAT ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้ร่วมกับ CAT ในการบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ อีกด้วย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ณ อาคารบริหาร 2 ชั้น 1 บมจ.กสท โทรคมนาคม สํานักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ รพ.จุฬาภรณ์ ในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี CAT
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ รพ.จุฬาภรณ์ ในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี CAT
กระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมแสดงความยินดีกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 14 ปี ก้าวสู่ปีที่ 15 แห่งการจัดตั้งบริษัทฯ โดยมีคณะผู้บริหาร CAT ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้ร่วมกับ CAT ในการบริจาคเงินเพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ อีกด้วย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ณ อาคารบริหาร 2 ชั้น 1 บมจ.กสท โทรคมนาคม สํานักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5973
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
|
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เนื่องจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอาการป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้นานกว่า ๑ เดือน ตนจึงได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเห็นตรงกันว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มีความเหมาะสม เพราะเคยดํารงตําแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ไพสิฐฯ มีความประสงค์ไปในทางเดียวกัน ยืนยันไม่มีข้อขัดแย้งหรือปัญหาใดๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงกรณีการแต่งตั้ง พันตํารวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เนื่องจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอาการป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้นานกว่า ๑ เดือน ตนจึงได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเห็นตรงกันว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มีความเหมาะสม เพราะเคยดํารงตําแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ไพสิฐฯ มีความประสงค์ไปในทางเดียวกัน ยืนยันไม่มีข้อขัดแย้งหรือปัญหาใดๆ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26710
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งผู้ตรวจราชการช่วยเหลือครอบครัวผอ.รพ.สต.เสียชีวิตที่ จ.กาญจนบุรี
|
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
สธ.ส่งผู้ตรวจราชการช่วยเหลือครอบครัวผอ.รพ.สต.เสียชีวิตที่ จ.กาญจนบุรี
กระทรวงสาธารณสุข มอบผู้ตรวจราชการกระทรวง ลงพื้นที่ให้กําลังใจ ดูแลช่วยเหลือครอบครัว และติดตามคดีการเสียชีวิตผู้อํานวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านปลายนาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
วันนี้ (23 มกราคม 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีผู้อํานวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านปลายนาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ถูกทําร้ายเสียชีวิตเมื่อวานนี้ (22 มกราคม 2561) ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับให้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ได้มอบให้นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่ให้กําลังใจครอบครัว มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น และดูแลช่วยเหลือเรื่องการจัดงานบําเพ็ญกุศล การจัดการสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งการจัดการเรื่องคดีร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เบื้องต้นได้รับรายงานผลชันสูตรคาดว่าเสียชีวิตจากการถูกวัตถุไม่มีคมทุบที่ศีรษะ และส่งศพตรวจสาเหตุการเสียชีวิตที่สถาบันนิติเวช รพ.ตํารวจแล้ว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สําหรับมาตรการความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทํางาน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล จะประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดูแล สร้างขวัญกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งผู้ตรวจราชการช่วยเหลือครอบครัวผอ.รพ.สต.เสียชีวิตที่ จ.กาญจนบุรี
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
สธ.ส่งผู้ตรวจราชการช่วยเหลือครอบครัวผอ.รพ.สต.เสียชีวิตที่ จ.กาญจนบุรี
กระทรวงสาธารณสุข มอบผู้ตรวจราชการกระทรวง ลงพื้นที่ให้กําลังใจ ดูแลช่วยเหลือครอบครัว และติดตามคดีการเสียชีวิตผู้อํานวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านปลายนาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
วันนี้ (23 มกราคม 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีผู้อํานวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านปลายนาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ถูกทําร้ายเสียชีวิตเมื่อวานนี้ (22 มกราคม 2561) ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับให้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ได้มอบให้นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่ให้กําลังใจครอบครัว มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น และดูแลช่วยเหลือเรื่องการจัดงานบําเพ็ญกุศล การจัดการสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งการจัดการเรื่องคดีร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เบื้องต้นได้รับรายงานผลชันสูตรคาดว่าเสียชีวิตจากการถูกวัตถุไม่มีคมทุบที่ศีรษะ และส่งศพตรวจสาเหตุการเสียชีวิตที่สถาบันนิติเวช รพ.ตํารวจแล้ว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สําหรับมาตรการความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทํางาน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล จะประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดูแล สร้างขวัญกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9555
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
|
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 โดยมี หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 ณ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
ข่าวทั้งหมด
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 โดยมี หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 ณ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กําหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึกอบรม การสืบสานวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางให้มีการยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากร หน่วยงาน สถานศึกษา และโครงการดีเด่นในส่วนกลาง และระดับเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ ทุ่มเท เสียสละ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เข้ารับรางวัล MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 แบ่งเป็นประเภทบุคคล ประเภทสถานศึกษา ประเภทหน่วยงาน และประเภทโครงการ จํานวน 5 สาขา ได้แก่
1. สาขาป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
2. สาขาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3. สาขาส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
4. สาขาอนุรักษ์มรดกไทย
5. สาขาเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ในปีการศึกษา 2558 มีผลงานที่เสนอทั้งสิ้น 4,440 ผลงาน ซึ่งผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ระดับดีเด่น จํานวน 2,578 ผลงาน
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดีกับผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากร ที่ได้รับรางวัลในวันนี้ พร้อมทั้งขอให้ครูอาจารย์ทุกท่านมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่าท้อแท้ หรือนําความเศร้าโศกเข้าใจกัดกินจิตใจจนไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ราชการ ครูนั้นเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ขอให้มุ่งมั่นทําหน้าที่ปลูกฝังเด็กและเยาวชนของชาติ ให้มีพื้นฐานทางความคิด มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดีตามพระราชดํารัสและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร
ปารัชญ์/สรุป
ธนภัทร/ภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 โดยมี หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 ณ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ปลัด ศธ. ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS
ข่าวทั้งหมด
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 โดยมี หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 ณ หอประชุมพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กําหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึกอบรม การสืบสานวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางให้มีการยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากร หน่วยงาน สถานศึกษา และโครงการดีเด่นในส่วนกลาง และระดับเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ ทุ่มเท เสียสละ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เข้ารับรางวัล MOE AWARDS ปีการศึกษา 2558 แบ่งเป็นประเภทบุคคล ประเภทสถานศึกษา ประเภทหน่วยงาน และประเภทโครงการ จํานวน 5 สาขา ได้แก่
1. สาขาป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
2. สาขาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3. สาขาส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
4. สาขาอนุรักษ์มรดกไทย
5. สาขาเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ในปีการศึกษา 2558 มีผลงานที่เสนอทั้งสิ้น 4,440 ผลงาน ซึ่งผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ระดับดีเด่น จํานวน 2,578 ผลงาน
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดีกับผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากร ที่ได้รับรางวัลในวันนี้ พร้อมทั้งขอให้ครูอาจารย์ทุกท่านมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่าท้อแท้ หรือนําความเศร้าโศกเข้าใจกัดกินจิตใจจนไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ราชการ ครูนั้นเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ขอให้มุ่งมั่นทําหน้าที่ปลูกฝังเด็กและเยาวชนของชาติ ให้มีพื้นฐานทางความคิด มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดีตามพระราชดํารัสและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร
ปารัชญ์/สรุป
ธนภัทร/ภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแนะนำรองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
|
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแนะนํารองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแนะนํารองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
วันนี้ (21 สิงหาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงแนะนํานางสาวรัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เน้นการสื่อสารรัฐบาลสองทาง ทั้งการทํางานของรัฐบาลและรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางสาวรัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดํารงตําแหน่งรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี วันนี้ขอโอกาสแนะนํา 3 นารีทีมโฆษก ฯ กับพี่น้องสื่อมวลชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกําชับเรื่องการแบ่งงานให้เน้นการทํางานภาพรวมของรัฐบาล เพราะหัวใจหลักคือการสื่อสารการทํางานของรัฐบาล โดยโฆษกรัฐบาลต้องเป็นกระบอกเสียงสื่อสารการทํางานของรัฐบาลไปยังพี่น้องประชาชน และเป็นกลไกหนึ่งในการรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรงทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนติดตามการแถลงข่าวของทีมโฆษกฯ มั่นใจจะไม่มีการแบ่งแยกการทํางานหรือผลงานของพรรคไหนไม่ว่าจะมาจากพรรคใดก็ตาม บางประเด็นโฆษกฯหรือรองโฆษกฯ ที่ดูแลเฉพาะกระทรวงจะช่วยกันเสริมในรายละเอียดอีกด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเป้าหมายการทํางานของโฆษกประจํารัฐบาลว่า เน้นความเป็นเอกภาพและการทํางานเพื่อประชาชน โดยพร้อมร่วมมือกันกับโฆษกประจํากระทรวงต่างๆ ให้การทํางานเกิดประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ มีภาพลักษณ์เชิงบวก นอกจากนี้ยังจะเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้คําตอบแก่ประชาชนให้มากที่สุด โดยจะเป็นสื่อกลางสะท้อนเสียงของประชาชนถึงรัฐบาลด้วย
จากนั้น นางสาวไตรสุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยที่ให้โอกาสทําหน้าที่ในฐานะรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี มีความภูมิใจและจะตั้งใจทํางานอย่างเต็มที่ เน้นความเป็นเอกภาพ สร้างผลงานเพื่อประชาชนอย่างดีที่สุด
โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีกําชับงานประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาล โดยอยากให้ประชาชนเข้าถึงการสื่อสารทุกช่องทาง โดยเฉพาะการขยายช่องทางการสื่อสารทั้งโซเชียลมีเดีย ช่องทางของทีวี สื่อออนไลน์ต่างๆ พร้อมกันนี้ กล่าวให้ติดตามรายการ“Government Weekly” เผยแพร่ในรูปแบบ Facebook live ทางเพจไทยคู่ฟ้า ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ศุกร์นี้ พร้อมพบกับโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกประชาสํานักนายกรัฐมนตรีมาเล่าเรื่องต่างๆ
หลังจากนั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบอย่างเป็นกันเอง
-----------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแนะนำรองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแนะนํารองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแนะนํารองโฆษกฯ ชูทีมเวิร์คเน้นสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
วันนี้ (21 สิงหาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงแนะนํานางสาวรัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เน้นการสื่อสารรัฐบาลสองทาง ทั้งการทํางานของรัฐบาลและรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางสาวรัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดํารงตําแหน่งรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี วันนี้ขอโอกาสแนะนํา 3 นารีทีมโฆษก ฯ กับพี่น้องสื่อมวลชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกําชับเรื่องการแบ่งงานให้เน้นการทํางานภาพรวมของรัฐบาล เพราะหัวใจหลักคือการสื่อสารการทํางานของรัฐบาล โดยโฆษกรัฐบาลต้องเป็นกระบอกเสียงสื่อสารการทํางานของรัฐบาลไปยังพี่น้องประชาชน และเป็นกลไกหนึ่งในการรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรงทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนติดตามการแถลงข่าวของทีมโฆษกฯ มั่นใจจะไม่มีการแบ่งแยกการทํางานหรือผลงานของพรรคไหนไม่ว่าจะมาจากพรรคใดก็ตาม บางประเด็นโฆษกฯหรือรองโฆษกฯ ที่ดูแลเฉพาะกระทรวงจะช่วยกันเสริมในรายละเอียดอีกด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเป้าหมายการทํางานของโฆษกประจํารัฐบาลว่า เน้นความเป็นเอกภาพและการทํางานเพื่อประชาชน โดยพร้อมร่วมมือกันกับโฆษกประจํากระทรวงต่างๆ ให้การทํางานเกิดประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ มีภาพลักษณ์เชิงบวก นอกจากนี้ยังจะเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้คําตอบแก่ประชาชนให้มากที่สุด โดยจะเป็นสื่อกลางสะท้อนเสียงของประชาชนถึงรัฐบาลด้วย
จากนั้น นางสาวไตรสุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยที่ให้โอกาสทําหน้าที่ในฐานะรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี มีความภูมิใจและจะตั้งใจทํางานอย่างเต็มที่ เน้นความเป็นเอกภาพ สร้างผลงานเพื่อประชาชนอย่างดีที่สุด
โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีกําชับงานประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาล โดยอยากให้ประชาชนเข้าถึงการสื่อสารทุกช่องทาง โดยเฉพาะการขยายช่องทางการสื่อสารทั้งโซเชียลมีเดีย ช่องทางของทีวี สื่อออนไลน์ต่างๆ พร้อมกันนี้ กล่าวให้ติดตามรายการ“Government Weekly” เผยแพร่ในรูปแบบ Facebook live ทางเพจไทยคู่ฟ้า ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ศุกร์นี้ พร้อมพบกับโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกประชาสํานักนายกรัฐมนตรีมาเล่าเรื่องต่างๆ
หลังจากนั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบอย่างเป็นกันเอง
-----------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22407
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ร่วมประชุมหารือกับ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัด ณ ห้อง Digital1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2562 โดยที่ประชุมมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.) รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เชิญชวนให้บริษัทฯ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Thailand Digital Valley ของ DEPA ซึ่งจะเป็นพื้นที่พัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคตต่อไป 2.) ขอให้ทางบริษัทฯ ร่วมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกระทรวงฯ รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทํางานของภาครัฐต่าง ๆ และเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง จึงขอความร่วมมือให้บริษัทฯ ร่วมกับกระทรวงฯ นําเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตร ซึ่งจะทําให้ประชาชนสามารถประยุกต์นําเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเกิดการแก้ปัญหาทั้ง ecosystem ได้ทั้งระบบ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือไมโครซอฟท์ ดึงเทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการค้าขายออนไลน์ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ร่วมประชุมหารือกับ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัด ณ ห้อง Digital1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2562 โดยที่ประชุมมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.) รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เชิญชวนให้บริษัทฯ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Thailand Digital Valley ของ DEPA ซึ่งจะเป็นพื้นที่พัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคตต่อไป 2.) ขอให้ทางบริษัทฯ ร่วมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกระทรวงฯ รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทํางานของภาครัฐต่าง ๆ และเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง จึงขอความร่วมมือให้บริษัทฯ ร่วมกับกระทรวงฯ นําเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตร ซึ่งจะทําให้ประชาชนสามารถประยุกต์นําเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเกิดการแก้ปัญหาทั้ง ecosystem ได้ทั้งระบบ
*******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22694
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
|
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
“สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.การอุดมศึกษาฯ ลงพื้นที่เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด mRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 อีก 4 สัปดาห์ก่อนทดสอบใน “คน” ประมาณเดือน ส.ค.นี้ ชี้กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 6 - 12 เดือน
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 พ.ค. 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมผู้บริหาร อว. ลงพื้นที่เตรียมการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้างานวิจัย “วัคซีนชนิด mRNA” ที่ศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงสาธารณสุข ที่กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ให้ทุนสนับสนุน ประสบความสําเร็จในระดับดีหลังทดสอบในหนูทดลองและกําลังเตรียมจะทดสอบในลิง
ทั้งนี้ ดร.สุวิทย์ กล่าวหลังตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยฯ และประชุมการดําเนินงานด้านวัคซีน ว่า การทดสอบในลิงจะฉีด 3 ครั้ง สําหรับวัคซีนที่ทดลองในลิง ใช้เทคโนโลยีใหม่ของการวิจัยวัคซีน คือ ใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ ชนิด mRNA โดยครั้งที่ 1 ฉีดวันที่ 23 พ.ค. เวลา 7.39 น. ครั้งที่ 2 นับไปอีก 4 สัปดาห์ ครั้ง 3 นับไปอีก 8 สัปดาห์ โดยหลังการทดสอบในเข็มที่ 2 น่าจะทําให้เห็นผลการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 โดยขั้นตอนการทดสอบในลิง ถือเป็นสัตว์ที่ตอบสนองกับวัคซีนได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด โดยการทดสอบในลิงจะดูเรื่องความปลอดภัย ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนเมื่อได้รับวัคซีน และการตอบสนอง คือ สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้จริง ก่อนที่จะทดสอบในมนุษย์ ซึ่งคาดว่าอีก 3 - 6 เดือนจะเริ่มทดสอบได้ ทั้งนี้ กระบวนการทดสอบในมนุษย์มี 3 ระยะ โดยพิจารณาใน 4 ประเด็นได้แก่ ความเป็นพิษ ความปลอดภัยต่อร่างกาย การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และประสิทธิผลของวัคซีน ซึ่งหากข้อมูลการทดสอบในลิงเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะเริ่มผลิตวัคซีนเพื่อทดสอบในคน ได้ในประมาณเดือน ส.ค.ปีนี้
“ สําหรับ เฟสที่ 1 ทดสอบในคนจะเริ่มจากหลักสิบคน เพื่อดูว่าวัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่ จากนั้น เฟสที่ 2 เพิ่มเป็นหลักร้อยคน เพื่อดูว่าสร้างภูมิคุ้มกันได้จริง และเฟสที่ 3 จะทดสอบในหลักหลายพันคน เพื่อดูว่าใช้ได้กับประชากรจํานวนมาก โดย วัคซีนชนิด mRNA ที่ประเทศไทยใช้ เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด มีข้อดีคือสามารถพัฒนาได้เร็ว และใช้ได้ผลโดยการใช้ปริมาณวัคซีนที่ไม่มากนัก” รมว.การอุดมศึกษา กล่าว
ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน เราได้มีการเจรจาและสั่งจองการผลิตวัคซีนกับโรงงานผลิต ซึ่งยุทธศาสตร์วัคซีนโรคโควิดนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาสําหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นการแก้ปัญหาโรคระบาดในระดับมนุษยชาติ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายการพัฒนาวัคซีนของไทยคือให้คนไทยมีวัคซีนใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศชั้นนําทั่วโลก โดยขณะนี้การทดลองวัคซีนส่วนใหญ่ในโลกนี้อยู่ในขั้นตอนที่ไล่เลี่ยกันกับประเทศไทย คือ การทดสอบในสัตว์ทดลอง มีเพียง 6 - 7 แบบที่ทดลองในคนในระยะที่ 1 - 2 แล้ว เช่น ของจีนและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น นอกจากนี้ สิ่งที่เราดําเนินการยังใช้หลายวิธีการพร้อมๆกัน โดยดําเนินยุทธศาสตร์ 3 แนวทางคู่ขนานกันคือ 1.การวิจัยและทดลองในประเทศไทย ให้สามารถสร้างวัคซีนใช้เอง เพื่อยืนบนขาของตัวเอง 2.การร่วมมือกับนานาชาติ และ 3.การเตรียมความพร้อมในการผลิตวัคซีนที่ผ่านการทดลองและพิสูจน์ว่าใช้ได้ผล เพื่อให้คนไทยได้ใช้อย่างทั่วถึง เพราะนายกรัฐมนตรี ให้นโยบายมาว่า คนไทยต้องมีวัคซีนใช้ในเวลาเดียวกับประเทศชั้นนําอื่นๆ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะพร้อมภายใน 6 - 12 เดือน
“ที่สําคัญ ขณะนี้ ศูนย์ไพรเมท วางแผนในระยะยาวคือการสร้างอาคารวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อทางอากาศ ซึ่งจะทําให้การวิจัยพัฒนาและการทดสอบวัคซีนมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ครอบคลุมโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ํา เหมือนอย่างในกรณีโรคโควิด-19” ดร.สุวิทย์ กล่าว
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
ดร.สุวิทย์ เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด MRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 ก่อนทดสอบกับ “คน” ในอีก 4 สัปดาห์
“สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.การอุดมศึกษาฯ ลงพื้นที่เดินหน้าทดสอบวัคซีนโควิด-19 โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด mRNA” ในลิง เผยรอฉีดเข็มที่ 2 อีก 4 สัปดาห์ก่อนทดสอบใน “คน” ประมาณเดือน ส.ค.นี้ ชี้กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 6 - 12 เดือน
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 พ.ค. 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมผู้บริหาร อว. ลงพื้นที่เตรียมการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้างานวิจัย “วัคซีนชนิด mRNA” ที่ศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงสาธารณสุข ที่กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ให้ทุนสนับสนุน ประสบความสําเร็จในระดับดีหลังทดสอบในหนูทดลองและกําลังเตรียมจะทดสอบในลิง
ทั้งนี้ ดร.สุวิทย์ กล่าวหลังตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยฯ และประชุมการดําเนินงานด้านวัคซีน ว่า การทดสอบในลิงจะฉีด 3 ครั้ง สําหรับวัคซีนที่ทดลองในลิง ใช้เทคโนโลยีใหม่ของการวิจัยวัคซีน คือ ใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ ชนิด mRNA โดยครั้งที่ 1 ฉีดวันที่ 23 พ.ค. เวลา 7.39 น. ครั้งที่ 2 นับไปอีก 4 สัปดาห์ ครั้ง 3 นับไปอีก 8 สัปดาห์ โดยหลังการทดสอบในเข็มที่ 2 น่าจะทําให้เห็นผลการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 โดยขั้นตอนการทดสอบในลิง ถือเป็นสัตว์ที่ตอบสนองกับวัคซีนได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด โดยการทดสอบในลิงจะดูเรื่องความปลอดภัย ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนเมื่อได้รับวัคซีน และการตอบสนอง คือ สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้จริง ก่อนที่จะทดสอบในมนุษย์ ซึ่งคาดว่าอีก 3 - 6 เดือนจะเริ่มทดสอบได้ ทั้งนี้ กระบวนการทดสอบในมนุษย์มี 3 ระยะ โดยพิจารณาใน 4 ประเด็นได้แก่ ความเป็นพิษ ความปลอดภัยต่อร่างกาย การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และประสิทธิผลของวัคซีน ซึ่งหากข้อมูลการทดสอบในลิงเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะเริ่มผลิตวัคซีนเพื่อทดสอบในคน ได้ในประมาณเดือน ส.ค.ปีนี้
“ สําหรับ เฟสที่ 1 ทดสอบในคนจะเริ่มจากหลักสิบคน เพื่อดูว่าวัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่ จากนั้น เฟสที่ 2 เพิ่มเป็นหลักร้อยคน เพื่อดูว่าสร้างภูมิคุ้มกันได้จริง และเฟสที่ 3 จะทดสอบในหลักหลายพันคน เพื่อดูว่าใช้ได้กับประชากรจํานวนมาก โดย วัคซีนชนิด mRNA ที่ประเทศไทยใช้ เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด มีข้อดีคือสามารถพัฒนาได้เร็ว และใช้ได้ผลโดยการใช้ปริมาณวัคซีนที่ไม่มากนัก” รมว.การอุดมศึกษา กล่าว
ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน เราได้มีการเจรจาและสั่งจองการผลิตวัคซีนกับโรงงานผลิต ซึ่งยุทธศาสตร์วัคซีนโรคโควิดนี้ไม่เพียงแก้ปัญหาสําหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นการแก้ปัญหาโรคระบาดในระดับมนุษยชาติ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายการพัฒนาวัคซีนของไทยคือให้คนไทยมีวัคซีนใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศชั้นนําทั่วโลก โดยขณะนี้การทดลองวัคซีนส่วนใหญ่ในโลกนี้อยู่ในขั้นตอนที่ไล่เลี่ยกันกับประเทศไทย คือ การทดสอบในสัตว์ทดลอง มีเพียง 6 - 7 แบบที่ทดลองในคนในระยะที่ 1 - 2 แล้ว เช่น ของจีนและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น นอกจากนี้ สิ่งที่เราดําเนินการยังใช้หลายวิธีการพร้อมๆกัน โดยดําเนินยุทธศาสตร์ 3 แนวทางคู่ขนานกันคือ 1.การวิจัยและทดลองในประเทศไทย ให้สามารถสร้างวัคซีนใช้เอง เพื่อยืนบนขาของตัวเอง 2.การร่วมมือกับนานาชาติ และ 3.การเตรียมความพร้อมในการผลิตวัคซีนที่ผ่านการทดลองและพิสูจน์ว่าใช้ได้ผล เพื่อให้คนไทยได้ใช้อย่างทั่วถึง เพราะนายกรัฐมนตรี ให้นโยบายมาว่า คนไทยต้องมีวัคซีนใช้ในเวลาเดียวกับประเทศชั้นนําอื่นๆ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะพร้อมภายใน 6 - 12 เดือน
“ที่สําคัญ ขณะนี้ ศูนย์ไพรเมท วางแผนในระยะยาวคือการสร้างอาคารวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อทางอากาศ ซึ่งจะทําให้การวิจัยพัฒนาและการทดสอบวัคซีนมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ครอบคลุมโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ํา เหมือนอย่างในกรณีโรคโควิด-19” ดร.สุวิทย์ กล่าว
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32078
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
ชี้แจงประเด็นการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน
ตามที่คอลัมน์ "ทันประเด็น" โดย กะบังลม หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 12 ตุลาคม 2560 เรียกร้องให้กรมสรรพากรชี้แจงกรณีการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนใน 2 กรณี
ตามที่คอลัมน์ "ทันประเด็น" โดย กะบังลม หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 12 ตุลาคม 2560 เรียกร้องให้กรมสรรพากรชี้แจงกรณีการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนใน 2 กรณี คือ
1. การยกเว้นภาษีทั้งหมดในการโอนที่ดินส่วนตัวเข้าบริษัทจากที่ต้องเสียภาษีร้อยละหกของมูลค่าที่ดิน มาเป็นการเก็บแค่ค่าธรรมเนียมการโอนแค่ร้อยละ 0.1 ภาษีของรัฐหายไปทันที 6 หมื่นล้านบาท
2. มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนในการให้นําเอาที่ดินมาตีมูลค่าทางการตลาดมาเป็นคํานวณต้นทุนค่าเสื่อมราคา ยิ่งทําให้รัฐสูญเสียเงินภาษีไปอีก 2 แสนล้านบาท ส่งผลให้การดําเนินการดังกล่าวภาครัฐต้องสูญเสียภาษีรวมถึง 2.6 แสนล้านบาท นั้น
กรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1. กรมสรรพากรได้ชี้แจง การออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ซึ่งออกตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560 ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร และสื่อสังคมออนไลน์ ตามเลขที่ข่าว ปชส. 3/2561 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาเปลี่ยนรูปแบบในการประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคล อันเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษี โดยได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) กําหนดให้ราคาของทรัพย์สินที่โอนประเภทที่ดินและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต้องโอนด้วยราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาต้นทุนการซื้อ แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า จากเดิมที่กําหนดให้ทรัพย์สิน ทุกประเภทให้โอนด้วยราคาตลาด
2. เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนรูปแบบเป็นนิติบุคคล กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ลดค่าธรรมเนียมในการโอนจากร้อยละ 2 ของราคาประเมิน ลงเหลือร้อยละ 0.01 ของราคาประเมิน ทั้งนี้ การออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) เป็นการกําหนดราคาโอนที่ดินที่ใช้เป็นทุนของนิติบุคคลที่ตนตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งประกาศดังกล่าวไม่ได้กําหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงฐานในการคํานวณค่าธรรมเนียมการโอนของกระทรวงมหาดไทย จึงมิได้ส่งผลกระทบต่อผลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการโอนของกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด
3. การอ้างว่า การกําหนดให้ตีมูลค่าที่ดินตามราคาตลาด ทําให้สามารถคํานวณต้นทุนค่าเสื่อมราคาได้มากและจะทําให้รัฐสูญเสียเงินภาษีนั้น ขอเรียนว่าทรัพย์สินประเภทที่ดิน ไม่มีการคํานวณค่าเสื่อมราคา และไม่สามารถนําค่าเสื่อมราคามาใช้เป็นรายจ่ายทางภาษีได้ ดังนั้น การกําหนดให้ทรัพย์สินประเภทที่ดินต้องโอนด้วยราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาต้นทุนการซื้อ แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่าตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) จึงไม่ส่งผลกระทบต่อภาษีสูญเสียกรณีการคํานวณค่าเสื่อมราคาที่ดิน
4. การดําเนินการแก้ไขประกาศอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าว มิได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ กลุ่มทุนใด แต่เพื่อทําให้การปฏิบัติตามกฎหมายมีความชัดเจน ลดข้อโต้แย้ง เป็นการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล อันเป็นการแสดงผลการประกอบการที่แท้จริงในการประกอบกิจการ รวมทั้งสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษีอีกด้วย
หากผู้เสียภาษีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
ชี้แจงประเด็นการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน
ตามที่คอลัมน์ "ทันประเด็น" โดย กะบังลม หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 12 ตุลาคม 2560 เรียกร้องให้กรมสรรพากรชี้แจงกรณีการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนใน 2 กรณี
ตามที่คอลัมน์ "ทันประเด็น" โดย กะบังลม หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ประจําวันที่ 12 ตุลาคม 2560 เรียกร้องให้กรมสรรพากรชี้แจงกรณีการยกเว้นภาษีจากการแก้ไขประกาศของกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนใน 2 กรณี คือ
1. การยกเว้นภาษีทั้งหมดในการโอนที่ดินส่วนตัวเข้าบริษัทจากที่ต้องเสียภาษีร้อยละหกของมูลค่าที่ดิน มาเป็นการเก็บแค่ค่าธรรมเนียมการโอนแค่ร้อยละ 0.1 ภาษีของรัฐหายไปทันที 6 หมื่นล้านบาท
2. มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนในการให้นําเอาที่ดินมาตีมูลค่าทางการตลาดมาเป็นคํานวณต้นทุนค่าเสื่อมราคา ยิ่งทําให้รัฐสูญเสียเงินภาษีไปอีก 2 แสนล้านบาท ส่งผลให้การดําเนินการดังกล่าวภาครัฐต้องสูญเสียภาษีรวมถึง 2.6 แสนล้านบาท นั้น
กรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1. กรมสรรพากรได้ชี้แจง การออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) และ (ฉบับที่ 5) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ซึ่งออกตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560 ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร และสื่อสังคมออนไลน์ ตามเลขที่ข่าว ปชส. 3/2561 ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาเปลี่ยนรูปแบบในการประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคล อันเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษี โดยได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) กําหนดให้ราคาของทรัพย์สินที่โอนประเภทที่ดินและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต้องโอนด้วยราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาต้นทุนการซื้อ แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า จากเดิมที่กําหนดให้ทรัพย์สิน ทุกประเภทให้โอนด้วยราคาตลาด
2. เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนรูปแบบเป็นนิติบุคคล กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ลดค่าธรรมเนียมในการโอนจากร้อยละ 2 ของราคาประเมิน ลงเหลือร้อยละ 0.01 ของราคาประเมิน ทั้งนี้ การออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) เป็นการกําหนดราคาโอนที่ดินที่ใช้เป็นทุนของนิติบุคคลที่ตนตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งประกาศดังกล่าวไม่ได้กําหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงฐานในการคํานวณค่าธรรมเนียมการโอนของกระทรวงมหาดไทย จึงมิได้ส่งผลกระทบต่อผลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการโอนของกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด
3. การอ้างว่า การกําหนดให้ตีมูลค่าที่ดินตามราคาตลาด ทําให้สามารถคํานวณต้นทุนค่าเสื่อมราคาได้มากและจะทําให้รัฐสูญเสียเงินภาษีนั้น ขอเรียนว่าทรัพย์สินประเภทที่ดิน ไม่มีการคํานวณค่าเสื่อมราคา และไม่สามารถนําค่าเสื่อมราคามาใช้เป็นรายจ่ายทางภาษีได้ ดังนั้น การกําหนดให้ทรัพย์สินประเภทที่ดินต้องโอนด้วยราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาต้นทุนการซื้อ แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่าตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) จึงไม่ส่งผลกระทบต่อภาษีสูญเสียกรณีการคํานวณค่าเสื่อมราคาที่ดิน
4. การดําเนินการแก้ไขประกาศอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าว มิได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ กลุ่มทุนใด แต่เพื่อทําให้การปฏิบัติตามกฎหมายมีความชัดเจน ลดข้อโต้แย้ง เป็นการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล อันเป็นการแสดงผลการประกอบการที่แท้จริงในการประกอบกิจการ รวมทั้งสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษีอีกด้วย
หากผู้เสียภาษีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7380
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนทุกรูปแบบ
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนทุกรูปแบบ
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าช่วยเหลือแรงงาน ผู้ประกันตน สั่งการสํานักงานประกันสังคมออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดภาวะพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย จนกระทั่งยกระดับสถานการณ์เป็นภาวะวิกฤต ตนได้สั่งการทุกหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน ให้วางมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งในส่วนของสํานักงานประกันสังคมมาตรการที่ออกมา และผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วคือ
1. การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และลูกจ้างมาตรา 33, 39
- ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 13,346,143 ราย
2. การขยายระยะเวลาการนําส่งเงินสมทบให้แก่นายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33, 39
- นายจ้างได้รับประโยชน์ 488,226 ราย
- ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับประโยชน์ 1,653,714 ราย
3. การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเพิ่มสิทธิไปถึง กรณีว่างงานเนื่องมาจากกรณีถูกเลิกจ้าง และลาออกเอง
4. การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน โดยขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท
5. การดูแลรักษา ให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการ เพิ่มสิทธิการรักษาแก่ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ โควิด-19 เท่าเทียมกับการรักษาทั้ง 3 กองทุน
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้ว เหลือเพียงกระบวนการบังคับใช้แต่จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พบว่าสถานการณ์แพร่กระจายของไวรัส ยังคงต่อเนื่อง ตนยังได้ปรับเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ตนได้ประชุมวางหลักการแก้กฎกระทรวงเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตน กําหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งในเรื่องนี้จะนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด
ในการนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กรณีการนําส่งเงินสมทบของสถานประกอบการ และผู้ประกันตน รวมทั้งการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรให้ปลอดภัย นายทศพลฯ ได้ชี้แจงว่า สํานักงานประกันสังคมมีช่องทางให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่สถานประกอบการ และผู้ประกันตน สามารถเข้าไปใช้บริการได้ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน www.sso.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนทุกรูปแบบ
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนทุกรูปแบบ
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าช่วยเหลือแรงงาน ผู้ประกันตน สั่งการสํานักงานประกันสังคมออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดภาวะพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย จนกระทั่งยกระดับสถานการณ์เป็นภาวะวิกฤต ตนได้สั่งการทุกหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน ให้วางมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งในส่วนของสํานักงานประกันสังคมมาตรการที่ออกมา และผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วคือ
1. การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และลูกจ้างมาตรา 33, 39
- ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 13,346,143 ราย
2. การขยายระยะเวลาการนําส่งเงินสมทบให้แก่นายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33, 39
- นายจ้างได้รับประโยชน์ 488,226 ราย
- ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับประโยชน์ 1,653,714 ราย
3. การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเพิ่มสิทธิไปถึง กรณีว่างงานเนื่องมาจากกรณีถูกเลิกจ้าง และลาออกเอง
4. การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน โดยขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท
5. การดูแลรักษา ให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการ เพิ่มสิทธิการรักษาแก่ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ โควิด-19 เท่าเทียมกับการรักษาทั้ง 3 กองทุน
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้ว เหลือเพียงกระบวนการบังคับใช้แต่จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พบว่าสถานการณ์แพร่กระจายของไวรัส ยังคงต่อเนื่อง ตนยังได้ปรับเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ตนได้ประชุมวางหลักการแก้กฎกระทรวงเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตน กําหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งในเรื่องนี้จะนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด
ในการนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กรณีการนําส่งเงินสมทบของสถานประกอบการ และผู้ประกันตน รวมทั้งการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรให้ปลอดภัย นายทศพลฯ ได้ชี้แจงว่า สํานักงานประกันสังคมมีช่องทางให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่สถานประกอบการ และผู้ประกันตน สามารถเข้าไปใช้บริการได้ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน www.sso.go.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ. เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
|
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
สธ. เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนกลาง พร้อมประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนกลาง พร้อมประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (2 ตุลาคม 2560) ได้ประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข(Operation Center : OC)ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี เพื่อเป็นศูนย์ประสานกับกรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาค สนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการร่วมการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กองแพทย์หลวง โรงพยาบาลเหล่าทัพ โรงพยาบาลสังกัด มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลเอกชน แพทยสภา มูลนิธิ และจิตอาสาในการจัดหน่วยแพทย์ดูแลผู้ร่วมพระราชพิธีและประชาชน ทั้งบริเวณมณฑลพิธี21จุด ริ้วขบวน พระเมรุมาศจําลอง-ซุ้มดอกไม้จันทน์113จุด เป็นจุดปฐมพยาบาล ทีมกู้ชีพขั้นพื้นฐานและขั้นสูง พร้อมรถพยาบาล ระบบการส่งต่อ-ส่งกลับผู้ป่วย รวมทั้งประสานงานกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของทุกจังหวัดตลอดงานพระราชพิธี
ทั้งนี้ คณะกรรมการอํานวยการของศูนย์ปฏิบัติการ(OC)ส่วนกลาง มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีทุกกรม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงทั้ง 12 เขตสุขภาพ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และผู้อํานวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉินเป็นเลขานุการ นอกจากนั้น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ สําหรับภารกิจของOCประกอบด้วย ภารกิจตระหนักรู้และประเมินสถานการณ์(SAT)ภารกิจยุทธศาสตร์และวิชาการ ภารกิจประสานงานและเลขานุการ ภารกิจสื่อสารความเสี่ยง ภารกิจปฏิบัติการ ภารกิจสํารองเวชภัณฑ์และส่งกําลังบํารุง ภารกิจการเงินและงบประมาณ และเทคโนโลยีการสื่อสาร
สําหรับการดําเนินงานภารกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด จะเปิดศูนย์ปฏิบัติการ(OC)ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้บัญชาการ รับผิดชอบการบริหารจัดการจัดทีมแพทย์ประจําจุดพระราชพิธี รถพยาบาล โรงพยาบาลรับ-ส่งต่อ และประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการอบรมจิตอาสาด้านการแพทย์ พร้อมให้การดูแลประชาชนที่มาร่วมงานพระราชพิธี และเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้ผู้บริหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อํานวยการโรงพยาบาลในสังกัด อยู่ประจําในพื้นที่ ช่วงระยะเวลางานพระราชพิธี ตั้งแต่วันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2560 นายแพทย์เจษฎากล่าว
***************************2 ตุลาคม 2560
แหล่งข่าวโดย »สํานักสารนิเทศ
[ตุลาคม จันทร์ 2,พ.ศ 2560 13:47:17]
พิมพ์ข่าว
ลิขสิทธิ์ โดย สํานักสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2553 © 2010 |
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ. เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
สธ. เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนกลาง พร้อมประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนกลาง พร้อมประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (2 ตุลาคม 2560) ได้ประชุมคณะทํางานเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข(Operation Center : OC)ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี เพื่อเป็นศูนย์ประสานกับกรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาค สนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการร่วมการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กองแพทย์หลวง โรงพยาบาลเหล่าทัพ โรงพยาบาลสังกัด มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลเอกชน แพทยสภา มูลนิธิ และจิตอาสาในการจัดหน่วยแพทย์ดูแลผู้ร่วมพระราชพิธีและประชาชน ทั้งบริเวณมณฑลพิธี21จุด ริ้วขบวน พระเมรุมาศจําลอง-ซุ้มดอกไม้จันทน์113จุด เป็นจุดปฐมพยาบาล ทีมกู้ชีพขั้นพื้นฐานและขั้นสูง พร้อมรถพยาบาล ระบบการส่งต่อ-ส่งกลับผู้ป่วย รวมทั้งประสานงานกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของทุกจังหวัดตลอดงานพระราชพิธี
ทั้งนี้ คณะกรรมการอํานวยการของศูนย์ปฏิบัติการ(OC)ส่วนกลาง มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีทุกกรม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงทั้ง 12 เขตสุขภาพ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และผู้อํานวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉินเป็นเลขานุการ นอกจากนั้น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ สําหรับภารกิจของOCประกอบด้วย ภารกิจตระหนักรู้และประเมินสถานการณ์(SAT)ภารกิจยุทธศาสตร์และวิชาการ ภารกิจประสานงานและเลขานุการ ภารกิจสื่อสารความเสี่ยง ภารกิจปฏิบัติการ ภารกิจสํารองเวชภัณฑ์และส่งกําลังบํารุง ภารกิจการเงินและงบประมาณ และเทคโนโลยีการสื่อสาร
สําหรับการดําเนินงานภารกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด จะเปิดศูนย์ปฏิบัติการ(OC)ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้บัญชาการ รับผิดชอบการบริหารจัดการจัดทีมแพทย์ประจําจุดพระราชพิธี รถพยาบาล โรงพยาบาลรับ-ส่งต่อ และประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการอบรมจิตอาสาด้านการแพทย์ พร้อมให้การดูแลประชาชนที่มาร่วมงานพระราชพิธี และเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้ผู้บริหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อํานวยการโรงพยาบาลในสังกัด อยู่ประจําในพื้นที่ ช่วงระยะเวลางานพระราชพิธี ตั้งแต่วันที่ 25 – 29 ตุลาคม 2560 นายแพทย์เจษฎากล่าว
***************************2 ตุลาคม 2560
แหล่งข่าวโดย »สํานักสารนิเทศ
[ตุลาคม จันทร์ 2,พ.ศ 2560 13:47:17]
พิมพ์ข่าว
ลิขสิทธิ์ โดย สํานักสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2553 © 2010 |
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7109
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
|
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
วันนี้ (4 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีเจ้าหน้าที่พบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจํานวนมาก ถูกนํามาทิ้งไว้บริเวณริมคลองน้ําในเขตตําบลดอนฉิมพลี อําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราว่า กําลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นการกระทําของกลุ่มบุคคลใด แต่ที่หน้าเป็นห่วงมากกว่าคือจะมีอาวุธอยู่ที่อื่นอีกหรือเปล่า ทั้งนี้ ที่เจ้าหน้าที่ที่ตรวจพบเป็นอาวุธล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
-------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด เผยเป็นล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
วันนี้ (4 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีเจ้าหน้าที่พบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจํานวนมาก ถูกนํามาทิ้งไว้บริเวณริมคลองน้ําในเขตตําบลดอนฉิมพลี อําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราว่า กําลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นการกระทําของกลุ่มบุคคลใด แต่ที่หน้าเป็นห่วงมากกว่าคือจะมีอาวุธอยู่ที่อื่นอีกหรือเปล่า ทั้งนี้ ที่เจ้าหน้าที่ที่ตรวจพบเป็นอาวุธล๊อตเดียวกับที่เคยจับกุมได้
-------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8530
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ เปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
|
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
รมว.สุริยะ เปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง The Seventh ASEAN Ministerial Meeting on Minerals (The 7th AMMin) ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (13 ธ.ค. 62) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง The Seventh ASEAN Ministerial Meeting on Minerals (The 7th AMMin) ซึ่งมีรัฐมนตรีและผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศและผู้แทนเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมการประชุม โดยมีนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมด้วย ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ
การประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียนครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับทราบความคืบหน้าของการดําเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือด้านแร่ธาตุอาเซียนจากที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุอาเซียน (The 19th ASEAN Senior Officials Meeting on Minerals : The 19th ASOMM)ซึ่งมีการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา และได้มีการพิจารณาผลความร่วมมือทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาข้อมูลด้านแร่ 2.การพัฒนาด้านแร่อย่างยั่งยืน 3.การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรในการพัฒนาด้านแร่ และ 4. การอํานวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนด้านแร่ ปัญหา และอุปสรรค อีกด้วย #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ เปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
รมว.สุริยะ เปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง The Seventh ASEAN Ministerial Meeting on Minerals (The 7th AMMin) ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (13 ธ.ค. 62) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง The Seventh ASEAN Ministerial Meeting on Minerals (The 7th AMMin) ซึ่งมีรัฐมนตรีและผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศและผู้แทนเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมการประชุม โดยมีนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมด้วย ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ
การประชุมรัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียนครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับทราบความคืบหน้าของการดําเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือด้านแร่ธาตุอาเซียนจากที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุอาเซียน (The 19th ASEAN Senior Officials Meeting on Minerals : The 19th ASOMM)ซึ่งมีการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา และได้มีการพิจารณาผลความร่วมมือทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาข้อมูลด้านแร่ 2.การพัฒนาด้านแร่อย่างยั่งยืน 3.การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรในการพัฒนาด้านแร่ และ 4. การอํานวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนด้านแร่ ปัญหา และอุปสรรค อีกด้วย #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีแร่ธาตุอาเซียน ครั้งที่ 7
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25213
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
|
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561
แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และพฤติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิภาพของประชาชน
จันทร์ที่ 10 ก.ย.61
แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และพฤติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิภาพของประชาชน รวมทั้งการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้มักลาออกระหว่างกระบวนการสอบสวนแล้วได้รับการเลือกตั้งกลับเข้าไปเป็นผู้บริหารท้องถิ่นอีก โดยสาระสําคัญของกฎหมายมุ่งป้องกันไม่เกิดปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น กําหนดให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องรอให้มีการร้องเรียน และหากพบการกระทําผิดจะถูกตัดสิทธิลงเลือกตั้ง 10 ปี รวมทั้งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในจัดการเลือกตั้ง เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561
แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และพฤติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิภาพของประชาชน
จันทร์ที่ 10 ก.ย.61
แก้กฎหมายการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่น 6 ฉบับ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และพฤติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและสวัสดิภาพของประชาชน รวมทั้งการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยผู้ที่มีพฤติกรรมเหล่านี้มักลาออกระหว่างกระบวนการสอบสวนแล้วได้รับการเลือกตั้งกลับเข้าไปเป็นผู้บริหารท้องถิ่นอีก โดยสาระสําคัญของกฎหมายมุ่งป้องกันไม่เกิดปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น กําหนดให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องรอให้มีการร้องเรียน และหากพบการกระทําผิดจะถูกตัดสิทธิลงเลือกตั้ง 10 ปี รวมทั้งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในจัดการเลือกตั้ง เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15281
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ไอแบงก์! ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ววันนี้ หลังพลิกทำกำไรกว่า 500 ล้านบาท ในรอบ 4 ปี ลั่น! พร้อมพัฒนาระบบ Mobile Banking เพิ่มความสะดวกสบายทางการเงินให้ลูกค้า
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
ไอแบงก์! ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ววันนี้ หลังพลิกทํากําไรกว่า 500 ล้านบาท ในรอบ 4 ปี ลั่น! พร้อมพัฒนาระบบ Mobile Banking เพิ่มความสะดวกสบายทางการเงินให้ลูกค้า
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ไอแบงก์พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากปัจจุบันฐานะทางการเงินของไอแบงก์ มีความแข็งแกร่งแล้วจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2561
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ เปิดเผยว่า (เมื่อช่วงเช้าวันนี้) วันที่ 17/01/2562 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ไอแบงก์พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากปัจจุบันฐานะทางการเงินของไอแบงก์ มีความแข็งแกร่งแล้วจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2561 และในปี 2561 ผลประกอบการมีกําไรที่สูงกว่าแผนงาน ถึงแม้ยังหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Finance: NPF) จะสูงกว่าแผนเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการทํากําไรครั้งแรกหลังจากประสบปัญหาการขาดทุนในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารมีการพัฒนากระบวนการและระบบงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการกํากับดูแล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในการสร้างความยั่งยืนทางการเงิน สู่การเติบโตของธนาคารในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2562 จึงได้มีมติให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ ออกจากแผนฟื้นฟูและออกจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร โดยมอบหมายให้ทางกระทรวงการคลังเป็นผู้กํากับดูแลการดําเนินงานของธนาคารตามปกติต่อไป
จากนี้ ธนาคารก็จะมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับการให้บริการทางการเงินเพื่อสร้างความทัดเทียมในการให้บริการทางการเงินและเพิ่มความสะดวกสบาย โดยยังคงให้ความสําคัญ และยึดมั่นในพันธกิจในการให้บริการลูกค้ามุสลิม รวมทั้งพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่าง Mobile Banking เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และสนองความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบันธนาคารมีผลการดําเนินงานกําไรสุทธิ เบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท (ณ สิ้นสุด วันที่ 31 ธ.ค. 2561) หลังจากขาดทุนมา 4 ปี ซึ่งหลังจากที่ธนาคารได้รับการเพิ่มทุนจํานวน 18,100 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย เมื่อช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ทําให้สัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ โดยกระทรวงการคลัง มีสัดส่วนที่ 99.59% ของจํานวนหุ้นทั้งหมด นายวุฒิชัย กล่าวทิ้งท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ไอแบงก์! ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ววันนี้ หลังพลิกทำกำไรกว่า 500 ล้านบาท ในรอบ 4 ปี ลั่น! พร้อมพัฒนาระบบ Mobile Banking เพิ่มความสะดวกสบายทางการเงินให้ลูกค้า
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
ไอแบงก์! ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ววันนี้ หลังพลิกทํากําไรกว่า 500 ล้านบาท ในรอบ 4 ปี ลั่น! พร้อมพัฒนาระบบ Mobile Banking เพิ่มความสะดวกสบายทางการเงินให้ลูกค้า
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ไอแบงก์พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากปัจจุบันฐานะทางการเงินของไอแบงก์ มีความแข็งแกร่งแล้วจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2561
นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ เปิดเผยว่า (เมื่อช่วงเช้าวันนี้) วันที่ 17/01/2562 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ไอแบงก์พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากปัจจุบันฐานะทางการเงินของไอแบงก์ มีความแข็งแกร่งแล้วจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2561 และในปี 2561 ผลประกอบการมีกําไรที่สูงกว่าแผนงาน ถึงแม้ยังหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Finance: NPF) จะสูงกว่าแผนเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการทํากําไรครั้งแรกหลังจากประสบปัญหาการขาดทุนในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารมีการพัฒนากระบวนการและระบบงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการกํากับดูแล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในการสร้างความยั่งยืนทางการเงิน สู่การเติบโตของธนาคารในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2562 จึงได้มีมติให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ ออกจากแผนฟื้นฟูและออกจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร โดยมอบหมายให้ทางกระทรวงการคลังเป็นผู้กํากับดูแลการดําเนินงานของธนาคารตามปกติต่อไป
จากนี้ ธนาคารก็จะมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับการให้บริการทางการเงินเพื่อสร้างความทัดเทียมในการให้บริการทางการเงินและเพิ่มความสะดวกสบาย โดยยังคงให้ความสําคัญ และยึดมั่นในพันธกิจในการให้บริการลูกค้ามุสลิม รวมทั้งพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่าง Mobile Banking เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และสนองความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบันธนาคารมีผลการดําเนินงานกําไรสุทธิ เบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท (ณ สิ้นสุด วันที่ 31 ธ.ค. 2561) หลังจากขาดทุนมา 4 ปี ซึ่งหลังจากที่ธนาคารได้รับการเพิ่มทุนจํานวน 18,100 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย เมื่อช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ทําให้สัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ โดยกระทรวงการคลัง มีสัดส่วนที่ 99.59% ของจํานวนหุ้นทั้งหมด นายวุฒิชัย กล่าวทิ้งท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18207
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยสํานักงานคณะกรรมการส่งวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (ศลช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และหน่วยส่งเสริมพัฒนาการวิจัย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเปิดรับข้อเสนอโครงการทุนบูรณาการเพื่อความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Thailand MED TECH Excellence Fund -TMTE Fund)เชิญชวนนักวิจัย นิติบุคคล ภาครัฐและภาคเอกชน ยื่นข้อเสนอโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุน ต้องเป็นโครงการที่เป็นผลงานที่เกิดจาก Medical Technology ที่ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ หรือบริการนวัตกรรมทางการแพทย์ ครอบคลุมถึงวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์และบริการทางการแพทย์และสุขภาพ หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการทางการแพทย์อื่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลผู้ป่วยตั้งแต่การป้องกัน (Prevention) การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) การค้นหาและวินิจฉัย (Diagnostic) การเยียวยา (Treatment) การฟื้นฟู (Rehabilitation) เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย การช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการพัฒนาสุขภาพ/คุณภาพชีวิตประชาชน โดยมุ่งเน้น
1. นวัตกรรมเพื่อสังคมผู้สูงอายุ หรือ
2. นวัตกรรมเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ ลดการนําเข้า และการพึ่งพาตัวเองของประเทศ หรือ
3. เป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ในระดับโลก หรือ
4. โครงการที่มีแนวโน้มผลิตสินค้า/บริการ ออกสู่ตลาดภายใน 3 - 5 ปี จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
เปิดรับสมัครวันนี้ - วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและยื่นข้อเสนอโครงการได้ที่ :https://www.tmtefund.orgสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทร. 02 610 5330-1
โครงการทุนบูรณาการเพื่อความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Thailand MED TECH Excellence Fund -TMTE Fund)เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย 7 หน่วยงานสําคัญ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (ศลช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และหน่วยส่งเสริมพัฒนาการวิจัย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ไทยและการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยในประเทศเพื่อทดแทนสินค้านําเข้า และผลิตนวัตกรรมใหม่สู่ตลาดโลก เพื่อยกระดับเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย การสนับสนุนของโครงการครอบคลุมตั้งแต่การให้ทุนวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ การให้คําปรึกษาและรับรองมาตรฐาน การจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญา การขึ้นทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ การสนับสนุนทางการตลาด ฯลฯ โดยนอกจากหน่วยงานสนับสนุนทุน (Funding) ยังมีการสนับสนุนจากหน่วยงานที่มีกลไกอื่นๆ (Non-Funding) ซึ่งจะช่วยประสานเชื่อมต่อในกระบวนการพัฒนางานวิจัยจนกระทั้งผลิตออกสู่ตลาด อาทิ องค์การอาหารและยา (อย.) สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิและกลุ่มวิชาชีพ ได้แก่ โครงการศูนย์วิจัยทางคลินิกแห่งชาติ (National Clinical Research Center หรือ NCRC) กลุ่มผู้ซื้อและผู้เกี่ยวข้องกับการใช้ ได้แก่ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ฯลฯ โครงการนี้จึงถือเป็นการบูรณาการรวมหน่วยงานต่างๆ เพื่อการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างครบวงจรนับตั้งแต่การพัฒนางานวิจัยจนถึงการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อสอดคล้องกับนโยบาย“เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”เปลี่ยนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม และเปลี่ยนวิธีการจาก “ทํามาก ได้น้อย” เป็น “ทําน้อย ได้มาก” ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
7 หน่วยงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยสํานักงานคณะกรรมการส่งวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (ศลช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และหน่วยส่งเสริมพัฒนาการวิจัย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเปิดรับข้อเสนอโครงการทุนบูรณาการเพื่อความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Thailand MED TECH Excellence Fund -TMTE Fund)เชิญชวนนักวิจัย นิติบุคคล ภาครัฐและภาคเอกชน ยื่นข้อเสนอโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุน ต้องเป็นโครงการที่เป็นผลงานที่เกิดจาก Medical Technology ที่ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ หรือบริการนวัตกรรมทางการแพทย์ ครอบคลุมถึงวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์และบริการทางการแพทย์และสุขภาพ หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการทางการแพทย์อื่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลผู้ป่วยตั้งแต่การป้องกัน (Prevention) การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) การค้นหาและวินิจฉัย (Diagnostic) การเยียวยา (Treatment) การฟื้นฟู (Rehabilitation) เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย การช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการพัฒนาสุขภาพ/คุณภาพชีวิตประชาชน โดยมุ่งเน้น
1. นวัตกรรมเพื่อสังคมผู้สูงอายุ หรือ
2. นวัตกรรมเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ ลดการนําเข้า และการพึ่งพาตัวเองของประเทศ หรือ
3. เป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ในระดับโลก หรือ
4. โครงการที่มีแนวโน้มผลิตสินค้า/บริการ ออกสู่ตลาดภายใน 3 - 5 ปี จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
เปิดรับสมัครวันนี้ - วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและยื่นข้อเสนอโครงการได้ที่ :https://www.tmtefund.orgสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทร. 02 610 5330-1
โครงการทุนบูรณาการเพื่อความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Thailand MED TECH Excellence Fund -TMTE Fund)เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย 7 หน่วยงานสําคัญ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (ศลช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และหน่วยส่งเสริมพัฒนาการวิจัย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนงานวิจัยด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ไทยและการประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยในประเทศเพื่อทดแทนสินค้านําเข้า และผลิตนวัตกรรมใหม่สู่ตลาดโลก เพื่อยกระดับเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย การสนับสนุนของโครงการครอบคลุมตั้งแต่การให้ทุนวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ การให้คําปรึกษาและรับรองมาตรฐาน การจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญา การขึ้นทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ การสนับสนุนทางการตลาด ฯลฯ โดยนอกจากหน่วยงานสนับสนุนทุน (Funding) ยังมีการสนับสนุนจากหน่วยงานที่มีกลไกอื่นๆ (Non-Funding) ซึ่งจะช่วยประสานเชื่อมต่อในกระบวนการพัฒนางานวิจัยจนกระทั้งผลิตออกสู่ตลาด อาทิ องค์การอาหารและยา (อย.) สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิและกลุ่มวิชาชีพ ได้แก่ โครงการศูนย์วิจัยทางคลินิกแห่งชาติ (National Clinical Research Center หรือ NCRC) กลุ่มผู้ซื้อและผู้เกี่ยวข้องกับการใช้ ได้แก่ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ฯลฯ โครงการนี้จึงถือเป็นการบูรณาการรวมหน่วยงานต่างๆ เพื่อการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างครบวงจรนับตั้งแต่การพัฒนางานวิจัยจนถึงการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อสอดคล้องกับนโยบาย“เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”เปลี่ยนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม และเปลี่ยนวิธีการจาก “ทํามาก ได้น้อย” เป็น “ทําน้อย ได้มาก” ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24227
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตำนานไทย ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายนนี้ ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายนนี้ ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย วันที่ 6-8 เมษายน2561 ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช สืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ
วันนี้ (3 เม.ย. 61 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย เพื่อร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช ส่งเสริม สืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายน 2561 ตั้งแต่เวลา 14.00 – 21.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดพิมพ์หนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์พระราชทานแก่ผู้มาร่วมพิธี พร้อมทั้ง ให้เชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ พระพุทธรูปสําคัญที่หล่อขึ้นเมื่อครั้งทรงผนวช ( 6 พฤศจิกายน 2521) มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการะและสรงน้ําเพื่อเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้จะได้จัดสถานที่ให้ประชาชนรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ในครอบครัว พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ ตลอดจนกิจกรรมและการแสดงต่าง ๆ เช่น การแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย ชิงโล่พระราชทาน การแสดง ชุด “เถลิงศกเพลามหาสงกรานต์” การสาธิตการปรุงเครื่องหอม การออกร้านจําหน่ายอาหารและขนมไทย ฯลฯ
จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ได้ตามวัน เวลาและสถานที่ดังกล่าวเพื่อร่วมกันสืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติไทย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตำนานไทย ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายนนี้ ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายนนี้ ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย วันที่ 6-8 เมษายน2561 ร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช สืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ
วันนี้ (3 เม.ย. 61 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ ตํานานไทย เพื่อร่วมกันปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช ส่งเสริม สืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ ระหว่างวันที่ 6-8 เมษายน 2561 ตั้งแต่เวลา 14.00 – 21.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดพิมพ์หนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์พระราชทานแก่ผู้มาร่วมพิธี พร้อมทั้ง ให้เชิญพระพุทธกําเนิดกาสาวพัตร์ พระพุทธรูปสําคัญที่หล่อขึ้นเมื่อครั้งทรงผนวช ( 6 พฤศจิกายน 2521) มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการะและสรงน้ําเพื่อเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้จะได้จัดสถานที่ให้ประชาชนรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ในครอบครัว พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ ตลอดจนกิจกรรมและการแสดงต่าง ๆ เช่น การแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย ชิงโล่พระราชทาน การแสดง ชุด “เถลิงศกเพลามหาสงกรานต์” การสาธิตการปรุงเครื่องหอม การออกร้านจําหน่ายอาหารและขนมไทย ฯลฯ
จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานเถลิงศกสุขสันต์มหาสงกรานต์ได้ตามวัน เวลาและสถานที่ดังกล่าวเพื่อร่วมกันสืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติไทย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Digital Thailand Big Bang 2017
|
วันอังคารที่ 26 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Digital Thailand Big Bang 2017
นายกรัฐมนตรี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานการจัดนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2017” ภายใต้แนวคิด “Digital Transformation Thailand โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) จัดขึ้น ซึ่งถือเป็นเวทีที่จะทําให้ผู้เข้าร่วมงานมองเห็นภาพการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ “ไทยแลนด์ 4.0”ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศไทยในทุกมิติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาส และเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เวทีโลก ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Digital Thailand Big Bang 2017
วันอังคารที่ 26 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Digital Thailand Big Bang 2017
นายกรัฐมนตรี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานการจัดนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2017” ภายใต้แนวคิด “Digital Transformation Thailand โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) จัดขึ้น ซึ่งถือเป็นเวทีที่จะทําให้ผู้เข้าร่วมงานมองเห็นภาพการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ “ไทยแลนด์ 4.0”ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศไทยในทุกมิติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาส และเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เวทีโลก ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6966
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สาร
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สาร
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สารพรุ่งนี้ ย้ําชัดขอรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยยึดหลักผู้บริโภคและเกษตรกรปลอดภัย
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายสุกรรณ์ สังขวรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย พร้อมด้วยผู้แทนสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด (อ้อย ปาล์มน้ํามัน ยางพารา มันสําปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล) เข้าพบเพื่อหารือในประเด็นความเดือดร้อนของเกษตรกร หากมีการยกเลิกการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรมทั้ง 3 ชนิด
(พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) และร่วมเสนอแนวทางในการหาทางเลือกอื่น ๆ มาทดแทนการใช้สารเคมีดังกล่าว ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ในวันนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับฟังเหตุผลและข้อเท็จจริงจากเกษตรกรแต่ละฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี (พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) ซึ่งจะได้นําข้อมูลดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายประกอบการพิจารณาต่อไป และมั่นใจตัวแทนข้าราชการระดับผู้บริหารทั้ง 5 คนของกระทรวงเกษตรฯ ที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายในวันพรุ่งนี้ (22 ตุลาคม 2562) พร้อมกันนี้ขอให้ลงมติอย่างเปิดเผยด้วยซึ่งภายหลังผลการลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายออกมาอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้ทุกด้านแล้ว ทั้งการหาสารทดแทน สารชีวภัณฑ์ และการลดต้นทุนการผลิต เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเสนอแผนการดําเนินงานมาแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ขอให้รอฟังมติที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเสียก่อน จากนั้นกระทรวงเกษตรฯ จะได้เร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งไม่ว่ามติที่ประชุมฯ จะออกมาอย่างไร ย่อมมีผลกระทบต่อเกษตรกรทั้งสิ้น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่แก้ปัญหาให้เกษตรกรโดยยึดหลักสําคัญว่าผู้บริโภคและเกษตรกรต้องปลอดภัย” รมว.กษ. กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สาร
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สาร
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมรับลูกหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติเรื่อง 3 สารพรุ่งนี้ ย้ําชัดขอรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยยึดหลักผู้บริโภคและเกษตรกรปลอดภัย
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายสุกรรณ์ สังขวรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย พร้อมด้วยผู้แทนสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด (อ้อย ปาล์มน้ํามัน ยางพารา มันสําปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล) เข้าพบเพื่อหารือในประเด็นความเดือดร้อนของเกษตรกร หากมีการยกเลิกการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรมทั้ง 3 ชนิด
(พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) และร่วมเสนอแนวทางในการหาทางเลือกอื่น ๆ มาทดแทนการใช้สารเคมีดังกล่าว ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ในวันนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับฟังเหตุผลและข้อเท็จจริงจากเกษตรกรแต่ละฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี (พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส) ซึ่งจะได้นําข้อมูลดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายประกอบการพิจารณาต่อไป และมั่นใจตัวแทนข้าราชการระดับผู้บริหารทั้ง 5 คนของกระทรวงเกษตรฯ ที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายในวันพรุ่งนี้ (22 ตุลาคม 2562) พร้อมกันนี้ขอให้ลงมติอย่างเปิดเผยด้วยซึ่งภายหลังผลการลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายออกมาอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้ทุกด้านแล้ว ทั้งการหาสารทดแทน สารชีวภัณฑ์ และการลดต้นทุนการผลิต เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเสนอแผนการดําเนินงานมาแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ขอให้รอฟังมติที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเสียก่อน จากนั้นกระทรวงเกษตรฯ จะได้เร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งไม่ว่ามติที่ประชุมฯ จะออกมาอย่างไร ย่อมมีผลกระทบต่อเกษตรกรทั้งสิ้น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่แก้ปัญหาให้เกษตรกรโดยยึดหลักสําคัญว่าผู้บริโภคและเกษตรกรต้องปลอดภัย” รมว.กษ. กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23962
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EOD Robot
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
EOD Robot
วันที่ 28 มกราคม 2563
เป็นหุ่นยนต์ตรวจหาและเก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อทดแทนความเสี่ยงด้านการสูญเสียหรือบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่โดยราคาต่อ 1 หน่วยการผลิตประมาณ 300,000 บาท ทั้งนี้ หุ่นยนต์สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกู้และทําลายระเบิด อาทิ เครื่องฉีดน้ํารแงดันสูงสําหรับการฉีดพ่นใส่วัตถุต้องสงสัยเพื่อให้เกิดการลัดวงจรของวัตถุระเบิด
28 ม.ค. 63 เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech)
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําเสนอผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อาทิเช่น หุ่นยนต์กู้ภัยและระบบทําแผนที่สามมิติ หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด แอปพลิเคชันติดตามรถโดยสารประจําทางแบบเรียลไทม์ และ Container Truck Gate Automation หรือระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์และป้ายทะเบียนรถบรรทุกอัตโนมัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด พร้อมเสนอว่า อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการงานกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) เพื่อให้ประสิทธิภาพและอํานวยความสะดวกต่อประชาชนมากเพิ่มขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EOD Robot
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
EOD Robot
วันที่ 28 มกราคม 2563
เป็นหุ่นยนต์ตรวจหาและเก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อทดแทนความเสี่ยงด้านการสูญเสียหรือบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่โดยราคาต่อ 1 หน่วยการผลิตประมาณ 300,000 บาท ทั้งนี้ หุ่นยนต์สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกู้และทําลายระเบิด อาทิ เครื่องฉีดน้ํารแงดันสูงสําหรับการฉีดพ่นใส่วัตถุต้องสงสัยเพื่อให้เกิดการลัดวงจรของวัตถุระเบิด
28 ม.ค. 63 เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech)
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําเสนอผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อาทิเช่น หุ่นยนต์กู้ภัยและระบบทําแผนที่สามมิติ หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด แอปพลิเคชันติดตามรถโดยสารประจําทางแบบเรียลไทม์ และ Container Truck Gate Automation หรือระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์และป้ายทะเบียนรถบรรทุกอัตโนมัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด พร้อมเสนอว่า อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการงานกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) เพื่อให้ประสิทธิภาพและอํานวยความสะดวกต่อประชาชนมากเพิ่มขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33774
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทำสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
|
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทําสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
รัฐบาลไทยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับบริษัท อาลีบาบากรุ๊ป เอกชนรายใหญ่ของจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยในท้องถิ่นชุมชนให้สามารถเปิดช่องทางการค้าขายแห่งใหม่บนระบบออนไลน์ได้
อังคารที่ 13 พ.ย.61
ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทําสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลไทยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับบริษัท อาลีบาบากรุ๊ป เอกชนรายใหญ่ของจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยในท้องถิ่นชุมชนให้สามารถเปิดช่องทางการค้าขายแห่งใหม่บนระบบออนไลน์ได้ รวมถึงช่วยรับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐของไทยไปเรียนรู้ผ่านศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาธุรกิจ หรือ Taobao Village Model ขณะที่ไทยได้ส่งสินค้าเกษตรไปยังตลาดจีนและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย โดยในปีหน้าผู้แทนบริษัทอาลีบาบาจะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเจรจาซื้อขาย คัดเลือกสินค้า โดยเฉพาะผลไม้ไทยไปจัดจําหน่ายในเหอหม่าซุปเปอร์ ทั้งในร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทำสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทําสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
รัฐบาลไทยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับบริษัท อาลีบาบากรุ๊ป เอกชนรายใหญ่ของจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยในท้องถิ่นชุมชนให้สามารถเปิดช่องทางการค้าขายแห่งใหม่บนระบบออนไลน์ได้
อังคารที่ 13 พ.ย.61
ไทย-จีน ขยายความร่วมมือ เตรียมทําสัญญาส่งผลไม้ขายออนไลน์
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลไทยขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับบริษัท อาลีบาบากรุ๊ป เอกชนรายใหญ่ของจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยในท้องถิ่นชุมชนให้สามารถเปิดช่องทางการค้าขายแห่งใหม่บนระบบออนไลน์ได้ รวมถึงช่วยรับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐของไทยไปเรียนรู้ผ่านศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาธุรกิจ หรือ Taobao Village Model ขณะที่ไทยได้ส่งสินค้าเกษตรไปยังตลาดจีนและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย โดยในปีหน้าผู้แทนบริษัทอาลีบาบาจะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเจรจาซื้อขาย คัดเลือกสินค้า โดยเฉพาะผลไม้ไทยไปจัดจําหน่ายในเหอหม่าซุปเปอร์ ทั้งในร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16749
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
|
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
ในวันจันทร์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี โดยมีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี ผู้บัญชาการเรือนจํากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ
ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้สอบถามถึงการดําเนินงานของศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี และเรือนจํากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งด้านความเป็นอยู่ การศึกษา การฝึกวิชาชีพ และโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ที่ให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ได้ให้กําลังใจกับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อให้การดูแลเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ที่ก้าวพลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี
ในวันจันทร์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี โดยมีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี ผู้บัญชาการเรือนจํากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ
ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้สอบถามถึงการดําเนินงานของศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชน เขต ๘ สุราษฎร์ธานี และเรือนจํากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งด้านความเป็นอยู่ การศึกษา การฝึกวิชาชีพ และโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ที่ให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ได้ให้กําลังใจกับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อให้การดูแลเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ที่ก้าวพลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25991
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
|
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงและให้ความสนใจกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งพื้นฐานคนไทยเป็นคนมีจิตใจเมตตา และรักสัตว์ แต่บางคนขาดการดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงอย่างถูกต้อง บางคนปล่อยปละละเลยไม่สนใจการฉีดวัคซีน ทําให้สัตว์เลี้ยงหนีออกไปสัมผัสกับสุนัขจรจัดที่ติดเชื้อส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่ง ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ที่มีเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ดําเนินการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค หากโดนสัตว์เลี้ยงกัดจะต้องรู้จักวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง รวมทั้งควบคุมสุนัขของตนเองไม่ให้สร้างความเดือดร้อนในต่อสาธารณะ ส่วนในกลุ่มสัตว์เร่ร่อน หรือสุนัขจรจัด ได้กําชับให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล โดยจะต้องดําเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การทําหมัน การฉีดวัคซีนป้องกัน เพื่อให้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าลดลง แต่ห้ามนําไปฆ่าทิ้ง
-------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งป้องกันแก้ไข
วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงและให้ความสนใจกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งพื้นฐานคนไทยเป็นคนมีจิตใจเมตตา และรักสัตว์ แต่บางคนขาดการดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงอย่างถูกต้อง บางคนปล่อยปละละเลยไม่สนใจการฉีดวัคซีน ทําให้สัตว์เลี้ยงหนีออกไปสัมผัสกับสุนัขจรจัดที่ติดเชื้อส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่ง ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ที่มีเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ดําเนินการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค หากโดนสัตว์เลี้ยงกัดจะต้องรู้จักวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง รวมทั้งควบคุมสุนัขของตนเองไม่ให้สร้างความเดือดร้อนในต่อสาธารณะ ส่วนในกลุ่มสัตว์เร่ร่อน หรือสุนัขจรจัด ได้กําชับให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล โดยจะต้องดําเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การทําหมัน การฉีดวัคซีนป้องกัน เพื่อให้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าลดลง แต่ห้ามนําไปฆ่าทิ้ง
-------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563
2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
วันนี้ (13 ส.ค. 63) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย แถลงข่าว ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงความก้าวหน้าของโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 10,300 ล้านบาทโดยจากข้อมูลของกรมประมงล่าสุด (10 ส.ค.63) มีชาวประมงที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ จาก 22 จังหวัดชายทะเล จํานวน 2,601 ราย จํานวนเรือประมง 3,129 ลํา รวมวงเงินสินเชื่อราว 4,204 ล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมรับเอกสารขอกู้จากชาวประมงผู้ที่มีเรือขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอสได้ตั่งแต่วันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา และ ธนาคารออมสินพร้อมรับเอกสารขอกู้จากชาวประมงผู้ที่มีเรือขนาดมากกว่ากว่า 60 ตันกรอสได้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมนี้
สําหรับรายละเอียดนั้น นายอลงกรณ์ ได้เปิดเผยว่า กรมประมงได้ดําเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โดยเปิดรับสมัครผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะเปิดรับสมัครต่อเนื่องจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2564นั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 10 ส.ค. 63 มีผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งเป็นเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส ขอกู้ผ่านธนาคาร ธ.ก.ส. จํานวน 2,310 ราย เรือ 2,702 ลํา วงเงินราว 2,434 ล้านบาท และเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอส ขึ้นไป ขอกู้ผ่านธนาคารออมสิน จํานวน 291 ราย เรือ 427 ลํา วงเงินราว 1,770 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ นายอลงกรณ์ ได้มอบหมายให้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ โดยกรมประมงร่วมหารือกับ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างความเข้าใจ จัดทําฐานข้อมูลรายชื่อผู้ยื่นคําขอเข้าร่วมโครงการฯ จัดส่งให้แก่ธนาคาร ซึ่งขณะนี้ได้จัดส่งข้อมูลให้แก่ธนาคารทั้ง 2 แห่งแล้ว ส่วนข้อมูลที่ยื่นเข้ามาใหม่ สําหรับชาวประมงที่ได้ยื่นความต้องการเข้ามาใหม่เพิ่มเติม ทางกรมประมงจะเร่งดําเนินการส่งรายชื่อให้แก่ธนาคารภายในวันจันทร์ของสัปดาห์ถัดไปเพื่อเร่งดําเนินการอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ชาวประมง เพื่อการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการขับเคลื่อนฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพธุรกิจประมงที่ซบเซา และต้องผ่านพ้นวิกฤตินานาปการ สามารถกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ฟื้นฟูประเทศไทยหลังCOVID-19
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563
2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
2 ธนาคารพร้อมปล่อยกู้โครงการสินเชื่อประมง 10,300 ล้านบาท
วันนี้ (13 ส.ค. 63) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย แถลงข่าว ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงความก้าวหน้าของโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 10,300 ล้านบาทโดยจากข้อมูลของกรมประมงล่าสุด (10 ส.ค.63) มีชาวประมงที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ จาก 22 จังหวัดชายทะเล จํานวน 2,601 ราย จํานวนเรือประมง 3,129 ลํา รวมวงเงินสินเชื่อราว 4,204 ล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมรับเอกสารขอกู้จากชาวประมงผู้ที่มีเรือขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอสได้ตั่งแต่วันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา และ ธนาคารออมสินพร้อมรับเอกสารขอกู้จากชาวประมงผู้ที่มีเรือขนาดมากกว่ากว่า 60 ตันกรอสได้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมนี้
สําหรับรายละเอียดนั้น นายอลงกรณ์ ได้เปิดเผยว่า กรมประมงได้ดําเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โดยเปิดรับสมัครผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะเปิดรับสมัครต่อเนื่องจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2564นั้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 10 ส.ค. 63 มีผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งเป็นเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส ขอกู้ผ่านธนาคาร ธ.ก.ส. จํานวน 2,310 ราย เรือ 2,702 ลํา วงเงินราว 2,434 ล้านบาท และเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอส ขึ้นไป ขอกู้ผ่านธนาคารออมสิน จํานวน 291 ราย เรือ 427 ลํา วงเงินราว 1,770 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ นายอลงกรณ์ ได้มอบหมายให้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ โดยกรมประมงร่วมหารือกับ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างความเข้าใจ จัดทําฐานข้อมูลรายชื่อผู้ยื่นคําขอเข้าร่วมโครงการฯ จัดส่งให้แก่ธนาคาร ซึ่งขณะนี้ได้จัดส่งข้อมูลให้แก่ธนาคารทั้ง 2 แห่งแล้ว ส่วนข้อมูลที่ยื่นเข้ามาใหม่ สําหรับชาวประมงที่ได้ยื่นความต้องการเข้ามาใหม่เพิ่มเติม ทางกรมประมงจะเร่งดําเนินการส่งรายชื่อให้แก่ธนาคารภายในวันจันทร์ของสัปดาห์ถัดไปเพื่อเร่งดําเนินการอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ชาวประมง เพื่อการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการขับเคลื่อนฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพธุรกิจประมงที่ซบเซา และต้องผ่านพ้นวิกฤตินานาปการ สามารถกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ฟื้นฟูประเทศไทยหลังCOVID-19
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34167
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 รุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ด้วย ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ’ ผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ Smart City
|
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 รุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ด้วย ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ’ ผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ Smart City
‘ประตูสู่รัฐ’ แบบไม่ต้องรอติดต่อเวลาราชการ เพียงบัตรประชาชนใบเดียว (Smart Card)
วันนี้ (21 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ โรงแรมเอวานี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 โดยนายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และตัวแทนคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานฯ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand” ว่า นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเข้าสู่มิติใหม่ของการติดต่อราชการ เร่งพัฒนาบริการอัจฉริยะภาครัฐสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมจุดประกายความสําเร็จ พร้อม “หนุน” จังหวัดขอนแก่น ด้วยการสนับสนุนความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับงานบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชน สมกับที่เป็น Smart City จังหวัดแรกของภาคอีสาน พร้อมขยายจุดติดตั้ง ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ หรือ Government Smart Kiosk’ หนึ่งในบริการสาคัญภายใต้โครงการ ‘GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสาหรับประชาชน’ เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็ว เปิด ‘ประตูสู่รัฐ’ แบบไม่ต้องรอติดต่อเวลาราชการ เพียงบัตรประชาชนใบเดียว (Smart Card) สามารถนํามาใช้บริการที่ตู้ ก็รู้ทุกสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคลได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและการดาเนินงานระหว่างหน่วยงานร่วมกัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGA (อีจีเอ) และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จากัด กรมวิชาการเกษตร และสานักงานประกันสังคม จึงได้จัดงานสัมมนา“GovChannel Roadshow 2017 : Digital Local Government ขับเคลื่อนราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งล่าสุดจัดขึ้นที่ จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ 4 ของปีนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ไปสู่โจทย์ที่สาคัญของภาครัฐ คือ การยกระดับ ประเทศไทยสู่ประเทศที่มีรายได้สูง (High Income Country) เป็นการผลักดันให้เกิด Digital Local Government จึงเป็นการขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยีเพื่อนาพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ตอนท้ายของการกล่าวปาฐกถาฯ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ําให้นําความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเผยแพร่และถ่ายทอดให้บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ทราบถึงประโยชน์ด้านการประยุกต์ใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างบูรณาการ สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม รัฐบาลมีความมั่นใจว่า หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ก็จะนําพาให้เกิด Smart City ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน อีกทั้งเป็นการวางรากฐานสําคัญในการพัฒนาจังหวัดขอนแก่นให้สามารถเดินหน้าโครงการ Smart City ในรูปแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนสู่โมเดล “Khonkaen : Digital Local Government” ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของบุคลากรภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมายในยุทธศาสตร์หลักของแผนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยร่วมเป็นพลังในการเสริมสร้างความทันสมัย ด้านการบริหารงานของหน่วยงานราชการ ให้สามารถบริการประชาชนได้เกิดประโยชน์สูงสุดยิ่งขึ้นต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 รุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ด้วย ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ’ ผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ Smart City
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 รุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ด้วย ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ’ ผลักดันให้จังหวัดขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ Smart City
‘ประตูสู่รัฐ’ แบบไม่ต้องรอติดต่อเวลาราชการ เพียงบัตรประชาชนใบเดียว (Smart Card)
วันนี้ (21 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ โรงแรมเอวานี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา GovChannel Roadshow 2017 โดยนายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และตัวแทนคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานฯ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อน Digital Local Government สู่ Digital Thailand” ว่า นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเข้าสู่มิติใหม่ของการติดต่อราชการ เร่งพัฒนาบริการอัจฉริยะภาครัฐสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมจุดประกายความสําเร็จ พร้อม “หนุน” จังหวัดขอนแก่น ด้วยการสนับสนุนความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับงานบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชน สมกับที่เป็น Smart City จังหวัดแรกของภาคอีสาน พร้อมขยายจุดติดตั้ง ‘ตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ หรือ Government Smart Kiosk’ หนึ่งในบริการสาคัญภายใต้โครงการ ‘GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสาหรับประชาชน’ เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐสะดวกรวดเร็ว เปิด ‘ประตูสู่รัฐ’ แบบไม่ต้องรอติดต่อเวลาราชการ เพียงบัตรประชาชนใบเดียว (Smart Card) สามารถนํามาใช้บริการที่ตู้ ก็รู้ทุกสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคลได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและการดาเนินงานระหว่างหน่วยงานร่วมกัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGA (อีจีเอ) และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จากัด กรมวิชาการเกษตร และสานักงานประกันสังคม จึงได้จัดงานสัมมนา“GovChannel Roadshow 2017 : Digital Local Government ขับเคลื่อนราชการทันสมัย บริการประชาชนรวดเร็ว ทันใจ” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งล่าสุดจัดขึ้นที่ จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ 4 ของปีนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ไปสู่โจทย์ที่สาคัญของภาครัฐ คือ การยกระดับ ประเทศไทยสู่ประเทศที่มีรายได้สูง (High Income Country) เป็นการผลักดันให้เกิด Digital Local Government จึงเป็นการขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยีเพื่อนาพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ตอนท้ายของการกล่าวปาฐกถาฯ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ําให้นําความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเผยแพร่และถ่ายทอดให้บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ทราบถึงประโยชน์ด้านการประยุกต์ใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างบูรณาการ สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม รัฐบาลมีความมั่นใจว่า หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ก็จะนําพาให้เกิด Smart City ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน อีกทั้งเป็นการวางรากฐานสําคัญในการพัฒนาจังหวัดขอนแก่นให้สามารถเดินหน้าโครงการ Smart City ในรูปแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนสู่โมเดล “Khonkaen : Digital Local Government” ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของบุคลากรภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมายในยุทธศาสตร์หลักของแผนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยร่วมเป็นพลังในการเสริมสร้างความทันสมัย ด้านการบริหารงานของหน่วยงานราชการ ให้สามารถบริการประชาชนได้เกิดประโยชน์สูงสุดยิ่งขึ้นต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5378
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. กิจกรรม “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
|
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษและสถาบันพลาสติกพบว่า ปัจจุบันมีปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในประเทศไทยจํานวน 45,000 ล้านใบต่อปี โดยตลาดสดเทศบาลและเอกชน มีการใช้ถุงพลาสติกจํานวน 18,000 ล้านใบ คิดเป็นร้อยละ 40 ของปริมาณการใช้ถุงพลาสติกทั่วประเทศ ดังนั้นตลาดสดจึงเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ต้องดําเนินการรณรงค์ สร้างความเข้าใจกับผู้ค้าและประชาชนในการลดการใช้ถุงพลาสติก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้จัด กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เพื่อรณรงค์ ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมในการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมในตลาดสดทั่วประเทศ โดยการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและประชาชน ซึ่งขับเคลื่อนผ่านกลไกการทํางานของสํานักงานสิ่งแวดล้อมภาค สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน โดยมีเป้าหมายที่จะลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในตลาดสดลง ร้อยละ 20 หรือ 3,600 ล้านใบ และลดการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารในตลาดสดลดลง ร้อยละ 10 ภายในปี 2562 ซึ่งกําหนดเริ่มพร้อมกันใน 7,000 ตลาดสดทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 และในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการลงพื้นที่รณรงค์เริ่มต้น ณ ตลาดสดเทศบาลนครปากเกร็ด อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้กําลังใจพ่อค้าแม่ค้าที่ร่วมรณรงค์ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงฯ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนอื่นๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. กิจกรรม “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
ทส. กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”
จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษและสถาบันพลาสติกพบว่า ปัจจุบันมีปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในประเทศไทยจํานวน 45,000 ล้านใบต่อปี โดยตลาดสดเทศบาลและเอกชน มีการใช้ถุงพลาสติกจํานวน 18,000 ล้านใบ คิดเป็นร้อยละ 40 ของปริมาณการใช้ถุงพลาสติกทั่วประเทศ ดังนั้นตลาดสดจึงเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ต้องดําเนินการรณรงค์ สร้างความเข้าใจกับผู้ค้าและประชาชนในการลดการใช้ถุงพลาสติก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้จัด กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เพื่อรณรงค์ ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมในการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมในตลาดสดทั่วประเทศ โดยการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและประชาชน ซึ่งขับเคลื่อนผ่านกลไกการทํางานของสํานักงานสิ่งแวดล้อมภาค สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน โดยมีเป้าหมายที่จะลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในตลาดสดลง ร้อยละ 20 หรือ 3,600 ล้านใบ และลดการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารในตลาดสดลดลง ร้อยละ 10 ภายในปี 2562 ซึ่งกําหนดเริ่มพร้อมกันใน 7,000 ตลาดสดทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 และในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการลงพื้นที่รณรงค์เริ่มต้น ณ ตลาดสดเทศบาลนครปากเกร็ด อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้กําลังใจพ่อค้าแม่ค้าที่ร่วมรณรงค์ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงฯ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนอื่นๆ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14046
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมนักบริหารดิจิทัล รุ่นที่ 1
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมนักบริหารดิจิทัล รุ่นที่ 1
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “ผู้ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” สําหรับนักบริหารระดับกลาง และหลักสูตร “พัฒนานักบริหารนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 โดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้มอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หน่วยงานในสังกัดสํานักงาน ก.พ.ร. ดําเนินโครงการดังกล่าว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้มีการพัฒนาขีดความสามารถกลายเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสู่การปฏิบัติ สอดรับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิทัล ซึ่งอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม กํากับดูแล และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงการนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้ การจะนําพาประเทศก้าวไปสู่จุดนั้น จําเป็นต้องอาศัยบุคลากรระดับผู้บริหารที่มีความรู้ทั้งในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และด้านการบริหารนโยบายสาธารณะ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุม 401 โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมนักบริหารดิจิทัล รุ่นที่ 1
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมนักบริหารดิจิทัล รุ่นที่ 1
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “ผู้ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” สําหรับนักบริหารระดับกลาง และหลักสูตร “พัฒนานักบริหารนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 โดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้มอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หน่วยงานในสังกัดสํานักงาน ก.พ.ร. ดําเนินโครงการดังกล่าว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้มีการพัฒนาขีดความสามารถกลายเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสู่การปฏิบัติ สอดรับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิทัล ซึ่งอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม กํากับดูแล และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงการนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้ การจะนําพาประเทศก้าวไปสู่จุดนั้น จําเป็นต้องอาศัยบุคลากรระดับผู้บริหารที่มีความรู้ทั้งในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และด้านการบริหารนโยบายสาธารณะ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุม 401 โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8698
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ข้อมูลจากไทยชนะ.com เพื่อสอบสวนติดตามผู้สัมผัสโรคหากพบผู้ป่วยรายใหม่จากการใช้บริการในสถานประกอบกิจการต่างๆ และตรวจสอบประเมินแนวปฏิบัติวิถีใหม่ของสถานประกอบการ
ย้ําทํา New Normal ดีจะไม่มี New Wave ส่วนผลสํารวจข่าวปลอมโควิด19 พบว่า ประชาชนร้อยละ 78.21 รู้เท่าทันข่าวปลอมโควิด 19 ส่วนที่แชร์ข่าวปลอมพบในเฟสบุ๊กมากที่สุด
บ่ายวันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงรายงานผลสํารวจโครงการประเมินพฤติกรรมของประชาชนต่อข่าวปลอมช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า ผลการสํารวจในสัปดาห์ที่ 1 (4-14 พฤษภาคม 2563) ดัชนีการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ข่าวสารเกี่ยวกับโควิด 19 อยู่ที่ร้อยละ 78.21 โดยที่ร้อยละ 57.6 เคยเห็น/ได้ยิน/ได้อ่าน ข่าวปลอมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากเฟสบุ๊กมากถึงร้อยละ 51.1, สื่ออื่นที่ไม่ใช่ออนไลน์ ร้อยละ 28.6, และออนไลน์อื่น ๆ ได้แก่ ไลน์, ทวิตเตอร์/ยูทูป/อินสตาแกรม ร้อยละ 20.14 ขณะเดียวกันมีอยู่ถึงร้อยละ 35.7 ที่ไม่สามารถแยกข่าวจริงและข่าวเท็จ โดยมีประชาชนร้อยละ 4.8 แชร์ข่าวเท็จ และจากประชาชนที่แชร์ข่าวเท็จ พบว่าร้อยละ 83.8 แชร์ทางเฟสบุ๊กเป็นหลัก ผลสํารวจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีว่าประชาชนสามารถแยกแยะข่าวจริงข่าวปลอมตัวข่าวปลอม เรื่องโควิด19 ได้ ซึ่งจะติดตามสํารวจความเข้าใจเรื่องข่าวปลอมต่อไป
ส่วนกรณีเรื่อง www.ไทยชนะ.com ปลอมนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งติดตามพร้อมสั่งปิดเว็บไซต์ที่ตรวจพบ เบื้องต้นทราบว่าเป็นเว็บต่างชาติที่ทําปลอมขึ้นมาล่อลวงให้เข้าไปใช้งานและให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากเว็บ ซึ่งอาจทําให้ติดมัลแวร์หรือไวรัสมาได้ จึงไม่แนะนําให้เข้าไปใช้งาน รวมทั้งการมีข้อความสั้น (SMS) ส่งเข้าไปยังเครื่องโทรศัพท์ ขอให้ประชาชนอย่ากดดาวน์โหลดใดๆ หากเผลอกดดาวน์โหลดมาแล้วขอให้ลบออก หากยังไม่มั่นใจให้นําโทรศัพท์ไปให้ศูนย์บริการล้างเครื่องและเคลียร์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการทําเว็บไซต์ปลอมหรือมีปัญหาการใช้งานสามารถแจ้งที่สายด่วน 1119 ส่วนเรื่องการนําข้อมูลต่างๆ ไปใช้นั้น ยืนยันว่า www.ไทยชนะ.com เน้นความปลอดภัยส่วนบุคคลเป็นสําคัญ ไม่มีการระบุชื่อนามสกุลใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ลงทะเบียนครั้งแรก และข้อมูลใช้เพื่อการติดตามควบคุมโรคโควิด 19 เท่านั้น
ด้าน นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ส่วนสําคัญของข้อมูลจาก www.ไทยชนะ.com จะถูกส่งต่อมาที่กรมอนามัย จะเป็นข้อมูลสถานประกอบการที่ประชาชนประเมินผ่าน www.ไทยชนะ.com นํามาพิจารณาประกอบกับข้อมูลสถานการณ์โรครายวัน พฤติกรรมสุขภาพที่กรมอนามัยสํารวจว่าการ์ดตกเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพบที่น่าเป็นห่วงคือการใช้มือสัมผัสใบหน้า และการเว้นระยะห่างที่ยังพบว่าทําได้ไม่ดีเท่าที่ควร และจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เริ่มผ่อนปรนระยะสอง และเก็บข้อมูลอีก 7 วันถัดมา เพื่อมาประมวลผลว่าพฤติกรรมของประชาชน ความใส่ใจของผู้ประกอบการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดใหม่อีกครั้งหรือไม่ เรียกว่าถ้าทํา New Normal ได้ดีก็จะไม่เกิด New Wave
******************************** 26 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
ข้อมูลไทยชนะ.คอม ใช้ช่วยสอบสวนควบคุมโรค
กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ข้อมูลจากไทยชนะ.com เพื่อสอบสวนติดตามผู้สัมผัสโรคหากพบผู้ป่วยรายใหม่จากการใช้บริการในสถานประกอบกิจการต่างๆ และตรวจสอบประเมินแนวปฏิบัติวิถีใหม่ของสถานประกอบการ
ย้ําทํา New Normal ดีจะไม่มี New Wave ส่วนผลสํารวจข่าวปลอมโควิด19 พบว่า ประชาชนร้อยละ 78.21 รู้เท่าทันข่าวปลอมโควิด 19 ส่วนที่แชร์ข่าวปลอมพบในเฟสบุ๊กมากที่สุด
บ่ายวันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. เปิดเผยถึงรายงานผลสํารวจโครงการประเมินพฤติกรรมของประชาชนต่อข่าวปลอมช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า ผลการสํารวจในสัปดาห์ที่ 1 (4-14 พฤษภาคม 2563) ดัชนีการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ข่าวสารเกี่ยวกับโควิด 19 อยู่ที่ร้อยละ 78.21 โดยที่ร้อยละ 57.6 เคยเห็น/ได้ยิน/ได้อ่าน ข่าวปลอมในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากเฟสบุ๊กมากถึงร้อยละ 51.1, สื่ออื่นที่ไม่ใช่ออนไลน์ ร้อยละ 28.6, และออนไลน์อื่น ๆ ได้แก่ ไลน์, ทวิตเตอร์/ยูทูป/อินสตาแกรม ร้อยละ 20.14 ขณะเดียวกันมีอยู่ถึงร้อยละ 35.7 ที่ไม่สามารถแยกข่าวจริงและข่าวเท็จ โดยมีประชาชนร้อยละ 4.8 แชร์ข่าวเท็จ และจากประชาชนที่แชร์ข่าวเท็จ พบว่าร้อยละ 83.8 แชร์ทางเฟสบุ๊กเป็นหลัก ผลสํารวจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีว่าประชาชนสามารถแยกแยะข่าวจริงข่าวปลอมตัวข่าวปลอม เรื่องโควิด19 ได้ ซึ่งจะติดตามสํารวจความเข้าใจเรื่องข่าวปลอมต่อไป
ส่วนกรณีเรื่อง www.ไทยชนะ.com ปลอมนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งติดตามพร้อมสั่งปิดเว็บไซต์ที่ตรวจพบ เบื้องต้นทราบว่าเป็นเว็บต่างชาติที่ทําปลอมขึ้นมาล่อลวงให้เข้าไปใช้งานและให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากเว็บ ซึ่งอาจทําให้ติดมัลแวร์หรือไวรัสมาได้ จึงไม่แนะนําให้เข้าไปใช้งาน รวมทั้งการมีข้อความสั้น (SMS) ส่งเข้าไปยังเครื่องโทรศัพท์ ขอให้ประชาชนอย่ากดดาวน์โหลดใดๆ หากเผลอกดดาวน์โหลดมาแล้วขอให้ลบออก หากยังไม่มั่นใจให้นําโทรศัพท์ไปให้ศูนย์บริการล้างเครื่องและเคลียร์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการทําเว็บไซต์ปลอมหรือมีปัญหาการใช้งานสามารถแจ้งที่สายด่วน 1119 ส่วนเรื่องการนําข้อมูลต่างๆ ไปใช้นั้น ยืนยันว่า www.ไทยชนะ.com เน้นความปลอดภัยส่วนบุคคลเป็นสําคัญ ไม่มีการระบุชื่อนามสกุลใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ลงทะเบียนครั้งแรก และข้อมูลใช้เพื่อการติดตามควบคุมโรคโควิด 19 เท่านั้น
ด้าน นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ส่วนสําคัญของข้อมูลจาก www.ไทยชนะ.com จะถูกส่งต่อมาที่กรมอนามัย จะเป็นข้อมูลสถานประกอบการที่ประชาชนประเมินผ่าน www.ไทยชนะ.com นํามาพิจารณาประกอบกับข้อมูลสถานการณ์โรครายวัน พฤติกรรมสุขภาพที่กรมอนามัยสํารวจว่าการ์ดตกเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพบที่น่าเป็นห่วงคือการใช้มือสัมผัสใบหน้า และการเว้นระยะห่างที่ยังพบว่าทําได้ไม่ดีเท่าที่ควร และจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เริ่มผ่อนปรนระยะสอง และเก็บข้อมูลอีก 7 วันถัดมา เพื่อมาประมวลผลว่าพฤติกรรมของประชาชน ความใส่ใจของผู้ประกอบการจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดใหม่อีกครั้งหรือไม่ เรียกว่าถ้าทํา New Normal ได้ดีก็จะไม่เกิด New Wave
******************************** 26 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31540
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
วานนี้ (6 พฤษภาคม 2563) นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค มอบหมายให้นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมเจ้าหน้าที่สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ และลงพื้นที่ตรวจสอบห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องในวันวิสาขบูชา ซึ่งกฎหมายกําหนดให้เป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จากการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก จํานวน 28 ราย พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่ให้ความร่วมมืองดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันวิสาขบูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดต่อไป ในส่วนของการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้านั้นพบว่า บรรดาห้างสรรพสินค้า ได้แก่ แม็คโคร บิ๊กซี โลตัส เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ให้ความร่วมมือในการงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงร้านขายส่ง ร้านขายของชํา และร้านค้าขนาดเล็กก็ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายเป็นอย่างดี
นายแพทย์นิพนธ์ กล่าวว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ได้ให้อํานาจในการกําหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งได้มีการออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กําหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 กําหนดให้วันสําคัญทางพุทธศาสนา 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา เป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ใดฝ่าฝืนขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันดังกล่าว ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ จากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านช่องทางออนไลน์มีเป็นจํานวนมาก และมักจะพบว่ามีการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลายประการด้วยกัน เช่น การโฆษณา การลดราคา การแจกแถมให้สินค้าอื่น เป็นต้น อีกทั้งการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางดังกล่าว ไม่สามารถควบคุมอายุของผู้ซื้อได้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนลด ละ เลิก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสําคัญทางพุทธศาสนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 สามารถร้องเรียนได้ผ่านเว็บไซต์https://tas.go.th หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา โทร. 0 2590 3032 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**************************************************
ข้อมูลจาก : สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค
วันที่ 7 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ในวันวิสาขบูชา และลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
วานนี้ (6 พฤษภาคม 2563) นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค มอบหมายให้นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมเจ้าหน้าที่สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ และลงพื้นที่ตรวจสอบห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องในวันวิสาขบูชา ซึ่งกฎหมายกําหนดให้เป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จากการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก จํานวน 28 ราย พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่ให้ความร่วมมืองดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันวิสาขบูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดต่อไป ในส่วนของการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้านั้นพบว่า บรรดาห้างสรรพสินค้า ได้แก่ แม็คโคร บิ๊กซี โลตัส เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ให้ความร่วมมือในการงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงร้านขายส่ง ร้านขายของชํา และร้านค้าขนาดเล็กก็ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายเป็นอย่างดี
นายแพทย์นิพนธ์ กล่าวว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ได้ให้อํานาจในการกําหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งได้มีการออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กําหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 กําหนดให้วันสําคัญทางพุทธศาสนา 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา เป็นวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ใดฝ่าฝืนขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันดังกล่าว ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ จากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านช่องทางออนไลน์มีเป็นจํานวนมาก และมักจะพบว่ามีการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลายประการด้วยกัน เช่น การโฆษณา การลดราคา การแจกแถมให้สินค้าอื่น เป็นต้น อีกทั้งการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางดังกล่าว ไม่สามารถควบคุมอายุของผู้ซื้อได้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนลด ละ เลิก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสําคัญทางพุทธศาสนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 สามารถร้องเรียนได้ผ่านเว็บไซต์https://tas.go.th หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา โทร. 0 2590 3032 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**************************************************
ข้อมูลจาก : สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค
วันที่ 7 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30459
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ยกเครื่องใหม่กระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยเริ่มใช้ปีนี้พร้อมปรับใหญ่แบบสัญญาประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
คปภ. ยกเครื่องใหม่กระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยเริ่มใช้ปีนี้พร้อมปรับใหญ่แบบสัญญาประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
สํานักงาน คปภ. ได้ประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของด้านกํากับ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ได้ประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของด้านกํากับ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยเชิญนายกสมาคมประกันชีวิตไทย นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย กรรมการผู้จัดการบริษัทประกันชีวิต ผู้จัดการสาขาบริษัทประกันชีวิต กรรมการผู้จัดการบริษัทประกันวินาศภัย และผู้จัดการสาขาบริษัทประกันวินาศภัย เข้าร่วมประชุมกับคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. โดยมี 2 ประเด็นสําคัญ คือ
ประเด็นแรก การปรับปรุงกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและรองรับให้ภาคธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยไทย จึงได้มีการจัดทํากระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่ขึ้น โดยในครั้งนี้สํานักงาน คปภ. เน้นให้ความสําคัญในการส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทในการพิจารณาและกลั่นกรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ประกันภัยและความพร้อมในด้านต่างๆ อาทิ การทดสอบผลิตภัณฑ์ ระบบการจัดการความเสี่ยง ระบบการจัดการค่าสินไหม ระบบเรื่องร้องเรียน โดยผ่านคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ของบริษัท และในส่วนของ สํานักงาน คปภ. ได้จัดช่องทางในการอํานวยความสะดวก ที่ชัดเจนอย่างเป็นระบบ ตลอดจนวางแผนรองรับการกํากับรูปแบบใหม่ ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการและหารือภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่นี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบอัตโนมัติ (File & Use) การให้ความเห็นชอบที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนประกาศกําหนดเป็นแบบมาตรฐาน ให้ถือว่าบริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนนับแต่วันที่สํานักงาน คปภ. ประทับตรารับเรื่องและมีการชําระค่าธรรมเนียม สําหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ การให้ความเห็นชอบอัตราเบี้ยประกันภัยที่นอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ประกาศกําหนดให้เป็นแบบอัตโนมัติ และบริษัทสามารถนําไปใช้ได้ต่อเมื่อนายทะเบียนให้ความเห็นชอบแล้ว สําหรับไฮไลท์ ในการยื่นขอรับความเห็นชอบแบบ ข้อความ และอัตราเบี้ยประกันภัยจะมีความชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบอัตโนมัติ (File & Use) ใช้เวลาอนุมัติแบบ ไม่เกิน 30 นาที ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอใหม่) ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติแบบ ไม่เกิน 15 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 30 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอใหม่) ซึ่งเป็นแบบที่มีความซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 30 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 60 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอต่ออายุ) ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 7 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 15 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอต่ออายุ) ซึ่งเป็นแบบที่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 30 วัน (จากเดิมใช้เวลา 60 วัน) เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่า กระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่จะสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้
ประเด็นที่สอง คือ การปรับปรุงสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐาน เพื่อให้รองรับกับเทคโนโลยีและวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีแนวปฏิบัติที่เป็นแนวทางเดียวกัน และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่อง รายการความคุ้มครอง ต้องกําหนดเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชนิดหรือประเภทของการรักษาพยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ การบริการทางการแพทย์ฯ รวมทั้ง การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดให้ยา เวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุม จึงจําเป็นต้องมีการปรับปรุงสัญญาประกันสุขภาพ โดยสํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทํางานร่างสัญญามาตรฐาน ประกอบด้วย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย แพทย์ที่ปรึกษา นักวิชาการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้มีการนําเสนอต่อที่ประชุม CEO Forum ครั้งที่ผ่านมา (เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562) ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้นําข้อสรุปและประเด็นข้อคิดเห็นมาปรับปรุงและดําเนินการต่อยอดเพื่อให้ร่างสัญญาประกันสุขภาพมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งสาระสําคัญของการปรับปรุง อาทิเช่น ปรับปรุงหมวดรายการผลประโยชน์ความคุ้มครองให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งธุรกิจ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ลดการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ซ้ําซ้อน ประชาชนสามารถเปรียบเทียบผลประโยชน์ความคุ้มครองและเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสมตรงตามความต้องการ สําหรับคํานิยาม เงื่อนไข และข้อยกเว้นของสัญญา ได้มีการพิจารณาปรับปรุงให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้การนําไปใช้เป็นแนวทางเดียวกัน เช่น การต่ออายุ (Renewal) การปรับเบี้ยประกันภัย สภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย (Pre-existing Condition) ระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (Waiting Period) ตารางผ่าตัด การปรับเพิ่มรายการผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (Day Surgery) เป็นต้น
นอกจากนี้ เพื่อให้ระบบการประกันสุขภาพครบถ้วนสมบูรณ์ จึงได้เตรียมการในเรื่องจัดทําฐานข้อมูลประกันสุขภาพที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้ประโยชน์ในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติ การพัฒนาระบบการประกันสุขภาพ และเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เอาประกันภัยในการเรียกร้องค่าสินไหมในอนาคตด้วย
“ขั้นตอนหลังจากการประชุมในวันนี้ จะได้รวบรวมทุกความเห็นและข้อเสนอแนะให้คณะทํางานฯนําไปวิเคราะห์ในการปรับปรุงกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัย และปรับปรุงแบบสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐาน ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์และดําเนินการไปในแนวทางเดียวกันเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้มีความเข้มแข็ง ก้าวทันตลาด ทําให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการและถึงมือผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้ง สะท้อนความเสี่ยง ต้นทุนที่แท้จริง และความพร้อมของบริษัท โดยเป็นการสรรค์สร้างสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นการพลิกโฉมธุรกิจประกันภัยโดยมีสํานักงาน คปภ. เดินเคียงข้างไปกับธุรกิจประกันภัยเพื่อส่งเสริมความพร้อมของภาคธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้บริการด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ยกเครื่องใหม่กระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยเริ่มใช้ปีนี้พร้อมปรับใหญ่แบบสัญญาประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
คปภ. ยกเครื่องใหม่กระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยเริ่มใช้ปีนี้พร้อมปรับใหญ่แบบสัญญาประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
สํานักงาน คปภ. ได้ประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของด้านกํากับ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ได้ประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของด้านกํากับ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยเชิญนายกสมาคมประกันชีวิตไทย นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย กรรมการผู้จัดการบริษัทประกันชีวิต ผู้จัดการสาขาบริษัทประกันชีวิต กรรมการผู้จัดการบริษัทประกันวินาศภัย และผู้จัดการสาขาบริษัทประกันวินาศภัย เข้าร่วมประชุมกับคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. โดยมี 2 ประเด็นสําคัญ คือ
ประเด็นแรก การปรับปรุงกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและรองรับให้ภาคธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยไทย จึงได้มีการจัดทํากระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่ขึ้น โดยในครั้งนี้สํานักงาน คปภ. เน้นให้ความสําคัญในการส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทในการพิจารณาและกลั่นกรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ประกันภัยและความพร้อมในด้านต่างๆ อาทิ การทดสอบผลิตภัณฑ์ ระบบการจัดการความเสี่ยง ระบบการจัดการค่าสินไหม ระบบเรื่องร้องเรียน โดยผ่านคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ของบริษัท และในส่วนของ สํานักงาน คปภ. ได้จัดช่องทางในการอํานวยความสะดวก ที่ชัดเจนอย่างเป็นระบบ ตลอดจนวางแผนรองรับการกํากับรูปแบบใหม่ ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการและหารือภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่นี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบอัตโนมัติ (File & Use) การให้ความเห็นชอบที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนประกาศกําหนดเป็นแบบมาตรฐาน ให้ถือว่าบริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนนับแต่วันที่สํานักงาน คปภ. ประทับตรารับเรื่องและมีการชําระค่าธรรมเนียม สําหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ การให้ความเห็นชอบอัตราเบี้ยประกันภัยที่นอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ประกาศกําหนดให้เป็นแบบอัตโนมัติ และบริษัทสามารถนําไปใช้ได้ต่อเมื่อนายทะเบียนให้ความเห็นชอบแล้ว สําหรับไฮไลท์ ในการยื่นขอรับความเห็นชอบแบบ ข้อความ และอัตราเบี้ยประกันภัยจะมีความชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบอัตโนมัติ (File & Use) ใช้เวลาอนุมัติแบบ ไม่เกิน 30 นาที ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอใหม่) ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติแบบ ไม่เกิน 15 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 30 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอใหม่) ซึ่งเป็นแบบที่มีความซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 30 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 60 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอต่ออายุ) ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 7 วัน (จากเดิมใช้เวลาอนุมัติ 15 วัน) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบปกติ (ขอต่ออายุ) ซึ่งเป็นแบบที่ซับซ้อน ใช้เวลาอนุมัติไม่เกิน 30 วัน (จากเดิมใช้เวลา 60 วัน) เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่า กระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่จะสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้
ประเด็นที่สอง คือ การปรับปรุงสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐาน เพื่อให้รองรับกับเทคโนโลยีและวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีแนวปฏิบัติที่เป็นแนวทางเดียวกัน และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่อง รายการความคุ้มครอง ต้องกําหนดเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชนิดหรือประเภทของการรักษาพยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ การบริการทางการแพทย์ฯ รวมทั้ง การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดให้ยา เวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุม จึงจําเป็นต้องมีการปรับปรุงสัญญาประกันสุขภาพ โดยสํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทํางานร่างสัญญามาตรฐาน ประกอบด้วย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย แพทย์ที่ปรึกษา นักวิชาการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้มีการนําเสนอต่อที่ประชุม CEO Forum ครั้งที่ผ่านมา (เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562) ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้นําข้อสรุปและประเด็นข้อคิดเห็นมาปรับปรุงและดําเนินการต่อยอดเพื่อให้ร่างสัญญาประกันสุขภาพมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งสาระสําคัญของการปรับปรุง อาทิเช่น ปรับปรุงหมวดรายการผลประโยชน์ความคุ้มครองให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งธุรกิจ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ลดการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ซ้ําซ้อน ประชาชนสามารถเปรียบเทียบผลประโยชน์ความคุ้มครองและเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสมตรงตามความต้องการ สําหรับคํานิยาม เงื่อนไข และข้อยกเว้นของสัญญา ได้มีการพิจารณาปรับปรุงให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้การนําไปใช้เป็นแนวทางเดียวกัน เช่น การต่ออายุ (Renewal) การปรับเบี้ยประกันภัย สภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย (Pre-existing Condition) ระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (Waiting Period) ตารางผ่าตัด การปรับเพิ่มรายการผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (Day Surgery) เป็นต้น
นอกจากนี้ เพื่อให้ระบบการประกันสุขภาพครบถ้วนสมบูรณ์ จึงได้เตรียมการในเรื่องจัดทําฐานข้อมูลประกันสุขภาพที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้ประโยชน์ในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติ การพัฒนาระบบการประกันสุขภาพ และเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เอาประกันภัยในการเรียกร้องค่าสินไหมในอนาคตด้วย
“ขั้นตอนหลังจากการประชุมในวันนี้ จะได้รวบรวมทุกความเห็นและข้อเสนอแนะให้คณะทํางานฯนําไปวิเคราะห์ในการปรับปรุงกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัย และปรับปรุงแบบสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐาน ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์และดําเนินการไปในแนวทางเดียวกันเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้มีความเข้มแข็ง ก้าวทันตลาด ทําให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการและถึงมือผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้ง สะท้อนความเสี่ยง ต้นทุนที่แท้จริง และความพร้อมของบริษัท โดยเป็นการสรรค์สร้างสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นการพลิกโฉมธุรกิจประกันภัยโดยมีสํานักงาน คปภ. เดินเคียงข้างไปกับธุรกิจประกันภัยเพื่อส่งเสริมความพร้อมของภาคธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้บริการด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22215
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
|
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ 1 และนายจตุพร บ
บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
วันนี้ (15 พ.ย. 62) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ 1 และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วยผู้บริหารเข้าร่วมการประชุมฯ ณ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ในการประชุมดังกล่าว ได้หารือเกี่ยวกับรายงานการติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการภาคพลังงานปีพ.ศ. 2560 และนําผลไปประกอบในรายงานความก้าวหน้ารายสองปีฉบับถัดไป โดยประเทศไทยมีผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีพ.ศ. 2560 จํานวนทั้งสิ้น 51.72 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 14 โดยเทียบเคียงกับกรณีพื้นฐานในภาคพลังงานและขนส่ง ทั้งนี้ ในระหว่างปีพ.ศ. 2564-2565 ประเทศไทยมีแผนที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 53 และ 55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามลําดับ โดยร่วมกันดําเนินงานตามมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกพร้อมทั้งมีระบบการ MRV (การวัดผลการรายงานผลและการตรวจสอบพิสูจน์ผล) ที่จะยืนยันผลการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลก
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมในข้อริเริ่ม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative เพื่อส่งเสริมการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากอุตสาหกรรมผลิตกรดไนตริก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกสู่ภาคเอกชน และสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในสาขาอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ 1 และนายจตุพร บ
บิ๊กป้อมสั่งทส. หนุนทุกภาคส่วนลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
วันนี้ (15 พ.ย. 62) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ 1 และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วยผู้บริหารเข้าร่วมการประชุมฯ ณ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ในการประชุมดังกล่าว ได้หารือเกี่ยวกับรายงานการติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการภาคพลังงานปีพ.ศ. 2560 และนําผลไปประกอบในรายงานความก้าวหน้ารายสองปีฉบับถัดไป โดยประเทศไทยมีผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีพ.ศ. 2560 จํานวนทั้งสิ้น 51.72 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 14 โดยเทียบเคียงกับกรณีพื้นฐานในภาคพลังงานและขนส่ง ทั้งนี้ ในระหว่างปีพ.ศ. 2564-2565 ประเทศไทยมีแผนที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 53 และ 55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามลําดับ โดยร่วมกันดําเนินงานตามมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกพร้อมทั้งมีระบบการ MRV (การวัดผลการรายงานผลและการตรวจสอบพิสูจน์ผล) ที่จะยืนยันผลการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลก
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมในข้อริเริ่ม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative เพื่อส่งเสริมการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากอุตสาหกรรมผลิตกรดไนตริก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกสู่ภาคเอกชน และสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในสาขาอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24591
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่สงขลา
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่สงขลา
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ผู้กํากับงานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเน็ตประชารัฐ” โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือในการดําเนินงานด้านการจัดเก็บข้อมูลสถิติ และการสร้างความเข้าใจในทิศทางการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ รวมทั้งการประสานงานภายใต้การดําเนินงานกับหน่วยงานภายใน และภายนอกกระทรวงฯ โดยเฉพาะการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐ จะทําให้ทราบเสียงสะท้อนจากประชาชน นําไปสู่รัฐบาลที่มีการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการวางแผน และกําหนดนโยบาย รวมถึงการติดตามประเมินผลการดําเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงการดําเนินงานของรัฐให้ดีขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ตลอดจนการวางแผนพัฒนาต่อยอดการใช้งานอินเทอร์เน็ตไปสู่การผลักดันเศรษฐกิจไทย ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่สงขลา
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการในการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่สงขลา
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ผู้กํากับงานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเน็ตประชารัฐ” โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือในการดําเนินงานด้านการจัดเก็บข้อมูลสถิติ และการสร้างความเข้าใจในทิศทางการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ รวมทั้งการประสานงานภายใต้การดําเนินงานกับหน่วยงานภายใน และภายนอกกระทรวงฯ โดยเฉพาะการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐ จะทําให้ทราบเสียงสะท้อนจากประชาชน นําไปสู่รัฐบาลที่มีการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการวางแผน และกําหนดนโยบาย รวมถึงการติดตามประเมินผลการดําเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงการดําเนินงานของรัฐให้ดีขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ตลอดจนการวางแผนพัฒนาต่อยอดการใช้งานอินเทอร์เน็ตไปสู่การผลักดันเศรษฐกิจไทย ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12680
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ป้องกันการตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี
วันนี้ ( 10 ต.ค. 60)เวลา14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงต่อกรณีมีกระแสข่าวและการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวข้องกับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการดูแลประชาชนฐานรากโดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาล ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) มีการใช้บัตรสวัสดิการฯ ไปแลกเงินสดและมีการหักค่าหัวคิวแทนการนําบัตรไปรูดชื้อสิ่งของอุปโภคบริโภค 2) ระบุว่าสิ่งที่รัฐบาลดําเนินการดังกล่าวกรณีจํานวนเงินในบัตรฯ 300 บาท/ราย และ 200 บาท/ราย ตามรายได้ของประชาชน จะไปเข้ากระเป๋าของเจ้าของกิจการที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ มาจําหน่ายให้กับประชาชนผ่านร้านธงฟ้า และ3) ประชาชนที่มีบัตรสวัสดิการฯ ไม่สามารถที่จะกู้เงินจากธนาคารต่าง ๆ ได้ ว่า การเผยแพร่ข้อมูล ดังกล่าวเป็นความพยายามของผู้ที่ต้องทําลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล จึงขอให้สื่อมวลชนได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเพื่อให้สังคมได้มีความรู้และความเข้าใจว่าการดําเนินการในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรัฐบาลปัจจุบันมีความพยายามในการที่จะแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมาซึ่งมีการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยแบบเหมารวมหรือถัวเฉลี่ย เช่น กรณีรถเมล์ฟรี เป็นต้น ทําให้การช่วยเหลือประชาชนไม่ตรงกับบุคคลและกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ในส่วนกระแสข่าวและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการฯ กรณีประเด็นการใช้บัตรสวัสดิการฯ ไปแลกเงินสดและมีการหักค่าหัวคิวแทนการนําบัตรไปรูดชื้อของอุปโภคบริโภคนั้น โฆษกรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจ้งว่า อาจจะมีบางคนที่กระทําการในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งหากประชาชนพบเห็นหรือมีข่าวสารการกระทําในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นร้านธงฟ้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ สามารถแจ้งมายังรัฐบาลได้ทันที โดยรัฐบาลจะดําเนินการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทําผิดและทุจริตอย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการนี้เกิดประโยชน์และแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง
สําหรับประเด็นที่ 2 ซึ่งระบุว่าสิ่งที่รัฐบาลดําเนินการกรณีเงินในบัตรฯ จะไปเข้ากระเป๋าของเจ้าของกิจการที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคมาจําหน่ายที่ร้านธงฟ้านั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากร้านธงฟ้าในปัจจุบันหรือร้านที่ผูกพันตามกฎ กติกาของกระทรวงพาณิชย์ที่ประชาชนสามารถนําบัตรสวัสดิการฯ ไปใช้ซื้อสินค้าได้กับร้านต่าง ๆ ได้นั้น ขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจํานวน 20 กว่าราย มีรายการสินค้ากว่า 40 รายการ และมีประเภทสินค้าประมาณทั้งสิ้น 300 กว่าแล้ว ขณะเดียวกันได้รับทราบรายงานจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีผู้ประกอบการจากภาคหลายส่วนทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสถาบันเกษตรกรซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนภาคเกษตร กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ฯลฯ สนใจเข้ามาร่วมโครงการนี้เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจํานวนมากและหลากหลายมากขึ้น
ขณะที่กรณีระบุว่าบุคคลใดที่มีบัตรสวัสดิการฯ จะไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารต่าง ๆ ได้นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณาจากฐานเงินของผู้มีบัตรสวัสดิการฯ จะต้องมีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาท/ปี หรือน้อยกว่า 3 หมื่นบาท/ปี ซึ่งโดยปกติการที่บุคคลดังกล่าวจะกู้เงินกับธนาคารต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เงินจึงไม่เกิดจากโครงการบัตรสวัสดิการฯ แต่อย่างใด แต่เป็นกฎ กติกาที่แต่ละธนาคารต้องการความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตามที่ประมาณ 6 -7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติให้ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้เงินให้กับประชาชนที่ไม่มีรายได้ประจํา เช่น ผู้ประกอบอาชีขายก๋วยเตี๋ยว หมูปิ้ง หรือผู้ประกอบการร้านอาหารตามสั่งต่าง ๆ สามารถที่จะกู้เงินได้เพื่อนําเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่จําเป็นโดยที่ไม่ต้องมีหลักในการค้ําประกันจํานวนมาก ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีรายได้น้อยจะไม่สามารถกู้เงินได้ตลอดไป แต่สามารถกู้เงินได้กับโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลดําเนินการในการที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือสื่อฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ป้องกันการตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี
วันนี้ ( 10 ต.ค. 60)เวลา14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงต่อกรณีมีกระแสข่าวและการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวข้องกับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการดูแลประชาชนฐานรากโดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาล ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) มีการใช้บัตรสวัสดิการฯ ไปแลกเงินสดและมีการหักค่าหัวคิวแทนการนําบัตรไปรูดชื้อสิ่งของอุปโภคบริโภค 2) ระบุว่าสิ่งที่รัฐบาลดําเนินการดังกล่าวกรณีจํานวนเงินในบัตรฯ 300 บาท/ราย และ 200 บาท/ราย ตามรายได้ของประชาชน จะไปเข้ากระเป๋าของเจ้าของกิจการที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ มาจําหน่ายให้กับประชาชนผ่านร้านธงฟ้า และ3) ประชาชนที่มีบัตรสวัสดิการฯ ไม่สามารถที่จะกู้เงินจากธนาคารต่าง ๆ ได้ ว่า การเผยแพร่ข้อมูล ดังกล่าวเป็นความพยายามของผู้ที่ต้องทําลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล จึงขอให้สื่อมวลชนได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนเพื่อให้สังคมได้มีความรู้และความเข้าใจว่าการดําเนินการในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรัฐบาลปัจจุบันมีความพยายามในการที่จะแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมาซึ่งมีการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยแบบเหมารวมหรือถัวเฉลี่ย เช่น กรณีรถเมล์ฟรี เป็นต้น ทําให้การช่วยเหลือประชาชนไม่ตรงกับบุคคลและกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ในส่วนกระแสข่าวและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการฯ กรณีประเด็นการใช้บัตรสวัสดิการฯ ไปแลกเงินสดและมีการหักค่าหัวคิวแทนการนําบัตรไปรูดชื้อของอุปโภคบริโภคนั้น โฆษกรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจ้งว่า อาจจะมีบางคนที่กระทําการในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งหากประชาชนพบเห็นหรือมีข่าวสารการกระทําในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นร้านธงฟ้าที่ไปเกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ สามารถแจ้งมายังรัฐบาลได้ทันที โดยรัฐบาลจะดําเนินการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทําผิดและทุจริตอย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการนี้เกิดประโยชน์และแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง
สําหรับประเด็นที่ 2 ซึ่งระบุว่าสิ่งที่รัฐบาลดําเนินการกรณีเงินในบัตรฯ จะไปเข้ากระเป๋าของเจ้าของกิจการที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคมาจําหน่ายที่ร้านธงฟ้านั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากร้านธงฟ้าในปัจจุบันหรือร้านที่ผูกพันตามกฎ กติกาของกระทรวงพาณิชย์ที่ประชาชนสามารถนําบัตรสวัสดิการฯ ไปใช้ซื้อสินค้าได้กับร้านต่าง ๆ ได้นั้น ขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจํานวน 20 กว่าราย มีรายการสินค้ากว่า 40 รายการ และมีประเภทสินค้าประมาณทั้งสิ้น 300 กว่าแล้ว ขณะเดียวกันได้รับทราบรายงานจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีผู้ประกอบการจากภาคหลายส่วนทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสถาบันเกษตรกรซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนภาคเกษตร กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ฯลฯ สนใจเข้ามาร่วมโครงการนี้เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจํานวนมากและหลากหลายมากขึ้น
ขณะที่กรณีระบุว่าบุคคลใดที่มีบัตรสวัสดิการฯ จะไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารต่าง ๆ ได้นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณาจากฐานเงินของผู้มีบัตรสวัสดิการฯ จะต้องมีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาท/ปี หรือน้อยกว่า 3 หมื่นบาท/ปี ซึ่งโดยปกติการที่บุคคลดังกล่าวจะกู้เงินกับธนาคารต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เงินจึงไม่เกิดจากโครงการบัตรสวัสดิการฯ แต่อย่างใด แต่เป็นกฎ กติกาที่แต่ละธนาคารต้องการความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตามที่ประมาณ 6 -7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติให้ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้เงินให้กับประชาชนที่ไม่มีรายได้ประจํา เช่น ผู้ประกอบอาชีขายก๋วยเตี๋ยว หมูปิ้ง หรือผู้ประกอบการร้านอาหารตามสั่งต่าง ๆ สามารถที่จะกู้เงินได้เพื่อนําเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่จําเป็นโดยที่ไม่ต้องมีหลักในการค้ําประกันจํานวนมาก ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีรายได้น้อยจะไม่สามารถกู้เงินได้ตลอดไป แต่สามารถกู้เงินได้กับโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลดําเนินการในการที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7310
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ร่วมสืบสานประเพณีปีใหม่ไทย นำคณะผู้บริหาร สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้อาวุโส เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561
|
วันพุธที่ 4 เมษายน 2561
รมว.สธ. ร่วมสืบสานประเพณีปีใหม่ไทย นําคณะผู้บริหาร สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้อาวุโส เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จัดพิธีสรงน้ําพระและรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ เนื่องในวันสงกรานต์ ปี 2561
แสดงถึงความกตัญญู ระลึกถึงคุณงามความดีและพระคุณของผู้อาวุโส ที่ได้ทุ่มเทสติปัญญาและความเสียสละให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
วันนี้ (4 เมษายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในงาน “สรงน้ําพระและรดน้ําขอพร” เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประจําปี 2561 นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สรงน้ําพระ และรดน้ําขอพรผู้อาวุโส อดีตผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย ศ.พิเศษ นพ.ไพจิตร ปวะบุตร, นพ.จํารูญ มีขนอน โดยมีผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีจํานวนมาก
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า วันนี้ เป็นโอกาสดีที่พวกเราชาวสาธารณสุข ได้แสดงความกตัญญู ระลึกถึงคุณงามความดีและพระคุณของท่านผู้อาวุโส รวมทั้งอดีตผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทุกท่านที่เคยเป็นผู้นําทางด้านนโยบาย ได้ทุ่มเทสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ รวมทั้งความเสียสละให้แก่กระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอด
“ในวาระอันเป็นมงคลนี้ ในนามของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ขอกราบคารวะท่านอดีตข้าราชการอาวุโสทุกท่าน รวมทั้งท่านที่มิได้อยู่ ณ ที่นี้ พร้อมกันนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อันเป็นที่เคารพสักการะ จงดลบันดาลให้ท่านมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของครอบครัว และยังประโยชน์แก่กระทรวงสาธารณสุขตลอดไป” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนให้ความสําคัญกับครอบครัวและผู้สูงอายุ ใช้โอกาสช่วงวันหยุดยาวนี้ กลับไปกราบขอพรพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ดูแลผู้สูงอายุด้วยความรัก ความกตัญญู เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย จัดพิธีสรงน้ําพระและรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ เนื่องในวันสงกรานต์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 เป็นต้นมา โดยกราบเรียนเชิญผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในอดีตและปัจจุบันเข้าร่วมในพิธี เป็นการแสดงความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูต่อผู้อาวุโส และผู้มีพระคุณ รวมทั้งจัดให้มีการละเล่นและการสาดน้ําคลายร้อน สร้างความสุขกายสบายใจ และสร้างความสามัคคีภายในองค์กร เป็นแบบอย่างที่ดีในการร่วมสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยต่อเนื่องทุกปี
************************************* 4 เมษายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ร่วมสืบสานประเพณีปีใหม่ไทย นำคณะผู้บริหาร สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้อาวุโส เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561
วันพุธที่ 4 เมษายน 2561
รมว.สธ. ร่วมสืบสานประเพณีปีใหม่ไทย นําคณะผู้บริหาร สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้อาวุโส เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จัดพิธีสรงน้ําพระและรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ เนื่องในวันสงกรานต์ ปี 2561
แสดงถึงความกตัญญู ระลึกถึงคุณงามความดีและพระคุณของผู้อาวุโส ที่ได้ทุ่มเทสติปัญญาและความเสียสละให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
วันนี้ (4 เมษายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในงาน “สรงน้ําพระและรดน้ําขอพร” เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประจําปี 2561 นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สรงน้ําพระ และรดน้ําขอพรผู้อาวุโส อดีตผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย ศ.พิเศษ นพ.ไพจิตร ปวะบุตร, นพ.จํารูญ มีขนอน โดยมีผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีจํานวนมาก
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า วันนี้ เป็นโอกาสดีที่พวกเราชาวสาธารณสุข ได้แสดงความกตัญญู ระลึกถึงคุณงามความดีและพระคุณของท่านผู้อาวุโส รวมทั้งอดีตผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทุกท่านที่เคยเป็นผู้นําทางด้านนโยบาย ได้ทุ่มเทสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ รวมทั้งความเสียสละให้แก่กระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอด
“ในวาระอันเป็นมงคลนี้ ในนามของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ขอกราบคารวะท่านอดีตข้าราชการอาวุโสทุกท่าน รวมทั้งท่านที่มิได้อยู่ ณ ที่นี้ พร้อมกันนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อันเป็นที่เคารพสักการะ จงดลบันดาลให้ท่านมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของครอบครัว และยังประโยชน์แก่กระทรวงสาธารณสุขตลอดไป” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนให้ความสําคัญกับครอบครัวและผู้สูงอายุ ใช้โอกาสช่วงวันหยุดยาวนี้ กลับไปกราบขอพรพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ดูแลผู้สูงอายุด้วยความรัก ความกตัญญู เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย จัดพิธีสรงน้ําพระและรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ เนื่องในวันสงกรานต์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 เป็นต้นมา โดยกราบเรียนเชิญผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในอดีตและปัจจุบันเข้าร่วมในพิธี เป็นการแสดงความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูต่อผู้อาวุโส และผู้มีพระคุณ รวมทั้งจัดให้มีการละเล่นและการสาดน้ําคลายร้อน สร้างความสุขกายสบายใจ และสร้างความสามัคคีภายในองค์กร เป็นแบบอย่างที่ดีในการร่วมสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยต่อเนื่องทุกปี
************************************* 4 เมษายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11342
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ สั่งลุย ตั้งวอรูมทะลวงส่งออก ประชุม กรอ.นัดแรก เอกชนปลื้มคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
จุรินทร์ สั่งลุย ตั้งวอรูมทะลวงส่งออก ประชุม กรอ.นัดแรก เอกชนปลื้มคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์” หรือ กรอ.พาณิชย์ ครั้งที่ 1/2562 ในวันนี้ (14 สิงหาคม 2562)
โดยที่ประชุมได้หารือประเด็นสําคัญ ได้แก่ การพิจารณาแนวทางรับมือสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบทั่วโลก การผลักดันการส่งออกของไทย การส่งเสริมการค้าชายแดน รวมทั้งรับฟังข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในประเด็นต่างๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยส่งเสริมและสนับสนุน
ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ กรอ.พาณิชย์ เห็นชอบตั้งทีมวอร์รูม (War Room) ทําหน้าที่ติดตามสถานการณ์สงครามการค้าและเสนอแนวทางรับมืออย่างทันท่วงที ซึ่งจะประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ และคณะทํางาน รวมทั้ง คณะทํางานด้านกฎระเบียบ ทําหน้าที่รวบรวมและจัดลําดับความสําคัญของประเด็นปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ นําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา โดยต้องการให้รายงานตรงมีความว่องใว และจัดทําแผนการดําเนินการต่อไป
นอกจากนั้นได้ให้ตั้งคณะทํางานเจาะตลาดรายสินค้า บริการ และรายตลาด เพื่อเป็นเวทีให้ภาครัฐและเอกชนหารือเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวให้สอดรับกับการแข่งขันในภาวะที่ตลาดโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรื่องการเจาะตลาดเร่งด่วนนั้นถือเป็นวาระสําคัญ เช่นตลาดใกล้บ้าน CLMV กําพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น เพราะถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ นอกจากนั้น คือ ด้านตลาดจีน อินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่ยังสามารถฟื้นมาใหม่เพราะเราเคยเป็นคู่ค้าข้าวของไทยที่สําคัญ รวมทั้งจอร์แดน กาตาร์ คูเวต เป็นต้น โดยที่ประชุมกําหนดให้มีคณะทํางานขึ้นมาเจาะตลาดรายสินค้า
ส่วนเรื่องการค้าชายแดน จะดําเนินการให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นแม่งาน เน้นหารือและหาข้อเสนอร่วมเอกชนและรับฟังข้อเสนอของเอกชนที่เสนอเปิดด่านชายแดนหลายแห่ง ทั้งนี้เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการค้าจะได้ดําเนินการหารือฝ่ายเกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งการเสนอขยายเวลาเปิดด่านด้วย ซึ่งจะได้นําไปเจรจาเวทีร่วมระหว่างแต่ละประเทศชายแดนเร็วๆนี้ด้วย ซึ่งแผนงานที่ตั้งใจคือจะ "ทะลวงด่านค้างท่อ" ที่เป็นอุปสรรคปัญหาอยู่ให้หมดไป เพื่อส่งเสริมการค้า
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ท่ามกลางสถานการณ์สงครามทางการค้า ประเทศไทยควรใช้จุดแข็งในฐานะการเป็นฐานการผลิตที่มีศักยภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งสงครามการค้าที่ยืดเยื้อนี้ทําให้บริษัทต่างๆ พิจารณาการลงทุนในประเทศที่สามเพื่อลดความเสี่ยง ประเทศไทยจึงต้องมุ่งกําหนดวัตถุประสงค์การดึงดูดการลงทุนในแต่ละสาขาให้ชัดเจน ให้เอื้อต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมของเราเอง ตลอดจนประเมินความพร้อมระบบนิเวศน์ (ecosystem) และปัจจัยที่จําเป็นในการดึงดูดการลงทุน ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทําหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุน และพัฒนาเศรษฐกิจของไทยต่อไป
ด้านสํานักนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การค้า สรุปด้วยว่า โดยแนวนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ ทางฝ่ายเลขาฯได้วางแนวทางรับมือสงครามการค้า 4 ด้าน ตามนโยบายรมว.พาณิชย์ ได้แก่ (1) ด้านการรับมือการเบี่ยงเบนการค้า อาทิ การเฝ้าระวังการไหลทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ สอดส่องป้องกันการสวมสิทธิ์ (2) ด้านการตลาดและการส่งออก อาทิ บริหารจัดการตลาดส่งออก กระจายตลาด รุกตลาดเมืองรอง ส่งเสริมการค้าออนไลน์ เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) สร้างแบรนด์ ส่งเสริมการค้าชายแดน ปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยเปลี่ยนจากส่งออกสินค้าขั้นต้น/ขั้นกลางเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าเพิ่ม (3) ด้านการเจรจา เร่งการเจรจาความตกลงการค้าและการลงทุน (FTAs) และกระชับความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnerships) ตลอดจนการบริหารความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยต้องพิจารณาหลายมิติประกอบกัน เช่น เศรษฐกิจการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (4) ด้านการลงทุน ปรับนโยบายการลงทุนให้เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานของไทย ผลักดันให้มีการนําสินค้าไทยร่วมไปกับการลงทุนขาออก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ สั่งลุย ตั้งวอรูมทะลวงส่งออก ประชุม กรอ.นัดแรก เอกชนปลื้มคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
จุรินทร์ สั่งลุย ตั้งวอรูมทะลวงส่งออก ประชุม กรอ.นัดแรก เอกชนปลื้มคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์” หรือ กรอ.พาณิชย์ ครั้งที่ 1/2562 ในวันนี้ (14 สิงหาคม 2562)
โดยที่ประชุมได้หารือประเด็นสําคัญ ได้แก่ การพิจารณาแนวทางรับมือสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบทั่วโลก การผลักดันการส่งออกของไทย การส่งเสริมการค้าชายแดน รวมทั้งรับฟังข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในประเด็นต่างๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยส่งเสริมและสนับสนุน
ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ กรอ.พาณิชย์ เห็นชอบตั้งทีมวอร์รูม (War Room) ทําหน้าที่ติดตามสถานการณ์สงครามการค้าและเสนอแนวทางรับมืออย่างทันท่วงที ซึ่งจะประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ และคณะทํางาน รวมทั้ง คณะทํางานด้านกฎระเบียบ ทําหน้าที่รวบรวมและจัดลําดับความสําคัญของประเด็นปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ นําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา โดยต้องการให้รายงานตรงมีความว่องใว และจัดทําแผนการดําเนินการต่อไป
นอกจากนั้นได้ให้ตั้งคณะทํางานเจาะตลาดรายสินค้า บริการ และรายตลาด เพื่อเป็นเวทีให้ภาครัฐและเอกชนหารือเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวให้สอดรับกับการแข่งขันในภาวะที่ตลาดโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรื่องการเจาะตลาดเร่งด่วนนั้นถือเป็นวาระสําคัญ เช่นตลาดใกล้บ้าน CLMV กําพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น เพราะถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ นอกจากนั้น คือ ด้านตลาดจีน อินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่ยังสามารถฟื้นมาใหม่เพราะเราเคยเป็นคู่ค้าข้าวของไทยที่สําคัญ รวมทั้งจอร์แดน กาตาร์ คูเวต เป็นต้น โดยที่ประชุมกําหนดให้มีคณะทํางานขึ้นมาเจาะตลาดรายสินค้า
ส่วนเรื่องการค้าชายแดน จะดําเนินการให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นแม่งาน เน้นหารือและหาข้อเสนอร่วมเอกชนและรับฟังข้อเสนอของเอกชนที่เสนอเปิดด่านชายแดนหลายแห่ง ทั้งนี้เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการค้าจะได้ดําเนินการหารือฝ่ายเกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งการเสนอขยายเวลาเปิดด่านด้วย ซึ่งจะได้นําไปเจรจาเวทีร่วมระหว่างแต่ละประเทศชายแดนเร็วๆนี้ด้วย ซึ่งแผนงานที่ตั้งใจคือจะ "ทะลวงด่านค้างท่อ" ที่เป็นอุปสรรคปัญหาอยู่ให้หมดไป เพื่อส่งเสริมการค้า
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ท่ามกลางสถานการณ์สงครามทางการค้า ประเทศไทยควรใช้จุดแข็งในฐานะการเป็นฐานการผลิตที่มีศักยภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งสงครามการค้าที่ยืดเยื้อนี้ทําให้บริษัทต่างๆ พิจารณาการลงทุนในประเทศที่สามเพื่อลดความเสี่ยง ประเทศไทยจึงต้องมุ่งกําหนดวัตถุประสงค์การดึงดูดการลงทุนในแต่ละสาขาให้ชัดเจน ให้เอื้อต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมของเราเอง ตลอดจนประเมินความพร้อมระบบนิเวศน์ (ecosystem) และปัจจัยที่จําเป็นในการดึงดูดการลงทุน ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทําหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุน และพัฒนาเศรษฐกิจของไทยต่อไป
ด้านสํานักนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การค้า สรุปด้วยว่า โดยแนวนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ ทางฝ่ายเลขาฯได้วางแนวทางรับมือสงครามการค้า 4 ด้าน ตามนโยบายรมว.พาณิชย์ ได้แก่ (1) ด้านการรับมือการเบี่ยงเบนการค้า อาทิ การเฝ้าระวังการไหลทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ สอดส่องป้องกันการสวมสิทธิ์ (2) ด้านการตลาดและการส่งออก อาทิ บริหารจัดการตลาดส่งออก กระจายตลาด รุกตลาดเมืองรอง ส่งเสริมการค้าออนไลน์ เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) สร้างแบรนด์ ส่งเสริมการค้าชายแดน ปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยเปลี่ยนจากส่งออกสินค้าขั้นต้น/ขั้นกลางเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าเพิ่ม (3) ด้านการเจรจา เร่งการเจรจาความตกลงการค้าและการลงทุน (FTAs) และกระชับความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnerships) ตลอดจนการบริหารความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยต้องพิจารณาหลายมิติประกอบกัน เช่น เศรษฐกิจการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (4) ด้านการลงทุน ปรับนโยบายการลงทุนให้เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานของไทย ผลักดันให้มีการนําสินค้าไทยร่วมไปกับการลงทุนขาออก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22232
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจ่ายเงินช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี มีจิตสาธารณะ
|
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางจ่ายเงินช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี มีจิตสาธารณะ
กรมบัญชีกลางสรุปผลการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยตั้งแต่ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 จํานวน
14 ราย ได้จ่ายเงินชดเชยแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 3,394,020 บาท
นางญาณี แสงศรีจันทร์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า การจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ที่ได้รับอันตรายจนป่วยเจ็บ สูญเสียอวัยวะ พิการทุพพลภาพ จนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หรือถึงแก่ความตาย จนครอบครัวได้รับความเดือดร้อน เพราะเหตุช่วยเหลือราชการหรือปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี กรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินชดเชยไปแล้ว จํานวน 14 ราย (วันที่ 1 ตุลาคม 2560 – 26 มีนาคม 2561) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,394,020 บาท
สําหรับบุคคลผู้มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือ จะต้องเป็นผู้ที่ช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพลเมืองดี เช่น ช่วยสกัดคนร้าย การช่วยเหลือคนตกน้ํา จนเป็นเหตุให้ถูกทําร้ายหรือได้รับอันตรายถึงสูญเสียอวัยวะ หรือสูญเสียสมรรถภาพในการทํางานหรือพิการทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวต้องไม่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกิดจากความผิดของตนเอง ทางราชการจะให้ความช่วยเหลือบุคคล
ที่ทําความดี รวมถึงทายาท เป็นค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชย เงินดํารงชีพ และเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ ตามกรณี ดังนี้ 1) กรณีบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล 2) กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการทุพพลภาพ 3) กรณีทุพพลภาพขนาดหนัก และ 4) กรณีถึงแก่ความตาย
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า คนดี คนที่มีจิตสาธารณะเป็นเรื่องที่ควรให้การสนับสนุนและยกย่อง ซึ่งกรมบัญชีกลางมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือและส่งเสริมให้มีคนดีในสังคมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากพบเห็นคนดี สามารถแจ้งขอรับความช่วยเหลือได้ที่ท้องที่เกิดเหตุ หากเกิดในกรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ สํานักงานเขต สําหรับจังหวัดอื่นๆ ติดต่อได้ที่ ที่ว่าการอําเภอ และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cgd.go.th และ Facebook กองบริหารการเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บําเหน็จบํานาญ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจ่ายเงินช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี มีจิตสาธารณะ
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางจ่ายเงินช่วยเหลือและสนับสนุนคนดี มีจิตสาธารณะ
กรมบัญชีกลางสรุปผลการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยตั้งแต่ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 จํานวน
14 ราย ได้จ่ายเงินชดเชยแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 3,394,020 บาท
นางญาณี แสงศรีจันทร์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า การจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ที่ได้รับอันตรายจนป่วยเจ็บ สูญเสียอวัยวะ พิการทุพพลภาพ จนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หรือถึงแก่ความตาย จนครอบครัวได้รับความเดือดร้อน เพราะเหตุช่วยเหลือราชการหรือปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี กรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินชดเชยไปแล้ว จํานวน 14 ราย (วันที่ 1 ตุลาคม 2560 – 26 มีนาคม 2561) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,394,020 บาท
สําหรับบุคคลผู้มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือ จะต้องเป็นผู้ที่ช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพลเมืองดี เช่น ช่วยสกัดคนร้าย การช่วยเหลือคนตกน้ํา จนเป็นเหตุให้ถูกทําร้ายหรือได้รับอันตรายถึงสูญเสียอวัยวะ หรือสูญเสียสมรรถภาพในการทํางานหรือพิการทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวต้องไม่เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกิดจากความผิดของตนเอง ทางราชการจะให้ความช่วยเหลือบุคคล
ที่ทําความดี รวมถึงทายาท เป็นค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชย เงินดํารงชีพ และเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ ตามกรณี ดังนี้ 1) กรณีบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล 2) กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการทุพพลภาพ 3) กรณีทุพพลภาพขนาดหนัก และ 4) กรณีถึงแก่ความตาย
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า คนดี คนที่มีจิตสาธารณะเป็นเรื่องที่ควรให้การสนับสนุนและยกย่อง ซึ่งกรมบัญชีกลางมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือและส่งเสริมให้มีคนดีในสังคมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากพบเห็นคนดี สามารถแจ้งขอรับความช่วยเหลือได้ที่ท้องที่เกิดเหตุ หากเกิดในกรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ สํานักงานเขต สําหรับจังหวัดอื่นๆ ติดต่อได้ที่ ที่ว่าการอําเภอ และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cgd.go.th และ Facebook กองบริหารการเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บําเหน็จบํานาญ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11196
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้โรงพยาบาลสำรวจสิ่งก่อสร้าง เตรียมรับพายุฤดูร้อน
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
สธ.ให้โรงพยาบาลสํารวจสิ่งก่อสร้าง เตรียมรับพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานพยาบาลในสังกัด ให้สํารวจ อาคาร สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ให้แข็งแรง เตรียมพร้อมรับพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานพยาบาลในสังกัด ให้สํารวจ อาคาร สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ให้แข็งแรง เตรียมพร้อมรับพายุฤดูร้อน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่มีประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน คาดว่าในช่วงวันที่ 6 – 9 มีนาคม 2561 จะเกิดพายุฟ้าคะนองและเพิ่มความรุนแรงขึ้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลางและตะวันออก กระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับโรงพยาบาลในพื้นที่ดังกล่าว เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด สํารวจและซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่เก่าหรือชํารุดให้แข็งแรง เช่น สํารวจหลังคา โรงรถ ป้ายโรงพยาบาล สายไฟ กิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นต้น เตือนประชาชนและบุคลากรในพื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่/เสาไฟฟ้า/ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่/อาคารเก่าเสื่อมโทรม และเตรียมแผนสํารองการทํางานในภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถจัดบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ลดความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงาน โดยประสานโรงพยาบาลข้างเคียงร่วมจัดบริการ
ทั้งนี้ ขณะเกิดพายุลมแรง ขอให้ประชาชนในพื้นที่ หลีกเลี่ยงเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างที่อาจเป็นอันตราย เช่น ป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ อาจมีเศษไม้ ป้าย หลุดร่วงเป็นอันตราย หากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรแจ้งขอความช่วยเหลือด้านการแพทย์ได้ที่หมายเลข 1669ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้โรงพยาบาลสำรวจสิ่งก่อสร้าง เตรียมรับพายุฤดูร้อน
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
สธ.ให้โรงพยาบาลสํารวจสิ่งก่อสร้าง เตรียมรับพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานพยาบาลในสังกัด ให้สํารวจ อาคาร สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ให้แข็งแรง เตรียมพร้อมรับพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานพยาบาลในสังกัด ให้สํารวจ อาคาร สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ให้แข็งแรง เตรียมพร้อมรับพายุฤดูร้อน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่มีประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน คาดว่าในช่วงวันที่ 6 – 9 มีนาคม 2561 จะเกิดพายุฟ้าคะนองและเพิ่มความรุนแรงขึ้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลางและตะวันออก กระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับโรงพยาบาลในพื้นที่ดังกล่าว เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด สํารวจและซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่เก่าหรือชํารุดให้แข็งแรง เช่น สํารวจหลังคา โรงรถ ป้ายโรงพยาบาล สายไฟ กิ่งไม้ ต้นไม้ เป็นต้น เตือนประชาชนและบุคลากรในพื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่/เสาไฟฟ้า/ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่/อาคารเก่าเสื่อมโทรม และเตรียมแผนสํารองการทํางานในภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถจัดบริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ลดความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงาน โดยประสานโรงพยาบาลข้างเคียงร่วมจัดบริการ
ทั้งนี้ ขณะเกิดพายุลมแรง ขอให้ประชาชนในพื้นที่ หลีกเลี่ยงเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างที่อาจเป็นอันตราย เช่น ป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ อาจมีเศษไม้ ป้าย หลุดร่วงเป็นอันตราย หากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรแจ้งขอความช่วยเหลือด้านการแพทย์ได้ที่หมายเลข 1669ตลอด 24 ชั่วโมง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10580
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.