title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม.
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม.
รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม. โดยได้เพิ่มช่องทางสื่อสารเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม”
วันนี้ (3 เมษายน 2561) เวลา 13.45 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการสายตรงไทยนิยม โดยฝากสื่อมวลชนชี้แจงต่อประชาชนถึงช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล โดยได้เพิ่มช่องทางสื่อสารเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม” เพื่อรับคําร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่โครงการประชานิยม แต่เป็นอีกหนึ่งช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน ในขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความต้องการสาธารณูปโภคพื้นฐานมากถึง 50 % ทั้งนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การค้าขาย การคมนาคมได้สะดวก นอกจากนี้ ยังมีด้านสาธารณสุข 8 % ด้านการเกษตรประมาณ 10 % และด้านอื่นๆ เช่น การบริหารจัดการน้ํา เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การทํางานต้องทํางานในเชิงโครงสร้างในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ส่งเสริมผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งการดูแลแรงงานภาคการเกษตรให้กลับสู่ภูมิลําเนา รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบ ซึ่งได้ดําเนินการทบทวนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานให้มากขึ้น รวมทั้งการเจรจาค้าขายกับต่างประเทศ โดยต้องระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรภายในประเทศ ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนคํานึงถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งมีความจําเป็นต้องเร่งดําเนินการให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีศักยภาพ และเพิ่มรายได้สูงขึ้น
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม.
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม.
รัฐบาลเปิดสายตรงไทยนิยม ช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน 24 ชม. โดยได้เพิ่มช่องทางสื่อสารเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม”
วันนี้ (3 เมษายน 2561) เวลา 13.45 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการสายตรงไทยนิยม โดยฝากสื่อมวลชนชี้แจงต่อประชาชนถึงช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล โดยได้เพิ่มช่องทางสื่อสารเปิด Website และ Facebook ชื่อ “สายตรง ไทยนิยม” เพื่อรับคําร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่โครงการประชานิยม แต่เป็นอีกหนึ่งช่องทางการรับฟังปัญหาจากประชาชน ในขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความต้องการสาธารณูปโภคพื้นฐานมากถึง 50 % ทั้งนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การค้าขาย การคมนาคมได้สะดวก นอกจากนี้ ยังมีด้านสาธารณสุข 8 % ด้านการเกษตรประมาณ 10 % และด้านอื่นๆ เช่น การบริหารจัดการน้ํา เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การทํางานต้องทํางานในเชิงโครงสร้างในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ส่งเสริมผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งการดูแลแรงงานภาคการเกษตรให้กลับสู่ภูมิลําเนา รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบ ซึ่งได้ดําเนินการทบทวนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานให้มากขึ้น รวมทั้งการเจรจาค้าขายกับต่างประเทศ โดยต้องระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรภายในประเทศ ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนคํานึงถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งมีความจําเป็นต้องเร่งดําเนินการให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ เพื่อให้เป็นแรงงานที่มีศักยภาพ และเพิ่มรายได้สูงขึ้น
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11316
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุต เตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ก.อุต เตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมพร้อมรับลูกผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภายหลังมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ มุ่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษให้สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพในแต่ละพื้นที่ หวังยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนด้านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษผ่านการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะร่วมสานต่อภารกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาเชิงพื้นที่ตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยประสบผลสําเร็จ พร้อมตั้งเป้าหมายให้เกิดการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างประเทศ/ในประเทศใช้ไทยเป็น Hub ของอาเซียน (Connectivity) ตลอดจนมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ําและก่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) ต่อไป
โดยร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้จะเป็นกลไกในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ในการบริหารจัดการ กํากับติดตาม และสนับสนุนการดําเนินงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง10 แห่ง และพื้นที่ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ได้แก่ พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC - Bioeconomy) และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง - ตะวันตก (Western - Central Economic Corridor: WCEC) เป็นต้น
ก้าวต่อไปของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ จะเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใน
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมรองรับนักลงทุนที่สนใจเข้าไปลงทุน เช่น นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว นิคมอุตสาหกรรมสงขลา (สะเดา) จังหวัดสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมยางพารา จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมยางพารา จังหวัดสงขลา นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการรองรับผลผลิตยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ โดยคาดว่าเมื่อมีการใช้พื้นที่เต็มประสิทธิภาพแล้วจะทําให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 7,000 อัตรา และก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้กําหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมการขาย/เช่าที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมยางพารา เช่น มาตรการส่งเสริมการขาย จะได้รับส่วนลดร้อยละ 5 ของอัตราราคาขายที่ดิน ยกเว้นค่าบริการบํารุงรักษาสิ่งอํานวยความสะดวกในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญาซื้อขายที่ดิน และ
สามารถแบ่งชําระการซื้อที่ดินในการทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินได้ภายใน 6 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ต้องยื่นขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการต่อ กนอ. ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โอนที่ดินภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และแจ้งเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลา 2 ปี มาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินซึ่งจะได้รับยกเว้นค่าเช่าที่ดินในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาเช่าที่ดิน และยกเว้นค่าบริการบํารุงรักษาสิ่งอํานวยความสะดวกในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาเช่าที่ดิน โดยผู้ที่ได้รับสิทธิดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยางพาราขั้นปลาย (Downstream Rubber Industry) และผู้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยางพาราขั้นกลาง (Midstream Rubber Industry) ทําสัญญาเช่าที่ดินภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และมีระยะเวลาการเช่าไม่น้อยกว่า 20 ปี เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่กระทรวง ฯ ได้ดําเนินการ นั้น จะมีส่วนช่วยให้การพัฒนาเชิงพื้นที่ตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อันจะส่งผลในเชิงบวกต่อภาคเศรษฐกิจไทย ทั้งในระดับอุตสาหกรรม ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ รวมทั้งมีเม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ (Circulation) เพิ่มขึ้น มีการพึ่งพากันในพื้นที่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะนําไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่/คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังจะก่อให้เกิดการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพในแต่ละพื้นที่ มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างประเทศ/ในประเทศใช้ไทยเป็น Hub ของอาเซียน (Connectivity) ตลอดจนมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ําและก่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม(Inclusive Growth) ต่อไป นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุต เตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ก.อุต เตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมพร้อมดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมพร้อมรับลูกผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภายหลังมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ มุ่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษให้สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพในแต่ละพื้นที่ หวังยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนด้านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการดําเนินงานเพื่อขับเคลื่อนด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษผ่านการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะร่วมสานต่อภารกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาเชิงพื้นที่ตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยประสบผลสําเร็จ พร้อมตั้งเป้าหมายให้เกิดการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างประเทศ/ในประเทศใช้ไทยเป็น Hub ของอาเซียน (Connectivity) ตลอดจนมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ําและก่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) ต่อไป
โดยร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้จะเป็นกลไกในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ในการบริหารจัดการ กํากับติดตาม และสนับสนุนการดําเนินงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง10 แห่ง และพื้นที่ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ได้แก่ พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC - Creative LANNA) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC - Bioeconomy) และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง - ตะวันตก (Western - Central Economic Corridor: WCEC) เป็นต้น
ก้าวต่อไปของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ จะเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใน
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมรองรับนักลงทุนที่สนใจเข้าไปลงทุน เช่น นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว นิคมอุตสาหกรรมสงขลา (สะเดา) จังหวัดสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมยางพารา จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมยางพารา จังหวัดสงขลา นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการรองรับผลผลิตยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ โดยคาดว่าเมื่อมีการใช้พื้นที่เต็มประสิทธิภาพแล้วจะทําให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 7,000 อัตรา และก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้กําหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมการขาย/เช่าที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมยางพารา เช่น มาตรการส่งเสริมการขาย จะได้รับส่วนลดร้อยละ 5 ของอัตราราคาขายที่ดิน ยกเว้นค่าบริการบํารุงรักษาสิ่งอํานวยความสะดวกในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญาซื้อขายที่ดิน และ
สามารถแบ่งชําระการซื้อที่ดินในการทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินได้ภายใน 6 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ต้องยื่นขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการต่อ กนอ. ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โอนที่ดินภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และแจ้งเริ่มประกอบกิจการภายในระยะเวลา 2 ปี มาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินซึ่งจะได้รับยกเว้นค่าเช่าที่ดินในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาเช่าที่ดิน และยกเว้นค่าบริการบํารุงรักษาสิ่งอํานวยความสะดวกในปีแรก นับจากวันที่ทําสัญญาเช่าที่ดิน โดยผู้ที่ได้รับสิทธิดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยางพาราขั้นปลาย (Downstream Rubber Industry) และผู้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยางพาราขั้นกลาง (Midstream Rubber Industry) ทําสัญญาเช่าที่ดินภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และมีระยะเวลาการเช่าไม่น้อยกว่า 20 ปี เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่กระทรวง ฯ ได้ดําเนินการ นั้น จะมีส่วนช่วยให้การพัฒนาเชิงพื้นที่ตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อันจะส่งผลในเชิงบวกต่อภาคเศรษฐกิจไทย ทั้งในระดับอุตสาหกรรม ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ รวมทั้งมีเม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ (Circulation) เพิ่มขึ้น มีการพึ่งพากันในพื้นที่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะนําไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่/คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังจะก่อให้เกิดการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพในแต่ละพื้นที่ มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างประเทศ/ในประเทศใช้ไทยเป็น Hub ของอาเซียน (Connectivity) ตลอดจนมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ําและก่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม(Inclusive Growth) ต่อไป นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33034
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 63เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นตําบลท่าซัก อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทีม One Home พม. จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ประสบปัญหาทางสังคม
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ตนได้ลงมาเยี่ยมครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งผู้เป็นแม่ อายุ 39 ปี ต้องดูแลบุตรจํานวน 6 คน เนื่องจากได้แยกทางกับสามี ปัจจุบันผู้เป็นแม่ต้องทํางานรับจ้างหารายได้เลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ทําให้ประสบความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาของบุตรทั้ง 4 คนที่อยู่ในวัยเรียน อีกทั้งยังต้องเลี้ยงบุตรคนสุดท้องที่เพิ่งคลอดได้เพียง 1 เดือน ทําให้ไม่สามารถไปทํางานไกลได้ กระทรวง พม. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ลงมาให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ การมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมทั้งปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะห้องสุขา ซึ่งได้มอบให้ พอช. เตรียมสร้างให้แก่ครอบครัวดังกล่าวอีกด้วย
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ รัฐบาลและข้าราชการเดินทางมาช่วยเหลือ ซึ่งเราเป็นเหมือนไม้เท้า แต่พวกคุณต้องเดินเองต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ โดยเราจะมีสมุดพกครอบครัวเอาไว้ให้เพื่อดูความคืบหน้าของครอบครัวดังกล่าว เรามาแล้วจะไม่หายไป แต่จะติดตามให้ถึงที่สุด กระทรวง พม. จะช่วยเหลือด้านการให้คําปรึกษาและส่งเสริมประกอบอาชีพ ส่วนเด็กที่ไม่มีที่เรียนจะประสานให้เด็กมีที่เรียนจนจบการศึกษา สิ่งสําคัญที่สุดคือการศึกษา การศึกษาจะเป็นตัวที่ทําลายวงจรความยากจนได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลลูก 6 คน
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 63เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นตําบลท่าซัก อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทีม One Home พม. จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ประสบปัญหาทางสังคม
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ตนได้ลงมาเยี่ยมครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งผู้เป็นแม่ อายุ 39 ปี ต้องดูแลบุตรจํานวน 6 คน เนื่องจากได้แยกทางกับสามี ปัจจุบันผู้เป็นแม่ต้องทํางานรับจ้างหารายได้เลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ทําให้ประสบความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาของบุตรทั้ง 4 คนที่อยู่ในวัยเรียน อีกทั้งยังต้องเลี้ยงบุตรคนสุดท้องที่เพิ่งคลอดได้เพียง 1 เดือน ทําให้ไม่สามารถไปทํางานไกลได้ กระทรวง พม. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ลงมาให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ การมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมทั้งปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะห้องสุขา ซึ่งได้มอบให้ พอช. เตรียมสร้างให้แก่ครอบครัวดังกล่าวอีกด้วย
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ รัฐบาลและข้าราชการเดินทางมาช่วยเหลือ ซึ่งเราเป็นเหมือนไม้เท้า แต่พวกคุณต้องเดินเองต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ โดยเราจะมีสมุดพกครอบครัวเอาไว้ให้เพื่อดูความคืบหน้าของครอบครัวดังกล่าว เรามาแล้วจะไม่หายไป แต่จะติดตามให้ถึงที่สุด กระทรวง พม. จะช่วยเหลือด้านการให้คําปรึกษาและส่งเสริมประกอบอาชีพ ส่วนเด็กที่ไม่มีที่เรียนจะประสานให้เด็กมีที่เรียนจนจบการศึกษา สิ่งสําคัญที่สุดคือการศึกษา การศึกษาจะเป็นตัวที่ทําลายวงจรความยากจนได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34100
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ”
|
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ” (Digital Leadership for Executive Level) โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลภาครัฐ (TDGA) สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดขึ้น ซึ่งหลักสูตรฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ ได้ตระหนักถึงความสําคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนสําคัญ พร้อมทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องขององค์กรที่รับผิดชอบ รวมถึงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทํางาน แนวทางการให้บริการ ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร เพื่อการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการยกระดับคุณภาพการการบริหารจัดการ การให้บริการของภาครัฐที่มีการเชื่อมโยงข้อมูล การให้บริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง และระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ อันจะนําไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ”
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “ผู้บริหารด้านดิจิทัลภาครัฐ” (Digital Leadership for Executive Level) โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลภาครัฐ (TDGA) สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดขึ้น ซึ่งหลักสูตรฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ ได้ตระหนักถึงความสําคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนสําคัญ พร้อมทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องขององค์กรที่รับผิดชอบ รวมถึงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทํางาน แนวทางการให้บริการ ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร เพื่อการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการยกระดับคุณภาพการการบริหารจัดการ การให้บริการของภาครัฐที่มีการเชื่อมโยงข้อมูล การให้บริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง และระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ อันจะนําไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
***********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานร่วมงานเปิดตัว "พีทีทีกรุ๊ป อีวี บัส" รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกสนองนโยบายรัฐ มุ่งหวังเป็นต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน "พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า" พร้อมผู้บริหารกระทรวงพลังงาน โดยมีนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริษัทและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ซึ่งถือเป็นโครงการนําร่องการใช้พลังงานเชื้อเพลิงไฟฟ้าในกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ตามแผนการขับเคลื่อนภารกิจด้านพลังงาน เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย
พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส มีขนาดเทียบเท่ารถมินบัส โดยมีจํานวนทั้งสิ้น 3 คัน ประกอบด้วย รถโดยสารทั่วไป 2 คัน และรถที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษรองรับผู้พิการ 1 คัน แต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารนั่งได้จํานวน 20 คน ผู้โดยสารยืนจํานวน 20 คน รวม 40 คน ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมระบบปรับอากาศภายในตัวรถ กักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอร์รี่ลิเธียมขนาด 35.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) สําหรับรถโดยสารทั่วไป และขนาด 80 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) สําหรับรถที่มีอุปกรณ์พิเศษเพื่อผู้พิการ ใช้เวลาในการชาร์จแบบเร็ว 20 นาที และแบบปกติ 2 ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร และ 60-100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอร์รี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งได้มีการติดตั้งจุดชาร์จ ณ อาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ โดย พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส จะวิ่งในเส้นทางอาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต/MRT จตุจักร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานร่วมงานเปิดตัว "พีทีทีกรุ๊ป อีวี บัส" รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกสนองนโยบายรัฐ มุ่งหวังเป็นต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน "พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า" พร้อมผู้บริหารกระทรวงพลังงาน โดยมีนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริษัทและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ซึ่งถือเป็นโครงการนําร่องการใช้พลังงานเชื้อเพลิงไฟฟ้าในกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ตามแผนการขับเคลื่อนภารกิจด้านพลังงาน เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย
พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส มีขนาดเทียบเท่ารถมินบัส โดยมีจํานวนทั้งสิ้น 3 คัน ประกอบด้วย รถโดยสารทั่วไป 2 คัน และรถที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษรองรับผู้พิการ 1 คัน แต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารนั่งได้จํานวน 20 คน ผู้โดยสารยืนจํานวน 20 คน รวม 40 คน ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมระบบปรับอากาศภายในตัวรถ กักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอร์รี่ลิเธียมขนาด 35.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) สําหรับรถโดยสารทั่วไป และขนาด 80 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) สําหรับรถที่มีอุปกรณ์พิเศษเพื่อผู้พิการ ใช้เวลาในการชาร์จแบบเร็ว 20 นาที และแบบปกติ 2 ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร และ 60-100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอร์รี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งได้มีการติดตั้งจุดชาร์จ ณ อาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ โดย พีทีที กรุ๊ป อีวี บัส จะวิ่งในเส้นทางอาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต/MRT จตุจักร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4187
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ำ
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561
เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ํา
รัฐบาลเร่งรัดขับเคลื่อนงานสําคัญเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ จัดตั้งโรงเรียนคุณภาพประจําตําบลที่ท้องถิ่นยอมรับ เพื่อให้แต่ละตําบลมีโรงเรียนคุณภาพดีอย่างน้อย 1 แห่ง
พฤหัสบดีที่ 8 พ.ย.61
เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ํา
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งรัดขับเคลื่อนงานสําคัญเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ จัดตั้งโรงเรียนคุณภาพประจําตําบลที่ท้องถิ่นยอมรับ เพื่อให้แต่ละตําบลมีโรงเรียนคุณภาพดีอย่างน้อย 1 แห่ง จัดทําโครงการฝายมีชีวิตเพื่อชะลอน้ําและเติมน้ําในลุ่มน้ํา โดยประชาชนในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจกันออกแบบและก่อสร้าง สร้างศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยของประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านยางพารา ปาล์ม ข้าว หรือไม้มีค่า พัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวสู่หมู่บ้าน โดยชุมชนมีส่วนร่วม รวมทั้งจัดตั้งสํานักงานลดความเหลื่อมล้ําและแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อเป็นกลไกหลักในการทํางานเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561
เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ํา
รัฐบาลเร่งรัดขับเคลื่อนงานสําคัญเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ จัดตั้งโรงเรียนคุณภาพประจําตําบลที่ท้องถิ่นยอมรับ เพื่อให้แต่ละตําบลมีโรงเรียนคุณภาพดีอย่างน้อย 1 แห่ง
พฤหัสบดีที่ 8 พ.ย.61
เร่งเดินหน้า 5 โครงการ ลดความเหลื่อมล้ํา
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งรัดขับเคลื่อนงานสําคัญเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ จัดตั้งโรงเรียนคุณภาพประจําตําบลที่ท้องถิ่นยอมรับ เพื่อให้แต่ละตําบลมีโรงเรียนคุณภาพดีอย่างน้อย 1 แห่ง จัดทําโครงการฝายมีชีวิตเพื่อชะลอน้ําและเติมน้ําในลุ่มน้ํา โดยประชาชนในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจกันออกแบบและก่อสร้าง สร้างศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยของประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านยางพารา ปาล์ม ข้าว หรือไม้มีค่า พัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวสู่หมู่บ้าน โดยชุมชนมีส่วนร่วม รวมทั้งจัดตั้งสํานักงานลดความเหลื่อมล้ําและแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อเป็นกลไกหลักในการทํางานเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16647
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
|
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 63 เวลา 14.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ ตัวแทนของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตัวแทนกรุงเทพมหานคร โดยสํานักงานเขตหนอกจอก และตัวแทนชาวชุมชนโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง เขตหนองจอก ได้มาร่วมประชุมลงบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการโอนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ของโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้กับ กทม. ดูแลเป็นผลสําเร็จแล้ว ซึ่งปัญหาการโอนพื้นที่ดังกล่าวมีมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนเมื่อตนได้ลงพื้นที่ไปพบกับชาวชุมชน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยขอให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยทําความเข้าใจกัน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่จะทําการโอนให้กับ กทม. ดูแลต่อไปนั้น เป็นพื้นที่ 5 แปลง ที่อยู่ในโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง จํานวน 6 ชุมชน ซึ่งต่อไป กทม. จะเข้ามาพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อนํามาปรับปรุงพื้นที่ สร้างอาคาร และจัดการให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในชุมชนต่อไป ด้านประธานชุมชนที่มาเป็นตัวแทนชาวชุมชนในวันนี้ ได้แสดงความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการร้องเรียนไปยัง กทม. และยังมีปัญหาติดขัด วันนี้จึงถือว่าเป็นวันที่รอคอย สามารถทําให้ข้อตกลงได้ข้อยุติและประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
พม. จับมือ กทม. โอนพื้นที่ โครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้ กทม. ดูแล
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 63 เวลา 14.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ ตัวแทนของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตัวแทนกรุงเทพมหานคร โดยสํานักงานเขตหนอกจอก และตัวแทนชาวชุมชนโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง เขตหนองจอก ได้มาร่วมประชุมลงบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการโอนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ของโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง ให้กับ กทม. ดูแลเป็นผลสําเร็จแล้ว ซึ่งปัญหาการโอนพื้นที่ดังกล่าวมีมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนเมื่อตนได้ลงพื้นที่ไปพบกับชาวชุมชน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยขอให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยทําความเข้าใจกัน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่จะทําการโอนให้กับ กทม. ดูแลต่อไปนั้น เป็นพื้นที่ 5 แปลง ที่อยู่ในโครงการเคหะชุมชนฉลองกรุง จํานวน 6 ชุมชน ซึ่งต่อไป กทม. จะเข้ามาพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อนํามาปรับปรุงพื้นที่ สร้างอาคาร และจัดการให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในชุมชนต่อไป ด้านประธานชุมชนที่มาเป็นตัวแทนชาวชุมชนในวันนี้ ได้แสดงความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการร้องเรียนไปยัง กทม. และยังมีปัญหาติดขัด วันนี้จึงถือว่าเป็นวันที่รอคอย สามารถทําให้ข้อตกลงได้ข้อยุติและประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30875
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ลุ่มน้ำเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร)
|
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร)
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร) พร้อมมอบหมายกรมชลประทานบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร) ณ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษาเพชรบุรี ว่า สถานการณ์น้ําในแม่น้ําเพชรบุรี จ.เพชรบุรี ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ส.ค. 61) มีปริมาณน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน จํานวน 773 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 109 ของความจุอ่างฯ ส่งผลให้บริเวณ อ.แก่งกระจาน และ อ.ท่ายาง มีน้ําล้นตลิ่งบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ําริม 2 ฝั่งแม่น้ํา ซึ่งปริมาณน้ําในเขื่อนแก่งกระจานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริเวณหน้าเขื่อนเพชร กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ผันน้ําเข้าระบบชลประทาน และคลองระบายน้ํา D9 รวมกันประมาณ 120 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ําไปออกทะเล ส่วนที่เหลือจะควบคุมให้ไหลผ่านเขื่อนเพชรลงสู่แม่น้ําเพชรบุรี ในอัตราประมาณ 160 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะไหลผ่าน อ.ท่ายาง และ อ.บ้านลาด ขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบน้ําล้นตลิ่ง ส่วนพื้นที่บริเวณที่ลุ่มต่ําในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี ได้รับผลกระทบมีน้ําล้นตลิ่งในบางแห่ง อาทิ บริเวณสนามฟุตบอลวิทยาลัยเทคนิคเพชรบุรี โรงน้ําแข็งธนสิทธิ์ สะพานลําไย และสะพานใหญ่ เป็นต้น
ทั้งนี้ จังหวัดเพชรบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการเสริมกระสอบทรายในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กรมชลประทาน ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการทํางานร่วมกันในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมต่าง ๆ อีกทั้งให้กรมชลประทานเตรียมความพร้อม โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อเร่งระบายน้ํา หากเกิดน้ําท่วมขังในเขตชุมชน พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่การเกษตร รวมทั้ง การเตรียมพร้อมเครื่องจักรกล เครื่องมือต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ตลอด 24 ชั่วโมง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ลุ่มน้ำเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร)
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร)
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ลักษณ์" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร) พร้อมมอบหมายกรมชลประทานบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา ลุ่มน้ําเพชรบุรี (เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนเพชร) ณ โครงการส่งน้ําและบํารุงรักษาเพชรบุรี ว่า สถานการณ์น้ําในแม่น้ําเพชรบุรี จ.เพชรบุรี ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ส.ค. 61) มีปริมาณน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน จํานวน 773 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 109 ของความจุอ่างฯ ส่งผลให้บริเวณ อ.แก่งกระจาน และ อ.ท่ายาง มีน้ําล้นตลิ่งบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ําริม 2 ฝั่งแม่น้ํา ซึ่งปริมาณน้ําในเขื่อนแก่งกระจานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริเวณหน้าเขื่อนเพชร กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ผันน้ําเข้าระบบชลประทาน และคลองระบายน้ํา D9 รวมกันประมาณ 120 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ําไปออกทะเล ส่วนที่เหลือจะควบคุมให้ไหลผ่านเขื่อนเพชรลงสู่แม่น้ําเพชรบุรี ในอัตราประมาณ 160 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะไหลผ่าน อ.ท่ายาง และ อ.บ้านลาด ขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบน้ําล้นตลิ่ง ส่วนพื้นที่บริเวณที่ลุ่มต่ําในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี ได้รับผลกระทบมีน้ําล้นตลิ่งในบางแห่ง อาทิ บริเวณสนามฟุตบอลวิทยาลัยเทคนิคเพชรบุรี โรงน้ําแข็งธนสิทธิ์ สะพานลําไย และสะพานใหญ่ เป็นต้น
ทั้งนี้ จังหวัดเพชรบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการเสริมกระสอบทรายในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กรมชลประทาน ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการทํางานร่วมกันในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมต่าง ๆ อีกทั้งให้กรมชลประทานเตรียมความพร้อม โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อเร่งระบายน้ํา หากเกิดน้ําท่วมขังในเขตชุมชน พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่การเกษตร รวมทั้ง การเตรียมพร้อมเครื่องจักรกล เครื่องมือต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ตลอด 24 ชั่วโมง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14823
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ควงแขน สคช. ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบอาชีพอิสระ นำร่องเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพผู้ร่วมโครงการฮักแท็กซี่สำเร็จทะลุร้อยราย
|
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562
SME D Bank ควงแขน สคช. ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบอาชีพอิสระ นําร่องเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพผู้ร่วมโครงการฮักแท็กซี่สําเร็จทะลุร้อยราย
SME D Bank จับมือ สคช. ลงนาม MOU ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ ผ่านกิจกรรมเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพ หนุนสร้างโอกาสเติบโต ต่อยอดสู่แหล่งทุน ปูทางชีวิตดีมีสุข เบื้องต้นนําร่องติดปีกผู้แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ “ฮักแท็กซี่ฯ”
SME D Bank จับมือ สคช. ลงนาม MOU ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ ผ่านกิจกรรมเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพ หนุนสร้างโอกาสเติบโต ต่อยอดสู่แหล่งทุน ปูทางชีวิตดีมีสุข เบื้องต้นนําร่องติดปีกผู้แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ “ฮักแท็กซี่ฯ” สําเร็จแล้วกว่าร้อยราย เดินหน้าขยายสู่สาขาอาชีพอิสระอื่นๆ เชื่อเกิดประโยชน์สร้างงาน เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ํา กระจายสู่ชุมชน พาเศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
วันนี้ ( 5 มี.ค.) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ
นายพิสิฐ รังสฤษฏ์วุฒิกุล ผู้อํานวยการ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. กล่าวว่า สคช. ดําเนินงานตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลในหลากหลายมิติ ประสานความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะตรงความต้องการของตลาดงาน โดยความร่วมมือกับ SME D Bank ในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าของความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดย สคช. จะดําเนินการฝึกอบรมเติมทักษะที่จําเป็นให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระในสาขาต่างๆ เมื่อผ่านการฝึกอบรมและประเมินแล้ว ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ ยืนยันตัวตนในอาชีพ การันตีความสามารถ ช่วยสร้างเสริมโอกาสในอาชีพที่ทําอยู่ ตลอดจนสามารถนําความรู้ไปต่อยอดอาชีพ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างความมั่นคง และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพคนไทยในทุกๆ สาขาวิชาชีพ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่ธนาคาร ร่วมกับ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํารวจสถานภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ “จุลเอสเอ็มอี” กว่า 3 ล้านราย อยู่นอกระบบ ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอิสระต่างๆ โดยที่ผ่านมา เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ และมีขีดความสามารถทางธุรกิจต่ํามาก ดังนั้น ธนาคารจึงกําหนดบทบาทเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐที่จะดูแลสนับสนุนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง
แนวทางการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน จะมอบ “3 เติม” ได้แก่ เติมทักษะ เติมทุน และเติมคุณภาพชีวิต โดยด้าน “เติมทักษะ” เพิ่มความรู้ ความสามารถการประกอบอาชีพอิสระให้มีมาตรฐานดีเยี่ยม เป็นที่ยอมรับ น่าเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ประกอบอาชีพอิสระที่เข้าร่วมโครงการกับ SME D Bank จะได้รับการเติมทักษะที่จําเป็นต่างๆ เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต พัฒนาบรรจุภัณฑ์ การบริหารจัดการ ระบบการเงิน ระบบขนส่ง และการส่งเสริมการตลาด ตลอดจนด้านอื่นๆที่จําเป็น เป็นต้น ซึ่งธนาคารได้รับความกรุณาจาก สคช. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบอาชีพอิสระ มาทําหน้าที่จัดฝึกอบรมความรู้ และประเมินผล เบื้องต้นนําร่องเติมทักษะให้แก่ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ ในกิจกรรม "ติดปีกฮักแท็กซี่ ทะยานสู่บริการที่เหนือกว่า" ซึ่งประสบความสําเร็จอย่างสูง มีผู้ขับแท็กซี่ ผ่านกิจกรรมดังกล่าวแล้ว 137 คน ทั้งหมดต่างพอใจที่ได้รับการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ เพราะช่วยการันตีคุณภาพเป็น “แท็กซี่มืออาชีพ” สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสาร นําไปสู่การสร้างโอกาสดีๆ ในการประกอบอาชีพต่อไป
นายมงคล กล่าวต่อว่า จากความสําเร็จดังกล่าว ธนาคาร และ สคช. จึงร่วมกันขยายการเติมทักษะให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระสาขาอื่นๆ เช่น ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจขนส่งชุมชน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร เป็นต้น เมื่อได้รับการเติมทักษะแล้ว หากต้องการเงินทุน เพื่อต่อยอดอาชีพ ธนาคารได้เตรียมบริการ “เติมทุน” ผ่านโครงการสินเชื่อต่างๆ เช่น สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยถูก สําหรับบุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ย 3ปีแรกเพียง 0.42% ต่อเดือน ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย และหากยกระดับเข้าสู่การเป็นนิติบุคคล จัดทําบัญชีเดียว อัตราดอกเบี้ยจะถูกลงไปอีก โดย 3 ปีแรกเหลือเพียง 0.25% ต่อเดือนเท่านั้น ส่วนปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยถูกสุดในระบบ เพียง 0.08%ต่อเดือน คงที่นาน 7 ปี (ตลอดอายุสัญญา) กู้ 1 ล้านบาทผ่อนเพียง 410 บาทต่อวัน เป็นต้น
เมื่อได้รับการ “เติมทักษะ” และ “เติมทุน” จะนําไปสู่การ “เติมคุณภาพชีวิต” ช่วยให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ รวมถึงครอบครัว อยู่ดี กินดี มีสวัสดิการในชีวิตมั่นคง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ยังส่งผลดีไปในด้านสังคมอยู่ดีมีสุขอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ควงแขน สคช. ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบอาชีพอิสระ นำร่องเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพผู้ร่วมโครงการฮักแท็กซี่สำเร็จทะลุร้อยราย
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562
SME D Bank ควงแขน สคช. ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบอาชีพอิสระ นําร่องเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพผู้ร่วมโครงการฮักแท็กซี่สําเร็จทะลุร้อยราย
SME D Bank จับมือ สคช. ลงนาม MOU ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ ผ่านกิจกรรมเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพ หนุนสร้างโอกาสเติบโต ต่อยอดสู่แหล่งทุน ปูทางชีวิตดีมีสุข เบื้องต้นนําร่องติดปีกผู้แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ “ฮักแท็กซี่ฯ”
SME D Bank จับมือ สคช. ลงนาม MOU ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ ผ่านกิจกรรมเติมทักษะมาตรฐานวิชาชีพ หนุนสร้างโอกาสเติบโต ต่อยอดสู่แหล่งทุน ปูทางชีวิตดีมีสุข เบื้องต้นนําร่องติดปีกผู้แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ “ฮักแท็กซี่ฯ” สําเร็จแล้วกว่าร้อยราย เดินหน้าขยายสู่สาขาอาชีพอิสระอื่นๆ เชื่อเกิดประโยชน์สร้างงาน เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ํา กระจายสู่ชุมชน พาเศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
วันนี้ ( 5 มี.ค.) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการอาชีพอิสระ
นายพิสิฐ รังสฤษฏ์วุฒิกุล ผู้อํานวยการ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. กล่าวว่า สคช. ดําเนินงานตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลในหลากหลายมิติ ประสานความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน พัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะตรงความต้องการของตลาดงาน โดยความร่วมมือกับ SME D Bank ในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าของความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดย สคช. จะดําเนินการฝึกอบรมเติมทักษะที่จําเป็นให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระในสาขาต่างๆ เมื่อผ่านการฝึกอบรมและประเมินแล้ว ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ ยืนยันตัวตนในอาชีพ การันตีความสามารถ ช่วยสร้างเสริมโอกาสในอาชีพที่ทําอยู่ ตลอดจนสามารถนําความรู้ไปต่อยอดอาชีพ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างความมั่นคง และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพคนไทยในทุกๆ สาขาวิชาชีพ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่ธนาคาร ร่วมกับ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํารวจสถานภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ “จุลเอสเอ็มอี” กว่า 3 ล้านราย อยู่นอกระบบ ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพอิสระต่างๆ โดยที่ผ่านมา เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ และมีขีดความสามารถทางธุรกิจต่ํามาก ดังนั้น ธนาคารจึงกําหนดบทบาทเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐที่จะดูแลสนับสนุนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง
แนวทางการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน จะมอบ “3 เติม” ได้แก่ เติมทักษะ เติมทุน และเติมคุณภาพชีวิต โดยด้าน “เติมทักษะ” เพิ่มความรู้ ความสามารถการประกอบอาชีพอิสระให้มีมาตรฐานดีเยี่ยม เป็นที่ยอมรับ น่าเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ประกอบอาชีพอิสระที่เข้าร่วมโครงการกับ SME D Bank จะได้รับการเติมทักษะที่จําเป็นต่างๆ เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต พัฒนาบรรจุภัณฑ์ การบริหารจัดการ ระบบการเงิน ระบบขนส่ง และการส่งเสริมการตลาด ตลอดจนด้านอื่นๆที่จําเป็น เป็นต้น ซึ่งธนาคารได้รับความกรุณาจาก สคช. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบอาชีพอิสระ มาทําหน้าที่จัดฝึกอบรมความรู้ และประเมินผล เบื้องต้นนําร่องเติมทักษะให้แก่ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ ในกิจกรรม "ติดปีกฮักแท็กซี่ ทะยานสู่บริการที่เหนือกว่า" ซึ่งประสบความสําเร็จอย่างสูง มีผู้ขับแท็กซี่ ผ่านกิจกรรมดังกล่าวแล้ว 137 คน ทั้งหมดต่างพอใจที่ได้รับการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ เพราะช่วยการันตีคุณภาพเป็น “แท็กซี่มืออาชีพ” สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสาร นําไปสู่การสร้างโอกาสดีๆ ในการประกอบอาชีพต่อไป
นายมงคล กล่าวต่อว่า จากความสําเร็จดังกล่าว ธนาคาร และ สคช. จึงร่วมกันขยายการเติมทักษะให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระสาขาอื่นๆ เช่น ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจขนส่งชุมชน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร เป็นต้น เมื่อได้รับการเติมทักษะแล้ว หากต้องการเงินทุน เพื่อต่อยอดอาชีพ ธนาคารได้เตรียมบริการ “เติมทุน” ผ่านโครงการสินเชื่อต่างๆ เช่น สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยถูก สําหรับบุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ย 3ปีแรกเพียง 0.42% ต่อเดือน ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย และหากยกระดับเข้าสู่การเป็นนิติบุคคล จัดทําบัญชีเดียว อัตราดอกเบี้ยจะถูกลงไปอีก โดย 3 ปีแรกเหลือเพียง 0.25% ต่อเดือนเท่านั้น ส่วนปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยถูกสุดในระบบ เพียง 0.08%ต่อเดือน คงที่นาน 7 ปี (ตลอดอายุสัญญา) กู้ 1 ล้านบาทผ่อนเพียง 410 บาทต่อวัน เป็นต้น
เมื่อได้รับการ “เติมทักษะ” และ “เติมทุน” จะนําไปสู่การ “เติมคุณภาพชีวิต” ช่วยให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ รวมถึงครอบครัว อยู่ดี กินดี มีสวัสดิการในชีวิตมั่นคง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ยังส่งผลดีไปในด้านสังคมอยู่ดีมีสุขอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19137
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจำกัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน [กระทรวงคมนาคม]
|
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2563
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน [กระทรวงคมนาคม]
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนี้
อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ทดม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
- ชั้น 1 (ขาเข้าระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 1 เท่านั้น สําหรับทางออกให้ใช้ประตู 1 และ 6
- ชั้น 3 (ขาออกระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้า - ออก เฉพาะประตู 1 เท่านั้น
- ผู้ที่ใช้สะพานเชื่อมจากโรงแรมอมารีแอร์พอร์ต สามารถเข้าอาคารผู้โดยสาร ได้เฉพาะที่ ชั้น 1 ประตู 1 เท่านั้น
อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. เปิดให้บริการ เวลา 06.00 น. - 20.30 น.
- ชั้น 1 (ขาเข้าภายในประเทศ) เปิดทางเข้า - ออก เฉพาะประตู 15 เท่านั้น
- ชั้น 3 (ขาออกภายในประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 14 เท่านั้น สําหรับทางออกให้ใช้ประตู 15
ทางเชื่อมระหว่างอาคารจอดรถ 7 ชั้น และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. กําหนดช่องทางการเข้า - ออก ดังนี้
- ชั้น 2 เปิดเฉพาะทางเข้า ตั้งแต่เวลา 04.45 น. - 20.30 น. สําหรับทางออกเปิด 24 ชั่วโมง
- ชั้น 1, 3 และ 4 ปิดการใช้งาน
สําหรับ ผู้ที่ผ่านประตูทางเข้าต้องผ่านการคัดกรองด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ หากมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าหรือเท่ากับ 37.5 องศาเซลเซียส เจ้าหน้าที่จะแนะนําให้พักรอ และทําการตรวจซ้ําอีกครั้ง ซึ่งหากยังตรวจพบอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าค่าที่กําหนด จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอาคาร ในกรณีที่เป็นผู้โดยสาร ทดม.จะประสานทางสายการบินที่ผู้โดยสารสํารองที่นั่งไว้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์ร่วมกันประเมินอาการ เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้โดยสารเดินทางหรือไม่
ทั้งนี้ ทดม.ขอความร่วมมือให้ใช้ประตูทางเข้า-ออกที่กําหนดไว้เท่านั้น จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
นอกจากนี้ ทดม.ยังคงเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารตลอดเวลาหากได้รับการประกาศแจ้งเตือนการยกระดับในเรื่องดังกล่าว และประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์และมาตรการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดหากพบเห็นปัญหาการให้บริการ หรือปัญหาอื่น ๆ สามารถแจ้งไปยัง AOT Contact Center 1722 หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทดม.โทร 0 2535 1192 ตลอด 24 ชั่วโมง
************************
ส่วนกิจการพิเศษและมวลชนสัมพันธ์
ท่าอากาศยานดอนเมือง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจำกัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2563
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน [กระทรวงคมนาคม]
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปรับเวลาการเปิดให้บริการ และมาตรการในการจํากัดช่องทางเข้า - ออกภายในอาคารผู้โดยสาร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนี้
อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ทดม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
- ชั้น 1 (ขาเข้าระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 1 เท่านั้น สําหรับทางออกให้ใช้ประตู 1 และ 6
- ชั้น 3 (ขาออกระหว่างประเทศ) เปิดทางเข้า - ออก เฉพาะประตู 1 เท่านั้น
- ผู้ที่ใช้สะพานเชื่อมจากโรงแรมอมารีแอร์พอร์ต สามารถเข้าอาคารผู้โดยสาร ได้เฉพาะที่ ชั้น 1 ประตู 1 เท่านั้น
อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. เปิดให้บริการ เวลา 06.00 น. - 20.30 น.
- ชั้น 1 (ขาเข้าภายในประเทศ) เปิดทางเข้า - ออก เฉพาะประตู 15 เท่านั้น
- ชั้น 3 (ขาออกภายในประเทศ) เปิดทางเข้าเฉพาะประตู 14 เท่านั้น สําหรับทางออกให้ใช้ประตู 15
ทางเชื่อมระหว่างอาคารจอดรถ 7 ชั้น และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ทดม. กําหนดช่องทางการเข้า - ออก ดังนี้
- ชั้น 2 เปิดเฉพาะทางเข้า ตั้งแต่เวลา 04.45 น. - 20.30 น. สําหรับทางออกเปิด 24 ชั่วโมง
- ชั้น 1, 3 และ 4 ปิดการใช้งาน
สําหรับ ผู้ที่ผ่านประตูทางเข้าต้องผ่านการคัดกรองด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ หากมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าหรือเท่ากับ 37.5 องศาเซลเซียส เจ้าหน้าที่จะแนะนําให้พักรอ และทําการตรวจซ้ําอีกครั้ง ซึ่งหากยังตรวจพบอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าค่าที่กําหนด จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอาคาร ในกรณีที่เป็นผู้โดยสาร ทดม.จะประสานทางสายการบินที่ผู้โดยสารสํารองที่นั่งไว้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์ร่วมกันประเมินอาการ เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้โดยสารเดินทางหรือไม่
ทั้งนี้ ทดม.ขอความร่วมมือให้ใช้ประตูทางเข้า-ออกที่กําหนดไว้เท่านั้น จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
นอกจากนี้ ทดม.ยังคงเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารตลอดเวลาหากได้รับการประกาศแจ้งเตือนการยกระดับในเรื่องดังกล่าว และประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์และมาตรการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดหากพบเห็นปัญหาการให้บริการ หรือปัญหาอื่น ๆ สามารถแจ้งไปยัง AOT Contact Center 1722 หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทดม.โทร 0 2535 1192 ตลอด 24 ชั่วโมง
************************
ส่วนกิจการพิเศษและมวลชนสัมพันธ์
ท่าอากาศยานดอนเมือง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28455
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง อีอีซี โมเดล ครั้งที่ 1/2563 พร้อมด้วย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะทํางานเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 ถนนศรีอยุธยา
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาบุคลากรกับผู้ประกอบการ ตามแนวทางอีอีซี โมเดล และการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานในการพัฒนาบุคลากร โดยมีรายละเอียดที่สําคัญ ๆ ดังนี้
ให้ดําเนินการพัฒนาบุคลากรแบบ Demand Driven เป็นแนวทางหลัก ซึ่งแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) นั้นมีอยู่ 2 รูปแบบคือ (1) EEC Model Type A (2) EEC Model Type B ซึ่งมอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ปรับการเรียนหลักสูตรการเรียนการสอนในหลักสูตรที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (Degree) เป็นแบบ EEC Model Type A ให้มากที่สุด โดยให้ EEC-HDC ประสานงานโครงการการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน (Cooperative Work Integrated Education : CWIE) และหาแนวทางและเป้าหมายเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
สําหรับความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผลักดันให้สถาบันอาชีวศึกษาในภาคตะวันออก จํานวน 12 สถาบันอาชีวศึกษา ซึ่งมีกําลังการผลิตนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง (ปวส.) รวมปีละ 8,200 คน เป็นรูปแบบ EEC Model Type A ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของผู้สําเร็จการศึกษา ปวส. ในปี 2566 (ดําเนินการแล้วประมาณ 1,500 คน ต้องการเพิ่ม 7,000 คน) ขยายจํานวนนักศึกษาที่เข้าอบรมหลักสูตรระยะสั้น (short course) รัฐเอกชนร่วมจ่าย 50 : 50 ให้ได้ 20,000 คน ในปีงบประมาณ 2564
ให้ขยายผล การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการภาษากับเนื้อหา (Content and Language Integrated Learning - CLIL) กับการเรียนการสอนกลุ่มอาชีวศึกษา ซึ่งผู้สอนในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ นําภาษาอังกฤษไปสอดแทรกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษเฉพาะทางได้ เน้นให้ผู้เรียนรู้จักและใช้คําศัพท์ภาษาอังกฤษที่พบในวิชาชีพ และสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
- ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
ให้หน่วยฝึกอบรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานใน อีอีซี เช่น สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Manufacturing Automation and Robotics Academy : MARA) ทํางานร่วมกับภาคเอกชนให้มากขึ้น ทั้งการฝึกอบรม Re skill - Up skill - New skill ในหลักสูตรอบรมระยะสั้น (short course)
- กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสร้างหลักสูตรอบรมระยะสั้น (short course)รัฐเอกชน ร่วมจ่าย 50:50 และเป็นแกนนําประสานภาคอุตสาหกรรมเชื่อมต่อการศึกษา และฝึกอบรมเพิ่มทักษะแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
- ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับ สป.อว.
1.) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาตามแนวทาง Demand Driven โดยบูรณาการจัดการศึกษาในรูปแบบ EEC Model และ ความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน (CWIE) ให้สามารถพัฒนากําลังคนได้ตรงความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตมากที่สุดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
2.) กําหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามแนวทางดังกล่าว และให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนที่ร่วมผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นการจูงใจเป็นพิเศษ
3.) ขอให้ สป.อว. เร่งขยายจํานวนหลักสูตร CWIE ตามแนวทาง EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรของ อีอีซี ให้ได้ 100,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
สําหรับเรื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กับการเปลี่ยนแปลงความต้องการบุคลากรจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลกนับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบรุนแรงไปทั่วโลก เกิดความผันผวนในตลาดการเงินปัญหาด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และการขนส่ง จากความจําเป็นที่หลายประเทศจะต้องปิดเมืองสําหรับประเทศไทยส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน ประกอบกับมีมาตรการ Lock Down ซึ่งจําเป็นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักฉับพลันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจผู้ประกอบการหลายรายลดการจ้างงาน การชะลอการตัดสินใจลงทุนใหม่ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน
ทั้งนี้ จากการประเมินถึงผลกระทบของ COVID-19 ต่ออีอีซี ในเบื้องต้นพบว่า GPP จะลดลงมาก โดยใน 6 เดือนแรก คาดว่ารายได้จากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้ที่สําคัญของอีอีซี จะลดลงประมาณร้อยละ 90 เป็นเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่การจ้างงานจะลดลงกว่า 50,000 คน แบ่งเป็นการลดลงจากการถูกเลิกจ้าง 30,000 คน และอีก 20,000 คน เกิดจากการที่ผู้ที่จบการศึกษาใหม่ไม่สามารถหางานทําได้ อย่างไรก็ดีภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมแรกที่ฟื้นตัว ภายหลังที่วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรองลงมา ได้แก่อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามลําดับ โดยได้รับผลกระทบระหว่างร้อยละ 40 - 60 โดยอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ดร.สุวิทย์ ได้เสนอให้พื้นที่อีอีซี ดึงดูดการลงทุนธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)โดยประเทศไทยมีต้นทุนทางทรัพยากรและศักยภาพในธุรกิจประเภทบีซีจีอยู่แล้วทั้งด้านเกษตรอาหาร และการแพทย์และสุขภาพ และเห็นว่าหลังวิกฤต COVID-19 ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างอาชีพ สร้างงานใหม่ เพื่อรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และอาชีพใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนแรงงานที่มีอยู่ในระบบ และนักศึกษาจบใหม่ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ Re skill - Up skill ผ่านหลักสูตรการอบรมระยะต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านกําลังคนที่มีทักษะรองรับการลงทุน
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทางอีอีซีโมเดล มีแผนในการสํารวจความต้องการบุคลากรหลังประเทศไทยเผชิญกับวิกฤต COVID-19 เพื่อทําเป็นฐานข้อมูลกลางเพื่อให้ทราบถึงความต้องการกําลังคนได้รับผลกระทบและมีความเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนํามาสู่การวางแผนพัฒนากําลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศหลัง COVID-19 โดย สอวช. พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางและแบบสํารวจฐานข้อมูลความต้องการกําลังคนที่สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เคยดําเนินการสํารวจ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเจาะลึกถึงตําแหน่งงานและทักษะเพื่อนํามาพัฒนาต่อยอดเป็นแบบสํารวจกลางที่จะพัฒนาขึ้นมาร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมอาชีวศึกษา อีอีซี รวมทั้งบีโอไอ โดยจะใช้สํารวจผลกระทบและความต้องการแรงงานแบบบูรณาการร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ รมว.อว. ยังได้เสนอให้มีการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่หรือคนว่างงาน ลงพื้นที่นําองค์ความรู้ช่วยชุมชน รวมถึงลงพื้นที่สํารวจข้อมูลผลกระทบและความต้องการแรงงานควบคู่ไปกับการใช้แบบฟอร์มสํารวจข้อมูล เพื่อสร้างงาน และให้นักศึกษามีรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
ดร.สุวิทย์ เปิดประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC MODEL
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง อีอีซี โมเดล ครั้งที่ 1/2563 พร้อมด้วย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะทํางานเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 ถนนศรีอยุธยา
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาบุคลากรกับผู้ประกอบการ ตามแนวทางอีอีซี โมเดล และการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานในการพัฒนาบุคลากร โดยมีรายละเอียดที่สําคัญ ๆ ดังนี้
ให้ดําเนินการพัฒนาบุคลากรแบบ Demand Driven เป็นแนวทางหลัก ซึ่งแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) นั้นมีอยู่ 2 รูปแบบคือ (1) EEC Model Type A (2) EEC Model Type B ซึ่งมอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ปรับการเรียนหลักสูตรการเรียนการสอนในหลักสูตรที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (Degree) เป็นแบบ EEC Model Type A ให้มากที่สุด โดยให้ EEC-HDC ประสานงานโครงการการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน (Cooperative Work Integrated Education : CWIE) และหาแนวทางและเป้าหมายเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
สําหรับความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผลักดันให้สถาบันอาชีวศึกษาในภาคตะวันออก จํานวน 12 สถาบันอาชีวศึกษา ซึ่งมีกําลังการผลิตนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง (ปวส.) รวมปีละ 8,200 คน เป็นรูปแบบ EEC Model Type A ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของผู้สําเร็จการศึกษา ปวส. ในปี 2566 (ดําเนินการแล้วประมาณ 1,500 คน ต้องการเพิ่ม 7,000 คน) ขยายจํานวนนักศึกษาที่เข้าอบรมหลักสูตรระยะสั้น (short course) รัฐเอกชนร่วมจ่าย 50 : 50 ให้ได้ 20,000 คน ในปีงบประมาณ 2564
ให้ขยายผล การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการภาษากับเนื้อหา (Content and Language Integrated Learning - CLIL) กับการเรียนการสอนกลุ่มอาชีวศึกษา ซึ่งผู้สอนในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ นําภาษาอังกฤษไปสอดแทรกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษเฉพาะทางได้ เน้นให้ผู้เรียนรู้จักและใช้คําศัพท์ภาษาอังกฤษที่พบในวิชาชีพ และสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
- ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
ให้หน่วยฝึกอบรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานใน อีอีซี เช่น สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Manufacturing Automation and Robotics Academy : MARA) ทํางานร่วมกับภาคเอกชนให้มากขึ้น ทั้งการฝึกอบรม Re skill - Up skill - New skill ในหลักสูตรอบรมระยะสั้น (short course)
- กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสร้างหลักสูตรอบรมระยะสั้น (short course)รัฐเอกชน ร่วมจ่าย 50:50 และเป็นแกนนําประสานภาคอุตสาหกรรมเชื่อมต่อการศึกษา และฝึกอบรมเพิ่มทักษะแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
- ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับ สป.อว.
1.) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาตามแนวทาง Demand Driven โดยบูรณาการจัดการศึกษาในรูปแบบ EEC Model และ ความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน (CWIE) ให้สามารถพัฒนากําลังคนได้ตรงความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตมากที่สุดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
2.) กําหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามแนวทางดังกล่าว และให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนที่ร่วมผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นการจูงใจเป็นพิเศษ
3.) ขอให้ สป.อว. เร่งขยายจํานวนหลักสูตร CWIE ตามแนวทาง EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรของ อีอีซี ให้ได้ 100,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
สําหรับเรื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กับการเปลี่ยนแปลงความต้องการบุคลากรจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลกนับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบรุนแรงไปทั่วโลก เกิดความผันผวนในตลาดการเงินปัญหาด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และการขนส่ง จากความจําเป็นที่หลายประเทศจะต้องปิดเมืองสําหรับประเทศไทยส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน ประกอบกับมีมาตรการ Lock Down ซึ่งจําเป็นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักฉับพลันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจผู้ประกอบการหลายรายลดการจ้างงาน การชะลอการตัดสินใจลงทุนใหม่ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน
ทั้งนี้ จากการประเมินถึงผลกระทบของ COVID-19 ต่ออีอีซี ในเบื้องต้นพบว่า GPP จะลดลงมาก โดยใน 6 เดือนแรก คาดว่ารายได้จากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้ที่สําคัญของอีอีซี จะลดลงประมาณร้อยละ 90 เป็นเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่การจ้างงานจะลดลงกว่า 50,000 คน แบ่งเป็นการลดลงจากการถูกเลิกจ้าง 30,000 คน และอีก 20,000 คน เกิดจากการที่ผู้ที่จบการศึกษาใหม่ไม่สามารถหางานทําได้ อย่างไรก็ดีภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมแรกที่ฟื้นตัว ภายหลังที่วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรองลงมา ได้แก่อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามลําดับ โดยได้รับผลกระทบระหว่างร้อยละ 40 - 60 โดยอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ดร.สุวิทย์ ได้เสนอให้พื้นที่อีอีซี ดึงดูดการลงทุนธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)โดยประเทศไทยมีต้นทุนทางทรัพยากรและศักยภาพในธุรกิจประเภทบีซีจีอยู่แล้วทั้งด้านเกษตรอาหาร และการแพทย์และสุขภาพ และเห็นว่าหลังวิกฤต COVID-19 ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างอาชีพ สร้างงานใหม่ เพื่อรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และอาชีพใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนแรงงานที่มีอยู่ในระบบ และนักศึกษาจบใหม่ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ Re skill - Up skill ผ่านหลักสูตรการอบรมระยะต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านกําลังคนที่มีทักษะรองรับการลงทุน
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทางอีอีซีโมเดล มีแผนในการสํารวจความต้องการบุคลากรหลังประเทศไทยเผชิญกับวิกฤต COVID-19 เพื่อทําเป็นฐานข้อมูลกลางเพื่อให้ทราบถึงความต้องการกําลังคนได้รับผลกระทบและมีความเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนํามาสู่การวางแผนพัฒนากําลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศหลัง COVID-19 โดย สอวช. พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางและแบบสํารวจฐานข้อมูลความต้องการกําลังคนที่สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เคยดําเนินการสํารวจ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเจาะลึกถึงตําแหน่งงานและทักษะเพื่อนํามาพัฒนาต่อยอดเป็นแบบสํารวจกลางที่จะพัฒนาขึ้นมาร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงาน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมอาชีวศึกษา อีอีซี รวมทั้งบีโอไอ โดยจะใช้สํารวจผลกระทบและความต้องการแรงงานแบบบูรณาการร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ รมว.อว. ยังได้เสนอให้มีการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่หรือคนว่างงาน ลงพื้นที่นําองค์ความรู้ช่วยชุมชน รวมถึงลงพื้นที่สํารวจข้อมูลผลกระทบและความต้องการแรงงานควบคู่ไปกับการใช้แบบฟอร์มสํารวจข้อมูล เพื่อสร้างงาน และให้นักศึกษามีรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31844
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปรับลดดอกเบี้ยสอดคล้อง กนง. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% ไม่ปรับดอกเบี้ยเงินฝาก
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
ออมสิน ปรับลดดอกเบี้ยสอดคล้อง กนง. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% ไม่ปรับดอกเบี้ยเงินฝาก
ธนาคารออมสิน ลดดอกเบี้ยสอดคล้องทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของ กนง. ร่วมบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 พร้อมดูแลลูกค้ารายย่อย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% มีผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากไม่ปรับลดเพราะมุ่งส่งเสริมการออมต่อเนื่อง
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยภารกิจหลักของธนาคารออมสินในการเป็นกลไกส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์และสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงมุ่งให้ความสําคัญต่อสภาวะการดํารงชีพในการช่วยแบ่งเบาภาระลูกค้าและประชาชน ธนาคารฯ จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลด 0.125-0.25% ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ําประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR (Minimum Lending Rate) ปรับลดลงจาก 6.275% เป็น 6.150% (ปรับลด 0.125%) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ําประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR (Minimum Overdraft Rate) ปรับลดลงจาก 6.245% เป็น 5.995% (ปรับลด 0.25%) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) ปรับลดลงจาก 6.370% เป็น 6.245% (ปรับลด 0.125%)
สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด โดยธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินเพื่อการออม ยังคงส่งเสริมภาคการออมต่อเนื่องต่อไป หรือภายหลังจากการประชุมครั้งต่อไปของ กนง. ในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ซึ่งธนาคารจะมีการพิจารณาทบทวนการปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ และยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก นั้น ธนาคารฯ ยังต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้อยู่ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอลดการนําเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนให้ลดการนําเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งการได้ลดเงินสมทบเข้ากองทุนฯ (SFIF) จะสามารถนํามาชดเชยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ จึงหวังว่าจะได้รับการผ่อนปรนในระยะอันใกล้นี้เช่นกัน
“ปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนและลูกค้าของธนาคารฯ ได้ไม่มากก็น้อย” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปรับลดดอกเบี้ยสอดคล้อง กนง. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% ไม่ปรับดอกเบี้ยเงินฝาก
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
ออมสิน ปรับลดดอกเบี้ยสอดคล้อง กนง. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% ไม่ปรับดอกเบี้ยเงินฝาก
ธนาคารออมสิน ลดดอกเบี้ยสอดคล้องทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของ กนง. ร่วมบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 พร้อมดูแลลูกค้ารายย่อย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.25% มีผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากไม่ปรับลดเพราะมุ่งส่งเสริมการออมต่อเนื่อง
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยภารกิจหลักของธนาคารออมสินในการเป็นกลไกส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้สถานการณ์และสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงมุ่งให้ความสําคัญต่อสภาวะการดํารงชีพในการช่วยแบ่งเบาภาระลูกค้าและประชาชน ธนาคารฯ จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลด 0.125-0.25% ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ําประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR (Minimum Lending Rate) ปรับลดลงจาก 6.275% เป็น 6.150% (ปรับลด 0.125%) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ําประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR (Minimum Overdraft Rate) ปรับลดลงจาก 6.245% เป็น 5.995% (ปรับลด 0.25%) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) ปรับลดลงจาก 6.370% เป็น 6.245% (ปรับลด 0.125%)
สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด โดยธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินเพื่อการออม ยังคงส่งเสริมภาคการออมต่อเนื่องต่อไป หรือภายหลังจากการประชุมครั้งต่อไปของ กนง. ในวันที่ 24 มิถุนายน 2563 ซึ่งธนาคารจะมีการพิจารณาทบทวนการปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ และยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก นั้น ธนาคารฯ ยังต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้อยู่ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอลดการนําเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนให้ลดการนําเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งการได้ลดเงินสมทบเข้ากองทุนฯ (SFIF) จะสามารถนํามาชดเชยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ จึงหวังว่าจะได้รับการผ่อนปรนในระยะอันใกล้นี้เช่นกัน
“ปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนและลูกค้าของธนาคารฯ ได้ไม่มากก็น้อย” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31290
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมชัย ย้ำ "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค
|
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
เฉลิมชัย ย้ํา "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค
เฉลิมชัย ย้ํา "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค ด้วยการเชื่อมโยงการซื้อขายในโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมรูปแบบร้านค้าปลีกแนวใหม่ “HEMA” (เหอหม่า) ซูเปอร์มาร์เก็ตติดแอร์ระบบ “ดิจิทัล”เต็มรูปแบบที่ผสมผสานการช้อปปิ้งออนไลน์ และออฟไลน์เป็นหนึ่งเดียว โดยทําหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดย่อมในการจัดส่งอาหารสดที่จําหน่ายผ่านเว็บไซต์ “ทีมอลล์” ไปยังผู้บริโภคชาวจีนในรัศมี 3 กิโลเมตร ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งทั้งขบวนการสามารถทําได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลของอาลีบาบาทั้งหมด อย่ไรก็ตาม จุดเด่นของ “เหอหม่า” มีหลายอย่าง เช่น ระบบ Cashless Supermarket ไม่ต้องพกเงินสดมา แต่จ่ายผ่านโมบายแอปพลิเคชั่น “เถาเป่า” หรืออาลีเพย์ได้ทันที รวมทั้งระบบจ่ายเงินแบบสแกนใบหน้า (Face recognition) โดยสินค้าทุกชิ้นจะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อระบุรายละเอียดต่าง ๆ อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ ที่มาของสินค้า การนําไปทําอาหาร การเก็บรักษา เป็นต้น
สําหรับสินค้าไทยที่เป็นที่นิยมมาก ได้แก่ ผลไม้ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะมะพร้าวน้ําหอม ซึ่งมียอดจําหน่าย 40,000 ลูกต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีสินค้าข้าวจากไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยเช่นกัน ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปจีน ที่ได้รับอนุญาตแล้ว จํานวน 22 ชนิด ซึ่งผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อาทิ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว ลําไย โดยจีนมีปริมาณนําเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2561 มากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ทุเรียน นําเข้ากว่า 430,000 ตัน มะพร้าว 160,000 ตัน มังคุด 150,000 ตัน มีมูลค่ารวมกว่า 1,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
"เราจะนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรไทย มีช่องทางในการตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรักษาและพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้บริโภคสินค้าเกษตรคุณภาพสูงจากไทย" นายเฉลิมชัย กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมชัย ย้ำ "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
เฉลิมชัย ย้ํา "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค
เฉลิมชัย ย้ํา "เทคโนโลยีสมัยใหม่" จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค ด้วยการเชื่อมโยงการซื้อขายในโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมรูปแบบร้านค้าปลีกแนวใหม่ “HEMA” (เหอหม่า) ซูเปอร์มาร์เก็ตติดแอร์ระบบ “ดิจิทัล”เต็มรูปแบบที่ผสมผสานการช้อปปิ้งออนไลน์ และออฟไลน์เป็นหนึ่งเดียว โดยทําหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดย่อมในการจัดส่งอาหารสดที่จําหน่ายผ่านเว็บไซต์ “ทีมอลล์” ไปยังผู้บริโภคชาวจีนในรัศมี 3 กิโลเมตร ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งทั้งขบวนการสามารถทําได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลของอาลีบาบาทั้งหมด อย่ไรก็ตาม จุดเด่นของ “เหอหม่า” มีหลายอย่าง เช่น ระบบ Cashless Supermarket ไม่ต้องพกเงินสดมา แต่จ่ายผ่านโมบายแอปพลิเคชั่น “เถาเป่า” หรืออาลีเพย์ได้ทันที รวมทั้งระบบจ่ายเงินแบบสแกนใบหน้า (Face recognition) โดยสินค้าทุกชิ้นจะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อระบุรายละเอียดต่าง ๆ อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ ที่มาของสินค้า การนําไปทําอาหาร การเก็บรักษา เป็นต้น
สําหรับสินค้าไทยที่เป็นที่นิยมมาก ได้แก่ ผลไม้ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะมะพร้าวน้ําหอม ซึ่งมียอดจําหน่าย 40,000 ลูกต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีสินค้าข้าวจากไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยเช่นกัน ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปจีน ที่ได้รับอนุญาตแล้ว จํานวน 22 ชนิด ซึ่งผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อาทิ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว ลําไย โดยจีนมีปริมาณนําเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2561 มากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ทุเรียน นําเข้ากว่า 430,000 ตัน มะพร้าว 160,000 ตัน มังคุด 150,000 ตัน มีมูลค่ารวมกว่า 1,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
"เราจะนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรไทย มีช่องทางในการตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรักษาและพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้บริโภคสินค้าเกษตรคุณภาพสูงจากไทย" นายเฉลิมชัย กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24709
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
|
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 เวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการและเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ ยโสธร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ได้กล่าวชื่มชมในความกล้าหาญและเสียสละของ นาวาตรี สมาน กุนัน ผู้ที่อุทิศความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนกระทั่งตนเองเสียชีวิตในการลําเลียงถังอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน และขอให้ชาวจังหวัดร้อยเอ็ดได้ภาคภูมิใจในตัว นาวาตรี สมานฯ และการใดที่จะดูแลครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ของนาวาตรีสมานฯ ได้ รัฐบาลก็พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งมอบหมายให้จังหวัดร้อยเอ็ดจัดงานพระราชทานเพลิงศพให้สมเกียรติ
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายในการประชุมหารือข้อราชการ โดยกล่าวว่า การลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีและการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่จะเกิดประโยชน์ในการมารับฟังการสะท้อนความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ ถือเป็นโอกาสดีในการนําเสนอแผนงาน/โครงการที่ต้องการรับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีผลกระทบต่อภาพรวมของกลุ่มจังหวัดในวงกว้างโดยยึดกับยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคหรือกลุ่มจังหวัด
สุดท้าย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงการจัดเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 และการเตรียมความพร้อมในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 และผู้เกี่ยวข้องต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 เวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการและเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ ยโสธร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ได้กล่าวชื่มชมในความกล้าหาญและเสียสละของ นาวาตรี สมาน กุนัน ผู้ที่อุทิศความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนกระทั่งตนเองเสียชีวิตในการลําเลียงถังอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน และขอให้ชาวจังหวัดร้อยเอ็ดได้ภาคภูมิใจในตัว นาวาตรี สมานฯ และการใดที่จะดูแลครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ของนาวาตรีสมานฯ ได้ รัฐบาลก็พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งมอบหมายให้จังหวัดร้อยเอ็ดจัดงานพระราชทานเพลิงศพให้สมเกียรติ
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายในการประชุมหารือข้อราชการ โดยกล่าวว่า การลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีและการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่จะเกิดประโยชน์ในการมารับฟังการสะท้อนความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ ถือเป็นโอกาสดีในการนําเสนอแผนงาน/โครงการที่ต้องการรับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีผลกระทบต่อภาพรวมของกลุ่มจังหวัดในวงกว้างโดยยึดกับยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคหรือกลุ่มจังหวัด
สุดท้าย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงการจัดเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 และการเตรียมความพร้อมในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 และผู้เกี่ยวข้องต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13877
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ รัชกาลที่ 9
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ รัชกาลที่ 9
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ เข้าร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 89 รูป เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2561 ณ พระที่นั่งทรงธรรม มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
*****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ รัชกาลที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ รัชกาลที่ 9
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ เข้าร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 89 รูป เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2561 ณ พระที่นั่งทรงธรรม มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
*****************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9323
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มอบของขวัญปีใหม่ 2561 แก่บุคลากรทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561
สธ. มอบของขวัญปีใหม่ 2561 แก่บุคลากรทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
กระทรวงสาธารณสุข มอบของขวัญปีใหม่บุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน 5 โครงการใหญ่ เป็นขวัญกําลังใจต่อการปฏิบัติงาน เกิดการบริการที่ดี มีคุณภาพ เจ้าหน้าที่สุขใจ
วันนี้ (4 มกราคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกี
นโยบาย “แผนงานสร้างเสริมสุขภาพทางการเงินบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข” และเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในโครงการคลินิกสุขภาพทางการเงินและความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากรก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงประจําเดือนมกราคม 2561
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สํารวจดัชนีความสุข (Happinometer)บุคลากรในสังกัดทั่วประเทศเพื่อนําผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาองค์กร การบริหารงาน การดําเนินการต่าง ๆ ส่งเสริมความสุขในการทํางานอย่างตรงประเด็น ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทํางานเพิ่มขึ้นมีขวัญกําลังใจต่อการปฏิบัติงาน เกิดการบริการที่ดี มีคุณภาพช่วยให้บรรลุเป้าหมายร่วมขององค์กร“ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน” สนองต่อนโยบายรัฐบาล ที่มุ่งเน้นพัฒนาประเทศ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข)
ในการสํารวจดัชนีความสุขของคนทํางาน ได้สํารวจความรู้สึกมีความสุขใน11มิติ ได้แก่ 1.สุขภาพกายดี2.ผ่อนคลายดี3.น้ําใจดี4.จิตวิญญาณดี5.ครอบครัวดี6.สังคมดี7.ใฝ่รู้ดี8.สุขภาพการเงินดี9.การงานดี 10.ความผูกพัน11.สมดุลชีวิตกับการทํางาน ผลการสํารวจความรู้สึกมีความสุขของบุคลากร 298,793 คน พบว่าค่าคะแนนความสุขของบุคลากรร้อยละ 92 มีความรู้สึกมีความสุข โดยมิติที่มีค่าเฉลี่ยความสุขค่อนข้างน้อยคือ มิติด้านสุขภาพการเงินดี ได้สํารวจเพิ่มเติมด้านสุขภาพการเงินบุคลากร 97,567 คน พบมีหนี้สินในครัวเรือนวงเงินกว่า 95,957 ล้านบาท ร้อยละ 54 เป็นเงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ รองลงมาร้อยละ 26 เป็นหนี้สินเรื่องที่อยู่อาศัย
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงินสําหรับบุคลากร (Happy Money Program) 5 โครงการ ได้แก่ คลินิกสุขภาพทางการเงิน (Happy Money Clinic) ส่งเสริมการออม (Happy Saving) ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร (Happy Home) การประนอมหนี้สิน (Happy Redeeming) และสวัสดิการอื่น ๆ (Happy Welfares) โดยได้ตั้งคณะกรรมการแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน เพื่อพิจารณากลั่นกรองบุคลากรเข้าร่วมโครงการพร้อมวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข จัดทําหลักสูตรการสร้างวินัยทางการเงิน และบริหารจัดการสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
ในระยะแรกระหว่าง พ.ศ.2561-2563 จะดําเนินการใน 2 โครงการได้แก่ คลินิกสุขภาพทางการเงินและความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิ อัตราดอกเบี้ยต่ํากว่าลูกค้าทั่วไป ฟรีค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ค่าจดจํานอง ค่าจัดการเงินกู้ ระยะเวลากู้นาน 30 ปี เป็นต้น โดยจะเปิดตัวโครงการความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร (Happy Home)พร้อมกันทั่วประเทศ ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด/ โรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป ในวันที่ 10 มกราคม 2561 และจัดทําคลินิกสุขภาพทางการเงิน ในวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเว้นเดือน คาดว่าจะทําให้ประหยัดค่าใช้จ่ายบุคลากรได้ 1,500 ล้านบาทต่อปี
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในนามของธนาคารไทยพาณิชย์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โอกาสธนาคารฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการสําคัญ “โครงการสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน (Happy Money Program)” ที่จะเป็นประโยชน์แก่บุคลากรในสังกัดกระทรวง ตลอดจนผู้ที่มาใช้บริการด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้มีหลากหลายรูปแบบ เริ่มจากการร่วมเสริมสร้างสุขภาพทางการเงินของบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้มีความมั่นคงในการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน รวมไปถึงการมอบองค์ความรู้ด้านการเงินที่รอบด้าน ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการช่วยให้บุคลากรของกระทรวงฯ สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
“โครงการความร่วมมือ “สร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน” (Happy Money Program) ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาระบบการรับชําระเงินภายในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงฯ ทุกแห่ง ให้มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้เงินสด และเป็นไปในรูปแบบของe-Paymentมากยิ่งขึ้น เช่น การรับชําระเงินผ่านQR Codeที่ในอีกไม่ช้าจะกลายเป็นมาตรฐานของการชําระเงินทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการผลักดันประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หรือCashless Societyอันเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศสู่Thailand 4.0” นายอาทิตย์กล่าวเสริม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มอบของขวัญปีใหม่ 2561 แก่บุคลากรทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561
สธ. มอบของขวัญปีใหม่ 2561 แก่บุคลากรทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
กระทรวงสาธารณสุข มอบของขวัญปีใหม่บุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศ ด้วยแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน 5 โครงการใหญ่ เป็นขวัญกําลังใจต่อการปฏิบัติงาน เกิดการบริการที่ดี มีคุณภาพ เจ้าหน้าที่สุขใจ
วันนี้ (4 มกราคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกี
นโยบาย “แผนงานสร้างเสริมสุขภาพทางการเงินบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข” และเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในโครงการคลินิกสุขภาพทางการเงินและความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากรก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงประจําเดือนมกราคม 2561
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สํารวจดัชนีความสุข (Happinometer)บุคลากรในสังกัดทั่วประเทศเพื่อนําผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาองค์กร การบริหารงาน การดําเนินการต่าง ๆ ส่งเสริมความสุขในการทํางานอย่างตรงประเด็น ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทํางานเพิ่มขึ้นมีขวัญกําลังใจต่อการปฏิบัติงาน เกิดการบริการที่ดี มีคุณภาพช่วยให้บรรลุเป้าหมายร่วมขององค์กร“ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน” สนองต่อนโยบายรัฐบาล ที่มุ่งเน้นพัฒนาประเทศ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข)
ในการสํารวจดัชนีความสุขของคนทํางาน ได้สํารวจความรู้สึกมีความสุขใน11มิติ ได้แก่ 1.สุขภาพกายดี2.ผ่อนคลายดี3.น้ําใจดี4.จิตวิญญาณดี5.ครอบครัวดี6.สังคมดี7.ใฝ่รู้ดี8.สุขภาพการเงินดี9.การงานดี 10.ความผูกพัน11.สมดุลชีวิตกับการทํางาน ผลการสํารวจความรู้สึกมีความสุขของบุคลากร 298,793 คน พบว่าค่าคะแนนความสุขของบุคลากรร้อยละ 92 มีความรู้สึกมีความสุข โดยมิติที่มีค่าเฉลี่ยความสุขค่อนข้างน้อยคือ มิติด้านสุขภาพการเงินดี ได้สํารวจเพิ่มเติมด้านสุขภาพการเงินบุคลากร 97,567 คน พบมีหนี้สินในครัวเรือนวงเงินกว่า 95,957 ล้านบาท ร้อยละ 54 เป็นเงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ รองลงมาร้อยละ 26 เป็นหนี้สินเรื่องที่อยู่อาศัย
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงินสําหรับบุคลากร (Happy Money Program) 5 โครงการ ได้แก่ คลินิกสุขภาพทางการเงิน (Happy Money Clinic) ส่งเสริมการออม (Happy Saving) ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร (Happy Home) การประนอมหนี้สิน (Happy Redeeming) และสวัสดิการอื่น ๆ (Happy Welfares) โดยได้ตั้งคณะกรรมการแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน เพื่อพิจารณากลั่นกรองบุคลากรเข้าร่วมโครงการพร้อมวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข จัดทําหลักสูตรการสร้างวินัยทางการเงิน และบริหารจัดการสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน
ในระยะแรกระหว่าง พ.ศ.2561-2563 จะดําเนินการใน 2 โครงการได้แก่ คลินิกสุขภาพทางการเงินและความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิ อัตราดอกเบี้ยต่ํากว่าลูกค้าทั่วไป ฟรีค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ค่าจดจํานอง ค่าจัดการเงินกู้ ระยะเวลากู้นาน 30 ปี เป็นต้น โดยจะเปิดตัวโครงการความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของบุคลากร (Happy Home)พร้อมกันทั่วประเทศ ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด/ โรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป ในวันที่ 10 มกราคม 2561 และจัดทําคลินิกสุขภาพทางการเงิน ในวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเว้นเดือน คาดว่าจะทําให้ประหยัดค่าใช้จ่ายบุคลากรได้ 1,500 ล้านบาทต่อปี
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในนามของธนาคารไทยพาณิชย์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โอกาสธนาคารฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการสําคัญ “โครงการสร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน (Happy Money Program)” ที่จะเป็นประโยชน์แก่บุคลากรในสังกัดกระทรวง ตลอดจนผู้ที่มาใช้บริการด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้มีหลากหลายรูปแบบ เริ่มจากการร่วมเสริมสร้างสุขภาพทางการเงินของบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้มีความมั่นคงในการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน รวมไปถึงการมอบองค์ความรู้ด้านการเงินที่รอบด้าน ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการช่วยให้บุคลากรของกระทรวงฯ สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
“โครงการความร่วมมือ “สร้างเสริมสุขภาพทางการเงิน” (Happy Money Program) ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาระบบการรับชําระเงินภายในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงฯ ทุกแห่ง ให้มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้เงินสด และเป็นไปในรูปแบบของe-Paymentมากยิ่งขึ้น เช่น การรับชําระเงินผ่านQR Codeที่ในอีกไม่ช้าจะกลายเป็นมาตรฐานของการชําระเงินทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อยจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการผลักดันประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หรือCashless Societyอันเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศสู่Thailand 4.0” นายอาทิตย์กล่าวเสริม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9175
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนชุมชนวัดจันทรสโมสร และชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จํานวน 500 ชุด ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป น้ําตาล น้ําปลา ปลากระป๋อง ยาลดไข้ แก้ปวด หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวด้วย การมอบถุงยังชีพครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากสํานักงานเขตดุสิต มาช่วยจัดระเบียบตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ณ โรงเรียนวัดจันทรสโมสร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
กรมสรรพสามิตมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนชุมชนวัดจันทรสโมสร และชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จํานวน 500 ชุด ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป น้ําตาล น้ําปลา ปลากระป๋อง ยาลดไข้ แก้ปวด หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวด้วย การมอบถุงยังชีพครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากสํานักงานเขตดุสิต มาช่วยจัดระเบียบตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ณ โรงเรียนวัดจันทรสโมสร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30535
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” จับมือราชทัณฑ์ สร้างงานให้ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม
|
วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561
“บิ๊กอู๋” จับมือราชทัณฑ์ สร้างงานให้ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม
ก.แรงงาน จับมือ กรมราชทัณฑ์ สถานประกอบการ คัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี ผู้ที่กําลังจะพ้นโทษ
ได้ฝึกอาชีพหรือประกอบอาชีพอิสระตามความต้องการ ตามโครงการ “โรงงานในเรือนจํา”ตั้งเป้าปี 2561 ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ คืนคนดีสู่สังคม
ก.แรงงาน จับมือ กรมราชทัณฑ์ สถานประกอบการ คัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี ผู้ที่กําลังจะพ้นโทษ
ได้ฝึกอาชีพหรือประกอบอาชีพอิสระตามความต้องการ ตามโครงการ “โรงงานในเรือนจํา”ตั้งเป้าปี 2561 ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ คืนคนดีสู่สังคม
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ตามโครงการ "โรงงานในเรือนจํา" ณ ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศ 346,470 คน จากเรือนจําทั้งหมด 143 แห่ง ส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 18 - 35 ปี กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายที่จะให้ผู้ต้องขังเหล่านี้ได้เข้าร่วมโครงการ "โรงงานในเรือนจํา" โดยในปี 2561 ได้ตั้งเป้าหมายไว้จํานวน 37,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้พ้นโทษ 10,000 คน และนักโทษชั้นดี 27,000 คนซึ่งจะฝึกทักษะและฝึกอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพ้นโทษ โดยจะสอบถามความต้องการของผู้ต้องขังถึงความต้องการที่จะทํางานในสถานประกอบการหรือการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อจะได้ดําเนินการตามความสมัครใจ
ทั้งนี้ โครงการ"โรงงานในเรือนจํา" เป็นความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐระหว่างกระทรวงแรงงาน
กรมราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการหารือในวันนี้มีสถานประกอบการตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 40 แห่ง โดยกระทรวงแรงงานจะบูรณาการทํางานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ป.ป.ส. และกรมราชทัณฑ์ ดําเนินการคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดี เป็นผู้มีวินัย และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ความเชื่อมั่นและสอดคล้องตามความต้องการของผู้ประกอบการ สําหรับลักษณะงานที่จะให้ผู้ต้องขังทํานั้น อาทิ ช่างทําทอง เย็บรองเท้าขุดลอกท่อ ตัดหญ้า ทาสีอาคาร เป็นต้น
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน หารือในรายละเอียดกับกรมราชทัณฑ์ ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจนให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนเมษายนนี้ จากนั้นจะลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อทําให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคมอีกด้วย
-----------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
14 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” จับมือราชทัณฑ์ สร้างงานให้ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม
วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561
“บิ๊กอู๋” จับมือราชทัณฑ์ สร้างงานให้ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม
ก.แรงงาน จับมือ กรมราชทัณฑ์ สถานประกอบการ คัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี ผู้ที่กําลังจะพ้นโทษ
ได้ฝึกอาชีพหรือประกอบอาชีพอิสระตามความต้องการ ตามโครงการ “โรงงานในเรือนจํา”ตั้งเป้าปี 2561 ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ คืนคนดีสู่สังคม
ก.แรงงาน จับมือ กรมราชทัณฑ์ สถานประกอบการ คัดเลือกผู้ต้องขังชั้นดี ผู้ที่กําลังจะพ้นโทษ
ได้ฝึกอาชีพหรือประกอบอาชีพอิสระตามความต้องการ ตามโครงการ “โรงงานในเรือนจํา”ตั้งเป้าปี 2561 ผู้ต้องขัง 3.7 หมื่นคนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ คืนคนดีสู่สังคม
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ตามโครงการ "โรงงานในเรือนจํา" ณ ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศ 346,470 คน จากเรือนจําทั้งหมด 143 แห่ง ส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 18 - 35 ปี กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายที่จะให้ผู้ต้องขังเหล่านี้ได้เข้าร่วมโครงการ "โรงงานในเรือนจํา" โดยในปี 2561 ได้ตั้งเป้าหมายไว้จํานวน 37,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้พ้นโทษ 10,000 คน และนักโทษชั้นดี 27,000 คนซึ่งจะฝึกทักษะและฝึกอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพ้นโทษ โดยจะสอบถามความต้องการของผู้ต้องขังถึงความต้องการที่จะทํางานในสถานประกอบการหรือการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อจะได้ดําเนินการตามความสมัครใจ
ทั้งนี้ โครงการ"โรงงานในเรือนจํา" เป็นความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐระหว่างกระทรวงแรงงาน
กรมราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการหารือในวันนี้มีสถานประกอบการตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 40 แห่ง โดยกระทรวงแรงงานจะบูรณาการทํางานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ป.ป.ส. และกรมราชทัณฑ์ ดําเนินการคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดี เป็นผู้มีวินัย และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้ความเชื่อมั่นและสอดคล้องตามความต้องการของผู้ประกอบการ สําหรับลักษณะงานที่จะให้ผู้ต้องขังทํานั้น อาทิ ช่างทําทอง เย็บรองเท้าขุดลอกท่อ ตัดหญ้า ทาสีอาคาร เป็นต้น
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน หารือในรายละเอียดกับกรมราชทัณฑ์ ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเพื่อให้เกิดความชัดเจนให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนเมษายนนี้ จากนั้นจะลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อทําให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคมอีกด้วย
-----------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
14 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10773
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ “เซินติญ” สั่งดูแลเต็มที่
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561
กสร. ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ “เซินติญ” สั่งดูแลเต็มที่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “เซินติญ” ส่งเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ดูแลให้คําแนะนําด้านแรงงาน ขอนายจ้างเห็นใจลูกจ้างบ้านน้ําท่วม เดินทางไม่ได้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่าจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินติญทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลากและดินถล่มใน 19 จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เป็นต้น ส่งผลให้ประชาชน สถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงพื้นที่ทางการเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน กสร.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ดังกล่าวได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้คําแนะนําในเรื่องของมาตรการด้านความปลอดภัยในการทํางาน อาทิ การดูแลเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และขอความร่วมมือให้นายจ้างดูแลลูกจ้างโดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย และขอให้ผ่อนผันเรื่องเวลาการทํางานให้ลูกจ้างที่ที่อยู่อาศัยถูกน้ําท่วม หรือกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถเดินทางมาทํางานได้ขอให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา
อธิบดีกสร. สําหรับสถานประกอบกิจการ นายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จนส่งผลเกี่ยวกับการทํางาน สามารถขอคําปรึกษาได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ “เซินติญ” สั่งดูแลเต็มที่
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561
กสร. ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ “เซินติญ” สั่งดูแลเต็มที่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงใยนายจ้าง ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “เซินติญ” ส่งเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ดูแลให้คําแนะนําด้านแรงงาน ขอนายจ้างเห็นใจลูกจ้างบ้านน้ําท่วม เดินทางไม่ได้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่าจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินติญทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลากและดินถล่มใน 19 จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เป็นต้น ส่งผลให้ประชาชน สถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงพื้นที่ทางการเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเดือดร้อน กสร.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ดังกล่าวได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้คําแนะนําในเรื่องของมาตรการด้านความปลอดภัยในการทํางาน อาทิ การดูแลเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และขอความร่วมมือให้นายจ้างดูแลลูกจ้างโดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย และขอให้ผ่อนผันเรื่องเวลาการทํางานให้ลูกจ้างที่ที่อยู่อาศัยถูกน้ําท่วม หรือกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถเดินทางมาทํางานได้ขอให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา
อธิบดีกสร. สําหรับสถานประกอบกิจการ นายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จนส่งผลเกี่ยวกับการทํางาน สามารถขอคําปรึกษาได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14167
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสมเป็นธรรม ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
|
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสมเป็นธรรม ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสม เป็นธรรมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ส่งเสริมให้ไทยผลิตวัคซีนที่จําเป็นสําหรับใช้ป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
วันที่ 4 มี.ค. 63 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.63 เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 และรับทราบกรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ดําเนินการตามร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2563 รวมทั้งสิ้น 11,078,946,553 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เป็นกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 61 สธ. ได้ดําเนินการทบทวนสถานการณ์ด้านวัคซีนทั้งในและต่างประเทศ ประเมินความเสี่ยงภูมิคุ้มกันหรือความเข้มแข็งด้านวัคซีนของประเทศ รวมทั้งทบทวนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านวัคซีนและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และได้นําเสนอคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติพิจารณาเห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 และกรอบงบประมาณ ซึ่งนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว เป็นแผนที่นําไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักความสอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในการจัดการวัคซีนให้มีความเพียงพอและต่อเนื่อง การวิจัยพัฒนาผลิตวัคซีนเพื่อต่อยอดสู่การผลิต การส่งออก และการบริหารจัดการทรัพยากรด้านวัคซีนของประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นที่ 4 อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต แผนย่อยอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร อีกทั้งยังมีแนวคิดที่สอดรับกับนโยบายและแผนพัฒนาของชาติ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 แผนยุทธศาสตร์ สธ. 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อีกด้วย
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 มีวิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เป็นธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจัดหาที่สมดุลกับความต้องการและสนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนของประเทศ และพัฒนาระบบการให้บริการวัคซีน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทุกพื้นที่เข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและทันการณ์ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และบูรณาการการวิจัยพัฒนา การผลิตวัคซีน การประกันคุณภาพและการนําไปใช้ให้เป็นทิศทางเดียวกัน และมีขีดความสามารถในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนที่สามารถรองรับความต้องการได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านวัคซีนอย่างครบวงจรเพื่อรองรับความต้องการอย่างเพียงพอ พัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้มีครบถ้วนและได้มาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีศักยภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศได้อย่างเข้มแข็งมีเอกภาพในการบริหารจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ
“ รัฐบาลจะส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุม เหมาะสม เป็นธรรมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน จะส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนที่จําเป็นสําหรับใช้ป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ เพื่อทดแทนการนําเข้าและการส่งออกในระยะต่อไป รวมทั้งจะส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศเพื่อรองรับความต้องการอย่างเพียงพอ ได้มาตรฐานสากล และจะส่งเสริมให้องค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนมีความเข้มแข็ง เพื่อให้สามารถดําเนินการด้านวัคซีนได้อย่างครบวงจรและมีคุณภาพ” นางสาวไตรศุลีกล่าว
ทั้งนี้ ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาระบบและบริหารจัดการงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา และการผลิตวัคซีนรองรับความต้องการในการป้องกันโรคของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและส่งออกได้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้รองรับภารกิจความมั่นคงด้านวัคซีนได้อย่างเหมาะสม และยุทธศาสตร์ที่ 5 เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนของประเทศ โดยวงเงินงบประมาณที่ใช้ดําเนินการตามร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม 11,078,946,553 บาท จะใช้สําหรับดําเนินโครงการ 67 โครงการ ซึ่งจะมีการประเมินผลโครงการ 3 ระยะ คือ ก่อนการปฏิบัติการหรือก่อนเริ่มโครงการ ระหว่างดําเนินการ และหลังสิ้นสุดแผน ที่จะมีการสรุปผลการดําเนินงานภายหลังจากสิ้นสุดแผนรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทุกปี
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสมเป็นธรรม ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสมเป็นธรรม ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมเหมาะสม เป็นธรรมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ส่งเสริมให้ไทยผลิตวัคซีนที่จําเป็นสําหรับใช้ป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
วันที่ 4 มี.ค. 63 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 มี.ค.63 เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 และรับทราบกรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ดําเนินการตามร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2563 รวมทั้งสิ้น 11,078,946,553 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เป็นกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 61 สธ. ได้ดําเนินการทบทวนสถานการณ์ด้านวัคซีนทั้งในและต่างประเทศ ประเมินความเสี่ยงภูมิคุ้มกันหรือความเข้มแข็งด้านวัคซีนของประเทศ รวมทั้งทบทวนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านวัคซีนและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และได้นําเสนอคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติพิจารณาเห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 และกรอบงบประมาณ ซึ่งนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว เป็นแผนที่นําไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักความสอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในการจัดการวัคซีนให้มีความเพียงพอและต่อเนื่อง การวิจัยพัฒนาผลิตวัคซีนเพื่อต่อยอดสู่การผลิต การส่งออก และการบริหารจัดการทรัพยากรด้านวัคซีนของประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นที่ 4 อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต แผนย่อยอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร อีกทั้งยังมีแนวคิดที่สอดรับกับนโยบายและแผนพัฒนาของชาติ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 นโยบายแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 แผนยุทธศาสตร์ สธ. 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อีกด้วย
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 มีวิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เป็นธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจัดหาที่สมดุลกับความต้องการและสนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนของประเทศ และพัฒนาระบบการให้บริการวัคซีน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทุกพื้นที่เข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและทันการณ์ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และบูรณาการการวิจัยพัฒนา การผลิตวัคซีน การประกันคุณภาพและการนําไปใช้ให้เป็นทิศทางเดียวกัน และมีขีดความสามารถในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนที่สามารถรองรับความต้องการได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านวัคซีนอย่างครบวงจรเพื่อรองรับความต้องการอย่างเพียงพอ พัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้มีครบถ้วนและได้มาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีศักยภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศได้อย่างเข้มแข็งมีเอกภาพในการบริหารจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ
“ รัฐบาลจะส่งเสริมให้คนไทยและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุม เหมาะสม เป็นธรรมทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน จะส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนที่จําเป็นสําหรับใช้ป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ เพื่อทดแทนการนําเข้าและการส่งออกในระยะต่อไป รวมทั้งจะส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศเพื่อรองรับความต้องการอย่างเพียงพอ ได้มาตรฐานสากล และจะส่งเสริมให้องค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนมีความเข้มแข็ง เพื่อให้สามารถดําเนินการด้านวัคซีนได้อย่างครบวงจรและมีคุณภาพ” นางสาวไตรศุลีกล่าว
ทั้งนี้ ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 – 2565 ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาระบบและบริหารจัดการงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา และการผลิตวัคซีนรองรับความต้องการในการป้องกันโรคของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและส่งออกได้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้รองรับภารกิจความมั่นคงด้านวัคซีนได้อย่างเหมาะสม และยุทธศาสตร์ที่ 5 เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนของประเทศ โดยวงเงินงบประมาณที่ใช้ดําเนินการตามร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม 11,078,946,553 บาท จะใช้สําหรับดําเนินโครงการ 67 โครงการ ซึ่งจะมีการประเมินผลโครงการ 3 ระยะ คือ ก่อนการปฏิบัติการหรือก่อนเริ่มโครงการ ระหว่างดําเนินการ และหลังสิ้นสุดแผน ที่จะมีการสรุปผลการดําเนินงานภายหลังจากสิ้นสุดแผนรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทุกปี
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26900
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์"
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
พิธีเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิด "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" อําเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันพุธที่ 10 มกราคม 2561 เวลา 9.50 น.
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิด "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" อําเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันพุธที่ 10 มกราคม 2561 เวลา 9.50 น. โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) ตลอดจนคณะผู้บริหาร ศธ. หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
รมว.ศึกษาธิการ กราบบังคมทูลรายงาน มีใจความตอนหนึ่งว่า ตามที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท พระราชทาน พระราชานุญาต ให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้ประโยชน์ที่ดินในพระนามาภิไธย โฉนดเลขที่ 4177 จํานวน 3 งาน 31 ตารางวา ติดริมแม่น้ําสะแกกรัง ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอาชีพให้แก่ราษฎรใน จ.อุทัยธานีและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ ยังมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเงินส่วนพระองค์จํานวน 10,386,600 บาท สําหรับเป็นค่าก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพดังกล่าว และได้พระราชทานชื่อศูนย์นี้ว่า "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" เพื่อเป็นที่ระลึกแก่นางสาววงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ที่ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายที่ดินแปลงดังกล่าว
สํานักงาน กศน.ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเป็นค่าตบแต่งภายในและจะหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม จํานวน 5,091,379 บาท ทั้งนี้ การก่อสร้างอาคารและตบแต่งภายในศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ได้แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 และได้ดําเนินการฝึกอาชีพให้แก่ราษฎรตามพระราชดําริของใต้ฝ่าละอองพระบาทอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จํานวน 258 หลักสูตร และมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมดจํานวน 4,016 คน
อนึ่ง การดําเนินงานของศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ปีงบประมาณ 2560 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรใน 5 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการ ความคิดสร้างสรรค์ และเฉพาะทาง รวมจํานวน 82 หลักสูตร แบ่งเป็นพัฒนาต่อยอดหลักสูตรอาชีพเดิม 11 หลักสูตร และพัฒนาอาชีพใหม่ 71 หลักสูตร ใช้งบประมาณ จํานวน 209,680 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 1,260 คน
พร้อมได้มอบหมายให้สํานักงาน กศน.อําเภอ 8 แห่ง จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ภายหลังฝึกอบรม ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้รวยด้วยปลาแรด อ.เมืองอุทัยธานี, ศูนย์เรียนรู้ตํานานอาหารคาวหวานบ้านท่าโพ อ.หนองขาหย่าง, ศูนย์เรียนรู้ข้าวสินเหล็กแก้จนคนหนองฉาง อ.หนองฉาง, ศูนย์เรียนรู้เรื่องกล้วย กล้วย ก็รวยได้ อ.ห้วยคต, ศูนย์เรียนรู้การปลูกข้าวหอมดงอินทรีย์เพื่อวิถีชาวอุทัย อ.ลานสัก, ศูนย์เรียนรู้การปลูกทุเรียนเพื่อสร้างรายได้สู่ความยั่งยืน อ.บ้านไร่, ศูนย์เรียนรู้เสื่อกกพารวยช่วยสร้างอาชีพ อ.ทัพทัน และศูนย์เรียนรู้การปลูกพืชโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ อ.สว่างอารมณ์
นวรัตน์ รามสูต: สรุป
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์"
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
พิธีเปิดศูนย์ฝึกอาชีพ "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิด "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" อําเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันพุธที่ 10 มกราคม 2561 เวลา 9.50 น.
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิด "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" อําเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันพุธที่ 10 มกราคม 2561 เวลา 9.50 น. โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) ตลอดจนคณะผู้บริหาร ศธ. หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
รมว.ศึกษาธิการ กราบบังคมทูลรายงาน มีใจความตอนหนึ่งว่า ตามที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท พระราชทาน พระราชานุญาต ให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้ประโยชน์ที่ดินในพระนามาภิไธย โฉนดเลขที่ 4177 จํานวน 3 งาน 31 ตารางวา ติดริมแม่น้ําสะแกกรัง ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอาชีพให้แก่ราษฎรใน จ.อุทัยธานีและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ ยังมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเงินส่วนพระองค์จํานวน 10,386,600 บาท สําหรับเป็นค่าก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพดังกล่าว และได้พระราชทานชื่อศูนย์นี้ว่า "ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์" เพื่อเป็นที่ระลึกแก่นางสาววงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ที่ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายที่ดินแปลงดังกล่าว
สํานักงาน กศน.ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเป็นค่าตบแต่งภายในและจะหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม จํานวน 5,091,379 บาท ทั้งนี้ การก่อสร้างอาคารและตบแต่งภายในศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ได้แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 และได้ดําเนินการฝึกอาชีพให้แก่ราษฎรตามพระราชดําริของใต้ฝ่าละอองพระบาทอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จํานวน 258 หลักสูตร และมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งหมดจํานวน 4,016 คน
อนึ่ง การดําเนินงานของศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ปีงบประมาณ 2560 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรใน 5 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการ ความคิดสร้างสรรค์ และเฉพาะทาง รวมจํานวน 82 หลักสูตร แบ่งเป็นพัฒนาต่อยอดหลักสูตรอาชีพเดิม 11 หลักสูตร และพัฒนาอาชีพใหม่ 71 หลักสูตร ใช้งบประมาณ จํานวน 209,680 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 1,260 คน
พร้อมได้มอบหมายให้สํานักงาน กศน.อําเภอ 8 แห่ง จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ภายหลังฝึกอบรม ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้รวยด้วยปลาแรด อ.เมืองอุทัยธานี, ศูนย์เรียนรู้ตํานานอาหารคาวหวานบ้านท่าโพ อ.หนองขาหย่าง, ศูนย์เรียนรู้ข้าวสินเหล็กแก้จนคนหนองฉาง อ.หนองฉาง, ศูนย์เรียนรู้เรื่องกล้วย กล้วย ก็รวยได้ อ.ห้วยคต, ศูนย์เรียนรู้การปลูกข้าวหอมดงอินทรีย์เพื่อวิถีชาวอุทัย อ.ลานสัก, ศูนย์เรียนรู้การปลูกทุเรียนเพื่อสร้างรายได้สู่ความยั่งยืน อ.บ้านไร่, ศูนย์เรียนรู้เสื่อกกพารวยช่วยสร้างอาชีพ อ.ทัพทัน และศูนย์เรียนรู้การปลูกพืชโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ อ.สว่างอารมณ์
นวรัตน์ รามสูต: สรุป
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร วงเงินรวมกว่า 1,800 ล้าน
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร วงเงินรวมกว่า 1,800 ล้านเพื่อให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศราว 10,000 ราย โดยหากเป็นเกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 1.5 แสนบาท ส่วนสถาบันเกษตรกรไม่เกินแห่งละ 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 และผู้เข้าร่วมโครงการร่วมจ่ายร้อยละ 1 ต่อปี ซึ่งเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรจะต้องเข้าร่วมโครงการสินเชื่อดังกล่าวทุกปีจนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น ทั้งนี้ รัฐบาลเล็งเห็นว่าที่ผ่านมาเกษตรกรหลายรายมียุ้งฉางไม่เพียงพอกับการเก็บรักษาข้าวเปลือก รวมทั้งได้พิจารณาให้สินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางสนับสนุนให้โครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีสําเร็จผลมากขึ้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร วงเงินรวมกว่า 1,800 ล้าน
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร วงเงินรวมกว่า 1,800 ล้านเพื่อให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศราว 10,000 ราย โดยหากเป็นเกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 1.5 แสนบาท ส่วนสถาบันเกษตรกรไม่เกินแห่งละ 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 และผู้เข้าร่วมโครงการร่วมจ่ายร้อยละ 1 ต่อปี ซึ่งเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรจะต้องเข้าร่วมโครงการสินเชื่อดังกล่าวทุกปีจนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น ทั้งนี้ รัฐบาลเล็งเห็นว่าที่ผ่านมาเกษตรกรหลายรายมียุ้งฉางไม่เพียงพอกับการเก็บรักษาข้าวเปลือก รวมทั้งได้พิจารณาให้สินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางสนับสนุนให้โครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีสําเร็จผลมากขึ้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นำคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) อนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ สรุปสาระสําคัญของการสนทนาดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกสมาคมกีฬาเพาะกาย คณะนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาพบในวันนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่เห็นนักกีฬาทุกคนประสบความสําเร็จ นําคุณประโยชน์มาสู่ประเทศ
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณนักกีฬาทุกคน ในนามของรัฐบาล ที่ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศและนําเหรียญมาให้คนไทยได้ชื่นชม จากการแข่งขันกีฬาเพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 9 ประจําปี 2017 ระหว่างวันที่ 3-9 ตุลาคม 2560 ณ เมืองอูลานบาตาร์ สาธารณรัฐมองโกเลีย ที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างผลงานได้ทั้งสิ้น 9 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง รวมทั้งได้ถ้วยคะแนนรวมทีมชายอันดับที่ 1 ทีมหญิงอันดับที่ 3
ด้านนายกสมาคมกีฬาเพาะกายได้กล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี และการกีฬาแห่งประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาเพาะกายด้วยดีมาโดยตลอด ทําให้กีฬาเพาะกายได้รับการยอมรับมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสมาคมพร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านกีฬา (Sports HUB) ชั้นนําของโลก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นำคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) อนุญาตให้นายกสมาคมกีฬาเพาะกาย นําคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมคารวะ สรุปสาระสําคัญของการสนทนาดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกสมาคมกีฬาเพาะกาย คณะนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาพบในวันนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่เห็นนักกีฬาทุกคนประสบความสําเร็จ นําคุณประโยชน์มาสู่ประเทศ
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณนักกีฬาทุกคน ในนามของรัฐบาล ที่ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศและนําเหรียญมาให้คนไทยได้ชื่นชม จากการแข่งขันกีฬาเพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 9 ประจําปี 2017 ระหว่างวันที่ 3-9 ตุลาคม 2560 ณ เมืองอูลานบาตาร์ สาธารณรัฐมองโกเลีย ที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างผลงานได้ทั้งสิ้น 9 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 4 เหรียญทองแดง รวมทั้งได้ถ้วยคะแนนรวมทีมชายอันดับที่ 1 ทีมหญิงอันดับที่ 3
ด้านนายกสมาคมกีฬาเพาะกายได้กล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี และการกีฬาแห่งประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาเพาะกายด้วยดีมาโดยตลอด ทําให้กีฬาเพาะกายได้รับการยอมรับมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสมาคมพร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านกีฬา (Sports HUB) ชั้นนําของโลก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7543
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสำเร็จในการควบคุมโรคของไทย
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสําเร็จในการควบคุมโรคของไทย
โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสําเร็จในการควบคุมโรคของไทย
วันนี้ (26 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยสะสม 3,045 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,929 ราย ไม่มีผู้ที่เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงจํานวนผู้เสียชีวิตที่ 57 ราย มีผู้ที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 59 ราย
สําหรับผู้ป่วยใหม่ 3 รายนั้น ทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine โดยรายแรก เป็นหญิงไทย อายุ 51 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 และเข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 และอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 45 ปี เดินทางกลับมาจากประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 และเข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยทั้ง 2 รายมีอาการไอและตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยใหม่นี้ ล้วนเป็นวัยแรงงานทั้งสิ้น บางส่วนแสดงอาการน้อย หรือไม่แสดงอาการเลย ดังนั้นการมีกระบวนการในการตรวจคัดกรองและนําเข้าพื้นที่ State Quarantine จึงยังคงเป็นการดําเนินการจําเป็นที่ภาครัฐจะใช้ในการตรวจหาเชื้อให้พบ อย่างไรก็ดี แสดงให้เห็นว่า ระบบการจัดการของไทยดูแลได้ดี ในสถานที่กักกัน ซึ่งมีการตรวจเป็นระยะๆ
โฆษก ศบค. ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับยอดสะสมทั้งประเทศตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น จากแผนที่แสดงให้เห็นว่าในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสีเขียวที่แปลว่ามีจํานวนกว่า 65 จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ และมีสีครีมคือมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 0-1 คน 10 จังหวัด ส่งผลให้จากชุดข้อมูลที่นําเสนอ จังหวัดที่เป็นสีแดงหรือมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ ตั้งแต่ 5คน ขึ้นไป ไม่มีแล้ว สถานการณ์ที่ดีขึ้นเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกคน
รวมทั้งได้เน้นย้ําว่า ขณะนี้เรากําลังเข้าสู่มาตรการผ่อนปรนจากระยะที่ 2 ไปสู่ระยะที่ 3 คาดว่ากิจการ/กิจกรรม ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางออกไประดับสูง จะได้รับการอนุญาตมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุด คือการคํานึงถึงมาตรการหลัก 5 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ไม่รวมกลุ่มในที่แออัด เป็นมาตรการที่ได้แถลงบ่อยๆ ซ้ําๆ แม้กิจกรรมจะมีความเสี่ยง แต่หากปฏิบัติตาม มาตรการหลัก 5 ข้อนี้ จะเป็นการควบคุมและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,588,356 ราย เพิ่มขึ้นภายในวันเดียว 89,779 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 1,185 ราย ทําให้ตัวเลขรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 347,873 ราย โดยสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือ บราซิล และรัสเซีย ส่วนอันดับที่ 4 สเปน มีตัวเลขติดลบ เกิดจากการปรับเคลียร์ตัวเลขในเชิงสถิติ
ทั้งนี้ ยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยใหม่ในหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย 6,414 ราย เม็กซิโก 2,485 ราย และปากีสถาน 1,748 ราย สําหรับประเทศไทย ขณะนี้อยู่ในลําดับที่ 77 ส่วนกลุ่มอาเซียนและเอเชีย มีจํานวนผู้ป่วยใหม่ยืนยันเมื่อวานนี้ดังนี้ บังกลาเทศ 1,975 ราย สิงคโปร์ 344 ราย อินโดนีเซีย 479 ราย และฟิลิปปินส์ 284 ราย ขณะที่ ญี่ปุ่นมียอดผู้ป่วยใหม่ 31 ราย และเกาหลีใต้ 19 ราย
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกาเผยว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จากร้านทําผมในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี่ โดยจากการสอบสวนพบว่า ช่างทําผมที่มีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยังคงทํางานต่อเนื่องกว่า 1 อาทิตย์ โดยรับลูกค้าทั้งหมด 91 ราย ขณะที่ช่างทําผมคนที่สอง มีอาการป่วยแต่ยังคงทํางานต่อไปอีก 5 วัน โดยรับลูกค้าทั้งหมด 56 ราย อีกทั้ง ในร้านยังมีพนักงานอีก 7 ราย ส่งผลให้กลุ่มผู้เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมากถึง 154 ราย อย่างไรก็ตาม ทั้งช่างทําผมและลูกค้าต่างสวมหน้ากากอนามัย ขณะเข้ารับบริการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงมีความหวังว่า การสวมหน้ากากอนามัยจะไม่ทําให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ มีข่าวที่น่ายินดี โดยโฆษก ศบค. รายงานว่า อีริค เจฟฟรีย์ โทพอล แพทย์โรคหัวใจชาวอเมริกัน ยกย่องประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่ประสบความสําเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แก่ นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมียอดการติดเชื้อเป็นกราฟรูประฆังคว่ํา แสดงให้เห็นว่ากําลังเข้าใกล้ระยะสิ้นสุดของการแพร่ระบาด ขอความร่วมมือให้คนไทยให้ปฏิบัติตัวดีต่อเนื่องไป เพื่อเป็นตัวอย่างให้ชาติอื่นด้วย
นอกจากนี้ มีรายงานถึง New Norm วิถีใหม่ โดยบริษัทใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างน้อย 5 แห่ง มีแผนให้พนักงานทํางานจากบ้านอย่างถาวรเป็นวิถีใหม่ โดย Facebook อาจเปิดให้ร้อย 50 ของพนักงานทํางานที่บ้านภายใน 5-10 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานและเปิดโอกาสในการได้พนักงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่นเดียวกับ Twitter ที่จะอนุญาตให้พนักงานทํางานที่บ้านถาวรเช่นกัน แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่า เป็นงานประเภทใด ขณะที่ Square เจ้าของเดียวกับ twitter ก็มีแผนให้พนักงานทํางานที่บ้านเช่นกัน
3.การดําเนินการตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) จะมีคนไทยเดินทางกลับมาประเทศไทยทั้งหมด 4 เที่ยวบิน เดินทางกลับทั้งสิ้น 386 คน ได้แก่ 1. เวลา 07.35 น. เดินทางกลับมาจากอิตาลี (โรม) 37 คน 2. เวลา 13.40 น. เดินทางกลับมาจากมาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) 149 คน 3. เวลา 15.40 น. เดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น (โตเกียว) 35 คน และ 4. เวลา 17.05 น. เดินทางกลับมาจากไต้หวัน (ไทเป) 165 คน ส่วนในวันพรุ่งนี้ (27 พฤษภาคม 2563) มีคนไทยเดินทางกลับมาประเทศไทยทั้งหมด 4 เที่ยวบิน รวม 401 คน ได้แก่ 1. เวลา 09.30 น. เดินทางกลับมาจากเนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) 41 คน 2. เวลา 15.40 น. เดินทางกลับมาจากแคนาดา (ผ่านญี่ปุ่น) 100 คน 3. เวลา 17.15 น. เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย (สุราบายา) 175 คน และ 4. เวลา 18.00 น. เดินทางกลับมาจากฮ่องกง 85 คน
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้เดินทางจากเมียนมา 3 คน มาเลเซีย 223 คน สปป.ลาว 9 คน และ กัมพูชา 7 คน รวม 242 คน โดยตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 25 พฤษภาคม มีผู้เดินทางเข้าสะสม 14,212 ราย ซึ่งทางที่ประชุม ศบค. ชุดเล็ก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ยังคงมีโควต้าเพียงพอในการรองรับผู้ที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศ เนื่องจากสามารถรับผู้เดินทางได้ทั้งหมด 350 คน ทั้งนี้ นอกจากการใช้โรงแรมเป็นสถานที่กักกันแล้ว ยังได้ใช้โรงเรียนเป็นสถานที่กักกันด้วย โดยในเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงเวลาเปิดภาคเรียนของโรงเรียน ทางภาครัฐต้องเว้นช่วงเวลาเพื่อทําความสะอาดโรงเรียน และคืนพื้นที่ให้โรงเรียน ซึ่งบางส่วนได้ใช้เป็นที่พักและเป็นสถานที่ในการกักกันโรคบริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงขอเน้นย้ํา ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องคนไทยที่อยู่ในมาเลเซียและอยากกลับบ้าน สามารถแจ้งความประสงค์ที่สถานทูตได้ทันที
โฆษก ศบค. ได้รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันในสถานที่ของรัฐ (State Quarantine และ Local Quarantine ตั้งแต่ 3 เมษายน – 25 พฤษภาคม 2563 มีผู้เข้ากักกันสะสม 26,095 ราย ผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,495 ราย และผู้กลับบ้านสะสม 16,600 ราย ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าภาครัฐสามารถคัดกรองและทําการกักกันโรคจากการจัดทํา State Quarantine และ Local Quarantine ได้ เป็นการจัดการที่ประสบความสําเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่ด่านมาเลเซียทั้ง 5 ด่าน ซึ่งมีจํานวนการตรวจหาเชื้อไปแล้ว 12,580 ราย แต่พบผู้ติดเชื้อเพียง 1 รายเท่านั้น ต้องขอบคุณผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการคัดกรอง และกักกันโรค ทุกหน่วยงาน
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 111,691 ร้าน ผู้ใช้งาน 12,845,612 คน แบ่งจํานวนการเข้าใช้งานออกเป็น เช็คอิน 31,153,255 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 21,481,593 ครั้ง และการประเมินร้านค้า 12,222,685 ครั้ง
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 22,226 แห่ง โดยล่าสุดได้บูรณาการการทํางานผ่านชุดตรวจที่ลงพื้นที่ทั้งหมด 3 ชุดหลัก ได้แก่ ชุดตรวจร่วม 90 ชุด ชุดตรวจทั่วไป 1,938 ชุด และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสำเร็จในการควบคุมโรคของไทย
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสําเร็จในการควบคุมโรคของไทย
โฆษก ศบค. เผยการจัดการสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ State Quarantine และ Local Quarantine เป็นการจัดการที่ประสบผลสําเร็จในการควบคุมโรคของไทย
วันนี้ (26 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยสะสม 3,045 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,929 ราย ไม่มีผู้ที่เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงจํานวนผู้เสียชีวิตที่ 57 ราย มีผู้ที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 59 ราย
สําหรับผู้ป่วยใหม่ 3 รายนั้น ทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine โดยรายแรก เป็นหญิงไทย อายุ 51 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 และเข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 และอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 45 ปี เดินทางกลับมาจากประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 และเข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยทั้ง 2 รายมีอาการไอและตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยใหม่นี้ ล้วนเป็นวัยแรงงานทั้งสิ้น บางส่วนแสดงอาการน้อย หรือไม่แสดงอาการเลย ดังนั้นการมีกระบวนการในการตรวจคัดกรองและนําเข้าพื้นที่ State Quarantine จึงยังคงเป็นการดําเนินการจําเป็นที่ภาครัฐจะใช้ในการตรวจหาเชื้อให้พบ อย่างไรก็ดี แสดงให้เห็นว่า ระบบการจัดการของไทยดูแลได้ดี ในสถานที่กักกัน ซึ่งมีการตรวจเป็นระยะๆ
โฆษก ศบค. ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับยอดสะสมทั้งประเทศตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น จากแผนที่แสดงให้เห็นว่าในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสีเขียวที่แปลว่ามีจํานวนกว่า 65 จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ และมีสีครีมคือมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 0-1 คน 10 จังหวัด ส่งผลให้จากชุดข้อมูลที่นําเสนอ จังหวัดที่เป็นสีแดงหรือมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ ตั้งแต่ 5คน ขึ้นไป ไม่มีแล้ว สถานการณ์ที่ดีขึ้นเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกคน
รวมทั้งได้เน้นย้ําว่า ขณะนี้เรากําลังเข้าสู่มาตรการผ่อนปรนจากระยะที่ 2 ไปสู่ระยะที่ 3 คาดว่ากิจการ/กิจกรรม ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางออกไประดับสูง จะได้รับการอนุญาตมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุด คือการคํานึงถึงมาตรการหลัก 5 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ไม่รวมกลุ่มในที่แออัด เป็นมาตรการที่ได้แถลงบ่อยๆ ซ้ําๆ แม้กิจกรรมจะมีความเสี่ยง แต่หากปฏิบัติตาม มาตรการหลัก 5 ข้อนี้ จะเป็นการควบคุมและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,588,356 ราย เพิ่มขึ้นภายในวันเดียว 89,779 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 1,185 ราย ทําให้ตัวเลขรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 347,873 ราย โดยสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือ บราซิล และรัสเซีย ส่วนอันดับที่ 4 สเปน มีตัวเลขติดลบ เกิดจากการปรับเคลียร์ตัวเลขในเชิงสถิติ
ทั้งนี้ ยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยใหม่ในหลายประเทศ ได้แก่ อินเดีย 6,414 ราย เม็กซิโก 2,485 ราย และปากีสถาน 1,748 ราย สําหรับประเทศไทย ขณะนี้อยู่ในลําดับที่ 77 ส่วนกลุ่มอาเซียนและเอเชีย มีจํานวนผู้ป่วยใหม่ยืนยันเมื่อวานนี้ดังนี้ บังกลาเทศ 1,975 ราย สิงคโปร์ 344 ราย อินโดนีเซีย 479 ราย และฟิลิปปินส์ 284 ราย ขณะที่ ญี่ปุ่นมียอดผู้ป่วยใหม่ 31 ราย และเกาหลีใต้ 19 ราย
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกาเผยว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จากร้านทําผมในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี่ โดยจากการสอบสวนพบว่า ช่างทําผมที่มีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยังคงทํางานต่อเนื่องกว่า 1 อาทิตย์ โดยรับลูกค้าทั้งหมด 91 ราย ขณะที่ช่างทําผมคนที่สอง มีอาการป่วยแต่ยังคงทํางานต่อไปอีก 5 วัน โดยรับลูกค้าทั้งหมด 56 ราย อีกทั้ง ในร้านยังมีพนักงานอีก 7 ราย ส่งผลให้กลุ่มผู้เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อมากถึง 154 ราย อย่างไรก็ตาม ทั้งช่างทําผมและลูกค้าต่างสวมหน้ากากอนามัย ขณะเข้ารับบริการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงมีความหวังว่า การสวมหน้ากากอนามัยจะไม่ทําให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ มีข่าวที่น่ายินดี โดยโฆษก ศบค. รายงานว่า อีริค เจฟฟรีย์ โทพอล แพทย์โรคหัวใจชาวอเมริกัน ยกย่องประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศ ที่ประสบความสําเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แก่ นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมียอดการติดเชื้อเป็นกราฟรูประฆังคว่ํา แสดงให้เห็นว่ากําลังเข้าใกล้ระยะสิ้นสุดของการแพร่ระบาด ขอความร่วมมือให้คนไทยให้ปฏิบัติตัวดีต่อเนื่องไป เพื่อเป็นตัวอย่างให้ชาติอื่นด้วย
นอกจากนี้ มีรายงานถึง New Norm วิถีใหม่ โดยบริษัทใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างน้อย 5 แห่ง มีแผนให้พนักงานทํางานจากบ้านอย่างถาวรเป็นวิถีใหม่ โดย Facebook อาจเปิดให้ร้อย 50 ของพนักงานทํางานที่บ้านภายใน 5-10 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานและเปิดโอกาสในการได้พนักงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่นเดียวกับ Twitter ที่จะอนุญาตให้พนักงานทํางานที่บ้านถาวรเช่นกัน แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่า เป็นงานประเภทใด ขณะที่ Square เจ้าของเดียวกับ twitter ก็มีแผนให้พนักงานทํางานที่บ้านเช่นกัน
3.การดําเนินการตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) จะมีคนไทยเดินทางกลับมาประเทศไทยทั้งหมด 4 เที่ยวบิน เดินทางกลับทั้งสิ้น 386 คน ได้แก่ 1. เวลา 07.35 น. เดินทางกลับมาจากอิตาลี (โรม) 37 คน 2. เวลา 13.40 น. เดินทางกลับมาจากมาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) 149 คน 3. เวลา 15.40 น. เดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น (โตเกียว) 35 คน และ 4. เวลา 17.05 น. เดินทางกลับมาจากไต้หวัน (ไทเป) 165 คน ส่วนในวันพรุ่งนี้ (27 พฤษภาคม 2563) มีคนไทยเดินทางกลับมาประเทศไทยทั้งหมด 4 เที่ยวบิน รวม 401 คน ได้แก่ 1. เวลา 09.30 น. เดินทางกลับมาจากเนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) 41 คน 2. เวลา 15.40 น. เดินทางกลับมาจากแคนาดา (ผ่านญี่ปุ่น) 100 คน 3. เวลา 17.15 น. เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย (สุราบายา) 175 คน และ 4. เวลา 18.00 น. เดินทางกลับมาจากฮ่องกง 85 คน
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้เดินทางจากเมียนมา 3 คน มาเลเซีย 223 คน สปป.ลาว 9 คน และ กัมพูชา 7 คน รวม 242 คน โดยตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 25 พฤษภาคม มีผู้เดินทางเข้าสะสม 14,212 ราย ซึ่งทางที่ประชุม ศบค. ชุดเล็ก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ยังคงมีโควต้าเพียงพอในการรองรับผู้ที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศ เนื่องจากสามารถรับผู้เดินทางได้ทั้งหมด 350 คน ทั้งนี้ นอกจากการใช้โรงแรมเป็นสถานที่กักกันแล้ว ยังได้ใช้โรงเรียนเป็นสถานที่กักกันด้วย โดยในเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงเวลาเปิดภาคเรียนของโรงเรียน ทางภาครัฐต้องเว้นช่วงเวลาเพื่อทําความสะอาดโรงเรียน และคืนพื้นที่ให้โรงเรียน ซึ่งบางส่วนได้ใช้เป็นที่พักและเป็นสถานที่ในการกักกันโรคบริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงขอเน้นย้ํา ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องคนไทยที่อยู่ในมาเลเซียและอยากกลับบ้าน สามารถแจ้งความประสงค์ที่สถานทูตได้ทันที
โฆษก ศบค. ได้รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันในสถานที่ของรัฐ (State Quarantine และ Local Quarantine ตั้งแต่ 3 เมษายน – 25 พฤษภาคม 2563 มีผู้เข้ากักกันสะสม 26,095 ราย ผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,495 ราย และผู้กลับบ้านสะสม 16,600 ราย ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าภาครัฐสามารถคัดกรองและทําการกักกันโรคจากการจัดทํา State Quarantine และ Local Quarantine ได้ เป็นการจัดการที่ประสบความสําเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่ด่านมาเลเซียทั้ง 5 ด่าน ซึ่งมีจํานวนการตรวจหาเชื้อไปแล้ว 12,580 ราย แต่พบผู้ติดเชื้อเพียง 1 รายเท่านั้น ต้องขอบคุณผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการคัดกรอง และกักกันโรค ทุกหน่วยงาน
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 111,691 ร้าน ผู้ใช้งาน 12,845,612 คน แบ่งจํานวนการเข้าใช้งานออกเป็น เช็คอิน 31,153,255 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 21,481,593 ครั้ง และการประเมินร้านค้า 12,222,685 ครั้ง
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 22,226 แห่ง โดยล่าสุดได้บูรณาการการทํางานผ่านชุดตรวจที่ลงพื้นที่ทั้งหมด 3 ชุดหลัก ได้แก่ ชุดตรวจร่วม 90 ชุด ชุดตรวจทั่วไป 1,938 ชุด และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31500
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
วันนี้ (14 ส.ค. 62) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามผลการขับเคลื่อนเป้าหมายสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในระดับจังหวัด ปี 2562 ครั้งที่ 2/2562 ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล และการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการออมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 โดยมี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. จังหวัด ทั่วประเทศ
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐได้ออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ ภายใต้การดําเนินการของ “กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช.” ซึ่งกระทรวงมหาดไทย และ กอช. ได้ร่วมกันกําหนดแนวทางในการดําเนินงานเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยใช้กลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. จังหวัด ขับเคลื่อนการดําเนินงานในระดับพื้นที่ ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม - กรกฎาคม 2562 มีประชาชนสมัครเป็นสมาชิก กอช. จํานวน 1,158,033 คน ทําให้ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วประเทศ รวม 1,850,102 คน
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมวินัยการออมของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล โดยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและทุกอําเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานส่งเสริมและเชิญชวนประชาชนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน สมัครเป็นสมาชิก กอช. อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสําคัญที่สุด คือ การให้คนไทยทุกคนที่อยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญภาครัฐได้มีความมั่นคงในชีวิตในช่วงสูงวัย ซึ่งต้องขอบคุณคณะทํางานฯ ระดับจังหวัด/อําเภอ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานฯ ทําให้ประสบความสําเร็จอย่างดี
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เน้นย้ําว่า ขอให้คณะทํางานฯ ทุกจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้
แก่ประชาชนเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก กอช. รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกออมเงินเข้ากองทุนฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
สิ่งสําคัญที่สุด คือ ต้องส่งเสริมให้ผู้เป็นสมาชิกและประชาชนคนไทยมีวินัยและค่านิยมการออมเงิน ซึ่งจะทําให้คนไทยมีเงินออมไว้ใช้ในอนาคตเพื่อมีชีวิตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
มหาดไทยร่วมกับ กอช. เร่งขับเคลื่อนกองทุนการออม เผยยอดสมาชิกกว่า 1.8 ล้านคน
วันนี้ (14 ส.ค. 62) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามผลการขับเคลื่อนเป้าหมายสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในระดับจังหวัด ปี 2562 ครั้งที่ 2/2562 ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล และการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการออมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 โดยมี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. จังหวัด ทั่วประเทศ
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐได้ออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ ภายใต้การดําเนินการของ “กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช.” ซึ่งกระทรวงมหาดไทย และ กอช. ได้ร่วมกันกําหนดแนวทางในการดําเนินงานเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยใช้กลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยมีคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. จังหวัด ขับเคลื่อนการดําเนินงานในระดับพื้นที่ ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม - กรกฎาคม 2562 มีประชาชนสมัครเป็นสมาชิก กอช. จํานวน 1,158,033 คน ทําให้ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วประเทศ รวม 1,850,102 คน
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมวินัยการออมของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล โดยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและทุกอําเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานส่งเสริมและเชิญชวนประชาชนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน สมัครเป็นสมาชิก กอช. อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายสําคัญที่สุด คือ การให้คนไทยทุกคนที่อยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญภาครัฐได้มีความมั่นคงในชีวิตในช่วงสูงวัย ซึ่งต้องขอบคุณคณะทํางานฯ ระดับจังหวัด/อําเภอ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานฯ ทําให้ประสบความสําเร็จอย่างดี
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เน้นย้ําว่า ขอให้คณะทํางานฯ ทุกจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้
แก่ประชาชนเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก กอช. รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกออมเงินเข้ากองทุนฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
สิ่งสําคัญที่สุด คือ ต้องส่งเสริมให้ผู้เป็นสมาชิกและประชาชนคนไทยมีวินัยและค่านิยมการออมเงิน ซึ่งจะทําให้คนไทยมีเงินออมไว้ใช้ในอนาคตเพื่อมีชีวิตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22244
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทำงาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทำงานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
|
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559
นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทํางาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทํางานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทํางาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทํางานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
วันนี้ (2ก.ย.59) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเพื่อนําปัญหาต่าง ๆ ที่ยังติดค้างอยู่มาดําเนินการต่อและปรับกระบวนการในการทํางานให้กระชับขึ้น โดยได้สั่งการ กนย. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเกษตรกร และภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้ที่นํายางไปแปรรูป ดําเนินการให้เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็ว
ส่วนที่มีกระแสข่าว 2 บริษัทยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของโลก ประกาศไม่รับซื้อยางพาราในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยหลังพบมีการใส่กรดซัลฟิวริกในน้ํายาง เพื่อช่วยให้ยางเซทตัวเร็วขึ้นแต่ส่งผลต่อคุณภาพยางล้อรถยนต์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทําให้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรชาวสวนยางไม่สามารถขายน้ํายางหรือยางแผ่นนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ได้สอบถามผู้ประกอบการแล้วพบว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากข้อห่วงใยซึ่งไม่ได้ต้องการที่จะทําให้ราคายางได้รับผลกระทบ เพียงแต่มีผู้นําข้อมูลที่ได้รับไปตีความและเผยแพร่เป็นข่าวในวงกว้างทําให้ราคายางได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามการดําเนินการในเรื่องการปรับเปลี่ยนการใช้กรดซัลฟูริกมาใช้เป็นกรดฟอร์มิกได้มีการกําหนดไว้แล้วว่าจะใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านเรื่องดังกล่าวเท่าใด ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาผู้ผลิตก็มีการใช้ทั้งกรดซัลฟูริกและกรดฟอร์มิก โดยบางส่วนก็ยังใช้กรดซัลฟูริกได้ ขณะที่บางอย่างใช้เฉพาะกรดฟอร์มิกเท่านั้น แต่การดําเนินการทั้งหมดผู้ผลิตก็ได้มีการพิจารณาการใช้กรดดังกล่าวให้เหมาะสมกับการผลิตยางแต่ละประเภท
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการมอบหมายให้ฝ่ายวิจัยพัฒนาไปพิจารณาหาแนวทางดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดการนําเข้ากรดฟอร์มิก ซึ่งต้องมีการดูแลควบคุมทั้งกรดซัลฟูริกและกรดฟอร์มิกเพื่อแก้ปัญหาในเชิงมหาภาค โดยเฉพาะปริมาณการนําเข้ามีจํานวนเท่าใด และมีการใช้จํานวนเท่าไร ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยการใช้กรดในน้ํายางก็มีความแตกต่างกันในแต่ละประเภทโดยพิจารณาถึงความแข็งตัวช้าหรือเร็วของยางประกอบการใช้กรดในน้ํายางด้วย โดยขอความร่วมมือการเผยแพร่ข้อมูลอย่าสื่อจนส่งผลกระทบให้การตลาดเกิดความเสียหาย เพราะถึงอย่างไร ปัจจุบันยางของประเทศไทยก็ยังเป็นยางที่มีคุณภาพสูง จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายการแปรรูปได้เข้าสนับสนุนประชาชนและประชาสัมพันธ์สร้างการับรู้ให้กับประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทำงาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทำงานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559
นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทํางาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทํางานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
นายกฯสั่งการ กนย.ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการทํางาน ให้กระชับขึ้น ขับเคลื่อนการทํางานให้ได้โดยเร็ว ยืนยันยางของประเทศไทยมีคุณภาพสูง
วันนี้ (2ก.ย.59) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเพื่อนําปัญหาต่าง ๆ ที่ยังติดค้างอยู่มาดําเนินการต่อและปรับกระบวนการในการทํางานให้กระชับขึ้น โดยได้สั่งการ กนย. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเกษตรกร และภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้ที่นํายางไปแปรรูป ดําเนินการให้เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็ว
ส่วนที่มีกระแสข่าว 2 บริษัทยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของโลก ประกาศไม่รับซื้อยางพาราในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยหลังพบมีการใส่กรดซัลฟิวริกในน้ํายาง เพื่อช่วยให้ยางเซทตัวเร็วขึ้นแต่ส่งผลต่อคุณภาพยางล้อรถยนต์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทําให้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรชาวสวนยางไม่สามารถขายน้ํายางหรือยางแผ่นนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ได้สอบถามผู้ประกอบการแล้วพบว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากข้อห่วงใยซึ่งไม่ได้ต้องการที่จะทําให้ราคายางได้รับผลกระทบ เพียงแต่มีผู้นําข้อมูลที่ได้รับไปตีความและเผยแพร่เป็นข่าวในวงกว้างทําให้ราคายางได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามการดําเนินการในเรื่องการปรับเปลี่ยนการใช้กรดซัลฟูริกมาใช้เป็นกรดฟอร์มิกได้มีการกําหนดไว้แล้วว่าจะใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านเรื่องดังกล่าวเท่าใด ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาผู้ผลิตก็มีการใช้ทั้งกรดซัลฟูริกและกรดฟอร์มิก โดยบางส่วนก็ยังใช้กรดซัลฟูริกได้ ขณะที่บางอย่างใช้เฉพาะกรดฟอร์มิกเท่านั้น แต่การดําเนินการทั้งหมดผู้ผลิตก็ได้มีการพิจารณาการใช้กรดดังกล่าวให้เหมาะสมกับการผลิตยางแต่ละประเภท
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการมอบหมายให้ฝ่ายวิจัยพัฒนาไปพิจารณาหาแนวทางดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดการนําเข้ากรดฟอร์มิก ซึ่งต้องมีการดูแลควบคุมทั้งกรดซัลฟูริกและกรดฟอร์มิกเพื่อแก้ปัญหาในเชิงมหาภาค โดยเฉพาะปริมาณการนําเข้ามีจํานวนเท่าใด และมีการใช้จํานวนเท่าไร ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยการใช้กรดในน้ํายางก็มีความแตกต่างกันในแต่ละประเภทโดยพิจารณาถึงความแข็งตัวช้าหรือเร็วของยางประกอบการใช้กรดในน้ํายางด้วย โดยขอความร่วมมือการเผยแพร่ข้อมูลอย่าสื่อจนส่งผลกระทบให้การตลาดเกิดความเสียหาย เพราะถึงอย่างไร ปัจจุบันยางของประเทศไทยก็ยังเป็นยางที่มีคุณภาพสูง จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายการแปรรูปได้เข้าสนับสนุนประชาชนและประชาสัมพันธ์สร้างการับรู้ให้กับประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/291
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณี ครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดำเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชำรุดเสียหาย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วน
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณี ครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชํารุดเสียหาย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วน
โฆษก ทบ.ชี้แจงกรณีครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชํารุดเสียหายจากเหตุอุทกภัย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วนตามนโยบายรัฐ ทั้งมีการกํากับติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณที่เป็นระบบ
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่มีการให้ความเห็นทางโซเชี่ยลฯ ของเพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway , เพจอาณาจักรไบกอน Retuens , เพจกระทู้ดราม่าพันทิป ที่กล่าวถึง กรณีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน จํานวน 1,013 ล้านบาท ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ เพื่อให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 129 เส้นทาง ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน โดยวิจารณ์ว่าภารกิจดังกล่าวมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว และไม่ใช่ภารกิจหลักในความรับผิดชอบของทหาร รวมทั้งกังวลว่าอาจเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน นั้น
โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแก้ปัญหาในลักษณะเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาล ไม่อยู่ในแผนงานหลักของหน่วยงานใด มอบหมายให้หน่วยทหารช่างของกองทัพบก และหน่วยทหารพัฒนาของกองทัพไทย ซึ่งมีความพร้อมในเรื่องบุคคลากร และเครื่องมือ ได้ระดมเร่งเข้าไปซ่อมแซม ถนนที่เชื่อมต่อหมู่บ้าน ชุมชน ที่ชํารุดเสียหาย จากเหตุอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ซึ่งครั้งนี้วัสดุบางส่วนจะมีการใช้ยางพารามาเป็นส่วนประกอบ เพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศให้มากเท่าที่จะสามารถทําได้ ซึ่งปกติ ภารกิจในการการช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ ยังคงเป็นภารกิจสําคัญอันหนึ่งของทางกองทัพ ที่มีทั้งดําเนินการเอง หรือสนับสนุนหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณต่าง ๆ จะเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ที่มีการติดตามตรวจสอบ และมีการกํากับดูแลที่เป็นระบบ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด
---------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณี ครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดำเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชำรุดเสียหาย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วน
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณี ครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชํารุดเสียหาย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วน
โฆษก ทบ.ชี้แจงกรณีครม.อนุมัติงบฯ ให้ บก.ทท.-ทบ. ดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนที่ชํารุดเสียหายจากเหตุอุทกภัย 129 เส้นทางเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเร่งด่วนตามนโยบายรัฐ ทั้งมีการกํากับติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณที่เป็นระบบ
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่มีการให้ความเห็นทางโซเชี่ยลฯ ของเพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway , เพจอาณาจักรไบกอน Retuens , เพจกระทู้ดราม่าพันทิป ที่กล่าวถึง กรณีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน จํานวน 1,013 ล้านบาท ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ เพื่อให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดําเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 129 เส้นทาง ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน โดยวิจารณ์ว่าภารกิจดังกล่าวมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว และไม่ใช่ภารกิจหลักในความรับผิดชอบของทหาร รวมทั้งกังวลว่าอาจเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน นั้น
โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแก้ปัญหาในลักษณะเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาล ไม่อยู่ในแผนงานหลักของหน่วยงานใด มอบหมายให้หน่วยทหารช่างของกองทัพบก และหน่วยทหารพัฒนาของกองทัพไทย ซึ่งมีความพร้อมในเรื่องบุคคลากร และเครื่องมือ ได้ระดมเร่งเข้าไปซ่อมแซม ถนนที่เชื่อมต่อหมู่บ้าน ชุมชน ที่ชํารุดเสียหาย จากเหตุอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ซึ่งครั้งนี้วัสดุบางส่วนจะมีการใช้ยางพารามาเป็นส่วนประกอบ เพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศให้มากเท่าที่จะสามารถทําได้ ซึ่งปกติ ภารกิจในการการช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ ยังคงเป็นภารกิจสําคัญอันหนึ่งของทางกองทัพ ที่มีทั้งดําเนินการเอง หรือสนับสนุนหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณต่าง ๆ จะเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ที่มีการติดตามตรวจสอบ และมีการกํากับดูแลที่เป็นระบบ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด
---------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
|
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เรื่อง แผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ต้องเน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และการเชื่อมต่อระบบคมนาคมซึ่งทุกระบบต้องเชื่อมต่อกันแบบโครงข่าย รวมถึงการดูแลลูกจ้างของ ขสมก. ทั้งนี้ ต้องพิจารณาแผนการเงินอย่างละเอียดก่อนนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้ ขสมก. เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ในส่วนเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เจ้าของที่ดิน และเกษตรกร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบท่อแบบปิด เพื่อความยั่งยืนของการใช้น้ําในระยะยาว สําหรับกรุงเทพมหานครขอให้เตรียมการรับสถานการณ์น้ําท่วมขัง รวมถึงกําหนดแผนป้องกันเพื่อจะดําเนินการแก้ไขให้ได้ตรงจุด และขอให้สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) จัดทําฐานข้อมูลรวบรวมแหล่งเก็บน้ําที่ดําเนินการไปแล้วว่ามีศักยภาพแค่ไหน สามารถกับเก็บน้ําได้จํานวนเท่าไหร่
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรที่ล่าช้านั้น เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ควรจะมีปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการให้รัดกุมและเป็นระบบ เพื่อที่จะสามารถทําให้จ่ายเงินฯ ได้รวดเร็วขึ้น และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการทํางาน กํากับการปฎิบัติหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชา เพื่อให้การดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องรับฟังปัญหาจากประชาชนด้วย ทั้งนี้ ข้าราชการและนักการเมืองต้องทํางานร่วมกันเพื่อประชาชน และเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ส่วนการจัดที่ทํากินให้ประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อต้องการให้ประชาชนมีที่ดินทํากิน แต่ปัญหาคือที่ดินที่มีการจัดสรรไปนั้น ไม่เหมาะต่อการเกษตร ขอให้พิจารณาว่าในทางกฎหมาย สามารถให้ประชาชนสามารถทํากิจการอื่นได้หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษขอให้เน้นการจ้างแรงงานไทย ส่วนเรื่องเกษตร BCG ขอให้กําหนดแผนปฎิบัติการให้ชัดเจน เน้นการจ้างคนจบใหม่ สร้าง start up ให้กับคนรุ่นใหม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึง งบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาทว่า ทุกคนต่างให้ความสนใจ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้งบฟื้นฟูดังกล่าว เน้นย้ําให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เน้นการกระตุ้นการบริโภค ทําให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากช่วย SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับให้เร่งการใช้จ่ายงบประมาณ เบิกจ่ายให้ทันเวลาที่กําหนด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เรื่อง แผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ต้องเน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และการเชื่อมต่อระบบคมนาคมซึ่งทุกระบบต้องเชื่อมต่อกันแบบโครงข่าย รวมถึงการดูแลลูกจ้างของ ขสมก. ทั้งนี้ ต้องพิจารณาแผนการเงินอย่างละเอียดก่อนนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้ ขสมก. เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ในส่วนเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เจ้าของที่ดิน และเกษตรกร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบท่อแบบปิด เพื่อความยั่งยืนของการใช้น้ําในระยะยาว สําหรับกรุงเทพมหานครขอให้เตรียมการรับสถานการณ์น้ําท่วมขัง รวมถึงกําหนดแผนป้องกันเพื่อจะดําเนินการแก้ไขให้ได้ตรงจุด และขอให้สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) จัดทําฐานข้อมูลรวบรวมแหล่งเก็บน้ําที่ดําเนินการไปแล้วว่ามีศักยภาพแค่ไหน สามารถกับเก็บน้ําได้จํานวนเท่าไหร่
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรที่ล่าช้านั้น เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ควรจะมีปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการให้รัดกุมและเป็นระบบ เพื่อที่จะสามารถทําให้จ่ายเงินฯ ได้รวดเร็วขึ้น และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการทํางาน กํากับการปฎิบัติหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชา เพื่อให้การดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องรับฟังปัญหาจากประชาชนด้วย ทั้งนี้ ข้าราชการและนักการเมืองต้องทํางานร่วมกันเพื่อประชาชน และเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ส่วนการจัดที่ทํากินให้ประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อต้องการให้ประชาชนมีที่ดินทํากิน แต่ปัญหาคือที่ดินที่มีการจัดสรรไปนั้น ไม่เหมาะต่อการเกษตร ขอให้พิจารณาว่าในทางกฎหมาย สามารถให้ประชาชนสามารถทํากิจการอื่นได้หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษขอให้เน้นการจ้างแรงงานไทย ส่วนเรื่องเกษตร BCG ขอให้กําหนดแผนปฎิบัติการให้ชัดเจน เน้นการจ้างคนจบใหม่ สร้าง start up ให้กับคนรุ่นใหม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึง งบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาทว่า ทุกคนต่างให้ความสนใจ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้งบฟื้นฟูดังกล่าว เน้นย้ําให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เน้นการกระตุ้นการบริโภค ทําให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากช่วย SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับให้เร่งการใช้จ่ายงบประมาณ เบิกจ่ายให้ทันเวลาที่กําหนด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32108
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 5 – 11 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 5 – 11 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 427 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 4.20 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 137 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.27 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 20 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.36 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 25 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.24 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 2 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.003 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 28 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.38 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 23 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.22 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 9,365.935 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,192 ซอง ไพ่ จํานวน 893 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 6,265.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 170 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 32 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 5 – 11 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 5 – 11 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 662 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.67 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 427 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 4.20 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 137 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.27 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 20 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.36 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 25 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.24 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 2 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.003 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 28 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.38 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 23 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.22 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 9,365.935 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,192 ซอง ไพ่ จํานวน 893 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 6,265.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 170 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 32 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16049
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำข้าราชการ-ประชาชนต้องร่วมสร้างความมั่นคง เสถียรภาพ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
|
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ําข้าราชการ-ประชาชนต้องร่วมสร้างความมั่นคง เสถียรภาพ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนและนักเรียนโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 (ท่าเรือมิตรภาพที่ 30) พร้อมมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุ
วันนี้(13กันยายน2562)เวลา10.30น.ณโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด1 (ท่าเรือมิตรภาพที่30)ต.ท่าเรืออ.เมืองจ.นครศรีธรรมราชพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะเดินทางมาพบปะประชาชนและนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯปัจจุบันมีนักเรียนจํานวน633คนจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรม3ภาษาประกอบด้วยภาษาไทยภาษาอังกฤษและภาษาจีนภายใต้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพร้อมมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุและพันธุ์ส้มโอทับทิมสยาม รวมทั้งมอบทุนการศึกษาอุปกรณ์การเรียนให้แก่เด็กนักเรียน โดยมีผู้บริหาร นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดีใจที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช วันนี้มาเพื่อพบปะกับประชาชนและอนาคตของประเทศชาติ ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพสถานที่ท่องเที่ยวและทะเลสวย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรมผลิตภัณฑ์จักรสานย่านลิเภา อาหารใต้ก็รสเด็ดและยังเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนามีวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นปูชนียสถานที่สําคัญ เป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องชาวนคร ฯ วันนี้ได้มาพบเห็นนักเรียนที่มีความสามารถภาษาต่างประเทศหลายภาษา ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษและภาษาจีนก็ขอชื่นชม เชื่อมั่นว่าเมื่อข้าราชการและประชาชนจูงมือไปด้วยกัน ร่วมกันสร้างความมั่นคง เสถียรภาพและพัฒนา บ้านเมืองก็เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการติดตามการแก้ปัญหาน้ําท่วมว่า การบริหารจัดการน้ําดําเนินการทั้งการกักเก็บน้ํา การระบายน้ํา พบว่าโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ําคลองท่าเรือ-หัวตรุดกิโลเมตรที่9+200 (โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ) มีความก้าวหน้าโดยลําดับ ซึ่งเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์แล้วจะแก้ปัญหาน้ําท่วมได้ร้อยละ 90 และแก้ปัญหาน้ําท่วมซ้ําซากทุกปีอย่างยั่งยืน ต้องขอบคุณประชาชนที่เสียสละที่ดินให้รัฐได้ดําเนินโครงการฯ ซึ่งรัฐบาลจะได้ชดเชยเยียวยาอย่างเหมาะสม ระหว่างนี้รัฐบาลจะช่วยดูแลเรื่องอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนเพื่อเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การดําเนินการทุกเรื่องต้องใช้เวลา ขอให้ทุกคนเข้าใจและร่วมมือกัน สําหรับรัฐบาลได้มีการเตรียมแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีรองรับแล้ว โดยแบ่งการดําเนินออกเป็นช่วงละ 5 ปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงขอฝากให้ประชาชนทุกภาคส่วนเตรียมพร้อมและปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์และการพัฒนาประเทศร่วมกันทํางานในรูปแบบประชารัฐ
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม จึงอยากให้ช่วยกันรักษาให้คงอยู่ในระดับนี้ต่อไป ขณะเดียวกันก็พร้อมจะดูแลเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งไฟฟ้า ประปา ให้เพียงพอสําหรับบริการประชาชน ซึ่งสิ่งสําคัญคือ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องขยะและพลาสติก โดยเฉพาะการลดขยะถุงพลาสติกให้น้อยลง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทะเล พร้อมฝากให้มีการสร้างการรับรู้ให้โรงเรียนทุกโรงเรียนปลอดถุงพลาสติก
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้ประชาชนระวังการใช้จ่าย อย่าใช้จ่ายเกินตัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระให้รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล ในส่วนบัตรสวัสดิการนั้น รัฐบาลจะมีโครงการต่าง ๆ ลงมาในพื้นที่สู่ประชาชนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากใครที่ยังไม่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการก็ขอให้ไปดําเนินการตามช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่กําหนด
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารจ.นครศรีธรรมราชเพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราชปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถานซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ก่อนเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีต่อไป
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำข้าราชการ-ประชาชนต้องร่วมสร้างความมั่นคง เสถียรภาพ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ําข้าราชการ-ประชาชนต้องร่วมสร้างความมั่นคง เสถียรภาพ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนและนักเรียนโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 (ท่าเรือมิตรภาพที่ 30) พร้อมมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุ
วันนี้(13กันยายน2562)เวลา10.30น.ณโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด1 (ท่าเรือมิตรภาพที่30)ต.ท่าเรืออ.เมืองจ.นครศรีธรรมราชพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะเดินทางมาพบปะประชาชนและนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯปัจจุบันมีนักเรียนจํานวน633คนจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรม3ภาษาประกอบด้วยภาษาไทยภาษาอังกฤษและภาษาจีนภายใต้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพร้อมมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุและพันธุ์ส้มโอทับทิมสยาม รวมทั้งมอบทุนการศึกษาอุปกรณ์การเรียนให้แก่เด็กนักเรียน โดยมีผู้บริหาร นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดีใจที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช วันนี้มาเพื่อพบปะกับประชาชนและอนาคตของประเทศชาติ ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพสถานที่ท่องเที่ยวและทะเลสวย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรมผลิตภัณฑ์จักรสานย่านลิเภา อาหารใต้ก็รสเด็ดและยังเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนามีวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นปูชนียสถานที่สําคัญ เป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องชาวนคร ฯ วันนี้ได้มาพบเห็นนักเรียนที่มีความสามารถภาษาต่างประเทศหลายภาษา ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษและภาษาจีนก็ขอชื่นชม เชื่อมั่นว่าเมื่อข้าราชการและประชาชนจูงมือไปด้วยกัน ร่วมกันสร้างความมั่นคง เสถียรภาพและพัฒนา บ้านเมืองก็เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการติดตามการแก้ปัญหาน้ําท่วมว่า การบริหารจัดการน้ําดําเนินการทั้งการกักเก็บน้ํา การระบายน้ํา พบว่าโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ําคลองท่าเรือ-หัวตรุดกิโลเมตรที่9+200 (โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ) มีความก้าวหน้าโดยลําดับ ซึ่งเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์แล้วจะแก้ปัญหาน้ําท่วมได้ร้อยละ 90 และแก้ปัญหาน้ําท่วมซ้ําซากทุกปีอย่างยั่งยืน ต้องขอบคุณประชาชนที่เสียสละที่ดินให้รัฐได้ดําเนินโครงการฯ ซึ่งรัฐบาลจะได้ชดเชยเยียวยาอย่างเหมาะสม ระหว่างนี้รัฐบาลจะช่วยดูแลเรื่องอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนเพื่อเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การดําเนินการทุกเรื่องต้องใช้เวลา ขอให้ทุกคนเข้าใจและร่วมมือกัน สําหรับรัฐบาลได้มีการเตรียมแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีรองรับแล้ว โดยแบ่งการดําเนินออกเป็นช่วงละ 5 ปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงขอฝากให้ประชาชนทุกภาคส่วนเตรียมพร้อมและปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์และการพัฒนาประเทศร่วมกันทํางานในรูปแบบประชารัฐ
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม จึงอยากให้ช่วยกันรักษาให้คงอยู่ในระดับนี้ต่อไป ขณะเดียวกันก็พร้อมจะดูแลเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งไฟฟ้า ประปา ให้เพียงพอสําหรับบริการประชาชน ซึ่งสิ่งสําคัญคือ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องขยะและพลาสติก โดยเฉพาะการลดขยะถุงพลาสติกให้น้อยลง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทะเล พร้อมฝากให้มีการสร้างการรับรู้ให้โรงเรียนทุกโรงเรียนปลอดถุงพลาสติก
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้ประชาชนระวังการใช้จ่าย อย่าใช้จ่ายเกินตัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระให้รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล ในส่วนบัตรสวัสดิการนั้น รัฐบาลจะมีโครงการต่าง ๆ ลงมาในพื้นที่สู่ประชาชนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากใครที่ยังไม่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการก็ขอให้ไปดําเนินการตามช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่กําหนด
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารจ.นครศรีธรรมราชเพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราชปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศจดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถานซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ก่อนเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีต่อไป
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23070
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีมผู้บริหารสธ.ติดตามความพร้อมโรงพยาบาล รับอุบัติเหตุฉุกเฉิน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562
|
วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561
ทีมผู้บริหารสธ.ติดตามความพร้อมโรงพยาบาล รับอุบัติเหตุฉุกเฉิน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562
ทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาล ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ห้องฉุกเฉินคุณภาพ รถพยาบาล พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ 2562
วันนี้ (26 ธันวาคม 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาล และเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ตามเส้นทาง 4 สายหลัก ได้แก่ จังหวัดนครปฐม สระบุรี อยุธยา อ่างทอง นครราชสีมา นครสวรรค์ และชลบุรี
นายแพทย์สุขุมให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วง 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2562 กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่บนถนนสายหลัก เตรียมความพร้อม แพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข พร้อมปฏิบัติงานดูแลประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้บัญชาการ บูรณาการการทํางานกับศูนย์ความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเน้นในอําเภอเสี่ยงสูง จํานวน 144 อําเภอใน 60 จังหวัด จัดร่วมให้บริการที่จุดบริการประชาชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเส้นทาง
สําหรับโรงพยาบาล ให้เน้นการจัดการระบบบริการห้องฉุกเฉินคุณภาพ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ แจ้งเหตุเร็ว ทางหมายเลข 1669 รับเร็ว ถึงที่เกิดเหตุภายใน 10 นาที ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของการออกเหตุทั้งหมด ส่งเร็ว ส่งต่อถึงมือแพทย์ในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ห้องผ่าตัด ไอซียู สํารองเตียง เลือด ออกซิเจน อุปกรณ์การแพทย์ พร้อมให้บริการผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งศูนย์ส่งต่อ จะต้องตรวจเช็คสภาพรถพยาบาลให้ได้ตามมาตรฐาน มีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง จํานวนผู้โดยสารต้องไม่เกิน 7 คน เน้นย้ําเจ้าหน้าที่ขณะทําหัตถการต้องหยุดรถ พนักงานขับรถยนต์มีจํานวนตามระยะทางที่กําหนดไว้ ผ่านการอบรมแล้ว และตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ ให้ดําเนินการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ตามการร้องขอของเจ้าหน้าที่ตํารวจ
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ให้สาธารณสุขอําเภอ สนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ในการตั้งด่านควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง เช่นด่านชุมชน หรือศูนย์สร่างเมา เพื่อสกัดผู้ดื่มแล้วขับไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ร้านค้าในหมู่บ้านไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีและผู้ที่เมาสุรา และไม่ขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนด
“ขอให้กําลังใจและขอบคุณผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่เสียสละทํางานบริการประชาชนในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ช่วยให้ประชาชนปลอดภัย สุขภาพดี ขอให้ทํางานอย่างมีความสุข” นายแพทย์สุขุมกล่าว
*************************************** 26 ธันวาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีมผู้บริหารสธ.ติดตามความพร้อมโรงพยาบาล รับอุบัติเหตุฉุกเฉิน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562
วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561
ทีมผู้บริหารสธ.ติดตามความพร้อมโรงพยาบาล รับอุบัติเหตุฉุกเฉิน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562
ทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาล ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ห้องฉุกเฉินคุณภาพ รถพยาบาล พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ 2562
วันนี้ (26 ธันวาคม 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาล และเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ตามเส้นทาง 4 สายหลัก ได้แก่ จังหวัดนครปฐม สระบุรี อยุธยา อ่างทอง นครราชสีมา นครสวรรค์ และชลบุรี
นายแพทย์สุขุมให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วง 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2562 กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่บนถนนสายหลัก เตรียมความพร้อม แพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข พร้อมปฏิบัติงานดูแลประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้บัญชาการ บูรณาการการทํางานกับศูนย์ความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเน้นในอําเภอเสี่ยงสูง จํานวน 144 อําเภอใน 60 จังหวัด จัดร่วมให้บริการที่จุดบริการประชาชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเส้นทาง
สําหรับโรงพยาบาล ให้เน้นการจัดการระบบบริการห้องฉุกเฉินคุณภาพ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ แจ้งเหตุเร็ว ทางหมายเลข 1669 รับเร็ว ถึงที่เกิดเหตุภายใน 10 นาที ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของการออกเหตุทั้งหมด ส่งเร็ว ส่งต่อถึงมือแพทย์ในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ห้องผ่าตัด ไอซียู สํารองเตียง เลือด ออกซิเจน อุปกรณ์การแพทย์ พร้อมให้บริการผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งศูนย์ส่งต่อ จะต้องตรวจเช็คสภาพรถพยาบาลให้ได้ตามมาตรฐาน มีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง จํานวนผู้โดยสารต้องไม่เกิน 7 คน เน้นย้ําเจ้าหน้าที่ขณะทําหัตถการต้องหยุดรถ พนักงานขับรถยนต์มีจํานวนตามระยะทางที่กําหนดไว้ ผ่านการอบรมแล้ว และตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ ให้ดําเนินการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ตามการร้องขอของเจ้าหน้าที่ตํารวจ
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ให้สาธารณสุขอําเภอ สนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ในการตั้งด่านควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง เช่นด่านชุมชน หรือศูนย์สร่างเมา เพื่อสกัดผู้ดื่มแล้วขับไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ร้านค้าในหมู่บ้านไม่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีและผู้ที่เมาสุรา และไม่ขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนด
“ขอให้กําลังใจและขอบคุณผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่เสียสละทํางานบริการประชาชนในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ช่วยให้ประชาชนปลอดภัย สุขภาพดี ขอให้ทํางานอย่างมีความสุข” นายแพทย์สุขุมกล่าว
*************************************** 26 ธันวาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17772
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 ที่ห้องประชุมปัญญาไพศาล ธนาคารแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดการประชุมหารือเพื่อระดมความเห็นเฉพาะกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับ ทิศทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทย โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เข้าร่วมการประชุมหารือ พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ทั้งนี้ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นผู้นําเสนอประเด็นการประชุมหารือ
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมหารือเพื่อระดมความเห็นเฉพาะกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทย ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 นายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคด้านสังคม ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีการหารือถึงความท้าทายของการพัฒนาระบบสวัสดิการ อาทิ โครงสร้างเศรษฐกิจไทย การพลิกผันทางเทคโนโลยี การเป็นสังคมสูงวัย และแนวโน้มความยากจนในไทย เป็นต้น รวมถึงแนวทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทยที่ควรอยู่บนสิทธิขั้นพื้นฐานแทนที่การสงเคราะห์การกระจายอํานาจให้ท้องถิ่นและภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม การจัดทําฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การปฏิรูประบบภาษีและระบบงบประมาณ โดยการจัดสวัสดิการ ควรคํานึงถึงความมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ รวมถึงความยั่งยืนของระบบสวัสดิการและความเสมอภาคที่จะนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเรื่องการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและการจัดสวัสดิการแบบเฉพาะเจาะจง โดย กระทรวง พม. ควรบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสวัสดิการทั้งระบบ และปรับบทบาทในการเป็นหน่วยงานเชิงวิชาการและเชิงนโยบายมากขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
พม. หารือผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ มุ่งพัฒนาระบบสวัสดิการไทยอย่างเสมอภาคและยั่งยืน
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 ที่ห้องประชุมปัญญาไพศาล ธนาคารแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดการประชุมหารือเพื่อระดมความเห็นเฉพาะกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับ ทิศทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทย โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เข้าร่วมการประชุมหารือ พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ทั้งนี้ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นผู้นําเสนอประเด็นการประชุมหารือ
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมหารือเพื่อระดมความเห็นเฉพาะกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทย ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 นายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคด้านสังคม ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีการหารือถึงความท้าทายของการพัฒนาระบบสวัสดิการ อาทิ โครงสร้างเศรษฐกิจไทย การพลิกผันทางเทคโนโลยี การเป็นสังคมสูงวัย และแนวโน้มความยากจนในไทย เป็นต้น รวมถึงแนวทางการพัฒนาระบบสวัสดิการของประเทศไทยที่ควรอยู่บนสิทธิขั้นพื้นฐานแทนที่การสงเคราะห์การกระจายอํานาจให้ท้องถิ่นและภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม การจัดทําฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การปฏิรูประบบภาษีและระบบงบประมาณ โดยการจัดสวัสดิการ ควรคํานึงถึงความมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ รวมถึงความยั่งยืนของระบบสวัสดิการและความเสมอภาคที่จะนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเรื่องการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและการจัดสวัสดิการแบบเฉพาะเจาะจง โดย กระทรวง พม. ควรบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสวัสดิการทั้งระบบ และปรับบทบาทในการเป็นหน่วยงานเชิงวิชาการและเชิงนโยบายมากขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25629
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ในไทย
|
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
ทส.จัดระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ในไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนตามแนวทางการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย” เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่ของประเทศไทยอย่างคุ้มค่าบนพื้นฐานความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี จัดประชุมระดมความคิดเห็น
“การขับเคลื่อนตามแนวทางการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย”เพื่อรับทราบข้อมูลอันเป็นประโยชน์
ในการจัดทํายุทธศาสตร์ แผนแม่บท และนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นและเสนอแนะเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาทรัพยากรแร่ของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อนําไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและมีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าบนพื้นฐานความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนา
โดยวันนี้ (11 มกราคม 2560) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพมหานคร
การประชุมระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมจํานวน 400 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแร่ และผู้ประกอบการด้านการสํารวจแร่และทําเหมืองแร่ ผู้ใช้ประโยชน์ ผู้แทนองค์กรอิสระ องค์กรเอกชน เครือข่ายภาคประชาชน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแร่ และสถาบัน ศึกษาวิจัย ร่วมระดมความคิดเห็น โดยในการประชุม แบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ช่วงเช้า การบรรยายเรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย ภายใต้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ บรรยายโดย กรมทรัพยากรธรณี , การบรรยาย เรื่องธรรมาภิบาลกับร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.... และกรอบแนวคิดการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทยบรรยายโดย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
ช่วงบ่าย การเสวนาระดมความคิดเห็น เรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทยด้านอนุรักษ์และการพัฒนาแร่” โดยมีผู้เสวนา ประกอบด้วย ผู้แทนจากสถาบันการศึกษาด้านการสํารวจและทําเหมืองแร่ ผู้แทนองค์กรอิสระ องค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายภาคประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากทรัพยากรแร่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ในไทย
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
ทส.จัดระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ในไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมระดมความคิดเห็นการขับเคลื่อนตามแนวทางการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย” เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่ของประเทศไทยอย่างคุ้มค่าบนพื้นฐานความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี จัดประชุมระดมความคิดเห็น
“การขับเคลื่อนตามแนวทางการปฏิรูปบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย”เพื่อรับทราบข้อมูลอันเป็นประโยชน์
ในการจัดทํายุทธศาสตร์ แผนแม่บท และนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นและเสนอแนะเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาทรัพยากรแร่ของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อนําไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและมีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าบนพื้นฐานความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนา
โดยวันนี้ (11 มกราคม 2560) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพมหานคร
การประชุมระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมจํานวน 400 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแร่ และผู้ประกอบการด้านการสํารวจแร่และทําเหมืองแร่ ผู้ใช้ประโยชน์ ผู้แทนองค์กรอิสระ องค์กรเอกชน เครือข่ายภาคประชาชน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแร่ และสถาบัน ศึกษาวิจัย ร่วมระดมความคิดเห็น โดยในการประชุม แบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ช่วงเช้า การบรรยายเรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทย ภายใต้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ บรรยายโดย กรมทรัพยากรธรณี , การบรรยาย เรื่องธรรมาภิบาลกับร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.... และกรอบแนวคิดการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทยบรรยายโดย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
ช่วงบ่าย การเสวนาระดมความคิดเห็น เรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารจัดการแร่ของประเทศไทยด้านอนุรักษ์และการพัฒนาแร่” โดยมีผู้เสวนา ประกอบด้วย ผู้แทนจากสถาบันการศึกษาด้านการสํารวจและทําเหมืองแร่ ผู้แทนองค์กรอิสระ องค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายภาคประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากทรัพยากรแร่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1296
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับรพ.ภูเก็ตและกระบี่ ดูแลผู้บาดเจ็บ จากไฟไหม้เรือท่องเที่ยวสปีดโบ้ทเต็มที่
|
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
สธ. กําชับรพ.ภูเก็ตและกระบี่ ดูแลผู้บาดเจ็บ จากไฟไหม้เรือท่องเที่ยวสปีดโบ้ทเต็มที่
รมว.สธ. กําชับโรงพยาบาลกระบี่และภูเก็ต ให้การดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท อย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้น คาดว่า 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถกลับประเทศได้
รมว.สธ. กําชับโรงพยาบาลกระบี่และภูเก็ต ให้การดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท อย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้น คาดว่า 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถกลับประเทศได้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยนักท่องเที่ยว ที่ได้รับบาดเจ็บจากกรณีไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท ใกล้ถ้ําไวกิ้ง เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ กําชับให้ดูแลอย่างเต็มที่ โดยในวันนี้ได้รับรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บทั้งหมดที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 7 ราย ทุกรายอาการปลอดภัย และได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้บาดเจ็บรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จ.ภูเก็ต 4 รายและ จ.กระบี่ อีก 3 ราย โดยได้รับรายงานว่า วันนี้ผู้บาดเจ็บที่ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จํานวน 1 ราย ที่มีแผลไฟไหม้ร้อยละ 40 อาการดีขึ้น มีไข้ต่ําๆ ให้ยาปฏิชีวนะ ยังไม่ปรากฏอาการติดเชื้อ รู้สึกตัวและโต้ตอบได้ดี อยู่หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม (ICU:ไอซียู) ได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม แผลจะดีขึ้นภายใน 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน จะย้ายออกไปอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งหากแผลแห้งดีแล้วไม่มีความเสี่ยงก็จะสามารถกลับประเทศได้ สําหรับอีก 2 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตและ 1 ราย อยู่ที่โรงพยาบาล อบจ.ภูเก็ต อาการไม่สาหัส ปลอดภัยดี
สําหรับที่โรงพยาบาลกระบี่ ผู้เข้ารับการรักษาเป็นกัปตันเรือ มีแผลไฟไหม้ร้อยละ 50 ใช้เครื่องช่วยหายใจ ยังอยู่ในห้องไอซียู (ICU)อาการทั่วไปไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด สําหรับนักท่องเที่ยวอีก 2 ราย รักษาตัวที่โรงพยาบาลกระบี่นครินทร์ อาการไม่สาหัส และโรงพยาบาลกระบี่ยินดีรับส่งต่อการรักษาหากผู้บาดเจ็บต้องการ
ทั้งนี้ ได้กําชับให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาล อํานวยความสะดวกญาติผู้บาดเจ็บ และการติดต่อสื่อสารประสานงานกับสํานักงานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําภูเก็ต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับรพ.ภูเก็ตและกระบี่ ดูแลผู้บาดเจ็บ จากไฟไหม้เรือท่องเที่ยวสปีดโบ้ทเต็มที่
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
สธ. กําชับรพ.ภูเก็ตและกระบี่ ดูแลผู้บาดเจ็บ จากไฟไหม้เรือท่องเที่ยวสปีดโบ้ทเต็มที่
รมว.สธ. กําชับโรงพยาบาลกระบี่และภูเก็ต ให้การดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท อย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้น คาดว่า 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถกลับประเทศได้
รมว.สธ. กําชับโรงพยาบาลกระบี่และภูเก็ต ให้การดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท อย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้น คาดว่า 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถกลับประเทศได้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยนักท่องเที่ยว ที่ได้รับบาดเจ็บจากกรณีไฟไหม้เรือสปีดโบ้ท ใกล้ถ้ําไวกิ้ง เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ กําชับให้ดูแลอย่างเต็มที่ โดยในวันนี้ได้รับรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บทั้งหมดที่ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 7 ราย ทุกรายอาการปลอดภัย และได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้บาดเจ็บรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จ.ภูเก็ต 4 รายและ จ.กระบี่ อีก 3 ราย โดยได้รับรายงานว่า วันนี้ผู้บาดเจ็บที่ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จํานวน 1 ราย ที่มีแผลไฟไหม้ร้อยละ 40 อาการดีขึ้น มีไข้ต่ําๆ ให้ยาปฏิชีวนะ ยังไม่ปรากฏอาการติดเชื้อ รู้สึกตัวและโต้ตอบได้ดี อยู่หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม (ICU:ไอซียู) ได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม แผลจะดีขึ้นภายใน 1-2 อาทิตย์ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน จะย้ายออกไปอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งหากแผลแห้งดีแล้วไม่มีความเสี่ยงก็จะสามารถกลับประเทศได้ สําหรับอีก 2 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตและ 1 ราย อยู่ที่โรงพยาบาล อบจ.ภูเก็ต อาการไม่สาหัส ปลอดภัยดี
สําหรับที่โรงพยาบาลกระบี่ ผู้เข้ารับการรักษาเป็นกัปตันเรือ มีแผลไฟไหม้ร้อยละ 50 ใช้เครื่องช่วยหายใจ ยังอยู่ในห้องไอซียู (ICU)อาการทั่วไปไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด สําหรับนักท่องเที่ยวอีก 2 ราย รักษาตัวที่โรงพยาบาลกระบี่นครินทร์ อาการไม่สาหัส และโรงพยาบาลกระบี่ยินดีรับส่งต่อการรักษาหากผู้บาดเจ็บต้องการ
ทั้งนี้ ได้กําชับให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาล อํานวยความสะดวกญาติผู้บาดเจ็บ และการติดต่อสื่อสารประสานงานกับสํานักงานกงสุลสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําภูเก็ต
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9393
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
ครม. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
ครม. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ พร้อมมีการจัดทําเหรียญเชิดชูเกียรติ และจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
วันนี้ (7พ.ย. 60 ) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ดังนี้
1. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
2. เห็นชอบเปลี่ยนชื่อโครงการสละสิทธิการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยสมัครใจ เป็นโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้จ้างกรมธนารักษ์จัดทําเหรียญเชิดชูเกียรติ และจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังรายงานว่า
การรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพ และการส่งเงินบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุ มีดังนี้
1. ผู้สูงอายุที่ต้องการบริจาคเบี้ยยังชีพสามารถแสดงความจํานงได้ที่หน่วยรับแจ้งการบริจาค ได้แก่ สํานักงานเขต กทม. อบต. เทศบาล และพัทยาที่ตนได้ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไว้ โดยนําบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมกรอกแบบฟอร์มที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ทั้งนี้ ผู้บริจาคสามารถยกเลิกการบริจาคได้
2. หน่วยรับแจ้งการบริจาคจัดส่งเงินบริจาคและข้อมูลของผู้บริจาคให้แก่กองทุนผู้สูงอายุตามขั้นตอนที่กําหนด โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งกองทุนผู้สูงอายุและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) จะจัดส่งใบเสร็จให้แก่ผู้บริจาคต่อไป
ทั้งนี้ เหรียญเชิดชูเกียรติเป็นเหรียญพระคลัง ชนิดทองแดงชุบทอง ความสูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร สลักข้อความ “ร่ํารวย สุขภาพดี อายุยืน” และข้อความ “เหรียญเชิดชูเกียรติ สําหรับผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ”
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
ครม. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
ครม. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ พร้อมมีการจัดทําเหรียญเชิดชูเกียรติ และจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
วันนี้ (7พ.ย. 60 ) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ดังนี้
1. รับทราบแนวทางการดําเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
2. เห็นชอบเปลี่ยนชื่อโครงการสละสิทธิการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยสมัครใจ เป็นโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้จ้างกรมธนารักษ์จัดทําเหรียญเชิดชูเกียรติ และจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังรายงานว่า
การรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพ และการส่งเงินบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุ มีดังนี้
1. ผู้สูงอายุที่ต้องการบริจาคเบี้ยยังชีพสามารถแสดงความจํานงได้ที่หน่วยรับแจ้งการบริจาค ได้แก่ สํานักงานเขต กทม. อบต. เทศบาล และพัทยาที่ตนได้ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไว้ โดยนําบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมกรอกแบบฟอร์มที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ทั้งนี้ ผู้บริจาคสามารถยกเลิกการบริจาคได้
2. หน่วยรับแจ้งการบริจาคจัดส่งเงินบริจาคและข้อมูลของผู้บริจาคให้แก่กองทุนผู้สูงอายุตามขั้นตอนที่กําหนด โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งกองทุนผู้สูงอายุและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) จะจัดส่งใบเสร็จให้แก่ผู้บริจาคต่อไป
ทั้งนี้ เหรียญเชิดชูเกียรติเป็นเหรียญพระคลัง ชนิดทองแดงชุบทอง ความสูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร สลักข้อความ “ร่ํารวย สุขภาพดี อายุยืน” และข้อความ “เหรียญเชิดชูเกียรติ สําหรับผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ”
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7884
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
|
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เวลา 15.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560 โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หัวหน้าส่วนราชการและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ ห้องบุญสม มาร์ติน กรมพลศึกษา
การประชุมครั้งนี้มีวาระสําคัญ ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ ความคืบหน้าการดําเนินการขับเคลื่อน "ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน", การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางบก, ความคืบหน้ามาตรการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการนําเข้าเรือสําราญ (Yacht) และการเตรียมการจัดงาน Thailand Yacht Show 2018 ตลอดจน วาระสําคัญด้านการกีฬา ได้แก่ ความคืบหน้าการขอตั้งสํานักงานสหพันธ์กรีฑาในประเทศไทย และการดําเนินงานจัดตั้งศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ (National Training Centre)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เวลา 15.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานด้านท่องเที่ยวและกีฬา ครั้งที่ 5/2560 โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หัวหน้าส่วนราชการและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ ห้องบุญสม มาร์ติน กรมพลศึกษา
การประชุมครั้งนี้มีวาระสําคัญ ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ ความคืบหน้าการดําเนินการขับเคลื่อน "ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน", การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางบก, ความคืบหน้ามาตรการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในการนําเข้าเรือสําราญ (Yacht) และการเตรียมการจัดงาน Thailand Yacht Show 2018 ตลอดจน วาระสําคัญด้านการกีฬา ได้แก่ ความคืบหน้าการขอตั้งสํานักงานสหพันธ์กรีฑาในประเทศไทย และการดําเนินงานจัดตั้งศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ (National Training Centre)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8255
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สำเร็จ
|
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ
นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) เวลา 11.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงการณ์ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
“ประชาชนชาวไทยที่รักทุกคน นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ที่นักฟุตบอลและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย รวม 13 คน ได้ประสบอันตราย ติดอยู่ภายในวนอุทยานถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย รัฐบาลได้รวบรวมสรรพกําลังเพื่อให้การช่วยเหลือ อย่างเต็มความสามารถด้วยการบูรณาการ ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ได้ร่วมมือกัน เสียสละ อดทน ปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มขีดความสามารถด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ ประกอบกับกําลังใจ จากทั่วทุกมุมโลก ทุกชาติ ศาสนาที่ส่งมายังประเทศไทย จนบัดนี้ ภารกิจการค้นหาและกู้ภัย ได้สําเร็จลุล่วงลงแล้วรวมใช้เวลาทั้งสิ้น 17 วัน ส่งผลให้ผู้ประสบภัย ทั้ง 13 คน และหน่วยกู้ภัยประสบความสําเร็จ ออกจากวนอุทยานถ้ําหลวงได้อย่างปลอดภัย ในยามที่ประชาชนประสบทุกข์ภัยเราได้รับพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ที่ทรงติดตามข่าวสารการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิดพระราชทานความช่วยเหลือต่าง ๆ ตลอดจนพระราชทานขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดเวลานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ต่อปวงชนชาวไทยขอจงทรงพระเจริญ
พี่น้องที่เคารพครับ ผมในนามของรัฐบาลไทยต้องขอแสดงความขอบคุณ อย่างสุดซึ้งในความเสียสละและความมุมานะในการปฏิบัติงานของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนทุกองค์กร ประชาชน จิตอาสาและสื่อมวลชน ทั้งไทยและต่างประเทศที่สนับสนุนทั้งองค์ความรู้ กําลังคนเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนกําลังใจและไมตรีจิต จากมิตรประเทศทั่วโลกจนทําให้ภารกิจในครั้งนี้ สําเร็จได้ด้วยดีเหตุการณ์ในครั้งนี้ นับเป็นบทเรียนครั้งสําคัญให้พวกเราได้เรียนรู้ว่าแม้ภารกิจจะยากลําบากและมีอุปสรรคกีดขวางมากมายเพียงใดแต่หากเรามีสติมีความมุ่งมั่นมีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมอุปสรรค ทุกอย่างจะสามารถคลี่คลายได้ แม้วันนี้ ภารกิจจะเสร็จสิ้นแล้วแต่ภาพของความร่วมแรงร่วมใจโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนาจะยังคงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของเจ้าหน้าที่ผู้กล้าหาญ จ่าเอกสมาน กุนัน อดีตนักทําลายใต้น้ําจู่โจมแห่งกองทัพเรืออาสาสมัครผู้สละชีพ ในปฏิบัติการครั้งนี้อย่างสมเกียรติ ความเสียสละของจ่าเอกสมานจะเป็นต้นแบบแห่งความกล้าหาญและประทับในจิตใจของพวกเราตลอดไป
ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในสากลโลก อีกทั้ง พระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดดลบันดาลประทานพร ให้คณะเจ้าหน้าที่ทุกท่านทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนชาวต่างประเทศ ทุกประเทศ ประสบแต่ความสุขความเจริญ สมบูรณ์พร้อมด้วยกําลังกาย กําลังใจ กําลังสติปัญญา และ เดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพโดยทั่วกัน”
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สำเร็จ
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ
นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) เวลา 11.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงการณ์ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ได้สําเร็จ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
“ประชาชนชาวไทยที่รักทุกคน นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ที่นักฟุตบอลและผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย รวม 13 คน ได้ประสบอันตราย ติดอยู่ภายในวนอุทยานถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย รัฐบาลได้รวบรวมสรรพกําลังเพื่อให้การช่วยเหลือ อย่างเต็มความสามารถด้วยการบูรณาการ ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ได้ร่วมมือกัน เสียสละ อดทน ปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มขีดความสามารถด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ ประกอบกับกําลังใจ จากทั่วทุกมุมโลก ทุกชาติ ศาสนาที่ส่งมายังประเทศไทย จนบัดนี้ ภารกิจการค้นหาและกู้ภัย ได้สําเร็จลุล่วงลงแล้วรวมใช้เวลาทั้งสิ้น 17 วัน ส่งผลให้ผู้ประสบภัย ทั้ง 13 คน และหน่วยกู้ภัยประสบความสําเร็จ ออกจากวนอุทยานถ้ําหลวงได้อย่างปลอดภัย ในยามที่ประชาชนประสบทุกข์ภัยเราได้รับพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ที่ทรงติดตามข่าวสารการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิดพระราชทานความช่วยเหลือต่าง ๆ ตลอดจนพระราชทานขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดเวลานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ต่อปวงชนชาวไทยขอจงทรงพระเจริญ
พี่น้องที่เคารพครับ ผมในนามของรัฐบาลไทยต้องขอแสดงความขอบคุณ อย่างสุดซึ้งในความเสียสละและความมุมานะในการปฏิบัติงานของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนทุกองค์กร ประชาชน จิตอาสาและสื่อมวลชน ทั้งไทยและต่างประเทศที่สนับสนุนทั้งองค์ความรู้ กําลังคนเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนกําลังใจและไมตรีจิต จากมิตรประเทศทั่วโลกจนทําให้ภารกิจในครั้งนี้ สําเร็จได้ด้วยดีเหตุการณ์ในครั้งนี้ นับเป็นบทเรียนครั้งสําคัญให้พวกเราได้เรียนรู้ว่าแม้ภารกิจจะยากลําบากและมีอุปสรรคกีดขวางมากมายเพียงใดแต่หากเรามีสติมีความมุ่งมั่นมีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมอุปสรรค ทุกอย่างจะสามารถคลี่คลายได้ แม้วันนี้ ภารกิจจะเสร็จสิ้นแล้วแต่ภาพของความร่วมแรงร่วมใจโดยไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนาจะยังคงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของเจ้าหน้าที่ผู้กล้าหาญ จ่าเอกสมาน กุนัน อดีตนักทําลายใต้น้ําจู่โจมแห่งกองทัพเรืออาสาสมัครผู้สละชีพ ในปฏิบัติการครั้งนี้อย่างสมเกียรติ ความเสียสละของจ่าเอกสมานจะเป็นต้นแบบแห่งความกล้าหาญและประทับในจิตใจของพวกเราตลอดไป
ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในสากลโลก อีกทั้ง พระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดดลบันดาลประทานพร ให้คณะเจ้าหน้าที่ทุกท่านทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนชาวต่างประเทศ ทุกประเทศ ประสบแต่ความสุขความเจริญ สมบูรณ์พร้อมด้วยกําลังกาย กําลังใจ กําลังสติปัญญา และ เดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพโดยทั่วกัน”
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13763
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สมชายฯ เป็นประธานเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย และบรรยายพิเศษ ”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน”
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รัฐมนตรีฯ สมชายฯ เป็นประธานเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย และบรรยายพิเศษ ”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน”
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย(สฌ.สอ.) จ.นนทบุรี
จ.นนทบุรี : วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย(สฌ.สอ.) จ.นนทบุรี และบรรยายพิเศษ เรื่อง”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน” โดยมี นายก๊ก ดอนสําราญ ประธานบริหารอาคาร สฌ.สอ. กล่าวรายงาน
นายสมชายฯ กล่าวว่า สหกรณ์ถือเป็นระบบประชาธิปไตย ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มสมาชิกและกลุ่มเป้าหมาย เป็นการดูแลตัวเอง และร่วมกันแก้ปัญหาด้วยตัวเอง จึงทําให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็ง ช่วยเติมเต็มระบบการออมทรัพย์ และช่วยเหลือประชาชนในการร่วมพัฒนาชาติต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สมชายฯ เป็นประธานเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย และบรรยายพิเศษ ”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน”
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รัฐมนตรีฯ สมชายฯ เป็นประธานเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย และบรรยายพิเศษ ”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน”
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย(สฌ.สอ.) จ.นนทบุรี
จ.นนทบุรี : วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย(สฌ.สอ.) จ.นนทบุรี และบรรยายพิเศษ เรื่อง”สหกรณ์กับสวัสดิการสังคมไทยที่ยั่งยืน” โดยมี นายก๊ก ดอนสําราญ ประธานบริหารอาคาร สฌ.สอ. กล่าวรายงาน
นายสมชายฯ กล่าวว่า สหกรณ์ถือเป็นระบบประชาธิปไตย ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มสมาชิกและกลุ่มเป้าหมาย เป็นการดูแลตัวเอง และร่วมกันแก้ปัญหาด้วยตัวเอง จึงทําให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็ง ช่วยเติมเต็มระบบการออมทรัพย์ และช่วยเหลือประชาชนในการร่วมพัฒนาชาติต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา
|
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
รมว.ศธ.ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ณ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา
จังหวัดสงขลา - เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 3/2560 ณ จังหวัดสงขลา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ณ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา, นายวิศวะ คงแก้ว ผู้อํานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ตลอดจนนายเสริมศักดิ์ นิลวิลัย ผู้อํานวยการวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ ผู้บริหาร คณาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา ให้การต้อนรับ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า วันนี้ต้องการมารับฟังข้อมูลและดูสถานที่ก่อสร้าง "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ว่าติดขัดปัญหาอะไร เพราะโครงการเริ่มวางแผนสํารวจและศึกษาความเป็นไปได้มาเป็นเวลานานแล้ว และขณะนี้ทราบว่าได้ดําเนินการก่อสร้างไปแล้ว 87% และในปี 2561-2562 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีแผนที่จะดําเนินงานตามโครงสร้างที่เหลือให้แล้วเสร็จ ทั้งงานก่อสร้างส่วนต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับภูมิทัศน์โดยรอบ การตกแต่งภายในอาคารนิทรรศการ ระบบวิศวกรรม สาธารณูปโภค และระบบเครนย้ายสัตว์น้ํา ตลอดจนการจัดซื้อพันธุ์ปลา เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับชีววิทยาสัตว์น้ํา พันธุ์ไม้น้ํา การขยายพันธุ์ไม้น้ํา การวิจัยและพัฒนาสัตว์น้ํา แหล่งเผยแพร่ความรู้ระบบนิเวศทะเลสาบสงขลา ตลอดจนเป็นแหล่งทัศนศึกษาของทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตามวัตถุประสงค์ต่อไป
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวภายหลังเยี่ยมชมโครงการว่า เมื่อได้มาดูสถานที่จริงแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินหน้าก่อสร้างต่อ แต่จะทําได้หรือไม่อย่างไรนั้น จะต้องศึกษาข้อมูลการดําเนินงานที่ผ่านมา พร้อมกับศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ก่อน โดยจะมอบพล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศธ.และผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยดูแลในเบื้องต้น เพื่อให้รู้ทิศทางว่าเราอยู่ตรงไหน หากจะดําเนินการต่อควรทําอย่างไร กฎหมายให้ทําได้เพียงใด เพราะการบริหารศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําซึ่งเป็นเสมือนทะเลเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การดําเนินงานต้องผ่านการคิดแบบเบ็ดเสร็จและต้องได้คําตอบในเรื่องต่าง ๆ อย่างครบวงจร ทั้งผู้ที่จะเข้ามาบริหารงาน การดูแลบํารุงรักษา การบริหารจัดการรายได้จากการเข้าชม ของที่ระลึก การเคลื่อนย้ายสัตว์น้ํา เป็นต้น
นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลากล่าวว่า จังหวัดสงขลาได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงทางภาคใต้ เนื่องจากมีดินแดนอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม เป็นศูนย์รวมการคมนาคม เป็นแหล่งการค้าทางเศรษฐกิจของภาคใต้ โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรประมง ส่งผลดีต่อรายได้ประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ ส่วนการดําเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา จะมีส่วนสําคัญในการสร้างแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับทะเลสาบ เสริมสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนผู้สนใจ เพื่อก้าวสู่คนรุ่นใหม่ในยุคไทยแลนด์ 4.0 และช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนทั้งไทยและต่างชาติด้วย
นายเสริมศักดิ์ นิลวิลัย ผู้อํานวยการวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์กล่าวรายงานว่า วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ เริ่มก่อตั้งโดยดําริของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ใช้ชื่อว่า "วิทยาลัยประมงสงขลา" สังกัดกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2523 นับเป็นสถาบันประมงแห่งแรกของประเทศไทย โดยเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปี 2527 และในปีถัดมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยประมงสงขลาติณสูลานนท์” จนกระทั่งล่าสุดได้รับประกาศจัดตั้ง เป็นหน่วยงานหนึ่งในสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ เพื่อจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ตามประกาศกฎกระทรวง เรื่อง "การรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ.2556"
ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษา 395 คน ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ 71 คน โดยจัดการศึกษาประเภทวิชาประมงใน 3 รูปแบบ ได้แก่
1) การศึกษาในระบบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา แปรรูปสัตว์น้ํา การควบคุมเรือประมง โครงการอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท (อศ.กช.) ตลอดจนหลักสูตรปริญญาตรี สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติ
2) การศึกษานอกระบบอาทิ โครงการฝึกอบรมวิชาชีพเกษตรกรรมระยะสั้น โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการ Fix it Center เป็นต้น
3) การศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกับสถานประกอบการอาทิ หลักสูตร ปวส. สาขาวิชาแปรรูปสัตว์น้ํา ในโครงการวิทยาลัยในโรงงาน ร่วมกับบริษัทแมนเอโฟรสเซนฟูดส์ จํากัด และบริษัทแปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ํา จํากัด และโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา ด้านการศึกษา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นต้น
อนึ่ง มีผู้บริหารและบุคลากรร่วมติดตามกว่า 100 คน อาทิ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา, นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายพะโยม ชิณวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการ และสื่อมวลชน
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี ศธ.
สรุป/รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
รมว.ศธ.ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ณ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา
จังหวัดสงขลา - เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 3/2560 ณ จังหวัดสงขลา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ณ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา, นายวิศวะ คงแก้ว ผู้อํานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ตลอดจนนายเสริมศักดิ์ นิลวิลัย ผู้อํานวยการวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ ผู้บริหาร คณาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา ให้การต้อนรับ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า วันนี้ต้องการมารับฟังข้อมูลและดูสถานที่ก่อสร้าง "โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา" ว่าติดขัดปัญหาอะไร เพราะโครงการเริ่มวางแผนสํารวจและศึกษาความเป็นไปได้มาเป็นเวลานานแล้ว และขณะนี้ทราบว่าได้ดําเนินการก่อสร้างไปแล้ว 87% และในปี 2561-2562 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีแผนที่จะดําเนินงานตามโครงสร้างที่เหลือให้แล้วเสร็จ ทั้งงานก่อสร้างส่วนต่อเนื่อง ได้แก่ การปรับภูมิทัศน์โดยรอบ การตกแต่งภายในอาคารนิทรรศการ ระบบวิศวกรรม สาธารณูปโภค และระบบเครนย้ายสัตว์น้ํา ตลอดจนการจัดซื้อพันธุ์ปลา เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับชีววิทยาสัตว์น้ํา พันธุ์ไม้น้ํา การขยายพันธุ์ไม้น้ํา การวิจัยและพัฒนาสัตว์น้ํา แหล่งเผยแพร่ความรู้ระบบนิเวศทะเลสาบสงขลา ตลอดจนเป็นแหล่งทัศนศึกษาของทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตามวัตถุประสงค์ต่อไป
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวภายหลังเยี่ยมชมโครงการว่า เมื่อได้มาดูสถานที่จริงแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินหน้าก่อสร้างต่อ แต่จะทําได้หรือไม่อย่างไรนั้น จะต้องศึกษาข้อมูลการดําเนินงานที่ผ่านมา พร้อมกับศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ก่อน โดยจะมอบพล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศธ.และผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยดูแลในเบื้องต้น เพื่อให้รู้ทิศทางว่าเราอยู่ตรงไหน หากจะดําเนินการต่อควรทําอย่างไร กฎหมายให้ทําได้เพียงใด เพราะการบริหารศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําซึ่งเป็นเสมือนทะเลเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การดําเนินงานต้องผ่านการคิดแบบเบ็ดเสร็จและต้องได้คําตอบในเรื่องต่าง ๆ อย่างครบวงจร ทั้งผู้ที่จะเข้ามาบริหารงาน การดูแลบํารุงรักษา การบริหารจัดการรายได้จากการเข้าชม ของที่ระลึก การเคลื่อนย้ายสัตว์น้ํา เป็นต้น
นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลากล่าวว่า จังหวัดสงขลาได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงทางภาคใต้ เนื่องจากมีดินแดนอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม เป็นศูนย์รวมการคมนาคม เป็นแหล่งการค้าทางเศรษฐกิจของภาคใต้ โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรประมง ส่งผลดีต่อรายได้ประชาชน ระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ ส่วนการดําเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา จะมีส่วนสําคัญในการสร้างแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับทะเลสาบ เสริมสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนผู้สนใจ เพื่อก้าวสู่คนรุ่นใหม่ในยุคไทยแลนด์ 4.0 และช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนทั้งไทยและต่างชาติด้วย
นายเสริมศักดิ์ นิลวิลัย ผู้อํานวยการวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์กล่าวรายงานว่า วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ เริ่มก่อตั้งโดยดําริของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ใช้ชื่อว่า "วิทยาลัยประมงสงขลา" สังกัดกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2523 นับเป็นสถาบันประมงแห่งแรกของประเทศไทย โดยเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปี 2527 และในปีถัดมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยประมงสงขลาติณสูลานนท์” จนกระทั่งล่าสุดได้รับประกาศจัดตั้ง เป็นหน่วยงานหนึ่งในสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ เพื่อจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ตามประกาศกฎกระทรวง เรื่อง "การรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ.2556"
ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษา 395 คน ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ 71 คน โดยจัดการศึกษาประเภทวิชาประมงใน 3 รูปแบบ ได้แก่
1) การศึกษาในระบบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา แปรรูปสัตว์น้ํา การควบคุมเรือประมง โครงการอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท (อศ.กช.) ตลอดจนหลักสูตรปริญญาตรี สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติ
2) การศึกษานอกระบบอาทิ โครงการฝึกอบรมวิชาชีพเกษตรกรรมระยะสั้น โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการ Fix it Center เป็นต้น
3) การศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกับสถานประกอบการอาทิ หลักสูตร ปวส. สาขาวิชาแปรรูปสัตว์น้ํา ในโครงการวิทยาลัยในโรงงาน ร่วมกับบริษัทแมนเอโฟรสเซนฟูดส์ จํากัด และบริษัทแปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ํา จํากัด และโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา ด้านการศึกษา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นต้น
อนึ่ง มีผู้บริหารและบุคลากรร่วมติดตามกว่า 100 คน อาทิ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา, นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายพะโยม ชิณวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการ และสื่อมวลชน
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี ศธ.
สรุป/รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8427
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น”
|
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น”
รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” เพื่อร่วมส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในทุกระดับ
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 60 เวลา 13.00 น. ที่ โรงแรม S 31 สุขุมวิท 31 กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีเปิด "เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” ซึ่งจัดโดย สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ร่วมกับ อินเตอร์เนชั่นแนล รีพับลิกัน อินสติติวท์ประจําประเทศไทย โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม พร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นที่สําคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสตรีได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงมีบทบาทและมีส่วนร่วมมากขึ้นทั้งในเวทีระดับชาติ ภูมิภาคและนานาชาติ โดยเฉพาะในระดับผู้นําทั้งในภาครัฐ ที่เป็นผู้นําประเทศ และผู้บริหารภาคธุรกิจ สําหรับสตรีไทยมีบทบาทสําคัญในทางการเมืองเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากพิจารณาจากสถิติประชากรไทย ที่มีจํานวนผู้หญิงมากกว่าครึ่งของประเทศ นั้น ผู้หญิงจึงควรได้เป็นผู้แทนของประชาชนตามสัดส่วนนี้ด้วย อีกทั้งผู้หญิงมีมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างจากผู้ชาย จึงทําให้เกิดการสร้างความหลากหลายในการพัฒนาประเทศ แต่จากสถิติจํานวนผู้สมัครและผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 - 2554 พบว่าอัตราส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้ง ชายต่อหญิงเท่ากับ 10 : 1 คน ซึ่งอาจเนื่องมาจากสังคมไทยยังไม่ให้การยอมรับในศักยภาพและความสามารถของสตรี จึงทําให้โอกาสที่สตรีจะเข้าไปมีบทบาทและมีส่วนร่วมในทางการเมืองยังน้อยกว่าด้านอื่นๆ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จึงมีนโยบายให้การส่งเสริมและสนับสนุนสตรี ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา โดยเริ่มจากการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีเข้าสู่การเมืองระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการเมืองระดับรากหญ้าที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากที่สุดในการส่งเสริมสตรีเข้าไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับตัดสินใจทางการเมือง และเป็นฐานไปสู่การเมืองระดับชาติต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับ "เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” จะมีการเสวนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) รัฐธรรมนูญและการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทาง การเมืองมากขึ้น โดย ดร. จุรี วิจิตรวาทการ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2) แนวทางและบทบาทของอนุกรรมกรรมาธิการด้านสตรีในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ดร. สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล อนุกรรมาธิการกิจการสตรี ในคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 3) แผนพัฒนาสตรีในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย คุณรัตนา สัยยะนิฐี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสตรี กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 4) นโยบายพรรคเพื่อไทยในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ผู้แทนพรรคเพื่อไทย และ 5) นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ผู้แทน พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นที่สําคัญร่วมกัน อันนําไปสู่การส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในทุกระดับให้มากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น”
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น”
รมว.พม. เป็นประธานในพิธีเปิด “เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” เพื่อร่วมส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในทุกระดับ
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 60 เวลา 13.00 น. ที่ โรงแรม S 31 สุขุมวิท 31 กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีเปิด "เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” ซึ่งจัดโดย สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ร่วมกับ อินเตอร์เนชั่นแนล รีพับลิกัน อินสติติวท์ประจําประเทศไทย โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม พร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นที่สําคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสตรีได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงมีบทบาทและมีส่วนร่วมมากขึ้นทั้งในเวทีระดับชาติ ภูมิภาคและนานาชาติ โดยเฉพาะในระดับผู้นําทั้งในภาครัฐ ที่เป็นผู้นําประเทศ และผู้บริหารภาคธุรกิจ สําหรับสตรีไทยมีบทบาทสําคัญในทางการเมืองเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากพิจารณาจากสถิติประชากรไทย ที่มีจํานวนผู้หญิงมากกว่าครึ่งของประเทศ นั้น ผู้หญิงจึงควรได้เป็นผู้แทนของประชาชนตามสัดส่วนนี้ด้วย อีกทั้งผู้หญิงมีมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างจากผู้ชาย จึงทําให้เกิดการสร้างความหลากหลายในการพัฒนาประเทศ แต่จากสถิติจํานวนผู้สมัครและผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 - 2554 พบว่าอัตราส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้ง ชายต่อหญิงเท่ากับ 10 : 1 คน ซึ่งอาจเนื่องมาจากสังคมไทยยังไม่ให้การยอมรับในศักยภาพและความสามารถของสตรี จึงทําให้โอกาสที่สตรีจะเข้าไปมีบทบาทและมีส่วนร่วมในทางการเมืองยังน้อยกว่าด้านอื่นๆ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จึงมีนโยบายให้การส่งเสริมและสนับสนุนสตรี ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับ ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา โดยเริ่มจากการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีเข้าสู่การเมืองระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการเมืองระดับรากหญ้าที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากที่สุดในการส่งเสริมสตรีเข้าไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับตัดสินใจทางการเมือง และเป็นฐานไปสู่การเมืองระดับชาติต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับ "เวทีรณรงค์ให้มีนักการเมืองสตรีมากขึ้น” จะมีการเสวนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) รัฐธรรมนูญและการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทาง การเมืองมากขึ้น โดย ดร. จุรี วิจิตรวาทการ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2) แนวทางและบทบาทของอนุกรรมกรรมาธิการด้านสตรีในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ดร. สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล อนุกรรมาธิการกิจการสตรี ในคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 3) แผนพัฒนาสตรีในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย คุณรัตนา สัยยะนิฐี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสตรี กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 4) นโยบายพรรคเพื่อไทยในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ผู้แทนพรรคเพื่อไทย และ 5) นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ในการส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดย ผู้แทน พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นที่สําคัญร่วมกัน อันนําไปสู่การส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในทุกระดับให้มากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2058
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทหาร ในการช่วยเหลือประชาชนน้ำท่วม พร้อมชื่นชม ทร. ช่วยลูกเรือไทยกลับบ้าน
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ทหาร ในการช่วยเหลือประชาชนน้ําท่วม พร้อมชื่นชม ทร. ช่วยลูกเรือไทยกลับบ้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม แสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลจากทุกเหล่าทัพ ที่ได้ร่วมกันออกไปช่วยเหลือประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างทันท่วง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม แสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลจากทุกเหล่าทัพ ที่ได้ร่วมกันออกไปช่วยเหลือประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างทันท่วงทีที่ผ่านมาพร้อมกําชับ ขอให้น้อมนําความห่วงใยและพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทํางานร่วมกันกับทุกหน่วยงานและจิตอาสาในพื้นทื่อย่างมีแบบแผน ร่วมช่วยเหลือและให้กําลังใจกันและกัน
ทั้งนี้ ได้สั่งการ ให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยของ นขต.กห.และเหล่าทัพในพื้นที่ ประสานและสนับสนุน
การทํางานร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กระจายกําลังเข้าร่วมสํารวจและเร่งฟื้นฟูความเสียหาย ทั้งบ้านเรือนราษฎร โรงเรียน ถนนและสะพานที่ชํารุดเสียหาย รวมทั้งพืชผลทางการเกษตร ควบคู่กับการฟื้นฟูสภาพจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติสุขโดยเร็ว
พร้อมกันนี้ นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวชื่นชม ปฏิบัติการของกองทัพเรือร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทย จํานวน 18 คน บนเรือประมงในน่านนําโซมาเลีย ที่ถูกหลอกจ้างไปทํางานประมงในประเทศโซมาเลีย และค้างค่าจ้างกว่า 5 เดือน ซึ่งถูกปล่อยให้ลอยแพกลางทะเลชายฝั่งในประเทศโซมาเลีย
โดยสามารถนําลูกเรือคนไทย ทั้ง 18 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย เมื่อ 12 ส.ค.62 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของส่วนราชการต่างๆ ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและการช่วยเหลือประชาชน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทหาร ในการช่วยเหลือประชาชนน้ำท่วม พร้อมชื่นชม ทร. ช่วยลูกเรือไทยกลับบ้าน
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ทหาร ในการช่วยเหลือประชาชนน้ําท่วม พร้อมชื่นชม ทร. ช่วยลูกเรือไทยกลับบ้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม แสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลจากทุกเหล่าทัพ ที่ได้ร่วมกันออกไปช่วยเหลือประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างทันท่วง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม แสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลจากทุกเหล่าทัพ ที่ได้ร่วมกันออกไปช่วยเหลือประชาชน จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างทันท่วงทีที่ผ่านมาพร้อมกําชับ ขอให้น้อมนําความห่วงใยและพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทํางานร่วมกันกับทุกหน่วยงานและจิตอาสาในพื้นทื่อย่างมีแบบแผน ร่วมช่วยเหลือและให้กําลังใจกันและกัน
ทั้งนี้ ได้สั่งการ ให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยของ นขต.กห.และเหล่าทัพในพื้นที่ ประสานและสนับสนุน
การทํางานร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กระจายกําลังเข้าร่วมสํารวจและเร่งฟื้นฟูความเสียหาย ทั้งบ้านเรือนราษฎร โรงเรียน ถนนและสะพานที่ชํารุดเสียหาย รวมทั้งพืชผลทางการเกษตร ควบคู่กับการฟื้นฟูสภาพจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติสุขโดยเร็ว
พร้อมกันนี้ นรม. และ รมว.กห. ได้กล่าวชื่นชม ปฏิบัติการของกองทัพเรือร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทย จํานวน 18 คน บนเรือประมงในน่านนําโซมาเลีย ที่ถูกหลอกจ้างไปทํางานประมงในประเทศโซมาเลีย และค้างค่าจ้างกว่า 5 เดือน ซึ่งถูกปล่อยให้ลอยแพกลางทะเลชายฝั่งในประเทศโซมาเลีย
โดยสามารถนําลูกเรือคนไทย ทั้ง 18 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย เมื่อ 12 ส.ค.62 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของส่วนราชการต่างๆ ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและการช่วยเหลือประชาชน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23289
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไตรมาสแรกกรุงไทยมีกำไรสุทธิ 6,082 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
|
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
ไตรมาสแรกกรุงไทยมีกําไรสุทธิ 6,082 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
ไตรมาสที่ 1/2563 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 6,082 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเติบโตของสินเชื่อ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี ซึ่งมีผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income ratio) ลดลง
ไตรมาสที่ 1/2563 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 6,082 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเติบโตของสินเชื่อ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี ซึ่งมีผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income ratio) ลดลง ในขณะที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการตั้งสํารองเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย ผลการดําเนินงานในไตรมาส 1/2563 ธนาคารมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร (งบการเงินก่อนสอบทาน) เท่ากับ 6,082 ล้านบาท ลดลง 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อเติบโต 1.9% จากสิ้นปี หรือ 4.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี ประกอบกับการได้รับประโยชน์จากการปรับลดเงินสมทบกองทุนฟื้นฟู ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 4 ครั้ง และอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อทั้ง MLR MOR และ MRR เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับการที่ไม่มีรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อจากการได้รับเงินบางส่วนในการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจํานองจํานวน 3,899 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ของปีที่ผ่านมา โดย NIM อยู่ที่ระดับ 3.17%
ทั้งนี้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายลดลง 16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีค่าใช้จ่ายจากการขาดทุนของการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขาย ส่งผลให้ธนาคารมี Cost to Income ratio ที่ 44.2% ลดลงจาก 48.2% ในช่วงเดียวกันของปี 2562
ในไตรมาสนี้ ถึงแม้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) เท่ากับ 4.36% อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี 2562 อย่างไรก็ตาม ธนาคารพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ในการประมาณการถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและมีความไม่แน่นอน ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อ จึงได้ตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจํานวน 8,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วน Coverage Ratio ณ 31 มีนาคม 2563 ที่ 126.5% นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) เท่ากับ 14.39% และ 18.16% ตามลําดับ
นายผยง ศรีวณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลกของ COVID-19 ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อการดําเนินธุรกิจและทําให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง รัฐบาล กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนในทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยธนาคารได้ตระหนักถึงภารกิจสําคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นกลไกของภาครัฐ โดยได้ออกหลากหลายมาตรการในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ การให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 6 เดือน และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลูกค้าสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไตรมาสแรกกรุงไทยมีกำไรสุทธิ 6,082 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
ไตรมาสแรกกรุงไทยมีกําไรสุทธิ 6,082 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
ไตรมาสที่ 1/2563 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 6,082 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเติบโตของสินเชื่อ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี ซึ่งมีผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income ratio) ลดลง
ไตรมาสที่ 1/2563 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 6,082 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเติบโตของสินเชื่อ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี ซึ่งมีผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income ratio) ลดลง ในขณะที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการตั้งสํารองเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย ผลการดําเนินงานในไตรมาส 1/2563 ธนาคารมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร (งบการเงินก่อนสอบทาน) เท่ากับ 6,082 ล้านบาท ลดลง 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง แม้ว่าสินเชื่อเติบโต 1.9% จากสิ้นปี หรือ 4.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี ประกอบกับการได้รับประโยชน์จากการปรับลดเงินสมทบกองทุนฟื้นฟู ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 4 ครั้ง และอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อทั้ง MLR MOR และ MRR เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับการที่ไม่มีรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อจากการได้รับเงินบางส่วนในการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจํานองจํานวน 3,899 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ของปีที่ผ่านมา โดย NIM อยู่ที่ระดับ 3.17%
ทั้งนี้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายลดลง 16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีค่าใช้จ่ายจากการขาดทุนของการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขาย ส่งผลให้ธนาคารมี Cost to Income ratio ที่ 44.2% ลดลงจาก 48.2% ในช่วงเดียวกันของปี 2562
ในไตรมาสนี้ ถึงแม้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) เท่ากับ 4.36% อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี 2562 อย่างไรก็ตาม ธนาคารพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ในการประมาณการถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและมีความไม่แน่นอน ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อ จึงได้ตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจํานวน 8,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วน Coverage Ratio ณ 31 มีนาคม 2563 ที่ 126.5% นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) เท่ากับ 14.39% และ 18.16% ตามลําดับ
นายผยง ศรีวณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลกของ COVID-19 ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อการดําเนินธุรกิจและทําให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง รัฐบาล กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนในทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยธนาคารได้ตระหนักถึงภารกิจสําคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นกลไกของภาครัฐ โดยได้ออกหลากหลายมาตรการในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ การให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 6 เดือน และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลูกค้าสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29550
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลายป้องกันไข้เลือดออก
|
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลายป้องกันไข้เลือดออก
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายเร่งด่วนให้ทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออกตลอดฤดูฝน คาดปีนี้จะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย และจัดกิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายเร่งด่วนให้ทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออกตลอดฤดูฝน คาดปีนี้จะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย และจัดกิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก : ทุกบ้าน ทุกชุมชน
ทุกพื้นที่” เริ่มต้นที่กระทรวงสาธารณสุข และขยายไปทุกหน่วยงานทั่วประเทศ
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และเปิดโครงการรณรงค์อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรและอาสาปราบยุง ร่วมกิจกรรมและลงพื้นที่สํารวจลูกน้ํายุงลายในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข และชุมชนโดยรอบ
พลเอก ฉัตรชัยกล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจําถิ่นแต่ละปีมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ในปีนี้ คาดว่าจะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถควบคุมยุงลายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยได้รับแนวนโยบายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดําเนินงานสํารวจ กําจัดยุงลาย ลดป่วยลดตายด้วยโรคไข้เลือดออก ใช้กิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก : ทุกบ้าน ทุกชุมชน ทุกพื้นที่” เริ่มจากกระทรวงสาธารณสุข และจะขยายไปทุกหน่วยงานทั่วประเทศ จึงขอให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายภาคประชาชน ภาคท้องถิ่น ภาคเอกชน ร่วมมือกันอย่างจริงจังตลอดฤดูฝน ดําเนินการในพื้นที่เป้าหมาย 6 ร ได้แก่ โรงเรียน โรงแรม โรงงาน โรงพยาบาล โรงเรือน และโรงธรรม เพื่อลดไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่เกิน 10,000 รายในอีก 2 เดือนต่อจากนี้ และไม่ให้เกิน 10,000 รายเมื่อสิ้นปี 2561 ควบคุมยุงพาหะให้ค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายในชุมชนไม่เกินร้อยละ 5 และไม่พบลูกน้ํายุงลายในสถานที่สาธารณะ รวมทั้งสื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
พลเอก ฉัตรชัยกล่าวต่อว่า ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ให้ทุกจังหวัดจัดรณรงค์ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ระหว่างวันที่ 12 – 18 กรกฎาคม 2561 และทําต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เปิดศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินระดับอําเภอในพื้นที่ระบาดและพื้นที่เสี่ยง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณ โดยใช้งบกองทุนสุขภาพตําบล และให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน นําประชาชนเป็นอาสาปราบยุง ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในสถานที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และบ้านเรือนประชาชน กระทรวงศึกษาธิการ ให้ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในโรงเรียนทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังอาการป่วยของครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดูแลสิ่งแวดล้อม ห้องสุขาของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท กระทรวงสาธารณสุขเป็นแกนหลักในการควบคุมการระบาดและการดูแลรักษาผู้ป่วย สนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในการรณรงค์กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ให้โรงพยาบาลจัดการสิ่งแวดล้อมและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในศาสนสถานในพื้นที่ ตามกิจกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ (1 วัด 1 โรงพยาบาล)
รวมทั้ง ขอให้กระทรวงกลาโหม ดําเนินการให้พื้นที่ทหารเป็นเขตปลอดลูกน้ํายุงลาย และสนับสนุนกําลังคนในการควบคุมป้องกันโรคตามคําขอของพื้นที่ กรมประชาสัมพันธ์และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสนับสนุนงบประมาณ และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ประสานภาคีเครือข่ายในจังหวัดและชุมชนร่วมเป็นอาสาปราบยุง
สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม - 10 กรกฎาคม พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย ผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน และพฤษภาคม เป็นต้นมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนอายุ 5 – 14 ปี แต่ผู้เสียชีวิตกลับเป็นวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้อายุ 35 ปีขึ้นไป มีอัตราป่วยตายสูงกว่าเด็ก 2 – 5 เท่า นอกจากนี้ ผลการสํารวจลูกน้ํายุงลายในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่า ค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายในชุมชนสูงถึงร้อยละ 30 และอัตราการพบลูกน้ําในภาชนะน้ําขังในวัดอยู่ที่ร้อยละ 58 โรงเรียน ร้อยละ 41 และโรงพยาบาลร้อยละ 23 แสดงให้เห็นว่าแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังมีอยู่มากในชุมชนและสถานที่สําคัญที่มีประชาชนมารวมตัวกันจํานวนมาก เป็นความเสี่ยงที่โรคไข้เลือดออกจะแพร่กระจายต่อเนื่องและขยายวงกว้างทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนร่วมกันป้องกันไม่ให้ยุงเกิด ยึดหลัก 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค คือโรคไข้เลือดออกโรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ได้แก่1.เก็บบ้าน ให้สะอาด ไม่รกทึบจนเป็นที่เกาะพักของยุงลาย 2. เก็บน้ํา ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด ปล่อยปลากินลูกน้ํา ใส่ทรายหรือแบคทีเรียกําจัดลูกน้ํา เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่ 3.เก็บขยะ เศษภาชนะที่อาจมีน้ําขัง ไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งหรือมุ้งลวด ทายากันยุง ป้องกันไม่ให้เสียชีวิต โดยสังเกตอาการตนเองและสมาชิกในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนังตามแขนขา ข้อพับ และหากมีไข้สูง 2 - 3 วันอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ไม่ฉีดยาลดไข้หรือซื้อยากินเอง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีโรคประจําตัว และผู้สูงอายุ ขอให้ดูแลเป็นพิเศษเพราะหากป่วยแล้วมีโอกาสรุนแรงกว่าปกติได้ หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422
******************************* 11 กรกฎาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลายป้องกันไข้เลือดออก
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลายป้องกันไข้เลือดออก
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายเร่งด่วนให้ทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออกตลอดฤดูฝน คาดปีนี้จะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย และจัดกิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายเร่งด่วนให้ทุกหน่วยงานร่วมกันควบคุมยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออกตลอดฤดูฝน คาดปีนี้จะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย และจัดกิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก : ทุกบ้าน ทุกชุมชน
ทุกพื้นที่” เริ่มต้นที่กระทรวงสาธารณสุข และขยายไปทุกหน่วยงานทั่วประเทศ
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และเปิดโครงการรณรงค์อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรและอาสาปราบยุง ร่วมกิจกรรมและลงพื้นที่สํารวจลูกน้ํายุงลายในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข และชุมชนโดยรอบ
พลเอก ฉัตรชัยกล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจําถิ่นแต่ละปีมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ในปีนี้ คาดว่าจะคล้ายปี 2558 ที่มีการระบาดสูงมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถควบคุมยุงลายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยได้รับแนวนโยบายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดําเนินงานสํารวจ กําจัดยุงลาย ลดป่วยลดตายด้วยโรคไข้เลือดออก ใช้กิจกรรมรณรงค์ “อาสาปราบยุง ควบคุมโรคไข้เลือดออก : ทุกบ้าน ทุกชุมชน ทุกพื้นที่” เริ่มจากกระทรวงสาธารณสุข และจะขยายไปทุกหน่วยงานทั่วประเทศ จึงขอให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายภาคประชาชน ภาคท้องถิ่น ภาคเอกชน ร่วมมือกันอย่างจริงจังตลอดฤดูฝน ดําเนินการในพื้นที่เป้าหมาย 6 ร ได้แก่ โรงเรียน โรงแรม โรงงาน โรงพยาบาล โรงเรือน และโรงธรรม เพื่อลดไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่เกิน 10,000 รายในอีก 2 เดือนต่อจากนี้ และไม่ให้เกิน 10,000 รายเมื่อสิ้นปี 2561 ควบคุมยุงพาหะให้ค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายในชุมชนไม่เกินร้อยละ 5 และไม่พบลูกน้ํายุงลายในสถานที่สาธารณะ รวมทั้งสื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
พลเอก ฉัตรชัยกล่าวต่อว่า ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ให้ทุกจังหวัดจัดรณรงค์ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ระหว่างวันที่ 12 – 18 กรกฎาคม 2561 และทําต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เปิดศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินระดับอําเภอในพื้นที่ระบาดและพื้นที่เสี่ยง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณ โดยใช้งบกองทุนสุขภาพตําบล และให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน นําประชาชนเป็นอาสาปราบยุง ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในสถานที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และบ้านเรือนประชาชน กระทรวงศึกษาธิการ ให้ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในโรงเรียนทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังอาการป่วยของครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดูแลสิ่งแวดล้อม ห้องสุขาของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท กระทรวงสาธารณสุขเป็นแกนหลักในการควบคุมการระบาดและการดูแลรักษาผู้ป่วย สนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในการรณรงค์กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ให้โรงพยาบาลจัดการสิ่งแวดล้อมและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในศาสนสถานในพื้นที่ ตามกิจกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพพระสงฆ์ (1 วัด 1 โรงพยาบาล)
รวมทั้ง ขอให้กระทรวงกลาโหม ดําเนินการให้พื้นที่ทหารเป็นเขตปลอดลูกน้ํายุงลาย และสนับสนุนกําลังคนในการควบคุมป้องกันโรคตามคําขอของพื้นที่ กรมประชาสัมพันธ์และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสนับสนุนงบประมาณ และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ประสานภาคีเครือข่ายในจังหวัดและชุมชนร่วมเป็นอาสาปราบยุง
สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม - 10 กรกฎาคม พบผู้ป่วยแล้ว 28,732 ราย เสียชีวิต 37 ราย ผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน และพฤษภาคม เป็นต้นมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนอายุ 5 – 14 ปี แต่ผู้เสียชีวิตกลับเป็นวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้อายุ 35 ปีขึ้นไป มีอัตราป่วยตายสูงกว่าเด็ก 2 – 5 เท่า นอกจากนี้ ผลการสํารวจลูกน้ํายุงลายในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่า ค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายในชุมชนสูงถึงร้อยละ 30 และอัตราการพบลูกน้ําในภาชนะน้ําขังในวัดอยู่ที่ร้อยละ 58 โรงเรียน ร้อยละ 41 และโรงพยาบาลร้อยละ 23 แสดงให้เห็นว่าแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังมีอยู่มากในชุมชนและสถานที่สําคัญที่มีประชาชนมารวมตัวกันจํานวนมาก เป็นความเสี่ยงที่โรคไข้เลือดออกจะแพร่กระจายต่อเนื่องและขยายวงกว้างทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนร่วมกันป้องกันไม่ให้ยุงเกิด ยึดหลัก 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค คือโรคไข้เลือดออกโรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ได้แก่1.เก็บบ้าน ให้สะอาด ไม่รกทึบจนเป็นที่เกาะพักของยุงลาย 2. เก็บน้ํา ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด ปล่อยปลากินลูกน้ํา ใส่ทรายหรือแบคทีเรียกําจัดลูกน้ํา เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่ 3.เก็บขยะ เศษภาชนะที่อาจมีน้ําขัง ไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งหรือมุ้งลวด ทายากันยุง ป้องกันไม่ให้เสียชีวิต โดยสังเกตอาการตนเองและสมาชิกในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนังตามแขนขา ข้อพับ และหากมีไข้สูง 2 - 3 วันอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ไม่ฉีดยาลดไข้หรือซื้อยากินเอง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีโรคประจําตัว และผู้สูงอายุ ขอให้ดูแลเป็นพิเศษเพราะหากป่วยแล้วมีโอกาสรุนแรงกว่าปกติได้ หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร. 1422
******************************* 11 กรกฎาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13782
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือกับเอกชน บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด เพื่อยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ ให้เกิดประสิทธิภาพในการยับยั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยที่ความร่วมมือในครั้งนี้ฝ่ายมาตรวิทยาอุณหภูมิและแสง สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติได้ให้ความอนุเคราะห์ในการทดสอบปริมาณความเข้มแสง (Irradiance) ที่ระยะต่างๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่า ในระยะที่แตกต่างกัน จะใช้เวลาในการฆ่าเชื้อแตกต่างกันเท่าไร รวมทั้งอายุการใช้งานของหลอดและประสิทธิภาพการถดถอย (Live circle of UVC lamp) เพื่อจะได้ทราบถึงอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของหลอดยูวีซี ทั้งนี้บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด เป็นผู้ให้บริการงานออกแบบและผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ Smart Solutions ที่ตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้ง 2 หน่วยงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญและมีความตั้งใจที่จะพัฒนาอุปกรณ์ หุ่นยนต์รังสียูวีเพื่อฆ่าเชื้อโรคตัวต้นแบบ (UV Robot) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสถานพยาบาล อาคารสํานักงาน และพื้นที่ระบบปิดอื่น ๆ
โดยบริษัทจะนําเครื่องต้นแบบดังกล่าวไปพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทําการส่งมอบให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ต่อไปในเร็วๆ นี้ ในการนี้นางอัจฉรา เจริญสุข ผู้อํานวยการ มว. พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ ทนหมื่นไวย รองผู้อํานวยการ และ ร.ท.อุทัย นรนิ่ม ผู้ช่วยผู้อํานวยการ พร้อมด้วยนักมาตรวิทยา ฝ่ายมาตรวิทยาอุณหภูมิและแสง ให้การต้อนรับคุณนิติ เมฆหมอก กรรมการผู้จัดการ, คุณรัศมี สืบชมภู รองกรรมการผู้จัดการ, คุณณัฐวุฒิ อิ่มใจ Product Engineer, คุณกร โชติพิทักษกุล Software Engineer, และคุณสัจจาพร พิลึก Business Development จากบริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด ในการส่งมอบ UV Robot เครื่องต้นแบบ ตามวัตถุประสงค์ของทั้ง 2 หน่วยงานต่อไป ณ อาคารผดุงมาตร สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) จ.ปทุมธานี
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
มาตรวิทยา ยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ (UV ROBOT) ฆ่าเชื้อโควิด-19
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือกับเอกชน บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด เพื่อยกระดับหุ่นยนต์เครื่องต้นแบบ ให้เกิดประสิทธิภาพในการยับยั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยที่ความร่วมมือในครั้งนี้ฝ่ายมาตรวิทยาอุณหภูมิและแสง สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติได้ให้ความอนุเคราะห์ในการทดสอบปริมาณความเข้มแสง (Irradiance) ที่ระยะต่างๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่า ในระยะที่แตกต่างกัน จะใช้เวลาในการฆ่าเชื้อแตกต่างกันเท่าไร รวมทั้งอายุการใช้งานของหลอดและประสิทธิภาพการถดถอย (Live circle of UVC lamp) เพื่อจะได้ทราบถึงอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของหลอดยูวีซี ทั้งนี้บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด เป็นผู้ให้บริการงานออกแบบและผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ Smart Solutions ที่ตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้ง 2 หน่วยงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญและมีความตั้งใจที่จะพัฒนาอุปกรณ์ หุ่นยนต์รังสียูวีเพื่อฆ่าเชื้อโรคตัวต้นแบบ (UV Robot) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสถานพยาบาล อาคารสํานักงาน และพื้นที่ระบบปิดอื่น ๆ
โดยบริษัทจะนําเครื่องต้นแบบดังกล่าวไปพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทําการส่งมอบให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ต่อไปในเร็วๆ นี้ ในการนี้นางอัจฉรา เจริญสุข ผู้อํานวยการ มว. พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ ทนหมื่นไวย รองผู้อํานวยการ และ ร.ท.อุทัย นรนิ่ม ผู้ช่วยผู้อํานวยการ พร้อมด้วยนักมาตรวิทยา ฝ่ายมาตรวิทยาอุณหภูมิและแสง ให้การต้อนรับคุณนิติ เมฆหมอก กรรมการผู้จัดการ, คุณรัศมี สืบชมภู รองกรรมการผู้จัดการ, คุณณัฐวุฒิ อิ่มใจ Product Engineer, คุณกร โชติพิทักษกุล Software Engineer, และคุณสัจจาพร พิลึก Business Development จากบริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จํากัด ในการส่งมอบ UV Robot เครื่องต้นแบบ ตามวัตถุประสงค์ของทั้ง 2 หน่วยงานต่อไป ณ อาคารผดุงมาตร สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) จ.ปทุมธานี
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31838
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" กล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปี ASEAN
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" กล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปี ASEAN
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในนามของรัฐบาล เป็นประธานกล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 'ครบ 50 ปี ประชาคมอาเซียน'
เมื่อบ่ายวันพุธที่ 6 กันยายน2560 ณ หอประชุมคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" กล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปี ASEAN
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" กล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 50 ปี ASEAN
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในนามของรัฐบาล เป็นประธานกล่าวให้โอวาทและมอบรางวัลการแข่งขันโต้วาทีเยาวชนอาเซียนเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 'ครบ 50 ปี ประชาคมอาเซียน'
เมื่อบ่ายวันพุธที่ 6 กันยายน2560 ณ หอประชุมคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6503
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
ในวันที่ 16 มีนาคม 2560 กระทรวงการคลังได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 2560 กระทรวงการคลังได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างสํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรุงเทพมหานคร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือกันดําเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการเปิดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 3 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2560 ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กรมบัญชีกลาง (สํานักงานคลังจังหวัด) และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลัง จะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลของกรมการปกครองและกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และฐานข้อมูลของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เพื่อนําไปใช้ในการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้มีการสอบทานข้อมูลที่จําเป็นต่อการดําเนินโครงการฯ ต่อไป
กระทรวงการคลังจึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (พิธีลงนามฯ) ขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือระหว่าง 11 หน่วยงานข้างต้น ในการดําเนินโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ การรับลงทะเบียน การจัดทําฐานข้อมูลของผู้ลงทะเบียน การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน และการประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐ ให้สําเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่น ภายในระยะเวลาที่กําหนด เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกบัตรสวัสดิการ โดยเบื้องต้นจะสามารถนําไปใช้ลดภาระค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ําประปา ค่าโดยสาร เป็นต้น ทั้งนี้ รูปแบบของการให้สวัสดิการ กระทรวงการคลังจะประกาศให้ทราบต่อไป
นายกฤษฎาฯ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้ที่จะมาลงทะเบียนในโครงการฯ นั้น สามารถขอรับแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ที่หน่วยลงทะเบียนทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง www.mof.go.th สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง www.fpo.go.th อีเปย์เม้นท์ www.epayment.go.th และเว็บไซต์ของหน่วยรับลงทะเบียนทั้ง 5 หน่วยงานข้างต้น ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมกรอกข้อมูลที่ใช้ในการลงทะเบียน โดยข้อมูลที่ต้องใช้ในการกรอกข้อมูล เช่น บัตรประจําตัวประชาชนของตนเอง เลขบัตรประจําตัวประชาชนของบิดา มารดา และบุตร สมุดทะเบียนบ้าน ทะเบียนผู้พิการ ทะเบียนเกษตรกร เลขที่บัญชีเงินฝาก เป็นต้น และต้องสํารวจว่าตนเองมีรายได้ เงินฝาก และหนี้สินเท่าใด หลังจากกรอกแบบฟอร์มครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว ต้องลงนามรับรองความถูกต้อง และลงนามยินยอมให้เปิดเผยและตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียนได้
นอกจากนี้ ในวันลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องมาลงทะเบียนด้วยตัวเองที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ใดที่หนึ่งที่ตนเองสะดวก โดยยื่นแบบฟอร์มที่กรอกพร้อมกับบัตรประจําตัวประชาชน ซึ่งควรเป็นบัตรประชาชนรุ่นใหม่หรือแบบ Smart Card เนื่องจากต้องนํารูปบนบัตรประจําตัวประชาชนมาไว้บนบัตรสวัสดิการ ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่จําเป็นมาแสดงเพื่อยืนยันตัวตนและข้อมูลที่กรอกให้กับทางราชการ โดยไม่ต้องให้หน่วยรับลงทะเบียนเก็บไว้ ในกรณีผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางได้ ต้องมีหนังสือมอบอํานาจให้บุคคลอื่นมาแสดงในวันลงทะเบียนด้วย หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ผู้ลงทะเบียนต้องรับเอกสารหลักฐานการลงทะเบียนกลับไป โดยเจ้าหน้าที่จะฉีกออกจากส่วนท้ายของแบบฟอร์ม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
ในวันที่ 16 มีนาคม 2560 กระทรวงการคลังได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 2560 กระทรวงการคลังได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างสํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรุงเทพมหานคร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือกันดําเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการเปิดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 3 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2560 ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กรมบัญชีกลาง (สํานักงานคลังจังหวัด) และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลัง จะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลของกรมการปกครองและกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และฐานข้อมูลของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เพื่อนําไปใช้ในการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้มีการสอบทานข้อมูลที่จําเป็นต่อการดําเนินโครงการฯ ต่อไป
กระทรวงการคลังจึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (พิธีลงนามฯ) ขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือระหว่าง 11 หน่วยงานข้างต้น ในการดําเนินโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ การรับลงทะเบียน การจัดทําฐานข้อมูลของผู้ลงทะเบียน การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน และการประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐ ให้สําเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่น ภายในระยะเวลาที่กําหนด เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกบัตรสวัสดิการ โดยเบื้องต้นจะสามารถนําไปใช้ลดภาระค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ําประปา ค่าโดยสาร เป็นต้น ทั้งนี้ รูปแบบของการให้สวัสดิการ กระทรวงการคลังจะประกาศให้ทราบต่อไป
นายกฤษฎาฯ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้ที่จะมาลงทะเบียนในโครงการฯ นั้น สามารถขอรับแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ที่หน่วยลงทะเบียนทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง www.mof.go.th สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง www.fpo.go.th อีเปย์เม้นท์ www.epayment.go.th และเว็บไซต์ของหน่วยรับลงทะเบียนทั้ง 5 หน่วยงานข้างต้น ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมกรอกข้อมูลที่ใช้ในการลงทะเบียน โดยข้อมูลที่ต้องใช้ในการกรอกข้อมูล เช่น บัตรประจําตัวประชาชนของตนเอง เลขบัตรประจําตัวประชาชนของบิดา มารดา และบุตร สมุดทะเบียนบ้าน ทะเบียนผู้พิการ ทะเบียนเกษตรกร เลขที่บัญชีเงินฝาก เป็นต้น และต้องสํารวจว่าตนเองมีรายได้ เงินฝาก และหนี้สินเท่าใด หลังจากกรอกแบบฟอร์มครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว ต้องลงนามรับรองความถูกต้อง และลงนามยินยอมให้เปิดเผยและตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียนได้
นอกจากนี้ ในวันลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องมาลงทะเบียนด้วยตัวเองที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ใดที่หนึ่งที่ตนเองสะดวก โดยยื่นแบบฟอร์มที่กรอกพร้อมกับบัตรประจําตัวประชาชน ซึ่งควรเป็นบัตรประชาชนรุ่นใหม่หรือแบบ Smart Card เนื่องจากต้องนํารูปบนบัตรประจําตัวประชาชนมาไว้บนบัตรสวัสดิการ ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่จําเป็นมาแสดงเพื่อยืนยันตัวตนและข้อมูลที่กรอกให้กับทางราชการ โดยไม่ต้องให้หน่วยรับลงทะเบียนเก็บไว้ ในกรณีผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางได้ ต้องมีหนังสือมอบอํานาจให้บุคคลอื่นมาแสดงในวันลงทะเบียนด้วย หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ผู้ลงทะเบียนต้องรับเอกสารหลักฐานการลงทะเบียนกลับไป โดยเจ้าหน้าที่จะฉีกออกจากส่วนท้ายของแบบฟอร์ม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2429
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บำรุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
|
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บํารุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดปราจีนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ปร
รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บํารุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดปราจีนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ ภายใต้ชื่องาน "รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน" สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
วันนี้ (21 ตุลาคม 2562) เวลา 14.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ พ.ศ.2562 ภายใต้ชื่องาน "รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน" สืบสานสู่ 100 ล้านต้น อย่างเป็นทางการ พร้อมมอบกล้าไม้ให้แก่หน่วยงาน จํานวน 10 หน่วยงานมอบโล่เกียรติคุณให้กับผู้ที่ร่วมปลูกต้นไม้ในโครงการฯ จํานวน 2 ราย ซึ่งได้ลงทะเบียนในลําดับที่ 101,010 ได้แก่ นางสาวพัสวี อยู่แก้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี และผู้ที่ลงทะเบียนปลูกต้นไม้เป็นต้นที่ 10 ล้าน ซึ่งเป็นหน่วยงานจากภาครัฐ ได้แก่ หน่วยจัดการต้นน้ําน้ําและ จังหวัดน่าน ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช และร่วมกิจกรรมบํารุงรักษาต้นรวงผึ้ง ที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูก และต้นพะยูง ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เหล่าดาราศิลปินนักแสดง นักเรียน และประชาชนในพื้นที่กว่า 1,000 คน ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมกิจกรรม ณ อ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา (เขื่อนห้วยโสมง) อําเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้ร่วมกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ ปลูกซ่อมแซมต้นไม้ในพื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการ การสาธิตการตัดแต่งกิ่งไม้ กับเจ้าหน้าที่ สมาชิกจิตอาสา และประชาชน ที่มาร่วมงานพร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบํารุงรักษาและปลูกต้นไม้ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ภายหลังประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ในโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน”ครบ 10 ล้านต้น โดยยอดการปลูกต้นไม้ (มิ.ย.-ก.ย.62) ได้ทะลุไปถึง 12 ล้านต้น จึงได้ตั้งเป้าหมายปลูกต้นไม้มุ่งสู่ 100 ล้านต้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ส่งต่อป่าไม้ให้แก่ลูกหลานไทยในอนาคตในสภาพที่สมบูรณ์ต่อไป
การจัดงานในครั้งนี้ สืบเนื่องด้วย ค.ร.ม. มีมติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533กําหนดให้วันพระราชสมภพของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีซึ่งตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ” ด้วยทรงเล็งเห็นความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ของประเทศและทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้กลับคืนความสมบูรณ์ เก็บไว้เป็นมรดกของลูกหลานไทยในอนาคต ดังจะเห็นได้จากพระราชจริยวัตรของพระองค์ ที่ทรงโปรดการปลูกต้นไม้ และดูแล บํารุงรักษา ใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้ด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด นับเป็นแบบอย่างให้กับพสกนิกรในด้านการอนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ และเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมแรงร่วมใจน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและน้ําพระราชหฤทัยที่มีต่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยด้วยการร่วมกันบํารุงรักษาต้นไม้ที่ได้ปลูกไว้ในช่วงฤดูฝน ตามที่อยู่อาศัยและสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทําโครงการกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” ปลูกต้นไม้ 10 ล้านต้น ที่เปิดโครงการไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2562 ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาสถิติจากผู้ที่ร่วมลงทะเบียนปลูกต้นไม้ผ่านเว็บไซต์ของกรมป่าไม้ มากกว่า 10 ล้านต้น กรมป่าไม้จึงมีเป้าหมายรณรงค์ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นอีก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศต่อไป
นอกจากนี้ ภายในงานยังให้บริการแจกกล้าไม้ จํานวน 5,000 ต้น อาทิ นายาง พะยูง ต้นสัก เป็นต้น ทั้งนี้ ประชาชนในท้องที่ต่างจังหวัดสามารถขอรับกล้าไม้คุณภาพดี ได้ที่สถานีเพาะชํากล้าไม้ของกรมป่าไม้ ทุกจังหวัดทั่วประเทศหรือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ส่วนเพาะชํากล้าไม้ เบอร์โทรศัพท์ 02 561 4292 ต่อ 5551 ได้อีกช่องทางหนึ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บำรุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บํารุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดปราจีนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ปร
รมว.ทส. ชวนคนไทยร่วมดูแล บํารุง รักษา และปลูกต้นไม้ เพิ่มเป้าหมายตามโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดปราจีนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ ภายใต้ชื่องาน "รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน" สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
วันนี้ (21 ตุลาคม 2562) เวลา 14.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ พ.ศ.2562 ภายใต้ชื่องาน "รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน" สืบสานสู่ 100 ล้านต้น อย่างเป็นทางการ พร้อมมอบกล้าไม้ให้แก่หน่วยงาน จํานวน 10 หน่วยงานมอบโล่เกียรติคุณให้กับผู้ที่ร่วมปลูกต้นไม้ในโครงการฯ จํานวน 2 ราย ซึ่งได้ลงทะเบียนในลําดับที่ 101,010 ได้แก่ นางสาวพัสวี อยู่แก้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี และผู้ที่ลงทะเบียนปลูกต้นไม้เป็นต้นที่ 10 ล้าน ซึ่งเป็นหน่วยงานจากภาครัฐ ได้แก่ หน่วยจัดการต้นน้ําน้ําและ จังหวัดน่าน ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช และร่วมกิจกรรมบํารุงรักษาต้นรวงผึ้ง ที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูก และต้นพะยูง ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เหล่าดาราศิลปินนักแสดง นักเรียน และประชาชนในพื้นที่กว่า 1,000 คน ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมกิจกรรม ณ อ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา (เขื่อนห้วยโสมง) อําเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้ร่วมกิจกรรมบํารุงรักษาต้นไม้ ปลูกซ่อมแซมต้นไม้ในพื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการ การสาธิตการตัดแต่งกิ่งไม้ กับเจ้าหน้าที่ สมาชิกจิตอาสา และประชาชน ที่มาร่วมงานพร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบํารุงรักษาและปลูกต้นไม้ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ภายหลังประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ในโครงการ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน”ครบ 10 ล้านต้น โดยยอดการปลูกต้นไม้ (มิ.ย.-ก.ย.62) ได้ทะลุไปถึง 12 ล้านต้น จึงได้ตั้งเป้าหมายปลูกต้นไม้มุ่งสู่ 100 ล้านต้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ส่งต่อป่าไม้ให้แก่ลูกหลานไทยในอนาคตในสภาพที่สมบูรณ์ต่อไป
การจัดงานในครั้งนี้ สืบเนื่องด้วย ค.ร.ม. มีมติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533กําหนดให้วันพระราชสมภพของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีซึ่งตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ” ด้วยทรงเล็งเห็นความสําคัญของทรัพยากรป่าไม้ของประเทศและทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้กลับคืนความสมบูรณ์ เก็บไว้เป็นมรดกของลูกหลานไทยในอนาคต ดังจะเห็นได้จากพระราชจริยวัตรของพระองค์ ที่ทรงโปรดการปลูกต้นไม้ และดูแล บํารุงรักษา ใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้ด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด นับเป็นแบบอย่างให้กับพสกนิกรในด้านการอนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ และเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมแรงร่วมใจน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและน้ําพระราชหฤทัยที่มีต่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยด้วยการร่วมกันบํารุงรักษาต้นไม้ที่ได้ปลูกไว้ในช่วงฤดูฝน ตามที่อยู่อาศัยและสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทําโครงการกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” ปลูกต้นไม้ 10 ล้านต้น ที่เปิดโครงการไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2562 ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาสถิติจากผู้ที่ร่วมลงทะเบียนปลูกต้นไม้ผ่านเว็บไซต์ของกรมป่าไม้ มากกว่า 10 ล้านต้น กรมป่าไม้จึงมีเป้าหมายรณรงค์ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นอีก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศต่อไป
นอกจากนี้ ภายในงานยังให้บริการแจกกล้าไม้ จํานวน 5,000 ต้น อาทิ นายาง พะยูง ต้นสัก เป็นต้น ทั้งนี้ ประชาชนในท้องที่ต่างจังหวัดสามารถขอรับกล้าไม้คุณภาพดี ได้ที่สถานีเพาะชํากล้าไม้ของกรมป่าไม้ ทุกจังหวัดทั่วประเทศหรือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ส่วนเพาะชํากล้าไม้ เบอร์โทรศัพท์ 02 561 4292 ต่อ 5551 ได้อีกช่องทางหนึ่ง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23958
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี
|
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี
‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี หนุนเกษตรกรเลี้ยงไก่สวยงามควบคู่ไก่พื้นบ้านส่งออกสร้างรายได้
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานการจัดประกวด “มหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี” พร้อมด้วยคณะทํางาน โดยมี นายวิชาญมีนชัยนันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานมูลนิธิกู้ภัยร่มไทรกล่าวรายงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เขตมีนบุรี จ.กรุงเทพฯ
นายประภัตร กล่าวว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นปรัชญาที่เหมาะสําหรับครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ ด้วยการยึดหลักทางสายกลางในการดําเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ หากนํามาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลดี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการเกษตรในปัจจุบันเกิดปัญหา เช่น ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ทําให้ขาดแคลนน้ําจึงต้องนําอาชีพปศุสัตว์มาเป็นอาชีพทางเลือกเพื่อสร้างรายได้ เนื่องจากปศุสัตว์เป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาดี มีตลาดรองรับ ครม. จึงได้อนุมัติโครงการสินเชื่อให้ ธ.ก.ส. ในวงเงิน 50,000 ล้านปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยล้านละหนึ่งร้อยบาทต่อปีให้กับเกษตรกรเพื่อช่วยเหลือให้สามารถประกอบอาชีพ สร้างอาชีพทางเลือกใหม่
“กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทุกพื้นที่ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการซึ่งมีอาชีพทางเลือกหลากหลาย ทั้ง เลี้ยงโคขุน ไก่ หมู แพะ-แกะ ตลอดจนด้านประมง และการปลูกพืชใช้น้ําน้อย นอกจากนี้ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ส่งเสริมเกษตรกรให้เลี้ยงไก่พื้นบ้านและไก่สวยงามควบคู่กันไป สร้างรายได้ มีราคาดี อีกทั้งในพื้นที่เขตมีนบุรีมีผู้นับถือศาสนาอิสลามอยู่มาก จึงควรส่งเสริมให้เลี้ยงแพะอีกทางหนึ่ง” นายประภัตร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี
‘ประภัตร’ เปิดงานมหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี หนุนเกษตรกรเลี้ยงไก่สวยงามควบคู่ไก่พื้นบ้านส่งออกสร้างรายได้
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานการจัดประกวด “มหกรรมสีสัน ไก่สวยงามมีนบุรี” พร้อมด้วยคณะทํางาน โดยมี นายวิชาญมีนชัยนันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานมูลนิธิกู้ภัยร่มไทรกล่าวรายงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เขตมีนบุรี จ.กรุงเทพฯ
นายประภัตร กล่าวว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นปรัชญาที่เหมาะสําหรับครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ ด้วยการยึดหลักทางสายกลางในการดําเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ หากนํามาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลดี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการเกษตรในปัจจุบันเกิดปัญหา เช่น ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ทําให้ขาดแคลนน้ําจึงต้องนําอาชีพปศุสัตว์มาเป็นอาชีพทางเลือกเพื่อสร้างรายได้ เนื่องจากปศุสัตว์เป็นที่ต้องการของตลาด และมีราคาดี มีตลาดรองรับ ครม. จึงได้อนุมัติโครงการสินเชื่อให้ ธ.ก.ส. ในวงเงิน 50,000 ล้านปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยล้านละหนึ่งร้อยบาทต่อปีให้กับเกษตรกรเพื่อช่วยเหลือให้สามารถประกอบอาชีพ สร้างอาชีพทางเลือกใหม่
“กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทุกพื้นที่ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการซึ่งมีอาชีพทางเลือกหลากหลาย ทั้ง เลี้ยงโคขุน ไก่ หมู แพะ-แกะ ตลอดจนด้านประมง และการปลูกพืชใช้น้ําน้อย นอกจากนี้ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ส่งเสริมเกษตรกรให้เลี้ยงไก่พื้นบ้านและไก่สวยงามควบคู่กันไป สร้างรายได้ มีราคาดี อีกทั้งในพื้นที่เขตมีนบุรีมีผู้นับถือศาสนาอิสลามอยู่มาก จึงควรส่งเสริมให้เลี้ยงแพะอีกทางหนึ่ง” นายประภัตร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27339
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย [กระทรวงการคลัง]
|
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563
ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย [กระทรวงการคลัง]
ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท หลังดําเนินการมาแล้วครบ 1 เดือน มีจํานวนการลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 28.8 ล้านรายการ (ปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563) ในจํานวนนี้เมื่อหักการลงทะเบียนซ้ําหลายครั้งออกแล้ว คงเหลือผู้ลงทะเบียน 24 ล้านราย โดยพบว่าเป็นผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนจากฐานข้อมูลของกรมการปกครอง 1.7 ล้านราย คงเหลือผู้ลงทะเบียนที่เข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองตามหลักเกณฑ์จํานวน 22.3 ล้านราย
กระทรวงการคลังได้ใช้ฐานข้อมูลและระบบการคัดกรองคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนแล้วพบว่ามีผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติจะได้รับสิทธิ เนื่องจากมีสิทธิหรือเข้าข่ายจะได้รับสิทธิเยียวยาจากรัฐบาลผ่านทางกลไกอื่นอยู่แล้ว แบ่งเป็นหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรตามฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร 4.2 ล้านราย เป็นข้าราชการ ข้าราชการบํานาญ หรือผู้รับเบี้ยหวัดและผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิชดเชยรายได้ในระบบประกันสังคม 1.1 ล้านราย และมีผู้ขอยกเลิกการลงทะเบียน 9.5 แสนราย
ดังนั้น จึงมีผู้ที่เข้าข่ายสามารถได้รับสิทธิการชดเชยรายได้ตามมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จํานวนทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านราย ซึ่งเป็นผู้ผ่านเกณฑ์แล้วจํานวน 10.6 ล้านราย และกระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิส่วนใหญ่จํานวน 7.5 ล้านรายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนถึงวันที่ 29 เมษายน 2563 ในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะมีการโอนเงินเยียวยาผู้ได้รับสิทธิอีก 4.8 แสนราย ส่วนที่เหลืออีก 2.6 ล้านราย จะเร่งโอนให้ภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2563 กลุ่มนี้จะได้รับเงินเยียวยาของรอบเดือนเมษายนด้วยรวมเป็น 2 เดือน โดยขอให้ตรวจสอบสถานะล่าสุดได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป หากได้รับสิทธิจะพบข้อความว่า “ท่านได้รับสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท กระทรวงการคลังจะดําเนินการโอนเงินให้ท่านโดยเร็วที่สุด”
สําหรับกลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติมยังคงเหลือผู้ที่ไม่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก 1 ล้านราย โปรดมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิจากมาตรการเยียวยาอย่างรวดเร็ว และสําหรับผู้ที่ขอทบทวนสิทธิจํานวน 3.5 ล้านราย ทีมผู้พิทักษ์สิทธิอยู่ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดําเนินการให้ทราบผลโดยเร็วต่อไป
Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3421, 3422, 3423, 3424, 3425, 3427, 3429, 3430, 3572
(ในวันและเวลาราชการ)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563
ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย [กระทรวงการคลัง]
ครบ 1 เดือน มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 10.6 ล้านราย
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท หลังดําเนินการมาแล้วครบ 1 เดือน มีจํานวนการลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 28.8 ล้านรายการ (ปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563) ในจํานวนนี้เมื่อหักการลงทะเบียนซ้ําหลายครั้งออกแล้ว คงเหลือผู้ลงทะเบียน 24 ล้านราย โดยพบว่าเป็นผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนจากฐานข้อมูลของกรมการปกครอง 1.7 ล้านราย คงเหลือผู้ลงทะเบียนที่เข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองตามหลักเกณฑ์จํานวน 22.3 ล้านราย
กระทรวงการคลังได้ใช้ฐานข้อมูลและระบบการคัดกรองคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนแล้วพบว่ามีผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติจะได้รับสิทธิ เนื่องจากมีสิทธิหรือเข้าข่ายจะได้รับสิทธิเยียวยาจากรัฐบาลผ่านทางกลไกอื่นอยู่แล้ว แบ่งเป็นหัวหน้าครัวเรือนเกษตรกรตามฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร 4.2 ล้านราย เป็นข้าราชการ ข้าราชการบํานาญ หรือผู้รับเบี้ยหวัดและผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิชดเชยรายได้ในระบบประกันสังคม 1.1 ล้านราย และมีผู้ขอยกเลิกการลงทะเบียน 9.5 แสนราย
ดังนั้น จึงมีผู้ที่เข้าข่ายสามารถได้รับสิทธิการชดเชยรายได้ตามมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จํานวนทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านราย ซึ่งเป็นผู้ผ่านเกณฑ์แล้วจํานวน 10.6 ล้านราย และกระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิส่วนใหญ่จํานวน 7.5 ล้านรายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนถึงวันที่ 29 เมษายน 2563 ในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะมีการโอนเงินเยียวยาผู้ได้รับสิทธิอีก 4.8 แสนราย ส่วนที่เหลืออีก 2.6 ล้านราย จะเร่งโอนให้ภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2563 กลุ่มนี้จะได้รับเงินเยียวยาของรอบเดือนเมษายนด้วยรวมเป็น 2 เดือน โดยขอให้ตรวจสอบสถานะล่าสุดได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป หากได้รับสิทธิจะพบข้อความว่า “ท่านได้รับสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท กระทรวงการคลังจะดําเนินการโอนเงินให้ท่านโดยเร็วที่สุด”
สําหรับกลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติมยังคงเหลือผู้ที่ไม่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก 1 ล้านราย โปรดมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิจากมาตรการเยียวยาอย่างรวดเร็ว และสําหรับผู้ที่ขอทบทวนสิทธิจํานวน 3.5 ล้านราย ทีมผู้พิทักษ์สิทธิอยู่ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดําเนินการให้ทราบผลโดยเร็วต่อไป
Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3421, 3422, 3423, 3424, 3425, 3427, 3429, 3430, 3572
(ในวันและเวลาราชการ)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29893
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
|
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันนี้ (29มิถุนายน 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพรอมฺพโร) เสด็จมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์และมีพระสงฆ์ จํานวน 199 รูป ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศเอก เกษม อยู่สุข หัวหน้าสํานักราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพระชัยนวรัตน์ พระพุทธรูปสําคัญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติและสืบสานพระราชปณิธาน "ธรรมราชินีของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9"
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันนี้ (29มิถุนายน 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพรอมฺพโร) เสด็จมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์และมีพระสงฆ์ จํานวน 199 รูป ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศเอก เกษม อยู่สุข หัวหน้าสํานักราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพระชัยนวรัตน์ พระพุทธรูปสําคัญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติและสืบสานพระราชปณิธาน "ธรรมราชินีของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9"
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13469
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ.ตั้งคณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายการจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
รมช.สธ.ตั้งคณะทํางานศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายการจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะทํางานศึกษาความเป็นไปได้ในการเตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารอวัยวะหลังเสียชีวิตคาดจะมีผู้บริจาคถึงร้อยละ 70 ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา เป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดความพิการ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด แต่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงการปลูกถ่าย ซึ่งมีผู้รอปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และ ผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย ขณะที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ปีละ 500 – 700 ราย ปลูกถ่ายกระจกตาได้เพียงปีละ 700 - 800 ราย และผู้ป่วยรอปลูกถ่ายไตไม่ต่ําว่า 3 ปี
ดังนั้น เพื่อให้มีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มมากขึ้น ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาการออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต ซึ่งคณะทํางานนี้ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ผู้ชํานาญงานด้านกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อศึกษาถึงแนวทางใหม่ของการบริจาคอวัยวะโดยในช่วงแรกจะใช้แนวทางให้ประชาชนต้องตัดสินใจว่าอยากจะให้อวัยวะหรือไม่ เมื่อไปทําธุรกรรมเอกสาร เช่น ต่อบัตรประชาชน ใบขับขี่ เป็นต้น และเมื่อมีความพร้อมมากขึ้นจะปรับระบบให้ทุกคนมีตัวเลือกตั้งต้นว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะ กรณีที่เลือกไม่อยากเป็น สามารถออกจากการเป็นผู้ให้อวัยวะได้ทุกเมื่อ
“สําหรับตัวร่างกฎหมายดังกล่าวเบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งหากกฎหมายผ่านและมีการนําไปใช้คาดในระยะแรกจะมีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มร้อยละ 30 และเมื่อปรับเป็นการเปลี่ยนตัวเลือกตั้งต้นจะมีผู้บริจาคถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้น”นายแพทย์คณวัฒน์ กล่าว
*************************************** 3 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ.ตั้งคณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายการจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
รมช.สธ.ตั้งคณะทํางานศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายการจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะทํางานศึกษาความเป็นไปได้ในการเตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารอวัยวะหลังเสียชีวิตคาดจะมีผู้บริจาคถึงร้อยละ 70 ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้น
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ เนื้อเยื่อ และดวงตา เป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ลดความพิการ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด แต่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงการปลูกถ่าย ซึ่งมีผู้รอปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีผู้รอรับอวัยวะ 6,245 ราย และ ผู้รอรับดวงตา 12,964 ราย ขณะที่สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ปีละ 500 – 700 ราย ปลูกถ่ายกระจกตาได้เพียงปีละ 700 - 800 ราย และผู้ป่วยรอปลูกถ่ายไตไม่ต่ําว่า 3 ปี
ดังนั้น เพื่อให้มีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มมากขึ้น ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ตั้งคณะทํางานเพื่อศึกษาการออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการอวัยวะหลังเสียชีวิต ซึ่งคณะทํางานนี้ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี ผู้ชํานาญงานด้านกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อศึกษาถึงแนวทางใหม่ของการบริจาคอวัยวะโดยในช่วงแรกจะใช้แนวทางให้ประชาชนต้องตัดสินใจว่าอยากจะให้อวัยวะหรือไม่ เมื่อไปทําธุรกรรมเอกสาร เช่น ต่อบัตรประชาชน ใบขับขี่ เป็นต้น และเมื่อมีความพร้อมมากขึ้นจะปรับระบบให้ทุกคนมีตัวเลือกตั้งต้นว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะ กรณีที่เลือกไม่อยากเป็น สามารถออกจากการเป็นผู้ให้อวัยวะได้ทุกเมื่อ
“สําหรับตัวร่างกฎหมายดังกล่าวเบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งหากกฎหมายผ่านและมีการนําไปใช้คาดในระยะแรกจะมีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มร้อยละ 30 และเมื่อปรับเป็นการเปลี่ยนตัวเลือกตั้งต้นจะมีผู้บริจาคถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้น”นายแพทย์คณวัฒน์ กล่าว
*************************************** 3 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23612
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 กันยายน 2559
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 กันยายน 2559
วันนี้ (27 กันยายน 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 กันยายน 2559
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 กันยายน 2559
วันนี้ (27 กันยายน 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/625
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน DEPA ออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ ระดับ SME ของไทย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเวทีโลก
|
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน DEPA ออกมาตรการลดหย่อนภาษีสําหรับผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ ระดับ SME ของไทย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเวทีโลก
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ระดับ SME ของไทย ด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ ลดข้อจํากัดในการแข่งขัน หวังผลักดันผู้ประกอบการและผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ในประเทศสู่เวทีระดับโลก
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล หรือ Digital Economy การส่งเสริมและวางรากฐานถือเป็นเรื่องสําคัญที่จะทําให้ทุกภาคเศรษฐกิจก้าวหน้าได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถแข่งขันในโลกสมัยใหม่ได้ ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนําเทคโนโลยีไปใช้ในทุกกระบวนการธุรกิจเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และทําให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด AEC และตลาดโลกได้ ซึ่งในอดีตมีเพียงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการลงทุนระบบซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันความเหลื่อมล้ําดังกล่าวได้ถูกทดแทนด้วยผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภายในประเทศที่มีศักยภาพ ซึ่งสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยอย่างต่อเนื่องจนสามารถเกิดกลุ่มนักพัฒนาที่มีศักยภาพในการสร้างซอฟต์แวร์เพื่อรองรับความต้องการของตลาดธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ออกมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการด้านซอฟแวร์ไทย เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับสากล โดยประกาศมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ 100% สําหรับผู้ประกอบการ SME เมื่อซื้อหรือใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ของประเทศไทยที่ขึ้นทะเบียนกับ DEPA ซึ่งภาษีที่หักต้องอยู่ในหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมสรรพากรกําหนดในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเติมถึงคําว่าลดภาษี 200% ว่า หัก 100% เป็นค่าใช้จ่าย และหักค่าเสื่อมได้อีก 3 ปี รวมเป็น 200%
สําหรับเงื่อนไขของผู้ประกอบการหรือ SME มีดังนี้ 1) ต้องเลือกใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ที่ขึ้นทะเบียนกับ DEPA หรือมีรายชื่ออยู่กับ DEPA เท่านั้น 2) ผู้ประกอบการต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และมีสํานักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย มีหุ้นเป็นทุนตั้งแต่ 51% ของนิติบุคคลนั้น และถือหุ้นโดยบุคคลที่มีสัญชาติไทย
ทั้งนี้ ในด้านเงื่อนไขผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่อยากขึ้นทะเบียนมีชื่อใน DEPA ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เป็นผู้ทําธุรกิจด้านพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนขายจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2) ได้รับการรับรองมาตรฐานกระบวนการผลิตหรือพัฒนาบริการซอฟต์แวร์ เช่น ISO/IEC 29110 หรือ CMMI หรือมาตรฐานอื่นตามที่สํานักงานฯ กําหนดการลดภาษีดังกล่าว เป็นนโยบายส่งเสริมให้ SME และผู้ประกอบการ มีการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อยกระดับมาตรฐานและก้าวทันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ยุคไทยแลนด์ 4.0 อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผู้ผลิตและผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ของคนไทย เกิดการกระตุ้นให้ผลิตซอฟต์แวร์รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการธุรกิจในไทย
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน DEPA ออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ ระดับ SME ของไทย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเวทีโลก
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน DEPA ออกมาตรการลดหย่อนภาษีสําหรับผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ ระดับ SME ของไทย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเวทีโลก
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านซอฟต์แวร์ระดับ SME ของไทย ด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ ลดข้อจํากัดในการแข่งขัน หวังผลักดันผู้ประกอบการและผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ในประเทศสู่เวทีระดับโลก
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล หรือ Digital Economy การส่งเสริมและวางรากฐานถือเป็นเรื่องสําคัญที่จะทําให้ทุกภาคเศรษฐกิจก้าวหน้าได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถแข่งขันในโลกสมัยใหม่ได้ ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนําเทคโนโลยีไปใช้ในทุกกระบวนการธุรกิจเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และทําให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด AEC และตลาดโลกได้ ซึ่งในอดีตมีเพียงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการลงทุนระบบซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันความเหลื่อมล้ําดังกล่าวได้ถูกทดแทนด้วยผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภายในประเทศที่มีศักยภาพ ซึ่งสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยอย่างต่อเนื่องจนสามารถเกิดกลุ่มนักพัฒนาที่มีศักยภาพในการสร้างซอฟต์แวร์เพื่อรองรับความต้องการของตลาดธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ออกมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการด้านซอฟแวร์ไทย เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับสากล โดยประกาศมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ 100% สําหรับผู้ประกอบการ SME เมื่อซื้อหรือใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ของประเทศไทยที่ขึ้นทะเบียนกับ DEPA ซึ่งภาษีที่หักต้องอยู่ในหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมสรรพากรกําหนดในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเติมถึงคําว่าลดภาษี 200% ว่า หัก 100% เป็นค่าใช้จ่าย และหักค่าเสื่อมได้อีก 3 ปี รวมเป็น 200%
สําหรับเงื่อนไขของผู้ประกอบการหรือ SME มีดังนี้ 1) ต้องเลือกใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ที่ขึ้นทะเบียนกับ DEPA หรือมีรายชื่ออยู่กับ DEPA เท่านั้น 2) ผู้ประกอบการต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และมีสํานักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย มีหุ้นเป็นทุนตั้งแต่ 51% ของนิติบุคคลนั้น และถือหุ้นโดยบุคคลที่มีสัญชาติไทย
ทั้งนี้ ในด้านเงื่อนไขผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่อยากขึ้นทะเบียนมีชื่อใน DEPA ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เป็นผู้ทําธุรกิจด้านพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนขายจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2) ได้รับการรับรองมาตรฐานกระบวนการผลิตหรือพัฒนาบริการซอฟต์แวร์ เช่น ISO/IEC 29110 หรือ CMMI หรือมาตรฐานอื่นตามที่สํานักงานฯ กําหนดการลดภาษีดังกล่าว เป็นนโยบายส่งเสริมให้ SME และผู้ประกอบการ มีการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อยกระดับมาตรฐานและก้าวทันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ยุคไทยแลนด์ 4.0 อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมผู้ผลิตและผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ของคนไทย เกิดการกระตุ้นให้ผลิตซอฟต์แวร์รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการธุรกิจในไทย
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9075
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการพิจารณายกเลิกการนําเข้าและใช้สารเคมี พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกโฟเซตว่า เรื่องสารเคมีทางการเกษตรรัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดถ้าเรามองมุมเดียวก็ใช่ แต่รัฐบาลนี้เจตนามุ่งมั่นจะดูแลผู้บริโภคอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้จากที่รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินการเรื่องเกษตรอินทรีย์ แต่บางพื้นที่ยังทําไม่ได้เพราะมีการใช้สารเคมีต่าง ๆ มาตลอด แต่ก็เริ่มลดลงการใช้ลงไปเป็นสินค้าปลอดภัยหรือจีเอ็มพีก่อนจะไปเป็นสินค้าอินทรีย์ บางพื้นที่ทําเกษตรอินทรีย์ได้อยู่แล้วหลายสิบปีมาแล้วก็ทําไปตรงไหนที่ใช้ยาเคมีเยอะแยะไปหมดก็ต้องไปสู่จีไอพี ต้องพิจารณาแยกแยะให้ออกว่าจะทําอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การปรับลดการใช้สารเคมีนั้นไม่ยากหรอก วันนี้ต้องไปพิจารณาทบทวนทั้งหมดโดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้แล้ว ดังนั้น รัฐบาลในฐานะที่อยู่ตรงกลางต้องมีการดําเนินการ 2 ทางคือจําเป็นต้องคุ้มครองผู้บริโภคดําเนินการทั้งจีไอพี - อินทรีย์ และต่อไปก็ต้องมาดูว่าภาคการเกษตรต้องการอะไร ถ้าร้องเรียนว่าไม่มีแรงงานขาดแรงงานด้านการเกษตรมีปัญหาเรื่องการกําจัดวัชพืช รัฐบาลก็ต้องไปหาอะไรที่มาชดเชยทดแทนการกําจัดวัชพืชซึ่งกําลังให้มีการทดลองที่เห็นก็มีทั้งที่คนไทยผลิตออกมาแล้วใช้ได้จริงหรือเปล่า ต้องมองทั้ง 2 อย่าง แต่ท้ายที่สุดเจตนารมณ์ของรัฐบาลต้องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทุกอย่างต้องมีวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจนให้ได้โดยเร็วที่สุด
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีเจตนาดูแลผู้บริโภคเป็นหลัก และพยายามแก้ปัญหาสารเคมีมาโดยตลอด
วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการพิจารณายกเลิกการนําเข้าและใช้สารเคมี พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกโฟเซตว่า เรื่องสารเคมีทางการเกษตรรัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดถ้าเรามองมุมเดียวก็ใช่ แต่รัฐบาลนี้เจตนามุ่งมั่นจะดูแลผู้บริโภคอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้จากที่รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินการเรื่องเกษตรอินทรีย์ แต่บางพื้นที่ยังทําไม่ได้เพราะมีการใช้สารเคมีต่าง ๆ มาตลอด แต่ก็เริ่มลดลงการใช้ลงไปเป็นสินค้าปลอดภัยหรือจีเอ็มพีก่อนจะไปเป็นสินค้าอินทรีย์ บางพื้นที่ทําเกษตรอินทรีย์ได้อยู่แล้วหลายสิบปีมาแล้วก็ทําไปตรงไหนที่ใช้ยาเคมีเยอะแยะไปหมดก็ต้องไปสู่จีไอพี ต้องพิจารณาแยกแยะให้ออกว่าจะทําอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การปรับลดการใช้สารเคมีนั้นไม่ยากหรอก วันนี้ต้องไปพิจารณาทบทวนทั้งหมดโดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้แล้ว ดังนั้น รัฐบาลในฐานะที่อยู่ตรงกลางต้องมีการดําเนินการ 2 ทางคือจําเป็นต้องคุ้มครองผู้บริโภคดําเนินการทั้งจีไอพี - อินทรีย์ และต่อไปก็ต้องมาดูว่าภาคการเกษตรต้องการอะไร ถ้าร้องเรียนว่าไม่มีแรงงานขาดแรงงานด้านการเกษตรมีปัญหาเรื่องการกําจัดวัชพืช รัฐบาลก็ต้องไปหาอะไรที่มาชดเชยทดแทนการกําจัดวัชพืชซึ่งกําลังให้มีการทดลองที่เห็นก็มีทั้งที่คนไทยผลิตออกมาแล้วใช้ได้จริงหรือเปล่า ต้องมองทั้ง 2 อย่าง แต่ท้ายที่สุดเจตนารมณ์ของรัฐบาลต้องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทุกอย่างต้องมีวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจนให้ได้โดยเร็วที่สุด
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14985
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (9 สิงหาคม ๒๕๖๑) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Mr. Patrick Suckling ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อหารือความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวทางความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างเครือรัฐออสเตรเลียและประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวขอบคุณเครือรัฐออสเตรเลียที่ให้การสนับสนุนภารกิจให้ความร่วมมือในปฏิบัติการช่วยเหลือ ๑๓ ชีวิตติดถ้ําหลวง (หมูป่าอะคาเดมี) จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ ๒๓ มิถุนายน – ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และได้กล่าวถึงการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยะทะเล การเพิ่มพื้นที่ป่า และการจัดทําข้อมูลด้านทรัพยากรแร่เพื่อการนํามาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและยั่งยืนซึ่งทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมการทํางานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความพยายามในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยทั้งในประเทศและในเวทีนานาชาติ ทั้งนี้ เครือรัฐออสเตรเลียมีความสนใจอย่างยิ่งที่จะมีความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาคโดยเฉพาะอาเซียน และเอเชียแปซิฟิก และระดับโลก และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการทําเหมืองแร่ ซึ่งเครือรัฐออสเตรเลียมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความยินดีที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระหว่างเครือรัฐออสเตรเลียและอาเซียน ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งการดําเนินความร่วมมือในระดับทวิภาคีด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างไทยและเครือรัฐออสเตรเลีย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียขอเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (9 สิงหาคม ๒๕๖๑) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Mr. Patrick Suckling ทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อหารือความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวทางความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างเครือรัฐออสเตรเลียและประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวขอบคุณเครือรัฐออสเตรเลียที่ให้การสนับสนุนภารกิจให้ความร่วมมือในปฏิบัติการช่วยเหลือ ๑๓ ชีวิตติดถ้ําหลวง (หมูป่าอะคาเดมี) จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ ๒๓ มิถุนายน – ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และได้กล่าวถึงการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยะทะเล การเพิ่มพื้นที่ป่า และการจัดทําข้อมูลด้านทรัพยากรแร่เพื่อการนํามาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและยั่งยืนซึ่งทูตด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเครือรัฐออสเตรเลียได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมการทํางานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความพยายามในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยทั้งในประเทศและในเวทีนานาชาติ ทั้งนี้ เครือรัฐออสเตรเลียมีความสนใจอย่างยิ่งที่จะมีความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาคโดยเฉพาะอาเซียน และเอเชียแปซิฟิก และระดับโลก และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการทําเหมืองแร่ ซึ่งเครือรัฐออสเตรเลียมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความยินดีที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระหว่างเครือรัฐออสเตรเลียและอาเซียน ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งการดําเนินความร่วมมือในระดับทวิภาคีด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างไทยและเครือรัฐออสเตรเลีย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทำร้ายร่างกายเป็นประจำ ที่ จ.ชุมพร
|
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
พม. กําชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ที่ จ.ชุมพร
พม. กําชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา และพบว่าร่างกายขาดสารอาหารอย่างหนัก อีกทั้งแม่และพ่อเลี้ยงยังมีพฤติกรรมติดยาเสพติด ที่ จ.ชุมพร
วันนี้ (11 ม.ค. 62) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนางพรสม เปาปราโมทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 3/2562 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ทั่วประเทศ
นางพรสมกล่าวว่า จากกรณีเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆวัย 19 ปี และพ่อเลี้ยงวัย 26 ปี ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ได้รับบาดเจ็บมีรอยพกช้ําทั่วทั้งร่างกาย และพบอาการช้ําใน อีกทั้งยังร่างกายขาดสารอาหารรุนแรง เนื่องจากผู้เป็นแม่ให้รับประทานแต่บะหมี่กึ่งสําเร็จรูปเท่านั้น จึงทําให้เกล็ดเลือดต่ําอย่างหนัก อีกทั้งผู้เป็นแม่และพ่อเลี้ยงยังมีพฤติกรรมติดยาเสพติด ที่จังหวัดชุมพร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร (พมจ.ชุมพร) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. อีกทั้งการแนะนําปรับทัศนคติแก่ครอบครัวถึงวิธีการเลี้ยงดูบุตรอย่างเหมาะสม หากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชุมพร พร้อมรับเด็กมาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
นางพรสมกล่าวต่อไปว่า อีกกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นเด็กเรียนดี และเป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีห้องน้ําใช้ ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาฬสินธุ์ (พมจ.กาฬสินธุ์) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา และเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้แข็งแรง มั่นคง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพแก่ครอบครัว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยาว และกรณีชายวัย 38 ปี ประสบอุบัติเหตุกะโหลกศีรษะยุบ นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องใส่ยางดูดเสมหะตลอดเวลา และมีแผลกดทับขนาดใหญ่ อาศัยอยู่กับแม่แก่ชราวัย 62 ปี ที่ร่างกายไม่แข็งแรง มีเพียงผู้เป็นพ่อวัย 63 ปี ที่ต้องทํางานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดพิจิตร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร (พมจ.พิจิตร) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นและเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และการให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย อาทิ เบี้ยความพิการ และเงินทุนประกอบอาชีพแก่ครอบครัว เป็นต้น เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงในระยะยาวต่อไป
นางพรสมกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงวัย 33 ปี ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ต้องรับภาระดูแลพ่อแก่ชราวัย 64 ปี ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคไต และอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อีกทั้งต้องดูแลลูกสาววัย 11 ขวบ อีก 1 คน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดชัยนาท นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้กําลังใจ พร้อมมอบเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งประสานหน่วยงานในพื้นที่ให้การดูแลช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วย พร้อมเสนอการปรับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยและสิ่งอํานวยความสะดวกให้เหมาะสม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทำร้ายร่างกายเป็นประจำ ที่ จ.ชุมพร
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
พม. กําชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ที่ จ.ชุมพร
พม. กําชับทีม One Home ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยง ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา และพบว่าร่างกายขาดสารอาหารอย่างหนัก อีกทั้งแม่และพ่อเลี้ยงยังมีพฤติกรรมติดยาเสพติด ที่ จ.ชุมพร
วันนี้ (11 ม.ค. 62) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนางพรสม เปาปราโมทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 3/2562 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ทั่วประเทศ
นางพรสมกล่าวว่า จากกรณีเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกแม่แท้ๆวัย 19 ปี และพ่อเลี้ยงวัย 26 ปี ทุบตีทําร้ายร่างกายเป็นประจํา ได้รับบาดเจ็บมีรอยพกช้ําทั่วทั้งร่างกาย และพบอาการช้ําใน อีกทั้งยังร่างกายขาดสารอาหารรุนแรง เนื่องจากผู้เป็นแม่ให้รับประทานแต่บะหมี่กึ่งสําเร็จรูปเท่านั้น จึงทําให้เกล็ดเลือดต่ําอย่างหนัก อีกทั้งผู้เป็นแม่และพ่อเลี้ยงยังมีพฤติกรรมติดยาเสพติด ที่จังหวัดชุมพร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร (พมจ.ชุมพร) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. อีกทั้งการแนะนําปรับทัศนคติแก่ครอบครัวถึงวิธีการเลี้ยงดูบุตรอย่างเหมาะสม หากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชุมพร พร้อมรับเด็กมาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
นางพรสมกล่าวต่อไปว่า อีกกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นเด็กเรียนดี และเป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีห้องน้ําใช้ ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาฬสินธุ์ (พมจ.กาฬสินธุ์) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา และเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้แข็งแรง มั่นคง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพแก่ครอบครัว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยาว และกรณีชายวัย 38 ปี ประสบอุบัติเหตุกะโหลกศีรษะยุบ นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องใส่ยางดูดเสมหะตลอดเวลา และมีแผลกดทับขนาดใหญ่ อาศัยอยู่กับแม่แก่ชราวัย 62 ปี ที่ร่างกายไม่แข็งแรง มีเพียงผู้เป็นพ่อวัย 63 ปี ที่ต้องทํางานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดพิจิตร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร (พมจ.พิจิตร) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นและเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และการให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย อาทิ เบี้ยความพิการ และเงินทุนประกอบอาชีพแก่ครอบครัว เป็นต้น เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงในระยะยาวต่อไป
นางพรสมกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงวัย 33 ปี ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ต้องรับภาระดูแลพ่อแก่ชราวัย 64 ปี ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคไต และอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อีกทั้งต้องดูแลลูกสาววัย 11 ขวบ อีก 1 คน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดชัยนาท นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้กําลังใจ พร้อมมอบเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งประสานหน่วยงานในพื้นที่ให้การดูแลช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วย พร้อมเสนอการปรับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยและสิ่งอํานวยความสะดวกให้เหมาะสม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18072
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รมช.ศธ. เดินทางราชการ พบปะเยี่ยมเยือนติดตามการศึกษาของ นักศึกษาไทยในประเทศโมร็อกโก
|
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รมช.ศธ. เดินทางราชการ พบปะเยี่ยมเยือนติดตามการศึกษาของ นักศึกษาไทยในประเทศโมร็อกโก
เมื่อ 11 ก.ค.61 เวลา 1845 หน.ผทพ./รมช.ศธ. พร้อม ด้วย ปลัด ศธ. และคณะเดินทางไปพบนักศึกษาไทยที่กําลังศึกษาในโมร็อกโก ณ ทําเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต
เมื่อ 11 ก.ค.61 เวลา 1845 หน.ผทพ./รมช.ศธ. พร้อม ด้วย ปลัด ศธ. และคณะเดินทางไปพบนักศึกษาไทยที่กําลังศึกษาในโมร็อกโก ณ ทําเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัตได้พบปะพูดคุย กับนักศึกษา สอบถามความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต และการศึกษา พร้อมร่วมรับประทานอาหารเย็นกับนักศึกษา
ปัจจุบัน ประเทศโมร็อกโก มีนักศึกษาไทยมุสลิมศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นนักศึกษาไทยมุสลิม จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ 10 คน จาก จ.ปัตตานี 4 คน จ.ยะลา 6 คน ซึ่งศึกษาด้านสาขาอักษรศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รมช.ศธ. เดินทางราชการ พบปะเยี่ยมเยือนติดตามการศึกษาของ นักศึกษาไทยในประเทศโมร็อกโก
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รมช.ศธ. เดินทางราชการ พบปะเยี่ยมเยือนติดตามการศึกษาของ นักศึกษาไทยในประเทศโมร็อกโก
เมื่อ 11 ก.ค.61 เวลา 1845 หน.ผทพ./รมช.ศธ. พร้อม ด้วย ปลัด ศธ. และคณะเดินทางไปพบนักศึกษาไทยที่กําลังศึกษาในโมร็อกโก ณ ทําเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต
เมื่อ 11 ก.ค.61 เวลา 1845 หน.ผทพ./รมช.ศธ. พร้อม ด้วย ปลัด ศธ. และคณะเดินทางไปพบนักศึกษาไทยที่กําลังศึกษาในโมร็อกโก ณ ทําเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัตได้พบปะพูดคุย กับนักศึกษา สอบถามความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต และการศึกษา พร้อมร่วมรับประทานอาหารเย็นกับนักศึกษา
ปัจจุบัน ประเทศโมร็อกโก มีนักศึกษาไทยมุสลิมศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นนักศึกษาไทยมุสลิม จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ 10 คน จาก จ.ปัตตานี 4 คน จ.ยะลา 6 คน ซึ่งศึกษาด้านสาขาอักษรศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13831
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
|
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
วันนี้ (14 พ.ย. 2561) เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนางจาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์
ภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ต่างยินดีที่ได้พบปะหารือกันในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการหารือทวิภาคีระหว่างสองผู้นํา ไทยและนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมา 62 ปี และเป็นหุ้นส่วนร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนกว่า 40 ปี จึงมีความร่วมมือที่ครอบคลุมที่หลากหลาย ทั้งสองฝ่ายประสงค์ให้มีการปฏิสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง และพร้อมทํางานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําคําเชิญนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เยือนไทยอย่างเป็นทางการในปีหน้า
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่การค้าระหว่างไทยและนิวซีแลนด์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่าสามเท่า หลังจากที่ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2548 โดยเมื่อปีที่ผ่านมา มูลค่าทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไทยและนิวซีแลนด์ยังมีศักยภาพทางด้านการค้าและการลงทุนอีกหลากหลายด้าน ซึ่งผู้นําทั้งสองฝ่ายพร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และส่งเสริมการค้าทวิภาคีให้มีมูลค่าและสมดุลมากยิ่งขึ้น
ความร่วมมือด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เห็นพ้องกันว่า การศึกษานับเป็นสิ่งสําคัญในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างเยาวชนของทั้งสองประเทศ ไทยและนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการศึกษาระหว่างกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมคุณภาพการศึกษาของนิวซีแลนด์ที่มีคุณภาพ สามารถดึงดูดนักเรียนและนักศึกษาจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีนักเรียนและนักศึกษาไทยกว่า 3,600 คน ศึกษาในนิวซีแลนด์ จึงขอให้รัฐบาลนิวซีแลนด์ช่วยดูแลนักศึกษาไทยด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เยาวชนไทยสนใจศึกษาในนิวซีแลนด์และย้ําว่าจะดูแลคนไทยในนิวซีแลนด์เป็นอย่างดี
ความร่วมมือในกรอบอาเซียน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนปี 2562 และสานต่อความร่วมมือต่างๆ กับอาเซียน โดยให้ความสนใจประเด็นระดับโลกต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายข้ามพรมแดนต่าง ๆ เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่ยังมีศักยภาพอีกมาก
วันนี้ (14 พ.ย. 2561) เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนางจาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์
ภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ต่างยินดีที่ได้พบปะหารือกันในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการหารือทวิภาคีระหว่างสองผู้นํา ไทยและนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมา 62 ปี และเป็นหุ้นส่วนร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนกว่า 40 ปี จึงมีความร่วมมือที่ครอบคลุมที่หลากหลาย ทั้งสองฝ่ายประสงค์ให้มีการปฏิสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง และพร้อมทํางานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําคําเชิญนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เยือนไทยอย่างเป็นทางการในปีหน้า
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่การค้าระหว่างไทยและนิวซีแลนด์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่าสามเท่า หลังจากที่ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2548 โดยเมื่อปีที่ผ่านมา มูลค่าทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไทยและนิวซีแลนด์ยังมีศักยภาพทางด้านการค้าและการลงทุนอีกหลากหลายด้าน ซึ่งผู้นําทั้งสองฝ่ายพร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และส่งเสริมการค้าทวิภาคีให้มีมูลค่าและสมดุลมากยิ่งขึ้น
ความร่วมมือด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เห็นพ้องกันว่า การศึกษานับเป็นสิ่งสําคัญในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างเยาวชนของทั้งสองประเทศ ไทยและนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการศึกษาระหว่างกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมคุณภาพการศึกษาของนิวซีแลนด์ที่มีคุณภาพ สามารถดึงดูดนักเรียนและนักศึกษาจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีนักเรียนและนักศึกษาไทยกว่า 3,600 คน ศึกษาในนิวซีแลนด์ จึงขอให้รัฐบาลนิวซีแลนด์ช่วยดูแลนักศึกษาไทยด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เยาวชนไทยสนใจศึกษาในนิวซีแลนด์และย้ําว่าจะดูแลคนไทยในนิวซีแลนด์เป็นอย่างดี
ความร่วมมือในกรอบอาเซียน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนปี 2562 และสานต่อความร่วมมือต่างๆ กับอาเซียน โดยให้ความสนใจประเด็นระดับโลกต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายข้ามพรมแดนต่าง ๆ เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.สต.บ้านยายดาพัฒนาระบบความปลอดภัย นวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิตผู้ป่วย
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
รพ.สต.บ้านยายดาพัฒนาระบบความปลอดภัย นวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิตผู้ป่วย
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านยายดา แบบอย่างวางระบบความปลอดภัยการบริการ พัฒนานวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต ใช้รับแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือโทรออกเพียงปุ่มเดียว พร้อมขยายผลไปยังรพ.สต.อื่น
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านยายดา แบบอย่างวางระบบความปลอดภัยการบริการ พัฒนานวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต ใช้รับแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือโทรออกเพียงปุ่มเดียว พร้อมขยายผลไปยังรพ.สต.อื่น
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2561)ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.)บ้านยายดา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการบริการการแพทย์ของ รพ.สต.บ้านยายดา ว่า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล หรือ รพ สต เป็นสถานบริการระดับพื้นฐานหรือปฐมภูมิ ที่ใกล้ชิดกับประชาชน เปิดให้บริการประชาชนทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ บางแห่งมีสถานที่ตั้งห่างจากชุมชน กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จึงมีมาตรการให้ผู้บริหารแต่ละพื้นที่จัดการดูแลด้านความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ รพ.สต.เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ประชาชนผู้มารับบริการ รวมทั้งทรัพย์สินของทางราชการ โดยให้ผู้บริหารในพื้นที่ ประกอบด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาล สาธารณสุขอําเภอ ทบทวนมาตรการที่มีอยู่ ปรับให้สอดคล้องตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจเจ้าหน้าที่
สําหรับ รพ.สต.บ้านยายดา นับเป็นตัวอย่างในการวางระบบดูแลความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่และผู้รับบริการ โดยร่วมมือกับหน่วยงานและคนในชุมชน ให้บริการทั้งในเวลาราชการ และนอกเวลาราชการ รับผิดชอบดูแลประชาชนในเขตเทศบาลเมืองระยอง จํานวน 7 หมู่บ้าน ประชากรทั้งสิ้น 6,912 คน โดยกําหนดพื้นที่รักษาความปลอดภัย ป้องกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่ จัดหาเครื่องกีดขวาง จัดให้มีแสงสว่างอย่างพอเพียง มีระบบสัญญาณเตือนภัย 5 จุด เชื่อมต่อระหว่าง รพ.สต.กับ บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และป้อมยามตะพงที่อยู่ใกล้ รพ.สต. มีกล้องวงจรปิด รวมถึงมีจิตอาสา อพปร. อยู่เป็นเพื่อนเจ้าหน้าที่ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ มีการตั้งตู้เช็คเหตุการณ์จากสถานีตํารวจในพื้นที่
รพ.สต.บ้านยายดา ยังมีนวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต เครือข่ายสุขภาพองค์การบริหารส่วนตําบลตะพง เป็นการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน นําโดยระบบ TOT Health Call center มาใช้ในการแจ้งเหตุ ซึ่งระบบนี้สามารถแสดงข้อมูลผู้ที่เรียกเข้า เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลสุขภาพ แผนที่บ้าน เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสําหรับเข้าไปดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม ซึ่งบริการนี้ผู้สูงอายุสามารถโทรขอความช่วยเหลือด้วยการกดปุ่มโทรเพียงปุ่มเดียว ซึ่งหน่วยกู้ชีพฉุกฉินจะเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 8 นาที ทั้งนี้นวัตกรรมดังกล่าวจะเร่งขยายผลไปยัง รพ.สต.ต่างๆในพื้นที่จังหวัดระยองต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.สต.บ้านยายดาพัฒนาระบบความปลอดภัย นวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิตผู้ป่วย
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
รพ.สต.บ้านยายดาพัฒนาระบบความปลอดภัย นวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิตผู้ป่วย
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านยายดา แบบอย่างวางระบบความปลอดภัยการบริการ พัฒนานวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต ใช้รับแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือโทรออกเพียงปุ่มเดียว พร้อมขยายผลไปยังรพ.สต.อื่น
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านยายดา แบบอย่างวางระบบความปลอดภัยการบริการ พัฒนานวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต ใช้รับแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือโทรออกเพียงปุ่มเดียว พร้อมขยายผลไปยังรพ.สต.อื่น
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2561)ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.)บ้านยายดา อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการบริการการแพทย์ของ รพ.สต.บ้านยายดา ว่า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล หรือ รพ สต เป็นสถานบริการระดับพื้นฐานหรือปฐมภูมิ ที่ใกล้ชิดกับประชาชน เปิดให้บริการประชาชนทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ บางแห่งมีสถานที่ตั้งห่างจากชุมชน กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จึงมีมาตรการให้ผู้บริหารแต่ละพื้นที่จัดการดูแลด้านความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ รพ.สต.เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ประชาชนผู้มารับบริการ รวมทั้งทรัพย์สินของทางราชการ โดยให้ผู้บริหารในพื้นที่ ประกอบด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาล สาธารณสุขอําเภอ ทบทวนมาตรการที่มีอยู่ ปรับให้สอดคล้องตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจเจ้าหน้าที่
สําหรับ รพ.สต.บ้านยายดา นับเป็นตัวอย่างในการวางระบบดูแลความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่และผู้รับบริการ โดยร่วมมือกับหน่วยงานและคนในชุมชน ให้บริการทั้งในเวลาราชการ และนอกเวลาราชการ รับผิดชอบดูแลประชาชนในเขตเทศบาลเมืองระยอง จํานวน 7 หมู่บ้าน ประชากรทั้งสิ้น 6,912 คน โดยกําหนดพื้นที่รักษาความปลอดภัย ป้องกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่ จัดหาเครื่องกีดขวาง จัดให้มีแสงสว่างอย่างพอเพียง มีระบบสัญญาณเตือนภัย 5 จุด เชื่อมต่อระหว่าง รพ.สต.กับ บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และป้อมยามตะพงที่อยู่ใกล้ รพ.สต. มีกล้องวงจรปิด รวมถึงมีจิตอาสา อพปร. อยู่เป็นเพื่อนเจ้าหน้าที่ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ มีการตั้งตู้เช็คเหตุการณ์จากสถานีตํารวจในพื้นที่
รพ.สต.บ้านยายดา ยังมีนวัตกรรมสายด่วนช่วยชีวิต เครือข่ายสุขภาพองค์การบริหารส่วนตําบลตะพง เป็นการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน นําโดยระบบ TOT Health Call center มาใช้ในการแจ้งเหตุ ซึ่งระบบนี้สามารถแสดงข้อมูลผู้ที่เรียกเข้า เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลสุขภาพ แผนที่บ้าน เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสําหรับเข้าไปดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม ซึ่งบริการนี้ผู้สูงอายุสามารถโทรขอความช่วยเหลือด้วยการกดปุ่มโทรเพียงปุ่มเดียว ซึ่งหน่วยกู้ชีพฉุกฉินจะเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 8 นาที ทั้งนี้นวัตกรรมดังกล่าวจะเร่งขยายผลไปยัง รพ.สต.ต่างๆในพื้นที่จังหวัดระยองต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9860
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสำเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสําเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสําเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม ได้รับรองมาตรฐาน 996 ราย ครอบคลุมพื้นที่ปลูก 11,600 ไร่ พร้อมเดินหน้าสร้างแบรนด์ เน้นการรวมกลุ่ม รุกการตลาดนําการผลิต
นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3 จังหวัดอุดรธานี (สศท.3) ได้ติดตามสถานการณ์การผลิตข้าวอินทรีย์ของจังหวัดนครพนม ปี 2560 พบว่า จังหวัดนครพนมมีเกษตรกรปลูกข้าวที่ได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 996 ราย พื้นที่ปลูก 11,660 ไร่ ประมาณการผลผลิต 5,052 ตัน โดยเกษตรกรได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเทศไทย (มกษ.) มีจํานวน 133 ราย พื้นที่ปลูก 796.50 ไร่ และได้รับมาตรฐานอินทรีย์ต่างประเทศ ได้แก่ EU USDA JAS และ COR จํานวน 863 ราย พื้นที่ปลูก 10,864 ไร่ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวมะลิแดง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรสร้างแบรนด์สินค้าข้าวอินทรีย์ รวมทั้งดึงกลวิธีการตลาดนําการผลิตมาปรับใช้ และย้ําความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสําคัญ สู่การเป็นฐานการผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานของประเทศ
ด้าน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีผลิตภัณฑ์ข้าวสารอินทรีย์จากวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ มากมาย อาทิ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (แบรนด์ ข้าวสุข) วิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเองบ้านหนองสะโน (แบรนด์ พญาหงส์) วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร (แบรนด์ เพชรไพศาล) และวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวบ้านฝั่งแดง (แบรนด์ ข้าวคุณแม่) นอกจากข้าวสารอินทรีย์บรรจุถุงยี่ห้อต่าง ๆ แล้ว จังหวัดนครพนมยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวอินทรีย์ด้วย เช่น จมูกข้าวผง ซีเรียวข้าว ข้าวเกรียบ น้ําข้าวไรซ์เบอร์รี่ แชมพูข้าว สบู่น้ํานมข้าว เครื่องสําอางเซรั่มข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยมีช่องการตลาดและการจัดจําหน่ายสินค้าตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น งานแสดงสินค้า ร้านค้าเพื่อสุขภาพ ร้านค้าประจํากลุ่ม ตลาดสีเขียวภายในจังหวัด ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตัวแทนจําหน่าย และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ
ทั้งนี้ จังหวัดนครพนมได้เปิดเผยถึงความสําเร็จในการดําเนินงานที่ผ่านมาโดยยึดหลัก “ตลาดนําการผลิต” ผ่านความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 7 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ศาสนา สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม และประชาชน โดยเริ่มจากการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์รวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งและยกระดับจากเกษตรอินทรีย์วิถีชาวบ้านสู่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองมาตรฐาน มีการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเอง มีการเชื่อมโยงตลาดและสร้างเครือข่ายธุรกิจ และเน้นทําการประชาสัมพันธ์เชิงรุกอยางตอเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สําหรับแผนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในระยะถัดไปของจังหวัดได้มีการกําหนดไว้ในแผนการพัฒนาจังหวัดปี 2561-2564 โดยเน้นยกระดับการผลิตข้าวอินทรีย์ให้ได้การรับรองมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรจังหวัดนครพนมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวหอมมะลิให้ได้มาตรฐานอินทรีย์ และโครงการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดข้าวหอมมะลิแบบครบวงจร พร้อมทั้งเพิ่มการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ผู้บริโภคตระหนัก รู้จัก และยอมรับผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิจังหวัดนครพนมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ปี 2560 จังหวัดนครพนมยังได้รับงบประมาณก่อสร้างโรงสีข้าวอินทรีย์ขนาด 80 ตัน พร้อมอุปกรณ์การตลาด สําหรับการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ตามแผนการพัฒนาจังหวัดปี 2561-2564 เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง สศก. โดย สศท. 3 จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ตามยุทธศาสตร์ที่ 4 ของยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2564 ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสำเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสําเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มความสําเร็จแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ จ.นครพนม ได้รับรองมาตรฐาน 996 ราย ครอบคลุมพื้นที่ปลูก 11,600 ไร่ พร้อมเดินหน้าสร้างแบรนด์ เน้นการรวมกลุ่ม รุกการตลาดนําการผลิต
นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 3 จังหวัดอุดรธานี (สศท.3) ได้ติดตามสถานการณ์การผลิตข้าวอินทรีย์ของจังหวัดนครพนม ปี 2560 พบว่า จังหวัดนครพนมมีเกษตรกรปลูกข้าวที่ได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 996 ราย พื้นที่ปลูก 11,660 ไร่ ประมาณการผลผลิต 5,052 ตัน โดยเกษตรกรได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเทศไทย (มกษ.) มีจํานวน 133 ราย พื้นที่ปลูก 796.50 ไร่ และได้รับมาตรฐานอินทรีย์ต่างประเทศ ได้แก่ EU USDA JAS และ COR จํานวน 863 ราย พื้นที่ปลูก 10,864 ไร่ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวมะลิแดง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรสร้างแบรนด์สินค้าข้าวอินทรีย์ รวมทั้งดึงกลวิธีการตลาดนําการผลิตมาปรับใช้ และย้ําความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสําคัญ สู่การเป็นฐานการผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานของประเทศ
ด้าน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีผลิตภัณฑ์ข้าวสารอินทรีย์จากวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ มากมาย อาทิ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (แบรนด์ ข้าวสุข) วิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเองบ้านหนองสะโน (แบรนด์ พญาหงส์) วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร (แบรนด์ เพชรไพศาล) และวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวบ้านฝั่งแดง (แบรนด์ ข้าวคุณแม่) นอกจากข้าวสารอินทรีย์บรรจุถุงยี่ห้อต่าง ๆ แล้ว จังหวัดนครพนมยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวอินทรีย์ด้วย เช่น จมูกข้าวผง ซีเรียวข้าว ข้าวเกรียบ น้ําข้าวไรซ์เบอร์รี่ แชมพูข้าว สบู่น้ํานมข้าว เครื่องสําอางเซรั่มข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยมีช่องการตลาดและการจัดจําหน่ายสินค้าตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น งานแสดงสินค้า ร้านค้าเพื่อสุขภาพ ร้านค้าประจํากลุ่ม ตลาดสีเขียวภายในจังหวัด ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตัวแทนจําหน่าย และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ
ทั้งนี้ จังหวัดนครพนมได้เปิดเผยถึงความสําเร็จในการดําเนินงานที่ผ่านมาโดยยึดหลัก “ตลาดนําการผลิต” ผ่านความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 7 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ศาสนา สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม และประชาชน โดยเริ่มจากการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์รวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งและยกระดับจากเกษตรอินทรีย์วิถีชาวบ้านสู่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองมาตรฐาน มีการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเอง มีการเชื่อมโยงตลาดและสร้างเครือข่ายธุรกิจ และเน้นทําการประชาสัมพันธ์เชิงรุกอยางตอเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สําหรับแผนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในระยะถัดไปของจังหวัดได้มีการกําหนดไว้ในแผนการพัฒนาจังหวัดปี 2561-2564 โดยเน้นยกระดับการผลิตข้าวอินทรีย์ให้ได้การรับรองมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรจังหวัดนครพนมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวหอมมะลิให้ได้มาตรฐานอินทรีย์ และโครงการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดข้าวหอมมะลิแบบครบวงจร พร้อมทั้งเพิ่มการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ผู้บริโภคตระหนัก รู้จัก และยอมรับผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิจังหวัดนครพนมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ปี 2560 จังหวัดนครพนมยังได้รับงบประมาณก่อสร้างโรงสีข้าวอินทรีย์ขนาด 80 ตัน พร้อมอุปกรณ์การตลาด สําหรับการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ตามแผนการพัฒนาจังหวัดปี 2561-2564 เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง สศก. โดย สศท. 3 จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ตามยุทธศาสตร์ที่ 4 ของยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2564 ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8679
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก”
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก”
กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก” เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2563 ระหว่างวันที่ 12 - 14 สิงหาคม 2563 ณ
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2563 รัฐบาลได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร โดยกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสําคัญในปีนี้
โดยกําหนดรูปแบบการจัดกิจกรรมออกเป็น 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง 2. การจัดนิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโครงการในพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ 3. การจัดอาหารและเครื่องดื่มให้บริหารประชาชน โดยใบปีนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมจัดนิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโครงการตามพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งประชาชนสามารถนําองค์ความรู้ไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพได้ ประกอบด้วย นิทรรศการเกี่ยวกับข้าวไทย กล่าวถึงประวัติความสําคัญของข้าวไทย การจัดแสดงข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย โครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดําริ เป็นต้น และนิทรรศการเกี่ยวกับผ้าไหมไทย โครงการสร้างทายาทหม่อนไหม โครงการ “ตรานกยูงพระราชทาน” (เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย) การให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไหม และการสาธิตทอผ้าไหมไทย เป็นต้น
สําหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับโครงการตามพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ การสาธิต-การฝึกอาชีพให้กับประชาชนที่เข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับปัญหาในการดํารงชีพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสตรี ตลอดจนการบริการจัดหางาน รวมทั้งมีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการฟรีตลอดงาน โดยจัดบริการอาหารและเครื่องดื่มแบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่เวลา 10.00 -12.00 น. และ 15.00 - 18.00 น. ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งปันความสุขให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และสร้างความเข้มแข็งที่จะดํารงชีวิตในแบบชีวิตวิถีใหม่ด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก”
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก”
กระทรวงเกษตรฯ รวมใจจัดกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก” เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2563 ระหว่างวันที่ 12 - 14 สิงหาคม 2563 ณ
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2563 รัฐบาลได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร โดยกิจกรรมจิตอาสา “วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2563 รักเอยรักลูก” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสําคัญในปีนี้
โดยกําหนดรูปแบบการจัดกิจกรรมออกเป็น 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง 2. การจัดนิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโครงการในพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ 3. การจัดอาหารและเครื่องดื่มให้บริหารประชาชน โดยใบปีนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมจัดนิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโครงการตามพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งประชาชนสามารถนําองค์ความรู้ไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพได้ ประกอบด้วย นิทรรศการเกี่ยวกับข้าวไทย กล่าวถึงประวัติความสําคัญของข้าวไทย การจัดแสดงข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย โครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดําริ เป็นต้น และนิทรรศการเกี่ยวกับผ้าไหมไทย โครงการสร้างทายาทหม่อนไหม โครงการ “ตรานกยูงพระราชทาน” (เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย) การให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไหม และการสาธิตทอผ้าไหมไทย เป็นต้น
สําหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับโครงการตามพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ การสาธิต-การฝึกอาชีพให้กับประชาชนที่เข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับปัญหาในการดํารงชีพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสตรี ตลอดจนการบริการจัดหางาน รวมทั้งมีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการฟรีตลอดงาน โดยจัดบริการอาหารและเครื่องดื่มแบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่เวลา 10.00 -12.00 น. และ 15.00 - 18.00 น. ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งปันความสุขให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และสร้างความเข้มแข็งที่จะดํารงชีวิตในแบบชีวิตวิถีใหม่ด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34074
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดจองบ้านถูกทั่วไทย ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
ยอดจองบ้านถูกทั่วไทย ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพอใจผลการขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ช่วยลดรายจ่ายภาคครัวเรือนจากการเช่าบ้านราคาสูง ผ่านโครงการ บ้านถูกทั่วไทย ที่มีราคาเช่าเริ่มต้น 999 บาท/เดือน สัญญาเช่า 1 ปี จํานวน 10,000 หน่วยทั่วประเทศ เปิดให้จองสิทธิตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. - 30 มิ.ย. 63 ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก มียอดจองกว่า 17,000 หน่วย และจะให้สิทธิผู้ลงทะเบียนทําสัญญาตามลําดับก่อน – หลัง สําหรับโครงการที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ โครงการบ้านพระราม 4 โครงการเคหะชุมชนออเงิน และโครงการบ้านเอื้ออาทรภูเก็ต ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การเคหะแห่งชาติ โทร. 1615
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดจองบ้านถูกทั่วไทย ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
ยอดจองบ้านถูกทั่วไทย ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพอใจผลการขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ช่วยลดรายจ่ายภาคครัวเรือนจากการเช่าบ้านราคาสูง ผ่านโครงการ บ้านถูกทั่วไทย ที่มีราคาเช่าเริ่มต้น 999 บาท/เดือน สัญญาเช่า 1 ปี จํานวน 10,000 หน่วยทั่วประเทศ เปิดให้จองสิทธิตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. - 30 มิ.ย. 63 ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก มียอดจองกว่า 17,000 หน่วย และจะให้สิทธิผู้ลงทะเบียนทําสัญญาตามลําดับก่อน – หลัง สําหรับโครงการที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ โครงการบ้านพระราม 4 โครงการเคหะชุมชนออเงิน และโครงการบ้านเอื้ออาทรภูเก็ต ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การเคหะแห่งชาติ โทร. 1615
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26911
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีย้ำเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบ
|
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีย้ําเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบ
พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีย้ําเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลจัดให้
วันนี้ ( 7 มี.ค. 60) เวลา 14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเปิดงานการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องในการร่วมกัน “ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์” เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยได้กําชับรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวดกวดขันดูแลในเรื่องของเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบ ไม่ให้ลูกหนี้ก่อหนี้เพิ่มอีก ซึ่งรัฐบาลได้มีการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้มีการจัดตั้งหน่วยธุรกิจให้คําปรึกษาเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและจัดให้มีสินเชื่อแบบใหม่เพื่อทดแทนหนี้นอกระบบในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม รวมทั้งจะมีการออกพระราชบัญญัติ ต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างครบวงจร
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ฝ่ายความมั่นคงดําเนินการจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมายและปล่อยกู้เกินอัตราอย่างจริงจัง รวมทั้งเน้นย้ําเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในวงจรของขบวนการข่มขู่การทวงหนี้
พร้อมฝากให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประชาสัมพันธ์โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะมีการลงทะเบียนครั้งใหม่ประมาณเดือนเมษายน 2560 เพื่อเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนให้ทั่วถึงให้สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลจัดให้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญเกี่ยวกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติฉบับที่ 5 ซึ่งรัฐบาลจะให้การบริการและดูแลคนพิการเป็นไปอย่างทั่วถึง โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ภายใต้การกํากับดูแลกระทรวงมหาดไทย ดําเนินการจัดสร้างลิฟท์เพื่ออํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการในการใช้สถานที่บริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เช่น ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เป็นต้น
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีย้ำเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบ
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีย้ําเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบ
พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีย้ําเจ้าหน้าที่รัฐอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องวงจรทวงหนี้นอกระบบ พร้อมเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนฯ ครั้งใหม่เมษายนนี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลจัดให้
วันนี้ ( 7 มี.ค. 60) เวลา 14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเปิดงานการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องในการร่วมกัน “ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์” เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยได้กําชับรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวดกวดขันดูแลในเรื่องของเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบ ไม่ให้ลูกหนี้ก่อหนี้เพิ่มอีก ซึ่งรัฐบาลได้มีการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้มีการจัดตั้งหน่วยธุรกิจให้คําปรึกษาเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและจัดให้มีสินเชื่อแบบใหม่เพื่อทดแทนหนี้นอกระบบในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม รวมทั้งจะมีการออกพระราชบัญญัติ ต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างครบวงจร
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ฝ่ายความมั่นคงดําเนินการจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมายและปล่อยกู้เกินอัตราอย่างจริงจัง รวมทั้งเน้นย้ําเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในวงจรของขบวนการข่มขู่การทวงหนี้
พร้อมฝากให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประชาสัมพันธ์โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะมีการลงทะเบียนครั้งใหม่ประมาณเดือนเมษายน 2560 เพื่อเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนให้ทั่วถึงให้สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลจัดให้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญเกี่ยวกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติฉบับที่ 5 ซึ่งรัฐบาลจะให้การบริการและดูแลคนพิการเป็นไปอย่างทั่วถึง โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ภายใต้การกํากับดูแลกระทรวงมหาดไทย ดําเนินการจัดสร้างลิฟท์เพื่ออํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการในการใช้สถานที่บริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เช่น ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เป็นต้น
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2242
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดำเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
วันนี้ (22 พ.ย. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ไทยนิยม ยั่งยืน สร้างรอยยิ้ม เพิ่มความสุข ให้คนไทยทุกคน”
โดยมี นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายยุทธนา หยิมการุณ รองปลัดกระทรวงการคลัง ร้อยตํารวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง และนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนฯ ด้วย พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ภาคประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมรับฟังกว่า 500 คน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ จากระดับชาติสู่ระดับพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ทําให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ําให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ประกอบไปด้วยโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานโครงการไทยนิยม ยั่งยืนซึ่งเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกกระทรวงและหน่วยงานในพื้นที่ทุกระดับขับเคลื่อนตามแผนงานยุทธศาสตร์3 แผนงาน ซึ่งโครงการไทยนิยม ยั่งยืนยังคงมีการดําเนินการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และมีผลสําเร็จตามลําดับ ดังนี้
1. แผนงานเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 21,078 ล้านบาท ภายใต้โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก กลุ่มเป้าหมายผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กว่า 11 ล้านคน โดยได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือและพัฒนาใน 4 ด้าน คือ ด้านการมีงานทํา, ด้านการฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา, ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และด้านการเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน ซึ่งมีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแจ้งความประสงค์เข้ารับการพัฒนากว่า 4 ล้านคน ในจํานวนนี้เป็นเกษตรกรมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 72.95 ซึ่งในขณะนี้ มีผู้ผ่านการฝึกอบรมการพัฒนาอาชีพแล้ว จํานวนกว่า 1.8 ล้านคน โดยจะดําเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2561 2. แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 24,301 ล้านบาท มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก จัดทําเมนูทางเลือกให้เกษตรกรเป็นรายกลุ่มและรายบุคคล จํานวน 20 โครงการ ใน 4 ด้านคือ 1) ด้านการบริหารจัดการน้ํา ได้แก่ การสร้างฝายชะลอน้ําและจัดหาแหล่งน้ําชุมชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ําชลประทาน 2) ด้านการแก้ไขปัญหาที่ดิน ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินของเกษตรกร การปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวเพื่อผลิตสินค้าเกษตรอื่นที่เหมาะสม 3) ด้านการปศุสัตว์ ได้แก่ การสร้างทักษะและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร การพัฒนากลุ่มเกษตรกร การจัดตั้งศูนย์ขยายพันธุ์และส่งเสริมการผลิตปศุสัตว์ และ 4) ด้านผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ การพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรรุ่นใหม่ การส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ และการพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อย
3. แผนงานส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 50,379 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 3 โครงการคือ 1) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน หมู่บ้าน/ชุมชนละ2 แสนบาท โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการทั้งสิ้น 81,555 แห่ง 92,273 โครงการ ครอบคลุม 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เบิกจ่ายไปแล้วกว่าร้อยละ 98.66 ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มรายได้ทั้งทางตรง ทางอ้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 2) โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ดําเนินการพัฒนาด้านการจัดการท่องเที่ยวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOPในหมู่บ้านเป้าหมาย 3,273 แห่ง แห่งละ 10 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 32,730 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังดําเนินการตามกระบวนการงาน 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก, พัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว, การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยวทําให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 980,778 คน รายได้เพิ่มขึ้น 896.9953 ล้านบาท และ 3) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ โดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพและยกระดับรายได้ให้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการแล้ว 47,194 กองทุน 42,221 โครงการ
โครงการไทยนิยม ยั่งยืนได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องและเกิดผลสําเร็จในพื้นที่ สามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ําได้อย่างยั่งยืน
“ไทยนิยม ยั่งยืน”สร้างรอยยิ้ม เพิ่มความสุขให้คนไทยทุกคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดำเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
มท. ร่วมกับหน่วยงานภาคี แถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”
วันนี้ (22 พ.ย. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ไทยนิยม ยั่งยืน สร้างรอยยิ้ม เพิ่มความสุข ให้คนไทยทุกคน”
โดยมี นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายยุทธนา หยิมการุณ รองปลัดกระทรวงการคลัง ร้อยตํารวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง และนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนฯ ด้วย พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ภาคประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมรับฟังกว่า 500 คน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ จากระดับชาติสู่ระดับพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ทําให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ําให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ประกอบไปด้วยโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานโครงการไทยนิยม ยั่งยืนซึ่งเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกกระทรวงและหน่วยงานในพื้นที่ทุกระดับขับเคลื่อนตามแผนงานยุทธศาสตร์3 แผนงาน ซึ่งโครงการไทยนิยม ยั่งยืนยังคงมีการดําเนินการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และมีผลสําเร็จตามลําดับ ดังนี้
1. แผนงานเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 21,078 ล้านบาท ภายใต้โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก กลุ่มเป้าหมายผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กว่า 11 ล้านคน โดยได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือและพัฒนาใน 4 ด้าน คือ ด้านการมีงานทํา, ด้านการฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา, ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และด้านการเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน ซึ่งมีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแจ้งความประสงค์เข้ารับการพัฒนากว่า 4 ล้านคน ในจํานวนนี้เป็นเกษตรกรมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 72.95 ซึ่งในขณะนี้ มีผู้ผ่านการฝึกอบรมการพัฒนาอาชีพแล้ว จํานวนกว่า 1.8 ล้านคน โดยจะดําเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2561 2. แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 24,301 ล้านบาท มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก จัดทําเมนูทางเลือกให้เกษตรกรเป็นรายกลุ่มและรายบุคคล จํานวน 20 โครงการ ใน 4 ด้านคือ 1) ด้านการบริหารจัดการน้ํา ได้แก่ การสร้างฝายชะลอน้ําและจัดหาแหล่งน้ําชุมชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ําชลประทาน 2) ด้านการแก้ไขปัญหาที่ดิน ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินของเกษตรกร การปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวเพื่อผลิตสินค้าเกษตรอื่นที่เหมาะสม 3) ด้านการปศุสัตว์ ได้แก่ การสร้างทักษะและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร การพัฒนากลุ่มเกษตรกร การจัดตั้งศูนย์ขยายพันธุ์และส่งเสริมการผลิตปศุสัตว์ และ 4) ด้านผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ การพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรรุ่นใหม่ การส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ และการพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อย
3. แผนงานส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 50,379 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 3 โครงการคือ 1) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน หมู่บ้าน/ชุมชนละ2 แสนบาท โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการทั้งสิ้น 81,555 แห่ง 92,273 โครงการ ครอบคลุม 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เบิกจ่ายไปแล้วกว่าร้อยละ 98.66 ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มรายได้ทั้งทางตรง ทางอ้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 2) โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ดําเนินการพัฒนาด้านการจัดการท่องเที่ยวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOPในหมู่บ้านเป้าหมาย 3,273 แห่ง แห่งละ 10 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 32,730 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังดําเนินการตามกระบวนการงาน 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก, พัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว, การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยวทําให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 980,778 คน รายได้เพิ่มขึ้น 896.9953 ล้านบาท และ 3) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ โดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพและยกระดับรายได้ให้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการแล้ว 47,194 กองทุน 42,221 โครงการ
โครงการไทยนิยม ยั่งยืนได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องและเกิดผลสําเร็จในพื้นที่ สามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มรายได้ ลดความเหลื่อมล้ําได้อย่างยั่งยืน
“ไทยนิยม ยั่งยืน”สร้างรอยยิ้ม เพิ่มความสุขให้คนไทยทุกคน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17010
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
|
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (แถวหน้าที่ 1 จากซ้าย) พาคณะสื่อมวลชนจากประเทศไทย เข้าศึกษาดูงานและเยี่ยมชม ศูนย์สาธิตระบบเกษตรอัจฉริยะ YANMAR AGRISOLUTION CENTER ของบริษัท ยันม่าร์ ณ เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
เยี่ยมชมกิจการยันม่าร์ประเทศญี่ปุ่น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (แถวหน้าที่ 1 จากซ้าย) พาคณะสื่อมวลชนจากประเทศไทย เข้าศึกษาดูงานและเยี่ยมชม ศูนย์สาธิตระบบเกษตรอัจฉริยะ YANMAR AGRISOLUTION CENTER ของบริษัท ยันม่าร์ ณ เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24622
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
|
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561
ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ปลัดกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (The ASEAN Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (The ASEAN Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีผลการประชุมในประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนได้รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการภายใต้แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint 2025) และ สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกเร่งดําเนินการมาตรการต่าง ๆ ที่เหลือให้ทันตามกําหนด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบ ความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การรวมตัวทางการเงิน (Roadmap for Integration: Financial and Monetary Integration: RIA-Fin) โดยชื่นชมกับการจัดทํารายงานสถานะความคืบหน้าในด้านการเปิดเสรีบัญชีทุน เคลื่อนย้าย (Capital Account Liberalisation: CAL) การพัฒนาตลาดทุน (Capital Market Development: CMD) และการเจรจาเปิดเสรีทางการเงิน (Financial Service Liberalisation: FSL) ที่สามารถตรวจสอบสถานะของแต่ละประเทศในการดําเนินการดังกล่าว สําหรับความคืบหน้าของการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการติดตามการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion Monitoring Framework) และการจัดลําดับความสําคัญของการดําเนินงานสําหรับปี 2561 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 โดยเน้นย้ําความสําคัญของเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลก
ในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุมครั้งต่อไป ประเทศไทยได้แจ้งให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบว่าการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะจัดขึ้นในปี 2562 ในระหว่างวันที่ 1 – 5 เมษายน 2562 ณ จังหวัดเชียงราย
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3621
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561
ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ปลัดกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (The ASEAN Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (The ASEAN Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีผลการประชุมในประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนได้รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการภายใต้แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint 2025) และ สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกเร่งดําเนินการมาตรการต่าง ๆ ที่เหลือให้ทันตามกําหนด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบ ความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การรวมตัวทางการเงิน (Roadmap for Integration: Financial and Monetary Integration: RIA-Fin) โดยชื่นชมกับการจัดทํารายงานสถานะความคืบหน้าในด้านการเปิดเสรีบัญชีทุน เคลื่อนย้าย (Capital Account Liberalisation: CAL) การพัฒนาตลาดทุน (Capital Market Development: CMD) และการเจรจาเปิดเสรีทางการเงิน (Financial Service Liberalisation: FSL) ที่สามารถตรวจสอบสถานะของแต่ละประเทศในการดําเนินการดังกล่าว สําหรับความคืบหน้าของการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการติดตามการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion Monitoring Framework) และการจัดลําดับความสําคัญของการดําเนินงานสําหรับปี 2561 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 โดยเน้นย้ําความสําคัญของเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลก
ในฐานะประธานและเจ้าภาพการประชุมครั้งต่อไป ประเทศไทยได้แจ้งให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบว่าการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะจัดขึ้นในปี 2562 ในระหว่างวันที่ 1 – 5 เมษายน 2562 ณ จังหวัดเชียงราย
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ส านักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3621
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11407
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
วันนี้ (2 สิงหาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน SME Matching Day 2018 โดยมี นายโชคดี วิศาลสิงห์ ผู้บริหาร บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กลุ่มพันธมิตรผู้จัดงานและผู้ประกอบการ ให้การต้อนรับ ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี 2 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
สําหรับงาน "SME Matching Day 2018" เป็นความร่วมมือของบริษัท บางกอกโพสต์ จํากัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายหนังสือพิมพ์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จัดมหกรรมพิเศษ เพื่อผู้ประกอบการ SME ไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ขยายช่องทางการจัดจําหน่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกับพัฒนาศักยภาพธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่ 1.กิจกรรม Business Matching จับคู่ธุรกิจ SME กับช่องทางการจัดจําหน่าย ทั้งในกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง กลุ่มชาองทางออนไลน์ และกลุ่มตลาดต่างประเทศ 2.กิจกรรมสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้เข้าร่วมงานในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมให้ SME ในการบุกตลาดต่างประเทศ และ 3. SME Digital Transformation เป็นการนําเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขและพัฒนาในการทําและขยายเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
รัฐมนตรีฯ อุตตม เปิดงาน SME Matching Day 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย-อินเตอร์
วันนี้ (2 สิงหาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน SME Matching Day 2018 โดยมี นายโชคดี วิศาลสิงห์ ผู้บริหาร บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กลุ่มพันธมิตรผู้จัดงานและผู้ประกอบการ ให้การต้อนรับ ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี 2 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
สําหรับงาน "SME Matching Day 2018" เป็นความร่วมมือของบริษัท บางกอกโพสต์ จํากัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายหนังสือพิมพ์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จัดมหกรรมพิเศษ เพื่อผู้ประกอบการ SME ไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการจับคู่ธุรกิจ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ขยายช่องทางการจัดจําหน่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกับพัฒนาศักยภาพธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่ 1.กิจกรรม Business Matching จับคู่ธุรกิจ SME กับช่องทางการจัดจําหน่าย ทั้งในกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง กลุ่มชาองทางออนไลน์ และกลุ่มตลาดต่างประเทศ 2.กิจกรรมสัมมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้เข้าร่วมงานในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมให้ SME ในการบุกตลาดต่างประเทศ และ 3. SME Digital Transformation เป็นการนําเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขและพัฒนาในการทําและขยายเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ วางแผนการเงินโค้งสุดท้ายปี 2562 พร้อมรับของที่ระลึกเพียบ! ในงาน Thailand Smart Money”
|
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
“กอช. เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ วางแผนการเงินโค้งสุดท้ายปี 2562 พร้อมรับของที่ระลึกเพียบ! ในงาน Thailand Smart Money”
กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ วันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ สกายฮอลล์ ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ วันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ สกายฮอลล์ ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
สิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ที่จะได้รับ 4 ต่อ ดังนี้
ต่อที่ 1 ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก
ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%*
ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%*
ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%*
(*เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน โดยประมาณ)
ต่อที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินออมสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน
ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม สูงสุด 13,200 บาท
ต่อที่ 4 รับของที่ระลึก สําหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน
ทั้งนี้ สมาชิกสามารถตรวจสอบยอดเงินออมสะสมของตนเอง ได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทั้งแอปสโตร์ (App Store) และเพลย์ สโตร์ (Play Store) หรือ ทางธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ที่ว่าการอําเภอ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และพิเศษสําหรับสมาชิก กอช. ที่ส่งเงินออมสะสมที่ เทสโก้ โลตัส พร้อมแสดงบัตรคลับการ์ด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2563 จะได้รับแต้มคลับการ์ด 300 แต้ม และส่วนลดเงินสดท้ายใบเสร็จ 10 บาททันที เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อของในเทสโก้ โลตัส จํานวน 100 บาทขึ้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดข่าวสาร โปรโมชันต่างๆ ของ กอช. ได้ที่ Facebook “กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ วางแผนการเงินโค้งสุดท้ายปี 2562 พร้อมรับของที่ระลึกเพียบ! ในงาน Thailand Smart Money”
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
“กอช. เชิญชวนชาวกรุงเทพฯ วางแผนการเงินโค้งสุดท้ายปี 2562 พร้อมรับของที่ระลึกเพียบ! ในงาน Thailand Smart Money”
กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ วันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ สกายฮอลล์ ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนสมาชิก และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง วางแผนการเงินกับ กอช. สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ โค้งสุดท้ายของการวางแผนการลงทุนปี 2562 ที่บูธ กอช. (บูธ P3) ในงานเทศกาลการเงิน – ลงทุน : Thailand Smart Money กรุงเทพฯ วันที่ 13 - 15 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ สกายฮอลล์ ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
สิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ที่จะได้รับ 4 ต่อ ดังนี้
ต่อที่ 1 ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก
ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%*
ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%*
ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%*
(*เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน โดยประมาณ)
ต่อที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินออมสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน
ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม สูงสุด 13,200 บาท
ต่อที่ 4 รับของที่ระลึก สําหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน
ทั้งนี้ สมาชิกสามารถตรวจสอบยอดเงินออมสะสมของตนเอง ได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทั้งแอปสโตร์ (App Store) และเพลย์ สโตร์ (Play Store) หรือ ทางธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ที่ว่าการอําเภอ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และพิเศษสําหรับสมาชิก กอช. ที่ส่งเงินออมสะสมที่ เทสโก้ โลตัส พร้อมแสดงบัตรคลับการ์ด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2563 จะได้รับแต้มคลับการ์ด 300 แต้ม และส่วนลดเงินสดท้ายใบเสร็จ 10 บาททันที เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อของในเทสโก้ โลตัส จํานวน 100 บาทขึ้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดข่าวสาร โปรโมชันต่างๆ ของ กอช. ได้ที่ Facebook “กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25104
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยร่วมพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด
|
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
กรุงไทยร่วมพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด
อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาระบบบริการจัดการทางการเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions เพื่อพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด (DDC Cashless Society)
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาระบบบริการจัดการทางการเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions เพื่อพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด (DDC Cashless Society) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาให้กรมควบคุมโรคเป็นองค์กรชั้นนําระดับนานาชาติ และสนองนโยบายของรัฐบาลเรื่อง Thailand 4.0 หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการและการชําระเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions ของสถาบันบําราศนราดูร ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในสังกัดกรมควบคุมโรค นับเป็นกรมแห่งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศก้าวสู่สังคมไร้เงินสด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย เปิดเผยภายหลังการลงนามว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนากรมสู่องค์กรชั้นนําระดับนานาชาติ ที่สังคมเชื่อถือและไว้วางใจ เพื่อปกป้องประชาชนจากโรคและภัยสุขภาพ ด้วยความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยหนึ่งในกลยุทธ์ในการก้าวสู่ความเป็นเลิศ คือการบริหารจัดการองค์กรแนวใหม่ เพื่อก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งนอกจากเป็นการสนองนโยบายของภาครัฐด้าน National e-Payment แล้วยังเป็นการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในทุกมิติ โดยนําเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบาย
“การลงนามในครั้งนี้ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยและญาติ สามารถชําระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร EDC (Electronic Data Capture Device) และ KRUNGTHAI QR Code ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการจัดการเงินสด ทั้งค่าอาหาร ค่าสินค้าในร้านอาหาร และร้านค้าสวัสดิการของกรมควบคุมโรค รวมทั้งค่ายาตลอดจนบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล โดยนําร่องที่สถาบันบําราศนราดูรเป็นแห่งแรก และมีแผนขยายสังคมไร้เงินสดไปยังสถานพยาบาลในสังกัดแห่งอื่นๆต่อไป”
ทางด้าน นายผยง ศรีวณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงไทย ยินดีที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากรมควบคุมโรคให้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งธนาคารมั่นใจว่าระบบ KTB Digital Solutions จะตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการรับชําระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร EDC และ KRUNGTHAI QR Code ที่ธนาคารมีความชํานาญและประสบการณ์ ซึ่งธนาคารใช้เวลาเพียง 3 เดือนในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC กว่า 18,000 เครื่องทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อันเป็นการช่วยให้ประชาชนในระดับฐานราก สามารถเข้าสู่บริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างแท้จริง
“ส่วนการชําระเงินด้วย KRUNGTHAI QR Code สามารถใช้งานได้ง่ายแค่ 3 สเต็ปผ่าน KTB netbank เพียงสแกน ระบุจํานวนเงิน พร้อม PIN การทํารายการก็เสร็จสิ้น ด้านผู้ขายหลังสมัคร ร้านค้า “เป๋าตุง กรุงไทย” และดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง ก็สามารถรับชําระค่าสินค้าและบริการได้ทันที ซึ่งธนาคารได้ลงพื้นที่เพื่อให้บริการ KRUNGTHAI QR Code ในจังหวัดต่างๆ เช่น ร้านค้าและศูนย์อาหารในหน่วยงานราชการและกระทรวงต่างๆ ตลาด อ.ต.ก. ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา ตลาดเซฟวัน จ.นครราชสีมา สามแยกอู่เรือ ถนนต่อเรือ จ.พังงา ตลาดตองแปด จ.ขอนแก่น ถนนคนเดิน จ.กระบี่ ตลาดกิมหยง จ.สงขลา และพื้นที่ต่างๆใน จ.เชียงใหม่ โดยธนาคารมีแผนทําถนนไร้เงินสดทุกจังหวัดทั่วประเทศ”
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยร่วมพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
กรุงไทยร่วมพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด
อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาระบบบริการจัดการทางการเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions เพื่อพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด (DDC Cashless Society)
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาระบบบริการจัดการทางการเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions เพื่อพัฒนากรมควบคุมโรคสู่สังคมไร้เงินสด (DDC Cashless Society) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาให้กรมควบคุมโรคเป็นองค์กรชั้นนําระดับนานาชาติ และสนองนโยบายของรัฐบาลเรื่อง Thailand 4.0 หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการและการชําระเงินผ่านระบบ KTB Digital Solutions ของสถาบันบําราศนราดูร ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในสังกัดกรมควบคุมโรค นับเป็นกรมแห่งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศก้าวสู่สังคมไร้เงินสด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย เปิดเผยภายหลังการลงนามว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนากรมสู่องค์กรชั้นนําระดับนานาชาติ ที่สังคมเชื่อถือและไว้วางใจ เพื่อปกป้องประชาชนจากโรคและภัยสุขภาพ ด้วยความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยหนึ่งในกลยุทธ์ในการก้าวสู่ความเป็นเลิศ คือการบริหารจัดการองค์กรแนวใหม่ เพื่อก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งนอกจากเป็นการสนองนโยบายของภาครัฐด้าน National e-Payment แล้วยังเป็นการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในทุกมิติ โดยนําเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบาย
“การลงนามในครั้งนี้ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยและญาติ สามารถชําระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร EDC (Electronic Data Capture Device) และ KRUNGTHAI QR Code ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการจัดการเงินสด ทั้งค่าอาหาร ค่าสินค้าในร้านอาหาร และร้านค้าสวัสดิการของกรมควบคุมโรค รวมทั้งค่ายาตลอดจนบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล โดยนําร่องที่สถาบันบําราศนราดูรเป็นแห่งแรก และมีแผนขยายสังคมไร้เงินสดไปยังสถานพยาบาลในสังกัดแห่งอื่นๆต่อไป”
ทางด้าน นายผยง ศรีวณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงไทย ยินดีที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากรมควบคุมโรคให้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งธนาคารมั่นใจว่าระบบ KTB Digital Solutions จะตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการรับชําระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร EDC และ KRUNGTHAI QR Code ที่ธนาคารมีความชํานาญและประสบการณ์ ซึ่งธนาคารใช้เวลาเพียง 3 เดือนในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC กว่า 18,000 เครื่องทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อันเป็นการช่วยให้ประชาชนในระดับฐานราก สามารถเข้าสู่บริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างแท้จริง
“ส่วนการชําระเงินด้วย KRUNGTHAI QR Code สามารถใช้งานได้ง่ายแค่ 3 สเต็ปผ่าน KTB netbank เพียงสแกน ระบุจํานวนเงิน พร้อม PIN การทํารายการก็เสร็จสิ้น ด้านผู้ขายหลังสมัคร ร้านค้า “เป๋าตุง กรุงไทย” และดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง ก็สามารถรับชําระค่าสินค้าและบริการได้ทันที ซึ่งธนาคารได้ลงพื้นที่เพื่อให้บริการ KRUNGTHAI QR Code ในจังหวัดต่างๆ เช่น ร้านค้าและศูนย์อาหารในหน่วยงานราชการและกระทรวงต่างๆ ตลาด อ.ต.ก. ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา ตลาดเซฟวัน จ.นครราชสีมา สามแยกอู่เรือ ถนนต่อเรือ จ.พังงา ตลาดตองแปด จ.ขอนแก่น ถนนคนเดิน จ.กระบี่ ตลาดกิมหยง จ.สงขลา และพื้นที่ต่างๆใน จ.เชียงใหม่ โดยธนาคารมีแผนทําถนนไร้เงินสดทุกจังหวัดทั่วประเทศ”
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8895
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 กำชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ
|
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
มท.1 กําชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ
มท.1 กําชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ "ซินลากู" ดูแลประชาชนตามแผนเผชิญเหตุ
วันนี้ (3 ส.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศ ฉบับที่ 8 ว่าเมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 2563 พายุระดับ 3 (โซนร้อน ซินลากู) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามแล้ว และจากการติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากกรณีพายุซินลากู พบว่าพายุดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดอุทกภัย วาตภัย น้ําป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ในหลายพื้นที่ และยังส่งผลให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลฝั่งอ่าวไทยและในฝั่งอันดามัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การรับมือผลกระทบจากกรณีพายุซินลากูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กําชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามแนวทางการเผชิญเหตุ ได้แก่ 1) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย ให้ติดตามการคาดการณ์ลักษณะอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ําในพื้นที่ ทําการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์และแจ้งเตือนภัยให้อําเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัยและให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยถึงในระดับชุมชน หมู่บ้าน ตลอดจนสร้างการรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการรับความช่วยเหลือกับภาครัฐ สําหรับในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ต้องประกาศสั่งห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง พร้อมประสานกองทัพเรือภาคเร่งให้ความช่วยเหลือเรือประมงที่ออกเดินเรือไปก่อนประกาศ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน 2) อพยพประชาชนเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่มในพื้นที่ โดยให้ฝ่ายปกครองและอปท. ดําเนินการตามแผนการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ประชาชนจิตอาสา เข้าดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดให้มีสิ่งของจําเป็นในการดํารงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพให้ครอบคลุมทั่วถึง และจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ 3) เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายแล้ว ให้เร่งสํารวจความเสียหายที่เกิดขึ้น อาทิ ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สาธารณูปโภค เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูตามระเบียบโดยเร่งด่วนต่อไป 4) ให้กองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู สรุปสถานการณ์และรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบอย่างต่อเนื่องทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติหรือจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 กำชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
มท.1 กําชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ
มท.1 กําชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดรับมือพายุ "ซินลากู" ดูแลประชาชนตามแผนเผชิญเหตุ
วันนี้ (3 ส.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศ ฉบับที่ 8 ว่าเมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 2563 พายุระดับ 3 (โซนร้อน ซินลากู) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามแล้ว และจากการติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากกรณีพายุซินลากู พบว่าพายุดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดอุทกภัย วาตภัย น้ําป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ในหลายพื้นที่ และยังส่งผลให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเลฝั่งอ่าวไทยและในฝั่งอันดามัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การรับมือผลกระทบจากกรณีพายุซินลากูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กําชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการตามแนวทางการเผชิญเหตุ ได้แก่ 1) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย ให้ติดตามการคาดการณ์ลักษณะอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ําในพื้นที่ ทําการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์และแจ้งเตือนภัยให้อําเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัยและให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยถึงในระดับชุมชน หมู่บ้าน ตลอดจนสร้างการรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการรับความช่วยเหลือกับภาครัฐ สําหรับในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล ต้องประกาศสั่งห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง พร้อมประสานกองทัพเรือภาคเร่งให้ความช่วยเหลือเรือประมงที่ออกเดินเรือไปก่อนประกาศ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน 2) อพยพประชาชนเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่มในพื้นที่ โดยให้ฝ่ายปกครองและอปท. ดําเนินการตามแผนการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ประชาชนจิตอาสา เข้าดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดให้มีสิ่งของจําเป็นในการดํารงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพให้ครอบคลุมทั่วถึง และจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ 3) เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายแล้ว ให้เร่งสํารวจความเสียหายที่เกิดขึ้น อาทิ ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สาธารณูปโภค เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูตามระเบียบโดยเร่งด่วนต่อไป 4) ให้กองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู สรุปสถานการณ์และรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบอย่างต่อเนื่องทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติหรือจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33887
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" พบปะครู-นักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เพื่อร่วมขยายผลโรงเรียนคุณธรรม
|
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
"ปนัดดา" พบปะครู-นักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เพื่อร่วมขยายผลโรงเรียนคุณธรรม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับครู ผู้บริหาร และนักเรียน โรงเรียนเทพศิรินทร์ (Debsirin School) เพื่อร่วมขยายผลการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม
โดยนายอนันต์ ทรัพย์วารีผู้อํานวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์คณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและร่วมรับฟัง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ภูมิใจที่ได้กลับมา "โรงเรียนเทพศิรินทร์" หรือชื่อย่อท.ศ.ซึ่งเป็น"โรงเรียนหลวงพระราชทาน"ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระชนมายุครบเบญจเพส มีพระราชดําริที่จะสร้างพระอารามเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสนองพระเดชพระคุณแด่องค์พระราชชนนี คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น โดยได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2428 ด้วยพระราชปรารภที่จะทํานุบํารุงการศึกษาเล่าเรียนให้เจริญแพร่หลายขึ้นโดยรวดเร็ว จึงมีพระบรมราชโองการให้จัดการศึกษาสําหรับราษฎรขึ้นโดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (กรมพระยาดํารงราชานุภาพ) ได้จัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายในวัดเทพศิรินทราวาสโดยในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทําการเรียนการสอน
ทั้งนี้ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เป็นโรงเรียนรัฐบาลชายล้วนขนาดใหญ่และเป็นโรงเรียนแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเข้ารับการศึกษา คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 นอกจากนี้ยังมีนักเรียนเก่าที่ดํารงตําแหน่งสําคัญทางการเมืองมากมาย อาทิ นายกรัฐมนตรีไทย 4 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งมาเลเซีย คือ "ตนกู อับดุล ราห์มาน"
จากการที่ได้เดินทางไปพบปะนักเรียนหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทําให้ได้แลเห็นสภาพความพร้อมของแต่ละสถานที่ในโรงเรียนต่าง ๆ เช่น โรงเรียนสตรีวัดระฆัง ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีล้วนที่ไม่มีอาคารหอประชุม การพบปะสนทนากับนักเรียนจึงใช้สถานที่บริเวณสนามบาสเก็ตบอล ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และในวันพรุ่งนี้ (14 มิถุนายน) ก็จะเดินทางไปพบปะนักเรียนโรงเรียนผดุงนารี และโรงเรียนสารคามพิทยาคม จ.มหาสารคาม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม เช่นเดียวกับที่ได้เดินทางมา ณ โรงเรียนแห่งนี้
สิ่งสําคัญที่ต้องการมาพบปะกับนักเรียน ครู ผู้บริหาร เพื่อต้องการให้ช่วยขยายผลหลักการ และคํามั่นสัญญา 5 ข้อของการเป็นโรงเรียนคุณธรรม คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งตรงกับเอกลักษณ์ของโรงเรียนเทพศิรินทร์อยู่แล้ว และในการประชุมคณะรัฐมนตรี ก็จะได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบการเดินทางออกไปพบปะสนทนากับนักเรียนและครูในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" พบปะครู-นักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เพื่อร่วมขยายผลโรงเรียนคุณธรรม
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
"ปนัดดา" พบปะครู-นักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เพื่อร่วมขยายผลโรงเรียนคุณธรรม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับครู ผู้บริหาร และนักเรียน โรงเรียนเทพศิรินทร์ (Debsirin School) เพื่อร่วมขยายผลการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม
โดยนายอนันต์ ทรัพย์วารีผู้อํานวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์คณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและร่วมรับฟัง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ภูมิใจที่ได้กลับมา "โรงเรียนเทพศิรินทร์" หรือชื่อย่อท.ศ.ซึ่งเป็น"โรงเรียนหลวงพระราชทาน"ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระชนมายุครบเบญจเพส มีพระราชดําริที่จะสร้างพระอารามเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสนองพระเดชพระคุณแด่องค์พระราชชนนี คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น โดยได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2428 ด้วยพระราชปรารภที่จะทํานุบํารุงการศึกษาเล่าเรียนให้เจริญแพร่หลายขึ้นโดยรวดเร็ว จึงมีพระบรมราชโองการให้จัดการศึกษาสําหรับราษฎรขึ้นโดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (กรมพระยาดํารงราชานุภาพ) ได้จัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายในวัดเทพศิรินทราวาสโดยในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทําการเรียนการสอน
ทั้งนี้ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เป็นโรงเรียนรัฐบาลชายล้วนขนาดใหญ่และเป็นโรงเรียนแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเข้ารับการศึกษา คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 นอกจากนี้ยังมีนักเรียนเก่าที่ดํารงตําแหน่งสําคัญทางการเมืองมากมาย อาทิ นายกรัฐมนตรีไทย 4 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งมาเลเซีย คือ "ตนกู อับดุล ราห์มาน"
จากการที่ได้เดินทางไปพบปะนักเรียนหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทําให้ได้แลเห็นสภาพความพร้อมของแต่ละสถานที่ในโรงเรียนต่าง ๆ เช่น โรงเรียนสตรีวัดระฆัง ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีล้วนที่ไม่มีอาคารหอประชุม การพบปะสนทนากับนักเรียนจึงใช้สถานที่บริเวณสนามบาสเก็ตบอล ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และในวันพรุ่งนี้ (14 มิถุนายน) ก็จะเดินทางไปพบปะนักเรียนโรงเรียนผดุงนารี และโรงเรียนสารคามพิทยาคม จ.มหาสารคาม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม เช่นเดียวกับที่ได้เดินทางมา ณ โรงเรียนแห่งนี้
สิ่งสําคัญที่ต้องการมาพบปะกับนักเรียน ครู ผู้บริหาร เพื่อต้องการให้ช่วยขยายผลหลักการ และคํามั่นสัญญา 5 ข้อของการเป็นโรงเรียนคุณธรรม คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งตรงกับเอกลักษณ์ของโรงเรียนเทพศิรินทร์อยู่แล้ว และในการประชุมคณะรัฐมนตรี ก็จะได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบการเดินทางออกไปพบปะสนทนากับนักเรียนและครูในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
“เศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ดีขึ้นต่อเนื่อง”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.2 – 4.8) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพ.ร.บ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอก ภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ขณะที่รายได้เกษตรกรเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้นจากด้านผลผลิต นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนกําลังซื้อของครัวเรือนในระยะต่อไป
สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 0.9 -1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามราคาในหมวดพลังงานที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 44.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 8.8 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.5 – 9.1 ของ GDP)”
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ การตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจสําคัญ และความผันผวนของตลาดการเงินโลก”
เอกสารแนบ
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.2 – 4.8) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 6.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 6.0 – 6.6) ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.6 – 8.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.6 – 3.2) นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและส่งเสริมบรรยายกาศการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.6 – 4.2) สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ขณะที่รายได้เกษตรกรเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้นจากด้านผลผลิต นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนกําลังซื้อของครัวเรือนในระยะต่อไป และส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวที่ร้อยละ 3.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 – 4.1) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 6.9 – 7.5) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 – 1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และราคาในหมวดพลังงานที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 44.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 8.8 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.5 - 9.1 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 24.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 24.6 – 25.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 9.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.4 – 10.0) ในขณะที่มูลค่าสินค้านําเข้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 14.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 14.6 – 15.2)
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
“เศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ดีขึ้นต่อเนื่อง”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.2 – 4.8) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพ.ร.บ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอก ภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ขณะที่รายได้เกษตรกรเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้นจากด้านผลผลิต นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนกําลังซื้อของครัวเรือนในระยะต่อไป
สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 0.9 -1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามราคาในหมวดพลังงานที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 44.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 8.8 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.5 – 9.1 ของ GDP)”
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ การตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจสําคัญ และความผันผวนของตลาดการเงินโลก”
เอกสารแนบ
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2561
1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.2 – 4.8) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยมีการส่งออกสินค้าเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 6.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 6.0 – 6.6) ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญตามกรอบรายจ่ายเพื่อการบริโภคและลงทุนภาครัฐประจําปีงบประมาณ 2561 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และพรบ. จัดทํางบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.6 – 8.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.6 – 3.2) นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สําคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและส่งเสริมบรรยายกาศการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.6 – 4.2) สําหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ขณะที่รายได้เกษตรกรเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้นจากด้านผลผลิต นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 ยังคาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนกําลังซื้อของครัวเรือนในระยะต่อไป และส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวที่ร้อยละ 3.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5 – 4.1) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 6.9 – 7.5) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 – 1.5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และราคาในหมวดพลังงานที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 44.3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 8.8 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.5 - 9.1 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 24.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 24.6 – 25.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 9.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.4 – 10.0) ในขณะที่มูลค่าสินค้านําเข้าคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 14.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 14.6 – 15.2)
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14181
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.30 น. นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาล และประชาชนชาวไทย การเดินทางมาไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สําคัญเพราะปีนี้ครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามคาบสมุทรเกาหลี ไทยและสาธารณรัฐเกาหลีเป็นมิตรประเทศที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันโดยกองพัน “พยัคฆ์น้อย” เป็นหน่วยทหารไทยที่ร่วมรบในครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่านับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจเพราะนายกรัฐมนตรีเคยเป็นผู้บังคับการกองพันนี้ ในโอกาสนี้ ขอฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งได้มีโอกาสพบและพูดคุยในช่วงการประชุมผู้นําเศรษฐกิจที่นครดานัง ประเทศเวียดนาม ประทับใจในอัธยาศัยของประธานาธิบดี และเชื่อว่าจะได้มีโอกาสได้พบพูดคุยกันในโอกาสต่อ ๆ ไป และขอเชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสที่เหมาะสม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีขอบคุณประเทศไทย และคนไทยที่มีความกล้าหาญ และความเสียสละ เข้าร่วมรบในสงครามคาบสมุทรเกาหลีซึ่งคนสาธารณรัฐเกาหลีไม่เคยลืม ถ้าไม่มีความเสียสละจากไทยในวันนั้น ประเทศเกาหลีใต้ก็คงไม่สามารถเติบโต พัฒนา และมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนทุกวันนี้ และได้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ดํารงตําแหน่งผู้นําที่มีบทบาทโดดเด่นในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ของสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความทันสมัยในภูมิภาค รวมทั้งการประกาศใช้นโยบาย “New Southern Policy” ของประธานาธิบดีมุน แช-อิน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้นักลงทุนสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทยด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโหมสาธารณรัฐเกาหลีเห็นพ้องกับนายกรัฐมนตรีและจะไปบรรยายสรุปถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีให้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีทราบต่อไป
นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินนโยบายการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลี ภาพยนตร์ ดนตรี นักร้อง นักแสดงชาวเกาหลีใต้ (กระแส Korean wave) ซึ่งได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างมาก และจํานวนนักท่องเที่ยวที่ไปมาหาสู่ระหว่างกันที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หวังว่าไทยและสาธารณรัฐเกาหลีจะร่วมกันรักษา และพัฒนาระดับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อไป นายซง ยอง-มู ตอบรับและเชื่อมั่นว่ามุมมองของคนเกาหลีต่อคนไทยเป็นไปด้วยดีมาก และมีชาวเกาหลีใต้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจํานวนถึงเกือบ 1.8 ล้านคน ในรอบปีที่ผ่านมา
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยไม่ประสงค์ให้เกิดการสู้รบ เพราะจะนํามาซึ่งความสูญเสีย เชื่อมั่นว่าสาธารณรัฐเกาหลีจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการทางสันติวิธี และในช่วงเวลานี้ได้เห็นว่าแนวโน้มของสถานการณ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผ่านการกลับมาพบหารือกันระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ตลอดจนการที่เกาหลีเหนือตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว จึงเป็นสัญญาณที่ดี ยืนยันว่าไทยจะสนับสนุนการแก้ไขปัญหาผ่านสันติวิธี และไทยได้ปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ด้วยแล้ว ซึ่งนายซง ยอง-มูได้ขอบคุณสําหรับมุมมองและความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีต่อสถานการณ์ความไม่สงบบนคาบสมุทรเกาหลี และขอบคุณที่ไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่สาธารณรัฐเกาหลี และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากความห่วงใยชาวไทยในเกาหลีใต้จํานวนกว่า 1 แสนคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.30 น. นายซง ยอง-มู (H.E. Mr. Song Young – moo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาล และประชาชนชาวไทย การเดินทางมาไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สําคัญเพราะปีนี้ครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามคาบสมุทรเกาหลี ไทยและสาธารณรัฐเกาหลีเป็นมิตรประเทศที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันโดยกองพัน “พยัคฆ์น้อย” เป็นหน่วยทหารไทยที่ร่วมรบในครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่านับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจเพราะนายกรัฐมนตรีเคยเป็นผู้บังคับการกองพันนี้ ในโอกาสนี้ ขอฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งได้มีโอกาสพบและพูดคุยในช่วงการประชุมผู้นําเศรษฐกิจที่นครดานัง ประเทศเวียดนาม ประทับใจในอัธยาศัยของประธานาธิบดี และเชื่อว่าจะได้มีโอกาสได้พบพูดคุยกันในโอกาสต่อ ๆ ไป และขอเชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสที่เหมาะสม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีขอบคุณประเทศไทย และคนไทยที่มีความกล้าหาญ และความเสียสละ เข้าร่วมรบในสงครามคาบสมุทรเกาหลีซึ่งคนสาธารณรัฐเกาหลีไม่เคยลืม ถ้าไม่มีความเสียสละจากไทยในวันนั้น ประเทศเกาหลีใต้ก็คงไม่สามารถเติบโต พัฒนา และมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนทุกวันนี้ และได้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ดํารงตําแหน่งผู้นําที่มีบทบาทโดดเด่นในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ของสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความทันสมัยในภูมิภาค รวมทั้งการประกาศใช้นโยบาย “New Southern Policy” ของประธานาธิบดีมุน แช-อิน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้นักลงทุนสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทยด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโหมสาธารณรัฐเกาหลีเห็นพ้องกับนายกรัฐมนตรีและจะไปบรรยายสรุปถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีให้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีทราบต่อไป
นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินนโยบายการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลี ภาพยนตร์ ดนตรี นักร้อง นักแสดงชาวเกาหลีใต้ (กระแส Korean wave) ซึ่งได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างมาก และจํานวนนักท่องเที่ยวที่ไปมาหาสู่ระหว่างกันที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หวังว่าไทยและสาธารณรัฐเกาหลีจะร่วมกันรักษา และพัฒนาระดับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อไป นายซง ยอง-มู ตอบรับและเชื่อมั่นว่ามุมมองของคนเกาหลีต่อคนไทยเป็นไปด้วยดีมาก และมีชาวเกาหลีใต้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจํานวนถึงเกือบ 1.8 ล้านคน ในรอบปีที่ผ่านมา
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยไม่ประสงค์ให้เกิดการสู้รบ เพราะจะนํามาซึ่งความสูญเสีย เชื่อมั่นว่าสาธารณรัฐเกาหลีจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการทางสันติวิธี และในช่วงเวลานี้ได้เห็นว่าแนวโน้มของสถานการณ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผ่านการกลับมาพบหารือกันระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ตลอดจนการที่เกาหลีเหนือตอบรับเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว จึงเป็นสัญญาณที่ดี ยืนยันว่าไทยจะสนับสนุนการแก้ไขปัญหาผ่านสันติวิธี และไทยได้ปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ด้วยแล้ว ซึ่งนายซง ยอง-มูได้ขอบคุณสําหรับมุมมองและความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีต่อสถานการณ์ความไม่สงบบนคาบสมุทรเกาหลี และขอบคุณที่ไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่สาธารณรัฐเกาหลี และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากความห่วงใยชาวไทยในเกาหลีใต้จํานวนกว่า 1 แสนคน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9779
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เตรียมบังคับให้ “พาวเวอร์แบงค์” ทุกยี่ห้อต้องได้มาตรฐาน ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้จำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
สมอ. เตรียมบังคับให้ “พาวเวอร์แบงค์” ทุกยี่ห้อต้องได้มาตรฐาน ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้จําหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
สมอ. เร่งดําเนินการกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ หลังพบเกิดเหตุระเบิดบ่อยครั้ง คาดพฤษภาคม 2563 กฎหมายมีผลบังคับใช้ เตือนผู้ประกอบการให้ยื่นขอ มอก.
สมอ. เร่งดําเนินการกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ หลังพบเกิดเหตุระเบิดบ่อยครั้ง คาดพฤษภาคม 2563 กฎหมายมีผลบังคับใช้ เตือนผู้ประกอบการให้ยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เมื่อมาตรฐานมีผลบังคับใช้จะได้สามารถจําหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าว พาวเวอร์แบงค์ระเบิดและเกิดเพลิงไหม้ตามมาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่วางไว้อยู่ในรถที่ตากแดดเป็นเวลานาน หรือชาร์ททิ้งไว้ในบ้านพักแล้วเกิดเหตุระเบิดจนไฟลุกไหม้ที่พักอาศัย สร้างความเสียหายแก่ตนเองและประชาชนในละแวกใกล้เคียง สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ประกาศให้มาตรฐานพาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานทั่วไปแล้วคือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแบตเตอรี่สํารองไฟฟ้าสําหรับการใช้งานแบบพกพา คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย มอก. 2879-2560 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอ มอก. เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ของท่านได้
ขณะเดียวกัน สมอ. อยู่ระหว่างดําเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งรัดให้มีการบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าว โดยคาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับประมาณเดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้พาวเวอร์แบงค์ในท้องตลาดทุกยี่ห้อ ต้องมีเครื่องหมาย มอก.รับรอง ผู้ทํา ผู้นําเข้า ต้องทําและนําเข้าสินค้าตามที่มาตรฐานกําหนดเท่านั้น รวมถึงผู้จําหน่ายก็ต้องจําหน่ายเฉพาะสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. ทั้งนี้ สมอ. ได้เตรียมความพร้อมในการให้การรับรองตามมาตรฐาน มอก. 2879-2560 แล้ว โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการรับรองได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะขณะนี้มาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานทั่วไป เมื่อประกาศเป็นมาตรฐานบังคับ ผู้ประกอบการก็สามารถมายื่นเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตมาตรฐานบังคับได้ทันที ทําให้การจําหน่ายสินค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรฐานพาวเวอร์แบงค์ที่ สมอ. กําหนดนั้นจะมีการทดสอบด้านความปลอดภัยในการใช้งานในกรณีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น กรณีที่ลืมชาร์จทิ้งไว้นาน แบตเตอรี่ที่อยู่ภายในสามารถชาร์จไฟต่อเนื่องได้ถึง 28 วัน โดยไม่เกิดไฟลุกไหม้และไม่เกิดระเบิดขึ้น หรือหากทําตกจากที่สูงและเกิดแรงกระแทก แบตเตอรี่จะต้องไม่เกิดไฟและไม่ระเบิด นอกจากนี้ พาวเวอร์แบงค์ที่ได้มาตรฐานจะทนความร้อนสูงได้โดยไม่เกิดไฟลุกไหม้หรือระเบิดขึ้น แม้อยู่ในที่ที่ร้อนมากๆ เป็นต้น
เลขาธิการ สมอ. กล่าวฝากถึงผู้บริโภคว่า “ถึงแม้ว่า สมอ. จะกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ แต่ผู้บริโภคก็ควรใช้ให้ถูกวิธีตามข้อแนะนําในการใช้งาน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเกิดความสูญเสียตามมา เช่น ไม่ควรเก็บพาวเวอร์แบงค์ไว้ใกล้แหล่งความร้อน ความชื้น น้ําหรือของเหลว หลีกเลี่ยงการวางไว้ในที่ที่โดนแดดโดยตรง หรือวางใกล้แก๊สที่ติดไฟได้ และควรระวังการถูกกระแทก กดทับ หรือเจาะ และไม่ใช้งานขณะที่พาวเวอร์แบงค์เปียกหรือได้รับความเสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งาน และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เตรียมบังคับให้ “พาวเวอร์แบงค์” ทุกยี่ห้อต้องได้มาตรฐาน ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้จำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
สมอ. เตรียมบังคับให้ “พาวเวอร์แบงค์” ทุกยี่ห้อต้องได้มาตรฐาน ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อให้จําหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
สมอ. เร่งดําเนินการกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ หลังพบเกิดเหตุระเบิดบ่อยครั้ง คาดพฤษภาคม 2563 กฎหมายมีผลบังคับใช้ เตือนผู้ประกอบการให้ยื่นขอ มอก.
สมอ. เร่งดําเนินการกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ หลังพบเกิดเหตุระเบิดบ่อยครั้ง คาดพฤษภาคม 2563 กฎหมายมีผลบังคับใช้ เตือนผู้ประกอบการให้ยื่นขอ มอก. ได้ตั้งแต่บัดนี้ เมื่อมาตรฐานมีผลบังคับใช้จะได้สามารถจําหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าว พาวเวอร์แบงค์ระเบิดและเกิดเพลิงไหม้ตามมาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่วางไว้อยู่ในรถที่ตากแดดเป็นเวลานาน หรือชาร์ททิ้งไว้ในบ้านพักแล้วเกิดเหตุระเบิดจนไฟลุกไหม้ที่พักอาศัย สร้างความเสียหายแก่ตนเองและประชาชนในละแวกใกล้เคียง สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ประกาศให้มาตรฐานพาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานทั่วไปแล้วคือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแบตเตอรี่สํารองไฟฟ้าสําหรับการใช้งานแบบพกพา คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย มอก. 2879-2560 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอ มอก. เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ของท่านได้
ขณะเดียวกัน สมอ. อยู่ระหว่างดําเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งรัดให้มีการบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าว โดยคาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับประมาณเดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้พาวเวอร์แบงค์ในท้องตลาดทุกยี่ห้อ ต้องมีเครื่องหมาย มอก.รับรอง ผู้ทํา ผู้นําเข้า ต้องทําและนําเข้าสินค้าตามที่มาตรฐานกําหนดเท่านั้น รวมถึงผู้จําหน่ายก็ต้องจําหน่ายเฉพาะสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. ทั้งนี้ สมอ. ได้เตรียมความพร้อมในการให้การรับรองตามมาตรฐาน มอก. 2879-2560 แล้ว โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการรับรองได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะขณะนี้มาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานทั่วไป เมื่อประกาศเป็นมาตรฐานบังคับ ผู้ประกอบการก็สามารถมายื่นเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตมาตรฐานบังคับได้ทันที ทําให้การจําหน่ายสินค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรฐานพาวเวอร์แบงค์ที่ สมอ. กําหนดนั้นจะมีการทดสอบด้านความปลอดภัยในการใช้งานในกรณีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น กรณีที่ลืมชาร์จทิ้งไว้นาน แบตเตอรี่ที่อยู่ภายในสามารถชาร์จไฟต่อเนื่องได้ถึง 28 วัน โดยไม่เกิดไฟลุกไหม้และไม่เกิดระเบิดขึ้น หรือหากทําตกจากที่สูงและเกิดแรงกระแทก แบตเตอรี่จะต้องไม่เกิดไฟและไม่ระเบิด นอกจากนี้ พาวเวอร์แบงค์ที่ได้มาตรฐานจะทนความร้อนสูงได้โดยไม่เกิดไฟลุกไหม้หรือระเบิดขึ้น แม้อยู่ในที่ที่ร้อนมากๆ เป็นต้น
เลขาธิการ สมอ. กล่าวฝากถึงผู้บริโภคว่า “ถึงแม้ว่า สมอ. จะกําหนดให้พาวเวอร์แบงค์เป็นมาตรฐานบังคับ แต่ผู้บริโภคก็ควรใช้ให้ถูกวิธีตามข้อแนะนําในการใช้งาน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเกิดความสูญเสียตามมา เช่น ไม่ควรเก็บพาวเวอร์แบงค์ไว้ใกล้แหล่งความร้อน ความชื้น น้ําหรือของเหลว หลีกเลี่ยงการวางไว้ในที่ที่โดนแดดโดยตรง หรือวางใกล้แก๊สที่ติดไฟได้ และควรระวังการถูกกระแทก กดทับ หรือเจาะ และไม่ใช้งานขณะที่พาวเวอร์แบงค์เปียกหรือได้รับความเสียหาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งาน และสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24802
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ำ “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ํา “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ํา “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติผ่านระบบวิดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อซักซ้อมแนวทางปฎิบัติตามมาตรการป้องการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีโอกาสรายงานความคืบหน้า ข้อควรรู้และแนวปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)” โดยย้ําถึงประโยชน์ของ “Application ไทยชนะ” ว่ามีแนวทางปฎิบัติง่ายๆ สําหรับประชาชนเพื่อเข้าไปใช้บริการ ได้แก่ 1. วิธีลงทะเบียนง่าย สะดวกด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถใช้บริการได้เลย 2. ลดความยุ่งยากในการใช้บริการ และปกป้องความเป็นส่วนตัวของประชาชน 3. สามารถเช็คเอ้าท์ หลังจากใช้บริการ (เมื่อไหร่ก็ได้) 4. ป้องกัน QR Code ปลอม 5. ช่วยเช็คความถูกต้องของกิจการ/ร้านค้า/สถานประกอบการณ์ว่าได้ทําตามมาตรการจริงหรือไม่ 6. ป้องกันการกรอกเบอร์โทรศัพท์ผิด 7. ช่วยในการติดตามสอบสวนโรคกรณีที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานที่ใดหรือร้านค้าที่ไปใช้บริการ อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งกรมควบคุมโรค เป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลภายใต้การควบคุม ดังนั้น ผู้ประมวลผลก็ไม่สามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์การควบคุมโรคโควิด-19 เท่านั้น
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ำ “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ํา “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมหาดไทย ซักซ้อมแนวทางป้องกันโควิด -19 ผ่านการประชุมทางไกล ย้ํา “Application ไทยชนะ” ใช้ง่ายไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติผ่านระบบวิดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อซักซ้อมแนวทางปฎิบัติตามมาตรการป้องการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีโอกาสรายงานความคืบหน้า ข้อควรรู้และแนวปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)” โดยย้ําถึงประโยชน์ของ “Application ไทยชนะ” ว่ามีแนวทางปฎิบัติง่ายๆ สําหรับประชาชนเพื่อเข้าไปใช้บริการ ได้แก่ 1. วิธีลงทะเบียนง่าย สะดวกด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถใช้บริการได้เลย 2. ลดความยุ่งยากในการใช้บริการ และปกป้องความเป็นส่วนตัวของประชาชน 3. สามารถเช็คเอ้าท์ หลังจากใช้บริการ (เมื่อไหร่ก็ได้) 4. ป้องกัน QR Code ปลอม 5. ช่วยเช็คความถูกต้องของกิจการ/ร้านค้า/สถานประกอบการณ์ว่าได้ทําตามมาตรการจริงหรือไม่ 6. ป้องกันการกรอกเบอร์โทรศัพท์ผิด 7. ช่วยในการติดตามสอบสวนโรคกรณีที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานที่ใดหรือร้านค้าที่ไปใช้บริการ อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งกรมควบคุมโรค เป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลภายใต้การควบคุม ดังนั้น ผู้ประมวลผลก็ไม่สามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์การควบคุมโรคโควิด-19 เท่านั้น
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32403
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 คุ้มครองบุคลากรการแพทย์
|
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
"อนุทิน" รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 คุ้มครองบุคลากรการแพทย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 26,000 ล้านบาท กรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 26,000 ล้านบาท กรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันทางสุขภาพให้บุคลากรทางการแพทย์
(17 มีนาคม 2563) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารรับมอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน ได้แก่ สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด,มูลนิธิวิชัย ศรีวัฒนประภา,กลุ่มบริษัท ช. การช่าง และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันรวม 26,000 ล้านบาท และรับมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยคุ้มครองและเป็นหลักประกันทางสุขภาพให้แก่แพทย์พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยและมีความเสี่ยงสูง
นายอนุทินกล่าวว่า ขอบคุณในน้ําใจของคนไทยที่ช่วยเหลือกันในช่วงเวลาที่คับขัน เป็นขวัญและกําลังใจให้กับทีมแพทย์พยาบาลทั่วประเทศเป็นผู้ที่มีความเสียสละและทุ่มเททํางานอย่างหนัก ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและมีความเสี่ยงสูง ที่ผ่านมาภาคเอกชนหลายรายได้เห็นความสําคัญและเป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ได้มอบกรมธรรม์ช่วยเหลือ บางบริษัทให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องอุปโภคบริโภค บางบริษัทให้ความช่วยเหลือเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความมีน้ําใจของคนไทยจะช่วยให้เราผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ด้วยดี
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพยาบาลหากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะได้รับเงินทันที 20,000 บาท กรณีที่อาการรุนแรงจะมอบเพิ่มเติม 500,000 บาท ขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายได้ 500 บาทต่อวัน (สูงสุด 7,500 บาท) โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปีส่วนกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาทต่อคน ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือน
*************************************** 17 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 คุ้มครองบุคลากรการแพทย์
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
"อนุทิน" รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 คุ้มครองบุคลากรการแพทย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 26,000 ล้านบาท กรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย Covid-19 จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 26,000 ล้านบาท กรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันทางสุขภาพให้บุคลากรทางการแพทย์
(17 มีนาคม 2563) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารรับมอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) จากผู้แทน 4 กลุ่มบริษัทเอกชน ได้แก่ สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด,มูลนิธิวิชัย ศรีวัฒนประภา,กลุ่มบริษัท ช. การช่าง และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันรวม 26,000 ล้านบาท และรับมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย จํากัด จํานวน 50,000 กรมธรรม์ ทุนประกันภัยรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยคุ้มครองและเป็นหลักประกันทางสุขภาพให้แก่แพทย์พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยและมีความเสี่ยงสูง
นายอนุทินกล่าวว่า ขอบคุณในน้ําใจของคนไทยที่ช่วยเหลือกันในช่วงเวลาที่คับขัน เป็นขวัญและกําลังใจให้กับทีมแพทย์พยาบาลทั่วประเทศเป็นผู้ที่มีความเสียสละและทุ่มเททํางานอย่างหนัก ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและมีความเสี่ยงสูง ที่ผ่านมาภาคเอกชนหลายรายได้เห็นความสําคัญและเป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ได้มอบกรมธรรม์ช่วยเหลือ บางบริษัทให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องอุปโภคบริโภค บางบริษัทให้ความช่วยเหลือเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความมีน้ําใจของคนไทยจะช่วยให้เราผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ด้วยดี
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพยาบาลหากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะได้รับเงินทันที 20,000 บาท กรณีที่อาการรุนแรงจะมอบเพิ่มเติม 500,000 บาท ขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายได้ 500 บาทต่อวัน (สูงสุด 7,500 บาท) โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปีส่วนกรมธรรม์อุบัติเหตุส่วนบุคคลวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาทต่อคน ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือน
*************************************** 17 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27411
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก
รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกครั้งใหม่ และตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการลงพื้น จังหวัดบุรีรัมย์ และสุรินทร์ ที่ในครั้งนี้ เพื่อมาเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกครั้งใหม่ในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนนี้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเลขาฯ และกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบด้านของการผลิต จึงเข้ามาดูกระบวนการผลิตทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่กระทรวงพาณิชย์กําหนดขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีวิธีการดําเนินงาน โดยประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่คาดการเอาไว้
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งส่งเสริมการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ และชี้ให้เห็นถึงความสําเร็จในการดําเนินการดังกล่าว โดยที่เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันและผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต ซึ่งทางรัฐบาลจะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาให้ความรู้และความช่วยเหลือทั้งในเรื่องปัจจัยการผลิตที่จําเป็น รวมทั้งในเรื่องของแหล่งน้ํา และหากมีปัญหาอุปสรรคก็จะช่วยเข้าไปแก้ไข" นางสาวชุติมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการทําแปลงใหญ่มาก และอยากให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะเห็นความสําเร็จในปีที่ผ่านมา ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการปรับเกณฑ์การทําเกษตรแปลงใหญ่ นอกจากแปลงขนาด L แล้ว ยังมีขนาด S และ M โดยขนาด S คือ ให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน 30 คนขึ้นไปและมีพื้นที่ 300 ไร่ขึ้นไป เป็นต้น มุ่งขับเคลื่อนพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่อย่างต่อเนื่องตามความต้องการของพื้นที่และเกษตรกร โดยแต่ละกลุ่มจะต้องมีผู้จัดการแปลง และผู้ดูแลในแต่ละเรื่อง อาทิ ด้านเมล็ดพันธุ์ ด้านศัตรูพืชโรคพืช ด้านเครื่องจักรกลการเกษตร และปุ๋ย โดยทั้ง 2 จังหวัดมีเกษตรมายื่นทําแปลงใหญ่เกินความคาดหมาย จึงได้มาดูว่าแต่ละกลุ่มมีความเข้มแข็งหรือมีศักยภาพหรือไม่ ตรงตามเป้าหมาย และมีแผนปฏิบัติงานอย่างไร
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก
รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ เพื่อเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกครั้งใหม่ และตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการลงพื้น จังหวัดบุรีรัมย์ และสุรินทร์ ที่ในครั้งนี้ เพื่อมาเตรียมการก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกครั้งใหม่ในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนนี้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเลขาฯ และกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบด้านของการผลิต จึงเข้ามาดูกระบวนการผลิตทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่กระทรวงพาณิชย์กําหนดขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีวิธีการดําเนินงาน โดยประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่คาดการเอาไว้
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งส่งเสริมการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ และชี้ให้เห็นถึงความสําเร็จในการดําเนินการดังกล่าว โดยที่เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันและผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต ซึ่งทางรัฐบาลจะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาให้ความรู้และความช่วยเหลือทั้งในเรื่องปัจจัยการผลิตที่จําเป็น รวมทั้งในเรื่องของแหล่งน้ํา และหากมีปัญหาอุปสรรคก็จะช่วยเข้าไปแก้ไข" นางสาวชุติมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการทําแปลงใหญ่มาก และอยากให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะเห็นความสําเร็จในปีที่ผ่านมา ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการปรับเกณฑ์การทําเกษตรแปลงใหญ่ นอกจากแปลงขนาด L แล้ว ยังมีขนาด S และ M โดยขนาด S คือ ให้เกษตรกรรวมกลุ่มกัน 30 คนขึ้นไปและมีพื้นที่ 300 ไร่ขึ้นไป เป็นต้น มุ่งขับเคลื่อนพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่อย่างต่อเนื่องตามความต้องการของพื้นที่และเกษตรกร โดยแต่ละกลุ่มจะต้องมีผู้จัดการแปลง และผู้ดูแลในแต่ละเรื่อง อาทิ ด้านเมล็ดพันธุ์ ด้านศัตรูพืชโรคพืช ด้านเครื่องจักรกลการเกษตร และปุ๋ย โดยทั้ง 2 จังหวัดมีเกษตรมายื่นทําแปลงใหญ่เกินความคาดหมาย จึงได้มาดูว่าแต่ละกลุ่มมีความเข้มแข็งหรือมีศักยภาพหรือไม่ ตรงตามเป้าหมาย และมีแผนปฏิบัติงานอย่างไร
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอาบูล ฮัสซัน มามูด อาลี (Mr. Abul Hassan Mahmood Ali) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนาย Nasrul Hamid รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรธรณี ในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีการแต่งตั้งตําแหน่งศาสตราภิชาน (Bangabandhu Chair Professor) ประจําสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานโดยเฉพาะพลังงานทดแทนและพลังงานยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศมาเยือนไทยในครั้งนี้เพื่อเป็นประธานในพิธีแต่งตั้งศาสตราภิชานประจําสถาบัน AIT เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทนําในด้านการส่งเสริมการวิจัยในสาขาพลังงาน และขอชื่นชมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและบังกลาเทศบรรลุความสําเร็จในการลงนามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางทูต พร้อมกันนี้ยังกล่าวขอบคุณบังกลาเทศ ที่ได้มอบหมายให้นาย Mohammed Shahriar Alam รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศ เป็นผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีบังกลาเทศ ร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวชื่นชมการพัฒนาของไทยว่า จากการได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนไทยหลายครั้ง เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีของประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี
ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวสนับสนุนการกําหนดเป้าหมายมูลค่าทางการค้า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 รวมทั้งความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-บังกลาเทศ นอกจากจะเป็นเครื่องมือส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าดังกล่าว ยังจะมีช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนให้ใกล้ชิด ซึ่งเอกชนไทยเองตระหนักถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศทั้งในฐานะตลาดใหญ่ในเอเชียใต้ที่มีจํานวนประชากรกว่า 160 ล้านคน มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และมีหลายสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ สาขา สิ่งทอ เกษตรแปรรูป ก่อสร้าง ท่องเที่ยว และพลังงานทดแทน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในด้านพลังงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการประมงน้ําลึก ซึ่งบังกลาเทศเห็นว่าไทยมีศักยภาพและต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากไทยด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง ความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ Thailand +1 พร้อมชื่นชมนโยบายของรัฐบาลบังกลาเทศที่ต้องการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศ โดยเฉพาะโครงการ Digital Park ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้
สําหรับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานที่ตั้งของไทยที่อยู่ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน และบังกลาเทศตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของอ่าวเบงกอล ทั้งสองฝ่ายมีบทบาท และสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ ที่ทั้งสองชาติเป็นสมาชิก โดยเฉพาะ ACD และ BIMSTEC ในการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับอาเซียน ไทยและบังกลาเทศเห็นพ้องถึงความสําคัญกับการจัดทําแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงภายใต้กรอบ BIMSTEC ในฐานะกรอบความร่วมมือหลักในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่บังกลาเทศจะรับตําแหน่งประธานองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในช่วงกลางปี 2561 ซึ่งไทยได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากบังกลาเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ทั้งนี้ คณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ได้เยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561 ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดีโดยคณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ได้เห็นสภาพความเป็นจริงในพื้นที่และเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลไทยที่เน้น “การพัฒนา” มากกว่าการปราบปราบ ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ให้เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วย สําหรับแนวทางการ ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจา ที่ผ่านมาไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจามาโดยตลอด โดยเห็นว่าจะต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งไทยได้มอบเงินช่วยเหลือแก่บังกลาเทศและเมียนมา และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่าการพูดคุยในวันนี้นําไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและบังกลาเทศ เพื่อมุ่งไปสู่การยกระดับไปสู่เป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลทั้งสองประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอาบูล ฮัสซัน มามูด อาลี (Mr. Abul Hassan Mahmood Ali) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนาย Nasrul Hamid รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรธรณี ในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีการแต่งตั้งตําแหน่งศาสตราภิชาน (Bangabandhu Chair Professor) ประจําสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงานโดยเฉพาะพลังงานทดแทนและพลังงานยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศมาเยือนไทยในครั้งนี้เพื่อเป็นประธานในพิธีแต่งตั้งศาสตราภิชานประจําสถาบัน AIT เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพลังงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทนําในด้านการส่งเสริมการวิจัยในสาขาพลังงาน และขอชื่นชมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและบังกลาเทศบรรลุความสําเร็จในการลงนามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางทูต พร้อมกันนี้ยังกล่าวขอบคุณบังกลาเทศ ที่ได้มอบหมายให้นาย Mohammed Shahriar Alam รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศ เป็นผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีบังกลาเทศ ร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวชื่นชมการพัฒนาของไทยว่า จากการได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนไทยหลายครั้ง เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีของประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี
ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวสนับสนุนการกําหนดเป้าหมายมูลค่าทางการค้า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 รวมทั้งความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-บังกลาเทศ นอกจากจะเป็นเครื่องมือส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าดังกล่าว ยังจะมีช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนให้ใกล้ชิด ซึ่งเอกชนไทยเองตระหนักถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศทั้งในฐานะตลาดใหญ่ในเอเชียใต้ที่มีจํานวนประชากรกว่า 160 ล้านคน มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และมีหลายสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ สาขา สิ่งทอ เกษตรแปรรูป ก่อสร้าง ท่องเที่ยว และพลังงานทดแทน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศกล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในด้านพลังงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการประมงน้ําลึก ซึ่งบังกลาเทศเห็นว่าไทยมีศักยภาพและต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากไทยด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง ความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ Thailand +1 พร้อมชื่นชมนโยบายของรัฐบาลบังกลาเทศที่ต้องการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศ โดยเฉพาะโครงการ Digital Park ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้
สําหรับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานที่ตั้งของไทยที่อยู่ศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน และบังกลาเทศตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของอ่าวเบงกอล ทั้งสองฝ่ายมีบทบาท และสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ ที่ทั้งสองชาติเป็นสมาชิก โดยเฉพาะ ACD และ BIMSTEC ในการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับอาเซียน ไทยและบังกลาเทศเห็นพ้องถึงความสําคัญกับการจัดทําแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงภายใต้กรอบ BIMSTEC ในฐานะกรอบความร่วมมือหลักในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่บังกลาเทศจะรับตําแหน่งประธานองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในช่วงกลางปี 2561 ซึ่งไทยได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากบังกลาเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเด็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ทั้งนี้ คณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ได้เยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561 ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดีโดยคณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ได้เห็นสภาพความเป็นจริงในพื้นที่และเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลไทยที่เน้น “การพัฒนา” มากกว่าการปราบปราบ ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะผู้แทนถาวรประจํา OIC ให้เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วย สําหรับแนวทางการ ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจา ที่ผ่านมาไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจามาโดยตลอด โดยเห็นว่าจะต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งไทยได้มอบเงินช่วยเหลือแก่บังกลาเทศและเมียนมา และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในด้านอื่น ๆ ต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่าการพูดคุยในวันนี้นําไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและบังกลาเทศ เพื่อมุ่งไปสู่การยกระดับไปสู่เป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลทั้งสองประเทศ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10788
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำทีมเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําทีมเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
7 มค 60 ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ รอบที่ 1 (07.30 น.) วันที่ 7 มกราคม 2560 นําทีมโดย นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สายงานยุทธศาสตร์และพัฒนา)นางชนากานต์โสดาบรรลุ ผู้อํานวยการฝ่ายการเงินและบัญชี นางอาทิตยา กลั่นดีมา ผู้อํานวยการกองสิทธิประโยชน์ นางสาวพิชญา โทบุตร ผู้อํานวยการกองกลาง นางสาวคริษฐา จึงศรีรัตนสกุล ผู้อํานวยการกองพัฒนาระบบงานสารสนเทศ นางสาวเขมต์ณัชญ์ กล้าหาญ ผู้อํานวยการกองประชาสัมพันธ์มูลนิธินิคมอุตสาหกรรมไทย
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริการอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้
- ขนมปังหมูหยอง 100 ชุด
- ขนมปังไส้กรอก 150 ชุด
- ขนมปังไส้แฮมมายองเนส 150 ชุด
- ครัวซองแฮม 100ชุด
- แซนวิช ฟาร์มเฮ้าส์ 200 ชุ
- กาแฟ 300 แก้ว
- โอวัลติน 300 แก้ว
- น้ําดื่ม/น้ําแข็ง 2000 แก้ว
แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยหน่วยงานหลักคือการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มูลนิธินิคมอุตสาหกรรมไทย และบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ําภาคตะวันออก จํากัด (มหาชน)(EASTWATER)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำทีมเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําทีมเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
7 มค 60 ผู้บริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ รอบที่ 1 (07.30 น.) วันที่ 7 มกราคม 2560 นําทีมโดย นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สายงานยุทธศาสตร์และพัฒนา)นางชนากานต์โสดาบรรลุ ผู้อํานวยการฝ่ายการเงินและบัญชี นางอาทิตยา กลั่นดีมา ผู้อํานวยการกองสิทธิประโยชน์ นางสาวพิชญา โทบุตร ผู้อํานวยการกองกลาง นางสาวคริษฐา จึงศรีรัตนสกุล ผู้อํานวยการกองพัฒนาระบบงานสารสนเทศ นางสาวเขมต์ณัชญ์ กล้าหาญ ผู้อํานวยการกองประชาสัมพันธ์มูลนิธินิคมอุตสาหกรรมไทย
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริการอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้
- ขนมปังหมูหยอง 100 ชุด
- ขนมปังไส้กรอก 150 ชุด
- ขนมปังไส้แฮมมายองเนส 150 ชุด
- ครัวซองแฮม 100ชุด
- แซนวิช ฟาร์มเฮ้าส์ 200 ชุ
- กาแฟ 300 แก้ว
- โอวัลติน 300 แก้ว
- น้ําดื่ม/น้ําแข็ง 2000 แก้ว
แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยหน่วยงานหลักคือการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มูลนิธินิคมอุตสาหกรรมไทย และบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ําภาคตะวันออก จํากัด (มหาชน)(EASTWATER)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1242
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้ [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้ [กระทรวงพาณิชย์]
“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้
“พาณิชย์”ส่งเจลล้างมือธงฟ้าขนาด 100 มิลลิลิตร ราคา 30 บาท จํานวน 1 ล้านถุง ขายให้ประชาชนผ่านรถเร่ธงฟ้าแล้ว เตรียมเปิดจําหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งช้อปปี้ และลาซาด้า เร็วๆ นี้ด้วย เผยหากยังมีความต้องการเพิ่ม จะผลิตล็อต 2 ออกจําหน่ายอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้เจลล้างมือธงฟ้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตทําการผลิตออกมาจําหน่ายจํานวน 1 ล้านหลอด ได้มีการผลิตออกมาแล้ว เป็นขนาดบรรจุ 100 มิลลิลิตร จําหน่ายในราคา 30 บาท และได้ส่งไปจําหน่ายผ่านรถเร่ธงฟ้าที่มีอยู่ 265 คัน ที่วิ่งให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว ส่วนในต่างจังหวัด ก็ส่งไปจําหน่ายผ่านรถเร่ที่วิ่งให้บริการในแต่ละจังหวัดเช่นเดียวกัน โดยมีการจํากัดการซื้อของประชาชนคนละไม่เกิน 1 หลอด เพื่อให้สินค้าทั่วถึง
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กําลังประสานแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้ง Shopee และ Lazada ให้เข้ามาช่วยเป็นตัวกลางในการจําหน่ายเจลล้างมือธงฟ้าด้วย ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างการนําสินค้าเข้าไปวางจําหน่าย คาดว่าจะเปิดให้มีการสั่งซื้อได้ในเร็วๆ นี้ ในราคาหลอดละ 30 บาทเช่นเดียวกัน แต่จะจํากัดการซื้อ เบื้องต้นอาจให้ไม่เกินคนละ 1-2 หลอด
สําหรับการจัดทําเจลล้างมือธงฟ้าดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เร่งรัดให้เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนให้สามารถหาซื้อเจลล้างมือได้ง่ายขึ้น และราคาถูกลง เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และการส่งเจลล้างมือธงฟ้าเข้าสู่ตลาด ยังจะช่วยทําให้กลไกตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาขาดแคลนสินค้าและราคาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดจําหน่ายเจลล้างมือธงฟ้าล็อตแรกแล้ว กระทรวงพาณิชย์จะมีการติดตามสถานการณ์ และประเมินสถานการณ์การผลิตและจําหน่ายเจลล้างมืออีกครั้งว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้ กรมสรรพสามิตได้มีการปลดล็อกให้นําแอลกอฮอล์มาใช้ผลิตเจลล้างมือได้แล้ว และขณะนี้ผู้ผลิตต่างๆ กําลังเร่งผลิต คาดว่าสินค้าจะออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น จะมีการผลิตเจลล้างมือธงฟ้าล็อตที่ 2 ออกมาจําหน่าย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคต่อไป
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้ [กระทรวงพาณิชย์]
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้ [กระทรวงพาณิชย์]
“เจลล้างมือธงฟ้า”ขนาด 100 ml ราคา 30 บาท ขายแล้วผ่านรถเร่ ส่วนในช้อปปี้ ลาซาด้า เร็วๆ นี้
“พาณิชย์”ส่งเจลล้างมือธงฟ้าขนาด 100 มิลลิลิตร ราคา 30 บาท จํานวน 1 ล้านถุง ขายให้ประชาชนผ่านรถเร่ธงฟ้าแล้ว เตรียมเปิดจําหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งช้อปปี้ และลาซาด้า เร็วๆ นี้ด้วย เผยหากยังมีความต้องการเพิ่ม จะผลิตล็อต 2 ออกจําหน่ายอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้เจลล้างมือธงฟ้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตทําการผลิตออกมาจําหน่ายจํานวน 1 ล้านหลอด ได้มีการผลิตออกมาแล้ว เป็นขนาดบรรจุ 100 มิลลิลิตร จําหน่ายในราคา 30 บาท และได้ส่งไปจําหน่ายผ่านรถเร่ธงฟ้าที่มีอยู่ 265 คัน ที่วิ่งให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว ส่วนในต่างจังหวัด ก็ส่งไปจําหน่ายผ่านรถเร่ที่วิ่งให้บริการในแต่ละจังหวัดเช่นเดียวกัน โดยมีการจํากัดการซื้อของประชาชนคนละไม่เกิน 1 หลอด เพื่อให้สินค้าทั่วถึง
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กําลังประสานแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้ง Shopee และ Lazada ให้เข้ามาช่วยเป็นตัวกลางในการจําหน่ายเจลล้างมือธงฟ้าด้วย ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างการนําสินค้าเข้าไปวางจําหน่าย คาดว่าจะเปิดให้มีการสั่งซื้อได้ในเร็วๆ นี้ ในราคาหลอดละ 30 บาทเช่นเดียวกัน แต่จะจํากัดการซื้อ เบื้องต้นอาจให้ไม่เกินคนละ 1-2 หลอด
สําหรับการจัดทําเจลล้างมือธงฟ้าดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เร่งรัดให้เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนให้สามารถหาซื้อเจลล้างมือได้ง่ายขึ้น และราคาถูกลง เพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และการส่งเจลล้างมือธงฟ้าเข้าสู่ตลาด ยังจะช่วยทําให้กลไกตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาขาดแคลนสินค้าและราคาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดจําหน่ายเจลล้างมือธงฟ้าล็อตแรกแล้ว กระทรวงพาณิชย์จะมีการติดตามสถานการณ์ และประเมินสถานการณ์การผลิตและจําหน่ายเจลล้างมืออีกครั้งว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้ กรมสรรพสามิตได้มีการปลดล็อกให้นําแอลกอฮอล์มาใช้ผลิตเจลล้างมือได้แล้ว และขณะนี้ผู้ผลิตต่างๆ กําลังเร่งผลิต คาดว่าสินค้าจะออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น จะมีการผลิตเจลล้างมือธงฟ้าล็อตที่ 2 ออกมาจําหน่าย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคต่อไป
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28738
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม ที่จังหวัดภูเก็ต
|
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม ที่จังหวัดภูเก็ต
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม สาเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดหวาดระแวงคิดว่าแฟนสาวจะปันใจให้ชายอื่น ที่ จ.ภูเก็ต
วันนี้ (25 เม.ย. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 616/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีชายวัย 21 ปี ถ่ายคลิปวีดีโอโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ขณะก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน ด้วยการแขวนคอ แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตามหนีความผิด สาเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดหวาดระแวงคิดว่าแฟนสาวจะปันใจให้ชายอื่น ที่อําเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต (พมจ.ภูเก็ต) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสียอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ตนขอฝากย้ําเตือนให้เป็นกรณีตัวอย่างความรุนแรงในครอบครัว หากเกิดปัญหาการไม่เข้าใจกัน ให้หันหน้ามาปรับความเข้าใจกัน พูดคุยกันอย่างมีสติ อย่าใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีชายรายหนึ่ง เป็นอดีตทหารผ่านศึก พิการแขน-ขา และตาบอด 1 ข้าง ทําให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ อาศัยอยู่กับภรรยาเพียงลําพัง ที่ทําหน้าที่เป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว โดยการเก็บของเก่าขาย มีรายได้เพียงวันละ 100 บาท ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าคับแคบ สภาพเก่าทรุดโทรม ด้านเจ้าตัวเปิดเผยว่าอยากให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือพาไปทําบัตรทหารผ่านศึกที่ถูกไฟไหม้ไป และอยากรักษาตัวให้หาย เพื่อที่จะทํางานหาเลี้ยงครอบครัวได้ ที่ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ นั้น ตนได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้น ตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการรักษาพยาบาลในระยะยาว การช่วยเหลือเรื่องการดําเนินการทําบัตรทหารผ่านศึกให้ใหม่ รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษา ในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม ที่จังหวัดภูเก็ต
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม ที่จังหวัดภูเก็ต
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจครอบครัวของชายวัย 21 ปี ที่ก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตาม สาเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดหวาดระแวงคิดว่าแฟนสาวจะปันใจให้ชายอื่น ที่ จ.ภูเก็ต
วันนี้ (25 เม.ย. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 616/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีชายวัย 21 ปี ถ่ายคลิปวีดีโอโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ขณะก่อเหตุฆ่าลูกสาววัยเพียง 11 เดือน ด้วยการแขวนคอ แล้วผูกคอฆ่าตัวตายตามหนีความผิด สาเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดหวาดระแวงคิดว่าแฟนสาวจะปันใจให้ชายอื่น ที่อําเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต (พมจ.ภูเก็ต) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสียอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ตนขอฝากย้ําเตือนให้เป็นกรณีตัวอย่างความรุนแรงในครอบครัว หากเกิดปัญหาการไม่เข้าใจกัน ให้หันหน้ามาปรับความเข้าใจกัน พูดคุยกันอย่างมีสติ อย่าใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีชายรายหนึ่ง เป็นอดีตทหารผ่านศึก พิการแขน-ขา และตาบอด 1 ข้าง ทําให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ อาศัยอยู่กับภรรยาเพียงลําพัง ที่ทําหน้าที่เป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว โดยการเก็บของเก่าขาย มีรายได้เพียงวันละ 100 บาท ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าคับแคบ สภาพเก่าทรุดโทรม ด้านเจ้าตัวเปิดเผยว่าอยากให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือพาไปทําบัตรทหารผ่านศึกที่ถูกไฟไหม้ไป และอยากรักษาตัวให้หาย เพื่อที่จะทํางานหาเลี้ยงครอบครัวได้ ที่ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ นั้น ตนได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้น ตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการรักษาพยาบาลในระยะยาว การช่วยเหลือเรื่องการดําเนินการทําบัตรทหารผ่านศึกให้ใหม่ รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษา ในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3290
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย ประชุม นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 61/62 ให้ ธ.ก.ส. เร่งดําเนินการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว-ปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,500 บาท พร้อมจ่ายเบี้ยประกันภัยตามโครงการประกันภัยโดยเร่งด่วน
วันที่ 20 พ.ย.61 เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ 6/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
1. รับทราบตามที่สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรรายงานผลการสํารวจพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2561/62 ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2561 ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ และอุบลราชธานี ซึ่งปรากฏว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าว ปี 2561/62 ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือพื้นที่ประมาณ 59.22 ล้านไร่ ในขณะที่เนื้อที่เก็บเกี่ยวลดลงเหลือ 53.37 ล้านไร่ (ปี 2560/61 จํานวน 54.98 ล้านไร่) ผลผลิต 24.24 ล้านตัน (ปี 60/61 จํานวน 24.94 ล้านตัน) ลดลงร้อยละ 2.79 เนื่องจากประสบภัยแล้งและน้ําท่วม พื้นที่ความเสียหายส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคาดว่าผลผลิตข้าวหอมมะลิ จะมีประมาณ 6.59 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 13.36 ข้าวหอมจังหวัด ประมาณ 1.51 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.30 ข้าวปทุมธานี 1 ประมาณ 0.90 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.84 ข้าวเจ้าอื่น ประมาณ 9.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.78 และข้าวเหนียว ประมาณ 5.99 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 1.04
2. การเร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
2.1 รับทราบตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานผลการสํารวจความเสียหาย ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เสียหายและจังหวัดประกาศภัยพิบัติแล้ว 7 จังหวัด เกษตรกร 73,828 ราย พื้นที่การเกษตรเสียหาย 911,914.50 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 881,711 ไร่ อยู่ระหว่างรอการประกาศ 4 จังหวัด พื้นที่ 600,000 ไร่ จ่ายแล้วที่จังหวัดอุทัยธานี 18 ราย พื้นที่ 177.25 ไร่ วงเงิน 201,327 บาท
2.2 รับทราบแผนการปฏิบัติงานการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ ปี 2561 ตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานในการดําเนินการช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน ซึ่งมีขั้นตอนในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายดําเนินการภายใน 3 เดือน *** กรณี เร่งด่วน ดําเนินการช่วยเหลือได้ภายใน 15 วัน) ***
2.3 มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เร่งดําเนินการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,500 บาท จํานวน 12 ไร่ หรือครัวเรือนละ 18,000 บาท และการจ่ายเบี้ยประกันภัยตามโครงการประกันภัยของกระทรวงการคลัง ในพื้นที่ได้รับความเสียหายโดยเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2561
2.4 มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย สํานักงบประมาณ ในการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ตามขั้นตอนระเบียบกระทรวงการคลัง โดยเร่งด่วน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือนร้อน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ภายใน 7 วัน โดยดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2561
3. การพิจารณาโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63
3.1 รับทราบผลการสํารวจจากกรมส่งเสริมการเกษตร ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่พบว่า มีพื้นที่ทํานาข้าวประสบภัยภาวะฝนทิ้งช่วง จํานวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี อุตรดิตถ์ สุโขทัย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครราชสีมา มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และชัยภูมิ จํานวน 2.62 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง จํานวน 0.76 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 จังหวัด พื้นที่ 2.47 ล้านไร่ เสียหายสิ้นเชิง 0.68 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกหอมมะลิ
3.2 เห็นชอบในหลักการโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อให้การผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีประสิทธิภาพ ผลผลิตมีคุณภาพสูง รักษาระดับ ปริมาณ และเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทย จากการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าและตลาดข้าวหอมมะลิไทย โดยการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ (พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 หรือพันธุ์ กข15) ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ประสบฝนแล้งและฝนทิ้งช่วง สําหรับใช้เพาะพันธุ์ข้าวในฤดูนาปี ปีการผลิต 2562/63 เป้าหมายเมล็ดพันธุ์จํานวน 10,000 ตัน ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ 2,000,000 ไร่ ในพื้นที่ 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา) โดยคุณสมบัติเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและกรอบการช่วยเหลือสรุปได้ ดังนี้
1) เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ข้าวหอมมะลิ) ปี 2561/62 กับกรมส่งเสริมการเกษตร และมีแปลงปลูกข้าวเสียหายสิ้นเชิงอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 31 ต.ค.61 และได้รับการรับรองความเสียหายจากการประชาคมหมู่บ้าน และผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยคณะกรรมการระดับอําเภอ
2) สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกร ไร่ละ 5 กิโลกรัม ตามพื้นที่ปลูกข้าวจริงที่ประสบฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงแต่ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 50 กิโลกรัม)
3) งบประมาณที่ใช้ดําเนินการ วงเงิน 275,147,520 บาท โดยขอสนับสนุนเงินจากงบประมาณ ปี พ.ศ. 2562 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น แยกเป็น ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิรวมค่าขนส่ง 270,000,000 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการ 5,147,520 บาท
ทั้งนี้ ให้นําข้อห่วงใยของคณะกรรมการ นบข. กรณีการช่วยเหลือดังกล่าวจะต้องมีการตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน ไม่ซ้ําซ้อนในการช่วยเหลือของเกษตรกรในโครงการอื่นๆ ของภาครัฐ และกํากับดูแล วิธีการในเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการปลูกของเกษตรกร โดยให้คํานึงถึง Demand Supply และราคาที่จําหน่ายของเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐให้เกษตรกรทราบด้วย
4) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ และอนุมัติงบประมาณ ปี พ.ศ. 2562 จากงบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น วงเงิน 275,147,520 บาท ต่อไป
5) เห็นชอบแนวทางการจัดงาน THAI RICE EXPO โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ศักยภาพของข้าวไทย ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สํานักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอด Supply Chain ของข้าว นําเสนอคณะกรรมการ นบข. พิจารณาต่อไป
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย ประชุม นบข. เร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 61/62 ให้ ธ.ก.ส. เร่งดําเนินการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว-ปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,500 บาท พร้อมจ่ายเบี้ยประกันภัยตามโครงการประกันภัยโดยเร่งด่วน
วันที่ 20 พ.ย.61 เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ 6/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
1. รับทราบตามที่สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรรายงานผลการสํารวจพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี ปีการเพาะปลูก 2561/62 ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2561 ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ และอุบลราชธานี ซึ่งปรากฏว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าว ปี 2561/62 ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือพื้นที่ประมาณ 59.22 ล้านไร่ ในขณะที่เนื้อที่เก็บเกี่ยวลดลงเหลือ 53.37 ล้านไร่ (ปี 2560/61 จํานวน 54.98 ล้านไร่) ผลผลิต 24.24 ล้านตัน (ปี 60/61 จํานวน 24.94 ล้านตัน) ลดลงร้อยละ 2.79 เนื่องจากประสบภัยแล้งและน้ําท่วม พื้นที่ความเสียหายส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคาดว่าผลผลิตข้าวหอมมะลิ จะมีประมาณ 6.59 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 13.36 ข้าวหอมจังหวัด ประมาณ 1.51 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.30 ข้าวปทุมธานี 1 ประมาณ 0.90 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.84 ข้าวเจ้าอื่น ประมาณ 9.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.78 และข้าวเหนียว ประมาณ 5.99 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 1.04
2. การเร่งรัดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62
2.1 รับทราบตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานผลการสํารวจความเสียหาย ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เสียหายและจังหวัดประกาศภัยพิบัติแล้ว 7 จังหวัด เกษตรกร 73,828 ราย พื้นที่การเกษตรเสียหาย 911,914.50 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 881,711 ไร่ อยู่ระหว่างรอการประกาศ 4 จังหวัด พื้นที่ 600,000 ไร่ จ่ายแล้วที่จังหวัดอุทัยธานี 18 ราย พื้นที่ 177.25 ไร่ วงเงิน 201,327 บาท
2.2 รับทราบแผนการปฏิบัติงานการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ ปี 2561 ตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานในการดําเนินการช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน ซึ่งมีขั้นตอนในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายดําเนินการภายใน 3 เดือน *** กรณี เร่งด่วน ดําเนินการช่วยเหลือได้ภายใน 15 วัน) ***
2.3 มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เร่งดําเนินการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,500 บาท จํานวน 12 ไร่ หรือครัวเรือนละ 18,000 บาท และการจ่ายเบี้ยประกันภัยตามโครงการประกันภัยของกระทรวงการคลัง ในพื้นที่ได้รับความเสียหายโดยเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2561
2.4 มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย สํานักงบประมาณ ในการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ตามขั้นตอนระเบียบกระทรวงการคลัง โดยเร่งด่วน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือนร้อน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ภายใน 7 วัน โดยดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2561
3. การพิจารณาโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63
3.1 รับทราบผลการสํารวจจากกรมส่งเสริมการเกษตร ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่พบว่า มีพื้นที่ทํานาข้าวประสบภัยภาวะฝนทิ้งช่วง จํานวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี อุตรดิตถ์ สุโขทัย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครราชสีมา มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และชัยภูมิ จํานวน 2.62 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เสียหายสิ้นเชิง จํานวน 0.76 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 จังหวัด พื้นที่ 2.47 ล้านไร่ เสียหายสิ้นเชิง 0.68 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกหอมมะลิ
3.2 เห็นชอบในหลักการโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อให้การผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีประสิทธิภาพ ผลผลิตมีคุณภาพสูง รักษาระดับ ปริมาณ และเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทย จากการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าและตลาดข้าวหอมมะลิไทย โดยการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ (พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 หรือพันธุ์ กข15) ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ประสบฝนแล้งและฝนทิ้งช่วง สําหรับใช้เพาะพันธุ์ข้าวในฤดูนาปี ปีการผลิต 2562/63 เป้าหมายเมล็ดพันธุ์จํานวน 10,000 ตัน ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ 2,000,000 ไร่ ในพื้นที่ 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา) โดยคุณสมบัติเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและกรอบการช่วยเหลือสรุปได้ ดังนี้
1) เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (ข้าวหอมมะลิ) ปี 2561/62 กับกรมส่งเสริมการเกษตร และมีแปลงปลูกข้าวเสียหายสิ้นเชิงอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 31 ต.ค.61 และได้รับการรับรองความเสียหายจากการประชาคมหมู่บ้าน และผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยคณะกรรมการระดับอําเภอ
2) สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกร ไร่ละ 5 กิโลกรัม ตามพื้นที่ปลูกข้าวจริงที่ประสบฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงแต่ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 50 กิโลกรัม)
3) งบประมาณที่ใช้ดําเนินการ วงเงิน 275,147,520 บาท โดยขอสนับสนุนเงินจากงบประมาณ ปี พ.ศ. 2562 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น แยกเป็น ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิรวมค่าขนส่ง 270,000,000 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการ 5,147,520 บาท
ทั้งนี้ ให้นําข้อห่วงใยของคณะกรรมการ นบข. กรณีการช่วยเหลือดังกล่าวจะต้องมีการตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน ไม่ซ้ําซ้อนในการช่วยเหลือของเกษตรกรในโครงการอื่นๆ ของภาครัฐ และกํากับดูแล วิธีการในเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการปลูกของเกษตรกร โดยให้คํานึงถึง Demand Supply และราคาที่จําหน่ายของเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐให้เกษตรกรทราบด้วย
4) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ และอนุมัติงบประมาณ ปี พ.ศ. 2562 จากงบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น วงเงิน 275,147,520 บาท ต่อไป
5) เห็นชอบแนวทางการจัดงาน THAI RICE EXPO โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ศักยภาพของข้าวไทย ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สํานักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอด Supply Chain ของข้าว นําเสนอคณะกรรมการ นบข. พิจารณาต่อไป
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16956
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯกอบชัย เปิดหลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม
|
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562
ปลัดฯกอบชัย เปิดหลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตร ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ณ ห้องนพวงศ์ 1 โรงแรม เดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2562) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตร ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม จัดโดยกองบริหารทรัพยากรบุคคล สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนางสาวสุนีย์ โสภณ ผู้อํานวยการกองบริหารทรัพยากรบุคคล กล่าวรายงาน โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2562 มีผู้เข้าอบรม จํานวน 40 คน ณ ห้องนพวงศ์ 1 โรงแรม เดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
หลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม เกิดขึ้นจากการที่ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงความสําคัญของบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในฐานะเป็นตัวแทนของกระทรวงในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะต้องมีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและแก้ปัญหาการปฏิบัติงานในพื้นที่จริง และนําความรู้ที่ได้ไปพัฒนาในการปฏิบัติงานและเกิดประสิทธิผลต่อการพัฒนาองค์กร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯกอบชัย เปิดหลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562
ปลัดฯกอบชัย เปิดหลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตร ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ณ ห้องนพวงศ์ 1 โรงแรม เดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2562) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตร ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม จัดโดยกองบริหารทรัพยากรบุคคล สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนางสาวสุนีย์ โสภณ ผู้อํานวยการกองบริหารทรัพยากรบุคคล กล่าวรายงาน โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2562 มีผู้เข้าอบรม จํานวน 40 คน ณ ห้องนพวงศ์ 1 โรงแรม เดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
หลักสูตรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม เกิดขึ้นจากการที่ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงความสําคัญของบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในฐานะเป็นตัวแทนของกระทรวงในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะต้องมีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและแก้ปัญหาการปฏิบัติงานในพื้นที่จริง และนําความรู้ที่ได้ไปพัฒนาในการปฏิบัติงานและเกิดประสิทธิผลต่อการพัฒนาองค์กร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24671
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
|
วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกฤษณ์ ธนาวณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นางนิยดา หมื่นอนันต์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ น.ส.รตนพร กิติกาศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ นํากลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วงในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าเยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ โดยมีนายพงศ์วิชญ์ วุฒิสมบูรณ์ กรรมการบริหารให้การต้อนรับ พร้อมนําเสนอข้อมูลการผลิตของบริษัทฯ
ทั้งนี้ ได้มีการหารือระหว่างสถานประกอบการกับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเชื่อมโยงวัตถุดิบมะม่วงสู่กระบวนการผลิตและการจําหน่าย ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนการนําแนวทางการตลาดนําการผลิตไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
ผู้ตรวจฯ พรเทพ เยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ จ.เชียงใหม่
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกฤษณ์ ธนาวณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นางนิยดา หมื่นอนันต์ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ น.ส.รตนพร กิติกาศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ นํากลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วงในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าเยี่ยมชม บริษัท ปริ๊นเซส ฟูดส์ จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกผัก ผลไม้ และอาหารแช่แข็งรายใหญ่ โดยมีนายพงศ์วิชญ์ วุฒิสมบูรณ์ กรรมการบริหารให้การต้อนรับ พร้อมนําเสนอข้อมูลการผลิตของบริษัทฯ
ทั้งนี้ ได้มีการหารือระหว่างสถานประกอบการกับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเชื่อมโยงวัตถุดิบมะม่วงสู่กระบวนการผลิตและการจําหน่าย ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนการนําแนวทางการตลาดนําการผลิตไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลอากาศเอก ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
|
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
รอง นรม. พลอากาศเอก ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนให้ได้มาตรฐานสากล
วันนี้ (9 มกราคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ เรื่องการจัดทํามาตรฐานฝีมือแรงงานและมาตรฐานอาชีพในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นความต้องการของประเทศไทย ซึ่งกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงระหว่างคุณวุฒิการศึกษา/คุณวุฒิวิชาชีพกับมาตรฐานวิชาชีพ ดังนั้นในการหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ได้มีการสั่งการให้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการจัดทํามาตรฐานวิชาชีพในอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายสําคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ดําเนินการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นการจัดทํามาตรฐานวิชาชีพ ที่มีการดําเนินการโดยหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการกําลังแรงงานและระบบคุณวุฒิ ประกอบด้วยข้อมูลสองส่วนคือ (1) มาตรฐานฝีมือแรงงาน จัดทําโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และ (2) มาตรฐานอาชีพจัดทําโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยคัดเลือกสาขาอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการกําลังคนของประเทศ ใน 10 อุตสาหกรรม จําแนกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) จํานวน 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) จํานวน 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและ โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
พร้อมกันนี้ ประธานได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา เพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับการพัฒนากําลังคนของประเทศให้สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (Roadmap) พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีเป้าหมาย เพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนของประเทศให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ ตามมาตรฐานอาเซียนและสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาและมาตรฐานอาชีพ/ฝีมือแรงงานของประเทศ และเพื่อเทียบโอนคุณวุฒิการศึกษา คุณวุฒิวิชาชีพ และประสบการณ์ ผ่านการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ซึ่งมี ยุทธศาสตร์ 1)การส่งเสริมการนํากรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ 2)การพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 3)การพัฒนามาตรฐานอาชีพ/ฝีมือแรงงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 4) การพัฒนามาตรฐานด้านการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนพร้อมการฝึกอบรมตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและ 5)การยกระดับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่มาตรฐานระดับอาเซียนและสากล ทั้งนี้ ประธานได้มอบหมายเพิ่มเติมให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปดําเนินการเรื่องดังกล่าวในภาคปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและนําเสนอที่ประชุมครั้งต่อไป
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลอากาศเอก ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
รอง นรม. พลอากาศเอก ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนให้ได้มาตรฐานสากล
วันนี้ (9 มกราคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ เรื่องการจัดทํามาตรฐานฝีมือแรงงานและมาตรฐานอาชีพในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นความต้องการของประเทศไทย ซึ่งกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงระหว่างคุณวุฒิการศึกษา/คุณวุฒิวิชาชีพกับมาตรฐานวิชาชีพ ดังนั้นในการหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ได้มีการสั่งการให้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการจัดทํามาตรฐานวิชาชีพในอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายสําคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ดําเนินการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นการจัดทํามาตรฐานวิชาชีพ ที่มีการดําเนินการโดยหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการกําลังแรงงานและระบบคุณวุฒิ ประกอบด้วยข้อมูลสองส่วนคือ (1) มาตรฐานฝีมือแรงงาน จัดทําโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และ (2) มาตรฐานอาชีพจัดทําโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยคัดเลือกสาขาอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการกําลังคนของประเทศ ใน 10 อุตสาหกรรม จําแนกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) จํานวน 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) จํานวน 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและ โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
พร้อมกันนี้ ประธานได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา เพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับการพัฒนากําลังคนของประเทศให้สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (Roadmap) พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีเป้าหมาย เพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนของประเทศให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ ตามมาตรฐานอาเซียนและสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาและมาตรฐานอาชีพ/ฝีมือแรงงานของประเทศ และเพื่อเทียบโอนคุณวุฒิการศึกษา คุณวุฒิวิชาชีพ และประสบการณ์ ผ่านการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ซึ่งมี ยุทธศาสตร์ 1)การส่งเสริมการนํากรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ 2)การพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 3)การพัฒนามาตรฐานอาชีพ/ฝีมือแรงงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 4) การพัฒนามาตรฐานด้านการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนพร้อมการฝึกอบรมตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและ 5)การยกระดับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่มาตรฐานระดับอาเซียนและสากล ทั้งนี้ ประธานได้มอบหมายเพิ่มเติมให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปดําเนินการเรื่องดังกล่าวในภาคปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและนําเสนอที่ประชุมครั้งต่อไป
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1263
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดทัพใหญ่ขับเคลื่อน SME 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนขานรับนโยบายพัฒนาธุรกิจขนาดย่อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม ชูศูนย์ ITC จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์ต้นแบบ
|
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
ก.อุตฯ จัดทัพใหญ่ขับเคลื่อน SME 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนขานรับนโยบายพัฒนาธุรกิจขนาดย่อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม ชูศูนย์ ITC จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์ต้นแบบ
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อหารือขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อน SMEs 4.0 ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อหารือขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อน SMEs 4.0 ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยมีนายสันติ กีระนันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นางวิภาวัลย์ วรพุฒิพงศ์ ประธานกรรมการหอการค้า จ.เชียงใหม่ นายอาคม ศุภางค์เผ่า ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีภาคเหนือ คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารองค์กรเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน จ.เชียงใหม่ ร่วมประชุมหารือ และมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงมีนโยบายที่จะพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน SME 4.0 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่การเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป และของฝากของที่ระลึก “เรามีมาตรการที่จะช่วย SME ในพื้นที่ภาคเหนือให้พัฒนาตนเอง และยกระดับผลิตภาพ (Productivity) ด้วยกลไกลประชารัฐที่ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งแนวทางสําคัญหนึ่งก็คือ การสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยง SME สู่การนํานวัตกรรมมาประยุกต์ และสร้างโอกาสให้สินค้าและบริการของไทยเข้าสู่ตลาดโลกผ่าน E-Commerce แพลตฟอร์ม”
การสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยง SME สู่การนํานวัตกรรมมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จะทําผ่านศูนย์ปฏิรูปสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC) ซึ่งศูนย์ ITC เป็นศูนย์ต้นแบบ และพัฒนาอัตลักษณ์ Local Identity จากลักษณะเด่นของธุรกิจทางภาคเหนือ เพื่อสร้างเศรษฐกิจและชุมชน โดยศูนย์นี้เป็นการนํารูปแบบจากศูนย์ ITC ต้นแบบที่กรุงเทพมหานคร มาปรับให้เหมาะสมกับศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ เพื่อให้บริการและสนับสนุน SMEs ในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป ของฝากและของที่ระลึกต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์กาแฟ ชา และสมุนไพร เป็นต้น
รมต.อุตตมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม SME สัญจร ในครั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมในทุกมิติ เพื่อตอบสนองความต้องการของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในด้านต่างๆ อาทิๆ
1) Skill Up ส่งเสริมการพัฒนาคนให้สอดรับกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 สําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยใช้ Smart Tools โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับสังคมดิจิทัล
2) Startup สนับสนุนการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ ครอบคลุมทั้งภาคการเกษตร ภาคการค้า ภาคบริการ รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการส่งเสริมการนํางานวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรมด้วยการเน้นการสร้างสรรค์การออกแบบ (Design) และการใช้งาน (Function) รวมถึงการให้ความสนับสนุนด้านกองทุนร่วมลงทุนให้กับกลุ่ม Startup
3) Scale up มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป โดยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การบ่มเพาะผู้ประกอบการ การมอบคูปองเสริมแกร่งด้านต่าง ๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดทัพใหญ่ขับเคลื่อน SME 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนขานรับนโยบายพัฒนาธุรกิจขนาดย่อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม ชูศูนย์ ITC จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์ต้นแบบ
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
ก.อุตฯ จัดทัพใหญ่ขับเคลื่อน SME 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนขานรับนโยบายพัฒนาธุรกิจขนาดย่อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม ชูศูนย์ ITC จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์ต้นแบบ
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อหารือขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อน SMEs 4.0 ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อหารือขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อน SMEs 4.0 ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยมีนายสันติ กีระนันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นางวิภาวัลย์ วรพุฒิพงศ์ ประธานกรรมการหอการค้า จ.เชียงใหม่ นายอาคม ศุภางค์เผ่า ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีภาคเหนือ คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารองค์กรเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน จ.เชียงใหม่ ร่วมประชุมหารือ และมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงมีนโยบายที่จะพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน SME 4.0 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่การเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป และของฝากของที่ระลึก “เรามีมาตรการที่จะช่วย SME ในพื้นที่ภาคเหนือให้พัฒนาตนเอง และยกระดับผลิตภาพ (Productivity) ด้วยกลไกลประชารัฐที่ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งแนวทางสําคัญหนึ่งก็คือ การสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยง SME สู่การนํานวัตกรรมมาประยุกต์ และสร้างโอกาสให้สินค้าและบริการของไทยเข้าสู่ตลาดโลกผ่าน E-Commerce แพลตฟอร์ม”
การสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยง SME สู่การนํานวัตกรรมมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จะทําผ่านศูนย์ปฏิรูปสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC) ซึ่งศูนย์ ITC เป็นศูนย์ต้นแบบ และพัฒนาอัตลักษณ์ Local Identity จากลักษณะเด่นของธุรกิจทางภาคเหนือ เพื่อสร้างเศรษฐกิจและชุมชน โดยศูนย์นี้เป็นการนํารูปแบบจากศูนย์ ITC ต้นแบบที่กรุงเทพมหานคร มาปรับให้เหมาะสมกับศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ เพื่อให้บริการและสนับสนุน SMEs ในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป ของฝากและของที่ระลึกต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์กาแฟ ชา และสมุนไพร เป็นต้น
รมต.อุตตมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม SME สัญจร ในครั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมในทุกมิติ เพื่อตอบสนองความต้องการของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในด้านต่างๆ อาทิๆ
1) Skill Up ส่งเสริมการพัฒนาคนให้สอดรับกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 สําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยใช้ Smart Tools โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับสังคมดิจิทัล
2) Startup สนับสนุนการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ ครอบคลุมทั้งภาคการเกษตร ภาคการค้า ภาคบริการ รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการส่งเสริมการนํางานวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรมด้วยการเน้นการสร้างสรรค์การออกแบบ (Design) และการใช้งาน (Function) รวมถึงการให้ความสนับสนุนด้านกองทุนร่วมลงทุนให้กับกลุ่ม Startup
3) Scale up มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป โดยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การบ่มเพาะผู้ประกอบการ การมอบคูปองเสริมแกร่งด้านต่าง ๆ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13838
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาล เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย ผู้ค้ารายย่อยยังมีโอกาสขอได้ถึง 30 ธันวาคม นี้ ระบุ รัฐบาลต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ได้สนับสนุนให้เป็นหนี้
วันนี้ (25 ก.ย. 59) พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน มีผู้ลงทะเบียนแล้ว จํานวน 37,634 ราย ได้รับอนุมัติสินเชื่อไปแล้วเป็นจํานวน 26,066 ราย คิดเป็นเงิน 3,024.02 ล้านบาท
“รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อสําหรับโครงการนี้ผ่านธนาคารออมสินให้แก่ผู้ค้ารายย่อย เช่น พ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างสาธารณะ หรือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยสามารถนําเงินที่ได้ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ ใช้บรรเทาความเดือดร้อนในการดํารงชีพ หรือใช้ชําระหนี้สินต่างๆ รวมถึงหนี้นอกระบบ ซึ่งผู้สนใจยังสามารถลงทะเบียนขอสินเชื่อได้ถึง 30 ธันวาคม 2559 นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้กําหนดวงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องชําระคืนภายใน 5 ปี ผู้กู้จะต้องมีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน มีที่อยู่อาศัยแน่นอนที่สามารถติดต่อได้ มีอายุ 20 ปีขึ้นไปโดยรวมกับระยะเวลาชําระเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 65 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กู้มีความสามารถในการผ่อนชําระสินเชื่อได้”
พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสินประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ทั่วถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อไม่ให้เสียโอกาส โดยธนาคารแต่ละสาขาจะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมอธิบายรายละเอียดโครงการ วัตถุประสงค์ และเหตุผลของเงื่อนไขต่างๆ อย่างชัดเจนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาในความยากของการอนุมัติสินเชื่อ
“รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้คนเป็นหนี้ ส่วนคนที่เป็นหนี้อยู่แล้วจากการกู้เงินนอกระบบ สินเชื่อจากโครงการนี้จะช่วยยืดระยะเวลาให้ปัญหาบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะขอสินเชื่อควรขอเท่าที่จําเป็นและมีความสามารถในการผ่อนชําระ เพื่อไม่ให้เป็นการพอกพูนปัญหาหนี้สินให้มากขึ้น และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในการดํารงชีวิต”
__________
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาล เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชนมีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 2.6 หมื่นราย ผู้ค้ารายย่อยยังมีโอกาสขอได้ถึง 30 ธันวาคม นี้ ระบุ รัฐบาลต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ได้สนับสนุนให้เป็นหนี้
วันนี้ (25 ก.ย. 59) พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน มีผู้ลงทะเบียนแล้ว จํานวน 37,634 ราย ได้รับอนุมัติสินเชื่อไปแล้วเป็นจํานวน 26,066 ราย คิดเป็นเงิน 3,024.02 ล้านบาท
“รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อสําหรับโครงการนี้ผ่านธนาคารออมสินให้แก่ผู้ค้ารายย่อย เช่น พ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์ รถรับจ้างสาธารณะ หรือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยสามารถนําเงินที่ได้ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ ใช้บรรเทาความเดือดร้อนในการดํารงชีพ หรือใช้ชําระหนี้สินต่างๆ รวมถึงหนี้นอกระบบ ซึ่งผู้สนใจยังสามารถลงทะเบียนขอสินเชื่อได้ถึง 30 ธันวาคม 2559 นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้กําหนดวงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องชําระคืนภายใน 5 ปี ผู้กู้จะต้องมีอาชีพและรายได้ที่แน่นอน มีที่อยู่อาศัยแน่นอนที่สามารถติดต่อได้ มีอายุ 20 ปีขึ้นไปโดยรวมกับระยะเวลาชําระเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 65 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กู้มีความสามารถในการผ่อนชําระสินเชื่อได้”
พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสินประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ทั่วถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อไม่ให้เสียโอกาส โดยธนาคารแต่ละสาขาจะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมอธิบายรายละเอียดโครงการ วัตถุประสงค์ และเหตุผลของเงื่อนไขต่างๆ อย่างชัดเจนให้พี่น้องประชาชนเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาในความยากของการอนุมัติสินเชื่อ
“รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้คนเป็นหนี้ ส่วนคนที่เป็นหนี้อยู่แล้วจากการกู้เงินนอกระบบ สินเชื่อจากโครงการนี้จะช่วยยืดระยะเวลาให้ปัญหาบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะขอสินเชื่อควรขอเท่าที่จําเป็นและมีความสามารถในการผ่อนชําระ เพื่อไม่ให้เป็นการพอกพูนปัญหาหนี้สินให้มากขึ้น และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในการดํารงชีวิต”
__________
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/509
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
เพื่อให้การดําเนินการจัดการศึกษาและการบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุเป้าหมาย อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยึดเป็นกรอบการดําเนินงานในการจัดทําแผนและงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการศึกษาให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพในทุกมิติ โดยใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า เพื่อมุ่งเป้าหมาย คือ ผู้เรียนทุกช่วงวัย ดังนี้
หลักการตามนโยบาย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นดําเนินการภารกิจหลักตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนทุกแผนย่อยในประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยที่ 3 ในประเด็น 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และนโยบายรัฐบาลทั้งในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย และนโยบายเร่งด่วน เรื่องการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นอื่น ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2561 – 2564) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) รวมทั้งนโยบายและแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัยจะได้รับการพัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ดังนั้น ในการเร่งรัดการทํางานภาพรวมกระทรวงให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม และผลักดันให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและประสิทธิภาพในทุกมิติ กระทรวงศึกษาธิการจึงกําหนดนโยบายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้
1. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการ โดยมุ่งปฏิรูปองค์การเพื่อหลอมรวมภารกิจและบุคลากร เช่น ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย ฯลฯ ที่สามารถลดการใช้ทรัพยากรทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพ รวมทั้งการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยทั้งการบริหารงานและการจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
2. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทรัพยากร โดยมุ่งปฏิรูปกระบวนการวางแผนงาน/โครงการแบบร่วมมือและบูรณาการ ที่สามารถตอบโจทย์ของสังคมและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีประสิทธิภาพและใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า ส่งผลให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนานาชาติ เชื่อมั่นและร่วมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากยิ่งขึ้น
3. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการและพัฒนากําลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งบริหารจัดการอัตรากําลังให้สอดคล้องกับการปฏิรูปองค์การ รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของบุคลากรภาครัฐ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานรองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
4. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ โดยมุ่งให้ครอบคลุมถึงการจัดการศึกษาเพื่อคุณวุฒิ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21
จุดเน้นประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
1. การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
1.1 การจัดการศึกษาเพื่อคุณวุฒิ
- จัดการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท โดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ รวมทั้งแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการวัดประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ
- ส่งเสริมการพัฒนากรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นและหลักสูตรสถานศึกษา ตามความต้องการจําเป็นของกลุ่มเป้าหมายและแตกต่างหลากหลายตามบริบทของพื้นที่
- พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จากประสบการณ์จริงหรือจากสถานการณ์จําลองผ่านการลงมือปฏิบัติ ตลอดจนจัดการเรียนการสอนในเชิงแสดงความคิดเห็นเพื่อเปิดโลกทัศน์มุมมองร่วมกันของผู้เรียนและครูให้มากขึ้น
- พัฒนาผู้เรียนให้มีความรอบรู้และทักษะชีวิต เพื่อเป็นเครื่องมือในการดํารงชีวิตและสร้างอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สุขภาวะและทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ
1.2 การเรียนรู้ตลอดชีวิต
- จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All)
- ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมสําหรับผู้ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ อาชีพที่เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหลักสูตรการดูแลผู้สูงวัย หลักสูตร BUDDY โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โรงเรียน และผู้เรียน หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อส่งเสริมประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ระดับตําบล
- ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงการศึกษาเพื่อทักษะอาชีพและการมีงานทํา ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขตพื้นที่พิเศษ (พื้นที่สูง พื้นที่ตามแนวตะเข็บ ชายแดน และพื้นที่เกาะแก่ง ชายฝั่งทะเล ทั้งกลุ่มชนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มชนชายขอบ และแรงงานต่างด้าว)
- พัฒนาครูให้มีทักษะ ความรู้ และความชํานาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนเพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผลเป็นขั้นตอน
- พัฒนาครูอาชีวศึกษาที่มีความรู้และความสามารถในทางปฏิบัติ (Hands – on Experience) เพื่อให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญทางวิชาการ โดยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนําของประเทศจัดหลักสูตรการพัฒนาแบบเข้มข้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี
- พัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานรองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีศูนย์พัฒนาสมรรถนะบุคลากรระดับจังหวัดทั่วประเทศ
2. การพัฒนาการศึกษาเพื่อความมั่นคง
- พัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นหลักในการดําเนินการ
- เฝ้าระวังภัยทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา โดยเฉพาะภัยจากยาเสพติด อาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์
- ส่งเสริมให้ใช้ภาษาท้องถิ่นร่วมกับภาษาไทย เป็นสื่อจัดการเรียนการสอนในพื้นที่ที่ใช้ภาษาอย่างหลากหลาย เพื่อวางรากฐานให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งมีทักษะการสื่อสารและใช้ภาษาที่สามในการต่อยอดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดที่ถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม และเป็นผู้มีความพอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา โดยใช้กระบวนการลูกเสือ และยุวกาชาด
3. การสร้างความสามารถในการแข่งขัน
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาผลิตกําลังแรงงานที่มีคุณภาพ ตามความเป็นเลิศของแต่ละสถานศึกษาและตามบริบทของพื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ และจัดการเรียนการสอนด้วยเครื่องมือปฏิบัติที่ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยี โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) และทักษะการสื่อสารภาษาต่างประเทศ
4. การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา
- พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้
- ศึกษาและปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
- ระดมสรรพกําลังเพื่อส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนนําร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาให้สอดคล้องพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562
5. การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเป็นอาชีพ และสร้างรายได้
6. การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการ
- ปฏิรูปองค์การเพื่อลดความทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพของหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน เช่น ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย เป็นต้น
- ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคและข้อจํากัดในการดําเนินงาน โดยคํานึงถึงประโยชน์ของผู้เรียนและประชาชน ตลอดจนกระทรวงศึกษาธิการโดยรวม
- สนับสนุนกิจกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
- พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการศึกษา (Big Data)
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการและพัฒนากําลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปองค์การ
- สนับสนุนให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างอิสระและมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ
- จัดตั้งหน่วยงานวางแผนทางการเงิน (Financial Plan) ระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ
- ส่งเสริมโครงการ 1 ตําบล 1 โรงเรียนคุณภาพ โดยเน้นปรับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกบริเวณโรงเรียนให้เอื้อต่อการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และจิตสาธารณะ
การขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติ
1. ให้ส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ นํานโยบายและจุดเน้น เป็นกรอบแนวทางมาใช้ในการวางแผนและจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยคํานึงถึงมาตรการ 4 ข้อ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้แนวทางในการบริหารงบประมาณไว้ ดังนี้ (1) งดดูงานต่างประเทศ 1 ปี ยกเว้นกรณีที่มีความจําเป็นและเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการ (2) ลดการจัดอบรมสัมมนาที่มีขนาดใหญ่และใช้งบประมาณมาก (3) ยกเลิกการจัดงาน Event และ (4) ทบทวนงบประมาณที่มีความซ้ําซ้อน
2. ให้มีคณะกรรมการติดตาม ประเมินผล และรายงานการขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ โดยให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน สํานักงานศึกษาธิการภาคและสํานักตรวจราชการและติดตามประเมินผล สป. เป็นฝ่ายเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการตามลําดับ โดยมีบทบาทภารกิจในการตรวจราชการ ติดตาม ประเมินผลในระดับนโยบาย และจัดทํารายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ทราบตามลําดับ
3. กรณีมีปัญหาในเชิงพื้นที่หรือข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน ให้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลและดําเนินการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ก่อน โดยใช้ภาคีเครือข่ายในการแก้ไขข้อขัดข้อง พร้อมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการติดตามฯ ข้างต้น ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตามลําดับ
อนึ่ง สําหรับภารกิจของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่ปฏิบัติในลักษณะงานในเชิงหน้าที่ (Function) งานในเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) และงานในเชิงพื้นที่ (Area) ซึ่งได้ดําเนินการอยู่ก่อนเมื่อรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสําคัญเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นอกเหนือจากที่กําหนด หากมีความสอดคล้องกับหลักการนโยบายและจุดเน้นข้างต้น ให้ถือเป็นหน้าที่ของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัด กํากับ ติดตาม ตรวจสอบให้การดําเนินการเกิดผลสําเร็จและมีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
เพื่อให้การดําเนินการจัดการศึกษาและการบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุเป้าหมาย อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยึดเป็นกรอบการดําเนินงานในการจัดทําแผนและงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการศึกษาให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพในทุกมิติ โดยใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า เพื่อมุ่งเป้าหมาย คือ ผู้เรียนทุกช่วงวัย ดังนี้
หลักการตามนโยบาย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นดําเนินการภารกิจหลักตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนทุกแผนย่อยในประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยที่ 3 ในประเด็น 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และนโยบายรัฐบาลทั้งในส่วนนโยบายหลักด้านการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย และนโยบายเร่งด่วน เรื่องการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นอื่น ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2561 – 2564) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) รวมทั้งนโยบายและแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัยจะได้รับการพัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ดังนั้น ในการเร่งรัดการทํางานภาพรวมกระทรวงให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม และผลักดันให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและประสิทธิภาพในทุกมิติ กระทรวงศึกษาธิการจึงกําหนดนโยบายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนี้
1. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการ โดยมุ่งปฏิรูปองค์การเพื่อหลอมรวมภารกิจและบุคลากร เช่น ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย ฯลฯ ที่สามารถลดการใช้ทรัพยากรทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพ รวมทั้งการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยทั้งการบริหารงานและการจัดการศึกษารองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
2. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารทรัพยากร โดยมุ่งปฏิรูปกระบวนการวางแผนงาน/โครงการแบบร่วมมือและบูรณาการ ที่สามารถตอบโจทย์ของสังคมและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีประสิทธิภาพและใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า ส่งผลให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนานาชาติ เชื่อมั่นและร่วมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากยิ่งขึ้น
3. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการและพัฒนากําลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งบริหารจัดการอัตรากําลังให้สอดคล้องกับการปฏิรูปองค์การ รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของบุคลากรภาครัฐ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานรองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัล
4. ปรับรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ โดยมุ่งให้ครอบคลุมถึงการจัดการศึกษาเพื่อคุณวุฒิ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21
จุดเน้นประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
1. การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
1.1 การจัดการศึกษาเพื่อคุณวุฒิ
- จัดการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท โดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ รวมทั้งแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการวัดประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ
- ส่งเสริมการพัฒนากรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นและหลักสูตรสถานศึกษา ตามความต้องการจําเป็นของกลุ่มเป้าหมายและแตกต่างหลากหลายตามบริบทของพื้นที่
- พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จากประสบการณ์จริงหรือจากสถานการณ์จําลองผ่านการลงมือปฏิบัติ ตลอดจนจัดการเรียนการสอนในเชิงแสดงความคิดเห็นเพื่อเปิดโลกทัศน์มุมมองร่วมกันของผู้เรียนและครูให้มากขึ้น
- พัฒนาผู้เรียนให้มีความรอบรู้และทักษะชีวิต เพื่อเป็นเครื่องมือในการดํารงชีวิตและสร้างอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สุขภาวะและทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ
1.2 การเรียนรู้ตลอดชีวิต
- จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All)
- ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมสําหรับผู้ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ อาชีพที่เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหลักสูตรการดูแลผู้สูงวัย หลักสูตร BUDDY โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โรงเรียน และผู้เรียน หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อส่งเสริมประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ระดับตําบล
- ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงการศึกษาเพื่อทักษะอาชีพและการมีงานทํา ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขตพื้นที่พิเศษ (พื้นที่สูง พื้นที่ตามแนวตะเข็บ ชายแดน และพื้นที่เกาะแก่ง ชายฝั่งทะเล ทั้งกลุ่มชนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มชนชายขอบ และแรงงานต่างด้าว)
- พัฒนาครูให้มีทักษะ ความรู้ และความชํานาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และภาษาอังกฤษ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนเพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผลเป็นขั้นตอน
- พัฒนาครูอาชีวศึกษาที่มีความรู้และความสามารถในทางปฏิบัติ (Hands – on Experience) เพื่อให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญทางวิชาการ โดยร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนําของประเทศจัดหลักสูตรการพัฒนาแบบเข้มข้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี
- พัฒนาสมรรถนะและความรู้ความสามารถของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานรองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีศูนย์พัฒนาสมรรถนะบุคลากรระดับจังหวัดทั่วประเทศ
2. การพัฒนาการศึกษาเพื่อความมั่นคง
- พัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นหลักในการดําเนินการ
- เฝ้าระวังภัยทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ครู และสถานศึกษา โดยเฉพาะภัยจากยาเสพติด อาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์
- ส่งเสริมให้ใช้ภาษาท้องถิ่นร่วมกับภาษาไทย เป็นสื่อจัดการเรียนการสอนในพื้นที่ที่ใช้ภาษาอย่างหลากหลาย เพื่อวางรากฐานให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งมีทักษะการสื่อสารและใช้ภาษาที่สามในการต่อยอดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดที่ถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม และเป็นผู้มีความพอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา โดยใช้กระบวนการลูกเสือ และยุวกาชาด
3. การสร้างความสามารถในการแข่งขัน
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาผลิตกําลังแรงงานที่มีคุณภาพ ตามความเป็นเลิศของแต่ละสถานศึกษาและตามบริบทของพื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ และจัดการเรียนการสอนด้วยเครื่องมือปฏิบัติที่ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยี โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) และทักษะการสื่อสารภาษาต่างประเทศ
4. การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา
- พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ และใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือการเรียนรู้
- ศึกษาและปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
- ระดมสรรพกําลังเพื่อส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนนําร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาให้สอดคล้องพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562
5. การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และส่งเสริมคุณลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเป็นอาชีพ และสร้างรายได้
6. การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการ
- ปฏิรูปองค์การเพื่อลดความทับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นเอกภาพของหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน เช่น ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านต่างประเทศ ด้านเทคโนโลยี ด้านกฎหมาย เป็นต้น
- ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคและข้อจํากัดในการดําเนินงาน โดยคํานึงถึงประโยชน์ของผู้เรียนและประชาชน ตลอดจนกระทรวงศึกษาธิการโดยรวม
- สนับสนุนกิจกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
- พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการศึกษา (Big Data)
- พัฒนาระบบการบริหารจัดการและพัฒนากําลังคนของกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปองค์การ
- สนับสนุนให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างอิสระและมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ
- จัดตั้งหน่วยงานวางแผนทางการเงิน (Financial Plan) ระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ
- ส่งเสริมโครงการ 1 ตําบล 1 โรงเรียนคุณภาพ โดยเน้นปรับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกบริเวณโรงเรียนให้เอื้อต่อการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และจิตสาธารณะ
การขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติ
1. ให้ส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ นํานโยบายและจุดเน้น เป็นกรอบแนวทางมาใช้ในการวางแผนและจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยคํานึงถึงมาตรการ 4 ข้อ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้แนวทางในการบริหารงบประมาณไว้ ดังนี้ (1) งดดูงานต่างประเทศ 1 ปี ยกเว้นกรณีที่มีความจําเป็นและเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการ (2) ลดการจัดอบรมสัมมนาที่มีขนาดใหญ่และใช้งบประมาณมาก (3) ยกเลิกการจัดงาน Event และ (4) ทบทวนงบประมาณที่มีความซ้ําซ้อน
2. ให้มีคณะกรรมการติดตาม ประเมินผล และรายงานการขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ โดยให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน สํานักงานศึกษาธิการภาคและสํานักตรวจราชการและติดตามประเมินผล สป. เป็นฝ่ายเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการตามลําดับ โดยมีบทบาทภารกิจในการตรวจราชการ ติดตาม ประเมินผลในระดับนโยบาย และจัดทํารายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ทราบตามลําดับ
3. กรณีมีปัญหาในเชิงพื้นที่หรือข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน ให้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลและดําเนินการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ก่อน โดยใช้ภาคีเครือข่ายในการแก้ไขข้อขัดข้อง พร้อมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการติดตามฯ ข้างต้น ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตามลําดับ
อนึ่ง สําหรับภารกิจของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่ปฏิบัติในลักษณะงานในเชิงหน้าที่ (Function) งานในเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) และงานในเชิงพื้นที่ (Area) ซึ่งได้ดําเนินการอยู่ก่อนเมื่อรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสําคัญเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นอกเหนือจากที่กําหนด หากมีความสอดคล้องกับหลักการนโยบายและจุดเน้นข้างต้น ให้ถือเป็นหน้าที่ของส่วนราชการหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัด กํากับ ติดตาม ตรวจสอบให้การดําเนินการเกิดผลสําเร็จและมีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25693
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
|
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
วันนี้ (26 เม.ย.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทําให้ประชาชนบางส่วนได้รับผลกระทบ อาทิ คนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย และคนตกงานที่มาจากจังหวัดอื่นและไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลําเนาได้ ซึ่งไปรวมตัวกันอยู่ตามที่สาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ประสานการดําเนินการกับสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่ทําการปกครองจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความช่วยเหลือคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัยและคนตกงานที่มาจากจังหวัดอื่น โดยให้จัดอาหารให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต พร้อมทั้งดําเนินการตามมาตรการคัดกรองโรค และหากพบว่าเป็นบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังให้ดําเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งดําเนินการหาแนวทางช่วยเหลือคนตกงานกลับภูมิลําเนา โดยสํารวจข้อมูลและสํารวจปัญหาความต้องการของคนเร่ร่อน เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย-คนตกงาน
วันนี้ (26 เม.ย.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทําให้ประชาชนบางส่วนได้รับผลกระทบ อาทิ คนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย และคนตกงานที่มาจากจังหวัดอื่นและไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลําเนาได้ ซึ่งไปรวมตัวกันอยู่ตามที่สาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ประสานการดําเนินการกับสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่ทําการปกครองจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความช่วยเหลือคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัยและคนตกงานที่มาจากจังหวัดอื่น โดยให้จัดอาหารให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต พร้อมทั้งดําเนินการตามมาตรการคัดกรองโรค และหากพบว่าเป็นบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังให้ดําเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งดําเนินการหาแนวทางช่วยเหลือคนตกงานกลับภูมิลําเนา โดยสํารวจข้อมูลและสํารวจปัญหาความต้องการของคนเร่ร่อน เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29805
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้ความสำคัญทุกวิชาชีพที่ร่วมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
สธ.ให้ความสําคัญทุกวิชาชีพที่ร่วมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญทุกวิชาชีพร่วมดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญทุกวิชาชีพร่วมดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (10 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณชมรมหัวหน้ากลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ที่เห็นความสําคัญของผู้ทํางานด้านการแพทย์แผนไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยมีสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) เป็นเลขานุการ ในการกําหนดกรอบจัดสรรตําแหน่งข้าราชการให้กับพนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข และลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการทํางานในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลการประชุมเป็นที่น่าพอใจ
สําหรับตําแหน่งแพทย์แผนไทยได้มีการหารือกับอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมทั้งได้มอบอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นประธานคณะกรรมการกําหนดตําแหน่งข้าราชการให้แพทย์แผนไทยในสถานพยาบาล ส่วนตําแหน่งอื่น ๆ ก็ได้ให้ความสําคัญ โดยจะมอบผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในการปรึกษาหารือต่อไป
**************************** 10 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้ความสำคัญทุกวิชาชีพที่ร่วมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
สธ.ให้ความสําคัญทุกวิชาชีพที่ร่วมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญทุกวิชาชีพร่วมดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญทุกวิชาชีพร่วมดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (10 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณชมรมหัวหน้ากลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ที่เห็นความสําคัญของผู้ทํางานด้านการแพทย์แผนไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยมีสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) เป็นเลขานุการ ในการกําหนดกรอบจัดสรรตําแหน่งข้าราชการให้กับพนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข และลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการทํางานในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลการประชุมเป็นที่น่าพอใจ
สําหรับตําแหน่งแพทย์แผนไทยได้มีการหารือกับอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมทั้งได้มอบอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นประธานคณะกรรมการกําหนดตําแหน่งข้าราชการให้แพทย์แผนไทยในสถานพยาบาล ส่วนตําแหน่งอื่น ๆ ก็ได้ให้ความสําคัญ โดยจะมอบผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในการปรึกษาหารือต่อไป
**************************** 10 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28795
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตอิสราเอล สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตอิสราเอล สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายเมอีร์ ชโลโม (H.E. Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย ในการเข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อหาแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐอิสราเอลกับประเทศไทย โดยประเทศอิสราเอลมีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในโรงพยาบาล (Digital hospital) การให้บริการของภาครัฐผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ (E-government) และการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเกษตรกรรม (E-farming) ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ประเทศอิสราเอลได้ให้ความสนใจในการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการ Digital Park Thailand ด้วย นอกจากนั้นเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ยังได้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย เดินทางเยือนประเทศอิสราเอลเพื่อศึกษาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศอิสราเอลที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้ ซึ่งจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตอิสราเอล สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตอิสราเอล สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายเมอีร์ ชโลโม (H.E. Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย ในการเข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อหาแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐอิสราเอลกับประเทศไทย โดยประเทศอิสราเอลมีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในโรงพยาบาล (Digital hospital) การให้บริการของภาครัฐผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ (E-government) และการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเกษตรกรรม (E-farming) ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ประเทศอิสราเอลได้ให้ความสนใจในการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการ Digital Park Thailand ด้วย นอกจากนั้นเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ยังได้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย เดินทางเยือนประเทศอิสราเอลเพื่อศึกษาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศอิสราเอลที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้ ซึ่งจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8603
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกยืนยันรถยนต์ไฟฟ้าต้องจดทะเบียนถูกต้อง และใช้แผ่นป้ายทะเบียนตรงตามประเภทรถ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาแอบอ้างการใช้ป้ายแดงทดแทนได้
|
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
กรมการขนส่งทางบกยืนยันรถยนต์ไฟฟ้าต้องจดทะเบียนถูกต้อง และใช้แผ่นป้ายทะเบียนตรงตามประเภทรถ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาแอบอ้างการใช้ป้ายแดงทดแทนได้
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สนับสนุนรถที่ใช้นวัตกรรมเพื่อการประหยัดพลังงาน หรือรถพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง
โดยต้องเป็นรถที่มีกําลังมอเตอร์ไฟฟ้าและความเร็วขั้นต่ําตามที่ ขบ. กําหนด สามารถจดทะเบียนและเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ป้ายทะเบียนรถตรงตามประเภท ไม่สามารถใช้ป้ายแดงแทน จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อการโฆษณาแอบอ้างว่าสามารถใช้ป้ายแดงทดแทนป้ายทะเบียนรถได้ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และหากตรวจพบเป็นป้ายแดงปลอม อาจมีความผิดถึงขั้นจําคุก ฐานปลอมแปลงและใช้เอกสารราชการปลอม ทั้งนี้ ขบ. ได้กําหนดรายละเอียดรถพลังงานทางเลือกทดแทนแต่ละประเภท ดังนี้
1. รถยนต์ไฟฟ้า (รถเก๋ง) ที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 450 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่) หรือรถกระบะขนาดเล็กที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 600 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่) ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้า (Rated Power) ไม่น้อยกว่า 4 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
2. รถยนต์ รถตู้ รถกระบะบรรทุกทั่วไป ที่มีน้ําหนักรถไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 15 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 0.25 กิโลวัตต์ หรือไม่น้อยกว่า 250 วัตต์ โดยต้องมีความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
3. รถสามล้อรับจ้างและสามล้อส่วนบุคคล ต้องมีกําลังมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 4 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ามีความสะดวกและรวดเร็ว เช่นเดียวกับการจดทะเบียนรถประเภทอื่น และสามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนรถได้ทันที โดยเตรียมเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สําเนาบัตรประจําตัวประชาชนเจ้าของรถ หนังสือแจ้งจําหน่ายจากบริษัทผู้ผลิต หลักฐานการได้มาของรถ ประกอบด้วย สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ ใบเสร็จรับเงินและใบกํากับภาษี หลักฐานการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 รวมถึงแบบคําขอจดทะเบียนรถ และหนังสือมอบอํานาจ กรณีมอบบุคคลอื่นดําเนินการแทน และต้องนํารถเข้ารับการตรวจสภาพเพื่อความถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่เจ้าของรถ
สําหรับการคิดอัตราภาษีรถประจําปี รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง คิดอัตราภาษีตามน้ําหนักของรถ โดยเป็นอัตราเดียวกันกับที่ใช้ในการจดทะเบียนรถกระบะ ซึ่งจะถูกกว่าภาษีรถประเภทที่ใช้น้ํามันเป็นเชื้อเพลิง แต่ถ้าเป็นรถประเภทอื่น ๆ เช่น รถตู้ รถบรรทุก เป็นต้น จะคิดอัตราภาษีตามน้ําหนักรถโดยหารสอง ซึ่งจะทําให้เสียภาษีถูกลงกว่าครึ่งหนึ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกยืนยันรถยนต์ไฟฟ้าต้องจดทะเบียนถูกต้อง และใช้แผ่นป้ายทะเบียนตรงตามประเภทรถ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาแอบอ้างการใช้ป้ายแดงทดแทนได้
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
กรมการขนส่งทางบกยืนยันรถยนต์ไฟฟ้าต้องจดทะเบียนถูกต้อง และใช้แผ่นป้ายทะเบียนตรงตามประเภทรถ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาแอบอ้างการใช้ป้ายแดงทดแทนได้
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สนับสนุนรถที่ใช้นวัตกรรมเพื่อการประหยัดพลังงาน หรือรถพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง
โดยต้องเป็นรถที่มีกําลังมอเตอร์ไฟฟ้าและความเร็วขั้นต่ําตามที่ ขบ. กําหนด สามารถจดทะเบียนและเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ป้ายทะเบียนรถตรงตามประเภท ไม่สามารถใช้ป้ายแดงแทน จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อการโฆษณาแอบอ้างว่าสามารถใช้ป้ายแดงทดแทนป้ายทะเบียนรถได้ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และหากตรวจพบเป็นป้ายแดงปลอม อาจมีความผิดถึงขั้นจําคุก ฐานปลอมแปลงและใช้เอกสารราชการปลอม ทั้งนี้ ขบ. ได้กําหนดรายละเอียดรถพลังงานทางเลือกทดแทนแต่ละประเภท ดังนี้
1. รถยนต์ไฟฟ้า (รถเก๋ง) ที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 450 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่) หรือรถกระบะขนาดเล็กที่มีน้ําหนักน้อยกว่า 600 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่) ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้า (Rated Power) ไม่น้อยกว่า 4 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
2. รถยนต์ รถตู้ รถกระบะบรรทุกทั่วไป ที่มีน้ําหนักรถไม่รวมน้ําหนักแบตเตอรี่มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 15 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ต้องมีกําลังพิกัดมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 0.25 กิโลวัตต์ หรือไม่น้อยกว่า 250 วัตต์ โดยต้องมีความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
3. รถสามล้อรับจ้างและสามล้อส่วนบุคคล ต้องมีกําลังมอเตอร์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 4 กิโลวัตต์ และวิ่งได้ความเร็วไม่น้อยกว่า 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ามีความสะดวกและรวดเร็ว เช่นเดียวกับการจดทะเบียนรถประเภทอื่น และสามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนรถได้ทันที โดยเตรียมเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สําเนาบัตรประจําตัวประชาชนเจ้าของรถ หนังสือแจ้งจําหน่ายจากบริษัทผู้ผลิต หลักฐานการได้มาของรถ ประกอบด้วย สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ ใบเสร็จรับเงินและใบกํากับภาษี หลักฐานการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 รวมถึงแบบคําขอจดทะเบียนรถ และหนังสือมอบอํานาจ กรณีมอบบุคคลอื่นดําเนินการแทน และต้องนํารถเข้ารับการตรวจสภาพเพื่อความถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่เจ้าของรถ
สําหรับการคิดอัตราภาษีรถประจําปี รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง คิดอัตราภาษีตามน้ําหนักของรถ โดยเป็นอัตราเดียวกันกับที่ใช้ในการจดทะเบียนรถกระบะ ซึ่งจะถูกกว่าภาษีรถประเภทที่ใช้น้ํามันเป็นเชื้อเพลิง แต่ถ้าเป็นรถประเภทอื่น ๆ เช่น รถตู้ รถบรรทุก เป็นต้น จะคิดอัตราภาษีตามน้ําหนักรถโดยหารสอง ซึ่งจะทําให้เสียภาษีถูกลงกว่าครึ่งหนึ่ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4571
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ทดสอบ จนท.ความปลอดภัยในการทำงาน ขับเคลื่อน Safety Thailand
|
วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560
ก.แรงงาน ทดสอบ จนท.ความปลอดภัยในการทํางาน ขับเคลื่อน Safety Thailand
ก.แรงงาน ทดสอบเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง ผู้ผ่านการทดสอบสามารถปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการได้ กระตุ้นสังคมสร้างความตระหนัก สร้างเครือข่ายให้คนทํางานมีความปลอดภัย ขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทดสอบเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง (จป.เทคนิคขั้นสูง) ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 ศูนย์ความปลอดภัยในการทํางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) โดยมีผู้เข้ารับการทดสอบจํานวน 123 คน โดยผู้เข้ารับการทดสอบเป็นผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง จํานวน 180 ชั่วโมง จากหน่วยฝึกอบรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกฎหมายกําหนดให้ผู้ผ่านอบรมหลักสูตรฯ ดังกล่าวต้องเข้ารับการทดสอบจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เมื่อทดสอบผ่านจึงจะได้รับวุฒิบัตร และมีคุณสมบัติเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง และสามารถปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการได้
รองปลัดกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีนโยบายเร่งด่วน (Agenda Based) โดยกําหนดให้การขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วยการตรวจและบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทํางานอย่างจริงจัง เป็น 1 ใน 11 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องทําให้การประสบอันตรายจากการทํางานลดลงเป็นศูนย์
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสํานักงานประกันสังคม พบว่า สถิติการประสบอันตรายจากการทํางานในปี 2559 มีผู้ประสบอันตรายจากการทํางานจํานวน 89,488 ราย เสียชีวิต 584 ราย และสํานักงานประกันสังคมจ่ายเงินสมทดแทนจํานวน 1,666.94 ล้านบาท
“งานด้านความปลอดภัยเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อให้คนทํางานมีความปลอดภัย ซึ่งต้องอาศัยการสร้างความตระหนักรู้ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และสร้างเครือข่ายความปลอดภัยในการทํางานให้เข้มแข็ง ขณะเดียวกันสถานประกอบการเองจะต้องมีการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งถอดบทเรียนจากเหตุการณ์เดิมที่เคยเกิดขึ้น เพื่อกําหนดมาตรการป้องกันการประสบอันตรายจากการทํางานให้ลดลงเป็นศูนย์” นายวรานนท์ฯ กล่าวในท้ายสุด
-----------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว – ภาพ/
12 ธันวาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ทดสอบ จนท.ความปลอดภัยในการทำงาน ขับเคลื่อน Safety Thailand
วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560
ก.แรงงาน ทดสอบ จนท.ความปลอดภัยในการทํางาน ขับเคลื่อน Safety Thailand
ก.แรงงาน ทดสอบเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง ผู้ผ่านการทดสอบสามารถปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการได้ กระตุ้นสังคมสร้างความตระหนัก สร้างเครือข่ายให้คนทํางานมีความปลอดภัย ขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทดสอบเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง (จป.เทคนิคขั้นสูง) ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 ศูนย์ความปลอดภัยในการทํางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) โดยมีผู้เข้ารับการทดสอบจํานวน 123 คน โดยผู้เข้ารับการทดสอบเป็นผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง จํานวน 180 ชั่วโมง จากหน่วยฝึกอบรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกฎหมายกําหนดให้ผู้ผ่านอบรมหลักสูตรฯ ดังกล่าวต้องเข้ารับการทดสอบจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เมื่อทดสอบผ่านจึงจะได้รับวุฒิบัตร และมีคุณสมบัติเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ระดับเทคนิคขั้นสูง และสามารถปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการได้
รองปลัดกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีนโยบายเร่งด่วน (Agenda Based) โดยกําหนดให้การขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วยการตรวจและบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทํางานอย่างจริงจัง เป็น 1 ใน 11 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องทําให้การประสบอันตรายจากการทํางานลดลงเป็นศูนย์
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสํานักงานประกันสังคม พบว่า สถิติการประสบอันตรายจากการทํางานในปี 2559 มีผู้ประสบอันตรายจากการทํางานจํานวน 89,488 ราย เสียชีวิต 584 ราย และสํานักงานประกันสังคมจ่ายเงินสมทดแทนจํานวน 1,666.94 ล้านบาท
“งานด้านความปลอดภัยเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อให้คนทํางานมีความปลอดภัย ซึ่งต้องอาศัยการสร้างความตระหนักรู้ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และสร้างเครือข่ายความปลอดภัยในการทํางานให้เข้มแข็ง ขณะเดียวกันสถานประกอบการเองจะต้องมีการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งถอดบทเรียนจากเหตุการณ์เดิมที่เคยเกิดขึ้น เพื่อกําหนดมาตรการป้องกันการประสบอันตรายจากการทํางานให้ลดลงเป็นศูนย์” นายวรานนท์ฯ กล่าวในท้ายสุด
-----------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว – ภาพ/
12 ธันวาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ชวนออม สร้างบำนาญแก่ตนเอง
|
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
กอช. ชวนออม สร้างบํานาญแก่ตนเอง
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชี้การออมเป็นสิ่งสําคัญ ชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบเริ่มออมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตในอนาคต
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การออมเป็นนโยบายที่ภาครัฐให้การสนับสนุนมาโดยตลอด เป็นเรื่องสําคัญที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักการออมเงินมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนวัยทํางานที่กําลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อสร้างความมั่นคงให้มีหลักประกันในการดํารงชีวิตในอนาคต
กอช. เป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐหรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบ ซึ่งอายุระหว่าง 15-60 ปี ได้มีโอกาสออมเงินเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองเมื่อยามชราภาพ โดยมีรัฐช่วยออมในการจ่ายเงินสมทบให้ส่วนหนึ่ง (สมาชิกที่มีช่วงอายุ 15-30 ปี สมทบสูงสุด 600 บาท/ปี, ช่วงอายุ 30-50 ปี สมทบสูงสุด 960 บาท/ปี และสําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สมทบสูงสุด 1,200 บาท/ปี) และเมื่อออมครบกําหนดหรือเมื่อสมาชิกมีอายุครบ 60 ปี ทาง กอช. จะจ่ายเงินคืนแก่สมาชิก ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือสมาชิกมีเงินสะสมในจํานวนที่มากพอ จะได้รับเป็นเงินบํานาญตลอดชีวิต และกรณีที่สองหากสมาชิกสะสมเงินจํานวนไม่มากพอ จะได้รับเป็นเงินดํารงชีพ คือ กอช. จะจ่ายคืนให้สมาชิกเดือนละ 600 บาท จนกว่าเงินในบัญชีสมาชิกจะหมด
การสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตในอนาคตจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างกันตั้งแต่วันนี้ จึงควรมีการวางแผนการออมให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นเมื่อยามชรา ตั้งเป้าหมายและตั้งระยะเวลาการออมอย่างชัดเจน เพราะหากเวลาในการเก็บออมยิ่งเหลือน้อยจะเป็นภาระหนักสําหรับการออมมากขึ้นเท่านั้น
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ชวนออม สร้างบำนาญแก่ตนเอง
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
กอช. ชวนออม สร้างบํานาญแก่ตนเอง
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชี้การออมเป็นสิ่งสําคัญ ชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบเริ่มออมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตในอนาคต
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การออมเป็นนโยบายที่ภาครัฐให้การสนับสนุนมาโดยตลอด เป็นเรื่องสําคัญที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักการออมเงินมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนวัยทํางานที่กําลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อสร้างความมั่นคงให้มีหลักประกันในการดํารงชีวิตในอนาคต
กอช. เป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐหรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบ ซึ่งอายุระหว่าง 15-60 ปี ได้มีโอกาสออมเงินเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองเมื่อยามชราภาพ โดยมีรัฐช่วยออมในการจ่ายเงินสมทบให้ส่วนหนึ่ง (สมาชิกที่มีช่วงอายุ 15-30 ปี สมทบสูงสุด 600 บาท/ปี, ช่วงอายุ 30-50 ปี สมทบสูงสุด 960 บาท/ปี และสําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สมทบสูงสุด 1,200 บาท/ปี) และเมื่อออมครบกําหนดหรือเมื่อสมาชิกมีอายุครบ 60 ปี ทาง กอช. จะจ่ายเงินคืนแก่สมาชิก ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือสมาชิกมีเงินสะสมในจํานวนที่มากพอ จะได้รับเป็นเงินบํานาญตลอดชีวิต และกรณีที่สองหากสมาชิกสะสมเงินจํานวนไม่มากพอ จะได้รับเป็นเงินดํารงชีพ คือ กอช. จะจ่ายคืนให้สมาชิกเดือนละ 600 บาท จนกว่าเงินในบัญชีสมาชิกจะหมด
การสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตในอนาคตจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างกันตั้งแต่วันนี้ จึงควรมีการวางแผนการออมให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นเมื่อยามชรา ตั้งเป้าหมายและตั้งระยะเวลาการออมอย่างชัดเจน เพราะหากเวลาในการเก็บออมยิ่งเหลือน้อยจะเป็นภาระหนักสําหรับการออมมากขึ้นเท่านั้น
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : [email protected]
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ำชา แนะนำผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560
พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ําชา แนะนําผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ําชา แนะนําผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
วันนี้ (26 ก.ค. 60) เวลา 15.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในงานเลี้ยงจิบน้ําชา (Tea party) โดยมีผู้ร่วมงานจํานวน 140 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากสถานทูต องค์กรระหว่างประเทศ และภาคธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดําเนินงานด้านต่างๆ ของกระทรวง พม. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ความสําคัญกับการเสริมพลังและพัฒนาคนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเปราะบาง ได้แก่ คนพิการ ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จึงได้ดําเนิน "โครงการทอฝัน By พม.” ซึ่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพให้แก่ผู้รับบริการให้สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการผลิต การตลาดและการบริหารจัดการ การสร้าง Brand และการสร้างช่องทางการจําหน่าย การดําเนินงานในโครงการดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในนโยบายประชารัฐที่มีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนพื้นที่ในการจําหน่าย จํานวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด และบริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า จากการดําเนินงานโครงการมาเป็นระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ทอฝันได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีการเปิดร้านเพิ่มขึ้นจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ รวมทั้งร้านสาขาในหน่วยงานของกระทรวง มีจํานวนเพิ่มขึ้น และสามารถจําหน่ายสินค้าได้ในมูลค่ารวม 906,602 บาท สามารถช่วยให้กลุ่มเป้าหมายผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ สตรี และคนพิการมีรายได้ประมาณ 3,000–3,500บาท/คน/เดือน ซึ่งการจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ และสร้างการรับรู้ในศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง ทั้งกลุ่มเด็ก คนพิการ สตรีที่ขาดโอกาสและผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ด้วยกิจกรรมการแสดงความสามารถของเด็กในความอุปการะของกระทรวง พม. การแสดงของคนพิการผ่านวงดนตรี S2S และนําเสนอผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ด้วยการเดินแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนโอกาสในการพัฒนาศักยภาพไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในสังคมและขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วยดีเสมอมา
"กระทรวง พม. จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมให้โอกาสสร้างกําลังใจ สานความฝันให้เป็นจริงด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ที่มีเรื่องราวความตั้งใจของผู้ผลิต ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ อาทิ เช่น กระเป๋าผ้าขาวม้า กระเป๋าผ้าด้นมือ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ในแบบต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ สามารถอุดหนุนผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ได้ที่ร้านทอฝัน By พม. ณ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลอีสต์วิลล์ และ ร้าน ณ วังสะพานขาว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รวมทั้งร้านสาขา 5 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีภาคกลางจังหวัดนนทบุรี ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนพิการจังหวัดนนทบุรี สถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ ) จังหวัดนนทบุรี ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว จังหวัดเชียงรายและศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น และ Facebook "ทอฝัน By พม.” เพื่อเป็นการร่วมกันสร้างสังคมไทย มุ่งสู่สังคมคุณภาพ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ำชา แนะนำผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560
พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ําชา แนะนําผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
พม. จัดงานเลี้ยงจิบน้ําชา แนะนําผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม.
วันนี้ (26 ก.ค. 60) เวลา 15.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในงานเลี้ยงจิบน้ําชา (Tea party) โดยมีผู้ร่วมงานจํานวน 140 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากสถานทูต องค์กรระหว่างประเทศ และภาคธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดําเนินงานด้านต่างๆ ของกระทรวง พม. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ความสําคัญกับการเสริมพลังและพัฒนาคนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเปราะบาง ได้แก่ คนพิการ ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จึงได้ดําเนิน "โครงการทอฝัน By พม.” ซึ่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพให้แก่ผู้รับบริการให้สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการผลิต การตลาดและการบริหารจัดการ การสร้าง Brand และการสร้างช่องทางการจําหน่าย การดําเนินงานในโครงการดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในนโยบายประชารัฐที่มีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนพื้นที่ในการจําหน่าย จํานวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด และบริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า จากการดําเนินงานโครงการมาเป็นระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ทอฝันได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีการเปิดร้านเพิ่มขึ้นจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ รวมทั้งร้านสาขาในหน่วยงานของกระทรวง มีจํานวนเพิ่มขึ้น และสามารถจําหน่ายสินค้าได้ในมูลค่ารวม 906,602 บาท สามารถช่วยให้กลุ่มเป้าหมายผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ สตรี และคนพิการมีรายได้ประมาณ 3,000–3,500บาท/คน/เดือน ซึ่งการจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ และสร้างการรับรู้ในศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง ทั้งกลุ่มเด็ก คนพิการ สตรีที่ขาดโอกาสและผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ด้วยกิจกรรมการแสดงความสามารถของเด็กในความอุปการะของกระทรวง พม. การแสดงของคนพิการผ่านวงดนตรี S2S และนําเสนอผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ด้วยการเดินแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนโอกาสในการพัฒนาศักยภาพไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในสังคมและขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วยดีเสมอมา
"กระทรวง พม. จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมให้โอกาสสร้างกําลังใจ สานความฝันให้เป็นจริงด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ที่มีเรื่องราวความตั้งใจของผู้ผลิต ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ อาทิ เช่น กระเป๋าผ้าขาวม้า กระเป๋าผ้าด้นมือ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ในแบบต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ สามารถอุดหนุนผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ได้ที่ร้านทอฝัน By พม. ณ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลอีสต์วิลล์ และ ร้าน ณ วังสะพานขาว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รวมทั้งร้านสาขา 5 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีภาคกลางจังหวัดนนทบุรี ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนพิการจังหวัดนนทบุรี สถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ ) จังหวัดนนทบุรี ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว จังหวัดเชียงรายและศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น และ Facebook "ทอฝัน By พม.” เพื่อเป็นการร่วมกันสร้างสังคมไทย มุ่งสู่สังคมคุณภาพ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5489
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2561 ณ ทำเนียบรัฐบาล เน้นย้ำให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
|
วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เน้นย้ําให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เน้นย้ําให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
วันนี้ (13 มกราคม 2561) เวลา 09.50 น. ณ บริเวณสนามหญ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2561 พร้อมชมการแสดงของเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ในการแสดงชุด “ND Step forward ก้าวไปด้วยกัน...สร้างสรรค์เทคโนโลยี”
จากนั้น เวลา 10.10 น. ณ ห้องทํางานนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับเด็กและเยาวชนที่นําชื่อเสียงมาสู่ประเทศ เด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เด็กดีหรือเด็กกตัญญู และเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการ จํานวนทั้งสิ้น 22 คน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนนั่งเก้าอี้ทํางานนายกรัฐมนตรี พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกรัฐมนตรี สําหรับบรรยากาศการนั่งเก้าอี้ทํางานของนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยสอบถามเด็กและเยาวชนอย่างเป็นกันเองพร้อมกับให้คําแนะนําในการทํางานว่า ต้องมีความละเอียดรอบคอบเพราะตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตําแหน่งที่สําคัญ เวลาจะลงนามหนังสืออะไรต้องอ่านให้ครบถ้วน ก่อนจะลงนามหนังสือต้องตรวจตราให้ดี เพราะถ้าผิดพลาดจะมีผลกระทบต่อประเทศชาติ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กําลังใจเด็กพิการว่า ขอให้เด็กและเยาวชนอย่าท้อแท้ มีกําลังใจในการดํารงชีวิต และให้ยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความภาคภูมิใจ สําหรับเด็กเก่ง และเด็กทั่วไป นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมขอให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อน และขอให้เป็นคนดีของพ่อแม่ เป็นคนดีของสังคม พร้อมขอให้ตั้งใจเรียน หมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอให้ก้าวทันเทคโนโลยี ให้เก่ง ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าหยุดยั้งที่จะเรียนรู้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้เด็ก ๆ มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่ และที่สําคัญต้องกตัญญูต่อประเทศด้วย
สําหรับในปีนี้ มีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศเขียนคําอวยพรปีใหม่ให้กับนายกรัฐมนตรี โดยได้นํามาจัดนิทรรศการไว้บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า โดยนายกรัฐมนตรีได้เขียนตอบขอบคุณความว่า “เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 และวันเด็กปี 2561 ขอขอบคุณเด็ก ๆ และเยาวชนทุกคนที่ได้อวยพรปีใหม่กับนายก และได้มาร่วมงานวันเด็กพร้อมผู้ปกครองในวันนี้ มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ด้วยบรรยากาศ มิตรไมตรีต่อกัน และให้เห็นถึงความสุขที่ทุกคนได้รับทั้งในระยะเวลาที่ผ่านมาปีก่อน และปีใหม่นี้ และตลอดไป นายกฯ และรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรวมถึงเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขอให้ทุกคนประสบความสําเร็จ แข็งแรง เป็นคนดีและคนเก่งของประเทศไทย เพื่อพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน ด้วยรักและห่วงใยเสมอ”
-------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2561 ณ ทำเนียบรัฐบาล เน้นย้ำให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เน้นย้ําให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เน้นย้ําให้เด็กและเยาวชนก้าวทันเทคโนโลยี มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่และประเทศชาติ
วันนี้ (13 มกราคม 2561) เวลา 09.50 น. ณ บริเวณสนามหญ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2561 พร้อมชมการแสดงของเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ในการแสดงชุด “ND Step forward ก้าวไปด้วยกัน...สร้างสรรค์เทคโนโลยี”
จากนั้น เวลา 10.10 น. ณ ห้องทํางานนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับเด็กและเยาวชนที่นําชื่อเสียงมาสู่ประเทศ เด็กจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เด็กดีหรือเด็กกตัญญู และเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการ จํานวนทั้งสิ้น 22 คน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนนั่งเก้าอี้ทํางานนายกรัฐมนตรี พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับนายกรัฐมนตรี สําหรับบรรยากาศการนั่งเก้าอี้ทํางานของนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยสอบถามเด็กและเยาวชนอย่างเป็นกันเองพร้อมกับให้คําแนะนําในการทํางานว่า ต้องมีความละเอียดรอบคอบเพราะตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตําแหน่งที่สําคัญ เวลาจะลงนามหนังสืออะไรต้องอ่านให้ครบถ้วน ก่อนจะลงนามหนังสือต้องตรวจตราให้ดี เพราะถ้าผิดพลาดจะมีผลกระทบต่อประเทศชาติ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กําลังใจเด็กพิการว่า ขอให้เด็กและเยาวชนอย่าท้อแท้ มีกําลังใจในการดํารงชีวิต และให้ยืนหยัดอยู่ในสังคมด้วยความภาคภูมิใจ สําหรับเด็กเก่ง และเด็กทั่วไป นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมขอให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อน และขอให้เป็นคนดีของพ่อแม่ เป็นคนดีของสังคม พร้อมขอให้ตั้งใจเรียน หมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอให้ก้าวทันเทคโนโลยี ให้เก่ง ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าหยุดยั้งที่จะเรียนรู้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้เด็ก ๆ มีคุณธรรม กตัญญูต่อพ่อแม่ และที่สําคัญต้องกตัญญูต่อประเทศด้วย
สําหรับในปีนี้ มีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศเขียนคําอวยพรปีใหม่ให้กับนายกรัฐมนตรี โดยได้นํามาจัดนิทรรศการไว้บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า โดยนายกรัฐมนตรีได้เขียนตอบขอบคุณความว่า “เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 และวันเด็กปี 2561 ขอขอบคุณเด็ก ๆ และเยาวชนทุกคนที่ได้อวยพรปีใหม่กับนายก และได้มาร่วมงานวันเด็กพร้อมผู้ปกครองในวันนี้ มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ด้วยบรรยากาศ มิตรไมตรีต่อกัน และให้เห็นถึงความสุขที่ทุกคนได้รับทั้งในระยะเวลาที่ผ่านมาปีก่อน และปีใหม่นี้ และตลอดไป นายกฯ และรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรวมถึงเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขอให้ทุกคนประสบความสําเร็จ แข็งแรง เป็นคนดีและคนเก่งของประเทศไทย เพื่อพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน ด้วยรักและห่วงใยเสมอ”
-------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9369
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019
|
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019 เพื่อส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาค สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เทศกาลของขวัญปีใหม่ ของฝากถูกใจ ผลิตภัณฑ์ทั่วไทยรวมไว้ใน OTOP City 2019” ภายในงานพบกับคาราวานของขวัญและสินค้า OTOP ที่มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 20,000 รายการ นิทรรศการให้ความรู้ การแสดงจากศิลปินและบริการจากภาครัฐ โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 23 ธ.ค. 62 เวลา 10.00-21.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 - 3 อิมแพค เมืองทองธานี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2019 เพื่อส่งเสริมการตลาดให้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาค สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เทศกาลของขวัญปีใหม่ ของฝากถูกใจ ผลิตภัณฑ์ทั่วไทยรวมไว้ใน OTOP City 2019” ภายในงานพบกับคาราวานของขวัญและสินค้า OTOP ที่มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 20,000 รายการ นิทรรศการให้ความรู้ การแสดงจากศิลปินและบริการจากภาครัฐ โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 23 ธ.ค. 62 เวลา 10.00-21.00 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 - 3 อิมแพค เมืองทองธานี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมชุมชน/ประชาชนใช้ประโยชน์ “เน็ตประชารัฐ” คู่ขนานการติดตั้งโครงข่ายครบ 24,700 หมู่บ้านให้แล้วเสร็จภายใน ธ.ค.60
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมชุมชน/ประชาชนใช้ประโยชน์ “เน็ตประชารัฐ” คู่ขนานการติดตั้งโครงข่ายครบ 24,700 หมู่บ้านให้แล้วเสร็จภายใน ธ.ค.60
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เผยล่าสุดติดตั้งโครงข่าย “เน็ตประชารัฐ” แล้วกว่า 18,000 หมู่บ้าน มี 16 จังหวัดติดตั้งครบทุกหมู่บ้านเป้าหมายแล้ว มั่นใจการทํางานเร็วกว่ากรอบเวลาที่กําหนด พร้อมเร่งสร้างการรับรู้-ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนใช้ประโยชน์ทุกด้านอย่างคุ้มค่า
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้มีนโยบายนําพาประเทศก้าวสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐานของประเทศให้เข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ผลักดันให้เกิดโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หรือ “เน็ตประชารัฐ” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสในการเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งบริการภาครัฐให้กับประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทําให้เกิดการกระจายทรัพยากร สร้างโอกาสที่ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม
โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยัง 24,700 หมู่บ้านเป้าหมาย ซึ่งได้วางแนวทางการทํางานและกรอบเวลาดําเนินการไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งกําหนดจํานวนการติดตั้งในแต่ละเดือนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการทํางานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย และด้วยการให้ความสําคัญของรัฐบาล ทําให้การดําเนินการติดตั้งรุดหน้าไปมากกว่าที่กําหนดไว้ โดยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2560 มีการติดตั้งแล้วเสร็จถึง 18,916 หมู่บ้าน แบ่งเป็น
ภาคเหนือ ติดตั้งแล้ว 3,125 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 1,287 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 4,412 หมู่บ้าน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตั้งแล้ว 10,436 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 3,032 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 13,468 หมู่บ้าน
ภาคตะวันออก ติดตั้งแล้ว 1,147 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 407 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 1,554 หมู่บ้าน
ภาคกลาง ติดตั้งแล้ว 1,548 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 541 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 2,089 หมู่บ้าน
ภาคใต้ ติดตั้งแล้ว 2,605 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 492 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 3,097 หมู่บ้าน
กรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดตั้งแล้ว 55 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 25 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 80 หมู่บ้าน
ซึ่งมีจังหวัดที่ได้รับการติดตั้งครบตามจํานวนหมู่บ้านเป้าหมายแล้วทั้งหมด 16 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชลบุรี นครศรีธรรมราช บึงกาฬ พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยโสธร ระนอง สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี หนองคาย อ่างทอง และอํานาจเจริญ
นอกจากนั้น ขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้จัดทําแผนสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ในระยะแรก 6 เดือนนับจากนี้ (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยงานในสังกัด อาทิ สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ตลอดจนพันธมิตรภาคเอกชนต่างๆ ดําเนินงานสร้างการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจัดอบรมให้ความรู้ การจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้และใช้ประโยชน์ การประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ ฯลฯ
ในเบื้องต้นจะมีการจัดอบรมเครือข่ายวิทยากรแกนนําผู้สร้างการรับรู้เน็ตประชารัฐ ประมาณ 200 คน เพื่อให้นําข้อมูลความรู้ที่ได้รับไปสร้างวิทยากรแกนนําระดับอําเภอ ประมาณ 872 คน และวิทยากรแกนนําระดับตําบลอีกประมาณ 7,424 คน รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายกํานัน/ผู้ใหญ่บ้าน จํานวน 24,700 คน เพื่อทําหน้าที่ขยายผลต่อไปยังประชาชนทุกคนในชุมชนของตนเองรวมกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ให้ได้รับรู้และสามารถใช้ประโยชน์จาก เน็ตประชารัฐอย่างคุ้มค่าและเต็มศักยภาพ สําหรับหัวข้อการอบรม ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับเน็ตประชารัฐและการเชื่อมต่อ การใช้อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น การสืบค้นข้อมูล การสมัครอีเมล/เครื่องมือการสื่อสาร การขายสินค้าออนไลน์ การใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แนะนําแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับด้านต่างๆ อาทิ ด้านการเกษตร การศึกษา การส่งเสริมสุขภาพ บริการภาครัฐ ข้อมูลข่าวสารชุมชน ฯลฯ
ทั้งนี้ เมื่อการติดตั้งครอบคลุมครบทุกหมู่บ้านเป้าหมาย จะทําให้ประชาชนเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียมกัน และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชนในมิติต่างๆ ทั้งการนําระบบ e-Commerce สู่ชุมชน เกิดการสร้างงานนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ส่งผลให้การรักษาพยาบาลทั่วถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบ e-Learning เพื่อสร้างการเรียนรู้และการรับข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกที่ให้กับชุมชน รวมถึงบริการภาครัฐ e-Government เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดเวลาในการทําธุรกรรมต่างๆ ของประชาชน ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจและสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืนให้กับคนในชุมชนต่อไป
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมชุมชน/ประชาชนใช้ประโยชน์ “เน็ตประชารัฐ” คู่ขนานการติดตั้งโครงข่ายครบ 24,700 หมู่บ้านให้แล้วเสร็จภายใน ธ.ค.60
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมชุมชน/ประชาชนใช้ประโยชน์ “เน็ตประชารัฐ” คู่ขนานการติดตั้งโครงข่ายครบ 24,700 หมู่บ้านให้แล้วเสร็จภายใน ธ.ค.60
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เผยล่าสุดติดตั้งโครงข่าย “เน็ตประชารัฐ” แล้วกว่า 18,000 หมู่บ้าน มี 16 จังหวัดติดตั้งครบทุกหมู่บ้านเป้าหมายแล้ว มั่นใจการทํางานเร็วกว่ากรอบเวลาที่กําหนด พร้อมเร่งสร้างการรับรู้-ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนใช้ประโยชน์ทุกด้านอย่างคุ้มค่า
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้มีนโยบายนําพาประเทศก้าวสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐานของประเทศให้เข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ผลักดันให้เกิดโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หรือ “เน็ตประชารัฐ” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสในการเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งบริการภาครัฐให้กับประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทําให้เกิดการกระจายทรัพยากร สร้างโอกาสที่ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม
โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยัง 24,700 หมู่บ้านเป้าหมาย ซึ่งได้วางแนวทางการทํางานและกรอบเวลาดําเนินการไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งกําหนดจํานวนการติดตั้งในแต่ละเดือนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการทํางานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย และด้วยการให้ความสําคัญของรัฐบาล ทําให้การดําเนินการติดตั้งรุดหน้าไปมากกว่าที่กําหนดไว้ โดยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2560 มีการติดตั้งแล้วเสร็จถึง 18,916 หมู่บ้าน แบ่งเป็น
ภาคเหนือ ติดตั้งแล้ว 3,125 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 1,287 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 4,412 หมู่บ้าน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตั้งแล้ว 10,436 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 3,032 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 13,468 หมู่บ้าน
ภาคตะวันออก ติดตั้งแล้ว 1,147 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 407 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 1,554 หมู่บ้าน
ภาคกลาง ติดตั้งแล้ว 1,548 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 541 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 2,089 หมู่บ้าน
ภาคใต้ ติดตั้งแล้ว 2,605 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 492 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 3,097 หมู่บ้าน
กรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดตั้งแล้ว 55 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการติดตั้ง 25 หมู่บ้าน จากเป้าหมาย 80 หมู่บ้าน
ซึ่งมีจังหวัดที่ได้รับการติดตั้งครบตามจํานวนหมู่บ้านเป้าหมายแล้วทั้งหมด 16 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชลบุรี นครศรีธรรมราช บึงกาฬ พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยโสธร ระนอง สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี หนองคาย อ่างทอง และอํานาจเจริญ
นอกจากนั้น ขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้จัดทําแผนสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ในระยะแรก 6 เดือนนับจากนี้ (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยงานในสังกัด อาทิ สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ตลอดจนพันธมิตรภาคเอกชนต่างๆ ดําเนินงานสร้างการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการจัดอบรมให้ความรู้ การจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้และใช้ประโยชน์ การประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ ฯลฯ
ในเบื้องต้นจะมีการจัดอบรมเครือข่ายวิทยากรแกนนําผู้สร้างการรับรู้เน็ตประชารัฐ ประมาณ 200 คน เพื่อให้นําข้อมูลความรู้ที่ได้รับไปสร้างวิทยากรแกนนําระดับอําเภอ ประมาณ 872 คน และวิทยากรแกนนําระดับตําบลอีกประมาณ 7,424 คน รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายกํานัน/ผู้ใหญ่บ้าน จํานวน 24,700 คน เพื่อทําหน้าที่ขยายผลต่อไปยังประชาชนทุกคนในชุมชนของตนเองรวมกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ให้ได้รับรู้และสามารถใช้ประโยชน์จาก เน็ตประชารัฐอย่างคุ้มค่าและเต็มศักยภาพ สําหรับหัวข้อการอบรม ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับเน็ตประชารัฐและการเชื่อมต่อ การใช้อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น การสืบค้นข้อมูล การสมัครอีเมล/เครื่องมือการสื่อสาร การขายสินค้าออนไลน์ การใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แนะนําแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับด้านต่างๆ อาทิ ด้านการเกษตร การศึกษา การส่งเสริมสุขภาพ บริการภาครัฐ ข้อมูลข่าวสารชุมชน ฯลฯ
ทั้งนี้ เมื่อการติดตั้งครอบคลุมครบทุกหมู่บ้านเป้าหมาย จะทําให้ประชาชนเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียมกัน และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชนในมิติต่างๆ ทั้งการนําระบบ e-Commerce สู่ชุมชน เกิดการสร้างงานนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ส่งผลให้การรักษาพยาบาลทั่วถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบ e-Learning เพื่อสร้างการเรียนรู้และการรับข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกที่ให้กับชุมชน รวมถึงบริการภาครัฐ e-Government เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดเวลาในการทําธุรกรรมต่างๆ ของประชาชน ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจและสังคมที่เติบโตอย่างยั่งยืนให้กับคนในชุมชนต่อไป
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7435
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
|
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
วันนี้ (10 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชน ที่ถามผ่านโซเชียลมีเดีย ช่วงการแถลงข่าวประจําวันศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ยืนยันยังไม่มีการหารือถึงการทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว 15 วัน ตามที่ปรากฏเป็นกระแสข่าว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนติดตามจากมติที่ประชุม ศบค. ที่จะมีการประชุมในวันที่ศุกร์ที่ 12 มิ.ย. นี้ สําหรับการเปิดให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยวด้านสุขภาพในประเทศไทยนั้น ยังเป็นเพียงข้อพิจารณาเท่านั้น อาทิ รูปแบบ Travel Bubble ซึ่งเป็นการทําข้อตกลงให้สามารถเดินทางระหว่างประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับน้อย หรือ อนุญาตผู้ที่มีใบอนุญาตทํางาน (Work Permit) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและไทยมีศักยภาพทางด้านการแพทย์ อย่างไรก็ตามยังต้องคํานึงถึงผลกระทบในด้านอื่นด้วย
โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบข้อสงสัยตามร่างผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ที่มีการอนุญาตให้มีการขายสุราในร้านอาหารได้ แต่ยังไม่ให้เปิดบริการกิจการ ผับ/บาร์/คาราโอเกะ โดยชี้แจงว่า เนื่องจาก ผับ/บาร์/คาราโอเกะ เป็นกิจการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ซึ่งที่ผ่านมามีการรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสถานที่เหล่านี้เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ กิจการประเภทร้านอาหารจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยและมีความจําเป็นต่อการดํารงชีวิต มีการใช้เวลาในกิจกรรมไม่นานนักหากเทียบกับระยะเวลาทํากิจกรรมใน ผับ/บาร์ เบื้องต้นจึงอนุญาตให้มีการขายสุราในร้านอาหารก่อนได้
ในช่วงท้ายโฆษก ศบค. กล่าวถึงการหารือถึงฉบับร่างผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ในการประชุม ศบค. วันศุกร์ที่ 12 มิ.ย. นี้ ซึ่งหากที่ประชุมมีมติเห็นชอบ จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการระยะ 4 ในวันที่ 15 มิ.ย. ทั้งนี้ ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นระยะเวลามากกว่า 14 วันต่อเนื่องแล้ว จึงอาจมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงแรก แต่ยังขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการหลัก โดยเฉพาะ สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสามารถติดตามข้อมูลได้ทาง Facebook Page ไทยคู่ฟ้าและศูนย์ข้อมูล COVID-19 สําหรับวันที่ไม่มีการแถลงสถานการณ์จาก ศบค. ณ ทําเนียบรัฐบาล ได้
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
โฆษก ศบค. เผยขอให้รอความชัดเจนมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการประชุม ศบค. วันศุกร์ นี้
วันนี้ (10 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชน ที่ถามผ่านโซเชียลมีเดีย ช่วงการแถลงข่าวประจําวันศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ยืนยันยังไม่มีการหารือถึงการทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว 15 วัน ตามที่ปรากฏเป็นกระแสข่าว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนติดตามจากมติที่ประชุม ศบค. ที่จะมีการประชุมในวันที่ศุกร์ที่ 12 มิ.ย. นี้ สําหรับการเปิดให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยวด้านสุขภาพในประเทศไทยนั้น ยังเป็นเพียงข้อพิจารณาเท่านั้น อาทิ รูปแบบ Travel Bubble ซึ่งเป็นการทําข้อตกลงให้สามารถเดินทางระหว่างประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับน้อย หรือ อนุญาตผู้ที่มีใบอนุญาตทํางาน (Work Permit) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและไทยมีศักยภาพทางด้านการแพทย์ อย่างไรก็ตามยังต้องคํานึงถึงผลกระทบในด้านอื่นด้วย
โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบข้อสงสัยตามร่างผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ที่มีการอนุญาตให้มีการขายสุราในร้านอาหารได้ แต่ยังไม่ให้เปิดบริการกิจการ ผับ/บาร์/คาราโอเกะ โดยชี้แจงว่า เนื่องจาก ผับ/บาร์/คาราโอเกะ เป็นกิจการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ซึ่งที่ผ่านมามีการรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสถานที่เหล่านี้เป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ กิจการประเภทร้านอาหารจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยและมีความจําเป็นต่อการดํารงชีวิต มีการใช้เวลาในกิจกรรมไม่นานนักหากเทียบกับระยะเวลาทํากิจกรรมใน ผับ/บาร์ เบื้องต้นจึงอนุญาตให้มีการขายสุราในร้านอาหารก่อนได้
ในช่วงท้ายโฆษก ศบค. กล่าวถึงการหารือถึงฉบับร่างผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ในการประชุม ศบค. วันศุกร์ที่ 12 มิ.ย. นี้ ซึ่งหากที่ประชุมมีมติเห็นชอบ จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการระยะ 4 ในวันที่ 15 มิ.ย. ทั้งนี้ ไทยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมาเป็นระยะเวลามากกว่า 14 วันต่อเนื่องแล้ว จึงอาจมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงแรก แต่ยังขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการหลัก โดยเฉพาะ สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสามารถติดตามข้อมูลได้ทาง Facebook Page ไทยคู่ฟ้าและศูนย์ข้อมูล COVID-19 สําหรับวันที่ไม่มีการแถลงสถานการณ์จาก ศบค. ณ ทําเนียบรัฐบาล ได้
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32153
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
|
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
สธ. ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน หลายประเทศบรรจุไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน หลายประเทศบรรจุไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
วันนี้ (30 มีนาคม 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม (GPO) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดําเนินการร่วมกันในการจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวี เพื่อลดการเสียชีวิตของสตรีไทยจากมะเร็งปากมดลูก ขณะนี้ มีบริษัทมายื่นเสนอแล้ว อยู่ระหว่างการดําเนินงานตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้บรรจุวัคซีนเอชพีวี ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก) และ 4 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และหูดหงอนไก่) ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่ผูกขาด เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ต้องการให้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคาของผู้ขายมากกว่า 1 ราย โดยในปีที่ผ่านมา องค์การเภสัชกรรม ได้จัดหาวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้พอเพียงเป็นไปตามแผนการดําเนินงานของประเทศ และการจัดซื้อวัคซีนประหยัดงบประมาณได้ 36 ล้านบาท
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สําหรับด้านประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งมดลูกนั้น คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ยืนยันว่าวัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เท่ากัน และวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในต่างประเทศก็ยังมีการใช้อยู่ โดยมีประเทศที่ใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 29 ประเทศ เช่น สก็อตแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
สธ. ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน หลายประเทศบรรจุไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน หลายประเทศบรรจุไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
วันนี้ (30 มีนาคม 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม (GPO) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดําเนินการร่วมกันในการจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวี เพื่อลดการเสียชีวิตของสตรีไทยจากมะเร็งปากมดลูก ขณะนี้ มีบริษัทมายื่นเสนอแล้ว อยู่ระหว่างการดําเนินงานตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้บรรจุวัคซีนเอชพีวี ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก) และ 4 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และหูดหงอนไก่) ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่ผูกขาด เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ต้องการให้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคาของผู้ขายมากกว่า 1 ราย โดยในปีที่ผ่านมา องค์การเภสัชกรรม ได้จัดหาวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้พอเพียงเป็นไปตามแผนการดําเนินงานของประเทศ และการจัดซื้อวัคซีนประหยัดงบประมาณได้ 36 ล้านบาท
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สําหรับด้านประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งมดลูกนั้น คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ยืนยันว่าวัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เท่ากัน และวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในต่างประเทศก็ยังมีการใช้อยู่ โดยมีประเทศที่ใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 29 ประเทศ เช่น สก็อตแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11207
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.