title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม "ไทยสะพัด นัดพบ ครบเครื่องเรื่องไทยๆ เดินเพลิน เดินชม ได้ชิม อิ่มเอมใจ" | วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม "ไทยสะพัด นัดพบ ครบเครื่องเรื่องไทยๆ เดินเพลิน เดินชม ได้ชิม อิ่มเอมใจ"
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม "ไทยสะพัด นัดพบ ครบเครื่องเรื่องไทยๆ เดินเพลิน เดินชม ได้ชิม อิ่มเอมใจ"
วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๒.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม "ไทยสะพัด นัดพบ ครบเครื่องเรื่องไทยๆ เดินเพลิน เดินชม ได้ชิม อิ่มเอมใจ" ณ ลานเอนกประสงค์ชั้น ๖ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ผู้บริหารศูนย์การค้า เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช ประธานสภาวัฒนธรรมเมืองพัทยาพร้อมกลุ่มสภาวัฒนธรรม ดารา นักแสดง นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ สื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ บริษัท เอสอาร์ซีซี จำกัด จัดกิจกรรมขึ้นภายใต้โครงการ "ไทยเพลิน เดิน ชม ชิม" ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นหลังจากสถานการณ์โควิด -19 โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบของตลาดวัฒนธรรมริมชายหาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น และเกิดความต้องการในการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยการขับเคลื่อนงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ณ บริเวณชายหาดพัทยา บริเวณแยกพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36586 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯปลื้ม “คนละครึ่ง” ประสบความสำเร็จ ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตั้งเป้าร้านค้าเข้าร่วม 1 ล้านราย | วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563
นายกฯปลื้ม “คนละครึ่ง” ประสบความสำเร็จ ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตั้งเป้าร้านค้าเข้าร่วม 1 ล้านราย
นายกฯปลื้ม “คนละครึ่ง” ประสบความสำเร็จ ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตั้งเป้าร้านค้าเข้าร่วม 1 ล้านราย
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินโครงการคนละครึ่งเป็นอย่างมาก ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งประชาชนและร้านค้า สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน เงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชันก็สะดวก โดยความคืบหน้าล่าสุด ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5.23 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7.1 ล้านคน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 7,629 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 3,888 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 3,741 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 216 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ
ทั้งนี้ ทางกระทรวงการคลังจะเปิดให้มีการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง รอบสอง ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ช่วง 06:00-23:00 น และในส่วนของการเพิ่มจำนวนร้านค้า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมครม.ไปก่อนหน้านี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังร่วมกันอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย เพราะมีจำนวนมากที่สนใจร่วมโครงการฯ แต่มีความกังวลเรื่องการทำธุรกรรมผ่านมือถือและวิธีการลงทะเบียน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ และอำนวยความสะดวกในเรื่องการรับรองว่าเป็นร้านค้าจริง ตั้งเป้าอยากให้มี 1 ล้านร้านค้า จะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ที่ผ่านมา จำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก จาก 3 แสนร้าน ช่วงปลายเดือน ต.ค. เป็น 5.23 แสนร้านแล้ว และในจำนวนนี้เป็นหาบเร่แผงลอย มากว่า 7 หมื่นราย
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกังวลก็คือ การฉวยโอกาสจากโครงการฯ เช่น การคิดราคาสินค้าที่สูงขึ้นหรือการทำธุรกรรมที่ไม่มีการซื้อขายจริง รัฐบาลจึงขอความร่วมมือจากประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ อย่าให้มีการดำเนินการไปในทางมิชอบ ไม่ทำลายบรรยากาศของการดำเนินโครงการคนละครึ่ง ซึ่งรัฐบาลตั้งใจจริงให้โครงการนี้ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย โดยใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส ในส่วนของธนาคารกรุงไทย ได้วางระบบการป้องกันการทุจริตในกิจกรรมที่เกี่ยวกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ไว้แล้ว และจะมีการระงับการใช้แอปพลิเคชันตลอดจนการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที หากพบการใช้จ่ายผิดเงื่อนไข และอาจมีการดำเนินการตามกฎหมายตามความผิดฐานฉ้อโกง ” รองโฆษกฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36583 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ ดันไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร | วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563
นายก ฯ ดันไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
นายก ฯ ดันไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการระหว่างการประชุมบอร์ดบีโอไอว่า แม้รัฐบาลกำลังรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ไทยต้องเตรียมทุกด้านให้พร้อมไว้ทั้งกฎระเบียบ แรงงาน โครงข่ายระบบดิจิทัลเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยหนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการใช้รถ EV (Electric Vehicles) ในส่วนราชการเป็นการนำร่อง ก่อนจะขยายไปรถขนส่งสาธารณะในปี 64 ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดบีโอไอครั้งล่าสุด ได้เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า (อีวี) รอบใหม่ ครอบคลุมการส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสารและรถบรรทุก รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่เป็นหลัก (Battery Electric Vehicles: BEV) ให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมควบคู่ไปด้วยกันได้ สำหรับการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ทั้งนี้ จะมีได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 หรือมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา หากมีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles หรือ PHEV ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
2) กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
3) กิจการผลิตสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
4) กิจการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงขอบข่ายและสิทธิประโยชน์ของประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า เพิ่มเติมรายการชิ้นส่วนสำคัญอีก 4 รายการ ได้แก่ 1) High Voltage Harness 2) Reduction Gear 3) Battery Cooling System และ 4) Regenerative Braking System พร้อมทั้งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้จูงใจมากขึ้นสำหรับกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีการลงทุนในขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ในอัตราร้อยละ 90 เป็นระยะเวลา 2 ปี กรณีที่มีขั้นตอนการผลิต Module หรือ Cell เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค รวมทั้งการผลิตเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วย โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 - 2562 มีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมฯแล้ว 26 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 78,099 ล้านบาท โดย 7 โครงการที่มีการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว แบ่งเป็น HEV (Hybrid Electric Vehicles) 3 ราย ได้แก่ นิสสัน ฮอนด้า และโตโยต้า / PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicles) 2 ราย ได้แก่ เมอร์เซเดส เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู และ BEV (Battery Electric Vehicles) 2 ราย ได้แก่ ฟอมม์ และ ทาคาโน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ในอนาคตโลกมีแนวโน้มการใช้รถ EV มากถึง 60% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด ด้วยความชัดเจนในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ไทยจะสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางฐานการผลิต EV ของอาเซียน โดยขณะนี้มีนักลงทุนหลายราย หลายสัญชาติแสดงความพร้อมที่จะเข้าลงทุนใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถ EV ซึ่งล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ยังเผยว่า ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของสหรัฐ ฯ ยังเข้ามาติดต่อรับข้อมูลด้วย
นอกจากนี้ บอร์ด BOI ยังได้มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นการลงทุนใน 3 ประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กิจการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง และกิจการวิจัยทางคลินิกอีกด้วย อีกทั้งขยายเวลาและปรับปรุง “มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ” ให้ครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ โดยสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึง ธันวาคม 2565 ///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36582 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วมมือ ETDA สร้างไกด์คุณภาพ รับยุคดิจิทัล | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ก.แรงงาน ร่วมมือ ETDA สร้างไกด์คุณภาพ รับยุคดิจิทัล
กระทรวงแรงงาน ร่วมมือ ETDA เดินหน้าหลักสูตรดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน นำร่องกลุ่มมัคคุเทศก์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานได้มีความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. หรือ ETDA) เพื่อสร้างแรงงานให้มีความรู้ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Commerce ซึ่งจะได้ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อย แรงงานนอกระบบ ผู้ถูกเลิกจ้างว่างงานที่มีความสนใจต้องการทำธุรกิจหรือขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ได้เข้าใจภาพรวมของกระบวนการทำอีคอมเมิร์ชตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และผลักดันให้ชุมชนสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์และเทคโนโลยีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ประชาสัมพันธ์กลุ่มชุมชน สินค้า และขายสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน เสริมสร้างแรงงาน กำลังคนทั้งกลุ่มนักศึกษาจบใหม่และผู้ว่างงาน ให้มีองค์ความรู้และสามารถในการทำอีคอมเมิร์ช อันเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาปากท้องชุมชน และสามารถใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 23 25 และ 26 พฤศจิกายน 2563 สอพธ. ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ในหัวข้อเทคนิคการใช้งาน e-Commerce Platform ต่างๆ ในการขายสินค้า โดยทีมวิทยากรจากสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย การเปิดร้านค้าออนไลน์ผ่านช่องทาง LINE OA ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปิด Facebook Page และการวิเคราะห์ตลาดและกลุ่มเป้าหมาย โดยทีมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จาก ETDA หัวข้อ การสร้างเนื้อหาเพื่อการขายสินค้าและบริการ ในรูปแบบ e-Commerce การถ่ายภาพและการแต่งภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ Go Online ไปให้สุดแบบถูกกฎหมาย โดยทีมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จาก ETDA รวมถึงหัวข้อ “ออนไลน์ทั้งที เจอแต่ทัวร์ดี ไม่มีทัวร์ลง” โดยทีม Internet for Better Life จาก ETDA รวมระยะเวลาการฝึกทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง โดยจัดอบรมให้แก่แรงงานนอกระบบกลุ่มมัคคุเทศก์ จำนวน 40 คน ณ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพัฒนาให้กลุ่มแรงงานดังกล่าวเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีองค์ความรู้และสามารถในการทำอีคอมเมิร์ชได้อย่าถูกต้องต่อไป
“การสร้างแรงงานให้มีความรู้ให้กับชุมชนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขยายผลสู่การทำ e-Commerce จะช่วยให้แต่ละชุมชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากจะมีความเข้มแข็งขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 ประเทศ ลงนาม RCEP ใหญ่สุดในโลก | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
15 ประเทศ ลงนาม RCEP ใหญ่สุดในโลก
วันจันทร์ที่ 23 พฤศิจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
น่ายินดีอย่างมากที่ 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ได้ร่วมลงนามความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค หรือ RCEP แล้ว โดยความตกลงนี้จะครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า การลงทุน E-Commerce ทรัพย์สินทางปัญญา และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดย RCEP ถือเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับประวัติศาสตร์และใหญ่ที่สุดในโลก มีคุณภาพ มาตรฐานสูง และมีนัยสำคัญต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันและผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของทุกประเทศ โดยหลังจากนี้ประเทศในอาเซียนอย่างน้อย 6 ประเทศ และประเทศในเอเชียแปซิฟิก 3 ประเทศ ต้องลงนามในสัตยาบัน เพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37001 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-แอฟฟริกาใต้ หารือความร่วมมือทางด้านการเกษตร | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ไทย-แอฟฟริกาใต้ หารือความร่วมมือทางด้านการเกษตร
ไทย-แอฟฟริกาใต้ หารือความร่วมมือทางด้านการเกษตร
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) หารือกับนายเจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชลล์ ดอยจ์ (Mr. Geoffrey Quinton Mitchell Doidge) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ประจำประเทศไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในโอกาสครบวาระประจำการ โดย ออท. แอฟริกาใต้ แสดงความขอบคุณหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ทำงานร่วมกันที่ผ่านมา พร้อมทั้งชื่นชมความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยและแอฟริกาใต้ และหวังว่าทั้งสองประเทศจะกระชับและสานสัมพันธ์ด้านการเกษตรกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ผลักดันให้แอฟริกาใต้นำเข้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ และข้าวจากไทย โดยสองฝ่ายสามารถจัดการประชุม Business Matching เพื่อหารือรายละเอียดร่วมกัน พร้อมทั้งเสนอให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร ไทย-แอฟริกาใต้ ครั้งที่ 2 (2nd Joint Agricultural Working Group: JAWG) ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งจะได้มีการหยิบยกประเด็นต่าง ๆ เข้ามาหารือในเวทีการประชุมนี้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังยืนยันการกู้เงินเพิ่ม 3 ล้านล้านบาท ในปี 2564 ไม่เป็นความจริง | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
คลังยืนยันการกู้เงินเพิ่ม 3 ล้านล้านบาท ในปี 2564 ไม่เป็นความจริง
ตามที่เว็บไซต์ https://www.siamtopicnews.com/archives/3350 ได้มีการเผยแพร่ข่าว ว่า “ปี 2564 รัฐบาลเตรียมกู้เงินเพิ่มจำนวน 3 ล้านล้านบาท มากสุดในประวัติศาสตร์ ทำให้หนี้สาธารณะทะลุ 9 ล้านล้านบาท” นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 จะมีรายการก่อหนี้ใหม่ จำนวน 1.47 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 623,000 ล้านบาท การกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 จำนวน 550,000 ล้านบาทการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จำนวน 133,657 ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่รัฐบาล และรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จำนวน 158,782 ล้านบาท ทั้งนี้ ในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันการกู้เงินเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นกลไกสำคัญ และเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านวิกฤตการณ์ดังกล่าวไปได้
สำหรับแผนการบริหารหนี้เดิม จำนวน 1.28 ล้านล้านบาท เป็นการปรับโครงสร้างหนี้เก่าที่ครบอายุ เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะอยู่ในกรอบต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยไม่ได้เป็นการเพิ่มยอดหนี้ใหม่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลัง โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปี 2564 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60
อย่างไรก็ดี การนำเข้า เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 เดินหน้านโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เท่าเทียม หางานให้คนพิการ สร้างรายได้ 18 ล้านบาท | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
จับกัง1 เดินหน้านโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสที่เท่าเทียม หางานให้คนพิการ สร้างรายได้ 18 ล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ตลอดปีงบประมาณที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ส่งเสริมการมีงานทำให้คนพิการ สามารถบรรจุงานให้คนพิการ ตามมาตรา 33 ทั้งสิ้น 1,806 ราย ก่อให้เกิดรายได้ต่อปี 18 ล้าน
นายสุชาติฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ดูแลผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส กำหนดให้มีมาตรการดูแลคนทุกช่วงวัย กลุ่มเปราะบาง คนพิการอย่างเหมาะสม ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามนโยบายมาโดยตลอด ด้วยกรมการจัดหางานมีภารกิจส่งเสริมการมีงานทำให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงการส่งเสริมการมีงานทำให้คนพิการที่ประสงค์จะทำงาน เพื่อสร้างโอกาสแก่คนพิการ มีงาน มีอาชีพ มีรายได้ พึ่งพาตนเองได้ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
โดยในปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา สามารถบรรจุงานคนพิการทำงานในสถานประกอบการ จำแนกตามระดับการศึกษา ดังนี้
1.ระดับประถมศึกษา (พนักงานรักษาความปลอดภัย ทำความสะอาด ดูแลสวน) จำนวน 615 คน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 9,000 บาท 2. ระดับมัธยมศึกษา (เจ้าหน้าที่คลังสินค้า พนักงานบริการ) จำนวน 809 คน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 9,000 บาท 3. ระดับปวช. (พ่อครัว พนักงานต้อนรับ) จำนวน 82 คน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 12,500 บาท 4. ระดับปวส./อนุปริญญา (เสมียน พนักงานบริการ) จำนวน 148 คน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 12,500 บาท 5.ปริญญาตรี (ผู้จัดการเฉพาะด้าน เจ้าหน้าที่สำนักงาน ช่างเทคนิค) จำนวน 152 คน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 16,500 บาท รวมทั้งสิ้น 1,806 คน จากผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนหางาน 2,161 คน สร้างรายได้ต่อปีรวม 18,199,000 บาท
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สำหรับคนพิการที่ยังไม่ได้รับการบรรจุตามมาตรา 33 เนื่องจากไม่พร้อมทำงานในสถานประกอบการ หรือมีปัญหาด้านสุขภาพ สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 เพื่อรับสิทธิในสัมปทานพื้นที่ทำกิน พื้นที่เพื่อจำหน่ายสินค้าหรือบริการ รับงานจ้างเหมาบริการ ฝึกงาน เข้ารับการอบรมในหลักสูตรประกอบอาชีพและรับความช่วยเหลืออื่นใด โดยมีกรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานรับเรื่องการขอใช้สิทธิของคนพิการ และรับเรื่องยื่นให้สิทธิตามมาตรา 35 จากนายจ้าง/สถานประกอบการ ซึ่งเปิดรับแจ้งตั้งแต่บัดนี้ – 31 ธันวาคม 2563
“ มีหลักเกณฑ์ว่า การจัดทำสัญญาขอใช้สิทธิของทั้งสองฝ่ายเป็นไปโดยสมัครใจ มูลค่าของสัญญาไม่น้อยว่า 112,420 บาทต่อปี และรายชื่อคนพิการที่ขอใช้สิทธิจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน จากการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา มีคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการมาใช้บริการขึ้นทะเบียนขอใช้สิทธิตามมาตรา 35 จำนวน 14,400 ราย ได้รับสิทธิตามมาตรา 35 จำนวน 14,390 ราย คิดเป็นร้อยละ 99.9” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับคนพิการที่ต้องการหางาน และสถานประกอบการที่มีความประสงค์จะจ้างคนพิการเข้าทำงานสามารถติดต่อขอรับบริการ ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
อนุทิน ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม”
อนุทิน ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2564 เดินหน้าพัฒนาโปรแกรม Thai Cancer-based ส่งต่อข้อมูลผู้ป่วย, แพลทฟอร์ม The ONE สำหรับโรงพยาบาลสืบค้นข้อมูล จองคิวรักษา ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับการรักษารวดเร็ว ผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัวพร้อมเร่งจัดซื้อเครื่องฉายรังสี 7 เครื่องรองรับ หลังรัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 1,013 ล้านบาท
วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2563) ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สื่อสารนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ว่า รัฐบาลต้องการพัฒนาคุณภาพการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน และวางรากฐานให้ระบบหลักประกันสุขภาพครอบคลุมทุกภาคส่วน ลดความเหลื่อมล้ำของระบบบริการ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็ว ลดความเจ็บปวด หรือประคับประคองให้มีชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ทุกข์ทรมาน ที่ผ่านมาก็มีนโยบายหลายเรื่อง เช่น การใช้สารสกัดกัญชา หรือก่อนหน้านี้รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณให้กับโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปในทุกเขตสุขภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง และอนุมัติงบประมาณ 1,013 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องฉายรังสี จำนวน 7 เครื่อง ส่งมอบให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลอีก 6 แห่งกระจายทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อลดการรอคอยการรักษา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยอยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดหาและล่าสุดได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรามาธิบดี และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้านการบริการการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน (Home Chemotherapy) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ให้ได้รับยาเคมีบำบัดได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
นายอนุทินกล่าวต่อว่า จากการขับเคลื่อนดังกล่าว ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ยกระดับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและมีความพร้อม ไม่แออัด และผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ซึ่งเป็นการบริหารจัดการระบบเพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าอย่างเหมาะสม ทั้งกรณีส่งต่อภายในเขตสุขภาพ หรือข้ามเขตสุขภาพ รวมทั้งมอบให้กรมการแพทย์ พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนระบบการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยและระบบบริหารจัดการ ผู้ป่วยมะเร็งได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม บริการไร้รอยต่อ รวดเร็ว ลดเวลารอคิว โดยจะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2564 และนำไปสู่การให้คนไทยรักษาโรคได้ทุกที่ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ จะมีการใช้นโยบายอื่นๆ มาสนับสนุนให้เกิดความสำเร็จ เช่น นโยบายคนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน ที่ช่วยให้เกิดการคัดกรอง ไม่ใช่ทุกคนที่ป่วยจะต้องมาโรงพยาบาลทั้งหมด รวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพ การให้บริการโรงพยาบาลทุกระดับ มีระบบส่งต่อที่มีคุณภาพ นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการ เป็นต้น
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 122,757 ราย และเสียชีวิตปีละ 80,665 ราย เมื่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ๆ มีความพร้อม”กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ จึงได้พัฒนาโปรแกรม Thai Cancer-based เป็นเครื่องมือช่วยให้การส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้แบบไร้รอยต่อ รวมทั้งพัฒนาแพลทฟอร์ม The ONE ช่วยสืบค้นข้อมูลและประเมินศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ โดยโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถจองคิวการตรวจทางรังสีวินิจฉัย จองคิวการรักษาด้วยรังสีรักษาและเคมีบำบัดผ่านแพลทฟอร์มนี้ได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาโปรแกรม DMS Bed Monitoring เพื่อใช้บริหารจัดการเตียง รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน DMS Telemedicine ที่ใช้นัดคิวเพื่อขอรับคำปรึกษาทางไกลจากแพทย์ (Tele-Consult) ในการนัดรับยา และติดตามการรับยาทางไปรษณีย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับประชาชน | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับประชาชน
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับให้บริการแก่ประชาชน โดยการจองล่วงหน้า ผ่านความร่วมมือแบบทวิภาคีกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบในคนระยะที่ 3 คือ บริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด จำนวน 26 ล้านโด๊ส วงเงิน 6,000 ล้านบาท ระยะเวลาตั้งแต่เดือนพ.ย. 63 – ธ.ค. 64 ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้คนไทยเข้าถึงวัคซีน ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยได้อย่างทั่วถึงเป็นธรรม ในเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ในโลก รวมถึงช่วยลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสียเชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37002 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงกรณีร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ประธานคณะอนุกรรมการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 และแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละลองที่ผ่าน ครม. เมื่อ 1 ต.ค.62 ยังไม่มีความคืบหน้าและการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมว่า ทุก ๆ ปีประเทศไทยจะประสบปัญหาฝุ่นละอองมีค่าเกินมาตรฐานในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีต่อต้นปี เนื่องจากซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รับอิทธิผลจากความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมส่งผลให้เกิดสภาพอากาศปิด ลมสงบ และชั้นบรรยากาศผกผัน (inversion) ทำให้ PM2.5 ไม่มีการกระจายตัว เกิดการสะสม ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้คือแหล่งกำเนิด ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้มีแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติฯ เมื่อปีที่ผ่านมา หน่วยงานได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการถอดบทเรียนและทบทวนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และจัดทำแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง 12 ข้อ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 และมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 โดยแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่โดยปรับปรุงแนวทางการกำหนดเกณฑ์ระดับปริมาณ PM2.5 ที่ให้หน่วยงานเพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานที่สามารถให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/จังหวัด/พื้นที่เสี่ยง สามารถพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมของการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของพื้นที่
มาตรการที่ 2 การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) เพิ่มเติมมาตรการในการลดและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด ได้แก่ ยานพาหนะ อุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง การก่อสร้างและผังเมือง และภาคครัวเรือน
มาตรการที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษเป็นการพัฒนาระบบ เครื่องมือ กลไกการบริหารจัดการ การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มเติมให้มีการพัฒนาเครือข่ายการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศเสริมเพื่อเป็นการเฝ้าระวังในพื้นที่ พัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์คุณภาพอากาศความละเอียดสูงและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศเพื่อประเมินฝุ่นละอองเชิงพื้นที่ จัดทำฐานข้อมูลสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากไฟป่าและการเผาในที่โล่ง พัฒนาระบบเตือนภัย และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาและใช้งานแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นต้น
รวมถึงได้มีการเพิ่มกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านวิชาการแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้ข้อเสนอแนะนโยบายและมาตรการข้อมูลและแนวทางการจัดการตามหลักวิชาการในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ได้มีการจัดทำแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง โดยเฉพาะในช่วงเกิดสถานการณ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) การสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ ตั้งศูนย์ข้อมูลการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ War room ในช่วงเกิดสถานการณ์ เพื่อบูรณาการและสื่อสารข้อมูล และ แต่งตั้งโฆษกเหตุการณ์ช่วงวิกฤตฝุ่นละออง
2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละออง ภายใต้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำกับดูแลและรับมือสถานการณ์
3) การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า
- การเก็บขนและใช้ประโยชน์เศษวัสดุในป่า (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) ระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2563
- การบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หรือวันที่จังหวัดกำหนด
4) สร้างเครือข่าย อาสาสมัคร และจิตอาสา เป็นกลไกหลักเข้าถึงพื้นที่ ทั้งสื่อสาร ติดตาม เฝ้าระวัง และดับไฟ
5) เร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ภายใต้ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน โดยกำหนดเป้าหมาย 12 จังหวัดภายในปี 2563 และ ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2570
6) เร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
7) การพยากรณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน โดยเริ่มใช้วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563
8) ประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการรายงานปริมาณฝุ่นละอองเชิงพื้นที่โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
9) พัฒนาระบบคาดการณ์ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาและใช้งานแอพพลิเคชันบัญชาการการดับไฟป่า โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
10) บริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยใช้แอพพลิเคชันลงทะเบียนจัดการเชื้อเพลิง
11) ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลป่าไม้ และลดการเผาป่า ผ่านการจัดที่ดินทำกิน
12) เจรจาสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งระดับอาเซียน ระดับทวิภาคี และระดับพื้นที่ชายแดน
พร้อมกันนี้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) ที่จัดตั้งโดยคณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อเป็นศูนย์ในการบูรณาการประสานงานรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ในรูปแบบ One Voice One Team ซึ่งได้มีแถลงข่าวและให้ข่าวทุกวันจันทร์และพฤหัสบดี รวมถึงให้มีการรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองรายวัน ข้อมูลองค์ความรู้ ซึ่งประชาชนสามารถติดตามได้จาก เฟซบุ๊คแฟนเพจ “ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” https://www.facebook.com/airpollution.CAPM
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กณัฐ” ปลัดกลาโหมฯ ลุยจัดระเบียบ Big cleaning รอบเกาะรัตนโกสินทร์ เตรียมพร้อมงานวันพ่อแห่งชาติ! | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
“บิ๊กณัฐ” ปลัดกลาโหมฯ ลุยจัดระเบียบ Big cleaning รอบเกาะรัตนโกสินทร์ เตรียมพร้อมงานวันพ่อแห่งชาติ!
เตรียมความพร้อม!! สำหรับกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1-6 ธ.ค. 63 นี้
เป็นการร่วมแรงร่วมใจของเหล่าจิตอาสาในโครงการ “รักษ์คลองคูเมืองเดิม เฉลิมพระเกียรติ” ที่ร่วมกันปฏิบัติการบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ โดยการลุยลอกตะกอนโคลนคลองคูเมืองเดิม พร้อมทั้งฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อลอกสีเดิมออกและทาสีใหม่, ตัดแต่งกิ่งไม้ ปรับภูมิทัศน์บนทางเท้า, จัดระเบียบต้นไม้, เก็บขยะ ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองคูเมืองเดิม เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสาน พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมมือกันระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) กรุงเทพมหานคร กรมเจ้าท่า กรมพัฒนาที่ดิน สถานีตำรวจ สำราญราษฎร์ สถานีตำรวจพระราชวัง และสถานีตำรวจชนะสงคราม โดย พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ส่งทีมงาน ลุยน่าน ปูทางฝึกอบรมด้านดิจิทัล | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
นฤมล ส่งทีมงาน ลุยน่าน ปูทางฝึกอบรมด้านดิจิทัล
รมช.แรงงาน มอบหมายคณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ลงพื้นที่จังหวัดน่าน หารือร่วมเจ้าอาวาสวัดโป่งคำ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และผู้นำชุมชน เตรียมจัดคอร์สฝึกอบรมแรงงานเกษตร สู่เกษตรดิจิทัล
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า มอบหมายให้นายพิรัส ศิริขวัญชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านยุทธศาสตร์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบในการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคทบัซซ์ ทีวี จำกัด ลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย เพื่อร่วมหารือการพัฒนาทักษะฝีมือด้านอีคอมเมิร์ชให้แก่แรงงานในพื้นที่จังหวัดน่าน ทั้งแรงงานภาคการเกษตร แรงงานนอกระบบ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดน่าน และรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมหารือด้วย
นายพิรัส กล่าวว่า ทีมงานได้ลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับแรงงานหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ผู้สูงอายุ ในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดโป่งคำและพื้นที่ตำบลดู่พงษ์ เยี่ยมชมศูนย์หัตถกรรมเครื่องประดับเงิน ดอยซิลเวอร์แฟคตอรี่ อ.ปัว กลุ่มคลัสเตอร์เกษตรแปรรูป บ้านถั่วลิสง อ.เมือง และศูนย์เครื่องเงินชมพูภูคา ต.ไชยสถาน อ.เมือง ศูนย์ฝึกอาชีพแก่คนพิการ ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.น่าน เพื่อรับฟังความต้องการความช่วยเหลือในด้านพัฒนาทักษะฝีมือ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของรมช.แรงงาน เร่งดำเนินการขับเคลื่อน พร้อมนำภาคีเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนการฝึกทักษะฝีมือด้านดิจิทัล ลงพื้นที่ด้วย ภาคเอกชนที่ลงพื้นที่ในครั้งนี้ สามารถจัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานทุกกลุ่มของจังหวัดน่านได้อย่างเข้มข้น โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน (สพน.น่าน) รับไปดำเนินการกำหนดวัน เวลา สถานที่ฝึกอบรมและประสานงานต่อกับผู้นำชุมชน
ด้านนายประทีป ทรงลำยอง รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2564 สนพ.น่าน ได้รับเป้าหมายพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานในพื้นที่ จำนวน 1,115 คน ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ ซึ่งรวมถึงกลุ่มแรงงานภาคเกษตรด้วย การดำเนินงานเพียงหน่วยงานเดียว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ จึงต้องบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ในส่วนนี้ได้เน้นย้ำและมอบหมายให้ สนพ.น่าน ประสานกับภาคีเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาแรงงานในพื้นที่ จัดหาหลักสูตรที่ทันต่อเทคโนโลยี ต่อยอดเรื่องของรายได้ได้ด้วย และตรงกับความต้องการของตลาด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมทักษะฝีมือให้สามารถสมัครเข้าทำงานในสถานประกอบกิจการหรือทักษะที่สามารถนำไปประกอบอาชีพอิสระได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีการติดตามประเมินผลหลังจากจบฝึกไปแล้ว ผู้ผ่านการอบรมไปประกอบอาชีพอะไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงหรือพัฒนาหลักสูตร หรือนำไปวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการต่อไป สำหรับครั้งนี้จังหวัดน่านได้รับโอกาสที่ดี มีภาคเอกชนที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านดิจิทัล มาสนับสนุนการฝึกด้วย ซึ่งคาดว่าจะขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 19” (CDIC 2020) | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 19” (CDIC 2020)
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 19” (CDIC 2020)
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 19” (CDIC) และแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่องการประกาศใช้บังคับของกฎหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 201-203 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค สำหรับการจัดงานในปีนี้ใช้แนวคิดหลัก “The Future of Next Normal Cyber Risk and Digital Immunity” การพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์และสิ่งที่จะเป็นวิถีปกติใหม่ถัดไปที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำสำคัญ “ภูมิคุ้มกันด้านดิจิทัล” ที่ว่า..จะทำอย่างไรที่จะช่วยกันสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้านดิจิทัลให้กับสังคมและประเทศไทย ให้มีและดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยั่งยืนท่ามกลางภัยคุกคามและอาชญากรรมทางไซเบอร์ ข้อมูลข่าวลวง-ข่าวปลอม การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจน social movement, social media ตามการเคลื่อนไหวทางสังคมและกระแสสื่อสังคมออนไลน์
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชี้เทรนด์อาหารจากพืชต่อยอดธุรกิจอาหารไทย | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
กรุงไทยชี้เทรนด์อาหารจากพืชต่อยอดธุรกิจอาหารไทย
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ชี้เทรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (Plant-based Food) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพืชที่กำลังได้รับความนิยม เป็นโอกาสของธุรกิจอาหารในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรที่ดีขึ้นให้กับธุรกิจ
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ชี้เทรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (Plant-based Food) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพืชที่กำลังได้รับความนิยม เป็นโอกาสของธุรกิจอาหารในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรที่ดีขึ้นให้กับธุรกิจ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์ คาดมูลค่าตลาด Plant-based Food ในไทยสามารถเติบโตได้เฉลี่ยถึงปีละ 10% หรือแตะระดับ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2024 แนะผู้ประกอบการบุกตลาด B2B เป็นจุดแรก
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (Plant-based Food) ซึ่งเป็นอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) ที่ใช้วัตถุดิบจากพืชที่ให้โปรตีนสูง เช่น ถั่ว เห็ด สาหร่าย ข้าวโอ๊ต อัลมอนด์ กำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคที่รักการดูแลสุขภาพและผู้รับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) หรือผู้ที่ทานเนื้อสัตว์ได้เป็นครั้งคราว และนวัตกรรมด้าน FoodTech ที่ก้าวหน้าทำให้อาหารมีความหลากหลาย รวมถึง บทเรียนจากโควิด-19 ที่มีผลต่อด้าน Food Security ส่งผลให้ Plant-based Food มีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมอาหารของโลกมากขึ้น โดยธุรกิจ Plant-based Food ในประเทศไทยมีโอกาสในการสร้างอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากเดิมที่ 2-10% ไปสู่ระดับ 10-35% และคาดว่ามูลค่าตลาดอาจแตะระดับ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2024 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%
“กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารในกลุ่ม Plant-based Food ที่มีโอกาสเติบโตในไทย คือ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากพืช (Plant-based Meat) อาหารปรุงสำเร็จจากพืช (Plant-based Meal) และไข่จากพืช (Plant-based Egg) ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร โดยผู้ผลิตอาหารที่น่าจะมองหาโอกาสในการต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการในธุรกิจแปรรูปเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ รวมทั้งผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตอาหารสำเร็จรูปทั้งแบบพร้อมปรุงและพร้อมทาน”
นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Beyond Meat และ Impossible Foods กลายเป็นผู้พลิกเกม หรือ Game Changer ที่สร้างเทรนด์ใหม่ให้กับอาหารของโลก โดยเป็นเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช (Plant-based Meat) ที่มีรสชาติ สีสัน และเนื้อสัมผัสเหมือนกับเนื้อวัวอย่างมาก ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนของ Startup ในต่างประเทศกลุ่ม Bio-engineered Food เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดนี้มีความน่าสนใจอย่างมาก
“ผลิตภัณฑ์ Plant-based Food ที่มีความแปลกใหม่ สามารถให้รสชาติ กลิ่นและสีสัน เหมือนกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์มากขึ้น จะยิ่งช่วยผลักดันให้ตลาดอาหารเจในไทยเติบโตและได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรสชาติและความหลากหลายของอาหารเจ โดยประเมินว่าผลิตภัณฑ์ Plant-based Food ทำให้จำนวนคนไม่บริโภคเนื้อสัตว์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้อีกมากจากในปี 2017 ซึ่งอยู่ที่เพียง 7 ล้านคน หรือคิดเป็นแค่ 12% ของประชากร”
นางสาวพิมฉัตร เอกฉันท์ นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า การทำตลาด Plant-based Food ในไทย คาดว่าจะเริ่มต้นจากตลาด B2B (Business-to-Business) ระหว่างผู้ผลิต Plant-based Food กับร้านอาหาร เพื่อนำไปประกอบอาหารเป็นเมนูทางเลือกให้กับลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยเห็นได้ชัดในต่างประเทศ ที่ร้านอาหารประเภทจานด่วนมีเมนูเป็น Plant-based Food เพิ่มขึ้น เช่น ในสหรัฐฯ ที่สัดส่วนจำนวนเมนูที่เป็น Plant-based Food ต่อจำนวนเมนูทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 1.9% ในปี 2008 เป็น 11.2% ในปี 2018 ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-based Food มองตลาดแบบ B2B เป็นจุดเริ่มต้นในการทำตลาดผลิตภัณฑ์
ทีม Marketing Strategy
โทร. 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- 3 กระทรวงฯ ใหญ่ จับมือผลักดัน ผลักดันการพัฒนาบุคลากร ยานยนต์สมัยใหม่ จับมือภาคเอกชนพร้อมชูนวัตกรรม ผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์ | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
3 กระทรวงฯ ใหญ่ จับมือผลักดัน ผลักดันการพัฒนาบุคลากร ยานยนต์สมัยใหม่ จับมือภาคเอกชนพร้อมชูนวัตกรรม ผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์
กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงนามสร้างและพัฒนาบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ณ ห้องโถง ชั้น 1 สำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงนามสร้างและพัฒนาบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลักดันการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายยศพล เวณุโกเศศ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ร่วมพิธีลงนาม ณ ห้องโถง ชั้น 1 สำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายด้านการขับเคลื่อน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลยานยนต์ไฟฟ้าเป็น 1 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้เป็นเมืองสะอาด ตลอดจนนำพาประเทศสู่โลกยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ปี 2573 จำนวนร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงาน และบุคลากรที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ในการร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1.) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทักษะฝีมือและวิชาการขั้นสูง ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนกำหนดกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างกำลังคนทักษะฝีมือและหรือวิชาการขั้นสูงที่สอดคล้องกับความต้องการการพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการให้แก่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการหรือกิจการที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และ 3.) เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม (Platform) กลางแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม และหน่วยงานภาคการศึกษา และเก็บข้อมูลเพื่อเป็นข้อมูลกลางด้านจำนวนกำลังคน และช่องว่างทางทักษะ (Skills Gap) ของกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
นายยศพล เวณุโกเศศ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า สอศ. เป็นหน่วยงานหลัก ในการผลิตแรงงานเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับอีกสองหน่วยงาน และภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ได้มีนโยบายขับเคลื่อนโครงการศูนย์การเรียนรู้ หรือ Excellent Center (EC) สำหรับการฝึกทักษะอาชีพให้แก่นักศึกษา โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการพัฒนาให้ครอบคุลม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และในอนาคตวางเป้าหมายเปิดศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC) โรงเรียนต้นแบบแห่งแรกเพื่อเป็นศูนย์กลางการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน-เอกชนในระดับภูมิภาค มุ่งพัฒนาศักยภาพบุคคล สู่การเป็น มนุษย์ที่มีความเป็นเลิศ ตามมาตรฐานสากล สมอ. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสอศ.มีหลักสูตรสำคัญที่เปิดสอนในปีการศึกษา 2564 คือ สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล สาขางาน (ย่อย) เทคนิคยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งหมด 16 วิทยาลัย ซึ่งสามารถต่อยอดด้านกำลังผลิตได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ปัจจุบัน สอศ. มีการทำความร่วมมือทวิภาคร่วมกับบริษัทผลิตแบตเตอรี่รถยนต์หลายบริษัท ซึ่งอยู่ในโครงการ EC โดยได้ร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทราในสังกัดของ สอศ.ดำเนินโครงการ EC ในด้านยานยนต์ ดังนั้นทางอาชีวศึกษามีความพร้อมในการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม การผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการนั้นยังคงต้องคำนึงถึงโอกาสในการประกอบอาชีพหลังสำเร็จการศึกษา ว่าจะสามารถรองรับจำนวนนักศึกษาจบใหม่ได้ครบถ้วนหรือไม่
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ตลอดจนเครือข่ายศูนย์วิจัยทั่วประเทศ จะสามารถช่วยในการสนับสนุนข้อมูล การใช้ห้องปฏิบัติการเครื่องมืออุปกรณ์ โรงงานต้นแบบ ให้กับผู้ประกอบการที่เป็นเครือข่ายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดให้ธุรกิจอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยการสนับสนุนดังกล่าว จะสามารถ ลดต้นทุน พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยความช่วยเหลือของนักวิจัยระดับชาติ ส่งต่องานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างได้สำเร็จ โดยผ่านกระบวนการเชื่อมโยงกับหน่วยงานในระดับจังหวัดในการขยายผลขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืนต่อไป
-----------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ฯ สุริยะ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
รัฐมนตรี ฯ สุริยะ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน โดยมี นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. เห็นชอบกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัด ชู ‘ระนอง’ จังหวัดนำร่อง | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ศธ. เห็นชอบกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัด ชู ‘ระนอง’ จังหวัดนำร่อง
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เห็นชอบกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัด ตามที่กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (กพร.สป.ศธ.) เสนอ
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เห็นชอบกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัด ตามที่กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (กพร.สป.ศธ.) เสนอ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการศึกษาปฐมวัยให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2562 โดยกำหนดให้ ‘ระนอง’ เป็นจังหวัดนำร่องในการขับเคลื่อนกลไกดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัด
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 นางเกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สป. (นายสมภพ อุณหชาติ) เป็นประธานการประชุม เพื่อออกแบบแนวทางการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาปฐมวัยเชิงบูรณาการภายใต้กลไกดังกล่าว โดยดำเนินการประชุมร่วมกับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดระนอง และหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดระนอง ณ โรงแรมเดอะกาลล่า อำเภอเมือง จังหวัดระนอง
ทั้งนี้ สป.ศธ.ได้จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการของกระทรวงศึกษาธิการ เสนอปลัดกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาและนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามคำสั่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังนี้
1. กำหนดนโยบายในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการให้สอดคล้องและบรรลุุเป้าหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560, ยุทธศาสตร์ชาติ, แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ, แผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ.2562
2. กำหนดแนวทางการสร้างความร่วมมือในการจัดการศึกษาปฐมวัยทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่
3. ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาปฐมวัยให้เกิดการบูรณาการให้บรรลุเป้าหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัยในระดับพื้นที่
4. ขับเคลื่อนกลไกการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการ
โดยในระยะต่อไป สป.ศธ.จะดำเนินการประชุมคณะทำงาน เพื่อขับเคลื่อนการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 และขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในกำกับการดูแลของสำนักงานศึกษาธิการภาคทั้ง 18 ภาคให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการศึกษาปฐมวัยต่อไป
ขอบคุณภาพ/ข่าว : กพร.สป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 (พ.ศ.2564 – 2565) เพื่อเป็นกรอบขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ระบบราชการ 4.0 | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ศธ.ประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 (พ.ศ.2564 – 2565) เพื่อเป็นกรอบขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ระบบราชการ 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ.2564 – 2565) ให้ส่วนราชการใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ระบบราชการ 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ.2564 – 2565) ให้ส่วนราชการใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ระบบราชการ 4.0
กระทรวงศึกษาธิการ โดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ทั้ง 4 องค์กรหลัก ได้แก่ กพร.สป., กพร.สกศ., กพร.สพฐ.และ กพร.สอศ.ได้ร่วมดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2564 – 2565) ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 3 ของกระทรวงศึกษาธิการ ตามแนวทางของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางในการพัฒนาระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ แผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินอันส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี : ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งมีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อปรับเปลี่ยนภาครัฐที่ยึดหลัก “ภาครัฐของประชาชน” เพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม
การดำเนินการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ 4.0 ส่งผลให้มีการพัฒนาองค์กรให้มีขีดสมรรถนะสูง ทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ อีกทั้งมีการวางระบบการบริหารราชการแบบบูรณาการ ที่มีความมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มีการปรับสมดุลในการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นอย่างมีคุณภาพ มีการทำงานแบบบูรณาการด้วยการใช้ยุทธศาสตร์ชาติเป็นตัวนำ
ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและผู้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยกระดับความโปร่งใสและความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการและการขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายและดำเนินการไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และเป้าหมายการพัฒนาประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รุกแก้ “ความยากจน-ความหิวโหย” เชื่อเป็นหนทางสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเริ่มที่ภาคการเกษตรเป็นลำดับแรก | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
รมต.อนุชา รุกแก้ “ความยากจน-ความหิวโหย” เชื่อเป็นหนทางสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเริ่มที่ภาคการเกษตรเป็นลำดับแรก
รมต.อนุชา รุกแก้ “ความยากจน-ความหิวโหย” เชื่อเป็นหนทางสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเริ่มที่ภาคการเกษตรเป็นลำดับแรก
วันนี้ (24 พ.ย.63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นางสาวณัฐธภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เข้าร่วมการประชุม
การประชุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากมติการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบและประสานงานหลักการขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs 17 เป้าหมายหลัก และ 169 เป้าหมายย่อย และมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนตุลาคม 2563 สภาพัฒน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการประชุมในจังหวัดและพื้นที่นำร่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและหารือสถานการณ์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนกลไกความร่วมมือในพื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นที่ ซึ่งผลจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขณะที่การกำหนดตัวชี้วัดในระดับจังหวัดที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบกำหนดยังไม่ตอบโจทย์สิ่งที่พื้นที่ต้องการ ซึ่งทางสภาพัฒน์ได้ทำการศึกษาและจะนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงตัวชี้วัดระดับจังหวัดให้มีความสอดคล้องกับพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกันจะเร่งสร้างการรับรู้ในพื้นที่ผ่านช่องทางต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำที่ประชุมว่า สิ่งสำคัญที่จะสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ จำเป็นต้องแก้ปัญหา “ความยากจนและความหิวโหย” ของคนทั้งประเทศให้ได้เป็นลำดับแรก โดยคำนึงถึงแผนปฏิรูปประเทศเป็นหลัก ส่วนการประชุมในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้รับฟังความคิดเห็นของคณะทำงาน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศครบถ้วนทุกมิติ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลภาคการเกษตร ทั้งตัวเลขครัวเรือน รายได้แรงงานภาคการเกษตร รวมถึงการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
........................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” หารืออี-คอมเมิร์ซยกระดับความปลอดภัยข้อมูล | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
“พุทธิพงษ์” หารืออี-คอมเมิร์ซยกระดับความปลอดภัยข้อมูล
“พุทธิพงษ์” หารืออี-คอมเมิร์ซยกระดับความปลอดภัยข้อมูล
“พุทธิพงษ์” หารือผู้ประกอบการแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสูงสุด หลังเจอข้อมูลลูกค้ารั่วไหลครั้งใหญ่ ย้ำทุกรายเป็น “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 2562 มาตรา 37 แม้จะอยู่ในช่วงขยายเวลาบังคับใช้ ทำให้ยังไม่มีลงโทษ แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศกระทรวงเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (24 พ.ย. 2563) ได้มีการเรียกประชุมหารือกับผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ๆ ที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำแนวทางดูแลข้อมูลของผู้ใช้บริการ และมาตรการในการดูแลข้อมูลผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสูงสุด ซึ่งในการประชุมวันนี้ ยังให้ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซ ชี้แจงข้อเท็จจริงของข่าวที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการรั่วไหล และมีการนำไปประกาศขายกันทางไซเบอร์
โดยจากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ข้อมูลผู้ใช้บริการที่รั่วไหลไปจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และถูกนำไปประกาศขายผ่านทางไซเบอร์ พบว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ในช่วงปี 2561 โดยประกอบด้วยข้อมูล เช่น ชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล วันที่ทำธุรกรรม จำนวนเงิน ช่องทางการขาย สำหรับขั้นต้น ดีอีเอส ได้ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง (USCERT) ในการประสานกับผู้ดูแลระบบเพื่อระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวแล้ว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า พ.ร.ฎ กำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ซึ่งขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไปอีก 1 ปี (27 พฤษภาคม 2563 – 31 พฤษภาคม 2564) แต่ยังกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงกำหนด ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มีบทลงโทษแต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2563 (18 กรกฎาคม 2563 – 31 พฤษภาคม 2564) กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการ ดังนี้
1.การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและอุปกรณ์ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยคำนึงถึงการใช้งานและความมั่นคงปลอดภัย 2.การกำหนดเกี่ยวกับการอนุญาตหรือการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล 3.การบริหารจัดการการเข้าถึงของผู้ใช้งานเพื่อควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 4.การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ใช้งาน เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต การเปิดเผย การล่วงรู้ หรือการลักลอบทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล การลักขโมยอุปกรณ์จัดเก็บหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล 5.การจัดให้มีวิธีการเพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังเกียวกับการเข้าถึง เปลี่ยนแปลง ลบ หรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคล ให้สอดคล้องเหมาะสมกับวิธีการและสื่อที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
นอกจากนี้ พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 5 และ 7 กำหนดว่า ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลรู้ว่ามีการเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีด้วย
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุดเมื่อเกิดเหตุข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหล ผู้ให้บริการพึงจะต้องชี้แจงประชาชนผู้ได้รับผลกระทบถึงรายละเอียดข้อมูลที่ถูกเข้าถึง และแนะนำวิธีการปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนรหัสผ่าน และระมัดระวังเมื่อมีคนโทรไปเพื่อหลอกลวง นอกจากนี้ ผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ควบคมข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้คู่สัญญาที่เป็นผู้ประมวลข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งที่เป็นคนกลางในการบริหารจัดการขาย (sales management platform) และผู้ให้บริการคลังสินค้าและขนส่ง
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนควรระมัดระวังในการใช้งาน Platform e-Commerce เพื่อลดผลกระทบกรณีข้อมูลรั่วไหล ได้แก่ เจ้าของข้อมูลไม่ควรหลงเชื่อโอนเงินให้กับผู้ที่ติดต่อเข้ามาทางโทรศัพท์ หรือ อีเมล์ ในทันที ควรตรวจสอบโดยการติดต่อกลับไปยังช่องทางปกติ, หากมีผู้ติดต่อมาว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อให้โอนเงิน ควรปฏิเสธการโอนเงิน และติดต่อกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดโดยตรง , หากมีการแจ้งเตือนเรื่องการเปลี่ยนรหัสผ่านทางอีเมล์ หรือ SMS ไม่ควรคลิกลิงก์ในทันที ให้ตรวจสอบกับหน่วยงานหรือผู้ให้บริการโดยตรง, แจ้งผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร เพื่อให้ทราบความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการแอบอ้างเป็นเจ้าของข้อมูล เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยทุก 6 เดือน, กำหนด username password ให้แตกต่างกันออกไปในแต่ละบริการ, กรณีที่เป็นการใช้งานจากแอปพลิเคชันบนมือถือ ควรมีการติดตั้งแอปพลิเคชันป้องกันมัลแวร์ โดยหากมีข้อสงสัย ต้องการแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 1212
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
กระทรวงเกษตรฯ พร้อมผลักดันความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) หารือร่วมกับนายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (US- ASEAN Business Council : USABC) และคณะธุรกิจซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และหาแนวทางที่ภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา สามารถสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
ในการหารือครั้งนี้ผู้แทนจากประเทศไทยได้รับฟังแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมเกษตรในด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาศึกษา ปรับใช้และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในการควบคุมคุณภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการผลักดันเกษตร 4.0 พร้อมทั้งสนับสนุนความร่วมมือกับนานาประเทศในการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มสิทธิประโยชน์ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เหมาะกับปัจจุบัน | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
เพิ่มสิทธิประโยชน์ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เหมาะกับปัจจุบัน
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบหลักเกณฑ์เพิ่มสิทธิประโยชน์การจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าทำศพ และค่าช่วยเหลือบุตรและการศึกษาของบุตรของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจเพิ่มเติม ประกอบด้วย การเบิกค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้ ขณะเดียวกันยังปรับอัตราค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนประเภทผู้ป่วยในให้สูงขึ้น รวมทั้งสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงได้ด้วย นอกจากนี้ ยังปรับอัตราจ่ายค่าทำศพให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และปรับอัตราเงินช่วยเหลือบุตรจากเดือนละ 50 บาท เป็นเดือนละ 200 บาท และเพิ่มสิทธิการเบิกค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตรไปจนถึงการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือผู้ชุมนุม เคารพกฎหมาย หลีกเลี่ยงการกระทำผิด ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือผู้ชุมนุม เคารพกฎหมาย หลีกเลี่ยงการกระทำผิด ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด
โฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือผู้ชุมนุม เคารพกฎหมาย หลีกเลี่ยงการกระทำผิด ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด
วันนี้ (24 พ.ย. 63) เวลา 14.15 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงการชุมนุมในวันที่ 25 พ.ย. 63 โดยขอความร่วมมือกลุ่มผู้ชุมนุมเคารพกฎหมาย ปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรุนแรง ซึ่งในการชุมนุมที่ผ่านมา จะมีการเตือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นระยะว่าสามารถกระทำอะไรได้ กระทำอะไรไม่ได้ สำหรับการชุมนุมในวันที่ 25 พ.ย. ณ บริเวณสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอความร่วมมือไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมรุกล้ำเข้าในพื้นที่บริเวณที่ห้ามเข้า พร้อมวอนผู้ชุมนุมหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า การปะทะ รวมทั้งรับฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพื้นที่ใดสามารถเข้าไปได้และพื้นที่ใดไม่สามารถทำได้ เพื่อให้ภาพรวมเป็นไปด้วยความสงบ เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมาได้พบเห็นการดำเนินการของกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น บริเวณหน้ารัฐสภา บริเวณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ทั้งการทำลายทรัพย์สินของทางราชการและเอกชนด้วยการสาดสี พ่นสเปรย์สี ด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือกลุ่มผู้ชุมนุมให้ดำเนินการชุมนุมอย่างเคารพกฎหมาย เพราะการชุมนุมโดยสงบสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่หากมีการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย เพราะประเทศไทยยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรมและทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำว่า การชุมนุมสามารถดำเนินการการได้ตามสิทธิ แต่ขอทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย หลีกเลี่ยงการกระทำผิดในทุกมาตรา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงวานนี้แล้วว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้นขึ้น
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าในวันที่ 25 พ.ย. 63 นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารสภาธุรกิจสหรัฐ – อาเซียน (US-ASEAN Business Council) ในรูปแบบการประชุมกึ่งออนไลน์เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยผู้บริหารบางส่วนที่อยู่ต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุมผ่านทางไกล (Video Conference) และผู้บริหารเจ้าหน้าที่ที่พำนักอยู่ในประเทศไทยจะเข้าร่วมประชุม ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้บริหารและผู้แทนภาคเอกชนจำนวน 89 คน จาก 38 บริษัท จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สุขภาพและวิทยาศาสตร์ อาหารและการเกษตร การผลิตและภาษี การบริหารทางการเงิน การท่องเที่ยวและการคมนาคม เพื่อหารือถึงแนวทาง มาตรการของเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 รวมทั้งรับฟังข้อเสนอจากนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาเพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่น่าลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยสภาธุรกิจสหรัฐ – อาเซียน มีกำหนดการพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ อีกด้วย
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
การประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด
รองปลัด กษ. ร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุมชุณหวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) ขอความร่วมมือจากหลายสมาคม หาวิธีอย่างไรไม่ให้เกษตรกรเผาอ้อยก่อนตัด เพราะทำให้เกิดปัญหาค่า pm 2.5 สูงตามมา 2) ขอทุนมาช่วยเหลือเกษตรกรซื้อเครื่องตัดอ้อยให้เกษตรกรเพื่อหลีกเลี่ยงการเผาอ้อยก่อนตัด 3) คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบประมาณโครงการป้องกันและปราบปรามน้ำตาลสูญหาย การลักลอบนำเข้า-ส่งออก และการป้องกันอุบัติเหตุจากการขนส่งทางน้ำ และ 4) ประมาณการราคาน้ำตาลทรายดิบ (Sugar#11) และอัตราแลกเปลี่ยน (USD/THB) เพื่อประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้น และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2563/64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยข่าวดี คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กลางปีหน้า | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
สธ.เผยข่าวดี คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กลางปีหน้า
สธ.เผยข่าวดี คาดคนไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กลางปีหน้า
กระทรวงสาธารณสุข เผยข่าวดีคนไทย และเป็นข่าวดีในระดับโลก วัคซีนวิจัยป้องกันโควิด 19จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่รัฐบาลไทยตกลงร่วมมือในการพัฒนาและเตรียมจัดซื้อวัคซีน ประสบผลสำเร็จเกินข้อกำหนด WHO ประสิทธิผลสูงสุดถึง 90% ไม่พบอาสาสมัครที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล/มีอาการรุนแรง ชูจุดเด่นกำลังการผลิตสูง จัดเก็บง่าย ขนส่งสะดวก เตรียมขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง คาดคนไทยได้ใช้กลางปีหน้า
บ่ายวันนี้ (24 พฤศจิกายน2563) ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าว ความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด19ว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,700 ล้านบาท เพื่อการจัดหาวัคซีนด้วยวิธีการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน นับเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลทดลองในเบื้องต้นพบว่า วัคซีนวิจัย AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าร่วมกันพัฒนา มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดของ WHO โดยการให้วัคซีนแบบแรก คือ ฉีดครึ่งโดสแล้วฉีดตามด้วยอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 สูงถึง 90% และการให้วัคซีนแบบที่สอง คือ การฉีดวัคซีน 1 โดสแล้วฉีดตามอีก 1 โดสหลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ 62% จากการให้วัคซีนทั้ง 2 แบบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลโดยรวมอยู่ที่ 70.4% ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด 19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง พบว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขั้นตอนถัดไปบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จะนำเสนอผลการทดลองเบื้องต้นที่สมบูรณ์ (full interim) เพื่อการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องต่อไป
“วัคซีนวิจัย AZD1222 มีความพร้อมในเรื่องการเตรียมกำลังการผลิตที่มีฐานการผลิตทั่วโลกและมุ่งหวังที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอแก่ประเทศต่างๆ จัดเป็นความหวังของชาวโลก นอกจากนี้ วัคซีนสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนในระบบปกติของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ คนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น คาดว่าจะได้รับวัคซีนกลางปีหน้า เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทยและเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศเพื่อความมั่นคงในระยะยาว สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนโควิด 19 อยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563” นพ.โอภาสกล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับแอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมากโดยไม่หวังผลกำไร เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ด้านนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า และมอบให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าวโดยให้มีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว โดยครั้งนี้ จะเป็นการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคโควิด 19 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสีย
เชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่าสี่แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 14.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาซื้อวัคซีนจากการจอง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจภาคสนามเรื่อง คนละครึ่ง พึ่งได้ โดนใจประชาชน | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ผลสำรวจภาคสนามเรื่อง คนละครึ่ง พึ่งได้ โดนใจประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง คนละครึ่ง พึ่งได้ โดยสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 1,121 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.6 ระบุว่า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและร้านค้ารายย่อย ลดความเดือดร้อนประชาชน และเมื่อเดินตลาดเห็นคนจับจ่ายใช้สอย ทำให้มีความสุข อีกทั้งโครงการคนละครึ่ง ทำประชาชนคุ้นเคยการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ กว่าร้อยละ 90.5 ของกลุ่มเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และร้อยละ 89.8 ของกลุ่มที่ไม่ใช่เยาวชน ส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐบาล หากมีโครงการช่วยเหลือประชาชนลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนโยบายดังกล่าวสามารถตอบโจทย์เพื่อช่วยเหลือและลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องค่าครองชีพได้เป็นอย่างดี
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือแผนการดำเนินการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 นำนวัตกรรมเพิ่มศักยภาพองค์กร | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
ดีอีเอส หารือแผนการดำเนินการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 นำนวัตกรรมเพิ่มศักยภาพองค์กร
ดีอีเอส หารือแผนการดำเนินการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 นำนวัตกรรมเพิ่มศักยภาพองค์กร
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ที่ประชุมร่วมพิจารณาเรื่องแผนการดำเนินการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 ของสำนักปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ และแนวทางในการปรับปรุงข้อที่ยังไม่ผ่านการประเมินเมื่อปีงบประมาณ 2563 และการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ ณ ห้องประชุม 802 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ทั้งนี้แผนการดำเนินการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0 เป็นตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยหน่วยงานภาครัฐในฐานะมีหน้าที่ผลักดันนโยบายของรัฐบาลจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน แนวคิด และวิธีการ ยึดหลักธรรมาภิบาล เน้นการเปิดกว้างให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม เชื่อมโยงการทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างนวัตกรรม พัฒนาหน่วยงานให้เป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง เพื่อให้สามารถผลักดันนโยบายยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีร่วมยินดีกับ 7 หน่วยงานที่ได้รับรางวัล ITA Awards พร้อมแนะพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อการประเมินความโปร่งใสในการทำงาน | วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
รองนายกรัฐมนตรีร่วมยินดีกับ 7 หน่วยงานที่ได้รับรางวัล ITA Awards พร้อมแนะพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อการประเมินความโปร่งใสในการทำงาน
รองนายกรัฐมนตรีร่วมยินดีกับ 7 หน่วยงานที่ได้รับรางวัล ITA Awards พร้อมแนะพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อการประเมินความโปร่งใสในการทำงาน โดย “สำนักงาน กสทช.” ได้รับรางวัลในประเภทกองทุนและหน่วยงานอื่นของรัฐ
วันนี้ (24 พ.ย. 63) ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโล่เกียรติยศการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ITA Awards) เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังนี้ ประเภทรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทองค์การบริหารส่วนตำบล ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ประเภทเทศบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ เทศบาลตำบลอุดมธัญญา อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ประเภทสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีประเภทกองทุนและหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประเภทส่วนราชการระดับกรม ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และประเภทองค์การมหาชน ได้แก่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับรางวัล พร้อมย้ำว่าการป้องกันและปราบปรามทุจริตนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการทุจริตจะเป็นบ่อเกิดของปัญหา เช่น ปัญหาศีลธรรม ปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง รวมไปถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยได้มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงแผนการปฏิรูปประเทศ ทุกวันนี้ จะใช้แค่วิธีการป้องกันและปราบปรามเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ จะต้องมีการรณรงค์ร่วมมือกับเอกชน ประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ ในการสนับสนุนหน่วยงานและบุคคลที่กระทำดี สร้างสิ่งจูงใจ ยกย่อง ให้เกิดความภาคภูมิใจ และเป็นแบบอย่างให้หน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดแนวร่วมอย่างกว้างขวาง การที่จะป้องกันและปราบปรามทุจริตอย่างได้ผลนั้นได้ใช้ความโปร่งใสเป็นตัวชี้วัด เช่น การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งอาจต้องนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานของตนมีความโปร่งใสต่อการตรวจสอบ และไม่ขัดข้องในการชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้นำเอาความมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการประเมินการทำงานจนกระทั่งได้หน่วยงานที่ได้คะแนนมากที่สุด 7 หน่วยงาน ขอให้ทุกหน่วยงานได้รักษาคุณภาพ และมาตรฐานนี้เพื่อพัฒนาต่อยอดให้ได้ผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปรับกิจกรรมการใช้ชีวิต | วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563
สธ.แนะประชาชนติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปรับกิจกรรมการใช้ชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำประชาชนติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ต่อเนื่องทุกวัน พร้อมปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นขนาดเล็กได้
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำประชาชนติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ต่อเนื่องทุกวัน พร้อมปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นขนาดเล็กได้
วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สภาพอากาศพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมลฑล พบมีปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ในบางช่วงเวลาและบางวัน ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เนื่องจากค่าฝุ่นละอองในแต่ละวันไม่เท่ากัน ควรปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน เน้นความปลอดภัยของตนเอง โดยติดตามได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai (แอร์ ฟอร์ ไทย) ของกรมควบคุมมลพิษ หรือเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” หากอยู่ในพื้นที่สีเหลือง สีส้ม สีแดง ควรหลีกเลี่ยงหรือลดกิจกรรมกลางแจ้ง แต่หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงค่าฝุ่นสูง ควรใส่หน้ากาก N95 และไม่ควรอยู่เป็นเวลานาน สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้
นอกจากนี้ ควรลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นในบ้าน เช่น กวาด/เผาขยะ จุดธูป ควรปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ดูแลทำความสะอาดบ้านให้ปลอดฝุ่น โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดแทนการกวาด ป้องกันการฟุ้งกระจาย และขอความร่วมมือประชาชนลดการเผาป่า/เผาไร่นา ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการเกิดฝุ่นควันได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ ประชาชนควรหมั่นสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้น หากมีโรคประจำตัวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษควรพักผ่อนให้เพียงพอ ลดการทำกิจกรรมและออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
**************************** 22 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36963 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2563 | วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด 9 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ตรวจพบขณะรักษาที่โรงพยาบาล 1 ราย และติดเชื้อในประเทศ 1 ราย มีผู้ป่วยกลับบ้
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด 9 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ตรวจพบขณะรักษาที่โรงพยาบาล 1 ราย และติดเชื้อในประเทศ 1 ราย มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,761 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.12 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 92 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 2.35 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 60 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,913 ราย
โดยรายละเอียดผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ได้แก่
1.ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ
- ชาวไทย 2 ราย เดินทางมาจากประเทศฝรั่งเศส 1 ราย, เนเธอร์แลนด์ 1 ราย เข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ตรวจพบเชื้อ มีอาการไอ มีเสมหะ และปวดศีรษะ เข้ารับรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ
- ชาวไทย 4 ราย เดินทางมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย และฮังการี 2 ราย เข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) สถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) และสถานที่กักตัวทางเลือกต่างจังหวัด (Alternative Local State Quarantine) ทั้งหมดตรวจพบเชื้อ ไม่แสดงอาการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ
- ชาวไทย 1 ราย เดินทางมาจากประเทศเมียนมา ได้รับการส่งต่อจาก รพ.เอกชน ผลตรวจพบเชื้อมีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศรีษะ เข้ารับการรักษาที่ รพ.แม่สอด
- ชาวต่างชาติ 3 ราย เดินทางมาจากประเทศนอร์เวย์ 2 ราย และสหรัฐอเมริกา 1 ราย เข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ทั้งหมดตรวจพบเชื้อ ไม่แสดงอาการ เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน โดยค่าใช้จ่ายคิดจากประกันโควิด 19 ที่ผู้เข้ารับการกักตัวทำไว้ก่อนเดินทางเข้าประเทศ
2.ผู้ติดเชื้อในประเทศไทย 1 ราย เพศชาย อายุ 48 ปี สัญชาติเมียนมา อาชีพรับจ้าง พักอยู่ในศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ผลตรวจพบเชื้อโดยมีอาการไข้ เข้ารับการรักษาที่ รพ.แม่สอด
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกวันนี้ มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 581,603 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 58,487,754 ราย แนวโน้มผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สำหรับประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย เช่น มาเลเซีย เมียนมา ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันนี้กว่า 1,000 ราย ซึ่งประชาชนคนไทยไม่ควรประมาท การ์ดอย่าตก ยังคงต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ทั้งการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่ที่คนจำนวนมาก ลงทะเบียนแพลตฟอร์มไทยชนะ เมื่อเข้าใช้สถานที่ต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีโอกาสที่จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศได้ ขอให้ประชาชนไม่ต้องตระหนกและมั่นใจในมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีความพร้อมทั้งบุคลากร ห้องปฏิบัติการ และระบบรักษาที่มีประสิทธิภาพ มีทีมสอบสวนโรค ที่ทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูบ้านในพื้นที่ ค้นหาเชิงรุก ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ หากพบผู้ติดเชื้อก็จะนำเข้าสู่ระบบการรักษาทันที ทำให้จำกัดวงของการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างในชุมชน
************************************* 22 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36964 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ชื่นชมฟาร์มแพะเสรีเป็นระบบได้มาตรฐาน ดันฟื้นฟูอาชีพเลี้ยงแพะ หลังวิกฤตโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
‘รมช.ประภัตร’ ชื่นชมฟาร์มแพะเสรีเป็นระบบได้มาตรฐาน ดันฟื้นฟูอาชีพเลี้ยงแพะ หลังวิกฤตโควิด-19
‘รมช.ประภัตร’ ชื่นชมฟาร์มแพะเสรีเป็นระบบได้มาตรฐาน ดันฟื้นฟูอาชีพเลี้ยงแพะ หลังวิกฤตโควิด-19
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมฟาร์มแพะเสรี ของนายเสรี บุญยรักษ์ ตำบลวิชิต อำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ และหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้อง ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้ส่งเสริมการวางระบบและคุณภาพฟาร์มแพะเนื้อ คือ ฝึกอบรมการพัฒนาจัดการฟาร์มแพะและสุขภาพแพะ และการช่วยเหลือด้านสุขภาพเบื้องต้น การค้นหาควบคุมโรค ทั้งนี้ ได้ส่งเสริมการพัฒนาผลิตสินค้าเกษตรหลักของภาคและสร้างความเข้มแข็งสถาบันเกษตรกรแนวทางการพัฒนา ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามความต้องการของตลาด และมีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับ ฟาร์มแพะเสรี มีแพะจำนวน 300 ตัวสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดภูเก็ต ได้มีการวางแผนการดำเนินงาน โดยการพัฒนาฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันได้รับการรับรองฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่ไม่เหมาะสม (GFM)เพื่อให้ได้รับการรับรองฟาร์มที่มีการปฎิบัติการทางการเกษตรที่ดี (GAP)(มาตรฐานฟาร์ม) และเป้าหมายเพิ่มแม่พันธุ์แพะให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตแพะขุนปีละไม่น้อยกว่า 600 ตัว สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 240,000 บาท ภายในปี 2564
“จากวิกฤตโควิด 19 ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยได้รับผลกระทบโดยตรง รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรฯ จึงส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีรายได้ และอาชีพทางเลือกที่ใช้น้ำน้อย ผ่านโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และเกี่ยวกับกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯ (โคขุน กู้วิกฤตCovid-19)ซึ่งเป็นโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มีตลาดรองรับที่แน่นอน มีการประกันราคา สำหรับการสนับสนุนเงินทุน ธนาคารเพื่อการเกษตรอละสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเลี้ยงสัตว์ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย 100 บาท/ปี“ นายประภัตร กล่าว
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ จะดูแลด้านการจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การจัดการด้านอาหารสัตว์ การจัดการด้านระบบประกันภัยสัตว์ การจัดการ ด้านเครือข่ายและตลาดรับซื้อเพื่อการส่งออกต่างประเทศ เป็นต้น โดยกำหนดชนิดของสัตว์ที่ส่งเสริม ให้เกษตรกรเลี้ยงมี 4 ชนิด ได้แก่ โคเนื้อขุน กระบือเนื้อ แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง การดำเนินการส่งเสริมและเลี้ยงสัตว์ภายใต้หลักการ “ตลาดนำการผลิต” เพื่อลดความเสี่ยงด้านภาระหนี้สิน เป็นการเพิ่มทางเลือกและ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินปฏิเสธข่าวการซื้อหุ้น AMANAH Leasing ร่วมธุรกิจจำนำทะเบียน | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
ออมสินปฏิเสธข่าวการซื้อหุ้น AMANAH Leasing ร่วมธุรกิจจำนำทะเบียน
ธนาคารออมสิ ปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับ AMANAH Leasing หลังจากมีกระแสข่าวระบุว่าธนาคารออมสินมีแผนเข้าซื้อหุ้นของบริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โดยนายวิทัยกล่าวว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับ AMANAH Leasing หลังจากมีกระแสข่าวระบุว่าธนาคารออมสินมีแผนเข้าซื้อหุ้นของบริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โดยนายวิทัยกล่าวว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ปัจจุบัน ธนาคารออมสินอยู่ระหว่างการตรวจสอบกิจการและเจรจาขั้นสุดท้ายกับผู้ประกอบการนอนแบงก์ จำนวน 8 ราย เพื่อคัดเลือกเข้าร่วมทุนดำเนินธุรกิจสินเชื่อรายย่อย โดย AMANAH Leasing ไม่อยู่ในรายชื่อของทั้ง 8 รายดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'บิ๊กป้อม' ลงใต้ เปิดมหกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน กระตุ้นจ้างงานฟื้นฟูเศรษฐกิจภูเก็ต | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
'บิ๊กป้อม' ลงใต้ เปิดมหกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน กระตุ้นจ้างงานฟื้นฟูเศรษฐกิจภูเก็ต
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ภูเก็ต เปิดงานมหกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน@Phuket ส่งเสริมการจ้างงาน ให้คนในพื้นที่มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็วจากผลกระทบโควิด -19 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน@Phuket ณ อาคารยิมเนเซี่ยม เทศบาลนครภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวรายงาน ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับ โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็วจากผลกระทบโควิด -19 การจัดงาน กระทรวงแรงงานพบประชาชน @Phuket ในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงาน ให้คนในพื้นที่มีอาชีพ มีรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจภาคเอกชนให้กลับมาประกอบกิจการได้เป็นปกติ จะเห็นได้ว่าได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของกระทรวงแรงงานในวันนี้ เป็นการตอบสนองกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐโดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคบริการและท่องเที่ยว ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถทำงานได้ในภูมิลำเนาของตนเอง นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกต่อการทำงานและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทำให้วัยแรงงานได้รับการยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมองที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรม เทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก มีความรู้การบริหารจัดการทางการเงิน ทำให้ประชาชนทุกช่วงวัยและทุกคนอาศัยร่วมกันในประเทศมีความสุขยั่งยืน ในสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความสามัคคีปรองดอง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความสงบปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และในขณะเดียวกันก็มีภาครัฐที่ทำงานเพื่อประชาชนอย่างสุจริต โปร่งใส ใส่ใจการบริการและทำงานรวดเร็ว และขอขอบคุณเทศบาลนครภูเก็ตที่สนับสนุนสถานที่จัดงานในครั้งนี้
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครแรงงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2563 ของจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง ระนอง สตูล จำนวน 6 ราย และมอบใบประกาศนียบัตรสถานประกอบการที่ให้ความสำคัญในการชำระเงินสมทบถูกต้อง ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) จำนวน 5 ราย และเยี่ยมชมบูธกิจกรรมภายในงาน ได้แก่ กิจกรรมนัดพบแรงงาน (Phuket Job Fair) ซึ่งมีสถานประกอบการมาออกบูธรับสมัครงานกว่า 30 บริษัท ตำแหน่งงานว่างกว่า 3,000 อัตรา กิจกรรมนัดพบจ้างนักศึกษาจบใหม่ (Co - Payment) มหกรรมสร้างอาชีพ สร้างรายได้ แสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายของกลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน และกลุ่มอาชีพอิสระ พร้อมฝึกปฏิบัติ 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน 69 สาขา กิจกรรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ฝึกอบรมทักษะฝีมือ ทดสอบมาตรฐาน และรับรองความรู้ความสามารถ คลินิกแรงงาน ซึ่งจะให้ปรึกษาด้านข้อพิพาทแรงงาน บริการลงทะเบียนและฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ผู้ประกันตนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และรับสมัครผู้ประกันตนมาตรา 39 มาตรา 40 รวมทั้งบริการถาม – ตอบประเด็นประกันสังคม เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดโครงการชาวกระบี่ร่วมใจ ผลิตอาหารปลอดภัย สุขใจผู้บริโภค | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมช.มนัญญา เปิดโครงการชาวกระบี่ร่วมใจ ผลิตอาหารปลอดภัย สุขใจผู้บริโภค
รมช.มนัญญา เปิดโครงการชาวกระบี่ร่วมใจ ผลิตอาหารปลอดภัย สุขใจผู้บริโภค ชูผลผลิตเกษตรอินทรีย์คุณภาพ ส่งตรงถึงผู้บริโภค
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการชาวกระบี่ร่วมใจ ผลิตอาหารปลอดภัย สุขใจผู้บริโภค พร้อมมอบประกาศนียบัตรเกษตรอินทรีย์ดีเด่นระดับจังหวัดกระบี่, GAP ดีเด่นระดับจังหวัดกระบี่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และมอบใบรับรองมาตรฐาน GAP รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดกระบี่ ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ว่า "พื้นที่จังหวัดกระบี่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา คิดเป็นร้อยละ 45.81 ของพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นที่หลักเศรษฐกิจของภาคใต้ อีกทั้งยังได้มีการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชผัก ผลไม้ในพื้นที่ โดยเน้นการปลูกพืชให้มีคุณภาพ ปลอดภัย ใช้วิธีการควบคุม และป้องกันการเกิดปัญหาในกระบวนการผลิตโดยใช้มาตรฐานทางการเกษตรที่ดี สำหรับพืชอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นมาตรฐานกลางในการตรวจประเมิน ซึ่งกิจกรรมในวันนี้เป็นการนำเอาองค์ความรู้มามอบให้เกษตรกรเพื่อเป็นการช่วยเหลือ และแนะนำเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาด้านการผลิตแก่เกษตรกร ให้มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการทางวิชาการจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่น่าสนใจ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย"
ทั้งนี้ พืชเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ ที่สำคัญ ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา นอกจากนี้ ในปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ได้หันมาปลูกพืชผักผลไม้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรในการปลูกพืชที่เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถช่วยเพิ่มรายได้ โดยกรมวิชาการเกษตร ได้สนับสนุนและผลักดันเกษตรกรให้มีความรู้ความสามารถในการผลิตพืชที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสินค้าเกษตร
สำหรับการจัดงานในวันนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่นิทรรศการมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP นิทรรศการด้านชีวภัณฑ์ ชีวภาพและการจัดการการผลิตปาล์มน้ำมันของศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมัน การออกบูธผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ GAP และประมงพื้นบ้าน รวมทั้งการสาธิตด้านชีวภัณฑ์ไส้เดือนฝอย แตนเบียน เห็ดเรืองแสง เมตาไรเซียม การผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต และปุ๋ยชีวภาพอาร์บัสคูลาร์ไรซ่า เป็นต้น ในโอกาสนี้ รมช.มนัญญา เยี่ยมชมผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกรในพื้นที่ แปลงสาธิตส้มโอทับทิมสยาม และศูนย์เรียนรู้การผลิตพืชผสมผสาน โรงปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศ และโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองกระบี่ ตามพระราชดำริ นอกจากนี้ยังได้เปิด
อาคารปฏิบัติการชีวภัณฑ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36407 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ สุระ เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปภาพรวมการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ฯ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
ผู้ตรวจฯ สุระ เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปภาพรวมการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ฯ
นายสุระ เพชรพิรุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาสรุปภาพรวมการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
วันนี้ (2 พฤศจิกายน 63) เวลา 09.00 น. นายสุระ เพชรพิรุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาสรุปภาพรวมการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ เพื่อประยุกต์ใช้ข้อมูลในการวางแผนกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับจังหวัด โดยมีผู้แทนจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่สนใจ เข้าร่วมการสัมมนาฯ ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
การสัมมนาในครั้งนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2 - 3 พฤศจิกายน 2563 โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การเสวนา หัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ : มุมมองจากนโยบายในระดับประเทศ และจากแผนพัฒนาจังหวัด” ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.เติมทรัพย์ เตละกุล ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์พัฒนาพื้นที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คุณศิวะ หงษ์นภา ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ เป็นผู้ร่วมการเสวนา ดำเนินการเสวนา โดย คุณประภาศรี พงษ์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ การบรรยายหัวข้อ “แนวทางการพัฒนาดัชนีเตือนภัยอุตสาหกรรมจังหวัด” การบรรยายหัวข้อ “แนวทางการปฏิบัติในการใช้ประโยชน์และบูรณาการข้อมูล แบบ Single –form และการเชื่อมโยง I-connect” เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระประทีปลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ในงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระประทีปลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ในงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระประทีปลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ในงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๒๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระประทีปลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ในงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36404 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมเยียวยาจิตใจ พร้อมทีมฟื้นฟูอนามัยสิ่งแวดล้อม ดูแลผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
สธ.ส่งทีมเยียวยาจิตใจ พร้อมทีมฟื้นฟูอนามัยสิ่งแวดล้อม ดูแลผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเยียวยาจิตใจ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ลงพื้นที่ดูแลผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก ส่งเจ้าหน้าที่ดูแลฟื้นฟูอนามัยสิ่งแวดล้อม ป้องกันโรคหลังน้ำลด ที่อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2563) แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วานนี้ (1 พฤศจิกายน 2563) ได้รับรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี เกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากเข้าบ้านเรือนประชาชน และถนนสาย 304 อุโมงค์ทับลาน เกิดอุบัติเหตุเจ็ตสกีพลิกคว่ำ ขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตัดกระแสไฟสำรองในอุโมงค์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และหน่วยงานในพื้นที่ ได้ร่วมกันช่วยเหลือ ใช้โดรนค้นหา จนพบเจ้าหน้าที่มูลนิธิสัจจพุทธธรรมแห่งประเทศไทย อ.กบินทร์บุรี 2 คนนำส่งโรงพยาบาลนาดี มีอาการอ่อนเพลีย มีบาดแผลตามลำตัวเล็กน้อย ปัจจุบันอาการปลอดภัย และผู้ป่วยขอไปรับการรักษาตัวต่อที่ รพ.จุฬารัตน์ 304 ส่วนเจ้าหน้าที่หมวดแขวงการทางกบินทร์บุรีเสียชีวิต 1 คน สำหรับประชาชนผู้ประสบภัย ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ลงพื้นที่ร่วมกับโรงพยาบาลนาดี และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอนาดี มอบเวชภัณฑ์ ยา ช่วยเหลือเบื้องต้นที่ ม.3 บ้านทุ่งแฝก ต.ทุ่งโพธิ์ ประมาณ 300 ครัวเรือน นอกจากนี้ มีประชาชนบางครอบครัวมาพักอาศัยชั่วคราวที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทับลาน ตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี ด้วย
แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อว่า ในวันนี้ น้ำลดระดับลง อุโมงค์ทับลานสามารถเดินทางผ่านได้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยและได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดให้การดูแลผู้ประสบภัย ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ลงพื้นที่ดูแลผู้ประสบภัยบริเวณเวโรนาทับลาน ที่อำเภอนาดี ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต หรือ เอ็มแคท (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT) ร่วมกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร คัดกรองและให้การดูแลปัญหาสุขภาพจิต ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงฟื้นฟูด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม นำคลอรีนไปแจกจ่ายเพื่อบำบัดน้ำอุปโภค บริโภคของหมู่บ้าน ป้องกันโรคหลังน้ำลด รวมทั้งให้โรงพยาบาลนาดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งโพธิ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทับลาน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้าน กม.80 เป็นศูนย์ช่วยเหลือและดูแลสุขภาพประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วมจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
********************************** 2 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการระบบ ALQ เกาะสมุย เปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการระบบ ALQ เกาะสมุย เปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัย
นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการสถานกักกันโรค ALQ พื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันการแพร่เชื้อโควิด 19 สู่ภายนอก
นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการสถานกักกันโรค ALQ พื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันการแพร่เชื้อโควิด 19 สู่ภายนอก หากตรวจพบนักท่องเที่ยวติดเชื้อนำเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที สร้างความมั่นใจประชาชน
วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมเชอราตัน สมุย รีสอร์ท จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการของโรงแรมที่ลงทะเบียนในระบบสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนดส่วนภูมิภาค (Alternative Local Quarantine : ALQ) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในการเฝ้าระวังป้องกันโควิด 19 ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรนอกสถานที่ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวต่างชาติในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เนื่องจากมีสนามบินสมุยในการรับผู้เดินทางเข้าสู่พื้นที่โดยตรง ดังนั้น หลังจากนักท่องเที่ยวผ่านการคัดกรองภายในสนามบินแล้ว จะนำตัวเข้าสู่โรงแรมที่ใช้กักตัวเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งเป็นโรงแรมที่นักท่องเที่ยวต้องจองก่อนขออนุญาตเดินทางเข้ามายังประเทศไทย โดยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างการกักกันและการรักษาพยาบาล หากตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 ทำให้ไม่เป็นภาระกับภาครัฐ
สำหรับการบริหารจัดการภายใน ALQ จะยึดตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดการกักตัวไม่อนุญาตให้ออกนอกห้อง โดยมีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 อย่างน้อย 3 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 0 , 7 และ 12 ของการกักตัว ทำการเก็บตัวอย่างที่หน้าห้องพัก หากตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างการกักกัน จะส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลเกาะสมุยที่เป็นคู่สัญญา ปัจจุบันเกาะสมุยมีโรงแรมที่เป็น ALQ จำนวน 7 แห่ง รวม 226 ห้อง ขณะที่โรงพยาบาลเกาะสมุยมีศักยภาพรองรับผู้ติดเชื้อได้ 49 ราย ถือว่าเพียงพอ เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศความเสี่ยงต่ำ และบางประเทศเสี่ยงต่ำกว่าไทย ทำให้มีอัตราการติดเชื้อที่ต่ำมาก และมีการตรวจโควิดก่อนเดินทางทุกราย ผนวกกับมาตรการเข้มของด่านควบคุมโรค และระบบเฝ้าระวังควบคุมโรคจึงมั่นใจได้ว่าสามารถดักจับควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพพร้อมในระบบการดูแลได้เป็นอย่างดี
นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบจะรักษาอยู่ในห้องแยก โดยได้รับการดูแลรักษาตามมาตรฐานจนหายดี แพทย์จึงจะพิจารณาให้ออกจากโรงพยาบาล โดยหลังออกจากโรงพยาบาลยังต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างกับผู้อื่น ล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช้อุปกรณ์ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หากมีอาการป่วยเกิดขึ้นใหม่ เช่น ไข้สูง ไอมาก เหนื่อย แน่นหน้าอก หอบ หายใจไม่สะดวก เบื่ออาหาร ให้รีบติดต่อสถานพยาบาล โดยสวมหน้ากากและเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือขอรถพยาบาลมารับ งดการเดินทางด้วยรถหรือเรือสาธารณะ ทั้งนี้ เมื่อพบผู้ป่วยหรือกักตัวครบ 14 วัน โรงแรมจะเปิดห้องระบายอากาศและทำความสะอาดเพื่อทำลายเชื้อโรคต่างๆ เป็นเวลา 2 วัน เพื่อเตรียมรับผู้กักตัวในรอบถัดไป
หากมีการติดเชื้อภายในพื้นที่จะมีการติดตามผู้สัมผัส โดยดำเนินการตรวจหาเชื้อและนำเข้าสู่การกักกันในสถานที่ที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) เพื่อเฝ้าระวังจนครบกำหนด 14 วัน อย่างกรณีหญิงชาวฝรั่งเศสอายุ 57 ปี ที่ตรวจพบการติดเชื้อภายในเกาะสมุย ติดตามผู้สัมผัสจนครบทั้ง 127 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 47 ราย ผลการตรวจทั้งหมดเป็นลบ ส่วนใหญ่ครบกำหนดเฝ้าระวัง 14 วันแล้ว ยกเว้นคนในครอบครัวจะครบกักตัวในวันที่ 5 พฤศจิกายน สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 80 ราย ทั้งหมดไม่มีอาการ ครบกำหนดติดตามเฝ้าระวัง 14 วันแล้ว โดยเหลือกลุ่มบุคลากรในโรงพยาบาลที่จะครบกำหนดวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563
****************************************** 2 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36427 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม แนะดีอีเอส โปรโมทโครงการบรอดแบนด์สาธารณะภูเก็ต ส่งเสริมแผนปั้นสมาร์ทซิตี้ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
บิ๊กป้อม แนะดีอีเอส โปรโมทโครงการบรอดแบนด์สาธารณะภูเก็ต ส่งเสริมแผนปั้นสมาร์ทซิตี้
บิ๊กป้อม แนะดีอีเอส โปรโมทโครงการบรอดแบนด์สาธารณะภูเก็ต ส่งเสริมแผนปั้นสมาร์ทซิตี้
“บิ๊กป้อม” ตรวจราชการนอกสถานที่ระหว่างการประชุม ครม. สัญจรที่ภูเก็ต รับฟังความคืบหน้าโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ Smart City มีผู้ใช้งานเฉลี่ยต่อวันกว่า 2 หมื่นคน แนะเร่งประชาสัมพันธ์โครงการขนานไปกับกิจกรรมจังหวัด เพิ่มจุดแข็งภูเก็ตสู่เมืองอ้จฉริยะ ด้านอีดีเอส เตรียมต่อยอดใช้เป็นโมเดลนำร่องฟื้นฟูเศรษฐกิจภูมิภาคด้านการท่องเที่ยว ในทุกจังหวัดทั่วไทย
วันนี้ (2 พ.ย. 63) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจราชการ และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 3/2563 ที่จังหวัดภูเก็ต โดยในโอกาสนี้ได้มีการติดตามความคืบหน้าของโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ Smart City จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานเชื่อมต่อโครงข่ายบรอดแบนด์สาธารณะดังกล่าวเฉลี่ยต่อวัน 22,983 คน โดยสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตเข้าถึงข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพ สร้างธุรกิจ และเพิ่มรายได้ในชุมชน ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนผ่านบริการดิจิทัลต่างๆ ทั้งการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับ ประชาชนทุกคน และการเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐที่ทันสมัยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในการทำกิจกรรมออนไลน์ต่างๆ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า โครงการนี้ยังมีบทบาทในการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยสร้างบรรยากาศ และเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนทำธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น พร้อมที่จะรองรับการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Internet of Things (IoT) และนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)
“กระทรวงดิจิทัลฯ ควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องการบริหารข้อมูล และนำข้อมูลประชาสัมพันธ์โครงการเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ โดยให้มีการดำเนินการโครงการอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับกิจกรรมของเมืองภูเก็ต” พล.อ.ประวิตรกล่าว
นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินการให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะด้วยเทคโนโลยีไร้สาย Wi-Fi (Hi-speed Wi-Fi) สำหรับประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ณ พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต จำนวนไม่น้อยกว่า 100 สถานที่และมีจุดให้บริการทั้งสิ้นกว่า 1,000 จุด ความเร็วในการรับ/ส่งข้อมูล 100/25 Mbps ผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสง
“เรามองถึงการสร้างโครงข่ายประสิทธิภาพสูงให้ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รวมถึงพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดภูเก็ต และเพื่อให้มีช่องทางในการช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการสื่อสาร และเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลสำหรับ นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านข้อมูลข่าวสารของรัฐ และการท่องเที่ยวในพื้นที่ ผ่านทางอุปกรณ์ Digital Signage พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยกว่า 21 จุด” นายภูเวียงกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ยังเตรียมขยายผลโครงการตามนโยบายของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ โดยจะสร้างความร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจังหวัดอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการให้ครอบคลุมทั้งประเทศ และใช้โครงการนี้ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค สร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีการจ้างงานสูง ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินการตามเป้าหมายนี้ได้รวดเร็ว เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความพร้อม
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36423 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา นำคณะรัฐมนตรีร่วมชมการแสดง “รำวงลอยกระทง” นิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง และการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งร่วมลอยกระทง บริเวณคลองผดุงกรุงเกษม โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงาน และมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและเข้าร่วมกิจกรรม ณ บริเวณคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการคัดกรองสนามบินสมุย-ภูเก็ต และ ALQ เปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจมาตรการคัดกรองสนามบินสมุย-ภูเก็ต และ ALQ เปิดรับนักท่องเที่ยว เข้มความปลอดภัย
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่สนามบินนานาชาติสมุยและภูเก็ตสร้างความมั่นใจมาตรการคัดกรองโรคโควิด 19 รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดักจับโรคได้รวดเร็วทั้งที่ด่านและสถานกักกันโรค
เตรียมพร้อมห้องแล็บ บุคลากร ยา เวชภัณฑ์ ระบบการติดตาม กระทรวงสาธารณสุขพร้อมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา
วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2563) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมมาตรการคัดกรองโรคโควิด 19 รองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรนอกสถานที่ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดังนั้น การคัดกรองและกักกันโรคผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจึงมีความสำคัญ โดยได้เตรียมความพร้อมทั้งสนามบินสมุยและสนามบินภูเก็ต ทั้งการวัดไข้ ระบบตรวจคัดกรอง ระบบห้องปฏิบัติการ ระบบแอปพลิเคชันในการติดตาม โรงแรมที่ใช้ในการกักตัวเป็น ALQ รวมถึงบุคลากร ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยสามารถรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัยและสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัด
นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้จำลองว่ามีนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เดินทางด้วยเครื่องบินถึงเกาะสมุย ใช้รถรางลำเลียงผู้โดยสารเข้ามายังทางเข้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ จากนั้นผ่านด่านคัดกรอง โดยทำความสะอาดมือและรองเท้า วัดอุณหภูมิร่างกาย หากระหว่างคัดกรองมีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.3 องศาเซลเซียสหรือมีอาการตามนิยามผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) ได้แก่ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จะถูกสอบสวนโรคที่ห้องแยกกัก พร้อมรายงานข้อมูลตามระบบ และส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกาะสมุย
หากผ่านการวัดอุณหภูมิจะตรวจเอกสารทางราชการได้แก่ หนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ Fit to Fly ผลตรวจปลอดเชื้อโควิด 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ใบจองโรงแรม ALQ หนังสือเดินทาง ประกันสุขภาพ 1 แสนเหรียญ ใบ ตม. แอปพลิเคชัน Samui Health Pass และแอปพลิเคชัน COSTE จากนั้นคัดกรองสุขภาพพิธีการตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระ และพิธีการศุลกากร จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงแรมรับนักท่องเที่ยว ทำการเช็คอินออนไลน์ ทำลายเชื้อบนกระเป๋าเดินทาง และไปยังโรงแรมที่เป็นสถานที่กักกันที่รัฐกำหนด (Alternative Local Quarantine : ALQ) เพื่อกักตัว 14 วัน ตรวจหาเชื้อขณะกักตัวอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยส่งตรวจโรงพยาบาลเกาะสมุย เมื่อพบการติดเชื้อจะส่งรักษาโรงพยาบาลเกาะสมุย โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างกักกันและการรักษาโดยสมัครใจหากไม่พบเชื้อเมื่อกักตัวครบ 14 วัน ก็สามารถไปท่องเที่ยวต่อได้ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อ เป็นการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะที่สนามบินภูเก็ตมีระบบการดำเนินการคัดกรองผู้เดินทางเช่นเดียวกัน โดยส่งตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11/1 จังหวัดภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ สามารถออกผลตรวจได้ภายใน 1 วัน มีการใช้ระบบแอปพลิเคชันติดตามตัวและมีมาตรการเชิงรุก เตรียมแผนเฝ้าระวังค้นหาในสถานพยาบาล ชุมชนพื้นที่เสี่ยง ประชากรกลุ่มเสี่ยง และเฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มอาการและโรคทางเดินหายใจ โรคปอดอักเสบ รวมถึงมีความพร้อมด้านสถานที่กักกันระดับจังหวัด (Local quarantine) และสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative Local Quarantine) ซึ่งผู้กักกันต้องชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดเช่นกัน
นายอนุทินกล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีประสบการณ์และบทเรียนในการต่อสู้กับโรคโควิด 19 ทำให้สามารถควบคุมโรคนี้ได้เป็นอย่างดี อย่างการคัดกรองและกักกันโรคผู้เดินทางจากต่างประเทศก็ดำเนินการได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มจากการเปิดให้คนไทยในต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามา แล้วจึงขยายให้ชาวต่างชาติตามที่กำหนดเดินทางเข้ามาด้วย จนเป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยสามารถควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 จากต่างประเทศไม่ให้แพร่ระบาดภายในประเทศได้ จึงขยายต่อในเรื่องของการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานรองรับตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แม้ประเทศไทยจะมีระบบคัดกรองและกักกันโรคที่ดี แต่คนไทยยังต้องร่วมมือกันคงมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ DMHT ที่เป็นวัคซีนที่ดีที่สุด ได้แก่ D : Distancingการเว้นระยะห่าง M : Mask Wearing สวมหน้ากาก H : Hand Washing การล้างมือ และ T : Testing การตรวจคัดกรองและรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 ได้
************************ 2 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือน ภูเก็ต เดินหน้าพัฒนาแรงงานหนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สู้วิกฤตโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นฤมล เยือน ภูเก็ต เดินหน้าพัฒนาแรงงานหนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สู้วิกฤตโควิด-19
รมช.แรงงาน เยือนจังหวัดภูเก็ต พัฒนาแรงงานภาคบริการและท่องเที่ยว สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง ฟื้นวิกฤตเศรษฐกิจหลังโควิด-19
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน@Phuket พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมการให้บริการประชาชน โดยมีศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ต ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ ในครั้งนี้ด้วย ณ อาคารยิมเนเซี่ยมนครภูเก็ต เทศบาลนครภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
พลเอก ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็วจากผลกระทบโควิด -19 การจัดงาน กระทรวงแรงงานพบประชาชน @Phuket ในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงาน ให้คนในพื้นที่มีอาชีพ มีรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจภาคเอกชนให้กลับมาประกอบกิจการได้เป็นปกติมีการจัดกิจกรรมในด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคบริการและท่องเที่ยว ทำให้คนในวัยแรงงาน สามารถทำงานได้ในภูมิลำเนาของตนเอง มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และส่งผลต่อรายได้ของชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการเพิ่มศักยภาพของแรงงานนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีแผนพัฒนาฝีมือแรงงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการพัฒนาทักษะแรงงานด้านการท่องเที่ยวและบริการ เช่น สาขาพนักงานผสมเครื่องดื่ม ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานบริการนวด พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม พนักงานประจำท่าเรือ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการเสริมสมรรถนะแรงงานด้านเทคโนโลยีรองรับการทำงาน ในศตวรรษที่ 21 เช่น สาขาเทคนิคการสร้างร้านค้าและขายสินค้าออนไลน์ การบริหารจัดการตลาดออนไลน์ ซึ่งกิจกรรมกระทรวงแรงงานพบประชาชน @ Phuket ในวันนี้ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต ได้นำสาธิตการฝึกอบรมเป็นตัวอย่างบางหลักสูตร ได้แก่ การทำเบเกอรี การทำเครื่องดื่มและอาหาร พนักงานผสมเครื่องดื่ม และช่างแต่งผม นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเพื่อรองรับการจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก การประเมินและรองรับความรู้ความสามารถ ช่างไฟฟ้าภายในอาคารและช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก รวมถึงการประชาสัมพันธ์ภารกิจของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต
หลักสูตรต่างๆ ที่มีการจัดฝึกอบรม สามารถสมัครผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต รวมถึง platform ไทยมีงานทำ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2245 4035
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36426 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดพังงา ชุมพรและระนอง | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.ดีอีเอส เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดพังงา ชุมพรและระนอง
รมว.ดีอีเอส เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดพังงา ชุมพรและระนอง
2 พ.ย.63 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดพังงา ชุมพรและระนอง ณ โรงแรมเนินเขา รีสอร์ท พังงา ในการนี้ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งในที่ประชุมเน้นประเด็นปัญหาและข้อเสนอที่เห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนของท้องถิ่นโดยเฉพาะที่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลที่น่าจะดำเนินการใน 3 จังหวัดได้อย่างรวดเร็ว
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลุยยึดคืนพื้นที่ที่ถือครองโดยมิชอบด้วยกฏหมาย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมช.ธรรมนัส ลุยยึดคืนพื้นที่ที่ถือครองโดยมิชอบด้วยกฏหมาย
รมช.ธรรมนัส ลุยยึดคืนพื้นที่ที่ถือครองโดยมิชอบด้วยกฏหมาย เพื่อนำที่ดินไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกรทั้ง 6 อำเภอ ในจังหวัดกระบี่
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อยึดคืนพื้นที่ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 36/2559 แปลงหมายเลข 603 และมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร ณ พื้นที่เป้าหมายแปลงหมาย 603 ในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ ว่า ที่ดินแปลงหมายเลขที่ 603 นั้นมีเนื้อที่ประมาณ 3,617 ไร่ ที่ดินตั้งอยู่ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ และต.ห้วยยูง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ที่ดินแปลงนี้ เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีการถือครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 36/2559 กำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมายยึดคืนจากผู้ถือครองที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และ ส.ป.ก.กระบี่ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จนนำมาสู่การยึดคืนพื้นที่เพื่อนำที่ดินไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
“ในวันนี้ ดำเนินการปักป้ายคำสั่งให้ออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่เป้าหมายแปลงหมายเลข 603 ถือเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด เพื่อที่จะสามารถจะนำที่ดินไปจัดสรรให้แก่ผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป อีกทั้งยังได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่พี่น้องเกษตรกร เป็นจำนวน 262 ราย 285 แปลง เนื้อที่ประมาณ 3,074 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน 6 อำเภอในจังหวัดกระบี่ อันได้แก่ อ.เมืองกระบี่ อ.เขาพนม อ.เหนือคลอง อ.คลองท่อม อ.เกาะลันตา และอ.ลำทับ” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ ทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะปฏิบัติงานตามเจตนารมณ์ของกฎหมายปฏิรูปที่ดินอย่างเต็มความสามารถ ผ่านวิธีการปฏิรูปที่ดินที่มุ่งหมายจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม การปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต รวมถึงการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดบ้านเด็กฮอลแลนด์ บริการรับเลี้ยงเด็ก 24 ชม. ฟรี ที่ จ.ภูเก็ต | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. เปิดบ้านเด็กฮอลแลนด์ บริการรับเลี้ยงเด็ก 24 ชม. ฟรี ที่ จ.ภูเก็ต
รมว.พม. เปิดบ้านเด็กฮอลแลนด์ บริการรับเลี้ยงเด็ก 24 ชม. ฟรี ที่ จ.ภูเก็ต
วันนี้ (2 พ.ย. 63) เวลา 10.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดบ้านเด็กฮอลแลนด์ ภายใต้มูลนิธิพิทักษ์เด็กภูเก็จ อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต อีกทั้งมอบเงินช่วยเหลือสำหรับครอบครัวเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม จำนวน 100 ราย โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดร.ศุภลักษณ์ กาญจนเมธากุล ประธานมูลนิธิพิทักษ์เด็กภูเก็จ คณะผู้บริหารกระทรวง พม.และหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
นายจุติ กล่าวว่า บ้านเด็กฮอลแลนด์ให้บริการรับเลี้ยงเด็ก อายุ 2-6 ปี ในรูปแบบ Day Care Night Care 24 ชั่วโมง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อช่วยเหลือพ่อ แม่ และผู้ปกครอง ที่ต้องเลี้ยงบุตรโดยลำพัง และประสบปัญหาการเลี้ยงดูบุตรในช่วงเวลาทำงาน ได้มีโอกาสในการประกอบอาชีพและหารายได้ให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่ ในขณะที่บุตรหลานมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสม ปลอดภัย ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาทุนมนุษย์นับว่ามีความสำคัญที่สุด ซึ่งการลงทุนในมนุษย์นั้น มีความคุ้มค่ามาก ในขณะเดียวกัน กระทรวง พม. จะดำเนินการตรงนี้อย่างดี เพราะเราต้องใช้สติปัญญา เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ เพื่อสร้างทุนมนุษย์ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ ตนเห็นว่าบ้านเด็กฮอลแลนด์มีความสำคัญที่ต้องเพิ่มกิจกรรมในเชิงรุก ด้วยการให้ความรู้ในเชิงวิชาการร่วมด้วย ถึงแม้ว่ากระทรวง พม. อาจจะมีงบประมาณไม่มาก แต่เราเชื่อว่าการสนับสนุนทั้งระบบของกระทรวง พม. จะสามารถสร้างเด็กให้มีความมั่นคง เป็นเด็กดี มีคุณธรรม และเป็นคนเก่ง พร้อมที่จะพัฒนาประเทศต่อไป เพราะช่วงอายุเด็กตั้งแต่ 1 ขวบ ถึง 13 ปี นับเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเด็ก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินภูเก็ต เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว เผยทุกระบบมีความพร้อม ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินภูเก็ต เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว เผยทุกระบบมีความพร้อม ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสนามบินภูเก็ต เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว เผยทุกระบบมีความพร้อม ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมเร่งฟื้นฟูนำคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวภาคใต้
วันนี้ (2 พ.ย. 63) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมี ร.ต.ธานี ช่วงชู ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต นพ.ธนิศ เสริมแก้ว นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ผู้อำนวยการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหารและพนักงานท่าอากาศยานภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมการปฏิบัติเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานตามกระบวนการคัดกรองผู้โดยสารของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการเก็บสิ่งตรวจ (สารคัดหลั่ง) เพื่อรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว นักธุรกิจกลุ่มพิเศษ (STV) ตามนโยบายรัฐบาลที่จะผ่อนคลายมาตรการให้สามารถเดินทางเข้าประเทศได้มากขึ้น อีกทั้งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ยึดถือและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัย และเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงสนามบินจังหวัดภูเก็ต จะได้รับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ซักประวัติ ลงทะเบียน ตรวจหาเชื้อ และเก็บสิ่งส่งตรวจห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมรถพระราชทาน ที่มาประจำ ณ อาคาร X-Terminal ที่สามารถทำสวอพได้ เพื่อรองรับผู้โดยสารที่จะต้องเข้ารับการตรวจ และพักคอยผลการตรวจเป็นเวลา 90 นาที หลังจากเก็บตัวอย่างตรวจแล้ว นักท่องเที่ยวจะได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังที่พัก ALQ โดยยานพาหนะและเส้นทางที่กำหนด ที่เป็นระบบปิดอยู่ในระบบควบคุมสังเกตตลอดเวลา ส่วนมาตรการป้องกันควบคุมโรคอื่น ๆ ท่าอากาศยานภูเก็ตจะเน้นเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม การจัดจุดแอลกอฮอล์ล้างมือ และการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายทุกประตูทางเข้าออก และตั้งหน่วยทีมแพทย์พยาบาลในการติดตามอาการที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง ซึ่งหากพบว่านักท่องเที่ยวติด COVID-19 สัมผัส เดินผ่าน ภายในท่าอากาศยาน จะต้องกักตัวพนักงานที่ทำงานใกล้ชิดทันทีและให้หยุดทำงานที่บ้าน พร้อมเฝ้าดูอาการ 14 วัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกขั้นตอน ทุกระบบมีความพร้อมแล้ว โดยเฉพาะกระบวนการเก็บสารคัดหลั่งและการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หากมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศเข้ามาแล้วระบบคัดกรองต้องใช้ได้ผล ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มอัตราการผ่อนคลายมาตรการได้มากขึ้น โดยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูการนำคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ นอกจากนี้ มีการจัดที่พักโรงแรมต่าง ๆ ที่เพียงพอและมีราคาที่เหมาะสม อีกทั้งมีสถานที่กักตัวทางเลือก ซึ่งเป็นกระบวนการของการกักกันโรคที่โรงแรมหลายแห่งจะรองรับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเฝ้าดูอาการ 14 วัน ซึ่งทำให้ผู้ที่กักตัวมั่นใจได้ว่าจะได้รับความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคนี้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่มีการคัดกรองและกักกันโรคผู้เดินทางจากต่างประเทศเป็นอย่างดี โดยขอให้ทุกคนฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยอีกครั้ง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางโดยขบวนรถยนต์ไปสักการะอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง ก่อนออกเดินทางไปประชุมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว ณ โรงแรมดวงจิตต์ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.กระทู้ จังหวัดภูเก็ตต่อไป
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ! จุรินทร์ จับมือหลายหน่วยงานรัฐ ช่วย SME รอดโควิด-19 ลุยงานจัดแสดงสินค้า Smart SME Expo 2020 พร้อมประกาศหนุน SME ปรับตัวเพื่อส่งออก | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ! จุรินทร์ จับมือหลายหน่วยงานรัฐ ช่วย SME รอดโควิด-19 ลุยงานจัดแสดงสินค้า Smart SME Expo 2020 พร้อมประกาศหนุน SME ปรับตัวเพื่อส่งออก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน Smart SME Expo 2020 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี
ทั้งนี้เพื่อเดินหน้าตามนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดเล็กให้มีพื้นที่ทางด้านการตลาด
โดยงานนี้นายจุรินทร์ กล่าวว่า SME นั้นเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีผู้ประกอบการรวมกัน ประมาณ 3 ล้านรายคิดเป็นร้อยละ 95 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาต้องถือว่า SME นั้นมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน กระจายรายได้ และถือเป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมทั้งการที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นภาคการส่งออกที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเป็นลำดับในอนาคต และบทบาทของ SME มาประสบปัญหาอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับหลายภาคการผลิตคือเผชิญกับสถานการณ์โควิด ไม่เฉพาะ SME ในประเทศไทย แต่ประสบกันทั้งโลก เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมของ SMEในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าติดลบ แต่ไม่ได้แปลว่าวันข้างหน้าจะเป็นบวกไม่ได้เพราะสถานการณ์โควิดไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป หรือถ้าเราพลิกโควิดเป็นโอกาสได้ SME ก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและเติบโตต่อไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้
" กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการตลาด ผมมีนโยบายชัดเจนที่ต้องการสร้างความร่วมนอกจากทำให้ SME เป็นภาคการผลิตที่มีศักยภาพแล้ว ต้องพัฒนาให้มีศักยภาพทางด้านการตลาด โดยใช้ยุทธศาสตร์ "ตลาดนำการผลิต" เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาจะเห็นว่ากระทรวงเกษตรฯกับกระทรวงพาณิชย์ จับมือกันในการสร้างวิสัยทัศน์ "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ดังนั้นSMEภาคการผลิตก็ต้องไปตามแนวนี้เหมือนกัน การจะเดินหน้าให้ประสบความสำเร็จที่สำคัญคือเทคโนโลยีต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น สำหรับภาคการผลิตไม่ว่าภาคส่วนไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME" นายจุรินทร์ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ 28 ตุลาคม 2563 ไปเป็นประธานโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์โดยสถาบันพัฒนาการค้ายุคใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ในการลงนาม MOU ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าเราจะช่วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาภาคการผลิตและภาคการตลาดให้ SME สามวันที่ผ่านมาก็ได้มีการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีทั้งเทคโนโลยี 5G, iot (Internet of Things) รวมถึงระบบคลาวด์จะเป็นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของโลกและของ SME เพื่อนำมาใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลต่อไป
"ใน 3 วันที่ผ่านมาอบรมไป 250 คน ที่สำคัญคือ เด็กรุ่นใหม่ที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยกำลังจะเรียนจบและเด็กรุ่นใหม่ที่มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนายตัวเอง ส่วนใหญ่เด็กรุ่นนี้ไม่คิดจะไปทำงานองค์กร ทุกคนฝันจะเป็นเจ้าของกิจการฝันจะเป็น CEO กระทรวงพาณิชย์จึงมีนโยบายสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเราต้องการปั้นเด็ก GenZ เป็น CEO หรือที่เรียกว่า CEO GenZ และจะร่วมกับหัวเว่ยและบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอื่นๆต่อไปปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ในการนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการพัฒนาตนเองให้เป็น CEO ต่อไป ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะทำให้ได้ 12,000 คน ได้เริ่มต้นไปแล้วมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ 7 มหาวิทยาลัยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์จัดอบรมชุดแรกไปแล้ว 1,500 คน จะทำต่อไปในภาคอื่นให้ครบ 12,000 คน เพื่อให้ CEO GenZ เป็นทัพหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศยุคโควิดและหลังโควิดในอนาคต และกลุ่มนี้ถ้าไม่ไปทำสตาร์ทอัพก็ต้องมาทำ SME สุดท้ายก็จะมาเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศต่อไปในอนาคต หัวใจสำคัญต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการตลาด" นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ จึงมีนโยบายและมีหลักสูตรในการที่ต้องการพัฒนาทางการตลาดให้เข้าใจทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะยุคโควิด-19 ถ้าใครใช้ออนไลน์ไม่เป็น ใครทำอีคอมเมิร์ซไม่ได้เพื่อนก็ก้าวล้ำหน้าไป ดังนั้นหลักสูตรของกระทรวงพาณิชย์นั้นมีทั้งหลักสูตรหลักสูตรพื้นฐาน หลักสูตรธรรมดา ปานกลางและหลักสูตรเข้มข้น ที่จะมาอบรมให้เข้าใจจนลึกซึ้งสุดท้ายส่งออกได้ตามลำดับ นอกจากเราต้องให้องค์ความรู้ทางด้านการตลาดกับ SME แล้ว ต้องให้ โอกาสการเข้าจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ อย่างน้อยเวลาจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เราจะเปิดพื้นที่ 10 -15% เป็นโอกาสให้ SME หรืองานจัดแสดงสินค้าในตลาด CLMV และมาเลเซีย ต้องเปิดพื้นที่ให้กับ SME ในภาคต่างๆ มีโอกาสได้มาแสดงสินค้าในงานของกระทรวงพาณิชย์
สำหรับงานวันนี้ ถือว่าสอดรับนโยบายยุคโควิด-19 ของกระทรวงพาณิชย์ที่ชัดเจน คือการปรับรูปแบบการจัดงานแสดงสินค้าซึ่งเราทำไปแล้วและกลายเป็นต้นแบบสำคัญของโลกที่หลายประเทศจะเอาไปใช้คือรูปแบบการจัดงานแสดงสินค้าหรือเจรจาการค้าแบบไฮบริด คือผสมผสานทั้งแบบ Online ผสม On ground และรูปแบบที่เรียกว่า Mirror Mirror คือ รูปแบบที่ให้ทูตพาณิชย์ ของกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เซลล์แมนประเทศ ไปเจรจากับผู้นำเข้าในประเทศต่างๆแล้วจับคู่ธุรกิจในประเทศไทย เพราะเดินทางไม่ได้เนื่องจากติดโควิดใช้ระบบออนไลน์ เจรจากับผู้ส่งออกไทย ผ่านระบบเทคโนโลยีและลงนามสัญญาซื้อขายส่งออกกันได้ เรียกว่ารูปแบบผสม ซึ่งการจัดงาน Smart SME Expo 2020 นั้น นำมาผสมผสานกันทั้ง Online และ On ground ขอแสดงความชื่นชมในความทันสมัยทันสถานการณ์ของงานในวันนี้
รายงานจากการจัดงาน Smart SME Expo 2020 รุบุว่านายจุรินทร์และคณะประกอบด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับหน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการ ตัวแทนธนาคารที่สนับสนุนเงินกู้ SME ร่วมกันชมการจัดแสดงสินค้า โดยงานอยู่ที่เมืองทองธานี ระหว่าง 29 ตค.-1พย.2563 นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมนำ 13 มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต เข้าที่ประชุม ศบศ. | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมนำ 13 มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต เข้าที่ประชุม ศบศ.
นายกรัฐมนตรีพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมนำ 13 มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต เข้าที่ประชุม ศบศ.
วันนี้ (2 พ.ย.63) ณ โรงแรมดวงจิตต์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลการหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต ที่ประชุมเห็นชอบหลักการโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำการช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลายครบวงจรทั้งการท่องเที่ยวด้านสุขภาพ กีฬาและการประชุมขนาดใหญ่ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวมิติใหม่ที่มีความยั่งยืน สามารถรองรับผลกระทบจากวิกฤตในอนาคตได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเห็นความสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างการดูแลสุขภาพและการส่งเสริมเศรษฐกิจ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา โดยเบื้องต้นทำอย่างไรให้ธุรกิจสามารถดำรงอยู่ได้ก่อน การลงพื้นที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการและพบเห็นบรรยากาศที่แท้จริง เข้าใจความเดือดร้อนทุกภาคส่วนเพราะทุกพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเรียนรู้การปรับตัว ไม่พึ่งพาอุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง สร้างเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่หลากหลายด้าน
ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีสั่งการให้นำมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต ทั้ง13 ข้อเสนอ อาทิ โครงการพัฒนาคุณภาพการคัดกรองด่านตรวจภูเก็ต โครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่ ระยะทาง 22.4 กิโลเมตร การปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน มาตรการการเงิน มาตรการภาษี มาตรการแรงงาน เป็นต้น เข้าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เพื่อพิจารณา สำหรับโครงการที่สามารถทำได้ก่อนก็พร้อมจะเดินหน้า เช่น การจัดการอบรม สัมมนา นายกรัฐมนตรีย้ำว่าภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันจัดลำดับความสำคัญในการเข้าไปช่วยเหลือ รัฐบาลวันนี้ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ให้คนไทยท่องเที่ยวข้ามจังหวัด เพื่อประคองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลจะต้องดูแลทุกคน ประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกร ทุกภูมิภาค คำนึงถึงการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างภูมิคุ้มกันให้ไทยสามารถเผชิญกับวิกฤตใหม่ ๆ ในอนาคตได้
นายกรัฐมนตรียังได้มอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เดินหน้าสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ประชาชนและคนภูเก็ตได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั้งทางตรง ทางอ้อม
อนึ่งที่ประชุม ประกอบด้วย 6 ผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) และประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต นายกสมาคมมัคคุเทศก์อันดามัน เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการชุมชนร่วมใจ ต้านภัยโควิด-19 กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุท้องถิ่นทั่วประเทศ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการชุมชนร่วมใจ ต้านภัยโควิด-19 กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุท้องถิ่นทั่วประเทศ
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการชุมชนร่วมใจ ต้านภัยโควิด-19 กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุท้องถิ่นทั่วประเทศ
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิด "โครงการชุมชนร่วมใจ ต้านภัยโควิด-19 กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุท้องถิ่นทั่วประเทศ" โดยมี ดร.ธนากร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้แทนจากวิทยุท้องถิ่น วิทยุชุมชน ผู้ดำเนินรายการวิทยุจากทั่วประเทศ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม ณ โรงแรมเดอะ รอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ ร่วมรับเรื่องหรือรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รองปลัดฯ วรวรรณ ร่วมรับเรื่องหรือรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมรับเรื่องหรือรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chie’ Complaint Executive Officer : CCEO) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการเป็นผู้แทนรับเรื่องและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแทนนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่อยู่ในความรับผิดชอบตามบัญชานายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)
ณ โรงเรียนเทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต #คณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ #กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ดันเกษตรอินทรีย์ควบคู่ระบบสหกรณ์ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมช.มนัญญา ดันเกษตรอินทรีย์ควบคู่ระบบสหกรณ์
รมช.มนัญญา ดันเกษตรอินทรีย์ควบคู่ระบบสหกรณ์ หวังยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์
รมช.มนัญญา ดันเกษตรอินทรีย์ควบคู่ระบบสหกรณ์ หวังยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า จำกัด พร้อมมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ และปัจจัยการผลิตแก่สมาชิกสหกรณ์ จำนวน 400 คน ณ สหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า จำกัด ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำอาชีพการเกษตร จึงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ในการกำจัดวัชพืชหรือศัตรูพืช ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทำเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีการยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชน ในการรวบรวม จัดเก็บ แปรรูป ผลผลิตทางการเกษตรในระดับพื้นที่ รวมทั้งการจัดหาตลาดโดยการจัดทำโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อให้เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าของสมาชิกที่มีคุณภาพ และการเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดระหว่างขบวนการสหกรณ์ ภาคเอกชน เพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภค ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังได้ริเริ่มโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อให้ลูกหลานเกษตรกร ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ใช้ความรู้ประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการเกษตรของครอบครัวเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนต่อไป”
สำหรับสหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า จำกัด ได้จดทะเบียนเป็นสหกรณ์ประเภทสหกรณ์การเกษตร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2521 ดำเนินงานมาแล้ว 42 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก จำนวน 913 คน มีทุนเรือนหุ้น 13 ล้านบาท มีเงินรับฝาก 39 ล้านบาท มีทุนดำเนินงาน 74 ล้านบาท มีคณะกรรมการบริหารงาน 13 คน เจ้าหน้าที่ 7 คน ดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ได้แก่ ปุ๋ย แม่ปุ๋ย วัสดุอุปกรณ์การเกษตร เคมีการเกษตร ข้าวสาร ธุรกิจรวบรวมผลผลิตการเกษตร ได้แก่ ยางก้อนถ้วย,มังคุด ธุรกิจแปรรูปผลิตผลการเกษตรและการผลิตสินค้า ได้แก่ ปุ๋ยผสม
ทั้งนี้ สหกรณ์ได้เข้าร่วมโครงการสำคัญตามโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรของสหกรณ์ที่มีคุณภาพเป็นช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าสหกรณ์ได้มากขึ้น และผลักดันให้สหกรณ์ เป็นศูนย์รวบรวมและจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพแก่ประชาชนในราคาที่เป็นธรรม โครงการสนับสนุนการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อบริการแก่สมาชิก โครงการส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสถาบันการเกษตรเพื่อลดต้นทุน การผลิตให้แก่เกษตรกร โครงการพัฒนาสหกรณ์ภาคการเกษตรเป็นองค์กรหลักระดับอำเภอ เพื่อเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์ มีสมาชิกได้รับชดเชยดอกเบี้ย 61 ราย เป็นเงิน 231,854.83 บาท และโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าคุณภาพสู่มาตรฐาน (GAP)
สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย การติดตามงานตามนโยบายด้านสหกรณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยม และพบปะสมาชิกสหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า จำกัด รวมทั้ง พิธีมอบเงินอุดหนุนตามโครงการพัฒนาศักยภาพกลุ่มอาชีพในสังกัด กลุ่มเกษตรกร จำนวน 1 แห่ง เป็นเงิน 100,000 บาท มอบเงินอุดหนุนตามโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร จำนวน 11 แห่ง เป็นเงิน 1,167,340.35 บาท และพิธีมอบโล่เกียรติคุณรางวัลเกษตรกรดีเด่น จำนวน 1 ราย เกียรติบัตรเกษตรกรดีเด่น จำนวน 2 ราย และมอบปัจจัยการผลิตแก่สมาชิกสหกรณ์ จำนวน 30 รายอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36414 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ลงพื้นที่ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ชื่นชมการดำเนินโครงการกองทุนหมู่บ้าน ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือส่งเสริมต่อยอดเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชน | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมต.อนุชา ลงพื้นที่ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ชื่นชมการดำเนินโครงการกองทุนหมู่บ้าน ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือส่งเสริมต่อยอดเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชน
รมต.อนุชา ลงพื้นที่ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ชื่นชมการดำเนินโครงการกองทุนหมู่บ้าน ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือส่งเสริมต่อยอดเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชน
วันนี้ (2 พ.ย. 63) เวลา 13.30 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านในไร่ ซึ่งได้ดำเนินงานโครงการตามแนวทางประชารัฐ โดยให้ชุมชนเป็นผู้กำหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้านและชุมชนด้วยคุณค่า และภูมิปัญญาของตนเอง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก
โอกาสนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายแก่ผู้ขับเคลื่อนและดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน ย้ำว่ากองทุนหมู่บ้านเป็นแหล่งพัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และสวัสดิการของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งมีกว่า 13 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับกองทุนหมู่บ้านในการใช้ประโยชน์จากโครงการฯ เพื่อเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายให้กับครอบครัว ในส่วนของการดำเนินงานนั้น ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและคนในพื้นที่เป็นหลัก โดยอาศัยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพนำไปสู่เป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่มีความกินดีอยู่ดีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า หมู่บ้านและชุมชนมีความหลายหลายในอาชีพ วิถีชีวิต และภูมิประเทศ ขอให้นำศักยภาพอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่มาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป พร้อมกล่าวชื่นชมการดำเนินกองทุนหมู่บ้านฯ ต.นาเลย ที่ดึงเอาศักยภาพมาเป็นจุดขาย ร่วมมือกันผลักดันทำให้เกิดรายได้สามารถหล่อเลี้ยงคนในชุมชนให้สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง ถือเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้ประชาชนมีรายได้จุนเจือครอบครัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือส่งเสริมต่อยอดการดำเนินการต่างๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชน
จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เยี่ยมชมกิจการรีสอร์ทประชารัฐ ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของกองทุนหมู่บ้าน จำนวน 9 หมู่บ้าน โดยใช้กลไกของเครือข่ายคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านในระดับตำบลขับเคลื่อนงาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 4,500,000 บาท โดยแบ่งเป็นกองทุนละ 500,000 บาท นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนแล้ว ยังก่อให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ ประชาชนมีรายได้ และเกิดการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน และเยี่ยมชมสินค้า OTOP ผลิตภัณฑ์กองทุนหมู่บ้าน เสร็จแล้ว รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ลงเรือเยี่ยมชมวิถีชุมชนประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจของผู้เดินทางมาพักที่รีสอร์ทแห่งนี้
.......................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. หนุนพลัง “บวร” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดวังตะคร้อ จ.สุโขทัย นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง-หลักธรรม-คำสอนทางศาสนา พัฒนาชุมชนและท้องถิ่น | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
วธ. หนุนพลัง “บวร” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดวังตะคร้อ จ.สุโขทัย นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง-หลักธรรม-คำสอนทางศาสนา พัฒนาชุมชนและท้องถิ่น
วธ. หนุนพลัง “บวร” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดวังตะคร้อ จ.สุโขทัย นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง-หลักธรรม-คำสอนทางศาสนา พัฒนาชุมชนและท้องถิ่น ชูแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม-พัฒนาต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชุมชน
วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่จังหวัดสุโขทัย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางไปติดตามผลการดำเนินงานการสร้างความเข้มแข็งของพลังบวร เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง“บวรOn Tour”ณ ชุมชนคุณธรรมวัดวังตะคร้อ บ้านหนองจิกกรี ต.หนองหญ้าปล้อง อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โดยมี พระครูปิยะสีลขันธ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะคร้อ นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ว่าที่ ร.ท. อุทิศ คงรอด นายอำเภอบ้านด่านลานหอย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประธานสภาวัฒนธรรม อ.บ้านด่านลานหอย ศิลปินพื้นบ้าน และประชาชน ให้การต้อนรับ โดยพระครูปิยะสีลขันธ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะคร้อ และผู้นำชุมชน นำชมผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณธรรม สวนเศรษฐกิจพอเพียง และชมวีดิทัศน์บรรยายสรุปผลการดำเนินงานและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ชุมชนภาคภูมิใจในการขับเคลื่อนชุมชนตามแนวทางคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรของชุมชนคุณธรรมวัดวังตะคร้อ
นางยุพา กล่าวว่า จังหวัดสุโขทัยเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายแห่ง รวมทั้งมีโบราณสถานที่งดงามมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ อาทิอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และวัดศรีชุม อีกทั้งมีเทศกาลประเพณีที่งดงามเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ได้แก่ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น นอกจากนี้มีชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ๖๔๔ แห่ง ประกอบด้วย ชุมชนระดับส่งเสริมคุณธรรม ๒๑๗ แห่ง ระดับคุณธรรม ๓๓๙ แห่ง ระดับต้นแบบ ๑๐๘ แห่ง และเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบ“บวรOnTour”๒๐ แห่ง ซึ่งได้รับการส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินโครงการและกิจกรรมจากกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหลักการ“บวร : บ้าน วัด โรงเรียน”ไปขับเคลื่อนและดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ชุมชนคุณธรรมฯ วัดวังตะคร้อ บ้านหนองจิกกรี จ.สุโขทัย ได้รับคัดเลือกเป็น ๑ ใน ๑๐๐ สุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบบที่ได้รับรางวัลระดับประเทศจากวธ. มีความโดดเด่นในด้านการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเผยแพร่ควบคู่กับหลักธรรม คำสอนทางศาสนา และลงมือปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของชุมชน ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรวัดวังตะคร้อ โดยพระครูปิยะสีลขันธ์ เจ้าอาวาสวัดวังตะคร้อ ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาลงมือปฏิบัติ โดยการปลูกพืชสมุนไพรหลากหลายชนิด ภายในพื้นที่ ๕ ไร่ ของวัดวังตะคร้อ และนำมาแปรรูป เป็นยาสุมนไพร และพัฒนาขยายผลสู่การสร้างอาชีพแก่คนในชุมชนที่หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มแปรรูปสมุนไพร กลุ่มทำไม้กวาด กลุ่มทำดอกไม้จันทน์ กลุ่มทำไข่เค็ม กลุ่มนวดแผนไทย นอกจากนี้ ยังมีการบูรณาการเข้ากับโครงการ และกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการบวชเณชภาคฤดูร้อน โครงการลานธรรม ลานวิถีไทย โครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และกิจกรรมทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางศาสนา โดยได้มีการขยายผลสู่ชุมชนครอบคลุมทั้ง ๒ ตำบล คือ ตำบลหนองหญ้าปล้อง และตำบลวังตะคร้อ รวมถึงถ่ายทอดสู่เด็ก เยาวชน และประชาชนด้วย
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ชุมชนคุณธรรมฯ วัดวังตะคร้อ ได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงวัดวังตะคร้อ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษา การปลูกพืชผัก สวนครัว ไม้ผล มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น กบ หนูนา ปลา และไก่สวยงาม แปลงข้าวสาธิต ซึ่งเป็นกิจกรรมก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีในชุมชน นอกจากนี้ ยังได้นำพลังบวรมาสร้างความเข้มแข็งในชุมชนโดยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เครือข่ายพลังบวรได้ร่วมมือ รวมใจ ช่วยเหลือ เกื้อกูล แบ่งปันและบรรเทาความเดือดร้อน โดยการจัดตั้งโรงทาน บริจาคอาหารแห้งภายในชุมชน จัดตั้งตู้ปันสุข และจัดทำหน้ากากผ้า ซึ่งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บรรเทาลง รัฐบาลได้มีนโยบาย “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วธ. ได้เล็งเห็นศักยภาพของชุมชนฯ จึงจะพัฒนาต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36406 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.พม. เร่งช่วยเครือข่ายชุมชนใน จ.ภูเก็ต แก้ปัญหาระยะยาวทั้งที่อยู่อาศัยและกองทุนสวัสดิการชุมชน | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. เร่งช่วยเครือข่ายชุมชนใน จ.ภูเก็ต แก้ปัญหาระยะยาวทั้งที่อยู่อาศัยและกองทุนสวัสดิการชุมชน
รมว.พม. เร่งช่วยเครือข่ายชุมชนใน จ.ภูเก็ต แก้ปัญหาระยะยาวทั้งที่อยู่อาศัยและกองทุนสวัสดิการชุมชน
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 63เวลา 11.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ ณ ชุมชนสะพานร่วมพูนผล 1 อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เพื่อเยี่ยมชาวชุมชนและรับฟังปัญหาสำคัญต่างๆ พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน นอกจากนี้ ได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้วยการส่งมอบบ้านพอเพียง 47 หลัง และมอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม 100 ราย
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. ไม่ได้ละเลยปัญหาของพี่น้องประชาชน โดยมีสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต ทำงานช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สำหรับปัญหาของจังหวัดภูเก็ตมาจากปัญหาอาชีพและรายได้ที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้ชาวต่างชาติจำนวนมากไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ อีกทั้งธุรกิจ ร้านค้าต่างๆต้องปิดกิจการ เกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือต่างๆโดยกระทรวง พม. ได้สำรวจประชาชนที่เดือดร้อนและจะช่วยส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนประกอบอาชีพในชุมชน สำหรับเด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ จะมีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาในชุมชนอีกด้วย
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ได้มารับฟังปัญหาต่างๆ จากเครือข่ายชุมชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะปัญหาที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีชุมชนจำนวนมากและกว่า 2,000 ครัวเรือน ที่ตั้งอยู่บนป่าชายเลนซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ จึงมีเพียงทะเบียนบ้านชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถสร้างสาธารณูปโภคเข้าถึงชุมชนได้อย่างเต็มที่ และทำให้ค่าน้ำประปา-ไฟฟ้า มีราคาแพง โดยกระทรวง พม. จะประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) สำหรับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในระยะยาวต่อไป อีกทั้งกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนสวัสดิการชุมชน ถือว่าเป็นประกันสังคมภาคประชาชน ที่ต้องการให้มีการรับรองอย่างถูกต้องโดยกระทรวง พม. จะมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) หรือ พอช. ศึกษาในรายละเอียดและเสนอร่างกฎหมายควบคู่กับภาคประชาชนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36435 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เร่งยกระดับช่างมืออาชีพรับธุรกิจโรงแรม จ.ภูเก็ต ฟื้นตัวหลังโควิด -19 คลี่คลาย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
‘สุชาติ’ มอบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เร่งยกระดับช่างมืออาชีพรับธุรกิจโรงแรม จ.ภูเก็ต ฟื้นตัวหลังโควิด -19 คลี่คลาย
รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกอบรม หลักสูตร “การบริหารงานช่างอย่างมืออาชีพ” รองรับภาคธุรกิจบริการ โรงแรมและการท่องเที่ยวฟื้นตัวภายหลังโควิด -19 คลี่คลาย
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวในการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร “การบริหารงานช่างอย่างมืออาชีพ” ณ โรงแรมพูลแมนภูเก็ต พันวา บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต โดยมี นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ โดยการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ผมมาพบปะกับผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร “การบริหารงานช่างอย่างมืออาชีพ” ผมขอชื่นชมและให้กำลังใจทุกท่าน เพราะการพัฒนาฝีมือแรงงานของช่างโรงแรม นับว่าเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลงานซ่อมบำรุงของโรงแรมทั้งระบบไฟ ระบบน้ำ ระบบปรับอากาศ ให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโรงแรมมีหัวหน้าช่างที่มีความรู้ ทักษะความสามารถในการบริหารจัดการงานช่างอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพด้วยแล้วงานบริการต่าง ๆ ของโรงแรมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้า ลดปัญหาข้อร้องเรียน ลดการสูญเสีย รวมทั้งต้นทุนการดำเนินงาน
“ผมขอชื่นชมกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันช่วยเหลือสถานประกอบกิจการโรงแรมซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในการพัฒนายกระดับความรู้ความสามารถให้แก่หัวหน้าช่างโรงแรม” นายสุรชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36440 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ เดินหน้าปรับปรุงท่าเทียบเรือภูเก็ต หนุนสร้างมาตรฐานสินค้าประมงปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
‘รมช.ประภัตร’ เดินหน้าปรับปรุงท่าเทียบเรือภูเก็ต หนุนสร้างมาตรฐานสินค้าประมงปลอดภัย
‘รมช.ประภัตร’ เดินหน้าปรับปรุงท่าเทียบเรือภูเก็ต หนุนสร้างมาตรฐานสินค้าประมงปลอดภัย ดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานองค์การสะพานปลาท่าเทียบเรือภูเก็ต ถนนศรีสุทัศน์ ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จ.ภูเก็ต โดยมี ดร.มณเฑียร อินทร์น้อย ผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา คณะผู้บริหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ ดำเนินโครงการปรับปรุงสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต จำนวน 299,070,000 บาท เพื่อพัฒนาคุณภาพสัตว์น้ำ ตามนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง คืออาหารปลอดภัย (Food Safety) และส่งเสริมการส่งออก ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาคุณภาพสัตว์น้ำให้ได้มาตรฐานทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น เพิ่มการจ้างงาน และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสัตว์น้ำ รวมทั้งผลักดันให้จังหวัดภูเก็ตเป็นศูนย์กลางด้านการประมงทูน่าในภูมิภาค และปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบพื้นที่โครงการให้มีมาตรฐานเหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติของประเทศ
นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ท่าเทียบเรือประมงภูเก็ตเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสามารถสร้างมูลค่าให้กับประชาชนได้ อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่รวม 370 ไร่ ที่องค์การสะพานปลาได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้กรมทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ขอคืนพื้นที่ป่าดังกล่าวประมาณ 198 ไร่ ที่ทางองค์การสะพานปลาไม่ได้ใช้ประโยชน์ ดังนั้น ตนในฐานะกำกับดูแลองค์การสะพานปลาจึงได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาร่วมกับผู้กอบการท่าเรือ โดยมีข้อสรุปร่วมกันที่จะพัฒนา ปรับปรุงท่าเทียบเรือให้มีมาตรฐาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตลอดจนให้เจ้าหน้าที่เร่งเจรจากับผู้เช่าที่หมดสัญญาแล้ว ให้ทำการรื้อถอนเพื่อพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นตลาดค้าสัตว์น้ำครบวงจรต่อไป
“จากการรับฟังในวันนี้เห็นถึงศักยภาพพื้นที่สะพานปลา ซึ่งต้องร่วมกันพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดและขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้อยู่อาศัย โดยต้องมีการปรับภูมิทัศน์ให้สะอาด ขุดลอกเส้นทางน้ำ จัดสรรพื้นที่อย่างเป็นระเบียบ เพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งกระจายสินค้าประมง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้ ตลาดให้ชุมชนอย่างยั่งยืน” นายประภัตร กล่าว
สำหรับท่าเทียบเรือภูเก็ต มีท่าเทียบเรือความยาว 880 เมตร พร้อมระบบผลิตน้ำสะอาดและระบบบำบัดน้ำทิ้ง ด้านระบบสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงภูเก็ตเป็นท่าเทียบเรือที่ได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย มีระบบผลิตน้ำสะอาด ซึ่งมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขลักษณะที่ดี ตามประกาศกรมประมงและยังมีระบบบำบัดน้ำทิ้ง เพื่อให้คุณภาพน้ำทิ้ง ที่ปล่อยลงสู่สาธารณะจากท่าเทียบเรือประมง มีคุณภาพตามข้อกำหนด มาตรฐานประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการณ์ด้านสุขอนามัย เพื่อตรวจสอบระบบการปฏิบัติงาน รวมถึงมีการให้บริการเรือประมงเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสัตว์น้ำ สถานที่จำหน่ายสัตว์น้ำ อีกทั้ง มีมาตรการ และโครงการที่สำคัญ คือการตรวจสอบฟอร์มาลีนในสัตว์น้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอาหารทะเล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ร่วมกิจกรรมตักบาตรรับรุ่งอรุณ ณ วัดตะพังเงิน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.วธ. ร่วมกิจกรรมตักบาตรรับรุ่งอรุณ ณ วัดตะพังเงิน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
รมว.วธ. ร่วมกิจกรรมตักบาตรรับรุ่งอรุณ ณ วัดตะพังเงิน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๕.๔๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกิจกรรมตักบาตรรับรุ่งอรุณ ณ วัดตะพังเงิน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย โดยมี หัวหน้าส่วนราชการในท้องถิ่น และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "รื่นเริง แสงศิลป์ อเมซิ่ง สุขสยาม" | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "รื่นเริง แสงศิลป์ อเมซิ่ง สุขสยาม"
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "รื่นเริง แสงศิลป์ อเมซิ่ง สุขสยาม"
วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน "รื่นเริง แสงศิลป์ อเมซิ่ง สุขสยาม" โดยมี ผู้บริหารไอคอนสยาม ผู้บริหารเมืองสุขสยาม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ บริเวณลานเมือง ชั้น G เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36402 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครการการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครการการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว
รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครการการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว เป็นเกษตรผสมผสาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมโครการการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว (ปลูกปาล์มน้ำมัน) เป็นเกษตรผสมผสาน พร้อมพบปะเกษตรกร ณ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินประจำตำบลปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ว่า จากนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม เป็นการผลิตที่เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ตลาดและตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีหน่วยงานต่างๆ บูรณาการร่วมกัน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกับ กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมหม่อนไหม สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ติดตามประเมินผลโครงการ
“โดยจะใช้แนวคิดในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีแนวคิดในการทำงาน คือ "คิด ทำ สำเร็จ บอกต่อ" โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่จากพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับปลูกปาล์มน้ำมัน มาทำเกษตรผสมผสาน พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการทำนาน้ำน้อย การปลูกข้าวในบ่อซีเมนต์ สร้างโรงสีข้าว เพื่อสีข้าวไว้บริโภค และให้บริการสีข้าวแก่เกษตรกรในชุมชน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผลิตผักอินทรีย์ นำมูลสัตว์และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิต และทำสารไล่แมลงจากพืชสมุนไพรในระบบการปลูกพืช” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ปัจจุบันมีสมาชิกศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีพัฒนาที่ดินดังกล่าว จำนวน 65 ราย โดยเกษตรกรที่เป็นสมาชิก ได้นำหลักแนวคิดดังกล่าวไปปฏิบัติในพื้นที่ของตนเองจนเกิดรายได้อย่างยั่งยืนแก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ เกษตรกรมีความต้องการที่จะผลิตอาหารที่มีความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค เป็นแปลงต้นแบบการบริหารพื้นที่ และกลุ่มเกษตรกรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ และขยายผลสู่เกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ นำไปปฏิบัติ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และภายในงานยังได้มอบบัตรดินดีแก่เกษตรกร จำนวน 5 ราย อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36430 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับแก้ปัญหาน้ำประปาราคาสูง-น้ำท่วม ให้ชาวชุมชนเอื้ออาทรภูเก็ต(ถลาง) | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. รับแก้ปัญหาน้ำประปาราคาสูง-น้ำท่วม ให้ชาวชุมชนเอื้ออาทรภูเก็ต(ถลาง)
รมว.พม. รับแก้ปัญหาน้ำประปาราคาสูง-น้ำท่วม ให้ชาวชุมชนเอื้ออาทรภูเก็ต(ถลาง)
เมื่อวันที่1 พ.ย. 63เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมชาวชุมชนบ้านเอื้ออาทรภูเก็ต (ถลาง) เพื่อรับฟังปัญหาสำคัญของชุมชน ได้แก่ ราคาน้ำประปาราคาสูงและนำ้ท่วม พร้อมทั้งร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นางอัญชี วานิช เทพบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ได้มาลงพื้นที่ด้วยตนเอง ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ทำให้รับรู้ รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเราจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุและจากไป สำหรับปัญหาบางส่วน สามารถแก้ไขได้ด้วยองค์กรของเราเอง แต่ในบางส่วนต้องแก้ไขด้วยการบูรณาการร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งนี้ ตนมีความตั้งใจว่าจะทำงานด้วยความทุ่มเทและเต็มที่ โดยสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ หรือเรื่องที่จะต้องประสานการแก้ไข และจะนำเข้าประชุมในคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาชุมชนเรื่องน้ำประปาราคาสูง จากเดิมที่มีราคา 10 กว่าบาท แล้วขึ้นราคาเป็น 30 กว่าบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากพอสมควร เรื่องนี้จะต้องนำไปเจรจากับการประปาส่วนภูมิภาค โดยจะนำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี และเมื่อรัฐบาลรับทราบแล้ว จะทำให้รู้แนวทางการแก้ไข หากไม่สามารถแก้ไขราคาน้ำประปาให้เท่ากับราคาเดิมได้ เราจะจัดหาเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ปัญหาน้ำท่วมชุมชน ต้องขอความกรุณาจากหน่วยงานท้องถิ่นให้เข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ โดยต้องประสานกับทางนายกเทศมนตรีและจังหวัดว่ามีงบประมาณในการให้ความช่วยเหลืออย่างไร ส่วนการระบายน้ำ ต้องประสานกับกรมทางหลวงว่าจะดำเนินการอย่างไร และจะนำปัญหานี้ไปเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายใหม่ 2 เรื่อง คือ ให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงลงพื้นที่เพื่อกำกับดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่างๆ และให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องทำเรื่องเสนอผลงานทุก 3 เดือน ซึ่งตนจะติดตามปัญหาและแก้ไขให้ดีที่สุด โดยจะติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” ลงพื้นที่ จ.พังงา เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน-ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
“พุทธิพงษ์” ลงพื้นที่ จ.พังงา เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน-ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท
“พุทธิพงษ์” ลงพื้นที่ จ.พังงา เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน-ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท
รมว.ดีอีเอส นำคณะผู้บริหารตรวจราชการ จ.พังงา เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน วิทยาลัยชุมชนพังงา และโครงการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย ดูความสำเร็จการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เร่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มฐานราก เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย สร้างโอกาสเข้าถึงช่องทางตลาดออนไลน์
วันนี้ (2 พ.ย. 63) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.พังงา พร้อมนำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน วิทยาลัยชุมชนพังงา และโครงการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย (ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท) ซึ่งมีผลสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เร่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ สร้างงานในพื้นที่โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มฐานราก เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ผ่านออนไลน์
ทั้งนี้ ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ตั้งอยู่ในวิทยาลัยชุมชนพังงา ต.บ่อแสน อ.ทับปุด จ.พังงา กลุ่มผู้ใช้งานเป็นเด็ก เยาวชน ประชาชนและกลุ่มแม่บ้าน ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือ เกษตรกรรม ประมง และรับจ้าง และเป็นหนึ่งในศูนย์ดิจิทัลชุมชนตามแผนการนำร่อง 250 แห่ง ที่มีการปรับรูปแบบการให้บริการศูนย์ฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนในชุมชน เช่น วันเสาร์-อาทิตย์ จัดอบรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้กับประชาชนทั่วไป เป็นต้น
“ผมให้นโยบายเพื่อให้มีการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากศูนย์ดิจิทัลชุมชน ที่นอกเหนือจากการอบรมให้ความรู้และการขายสินค้าออนไลน์ โดยควรเพิ่มในเรื่องของการท่องเที่ยว การสาธารณสุข และความรู้ในท้องถิ่น การค้นคว้าหาความรู้ โดยมุ่งเน้นความเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เร่งรัดพัฒนาเชิงรุกให้ชุมชนการเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐ ได้สะดวกและง่ายขึ้น” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ในโอกาสนี้ ได้เยี่ยมชมบูธโครงการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย (Thailandpostmart) ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) โดยมีตัวแทนชุมชนจากหลายพื้นที่ของ จ.พังงา และผู้ผลิตสินค้าร่วมกันมานำเสนอสินค้า ที่ปัจจุบันวางจำหน่ายผ่าน e-Marketplace ของ www.Thailandpostmart.com ได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านปริง ปณอ.พังงา 104 วิสาหกิจ ชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเขาตำหนอน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล ท่าปากแหว่ง และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดพังงา
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ให้นโยบายกับหน่วยงานใต้สังกัดเพื่อช่วยเข้าไปช่วยเหลือให้ชุมชนทุกพื้นที่ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐครอบคลุมถึง ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ และสอดคล้องกับบริบทความต้องการของคนในชุมชน โดยในส่วนของการจำหน่ายสินค้าชุมขนออนไลน์ผ่าน Thailandpostmart จะมี ปณท เข้าไปช่วยสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชนทั่วประเทศ สร้างการเข้าถึงช่องทางการตลาด พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งใช้ศักยภาพของ ปณท ทั้งเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์กว่า 5,000 แห่ง พนักงานมากกว่า 40,000 คน ระบบการขนส่งที่ครอบคลุมและเข้าถึงทุกชุมชน เข้าไปสนับสนุน
ทั้งนี้ ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท หรือโครงการดิจิทัลชุมชนด้านอี-คอมเมิร์ซ ได้พัฒนาระบบงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาระบบร้านค้าออนไลน์ (e-Marketplace) ที่ทันสมัยเพื่อให้ชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนสามารถนำสินค้าหรือบริการมาขึ้นทะเบียนจำหน่ายบนเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com ที่ทำงานได้ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ แทบเล็ต คอมพิวเตอร์
2. การพัฒนาระบบการชำระเงิน (e-Payment) เพื่อรองรับธุรกรรมการชำระเงินจากผู้สั่งซื้อสินค้า และการจ่ายเงินค่าสินค้าให้กับผู้ประกอบการได้อย่างสะดวก ทันสมัย ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่ง ปณท ได้มีพันธมิตรร่วมดำเนินการ ในเรื่องช่องทางการชำระเงิน (Payment Gateway) เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินได้ทุกช่องทาง
และ 3. การพัฒนาระบบการขนส่ง (e-Logistics) พัฒนาระบบการแจ้งเตือนข้อมูลคำสั่งซื้อไปยังที่ทำการไปรษณีย์ต้นทาง และผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อเตรียมการจัดส่งสินค้า วางเส้นทางและรูปแบบ วิธีการขนส่งสินค้าให้เหมาะกับสินค้าแต่ละประเภท เช่น ระบบการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ สำหรับการขนส่งผลผลิตการเกษตร อาหาร การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งที่มีมาตรฐาน ลดการสูญเสีย เป็นต้น ระบบการแสดงสถานะ การขนส่งเพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้สั่งซื้อใช้ตรวจสอบรายการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก ทันสมัยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบปะชาวเกาะสมุย ย้ำรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ยืนยันทำงานอย่างเต็มที่ให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือพัฒนาเกาะสมุยให้เจริญก้าวหน้าภายใต้แนวคิดรวมใจ ไทยสร้างชาติ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ พบปะชาวเกาะสมุย ย้ำรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ยืนยันทำงานอย่างเต็มที่ให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือพัฒนาเกาะสมุยให้เจริญก้าวหน้าภายใต้แนวคิดรวมใจ ไทยสร้างชาติ
นายกรัฐมนตรีพบปะชาวเกาะสมุย ย้ำรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ยืนยันทำงานอย่างเต็มที่ให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือพัฒนาเกาะสมุยให้เจริญก้าวหน้า ภายใต้แนวคิด “รวมใจ ไทยสร้างชาติ”
วันนี้ (2 พ.ย. 63) เวลา 11.00 น. ณ วัดพระเจดีย์แหลมสอ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เข้ากราบนมัสการพระครูถิรบุญญากร เจ้าอาเจ้าอาวาสวัดพระเจดีย์แหลมสอ และสักการะหลวงพ่อแดง ณ เจดีย์หลวงพ่อแดง เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมปลูกต้นพิกุลเพื่อเป็นที่ระลึกกับวัดพระเจดีย์แหลมสอและประชาชนชาวเกาะสมุย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายประชาชนกว่า 500 คน ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอเกาะสมุย และนักเรียน/นักศึกษา อย่างเป็นกันเอง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมาเกาะสมุยว่า นอกจากจะมาติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและโครงการต่าง ๆที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ยังมาประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มาระดมความคิดที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดภาคใต้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีมาตรการที่สามารถควบคุมและดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนเป็นที่ยอมรับในระดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชาชนทุกฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำก็ให้สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้ พร้อมกับมีแนวทางบรรเทาผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น การสนับสนุนเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการจ้างงานในระดับพื้นที่ ควบคู่ส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงานในภาพรวม ตลอดจนการวางรากฐานและผลักดันให้เศรษฐกิจปรับเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งการเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้ภาคธุรกิจ (Corporate) การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย โครงการคนละครึ่ง โดยขณะนี้มีกิจการที่ลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 4 แสนร้าน ขอเชิญชวนให้คนเกาะสมุยใช้โครงการคนละครึ่งให้มากขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการส่งเงินตรงไปสู่ประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงด้านการท่องเที่ยวว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น นักท่องเที่ยวจากจีน ที่แจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้ STV จากภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว โดยมีสถานที่รองรับในการกักตัวเป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งยังมีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน การกระตุ้นและส่งเสริมไทยเที่ยวไทยเพิ่มเติมเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ซึ่งศักยภาพของประเทศไทยคือรอยยิ้ม อาหาร และธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงที่เกาะสมุย ที่มีอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเฉพาะตัว มีทรัพยากรธรรมชาติสวยงาม ทุกภาคส่วนก็ได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวให้กลับมาเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาบนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งรัฐบาลพร้อมดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และรัฐบาลกำลังหาวิธีการให้คนไทยมาท่องเที่ยวให้มากขึ้น เช่น การสนับสนุนให้คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาท่องเที่ยวในภาคใต้ หรืออาจจัดแพคเกจคนอีสานสู่ใต้ เป็นต้น เพื่อสร้างรายได้และอาชีพให้คนในพื้นที่ รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันของคนในประเทศอีกด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมประชาชนชาวเกาะสมุย ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของวิถีชีวิตพื้นถิ่นไว้ได้ โดยขอให้ชาวเกาะสมุยเปิดรับและพัฒนาชุมชน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวซึ่งจะช่วยสร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงานเพื่อพัฒนาเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีให้มีความเจริญก้าวหน้า ภายใต้แนวคิด “รวมใจ ไทยสร้างชาติ” ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญทำให้การพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไปสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับย้ำว่า ประชาชนไทยมีหลักยึดคือสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยส่วนของข้าราชการให้รวมประชาชนไปด้วย พร้อมฝากให้เด็กและเยาวชนเรียนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ การเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี และเรียนให้ตรงกับความต้องการของตลาด ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ร่วมร้องเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” กับประชาชนชาวเกาะสมุยด้วย
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีมอบกิ่งปะการังแก่นักดำน้ำเพื่อนำไปปลูกยังพื้นที่เกาะแตน รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการอนุรักษ์พันธ์ุมะพร้าวพื้นถิ่นและภูมิปัญญามะพร้าวเกาะสมุย นิทรรศการธนาคารปูม้า และนายกรัฐมนตรีได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเอกลักษณ์ของเกาะสมุย คือ ปูม้าและเต่าตนุร่วมกับประชาชนในพื้นที่ลงสู่ทะเลไทย ทั้งนี้ ประชาชนที่มาให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะ ต่างส่งเสียง “นายกฯ สู้ ๆ” เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอีกด้วย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัยนำทีมผู้บริหารกษ. ติดตามความคืบหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศและอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.เฉลิมชัยนำทีมผู้บริหารกษ. ติดตามความคืบหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศและอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่
รมว.เฉลิมชัยนำทีมผู้บริหารกษ. ติดตามความคืบหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศและอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่มุ่งมั่นที่จะมาประโยชน์มาให้กับพี่น้องชาวพังงาแก้ปัญหาทั้งในเรื่องการมีน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่
นายเฉลิม ชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วย นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศและอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่ณศาลาอเนกประสงค์เทศบาลตำบลลำแก่นจังหวัดพังงาเนื่องจากพื้นที่ในจังหวัดพังงาไม่มีอ่างเก็บน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่ทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่บ่อยครั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้มอบหมายกรมชลประทานดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำโดยมีแผนการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศและโครงการอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ประชาชนทั้งนี้ปัจจุบันพื้นที่จังหวัดพังงามีโครงการชลประทานอยู่กว่า 160 โครงการรวมพื้นที่รับประโยชน์กว่า 60,000 ไร่ประกอบด้วยฝายทดน้ำ 7 แห่งอาคารอัดน้ำ 3 แห่งโครงการชลประทานขนาดเล็ก 148 โครงการและฝายทดน้ำ 5 แห่ง
สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำลำไตรมาศตั้งอยู่ในพื้นที่ต.บางเหรียงอ.ทับปุดจ.พังงามีลักษณะเป็นเขื่อนดินแบบแบ่งโซน (Zone Type) สันเขื่อนกว้าง 9 เมตรยาว 322 เมตรสูง 37 เมตรสามารถเก็บกักน้ำได้ประมาณ 5.6 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานหากดำเนินโครงการแล้วเสร็จจะเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้กับโครงการฝายคลองลำไตรมาศเดิมและมีพื้นที่ชลประทานรวมกว่า 5,800 ไร่สามารถสนับสนุนน้ำทั้งทางด้านการอุปโภคบริโภคและด้านการเกษตรให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอทับปุดและพื้นที่ใกล้เคียง
ในส่วนของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต.ลำแก่นอ.ท้ายเหมืองจ.พังงามีลักษณะเป็นเขื่อนดินแบบแบ่งโซน (Zone Type) สันเขื่อนกว้าง 10 เมตรยาว 350 เมตรสูง 40 เมตรสามารถเก็บกักน้ำได้ประมาณ 12.78 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานหากดำเนินโครงการแล้วเสร็จจะสามารถส่งน้ำให้กับประชาชนในเขตชลประทานในพื้นที่ตำบลลำแก่นได้กว่า 1,200 ไร่และยังสนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในกับประชาชนในพื้นที่อำเภอท้ายเหมืองและอำเภอตะกั่วป่าได้กว่า 5,000 ครัวเรือนนอกจากนี้ยังเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อีกด้วย
"การลงพื้นที่ในวันนี้มุ่งมั่นที่จะเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์มาให้กับพี่น้องชาวพังงาถ้าเราสามารถแก้ปัญหาทั้งในเรื่องการมีน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตรได้ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นซึ่งจังหวัดพังงาเองมีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำทั้งภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยวจึงมุ่งหวังว่าการมาทำประโยชน์ในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้จังหวัดพังงาสามารถพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้นพร้อมทั้งเน้นย้ำให้คำนึงถึงการมีส่วนความของพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนต่อไป
อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯพร้อมที่จะเข้ามาดูแลพี่น้องเกษตรกรในทุกพื้นที่ต้องมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนและพร้อมที่จะเข้ามาพัฒนาทั้งด้านพืชประมงและปศุสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคใต้ที่เกษตรกรมีอาชีพหลักคือการปลูกยางพาราและปาล์มจึงยืนยันว่ารัฐบาลมีนโยบายต่างๆที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นราคายางพาราสูงขึ้นแบบมีเสถียรภาพตามความเป็นจริงจึงยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมเดินหน้าเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและเกิดความสันติต่อไป" นายเฉลิมชัยกล่าว
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ส่งมอบปลากะพงขาวขนาด 3 นิ้วจำนวน 3,000 ตัวให้กลุ่มชุมชนประมงพื้นบ้าน 5 ชุมชนในอำเภอท้ายเหมืองและอำเภอตะกั่วทุ่งนำไปปล่อยในแหล่งน้ำหน้าชุมชนเพื่อเพิ่มทรัพยากรพันธุ์ปลากะพงขาวในธรรมชาติและมอบเมล็ดพันธุ์ผักในโครงการตู้เย็นข้างบ้านเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้ลงทะเบียนแล้วของจังหวัดพังงาจำนวนกว่า 2,000 ราย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส โครงการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมช.ธรรมนัส โครงการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต
รมช.ธรรมนัส โครงการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต เพื่อแก้ไขและปรับปรุง เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องเกษตรกร
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานโครงการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตณโรงเรียนเทศบาลเมืองป่าตอง(บ้านไสน้ำเย็น)ตำบลป่าตองอำเภอกะทู้จังหวัดภูเก็ตว่าเนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปีทำให้มีการใช้ทรัพยากรด้านต่างๆเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะทรัพยากรด้านที่ดินซึ่งพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามตามธรรมชาติทำให้มีการนำที่ดินไปประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเช่นโรงแรมที่พักสถานบริการร้านค้าร้านอาหารเป็นต้นซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและทางส.ป.ก.ภูเก็ตจะต้องดำเนินการตามระเบียบฯในการสั่งให้สิ้นสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพร้อมเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)และการดำเนินการต่อเนื่องทั้งคดีแพ่งและอาญาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเกษตรกรที่ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน
“จากนโยบายของทางกระทรวงเกษตรฯว่าในพื้นส.ป.ก.ภูเก็ตที่เป็นโรงแรมจะไม่มีการทุบทำลายโรงแรมแต่จะหาแนวทางที่เกิดประโยชน์ร่วมกันอาจปรับแก้กฎหมายให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่การดำเนินการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตรและกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเช่นมีการเก็บค่าเช่าที่ที่ไม่ได้ทำการเกษตรในอัตราค่าเช่าที่แตกต่างจากพื้นที่ทำการเกษตรและนำเงินมาเข้ากองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อนำไปช่วยเหลือคนในพื้นที่ต่อไปเป็นต้นดังนั้นในวันนี้จึงได้มาดำเนินการรับฟังคนในพื้นที่เพื่อหาแนวทางที่จะนำไปสู่การปรับปรุงระเบียบกฎหมายของส.ป.ก.ให้สอดคล้องกับพื้นที่ตอบสนองกับความต้องการทันต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องเกษตรกร”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
นายวิณะโรจน์ทรัพย์ส่งสุขเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าจังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่ประกาศเขตปฏิรูปที่ดินรวม3อำเภอ13ตำบลเนื้อที่ประมาณ32,372ไร่เนื้อที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินประมาณ13,070ไร่และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรไปแล้วจำนวน474ราย571แปลงเนื้อที่ประมาณ8,202ไร่มีการเพิกถอนส.ป.ก.4-01จำนวน132ราย160แปลงเนื้อที่2,676ไร่และมีการดำเนินการทางคดีตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันดังนี้คดีแพ่ง19คดีคดีปกครอง57คดีคดีอาญา17คดีรวมจำนวน93คดี อีกทั้งภายในงานยังมีการแสดงนิทรรศการการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตมีการมอบนโยบายและรับฟังข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตพร้อมพบปะเกษตรกรที่ได้รับการจัดที่ดินจากส.ป.ก.ภูเก็ตเพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทัพ พม. ร่วมขับเคลื่อน พังงาแห่งความสุข พร้อมแก้ปัญหาชุมชนและที่อยู่อาศัย | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รมว.พม. นำทัพ พม. ร่วมขับเคลื่อน พังงาแห่งความสุข พร้อมแก้ปัญหาชุมชนและที่อยู่อาศัย
รมว.พม. นำทัพ พม. ร่วมขับเคลื่อน พังงาแห่งความสุข พร้อมแก้ปัญหาชุมชนและที่อยู่อาศัย
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 63เวลา 15.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เดินทางลงพื้นที่ ณ นิคมสร้างตนเองท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อรับฟังข้อเสนอของเวทีสมัชชาพังงาแห่งความสุข เป็นเวทีชุมชนของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ที่ร่วมกันขับเคลื่อนงาน "พังงาแห่งความสุข" นอกจากนี้ ได้มอบความช่วยเหลือต่างๆ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนได้แก่ ป้ายบ้านพอเพียงชนบทระดับจังหวัด 232 ครัวเรือน หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง (นค.3) เงินสงเคราะห์ นมผงเด็ก และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ป่วยติดเตียง เป็นต้น อีกทั้งได้มอบพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ธงชาติไทย และธงพระปรมาภิไธย ย่อ ว.ป.ร. (ธงในหลวง)
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้มาลงพื้นที่จังหวัดพังงา ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อมารับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนถึงในพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าปัญหาใดที่จังหวัดไม่สามารถจัดการได้ ให้นำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี และทุก 3 เดือนให้ทุกหน่วยงานราชการที่มีส่วนรับผิดชอบ ดำเนินการสรุปความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาเพื่อส่งเข้าคณะรัฐมนตรี สำหรับพังงาแห่งความสุข ถือว่าเป็นจุดขายและสัญลักษณ์ว่า พังงาเป็นจังหวัดที่มีความสุขมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ที่นำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น การอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาไว้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ลูกหลานได้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง ตามข้อเสนอของสมัชชาพังงาแห่งความสุข อีกทั้งให้มีการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารออนไลน์สำหรับอาชีพใหม่จากผลกระทบของสถานการณ์โรคโควิด-19
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ จากการรับฟังความต้องการต่างๆ ของประชาชนในพื้นที่ ตนเห็นว่า กระทรวง พม. พร้อมพัฒนาศักยภาพของประชาชน รวมถึงการหาอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน อาทิ ด้านสังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดยทำงานร่วมกันกับภาคีเครือข่าย อาทิ กรณีผู้สูงอายุในพื้นที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงควรเพิ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เป็น 2 เท่า เพื่อที่จะได้รับการฝึกอบรมเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36431 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ “วัดมงคลวราราม” จ.ภูเก็ต นำ “พลังบวร”ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน-แหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม สร้างอาชีพ-รายได้สู่ท้องถิ่น | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
วธ.หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ “วัดมงคลวราราม” จ.ภูเก็ต นำ “พลังบวร”ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน-แหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม สร้างอาชีพ-รายได้สู่ท้องถิ่น
วธ.หนุนชุมชนคุณธรรมฯ ต้นแบบ “วัดมงคลวราราม” จ.ภูเก็ต
นำ “พลังบวร”ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน-แหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม สร้างอาชีพ-รายได้สู่ท้องถิ่น
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่จังหวัดภูเก็ต ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เดินทางไปติดตามผลการดำเนินงานการสร้างความเข้มแข็งของพลังบวร เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “บวร On Tour” ณ ชุมชนคุณธรรมวัดมงคลวราราม (วัดในยาง) ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โดยมีนายกิตติกร ประทีป ณ ถลาง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา หน่วยงานในพื้นที่และคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมฯ ให้การต้อนรับ โดยนางเจียมจิตต์ ศิริสวัสดิ์ ผู้นำชุมชนคุณธรรมวัดมงคลวราราม กล่าวรายงาน ผลการดำเนินงานของชุมชนคุณธรรม หลังจากนั้นได้นำชมการแสดงทางวัฒนธรรม การสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่นและผลิตภัณฑ์ชุมชน
นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องนำหลักการ “บวร:บ้าน วัด ราชการ/โรงเรียน” มาเป็นกลไกขับเคลื่อนและเป็นศูนย์กลางการบูรณาการความร่วมมือและส่งเสริมพัฒนาชุมชนคุณธรรมฯ รวมถึงเป็นศูนย์กลางการส่งต่อข้อมูลข่าวสารของภาครัฐและเอกชน และนำหลักธรรมทางศาสนามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจพร้อมกับน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและร่วมกันสืบสาน รักษา ต่อยอดวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามไว้ ดังนั้น วธ.จึงจัดโครงการบวร On Tour ขึ้น เพื่อส่งเสริมนโยบาย“ไทยเที่ยวไทย” ของรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาสร้างชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นที่ชุมชนต้นแบบนำร่องจังหวัดละ ๑ ชุมชน รวม ๗๖ ชุมชน และตั้งเป้าหมายจะขยายต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีชุมชนคุณธรรมทั้งหมด ๖๒ แห่ง แบ่งเป็นชุมชนคุณธรรมระดับส่งเสริม ๑๕ แห่ง ชุมชนคุณธรรมระดับคุณธรรม ๒๙ แห่ง และชุมชนคุณธรรมระดับต้นแบบ ๑๘ แห่ง ซึ่งในส่วนของชุมชนคุณธรรมวัดมงคลวราราม เป็น ๑ ใน ๑๐๐ ชุมชนคุณธรรมต้นแบบนำร่องที่ได้รับรางวัลระดับประเทศที่ได้ใช้ “พลังบวร” ในการนำทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงามที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นมาต่อยอดส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สร้างแหล่งเรียนรู้ และเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม รวมทั้งการเป็นเจ้าบ้านที่ดีพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน อีกทั้งได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างดีอีกด้วย นอกจากนี้ ชุมชนคุณธรรมวัดมงคลวรารามมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความโดดเด่นหลายแห่ง เช่น วัดมงคลวราราม (วัดในยาง) หาดในยาง หาดกล้วย หาดในทอน เกาะปลิง อุทยานแห่งชาติสิรินาถ หัวแหลม-อ่าวปอ และศูนย์เรียนรู้การเกษตร ตำบลสาคู ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในชุมชนต่อไปได้อีกด้วย
-------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” เปิดงานสัมมนาสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมพื้นที่ภาคใต้ | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
“พุทธิพงษ์” เปิดงานสัมมนาสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมพื้นที่ภาคใต้
“พุทธิพงษ์” เปิดงานสัมมนาสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมพื้นที่ภาคใต้
รมว.ดีอีเอส เปิดงานสัมมนา “สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ครั้งที่ 3” จ.พังงา ตอกย้ำการทำงานเชิงรุกแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ดึงทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกัน เผยผลการดำเนินงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีจำนวนข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองกว่า 25 ล้านข้อความ พบที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 6,826 เรื่อง เกินครึ่งเป็นข่าวปลอมในหมวดสุขภาพ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (2 พ.ย. 63) ได้เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ครั้งที่ 3” จ.พังงา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ และคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมรับฟัง
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมสัมมนา ครอบคลุมทั้ง ภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้ บุคลากรด้านสาธารณสุข ภาคสังคม สื่อมวลชน และภาคประชาชน อาทิ ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.พังงา เพื่อให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมได้ด้วยตนเอง วิธีเช็คแหล่งที่มา วิธีสังเกตหัวข้อพาดหัวข่าว และได้ทราบถึงการแจ้งเบาะแสให้กับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
สำหรับผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตั้งแต่วันจัดตั้งศูนย์ฯ ถึงช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา (1 พ.ย.62-28 ต.ค.63) จากการรวบรวมข้อมูลทั้งจากที่มีผู้แจ้งเบาะแสเข้ามา และระบบติดตามการสนทนาทางโซเชียล (Social listening) พบว่า มีจำนวนข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 25,835,350 ข้อความ ข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 19,466 ข้อความ โดยมีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 6,826 เรื่อง ในจำนวนนี้ 56% เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,620 เรื่อง (38%), หมวดเศรษฐกิจ 251 เรื่อง (4%) และหมวดภัยพิบัติ 143 เรื่อง (2%)
ทั้งนี้ กระทรวงฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าการทำงานเชิงรุก เพื่อเร่งทำการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ผ่านกลไกการทำงานทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทำให้เกิดแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
“ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เป็นหนึ่งในนโยบายหลัก 12 ด้านของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการจัดการข้อมูลที่เป็นเท็จทางสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนและสาธารณชนในวงกว้าง บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วน ในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องแก่ประชาชน ยึดหลักการสำคัญในการทำงานคือ ความเที่ยงธรรมและความปราศจากอคติในการคัดเลือกข่าว ให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายที่ถูกพาดพิงและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่าเทียมกัน สามารถอธิบายกระบวนการการพิสูจน์ การตรวจสอบ แหล่งที่มาของบทความและข้อเท็จจริงต่างๆ ได้” นายพุทธิพงษ์กล่าว
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กล่าวว่า การจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ฯ ในภาคใต้ครั้งนี้ จะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนการตรวจสอบเฝ้าระวังการเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหา และข่าวสารที่เผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ต โดยช่วยสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ หน่วยงานต่างจังหวัดและประชาชนทั่วไป ตลอดจนหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทำให้การบูรณาการการทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ในการดำเนินงานเชิงรุกป้องกันข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและปัญหาข่าวปลอมอันจะทำให้ภาครัฐสามารถชี้แจงทำความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อให้เกิดความมั่นคงและความไว้วางใจในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและสารสนเทศ
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รีบใช้จ่ายภายใน 14 วัน เพื่อรักษาสิทธิโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
รีบใช้จ่ายภายใน 14 วัน เพื่อรักษาสิทธิโครงการคนละครึ่ง
หลังจากโครงการคนละครึ่งได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายมา 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2563 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 พ.ย.2563 เวลา 11.00 น. จำนวนยอดใช้จ่ายสะสม 4,188.30 ลบ. แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 2,139.93 ลบ. และรัฐช่วยจ่ายอีก 2,048.37 ลบ.
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากโครงการคนละครึ่งได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายมา 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 เวลา 11.00 น. จำนวนยอดใช้จ่ายสะสม 4,188.30 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 2,139.93 ล้านบาท และรัฐช่วยจ่ายอีก 2,048.37 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 225 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ทั้งนี้ มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 4.7 แสนร้านค้า
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่าประชาชนที่ลงทะเบียนก่อนวันที่ 23 ตุลาคม 2563 และได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้วขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย ซึ่งขั้นตอนการยืนยันตัวตนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยง่าย (ดังแผนภาพประกอบ) และจะต้องมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 โดยเมื่อท่านเติมเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการเข้าไปในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ก็จะสามารถใช้สิทธิซื้อสินค้ากับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที ซึ่งสามารถใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 หากไม่ใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับจากวันถัดจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ ท่านจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อีก
รองโฆษกกระทรวงการคลังร่วมกับนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้มีการลงพื้นที่สำรวจการดำเนินโครงการคนละครึ่งในจังหวัดภูเก็ตพบว่า มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนเข้าร่วมโครงการได้สำเร็จหรือมีการใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ไม่ได้ เนื่องจากจำรหัสเข้าใช้งานไม่ได้ หรือสแกนหน้าไม่สำเร็จ จึงทำให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวมารอเข้าคิวยืนยันตัวตนที่สาขาเป็นจำนวนมาก และระบบของธนาคารได้ตรวจสอบพบว่ามีการรอคิวจำนวนมากของประชาชนในบางพื้นที่ เช่น สาขาในจังหวัดขอนแก่น ชัยนาท นครราชสีมา อีกด้วย ดังนั้น ธนาคารกรุงไทยจึงได้เร่งดำเนินการเพิ่มเครื่องยืนยันตัวตนกว่า 1,000 เครื่องใน 200 สาขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะสาขาที่ระบบตรวจพบว่ามีการรอคิวของประชาชนเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเพิ่มจำนวนพนักงานอีกร้อยละ 20 ในแต่ละสาขา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถยืนยันตัวตนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ทันท่วงทีป้องกันการถูกตัดสิทธิ ตลอดจนแนะนำการใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” อีกด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออก ภายในเกาะสมุย Samui Smart City Command Center สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว | วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออก ภายในเกาะสมุย Samui Smart City Command Center สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออก ภายในเกาะสมุย Samui Smart City Command Center สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ชื่นชมทุกฝ่ายที่ดูแลความปลอดภัย-สุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาท่องเที่ยวพื้นที่เกาะสมุย
วันนี้ (2 พ.ย.63) เวลา 10.20 น. ณ สำนักงานเทศบาลนครเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออกภายในเกาะสมุย ศูนย์ควบคุมกล้องโทรทัศน์วงจรปิด Samui Smart City Command Center โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี รับฟังบรรยายสรุประบบการทำงานของกล้องวงจรปิด Samui Smart City Command Center ที่มีประสิทธิภาพด้านการตรวจจับใบหน้าคนและป้ายทะเบียนรถ เพื่อสนับสนุนการลดและป้องกันอุบัติภัยอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอำเภอเกาะสมุยและนักท่องเที่ยว โดยการดำเนินการของศูนย์ดังกล่าวใช้ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสง และกล้องโทรทัศน์วงจรปิดชนิดเครือข่าย สำหรับใช้ในงานรักษาความปลอดภัยและวิเคราะห์ภาพ จำนวน 1,044 ตัว รอบเกาะสมุย โดยมีห้องควบคุม ณ สำนักงานเทศบาลนครเกาะสมุย พร้อมทั้งมีการติดตั้งฟรี WiFi 26 จุด บนเกาะสมุย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการใช้ Application SAFE T (SAFE-Travel) เชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเกาะสมุยกับระบบการตรวจจับใบหน้า เพื่อให้การตรวจสอบและเฝ้าระวังด้านสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับสมุยเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด Samui Smart City Command Center ในการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะสมุย
อนึ่ง ในช่วงเช้าที่ผ่านมาเมื่อนายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ณ ช่องทางเข้า-ออก ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อฟื้นฟูเศรฐกิจควบคู่การดูแลด้านสุขภาพให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงกระบวนการต่าง ๆ ในการคัดกรองนักท่องเที่ยวด้วยความสนใจ และขอให้เตรียมความพร้อมหากมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการของโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในระบบ Alternative Local State Quarantine (ALSQ) ณ โรงแรมเชอราตัน สมุย รีสอร์ท ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างในระบบ ALSQ ด้วย ทั้งนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวอยู่ใน ALSQ ครบตามกำหนด 14 วัน หากไม่พบเชื้อก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ของเกาะสมุยได้ โดยจะมีการมอบหนังสือรับรองการเข้าพักใน ALSQ และกำไลข้อมือ (Wristband) เพื่อติดตามการเดินทางท่องเที่ยวในอำเภอเกาะสมุย และนักท่องเที่ยวจะต้องอยู่ในอำเภอเกาะสมุยอย่างน้อย 7 วัน โดยจะมีการติดตามผ่าน QR Code Samui Health Pass ในทุก ๆ วัน แต่หากพบเชื้อก็มีกระบวนการด้านสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานรองรับในการส่งตัวเพื่อรับการรักษาต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้ประกอบการโรงแรมเชอราตันที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าวพร้อมแนะให้ปลูกต้นไม้หอมของไทยประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความผ่อนคลายและลดความเครียดได้ด้วย
สำหรับโรงแรมที่ผ่านการตรวจประเมินเป็นโรงแรมสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ALSQ) ในเขตอำเภอเกาะสมุย ขณะนี้มีจำนวน 8 โรงแรม ได้แก่ โรงแรม เชอราตัน สมุย รีสอร์ท เดอะสปา มีเลีย เอาท์ริกเกอร์เกาะสมุย บีช รีสอร์ท บ้านหินทราย รีสอร์ทแอนด์สปา บันยันทรี รีสอร์ท อิมเพียน่า และโรงแรมออร่า สมุยเบสท์ บีช โฮเทล เป็นต้น
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งจังหวัดทั่วประเทศเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
มหาดไทยแจ้งจังหวัดทั่วประเทศเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม
มหาดไทยแจ้งจังหวัดทั่วประเทศเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
วันนี้ (28 พ.ย. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย แจ้งหน่วยงานในสังกัดและจังหวัดจัดกิจกรรมและจัดพิธีเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพฯ พร้อมกับส่วนกลาง
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ดำเนินการประสานทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม และสมพระเกียรติ โดยในเวลา 07:30 น. พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เวลา 08:30 น. พิธีวางพานพุ่มและพิธีถวายบังคม เวลา 19:19 น. พิธีจุดเทียนเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ พร้อมจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมเครื่องราชสักการะ บริเวณอาคารสำนักงานหรือสถานที่เหมาะสม และประดับไฟส่องสว่างบริเวณอาคารสำนักงานตามที่เห็นสมควร ตลอดเดือนธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเชิญชวนส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่าในจังหวัดเข้าร่วมกิจกรรม โดยพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ตามสถานที่ของหน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน และอาคารบ้านเรือน ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมฯ ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37114 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาเกลือทะเล | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาเกลือทะเล
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ติดตามการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาเกลือทะเล
วันศุกร์ที่27พฤศจิกายน 2563 นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามการดำเนินงานการส่งเสริมและพัฒนาเกลือทะเลของจังหวัดสมุทรสาครณศูนย์เรียนรู้การทำนาเกลือหมู่ที่3ตำบลโคกขามอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาคร
ทั้งนี้จังหวัดสมุทรสาครมีพื้นที่การผลิต21,639ไร่โดยที่ผ่านมามีการจัดทำฐานข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรผู้ทำนาเกลือขึ้นทะเบียนเกษตรกรแล้ว367รายพื้นที่16,787ไร่สร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรฐานเกลือทะเลรับสมัครเกษตรกรเข้าสู่มาตรฐานการผลิตเกลือทะเลการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่รวมทั้งการตั้งงบประมาณสนับสนุนสหกรณ์การเกษตรนาเกลือสมุทรสาครจำกัดและสหกรณ์กรุงเทพจำกัดเพื่อพัฒนาเกลือให้ได้มาตรฐานเพิ่มศักยภาพในการผลิตการแปรรูปเพิ่มมูลค่าและการแข่งขันทางการตลาดได้พร้อมทั้งเยี่ยมชมการผลิตเกลือปูผ้าใบณวิสาหกิจชุมชนเกลือบางขุดสมุทรสาครหมู่ที่5ตำบลบ้านบ่ออำเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาครทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯรับเร่งขับเคลื่อนการตั้งหลักเกณฑ์มาตรฐานเกลือทะเลหลักเกณฑ์การช่วยเหลือภัยพิบัติของนาเกลือและแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเกลือทะเลได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37110 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือ มช. หารือทีมนักวิจัยเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ มช. หารือทีมนักวิจัยเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ มช. หารือทีมนักวิจัยเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว ตั้งธงทวงแชมป์ส่งออกข้าวโลก
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมคณะรับฟังบรรยายผลงานวิจัยโดยใช้เทคโนโลยีไอออนพลังต่ำสำหรับปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีและผลผลิตสูงของทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยมีนายแพทย์นิเวศน์นันทจิตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวต้อนรับณอาคารสำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โอกาสนี้ได้เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการลำไอออนพลังงานต่ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ได้ข้าวคุณภาพดีและเพื่อพัฒนาข้าวอีกหลายสายพันธุ์ใหม่ที่น่าสนใจ
นายประภัตรกล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพและผลผลิตสูงเพื่อให้เกษตรกรได้มีเมล็ดพันธุ์ดีได้ใช้ปลูกตลอดจนทวงแชมป์ผู้ส่งออกข้าวและการประกวดข้าวหอมโลกให้ได้ดังนั้นจึงเร่งให้มีการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์และการผลิตข้าวโดยวันนี้ได้หารือแนวทางแก้ไขปัญหาและบูรณาการทำงานร่วมกันในการวิจัยระหว่างกรมการข้าวและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีอยู่มาร่วมกันศึกษาพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้เกษตรกรชาวนาได้มีรายได้มั่นคงยั่งยืนต่อไป
“การร่วมมือกันในวันนี้ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาไทยที่กำลังได้รับความเดือดร้อนและขอชื่นชมทีมนักวิจัยที่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงกว่าตรงตามความต้องการของตลาดดังนั้นจึงต้องผลักดันความร่วมมือโดยนำเอางานวิจัยที่สำเร็จแล้วไปสู่ชาวนาและตั้งคณะทำงานร่วมกันซึ่งทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาและเร่งผลิตพันธุ์ข้าวดีช่วยเหลือชาวนากว่า5ล้านครัวเรือนพื้นที่60ล้านไร่ทั่วประเทศและเร่งวิจัยพันธุ์ให้มีคุณสมบัติครบถ้วนคว้าแชมป์ข้าวโลกสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย”นายประภัตรกล่าว
สำหรับข้าวสายพันธุ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรมข้าวไทย4.0เป็นเทคโนโลยีชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์ในข้าวด้วยลำไอออนพลังงานต่ำโดยทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดร.บุญรักษ์พันธ์ไชยศรีดร.จิรณัทฐ์เตชะรังและศาสตราจารย์เกียรติคุณดร.ถิรพัฒน์วิลัยทองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านฟิสิกส์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่พัฒนานวัตกรรมเครื่องเร่งอนุภาคข้าวลำไอออน3สายพันธุ์ใหม่แบบครบวงจรแห่งแรกในประเทศและเป็นเทคโนโลยีใหม่ของโลกที่ใช้เวลาในการคิดค้นและพัฒนากว่า10ปี
เทคโนโลยีดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่3สายพันธุ์คือ1)ข้าวหอมเพื่อการบริโภค(มช10-1หรือFRK-1)มีความหอมมากกว่าข้าวขาวดอกมะลิ105 2)ข้าวเพื่ออุตสาหกรรมแป้ง(ศฟ10-5หรือMSY-4):เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมแป้งและการแปรรูปเป็นเส้นขนมจีนและ3)ข้าวเพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์(ศฟ10-7หรือOSSY-23):เหมาะที่จะนำไปเป็นอาหารสัตว์เช่นหมูและไก่หรือทำเป็นข้าวพาร์บอยล์(parboiled rice)ซึ่งข้าว3สายพันธุ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของชาวนาไทยในยุค4.0เป็นอย่างมากโดยเฉพาะในการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวตกต่ำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37117 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ มอบที่ปรึกษาฯ ลุยขอนแก่นจัดงาน นัดพบแรงงานใหญ่ และนัดพบ Co-Payment “จ้างงานเด็กจบใหม่” เสิร์ฟงานว่างกว่า 3 พันอัตรา | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
‘จับกัง1’ มอบที่ปรึกษาฯ ลุยขอนแก่นจัดงาน นัดพบแรงงานใหญ่ และนัดพบ Co-Payment “จ้างงานเด็กจบใหม่” เสิร์ฟงานว่างกว่า 3 พันอัตรา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เปิดงาน นัดพบแรงงานใหญ่ และนัดพบ Co-Payment “จ้างงานเด็กจบใหม่” มีตำแหน่งงานว่าง 3,295 อัตรา
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน นัดพบแรงงานใหญ่ และนัดพบ Co-Payment “จ้างงานเด็กจบใหม่” โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่นายจ้าง/สถานประกอบการ ให้เกิดการตกลงทำสัญญาจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ ตามโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co-Payment) และส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ประชาชนทั่วไปที่มีความประสงค์จะทำงาน ณ ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น ภายในงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการสนใจร่วมโครงการและมาเปิดรับสมัครงานจำนวน 99 บริษัท มีตำแหน่งงานว่าง จำนวน 439 ตำแหน่ง 3,295 อัตรา มีการจัดกิจกรรมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ Co-Payment กิจกรรมรับสมัครงานและสัมภาษณ์งานกับนายจ้าง/สถานประกอบการภายในงาน กิจกรรมรับสมัครเพื่อคัดเลือกไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล กิจกรรมการสาธิตประกอบอาชีพอิสระ กิจกรรมแสดงสินค้ากลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและจำหน่ายสินค้าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การให้คำปรึกษาด้านอาชีพและการศึกษาต่อ การให้คำปรึกษาปัญหาด้านแรงงาน (คลินิกแรงงาน) และนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งปัจจุบันมีนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com แล้ว จำนวน 87 บริษัท และมีผู้จบการศึกษาใหม่ที่มีความประสงค์ทำงานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สมัครร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์แล้ว 1,438 คน
นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co-Payment) เป็นหนึ่ง ในโครงการที่เกิดจากการร่วมใจกันขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ตามแนวทางประชารัฐเพื่อมอบความสุขให้แก่ประชาชนในการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ผู้จบการศึกษาใหม่ ประชาชนที่ว่างงาน ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ผู้สูงอายุ คนพิการ ตลอดจนนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ต้องการทำงานในช่วงว่างระหว่างเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและลดปัญหาความยากจนซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) มีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการหางานทำของประชาชน โดยเฉพาะผู้จบการศึกษาใหม่ที่เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงาน
“ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศโดยกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (2561-2580) ที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยในอีก 2๐ ปีข้างหน้าเป็น “ประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดเป้าหมายรวมของการพัฒนาสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำ และความยากจนลดลง ระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การจัดงาน “นัดพบแรงงานใหญ่ และนัดพบ Co-Payment” ขึ้น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรเทาแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชน และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้นได้ในระดับหนึ่ง” ที่ปรึกษารมว.แรงงาน กล่าว
นางธิวัลรัตน์ฯ ยังกล่าวต่อไปว่า ต้องขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานหอการค้า ประธานสภาอุตสาหกรรม ตลอดจนหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงานในครั้งนี้ ที่ทำให้การจัดงานบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์แก่ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ คนพิการ และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่สนใจทำงานในช่วงว่างระหว่างเรียน ได้มีงานทำตรงกับความรู้ ความสามารถ และเป็นการร่วมกันพัฒนาจังหวัดขอนแก่นให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทางเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เตือน 30 พ.ย.นี้ สิ้นสุดเส้นตาย คนต่างด้าวตามมติ ครม. 20 ส.ค. 62 ไม่มีใบอนุญาตทำงาน เจอจับ-ดำเนินคดีตามกม.ทันที! | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
กรมการจัดหางาน เตือน 30 พ.ย.นี้ สิ้นสุดเส้นตาย คนต่างด้าวตามมติ ครม. 20 ส.ค. 62 ไม่มีใบอนุญาตทำงาน เจอจับ-ดำเนินคดีตามกม.ทันที!
อธิบดีกรมการจัดหางาน กำชับ นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่จ้างคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562, วันที่ 24 มีนาคม 2563 และวันที่ 15 เมษายน 2563 เตรียมเอกสารให้ครบ เพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานและทำบัตรชมพู ภายใน 30 พ.ย. 63
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีความเข้าใจและห่วงใยนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย จึงมีมติผ่อนปรนให้คนต่างด้าวอยู่และทำงานได้โดยไม่มีความผิด จากเหตุที่ได้รับผลกระทบตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ระยะเวลาผ่อนปรนจะถึงกำหนดสิ้นสุดภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 แล้ว กรมการจัดหางานขอความร่วมมือให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ติดต่อทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้สามารถอยู่และทำงานได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม รวมทั้งมีความเสมอภาคและหลักประกันสังคม ตามที่กระทรวงแรงงานยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ จากกรอบของแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ตามนโยบายของพล.อ. ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม. วันที่ 20 สิงหาคม 2562 วันที่ 24 มีนาคม 2563 และวันนที่ 15 เมษายน 2563 ยื่นบัญชีรายชื่อไว้ทั้งสิ้น จำนวน 1,266,351 คน ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว จำนวน 1,198,791 คน ดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานและทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยแล้วเสร็จ จำนวน 1,130,185 คน และที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 136,166 คน ทั้งนี้เป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 88,662 คน กัมพูชา 40,161 คน และลาว 7,343 คน คิดเป็นร้อยละ 11 ของคนต่างทั้งหมดที่ยื่นบัญชีรายชื่อกับกรมกรมการจัดหางาน ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นใบอนุญาตทำงานจะสามารถใช้ได้ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พ.ย. 2563)
“ กรมการจัดหางานขอย้ำว่า หากพ้นกำหนด คนต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่จ้างคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการตามมติครม.ดังกล่าว สามารถนัดคิวเพื่อทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ เพื่อเข้าไปทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สำนักเขต สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในกรุงเทพมหานคร หรือศูนย์บริหารการทะเบียนภาคจังหวัดสาขา หรือตามที่กรมการปกครองกำหนด สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในจังหวัดอื่น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งเลขาฯตามติด “นัดพบแรงงาน Co-Payment” ทั่วประเทศ 28 พ.ย.นี้ ขึ้นเหนือเพื่อคนหางานเมืองเชียงใหม่ | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
รมว.แรงงาน สั่งเลขาฯตามติด “นัดพบแรงงาน Co-Payment” ทั่วประเทศ 28 พ.ย.นี้ ขึ้นเหนือเพื่อคนหางานเมืองเชียงใหม่
รมว.แรงงาน มอบหมาย นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน “นัดพบแรงงาน Co-Payment จังหวัดเชียงใหม่ ” และประชุมร่วมกับสถานประกอบการเพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ หวังช่วยเด็กจบใหม่ในพื้นที่ มีงานทำ อย่างน้อย 5 พันอัตรา
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน “นัดพบแรงงาน Co-Payment จังหวัดเชียงใหม่ ” โดยมี นายณัฐวัฒน์ ธีรทัศน์ธำรงค์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ และนายสมชาย มรกตศรีวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ณ โรงแรมคุ้มภูคำ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือการจ้างงานให้ผู้จบการศึกษาใหม่ มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ เพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน ทำให้มีรายได้เพียงพอที่จะใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเพื่อช่วยเหลือนายจ้าง/สถานประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนให้นายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน ผู้จบการศึกษาใหม่ 4 กลุ่ม ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 260,000 คน
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มุ่งมั่นดำเนินงานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (2561-2580) ที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็น “ประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดเป้าหมายรวมของการพัฒนาสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำ และความยากจนลดลง ระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งผู้จบการศึกษาใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นกำลังสำคัญที่จะละเลยหรือมองข้ามไม่ได้
นายสุเทพฯ กล่าวว่า งาน “นัดพบแรงงาน Co-Payment จังหวัดเชียงใหม่ ” ในวันนี้มีนายจ้าง/สถานประกอบการมาร่วมรับสมัครงานและสัมภาษณ์งาน จำนวน 60 บริษัท มีตำแหน่งงานว่าง จำนวน 212 ตำแหน่ง กว่า 1,000 อัตรา และภายในงานมียังมีกิจกรรมการทดสอบความพร้อมทางอาชีพ การให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับการสมัครงานและการสัมภาษณ์งาน การให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับการไปทำงานต่างประเทศ การให้บริการจัดหางานผ่านตู้งาน (Job Box) การให้บริการและการจัดแสดงนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ โดยทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการรับสมัครงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการหางาน และได้มีการประชุมร่วมกับนายจ้าง/สถานประกอบการ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินโครงการฯ ให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
“ จังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายบรรจุงานแก่ผู้จบการศึกษาใหม่ ตามโครงการฯ จำนวน 5,620 คน ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน มีนายจ้าง/สถานประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่ สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com แล้ว จำนวน 189 บริษัท และมีผู้จบการศึกษาใหม่ที่มีความประสงค์ทำงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลงทะเบียนร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์แล้ว จำนวน 1,836 คน หวังว่าการจัดงานนี้ขึ้นจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการตกลงจ้างงานตามโครงการฯ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” เลขานุการ รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37130 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยแนวทางดำเนินงานภายหลังจองซื้อวัคซีนโควิด 19 | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
สธ.เผยแนวทางดำเนินงานภายหลังจองซื้อวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยแนวทางดำเนินการต่อภายหลังลงนามจองและซื้อวัคซีนโควิด 19 จากบริษัทแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส เร่งรับถ่ายทอดเทคโนโลยี คาดผลิตได้ในกลางปี 2564 พร้อมยื่นขึ้นทะเบียน อย. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยแนวทางดำเนินการต่อภายหลังลงนามจองและซื้อวัคซีนโควิด 19 จากบริษัทแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส เร่งรับถ่ายทอดเทคโนโลยี คาดผลิตได้ในกลางปี 2564 พร้อมยื่นขึ้นทะเบียน อย. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย วางแผนจำนวนการผลิตและขนส่งให้เหมาะสม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติลงนามจองซื้อและซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 26 ล้านโดสจากบริษัท แอสตราเซนเนกา จำกัด ว่า ประเทศไทยสามารถคัดกรอง คัดแยก ควบคุม กักกัน และรักษาโรคโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี เหลือเพียงการมีวัคซีนเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยมีวัคซีนโควิด 19 ใช้เป็นประเทศต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ การลงนามกับบริษัทแอสตราเซนเนกาผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเกิดประโยชน์ ไม่ได้เป็นการลงนามสัญญาร่วมกับบริษัทที่บกพร่องในการทดลองตามข่าวลือแต่อย่างใด โดยผลการทดลองในมนุษย์ระยะ 3 เบื้องต้นพบว่า การฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวนครึ่งโดส ครั้งที่ 2 จำนวน 1 โดส มีประสิทธิผล 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การฉีด 2 ครั้ง ครั้งละโดสมีประสิทธิผล 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดคือ เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามประสิทธิผลของวัคซีนในระยะยาวต่อไปด้วย
นายอนุทินกล่าวว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่อภายหลังการลงนาม คือ การเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีน จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซนเนกา โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่มีศักยภาพในการผลิตยาชีววัตถุอยู่แล้วจะเป็นผู้รับการถ่ายทอด เพื่อผลิตวัคซีนให้ได้ตามมาตรฐาน จากนั้นจะยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้กระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่อไป
"ข้อดีของการลงนามกับบริษัทแอสตราเซนเนกาคือ การได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาด้วย หากซื้ออย่างเดียวเราก็ต้องซื้อตลอดไป แต่การรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้เราสามารถผลิตได้เอง อย่างวัคซีนที่จองซื้อก็จะเป็นการผลิตภายในประเทศด้วย ทำให้ช่วยลดค่าขนส่ง รวมถึงสามารถผลิตวัคซีนอื่นๆ ด้วยเทคโนโลยีเดียวกันได้ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศด้านวัคซีน คาดว่าจะผลิตออกมาได้ในช่วงกลางปี 2564" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่รอให้ได้ผลการทดลองเสร็จสิ้นแล้วค่อยจองซื้อ เนื่องจากหากรอผลก็จะทำให้การผลิตล่าช้าไปอีก 8-9 เดือน แต่การจองซื้อและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อน เมื่อผลการทดลองออกมาดี ก็สามารถผลิตและนำมาฉีดให้แก่ประชาชนได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีอีก 95 ประเทศทั่วโลกที่จองซื้อ รวมกว่า 3 พันล้านโดส หากเรารอให้ถึงวันที่วิจัยทดลองสำเร็จแล้วค่อยซื้อ ก็อาจไม่สามารถซื้อได้
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เหตุผลที่ลงนามร่วมกับแอสตราเซนเนกา เนื่องจากการจัดเก็บวัคซีนใช้อุณหภูมิที่ 2-8 องศาเซลเซียส ไม่แตกต่างจากวัคซีนชนิดอื่น ทำให้สามารถจัดเก็บได้สะดวก บุคลากรมีความชำนาญ การผลิตในไทยช่วยประหยัดค่าขนส่งได้กว่าร้อยล้านบาท ส่วนกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563 โดยหลักๆ จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นกลุ่มที่หากติดเชื้อจะกระทบระบบสาธารณสุขจะไม่มีผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีความเสี่ยงอาการรุนแรงสูง หรือมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อสูง
นอกจากนี้ จะพิจารณาจากกำลังการผลิตในแต่ละเดือนเพื่อวางระบบการขนส่งให้เหมาะสม ซึ่งตามสัญญาความร่วมมือประเทศไทยจะผลิตเพื่อนำไปใช้ดูแลในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะอนุญาตในการส่งออกต่อไป สำหรับสถานที่ฉีดวัคซีนหากมีการฉีดจำนวนเป็นล้านโดสควรใช้สถานที่ใด มองว่าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีศักยภาพในการให้บริการ โดยต้องเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บและให้ความรู้ประชาชนในการฉีดวัคซีน
********************************28 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37113 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’เดินสายหาดบางแสน ชวนแรงงานอิสระ จ.ชลบุรี สมัคร ม.40 เข้าถึงหลักประกันสังคม | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
‘สุชาติ’เดินสายหาดบางแสน ชวนแรงงานอิสระ จ.ชลบุรี สมัคร ม.40 เข้าถึงหลักประกันสังคม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินสายชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี รณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้งานประกันสังคมมาตรา 40“แรงงานอุ่นใจ ให้ประกันสังคม ม.40 ดูแล”เชิญชวนแรงงานภาคอิสระสมัครมาตรา 40 เสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน
ในพิธีเปิดงานโครงการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้งานประกันสังคมมาตรา 40“แรงงานอุ่นใจ ให้ประกันสังคม ม. 40 ดูแล” ณ บริเวณชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวต้อนรับ นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ได้รับการคุ้มครองได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมในทุกภาคส่วน ในวันนี้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างหลักประกันทางสังคม ที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย และทุกกลุ่ม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในบริบทของสังคมสูงวัย โดยเชิญชวนให้แรงงานนอกระบบหรือแรงงานอิสระ ให้ได้รับหลักประกันที่มีความมั่นคงในชีวิต เพราะแรงงานเหล่านี้มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและหากกลุ่มแรงงานดังกล่าว มีความมั่นคงในชีวิตจะทำให้เกิดความมั่นใจในการทำงานและการดำเนินชีวิตส่งผลทางบวก ต่อระบบเศรษฐกิจและการสร้างรายได้ให้กับประเทศก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติโดยรวม
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การดำเนินโครงการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ เครือข่ายผู้นำชุมชน พ่อค้า แม่ค้า นักเรียนนักศึกษา ประชาชนทั่วไป ที่มาร่วมโครงการ ให้สามารถรับรู้และเผยแพร่สิทธิประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 40 ที่ได้รับตามความคุ้มครอง ทั้ง 3 ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นกรณีเงินทดแทนการขาดรายได้จากการเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร รวมทั้ง เงื่อนไขของการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้สมาชิกกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ได้รับทราบ และนำไปเผยแพร่ให้กับได้รับรู้สิทธิประโยชน์ เพื่อให้แรงงานภาคอิสระตัดสินใจเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงเช้า รมว.แรงงาน และคณะ ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกันตนทุพพลภาพ จำนวน 2 ราย และร่วมเดินรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้งานประกันสังคม ณ บริเวณชายหาดบางแสน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เพื่อให้แรงงานอิสระได้สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ในระบบประกันสังคม เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมให้คนในพื้นที่เข้าถึงหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายรัฐบาลอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงหญิงไทยจังหวัดเชียงใหม่ติดเชื้อโควิด 19 จากต่างประเทศ ติดตามผู้สัมผัส 326 ราย | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
สธ. แจงหญิงไทยจังหวัดเชียงใหม่ติดเชื้อโควิด 19 จากต่างประเทศ ติดตามผู้สัมผัส 326 ราย
กระทรวงสาธารณสุข แจงข้อเท็จจริงหญิงไทยอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ติดเชื้อโควิด 19 เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ ตรวจติดตามผู้สัมผัส 326 ราย แนะหากสงสัยเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมใช้บทเรียน 9 กรณีพัฒนาระบบเฝ้าระวังควบคุมสอบสวนโรค
กระทรวงสาธารณสุข แจงข้อเท็จจริงหญิงไทยอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ติดเชื้อโควิด 19 เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ ตรวจติดตามผู้สัมผัส 326 ราย แนะหากสงสัยเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมใช้บทเรียน 9 กรณีพัฒนาระบบเฝ้าระวังควบคุมสอบสวนโรค
วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2563) ที่กรมควบคุมโรค นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวข้อเท็จจริงการติดเชื้อโควิด 19 ของหญิงไทยอายุ 29 ปี
ที่ จ.เชียงใหม่
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีการพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 หลายเหตุการณ์ในประเทศไทยให้เรียนรู้ 9 กรณี คือ 1.ชาวเมียนมาติดเชื้อชายแดนอำเภอแม่สอด 5 รายในครอบครัวเดียวกัน ขณะนี้สถานการณ์ปกติแล้ว มีการขนส่งสินค้าข้ามแดนปลอดภัยแบบ Safety Zone ตรวจหาเชื้อพนักงานขับรถทุกสัปดาห์ เมื่อเจอผู้ป่วยส่งกลับไปรักษา ถือเป็นต้นแบบให้ด่านชายแดนอื่นๆ 2. หญิงชาวฝรั่งเศสที่เกาะสมุย เป็นผู้ติดเชื้อ
ในประเทศที่สถานกักกันที่รัฐกำหนด พบปัญหาระบบระบายอากาศมีการปนเปื้อนเชื้อ จึงต้องเข้มในมาตรการทำความสะอาด และตรวจสอบระบบระบายอากาศ โดยสัปดาห์หน้าจะเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง
3. ชาวเมียนมาที่ลักลอบเข้าเมือง ที่ จ.พัทลุง เบื้องต้นให้ข้อมูลว่าเข้าทางอำเภอแม่สอด แล้วเดินทางไปสงขลา จากผลสอบสวนโรคได้ข้อเท็จจริงว่า มาจากชายแดนมาเลเซีย เป็นประสบการณ์ว่า ข้อมูลที่ได้ครั้งแรกอย่าปักใจเชื่อทั้งหมด เนื่องจากผู้กระทำผิดกฎหมายมักไม่บอกความจริง การสอบสวนโรคต้องอาศัยหลักฐานหลายๆ อย่าง โดยชายแดนยังเป็นจุดสำคัญที่ต้องระมัดระวัง 4. ชายอินเดียที่กระบี่มาตรวจโควิด 19 เพื่อสมัครงาน มีการเดินทางไปหลายจังหวัด ทำให้ต้องระดมทีมสอบสวนโรค เมื่อติดตามผู้สัมผัสทุกรายผลเป็นลบ คาดว่าเป็นการติดในประเทศ จากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งตัวเป็นเชื้อโควิด 19 จริง แม้มีเชื้อปริมาณน้อยจึงอาจเป็นการติดเชื้อนานแล้ว บ่งบอกว่าคนเคยติดเชื้อยังตรวจเจอได้ แต่ไม่ไปติดผู้อื่น อนาคตอาจเจอกรณีนี้พอสมควร
5. ทหารเกาหลี ในการประชุมมีการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่างอย่างดี ทำให้ติดตามผู้สัมผัสมากักกันและได้ตรวจทุกราย ผลไม่พบเชื้อ รวมถึงได้รับความร่วมมือจากประเทศเกาหลีในการประสานข้อมูล พบว่า รายนี้พบเชื้อค่อนข้างน้อย เมื่อตรวจซ้ำผลเป็นลบ อาจเป็นการติดเชื้อก่อนหน้านี้นานแล้ว 6. รัฐมนตรีฮังการี ตรวจเจอตั้งแต่วันแรก จากการวางระบบทำให้ตรวจจับได้รวดเร็ว และการร่วมมือระหว่างประเทศ โดยไทยส่งข้อมูลให้ทางการกัมพูชา
ทำให้ตรวจเจอเชื้อที่กัมพูชาเพิ่ม 3-4 คน ส่วนท่านทูตฮังการีที่ติดเชื้อเนื่องจากสัมผัสใกล้ชิด แต่มีการกักตนเองและใส่หน้ากาก ทำให้ไม่มีการแพร่เชื้อต่อ
7. ชาวเมียนมาลักลอบเข้าเมืองในค่ายอุ้มเปี้ยม อำเภอพบพระ ปริมาณเชื้อค่อนข้างน้อย อาจเป็นการติดเชื้อนานแล้ว ผู้สัมผัสในค่ายให้ผลเป็นลบ 8. หญิงอายุ 17 ปี ชาวไทยเมียนมา เป็นโรคพุ่มพวง มารักษาที่ไทยเป็นการติดเชื้อจากชายแดนและลักลอบเข้ามา และ 9. ล่าสุดหญิงไทยอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการลักลอบเข้ามาเช่นกัน โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่จะประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์และตรวจสอบเพิ่มเติม
“สิ่งที่เรียนรู้จากเหตุการณ์ทั้งหมด คือ การใส่หน้ากากสม่ำเสมอในพื้นที่สาธารณะเป็นสิ่งจำเป็นช่วยป้องกันโรคได้ และการสอบสวนโรคได้รวดเร็ว เนื่องจากร้านค้า อาคาร พื้นที่สาธารณะมีกล้องวงจรปิดช่วยติดตาม การสแกนไทยชนะ แต่จุดเสี่ยงคือชายแดนยังคงต้องเข้มงวดเฝ้าระวังการลักลอบ โดยขอให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวังด้วย หากพบผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศไม่ถึง 14 วัน ไม่ได้กักตัวให้รีบแจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรค” นายแพทย์โอภาสกล่าว
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า กรณีหญิงไทยอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโควิด 19 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน รายนี้เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ เนื่องจากช่วงวันที่ 24ตุลาคม ถึง 23 พฤศจิกายน ไปทำงานที่เมียนมา โดยวันที่23 พฤศจิกายน เริ่มมีไข้ ปวดศีรษะ ถ่ายเหลว รับประทานยาลดไข้เอง ต่อมาวันที่24 พฤศจิกายน เดินทางกลับมาที่ประเทศไทยเมื่อเวลา 05.30 น. ทางอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แล้วเดินทางเข้าอำเภอเมือง เชียงราย ด้วยรถตู้ และเข้าจังหวัดเชียงใหม่โดยรถบัสโดยสารประจำทางปรับอากาศ ออกเวลา 11.00 น. ถึงเชียงใหม่เวลา 14.51 น. และใช้บริการ Grab Car คันแรกกลับคอนโดช่วงกลางคืนมีประวัติไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านสันติธรรมร่วมกับเพื่อน 2 คน มีการสูบบุหรี่ร่วมกัน เวลา 02.00 น. เข้าพักค้างคืนที่คอนโดแห่งหนึ่งของเพื่อนที่มาจากสถานบันเทิงด้วยกัน และมีเพื่อนอีก 2 คนจากห้องตรงข้ามเข้ามาร่วมดื่มสุราด้วย
วันที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. เดินทางออกจากคอนโดของเพื่อนกลับไปที่พักโดยใช้บริการ Grab Car คันที่สอง ถึงเวลา 13.00 น. ต่อมาใช้บริการ Grab Car คันที่สามไปห้างสรรพสินค้า โดยอยู่ในห้างตั้งแต่เวลา 15.30 - 20.30 น. และชมภาพยนตร์ รับประทานอาหารและเดินซื้อของ จากการติดตามดูกล้องวงจรปิด สวมหน้ากากอนามัยเป็นส่วนใหญ่ แล้วใช้บริการ Grab Car คันที่สี่กลับคอนโดของตนเอง ส่วนวันที่ 26 พฤศจิกายน เวลา 15.30 น. ใช้บริการ Grab Car คันที่ห้า เพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนเนื่องจากยังมีอาการป่วย โรงพยาบาลซักประวัติเพิ่มเติมพบอาการไม่ได้กลิ่น มีอุณหภูมิ 36.9 องศาเซลเซียส เข้าได้กับโรคโควิด 19 จึงส่งตรวจเชื้อ ผลออกเวลา 22.00 น.พบเป็นบวก จึงส่งรักษาต่อโรงพยาบาลนครพิงค์ ผลตรวจยืนยันเป็นบวกเช่นกัน
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับสถานที่ต่างๆ ที่หญิงรายนี้เดินทางไปใช้บริการ ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้เข้าตรวจสอบและให้ทำความสะอาดแล้ว ทีมสอบสวนโรคกำลังติดตามผู้สัมผัส 326 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 105 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสในชุมชน 65 ราย (คอนโดผู้ป่วย 2 ราย คอนโดเพื่อน 2 ราย สถานบันเทิง 55 ราย ห้าง 6 ราย) ผู้สัมผัสกลุ่มยานพาหนะ 40 ราย (จังหวัดเชียงราย 35 ราย เป็นผู้เดินทางข้ามแดนด้วยกัน 1 ราย รถตู้ รถโดยสาร 34 ราย จังหวัดเชียงใหม่ 5 ราย คือ คนขับ Grab car)
ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 149 ราย แบ่งเป็นในชุมชน 140 ราย (สถานบันเทิง 2 ราย ห้าง 138 ราย) และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 9 ราย โดยประชาชนที่อยู่ในสถานที่เดียวกับหญิงรายดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกัน หรือสงสัยว่าอาจสัมผัสหญิงรายดังกล่าว สามารถเข้ารับบริการตรวจหาเชื้อโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและแนะนำให้ปฏิบัติตัวป้องกันการแพร่เชื้อโดยสวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และสังเกตอาการทางเดินหายใจ ทุกวันจนครบ 14วัน หากมีข้อสงสัยโทรศัพท์สอบถามที่ 1422
************************************* 28 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ 1 แสนคัน เป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีข้อสรุป รายละเอียดต้องนำเสนอ ศบศ. และให้ ครม.เห็นชอบ ก่อนมีผล | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
โฆษกรัฐบาลย้ำ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ 1 แสนคัน เป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีข้อสรุป รายละเอียดต้องนำเสนอ ศบศ. และให้ ครม.เห็นชอบ ก่อนมีผล
โฆษกรัฐบาลย้ำ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ 1 แสนคัน เป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีข้อสรุป รายละเอียดต้องนำเสนอ ศบศ. และให้ ครม.เห็นชอบ ก่อนมีผล
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากกรณีเรื่องโครงการรถเก่าแลกรถใหม่1แสนคันนั้นขอชี้แจงว่าโครงการดังกล่าวยังเป็นเพียงการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นเท่านั้นและยังคงต้องหารือเพิ่มเติมอีกหลายประเด็นในรายละเอียดรวมถึงการขอความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุมและชัดเจนถึงผลกระทบในรอบด้านที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบศ.)ครั้งล่าสุดนั้นยังไม่มีข้อสรุปใดๆในเรื่องนี้และหากได้ข้อสรุปแล้วสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสศช.จะเป็นผู้เสนอโครงการดังกล่าวเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในขั้นสุดท้าย
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวยังเป็นลักษณะการนำเสนอแนวคิดเท่านั้นยังไม่ได้มีข้อสรุปของโครงการแต่อย่างใดจึงขอให้ประชาชนรอความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวซึ่งรายละเอียดของโครงการจะแถลงข่าวให้ทราบโดยละเอียดต่อไป
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดงาน“Coconut Festival” ดันกลุ่มจังหวัดเพชรสมุทรคีรีสู่ฮับอุตสาหกรรมมะพร้าว ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ก.อุตฯ จัดงาน“Coconut Festival” ดันกลุ่มจังหวัดเพชรสมุทรคีรีสู่ฮับอุตสาหกรรมมะพร้าว ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานส่งเสริมการตลาดเชิงรุกและสร้างการรับรู้ในเชิงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ “Coconut Festival” ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานส่งเสริมการตลาดเชิงรุกและสร้างการรับรู้ในเชิงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ “Coconut Festival” โครงการแปรรูปมะพร้าวครบวงจรสู่สินค้ามูลค่าสูง (High Value)ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมีนายชรัส บุญณสะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นายสุระ เพชรพิรุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพิชิต มิทราวงศ์ นายชาตรี เวทสรณสุธี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย นางลักษมี รุจิระมานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสงคราม นางอทิตา กลิ่นสุวรรณ อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี นางสาวอารยา ไสลเพชร อุตสาหกรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายธงชัย เมืองสนธิ์ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมเปิดงาน ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นความสำคัญในการยกระดับหรือเพิ่มมูลค่ามะพร้าว เพราะมะพร้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีโอกาสในการพัฒนาและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานโดยเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ-ภาคเกษตรกร กลางน้ำ-ภาคอุตสาหกรรมอย่าง SMEs และปลายน้ำ-การตลาดที่เป็นธุรกิจที่ทำการส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าว ซึ่งอุตสาหกรรมมะพร้าวได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. ผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อการบริโภค เช่น อุตสาหกรรมมะพร้าวแห้ง อุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าว อุตสาหกรรมกะทิเข้มข้น อุตสาหกรรมมะพร้าวฝอยแห้ง อุตสาหกรรมน้ำตาลมะพร้าว และ 2.อุตสาหกรรมเพื่ออุปโภค เช่น อุตสาหกรรมเส้นใยมะพร้าว อุตสาหกรรมแท่งเพาะชำ อุตสาหกรรมเผาถ่านจากกะลามะพร้าว และปัจจุบันมะพร้าวเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดี มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและมีการส่งออกในหลากหลายผลิตภัณฑ์ แต่ยังประสบปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมีได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี หรือกลุ่มจังหวัดเพชรสมุทรคีรี จัดทำโครงการแปรรูป มะพร้าวครบวงจรสู่สินค้ามูลค่าสูง (High Value) ผ่านกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐจัดงาน“Coconut Festival” เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีช่องทางพบปะผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยแนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวและเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากล (GMP, HACCP, Halal และ อย.)
“การจัดงาน Coconut Festival ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนสู่ผู้บริโภคได้โดยตรง และยังเป็นโอกาสที่ดีที่ให้ผู้ประกอบการได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยในการแนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวต่อยอดด้วย นวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูปมะพร้าวครบวงจรสู่สินค้ามูลค่าสูง (High Value) ด้วยองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมและเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยส่งเสริมการตลาดเชิงรุกกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) จะทำให้ผู้ประกอบการมีโอกาสในการพัฒนาและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อภาคเกษตรกรผู้ปลูกและจำหน่ายมะพร้าวให้มีรายได้เพิ่มยิ่งขึ้น และในโอกาสนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID 19) นั้น กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐก็ได้มีโครงการเพิ่มวงเงินให้แก่เอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ และการพักชำระหนี้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37115 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล พระพันปีหลวง ในหลวง ร.10 สมเด็จพระราชินี ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
พุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล พระพันปีหลวง ในหลวง ร.10 สมเด็จพระราชินี ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว
พุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล พระพันปีหลวง ในหลวง ร.10 สมเด็จพระราชินี ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว
วันนี้(28พฤจิกายน2563)เวลา16.00น.สมเด็จพระวันรัตกรรมการมหาเถรสมาคมปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตเป็นประธานฝ่ายสงฆ์นำคณะสมเด็จพระราชาคณะพระราชาคณะและพระสังฆาธิการทุกระดับทุกวัดในเขตปกครองกรุงเทพมหานครประมาณ500รูปเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ฯ ณพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวังเพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชนนีพันหลวงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีประจำปีพ.ศ.2563โดยมีพลเรือตรีศราวุธปิ่นมณีผู้อำนวยการศูนย์บริหารข่าวสารการพัสดุกรมพลาธิการทหารเรือเป็นประธานฝ่ายฆราวาสพร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานและบุคคลสำคัญเข้าร่วมพิธีอาทิรองปลัดกระทรวงพม.รองปลัดกระทรวงสธ.หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงมท.นางสาวณัฐธ์ภัสส์ยงใจยุทธที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคณะผู้บริหารองค์กรภาครัฐองค์กรภาคเอกชนรวมถึงคุณอุ้ยรวิวรรณจินดาศิลปินนักร้องและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลกำหนดจัดเดือนละ1ครั้งตามมติของมหาเถรสมาคมที่เห็นชอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดขึ้นซึ่งพิธีในวันนี้เป็นครั้งที่11โดยในส่วนกลางกำหนดจัดพิธีที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามส่วนภูมิภาคกำหนดจัดณวัดศูนย์กลางของจังหวัดหรือสถานที่ตามความสมควรของแต่ละจังหวัดซึ่งบทสวดที่ใช้ในพิธีประกอบด้วยบทสวดที่เป็นสิริมงคล35บทสวดอาทิบทชุมนุมเทวดา/บทน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า/บทพระไตรสรคมน์/บทธัมจักกัปปะวัตตนสูตร/บทกรณียเมตตสูตร/และบทมงคลสูตรเป็นต้น
สำหรับบรรยากาศพิธีเจริญพระพุทธมนต์ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามพบว่ามีพุทธศาสนิกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์จำนวนมากโดยส่วนใหญ่ต่างสวมใส่เสื้อสีเหลืองและสีขาวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชนนีพันหลวงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีประจำปีประจำปีพ.ศ.2563จะมีอีกครั้งเป็นครั้งที่12ในวันจันทร์ที่28ธันวาคม2563
................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ หวังลดความเหลื่มล้ำทางสังคม พัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้ก้าวหน้าและยั่งยืน
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรณองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสว่างอำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ดินเพื่อเกษตรกรรมด้วยวิธีการปฏิรูปที่ดินมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการจัดการทรัพยากรที่ดินเพื่อกระจายการถือครองลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยจะจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกินหรือมีเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรมพร้อมช่วยในการพัฒนาอาชีพปรับปรุงทรัพยากรปัจจัยการผลิตขั้นตอนการผลิตและจำหน่ายให้เกิดผลดีแก่เกษตรกรต่อไป
“ในวันนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ซึ่งจะมอบในพื้นที่2อำเภอได้แก่อำเภอเมืองสุรินทร์อำเภอลำดวนจังหวัดสุรินทร์จำนวน300 รายเนื้อที่ประมาณ638ไร่เมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจะทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพพร้อมปัจจัยการผลิต”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว
ทั้งนี้จังหวัดสุรินทร์มี17อำเภอได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน16อำเภอเนื้อที่ประมาณ1,736,432ไร่มีเกษตรกรได้รับการคัดเลือกเข้าทำประโยชน์และรับมอบเอกสารสิทธิส.ป.ก. 4-01แล้ว121,555ราย161,749แปลง1,117,824ไร่และมีพื้นที่ดำเนินการคงเหลือจำนวน185,014ไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37119 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
เยี่ยมชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร
ก.เกษตรฯ วางแผนต่อยอดให้ อ.แม่ริม เป็นหมู่บ้านผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมเยี่ยมชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร (I Love Flower Farm)
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เยี่ยมชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตร(I Love Flower Farm)ณต.เหมืองแก้วอ.แม่ริมจ.เชียงใหม่พร้อมพูดคุยกับเกษตรกรรุ่นใหม่(น.ส.ณวิสาร์มูลทา)เกษตรกรต้นแบบ(Smart Farmer)ได้ทำการปรับพื้นที่บางส่วนเป็นแปลงดอกไม้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรรวมทั้งยังทำการบริหารจัดการแปลงดอกไม้เพื่อการค้าส่งซึ่งทั้ง2ส่วนได้มีการนำคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างอาชีพและรายได้แก่คนในชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ20และมีผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในชุมชนไม่น้อยกว่า150ราย
สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมให้การสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่(Young Smart Farmer)ทั้งในเรื่องขององค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตรวมถึงการหาช่องทางการตลาดโดยใช้หลักตลาดนำการผลิตเพื่อเป็นการต่อยอดและพัฒนาให้อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีแผนการดำเนินงานโดยจะส่งเสริมให้เป็นหมู่บ้านผลิตไม้ดอกเพื่อการค้าและท่องเที่ยวเชิงเกษตรต้องมีการรวมกลุ่มและพัฒนาสินค้าซึ่งจะเป็นการบริหารจัดการชุมชนให้ชุมชนได้รับผลประโยชน์ร่วมกันและเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกไม้ดอกเพื่อการค้าสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรของชุมชนและผู้สนใจถือเป็นการเตรียมพร้อมในการรองรับนักเที่ยวหลังจากผ่านวิกฤตโควิด-19
ทั้งนี้อำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งปลูกไม้ดอกเพื่อการค้าที่สำคัญมีพื้นที่ปลูกดอกไม้ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ1,061ไร่เกษตรกร304รายทั้งในพื้นที่ตำบลโป่งแยงและตำบลเหมืองแก้วเช่นกุหลาบมากาเร็ตพีค็อกเบญจมาศโดยการผลิตส่วนใหญ่เป็นการตัดดอกเพื่อจำหน่ายและในปี2562ที่ผ่านมาเริ่มมีการเปิดสวนให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา มอบที่ปรึกษา ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.9 และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
รมต.อนุชา มอบที่ปรึกษา ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.9 และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ
รมต.อนุชา มอบที่ปรึกษา
ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.9 และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ
วันนี้(28พฤศจิกายน2563)ที่อาคาร100ปีวัดบวรนิเวศราชวรวิหารเขตพระนครกรุงเทพมหานครรัฐบาลโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรโดยมีพระเทพสิทธิโมลีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นประธานฝ่ายสงฆ์นำคณะสงฆ์เข้าร่วมพิธีจำนวน 20รูป พร้อมด้วยนางสาวณัฐธ์ภัสส์ยงใจยุทธที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายจากนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฝ่ายฆราวาสโดยมีนางกณิกนันต์ล้อสีทองผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคุณอุ้ยรวิวรรณจินดาศิลปิน-นักร้องและประชาชนร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง
.
พิธีเจริญพระพุทธมนต์กำหนดจัดขึ้นทุกวันเสาร์โดยเริ่มกิจกรรมมาตั้งแต่วันที่7พฤศจิกายน2563จนถึงวันที่5ธันวาคม2563นี้ตั้งแต่เวลา10.00น.ไปต้นไปโดยในพื้นที่ส่วนกลางจัดขึ้นที่วัดบวรนิเวศวิหารส่วนภูมิภาคจัดขึ้นที่วัดประจำจังหวัดทุกจังหวัดทั้งนี้เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และความเป็นสิริมงคลของประชาชนไทยสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจทำให้ทุกคนคิดดีทำดีมีจิตเมตตาและเป็นการเสริมสร้างคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความสามัคคีปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากประเทศไทยและในโอกาสที่วันที่5ธันวาคมของทุกปีเป็นวันชาติและวันพ่อแห่งชาติจึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกพื้นที่ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันตามวัดในแต่ละพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้พร้อมกันทั่วประเทศโดยครั้งต่อไปกำหนดจัดพิธีในวันที่5ธันวาคม2563
............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37118 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ.แหม่ม เปิดงานรวมน้ำใจ พญาไทสัมพันธ์ | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
อ.แหม่ม เปิดงานรวมน้ำใจ พญาไทสัมพันธ์
- -
วันที่28พฤศจิกายน2563ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานเปิดงานรวมน้ำใจพญาไทสัมพันธ์ณมัสยิดดารุ้ลอะมานโดยมีท่านอิหม่ามมานิตทองแสงที่ปรึกษาฝ่ายกิจการฮาลาลคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยประธานกรรมการอิสลามประจำมัสยิดให้การต้อนรับพร้อมด้วยส.ส.ภาดาวรกานนท์ประธานสภาวัฒนธรรมคุณผุสดีวงศ์กำแหงผู้อำนวยการสำนักงานเขตราชเทวีและผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลพญาไทร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
รมช.แรงงานกล่าวว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งได้ร่วมในการจัดงานหารายได้เพื่อการบูรณะซ่อมแชมอาคารมัสยิดดารุ้ลอะมานซึ่งมีประวัติมาอย่างยาวนานถึง150ปีแสดงให้เห็นว่ามัสยิดและชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีความรักสามัคคีมีจิตใจที่เป็นกุศลเฉกเช่นพี่น้องมุสลิมและผู้นับถือศาสนาอื่นๆที่มีจิตกุศลมาร่วมงานมาร่วมบริจาคให้กับการจัดงานในครั้งนี้
อ.แหม่มกล่าวต่อว่าศาสนาอิสลามมีคำสอนอยู่มากมายหนึ่งในนั้นคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีความหลากหลายทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปแต่ไม่ได้ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ในสังคมเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปกลับเพิ่มความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชนการได้เห็นภาพความประทับใจหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมของชาวมุสลิมและชาวพุทธนั่นก็คือสังคมแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกันคือสังคมแห่งความสุข มีหน่วยงานราชการและมีผู้นำชุมชนที่ดีให้การสนับสนุนและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนในทุกรูปแบบ ในปีนี้การจัดงานรวมน้ำใจพญาไทสัมพันธ์ประจำปี2563ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องมุสลิมและหน่วยงานต่างๆภายในงานมีการออกร้านจำหน่ายอาหารจากแม่บ้านมุสลิมจำนวน80ร้านมีการทดสอบภาคความรู้ความสามารถทางด้านศาสนานอกจากนี้ยังจัดงานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณจากจุฬาราชมนตรีให้แก่ผู้ให้การสนับสนุนในกิจการของมัสยิดด้วย
"หากมีสิ่งใดที่กระทรวงแรงงานสามารถช่วยเหลือหรือให้การสนับสนุนก็มีความยินดีอย่างยิ่งเพราะมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่สามารถส่งเสริมทั้งการฝึกทักษะอาชีพและจัดหางานให้แก่ผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่กระทรวงแรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่ดินแดง"อ.แหม่มกล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว
รมว.เกษตรฯ ส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวภายใต้โครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัย COVID – 19 แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวภายใต้โครงการตู้เย็นข้างบ้านต้านภัยCOVID – 19แก่เกษตรกรณตำบลเหมืองแก้วอำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่ที่ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับบริษัทอีสท์เวสท์ซีดจำกัด,บริษัทเจียไต๋จำกัดและกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยร่วมให้การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปใช้ปลูกบริโภคในครัวเรือนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)โดยเปิดให้ลงทะเบียนในระหว่างวันที่24กันยายน- 13ตุลาคม2563ที่ผ่านมาโดยมีผู้สนใจเข้าร่วมทั่วประเทศกว่า300,000ราย
ซึ่งในวันนี้ได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพดีให้แก่เกษตรกรจำนวน5รายได้แก่ผักคะน้าผักบุ้งกวางตุ้งแตงกวาพริกขี้หนูกระเพราเป็นต้นซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ตามโครงการดังกล่าวผ่านสำนักงานเกษตรจังหวัดสำนักงานเกษตรอำเภอและส่งมอบแก่เกษตรกรโดยตรงซึ่งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการกว่า7,637ราย
“ตามนโยบายของรัฐบาลได้กำชับว่าต้องดูแลพี่น้องเกษตรกรให้ดีที่สุดโครงการมาตรการต่างๆรัฐบาลพร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอาทิมาตรการเยี่ยวยาชาวสวนลำไยและการประกันรายได้เป็นต้นถือเป็นการสื่อถึงความห่วงใยจากรัฐบาลไปสู่พี่น้องเกษตรกรอย่างไรก็ตามดีใจที่วันนี้เห็นพี่น้องข้าราชการมาอยู่ร่วมเป็นครอบครัวกับประชาชนต้องการให้ข้าราชการเข้าพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดให้เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเพื่อรับทราบปัญหาต่างๆเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาต่อไป"นายเฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37121 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำพร้อมรับภัยแล้ง พัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ยม-น่าน บึงบอระเพ็ด หนองหาน มั่นใจ EEC มีน้ำใช้เพียงพอเสร็จตามแผน | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำพร้อมรับภัยแล้ง พัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ยม-น่าน บึงบอระเพ็ด หนองหาน มั่นใจ EEC มีน้ำใช้เพียงพอเสร็จตามแผน
นายกรัฐมนตรี ติดตามการบริหารจัดการน้ำพร้อมรับภัยแล้ง พัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ยม-น่าน บึงบอระเพ็ด หนองหาน มั่นใจ EEC มีน้ำใช้เพียงพอเสร็จตามแผน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง และสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมมาตรการรับภัยแล้ง ปี 2564 ทั้งนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2563 ได้ขับเคลื่อนการดำเนินโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญรวม 526 แห่งเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นไปตามแผนแม่บทน้ำ 20 ปี เช่น การปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ บึงบอระเพ็ด บึงราชนก หนองหาน การจัดทำหลักเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่งและอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 349 แห่ง และ 9 แผนบรรเทาอุทุกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือEECที่เดินหน้าไปแล้ว 16 โครงการ คิดเป็นปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 254 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะเร่งดำเนินโครงการที่เหลือ 22 โครงการให้แล้วเสร็จตามแผนในปี 2573 จะได้น้ำต้นทุนเพิ่ม 872 ล้านลูกบาศก์เมตร เพียงพอต่อการขับเคลื่อนพื้นที่EECในปี 2580 นอกจากนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหาภัยแล้งและโครงการเร่งด่วนเพื่อการกักเก็บน้ำในฤดูฝน เฉพาะที่ใช้งบกลางปี 2562/2563 ในภาพรวมมีผลสัมฤทธิ์ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 3.5 แสนครัวเรือน และ มีพื้นที่รับประโยชน์ 4.32 แสนไร่
นอกจากนี้ ต่อข้อกังวลเรื่องการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งปีหน้า รัฐบาลได้ดำเนินการ 9 มาตรการเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 1) เร่งเก็บกักน้ำก่อนหมดฝน 2) จัดหาแหล่งสำรองน้ำดิบในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมแผนวางท่อน้ำประปา และแผนรับน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำโดยตรง 3) ปฎิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรและที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 4) กำหนดการจัดสรรน้ำฤดูแล้งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภคพร้อมจัดทำทะเบียนผู้ใช้น้ำ 5) วางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง 6) เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก สายรอง 7) ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมจัดการน้ำตามหลักReuse Reduce Recycle8) ติดตามประเมินผลเพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน 9) สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและแผนจัดสรรน้ำ ให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำแล้ง-น้ำท่วมจึงได้เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งและเก็บกักน้ำในฤดูฝนที่ผ่านมาให้แล้วเสร็จตามแผน รวมถึงมอบนโยบายการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในระยะยาวด้วยซึ่งจากการติดตามอย่างต่อเนื่องของนายกฯ ได้ทราบว่าทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ส่วนแนวโน้มปริมาณฝนมากในช่วงเดือน ธ.ค. - ม.ค.นี้ ในบริเวณพื้นที่ 3 ลุ่มน้ำหลักภาคใต้ ได้แก่ ลุ่มน้ำสงขลา ลุ่มน้ำปัตตานี และลุ่มน้ำตาปี ทางกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ประเมินพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยเป็นรายตำบล และแจ้งเตือนหน่วยงานในระดับพื้นที่เตรียมรับมืออุทกภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
.....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37112 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยมสถานที่พักพิงสัตว์ดอยสะเก็ด | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ตรวจเยี่ยมสถานที่พักพิงสัตว์ดอยสะเก็ด
"รมต.เฉลิมชัย - ประภัตร" นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมสถานที่พักพิงสัตว์ดอยสะเก็ด จุดเริ่มต้นที่จะแก้ปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ของภาครัฐแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายธนาชีรวินิจเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจเยี่ยมสถานที่พักพิงสัตว์ดอยสะเก็ด(มูลนิธิดิอาร์คเชียงใหม่: The ARK Animal Rescue Kingdom, Chiangmai)ต.ลวงเหนืออ.ดอยสะเก็ดจ.เชียงใหม่ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ก่อสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นสถานที่พักพิงสัตว์ดอยสะเก็ตถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะแก้ปัญหาของภาครัฐแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่โดยจะช่วยเหลือสัตว์ตามพ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์พ.ศ. 2557โดยสถานที่พักพิงดังกล่าวจะมีสัตวแพทย์จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่และคณะสัตวแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมปฏิบัติงานด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปี2563มีจำนวนสัตว์ที่มูลนิธิดิอาร์คในพระราชูปถัมภ์ให้ความช่วยเหลือสุนัข242ตัวเข้ารับการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลสัตว์มีจำนวนครั้งที่ให้บริการ699ครั้งมีจำนวนสัตว์ที่ให้บริการ340ตัวแบ่งเป็นบริการด้านอายุรกรรม272ตัวและบริการด้านศัลยกรรม68ตัว
หลังจากนี้กระทรวงเกษตรฯโดยกรมปศุสัตว์จะดำเนินการก่อสร้างพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติมเช่นระบบบำบัดน้ำเสียอาคารที่พักสัตว์ป่วยอาคารเลี้ยงแมวสระว่ายน้ำของสัตว์และเมรุเผาสัตว์เป็นต้นซึ่งคาดว่าในอนาคตจะพัฒนาเป็นแหล่งเรียนต้นแบบและแหล่งท่องเที่ยวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตร ฯ ติดตามงานขับเคลื่อนศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเพชรบุรี | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
รองปลัดกระทรวงเกษตร ฯ ติดตามงานขับเคลื่อนศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเพชรบุรี
รองปลัดกระทรวงเกษตร ฯ ติดตามงานขับเคลื่อนศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเพชรบุรี
วันที่28พฤศจิกายน2563นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เยี่ยมติดตามการดำเนินงานของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเพชรบุรี
สำหรับศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเพชรบุรีเป็นศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่เจ้าหน้าที่เกษตรกรศึกษาทดสอบเครื่องจักรกลเกษตรเพื่อปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพพืชศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลและรวบรวมข้อมูลด้านเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการส่งเสริมการเกษตรตลอดจนฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการใช้และบำรุงรักษาเครื่องจักรกลการเกษตรและระบบการให้น้ำพืช
ทั้งนี้รองปลัดกระทรวงเกษตรฯชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์ฯและมุ่งหวังให้ศูนย์ฯเป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการเกษตรให้กับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่และพัฒนาหลักสูตรวิชาการให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อสนองตอบต่อนโยบายการพัฒนาเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37124 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยัน โครงการคนละครึ่ง รัฐบาลดูแลต่อ หลังประชาชนตอบรับดี พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยแห่ลงทะเบียนเพิ่ม หวังทะลุ 1 ล้านร้านค้าก่อนเริ่มเฟส 2 | วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ ยืนยัน โครงการคนละครึ่ง รัฐบาลดูแลต่อ หลังประชาชนตอบรับดี พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยแห่ลงทะเบียนเพิ่ม หวังทะลุ 1 ล้านร้านค้าก่อนเริ่มเฟส 2
นายกฯ ยืนยัน โครงการคนละครึ่ง รัฐบาลดูแลต่อ หลังประชาชนตอบรับดี พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยแห่ลงทะเบียนเพิ่ม หวังทะลุ 1 ล้านร้านค้าก่อนเริ่มเฟส 2
นายอนุชา บูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันโครงการคนละครึ่งเตรียมเปิดเฟส2อย่างแน่นอน หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน เนื่องจากสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้สิทธิได้อย่างเป็นรูปธรรม กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้อย่างชัดเจน และช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย หาบเร่แผงลอย พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กได้อย่างแท้จริง ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินหมุนเวียนในระบบจากการใช้จ่ายของประชาชน และเป็นการเรียนรู้ระบบเทคโนโลยีการใช้แอปพลิเคชั่นไปในตัวด้วย โดยได้รับรายงานว่า ณ วันที่27พฤศจิกายน2563มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า8.5แสนร้านค้า มียอดการใช้จ่ายสะสม28,609ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย14,599ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก14,010ล้านบาท
ทั้งนี้ ประชาชนที่ลงทะเบียนเพิ่มเติมเมื่อวันที่19พฤศจิกายน2563และได้รับSMSยืนยันสิทธิแล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน“เป๋าตัง”พร้อมยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย โดยขอให้เริ่มใช้สิทธิในการใช้จ่ายโดยเร็วภายใน14วัน นับจากวันถัดจากวันที่ได้รับSMSแจ้งรับสิทธิ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่31ธันวาคม2563
นอกจากนี้ ผู้ค้ายังสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่องด้วยการลงทะเบียน และติดตั้งแอปพลิเคชัน“ถุงเงิน”โดยหวังว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการทะลุ1ล้านร้านค้าภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับโครงการคนละครึ่งเฟส2ที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติโครงการภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเริ่มเปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียน และใช้สิทธิได้ในเดือนมกราคม2564
นายอนุชา กล่าวว่า เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายมีความคุ้นเคยกับการใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจวิธีการใช้งานว่าใช้ได้ไม่ยากอย่างที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นกังวล จึงทำให้มั่นใจว่า โครงการคนละครึ่งเฟส2จะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ขอเตือนให้ระวังเรื่องการกระทำผิดด้วย เนื่องจากกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยมีการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยได้ระงับสิทธิการใช้แอปพลิเคชัน“ถุงเงิน”และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้ง
มีการนำส่งข้อมูลหลักฐานการกระทำความผิดให้แก่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อใช้สำหรับการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นการดำเนินการผิดเงื่อนไขโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดซึ่งจะมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปด้วย
...........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37111 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว
วันที่ 24 พ.ย. 63 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงโครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการ จิตอาสาพระราชทาน และประชาชนชาวอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กราบบังคมทูลถวายรายงานการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ "สระบ่อดินขาว" ในพื้นที่ตำบลพรหมนิมิต อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อเป็นแหล่งน้ำใช้สอยเพื่อการบริโภค อุปโภค และเพื่อทำการเกษตรของประชาชน
หลังจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินทรงปลูกต้นรวงผึ้ง ทรงเยี่ยมชมแปลงเกษตร และทรงปล่อยปลาลงสระบ่อดินขาว และทรงเยี่ยมเยียนประชาชนผู้เฝ้ารับเสด็จฯ โดยระหว่างเส้นทางเสด็จ มีประชาชนมารอเฝ้ารับเสด็จฯ เพื่อเฝ้าชมพระบารมี พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว รอบ 2 ให้เกษตรกรแล้ววันนี้กว่า 6 แสนราย ส่วนที่เหลือรอ ครม.อนุมัติงบฯ เพิ่มเติม | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ธ.ก.ส. จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว รอบ 2 ให้เกษตรกรแล้ววันนี้กว่า 6 แสนราย ส่วนที่เหลือรอ ครม.อนุมัติงบฯ เพิ่มเติม
ธ.ก.ส.จ่ายเงินประกันรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีบัญชี 2563/64 รอบ 2 ซึ่งเก็บเกี่ยวในช่วง 9-14 พ.ย.63 จำนวนกว่า 6 แสนราย วงเงิน 5,684 ลบ. แล้ววันนี้ ส่วนที่เหลือ ก.พาณิชย์นำเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติวงเงินเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามเป้าหมายเร็วนี้
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563/64 เบื้องต้นจำนวน 18,096.06 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้ดำเนินการโอนเงินชดเชยส่วนต่างฯให้แก่เกษตรกรในงวดที่ 1 ไปแล้วจำนวน 786,219 ครัวเรือน เป็นเงิน 9,128.48 ล้านบาท
ส่วนการจ่ายเงินในงวดที่ 2 ซึ่งเดิมกำหนดจ่ายในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 แต่เนื่องจากสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกแต่ละชนิดในปีนี้ลดต่ำกว่าปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ส่งผลให้เงินชดเชยส่วนต่างฯ ที่ ครม. อนุมัติไว้ไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างฯ ให้แก่เกษตรกรในงวดที่ 2 ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ธ.ก.ส. ได้มีการหารือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงข้าว เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ได้มีมติให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินชดเชย ส่วนต่างฯ งวดที่ 2 ให้กับเกษตรกรตามวันเก็บเกี่ยวที่เกษตรกรระบุไว้ในการขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับ กรมส่งเสริมการเกษตร คือตั้งแต่วันที่ 9 - 14 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 636,118 ราย วงเงิน 5,684 ล้านบาท ตามงบประมาณ ที่เหลือ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563
สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 602,485 ราย วงเงิน 5,641 ล้านบาท และเกษตรกรที่มีสิทธิ์รับเงินชดเชยส่วนต่างในงวดที่ 3 ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ได้ประกาศราคากลาง ณ 23 พฤศจิกายน 2563 และกำหนดชดเชยส่วนต่างราคาประกันไปแล้วคือ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 3,059 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 2,281 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 1,036 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 1,055 บาท ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 996 บาท อีกจำนวน 1,497,508 ราย วงเงิน 12,900 ล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) แล้ว ซึ่งเมื่อ ครม. ให้ความเห็นชอบ ธ.ก.ส. จะเร่งโอนเงินให้แก่เกษตรกรโดยเร็วต่อไป
นายกษาปณ์ กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับการดำเนินโครงการประกันรายได้พืชเศรษฐกิจสำคัญตามนโยบายรัฐบาลทั้ง 5 ชนิด มิได้ขาดสภาพคล่องตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ความรู้ | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ความรู้
รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ความรู้ มุ่งผลักดันให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ นำแนวทางสหกรณ์ไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด โครงการสร้างการรับรู้นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ณ วัดสาลวนาราม (วัดหนองจอก) ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ว่าโครงการฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 และสร้างการรับรู้ เผยแพร่ความรู้แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรทั่วไป สนับสนุนให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์หรือนำแนวทางสหกรณ์ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไป อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ปรึกษาประเด็นปัญหาการเกษตร การประกอบอาชีพ จนถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพด้วย
รมช.มนัญญา ได้กล่าวมอบนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะเป็นประธานเปิดงานว่า ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนงานนโยบายในการขับเคลื่อนพัฒนาการเกษตรของประเทศ ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ รวมถึงเชื่อมโยงไปถึงผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านการผลิต และด้านการตลาดของสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสนับสนุนการขยายเครือข่ายธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์ เพื่อยกระดับการพัฒนาเกษตรกรไปสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพการเกษตรที่มีความเข้มแข็ง ตลอดจนระบบกลไกสหกรณ์ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสังคม เป็นกลไกในการดูแลให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มและการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้อย่างแท้จริง
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบป้ายเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาศักยภาพกลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์ จำนวน 3 กลุ่มๆ ละ 100,000 บาท ได้แก่ กลุ่มบ้านสวนลูกแชมป์ สังกัดสหกรณ์การเมืองอุทัยธานี จำกัด นำไปพัฒนาการแปรรูปปลาร้าทรงเครื่องโรยข้าวให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันในตลาดโมเดิร์นเทรด และจำหน่ายทาง Digital Marketing กลุ่มสายใยเกษตรกร สังกัดสหกรณ์การเมืองอุทัยธานี จำกัด นำไปพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผักอินทรีย์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ และกลุ่มผู้ผลิตและแปรรูปโกโก้ สังกัด สหกรณ์การเกษตรห้วยคต จำกัด ต้องการพัฒนาการแปรรูปให้มีความหลากหลาย สะดวกแก่การบริโภค เป็นการยกระดับการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสามารถแข่งขันในตลาดได้ และได้เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้านค้าของกลุ่มอาชีพและผลิตภัณฑ์ของลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านที่มาร่วมจำหน่ายสินค้า พร้อมทั้งมอบพันธุ์ปลา จำนวน 1,000 ถุง และข้าวสาร จำนวน 1,000 ถุงๆ ละ 2 กิโลกรัม ให้กับเกษตรกรที่มาร่วมงานด้วย
ทั้งนี้ โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เป็นโครงการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ หรือบุคคลทั่วไปกลับมาทำอาชีพเกษตรกรรมในบ้านเกิดของตนเอง และให้สหกรณ์การเกษตรเป็นศูนย์กลางในการสร้างอาชีพทางการเกษตรที่มั่นคง และมีการบริหารจัดการครบวงจรตั้งแต่การผลิตจนถึงการจัดหาช่องทางการจำหน่าย รวมทั้งสามารถยกระดับสหกรณ์ให้เป็นที่พึ่งของสมาชิกอย่างแท้จริง โครงการนี้มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 3 ปี (ปี 2563 – 2565) มีเป้าหมายเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในอาชีพเกษตรกรและต้องการกลับคืนสู่บ้านเกิดเพื่อสานต่ออาชีพของครอบครัว และมีเวลาอยู่ใกล้ชิดดูแลครอบครัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ทั่วประเทศ จำนวน 7,559 ราย โดยจังหวัดอุทัยธานีมีเกษตรกรลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ หรือบุคคลทั่วไป สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพเกษตรกรรม จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 76 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จับมือ DUGA หนุนการใช้ Innovation เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น กระตุ้นนำความรู้ด้านดิจิทัลเตรียมความพร้อมระบบการบริการประชาชน | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ดีอีเอส จับมือ DUGA หนุนการใช้ Innovation เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น กระตุ้นนำความรู้ด้านดิจิทัลเตรียมความพร้อมระบบการบริการประชาชน
ดีอีเอส จับมือ DUGA หนุนการใช้ Innovation เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น กระตุ้นนำความรู้ด้านดิจิทัลเตรียมความพร้อมระบบการบริการประชาชน
เมื่อวันที่25พฤศจิกายน2563 นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานมอบโล่และใบประกาศนียบัตรแก่ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกนำเสนอผลงานการใช้Innovationเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นในงานThailand Local Government Summit 2020 ณศูนย์ประชุมวายุภักษ์ห้องวายุภักษ์2 - 4ชั้น4โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะกรุงเทพๆโดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาทิเทศบาลเมืองแสนสุขได้รับการคัดเลือก ซึ่งจัดงานในระหว่างวันที่25 - 26พฤศจิกายนพ.ศ. 2563โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย(DUGA)สำหรับการคัดเลือกได้กำหนดรูปแบบการนำเสนอผลงานการใช้innovationเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นแบ่งออกเป็น3ระดับคือ1.ระดับเมืองใหญ่City 2.ระดับเมืองTown 3.ระดับเมืองเล็กSmall Town และการจัดกิจกรรมครั้งนี้เพื่อเป็นเวทีเสริมสร้างขีดความสามารถการเตรียมความพร้อมระบบการบริการซึ่งต้องประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านดิจิทัลรวมทั้งเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนให้มีความทันสมัยคล่องตัวสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO)
รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO)
เมื่อวันที่25พฤศจิกายน2563นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมพิธีมอบประกาศนียบัตรโครงการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง(CIO)เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนภาครัฐไปสู่องค์กรดิจิทัล(Digital Transformation)พร้อมแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการอบรมประกอบด้วย
1.หลักสูตรผู้บริหารดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม2.หลักสูตรการออกแบบเครื่องมือดิจิทัล(Digital Solution) ณห้องจตุรทิศชั้น3โรงแรมโกลเด้นทิวลิปซอฟเฟอรินกรุงเทพมหานคร โดยมีนางวรรณพรเทพหัสดินณอยุธยาเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37045 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ก้าวข้ามความท้าทายโควิด 19 สู่ระบบสุขภาพดิจิทัล วิถีใหม่ | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
สธ. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ก้าวข้ามความท้าทายโควิด 19 สู่ระบบสุขภาพดิจิทัล วิถีใหม่
สธ. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ก้าวข้ามความท้าทายโควิด 19 สู่ระบบสุขภาพดิจิทัล วิถีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้โรงพยาบาลทั่วประเทศพัฒนาการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ก้าวข้ามความท้าทายหลังทั่วโลกประสบวิกฤตโควิด 19 เชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ มีระบบการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย อำนวยความสะดวกประชาชน ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ ครอบคลุมทุกพื้นที่
วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2563) ที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงจามรี เชื้อเพชระโสภณ นายกสมาคมเวชสารสนเทศไทย เปิดการประชุมระดับชาติด้านเวชสารสนเทศ ครั้งที่ 9 และการประชุมวิชาการสมาคมเวชสารสนเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจัดต่อเนื่องมา 29 ปี สำหรับปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ระบบสุขภาพดิจิทัล : วิถีใหม่ (Digital Health : New Normal) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเสนอผลงานวิชาการด้านเทคโนโลยีเวชสารสนเทศทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักสถิติ คณะกรรมการสมาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมจำนวน 366 คน พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้โรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาล ใช้ทรัพยากรและการจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ผ่านการรับรองระดับ 1 โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร จ.เชียงราย และโรงพยาบาลแม่สาย จ.เชียงราย ผ่านการรับรองระดับ 2 และโรงพยาบาลน่าน ผ่านการรับรองระดับ 3 (ขั้นก้าวหน้า)
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ก้าวข้ามความท้าทายหลังทั่วโลกประสบวิกฤตโควิด 19 นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการบริการประชาชน เป็นระบบสุขภาพดิจิทัล แบบวิถีใหม่ Digital Health : New Normal อำนวยความสะดวก มีความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ และระบบการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย ลดปัญหาการถูกโจมตีข้อมูล และมีการนำข้อมูลไปใช้วางแผนดูแลรักษาและปัญหาสุขภาพในอนาคต อาทิ โรคเรื้อรัง สังคมผู้สูงอายุ และภาวะแทรกซ้อนในโรคอื่นๆ รวมทั้งนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการรักษา อาทิ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ระบบส่งยาผู้ป่วยที่บ้าน เป็นต้น แก้ไขปัญหาลดการมาโรงพยาบาล ลดแออัด และลดเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี
“ผมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้นโยบายว่าเราจะเดินหน้าให้เป็น National Health Platform ซึ่งอาจจะฟังดูยาก แต่ก็ต้องทำ เพื่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และความก้าวหน้าทางการแพทย์ ประชาชนจะได้ประโยชน์ในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพตัวเอง รวมทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความร่วมมือในการสร้างศักยภาพ ทั้งคุณภาพการรักษาและการให้บริการ เกิดประโยชน์กับผู้รับบริการสูงสุด เรียกความเชื่อมั่นจากชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนด้านสุขภาพ” ดร.สาธิตกล่าว
***************************** 25 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37036 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ทูตสวิส เตรียมแรงงานรับระบบอัตโนมัติ ในพื้นที่ EEC | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ก.แรงงาน จับมือ ทูตสวิส เตรียมแรงงานรับระบบอัตโนมัติ ในพื้นที่ EEC
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานร่วมกับเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เปิดกิจกรรมสาธิตการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยเครื่องมือวัดและหุ่นยนต์ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดกิจกรรมสาธิตการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยเครื่องมือวัดและหุ่นยนต์ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน และเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีอันดีระหว่าง 2 ประเทศ โดยมี H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย Mr. Pierre Hagman หัวหน้าคณะผู้แทนประจำสถานเอกอัคราชทูตฯ Mr. Brumo Odermatt-Magg ประธานหอการค้าสวิส-ไทย อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้แทนจากบริษัท Max Value Technology จำกัด ผู้แทนบริษัท Unical Works จำกัด และผู้แทนบริษัทในเครือสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เข้าร่วมงานดังกล่าว ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ จังหวัดชลบุรี
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมและสถานประกอบกิจการในประเทศไทย มีความจำเป็นจะต้องเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้ทันสมัย รวดเร็ว แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้สินค้าและบริการมีคุณภาพที่ดีมีความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับการผลิตของผู้ประกอบการไทยให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ของอุตสาหกรรม 4.0 และนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC ที่เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะหน่วยงานหลักของประเทศด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ และการรับรองมาตรฐานฝีมือให้แก่กำลังแรงงานของประเทศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาขาดแคลนแรงงานและการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานด้านระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในพื้นที่ EEC จึงได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (สทอ.) หรือ MARA ให้เป็นหน่วยงานหลัก เพื่อขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาฝีมือแรงงาน ทดสอบฝีมือแรงงาน พัฒนาหัวหน้างานและครูฝึกในโรงงาน สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนากำลังคนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามเป้าหมายที่วางไว้
การดำเนินงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือไตรภาคีระหว่าง สทอ. กับบริษัท Sylvac SA จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือวัดละเอียดจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ บริษัท Max Value Technology จำกัด (ตัวแทนบริษัท) และบริษัท Unical Works จำกัด (ร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัท Sylvac SA) โดยบริษัท Sylvac SA จำกัด ให้การสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว ด้วยการให้ยืมเครื่องสแกน 2 มิติ เป็นเครื่องวัดขนาดชิ้นงานด้วยแสง คุณภาพสูง ไว้สำหรับฝึกอบรมแก่แรงงานในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ ยังร่วมกันจัดทำหลักสูตรการใช้เครื่องมือวัด ตรวจสอบชิ้นงานด้วยระบบอัตโนมัติและการลำเลียงแบบ 4.0 เพื่อนำมาใช้ฝึกอบรมอีกด้วย
“กิจกรรมในวันนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างทักษะให้แก่กำลังแรงงานในพื้นที่ EEC ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยเพิ่มผลิตภาพในการทำงานให้แก่สถานประกอบกิจการแล้ว ทักษะที่แรงงานได้รับก็จะเป็นทุนมนุษย์ในการใช้ต่อยอดสำหรับการทำงานและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต่อไป รวมถึงความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศในอนาคต” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้เชี่ยวชาญห่วงไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมนานขึ้นในฤดูหนาว ขอคนไทยสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ผู้เชี่ยวชาญห่วงไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมนานขึ้นในฤดูหนาว ขอคนไทยสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยา เผยฤดูหนาวอากาศเย็นชื้นไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น พบโรค RSV และโรคหวัดมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนคนไทยเริ่มการ์ดตก ห่วงแยกอาการจากโรคโควิด 19 ได้ยาก ขอคนไทยยังสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ขณะที่การใช้พลาสมารักษาผู้
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยา เผยฤดูหนาวอากาศเย็นชื้นไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น พบโรค RSV และโรคหวัดมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนคนไทยเริ่มการ์ดตก ห่วงแยกอาการจากโรคโควิด 19 ได้ยาก ขอคนไทยยังสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ขณะที่การใช้พลาสมารักษาผู้ป่วยโควิด 19 ปอดบวมให้ผลดี พัฒนาทำเซรุ่มแล้ว 600 ขวด ไว้ใช้ในยามจำเป็นในอนาคต เก็บรักษาได้นาน 3 ปี
วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวโอกาสติดเชื้อโควิด 19 ในฤดูหนาวและข้อแตกต่างจากโรคติดเชื้อทาเงดินหายใจอื่น ว่า การต่อสู้กับโรคโควิด 19 เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนในระยะยาว ซึ่งขณะนี้โรคโควิด 19 ระบาดใกล้ครบ 1 ปีแล้ว ประเทศไทยพยายามใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมโรค หากเปรียบเทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่สเปน ถือว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง คาดว่าอีก 1-2 ปี โรคถึงจะสงบลง ดังนั้น ยังคงต้องใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่หรือ New Normal ไปอีกไม่น้อยกว่า 1 ปี ที่ยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง จึงขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งการ์ดตก
"ในปี 2564 ประเทศไทยจะยังอยู่กับโรคโควิด 19 แม้อาจเบาบางลง แต่ยังไม่ถึงกับสงบ การที่โรคโควิด 19 จะสงบลง จะต้องมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยร้อยละ 60 ของประชากร แต่เราไม่สามารถปล่อยให้โรคสงบลงโดยมีผู้เสียชีวิตในอัตราร้อยละ 1 ของประชากร เหมือนสมัยโรคไข้หวัดใหญ่สเปนได้ ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยมีประชากร 8 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 8 หมื่นคน ปัจจุบันเรามีประชากร 70 ล้านคน หากต้องเสียชีวิตถึง 7 แสนคนแล้วโรคสงบลง จึงเป็นตัวเลขที่เรายอมรับไม่ได้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด เพื่อเอาชนะโรคนี้ หรืออีกแนวทางหนึ่งคือการทำให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 60 ของประชากรเช่นกันคือประมาณ 40 ล้านคน ทำให้ต้องใช้วัคซีนไม่น้อยกว่า 80 ล้านโดส ในกรณีมีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีประสิทธิภาพ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องฉีดให้ประชากรมากกว่าร้อยละ 60 อย่างไรก็ตาม ยังถือเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ได้รับวัคซีนทุกคนภายในปีหน้า" ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง กล่าว
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง กล่าวว่า การทำให้ไวรัสนี้หมดไปจากโลกยังเป็นเรื่องยากเช่นกัน เนื่องจากแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ แต่หากควบคุมให้โรคสงบลงได้ ก็จะเปลี่ยนเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาตามฤดูกาล แต่ที่ต้องระวัง คือ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน และความดัน ที่การติดเชื้ออาจทำให้มีอาการรุนแรง สำหรับช่วงฤดูหนาว ไวรัสจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น โดยอุณหภูมิติดลบ 70 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้ตลอดไป ติดลบ 20 องศาเซลเซียสอาจอยู่ได้เป็นปี 0 องศาเซลเซียสอยู่ได้หลายเดือน เรียกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอายุไวรัสจะยิ่งสั้นลง แต่ประเทศไทยไม่ได้มีอากาศหนาวเย็นแบบซีกโลกเหนือและอากาศหนาวก็อยู่ไม่นานสมมติประเทศไทยมีอากาศหนาวประมาณ 4 องศาเซลเซียส ถามว่าไวรัสจะอยู่ได้กี่วัน คงไม่สามารถตอบได้ชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องความชื้น สภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมอย่างอื่นด้วย แต่ประมาณได้ว่าอยู่ได้เป็นวันๆ สิ่งสำคัญคือ การทำความสะอาด และล้างมือบ่อยๆ ดังนั้นประเทศไทยโรคทางเดินหายใจส่วนใหญ่จึงระบาดในฤดูฝนมากกว่า แต่ฤดูหนาวก็ยังระบาดได้ง่ายกว่าฤดูร้อนเช่นกัน ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงกุมภาพันธ์ จึงเป็นอีกช่วงที่มีการระบาดของโรคทางเดินหายใจสูง และทำให้แยกอาการจากโรคโควิด 19 ได้ยาก หากไม่ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ โรคทางเดินหายใจที่พบมากในฤดูหนาว มี 3 โรคได้แก่ โรค RSV โรคไข้หวัดจากเชื้อไรโนไวรัส และโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้โรค RSV พบว่าระบาดช้าลงจากเดิมพบในฤดูฝน แต่ปีนี้พบการระบาดช่วงกันยายนเป็นต้นมา นับตั้งแต่เปิดเทอมช่วงสิงหาคม และเริ่มเจอโรคหวัดเพิ่มมากขึ้นในทุกกลุ่มอายุ สะท้อนว่าเราเริ่มการ์ดตก สวมหน้ากากน้อยลง เว้นระยะห่างน้อยลง จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันมากขึ้น
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง กล่าวว่า สำหรับการทำพลาสมาที่มีภูมิต้านทานระดับสูง ซึ่งได้จากการบริจาคของผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด 19 เพื่อนำมารักษาผู้ป่วยนั้น ขณะนี้มีการบริจาคมากกว่า 400 หน่วยแล้ว โดยมีอายุประมาณ 1 ปี ล่าสุดมีการนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่อยู่ในสถานกักกันที่รัฐกำหนดและตรวจพบเชื้อโดยมีโรคปอดบวมค่อนข้างรุนแรง โดยให้ 2 ครั้งห่างกัน 3 วัน ขณะนี้ผ่านมาแล้วประมาณ 10 วัน ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ ยังนำพลาสมาจำนวนครึ่งหนึ่งมาทำเป็นเซรุ่มได้ประมาณ 600 ขวด ขวดละ 2 มิลลิลิตรซึ่งมีความเข้มข้นอย่างมาก เก็บได้นานถึง 3 ปี ซึ่งในอนาคตหากประเทศไทยยังไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 พลาสมาที่เหลือจะนำมาทำเป็นเซรุ่มต่อไป เพื่อนำมาใช้เมื่อยามจำเป็น
***************************** 25 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37041 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ครั้งที่ 6-1/2563 | วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ครั้งที่ 6-1/2563
ายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ครั้งที่ 6-1/2563 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (25) พฤศจิกายน 2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ครั้งที่ 6-1/2563 เพื่อพิจารณาแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ให้ข้อคิดข้อเสนอแนะในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศตามกรอบยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อน กำกับ ติดตามและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยมี นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37030 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.