title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังมั่นใจเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลัง S&P Global Ratings ยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2563
คลังมั่นใจเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลัง S&P Global Ratings ยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+
ก.คลังมั่นใจ ศก.จะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลัง S&P Global Ratings ยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นศักยภาพและเสถียรภาพของ ศก.ไทย ขณะ GDP ไตรมาสที่ 3 ของไทยดีกว่าที่คาดการณ์และ ศก.ไทยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มปรับดีขึ้น
“กระทรวงการคลังมั่นใจเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังบริษัท S&P Global Ratings ยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพและเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ของไทยดีกว่าที่คาดการณ์และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “บริษัท S&P Global Ratings (S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลและสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอีกทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วง 1 –2 ปีข้างหน้า
กระทรวงการคลังมั่นใจว่าการยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยและการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของ S&P ครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจไทยที่กำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเพื่อการฟื้นฟูและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป หลังจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 เศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนสะท้อนจากGDP ไตรมาส 3 ปี 2563 หดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ -6.4 ต่อปีและหากเทียบกับไตรมาสที่ 2 โดยปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2563 ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ+6.5 (QoQ_SA) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว สำหรับทั้งปี 2563 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวที่ร้อยละ -6.0 ต่อปีเป็นการปรับประมาณการดีขึ้นจากเดือนสิงหาคม2563 ที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ -7.5 ต่อปีขณะที่เสถียรภาพทางการคลังของไทยยังอยู่ในระดับเข้มแข็งสะท้อนจากสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 49.4 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 ทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการออกมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไปกระทรวงการคลังจะมุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้รักษาระดับการจ้างงานภายในประเทศ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป”
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020ต่อ 3256
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งปูพรมตรวจสถานประกอบการ เตือนรับต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษทั้งจำ-ทั้งปรับ | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
อธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งปูพรมตรวจสถานประกอบการ เตือนรับต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษทั้งจำ-ทั้งปรับ
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งการ กกจ.บูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ เพื่อป้องกันและสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 จากแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงานในไทย
นายสุชาติ กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ดำเนินการตามตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ในด้านการเฝ้าระวังคนต่างด้าวลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมายและไม่ผ่านการคัดกรองโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมืออย่าอำนวยความสะดวกให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขอให้งดรับแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาแบบผิดกฎหมาย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านยังมีความน่ากังวล จึงได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ สำนักงานจัดหางานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1- 10 ลงพื้นที่เข้มงวดตรวจสอบแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ต้องมีใบอนุญาตทำงาน โดยเฉพาะสำนักงานจัดหางานจังหวัด 10 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ได้แก่ กาญจนบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี แม่ฮ่องสอน ระนอง และราชบุรี ได้กำชับให้ดำเนินการตามมาตรการของศบค.อย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ
“ ที่ผ่านมามีการดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำนวน 1,569 ราย ดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวไปแล้ว จำนวน 1,955 คน และผลักดันส่งกลับแรงงานแล้ว จำนวน 1,470 คน คิดเป็นเงินค่าปรับรวม 13,465,800 บาท (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2562 – 30 ก.ย. 2563) โดยคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ กรมการจัดหางานขอความร่วมมือผู้ที่พบเห็นคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมาย หรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร 0 2354 1729 หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก แจง ครอบครองจำหน่าย “โคเคน” ผิดกฎหมาย กฎกระทรวง สธ.ล่าสุดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และราชการเท่านั้น | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2563
รองโฆษก แจง ครอบครองจำหน่าย “โคเคน” ผิดกฎหมาย กฎกระทรวง สธ.ล่าสุดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และราชการเท่านั้น
รองโฆษก แจง ครอบครองจำหน่าย “โคเคน” ผิดกฎหมาย กฎกระทรวง สธ.ล่าสุดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และราชการเท่านั้น
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข การอนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 (มอร์ฟีน โคเคน เป็นต้น) พ.ศ. 2563 ขณะนี้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ารัฐ เปิดให้ครอบครองและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ได้ จึงขอชี้แจงว่า กฎกระทรวงดังกล่าว เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และทางราชการเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เพื่อการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วยในทางการแพทย์ เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ และประโยชน์ทางราชการอื่น โดยกฎกระทรวงนี้ ไม่ได้เป็นการถอดมอร์ฟีน หรือ โคเคน ออกจากรายการยาเสพติดให้โทษแต่อย่างใด จึงขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลวงในโลกออนไลน์ และใช้ความละเอียดรอบคอบในการรับข้อมูลข่าวสาร
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กฎกระทรวงสาธารณสุข การอนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 มีผลบังคับใช้ภายใน 240 วันนับจากวันที่ 16 พ.ย. 2563 ผู้จะขออนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ต้องมีคุณสมบัติ 1. เป็นกระทรวง ทบวง กรม องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร สภากาชาดไทย หรือองค์การเภสัชกรรม 2. เป็นผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศ 3. เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง โดยการขออนุญาตเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด เท่านั้น
“ในสังคมออนไลน์มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับกฎกระทรวงนี้เป็นวงกว้าง นอกจากนี้ยังทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลเปิดให้สามารถครอบครองหรือจำหน่าย มอร์ฟีน โคเคน ได้แล้ว จึงขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยกฎกระทรวงดังกล่าวมีไว้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และราชการเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองหรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ยังมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนใช้ความรอบคอบในการรับข้อมูลข่าวสาร และอย่าหลงเชื่อข่าวลวงว่าสามารถครอบครองหรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ได้แล้ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36937 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2563
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2563
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2563
-----------------------------------------
จากสถานการณ์การชุมนุมในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลและทุกฝ่ายกำลังร่วมกันหาทางออกโดยสงบและสันติ บนพื้นฐานของกระบวนการตามกฎหมาย และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีท่าทีที่จะบรรเทาลง แม้รัฐบาลได้แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ใช้ความพยายามปฏิบัติหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดำเนินการต่าง ๆ ตามหลักสากล ด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาบรรยากาศของความรักความสามัคคี ปรองดองของทุกคนในชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นสำคัญ
ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีนัก และมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ และสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง รวมทั้งความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยจะดำเนินคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักการสากล
จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36935 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม ผลักดันการลงนาม RCEP สำเร็จ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่การค้าโลก | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ ปลื้ม ผลักดันการลงนาม RCEP สำเร็จ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่การค้าโลก
นายกฯ ปลื้ม ผลักดันการลงนาม RCEP สำเร็จ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่การค้าโลก
วันนี้ (วันที่ 19 พฤศจิกายน 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับความสำเร็จที่สามารถมีการลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา หลังใช้เวลาในการเจรจากว่า 7 ปี
ทั้งนี้ ความตกลง RCEP จะเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ คือสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอาเซียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นความตกลงความร่วมมือทางการค้าที่มีตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เคยลงนามกัน ประเทศที่เข้าร่วมตกลงกันทั้ง 15 ประเทศมีประชากรรวมคิดเป็น 30% ของประชากรโลก (เกือบ 2,252 ล้านคน) และมี GDP รวมกันคิดเป็น 30% ของ GDP โลก (กว่า 26.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 817.7 ล้านล้านบาท) มีมูลค่าการค้ารวมคิดเป็น 27.4% ของมูลค่าการค้าโลก (กว่า 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 326 ล้านล้านบาท)
ซึ่งการลงนามครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จจากความพยายามของประเทศไทยในการเจรจาในวาระที่ไทยเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อปี 2562 ซึ่งความตกลง RCEP นี้ มีการเจรจากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่การประกาศให้มีการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลง RCEP อย่างเป็นทางการในปี 2556
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นความภูมิใจ ที่รัฐบาลจะเพิ่มโอกาส และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่สินค้าไทย ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อเปรียบเทียบกับ FTA ที่ไทยมีอยู่เนื่องจากมีการเปิดตลาดยกเว้นภาษีใน RCEP เพิ่มมากขึ้น โดยข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระดับภูมิภาค (RCEP)นี้ เป็นข้อตกลงที่จะขยายและกระชับความผูกพันของอาเซียนกับออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และนิวซีแลนด์
ซึ่งวัตถุประสงค์ของข้อตกลง RCEP คือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทันสมัย ครอบคลุม คุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าและการลงทุนในภูมิภาคและสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของโลก ดังนั้นจะนำมาซึ่งโอกาสทางการตลาดและการจ้างงานให้กับธุรกิจ และผู้คนในภูมิภาค
อีกทั้ง ข้อตกลง RCEP เป็นข้อตกลงที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อวันนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นข้อตกลงสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วย เป็นการปรับปรุงความครอบคลุมของเขตการค้าเสรีอาเซียนบวกหนึ่งที่มีอยู่ (FTA ของอาเซียนกับคู่เจรจา 5 ประเทศ) และคำนึงถึงความเป็นจริงทางการค้าที่เปลี่ยนแปลง และเกิดขึ้นใหม่ ร วมถึงยุคของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ศักยภาพของวิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดย่อม การขยายตัวของภูมิภาค ห่วงโซ่คุณค่า และความซับซ้อนของการแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ ข้อตกลง RCEP นี้เป็นการปรับปรุงและเสริมข้อตกลงที่มีอยู่แล้วในบทบัญญัติขององค์การการค้าโลก (WTO) อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36933 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดงานการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินฯ ย้ำ การบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดงานการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินฯ ย้ำ การบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดงานการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินฯ ย้ำ การบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
นายวราวุธศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(รมว.ทส.)เป็นประธานเปิดงาน "การจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินเพื่อคนทุกคน" พร้อมด้วยนายจตุพรบุรุษพัฒน์ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งจัดขึ้นโดยเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก(ภาคเหนือ)โดยมีนายบัณฑูรล่ำซำประธานกรรมการภาคเอกชนโครงการรักษ์ป่าน่านนางธารทิพย์ศิรินุพงศ์ผู้แทนบริษัทไทยเบฟเวอเรจจำกัด(มหาชน)ผู้แทนภาคประชาสังคมและผู้แทนขบวนองค์กรชุมชนจาก17จังหวัดภาคเหนือร่วมงาน เมื่อวันที่ 30ตุลาคม2563 ณบริเวณข่วงน่านจังหวัดน่าน
โอกาสนี้รมว.ทส.ได้รับฟังประกาศเจตนารมณ์พร้อมทั้งรับมอบข้อเสนอจากผู้แทนขบวนการองค์กรชุมชนจาก17จังหวัดภาคเหนือซึ่งได้ยื่นข้อเสนอเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนให้ชุมชนได้รับสิทธิการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังและให้หน่วยงานระดับจังหวัดบรรจุแผนการพัฒนาที่ดินที่อยู่อาศัยและการจัดการที่ดินเป็นแผนยุทธศาสตร์จังหวัด
รมว.ทส.ยังได้กล่าวเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัยโดยต้องมีการอนุรักษ์รวมถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่าซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
หลังจากนั้นได้เดินทางไปโรงแรมน่านบูติครีสอร์ทเพื่อรับฟังรายงานสรุปผลการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการน่านแซนบ๊อกซ์(Nan sandbox )
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36510 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน กรณีชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ถูกบริษัทจำหน่ายรถจักรยานยนต์หลอกให้ดำเนินการในเอกสารซื้อขายแต่ไม่ได้รับรถจักร | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน กรณีชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ถูกบริษัทจำหน่ายรถจักรยานยนต์หลอกให้ดำเนินการในเอกสารซื้อขายแต่ไม่ได้รับรถจักร
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน กรณีชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ถูกบริษัทจำหน่ายรถจักรยานยนต์หลอกให้ดำเนินการในเอกสารซื้อขายแต่ไม่ได้รับรถจักรยานยนต์ตามที่ตกลงกันไว้ ซ้ำยังโดนฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ในวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมไชยานุกิจ ชั้น ๓ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จากนายนิพนธ์ คนขยัน (อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ) กรณียื่นหนังสือร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยมี ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ สืบเนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๑๑๑ ราย ถูกตัวแทนของบริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด (สาขาบึงกาฬ) ซึ่งประกอบกิจการขายรถจักรยานยนต์ และเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของบริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ได้ชักชวนและหลอกลวงชาวบ้านให้มาทำยอดขายให้กับบริษัท มิตซูเจียงฯ ซึ่งชาวบ้านหลงเชื่อและโดยได้ทำการลงชื่อในเอกสาร ซึ่งชาวบ้านไม่ทราบว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ต่อมาตัวแทนบริษัทมิตซูเจียงฯ ได้มอบเงินจำนวน ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาท ให้กับชาวบ้าน โดยอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการดังกล่าว นอกจากนี้ ยังให้ชาวบ้านถ่ายภาพกับรถจักรยานยนต์โดนเสมือนว่าเป็นการส่งมอบรถให้กับชาวบ้าน แต่หลังจากนั้นบริษัท อยุธยาฯ ได้ยื่นเรื่องฟ้องชาวบ้าน ๒๗ ราย เรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อและเรียกค่าเสียหายจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ - ๑๔๐,๐๐๐ บาท ทำให้ปัจจุบันชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เบื้องต้นอาจมีผู้เสียหายมากกว่า ๕๐๐ ราย อีกทั้งเกรงว่าชาวบ้านที่เหลืออาจจะถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน ผู้แทนชาวบ้านจึงขอให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือกรณีดังกล่าว
สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ ในส่วนของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยกองพิทักษ์สิทฺธิและเสรีภาพ กลุ่มงานจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นมีชาวบ้านยื่นเรื่องต่อสำนักงานยุติธรรมจังหวัดเพื่อขอทนายความให้ความช่วยเหลือจำนวน ๓๖ ราย พิจารณาแล้วและยกคำขอจำนวน ๒๖ ราย อยู่ระหว่างรอพิจารณา ๑๐ ราย และจะมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนี้ ๑) มอบกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประสานบริษัท มิตซูเจียงฯ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงดังกล่าว ๒) มอบกรมคุ้มครองสิทธิฯ ตรวจสอบจำนวนชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี ๓) มอบกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกว่าเข้าหลักเกณฑ์เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ๔) เนื่องจากมีชาวบ้านได้รับความเสียหายจำนวนมาก จึงให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและกรมคุ้มครองสิทธิฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และ ๕) มอบหมายให้ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องดังกล่าว เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ และคณะลงพื้นที่ระยอง เยี่ยมชมโรงงานอินโดรามา ผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET จากการรีไซเคิลขวดพลาสติกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ และคณะลงพื้นที่ระยอง เยี่ยมชมโรงงานอินโดรามา ผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET จากการรีไซเคิลขวดพลาสติกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน)
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยได้เยี่ยมชมการดำเนินการ ขั้นตอนกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์เส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ เม็ดพลาสติก PET และรีไซเคิลขวดพลาสติก PET และความพร้อมในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในการนำไปพัฒนาและปรับใช้ในการดำเนินโครงการต่างๆ ของอุตสาหกรรมไทย
โดย บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือ 1) การรีไซเคิล โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก 2) การจัดเก็บ มีการคัดแยกแยกขยะพลาสติก การรีไซเคิลพลาสติก การให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาหรือการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ 3) การบริโภค โดยการผลักดันการปรับแก้กฎหมายและข้อบังคับ 4) การจัดจำหน่าย คือ การจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5) การผลิต วัตถุดิบทางเลือก และประสิทธิภาพเชิงนิเวศในการดำเนินงาน และ 6) การออกแบบนวัตกรรมและการดูแลรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ โดยการจัดการของเสียด้วยการนำวัตถุดิบที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้นำพลาสติก PET ที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ หรือนำมาใช้ซ้ำ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการการรักษาและเพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด นอกจากนั้นในกระบวนการรีไซเคิล ยังประหยัดพลังงาน ทรัพยากรน้ำ และลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
โรงงานบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกา โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Integrated PET ธุรกิจโอเลฟินส์ ธุรกิจเส้นใย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย มียอดขายกว่า 11.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ และมีโรงงานทั่วโลก นอกจากนี้ในแต่ละปีอินโดรามา เวนเจอร์ส จะผลิตผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET มากถึง 140,000 ตันต่อปี
#เศรษฐกิจหมุนเวียน #BCG #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36507 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ลุยต่อเนื่อง ช่วยลดค่าครองชีพประชาชนกับ พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot 7 ลดจริงสูงสุด 70% | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
จุรินทร์ลุยต่อเนื่อง ช่วยลดค่าครองชีพประชาชนกับ พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot 7 ลดจริงสูงสุด 70%
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จัดกิจกรรมลดราคาสินค้าต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน ภายใต้โครงการ “พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot 7” ร่วมมือผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ทั่วประเทศ ล
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ทำให้ประชาชนยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ จึงดำเนินการช่วยเหลือ
การลดค่าครองชีพประชาชนกับโครงการ “พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน” ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน” Lot 1-6 มาแล้ว โดยใน Lot 1 ลดราคาสินค้า 72 รายการ ลดสูงสุด 58% Lot 2 ลดราคาสินค้า 3,025 รายการ ลดสูงสุด 68% Lot 3 ห้างท้องถิ่น ลดราคาสินค้า 4,845 รายการ ลดสูงสุดถึง 68% Lot 4 ลงลึกระดับอำเภอ 878 อำเภอทั่วประเทศ ลดราคาสินค้าร่วม 7,158 รายการ ลดสูงสุด 68% Lot 5 Back To School นำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน สื่อการเรียนการสอน ทั้งหมด 1,605 รายการ ลดสูงสุดถึง 80% ส่วน Lot 6 “ซื้อง่าย ถูกใจ ใกล้บ้าน” ลดราคาผ่านร้านค้าส่งค้าปลีก ร้านกองทุนหมู่บ้าน ร้านชุมชน นำสินค้ากว่า 400 รายการ ลดสูงสุด 50% และได้รับผลการตอบรับที่ดีจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จึงดำเนินโครงการต่อเนื่องภายใต้กิจกรรม พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot 7 ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับผู้ผลิต-ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศและห้างท้องถิ่นทุกภาคทั่วประเทศไทย รวม 104 ราย โดยมีสินค้าเข้าร่วมรายการลดราคาทั้งหมด 6 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย 1.อาหารและเครื่องดื่ม 2.อาหารปรุงสำเร็จแช่แข็ง 3.ซอสปรุงรส 4.ของใช้ประจำวัน 5.ผลิตภัณฑ์ชำระร่างกาย 6.ผลิตภัณฑ์ซัก-ล้าง มีสินค้าลดราคาเพิ่มขึ้นเป็น 13,790 รายการ ลดสูงสุด 70% อาทิ ผงซักฟอก สบู่อาบน้ำชนิดเหลว เจลล้างมือ การดำเนินโครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2563 คาดว่าจะสามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศคิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ตลอดโครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36509 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขีดเส้นตาย คนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 ต้องดำเนินการขออนุญาตทำงาน และทำบัตรสีชมพู ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พ.ย.63 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ขีดเส้นตาย คนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 ต้องดำเนินการขออนุญาตทำงาน และทำบัตรสีชมพู ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 พ.ย.63
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เตือน นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่จ้างคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562, วันที่ 24 มีนาคม 2563 และวันที่ 15 เมษายน 2563 ดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน
ทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 หากพ้นกำหนด คนต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้
นายสุชาติฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม. วันที่ 20 สิงหาคม 2562 วันที่ 24 มีนาคม 2563 และวันที่ 15 เมษายน 2563 ยื่นบัญชีรายชื่อไว้ทั้งสิ้น จำนวน 1,266,351 คน ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว จำนวน 1,173,276 คน ดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานและทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแล้วเสร็จ จำนวน 1,086,226 คน และที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 180,125 คน ซึ่งปัจจุบันใกล้สิ้นสุดระยะเวลาการขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวแล้ว จึงขอเตือนให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รีบดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน ผ่านระบบออนไลน์ และติดต่อทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะสามารถใช้ได้ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2565
“ นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่จ้างคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม.ดังกล่าว และได้รับการอนุมัติคำขออนุญาตทำงาน (ตท.2) ในระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th เรียบร้อยแล้ว สามารถนัดคิวเพื่อทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ เพื่อเข้าไปทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สำนักเขต สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในกรุงเทพมหานคร หรือศูนย์บริหารการทะเบียนภาคจังหวัดสาขา หรือตามที่กรมการปกครองกำหนด สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในจังหวัดอื่น พร้อมย้ำว่า หากพ้นกำหนด คนต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยต่อเปิดจุดชมวิว "เกาะห้อง 360 องศา หนึ่งเดียวในอันดามัน" พร้อมย้ำ ด้านความปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎ และรักษาสิ่งแวดล้อม | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยต่อเปิดจุดชมวิว "เกาะห้อง 360 องศา หนึ่งเดียวในอันดามัน" พร้อมย้ำ ด้านความปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎ และรักษาสิ่งแวดล้อม
'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยต่อเปิดจุดชมวิว "เกาะห้อง 360 องศา หนึ่งเดียวในอันดามัน" พร้อมย้ำ ด้านความปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎ และรักษาสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิดป้าย" จุดชมวิว 360 องศา หนึ่งเดียวในอันดามัน" ตรวจเยี่ยมศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเกาะห้อง ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ และขึ้นสำรวจจุดชมวิว 360 องศา พร้อมพบปะพูดคุยและแจกถุงผ้าให้กับนักท่องเที่ยวบนเกาะฯ นอกจากนี้ได้ชมการสาธิตการทำ CPR ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และปลูกต้นจิกทะเลบริเวณทางขึ้นจุดชมวิวฯ โดยมี นายจุตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารฯ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้าร่วมงานฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 63 เวลา 10.30 น.ณ เกาะห้อง อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี
รมว.ทส. กล่าวว่่า อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณีถือเป็นเพชรเม็ดงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดกระบี่และประเทศไทย ขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฯ และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ได้สร้างจุดชมวิวที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสชื่นชมธรรมชาติที่ความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งได้รณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติก การรักษาความสะอาด อำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า ขอฝากท่านผู้ว่าราชการฯ และกรมอุทยานฯ ในการดูแลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพราะคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการทำ CPR เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขอให้เจ้าหน้าที่มีความพร้อมช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ทันต่อสถานการณ์ นอกจากนี้ ขอให้เน้นย้ำให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎ ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่นำขยะเข้ามาทิ้งในอุทยานฯ และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36526 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเนื่องในวาระการเข้ารับตำแหน่งใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเนื่องในวาระการเข้ารับตำแหน่งใหม่
เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเนื่องในวาระการเข้ารับตำแหน่งใหม่
วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นางซาราห์ เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดาเข้าเยี่ยมคารวะ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้แลกเปลี่ยนนโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติภายหลังวิกฤต COVID-19 การจัดการป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยี (การจัดการไฟป่า การปกป้องทรัพยากรทางทะเล อาคารสีเขียว)
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตแคนาดาชื่นชมการจัดการพื้นที่ห้วยขาแข้ง โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของเสือโคร่ง และขอให้ประเทศไทยสนับสนุนการจัดทำ FTA ASEAN-Canada
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เชิญชวนให้เยือนอุทยานแห่งชาติทางทะเลของไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ประชุมคกก.ทะเลแห่งชาติ เผยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต้องดูแลจริงจัง | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ทส.ประชุมคกก.ทะเลแห่งชาติ เผยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต้องดูแลจริงจัง
ทส.ประชุมคกก.ทะเลแห่งชาติ เผยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต้องดูแลจริงจัง
วันนี้ (4 พ.ย. 63) เวลา 10.45 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการฯ เข้าร่วมการประชุมฯ ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ในการประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2562 พร้อมผลักดันการออกกฎหมายลำดับรอง ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 21 ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้ง 2 พื้นที่ ได้แก่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร และพื้นที่ตำบลลำแก่น ตำบลท้ายเหมือง ตำบลนาเตย อำเภอท้ายเหมือง และตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา รวมถึงการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลน 4 พื้นที่ ในจังหวัดเพชรบุรี ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ ตามมาตรา 18 และกำหนดมาตรการคุ้มครองตามมาตรา 23 ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้ติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานโครงการนำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจำนวน 7 ขาแท่นไปวางเป็นปะการังเทียม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การดำเนินงานโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลทรัพยากรป่าชายเลน ที่ได้ร่วมมือกับ GISTDA ในการจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลนด้วยภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง และการประกาศใช้กฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องตามมติคณะกรรมการฯ ที่ผ่านมา
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมปี 2562 ยังคงต้องการการดูแลและป้องกันอย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการให้มากขึ้น สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานของทุกภาคส่วน ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานตามมติของคณะกรรมการฯ อย่างเคร่งครัด และต้องสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ซึ่งขอให้เห็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ไม่สร้างผลกระทบภายหลัง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักให้กับพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์และสมดุลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ต่อเนื่องติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา (เขาพิงกัน) และเกาะปันหยี | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ต่อเนื่องติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา (เขาพิงกัน) และเกาะปันหยี
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่ต่อเนื่องติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา (เขาพิงกัน) และเกาะปันหยี
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจุตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านและการแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร บนเกาะปันหยี หลังจากนั้น รมว.ทส. และคณะได้เดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เขาพิงกัน เขาตะปู เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พร้อมทั้ง ตรวจติดตามให้คำแนะนำการพัฒนาอุทยานฯ อาทิ แนะนำ การใช้คำภาษาอังกฤษในข้อห้ามและบทกำหนดโทษในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ รมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นจิกทะเล บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติชาติอ่าวพังงา รวมทั้ง ได้พบปะพูดคุยให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ฯ ในโอกาสนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับประชาชน ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับประชาชน ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเ
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับประชาชน ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ณ โรงเรียนเทศบาลเมืองป่าตอง และโรงเรียนบ้านไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี นายเสกสรร สุขแสง รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายพยุงศักดิ์ กาฬมิค ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต นายปวีณ กุมาร ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับประชาชน ณ โรงเรียนเทศบาลเมืองป่าตอง ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต โดยร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต
และในวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๖.๓๐ น. นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับประชาชน ณ โรงเรียนบ้านไม้ขาว ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36525 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์หมอกควัน PM 2.5 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์หมอกควัน PM 2.5
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์หมอกควัน PM 2.5 เน้นป้องกัน ยับยั้ง แก้ไข และฟื้นฟู
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืช หรือวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การเกษตร ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มักทวีความรุนแรงในช่วงเดือนธันวาคม - เดือนมีนาคม ของทุกปี ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การเกษตร ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัญหาหมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นประจำทุกปี จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ร่วมบูรณาการวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ตลอดจนสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในการนำเอาเศษซากพืช หรือวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ด้านอื่นแทนการเผา
“สำหรับแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้เริ่มดำเนินงานในเบื้องต้นแล้ว แต่จะเข้มข้นขึ้นตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2563 - 31 พฤษภาคม 2564 มีพื้นที่เป้าหมายนำร่อง 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก โดยเห็นชอบมาตราการแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม 3 มาตราการ ดังนี้ มาตราการที่ 1 การป้องกัน ด้วยการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เกษตรกร ผ่านโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ และยังต้องเน้นการป้องกันและเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง มาตราการที่ 2 การยับยั้ง โดยให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงประสานการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์อำนวยการฯ ระดับจังหวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดตั้ง รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในช่วงเวลาห้ามเผา และมาตราการที่ 3 การแก้ไข/ฟื้นฟู ลดการกระจายตัวของปัญหาฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายในอากาศ โดยให้หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมชลประทาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนในด้านการใช้น้ำเพื่อลดการฟุ้งกระจายของหมอกควัน PM 2.5 ตลอดจนกระทรวงเกษตรฯ จะร่วมถอดบทเรียนเหตุการณ์ไฟป่าหมอกควัน เพื่อทบทวนแผนการปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปีต่อไป” ดร.ทองเปลว กล่าว
ทั้งนี้ คณะทำงานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืช หรือวัชพืชและเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การเกษตร ได้มีมติรับร่างแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ประจำปี 2564 และยังมอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง กลับไปทบทวนแผนปฏิบัติการและรายละเอียดต่าง ๆ ตามภารกิจที่หน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้แผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36549 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมทางไกลกับสมาชิกอาเซียนเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
พม. ร่วมประชุมทางไกลกับสมาชิกอาเซียนเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน
พม. ร่วมประชุมทางไกลกับสมาชิกอาเซียนเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน
วันนี้ (5 พ.ย. 63) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส พร้อมด้วยนายอรรคพงษ์ ศรีสุบัติ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาสังคม นางศิริลักษณ์ มีมาก ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ นางสาววิมลรัตน์ รัชชุกูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมคณะทำงานเรื่องวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน ครั้งที่ 3 (3rd Meeting of the Working Group on Culture of Prevention: WG on CoP) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมออนไลน์จากประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย ประธานองค์กรเฉพาะสาขาภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Chairs of ASCC Sectoral Bodies) และหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA Leaders) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงแรงงาน คนพิการ และกิจการสังคม สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนในปี 2563 ร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า WG on CoP เป็นกลไกการประสานงานและขับเคลื่อนปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน โดยการประชุมออนไลน์ครั้งนี้มีระเบียบวาระสำคัญเพื่อรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ความก้าวหน้าขององค์กรอาเซียนเฉพาะสาขาที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักและรับผิดชอบร่วม ในการดำเนินการในแต่ละมิติของวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน การดำเนินการในระยะต่อไป เพื่อขับเคลื่อนวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน ทั้งนี้ การประชุม WG on CoP ครั้งที่ 4 จะจัดขึ้นในปี 2564 ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36515 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามโครงการสถาปนา “น้ำพางโมเดล” เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นเป็นระบบเกษตรเชิงนิเวศ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามโครงการสถาปนา “น้ำพางโมเดล” เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นเป็นระบบเกษตรเชิงนิเวศ
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ติดตามโครงการสถาปนา “น้ำพางโมเดล” เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นเป็นระบบเกษตรเชิงนิเวศ
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดงานโครงการสถาปนา “น้ำพางโมเดล” เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นเป็นระบบเกษตรเชิงนิเวศ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน วิสาหกิจชุมชน และองค์กรภาคีเครือข่ายในจังหวัดน่าน เข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2563ณ องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำพาง พื้นที่แปลงต้นแบบน้ำพางโมเดล และโรงเรียนบ้านน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน
รมว.ทส. ได้รับฟังบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดำเนินงานและลงพื้นที่พบปะประชาชน โดยได้กล่าวขอบคุณประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรต่างที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการน้ำพางโมเดล ที่จะนำไปสู่ต้นแบบการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นในระดับชาติ พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการควบคุมไฟป่าเพราะป่าไม้เปรียบเสมือนปอดของเราสำหรับข้อเสนอขบวนการองค์กรชุมชนจาก 17 จังหวัดภาคเหนือซึ่งตนจะนำไปเสนอให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ
โอกาสนี้ รมว.ทส. และคณะได้เยี่ยมชมแปลงเกษตรกรราษฎรที่ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติตามแนวทางน้ำพางโมเดล ร่วมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว และเป็นสักขีพยานการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดการทรัพยากรป่าไม้และที่ดินอย่างยั่งยืนในตำบลน้ำพาง ซึ่งบันทึกข้อตกลงฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรป่าไม้และที่ดินอย่างยั่งยืน ตามแนวทางน้ำพางโมเดล ระหว่างกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำพาง และประชาชนในพื้นที่ตำบลน้ำพาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36519 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 29 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 29
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 29
วันนี้ (5 พ.ย. 63) เวลา 10.15 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส พร้อมด้วยนายอรรคพงษ์ ศรีสุบัติ รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาสังคม นางศิริลักษณ์ มีมาก ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ นางสาววิมลรัตน์ รัชชุกูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนครั้งที่ 29 (29th Meeting of Senior Officials Committee for the ASEAN Socio-Cultural Community: SOCA) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมออนไลน์จากประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA Leaders) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงแรงงาน คนพิการ และกิจการสังคม สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนในปี 2563 ร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า การประชุม SOCA ครั้งนี้ มีระเบียบวาระสำคัญในการรายงานความก้าวหน้า การดำเนินการตามแผนงานหลัก ตลอดจนเอกสารผลลัพธ์สำคัญที่จะมีการรับรองโดยคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ก่อนเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของเวียดนาม ในปี 2563 การรับทราบรายงานการประเมินผลครึ่งแผนของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน การดำเนินงานข้ามสาขาและข้ามเสาของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยการประชุม SOCA ครั้งที่ 30 จะกำหนดจัดขึ้นในปี 2564 ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 จังหวัดภูเก็ต | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 จังหวัดภูเก็ต
รมว.ทส. ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 จังหวัดภูเก็ต
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูง ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 และร่วมประชุมการขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนองและสตูล) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2563 เวลา 08.00 น.ณ โรงแรมสแปลช บีท รีสอร์ต ไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต
โดยก่อนการประชุม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และถ่ายภาพร่วมกับผู้ว่าราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) และในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมาย การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนป่าชุมชน รวมทั้ง ได้มอบหนังสือแสดงป่าชุมชนจังหวัดภูเก็ตให้แก่ผู้แทนป่าชุมชน จำนวน 6 ฉบับ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบฯ ครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน, โครงการพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติเรือนยอดต้นไม้ Canopy Walkway โครงการพัฒนาศักยภาพบริการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เสนอเข้าที่ประชุมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของโครงการดังกล่าวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36540 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และให้การสนับสนุนตามที่เมียนมาต้องการ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และให้การสนับสนุนตามที่เมียนมาต้องการ
ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และให้การสนับสนุนตามที่เมียนมาต้องการ
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องโดมทอง ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือทางโทรศัพท์กับ นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเป็นโอกาสในการสานต่อ และกระชับความสัมพันธ์ระดับผู้นำไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้หารือกันผ่านทางโทรศัพท์ในวันนี้ เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แม้จะไม่ได้พบกันแต่ก็สามารถติดต่อกันผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ ทั้งแบบทวิภาคีในทุกระดับ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยังคงพลวัตการติดต่อกัน และประชุมหารือแบบพหุภาคี ผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อส่งเสริมต่อยอดผลประโยชน์ร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีชื่นชมพัฒนาการด้านประชาธิปไตยของเมียนมา ชาวเมียนมาในไทยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่เมียนมาในประเทศไทยจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเมียนมาจะสามารถจัดการการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 นี้ได้อย่างสันติ ราบรื่น และไทยยืนยันความพร้อมที่จะสานต่อความริเริ่ม ร่วมมือในทุกมิติกับเมียนมาต่อไป
ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาขอบคุณสำหรับคำอวยพร และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่จัดการหารือผ่านโทรศัพท์ครั้งนี้ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมาอย่างยาวนานและราบรื่น ไทยและเมียนมาถือเป็นประเทศที่ผูกพัน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในทุกระดับ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือด้านการสาธารณสุขกับเมียนมาเพื่อต่อสู้กับวิกฤต COVID-19 ทั้งในรูปของเงินบริจาค ยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ และของอุปโภคบริโภค พร้อมกันนี้ เมียนมาขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแลแรงงานเมียนมาในไทยเป็นอย่างดี และหวังว่าจะได้พบนายกรัฐมนตรีอีกครั้งภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย
รัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในเมียนมาและตามแนวชายแดนด้วยความเป็นห่วง เชื่อมั่นและให้กำลังใจเมียนมาในการรับมือกับความท้าทายครั้งนี้ ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในส่วนที่รัฐบาลไทยมีศักยภาพตามที่เมียนมาต้องการ โดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือหารือกันในรายละเอียดต่อไป
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยจะคุ้มครองดูแลแรงงานเมียนมาในประเทศไทยเสมือนที่ดูแลแรงงานไทย ทั้งนี้ ในช่วงที่ยังมีข้อจำกัดการเดินทางระหว่างกัน รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการผ่อนผันให้แรงงานเมียนมาที่อยู่ในไทยอยู่แล้วให้สามารถพำนักและทำงานได้ต่อเพื่ออำนวยความสะดวกให้เป็นไปตามความต้องการของแรงงานเมียนมา ผู้ประกอบการไทย และแรงงานเมียนมามีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ในส่วนของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวนั้น ทั้งสองฝ่ายยินดีร่วมพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นายกรัฐมนตรีเห็นว่ายังมีโอกาสของความร่วมมือระหว่างกันอีกมากตามแนวชายแดนเพื่อพัฒนาการค้าการลงทุนระหว่างกันพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันเพื่อขยายความร่วมมือ โดยที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประสงค์ให้ดำเนินความร่วมมือระหว่างกันต่อไป เศรษฐกิจจะต้องไม่หยุดชะงักแม้จะประสบกับสถานการณ์โควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36531 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. นำทัพอุตสาหกรรมประกันภัย ล่องใต้ลงพื้นที่เมืองพัทลุง ส่งท้ายโครงการอบรมความรู้ประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ Training for the Trainers ปี 2563 อย่างยิ่งใหญ่ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
เลขาธิการ คปภ. นำทัพอุตสาหกรรมประกันภัย ล่องใต้ลงพื้นที่เมืองพัทลุง ส่งท้ายโครงการอบรมความรู้ประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ Training for the Trainers ปี 2563 อย่างยิ่งใหญ่
• เผยยอดชาวนาทำประกันภัยข้าวนาปีในปี 63 นับถึงเดือนตุลาคมสูงถึง 44.36 ล้านไร่ ทุบสถิติทุกปีที่ผ่านมา
• เล็งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยยางพาราต่อยอดประกันภัยพืชผลทางเกษตร พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐานประกันภัยพืชผลอย่างยั่งยืน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 โดยมอบหมายให้สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี และจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัย ตลอดจนส่งเสริมความรู้ด้านประกันภัยแก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ รวมทั้ง ขับเคลื่อนโครงการ “Training for the Trainers” ประจำปี 2563 เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ด้านการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะไปเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ต่อให้กับเกษตรกรและผลักดันระบบการประกันภัยเข้าไปเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงภัยธรรมชาติให้กับเกษตรกร โดยปีนี้เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จึงได้กำหนดพื้นที่จัดการอบรมฯ ครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ 5 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ราชบุรี ตาก กาฬสินธุ์ และพัทลุง ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายในการปิดโครงการของปีนี้
โดยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 เลขาธิการ คปภ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คปภ. และคณะวิทยากร ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรกว่า 100 คน ณ หอประชุมองค์กรบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ตำบลเขาเจียก อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เพื่อรับฟังสภาพปัญหา อุปสรรค ข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะของการทำประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2563 ซึ่งเกษตรกรได้สะท้อนสภาพปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการรับประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงได้รับทราบความต้องการในพื้นที่เกี่ยวกับการประกันภัยพืชผลประเภทอื่นโดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น
ถัดมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เลขาธิการ คปภ. ได้เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการอบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers สำหรับการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2563 ณ ห้อง Siva Grand Ballroom ชั้น 2 โรงแรมศิวา รอยัล อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ และกล่าวขอบคุณ สำนักงาน คปภ. ที่เลือกจังหวัดพัทลุง เป็น 1 ใน 5 จังหวัด ในการจัดอบรมความรู้ด้านประกันภัยในปีนี้ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเกษตรกรในจังหวัดพัทลุง เพื่อนำระบบประกันภัยใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดพัทลุง ถือเป็นเมืองเกษตรกรรมและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้ ซึ่งในพื้นที่ยังมีการเพาะปลูกข้าวที่มีคุณภาพสูง คือ ข้าวสังหยด แม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยก็ตาม แต่ในปีนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ให้ความสำคัญในการทำประกันภัยสูงกว่าปีก่อนมาก และคาดว่า ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 นี้ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดพัทลุง จะนำระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงได้เกือบ 100% ซึ่งได้สั่งการให้ส่วนราชการต่างๆ ของจังหวัดให้ความสำคัญในเรื่องประกันภัยข้าวนาปีและช่วยกันเร่งขับเคลื่อนภารกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการตามโครงการให้สัมฤทธิ์ผล อย่างไรก็ดี จากวิถีชีวิตของเกษตรกรในจังหวัดพัทลุงที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มังคุด และลองกอง เป็นต้น ซึ่งหากพืชผลทางการเกษตรเหล่านี้ มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถนำมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงก็จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างยิ่งต่อไปด้วย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำหรับการประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายสูงสุดไม่เกิน 45.7 ล้านไร่ โดยล่าสุด ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ข้อมูลการรับประกันภัยข้าวนาปีทั่วประเทศ พบว่า เกษตรกรทำประกันภัยข้าวนาปีจำนวน 44,360,043 ไร่ คิดเป็นอัตราการเข้าถึงประกันภัยร้อยละ 72.58 ดังนั้นโดยภาพรวมของการทำประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ แม้จะยังไม่รวมตัวเลขการทำประกันภัยข้าวนาปีในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากภาคใต้ยังเปิดรับประกันภัยข้าวนาปีไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และที่สำคัญประกันภัยสามารถเข้าไปบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียให้กับพี่น้องเกษตรกรได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับการประกันภัยพืชผลนับวันจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับพืชผลทางการเกษตรมาโดยตลอด โดยเริ่มจากการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ อาทิ การประกันภัยลำไย การประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ โดยล่าสุดจากการลงพื้นที่พบว่า เกษตรกรมีความต้องการให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและมีพื้นที่ปลูกกระจายอยู่ในหลายจังหวัดของประเทศ ดังนั้น จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่สำนักงาน คปภ.จะเดินหน้าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษารูปแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกร ควบคู่ไปกับการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือระบบเทคโนโลยีในการสำรวจความเสียหายและการชดใช้ค่าสินใหมทดแทนโดยเร็ว รวมถึงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น ส่วนในระยะยาว คือ การวางหลักเกณฑ์โครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้การประกันภัยพืชผลทางการเกษตรเกิดความยั่งยืน เนื่องจากภัยธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 – 2568)
“ผมขอขอบคุณหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับสำนักงาน คปภ. อย่างเหนียวแน่นในการขับเคลื่อนโครงการอบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers สำหรับประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2563 อันจะเป็นประโยชน์และขยายผลไปถึงเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความรู้ความเข้าใจ และเล็งเห็นความสำคัญของการประกันภัยมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลของประเทศไทยอย่างแท้จริง” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36508 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมรับเรื่องรามร้องทุกข์ กรณีมารดาถูกบุตรชายทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และกรณีพ่อค้าแม่ค้าลอตเตอรี่ถูกพ่อค้าคนกลางโก | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมรับเรื่องรามร้องทุกข์ กรณีมารดาถูกบุตรชายทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และกรณีพ่อค้าแม่ค้าลอตเตอรี่ถูกพ่อค้าคนกลางโก
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมรับเรื่องรามร้องทุกข์ กรณีมารดาถูกบุตรชายทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และกรณีพ่อค้าแม่ค้าลอตเตอรี่ถูกพ่อค้าคนกลางโกงค่าลอตเตอรี่กว่า ๔๐๐ ล้านบาท
ในวันอังคารที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ บริเวณหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากนางปิยะดา ธำรงลาภ ผู้เป็นมารดา กรณี ถูกนายพศวีร์ ธำรงลาภ บุตรชายวัย ๓๕ ปี อดีตนักกีฬายูโเยาวชนทีมชาติไทย เกิดอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติด และทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้กระทรวงยุติธรรม จะตรวจสอบรายละเอียด ข้อเท็จจริง และจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เสียหายได้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน และได้รับการเยียวยาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป จากนั้น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรมจากตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายลอตเตอรี่ ซึ่งถูกพ่อคนกลางโกงเงินค่าลอตเตอรี่ จากข้อมูลเบื้องต้นพบเป็นกลุ่มผู้เสียหายจากจังหวัดสุรินทร์ กว่า ๑๐๐ คน และจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังทะยอยเข้าแจ้งความ โดยมูลค่าความเสียหายกว่า ๔๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียน ร้องทุกข์ ขอรับความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่กรุงเทพฯ ๑๐๒๑๐ โทรสายด่วนยุติธรรม ๑๑๑๑ กด ๗๗ หรือโทรศัพท์ ๐๒ ๑๔๑ ๕๑๐๐
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เปิดสัมมนา "เครื่องมือยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 " เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตามนโยบายตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย เปิดสัมมนา "เครื่องมือยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 " เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตามนโยบายตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกกรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เครื่องมือยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกกรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง เครื่องมือยกระดับหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป พระราม 9 โดยมีวัถตุประสงค์เพื่อให้ผู้บริการ คณะทำงานพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) และบุคลากรของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการและแนวคิดของการดำเนินการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ตามเกณฑ์การประเมินสถานะของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นระบบราชการ 4.0 เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ให้มีความพร้อมในการรับการประเมินรางวัลเลิศรัฐ สาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ระบบราชการ 4.0 โดยร่วมทำงานกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศเป็นจุดเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงาน ซึ่งจะใช้การทำงานภายใต้แนวคิด Smart Office & Smart Service ที่เน้นการทำงานและให้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐานด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการ รวมถึงมีการกำหนดนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมด้วย “ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย” ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนา SME และวิสาหกิจชุมชนด้วยงานวิจัย นวัตกรรม และดิจิทัล รวมถึงการสร้างและพัฒนาให้หน่วยงานในสังกัดเป็นองค์กรขับเคลื่อนนวัตกรรม Innovation Driven Enterprises (IDE) จึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนสู่องค์การดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานและการให้บริการ รวมถึงปรับเปลี่ยนกระบวนงานให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น #ตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยปักธงสู้ศึกดิจิทัล เปิดตัว อินฟินิธัส บาย กรุงไทย คิดค้นนวัตกรรมใหม่ไร้ขีดจำกัด | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
กรุงไทยปักธงสู้ศึกดิจิทัล เปิดตัว อินฟินิธัส บาย กรุงไทย คิดค้นนวัตกรรมใหม่ไร้ขีดจำกัด
ธนาคารกรุงไทย เปิดตัว บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ที่ Innovation Lab ชั้น 3 อาคารนานาเหนือ ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2563) นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย รองประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงไทย และประธานกรรมการบริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นางประราลี รัตน์ประสาทพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงาน Digital Solutions และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด ร่วมเปิดตัว บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ที่ Innovation Lab ชั้น 3 อาคารนานาเหนือ ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่
นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ และเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ธนาคารได้เตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่ Digital Economy โดยพัฒนาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การให้บริการทางการเงินและยุทธศาสตร์ที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์คู่ขนาน 2 Banking Model แบ่งเป็น แบบเรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier) ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม เช่น การดูแลธุรกิจคุณภาพสินเชื่อ การเร่งปรับกระบวนการทำงานโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ โดยเน้นการต่อยอดธุรกิจจากลูกค้าของคู่ค้าในทุกภาคส่วน และ แบบเรือเร็ว (Speed Boat) ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด (Infinitas by Krungthai) ที่จะเป็นเรือเร็วออกหาโอกาสดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ มีลักษณะการทำงานแบบ Resilient & Agile ที่ยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน โดยมุ่งเน้นการคิดค้นนวัตกรรมที่เชื่อมโยง 5 Ecosystems ของธนาคาร ต่อยอดความสำเร็จจากฐานข้อมูลจำนวนมากที่จะใช้ประมวลผลให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ลดต้นทุนการดำเนินการและสร้างรายได้ให้กับธนาคารได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถฝ่าฟัน Perfect Storm ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุภารกิจที่ตั้งไว้
นางประราลี รัตน์ประสาทพร เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย โดย บริษัท กรุงไทย แอดไวซ์เซอรี่ จำกัด (KTBA) จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นการให้บริการด้านการพัฒนา Innovations & Digital Platforms ต่างๆ เพื่อเข้าสู่ Open Banking, Digital Banking Service, Data as a Services รวมถึง Digital Solutions อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้กับองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงไทยและบริษัทในเครือ ลูกค้าของธนาคารทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน รวมถึงการเชื่อมต่อกับ partner ทางธุรกิจต่างๆ
“ด้วยวิสัยทัศน์ Infinite Innovation ที่ยึดมั่นในการทำงานแบบ Fail Fast, Learn Faster มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้คิดค้นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องแบบไร้ขีดจำกัด เช่น แอปพลิเคชั่น เป๋าตัง ถุงเงิน วอลเล็ตสบม. ที่สร้างความแตกต่างมาอย่างต่อเนื่อง และในครั้งนี้ จะมีทั้งการต่อยอด การพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ได้ทุกที่ ทุกเวลา เฉลียวฉลาดด้วยระบบ AI & ML บนโครงสร้างระบบ Technology ที่ยืดหยุ่น คล่องตัว มีเสถียรภาพและความปลอดภัย พร้อมทีมงานที่มี DNA เดียวกันในการคิดค้น พัฒนา ต่อยอดและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและประทับใจให้กับลูกค้าและประชาชน เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยนำบริการทางเงินไปฝังไว้ในชีวิตประจำวันในทุกมิติ เช่น Health Platform, Tourist Platform, Capital Market Platform ซึ่งนำไปสู่การขับเคลื่อน Thailand Digital Economy โดยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายสมคิด จิรานันตรัตน์ กล่าวว่าโลกอนาคตจะเป็นการเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ การไม่ต้องปรากฏตัวในการแสดงตัวตน แสดงเอกสาร และการเข้าสู่อุตสาหกรรมไร้ขอบเขตที่ไม่มีพรมแดน เป็นการสร้างบริการที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคได้แบบทันที ทันควัน แม้แต่การทำธุรกรรมทางการเงิน ก็จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเสนอบริการแบบองค์รวมที่ตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดีขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างโครงสร้างใหม่ของการให้บริการที่ขยายตัวได้รวดเร็ว และมีโครงสร้างต้นทุนที่แข่งขันได้ โครงสร้างใหม่นี้จะสามารถเอื้อประโยชน์ต่อให้กับลูกค้าและพันธมิตรโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กๆได้เป็นอย่างดี และจะเป็นแพลทฟอร์มแบบเปิดกว้างให้มีผู้เข้าร่วมบริการที่หลากหลาย ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ สร้างความสามารถในการขยายตัวไปสู่บริการในภูมิภาคได้ต่อไป
นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของอินฟินิธัส บาย กรุงไทย มุ่งเน้นการมีส่วนช่วยประเทศในการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน รวมถึงป้องกันการคอร์รัปชั่น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอน ซึ่งที่ผ่านมา แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ของธนาคารกรุงไทย ได้มีส่วนในการสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่เน้นการการกระจายรายได้ และความช่วยเหลือ ต่างๆสู่ภาคประชาชนอย่างถูกต้อง ตั้งแต่ระบบการยืนยันตัวตนผู้เข้ารับบริการ เช่น Health ID ในแอปพลิชั่นเป๋าตัง และระบบชำระค่าบริการทั้งตามสิทธิตาม G-Wallet รวมถึงส่วนเพิ่มที่อยู่นอกเหนือสิทธิ์ได้ทันที ซึ่งช่วยเน้นทั้งความสะดวกและความโปร่งใสอย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36516 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ อนุมัติ 6 โครงการ ช่วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานพยาบาล โรงเรียนแพทย์ รองรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
บอร์ดกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ อนุมัติ 6 โครงการ ช่วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานพยาบาล โรงเรียนแพทย์ รองรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
บอร์ดกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ อนุมัติ 6 โครงการ ช่วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถานพยาบาล โรงเรียนแพทย์ รองรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
วันนี้ (5 พ.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 6/2563 โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ แผนการดำเนินงานประจำปีแผนการใช้จ่ายเงินและตัวชี้วัดการประเมินผลของกองทุน การเข้าร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกองทุนต่อสภาผู้แทนและวุฒิสภา ผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจสอบภายในประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 การเปิดรับข้อเสนอโครงการกิจกรรมของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 2 และผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโครงการที่ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมของกองทุนสำหรับหน่วยงานของรัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป
โอกาสนี้ ยังได้พิจารณาเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของสัญญาฯ โครงการที่มีคำขอวงเงินเกินกว่า 10 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ ได้แก่โครงการทดสอบเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G สำหรับให้บริการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันโดยใช้รถโมบายสโตรคยูนิตร่วมกับระบบปรึกษาทางไกลของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหมวดงบประมาณ คุณลักษณะเฉพาะของเครื่อง CT scan รวมถึงปรับเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินจากกองทุน (Payment Term) และแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณให้สอดคล้องโดยไม่เปลี่ยนแปลงระยะเวลาและวงเงินงบประมาณโครงการ และโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจาก 12 เดือน เป็น 15 เดือน รวมถึงปรับเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินจากกองทุน (Payment Term) และแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณให้สอดคล้องโดยไม่เปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณโครงการ รวมทั้งอนุมัติโครงการตามประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 2 มาตรา 26 (1) และ (2) ที่มีคำขอวงเงินเกินว่า 10 ล้านบาท จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้าน Digital Economy ภาคกลาง โครงการศูนย์ดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนการพัฒนามนุษย์ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต โครงการพัฒนาทักษะการเรียนอาหารออนไลน์ สถาบันการอาหารไทย (Thai Cuisine Academy) โครงการปัญญาประดิษฐ์และแอปพลิเคชันอัจฉริยะสำหรับวินิจฉัยโรคผิวหนังในผู้ป่วยเด็ก โครงการพัฒนาระบบฐานงานบริการคลังข้อมูลเสียง (Sound Data Services Platform) เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม และโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยระบบสาระสนเทศสำหรับรองรับหน่วยงานที่มีภารกิจที่สำคัญเป็นพิเศษและเพื่อประโยชน์สาธารณะของประเทศ ด้วย
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะกรรมการฯ เร่งสรรหาบุคลากรที่จำเป็นเพื่อช่วยในการดำเนินงานของกองทุนฯ ให้ประสพผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพ โดยให้ที่ปรึกษากองทุน ช่วยเหลือแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการบริหารงานกองทุน รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการตามที่ได้รับการอนุมัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วนด้วย
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36518 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'พลเอก ประวิตร' เปิดโครงเก็บขยะชายหาด ทส. พร้อมนำคณะฯ ร่วมกิจกรรมปล่อยเต่าทะเล และเก็บขยะชายหาดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
'พลเอก ประวิตร' เปิดโครงเก็บขยะชายหาด ทส. พร้อมนำคณะฯ ร่วมกิจกรรมปล่อยเต่าทะเล และเก็บขยะชายหาดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต
'พลเอก ประวิตร' เปิดโครงเก็บขยะชายหาด ทส. พร้อมนำคณะฯ ร่วมกิจกรรมปล่อยเต่าทะเล และเก็บขยะชายหาดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต
'พลเอก ประวิตร' เปิดโครงเก็บขยะชายหาด ทส. พร้อมนำคณะฯ ร่วมกิจกรรมปล่อยเต่าทะเล และเก็บขยะชายหาดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ให้การต้อนรับ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเก็บขยะชายหาด พร้อมมอบโล่เกียรติคุณให้แก่ผู้ที่ให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์เต่าทะเล และมอบเงินรางวัลให้แก่ผู้แจ้งเบาะแสการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับประชาชน เด็กและเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ ได้ร่วมปลูกต้นจิกทะเล เยี่ยมชมนิทรรศการการอนุรักษ์เต่าทะเล และร่วมกิจกรรมปล่อยเต่าทะเล (เต่าตนุ) จำนวน 9 ตัว บริเวณชายหาดในยาง อีกทั้ง ได้นำรัฐมนตรีฯ คณะผู้บริหาร และผู้ร่วมกิจกรรมเดินเก็บขยะบริเวณชายหาด โดยมี หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 600 คน เมื่อวันที่ 2 พ.ย.63 ณ สถาบันประชารัฐพิทักษ์ทะเล อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต
รมว.ทส. กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือในการแก้ไข เพราะนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งในปัจจุบันเต่าทะเลมีจำนวนลดลงจนมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ สาเหตุที่ทำให้เต่าทะเลลดลงมีสาเหตุสำคัญ คือแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งวางไข่ เสื่อมโทรมหรือถูกคุกคาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงพลาสติกที่มีลักษณะคล้ายแมงกะพรุน ซึ่งเป็นอาหารของเต่าทะเล ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมกันดูแล รักษา ฟื้นฟูและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในสภาพที่สวยงามและสมบูรณ์เพื่อลูกหลานในอนาคต
พลเอกประวิตรฯ กล่าวว่า ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีพแก่ตนเองเป็นปัจจัย 4 อันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติถูกนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยและการบริหารจัดการอย่างไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของธรรมชาติ เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติหมดไป ฤดูกาลแปรผันฝนฟ้าแปรปรวน เกิดโรคระบาดทั่วทุกมุมโลก เกิดปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสัตว์นานาชนิด จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนในการดูแลรักษา อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ธรรมชาตินั้นกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เพราะเราทุกคนย่อมมีความต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี เหมาะสม น่าอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็เช่นเดียวกัน ผมจึงขอเชิญชวนให้ทุกท่าน ร่วมกันดูแล ปกป้องชายหาด ท้องทะเล และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ให้มีความสมบูรณ์และมีความยั่งยืนตลอดไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยวันหยุดติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ป่าในเมือง | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยวันหยุดติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ป่าในเมือง
'วราวุธ' รมว.ทส. ลุยวันหยุดติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ป่าในเมือง "มหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำโลก" จังหวัดกระบี่
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณป่าในเมือง (มหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำโลก) จังหวัดกระบี่ และตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมพบปะพูดคุยมอบถุงยังชีพ และถุงผ้าให้แก่ผู้แทนอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) จังหวัดกระบี่และภูเก็ต รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมี พ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 63ณ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 ศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลน จังหวัดกระบี่
รมว.ทส. กล่าวว่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และป่าชายเลยมีคุณค่ามากมายทั้งทางเศรษฐกิจ และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ตนขอขอบคุณและเป็นขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนในพื้นที่ทุกคน ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง ทุ่มเท ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและป่าชายเลนมีพื้นที่สมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ได้ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้อุดมสมบูรณ์เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตต่อไป นอกจากนี้ รมว.ทส. และ ปกท.ทส. ได้ปลูกต้นจิกทะเล เดินเท้าและล่องเรือศึกษาเส้นทางธรรมชาติในโอกาสนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ยุติธรรม ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๓ ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๓ โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (JSOC) ความคืบหน้าแนวทางการจัดตั้งบริษัท หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) หรือองค์การมหาชน เพื่อเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขัง และการเก็บข้อมูลประวัติอาชญากรเชิงลึกให้เป็นระบบ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กำชับเรื่อง การบริหารจัดการของศูนย์ JSOC ว่าต้องทำให้สังคมเห็นว่าการทำงานของศูนย์ฯ มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมจากผู้ต้องขังคดีร้ายแรงที่พ้นโทษ รวมทั้งมีบูรณาการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยติดตามผู้ต้องขังที่พ้นโทษ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก กฟก. มุ่งฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพผ่านโครงการต่างๆ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
หารือแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก กฟก. มุ่งฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพผ่านโครงการต่างๆ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ก.เกษตรฯ เดินหน้าบูรณการภารกิจร่วมกับทุกภาคส่วน หารือแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก กฟก. มุ่งฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพผ่านโครงการต่างๆ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร ให้เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2563 เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ได้รับความช่วยเหลือตามโครงการหรือนโยบายของภาครัฐในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ.2542 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม พัฒนาความรู้ในด้านเกษตรกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรเกษตรกร ตลอดจนพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างเกษตรกร ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ฉบับที่ 2 พ.ศ.2544 เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรได้ โดยกำหนดให้เกษตรกรที่ได้รับการจัดการหนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 เพื่อให้สามารถจัดการหนี้สินเกษตรกรที่ใช้บุคคลค้ำประกันได้
นอกจากนี้ กลไกที่สำคัญของกองทุนฟื้นฟูฯ คือมีผู้แทนเกษตรกรร่วมเป็นคณะกรรมการทั้งสิ้น 3 ชุด ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 2. คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และ 3. คณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ปัจจุบัน มีองค์กรที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวนทั้งสิ้น 55,588 องค์กร เกษตรกรสมาชิก จำนวน 5,646,695 คน
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการประชุมร่วมกันกับส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการภารกิจร่วมกันในการหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจและการเกษตร สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สำนักบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและรับเรื่องร้องเรียน และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เป็นต้น โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันในการนำนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ของประธาน และรองประธาน กองทุนฟื้นฟูฯ มาดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม และยินดีสนับสนุนเกษตรกรสมาชิกโดยเน้นการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรรายย่อย ร่วมกันจัดทำแผนการดำเนินงานในพื้นที่ให้สมบูรณ์ เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อการบริหารงาน ส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกกองทุนฯ ผลิตสินค้าเกษตรที่ตรงความต้องการของตลาด เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมผ่านโครงการต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ จะมีการติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36517 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัวโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัวโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ครั้งทื่ ๓/๒๕๖๓
ในวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการปฏิรูปการพัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัว โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน ครั้งทื่ ๓/๒๕๖๓ โดยมีคณะอนุกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดมาตรการแทนการจำคุก) โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม 5 มาตรา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการการประชุมเสนอ พร้อมทั้งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ต่อที่ประชุม กพยช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ และเห็นควรให้คณะอนุกรรมการฯ ยุติภารกิจในการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36522 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563
วันนี้ (4 พ.ย. 63) เวลา 09.30 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 7/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศทางหลวงหมายเลข 101 ตอน น่าน - อ.เฉลิมพระเกียรติ (ตอน 2) ของกรมทางหลวง เพื่อปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากเส้นทางมีความคดเคี้ยวและสูงชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ 2) โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนกระบี่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่วนของระบบแยกน้ำ - น้ำมัน ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาเกี่ยวกับการปรับประกาศที่เกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การขยายระยะเวลาการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จำนวน 2 พื้นที่ (จังหวัดพังงา และจังหวัดกระบี่) ออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความต่อเนื่อง รวมทั้ง ได้เห็นชอบการทบทวนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" เพื่อยกระดับความเข้มงวดของมาตรการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยเพิ่มเติมแผนเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงวิกฤต พร้อมทั้ง เห็นชอบ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) ซึ่งจะสามารถกำหนดทิศทางนำไปสู่การลด เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย 4 ชนิด และนำเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36541 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เปิดศูนย์การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเตรียมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงวิกฤต | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. เปิดศูนย์การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเตรียมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงวิกฤต
รมว.ทส. เปิดศูนย์การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเตรียมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงวิกฤต
วันนี้ (4 พ.ย. 63) เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ พร้อมทั้งแถลงข่าวการดำเนินงานของศูนย์ โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารทส. เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ตั้งอยู่ในห้องประชุม 302 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา เปิดเผยว่า ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เป็นกลไกหนึ่งภายใต้คณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังรวบรวมข้อมูลของเครือข่ายจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ตรวจวัดตามวิธีมาตรฐานและรายงานสู่สาธารณะ ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณการจราจรสภาพอุตุนิยมวิทยา คุณภาพอากาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิกัดจุดความร้อนในพื้นที่ป่า การประเมินและรายงานปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เชิงพื้นที่โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม เป็นต้น ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนประชาชนโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการพยากรณ์ล่วงหน้า 3 วัน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมความพร้อมและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ในรูปแบบ War Room ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการยกระดับการดำเนินงานอย่างเข้มงวด เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงลูกจ้างเมียนมาถูกเครื่องจักรทับนิ้ว ที่ชลบุรี สั่ง กสร.ตรวจเข้มสถานประกอบการ ลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
‘จับกัง1’ห่วงลูกจ้างเมียนมาถูกเครื่องจักรทับนิ้ว ที่ชลบุรี สั่ง กสร.ตรวจเข้มสถานประกอบการ ลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้างเมียนมาบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเครื่องจักรทับนิ้วหัวแม่มือข้างขวาขาดที่จังหวัดชลบุรี สั่ง กสร.ตรวจเข้มสถานประกอบการลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานลงพื้นที่ตรวจเข้มสถานประกอบการ กำชับให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีก
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีที่มีตัวแทนมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน ได้พาลูกจ้างชื่อ นายบิวมิม สัญชาติเมียนมา ลูกจ้างบริษัทแห่งหนึ่งประกอบกิจการทำชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ที่ ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึง ชลบุรี ประสบอันตรายจากการทำงานถูกเครื่องปั๊มโลหะทับมือขวา ทำให้นิ้วหัวแม่มือขาด ต้องการให้นายจ้างช่วยเหลือค่าชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะและค่าจ้างระหว่างการรักษา ว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีนี้แม้ว่าจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่บาดเจ็บ จะต้องได้รับการดูแลคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับแรงงานไทย
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลช่วยเหลือเพื่อให้ญาติของลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการทำงานได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี พบว่า บริษัทได้ขึ้นทะเบียนประกันสังคมและลูกจ้างได้เข้าทำงานเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ตำแหน่ง พนักงานเจียร์เหล็ก ได้รับค่าจ้างรายวันๆ ละ 336 บาท เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 เวลา 13.20 น. เกิดเหตุถูกเครื่องจักรทับนิ้วหัวแม่มือข้างขวาขาด แต่ลูกจ้างไม่มีชื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน เนื่องจากใบอนุญาตทำงานยังไม่มีการยื่นเปลี่ยนแปลงนายจ้างเป็นบริษัทดังกล่าว จึงเป็นกรณีนอกกองทุนเงินทดแทน ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรีและหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดชลบุรี ได้ออกตรวจบริษัทฯ พบตัวแทนนายจ้างได้ให้ข้อเท็จจริงตรงตามที่ลูกจ้างแจ้ง จึงได้เชิญพบเพื่อให้นายจ้างเข้าพบพนักงานเจ้าหน้าที่อีกครั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ และจะออกคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ เรื่องเงินทดแทนต่อไป
“ผมได้กำชับให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจเข้มสถานประกอบการ เพื่อกำชับให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานให้ดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2549 เพื่อลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานของลูกจ้างในสถานประกอบการ ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยโดยเรือยอร์ช | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยโดยเรือยอร์ช
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบให้ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) มีสิทธิขอรับการตรวจลงตรานักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist Visa ครอบคลุมทั้งผู้ควบคุมเรือ เจ้าหน้าที่ประจำเรือ และผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำหรือปานกลาง โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค และต้องกักตัวภายในเรือ ไม่น้อยกว่า 14 วัน มีกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่คุ้มครองตรวจโรคโควิด ในวงเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น โดยจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้ 90 วัน และต่อเวลาได้อีก 2 ครั้ง ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทยโดยรวม
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36513 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดหลักสูตร วปอ. รุ่น 63 แนะนักศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ เปิดหลักสูตร วปอ. รุ่น 63 แนะนักศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีเปิดหลักสูตร วปอ. รุ่น 63 แนะนักศึกษาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
วันนี้ (5 พ.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 63 พร้อมบรรยายเรื่อง “บทบาทของภาครัฐ เอกชน และการเมืองในการรักษาความมั่งคงแห่งชาติ” ให้ผู้เข้ารับการศึกษา ประกอบด้วยข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์กรอิสระ ภาคเอกชน นักธุรกิจและบุคคลทั่วไป จำนวน 285 คนณ หอประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
นายกรัฐมนตรี แนะนำให้นักศึกษานำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน พร้อมย้ำให้ทุกคนตระหนักและทบทวนทำความเข้าใจบริบทโลกในปัจจุบันให้ลึกซึ้ง ทั้งความเจริญทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดกระแสโลกาภิวัตน์ การเคลื่อนย้ายคนและทุนอย่างเสรี ข่าวสารและเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน การแข่งขันทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งศูนย์รวมอำนาจทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค ส่งผลให้มีการแย่งชิงทรัพยากรและแรงงานที่อาจเป็นชนวนความขัดแย้งได้ รวมไปถึงภาวะโลกร้อนและภูมิอากาศที่ผันผวนทำให้เกิดภัยพิบัติที่มีความรุนแรงมาก และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม การละเมิดสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับ Digital Disruption ก่อให้เกิด Fake news การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต และโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่ระบาดในมนุษย์ได้แก่ covid-19 เป็นต้น เป็นความท้าทายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่คือ “ความมั่นคงแบบองค์รวม” ซึ่งมีความซับซ้อนเชื่อมโยงมิติความมั่นคงกับเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมจนเป็นเนื้อเดียวกัน จึงขอให้นักศึกษา ใช้เวทีนี้ช่วยกันคิดหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศด้วยแผนการปฏิบัติที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมทั้งขอให้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประยุกต์ ในการทำงานและการดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละบุคคล
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงหลักคิดในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางในการขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยประเทศไทยจะยังคงยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และพันธกรณีและกติกาของสังคมโลก สร้างความสมดุลระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการบูรณาการพลังทางสังคมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ประชาสังคม ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาควิชาการสื่อสารมวลชนภายใต้แนวทาง " รวมไทยสร้างชาติ"
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36512 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกันยายน 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกันยายน 2563
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 858 ราย ใน 72 จังหวัด
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 858 ราย ใน 72 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (508 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (134 ราย) ภาคเหนือ (114 ราย) ภาคตะวันออก (60 ราย) และภาคใต้ (42 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 328,300 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 8,250.38 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 25,130.61 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 851 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 775 ราย ใน 72 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (67 ราย) กรุงเทพมหานคร (58 ราย) ขอนแก่นและร้อยเอ็ด (43 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 94 ราย ใน 32 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 83 ราย ใน 29 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (14 ราย) อุดรธานี (8 ราย) และอุบลราชธานี (7 ราย)
(3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 149,860 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,512.16 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 20,246 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 523.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.91 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 23,920 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 569.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.20 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับยอด NPL ของเดือนกรกฎาคม 2563 (ร้อยละ 16.60)
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 7,476 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2563 จำนวน 121 ราย การลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย การเพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจ
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 0 2255 1898
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
• ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เพิ่มช่องทางร่วมโครงการ Co-Payment ผ่านโมบายแอปพลิเคชันจ้างงานเด็กจบใหม่ แนะยื่นเอกสารครบ-อนุมัติไว | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงแรงงาน เพิ่มช่องทางร่วมโครงการ Co-Payment ผ่านโมบายแอปพลิเคชันจ้างงานเด็กจบใหม่ แนะยื่นเอกสารครบ-อนุมัติไว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ว่ายังมีตำแหน่งงานเป็นจำนวนมากพร้อมรองรับ
จากข้อมูลวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – วันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 มีนายจ้าง/สถานประกอบการ เข้าร่วมโครงการ 4,414 ราย อัตรา ตำแหน่งที่ประกาศรับสมัคร 82,767 อัตรา แยกตามวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรี 43,973 อัตรา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 10,125 อัตรา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 8,585 อัตรา มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) 19,993 อัตรา และอนุปริญญา 91 อัตรา มีผู้จบการศึกษาใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 53,650 คน แยกตามวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรี 46,044 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 4,261 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 1,177 คน มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) 1,639 คน และอนุปริญญา 529 คน ผ่านการอนุมัติเข้าร่วมโครงการ 2,156 คน
นายสุชาติฯ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน มุ่งหวังส่งเสริมการจ้างงานคนรุ่นใหม่ และผู้ไม่เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานให้มีงานทำ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนเกิดเป็นโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ซึ่งที่ผ่านมามีนายจ้าง/สถานประกอบการ และนักศึกษาจบใหม่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้เพิ่มช่องทางสมัครร่วมโครงการฯผ่านทางโมบายแอปพลิเคชันจ้างงานเด็กจบใหม่ อีกหนึ่งช่องทาง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สนใจเข้าร่วม อีกทั้งยังมอบหมายให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1- 10 สังกัดกรมการจัดหางาน เร่งติดตามความคืบหน้า รวมทั้งประชาสัมพันธ์ช่องทางและวิธีการร่วมโครงการฯที่ถูกต้อง แก่นายจ้าง/สถานประกอบการและผู้จบการศึกษาใหม่ที่มีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไข ให้สามารถเข้าร่วมโครงการฯโดยเร็วที่สุด
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีการจ่ายเงินอุดหนุนประจำเดือน ต.ค. 63 ครั้งที่ 1 ไปแล้ว จำนวน 3,178,163.81 บาท ให้แก่ลูกจ้างตามโครงการฯ ทั้งสิ้น 526 ราย แบ่งตามภูมิภาคดังนี้ ภาคกลาง 281 ราย ภาคเหนือ 69 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 67 ราย ภาคใต้ 59 ราย ภาคตะวันออก 27 ราย และภาคตะวันตก 23 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2563) และจะมีการจ่ายเงินอุดหนุนของเดือน ต.ค. 63 ครั้งที่ 2 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากลูกจ้างท่านใดยังไม่รับเงินให้แจ้งมาที่กรมการจัดหางานได้ พร้อมแนะนำ ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการศึกษาขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านคลิปวีดีโอ หรืออ่านคู่มือสำหรับผู้ประกอบการและผู้จบการศึกษาใหม่ก่อนเริ่มลงทะเบียน ซึ่งมีวิธีใช้งานระบบและเอกสารที่ต้องใช้เพื่อเข้าร่วมโครงการแจ้งไว้อย่างละเอียด บนหน้าเว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com และโมบายแอปพลิเคชัน จ้างงานเด็กจบใหม่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36534 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ศปค.สธ. เห็นชอบการลดระยะเวลากักกันเหลือ 10 วัน เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณา | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
คกก.ศปค.สธ. เห็นชอบการลดระยะเวลากักกันเหลือ 10 วัน เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณา
คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เห็นชอบการลดจำนวนวันกักกันโรคจาก 14 เหลือ 10 วัน โดยเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน เป็นต้น ให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ จากการศึกษาข้อ
คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เห็นชอบการลดจำนวนวันกักกันโรคจาก 14 เหลือ 10 วัน โดยเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน เป็นต้น ให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ จากการศึกษาข้อมูลพบว่า การกักกันโรค 10 วัน และ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกันมากนัก แต่ต้องมีการบริหารจัดการอย่างรัดกุม เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 ครั้งที่ 1/2564 มีการพิจารณาเรื่องการกักกันโรคผู้เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Special Tourist Visa (STV) ระยะเวลา 14 วัน โดยเห็นชอบรูปแบบของการกักตัวในพื้นที่ท่องเที่ยวเฉพาะ หรือ Exclusive Travel Area (ETA) โดยไม่ได้อยู่แต่ภายในห้องพักโรงแรม แต่จะอยู่ในพื้นที่และเส้นทางที่กำหนดไว้ ไม่ให้ปะปนกับผู้คนภายนอก หากกักตัวครบกำหนดก็สามารถไปท่องเที่ยวได้ตามปกติ โดยอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสามารถรับมือได้หากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการลดจำนวนวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงยังกักตัว 14 วันตามเดิม เนื่องจากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการพบว่า การกักตัว 14 วัน และ 10 วัน ความเสี่ยงไม่แตกต่างกันมากนักภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ขณะที่การศึกษาจากข้อมูลจริงที่ได้จากประสบการณ์การกักตัวที่ผ่านมา โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ได้ศึกษาในกลุ่มผู้เดินทางจากประเทศเดียวกัน 77 ราย และกลุ่มที่เดินทางจากสหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เนเธอร์แลนด์ จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น กาตาร์ คาร์ซัคสถาน รวม 458 ราย โดยออกแบบตรวจหาเชื้อในช่วงวันที่ 1-3, 7-9 และ 11 ควบคู่กับการตรวจแอนติบอดี พบว่า คนติดเชื้อในช่วง 10 วันแรกเท่านั้น ส่วนหลัง 10 วันพบเพียง 1 ราย แต่ตรวจเลือดพบแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด 19 แสดงว่าติดเชื้อมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ
“เมื่อออกจากสถานที่กักกันโรคที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ซึ่งเบื้องต้นกำหนดเป็นพื้นที่ส่วนกลางก่อน จะมีมาตรการติดตามตัว ด้วยแอปพลิเคชันหรือกรณีอาจเกิดปัญหาจะโทรสอบถามอาการ เน้นย้ำผู้ดูแลกลุ่มนักท่องเที่ยวให้เคร่งครัดมาตรการป้องกันตัวเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และให้ไปท่องเที่ยวในเฉพาะจังหวัดที่สำรวจแล้วมีความพร้อม ทั้งการควบคุมป้องกันโรค สถานพยาบาล ประชาชนในพื้นที่ให้การยอมรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้นมี 10 จังหวัด เช่น ชลบุรี บุรีรัมย์ เป็นต้นแม้จะพบผู้ติดเชื้อหลังออกจากสถานที่กักกันก็มีระบบควบคุมป้องกันโรคและรักษาพยาบาลรองรับ ทั้งนี้ จะนำเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
สำหรับการปรับมาตรการใน ASQ ซึ่งได้ทบทวนจากกรณีหญิงฝรั่งเศสพบว่า มาตรการต่างๆ ที่วางไว้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด แต่ต้องให้สถานบริการที่เป็น ASQ ทำตามอย่างเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการใช้พื้นที่ส่วนกลางต้องเข้มข้นมาตรการมากขึ้น
****************************** 5 พฤศจิกายน 2563
คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เห็นชอบการลดจำนวนวันกักกันโรคจาก 14 เหลือ 10 วัน โดยเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน เป็นต้น ให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ จากการศึกษาข้อมูลพบว่า การกักกันโรค 10 วัน และ 14 วัน มีความเสี่ยงไม่ต่างกันมากนัก แต่ต้องมีการบริหารจัดการอย่างรัดกุม เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 ครั้งที่ 1/2564 มีการพิจารณาเรื่องการกักกันโรคผู้เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Special Tourist Visa (STV) ระยะเวลา 14 วัน โดยเห็นชอบรูปแบบของการกักตัวในพื้นที่ท่องเที่ยวเฉพาะ หรือ Exclusive Travel Area (ETA) โดยไม่ได้อยู่แต่ภายในห้องพักโรงแรม แต่จะอยู่ในพื้นที่และเส้นทางที่กำหนดไว้ ไม่ให้ปะปนกับผู้คนภายนอก หากกักตัวครบกำหนดก็สามารถไปท่องเที่ยวได้ตามปกติ โดยอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสามารถรับมือได้หากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการลดจำนวนวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น จีน เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงยังกักตัว 14 วันตามเดิม เนื่องจากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการพบว่า การกักตัว 14 วัน และ 10 วัน ความเสี่ยงไม่แตกต่างกันมากนักภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ขณะที่การศึกษาจากข้อมูลจริงที่ได้จากประสบการณ์การกักตัวที่ผ่านมา โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ได้ศึกษาในกลุ่มผู้เดินทางจากประเทศเดียวกัน 77 ราย และกลุ่มที่เดินทางจากสหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เนเธอร์แลนด์ จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น กาตาร์ คาร์ซัคสถาน รวม 458 ราย โดยออกแบบตรวจหาเชื้อในช่วงวันที่ 1-3, 7-9 และ 11 ควบคู่กับการตรวจแอนติบอดี พบว่า คนติดเชื้อในช่วง 10 วันแรกเท่านั้น ส่วนหลัง 10 วันพบเพียง 1 ราย แต่ตรวจเลือดพบแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด 19 แสดงว่าติดเชื้อมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ
“เมื่อออกจากสถานที่กักกันโรคที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ซึ่งเบื้องต้นกำหนดเป็นพื้นที่ส่วนกลางก่อน จะมีมาตรการติดตามตัว ด้วยแอปพลิเคชันหรือกรณีอาจเกิดปัญหาจะโทรสอบถามอาการ เน้นย้ำผู้ดูแลกลุ่มนักท่องเที่ยวให้เคร่งครัดมาตรการป้องกันตัวเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และให้ไปท่องเที่ยวในเฉพาะจังหวัดที่สำรวจแล้วมีความพร้อม ทั้งการควบคุมป้องกันโรค สถานพยาบาล ประชาชนในพื้นที่ให้การยอมรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้นมี 10 จังหวัด เช่น ชลบุรี บุรีรัมย์ เป็นต้นแม้จะพบผู้ติดเชื้อหลังออกจากสถานที่กักกันก็มีระบบควบคุมป้องกันโรคและรักษาพยาบาลรองรับ ทั้งนี้ จะนำเสนอ ศบค.พิจารณาต่อไป” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
สำหรับการปรับมาตรการใน ASQ ซึ่งได้ทบทวนจากกรณีหญิงฝรั่งเศสพบว่า มาตรการต่างๆ ที่วางไว้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด แต่ต้องให้สถานบริการที่เป็น ASQ ทำตามอย่างเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการใช้พื้นที่ส่วนกลางต้องเข้มข้นมาตรการมากขึ้น
****************************** 5 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดโครงการป่าชายเลนในเมือง 700 ไร่ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดโครงการป่าชายเลนในเมือง 700 ไร่
รมว.ทส. 'วราวุธ' เปิดโครงการป่าชายเลนในเมือง 700 ไร่ "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย"
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการป่าชายเลนในเมืองจังหวัดพังงา "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" โดยมีเนื้อที่ 700 ไร่ ให้ประชาชนในจังหวัดทุกคนได้มีส่วนร่วมในการปกป้อง อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้มีแหล่งศึกษาเรียนรู้ และใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนได้อย่างยั่งยืน พร้อมเปิดสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เยี่ยมชมสินค้าภูมิปัญญาประโยชน์จากป่าชายเลน พบปะพูดคุยกับประชาชนที่มาต้อนรับ และเดินศึกษาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงานฯเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 63ณ บริเวณโครงการป่าชายเลนในเมืองจังหวัดพังงา
รมว.ทส. กล่าวว่า จังหวัดพังงามีพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย และจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ทำให้ 6 ปีที่ผ่านมา นับจากปี พ.ศ. 2557 ป่าชายเลนของประเทศไทย มีพื้นที่ป่าชายเลนที่มีความสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้นจาก 1.5 ล้านไร่ เป็น 1.7 ล้านไร่และมีพื้นที่ป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมลดลงเหลือ 1.1 ล้านไร่ ซึ่งเป็นความสำเร็จของพี่น้องประชาชนทุกคน ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ได้ร่วมกันดูแลรักษาป่าชายเลนเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นทรัพยากรธรรมชาติ ป่าชายเลน ที่สวยงามในสภาพที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นที่เชิดชูของประเทศไทยสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36529 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี "พลเอก ประวิตร" ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดภูเก็ต | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
รมว.ทส. ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี "พลเอก ประวิตร" ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดภูเก็ต
รมว.ทส. ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี "พลเอก ประวิตร" ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดภูเก็ต
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ในโอกาสลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของจังหวัดภูเก็ต อาทิ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การขับเคลื่อนแผนการบริหารจัดการน้ำ และโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สมาร์ท ซิตี้ เป็นต้น โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ( ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์) เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต
ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานสรุปสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้อันดามัน ให้คณะรองนายกรัฐมนตรีได้รับทราบความคืบหน้าและผลการดำเนินงาน ต่าง ๆ ในโอกาสนี้ด้วย
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 11.00 น. รมว.ทส. ได้ร่วมกับคณะรองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังอาคารยิมเนเซี่ยมนครภูเก็ต 4,000 ที่นั่ง ร่วมพิธีเปิดงาน "กระทรวงแรงงานพบประชาชน @Phuket" พร้อมเยี่ยมชมบูธนิทรรศการโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ฯ นัดพบแรงงานฯ (Phuket Job Fair) ฯลฯ จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังการประปาส่วนภูมิภาคสาขาภูเก็ต เพื่อร่วมรับฟังแนวทางการผลิตน้ำจืดจากทะเล จากบริษัท อาร์ อี คิว วอเตอร์ เซอร์วิส และโครงการผลิตน้ำจืดจากทะเลของการประปาส่วนภูมิภาค อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36533 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบข้อตกลงกลุ่มประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ว่าด้วยเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านน้ำ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยพิบัติของประเทศในแถบแม่น้ำโขง โดยคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของประเทศจีน จะส่งข้อมูลของฝนและระดับน้ำของแม่น้ำล้านช้าง ให้กับคณะทำงานของประเทศสมาชิก 5 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม นอกจากนี้ ยังเห็นชอบสนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มการแบ่งปันและใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีระหว่างประเทศสมาชิก ตอบสนองต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างทันท่วงทีและประเมินสถานการณ์เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรับรองข้าวพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ กข87 หวังกระตุ้นการส่งออกข้าวไทย | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
ประกาศรับรองข้าวพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ กข87 หวังกระตุ้นการส่งออกข้าวไทย
กระทรวงเกษตรฯ กรมการข้าว งัดไม้เด็ด ประกาศรับรองข้าวพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ กข87 หวังกระตุ้นการส่งออกข้าวไทย
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การส่งออก โดยการเชิญโรงสี และผู้ที่เกี่ยวข้อง มาประชุมร่วมกันกับผู้ปลูกข้าว โดยมีการกำหนดประเภทข้าวออกมา 5 ประเภทด้วยกัน คือ 1.ข้าวหอมมะลิ 2.ข้าวหอมไทย 3.ข้าวพื้นแข็ง 4.ข้าวพื้นนุ่ม 5.ข้าวเหนียว อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในขณะนี้ราคาข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว มีราคาตกลงเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันตลาดมีความต้องการข้าวพื้นนุ่มที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันพื้นที่ปลูกข้าวพื้นนุ่มในประเทศไทยนั้น กลับมีเพียงแค่ 300,000 ไร่ โดยประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนน้อย ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลให้ไม่สามารถนำไปแข่งขันสู้กับตลาดต่างประเทศได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จึงได้เริ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยการลดพื้นที่การปลูกข้าวแข็งลงและหันมาเพิ่มพื้นที่การปลูกข้าวนุ่มมากขึ้นตามที่ผู้ส่งออกต้องการ
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า กรมการข้าวมีการวิจัยข้าวพื้นนุ่มสายพันธุ์ใหม่ คือข้าวพันธุ์กข87 ที่มีการเริ่มทดสอบแล้วให้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 1,200 กิโลกรัม/ไร่ มีความต้านทานโรคแมลง โดยได้ทำการทดสอบและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้กรมการข้าวได้ประกาศรับรองพันธุ์ข้าว พันธุ์กข87 อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งคาดว่าพันธุ์ข้าวดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นตัวเลขการส่งออกข้าวไทยให้มีปริมาณที่สูงขึ้น
นายมนัส กำเนิดมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า สำหรับในวันนี้กรมการข้าวได้ประกาศรับรองพันธุ์ข้าวจำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ กข85 กข87 และขาวเจ๊กชัยนาท 4 โดยแต่ละพันธุ์มีลักษณะเด่น ดังนี้
ข้าวเจ้าพันธุ์กข85 เป็นชนิดข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง อมิโลสสูง เป็นข้าวชนิดแข็ง ผลผลิตเฉลี่ย 826 กิโลกรัม/ไร่ ลักษณะเมล็ดยาวเรียว ท้องไข่น้อย คุณภาพการสีดี ค่อนข้างต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
ข้าวเจ้าพันธุ์กข87 มีปริมาณอมิโลสต่ำ ให้ผลผลิต 734 กิโลกรัม/ไร่ แต่มีศักยภาพสูงสุดที่ให้ผลผลิตได้ถึง 1,500 กิโลกรัม/ไร่ หุงสุกนุ่ม ไม่ต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว โรคขอบใบแห้ง และโรคไหม้
ข้าวขาวเจ๊กชัยนาท4 ผลผลิต/ไร่โดยเฉลี่ยสูงกว่าข้าวหอมมะลิ เมล็ดข้าวมีความยาวมาก เป็นข้าวไวต่อช่วงแสง มีท้องไข่น้อย
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ ผู้อำนวยการกองเมล็ดพันธุ์ข้าว เปิดเผยว่า นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กองเมล็ดพันธุ์ข้าว กรมการข้าว ดำเนินการประสานงานกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีการทดลองนำข้าวหอมมะลิไปทำการทดสอบผ่านรังสีไอออนระดับต่ำ ผลปรากฎว่าสามารถแตกเมล็ดพันธุ์ออกมาเป็นพันธุ์ใหม่ได้ โดยให้ผลผลิตมากถึง 1,500 กก./ไร่ ให้ความหอมที่มากขึ้น และสามารถปลูกได้ทั้งปี จึงเห็นสมควรให้กรมการข้าวนำมาทดลองปลูก โดยในเบื้องต้นกองเมล็ดพันธุ์ข้าวได้ดำเนินการประสานไปยังสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นการเบื้องต้นแล้ว แต่ได้รับการแจ้งจากสถาบันดังกล่าวว่า ยังไม่สามารถลงนามความร่วมมือ (MOU) กันได้ในขณะนี้ เนื่องจากทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะขอดำเนินการทดสอบต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นเมื่อผลการทำสอบมีความแน่ชัดแล้ว ทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะดำเนินการจัดส่งเมล็ดพันธุ์ให้แก่กรมการข้าวเพื่อเป็นตัวอย่างในการทดลองปลูก จำนวน 20 กิโลกรัม ทั้งนี้กรมการข้าวจะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเชื่อสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไม่กระทบภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ | วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563
โฆษกรัฐบาลเชื่อสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไม่กระทบภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ
โฆษกรัฐบาลเชื่อสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไม่กระทบภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ
วันที่ 5 พ.ย.63 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า กรณีที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2562 ไทย-สหรัฐฯ มีมูลค่าการค้ารวม 48,630.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับไว้แล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์เร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยด้วยการวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ หรือ Online Business Matching ส่งเสริมสินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเข้าสู่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ โดยตรง รวมทั้ง ร่วมมือกับผู้ประกอบเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ เพื่อทดแทนตลาดหลักที่เติบโตอย่างอิ่มตัวแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ไทยยังสามารถส่งสินค้าออกไปขายในตลาดสหรัฐฯ ได้ปกติ เพียงแต่ต้องกลับไปเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ ซึ่งสินค้าที่ถูกตัดสิทธิ GSP จำนวน 231 รายการนั้น ไทยใช้สิทธิจริงในปี 2562 เพียง 147 รายการ มีการประเมินภาษีที่ไทยต้องเสียอยู่ที่ 600 ล้านบาท ส่วนสินค้าที่ถูกตัดสิทธิ GSP เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และเคมีภัณฑ์บางชนิด ซึ่งเป็นสินค้าของไทยที่มีศักยภาพการส่งออกทั้งตลาดสหรัฐ ตลาดยุโรปและเอเชีย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เคยให้ข้อสังเกตว่า สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของสหรัฐฯ นั้น เป็นการให้จากสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียวกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุดแล้ว ซึ่งวันหนึ่งอาจจะต้องหมดไป เพราะไทยสามารถเติบโตและพัฒนาสูงขึ้นจนอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางตามการรายงานของธนาคารโลก ดังนั้น รัฐบาลจึงพยายามเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ เน้นการเติบโตจากเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งการส่งเสริมการลงทุนใน 10+2 อุตสาหกรรมใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์โรโบติกส์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์และสุขภาพ รวมไปถึงการพัฒนาการเกษตร BCG สนับสนุนการจดทะเบียนสินค้าเกษตร GI ของไทย เพื่อปรับโหมดสินค้าไทย เพิ่มมูลค่าแต่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36506 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 23 พฤศจิกายน 2563 | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 23 พฤศจิกายน 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง(องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และ เทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง แนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว
5. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
6. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศณ เดือนตุลาคม 2563
7. เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563
8. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในการรับเข้าทำงานกับบริษัทเอกชน
9. เรื่อง รายงานการประเมินความคุ้มค่าของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
10. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 14/2563
11. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
12. เรื่อง ร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) และแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
13. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 28/2563
ต่างประเทศ
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย กับ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น
15. เรื่อง ขอความเห็นชอบการรับรองเอกสาร Joint Statement “Conference on Digital Transformation of the Education Systems throughout ASEAN”
16. เรื่อง การนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ฉบับที่ 3)
17. เรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)
18. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27
19. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
20. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25
21. เรื่อง ความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
24. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของ อว. สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้จัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เรียกโดยย่อว่า “สทร.” และให้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Rail Technology Development Agency (Public Organization) เรียกโดยย่อว่า “RTDA”เพื่อศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและประเมินความต้องการด้านเทคโนโลยีระบบรางในการวางแผนวิจัยด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อเสนอแนะนโยบายและแผนงานในการกำหนดทิศทางงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบและทดลอง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบราง โดยมีคณะกรรมการสถาบันทำหน้าที่วางนโยบายกำหนดกฎ ระเบียบ และกำกับดูแล รายละเอียดดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “เทคโนโลยีระบบราง” “สถาบัน” “คณะกรรมการ” “กรรมการ” “ผู้อำนวยการ” และ “เจ้าหน้าที่” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้
2. กำหนดให้สถาบันมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและประเมินความต้องการด้านเทคโนโลยีระบบรางในการวางแผนวิจัยด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อเสนอแนะนโยบายและแผนงานในการกำหนดทิศทางงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบและทดลอง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบราง วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งทางราง บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมมือกับองค์กรในประเทศและต่างประเทศด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง
3. กำหนดทุนและทรัพย์สินในการดำเนินงานของสถาบันประกอบด้วยเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม เงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนจากเอกชน ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินกิจการ รวมถึงดอกผลหรือรายได้จากทรัพย์สินของสถาบัน
4. กำหนดให้มีคณะกรรมการสถาบัน ประกอบด้วยประธานกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 4 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 5 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยมีผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง
5. กำหนดให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
6. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลสถาบันให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมถึงกำหนดนโยบายการบริหารงาน การจัดหาทุน และให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสถาบัน อนุมัติงบประมาณประจำปี งบการเงิน แผนการลงทุน และการดำเนินโครงการตามที่คณะกรรมการกำหนด ออกระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด หรือประกาศเกี่ยวกับสถาบัน และให้ความเห็นชอบในการกำหนดค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน และค่าบริการในการดำเนินกิจการของสถาบัน
7. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน โดยกำหนดให้การบัญชีของสถาบันให้จัดทำตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และต้องจัดให้มี การตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและการพัสดุของสถาบัน และให้ผู้ปฏิบัติงานของสถาบันทำหน้าที่ เป็นผู้ตรวจสอบภายในให้รับผิดชอบขึ้นตรงต่อคณะกรรมการตามที่กำหนด และการแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนเงินเดือน และลงโทษวินัยของผู้ตรวจสอบภายใน ให้ผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาร่วมกันแล้วเสนอให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
8. กำหนดบทเฉพาะกาล ในวาระเริ่มแรก ให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบัน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ผู้แทน คค. และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนสามคน เป็นกรรมการ และให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวและกำหนดประเภทอาคารที่การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารให้มีการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเพิ่มเติม รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวใหม่ ให้มีความทันสมัยและมีความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเข้าใช้อาคารมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม ดังนี้
1.1 แก้ไขบทนิยาม
“บริเวณที่ 1” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดนครพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดเลย จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดหนองคาย
“บริเวณที่ 2” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพในระดับปานกลางเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุทัยธานี
1.2 เพิ่มบทนิยาม
“บริเวณที่ 3” หมายความว่า บริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบทางด้านความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพในระดับสูงเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์
“ผู้ออกแบบ” หมายความว่า ผู้ออกแบบงานสถาปัตยกรรม หรือออกแบบและคำนวณงานวิศวกรรม
“ผู้คำนวณออกแบบ” หมายความว่า วิศวกรตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรซึ่งทำหน้าที่จัดทำรายการคำนวณ แบบแปลน และรายละเอียดในการก่อสร้างอาคารด้านวิศวกรรม
2. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบอาคาร โดยให้ผู้ออกแบบคำนึงถึงการจัดรูปแบบเรขาคณิตของโครงสร้างอาคารเพื่อให้มีเสถียรภาพในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสำหรับอาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ 2 ซึ่งเป็นอาคารสูง และบริเวณที่ 3 ให้ผู้ออกแบบคำนึงถึงส่วนประกอบของอาคารด้านสถาปัตยกรรมให้มีความมั่นคง ไม่พังทลาย หรือไม่ร่วงหล่นได้โดยง่าย
3. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร ดังนี้
3.1 ให้ผู้ออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ 2 หรือบริเวณที่ 3 จัดโครงสร้างทั้งระบบ และกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยชิ้นส่วนโครงสร้าง และบริเวณรอยต่อระหว่างปลายชิ้นส่วนโครงสร้างต่าง ๆ อย่างน้อยให้มีความเหนียวเป็นไปตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา หรือหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนั้น
3.2 กรณีที่ยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีและยังไม่มีหลักเกณฑ์การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนั้น การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร ให้กระทำโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือได้รับการรับรองโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม โดยนิติบุคคลนั้นต้องมีวิศวกรระดับวุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา และลงลายมือชื่อรับรองวิธีการคำนวณนั้นด้วย
3.3 การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารประเภทใดที่รัฐมนตรียังไม่มีการประกาศกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคาร เพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสำหรับอาคารประเภทนั้นไว้ และยังไม่มีหลักเกณฑ์การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่จัดทำโดยส่วนราชการอื่นที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนั้น การออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารดังกล่าว ให้กระทำโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือได้รับ การรับรองโดยนิติบุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม โดยนิติบุคคลนั้นต้องมีวิศวกรระดับวุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา และลงลายมือชื่อรับรองวิธีการคำนวณนั้นด้วย ทั้งนี้ การออกแบบและคำนวณระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวของอาคารให้ผู้ออกแบบและคำนวณใช้ค่าระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว ไม่ต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ในประกาศของรัฐมนตรี
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ อว. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2551 มาตรา 3 บัญญัติให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมประกอบด้วย 4 สาขา ได้แก่ (1) สาขานิวเคลียร์ (2) สาขาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านวิทยาศาสตร์และการควบคุมมลพิษ (3) สาขาการผลิต การควบคุมและการจัดการสารเคมีอันตราย และ (4) สาขาการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์และการใช้จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค โดยมาตรา 6 บัญญัติให้สามารถกำหนดวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมเพิ่มเติมได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และมาตรา 7 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมได้โดยไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพและเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมใน 4 สาขาดังกล่าว
2. ต่อมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2563 ขึ้นใช้บังคับ ซึ่งกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาธรณีวิทยา และสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม เป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมเพิ่มเติม และมาตรา 2 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว กำหนดให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มีผลใช้บังคับ 20 ธันวาคม 2563) ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมมีความสอดคล้องกับการกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขาธรณีวิทยาและสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อมเป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม อว. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ขึ้นเพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยาและสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อว. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และในคราวประชุมคณะกรรมการสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
3. เนื่องด้วยพระราชกฤษฎีกากำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม พ.ศ. 2563 จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 20 ธันวาคม 2563 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรากฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้สอดรับกับพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยา ฉบับละ 1,000 บาท
2. กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม ประเภทผู้ชำนาญการ ฉบับละ 3,000 บาท และประเภทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ฉบับละ 1,000 บาท
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง แนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าวโดยการจ้างเหมาเอกชนดำเนินการให้บริการรับคำขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (e-WorkPermitOS) ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ รง. รับความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า
1. จำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานและแจ้งการทำงานตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2562 รวมทั้งหมด 2,935,231 ราย ดังนี้
ปี พ.ศ.
จำนวนคนต่างด้าว (ราย)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ ประจำปี 2564 มุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 และการพัฒนาอย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ ประจำปี 2564 มุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ ประจำปี 2564 มุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นนี้ (23 พ.ย. 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องนพวงศ์ 1 โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพองค์การของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จัดโดย กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาแผนเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานอย่างเป็นองค์รวม ผ่านการระดมความคิดเห็น อันถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินงาน โดยใช้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประเด็นการพัฒนาจากรายงานป้อนกลับ (Feedback Report) รางวัล PMQA และ PMQA 4.0 ประจำปี พ.ศ. 2563 เป็นกรอบแนวทาง เพื่อนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 และตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย คณะกรรมการกำกับติดตามการดำเนินการ คณะทำงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ผู้แทนจากสำนัก/กอง/ศูนย์ ตลอดจนวิทยากร และเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โอกาสนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกยุคปัจจุบัน ทำให้ภาครัฐต้องมีการผลักดันทิศทางการพัฒนาระบบราชการสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการข้อมูล ระบบเปิดภาครัฐ การพัฒนาการบริหารและการบริการ ตลอดจนการปรับตัวเพื่อมุ่งสู่ระบบราชการ 4.0 ที่ให้ความสำคัญกับระบบราชการที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีขีดสมรรถนะสูง และทันสมัย โดยอาศัยปัจจัยแห่งความสำเร็จ 3 ประการ คือ การสานพลังประชารัฐ การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาสู่ความเป็นดิจิทัล เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นพัฒนาสู่ระบบราชการ 4.0 เป็นที่พึ่งของประชาชน และเชื่อถือไว้วางใจได้ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการยกระดับการพัฒนาคุณภาพองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ผลการประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ 4.0 (การประเมินตนเอง) ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ถือเป็น 1 ใน 50 หน่วยงาน ที่ได้รับคัดเลือกให้จัดทำรายงานผลการดำเนินการพัฒนาองค์การสู่ระบบราชการ 4.0 (Application Report) ซึ่งมีผลการประเมินฯ อยู่ในระดับก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม ในการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพองค์การนั้น ถือเป็นกระบวนการวางแผนเพื่อมุ่งให้หน่วยงานเห็นทิศทาง เป้าหมายการพัฒนา รวมถึงการบูรณาการการดำเนินงานของทุกองค์ประกอบให้สอดรับกับการพัฒนาสู่ระบบราชการ 4.0 ตลอดจนการพัฒนาขีดความสามารถขององค์การให้มีศักยภาพ มีความพร้อมในการส่งมอบผลผลิตการบริการที่คุ้มค่าให้กับประชาชน และสร้างความพึงพอใจในบริการดังกล่าว โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การเป็นระบบราชการ 4.0 และการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการองค์การและปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การให้สูงขึ้นด้วย
ท้ายนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทาง/เป้าหมายการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์การของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นระบบราชการ 4.0 ขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านตั้งใจเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ ร่วมคิด ร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการวางแผน ค้นหาข้อเสนอ แนวทางในการต่อยอดการพัฒนาองค์การ และนำกลับไปใช้ในการปฏิบัติงานภายในหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36994 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสัมมนา The Project Dissemination Seminar on Assisting the Foundation of The Smart Monodzukuri Support Team System in Thailand | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
งานสัมมนา The Project Dissemination Seminar on Assisting the Foundation of The Smart Monodzukuri Support Team System in Thailand
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดงานสัมมนา The Project Dissemination Seminar on Assisting the Foundation of The Smart Monodzukuri Support Team System in Thailand ภายในงาน Metalex 2020
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดงานสัมมนา The Project Dissemination Seminar on Assisting the Foundation of The Smart Monodzukuri Support Team System in Thailand ภายในงาน Metalex 2020 โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และผู้แทนจากหน่วยงานรัฐประเทศญี่ปุ่น เข้าร่วมด้วย ณ Robotics Cluster Pavilion ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการ ไบเทค บางนา
การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานการพัฒนาบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญของไทย และองค์กรในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นโรงงานต้นแบบในการพัฒนาอุตสาหกรรม ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยหลักการที่ถูกต้อง โดยผ่านกระบวนการองค์ความรู้ IVI (Industrial Value Chain Intiative) เพื่อให้ทราบถึงผลลัพธ์ ประสิทธิผลของโครงการ Smart Monodzukuri Support Team for Thailand ทีมสนับสนุนอุตสาหกรรมอัจฉริยะของประเทศไทย ที่ได้เริ่มดำเนินการในปี 2562 และได้รับความร่วมมือในการนำ Iot มาใช้ โดยทีมสนับสนุนอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เป็นต้นแบบ รวมทั้งถ่ายทอดระบบที่สามารถพัฒนาให้บุคลากรพึ่งพาตนเองได้ โดยเริ่มจาก Small Start Iot แบบต้นทุนต่ำ เพิ่มมูลค่าสูง สามารถนำไปขยายผล ประกอบกับมีองค์ความรู้ภายในองค์กรเอง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมให้ดำเนินอย่างราบรื่นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36966 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ยกพลล่องใต้ เคาะประตูชาวชุมชนวังหอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ขับเคลื่อนโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ครั้งที่ 4 นำระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยงชีวิตและทรัพย์สิน รองรับวิถีชีวิตชาวชุมชน | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
คปภ. ยกพลล่องใต้ เคาะประตูชาวชุมชนวังหอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ขับเคลื่อนโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ครั้งที่ 4 นำระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยงชีวิตและทรัพย์สิน รองรับวิถีชีวิตชาวชุมชน
เมื่อวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2563 คปภ.ลงพื้นที่ชุมชนวังหอน ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปแบบ Insurance Mobile Unit ในโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน โดยได้มีการสำรวจความเสี่ยงและเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้วิถีชีวิตต่างๆ ภายในชุมชน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2563 ได้นำคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย ผู้บริหารกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต ผู้แทนกองทุนประกันวินาศภัย ผู้บริหารสมาคมประกันวินาศภัยไทย ผู้บริหารสมาคมประกันชีวิตไทย นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ลงพื้นที่ชุมชนวังหอน ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปแบบ Insurance Mobile Unit ในโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน โดยได้มีการสำรวจความเสี่ยงและเยี่ยมชมฐานการเรียนรู้วิถีชีวิตต่างๆ ภายในชุมชน เช่น ฐานการเรียนรู้ผ้ามัดย้อม ฐานการเรียนรู้การเลี้ยงผึ้งด้วยเกสรจากธรรมชาติ ฐานการเรียนรู้การทำพริกแกง เป็นต้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้รับ ทำให้ทราบว่าประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา ข้าว มะพร้าว ไม้ผล และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น และจากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชของสำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในครั้งนี้ พบว่า ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย อาทิ ไม่ทราบว่ารถทุกคันต้องจัดทำการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และหากเจ้าของรถไม่นำรถไปจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจและภาคบังคับ รวมถึงนำระบบประกันภัยมาใช้ยังไม่ครอบคลุมความเสี่ยงที่มีในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและครอบครัว
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะได้เคาะประตูบ้านเพื่อเยี่ยมและพูดคุยกับชาวชุมชน เพื่อรับฟังสภาพปัญหา และความต้องการด้านประกันภัย เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงของชาวชุมชนกรณีการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์กระบะเสียหลักชนต้นไม้เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 3 ราย บาดเจ็บ 2 ราย และเนื่องจากรถยนต์คันเกิดเหตุได้จัดทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ไว้ จึงได้รับความคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์จากการทำประกันภัยทั้ง 3 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,950,000 บาท และสำหรับผู้บาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาลตามจ่ายจริงไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย ส่งผลทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ได้รับการเยียวยาความสูญเสียและความเสียหาย โดยระบบประกันภัย นอกจากนี้เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะได้รับทราบสภาพปัญหาความเสี่ยงจากภัยลมพายุของชาวชุมชนที่ทำให้ต้นยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในพื้นที่ ได้รับความเสียหายทั้งส่วนของต้นยางพารา และบ้านพักอาศัย จึงได้แนะนำให้ชาวชุมชนจัดทำประกันภัยอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยที่ขยายความคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมทั้งคณะเลขาธิการ คปภ. ยังได้รวบรวมข้อมูลความเสียหายของต้นยางพารา เพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ชุมชนวังหอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีอัตลักษณ์ ชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีความเป็นเอกลักษณ์และดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก คือ การล่องแพไม้ไผ่บ้านวังหอน ดังนั้น เลขาธิการ คปภ.จึงแนะนำให้มีการจัดทำประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับผู้โดยสารแพ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ภาคสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุจากการใช้แพ สำหรับเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการแพโดยสาร และให้ความคุ้มครองนักท่องเที่ยวที่โดยสารแพ รวมถึงการทำประกันภัยสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับวิถึชีวิตของชาวชุมชนอีกด้วย
สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ยังได้มีการเปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ความรู้ รวมทั้งการรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัย และนำข้อมูลไปพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมกับบริบทของชุมชนยิ่งขึ้น โดยได้รับเกียรติจากนายศิริพงศ์ ศรีพยางค์ นายอำเภอชะอวด กล่าวต้อนรับ ร่วมรับฟังเสวนา รวมทั้งเยี่ยมชมบูธการส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. กองทุนด้านประกันภัยและบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ
“การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้ง เป็นการลงพื้นที่ตามโครงการ คปภ.เพื่อชุมชน ครั้งที่ 4 ภายใต้แนวคิด “เหนือสุดใต้ ตะวันออกสุดตะวันตก” โดยเป็นการบูรณาการเชิงรุกร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยเพื่อขับเคลื่อนระบบประกันภัยสู่ประชาชน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการประกันภัย ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในการนำระบบประกันภัยสามารถเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต และทรัพย์สิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เกิดความเข้มแข็งยิ่งขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนอาสาสมัครสร้างสุข ทำดีเพื่อสังคม ที่ จ.พิษณุโลก | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนอาสาสมัครสร้างสุข ทำดีเพื่อสังคม ที่ จ.พิษณุโลก
รมว.พม. สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนอาสาสมัครสร้างสุข ทำดีเพื่อสังคม ที่ จ.พิษณุโลก
วันที่ 21 พ.ย. 63เวลา 10.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ วัดบ้านแถว อำเภอวังทอง เพื่อพบปะพูดคุยและสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มเยาวชนจิตอาสา จำนวน 39 คน ที่เข้าร่วม "ค่ายเส้นทางสู่สุดยอดแกนนำอาสาสมัครสร้างสุข" ซึ่งเป็นเยาวชนที่กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมหาวิทยาลัย ทั้งในจังหวัดพิษณุโลก และต่างจังหวัด อาทิ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี สุพรรณบุรีเพชรบูรณ์ และศรีสะเกษ โดยใช้กิจกรรมกระบวนการพัฒนาจิตและปัญญา เพื่อทำให้ได้รู้จักศักยภาพของตนเอง แล้วนำไปพัฒนาตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไป อีกทั้งการเป็นจิตอาสาร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่หวังผลตอบแทน
นายจุติกล่าวว่า กระทรวง พม. เป็นกระทรวงบุญที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์และพัฒนาสังคม โดยเราต้องพัฒนาคนก่อน ถ้าคนอยู่ดีมีสุขประเทศก็เข้มแข็ง ซึ่งการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือ การลงทุนในทุนมนุษย์ ได้แก่ เด็กและเยาวชนที่จะสามารถสร้างคุณค่าและสิ่งดีๆได้ทุกวัน ทั้งนี้ กระทรวง พม.ได้เตรียมความพร้อมให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคโควิด-19 และการสื่อสารยุคดิจิทัล
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า เด็กและเยาวชนจะเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีแก่สังคม ซึ่งการเข้าร่วมค่ายวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ทุกคนออกไปขยายการทำความดีให้สังคมต่อไป และตนขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนคิดบวกและสู้ โดยไม่ย่อท้อ เพราะโลกมีทั้งด้านสว่างและมืด ทุกข์และสุข เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เพราะฉะนั้นในชั่วโมงที่มืดที่สุด ขอให้รู้ว่าอีกไม่นานเราก็จะเจอแสงสว่าง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36987 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เปิดโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี พร้อมเสริมสร้างระบบพัฒนาครอบครัวเข้มแข็ง | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
ปลัด พม. เปิดโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี พร้อมเสริมสร้างระบบพัฒนาครอบครัวเข้มแข็ง
ปลัด พม. เปิดโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี พร้อมเสริมสร้างระบบพัฒนาครอบครัวเข้มแข็ง
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 09.00 น. ที่ห้องปรินซ์บอลรูม 2-3 โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และสัมมนาวิชาการ เรื่อง “พลังเยาวชน “ยุติ” การกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว” จัดโดยสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
นางพัชรี กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ เป็นปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ โดยข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว www.violence.in.th ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ณ วันที่ 14 พ.ย. 63 พบว่า ในปี 2563 มีจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว 1,097 เหตุการณ์ ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นผู้ชาย 866 ราย ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นผู้หญิง 158 ราย โดยมีผู้ถูกกระทำที่เป็นผู้ชาย 187 ราย และผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นผู้หญิง 847 ราย
นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนนโยบาย แผนงาน และกลไกเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานทั้งการป้องกัน ช่วยเหลือ และคุ้มครอง พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้ประสานความร่วมมือจากบ้าน วัด โรงเรียน (บวร) นอกจากนี้ กระทรวง พม. ได้สนับสนุนศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) ที่มีทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวระดับตำบล (ศปก.ต.) ซึ่งทำงานร่วมกับเครือข่ายสหวิชาชีพ และ อปท. ในพื้นที่ตำบล นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรกิจกรรมโรงเรียนครอบครัว (Family School) ในองค์กรระดับจังหวัด ผ่านทางศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว 8 แห่ง และศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นพลังหลักในการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบ และตระหนักต่อประเด็นปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว และช่วยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ สนับสนุน และจัดกิจกรรมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่างๆ พร้อมทั้งขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายที่ได้มีส่วนร่วมรณรงค์ร่วมกันมาโดยตลอด ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวให้หมดไป เพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืนของสังคมไทยต่อไปในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36989 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง
20 พฤศจิกายน 2563 นายอรรถพล อรรถวรเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงกรณีกระทรวงการคลังเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง (รอบเก็บตก) จำนวนกว่า 7 แสนสิทธิ เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากแสดงความคิดเห็นเชิงลบเนื่องจากไม่สามารถลงทะเบียนได้สำเร็จ จึงตั้งคำถามว่า “เหตุใดประชาชน จึงไม่ได้รับสิทธิทุกคน โดยไม่ต้องลงทะเบียน เนื่องจากมีประชาชนอีกหลายกลุ่มที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการลงทะเบียน”
สำนักงานเศรษฐกิจกาคลังขอชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งว่า โครงการคนละครึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย
(1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เพื่อช่วยเหลือเยียวยา เพิ่มกำลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว
(2) โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้จากการขายสินค้า โดยกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 10 ล้านคน
(3) มาตรการช้อปดีมีคืน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี โดยผู้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ประมาณ 3.7 ล้านคน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า รัฐบาลมีความต้องการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่างๆ ผ่านมาตรการอื่นๆ ของรัฐด้วย
ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง มีการตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10 ล้านคน โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญของโครงการ คือ ระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ต้องมีการยืนยันตัวตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทำให้การดำเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ เนื่องจากในการลงทะเบียนรอบเพิ่มเติม 2 ครั้งที่ผ่านมาเพื่อให้ได้ 10 ล้านสิทธิ มีประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอีกเป็นจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีจึงได้มีดำริให้กระทรวงการคลังพิจารณาขยายโครงการคนละครึ่ง ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นและสอดคล้องกับงบประมาณที่สามารถจัดสรรได้ รวมทั้งจะพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ร้านค้าและประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น
---------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36972 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) เข้าพบ | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) เข้าพบ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ คณะสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) เข้าพบ ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) นำคณะนักธุรกิจผู้แทนบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เข้าพบ โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับการเข้าพบในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา รวมถึงมาตรการการรับมือ และฟื้นฟูจากสถานการณ์โควิด-19 การนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ในภาคส่วนต่าง ๆ และความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญกับกลุ่มธุรกิจ SMEs ตลอดจนการเปิดตลาดการส่งออกโดยปราศจากกำแพงภาษี ทั้งนี้ การประชุมหารือดังกล่าว มีการร่วมประชุมผ่านทางระบบการสื่อสารทางไกล (Video Conference) กับกลุ่มนักธุรกิจ USABC จากสหรัฐอเมริกา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.กำชับทุกจังหวัดสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่ ขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
ปลัด สธ.กำชับทุกจังหวัดสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่ ขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับทุกจังหวัดจัดทำแผนสำรวจข้อมูลระดับพื้นที่ ช่วยขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยใส่หน้ากาก มีหมอประจำตัว 3 คน และ New Normal ด้วยวัคซีน DMHT ขอให้ดำเนินการแบบเชิงรุก ผ่านค่านิยมนำหนึ่ง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับทุกจังหวัดจัดทำแผนสำรวจข้อมูลระดับพื้นที่ ช่วยขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยใส่หน้ากาก มีหมอประจำตัว 3 คน และ New Normal ด้วยวัคซีน DMHT ขอให้ดำเนินการแบบเชิงรุก ผ่านค่านิยมนำหนึ่งก้าว
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จ.ปทุมธานี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ เรื่อง บทบาทของพื้นที่ในการขับเคลื่อนงาน PP&P Excellence ในการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสริมสร้างพลังขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและความร่วมมือของภาคีเครือข่ายระดับพื้นที่ ว่า การขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุขในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสู่ความเป็นเลิศ (Promotion Prevention & Protection Excellence : PP&P Excellence) จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องทราบปัญหาของแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกัน เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนใส่หน้ากาก ที่ผ่านมามีการสำรวจการใส่หน้ากากในระดับประเทศ ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัด ให้ลงไปสำรวจในระดับพื้นที่ด้วย เพราะในจังหวัดเดียวกันก็ยังมีปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น บางอำเภอ บางตำบลเป็นเป้าหมายของการเดินทาง มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา แต่บางอำเภอไม่ได้เป็นพื้นที่เป้าหมาย หรือบางจังหวัดอย่างภูเก็ตเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ทุกอำเภอมีคนเดินทางก็ต้องเต็มที่ทั้งหมด จึงขอให้แต่ละจังหวัดพิจารณาและจัดทำแผนการสำรวจให้เหมาะสม จะทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากกว่าการใช้ข้อมูลระดับใหญ่มาขับเคลื่อนการทำงาน และช่วยให้กำหนดมาตรการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเหมาะสมสำหรับพื้นที่นั้นๆ เป็นการทำงานแบบ Work Smart
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า สำหรับประเด็นส่งเสริมสุขภาพที่ขอให้แต่ละพื้นที่ช่วยกันขับเคลื่อน คือ เรื่องระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะนโยบายคนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การให้ความรู้สุขภาพ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และการรักษาทุกที่ในหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยขอให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดให้ความสำคัญ รวมถึงขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพดีวิถีใหม่ หรือ New Normal ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ผ่านวัคซีน DMHT ประกอบด้วย Distancing รักษาระยะห่าง Mask Wearing การใส่หน้ากาก Hand Washing การล้างมือ และ Rapid Testing การตรวจรักษาเร็ว ช่วยป้องกันโรคโควิด 19 โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้อทางเดินอาหารได้ และให้ทำงานเชิงรุกเข้าถึงพื้นที่ เข้าไปดูแลถึงชุมชน และทำงานด้วยค่านิยม "น น ก" หรือนำหนึ่งก้าว เนื่องจากบางงานในปัจจุบัน สาธารณสุขต้องเป็นผู้นำ ต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วออกแบบโครงการและระบบเพื่อเตรียมรองรับการทำงานโดยร่วมมือกับหลายๆ ฝ่ายในพื้นที่ เหมือนกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่อาศัยร่วมมือจากทุกคนทำให้ควบคุมโรคได้
****************************************** 23 พฤศจิกายน 2563
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับทุกจังหวัดจัดทำแผนสำรวจข้อมูลระดับพื้นที่ ช่วยขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยใส่หน้ากาก มีหมอประจำตัว 3 คน และ New Normal ด้วยวัคซีน DMHT ขอให้ดำเนินการแบบเชิงรุก ผ่านค่านิยมนำหนึ่งก้าว
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จ.ปทุมธานี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ เรื่อง บทบาทของพื้นที่ในการขับเคลื่อนงาน PP&P Excellence ในการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสริมสร้างพลังขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและความร่วมมือของภาคีเครือข่ายระดับพื้นที่ ว่า การขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุขในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสู่ความเป็นเลิศ (Promotion Prevention & Protection Excellence : PP&P Excellence) จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องทราบปัญหาของแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกัน เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนใส่หน้ากาก ที่ผ่านมามีการสำรวจการใส่หน้ากากในระดับประเทศ ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัด ให้ลงไปสำรวจในระดับพื้นที่ด้วย เพราะในจังหวัดเดียวกันก็ยังมีปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น บางอำเภอ บางตำบลเป็นเป้าหมายของการเดินทาง มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา แต่บางอำเภอไม่ได้เป็นพื้นที่เป้าหมาย หรือบางจังหวัดอย่างภูเก็ตเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ทุกอำเภอมีคนเดินทางก็ต้องเต็มที่ทั้งหมด จึงขอให้แต่ละจังหวัดพิจารณาและจัดทำแผนการสำรวจให้เหมาะสม จะทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากกว่าการใช้ข้อมูลระดับใหญ่มาขับเคลื่อนการทำงาน และช่วยให้กำหนดมาตรการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเหมาะสมสำหรับพื้นที่นั้นๆ เป็นการทำงานแบบ Work Smart
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า สำหรับประเด็นส่งเสริมสุขภาพที่ขอให้แต่ละพื้นที่ช่วยกันขับเคลื่อน คือ เรื่องระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะนโยบายคนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การให้ความรู้สุขภาพ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และการรักษาทุกที่ในหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยขอให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดให้ความสำคัญ รวมถึงขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพดีวิถีใหม่ หรือ New Normal ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ผ่านวัคซีน DMHT ประกอบด้วย Distancing รักษาระยะห่าง Mask Wearing การใส่หน้ากาก Hand Washing การล้างมือ และ Rapid Testing การตรวจรักษาเร็ว ช่วยป้องกันโรคโควิด 19 โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้อทางเดินอาหารได้ และให้ทำงานเชิงรุกเข้าถึงพื้นที่ เข้าไปดูแลถึงชุมชน และทำงานด้วยค่านิยม "น น ก" หรือนำหนึ่งก้าว เนื่องจากบางงานในปัจจุบัน สาธารณสุขต้องเป็นผู้นำ ต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แล้วออกแบบโครงการและระบบเพื่อเตรียมรองรับการทำงานโดยร่วมมือกับหลายๆ ฝ่ายในพื้นที่ เหมือนกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่อาศัยร่วมมือจากทุกคนทำให้ควบคุมโรคได้
****************************************** 23 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36975 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการเตรียมการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการเตรียมการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์
มท.1 ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการเตรียมการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์
วันนี้ (23 พ.ย.63) เวลา 17:00 น. ที่กองบังคับการกองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการเตรียมความพร้อมในโอกาสรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสันติธร ยิ้มละมัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายชัยโรจน์ มุ่งธัญญา ผู้ช่วยผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้แทนกองบังคับการกองบิน 4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่
จากนั้นในเวลา 18:00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ เดินทางไปยังวัดช่องแค (หลวงพ่อพรหม) ต.พรหมนิมิต อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อติดตามการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานและประชาชนจิตอาสา
และในเวลา 19:30 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาพื้นที่โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว และติดตามการเตรียมการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสมพระเกียรติ
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายผ้าป่า ณ วัดช่องแค (หลวงพ่อพรหม) และเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการดำเนินงาน "สระบ่อดินขาว" ในพื้นที่ตำบลพรหมนิมิต อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อเป็นแหล่งน้ำใช้สอยเพื่อการบริโภค อุปโภค และพื้นที่ทำการเกษตร ในวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563 เวลา 17:00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ 5 ราย และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด 2 ราย มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,766 ร
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ 5 ราย และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด 2 ราย มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,766 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 94 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ ราย 2.4 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 60 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,920 ราย
รายละเอียดผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ได้แก่
ชาวไทย 6 รายโดย 5 ราย เดินทางมาจากเดนมาร์ก 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, สาธารณรัฐคอซอวอ 1 ราย และการ์ต้า 1 รายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ทั้งหมด ตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ ส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลตามระบบ ส่วนอีก 1 ราย เดินทางมาจากประเทศเยอรมนี เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดกำหนด (Alternative State Quarantine) ตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยค่าใช้จ่ายคิดจากประกันโควิด 19 ที่ผู้เข้ารับการกักตัวทำไว้ก่อนเดินทางเข้าประเทศ
ชาวต่างชาติ 1 รายเดินทางมาจากประเทศเลบานอน เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดกำหนด (Alternative State Quarantine) มีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยค่าใช้จ่ายคิดจากประกันโควิด 19 ที่ผู้เข้ารับการกักตัวทำไว้ก่อนเดินทางเข้าประเทศ
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยได้เข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังในพื้นที่แนวชายแดนทั้งในเขต 10 จังหวัดที่ติดกับประเทศเมียนมา และพื้นที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีช่องทางธรรมชาติที่อาจเกิดการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายได้ หลังพบว่าทั้ง 2 ประเทศมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการสุ่มตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามในพื้นที่แนวชายแดนอยู่เป็นระยะ ทำให้สามารถตรวจพบและดักจับผู้ติดเชื้อที่เดินทางข้ามแดนเข้ามาได้อย่างทันท่วงที และส่งผู้ติดเชื้อกลับประเทศต้นทางหรือเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการนำเชื้อมาแพร่สู่คนในชุมชน นับเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยังคงสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยจากโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า เนื่องจากวันหยุดยาว 4 วันที่ผ่านมา ขอให้ทุกคนที่เดินทางกลับจากการท่องเที่ยวเฝ้าระวังสังเกตอาการป่วยของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ หากป่วยด้วยอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ อ่อนเพลีย และอาการเด่นของโรคโควิด 19 ที่องค์การอนามัยโลกระบุ คือ “จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส” ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที
********************************* 23 พฤศจิกายน 2563
************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36977 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ผุดโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” ปูพรมช่วยคนพื้นที่ หลังเศรษฐกิจเกาะสมุยรับผลกระทบหนักจากพิษโควิด | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
ออมสิน ผุดโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” ปูพรมช่วยคนพื้นที่ หลังเศรษฐกิจเกาะสมุยรับผลกระทบหนักจากพิษโควิด
ธนาคารออมสินจัดบิ๊กโปรเจกต์ “ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL” ยกทีมผู้บริหาร กรรมการสินเชื่อ และพนักงานออมสินกว่า 500 ชีวิต ลงพื้นที่ อ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี
ธนาคารออมสินจัดบิ๊กโปรเจกต์ “ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL” ยกทีมผู้บริหาร กรรมการสินเชื่อ และพนักงานออมสินกว่า 500 ชีวิต ลงพื้นที่ อ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี ให้ความช่วยเหลือแบบปูพรม และทันที เน้นที่การอนุมัติและมอบสินเชื่อแบบเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ หลังเศรษฐกิจเกาะสมุยได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะขาดนักท่องเที่ยว รวมถึงมอบเงินทุนและสิ่งยังชีพแก่ผู้เดือดร้อน การจัดฝึกอาชีพสำหรับผู้ขาดรายได้ พร้อมกับจัดพื้นที่บูธให้ออกร้านฟรี สำหรับร้านค้าและ Street Food ของคนสมุย คาดมีเม็ดเงินหมุนเวียนช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หวังเป็นกำลังใจให้คนสมุยสามารถผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากครั้งนี้ โดยกิจกรรมทั้งหมดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยจะคลี่คลาย แต่นานาชาติยังคงเผชิญภาวะวิกฤติที่โรคร้ายยังคงระบาดรุนแรงอยู่ในขณะนี้ การที่ประเทศไทยยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงเป็นหนทางเดียวที่ป้องกันการแพร่ระบาดครั้งใหม่ในประเทศ เมื่อขาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักอย่าง อ. เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันตกอยู่ในสภาพเงียบเหงา ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวต่างปิดกิจการ ผู้ประกอบการเดือนร้อน แรงงานตกงานจึงโยกย้ายกลับถิ่นฐาน ที่เป็นคนในพื้นที่ก็ขาดรายได้จุนเจือครอบครัว เพื่อเป็นการบรรเทาความทุกข์ยากของคนสมุย จึงเกิดแนวคิดจัดทำโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” หรือ GSB SAMUI MODEL ขึ้น โดยผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน ทั้งจากส่วนกลาง และธนาคารออมสินภาค 16 จำนวนกว่า 500 ชีวิต ใช้เวลากว่า 2 เดือนลงพื้นที่แบบปูพรม เพื่อสำรวจสภาพปัญหาและความช่วยเหลือเฉพาะหน้าที่ชาวบ้านต้องการ แล้วกำหนดเป็นมาตรการเร่งด่วนให้ชาวบ้านได้รับความช่วยเหลือในทันที โดยในวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน จะอยู่ในพื้นที่เกาะสมุย เพื่อพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ประกอบการและประชาชน ให้สามารถเบิกจ่ายเงินกู้ได้เลย รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้แก่ลูกค้าสินเชื่อเดิมของธนาคาร และมอบความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาปัญหาเฉพาะหน้า อาทิ การมอบทุนการศึกษาแก่บุตรหลานที่ผู้ปกครองได้รับความเดือดร้อน การมอบทุนต่อยอดสู่การสร้างรายได้แบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนและเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมเริ่มต้นทำฟาร์มไก่ไข่ ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์พืช การฝึกอาชีพ และการมอบสิ่งยังชีพ เช่น ไข่ไก่และปลาแห้งที่ธนาคารออมสินอุดหนุนจากชุมชนในพื้นที่เกาะสมุย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเปิดพื้นที่จัดลาน Street Food และสินค้าพื้นถิ่น ให้ร้านค้าได้มาออกร้านจำหน่ายสินค้าฟรีโดยไม่คิดค่าเช่าบูธ โดยผู้ร่วมงานยังมีสิทธิ์ได้ลุ้นรางวัลมากมาย อาทิ ส่วนลดร้านค้า บัตรชมภาพยนตร์ บัตรส่วนลดห้างซุปเปอร์เซ็นเตอร์ และที่เป็นไฮไลท์ คือ ผู้ยื่นขอสินเชื่อ หรืออุดหนุนร้านค้าภายในงานแล้วจ่ายเงินผ่านแอป MyMo จะได้รับแจกกระปุกออมสินไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ผ่านการปลุกเสกแล้วเป็นของที่ระลึกอีกด้วย ยังไม่รวมกิจกรรมร่วมสนุกอื่น ๆ อีกมากมายที่ธนาคารออมสินเตรียมมาจัดเต็ม พร้อมมอบของขวัญของแจกแก่ผู้ร่วมงานให้ได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันทุกคน
งานออมสินเพื่อสมุย : GSB SAMUI MODEL นับเป็นอีก 1 โครงการดี ๆ ที่ธนาคารออมสินจัดขึ้นเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องตามจุดยืนการเป็นธนาคารเพื่อสังคม (GSB Social Bank) โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ. เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36967 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อบ้านแม่บ้าน อายุ 50 – 60 ปี สมัครออมเงินกับ กอช. 100 บาทต่อเดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 100 บาทต่อเดือน สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี*” | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
“กอช. ชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อบ้านแม่บ้าน อายุ 50 – 60 ปี สมัครออมเงินกับ กอช. 100 บาทต่อเดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 100 บาทต่อเดือน สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี*”
กอช. เชิญชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ที่มีสิทธิสมัคร หรือ พ่อบ้านแม่บ้าน สมัครออมเงินกับ กอช. 100 บาทต่อเดือน ได้รับเงินเพิ่มจากรัฐอีก 100 บาทต่อเดือน หรือตามช่วงอายุของสมาชิก สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี ไว้ใช้ในยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ที่มีสิทธิสมัคร หรือ พ่อบ้านแม่บ้าน สมัครออมเงินกับ กอช. 100 บาทต่อเดือน ได้รับเงินเพิ่มจากรัฐอีก 100 บาทต่อเดือน หรือตามช่วงอายุของสมาชิก สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี ไว้ใช้ในยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี เพียงตรวจสอบสิทธิและคุณสมบัติก่อนการสมัครสมาชิกได้ที่ แอปพลิเคชัน “กอช.” สอบถามโทร. 02-049-9000
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. เชิญชวนผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือ ผู้ที่มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. หรือ พ่อบ้านแม่บ้าน สร้างวินัยการออมไว้ใช้ในยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี ออมเงินกับ กอช. 100 บาทต่อเดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 100 บาทต่อเดือน สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี
ทั้งนี้ เมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับบำนาญเป็นรายเดือนจาก กอช. สำหรับผู้ที่สนใจตรวจสอบสิทธิและคุณสมบัติก่อนการสมัครสมาชิกได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36969 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง ออกระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
กรมบัญชีกลาง ออกระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงินการจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงินการจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นั้น ต่อมากรมบัญชีกลางได้ออกระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ซึ่งสาระสำคัญของระเบียบฯ ดังกล่าว ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้หน่วยงานผู้เบิกเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง สำหรับเงินงบประมาณหนึ่งบัญชี และเงินนอกงบประมาณหนึ่งบัญชี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในระเบียบดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 และได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
“สำหรับครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2562 ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้หน่วยงานผู้เบิกสามารถใช้บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยฯ ได้ต่อไป โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน และการให้บริการแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลและติดตามข่าวสารของกรมบัญชีกลาง ได้ทางเว็บไซต์ http://www.cgd.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36981 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. อนุมัติแนวทางการบูรณาการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ชูศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมทรัพยากรพืช และเปิดโอกาสให้เยาวชนศึกษาหาความรู้ทรัพยากรธรรมชาติสาขาต่าง ๆ | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
ศธ. อนุมัติแนวทางการบูรณาการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ชูศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมทรัพยากรพืช และเปิดโอกาสให้เยาวชนศึกษาหาความรู้ทรัพยากรธรรมชาติสาขาต่าง ๆ
นายสุรินทร์ แก้วมณี ศึกษาธิการภาค 5 รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับมอบหมายจากนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือการจัดทำแผนงานบูรณาการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศธ.อนุมัติแนวทางการบูรณาการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ชูศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมทรัพยากรพืช จัดทำฐานข้อมูลทรัพยากร และเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนทั่วไป ศึกษาหาความรู้ทรัพยากรธรรมชาติสาขาต่าง ๆ ตามความถนัดและสนใจ
(23 พฤศจิกายน 2563) นายสุรินทร์ แก้วมณี ศึกษาธิการภาค 5 รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับมอบหมายจากนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือการจัดทำแผนงานบูรณาการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กระทรวงศึกษาธิการ (อพ.สธ.-ศธ.) ณ ห้องประชุมจันทรเกษม นายสุรินทร์ แก้วมณี กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการบูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อสนองพระราชดำริตามโครงการ อพ.สธ. มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพืชพรรณไม้ และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของประเทศ รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ประสบความสำเร็จตามแนวพระราชดำริอย่างสมพระเกียรติ นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ศธ.จึงออกประกาศแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการ ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานราชการ ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการ ดังนี้
1. หัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ศธ. ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนการบูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามโครงการ โดยสร้างและพัฒนาระบบการดำเนินงานที่เข้มแข็งต่อเนื่องอย่างยั่งยืน
2. หัวหน้าหน่วยงานราชการ ศธ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวน สนับสนุนงบประมาณ ให้ผู้บริหารสถานศึกษาสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก อพ.สธ. และกำกับดูแลสถานศึกษาที่เป็นสมาชิกดำเนินการตามขั้นตอนของ อพ.สธ.
3. ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด ศธ. ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา มีจิตสำนึกและตระหนักถึงความสำคัญของงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โดยมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้วยความสมัครใจ
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติแนวทางการบูรณาการโครงการ โดยเน้นการดำเนินงาน 2 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมที่ 5 : กิจกรรมศูนย์ข้อมูลทรัพยากร มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมทรัพยากรพืชขึ้น โดย อพ.สธ.เป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินงาน มีการวางแผนพัฒนาเครือข่ายระบบข้อมูลสารสนเทศให้สามารถเชื่อมโยงร่วมกันได้ ผ่าน www.rspg.or.th และสนับสนุนให้หน่วยงานที่ร่วมสนองพระราชดำริดำเนินงานจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะฐานข้อมูลพืช และฐานข้อมูลพรรณไม้แห้ง
กิจกรรมที่ 8 : กิจกรรมพิเศษสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากร เปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมสนับสนุนงานของ อพ.สธ. ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ รูปแบบทุนสนับสนุนกิจกรรม หรือการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยอยู่ในกรอบของแผนแม่บท อพ.สธ. เป็นต้น นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนและบุคคลทั่วไปได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติในสาขาต่าง ๆ ตามความถนัดและสนใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาให้คำแนะนำแนวทางการศึกษา
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบแผนปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ของ 4 องค์กรหลัก ตามโครงการ อพ.สธ.-ศธ. ดังนี้
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ดำเนินงานโครงการการส่งเสริมจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากร วัฒนธรรมและภูมิปัญญา : กรณีศึกษาองค์ความรู้ด้านสมุนไพรพื้นบ้านที่เป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อสร้างสุขภาพองค์รวม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้จากครูภูมิปัญญาไทย ด้านการแพทย์แผนไทย เกี่ยวกับสมุนไพรพื้นบ้านอันเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักหรือใกล้สูญพันธุ์ของแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สมุนไพรพื้นบ้าน
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้สถานศึกษาในสังกัดร่วมสนองพระราชดำริในโครงการ อพ.สธ. อีกทั้งส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกให้นักเรียน นักศึกษา บุคลากรและบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของทรัพยากรไทย ภูมิปัญญาไทยโดยเฉพาะให้มีการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและการนำไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนในโครงการ ในส่วนของ ศธ.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวม ศธ. ที่ร่วมสนองพระราชดำริในโครงการ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินงานโครงการอบรมปฏิบัติการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรระดับเขตพื้นที่การศึกษา สามารถนำความรู้ที่ได้จากโครงการฯไปขยายผลเพิ่มขึ้นได้
อานนท์ วิชานนท์ / สรุป อธิชนม์ สลางสิงห์ / ภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36979 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ และ รมช.ศธ.คุณหญิงกัลยา เปิดงาน “จากศาสตร์พระราชา ผสานศาสตร์สากล สู่การพัฒนาชีวิตยั่งยืน” ยกระดับสู่การบริหารจัดการน้ำสากล ด้วยเยาวชนคนไทย | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รองนายกฯ และ รมช.ศธ.คุณหญิงกัลยา เปิดงาน “จากศาสตร์พระราชา ผสานศาสตร์สากล สู่การพัฒนาชีวิตยั่งยืน” ยกระดับสู่การบริหารจัดการน้ำสากล ด้วยเยาวชนคนไทย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงาน “จากศาสตร์พระราชา ผสานศาสตร์สากล สู่การพัฒนาชีวิตยั่งยืน” และลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ
เมื่อวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงาน “จากศาสตร์พระราชา ผสานศาสตร์สากล สู่การพัฒนาชีวิตยั่งยืน” และลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ กับสถาบันองค์กรน้ำใต้ดินอเมริกา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ณ บริษัท กรีนสปอต จำกัด เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยมี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายโชติ โสภณพนิช ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย, นายศรีชัย พรประชาธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, นายรอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, นางสนิท ทิพย์นางรอง ปราชญ์ชุมชน ผู้นำการจัดการน้ำชุมชนบ้านลิ่มทอง, ผู้บริหารระดับสูง ศธ. และผู้บริหารวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมง เข้าร่วม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำ เป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เพื่อให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการนำศาสตร์ของพระราชา ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการดำเนินการที่จริงจังและต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า “โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ” ที่ได้รับการผลักดันและมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริงของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และการสนับสนุนจากมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย ที่มีคุณโชติ โสภณพนิช เป็นประธาน ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากองค์กรและหน่วยงาน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำในระดับสากล จะสร้างความยั่งยืนและความมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยชุมชน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ มีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ให้มีน้ำใช้ ช่วยแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน จึงได้จัดการทำหลักสูตร “ชลกร” และศูนย์เรียนรู้ภายในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี เพื่อใช้เป็นห้องปฏิบัติการสำหรับชลกร เพื่อสร้างครูอาชีวะเกษตรและแกนนำนักศึกษาให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำสำหรับชุมชนต่อไปในอนาคต นำองค์ความรู้มาแนะนำให้แก่คนในชุมชน และช่วยให้ความรู้แก่ชาวบ้านเรื่องการจัดการน้ำ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและขยายผลต่อไปได้
ปัจจุบัน โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ได้รับความสนใจและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานและผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนจิตอาสาที่มาร่วมกันขับเคลื่อนโครงการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมใจกันถวายเป็นพระราชกุศล นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศธ. ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันองค์กรน้ำใต้ดินอเมริกา (American Groundwater Solution: AGS) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และให้คำแนะนำในเรื่องการบริหารจัดการน้ำในระดับสากล อีกทั้ง ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในวันนี้ เพื่อให้การสนับสนุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
“โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนฯ จะยังเดินหน้าลงพื้นที่ศึกษา สำรวจ และให้ข้อมูลตามแผนการขยายผลโครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 3 ภูมิภาค คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม และขอนแก่น, ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว และภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น และสร้างหลักสูตรชลกร ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ เพื่อถ่ายทอดหลักสูตรบริหารจัดการน้ำ มุ่งขยายผลสู่ชุมชน เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง แก้จนอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งจะขยายผลเพิ่มเติม โดยมีแผนที่จะพัฒนายกระดับองค์ความรู้เรื่องธนาคารน้ำใต้ดินในประเทศไทยให้เข้าสู่หลักสากล ให้สอดคล้องกับหลักการด้านวิศวกรรม และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และมีการสร้างหลักสูตรการบริหารจัดการน้ำสำหรับชุมชน โดยมีการประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายของ AGS เช่น MWRD (Metropolitan Water Reclamation District of Greater Chicago), WWM (Water and Waste Management India) เพื่อนำเทคนิคการจัดการน้ำไปใช้ได้ในชีวิตจริง และง่ายต่อการเข้าใจ สำหรับชาวบ้านและผู้สนใจ จึงนับเป็นความสำเร็จไปอีกขั้น ในการเชื่อมโยงนำองค์ความรู้ที่เป็นสากล มาปรับใช้กับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับคนในพื้นที่ชุมชน” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
สุดท้ายนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ กับสถาบันองค์กรน้ำใต้ดินอเมริกา (AGS) รวมทั้งลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในการยกระดับสู่การบริหารจัดการน้ำสากล อีกด้วย
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมหัวหน้าส่วนราชการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รับพระราชทานโฉนดที่ดิน พร้อมนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีพร้อมหัวหน้าส่วนราชการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รับพระราชทานโฉนดที่ดิน พร้อมนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายกรัฐมนตรีพร้อมหัวหน้าส่วนราชการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รับพระราชทานโฉนดที่ดิน พร้อมนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ตนนำหัวหน้าส่วนราชการ 9 หน่วยงาน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานโฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธยเพื่อนำใช้ เป็นพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดต่อปวงชนชาวไทย ซึ่งทุกหน่วยราชการที่ได้รับพระราชทานจะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างอย่างคุ้มค่า
นายกรัฐมนตรีชี้แจ้งว่า ยังไม่มีการพิจารณาวาระรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องพิจารณาทั้งโครงการฯ ตั้งแต่ช่วงที่ 1 ช่วงที่ 2 และช่วงที่ 3 งบประมาณกรุงเทพมหานคร เหตุผลที่มาของการขาดทุน รวมถึงสาเหตุที่ต้องดำเนินการะยะที่ 2 และระยะที่ 3 โดยรัฐบาลจะยึดหลักประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญคือประชาชนต้องได้ประโยชน์จากค่าโดยสารที่ถูกลง ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน หากมีข้อเสนอใดที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็พร้อมที่จะนำมาพิจารณา
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงวันหยุดยาวที่ผ่านมาว่า ดีใจที่เห็นประชาชนจำนวนมากออกเดินทางท่องเที่ยว ขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวังอุบัติเหตุและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งเดือนธันวาคมจะมีวันหยุดยาวต่อเนื่องอีก 4 วันช่วง และวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ อยากให้มีการวางแผนเดินทางล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะหรือรถยนต์ส่วนตัว งดดื่มสุรา รักษากฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเช็คสภาพรถยนต์และระบบต่าง ๆ เพื่อลดการบาดเจ็บและสูญเสีย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36984 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. สร้างความมั่นใจนักลงทุน “โควิดเอาอยู่” พร้อมหนุนเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
สธ. สร้างความมั่นใจนักลงทุน “โควิดเอาอยู่” พร้อมหนุนเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสร้างความมั่นใจนักลงทุน เผยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ มีความพร้อมด้านการแพทย์ เป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกในการได้มาซึ่งวัคซีน ยันต้องสร้างจุดสมดุลระหว่างการติดเชื้อ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสร้างความมั่นใจนักลงทุน เผยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ มีความพร้อมด้านการแพทย์ เป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกในการได้มาซึ่งวัคซีน ยันต้องสร้างจุดสมดุลระหว่างการติดเชื้อและระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้บนพื้นฐานความปลอดภัย
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นวิทยากรในงานสัมมนา “ท่องเที่ยวและสาธารณสุขไทยในอนาคต” โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารบริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัดมหาชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมฟังการบรรยาย โดยนายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี จากนี้ไป คือกระบวนการได้มาซึ่งวัคซีน ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ 45,000 ล้านบาท ในการต่อสู้โควิด 19 ในภาพรวมระบบสาธารณสุขทั้งประเทศ โดยใช้ 6,049 ล้านบาท สำหรับการจองและจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัท AstraZeneca ซึ่งมีหลักการการไม่แสวงหาผลกำไร โดยจะขายในราคาต้นทุน หากมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจะฉีดให้กับคนไทยคนละ 2 โดส ครอบคลุมการดูแลคนไทยร้อยละ 20 ของประชากร หรือ 13 ล้านคน โดยมีกรมควบคุมโรคเป็น ผู้จัดซื้อรวมทั้งจัดเก็บ ขนส่ง และนำไปฉีดให้กับประชาชน คาดว่าจะสามารถฉีดให้กับประชาชนได้ในปีหน้า สำหรับประเทศไทยก่อนมีวัคซีนโควิดใช้จริงคนไทยสามารสร้างวัคซีนสำหรับตนเองได้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อได้ในระดับที่ดี ทำให้เราสามารถรอวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูงสุดได้
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการเปิดประเทศ ต้องรับฟังสียงจากประชาชนเป็นหลัก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดประเทศ เนื่องจากมีความพร้อมในทุกด้าน มีประสบการณ์ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ อุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์ มีมาตรการคุมเข้มในในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการ และเข้ารับการกักตัวจะสามารถตรวจจับผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำเข้าสู่ระบบการรักษา สิ่งสำคัญที่สุดคือระบบบริหารจัดการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ในการควบคุมโรค ไม่ใช่การทำให้ประเทศปลอดโรค ดังนั้นประเทศไทยจึงมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อได้ การที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการหาจุดสมดุลให้ทุกคนอยู่ได้บนพื้นฐานความปลอดภัยของคนในประเทศ นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 ไทยเป็นประเทศที่ให้บริการด้านสุขภาพได้ดี คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้นในอนาคต
“โควิด 19 ทำให้เราเลิกยืมจมูกคนอื่นหายใจ สามารถผลิตหน้ากากอนามัย ชุด PPE ได้เอง ขณะนี้เหลือรอวัคซีนอย่างเดียว หากมีวัคซีนเราจะสามารถดูแลรักษาตัวเองได้ครบทั้งระบบ” นายอนุทินกล่าว
************************************ 23 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36993 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางสรุปการประเมินผลโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ปี 63 ช่วยชาติประหยัดงบประมาณได้ถึง 8.67 หมื่น ลบ. | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
กรมบัญชีกลางสรุปการประเมินผลโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ปี 63 ช่วยชาติประหยัดงบประมาณได้ถึง 8.67 หมื่น ลบ.
กรมบัญชีกลางสรุปการประเมินผลโครงการข้อตกลงคุณธรรมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การประเมินผลโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว ภายใต้การดำเนินงานโครงการข้อตกลงคุณธรรม พร้อมเผยผลการดำเนินงาน สามารถช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 86,774.4 ล้านบาท
กรมบัญชีกลางจัดสัมมนาสรุปการประเมินผลโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การประเมินผลโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว ภายใต้การดำเนินงานโครงการข้อตกลงคุณธรรม พร้อมเผย ผลการดำเนินงาน สามารถช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 86,774.4 ล้านบาท
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “สรุปการประเมินผลโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563” ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ในวันนี้ (23 พ.ย. 63) ว่า กรมบัญชีกลางได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาสรุปการประเมินผลโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เข้าร่วมจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2563 โดยแบ่งเป็นการประเมินผลในด้านความสำเร็จภาพรวมโครงการและด้านการประเมินผลระบบข้อตกลงคุณธรรม ซึ่งครอบคลุม 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ หลักการมีส่วนร่วม และหลักความคุ้มค่า ซึ่งผลการประเมินมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 86.94 ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยเป็นคะแนนด้านการประเมินความสำเร็จภาพรวมโครงการร้อยละ 87.90 และคะแนนด้านการประเมินผลระบบข้อตกลงคุณธรรมร้อยละ 86.29
“ผลการดำเนินโครงการข้อตกลงคุณธรรมตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 118 โครงการ จาก 56 หน่วยงาน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 3.3 แสนล้านบาท สามารถประหยัดงบประมาณได้ 1.1 แสนล้านบาท สำหรับการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 125 โครงการ จาก 60 หน่วยงาน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 3.4 แสนล้านบาท สามารถประหยัดงบประมาณได้ 86,774.4 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการผู้สังเกตการณ์ที่ได้เข้าสังเกตการณ์และให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานภาครัฐ ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนข้อตกลงคุณธรรมให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางจะพัฒนาการดำเนินงานข้อตกลงคุณธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชนให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอย่างสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ลดช่องทางการทุจริตคอร์รัปชัน และทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมชมกิจกรรมงานมหกรรมผ้าไหม ๒๕๖๓ “ไหมไทยสู่เส้นทางโลก” ครั้งที่ ๑๐ | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมชมกิจกรรมงานมหกรรมผ้าไหม ๒๕๖๓ “ไหมไทยสู่เส้นทางโลก” ครั้งที่ ๑๐
นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีร่วมชมกิจกรรมงานมหกรรมผ้าไหม ๒๕๖๓ “ไหมไทยสู่เส้นทางโลก” ครั้งที่ ๑๐
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานมหกรรมผ้าไหม ๒๕๖๓ “ไหมไทยสู่เส้นทางโลก” ครั้งที่ ๑๐ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมชมกิจกรรม ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ งานมหกรรมผ้าไหม ๒๕๖๓ “ไหมไทยสู่เส้นทางโลก” ครั้งที่ ๑๐ มูลนิธิช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ร่วมกับ คณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย คณะคู่สมรสเอกอัครราชทูตและสถานทูตต่างๆประจำประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมหม่อนไหม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทรงส่งเสริมวัฒนธรรมการแต่งกายโดยใช้ผ้าไหมไทย รวมทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์ผ้าไหมไทยผ่านเส้นทางการทูตไปยังทั่วโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36976 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการกระทำที่อาจเป็นอันตรายและละเมิดสิทธิ์ผู้ชุมนุม | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการกระทำที่อาจเป็นอันตรายและละเมิดสิทธิ์ผู้ชุมนุม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการกระทำที่อาจเป็นอันตรายและละเมิดสิทธิ์ผู้ชุมนุม
21 พฤศจิกายน 2563 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร.ชี้แจงประเด็นสารเคมีผสมในน้ำที่ฉีดใส่ผู้ชุมนุมว่า การจัดหาอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นไปตามหลักสากล และจากบริษัทที่หลายประเทศใช้ในการควบคุมฝูงชน ซึ่งเคยผ่านการทดสอบทั้งในระดับสากล และในประเทศ ก่อนการนำมาใช้ด้วยแล้ว ยืนยันว่าไม่เป็นสารที่เกิดอันตรายแก่ผู้ได้รับ เพียงแต่อาจเกิดการระคายเคืองในเบื้องต้น เมื่อได้รับการบำบัดเบื้องต้นด้วยตนเอง หรือในสถานพยาบาล อาการด้งกล่าวก็จะหายไปเอง ไม่ทำอันตรายแก่ร่างกายถึงกับต้องพักรักษาตัวในสถานพยาบาล
---------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36973 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสโมสรซอนต้า และภาคีเครือข่าย ประกาศเจตนารมณ์ร่วมมือยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
พม. จับมือสโมสรซอนต้า และภาคีเครือข่าย ประกาศเจตนารมณ์ร่วมมือยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก
พม. จับมือสโมสรซอนต้า และภาคีเครือข่าย ประกาศเจตนารมณ์ร่วมมือยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 15.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีลงนามประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน เพื่อร่วมมือยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ระหว่าง 1) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) 2) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ 3) กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 4) สโมสรซอนต้า ภูมิภาค 17 เขต 6 (ประเทศไทย) รวม 18 สโมสร 5) สโมสรซอนต้า Z Club และ Golden Z Club รวม 3 สโมสร และ 6) ผู้แทนจากสถาบันการศึกษาและโรงเรียนที่ได้รับการแต่งตั้งทูตเยาวชนซอนต้าสากลยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก จำนวน 6 โรงเรียน พร้อมทั้งกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของกระทรวง พม. และความสำคัญของการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี และเด็ก รวมถึงให้โอวาทแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานด้านการยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก นอกจากนี้ เป็นประธานมอบรางวัล ZONTA Says NO Award 2020 และรางวัลครอบครัวและบุคคลตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นด้านการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กอย่างต่อเนื่อง ณ ห้องพินนาเคิล โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36992 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพมหานครชี้แจ้ง การห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ กทม.เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
กรุงเทพมหานครชี้แจ้ง การห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ กทม.เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
กรุงเทพมหานครชี้แจ้ง การห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ กทม.เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นายวิรัตน์ มนัสสนิทวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม.ชี้แจงว่า แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นมาตรการ หรือภารกิจในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่เสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้ความเห็นชอบและมอบหมายให้ทุกหน่วยงานพิจารณาดำเนินการตามภารกิจที่ได้เสนอมา และกรุงเทพมหานครได้เวียนแจ้งแผนดังกล่าวให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประเด็นห้ามไม่ให้รถบรรทุกวิ่งเข้าไปในพื้นที่กรุงเทพฯที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาออกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรกำหนดเวลาห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในเขตพื้นที่ภายในของถนนวงรอบพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ โดยเพิ่มรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปในข้อบังคับและออกข้อบังคับเพิ่มเติม รวมทั้งพิจารณาขยายเขตพื้นที่จำกัดรถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไปเข้ากรุงเทพฯ จากถนนวงแหวนรัชดาภิเษกเป็นถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก
ส่วนกรณีข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่นละออง PM 2.5 กรมควบคุมมลพิษร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ได้ศึกษาสัดส่วนการระบายฝุ่นละออง PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อปี พ.ศ. 2561 พบว่าสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากภาคการขนส่งทางถนนมีการระบายฝุ่นละออง PM 2.5 มากที่สุดร้อยละ 72.5 (รถบรรทุก ร้อยละ 28 รถปิกอัพ ร้อยละ 21 รถยนต์นั่ง ร้อยละ 10 รถบัส ร้อยละ 7 รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 5 และรถตู้ ร้อยละ 1.5) รองลงมาได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม ร้อยละ 17 การเผาในที่โล่ง ร้อยละ 5 และอื่นๆ ร้อยละ 5.5
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง โดยบูรณาการความร่วมมือกับกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และกรมควบคุมมลพิษ ในการควบคุมฝุ่นละอองที่แหล่งกำเนิด ด้วยการเข้มงวดการตรวจจับและห้ามใช้รถยนต์ควันดำทุกประเภท การประสานงานกับสถานีตำรวจในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้คล่องตัว รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมลดปัญหามลพิษทางอากาศ กรณีพบเห็นรถยนต์ปล่อยควันดำเกินมาตรฐาน หรือการเผาในที่โล่งให้แจ้งสายด่วน กทม. 1555 อีกทั้งได้กำชับหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร ร่วมลดมลพิษทางอากาศ ด้วยการใช้รถส่งเอกสารร่วมกัน (Car Pool) การรณรงค์ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ไม่ให้เกิดมลพิษ เป็นต้น รวมถึงดำเนินการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการเฝ้าระวังสุขภาพและวิธีป้องกันตนเองจากฝุ่นละออง PM 2.5 ผ่านทางเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก แผ่นพับ และการลงพื้นที่ของสำนักงานเขต โดยประชาชนสามารถตรวจสอบคุณภาพอากาศผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ www.bangkokairquality.com, www.air4bangkok.com, www.prbangkok.com Facebook : กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม Facebook : กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์ และแอปพลิเคชัน AirBKK เพื่อนำข้อมูลคุณภาพอากาศมาใช้ประกอบการตัดสินใจทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพต่อไป
--------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36974 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติแก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติแก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติแก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนถึงการชุมนุมทางการเมือง โดยกำชับไม่ให้มีการเผชิญหน้ากันของกลุ่มผู้ชุมนุม ย้ำไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะทุกฝ่ายต้องเคารพกฎหมาย หากผู้ชุมนุมมีการฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษากฎหมาย เช่นการใช้อาวุธ ขว้างปาสิ่งของก็ต้องถูกดำเนินคดีเนื่องจากมีการบันทึกภาพไว้แล้ว นายกรัฐมนตรีย้ำการชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่ต้องไม่มีการปะทะหรือทำร้ายร่างกายกัน ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามทำให้เกิดความสงบมากที่สุด โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วยเช่นกัน
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงกรณีคำสั่งสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า เป็นเพียงการทำงานปกติที่จะต้องประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคง เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนโดยรวม เป็นการหามาตรการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกัน ยืนยันไม่มีการสั่งการให้ระดมมวลชน ทั้งนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านโลกโซเชียลมีเดียหลายอย่างถูกบิดเบือน จึงอยากให้คิดพิจารณาก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น พร้อมย้ำ ไม่อยากเห็นการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะไทยเคยมีบทเรียนแล้ว จึงอยากให้แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมให้ควบคุมดูแลผู้เข้ามาร่วมชุมนุม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกำชับไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ม็อบชนม็อบ เพราะปัจจุบันรัฐบาลกำลังพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอยู่ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องประกอบอาชีพ ขณะที่บางกลุ่มต้องการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลทุกคนทุกกลุ่มภายใต้ความสงบเรียบร้อย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังปฏิเสธ ไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกหรือปฏิวัติ ยืนยันยังทำงานโดยอาศัยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง" รุ่นที่ 21 | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง" รุ่นที่ 21
นายกอบชัย สังสิทธิ์สวัสดิ์ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง" รุ่นที่ 21 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) เวลา 10.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิ์สวัสดิ์ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร "นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง" รุ่นที่ 21 ของกระทรวงอุตสาหกรรม มีผู้เข้าร่วมรับการอบรมทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาคและหน่วยงานภายนอก จำนวน 40 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดการฝึกอบรมฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสมาคมบัณฑิตสตรีฯ ลงนามความร่วมมือด้านกฎหมาย แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
พม. จับมือสมาคมบัณฑิตสตรีฯ ลงนามความร่วมมือด้านกฎหมาย แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี
พม. จับมือสมาคมบัณฑิตสตรีฯ ลงนามความร่วมมือด้านกฎหมาย แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 13.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนางสุทธินี เมธีประภา นายกสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นผู้ลงนาม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนถึงสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี ณ ห้องปรินซ์บอลรูม 2-3 โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร
นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรีมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการด้านกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนถึงสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ กระทรวง พม. และสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1) ความร่วมมือด้านกฎหมายในการป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี สนับสนุนและร่วมมือกันฝึกอบรมเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านกฎหมายให้แก่บุคลากรทางการศึกษา ประชาชนทั่วไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการป้องกันปัญหาการให้คำปรึกษาแนวทางในการป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี 2) ความร่วมมือด้านกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวและสตรี ให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงตามกฎหมาย เช่น ให้คำแนะนำปรึกษาให้การช่วยเหลือกรณีการฟ้องคดีต่อศาล ตลอดจนให้การช่วยเหลือและสนับสนุนโอกาสการเข้าถึงสิทธิด้านต่างๆ ของผู้ถูกกระทำความรุนแรง และ 3) ความร่วมมือด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ จัดให้มีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรีแก่ประชาชนทุกภาคส่วนในวงกว้าง ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกระทำที่ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด เป็นหน่วยประสานงาน ให้คำปรึกษา และแนะนำแนวทางในการปฏิบัติด้านกฎหมายในปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสตรี รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกระทำความรุนแรงและสตรีในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36990 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก ปล่อยรถรัฐบาลสัญจรคันแรก พร้อมรับเรื่องร้องทุกข์และแก้ปัญหาประชาชนโดยเร็วที่สุด | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก ปล่อยรถรัฐบาลสัญจรคันแรก พร้อมรับเรื่องร้องทุกข์และแก้ปัญหาประชาชนโดยเร็วที่สุด
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก ปล่อยรถรัฐบาลสัญจรคันแรก พร้อมรับเรื่องร้องทุกข์และแก้ปัญหาประชาชนโดยเร็วที่สุด
วันที่ 20 พ.ย. 63เวลา 16.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ วัดสะเดา อำเภอวังทอง เพื่อพบปะเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งพูดคุยกับกลุ่มผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และเด็กในครอบครัวฐานะยากจน โดยตนได้ร่วมกับ นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ทีม พม. One Home จังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้แก่ เงินสงเคราะห์สำหรับช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ เตียงลม อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ดูแลผู้สูงอายุและคนพิการ ทุนการศึกษา ครอบครัวอุปถัมภ์ และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนกลุ่มดูแลผู้สูงอายุและคนพิการในชุมชน ด้วยวิทยากรและวัสดุอุปกรณ์สำหรับการฝึกอาชีพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
นายจุติกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ตนได้ปล่อยคาราวาน "รถรัฐบาลสัญจร" เพื่อให้บริการต่างๆ และรับเรื่องร้องทุกข์ประชาชนในพื้นที่ทั่วจังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เช่น คนตกงาน คนว่างงาน ไม่มีงานทำ ปัญหาความยากจน หนี้สิน แม่เลี้ยงเดี่ยว ความรุนแรงในครอบครัว และสิทธิสวัสดิการต่างๆ เช่น เงินเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า รถรัฐบาลสัญจร นับเป็นคันแรกที่นำร่องลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" โดยให้รัฐมนตรีและข้าราชการทุกหน่วยงานลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนโดยตรง และหากปัญหาใดแก้ไขไม่ได้ ขอให้ส่งเรื่องมายังคณะรัฐมนตรี และเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 กระทรวง พม. จึงได้มาลงพื้นที่เพื่อสำรวจปัญหาต่างๆ ของประชาชน โดยรถรัฐบาลสัญจรเคลื่อนที่ออกไปตามหมู่บ้านและอำเภอต่างๆ ของจังหวัดพิษณุโลก แล้วนำมาแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น นอกจากนี้ หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถโทรแจ้ง สายด่วน พม. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกปัญหา 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ. ในราชการบริหารส่วนกลาง | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ. ในราชการบริหารส่วนกลาง
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ. ในราชการบริหารส่วนกลาง ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคาร สปอ.
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานทบทวนบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของ สปอ. ในราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาสหกรรม นายเสน่ห์ นิยมไทย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคาร สปอ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมรณรงค์วันเอดส์โลกประจำปี 2563 และร่วมประชาสัมพันธ์งานมหกรรมผ้าไหม ไทยสู่เส้นทางโลก | วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีร่วมรณรงค์วันเอดส์โลกประจำปี 2563 และร่วมประชาสัมพันธ์งานมหกรรมผ้าไหม ไทยสู่เส้นทางโลก
นายกรัฐมนตรีร่วมรณรงค์วันเอดส์โลกประจำปี 2563 และร่วมประชาสัมพันธ์งานมหกรรมผ้าไหม ไทยสู่เส้นทางโลก
วันนี้ (23 พ.ย. 63) เวลา 08.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมด้วยนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้แก่ “กิจกรรมเนื่องในวันเอดส์โลกประจําปี 2563” โดยศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และ“โครงการมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ 10” โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รอให้การต้อนรับ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังร่วมรับมอบโบว์แดงสัญลักษณ์วันเอดส์โลก เพื่อร่วมรณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลกประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิด “Walk Together : เอดส์อยู่ร่วมกันได้ ไม่ตีตรา” พร้อมย้ำว่ารัฐบาลพร้อมดูแลทุกกลุ่ม ทุกคน โดยจะมอบหมายให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางส่งเสริมการจ้างงาน การประกอบอาชีพของผู้มีเชื้อเอชไอวี ทั้งนี้ สังคมต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการอยู่ร่วมกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ลดการเลือกปฏิบัติหรือตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคร่วมด้วยภาคีเครือข่ายจากภาครัฐและภาคเอกชนจะจัดกิจกรรมรณรงค์วันเอดส์โลกพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ธ.ค. 63
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมชุดผ้าไหมไทย เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์ “โครงการมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ 10” โดยมูลนิธิช่วยเหลือนักท่องเที่ยวร่วมกับคณะเอกอัครราชทูตและภรรยาทูตประจำประเทศไทย พร้อมสนใจสอบถามนักศึกษาถึงวิธีการคัดเลือกผ้าไหม การทำงานคณะเอกอัครราชทูตจากต่างประเทศ ในการออกแบบเสื้อผ้าชุดต่างๆ ที่สามารถคงความโดดเด่นของผ้าไหมไทยในรูปแบบดีไชน์ที่ทันสมัย
ทั้งนี้ “มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10” ซึ่งเป็นการจัดงานแฟชั่นโชว์ระดับโลก เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ในปีนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เป็นโอกาสของนักศึกษาด้านการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอทั่วประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สถาบันอาชีวะศีกษาและคณะออกแบบและสิ่งทอจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ 70 แห่ง ร่วมออกแบบและตัดเย็บชุดผ้าไหมแก่คณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าผ้าไหมไทยและส่งเสริมให้เยาวชน คนรุ่นใหม่เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ด้วย โดย “งานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ 10” จะจัดขึ้นในวันที่ 6 ธ.ค. 63 ณ หอประชุมกองทัพเรือจึงปรับเปลี่ยนจากดีไซน์เนอร์ต่างประเทศเป็นผลงานจากนิสิต นักศึกษา
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล สานต่อความร่วมมือกับ ก.ยุติธรรม คืนคนดีสู่สังคม | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
นฤมล สานต่อความร่วมมือกับ ก.ยุติธรรม คืนคนดีสู่สังคม
รมช.แรงงาน เผย เดินหน้าประสานความร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรม ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขัง หวังสร้างอาชีพ ให้ชีวิตใหม่แก่ผู้ต้องขังหลังพ้นโทษ
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กระทรวงแรงงาน และกระทรวงยุติธรรม มีความร่วมมือในการพัฒนาฝีมือแรงงานและจัดหางานให้แก่ผู้ที่อยู่ในขั้นตอนในการพัฒนานิสัย ที่อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์และกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก ให้สามารถอยู่ในสังคมได้เมื่อพ้นโทษแล้ว ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญต่อการให้โอกาสและสร้างความเสมอภาคในสังคม กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงรับนโยบายดังกล่าวมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านอาชีพแก่ผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ และการดำเนินงานดังกล่าวสอดรับกับแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” นั่นคือ ให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบาง เข้าถึงบริการของรัฐได้มากขึ้น ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกับแรงงานกลุ่มอื่นๆ
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในปี 2564 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีเป้าหมายดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่ผู้ต้องขังและเยาวชนในสถานพินิจ จำนวน 1,880 คน โดยมอบหมายให้สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่ตั้งอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ประสานกับเรือนจำจังหวัดและสถานพินิจ เพื่อบูรณาการร่วมกัน คัดเลือกผู้ต้องขังหรือเยาวชนในสถานพินิจ เข้าฝึกอบรมด้านอาชีพ เพื่อให้มีความรู้และทักษะฝีมือ นำไปประกอบอาชีพอิสระได้หลังพ้นโทษแล้ว หลักสูตรการฝึกเป็นหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วัน เข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน อีกทั้งเป็นทักษะฝีมือที่ตลาดแรงงานต้องการ เช่น ช่างปูกระเบื้อง ช่างประกอบโครงอลูมิเนียม ช่างปูนไม้เทียม ช่างก่ออิฐ-ฉาบปูน ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ผู้ประกอบอาหารไทย การทำขนมไทย การทำเบเกอรีและขนมอบ ศิลปะประดิษฐ์ เป็นต้น
ปัจจุบัน มีการปรับหลักสูตรการฝึกให้เหมาะกับสถานการณ์และเทคโนโลยี อาทิ การขายสินค้าออนไลน์ และทักษะด้านภาษา เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางานทำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ระหว่างวันที่ 17-30 พ.ย 2563 สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานตาก เปิดฝึกอบรม หลักสูตร ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานและภาษาจีนกลางเพื่อการสื่อสาร ให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางจังหวัดตาก และเรือนจำแม่สอด อบรมระหว่างวันที่16-25 พ.ย. 2563 นอกจากนี้ ยังมีสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร กำหนดจัดฝึกอบรม ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ให้แก่ผู้ต้องขังหญิง จำนวน 20 คน ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 – 4 ธันวาคม 2563 ณ ทัณฑสถานหญิงธนบุรี เขตบางบอน กรุงเทพ
“การสานต่อความร่วมมือดังกล่าว เพื่อสร้างความเสมอภาคให้แก่แรงงานทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การเปิดโอกาสรับแรงงานกลุ่มนี้เข้าทำงาน จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อีกทั้ง ให้ชีวิตใหม่แก่ผู้ที่ต้องการกลับตัว สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติและลดการกระทำผิดซ้ำ” รมช.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36942 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะชูอุตสาหกรรมดาวรุ่งปี 2564 ยา-อาหารโตต่อเนื่อง ชี้ภาคอุตฯ ต้องปรับตัวให้ทันความต้องการยุค New Normal | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
สุริยะชูอุตสาหกรรมดาวรุ่งปี 2564 ยา-อาหารโตต่อเนื่อง ชี้ภาคอุตฯ ต้องปรับตัวให้ทันความต้องการยุค New Normal
สุริยะชูอุตสาหกรรมดาวรุ่งปี 2564 ยา-อาหารโตต่อเนื่อง ชี้ภาคอุตฯ ต้องปรับตัวให้ทันความต้องการยุค New Normal
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ชูอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์และอุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของปี 2564 จากปัจจัยด้านความต้องการในการรักษาโรค และความกังวลจากสถานการณ์โควิด-19 ชี้ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันผู้บริโภคหลังพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่เน้นสินค้าจำเป็นมากขึ้น เช่น สินค้ากลุ่มอุปโภคและบริโภค โดยผลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ประมาณการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเป็นอุตสาหกรรมเด่นที่ขยายตัวต่อเนื่องในปี 2564 ซึ่งมาจากปัจจัยด้านความต้องการในการรักษาโรค และความกังวลจากสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ อุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์และอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าทั้งปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบจากปีก่อน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมถุงมือยางที่คาดว่าในปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 เมื่อเทียบจากปีก่อน จากความต้องการใช้ทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ในขณะที่อุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) คาดว่าทั้งปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์จากการสำรองสินค้าทั้งตลาดในประเทศและส่งออก นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดที่ใช้ในครัวเรือน คาดว่าในปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบจากปีก่อน จากความต้องการใช้สินค้าประเภทตู้เย็น เตาอบไมโครเวฟและกระติกน้ำร้อน เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความต้องการสำรองอาหารสดไว้ที่บ้านเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการมีการลดราคาสินค้า ส่วนเครื่องซักผ้ามีการส่งออกไปตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น
ในขณะที่อุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และยางล้อ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเริ่มฟื้นตัวตามปัจจัยการฟื้นตัวของการบริโภคของภาคเอกชนหรือครัวเรือน และการจ้างงานเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงปกติแล้ว ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เริ่มกลับมาดีขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่มีโครงการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งขยายการพัฒนาและการส่งเสริมการลงทุนมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมหลักและอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต
“อุตสาหกรรมอาหารและเภสัชภัณฑ์จะเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งในปี 2564 เนื่องจากสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ แต่ในภาพรวมภาคอุตสาหกรรมผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัว โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุนและเพิ่ม
ขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการห่วงโซ่การผลิต มุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยมลภาวะและสร้างเศรษฐกิจสีเขียว สามารถตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังขยายตัวอยู่ทั่วโลก เพื่อรักษาฐานการผลิตที่สำคัญของโลกและพัฒนาสินค้าที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคและต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอล โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในภาคอุตสาหกรรมและสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ปรับรูปแบบการจัดการตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมถึงต้องตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับเรื่องดังต่อไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทำให้การซื้อของและการทำธุรกรรมทางการเงินมาอยู่บนสมาร์ทโฟน เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทำให้เกิดเศรษฐกิจเชิงแบ่งปันโดยไม่ผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งผู้ขายสามารถขายสินค้ากับผู้ซื้อได้โดยตรง
2. ห่วงโซ่การผลิต เมื่อระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้เกือบทั้งหมด ทำให้หลายธุรกิจซึ่งเดิมกระจายขั้นตอนการผลิตไปหลายๆ ที่ทั่วโลกย้ายกลับมาผลิตในภูมิภาคมากขึ้น หรือดึงขั้นตอนการผลิตกลับไปผลิตภายในประเทศปลายทางเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเนื่องจากเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่
3. สิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของประชากรโลก โดยคาดว่าในอนาคตน้ำสะอาดจะเป็นสิ่งที่ขาดแคลน ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของประชากรโลก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานในการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น
4. แรงงาน จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในอนาคตอีก 15-20 ปี ข้างหน้า ประเทศไทยกำลังเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย มีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นและคนวัยทำงานน้อยลง ส่งผลต่อโครงสร้างแรงงานที่เปลี่ยนไปทำให้การทำธุรกิจในรูปแบบเดิมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากอาจไม่เหมาะสม ภาคธุรกิจจึงต้องปรับรูปแบบการผลิตจากการเน้นความได้เปรียบจากต้นทุนค่าแรงหรือใช้แรงงานจำนวนมากเปลี่ยนเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรม นายทองชัย กล่าวปิดท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36943 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
คำกล่าวนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คำกล่าวนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คำกล่าวนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ท่านประธาน
ท่านผู้นำเอเปคทุกท่าน
แม้ว่าเป้าหมายโบกอร์จะสิ้นสุดลงในปีนี้ โดยยังมีสิ่งที่เรายังดำเนินการไม่สำเร็จ แต่ก็นับว่าเราได้เดินทางมาไกลพอสมควรและด้วยบริบทของโลกในปัจจุบันที่แตกต่างจากเอเปคเมื่อ 26 ปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างทางการค้า การเกิดกระแสปกป้องทางการค้าด้วยวิธีการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี ตลอดจนความท้าทายต่างๆ ในระบบพหุภาคื เอเปคจึงต้องปรับตัวและปรับกระบวนทัศน์ใหม่บนพื้นฐานของประเด็นการค้าและการลงทุน ซึ่งเป็นหัวใจของเอเปค และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภูมิภาค
ดังนั้น เอเปคต้องมีบทบาทนำในการผลักดันการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การรวมตัวทางเศรษฐกิจ
ในภูมิภาค ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบการค้าพหุภาคี โดยผมมองว่า เอเปคต้องให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นดังต่อไปนี้
ประการแรก ความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการดำเนินธุรกิจ โดยต้องเน้นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มการเข้าถึงของประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MSMEs เพื่อเปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุน รวมถึงการเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงกฎระเบียบและการยกระดับขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านดิจิทัลใหม่ๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่ปลอดภัย
ประการที่สอง การเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน จะกลายเป็น วาระเร่งด่วนและเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเอเปคอย่างแท้จริงในยุคหลังโควิด-19 โดยทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งรวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสต่างๆ จะได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนตลอดจน
การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชน มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความหวัง มีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี บนพื้นฐานของ
การพัฒนาที่มีความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ประการที่สาม การสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยืดหยุ่นต่อ disruptions ต่างๆ ผมมองเห็นถึงโอกาสที่แฝงอยู่ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเหมือน wake-up call ว่า ความพยายามทั้งหมดในการสร้างความอยู่ดีกินดีให้ประชาชนของเราอาจสูญหายไปอย่างรวดเร็ว หากสังคมขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ ในการนี้ ไทยยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความพยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่หลังโควิด-19 กับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อให้เราสามารถก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
ผมดีใจที่ได้เห็นทุกสิ่งที่ผมได้กล่าวมานี้ สะท้อนอยู่ในเอกสารวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค ค.ศ.2040 ซึ่งจะเป็นเข็มทิศนำทางการดำเนินงานของเอเปคในอีก 20 ปีข้างหน้าต่อจากเป้าหมายโบกอร์
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณมาเลเซียที่ผลักดันให้เอเปคสามารถเดินต่อไปอย่างไม่หยุดชะงัก ท่ามกลางอุปสรรคและความท้าทายใหญ่หลวงในปีนี้ โดยผมขอย้ำอีกครั้งว่า ไทยยินดีและพร้อมที่จะร่วมงานกับนิวซีแลนด์และทุกเขตเศรษฐกิจในปีหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ การเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 โอกาสนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราจะสานต่อความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อถ่ายทอด เจตนารมณ์ของเราไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมบนพื้นฐานของจิตวิญญาณของเอเปคที่เรายึดมั่นมาตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของภูมิภาคต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36948 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมววธ.หนุนประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันสืบสาน รักษาและพัฒนามรดกวัฒนธรรม ชูวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยวอาเซียน | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
รมววธ.หนุนประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันสืบสาน รักษาและพัฒนามรดกวัฒนธรรม ชูวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยวอาเซียน
รมววธ.หนุนประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันสืบสาน รักษาและพัฒนามรดกวัฒนธรรม ชูวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยวอาเซียน
รมววธ.หนุนประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนร่วมกันสืบสาน รักษาและพัฒนามรดกวัฒนธรรม ชูวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์พร้อมส่งเสริมท่องเที่ยวอาเซียน
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวในการบันทึกเทปวิดีทัศน์การกล่าวสุนทรพจน์สำหรับการประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗ – ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้แนวคิด“การปกป้อง การสืบทอดและการพัฒนาการท่องเที่ยวด้านมรดกทางวัฒนธรรม (The protection, inheritance, and tourism development of cultural heritage)” ว่า การประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๔ เมื่อปี ๒๕๖๒ ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ส่งผู้แทนคือ นายปรเมศร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ไปร่วมประชุมและได้นำผลสรุปจากการประชุมมาสู่การพัฒนาความสัมพันธ์และการดำเนินงานวัฒนธรรมระหว่างไทย จีน และกลุ่มประเทศอาเซียนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันการประชุมครั้งที่ ๑๕ นี้นับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ปีนี้วธ. ไม่สามารถไปร่วมประชุมได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน-จีนโดยเฉพาะประเทศไทย จะทำให้ความสัมพันธ์และการดำเนินงานด้านวัฒนธรรม รวมทั้งการร่วมกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองของกลุ่มประเทศอาเซียน จะมีความยั่งยืนตลอดไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วัฒนธรรมในภูมิภาคอาเซียนมีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมานับพันปีไม่ว่าจะเป็นจีน ไทย และประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนมีความเจริญด้านวัฒนธรรมเพราะได้ร่วมกันสืบสาน รักษาและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด ดังนั้น การพัฒนาและการสานต่อด้านวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆในภูมิภาคอาเซียน จึงเป็นสิ่งที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องร่วมกันอนุรักษ์ หวงแหนและพัฒนาสืบสานงานวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป อีกทั้งไทย จีน และประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนมีความสัมพันธ์แนบแน่นทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การท่องเที่ยวและการศึกษา โดยเฉพาะไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน ซึ่งปีนี้ครบรอบ ๔๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งสองประเทศจะได้เฉลิมฉลองไปด้วยกันโดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศดำเนินการมาตลอด ทั้งนี้ จีนให้ความสำคัญกับไทยอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมจีนขึ้น ณ กรุงเทพฯ อีกทั้งสองประเทศเปรียบเหมือนพี่น้องและประชาชนเป็นมิตรต่อกันเพราะไทยมีคนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งจีนสนับสนุนไทยในการสร้างความเจริญมาเป็นอย่างดี
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า การประชุมด้านวัฒนธรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๕ มุ่งเน้นการอนุรักษ์ สนับสนุนและการพัฒนาการท่องเที่ยวด้านมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนระหว่างไทย จีนและกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะการสร้างความโดดเด่นที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเที่ยวชมมรดกทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายโดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติทั้งหมด ๕ แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มีมรดกโลกทางวัฒนธรรม ๓ แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ชาวจีนนิยมมาเที่ยวกันมาก รวมถึงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมแห่งอื่นๆไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) และวัดสำคัญในภูมิภาค เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดพระธาตุพนม ทำให้ประชาชนทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์แนบแน่นมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมและเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญนำไปสู่ความเจริญของประเทศ
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36951 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เปิดศูนย์ฟอกไตฟรี (มูลนิธิฟ้าสั่ง) รพ.ศรีสงคราม นครพนม | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
อนุทิน เปิดศูนย์ฟอกไตฟรี (มูลนิธิฟ้าสั่ง) รพ.ศรีสงคราม นครพนม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ฟอกไต (มูลนิธิฟ้าสั่ง) เพิ่มการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยโรคไต ที่โรงพยาบาลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เน้นบริการฟรีในผู้ป่วยด้อยโอกาส ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่
วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2563) ที่ โรงพยาบาลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด ศูนย์ฟอกไต (มูลนิธิฟ้าสั่ง) โรงพยาบาลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน กล่าวว่า จากสถานการณ์โรคผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังทั่วประเทศประมาณ 8 ล้านคน เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2 แสนคน นับเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุขที่ต้องเร่งแก้ไข โดยการขยายระบบบริการเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคไต ให้ครอบคลุมทั้งการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียม การล้างไตผ่านหน้าท้อง เพิ่มศักยภาพให้โรงพยาบาลเป็นศูนย์รับบริจาคอวัยวะและศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ รวมทั้งจัดตั้งคลินิกชะลอไตเสื่อมในโรงพยาบาลชุมชน รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการปรับพฤติกรรมสุขภาพลดหวาน มัน เค็มลดโรค NCDs ลดภาวะแทรกซ้อนและการเกิดโรคไตวาย
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการเปิดศูนย์ฟอกไต (มูลนิธิฟ้าสั่ง) จัดตั้งที่โรงพยาบาลศรีสงคราม เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ และมูลนิธิฟ้าสั่ง เป็นการจัดบริการฟอกไตฟรี โดยเน้นให้บริการผู้ป่วยที่มีฐานะยากจน ด้อยโอกาส โดยมูลนิธิฯ ได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการฟอกไตแก่ผู้ป่วยให้กับโรงพยาบาลศรีสงคราม รายละ 1,000 บาท ซึ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียงให้สามารถเข้าถึงการบริการ ลดการเดินทางไปยังโรงพยาบาลห่างไกล และลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเตียงให้บริการ จำนวน 15 เตียง ให้บริการผู้ป่วยได้สูงสุดวันละ 45 คน
ทั้งนี้ จังหวัดนครพนมมีเครือข่ายการบำบัดทดแทนไต โดยมีโรงพยาบาลนครพนมเป็นแม่ข่ายให้บริการ
มีโรงพยาบาลชุมชนเป็นศูนย์ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลปลาปาก, โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม, โรงพยาบาลเรณูนคร และโรงพยาบาลศรีสงคราม หน่วยบริการเอกชน 2 แห่ง และเครือข่ายบริการล้างไตทางช่องท้อง ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลศรีสงคราม
************************************* 20 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา สธ. - ผอ.รพ.แม่สอด รับรางวัลพยาบาลและแพทย์ดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
ที่ปรึกษา สธ. - ผอ.รพ.แม่สอด รับรางวัลพยาบาลและแพทย์ดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กระทรวงสาธารณสุขเผยที่ปรึกษาระดับกระทรวงด้านแผนยุทธศาสตร์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ได้รับรางวัลพยาบาลดีเด่นและแพทย์ดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AAAH Award) เวทีประชุมพันธมิตรกำลังคนด้านสุขภาพภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก
วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2563)ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าในการประชุมพันธมิตรกำลังคนด้านสุขภาพภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2563 เรื่อง “การจัดการปัญหาและความท้าทายของบุคลากรสาธารณสุขในการตอบสนองโควิด 19” ซึ่งเป็นการประชุมรูปแบบออนไลน์ จัดโดยองค์การอนามัยโลก ร่วมกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ธนาคารพัฒนาเอเชีย องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศโดยมีประเด็นหลักคือ การระดมสรรพกำลังสาธารณสุขเพื่อตอบสนองการระบาดของโรคโควิด 19 การปกป้องบุคลากรสาธารณสุขจากความเสี่ยงในการทำงาน และการศึกษาของบุคลากรสาธารณสุขในช่วงการระบาดโควิด 19 ได้มีการมอบรางวัลระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AAAH Award) สำหรับแพทย์และพยาบาลที่มุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทให้กับวงการสาธารณสุข จำนวน 3 ประเภทรางวัล ได้แก่รางวัลแพทย์ (Medical Award)รางวัลพยาบาล (Nursing Award) และรางวัลผดุงครรภ์ (Midwifery Award) ซึ่งเพิ่มขึ้นมาในปีนี้ เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ประกาศให้ปี 2563 เป็นปีพยาบาลและผดุงครรภ์
ดร.ภญ.วลัยพร กล่าวว่า หลักเกณฑ์การเสนอรายชื่อผู้แทนเข้าชิงรางวัล จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานด้านกำลังคนด้านสุขภาพในประเทศของตนอย่างน้อย 5 ปี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ผลักดันเรื่องกำลังคนในชุมชนหรือประเทศนั้นๆ รวมถึงมีศักยภาพองค์รวมในการผลักดันนโยบายในระดับชาติได้ แสดงศักยภาพของตนในเรื่องของความเป็นผู้นำและการมีทักษะเรื่องความคิดใหม่ๆ ให้กับชุมชน โดยมีคณะกรรมการนานาชาติพิจารณาตัดสิน ซึ่งปีนี้มีผู้แทนจากภูมิภาคต่างๆ เสนอรายชื่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเป็นที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทยที่ได้รับถึง 2 รางวัล ได้แก่ดร.กฤษดา แสวงดีนักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงด้านแผนยุทธศาสตร์สาธารณสุขและกรรมการที่ปรึกษาสภาการพยาบาล ได้รับรางวัลพยาบาลดีเด่น เนื่องจากมีผลงานโดดเด่นด้านการพัฒนานโยบายและการแก้ปัญหากำลังคนในระดับประเทศ
ส่วน นายแพทย์ธวัชชัย เศรษฐศุภพนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่น จากผลงานการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้วยการจัดระบบบริการสุขภาพเชิงรุกให้ชาวต่างชาติเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐานที่จำเป็น อนามัยแม่และเด็ก และการให้วัคซีนป้องกันโรค ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคติดต่อชายแดน ทั้งวัณโรค หัด ไข้เลือดออก และชิคุนกุนยา และการควบคุมโรคโควิด 19 ตามแนวชายแดน ทำให้ไม่เกิดการระบาด
ทั้งนี้ โครงการพันธมิตรกำลังคนด้านสุขภาพภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก (The Asia Pacific Action Alliance on Human Resources for Health, AAAH) เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก จำนวน 18 ประเทศ โดยมีหน้าที่หลัก 5 ด้าน คือ 1.การสนับสนุนงานด้านกำลังคนด้านสุขภาพ 2.การติดตามข้อมูลด้านกำลังคน 3.การสร้างเสริมศักยภาพด้านกำลังคน 4.การผลิตความรู้ด้านกำลังคน และ 5.การประสานงานเรื่องข้อมูลทางวิชาการ
************************************* 20 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36947 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “เบอร์โทรอันตราย แอบอ้างโอนเงินช่วยเหลือภาครัฐเพื่อหลอกขโมยเงินในบัญชี” | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “เบอร์โทรอันตราย แอบอ้างโอนเงินช่วยเหลือภาครัฐเพื่อหลอกขโมยเงินในบัญชี”
ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีมิจฉาชีพใช้หมายเลขโทรศัพท์ 082-946-4808 ติดต่อและแจ้งว่าจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 จากรัฐบาลเข้าบัญชีให้ประชาชนคนละ 2,000 บาท พร้อมสอบถามข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชนและเลขบัญชี
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีมิจฉาชีพใช้หมายเลขโทรศัพท์ 082-946-4808 ติดต่อและแจ้งว่าจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 จากรัฐบาลเข้าบัญชีให้ประชาชนคนละ 2,000 บาท พร้อมสอบถามข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชนและเลขบัญชีจากนั้นจะหลอกขโมยเงินจากบัญชีของผู้หลงเชื่อไปจนหมด กระทรวงการคลังได้ตรวจสอบแล้วขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
รองโฆษกกระทรวงการคลังกล่าว เพิ่มเติมว่า หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นหมายเลขที่ไม่สามารถติดต่อได้จริง อีกทั้งเรื่องดังกล่าวยังเป็นข่าวปลอม (Fake News) ซึ่งได้เคยมีการแชร์กันมาตั้งแต่ปี 2562 ในหลายโอกาสโดยดัดแปลงข้อความให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและสร้างความสับสนต่อสังคม เช่น แอบอ้างโอนเงินเบี้ยยังชีพจากกรมบัญชีกลางแอบอ้างโอนเงินช่วยเหลือจากรัฐ และล่าสุดแอบอ้างโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 เป็นต้น นอกจากนี้ ในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่างๆ กระทรวงการคลังไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อสอบถามเลขบัตรประจำตัวประชาชนและเลขบัญชีจากประชาชนแต่อย่างใด
จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง”
ทีมโฆษกกระทรวงการคลัง
เว็บไซต์: www.mof.go.th
เฟซบุ๊ก: สถานีข่าวกระทรวงการคลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36945 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ณ บริเวณชายหาดแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ณ บริเวณชายหาดแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ณ บริเวณชายหาดแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ณ บริเวณชายหาดแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวให้การต้อนรับ และมี นางสุกุมล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบโล่เชิดชูเกียรติ "เพ็ชรนทีศรีวัฒนธรรม" ให้กับเครือข่ายสภาวัฒนธรรมเมืองพัทยา จำนวน ๘๐ คน ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เอสอาร์ซีซี จำกัด จัดโครงการ "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ บริเวณชายหาดพัทยา บริเวณแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นหลังจากสถานการณ์โควิด -19 โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบของตลาดวัฒนธรรมริมชายหาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36950 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำเวทีเอเปคครั้งที่ 27 ส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคทุกมิติ ต่อยอดธุรกิจดิจิทัลในยุคหลังโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ ย้ำเวทีเอเปคครั้งที่ 27 ส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคทุกมิติ ต่อยอดธุรกิจดิจิทัลในยุคหลังโควิด-19
นายกฯ ย้ำเวทีเอเปคครั้งที่ 27 ส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคทุกมิติ ต่อยอดธุรกิจดิจิทัลในยุคหลังโควิด-19
วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2563) เวลา 19.00 น. ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ผ่านระบบประชุมทางไกล ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการประชุมดังนี้
ตัน ซรี ดาโตะ ฮาจี มุฮ์ยิดดิน บิน ฮาจี โมฮัมมัด ยัซซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานกล่าวว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกผ่านระบบทางไกล เอเปคเป็นกรอบการประชุมที่ส่งผลให้เกิดความร่วมมือทางการค้าการลงทุน ด้านเศรษฐกิจ และสังคม และอื่นๆ บนพื้นฐานของฉันทามติร่วมกัน ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ ผลกระทบที่เกิดจากความท้าทายต่าง ๆ เช่น โควิด-19 ได้มีผลลดลง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือกันจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้ โดยการกำหนดหัวข้อหลักในปีนี้เพื่อ ย้ำให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจตระหนักถึงหน้าที่ในการสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน และแบ่งปันให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจร่วมกัน ยกระดับคุณภาพชีวิตร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้นำเสนอ 3 เเนวคิด ได้แก่ 1.การค้าพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนกฎระเบียบที่ชัดเจน 2. ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจเเละสร้างความเข้มเเข็งให้กับประชาชน 3. ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุม เพื่อไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมว่าบริบทของโลกในวันนี้ได้แตกต่างจากเอเปคในอดีต ทั้งช่องว่างทางการค้า กระแสปกป้องทางการค้า และความท้าทายต่างๆ ในระบบพหุภาคี จึงต้องปรับตัวบนพื้นฐานของการค้าและการลงทุน ซึ่งถือเป็นหัวใจของเอเปคและเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เอเปคต้องมีบทบาทผลักดันการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การรวมตัวกันทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบการค้าพหุภาคี โดยได้นำเสนอ 3 ประเด็นหลักที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่
1. ส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เช่น ส่งเสริม MSMEs พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านดิจิทัลใหม่ๆ
2. การเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน จะเป็นวาระเร่งด่วน และเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเอเปคอย่างแท้จริงในยุคหลังโควิด-19 โดยทุกภาคส่วนของสังคมจะได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน มีการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ทั่วถึงและเป็นธรรม
3. สร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยืดหยุ่นต่อ disruptions ต่าง ๆ โดยมองว่า วิกฤตของโควิด-19 ถือเป็นโอกาสที่แฝงอยู่ เปรียบเสมือนการสร้างความตระหนักรู้ถึงความเตรียมพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งไทยยินดีแบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 กับประชาคมระหว่างประเทศ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันว่า จะผลักดันให้เอเปคสามารถเดินต่อไปได้อย่างไม่หยุดชะงัก ท่ามกลางอุปสรรคและความท้าทายในปีนี้ พร้อมเน้นย้ำว่า ไทยยินดีและพร้อมที่จะร่วมงานกับนิวซีแลนด์และทุกเขตเศรษฐกิจในปีหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกประเทศจะสานต่อความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อถ่ายทอดเจตนารมณ์ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมบนพื้นฐานของเอเปคที่ยึดมั่นมาตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษ และนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของภูมิภาคต่อไป
อนึ่ง ในช่วงการกล่าวถ้อยแถลงของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนกล่าวถึงความสำคัญของการเปิดตัววิสัยทัศน์ภายหลังปี 2020 ซึ่งจีนพร้อมร่วมสร้างอนาคตร่วมกัน โดยมีข้อเสนอ 4 ประการ ดังนี้
1. ต้องเปิดกว้างและทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการค้าพหุภาคี ผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยจีนยินดีกับการลงนาม RCEP ที่ผ่านมา 2. ผลักดันการเติบโตบนพื้นฐานการพัฒนาทางดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งส่งเสริมการค้าอิเล็กทรอนิกส์ 3. ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันผ่าน APEC Connectivity Blueprint เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะการส่งเสริมการเดินทางของคน สินค้า เงินทุนและการส่งต่อข้อมูลอย่างปลอดภัย ซึ่งจีนยินดีที่จะให้ความร่วมมือผ่านโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 Belt and Road Initiative (BRI) กับทุกฝ่าย 4. ผลักดันความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านสาธารณสุข วัคซีน MSMEs ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการรับมือกับโควิด-19 ได้
ส่วนสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เน้นย้ำว่าโลกกำลังต่อสู้กับโรคระบาดในขณะนี้ ซึ่งสหรัฐฯ ได้สนับสนุนทางเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ และยืนยันที่จะกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง โดยสหรัฐได้เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อการกลับมาอย่างมั่งคั่งอีกครั้งในภูมิภาค ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการจ้างงาน ส่งเสริมการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหา และลดผลกระทบ รวมถึงสร้างความมั่นใจในการบริโภค นอกจากนี้ยังได้เน้นนโยบายที่ส่งเสริมการเจริญเติบโต โดยได้ลดภาษีและตัดระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกรรม พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ต่อครัวเรือนให้มากขึ้น ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำว่า ขอให้ทุกประเทศสนับสนุนนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างโอกาสร่วมกันมากขึ้น ทั้งสหรัฐฯ และทั่วโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯดันบทบาทสตรี ขับเคลื่นเศรษฐกิจชุมชนและสาธารณสุข | วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
นายกฯดันบทบาทสตรี ขับเคลื่นเศรษฐกิจชุมชนและสาธารณสุข
รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐานตรีดันบทบาทสตรี ขับเคลื่นเศรษฐกิจชุมชนและสาธารณสุข
วันนี้(20พ.ย.63)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงแนวทางการผลักดันบทบาทสตรีของรัฐบาลพล.อประยุทธ์จันทร์โอชาที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ร่วมของประชาคมอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียนกับผู้นำสตรีอาเซียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งรัฐบาลเน้นย้ำการเสริมสร้างบทบาทสตรีที่ยั่งยืนโดยเสนอให้อาเซียนให้ความสำคัญต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีดิจิทัลรวมทั้งส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทด้านสาธารณสุข
สำหรับประเทศไทยบทบาทสตรีด้านการสาธารณสุขนั้นมีความโดดเด่นในระดับโลกนั่นคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านบ้าน(อสม.)กว่าล้านคนที่ในภาพรวมเกิน80%เป็นสตรีโดยองค์กรสหประชาชาติยอมรับว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด19ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าในการขยายเครือข่ายและเพิ่มบทบาทในการเชื่อมโยงชุมชนในด้านอื่นในฐานะเป็นผู้ใกล้ชิดและเป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วยกันอยู่แล้วเช่นช่วยนำข้อมูลเกี่ยวกับระบบสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กและครอบครัวผู้สูงอายุผู้พิการสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยและด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพหากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจก็จะสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางด้อยโอกาสมากไปกว่านั้นรัฐบาลจะดูแลในเรื่องการให้สวัสดิการเพื่อตอบแทนอุดมการณ์ของการเป็นจิตอาสาที่ตอนนี้เป็นต้นแบบที่หลายประเทศให้ความสนใจ
ควบคู่กันไปกับงานด้านสาธารณสุขนายกรัฐมนตรียังได้เร่งรัดให้พลังดันนโยบายการส่งเสริมความรู้เรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มสตรีเพื่อจะได้นำสินค้าชุมชนเข้าถึงผู้ซื้อโดยตรงเพิ่มโอกาสในการมีรายได้ที่มากขึ้นทั้งนี้มีการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันผ่าน“โครงการไทยแลนด์อีคอมเมิร์ซเพื่อความยั่งยืน”ประกอบด้วยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกรมการจัดหางานสำนักงานคณะกรรมการดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์เป็นการให้ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลการทำอีคอมเมิร์ซเพิ่มช่องทางการขายของออนไลน์ตลอดจนการรู้เท่าทันและใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์อีกทั้งยังมีโครงการในลักษณะฟื้นฟูยกระดับอาชีพหลังวิกฤตโควิด19ที่จะนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสานกับความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้กลุ่มแม่บ้านสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ๆโดยกรมกิจการสตรีฯจะทำร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในภูมิภาค
นางสาวรัชดากล่าวว่านายกรัฐมนตรีมีความภาคภูมิใจในบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วมดูแลสังคมเป็นอย่างมากอีกทั้งได้หยิบยกขึ้นเป็นตัวอย่างในเวทีอาเซียนด้วยโดยเฉพาะผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ในช่วงวิกฤตโควิด19มากไปกว่านั้นกลุ่มสตรียังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น ไม่ว่าจะเรื่องกิจกรรมทางการเกษตรและการผลิตสินค้าชุมชนซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมศักยภาพสตรีให้มากขึ้นผ่านการให้ความรู้เกี่ยวกับการตลาดการทำอีคอมเมิร์ซการพัฒนาสินค้าให้น่าสนใจซึ่งทั้งหมดนี้มีอยู่ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีที่ครอบคลุมในเรื่องการส่งเสริมสถานภาพสตรีและการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวด้วย
_____________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนชมนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” และ “ความดีที่แบ่งปัน” เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนชมนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” และ “ความดีที่แบ่งปัน” เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง
กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนชมนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” และ “ความดีที่แบ่งปัน” เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง
วันนี้ (29 พ.ย. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลกำหนดจัดงานวันพ่อแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ณ พื้นที่ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์จนถึงสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) กรุงเทพมหานคร ซึ่งภายในงานดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ภายใต้นิทรรศการชุด “ความสุขที่พ่อให้” หัวข้อ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” และนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน”
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า สำหรับนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” หัวข้อ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายและการฉายวีดิทัศน์ที่หาชมได้ยากเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมและพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎร เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ และนิทรรศการความรู้การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” มาใช้แก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในระดับครัวเรือนด้วยความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และในส่วนของนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” เป็นการนำเสนอการขับเคลื่อนงานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาที่สำคัญ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาสถานที่สาธารณะ และการสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งการนำเสนอการขับเคลื่อนงานจิตอาสาภัยพิบัติ โดยนำเสนอพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับ “อาสาสมัคร” สืบสาน รักษา ต่อยอด ซึ่งเป็นที่มาของจิตอาสาพระราชทาน นิทรรศการมีชีวิตแสดงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีไฟป่าและหมอกควัน และจุดถ่ายภาพแบบจำลองอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ ปภ. KA-32
ทั้งนี้ ในบริเวณการจัดนิทรรศการทั้ง 2 ส่วนข้างต้น จะมีการให้บริการจุดถ่ายภาพที่ระลึก ทั้งยังมีกิจกรรมให้ประชาชนร่วมสนุกและรับของที่ระลึกภายในงาน เช่น พันธุ์กล้าไม้ดอกทองอุไร เมล็ดพันธุ์ผักสวนครัว ปุ๋ยจากผักตบชวา หมวก กระบอกน้ำ หน้ากากผ้า และถุงผ้า เป็นต้น
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเที่ยวชมงานวันพ่อแห่งชาติ ร่วมเยี่ยมชมและสนุกกับกิจกรรมในนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” และ นิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” ของกระทรวงมหาดไทยได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ในระหว่างวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น. ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท เชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัด | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
เยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท เชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัด
รมว.เฉลิมชัย เยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท เชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัด ที่รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรกว่า 700 ครัวเรือน มุ่งเน้นต้องผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยนายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายธนาชีรวินิจเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัทเชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัดโดยได้เยี่ยมชมร้านนมFresh & Mildซึ่งเป็นร้านนมที่ได้นำผลิตภัณฑ์นมจากฟาร์มและสหกรณ์โคนมมาจำหน่ายแก่ประชาชนพร้อมทั้งรับฟังการบรรยายสรุปกระบวนการแปรรูปนมรวมถึงหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมไทยและการบริหารจัดการฟาร์มเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้บริษัทเชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัดถือเป็นตลาดรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรปัจจุบันมีการรับซื้อน้ำนมดิบกว่า130ตัน/วันโดยในปี2562ที่ผ่านมามีการรับซื้อน้ำนมดิบ48,240ตันจากเกษตรกรกว่า700ครัวเรือนเพื่อนำไปผลิตนมพาสเจอร์ไรซ์นมUHTและผลิตภัณฑ์"นมคุณภาพสูงล้านนา"
สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนที่จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้มีความมั่นคงในอาชีพเพิ่มมากขึ้นซึ่งความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯและบริษัทเชียงใหม่เฟรชมิลค์จำกัดที่ผ่านมาได้สนับสนุนในการนำผู้ประกอบการและเกษตรกรเข้ารับการอบรมในโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์"เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ"จนได้รับรางวัลต่างๆมากมายอีกทั้งยังได้นำผลิตภัณฑ์ร่วมจัดนิทรรศการในงานของภาครัฐอาทิโครงการตลาดสินค้าปศุสัตว์ออนไลน์งานTHAIFEX 2018และงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ครบรอบ100ปีเป็นต้นถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอีกทางหนึ่ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำจังหวัดลำพูน พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำจังหวัดลำพูน พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำจังหวัดลำพูน พร้อมให้คำแนะนำเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง
ในวันเสาร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมเรือนจำจังหวัดลำพูน เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง โดยได้แจ้งนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง การรักษาพยาบาลให้ถูกสุขลักษณะ การบริหารจัดการเพื่อลดความแออัดภายในเรือนจำ และการฝึกวิชาชีพ รวมทั้งได้พูดให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่และผู้ต้องขังเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับสู่สังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37138 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ลงพื้นที่ชัยนาทคิกออฟ โปรเจกต์ ปั้นแบรนด์ 4 ชุมชน ติดอาวุธองค์ความรู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
"อนุชา" ลงพื้นที่ชัยนาทคิกออฟ โปรเจกต์ ปั้นแบรนด์ 4 ชุมชน ติดอาวุธองค์ความรู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
"อนุชา" ลงพื้นที่ชัยนาทคิกออฟ โปรเจกต์
ปั้นแบรนด์ 4 ชุมชน ติดอาวุธองค์ความรู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
วันนี้ ( 29 พฤศจิกายน 2563 ) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดโครงการสร้างอัตลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฐานรากด้วยกลไกและเครื่องมือการพัฒนาของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน ผนึกกำลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เร่งพัฒนาพื้นที่ชัยนาท คิกออฟโครงการสร้างอัตลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท บูรณาการ ดึงจุดขาย 4 ชุมชน “สรรพยา-มโนรมย์-บ้านเนินขาม-บ้านอ้อย” ถ่ายทอดองค์ความรู้ พัฒนาฝึกอบรม นักออกแบบชุมชนร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำถิ่นใส่โลโก้อัตลักษณ์สร้างจุดต่าง กระตุ้นยอดขาย ตอบโจทย์ นักท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ชุมชน
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากการเป็นประธาน เปิดโครงการสร้างอัตลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากที่จำเป็นต้องส่งเสริม ให้เกิดความเข้มแข็ง อันจะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพสังคม คุณภาพชีวิต และส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐเร่งหาแนวทางและการบูรณาการร่วมกันเพื่อส่งเสริม และยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ขานรับนโยบายดังกล่าว จึงเร่งดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนปณิธานของนายกรัฐมนตรีให้เป็นรูปธรรม โดยได้ผนึกความร่วมมือระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการในชุมชนให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จากการพัฒนาอาชีพให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นต่อไป
-----------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37134 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเปิดโครงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกวิชาชีพเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้ต้องขังเ | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเปิดโครงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกวิชาชีพเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้ต้องขังเ
เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเปิดโครงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกวิชาชีพเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้ต้องขังเรือนจำกลางเชียงใหม่ ณ เรือนจำชั่วคราวแม่แตง
ในวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพีธีปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเปิดโครงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกวิชาชีพเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้ต้องขังเรือนจำกลางเชียงใหม่ ณ เรือนจำชั่วคราวแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ปลูกต้นทุเรียนและต้นยางนา เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงให้ความสำคัญกับทรัพยากรป่าไม้
สำหรับโครงการฝึกอาชีพเกษตรอินทรีย์ฯ ณ เรือนจำชั่วคราวแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่ จำนวนกว่า ๔๙๕ ไร่ ติดแม่น้ำปิง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ได้เรียนรู้วิชาการเกษตรอินทรีย์ การเลี้ยงสัตว์ และการบริการท่องเที่ยว มีทักษะการดำรงชีวิตเพื่อคืนคนดีสู่สัคม ซึ่งพื้นที่แห่งนี้จะมีการพัฒนาส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ต้องโทษ ที่ใกล้พ้นโทษมีอาชีพติดตัว และมีรายได้ เพื่อคืนคนดีสู่สังคม ส่วนผลผลิตจะนำไปขาย หรือเลี้ยงผู้ต้องโทษ พร้อมทั้งรับมอบรถแทรกเตอร์ จำนวน ๑ คัน และรถยนต์กระบะ จำนวน ๒ คัน จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค ๕ เพื่อนำมาใช้ในการการพัฒนาเรือนจำชั่วคราวแม่แตงต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37137 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ ทุกจังหวัดชายแดน ป้องกันลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดเฝ้าระวังโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ กำชับ ทุกจังหวัดชายแดน ป้องกันลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดเฝ้าระวังโควิด-19
นายกฯ กำชับ ทุกจังหวัดชายแดน ป้องกันลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้มงวดเฝ้าระวังโควิด-19
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับผู้ว่าราชการทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนไทยติดประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เพิ่มความเข้มงวดเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนติดตามการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายอย่างเร่งด่วน หลังพบว่ามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ลักลอบเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ก่อให้เกิดความกังวลในความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด คำนึงถึงผลกระทบจากปัญหาที่จะตามมาจากการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นสำคัญ หากพบเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการลักลอบเข้าเมือง จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่มีละเว้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน ว่าแนวทางการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของไทยมีความรัดกุมปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ตำรวจ ทหาร รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ร่วมกันทำงานอย่างเข้มแข็งนับแต่ตั้งช่วงต้นปี ในการป้องกันโรคโควิด-19 จนถึงขณะนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก โดยผู้ป่วยใหม่ส่วนใหญ่ล้วนพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ นายกรัฐมนตรี จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจต่อของประชาชน”
--------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับทราบ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระดับมีเสถียรภาพ เช่ือมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และเติบโตได้ดีในปี 2564 | วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ รับทราบ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระดับมีเสถียรภาพ เช่ือมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และเติบโตได้ดีในปี 2564
นายกฯ รับทราบ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระดับมีเสถียรภาพ เช่ือมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และเติบโตได้ดีในปี 2564
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานที่ บริษัท S&P Global Ratings (S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็ง ภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล และสถานการณ์ ทางการเมืองปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วง 1 – 2 ปี ข้างหน้า
ส่วนภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง เป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ แม้ว่าการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 – 2564 และหน้ีของรัฐบาลเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ยังคงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพทางการคลัง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับร้อยละ 49.34 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 และเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ S&P เช่ือมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและเติบโตในระยะปานกลางได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น เป็นผลจากการภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnership) เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ
นอกจากนี้ ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสภาพคล่องและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดย S&P คาดว่าสภาพคล่องต่างประเทศ (External liquidity) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับคงท่ีและไม่น่ากังวล นอกจากน้ี การดำเนินนโยบายทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ S&P ให้ความสนใจและติดตามอย่างใก้ลชิดคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง และเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต
นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไปรัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้รักษาระดับการจ้างงานภายในประเทศ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและมีความยั่งยืนต่อไป ตามแนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” หรือ Resilience ของรัฐบาล ที่ได้กำหนดเป้าหมาย เพื่อให้คนไทยสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น มุ่งให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ผ่านมาตรการต่างๆของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดงานประเพณีลอยกระทง “สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
เปิดงานประเพณีลอยกระทง“สมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป”
รัฐมนตรีเกษตรฯเปิดงานประเพณีลอยกระทง“สมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป”พร้อมร่วมอัญเชิญพระประทีปพระราชทานจ.ร้อยเอ็ด
วันที่31ต.ค.63เวลา18.00น.นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณี"สมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป"ครั้งที่22ประจำปี2563ณลานสาเกตุนครสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ดโดยมีนายชยันต์ศิริมาศผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ข้าราชการและประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวนมากวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเป็นการขอขมาพระแม่คงคาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวิถีไทยของจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดตลอดจนเพื่อให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นเป้าหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับการจัดงานในปีนี้ได้รับพระราชทานพระประทีปส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีมาร่วมลอยกับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ดนอกจากนี้ยังได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลส่วนพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเพื่อมอบให้กับผู้ชนะเลิศการประกวดกระทงประทีปใหญ่อีกด้วย
นอกจากนี้กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยพิธีอัญเชิญลอยพระประทีปพระราชทานการประกวดกระทงประทีปใหญ่ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีการจัดขบวนแห่12หัวเมืองร่วมสมัยตามตำนานเมืองร้อยเอ็ดการประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36392 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2563
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.ชี้ภัยธรรมชาติต่างประเทศ ภาวะตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2563 ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบยางพารา แผ่นดิบมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.ชี้ภัยธรรมชาติในต่างประเทศ ภาวะตลาดโลก ปรากฏการณ์ลานีญาครึ่งปีหลังของไทยและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายใน ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2563 ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบยางพารา แผ่นดิบมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน2563โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้นได้แก่น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์กราคาอยู่ที่ 14.79-14.87 เซนต์/ปอนด์ (10.24-10.29 บาท/กก.)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.00 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากความกังวลกับสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในประเทศบราซิลและสหภาพยุโรปอาจทำให้ผลผลิตอ้อยลดลงส่งผลให้ผลผลิตน้ำตาลลดลง ขณะที่มีความต้องการนำเข้าน้ำตาลของประเทศจีนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง อาจส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบปรับลดลงได้ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3ราคาอยู่ที่54.15 – 56.61 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ4.11 – 8.85 เนื่องจากความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดน้อยลงจากการขาดแคลนแรงงานและยางแผ่นรมควันขาดตลาดเนื่องจากเกษตรกรหันไปขายน้ำยางพาราสดกันมากขึ้น มันสำปะหลังราคาอยู่ที่ 1.74-1.79 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.58 – 3.47 เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลผลิตปี 2563/64 ผลผลิตออกสู่ตลาดยังไม่มาก ประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นจากตลาดประเทศจีนที่ต้องการนำไปทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีปริมาณสต็อกคงเหลือลดลง
ปาล์มน้ำมันราคาอยู่ที่ 5.20 - 5.40 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.20 – 7.78 เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันปาล์มดิบยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นสุกร ราคาอยู่ที่ 78.34–78.84 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.66–1.31 เนื่องจากความต้องการสุกรมีชีวิตจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ประกอบกับคาดว่าความต้องการเนื้อสุกรภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น จากมาตรการวันหยุดเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกุ้งขาวแวนนาไมราคาอยู่ที่ 133.25 – 134.00บาท/กก.เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนร้อยละ 0.19 – 0.75 เนื่องจากอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้า เกษตรกรชะลอการเพาะเลี้ยงตามการแปรปรวนของภูมิอากาศในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการของตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมาตรการวันหยุดเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ส่งผลให้ความต้องการกุ้งเพิ่มขึ้น
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงได้แก่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15%ราคาอยู่ที่8,547-8,739 บาท/ตันลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.45-3.62 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปีออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้าข้าวบางส่วนยังคงมีสต็อกข้าวเพียงพอจึงชะลอการนำเข้าข้าวข้าวเปลือกหอมมะลิราคาอยู่ที่ 11,180-11,433 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 4.20-6.31 ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวราคาอยู่ที่ 12,112-12,332 บาท/ตันลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.61-3.36 เนื่องจากการเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงครึ่งปีหลังของประเทศไทย ทำให้ปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าว โดยคาดว่าผลผลิตข้าวนาปีส่วนใหญ่ที่จะออกสู่ตลาดเดือนพฤศจิกายน 2563 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับโรงสียังคงประสบปัญหาสภาพคล่อง ทำให้ระบายข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดในช่วงนี้เพื่อรองรับข้าวฤดูกาลใหม่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5%ราคาอยู่ที่7.39-7.42บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.00 เนื่องจากอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่นแรกที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากขึ้น ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36396 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ หรือสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย
ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,592 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 133 ราย หรือร้อยละ 3.51 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,784 ราย
สำหรับรายละเอียดผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 รายวันนี้
เป็นคนไทย 1 ราย เดินทางมาจากสหราชอาณาจักรเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ตรวจพบเชื้อ ไม่แสดงอาการ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลตามระบบ
เป็นชาวต่างชาติ 3 ราย เดินทางมาจาก สหราชอาณาจักร 1 ราย, อัฟกานิสถาน 1 ราย และรัสเซีย 1 รายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) โดย 1 รายมีอาการ ไอ ไข้ น้ำมูก ส่วนอีก 2 ราย ตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยผู้กักตัวเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยคิดจากประกันโควิด 19 ที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังคงพบการแพร่ระบาดต่อเนื่องมีผู้ติดเชื้อสะสม กว่า 46 ล้านราย ซึ่งแต่ละประเทศได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่แตกต่างกันไป ที่น่าสนใจ ได้แก่ ราชอาณาจักรเบลเยียมใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน –13 ธันวาคม 2563 โดยมีมาตรการและข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น มีการปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็นทั้งหมด แต่ยังคงให้บริการรับส่งสินค้าที่บ้านได้
สหราชอาณาจักรได้มีการพิจารณาที่จะปิดล็อกดาวน์เป็นเวลาหนึ่งเดือนทั่วประเทศ และจะผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ก่อนเทศกาลคริสต์มาส ส่วนที่ฝรั่งเศสภายหลังมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ ที่จะบังคับใช้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นอย่างน้อย โดยห้ามประชาชนออกจากบ้าน ยกเว้นกรณี การซื้อสินค้าจำเป็น พบแพทย์ หรือ ออกกำลังกายแต่ต้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง ส่วนการออกไปทำงานจะอนุญาตให้สำหรับผู้ที่นายจ้างพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ยังเปิดทำการสอนตามปกติ นอกจากนี้ สื่อท้องถิ่นยังรายงานว่าในช่วงเย็นของก่อนวันล็อกดาวน์ ประชาชนในกรุงปารีสได้เดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปล็อกดาวน์อยู่ในชนบท จนส่งผลให้รถติดยาวสะสมเป็นระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร
สำหรับประเทศไทยยังคงควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้ดี สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ การรักษามาตรการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนการ์ดไม่ตก หากเข้าใช้บริการยังสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียนเข้า-ออก ผ่าน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงเข้าสู่ระบบ นอกจากนี้ช่วงนี้ประเทศไทยสภาพอากาศเปลี่ยนเนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ป่วยด้วยโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ได้ง่าย ซึ่งไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 มักมีอาการคล้ายคลึงกันติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย จากการไอ จาม อย่างไรก็ตามสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง กินของร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสบริเวณใบหน้า ขอให้เฝ้าระวังสังเกตอาการป่วยของตนเองและคนใกล้ชิดเสมอ หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก หรืออาการระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ให้รีบพบแพทย์ใกล้บ้านทันที พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยงกับเจ้าหน้าที่เพื่อรักษาและเฝ้าระวังอาการต่อไป
*********************************** 1 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36394 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ นำทีมหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบภัยหลังน้ำลด | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
รมช.เกษตรฯ นำทีมหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบภัยหลังน้ำลด
รมช.เกษตรฯ นำทีมหน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบภัยหลังน้ำลด พร้อมแจง 7 โครงการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36395 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมช.มนัญญา ชูความสำเร็จ “สหกรณ์นิคมปลายพระยา จำกัด | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
รมช.มนัญญาชูความสำเร็จ“สหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัด
รมช.มนัญญาชูความสำเร็จ“สหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดจังหวัดกระบี่”เป็นแปลงต้นแบบเกษตรปลอดภัยสร้างรายได้แก่สมาชิกอย่างยั่งยืน
รมช.มนัญญาชูความสำเร็จ“สหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดจังหวัดกระบี่”เป็นแปลงต้นแบบเกษตรปลอดภัยสร้างรายได้แก่สมาชิกอย่างยั่งยืน
นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดและเป็นประธานพิธีมอบหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดิน(กสน. 3,กสน. 5)ให้แก่สมาชิกสหกรณ์ณสหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดตำบลเขาเขนอำเภอปลายพระยาจังหวัดกระบี่ว่า
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการทำอาชีพการเกษตรจึงได้ดำเนินนโยบายการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำโดยส่งเสริมให้เกษตรกรลดละเลิกการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชหรือศัตรูพืชส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทำการเกษตรที่ดีและเหมาะสม(GAP)เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภครวมทั้งการยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชนในการรวบรวมจัดเก็บแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดระหว่างขบวนการสหกรณ์ภาคเอกชนเพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภคส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรมนอกจากนี้ยังได้จัดโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตรเพื่อให้ลูกหลานเกษตรกรได้กลับมาอยู่กับครอบครัวใช้ความรู้ประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมและบริการรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆมาพัฒนาการเกษตรเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้หาแนวทางสนับสนุนให้สหกรณ์การเกษตรที่มีความเข้มแข็งให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหลานสมาชิกหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการพัฒนาถิ่นกำเนิดในด้านการประกอบอาชีพการเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างมั่นคงรวมถึงสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่รักอาชีพการเกษตรไม่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดและผลักดันแนวคิดการปลูกพืชปศุสัตว์และประมงการใช้เทคโนโลยีการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาดด้วย”รมช.มนัญญากล่าว
ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนเงินอุดหนุนแก่สหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดตามโครงการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ในสถาบันเกษตรกรในพื้นที่นิคมสหกรณ์ปีงบประมาณพ.ศ. 2563เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงเรือนพร้อมระบบน้ำจำนวน12โรงเรือนจำนวน35,000บาท/รายรวมทั้งสิ้น420,000บาทและสมาชิกสมทบจำนวน15,000บาท/รายรวมทั้งสิ้น180,000บาทรวมงบประมาณทั้งสิ้น600,000บาทซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหากแล้วเสร็จสมาชิกจะได้ใช้ประโยชน์ในการทำการเพาะปลูกพืชผักปลอดภัยและอินทรีย์โดยคาดการณ์ปริมาณผลผลิตที่จะได้รับได้แก่1)ผักบุ้งจำนวน60กิโลกรัม2)ผักกาดขาวจำนวน200กิโลกรัม3)ผักกวางตุ้งจำนวน150กิโลกรัมและ4)ผักคะน้าจำนวน125กิโลกรัมซึ่งจะสามารถช่วยให้สมาชิกสหกรณ์มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนขณะเดียวกันสหกรณ์ยังมีแผนในการส่งเสริมสนับสนุนสมาชิกในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่องผ่านการดำเนินงานโครงการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของสมาชิกสหกรณ์ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการจำนวน40รายพื้นที่เพาะปลูก50ไร่นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เป็นศูนย์เรียนรู้การเกษตรปลอดภัยเพื่อพัฒนาต่อยอดไปสู่เกษตรอินทรีย์และผลักดันให้เป็นศูนย์รวบรวมผลผลิตเกษตรปลอดภัยในอนาคตต่อไป
สำหรับสหกรณ์นิคมปลายพระยาจำกัดจัดตั้งเป็นสหกรณ์ในพื้นที่อำเภอปลายพระยาจังหวัดกระบี่ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่6กุมภาพันธ์2524มีสมาชิกแรกตั้งจำนวน189คนสหกรณ์มี2สาขาคือสำนักงานใหญ่และสาขาบ้านถ้ำธนาคารตำบลเขาเขนโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพื่อลงทุนทำการเกษตรและสนับสนุนให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการรวบรวมผลผลิตรวมซื้อรวมขายจำหน่ายปัจจัยการผลิตเช่นวัสดุการเกษตรสินค้าอุปโภคบริโภครับฝากเงินจากสมาชิกและส่งเสริมการออมจากสมาชิกปัจจุบันมีสมาชิก2,397คนทุนเรือนหุ้น17,795,855.00บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36397 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ภูเก็ตติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจสถานประกอบการที่ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ภูเก็ตติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจสถานประกอบการที่ได้รับสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจบริษัท ภูเก็ตทัวร์ฟาร์ม จำกัด (อินทรฟาร์ม)
จังหวัดภูเก็ต : วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2563) เวลา 14.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมติดตามการดำเนินงานและให้กำลังใจบริษัท ภูเก็ตทัวร์ฟาร์ม จำกัด (อินทรฟาร์ม) ซึ่งดำเนินกิจการด้านการตลาดที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ฟาร์มหอยแครงกว่า 300 ไร่ การทำปลาในกระชัง การเพาะเลี้ยงหอยมุก เลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำหลากหลายชนิด โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากกองทุนเอสเอ็มอีตามตามแนวประชารัฐ เพื่อก่อสร้างฟาร์มหอยมุก และปรับปรุงสำนักงานพร้อมต่อยอดเพื่อการท่องเที่ยว เช่น ซื้อเรือหางยาง เรือท้ายเป็ด และเรือคายัค
ซึ่งปลัดฯ ได้เชิญชวนให้บริษัทฯ เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (Creative Industry Village: CIV) และแนะนำให้บริษัทฯ นำงานวิจัยจากหอยมุก มาร่วมในกิจกรรม ‘Research Connect’ หรือตลาดต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมระหว่างผู้พัฒนาและผู้ประกอบการ พร้อมต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ และมีนายธรรมนูญ เกตุแก้ว อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต นายชนกันต์ อินทรเจริญ กรรมการบริษัทฯ ให้การต้อนรับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36398 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ภูเก็ตเยี่ยมชมและให้กำลังใจสถานประกอบการผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไข่มุก | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ภูเก็ตเยี่ยมชมและให้กำลังใจสถานประกอบการผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไข่มุก
สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานและให้กำลังใจผู้ประกอบการ บริษัท ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไข่มุก
จังหวัดภูเก็ต : วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2563) เวลา 16.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานและให้กำลังใจผู้ประกอบการ บริษัท ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไข่มุก โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน Local Economy Loan (LEL) และโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสำหรับ SMEs คนตัวเล็ก เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ และมีนายธรรมนูญ เกตุแก้ว อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต ภูเก็ต นายอมร อินทรเจริญ กรรมการบริษัทฯ ให้การต้อนรับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36399 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ผู้ผลิตและจำหน่ายของฝากของที่ระลึก | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ผู้ผลิตและจำหน่ายของฝากของที่ระลึก
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ผู้ผลิตและจำหน่ายของฝากของที่ระลึก
จังหวัดภูเก็ต : วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2563) เวลา 17.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท พรทิพย์ (ภูเก็ต) จำกัด ประกอบกิจการร้านของฝากของจังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่อ ร้านพรทิพย์ โดยนำวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาพัฒนาให้เป็นที่รู้จัก โดยผลิตภัณฑ์ตราพรทิพย์ ได้ผลิตในโรงงานของตนเองที่ผ่านการตรวจรับรองระบบสากล GMP & HACCP โดยวางจำหน่ายใน Modern Trade ชั้นนำของประเทศไทย เช่น Siam Paragon Gourmet Thai , Golden Place , Top Supermarket ร้านค้าในโครงการหลวง และส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากโครงการสินเชื่อ Transformation Loan เสริมแกร่ง จำนวน 5 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสำหรับ SMEs คนตัวเล็ก จำนวน 1 ล้านบาท โครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ จำนวน 1 ล้านบาท สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ของแบงก์ชาติ จำนวน 0.86 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อจำนวน 7.86 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ และมีนายธรรมนูญ เกตุแก้ว อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต นางพรทิพย์ เปี่ยมวิวัตติกุล กรรมการบริษัทฯ ให้การต้อนรับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36400 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส โชว์ผลงานพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะภูเก็ตหนุนเปิดเมือง-ปลอดภัยจากโควิด | วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563
ดีอีเอส โชว์ผลงานพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะภูเก็ตหนุนเปิดเมือง-ปลอดภัยจากโควิด
ดีอีเอส โชว์ผลงานพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะภูเก็ตหนุนเปิดเมือง-ปลอดภัยจากโควิด
“พุทธิพงษ์”นำคณะผู้บริหารดีอีเอสพร้อมหน่วยงานในสังกัดติดตามผลงานการพัฒนาระบบจัดการท่าเรืออัจฉริยะจ.ภูเก็ตนำร่องตอบโจทย์การใช้งานเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยการคัดกรองและติดตามโรคระบาดเพิ่มความมั่นใจการผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ควบคู่การตรวจคัดกรองติดตามและเฝ้าระวังโควิด-19
วันนี้(1พ.ย. 63)นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯคณะผู้บริหารกระทรวงฯและหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจราชการณท่าเทียบเรืออ่าวปอจ.ภูเก็ตในโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่3/2563ระหว่างวันที่2-3พ.ย. 63ที่จ.ภูเก็ต
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่าโครงการท่าเรืออัจฉริยะ(Smart Pier)ต้นแบบท่าเทียบเรืออ่าวปอเป็นโครงการที่กระทรวงดิจิทัลฯโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(ดีป้า)ได้ดำเนินการพัฒนาจัดการท่าเรือณท่าเทียบเรืออ่าวปอต.ป่าคลอกอ.ถลางจ.ภูเก็ตเพื่อให้จังหวัดสามารถทราบข้อมูลและจำนวนผู้โดยสารในเรือแต่ละลำเก็บภาพVDOของผู้โดยสารพร้อมการคัดกรองอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนลงเรือเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยการคัดกรองและติดตามโรคระบาด
ทั้งนี้ระบบการจัดการท่าเรืออัจฉริยะในโครงการต้นแบบดังกล่าว ประกอบไปด้วย1.ระบบลงทะเบียนผู้โดยสารทางทะเลกลางผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยให้ผู้ประกอบการทัวร์หรือเจ้าของเรือลงทะเบียนรายชื่อผู้โดยสารลูกเรือกัปตันชื่อเรือพร้อมเส้นทางการเดินทางของเรือก่อนเรือออกในแต่ละวันพร้อมระบบรายงานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง
2.ระบบจัดการผู้โดยสารท่าเรืออัจฉริยะคือประตูอัตโนมัติจุดขึ้นลงเรือพร้อมCCTVจับใบหน้าและวัดอุณหภูมิและตู้พร้อมอุปกรณ์(Kiosk)ลงทะเบียนผู้โดยสารหน้าท่าเรือพร้อมกล้องจับใบหน้าเครื่องอ่านบัตรประชาชนและพาสปอร์ต3.ระบบWristbandsติดตามตัวบุคคลและร้องขอความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยและ4.เรือท่องเที่ยวที่ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการเพื่อเป็นต้นแบบท่าเรืออัจฉริยะ(Smart Pier)เป็นจุดOne Stop Serviceบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อการพัฒนาการบริหารงานท่าเทียบเรือในอนาคต
“แพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบในลักษณะOne Stop Serviceเช่นการเชื่อมต่อข้อมูลด้านประกันภัยแบบอัตโนมัติเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นนักท่องเที่ยวสามารถนำสายรัดข้อมือไปยืนยันการเคลมประกันกับโรงพยาบาลได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องโทรติดต่อประกันภัยหรือนำเอกสารยืนยันตัวต่างๆเข้าไปยื่นก่อนการรักษาสามารถเข้ารับการรักษาได้เลยเป็นลดขั้นตอนลดระยะเวลาไปอย่างมากหรือจะเป็นการส่งรายชื่อนักท่องเที่ยวทุกคนให้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าก่อนการออกเดินทางเพื่อเป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยซึ่งแพลตฟอร์มรองรับการอัปโหลดข้อมูลจากบริษัทนำเที่ยวจากนั้นแพลตฟอร์มจะทำการส่งข้อมูลเหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าและสามารถประมวลผลและสรุปผลได้โดยทันที”นายพุทธิพงษ์กล่าว
โดยในโอกาสนี้เขาได้มอบข้อเสนอแนะว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการท่าเทียบเรือจะทำให้ท่าเทียบเรือให้มีความปลอดภัยมากขึ้นอย่างไรก็ตามในการดำเนินการจะทำให้เพิ่มขั้นตอนการดำเนินงานและท่าเรือ/บริษัทนำเที่ยวมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือในการขยายผลในท่าเรืออื่นๆหรือเกิดการย้ายท่าเรือของบริษัทนำเที่ยวเพื่อหลีกเลี่ยงในกระบวนการในส่วนนี้ทำให้เกิดช่องโหว่ของการดูแลความปลอดภัยทางทะเล
ดังนั้นควรมีการกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่างๆให้เกิดเป็นรูปธรรมและขยายผลให้มีการดำเนินการทุกๆท่าเทียบเรือในจังหวัดภูเก็ตซึ่งจะทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้นและสามารถสร้างความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว
“ผมจึงมีคำสั่งการให้ดีป้าประสานงานกับกรมเจ้าท่าเพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการและการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่างๆเพื่อให้เกิดการขยายผลในทุกๆท่าเทียบเรือในจังหวัดภูเก็ตปิดช่องโหว่ข้างต้นเพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว”นายพุทธิพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ยังมองว่าโครงการท่าเรืออัจฉริยะ(Smart Pier)ต้นแบบท่าเทียบเรืออ่าวปอจะมีส่วนสนับสนุนให้ประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีความมั่นใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวภูเก็ตเพิ่มขึ้นภายหลังมีมาตรการผ่อนคลายการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูเก็ตซึ่งพึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลักจึงได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36401 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.