question_id
int32 1
4k
| article_id
int32 665
954k
| context
stringlengths 75
87.2k
| question
stringlengths 11
135
| answers
sequence |
---|---|---|---|---|
2,002 | 23,258 | ธงไชย แมคอินไตย์ ธงไชย แมคอินไตย์ (เกิด 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501) เป็นนักร้อง นักแสดงชาวไทย ได้รับขนานนามว่าเป็นซูเปอร์สตาร์เมืองไทย แรกเข้าวงการบันเทิงเป็นนักแสดงสมทบ ต่อมาได้รับบทพระเอก โดยภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาที่สุดเรื่อง ด้วยรักคือรัก ส่วนละครที่สร้างชื่อเสียงที่สุดของเขาคือบท "โกโบริ" ในละครคู่กรรม ด้านวงการเพลงซึ่งเป็นอาชีพหลักเขาเริ่มต้นจากการประกวดร้องเพลงของสยามกลการ และเป็นนักร้องในสังกัดบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) โดยเขามีอัลบั้มเพลงทั้งหมด 17 อัลบั้ม นอกจากผลงานประจำแล้ว เขาได้รับเกียรติให้ขับร้องเพลงเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่สำคัญหลายบทเพลง และในช่วง 25 ปีที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตใหญ่ โดยเฉพาะคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 และ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 สร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมสูงสุดในประเทศไทย สำหรับบทบาทอื่น ๆ ของเขาในช่วงแรกของวงการบันเทิงเขาเป็นพิธีกรรายการถ่ายทอดสด 7 สีคอนเสิร์ต นอกจากนั้นเขายังเป็นนักพากย์ และผู้บรรยาย ชีวิตของธงไชยทุ่มเทให้กับการทำงานเป็นหลัก เขามีผู้จัดการ 2 คน ที่ดูแลเรื่องส่วนตัว และเรื่องงาน และมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทแกรมมี่ช่วยทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ชีวิตส่วนตัวของเขาเป็นโสดและไม่พยายามออกไปไหน เขามี "ไร่อุดมสุข" ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านความพอเพียง จากความกตัญญูของเขาภายหลังจากสูญเสียมารดา หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประทานพระเมตตา รับเขาเป็นเสมือนบุตรบุญธรรม ธงไชยเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบ 30 ปี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย โดยมียอดจำหน่ายอัลบั้มทั้งหมดสูงสุดของประเทศไทย กว่า 25 ล้านชุด ติดระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย และเป็นศิลปินคนแรกของแกรมมี่ที่ทำยอดขายอัลบั้มเกินสองล้านตลับ และมีสตูดิโออัลบั้มเดี่ยวที่ล้านตลับมากที่สุด 7 ชุด โดยเฉพาะอัลบั้มที่ยอดจำหน่ายสูงสุดของเขาคืออัลบั้ม ชุดรับแขก ซึ่งขายได้มากกว่า 5 ล้านชุด จนสื่อบันเทิงต่างประเทศ นำโดยนิตยสาร เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ยกให้ธงไชยเป็นศิลปินนักร้องผู้ทรงอิทธิพลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย และเป็นระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย ธงไชยได้รับรางวัลต่าง ๆ จำนวนมาก รวมทั้งบิลบอร์ดวิวเออส์ชอยส์อะวอดส์ 1997 ณ สหรัฐ เป็นนักร้องจากทวีปเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว เขาได้รับฉายา "ดาวค้างกรุ" ในปี พ.ศ. 2548 และ "ป๋าพันปี" ในปี พ.ศ. 2550ประวัติ ประวัติ. ธงไชย แมคอินไตย์ เกิดวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ที่ย่านสลัมบางแค ฝั่งธนบุรี มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "อัลเบิร์ต แมคอินไตย์" (Albert McIntyre) หรือเรียกชื่อเล่นว่า "เบิร์ด" ธงไชยเป็นบุตรคนที่ 9 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน ของเจมส์ (จิมมี่) แมคอินไตย์ นายแพทย์ลูกครึ่งสกอต-มอญ และอุดม แมคอินไตย์ ครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน ในวัยเด็กธงไชยช่วยเหลือครอบครัวโดยการช่วยพับถุง ขายเรียงเบอร์ เก็บกระป๋องนมขาย และเย็บงอบ เป็นต้น นอกจากนั้นยังหารายได้จากการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กที่สลัมบางแคซึ่งมีรายได้ 5 ถึง 10 บาท แล้วแต่จะบริจาค โดยธงไชยเล่าถึงแง่คิดชีวิตวัยรุ่นตอนที่อาศัยอยู่สลัมบางแคว่า “สอนและให้เราสอบผ่านให้ได้ทุกวัน การเรียนรู้และการแบ่งแยกความคิดไปในทางที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างพร้อม คนเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้น” ธงไชยชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ได้เข้าร่วมประกวดในเวทีงานวัดต่าง ๆ และเคยได้รางวัล โดยฝึกร้องและสอนกันเองในครอบครัว จากฝีมือการเล่นดนตรีของพี่น้อง 7 คน จึงรวมตัวเล่นดนตรีมีชื่อวงว่า "มองดูเลี่ยน"การศึกษา การศึกษา. ธงไชยศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดนิมมานรดี ระหว่างนั้นก็รับเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือครูในกิจกรรมร้องรำทำเพลงต่าง ๆ เสมอ และเป็นคนร่าเริง กล้าแสดงออก ต่อมา ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปัญญาวรคุณ เป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นแรกของโรงเรียน เขาสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาการจัดการ ที่วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี ทั้งนี้ภายหลังจากเขาเข้าวงการบันเทิง และประสบความสำเร็จในอาชีพ ในปี พ.ศ. 2545 ธงไชยได้รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีสากล และประสบความสำเร็จในอาชีพ สำหรับด้านการทำงาน ธงไชยเริ่มทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย สาขานานา และต่อมาได้ย้ายมาที่สาขาท่าพระ ฝ่ายต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่สุดท้ายเมื่อเขาเข้าสู่วงการบันเทิงได้สักระยะจึงตัดสินใจลาออกเพื่อไปทำงานในวงการเพลงเข้าวงการบันเทิง เข้าวงการบันเทิง. ระหว่างที่ธงไชยทำงานอยู่แผนกต่างประเทศของธนาคารกสิกรไทย สาขาท่าพระ ธงไชยยังทำงานอื่น ๆเพื่อหารายได้พิเศษเพื่อช่วยเหลือครอบครัว อาทิ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา รวมถึงเป็นพนักงานเปิดประตูในดิสโก้เธคชื่อ ฟามิงโก ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ ที่นั่นเองทำให้ธงไชยได้รู้จักกับผู้จัดละคร วรายุฑ มิลินทจินดา ซึ่งเป็นแขกของโรงแรม ธงไชยร่วมร้องเต้นสร้างความบันเทิงให้กับแขกจนวรายุฑชักชวนธงไชยให้มาเล่นละครเรื่อง น้ำตาลไหม้ (พ.ศ. 2526) โดยมีอดุลย์ ดุลยรัตน์เป็นผู้ช่วยสอน ละครเรื่องนี้เป็นละครเรื่องแรกของธงไชย ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยมรางวัลเมขลา ส่งผลให้ธงไชยเป็นที่รู้จักและมีการกล่าวขานในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ที่มีความสามารถ ต่อมาเขาได้ร่วมงานละครเวทีกับภัทราวดี มีชูธน หนึ่งในนั้นคือคอนเสิร์ตคืนหนึ่งกับภัทราวดี (พ.ศ. 2527) ในส่วนของงานในวงการแสดงช่วงแรกนั้นเขาได้ประสบอุบัติเหตุโดยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง บ้านสีดอกรัก (พ.ศ. 2527) ธงไชยมีความสามารถด้านการร้องเพลง เขาได้รับทาบทามให้ไปร้องเพลงในรายการสดของนันทวัน เมฆใหญ่ ขณะเดียวกันวรายุฑก็ให้ธงไชยลองสมัครประกวดร้องเพลงเวทีสยามกลการในปี พ.ศ. 2527 เป็นจุดเริ่มต้นด้านเพลงที่สำคัญ การประกวดครั้งนั้นธงไชยได้รับรางวัลในการประกวด 3 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลนักร้องดีเด่นประเภทเพลงไทยสากล จากเพลง "ชีวิตละคร" ระหว่างการประกวด ธงไชยได้พบกับเรวัต พุทธินันทน์ ซึ่งเห็นพรสวรรค์ในตัว ของเขา จึงชักชวนธงไชย แต่ผลการประกวดธงไชยได้รางวัลทำให้ต้องเซ็นสัญญากับสยามกลการ เรวัต พุทธินันทน์จึงเข้าพบกับคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดชเพื่อเจรจาขอธงไชยมาเป็นศิลปินของแกรมมี่ คุณหญิงพรทิพย์ได้ตัดสินใจฉีกสัญญาและให้โอกาสธงไชยไปทำงานอย่างอิสระ ทำให้ธงไชยก้าวสู่การเป็นนักร้องอย่างเต็มตัวในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ระหว่างที่รออัลบั้มเสร็จต้องใช้เวลา 2 ปี ธงไชยยังหารายได้พิเศษต่อเนื่องจากการแสดงละครและภาพยนตร์ ธงไชยรับบทพระเอกภาพยนตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2528 เรื่อง ด้วยรักคือรัก คู่กับอัญชลี จงคดีกิจ และกำกับโดย หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย ซึ่งเป็นอีกบุคคลสำคัญที่ทำให้เขาได้แจ้งเกิด โดยภาพยนตร์ดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างสูง และสร้างปรากฏการณ์สำคัญในคริสต์ทศวรรษ 1980 กลายเป็นคู่ขวัญทางจอเงินระดับคลาสสิคอีกคู่หนึ่งของวงการหนังไทย และในปีเดียวกัน ยังร่วมแสดงในละครเรื่องบ้านสอยดาว และ "พลับพลึงสีชมพู" เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2529 ธงไชยได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรบนเวทีการประกวดนางสาวไทย รอบตัดสิน ปี 2529 - 2530 และเขายังเป็นพิธีกรคู่แรกในรายการถ่ายทอดสด7 สีคอนเสิร์ต คู่กับมยุรา ธนะบุตร ซึ่งกลายเป็นพิธีกรคู่ขวัญจากความเป็นธรรมชาติ สนุกสนานของทั้งคู่ ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้ดำเนินรายการดีเด่นชาย รางวัลเมขลา ประจำปี พ.ศ. 2529 " และในปีเดียวกันธงไชยมีอัลบั้มแรก หาดทราย สายลม สองเรา โดยเพลง "ผ่านมา ผ่านไป" เป็นซิงเกิลแรกที่เขาเข้าบันทึกเสียง สำหรับเพลงที่เป็นซิงเกิลแรกที่เผยแพร่ผ่านสื่อ และแจ้งเกิดเขาในวงการเพลงคือ เพลง "ด้วยรักและผูกพัน" "ฝากฟ้าทะเลฝัน" "บันทึกหน้าสุดท้าย" เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง จากความสำเร็จของอัลบั้มดังกล่าวได้มีการนำเพลงดังในอัลบั้มไปใช้ประกอบในภาพยนตร์ ด้วยรักและผูกพัน ที่ถ่ายทำในต่างประเทศ ธงไชยจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำและก้าวสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว โดยมีพรพิชิต พัฒนถาบุตรเป็นผู้จัดการส่วนตัว นอกจากนี้ ธงไชยมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มแรกชื่อว่า "คอนเสิร์ต สุดชีวิต ธงไชย" และในปีนั้นยังมีการจัดคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 1 ถือเป็นการบุกเบิกทำคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทยของแกรมมี่ปี พ.ศ. 2530 - 2539อัลบั้ม สบาย สบาย ปี พ.ศ. 2530 - 2539. อัลบั้ม สบาย สบาย. ในปี พ.ศ. 2530 ธงไชยมีอัลบั้มดังชื่อ สบาย สบาย ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของเขา ซึ่งมีเพลงเด่น เช่น เพลง "สบาย สบาย" "เหมือนเป็นคนอื่น" และ"ฝากใจไว้" โดยเพลง "สบาย สบาย" ที่ทำให้เขาดังข้ามประเทศ มีการนำลิขสิทธิ์เพลงไปแปลงหลายภาษาเช่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น และในปีดังกล่าวเขาได้รับรางวัลศิลปินดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ (สยช.) จากความสำเร็จของเพลง "สบาย สบาย" ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ หลังคาแดง ซึ่งธงไชยเป็นนักแสดงนำ โดยรับบทเป็นคนบ้า คู่กับจินตรา สุขพัฒน์ โดยเพลง "สบาย สบาย" ได้รับรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ครั้งที่ 7 จากความสำเร็จของอัลบั้มดังกล่าวและความสำเร็จของคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดครั้งแรก ทำให้ธงไชยมีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 2 ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และปลายปี พ.ศ. 2530 ธงไชยออกอัลบั้ม รับขวัญวันใหม่ ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ" และ "ขอบใจจริง ๆ" เป็นต้น ธงไชยมีคอนเสิร์ตใหญ่สองครั้งในช่วงต้นปีถัดมา คือ คอนเสิร์ตเกาเหลาธงไชย (ไม่งอก) และคอนเสิร์ต เบิร์ด เปิ๊ด-สะ-ก๊าด และออกอัลบั้มพิเศษ พ.ศ. 2501 และอัลบั้ม ส.ค.ส. ซึ่งมีเพลงเด่น เช่น เพลง "จับมือกันไว้" ซึ่งต่อมากลายเป็นเพลงหลักที่นำไปประกอบในการแสดงคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์อีกหลายครั้งจนปัจจุบัน เพลงเด่นอื่น ๆ เช่น "เสียงกระซิบ" "นางนวล" และ "ส.ค.ส." เป็นต้น และธงไชยมีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 3 ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2532ละครคู่กรรม และอัลบั้มบูมเมอแรง ละครคู่กรรม และอัลบั้มบูมเมอแรง. ในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นยุคที่เกิดกระแสเบิร์ดฟีเวอร์ ธงไชยรับบทโกโบริในละคร คู่กรรม คู่กับกมลชนก โกมลฐิติ ซึ่งรับบทอังศุมาลิน ถือเป็นละครฉบับที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอันดับ 1 ของไทยตลอดกาล ด้วยเรตติง 40 ละครเรื่องนี้ทำให้ธงไชยได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัล คือ รางวัลนักแสดงนำชายดีเด่น จากงานประกาศผลรางวัลเมขลา ครั้งที่ 10 และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 5 ในปีเดียวกันธงไชยได้ออกอัลบั้ม บูมเมอแรง มีการจัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มมนุษย์บูมเมอแรง ต่อด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตที่ใช้ชื่อว่ามนุษย์บูมเมอแรงทุกภาค มียอดจำหน่ายตลับเทปสูงสุดของไทยมากกว่า 2 ล้านตลับ ซึ่งถือเป็นศิลปินคนแรกของแกรมมี่ที่มียอดจำหน่ายเกิน 2 ล้านตลับ และยังมีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2533 มีหัทยา เกษสังข์ ดีเจชื่อดัง มาแสดงเป็นนางเอกมิวสิกซีรีส์เพลงคู่กัดคู่กับธงไชย ความสำเร็จจากอัลบั้มดังกล่าว ทำให้ธงไชยได้รับประกาศเกียรติคุณจำนวนมาก เช่น ได้รับรางวัลพิเศษอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด มอบโดยบริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตเครื่องดื่มโค้ก ประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ เอกชน ยกให้เป็นศิลปินที่ได้รับประกาศเกียรติคุณมากที่สุด และถือเป็นเกียรติประวัติของธงไชย ในคอนเสิร์ตสายใจไทย ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2533 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป่า "ทรัมเป็ต" เพลง "คู่กัด" โดยมีธงไชย เป็นผู้ร่วมขับร้องอัลบั้มพริกขี้หนู และคอนเสิร์ตไทย อัลบั้มพริกขี้หนู และคอนเสิร์ตไทย. ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ธงไชยประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาถึงอัลบั้มชุดที่ 6 อัลบั้มพริกขี้หนู มียอดจำหน่าย 3 ล้านตลับ เป็นยอดจำหน่ายสูงสุดอีกอัลบั้มของธงไชย โดยสื่อบันเทิงได้ยกให้เป็นปรากฏการณ์ "เบิร์ดฟีเวอร์" อีกครั้งของเขา และถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุด "อัลบั้มแห่งทศวรรษ" ซึ่งเป็นความสำเร็จ และความนิยมอย่างสูงในผลงานของเขา โดยมีเพลงเด่นคือ "พริกขี้หนู" "ขออุ้มหน่อย" "ไม่อาจหยั่งรู้" "ฝากไว้" เป็นต้น พร้อมกับคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มพริกขี้หนู และจากความสำเร็จของอัลบั้มดังกล่าวทำให้เขามีชื่อเช้าชิงรางวัล International Viewer's Choice Awards จากงาน The 1991 เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ณ สหรัฐ ในปีเดียวกันเขายังมีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 5 โดยใช้ชื่อตอน ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด จำนวน 29 รอบ จำนวนผู้ชม 58,000 คน ซึ่งมีจำนวนรอบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ก่อนที่ธงไชยจะหยุดงานในวงการบันเทิงอย่างไม่มีกำหนดละครวันนี้ที่รอคอย และซีเกมส์ ละครวันนี้ที่รอคอย และซีเกมส์. ปลายปี พ.ศ. 2536 ธงไชยกลับมาแสดงละครวันนี้ที่รอคอย รับบท เจ้าซัน และเจ้าชายศิขรนโรดม คู่กับสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ซึ่งละครดังกล่าวประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคนั้น ธงไชยได้รับรางวัลดารานำชายดีเด่น จากประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 8 ต้นปี พ.ศ. 2537 ธงไชยออกอัลบั้ม ธ ธง ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "เธอผู้ไม่แพ้" "เหนื่อยไหม" เป็นต้น เพลง "เหนื่อยไหม" ได้รางวัลประพันธ์คำร้องยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลพระพิฆเนศทอง ธงไชยจัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม "คอนเสิร์ต ธ.ธง กับ เธอ (นั่นแหละ)" และคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 6 โดยใช้ชื่อตอนว่าอยากเห็นท้องฟ้าเป็นอย่างในฝัน ในปี พ.ศ. 2538 ธงไชยกลับมารับบทบาท โกโบริ อีกครั้งในภาพยนตร์คู่กรรม ภาพยนตร์นั้นสร้างสถิติภาพยนตร์ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดใน 3 วันแรกของการเปิดตัวในยุคนั้น ธงไชยได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ประจำปี พ.ศ. 2538 และในปีเดียวกันธงไชยได้รับเลือกให้ร้องเพลง "Golden Stars" ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ปี พ.ศ. 2538 จัดที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปีปี พ.ศ. 2540 - 2549การบวชและการสูญเสียมารดา ปี พ.ศ. 2540 - 2549. การบวชและการสูญเสียมารดา. ในปี พ.ศ. 2540 ธงไชยได้เป็นศิลปินคนแรกของทวีปเอเชียที่ได้รับรางวัลนักร้องยอดนิยมจากการประกาศรางวัล Billboard Viewer's Choice Awards 1997 แต่ธงไชยไม่ได้ไปรับรางวัลเนื่องจากมารดารับการรักษาอยู่ในหน่วยอภิบาล ปลายปีหลังจากถ่ายทำละคร นิรมิต แล้วเสร็จ ธงไชยอุปสมบทในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เป็นการบวชทดแทนคุณ ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร และได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานผ้าไตร และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีประทานเครื่องอัตถบริขาร โดยธงไชยได้รับฉายาว่า "อภิชโย" แปลว่า "ผู้มีชัยชนะอันยิ่งใหญ่" และจำวัด ณ วัดอรัญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 1 พรรษา หลังจากนั้นในปี 2541–2544 ธงไชยมีผลงานเพลงต่อเนื่องอีก 4 อัลบั้มที่ทำยอดขายเกินล้านชุด ได้แก่ ธงไชย เซอร์วิส (2541) ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "ซ่อมได้" "บอกว่าอย่าน่ารัก" "ก็เลิกกันแล้ว" "ถ่านไฟเก่า" เป็นต้น พร้อมกับอัลบั้มพิเศษ ธงไชย เซอร์วิสพิเศษ และละคร ความทรงจำใหม่ หัวใจเดิม และมีคอนเสิร์ต อัลบั้มตู้เพลงสามัญประจำบ้าน (2542) กับเพลงเด่นคือ "ลองซิจ๊ะ" "กลับไม่ได้ไปไม่ถึง" "ผิดตรงไหน" "ทำไมต้องเธอ" เป็นต้น และปี พ.ศ. 2543 มีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 7, อัลบั้มพิเศษ 100 เพลงรักไม่รู้จบ และในปีเดียวกันได้รับเกียรติจากดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล เลือกให้เขาเป็นพิธีกรพิเศษในการถ่ายทำสปอตสารคดีเกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ต่อด้วยคอนเสิร์ตความรักไม่รู้จบ วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 อุดม แมคอินไตย์ มารดา เสียชีวิตที่จังหวัดเชียงราย มีพิธีพระราชทานเพลิงศพวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเจ้านาย 3 พระองค์ พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ปลายปี 2544 ธงไชยอัดอัลบั้มสไมล์คลับ ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "เล่าสู่กันฟัง" "คนไม่มีแฟน" และ "คู่แท้" เป็นต้น โดยเพลง "เล่าสู่กันฟัง" ได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน เช่น รางวัลเพลงยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 14 รางวัลมิวสิกวิดีโอศิลปินชายยอดนิยม จากงานประกาศผลรางวัลแชนแนลวีไทยแลนด์มิวสิกวิดีโออวอร์ดส ครั้งที่ 1 เป็นต้น พร้อมกับการจัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มเบิร์ดสไมล์คลับ และจากผลสำรวจสุดยอดแห่งความประทับใจ ปี พ.ศ. 2544 ของเอแบคโพล และผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพล พบว่าเขาอยู่ในลำดับแรกของนักร้องชายไทยที่ประทับใจที่สุดรับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์. ในปี พ.ศ. 2545 ธงไชยได้รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ คณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีสากล และประสบความสำเร็จในอาชีพ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีประวัติการณ์อัลบั้ม ชุดรับแขก ประวัติการณ์อัลบั้ม ชุดรับแขก. และช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 ถึงปี พ.ศ. 2546 ธงไชยออกอัลบั้มชุดรับแขก ซึ่งสร้างสถิติยอดจำหน่ายเทปสูงสุดของไทยกว่า 5 ล้านตลับ เป็นนักร้องคนแรกและคนเดียวที่สร้างสถิตินี้ ไม่นับรวมซีดีอีก 3 ล้านชุด อัลบั้มดังกล่าวสร้างประวัติการณ์ BREAK RECORD สู่ 3 ล้านชุด ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน นับจากวันวางจำหน่าย 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 โดยมีเพลงเด่นคือ "แฟนจ๋า" ซึ่งแต่งโดยโจอี้ บอย และ "มาทำไม" ร่วมร้องกับจินตหรา พูนลาภ เป็นต้น จากการสำรวจความนิยมของคนกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2545 ของกรุงเทพโพลล์ พบว่าเพลงยอดนิยม คือ เพลง "แฟนจ๋า" รองลงมาคือเพลง "มาทำไม" จากความสำเร็จทำให้ธงไชยมีอัลบั้มพิเศษ แฟนจ๋า..สนิทกันแล้วจ้ะ และมีคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ฟ.แฟน และฟ.แฟน FUN FAIR ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดแห่งปี จากสรุปผลประกอบการแกรมมี่ต่อด้วยทัวร์คอนเสิร์ต 3 ภาค และในปีดังกล่าวยังมีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 8 โดยเขาได้รับหลายรางวัล เช่น รางวัลอัลบั้มเพลงป๊อบยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลแฮมเบอร์เกอร์อวอร์ดส์ ครั้งที่ 1 รางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัล ท็อปอวอร์ด ครั้งที่ 3 รางวัลมิวสิกวิดีโอศิลปินชายยอดนิยม และรางวัลมิวสิกวิดีโอลำดับภาพยอดเยี่ยม เพลง "แฟนจ๋า" จากงานประกาศผลรางวัลแชนแนลวีไทยแลนด์มิวสิกวิดีโออะวอดส์ ครั้งที่ 2 เป็นต้น และจากผลสำรวจประจำปี พ.ศ. 2546 ที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น นักร้องชายดีเด่น จากผลสำรวจ 5 บุคคลดีเด่นแห่งปี ของกรุงเทพโพลล์ นักร้องชายยอดนิยม จากผลสำรวจที่สุดของข่าว บุคคล และบันเทิง ของเอแบคโพล และนักร้องเพลงไทยสากลชาย ที่ประชาชนชอบมากที่สุด จากผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพล เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของอัลบั้มชุดรับแขก ธงไชยได้รับคัดเลือกให้ไปโชว์เพลงแฟนจ๋าที่งานประกาศผลรางวัลที่ต่างประเทศ พร้อมได้รางวัล Favorite Artist Thailand จากงาน เอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส ครั้งที่ 3 ณ ประเทศสิงคโปร์อัลบั้ม เบิร์ด-เสก อัลบั้ม เบิร์ด-เสก. ในปี พ.ศ. 2547 ธงไชยออกอัลบั้มพิเศษ เบิร์ด-เสก เฉลิมฉลองวาระจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ครบรอบ 20 ปี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดแห่งปี ที่จำนวน 2 ล้านชุด โดยมีเพลงดัง คือ "อมพระมาพูด" ซึ่งร่วมร้องกับนักร้องแนวร็อกชื่อดัง เสกสรรค์ ศุขพิมาย โดยเพลงอมพระมาพูด และอัลบั้มดังกล่าวถูกยกให้เป็นเพลงแห่งปี และอัลบั้มขายดีแห่งปี พ.ศ. 2547 และจากผลสำรวจที่สุดของวงการบันเทิงและกีฬา ปี พ.ศ. 2547 ของเอแบคโพล และผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพล พบว่าเขาอยู่ในลำดับแรกของนักร้องชายที่ประชาชนชื่นชอบที่สุด และเป็นนักร้องนักแสดงที่ชื่นชอบและยึดเป็นแบบอย่างมากที่สุด จากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ ในปี พ.ศ. 2548 มีอัลบั้มวอลุม วัน ซึ่งมีเพลงดังคือเพลง "โอ้ละหนอ...My Love" และเพลง "ไม่แข่งยิ่งแพ้" เขาได้รับรางวัลนักร้องยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัล ท็อปอวอร์ด ครั้งที่ 5 รางวัลนักร้องชายยอดนิยม จากงานประกาศผลรางวัล Oops! Awards รางวัลศิลปินไทยแห่งปี จากการประกาศผลรางวัลเฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 3 นอกจากนั้นมิวสิกวิดีโอเพลง "โอ้ละหนอ...My Love" ได้รับรางวัลมิวสิกวีดีโอยอดเยี่ยมแห่งปีจากงานประกาศผลรางวัล FAT award 2006 และรางวัลมิวสิกวิดีโอยอดนิยม จากงานประกาศผลรางวัลแชนแนลวีไทยแลนด์มิวสิกวิดีโออวอร์ดส ครั้งที่ 5ปีนั้น ธงไชยยังจัดคอนเสิร์ตใหญ่ Volume 1 คอนเสิร์ต โอ้ละหนอ...My Love และธงไชยได้รับฉายาจากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยว่า ดาวค้างกรุ หมายความว่า นักร้องเก่าที่ยังเชิดหน้าชูตาให้วงการบันเทิง และจากผลสำรวจที่สุดของวงการบันเทิงและกีฬาปี พ.ศ. 2548 ของเอแบคโพล และผลสำรวจที่สุดแห่งปีของสวนดุสิตโพล พบว่าเขาอยู่ในลำดับแรกของนักร้องชายที่ประชาชนชื่นชอบที่สุด ปี พ.ศ. 2549 ออกอัลบั้มธงไชย วิลเลจ ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "เถียงกันทำไม" อัลบั้มพิเศษเบิร์ดเปิดฟลอร์ 3 อัลบั้ม ปีนั้น หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ยกให้ธงไชยเป็นหนึ่งในคนไทย 35 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในรอบ 35 ปีอีกทั้งหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ยกให้ธงไชยเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของไทย ปี พ.ศ. 2549 โดยเป็นอันดับ 26 จากทุกสาขาอาชีพ และเป็นอันดับ 1 ประเภทนักร้องนักแสดง ธงไชยได้รางวัลพิเศษศิลปินสร้างสรรค์ Inspiration Award จากงานประกาศผลรางวัลเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส ครั้งที่ 5 และรางวัลศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งปี จากงานประกาศผลรางวัล Virgin Hitz Awards 2006 และเกียรติบัตรศิลปินชายยอดนิยมแห่งปี จากการประกาศผล Thailand Top Chart 2006ปี พ.ศ. 2550 - 2559ด้านคอนเสิร์ตและอัลบั้มอาสาสนุก ปี พ.ศ. 2550 - 2559. ด้านคอนเสิร์ตและอัลบั้มอาสาสนุก. ในปี พ.ศ. 2550 มีจัดคอนเสิร์ตเบิร์ดเปิดฟลอร์ และปลายปีมีอัลบั้ม ซิมพลีย์ เบิร์ด ซึ่งมีเพลงเด่นคือ "ช่วยรับที" "มีแต่คิดถึง" และเพลง "น้ำตา" เป็นต้น เพลง "น้ำตา" แต่งโดย อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 20 ขณะที่เพลง "มีแต่คิดถึง" ซึ่งแต่งโดยนิติพงษ์ ห่อนาค ได้รางวัลชมเชยการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย และในปีดังกล่าวธงไชยยังได้รับฉายาจากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยว่า "ป๋าพันปี" หมายความว่า "ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด ก็ยังคงดังเช่นเดิม" ในปี พ.ศ. 2551 ธงไชยแสดงคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 ตอน MAGIC MEMORIES อัศจรรย์แห่งความทรงจำ สิ่งเหล่านี้คือความเป็นเรา...ตลอดไป เมื่อรวมรอบอังกอร์พลัสแล้ว สร้างสถิติสูงสุดของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ด้วยจำนวนผู้ชม 120,000 คน จาก 12 รอบการแสดง ในปี พ.ศ. 2552 ธงไชยได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) "โครงการเที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก" โดยถ่ายทำสามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี และได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์ ททท. อีกครั้งในช่วงปลายปี "โครงการ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน" ถ่ายทำที่มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ โดยเขาขับร้องเพลง "ไปเที่ยวกัน" ประกอบโฆษณาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และมีซิงเกิลพิเศษ "จะได้ไม่ลืมกัน" ประกอบภาพยนตร์ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว และในปีดังกล่าวเขามีคอนเสิร์ต ธงไชย แฟนซี แฟนซน...ร้อง เต้น เล่น แต่งตัว จำนวน 4 รอบการแสดง ในปี พ.ศ. 2553 ธงไชยออกอัลบั้มอาสาสนุก ซึ่งเป็นอัลบั้มใหม่ในรอบ 3 ปี มียอดจำหน่ายและยอดดาวน์โหลดสูงสุดแห่งปี โดยมีเพลงเด่นคือ "อยู่คนเดียว" "อย่าทำอย่างนี้ไม่ว่ากับใคร...เข้าใจไหม" "ทูมัชโซมัชเวรีมัช" และ "เรามาซิง" โดยสองเพลงหลังมีการซื้อลิขสิทธิเพลงดังกล่าวไปแปลงเป็นภาษาญี่ปุ่นขับร้องใหม่โดยนักร้องญี่ปุ่น และต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2554 ธงไชยยังมีคอนเสิร์ตใหญ่คอนเสิร์ตเบิร์ดอาสาสนุกที่จัดขึ้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตสุดร้อนแรงแห่งปี และหนึ่งในคอนเสิร์ตที่ได้รับการตอบรับสูงสุดแห่งปี นอกจากนั้นเพลง "ร้องไห้ทำไม" ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม ยังได้รับคัดเลือกให้ทำคำร้องใหม่เป็นภาษาจีนแมนดารินขับร้องใหม่โดยธงไชย เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย โดยเผยแพร่ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีนั้นธงไชยยังได้รับเลือกเป็นต้นแบบตัวละครการ์ตูนแอนิเมชัน เรื่อง เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ และเขายังเป็นผู้พากย์เสียง "พี่เบิร์ด" และร้องเพลงประกอบเพลงเบิร์ดแลนด์แดนมหัศจรรย์ นอกจากนั้นบทเพลงของเขาถูกนำใส่ในการ์ตูน ได้แก่ เพลง "ทูมัชโซมัชเวรีมัช" "แก้วตา แก้วโตว" และ "ตามรอยพระราชา" ซึ่งบทเพลง "ตามรอยพระราชา" ถูกใช้ประกอบในตอนพิเศษ "ตามรอยพระราชา" เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยการนำเสนอพระราชกรณียกิจของพระองค์ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ และในปีเดียวกันเขาได้รับเลือกให้ร้องเพลงพิเศษ เพลง "Thai for Japan" ภาษาญี่ปุ่น ให้แก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ในปี พ.ศ. 2555 ธงไชยแสดงคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 ตอน วันของเรา Young อยู่ ฉลองครบรอบ 25 ปีเบิร์ดเบิร์ดโชว์ จำหน่ายบัตรต่อเนื่องในคราวเดียว กว่า 100,000 คน ในปี พ.ศ. 2556 มีคอนเสิร์ตขนนกกับดอกไม้ ครั้งที่ 2 ตอน Secret Gardenสานสัมพันธ์ประเทศญี่ปุ่น สานสัมพันธ์ประเทศญี่ปุ่น. ต้นปี พ.ศ. 2556 ธงไชยได้รับเชิญเป็น "ทูตมิตรภาพ" (International Friendship Ambassador) จากประเทศไทยไปร่วมงานเทศกาล "Sapporo Snow Festival ครั้งที่ 64" ณ เมืองซับโปโร เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ภายในงานมีรูปปั้นหิมะขนาดเท่าตัวจริงของเขา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพที่ดีของทั้งสองประเทศ และจากการรวบรวมข้อมูลในญี่ปุ่น พบว่านอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบแล้ว ศิลปินซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นมากที่สุดคือเบิร์ด ในปีเดียวกัน ธงไชยได้รับเชิญร่วมงานเทศกาลดนตรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Music Fair) ในโอกาสครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศสมาชิกอาเซียน ณ กรุงโตเกียว จากการโหวตความนิยมศิลปินใน 10 ประเทศอาเซียน ธงไชยเป็นศิลปินไทยซึ่งชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมากที่สุด นอกจากนี้องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ได้เชิญธงไชยไปถ่ายแบบที่โอกินาวา โยโกฮามา และฟุคุโอกะ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ธงไชยได้รับรางวัล Special Award from JNTO จากงานมอบรางวัล Japan Tourism Award in Thailand 2013 สำหรับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ปี พ.ศ. 2557 ธงไชยแสดงกลกิโมโน มีสื่อญี่ปุ่นนำเสนอข่าวการมาถ่ายทำ ปี พ.ศ. 2557 เช่น Saga Film Commission ประเทศญี่ปุ่น นำเสนอข่าวการถ่ายทำละคร และเปรียบความดังของนักแสดงนำอย่างธงไชยเป็นไมเคิล แจ็คสัน ของไทยการร่วมงานกับลูกค้าธุรกิจประเทศเพื่อนบ้าน การร่วมงานกับลูกค้าธุรกิจประเทศเพื่อนบ้าน. ในปี พ.ศ. 2558 มีคอนเสิร์ตขนนกกับดอกไม้ ครั้งที่ 3 ตอน The Original Returns โดยคอนเสิร์ตดังกล่าวทางจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ได้จัดกิจกรรม FUN&FRIENDSHIP EXPERIENCE ตอน ฟินกับคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดพร้อมท่องเที่ยวเปิดโลกที่ประเทศพม่า ซึ่งถือเป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนมิตรภาพของแฟนเพลงชาวไทยและชาวพม่าครั้งแรก ปีนั้น ธงไชยยังเดินทางไปประเทศพม่าครั้งแรก และเป็นตัวแทนโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสานสัมพันธ์ไทยพม่า งาน FUN&FRIENDSHIP EXPERIENCE จัดขึ้นโดย บริษัท Story Book Entertainment และโรงแรม ทอวิน การ์เด้น มีชาวพม่ามาต้อนรับที่ท่าอากาศยานย่างกุ้งจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2559 ธงไชยมีคอนเสิร์ต รวมวง THONGCHAI concert และปีเดียวกันนี้มีโครงการพิเศษภาพยนตร์สั้น รักคำเดียว ภารกิจคลุกฝุ่น ซึ่งถ่ายทำบนที่ราบสูงบ่อละเวน ประเทศลาวเพลงเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 เพลงเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9. ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2559 ธงไชยมีบทเพลงพิเศษ "เหตุผลของพ่อ" เป็นบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์สมบัติครบ 70 ปี เพื่อร่วมกันส่งคำภาวนาไปถึงในหลวง ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และบทเพลงพิเศษดังกล่าวเผยแพร่เป็นเพลงสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 9 ก่อนที่ในหลวงจะเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559ปี พ.ศ. 2560 - ปัจจุบันน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ปี พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน. น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ. ในปี พ.ศ. 2560 ธงไชยเว้นจากการมีผลงานเพลง และผลงานคอนเสิร์ตของเขา เพื่อแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เขาร่วมเป็นดารารับเชิญในละครพิเศษ “เราเกิดในรัชกาลที่ 9 เดอะซีรีส์” โดยรับบทแพทย์อาสา และเป็นนักร้องรับเชิญในงานแสดงดนตรี “แผ่นดินของเรา” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เปิดพื้นที่เขตพระราชฐานพระราชวังดุสิต จัดแสดงดนตรีเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อพระราชทานความสุขแก่คนไทย อีกทั้งยังเป็นการขับกล่อมให้แก่ประชาชนที่มาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ธงไชยได้รับพระมหากรุณาธิคุณสูงสุด เมื่อได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สถานที่จริง ที่พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และได้ขึ้นถวายพระเพลิงบนพระเมรุมาศในฐานะพลเรือนผู้มีตำแหน่งเฝ้าฯ นับเป็นศิลปินเพียงไม่กี่คนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้โปรเจกต์พิเศษ และคอนเสิร์ต โปรเจกต์พิเศษ และคอนเสิร์ต. ในปี พ.ศ. 2561 ต้นปีธงไชยมีโปรเจ็กต์ใหม่ ชื่อว่า เบิร์ดมินิมาราธอน ซึ่งเป็นโปรเจกต์พิเศษที่เขาชักชวน 8 ศิลปินรุ่นใหม่มาร่วมทำเพลงสไตล์ตัวเองให้นักร้องในดวงใจของพวกเขา โดยมีพูนศักดิ์ จตุระบุล หรือ อ๊อฟ มือกีตาร์วงบิ๊กแอส เป็นผู้อำนวยการผลิตของโปรเจกต์นี้ โดย 8 ศิลปิน ได้แก่ บิ๊กแอส อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข บูม บูม แคช ลาบานูน เก็ตสึโนวา ยัวร์บอยทีเจ โพลีแคต ชนกันต์ รัตนอุดม ซึ่งวางแผงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เขาได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งปี สำหรับศิลปินที่เป็นที่สุดตลอดกาล รางวัล Joox Icon Award จากงาน JOOX Thailand Music Awards พ.ศ. 2561 เป็นต้น ปลายปี พ.ศ. 2561 เขาจะมี คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 11 ในตอน "DREAM JOURNEY" (ดรีม เจอร์นี่ย์) ซึ่งจะแสดงในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานีบทบาททางสังคมการใช้ภาษาไทย บทบาททางสังคม. การใช้ภาษาไทย. ผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาในหลายบทบาท เช่น เขาได้รับเลือกเป็นผู้บรรยายสารคดีเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญ เช่น บรรยายสารคดีเฉลิมพระเกียรติวาระ 150 ปี พระราชสมภพ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า บรรยายภาพยนตร์สารคดี ชุด My King ในหลวงของเรา จัดทำโดย มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับ สมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก และในฐานะนักร้อง นอกเหนือจากบทบาทในการร้องเพลงเทิดพระเกียรติแล้ว เขาได้รับเลือกให้ขับร้องเพลงพิเศษต่างๆ เช่นเพลงประจำการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์ส เพลง "หนึ่งในร้อย" ในยุคที่จัดโดยช่อง 7 สีและได้มีโอกาสขับร้องเพลงให้กำลังใจหลายบทเพลง เช่น เพลงสำหรับผู้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพลง “ฝากส่งใจไป” เพลงให้กำลังใจผู้ประสบภัยสึนามิ เพลง "อีกไม่นาน" เป็นต้น และยังได้รับเกียรติให้ร้องเพลงประจำสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เพลง "เจ้าฟ้ามหาจักรี" และเพลง "บัวสวรรค์" นอกจากนั้นน้ำเสียงของเขายังได้ถูกบันทึกลงในระบบอัตโนมัติของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้บริการลูกค้านานกว่า 14 ปี นับจากปี พ.ศ. 2546 เป็นต้น จากบทบาทของธงไชยทางด้านการใช้ภาษา ทำให้เขาได้รับรางวัลชมเชยการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย จากผลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2552 ในบทเพลง "ไปเที่ยวกัน" ซึ่งเป็นบทเพลงประกอบโฆษณาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และรางวัลการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย ประเภทไทยสากลชาย ในบทเพลง "ตามรอยพระราชา" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2555 นอกจากนั้นเขาได้รับรางวัลศิลปินผู้ส่งเสริมภาษาไทยดีเด่น จากงานประกาศผลรางวัลประกายเพชร จัดโดยมูลนิธิเพชรภาษา เป็นต้น นอกจากนั้นจากผลสำรวจโพลมหาชนในปี พ.ศ. 2559 พบว่าเขาเป็นดาราที่ใช้ภาษาไทยดีเยี่ยมในลำดับแรก ไม่เพียงบทบาทด้านการใช้ภาษาไทย ธงไชยยังได้รับเลือกให้ขับร้องเพลงในโอกาสพิเศษในภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษายาวี ในบทเพลง "Sampaikan Hati" หรือ "ซัมไปกันฮาตี" เพลงพิเศษเป็นกำลังใจให้ผู้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพลงภาษาญี่ปุ่น บทเพลง "Thai for Japan" เพลงพิเศษเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิครั้งใหญ่ในโทโฮะกุ ประเทศญี่ปุ่น เพลงภาษาจีนแมนดาริน บทเพลง "Why the Tears" เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย เป็นต้นการรณรงค์ การรณรงค์. บทบาทสำคัญของธงไชย คือการใช้สิทธิเลือกตั้งในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครแทบทุกครั้ง ทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) สมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการลงประชามติต่างๆ และในปี พ.ศ. 2554 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เลือกเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับการรณรงค์อื่นๆ ได้แก่ ในปี พ.ศ. 2545 ได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์เสริมสร้างรอยยิ้มในคนไทยภายใต้โครงการ “สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม” และในปีเดียวกันได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์โครงการ รณรงค์ลดการแพร่เชื้อทางเดินหายใจ ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ในปี พ.ศ. 2546 ได้รับเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์โครงการฝาแบรนด์สร้างขาเทียมเฉลิมพระเกียรติ และปีเดียวกันได้รับเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์เสื้อยืดพระนามาภิไธยย่อ สก. 72 พรรษา และได้รับเลือกจากสภากาชาดไทย ให้เป็นตัวแทนเชิญชวนคนไทยร่วมส่งไปรษนียบัตรกาชาดมหากุศล ในปี พ.ศ. 2554 ได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์ธรรมอาสาพาประชาชนไทยทุกหมู่เหล่าเข้าวัดปฏิบัติภาวนา ในปี พ.ศ. 2555 ได้รับเลือกจากสภากาชาดไทย ให้เป็นตัวแทนเชิญชวนคนไทยร่วมสนับสนุนการจัดทำ "สายรัดข้อมือเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และในปีเดียวกันได้รับเลือกจากมูลนิธิชัยพัฒนา ให้เป็นตัวแทนเชิญชวนคนไทยร่วมสนับสนุนเสื้อยืด "ยิ้มให้พ่อ" ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์กิตติมศักดิ์ จากเครือข่ายคนรักน้องหมาในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และในปีเดียวกันได้รับเกียรติจาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) จัดทำแสตมป์ส่วนตัวภาพธงไชย ตามโครงการส่งเสริมการสื่อของคนไทยผ่านการเขียนผ่านจดหมายและโปสการ์ดผ่านกิจกรรมพิเศษต่างๆ ในปี พ.ศ. 2558 ได้รับเกียรติเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ประจำโครงการเครือข่ายคนรักน้องหมา ปี 5 เครือข่ายคนรักน้องหมาในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในปี พ.ศ. 2559 เป็นผู้นำทีมรณรงค์อุดหนุน "ดอกป๊อปปี้" ช่วยครอบครัวทหารผ่านศึก ของมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และปีเดียวกันได้รับเกียรติจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมถ่ายทำมิวสิกวีดีโอเพลง "กำลังใจ" เพื่อเป็นกำลังใจให้นักร้องนักดนตรีผู้พิการทางสายตาได้แสดงความสามารถ ในโครงการจากถนนสู่ดวงดาว "From street to stars" เป็นต้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว. ธงไชยมีบทบาทในการกระตุ้นการท่องเที่ยวหลายครั้ง โดยในปี พ.ศ. 2548 ได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โครงการ "เที่ยวที่ไหนไม่สุขใจเท่าบ้านเรา" ซึ่งนำเสนอในช่วงหลังสินามิ การโฆษณาจึงสื่อออกมาให้เป็นเรื่องของทะเลมากที่สุด ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 ได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) "โครงการเที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก" โดยถ่ายทำสามพันโบก อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี สร้างการรับรู้ให้กับคนไทยถึง 99% จากการเปิดเผยของ ททท. เขาจึงได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อีกครั้งใน "โครงการ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน" โดยถ่ายทำที่ "มอหินขาว" จังหวัดชัยภูมิ ช่วยกระตุ้นการเที่ยวชมสถานที่ดังกล่าวจำนวนมาก นอกจากนั้นเขาเป็นผู้ขับร้องเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณา ไปเพลง “ไปเที่ยวกัน” เพื่อประกอบโฆษณาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2552 ซึ่งเพลงดังกล่าวได้รางวัลชมเชยจากผลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2552 ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยใช้กลยุทธ์ใหม่ Music Marketing เชื่อมหัวใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก ตามแนวคิด “Amazing Thailand : Always Amazes You” บอกเล่าเรื่องราวแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวผ่านบทเพลงและมิวสิควีดีโอภาษาจีนแมนดารินเป็นครั้งแรก ในบทเพลง Why the tear โดยขับร้องโดยธงไชย เพื่อนำไปเผยแพร่ใน 5 ประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย ไต้หวัน และสิงคโปร์ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายชาวจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่และมีกำลังซื้อสูง และมิวสิควิดีโอดังกล่าวจะครอบคลุมประเทศในแถบเอเชียแล้ว ยังเผยแพร่ที่ไชน่าทาวน์ในทวีปยุโรปและออสเตรเลีย สำหรับสถานที่ถ่ายทำ ได้แก่ ชายทะเลหัวหิน ชายหาดเขาเต่า ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (บึงบัว) ในอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) จังหวัดเพชรบุรี รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพมหานคร เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ตลาดนัดสวนจตุจักร เสาชิงช้า ย่านการค้าเยาวราช วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) เป็นต้น ซึ่งผลตอบรับจากมิวสิควีดีโอดัวกล่าวเป็นเพลงที่ขับร้องโดยคนไทยเพลงแรกที่ติดชาร์ตอันดับเพลงยอดนิยมอันดับ 1 ของ tvb 8 ฮ่องกงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม. ธงไชยมีบทบาทในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมผ่านผลงานของเขา ซึ่งผลงานเพลงของเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดคืออัลบั้ม ชุดรับแขก ได้นำความเป็นไทยและวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเผยแพร่ โดยใช้ดนตรี 4 ภาคของไทย ซึ่ง บุษบา ดาวเรือง ผู้บริหารของ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวว่า "ธงไชยทำได้ดีมากคือความเป็นไทย คนที่ไปดูแบบเบิร์ดเบิร์ดที่เขาเล่นลิเกแล้วบอกว่า เขาคือสะพานสายรุ้งที่พาศิลปวัฒนธรรมไทยไปสู่คนรุ่นใหม่" สำหรับการแสดงคอนเสิร์ตที่เขาได้นำศิลปวัฒธรรมมาเผยแพร่ เช่น การแสดงเพลงเกี่ยวข้าว ในงานมหกรรมเพลงอาเซียนครั้งที่ 5 (พ.ศ. 2528) ที่จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยร้องคู่กับ อัญชลี จงคดีกิจ และการแสดงคอนเสิร์ตต่างๆของเขาโดยเฉพาะคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ซึ่งมี ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ฝึกสอน ได้แก่ การแสดงรำกลองยาวร่วมกับคณะดุริยประณีต และแสดงลำตัด โดยผู้ฝึกสอนคือ ประยูร ยมเยี่ยม และการรำฝึกสอนโดยครูสุดจิตต์ อนันตกุล ในการแสดงในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2530) การโชว์การแสดงไทยชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรม การแสดงระบำกะลา และการแสดงลำตัดร่วมกับคณะแม่ประยูร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 5 (พ.ศ. 2534) และในปีเดียวกัน การโชว์การแสดงเพลงอีแซว งานปีใหม่ไทย (พ.ศ. 2537) โดยร้องคู่กับ นันทิดา แก้วบัวสาย โดยได้รับการฝึกสอนจากขวัญจิต ศรีประจันต์ การโชว์การแสดงลิเก ร่วมแสดงกับอาจารย์ เสรี หวังในธรรม ในการแสดงโชว์ในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2551) การโชว์การละเล่นไทยลาวกระทบไม้ประกอบบทเพลงแก้วตา - แก้วโตว ซึ่งการแสดงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 (พ.ศ. 2555) การโชว์การแสดงร่วมกับ นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก ของโจหลุยส์ ซึ่งเป็นคณะการแสดงละครเล็ก หรือหุ่นกระบอก ของอาจารย์สาคร ยังเขียวสด เป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 (พ.ศ. 2555) เป็นต้น นอกจากนั้น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เลือกเขาเป็นต้นแบบการ์ตูนแอนมิชั่นเรื่อง เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ พร้อมทั้งใส่เสียงพากย์และบทเพลงของเขาลงในการ์ตูนดังกล่าว และมีการจัดทำตอนพิเศษ "ส่งเสริมคุณค่าของวัฒนธรรมไทย" เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยต่างๆในแต่ละภูมิภาค โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมภาพลักษณ์ความจงรักภักดี ภาพลักษณ์. ความจงรักภักดี. เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ธงไชยได้รับเลือกให้ขับร้องเพลงเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสสำคัญต่างๆ หลายบทเพลง เช่น การขับร้องเพลง "ต้นไม้ของพ่อ" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เพลง "คือสายใย" บทเพลงที่แต่งขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติทรงเจริญพระชันษา 1 ปี และเพลง "ของขวัญจากก้อนดิน" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติ มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เพลง "ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์" บทเพลงเทิดพระเกียรติ เนื่องในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพลง "ตามรอยพระราชา" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ เพลง "สายใยแผ่นดิน" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เพลง "ในหลวงในดวงใจ" บทเพลงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สารคดี ชุด My King ในหลวงของเรา เพลง "พระราชาผู้ทรงธรรม" บทเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา เพลง "รัตนราชกุมารี" บทเพลงพิเศษที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ ในวโรกาสพิเศษ เฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้ชื่องาน สังคีตสามัคคีเฉลิมบรมราชกุมารี 60 พรรษา เพลง "เหตุผลของพ่อ" เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชสมบัติครบ 70 ปี และทรงเจริญพระชนมพรรษา 89 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559 และบทเพลงดังกล่าวเผยแพร่เป็นเพลงสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 9 ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ทำให้เพลงนี้ถูกจัดให้เป็นเพลงที่สื่อเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อได้อย่างทราบซึ้งกินใจเป็นที่สุด จาก 9 บทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อหลวง บทเพลงเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชสมบัติครบ 70 ปีความกตัญญู ความกตัญญู. ในปี พ.ศ. 2534 หนังสือพิมพ์เอกชน ยกให้ธงไชยเป็นศิลปินที่ "แบบอย่างดีและกตัญญูที่สุด" โดยธงไชยได้รับ "รางวัลลูกดีเด่น" จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อธงไชย แมคอินไตย์ พบว่า ภาพลักษณ์ที่ทำให้เขายังครองความเป็นซูเปอร์สตาร์ในลำดับแรกคือ "ด้านความกตัญญู" และในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับ "รางวัลยอดกตัญญู" จากกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับ ชมรมลูกกตัญญู เป็นต้น โดยภายหลังจากที่อุดม แมคอินไตย์ มารดาของธงไชยเสียชีวิต หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ซึ่งธงไชยเรียก "ท่านพ่อ" ได้ประทานพระเมตตาด้วยเห็นว่าธงไชยเป็นคนมีความกตัญญูอย่างแท้จริง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ทรงกรุณารับธงไชย เป็นเสมือนบุตรบุญธรรมคุณธรรม คุณธรรม. ธงไชยได้รับรางวัลด้านคุณธรรมหลายรางวัล เช่น ในปี พ.ศ. 2554 ได้รับรางวัลศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จากสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 ได้รับประทานโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ในวโรกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุ 99 พรรษา จัดโดยสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และในปีเดียวกันได้รับรางวัลบุคคลที่มีหัวใจโพธิสัตว์ ซึ่งทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับประทานโล่รางวัล คนดี คิดดี สังคมดี ตามรอยพระยุคลบาท งานประทานโล่รางวัลเกียรติยศ พระกินรี ครั้งที่ 3 โดยสมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท.) และในปีเดียวกันได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลซึ่งเป็นเพชรน้ำงามที่สุด โดยหนังสือพิมพ์ดาราเดลี่ สำหรับศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เป็นแบบอย่างที่ดีของคนในวงการบันเทิงของประชาชน ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับรางวัลเกียรติยศศิลปินผู้ทรงคุณค่าต่อวงการบันเทิงและทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ จากงานมอบรางวัลดาวเมขลา จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย (สบท.) เป็นต้นชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ธงไชยภายหลังจากเข้าวงการบันเทิงและประสบความสำเร็จอย่างสูงประกอบกับยังครองความโสด เขากลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากสื่อทั้งในแง่บวก และข่าวลือในแง่ลบ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่พยายามออกไปไหน โดยไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ผู้บริหารบริษัทฯ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขาได้กล่าวไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพมารดาของธงไชยส่วนหนึ่งว่า “เขากลายเป็นคนสาธารณะแล้ว เขาไม่มีชีวิตส่วนตัว การประพฤติปฏิบัติตัวของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อได้ทั้งในแง่บวกและลบเสมอ ซึ่งในแง่ลบตัวเองพอจะทนได้ แต่เป็นห่วงแม่ เพราะแม่จะกังวล สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเก็บตัวเงียบ เงียบเพื่อไม่ให้เป็นข่าวใดๆ เลย” การใช้ชีวิตของธงไชยในช่วงที่อยู่ในวงการบันเทิง จึงมีผู้จัดการ พรพิชิต พัฒนถาบุตร เป็นผู้ดูแลเรื่องส่วนตัวทุกเรื่อง และมีบุษบา ดาวเรือง เป็นผู้ดูแลในเรื่องงานของเขาตลอดตั้งแต่ในยุคแรก สำหรับด้านการใช้จ่ายของธงไชย มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทแกรมมี่ช่วยทำบัญชีรายรับ รายจ่าย โดยพรพิชิต ผู้จัดการส่วนตัวเล่าตอนหนึ่งเกี่ยวกับธงไชยว่า “ถ้าอยู่เมืองไทย เขาไม่ค่อยมีเวลาและโอกาสที่จะไปไหนตามลำพัง จนบางทีเขาก็ตามสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ทัน เขาไม่เคยเดินซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า นอกจากเวลาไปเมืองนอก"บุคลิกนิสัย บุคลิกนิสัย. ธงไชย เป็นคนมองโลกในแง่ดี ตั้งใจทำงาน ตรงต่อเวลา และหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ คิดบวก และเอาใจใส่ในสุขภาพ เขาเป็นคนมีน้ำใจกับทุกคน ดูแลคนรอบข้างเป็นอย่างดี ไม่สุรุ่ยสุร่าย ชอบอยู่บ้าน ชอบธรรมชาติ สวดมนต์ ว่ายน้ำ และเล่นกับสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตส่วนมากของธงไชยทุ่มเทให้กับการทำงานเป็นหลัก โดยธงไชยกล่าวว่า “ความสุขของเขาอยู่ที่งาน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง หรือการโชว์คอนเสิร์ต” เขาจึงมีห้องส่วนตัวสำหรับเป็นห้องพักผ่อน ห้องทำงาน และห้องซ้อมคอนเสิร์ตภายในอาคารของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) โดยเขาจะใช้เวลาในการซ้อมเต้นไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ชั่วโมง สำหรับสัญญา คุณากร พิธีกรซึ่งได้สัมภาษณ์ธงไชยบ่อยครั้ง ได้เผยถึงการวางตัวของธงไชยว่า “เป็นคนตรงต่อเวลามาก ให้เกียรติคนทำงานทุกคน เคารพตนเองพยายามเพิ่มทักษะในการทำงาน”ครอบครัว ครอบครัว. ธงไชยและครอบครัวมีการรวมกันทำบุญตลอดทุกเทศกาล เช่น ทำบุญปีใหม่ ทำบุญสงกรานต์ รวมถึงการทำบุญให้มารดา ทำบุญวันเกิดมารดา ทำบุญครบรอบวันเสียชีวิตของมารดา เป็นต้น และธงไชยเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้หลาน เขาสร้างบ้านที่จังหวัดเชียงรายให้มารดาของเขา ซึ่งปลูกข้าวกินเองที่นั่น โดยใช้ชื่อ "ไร่อุดมสุข" ตามชื่อของมารดา จากพื้นที่ 100 กว่าไร่ นอกจากมีผืนนา 17 ไร่แล้ว เขาปลูกพืชไว้หลากหลายชนิด เช่น พริก ลิ้นจี่ ลำไย และเห็ดหอม เป็นต้น เขาและเกรียงไกร แมคอินไตย์ พี่ชาย ทำการเกษตรเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน เช่น มีการปลูกและแจกจ่ายพริกพันธุ์ดีให้กับชาวบ้าน เป็นตัวอย่างในการฟื้นฟูต้นลิ้นจี่ ลำไย การสนับสนุนให้มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และสามารถยืดอายุการเก็บรักษาด้วยการสร้างโรงอบแห้งขึ้นมาบริการแก่ชาวบ้าน การแนะนำให้ชาวบ้านได้มีความรู้ในเรื่องดิน โดยการติดต่อนักวิชาการมาให้ความรู้ในเรื่องการตรวจสภาพดิน การให้ชาวบ้านรู้จักทำปุ๋ย คิดสูตรปุ๋ย ปลูกพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการผลิต ผลผลิตจากไร่อุดมสุขของเขาที่สำคัญ คือการทำเห็ดหอม โดยมีอาจารย์ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ เป็นที่ปรึกษา นอกจากครอบครัวทางสายเลือดของธงไชย เขามีคุณพ่อบุญธรรม คือ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ซึ่งเขานับถืออย่างสูง และเรียกว่า "ท่านพ่อ" จึงเป็นที่มาของคำเรียกขานธงไชยว่า "ชายเบิร์ด" ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม กล่าวถึงธงไชยว่าเขาเป็นนักสร้างบ้านให้แม่ "เขานำเงินที่ได้ไปสร้างบ้านเป็นงานหลัก เขาซื้อบ้านใบไม้ซึ่งมีเรือนไม้เรือนไทยสำหรับแม่ เขามีบ้านศรีราชา มีบ้านที่เชียงราย มีบ้านที่สวิส เป็นต้น ว่างเมื่อไหร่เขาจะพาแม่ไปเที่ยวตามบ้านที่ตัวเองปลูก และยังเผื่อแผ่ให้พี่ๆ น้องๆ ด้วย"ความนิยม ความนิยม. ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นศิลปินคนแรกของแกรมมี่ที่ทำยอดขายอัลบั้มเกินสองล้านตลับ และมีสตูดิโออัลบั้มเดี่ยวที่ล้านตลับมากที่สุด 7 ชุด โดยเฉพาะอัลบั้มชุดรับแขก ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเพลงไทยสากล สร้างยอดขายเทป 5 ล้านตลับ เป็นนักร้องคนแรกและคนเดียวที่สร้างสถิตินี้ทำให้เขาเป็นศิลปินที่มียอดขายรวมทุกชุดสูงที่สุดตลอดกาล สำหรับอัลบั้มเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายเกิน 1 ล้านตลับ จากการเรียกรายงาน SAP Report ได้แก่ บูมเมอแรง พริกขี้หนู ธ.ธง ธงไชย เซอร์วิส ตู้เพลงสามัญประจำบ้าน สไมล์คลับ ชุดรับแขก นอกจากนั้นเขามีอัลบั้มพิเศษที่มียอดเกิน 1 ล้านตลับ เช่น เบิร์ด-เสก ขนนกกับดอกไม้ ร้อยเพลงรักไม่รู้จบ เป็นต้น และในช่วงปี พ.ศ. 2550 - 2559 เขามีอัลบั้มใหม่ 2 อัลบั้ม โดยอัลบั้มอาสาสนุก มียอดจำหน่ายและยอดดาวโหลดสูงสุดแห่งปีสื่อบันเทิงไทย สื่อบันเทิงไทย. หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ยกให้ธงไชยเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบ 30 ปีของ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และเป็นศิลปินรายได้สูงสุดตลอดกาล และยกย่องให้เขาเป็น "ผู้ทรงอิทธิพลของวงการบันเทิงไทย" เช่น หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่ อีกทั้งหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น ยกให้เป็น "ผู้ทรงอิทธิพลของไทยในรอบ 35 ปี และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ยกให้เป็น "ผู้ทรงอิทธิพลของไทยในรอบ 15 ปี" โดยเป็นศิลปินหนึ่งเดียวจากทุกสาขาอาชีพ นิตยสาร Request ยกให้เป็นหนึ่งใน “ดาราแห่งศตวรรษ” เป็นต้น โดยผลงานที่สร้างปรากฏการณ์ของธงไชย เช่น ในปี พ.ศ. 2530 ผลงานชุดที่ 2 อัลบั้ม สบาย สบาย เพลงที่โดดเด่นในอัลบั้มนี้คือเพลง "สบาย สบาย" ถูกจัดให้เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 เขารับบทนายทหารญี่ปุ่นในละครคู่กรรม ซึ่งละครดังกล่าวสร้างปรากฏการณ์เรตติ้งละครสูงสุดของประเทศไทย เรตติ้ง 40 และในปีเดียวกันเขาเป็นนักร้องแกรมมี่คนแรกที่มียอดจำหน่ายเทปขายมากกว่า 2 ล้านตลับ อัลบั้ม บูมเมอแรง และต่อเนื่องด้วยอัลบั้ม พริกขี้หนู ถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดอันดับ 1 "อัลบั้มแห่งทศวรรษ" ในรอบ 10 ปี มียอดขายเกิน 3 ล้านตลับ และในปีเดียวกันมีคอนเสิร์ตที่มีจำนวนรอบสูงสุดของศูนย์วัฒนธรรม คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ 1991 ในปี พ.ศ. 2545 อัลบั้มชุดรับแขก ซึ่งสร้างสถิติยอดจำหน่ายเทปสูงสุดของไทยมากกว่า 5 ล้านชุด และเมื่อรวมวีซีดีแล้วมียอดขายมากกว่า 8 ล้านชุด โดยในช่วงแรกสร้าง BREAK RECORD สู่ 3 ล้านชุด และจากรายงานฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ณ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งรวมระยะเวลาไม่ถึงสองเดือนนับจากวันวางจำหน่าย พบว่าอัลบั้มดังกล่าวประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างรายได้ 200 ล้านบาท และจากการสำรวจความนิยมของคนกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2545 ของกรุงเทพโพลล์ พบว่าเพลงยอดนิยม คือ เพลงแฟนจ๋า รองลงมาคือเพลงมาทำไม และในปี พ.ศ. 2547 เขามีอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงสุดแห่งปี อัลบั้ม "เบิร์ด-เสก" ยอดจำหน่าย 2 ล้านชุดโดยเพลงเด่น “อมพระมาพูด” และอัลบั้มดังกล่าวถูกยกให้เป็นเพลงแห่งปี และอัลบั้มขายดีแห่งปี พ.ศ. 2547 ในปี พ.ศ. 2551 เขามีคอนเสิร์ตที่สร้างปรากฏการณ์จำนวนรอบสูงสุดของอิมแพคอารีน่า คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 9 สร้างสถิติผู้ชม 120,000 คน จำนวน 12 รอบการแสดง ในปี พ.ศ. 2554 เขามี อัลบั้มที่มียอดดาวโหลดเพลงสูงสุดแห่งปี อัลบั้มอาสาสนุก โดยเพลงเด่น "ทูมัชโซมัชเวรีมัช" และเพลง "อยู่คนเดียว" ได้รับการจัดให้เป็นเพลงสุดฮิตแห่งปี และมีคอนเสิร์ตเบิร์ดอาสาสนุก มีจำนวนผู้ชมสูงสุดแห่งปี 8 รอบการแสดง 80,000 ผู้ชม ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นคอนเสิร์ตฟอร์มร้อนแรงที่สุดแห่งปี และต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2555 เขามีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ครั้งที่ 10 ที่มีผู้ชมสูงสุดจากการจำหน่ายบัตรต่อเนื่องในคราวเดียวเต็มทุกที่นั่ง 1 แสนใบ เป็นต้น นอกจากผลงานในอัลบั้มของธงไชยแล้ว เขามีบทเพลงเฉลิมพระเกียรติหลายบทเพลงที่เป็นที่ชื่นชอบ เช่น การสำรวจเพลงศิลปินเพื่อพ่อในความชื่นชอบของสาธารณชนที่สุดฯโดยชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 พบว่า เพลงที่ชื่นชอบของสาธารณชนที่สุดเป็นลำดับแรก ได้แก่ "ต้นไม้ของพ่อ" และเพลงอื่น ๆ ของเขา ได้แก่ "พระราชาผู้ทรงธรรม" "ตามรอยพระราชา" และ "เหตุผลของพ่อ" และจากการจัดอันดับบทเพลงของพ่อที่มีการดาวโหลดเป็นเพลงรอสายสูงสุดลำดับแรก ได้แก่ พระราชาผู้ทรงธรรม และเพลงอื่น ๆ ของเขา ได้แก่ "ต้นไม้ของพ่อ" "เหตุผลของพ่อ" และ"รูปที่มีทุกบ้าน" เป็นต้นสื่อบันเทิงต่างประเทศ สื่อบันเทิงต่างประเทศ. นิตยสาร เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ยกให้ธงไชยเป็นศิลปินนักร้องผู้ทรงอิทธิพลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทย และเป็นระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย นอกจากนั้นได้รับการโหวตจากนักวิจารณ์ทั่วโลกและเหล่านักแสดงเอเชีย ให้เป็น 1 ใน 20 ผู้ทรงอิทธิพลของเอเชีย ในปี พ.ศ. 2551 นอกจากนั้นในปี พ.ศ. 2552 ยังเป็น 1 ใน 3 ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มสูงสุดในเอเชีย ด้วยยอดจำหน่ายอัลบั้ม 25 ล้านชุด จากผลการจัดอันดับของนิตยสารฟอบส์ และปี พ.ศ. 2556 NHK ของประเทศญี่ปุ่น ยกให้ธงไชยเป็น "ผู้นำของเพลงป๊อบของไทย" ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ออกอัลบั้มแรก จนถึงปัจจุบันยาวนานมากกว่า 20 ปี ผลตอบรับจากงานอัลบั้ม และยอดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ต ถือเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของไทยอย่างแท้จริงโดยปี พ.ศ. 2556 ธงไชยได้รับเกียรติจากประเทศญี่ปุ่นแกะสลักน้ำแข็งเหมือนตัวจริงของเขา ตั้งโชว์ที่งานเทศกาลหิมะซัปโปะโระ ครั้งที่ 64 และปี พ.ศ. 2557 ขณะที่เขาไปถ่ายทำละครที่ญี่ปุ่น Saga Film Commission สื่อประเทศญี่ปุ่น ยกให้ธงไชยเป็นไมเคิล แจ็คสัน ของเมืองไทย เป็นต้น และในปีดังกล่าวเขามีรายชื่อเข้าชิงรางวัลระดับโลก World Music Awards ถึง 3 รางวัล พิจารณาจากยอดขายทั่วโลกรางวัลเกียรติยศเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญ โล่ ปริญญาบัตร รางวัลเกียรติยศ. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญ โล่ ปริญญาบัตร. ปี พ.ศ. 2534 ธงไชยได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.) สำหรับพระราชทานแก่ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการ ปี พ.ศ. 2545 รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ (ดนตรีสากล) จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี งานพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีสากล และประสบความสำเร็จในอาชีพ ปี พ.ศ. 2548 รับพระราชทานเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ง.ภ.) สำหรับพระราชทานแก่ให้แก่บุคคลที่ช่วยเหลือผู้ประสบธรณีพิบัติภัย “สึนามิ”ปี พ.ศ. 2555 รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณชั้นที่ 1 จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปี พ.ศ. 2555 รับประทานโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา จาก สมเด็จพระวันรัต ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชในมหามงคลวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชทรงเจริญพระชนมายุ 99 พรรษา และรับประทานโล่ คนดี คิดดี สังคมดี ตามรอยพระยุคลบาท จากฯพณฯ อำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช ในงานประทานโล่รางวัลเกียรติยศ “พระกินรี” ครั้งที่ 3รางวัลในฐานะพิธีกร นักพากย์ รางวัลในฐานะพิธีกร นักพากย์. ในช่วงแรกที่เข้าวงการบันเทิง ธงไชยรับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการ 7 สีคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นรายการคอนเสิร์ตถ่ายทอดสด เขาได้รางวัลผู้ดำเนินรายการดีเด่นชาย จากงานประกาศผลรางวัลเมขลา ปี พ.ศ. 2529 และในฐานะนักพากย์ เขาพากย์เสียง "พี่เบิร์ด" ซึ่งเป็นการ์ตูนแอนนิเมชั่นเรื่องแรกของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ได้ธงไชยเป็นต้นแบบ ในเรื่อง เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ เขาได้รางวัลร่วมกับทีมงาน รางวัลทีมพากย์การ์ตูนดีเด่น จากงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นรางวัลในฐานะนักแสดง รางวัลในฐานะนักแสดง. ธงไชยแสดงภาพยนตร์ไทยทั้งหมด 7 เรื่อง โดยบทบาทสำคัญในการก้าวสู่การเป็นพระเอกภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ในปี พ.ศ. 2528 จากภาพยนตร์ เรื่อง ด้วยรักคือรัก ส่วนด้านละครเรื่องแรกเขาเริ่มจากบทบาทนักแสดงสมทบในละครน้ำตาลไหม้ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้แสดงสมทบยอดเยี่ยม สำหรับบทบาทพระเอกละครที่สร้างชื่อเสียงที่สุด ในปี พ.ศ. 2533 ละครคู่กรรม ออกอากาศทางช่อง 7 สร้างประวัติศาตร์ละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของไทย เรตติง 40 จากการสวมบทบาทเป็น "โกโบริ" ทำให้เขาได้รับรางวัลใหญ่ในยุคนั้นทั้ง 2 รางวัล คือ รางวัลนักแสดงนำชายดีเด่น จากงานประกาศผลรางวัลเมขลา ครั้งที่ 10 และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 5 และในปี พ.ศ. 2536 เขากลับมาเล่นละครอีกครั้งในละคร วันนี้ที่รอคอย ซึ่งเป็นละครสร้างชื่อเสียงอีกเรื่องหนึ่งของเขาในบทบาท เจ้าซัน เขาได้รับรางวัลดารานำชายดีเด่น จากประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 8 และในปี พ.ศ. 2538 เขากลับมารับบทบาท โกโบริ อีกครั้งในภาพยนตร์คู่กรรม ซึ่งเป็นอีกปรากฏการณ์ที่นักแสดงกลับมารับบทบาทเดียวกันถึง 2 ครั้ง เขาได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศผลรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ประจำปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นรางวัลในฐานะนักร้อง รางวัลในฐานะนักร้อง. ธงไชยก่อนเข้าวงการเพลง เขาได้รับรางวัล "นักร้องดีเด่น" และรางวัลพิเศษจากคณะกรรมการอีก 2 รางวัล จากการเข้าร่วมประกวดร้องเพลงชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย สยามกลการ จัดโดยสยามกลกาลมิวสิกฟาวเดชั่น และเมื่อเข้าวงการเพลงเขามีอัลบั้มเต็ม 16 อัลบั้ม และอัลบั้มพิเศษต่าง ๆ รวมแล้วมียอดจำหน่ายมากกว่า 25 ล้านชุด โดยมียอดจำหน่ายอัลบั้มสูงสุดของประเทศไทย และติด 1 ใน 3 ศิลปินที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มสูงสุดตลอดกาลของเอเชีย โดยอัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงที่สุด ในปี พ.ศ. 2533 อัลบั้มบูมเมอแรง สร้างประวัติศาสตร์ยอดจำหน่าย 2 ล้านตลับแรกของศิลปินชาย และต่อเนื่องด้วยการทำลายสถิติของเขาเองในปี พ.ศ. 2534 อัลบั้มพริกขี้หนู ยอดจำหน่าย 3 ล้านตลับ สูงที่สุดแห่งยุค ยกให้เป็นอัลบั้มแห่งทศวรรษที่มีรายได้สูงสุด ในปี พ.ศ. 2545 อัลบั้ม ชุดรับแขก สร้างประวัติศาสตร์ยอดจำหน่ายซีดีเพลงสูงสุดของไทย รวมวีซีดีคอนเสิร์ตแล้วมียอดจำหน่ายมากกว่า 8 ล้านชุด ด้านการแสดงคอนเสิร์ต ธงไชยมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบที่สำคัญ คือ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ อีกทั้งมีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบอื่น ๆ ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดยในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา มีผู้ซื้อบัตรเข้าชมแล้วประมาณ 2 ล้านคน โดยในปี พ.ศ. 2545 เขารับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ (ดนตรีสากล) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีสากล และประสบความสำเร็จในอาชีพ และเขาได้รับรางวัลจำนวนมาก ทั้งรางวัลประเภทบุคคล ประเภทผลงานเพลง มิวสิกวีดีโอ อัลบั้ม และคอนเสิร์ต รางวัลประเภทบุคคล นักร้องยอดนิยมจากการประกาศรางวัล Billboard Viewer's Choice Awards 1997 ณ สหรัฐ ซึ่งเป็นคนแรกของทวีปเอเชีย รางวัลนักร้องยอดนิยมจากสื่อบันเทิงต่าง ๆ เช่น จากสมาคมนักข่าวบันเทิง งานสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ธงไชยได้รับ 2 ครั้งคน จากหนังสือพิมพ์สยามดารา งานสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ ธงไชยได้รับ 2 ครั้ง จากนิตยสาร Oops จากนิตยสารทีวีพูล งานท็อปอวอร์ด ธงไชยได้รับถึง 6 ครั้ง จากสมาคมนักข่าวบันเทิง เป็นต้น รางวัลพิเศษต่างๆ รางวัล Favorite Artist Thailand ณ ประเทศสิงคโปร์ จากผลรางวัลเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส ครั้งที่ 3 รางวัลศิลปินไทยแห่งปี เว็บไซต์ พันทิป.คอม รางวัลพิเศษ Inspiration Award จาก เอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส และ Achievement Awards สำหรับศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งปี จากคลื่นวิทยุ Virgin Hitz 95.5 เกียรติบัตร Male Artist of The Year จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับบริษัท ดิจิตอล แอสโซ-ซิเอทส์ จำกัด รางวัล Hottest Male Artist และรางวัล SEED Hall of fame จากคลื่นวิทยุ Seed 97.5รางวัลนักร้องชายแห่งปี จากรายการไนน์เอ็นเตอร์เทน รางวัลเกียรติยศ Lifetime Achievement Award สำหรับุคคลที่มีผลงานโดดเด่น และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคม จากงานประกวด เคพีเอ็น อวอร์ด รางวัลเกียรติยศแห่งปี Joox Icon Award จากงาน JOOX Thailand Music Awards พ.ศ. 2561 เป็นต้น รางวัลประเภทมิวสิกวิดีโอ อัลบั้ม คอนเสิร์ต โดยธงไชยได้รับรางวัลจาก แชนแนลวีไทยแลนด์ หลายรางวัล เช่น รางวัลมิวสิกวีดีโอศิลปินชายยอดนิยม ในเพลง "เล่าสู่กันฟัง" อัลบั้มสไมล์คลับ เพลง "แฟนจ๋า" อัลบั้มชุดรับแขก เพลง "โอ้หละหนอ My love" อัลบั้มวอลุม วัน เพลง "ทูมัชโซมัชเวรีมัช" อัลบั้ม อาสาสนุก เป็นต้น โดยเพลง "แฟนจ๋า" และเพลง "โอ้หละหนอ My love" นอกจากได้รับรางวัลมิวสิกวีดีโอยอดนิยมแล้วยังได้รับรางวัลมิวสิกวีดีโอยอดเยี่ยมด้วย จากแชนแนลวีไทยแลนด์ และจากคลื่นวิทยุ FAT radio 104.5 และยังได้รับรางวัลพิเศษมิวสิควิดีโอดีเด่นเพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" จากชมรมส่งเสริมโทรทัศน์ ผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ เป็นต้น สำหรับ รางวัลประเภทอัลบั้ม เช่น รางวัลพิเศษอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอัลบั้ม บูมเมอแรง มอบโดยบริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตเครื่องดื่มโค้ก ประเทศไทย รางวัลอัลบั้มเพลงป๊อบยอดเยี่ยม ชุดรับแขก จากนิตยสาร HAMBURGER สำหรับรางวัลประเภทคอนเสิร์ต รางวัลพิเศษไทยประดิษฐ์จากคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ จากแชนแนลวีไทยแลนด์ เป็นต้น รางวัลประเภทผลงานเพลง ซึ่งธงไชยได้รับจากซิงเกิลอัลบั้ม ภาพยนตร์ และละคร เช่น รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในเพลง "สบาย สบาย" จากภาพยนตร์หลังคาแดง ในงานประกาศผลรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ และเพลง "เธอคนเดียว" จากภาพยนตร์คู่กรรม งานประกาศผลรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี เพลงสร้างสรรค์พิเศษเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” จากผลรางวัลพระพิฆเนศทอง รางวัลเพลงนำละครดีเด่น เพลง "นิรมิต" จากละครนิรมิต งานประกาศผลรางวัลเมขลา รางวัลเพลงยอดเยี่ยม ซึ่งได้รับจากนิตยสารสีสันต์ ในบทเพลง "เล่าสู่กันฟัง"และเพลง "น้ำตา" สำหรับเพลง "จะได้ไม่ลืมกัน" ประกอบภาพยนตร์ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว ได้รับรางวัลเพลงประกอบจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี จากผลรางวัลเฉลิมไทยอวอร์ด และรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ รางวัลเพลงเต้นตายเพลง "ทูมัชโซมัชเวรีมัช" จากรายการ Bang Channel รางวัลเพลงยอดนิยมเพลง "อย่าทำอย่างนี้ไม่ว่ากับใครเข้าใจไหม" จาก Intensive Watchรางวัลท็อปดาวโหลดเพลง "คนแพ้ที่ไม่มีน้ำตา" เป็นต้นรางวัลประเภทภาพลักษณ์ รางวัลประเภทภาพลักษณ์. สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยได้ให้ฉายากับธงไชย คือ "ดาวค้างกรุ" ในปี พ.ศ. 2548 และ "ป๋าพันปี" ในปี พ.ศ. 2550 เนื่องจากไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปียังคงดังทนดังนานเหมือนเดิม เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับวงการบันเทิง นอกจากนั้นสื่อมวลชนยังให้สมญาณามกับเขาอีกมากมาย เช่น ซุปเปอร์สตาร์ตลอดกาล ดาวค้างฟ้าขวัญใจมวลชน ราชันแห่งวงการบันเทิง ซุปเปอร์สตาร์ never die เป็นต้น โดยธงไชยได้รับรางวัลที่สะท้อนทางด้านภาพลักษณ์หลายรางวัล เช่น จากนิตยสาร ทีวีพูล นอกจากเขาจะได้รับรางวัลในฐานะนักร้องจากรางวัลท็อปอวอร์ด ทั้ง 6 ครั้งที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว เขายังได้รับรางวัลประเภทภาพลักษณ์จากงาน ทีวีพูลสตาร์ปาร์ตี้อวอร์ดส์ อีกจำนวน 5 ครั้ง ได้แก่ รางวัลศิลปินในดวงใจ รางวัลขวัญใจประชาชน และเขาได้รับรางวัลสตาร์ไอดอล เป็นต้น และเขาได้รับรางวัลจากนิตยสาร In Magazine รางวัลดาวค้างฟ้าชายแห่งปี 3 ครั้ง และได้รับรางวัลพิเศษที่สุดในดวงใจศิลปิน จากผลรางวัลพิเศษ Gmember ซึ่งธงไชยได้รับ 2 ครั้ง เป็นต้นอนุสรณ์ อนุสรณ์. ปี พ.ศ. 2553 ธงไชยประทับฝ่ามือลานเกียรติยศดาราไทย ดวงที่ 100 เพื่อเป็นอนุสรณ์ถาวรและแหล่งเรียนรู้สาธารณะ จัดโดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ถนนพุทธมณฑล สาย 5 อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อเข้าเยี่ยมชมโรงภาพยนตร์ศรีศาลายา ซึ่งเป็นสถานที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ภาพยนตร์ต่างๆ ที่หอภาพยนตร์ฯ จัดเก็บอนุรักษ์ไว้ โดยร่วมประทับรอยพิมพ์มือ-พิมพ์เท้า ณ ลานดารา ซึ่งเป็นบริเวณสำหรับให้ดาราภาพยนตร์ไทยยอดนิยมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้ประทับรอยพิมพ์มือ-พิมพ์เท้าไว้เป็นอนุสรณ์ ซึ่งลานดาราแหล่งนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ลานดารากลางแจ้งแห่งเดียวในประเทศไทยสืบไป ซึ่งธงไชยเป็นดาราที่มาร่วมประทับรอยเป็นลำดับที่ 100 ส่วนโดม สุขวงศ์ ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ องค์การมหาชน เปิดเผยว่า “ถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ คือธงไชยอยู่ในใจของคนไทยทุกคนทุกวัย สร้างความสุขให้กับทุกบ้าน การที่เขามาที่นี่ก็เป็นการนำเอาความสุขมาประทับรอยจารึกไว้ เราจะรักษาสืบไปอาจจะเป็น 100 ปีข้างหน้า จะเป็นตำนาน เป็นความทรงจำอย่างหนึ่ง เป็นประวัติศาสตร์ เป็นจดหมายเหตุอย่างหนึ่ง”
| เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องชาวไทยเกิดเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2501"
],
"answer_begin_position": [
144
],
"answer_end_position": [
148
]
} |
2,003 | 487,956 | ซง จุง-กี ซง จุง-กี (; เกิด 19 กันยายน พ.ศ. 2528) เป็นนักแสดงชาวเกาหลีใต้ เริ่มมีชื่อเสียงจากการแสดงซีรีส์ย้อนยุคเรื่อง บัณฑิตหน้าใส หัวใจว้าวุ่น และจากการเป็นพิธีกรรายการปกิณกะบันเทิงรันนิ่งแมน ซงได้แสดงบทนำในซีรีส์เรื่องแรกของเขาในปี 2555 คือ The Innocent Man และยังได้แสดงภาพยนตร์ที่ทำรายได้อย่างสูงเรื่อง วูฟบอย ภายหลังจากปลดประจำการ เขาได้รับบทนำในละครที่ได้รับความนิยมทั่วเอเชียเรื่อง ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ ละครเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมสูงมาก โดยได้รับเรตติงในตอนจบทั่วประเทศสูงถึง 38.8% และในเขตเมืองหลวง 41.6% จากข้อมูลของเนลสันเกาหลี จากความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นทั่วทั้งเกาหลีและเอเชีย ทำให้เขามีชื่อเสียงในระดับฮันรยู และจากละครเรื่องนี้ทำให้ซงได้พบรักกับ ซง ฮเย-กโย นักแสดงซึ่งรับบทเป็นนางเอกของละครเรื่องนี้ โดยก่อนหน้านี้ต้นสังกัดของทั้งคู่ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้โดยตลอดแต่ก็ยังมีผู้จับภาพทั้งสองออกเดทและออกท่องเที่ยวด้วยกัน กระทั่งวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 Blossom Entertainment และ UAA ต้นสังกัดของทั้งคู่ ออกแถลงการณ์ว่าทั้งสองมีแผนจะเข้าพิธีมงคลสมรส ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2541ชีวิตช่วงแรก ชีวิตช่วงแรก. เมื่อตอนที่ซง จุง-กี เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเขาได้เข้าแข่งขันวิ่งสเกตแทร็กระยะสั้นระดับประเทศ โดยเป็นตัวแทนของแทจ็อน ซงมีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับชาติถึงสามครั้งและชนะเลิศในการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ ในปีแรกของการศึกษาในชั้นมัธยมปลาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาก็ต้องออกจากวงการกีฬา เพราะฉะนั้นเขาจึงให้ความสนใจในเรื่องการเรียนของเขา ต่อมาซงก็ได้แสดงละครในบทบาทของนักสเกตน้ำแข็งทีมชาติในซีรีส์เรื่อง Triple เพราะความที่เขามีบุคลิกลักษณะเป็นคนขี้อาย พ่อแม่ของเขาจึงส่งเขาเข้าไปเรียนในชั้นเรียนต่าง ๆ ประกอบไปด้วย ชั้นเรียนการแสดง เพื่อที่จะเพิ่มพูนทักษะทางด้านการเข้าสังคมของเขา ในระหว่างที่เขาศึกษาอยู่ชั้นปีที่สองในมหาวิทยาลัย ในสาขาบริหารธุรกิจที่เขาเรียน การเรียนของเขาก็เริ่มมีปัญหาเมื่อตอนที่เขาเข้าสู่การแสดงอย่างจริงจัง เขาปรากฏตัวครั้งแรกในวงการโทรทัศน์ในฐานะเป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการ Quiz Korea ของช่องเคบีเอส และได้เข้าไปถึงรอบสุดท้าย (แต่ไม่ได้เป็นผู้ชนะ) และเขายังเป็นแบบขึ้นปกในนิตยสาร College Tomorrowอาชีพ อาชีพ. ซงเริ่มต้นงานด้านการแสดงในปี 2551 ในภาพยนตร์แนวพีเรียตเรื่อง อำนาจ ราคะ ใครจะหยุดได้ (A Frozen Flower) ในปีต่อมาเขาก็ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เกี่ยวกับหนังสั้น 5เรื่อง หลากรสเกี่ยวกับความรักแนวอีโรติคเรื่อง สัมผัสรัก ร้อน ซ่อน เร้น (Five Senses of Eros) และต่อด้วยการได้รับบทบาทเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่ตัวละครสำคัญในเรื่อง Triple และ อธิษฐานรัก ณ ปลายหนาว นอกจากนี้ เขายังได้เป็นพิธีกรประจำในรายการเพลงวันศุกร์ของช่องเคบีเอสในรายการ มิวสิกแบงก์ ปี 2552 ถึงปี 2553 และเป็นสมาชิกในรายการปกิณกะบันเทิงทางช่องเอสบีเอส ในรายการ รันนิ่งแมน ปี 2553 ถึงปี 2554 ภายหลังจากได้แสดงละครเกี่ยวกับการแพทย์ในปี 2553 เรื่อง OB/GYN Doctors, และภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์เรื่อง Hearty Paws 2, ซงได้เขียนหนังสือ Beautiful Skin Project ซึ่งเป็นหนังสือขายดีเกี่ยวกับสุขภาพและความงามสำหรับผู้ชาย ในที่สุดบทบาทเกี่ยวกับผู้มั่งคั่งในศตวรรษที่ 18 ของสมัยโชซอน เพลย์บอยในเรื่อง บัณฑิตหน้าใส หัวใจว้าวุ่น (Sungkyunkwan Scandal) ทำให้ซงเฉิดฉายความเป็นดาราพร้อมกับนักแสดงหนุ่มสาวในเรื่องนี้ ในปลายปีพ.ศ. 2553 ซง จุง-กี ได้ขี่รถจักรยานเดินทางไปรอบ ๆ ซิดนีย์, ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งออกอากาศสองตอนทางโทรทัศน์ในรายการ ELLE at TV 'Star Velo และได้มีการถ่ายแฟชั่นให้กับนิตยสาร ELLE ด้วย ยิ่งกว่านั้น ทีวีสเปเชียลของจุง-กี ทริปที่ไปญี่ปุ่นก็ตั้งชื่อว่า I'm Real: Song Joong-ki ออกอากาศเป็น 2 พาร์ทในช่วงต้นปี 2554 ในปี 2554 ซง จุง-กีได้รับบทบาทเป็นพิธีกรในรายการออดิชัน 'Made in U' ซงได้รับบทบาทเป็นหนุ่มตกงานและหนีหนี้ในภาพยนตร์โรแมนติกคอมมิดีแห่งปี 2554 เรื่อง หนุ่มหน้าใสกับยายจอมงก (Penny Pinchers) การแสดงของเขาเรียกว่าเป็นไปได้อย่างไหลลื่นจาก ตลกโปกฮาสู่การแสดงอย่างมีเสน่ห์ดึงดูด, เป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรงจนสาว ๆ ยอมสลบให้กับการมีพัฒนาการของเขาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะปรากฏตัวในละครเรื่อง Deep Rooted Tree เพียงแค่ 4 ตอน แต่นักวิจารณ์ก็ได้ชื่นชมจากการที่เขาแสดงเป็นพระเจ้าเซจงมหาราชในวัยหนุ่มโดยเรียกว่าการแสดงของอัจฉริยะผู้ซึ่ง "เข้าใจการไร้ประโยชน์ของอำนาจในช่วงต้นของชีวิต" และซุกซ่อนปกปิดในหนังสือของเขาเพื่อจัดการกับการพัฒนาขึ้นภายใต้อำนาจของทรราชย์ พระเจ้าแทจง พระบิดา จากรายการของช่องเอ็มบีซี รายการ Tears of the Earth ซึ่งเจาะลึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ ซง จุง-กีได้บรรยายสารคดีเรื่อง Tears of the Antarctic 6 ตอน โดยเขาได้บริจาคเงินจากการพากษ์ทั้งหมดให้แก่ผู้ยากไร้ และเขายังเป็นนักพากย์ในซีรีส์ที่นำกลับมาทำใหม่และออกฉายในโรงภาพยนตร์เรื่อง Emperor Penguins Peng-yi and Som-yi ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ซง จุง-กีได้ออกทัวร์ไป 6 ประเทศในทัวร์ที่มีชื่อว่า Song Joong-ki Asia Fan Meeting Tour - THRILL & LOVE ซึ่งเป็นงานพบปะแฟน ๆ ของเขาซึ่งจัดขึ้นในประเทศ ไทย, สิงคโปร์, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวันและโซล, เกาหลีใต้ ซง จุง-กีได้เล่นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี โรแมนติก ทริลเลอร์เรื่อง A Werewolf Boy ซึ่งฉายครั้งแรกในงาน เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต 2012 ในการเตรียมตัวเพื่อแสดงในเรื่องนี้เขาได้ดูสารคดีธรรมชาติและสังเกตสุนัขเร่ร่อนบนท้องถนนเพื่อที่จะเลียนแบบการเคลื่อนไหวร่างกายของสัตว์เหล่านั้น นอกจากนี้เขายังดู กอลลัม ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์, ภาพยนตร์ของ แมต รีฟส์ เรื่อง Let Me In และ หนังโรแมนติกแฟนตาซีของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง เอ็ดเวิร์ด มือกรรไกร. อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์เริงรมย์ของเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล โดยมีการซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมมากกว่า 7 ล้านใบ The Innocent Man (หรือชื่อ Nice Guy) เป็นครั้งแรกที่ซงเล่นซีรีส์ในบทนำ ความเชื่อมั่นของเขาและบทบาทตัวเอกปฏิลักษณ์ (หรือ แอนตีฮีโร) ได้รับการวิจารณ์อย่างยอดเยี่ยม The Innocent Man ดึงดูดผู้ชมจนมีเรตติ้งละครสูงและได้รับการวิจารณ์ไปในทางบวก ซึ่งประกอบกับที่เขาได้แสดงภาพยนตร์ที่มียอดรายได้สูงเรื่อง A Werewolf Boy ซึ่งเป็นตัวเชื่อมภาพลักษณ์ของเขาทั้งในจอเงินและจอแก้ว และซงยังได้กล่าวว่า เขาอยากจะเป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากกว่าที่จะเป็นเพียงแค่นักแสดงที่ได้รับความนิยมเท่านั้น และมีการวางแผนในอนาคตอย่างไม่รีบร้อนในการหาประสบการณ์อย่างต่อเนื่องอย่างที่เขาเป็นมาก่อน ในปัจจุบัน ซง จุง-กี เข้ารับการเกณฑ์ทหารโดยประจำการที่กรมทหารกองหนุน 102 เมืองชุนชอน ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556 โดยก่อนที่เข้าจะเกณฑ์ทหาร เขาได้จัดแฟนมีตติ้งในวันที่ 17 สิงหาคม และเขาได้รับการปลดประจำการเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558ผลงานภาพยนตร์ละครโทรทัศน์รายการทางโทรทัศน์มิวสิกวีดิโอหนังสือหนังสือ. - 2553: "피부미남 프로젝트" (Beautiful Skin Project)ผลงานเพลงผลงานเพลง. - 2555: "정말" (Really) -The Innocent Man OSTรางวัลและการเข้าชิง
| ซง จุง-กี นักแสดงชายชาวเกาหลีใต้สมรสกับใคร | {
"answer": [
"ซง ฮเย-กโย"
],
"answer_begin_position": [
758
],
"answer_end_position": [
768
]
} |
2,004 | 21,256 | วอชิงตัน ดี.ซี. กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. () มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย () มักเรียกทั่วไปว่า กรุงวอชิงตัน (Washington) หรือ ดี.ซี (D.C.) เป็นเมืองหลวงของสหรัฐ ก่อตั้งขึ้นเมื่อภายหลังจากการปฏิวัติอเมริกา โดยชื่อ วอชิงตัน มาจากชื่อของจอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก และบิดาผู้ก่อตั้งประเทศคนหนึ่ง วอชิงตันเป็นนครหลักนครหนึ่งของเขตมหานครวอชิงตัน (Washington Metropolitan Area) โดยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในวอชิงตันจำนวนประมาณ 6,131,977 คน โดยวอชิงตันได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของโลก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลางสหรัฐและสถาบันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศจำนวนมากเช่น ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น กรุงวอชิงตันเป็นนครที่นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดนครหนึ่งในโลก โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมวอชิงตัน ปีละประมาณ 20 ล้านคน การลงนามรัฐบัญญัติที่ตั้งในสหรัฐ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 มีเนื้อหาสาระสำคัญในการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย กล่าวคือ อนุมัติการจัดตั้งเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโปโตแมคบนชายฝั่งตะวันออกของประเทศ โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐได้ให้ไว้สำหรับเขตปกครองของรัฐบาลกลาง ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐสภา และเขตไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐใด สำหรับเขตที่ดินของรัฐบาลกลางในรัฐแมริแลนด์และรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นรัฐข้างเคียงของเขตปกครองพิเศษโคลอมเบียนั้น เป็นที่ดินของประชาชนที่บริจาคเพื่อจัดตั้งเป็นเขตการปกครองของรัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงการตั้งถิ่นฐานที่มีอยู่ก่อนหน้าของจอร์จทาวน์และอเล็กซานเดรียเมืองวอชิงตันเริ่มทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2334 เพื่อเป็นที่ตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ของสหรัฐ วอชิงตัน ดี.ซี. มีประชากรประมาณ 693,972 คน (ข้อมูลเมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2560) โดยผู้เดินทางจากเมืองแมรีแลนด์และเวอร์จีเนียจะเพิ่มจำนวนประชากรในเมืองมากขึ้นถึงหนึ่งล้านคนในระหว่างวันทำงาน พื้นที่มหานครวอชิงตันซึ่งเป็นเมืองสำคัญของเมืองมีประชากรมากกว่า 6 ล้านคนซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่หกในประเทศ ทั้งสามอำนาจของรัฐบาลกลางสหรัฐมีศูนย์กลางอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทั้งรัฐสภาสหรัฐ (อำนาจนิติบัญญัติ) ประธานาธิบดี (อำนาจบริหาร) และศาลสูงสุดสหรัฐ (อำนาจตุลาการ) วอชิงตันยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ชาติหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่เป็นส่วนใหญ่โดยรอบเนชันแนลมอลล์ (National Mall) วอชิงตันมีสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศจำนวน 177 ประเทศ รวมทั้งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรระหว่างประเทศ สหภาพการค้า องค์กรไม่แสวงผลกำไร กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ และสมาคมวิชาชีพหลายแห่ง ทั้งนี้ กรุงวอชิงตันยังเป็นที่ตั้งขององค์กรนานารัฐอเมริกัน สมาคมผู้เกษียณอายุเมริกัน สมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ฮิวแมนไรตซ์แคมเปญ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ และกาชาดอเมริกัน วอชิงตันเริ่มทำการจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย และสภาสมาชิกเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย 13 คน ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 อย่างไรก็ตาม รัฐสภาสหรัฐยังคงรักษาอำนาจสูงสุดเหนือนายกเทศมนตรีเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย และสภาสมาชิกเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย 13 คน และมีสิทธิ์คว่ำกฎหมายท้องถิ่นของเขตปกครองพิเศษ และมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ออกเสียงผู้แทนสภาในการเลือกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ เขตปกครองพิเศษไม่มีอำนาจในการเป็นตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา และเขตปกครองพิเศษยังได้รับสิทธิพิเศษในการลงคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถึงสามรอบในหนึ่งครั้ง จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 23 เมื่อ พ.ศ. 2504ประวัติ ประวัติ. ดูเพิ่มได้ที่ ประวัติกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และ เหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. ดูเพิ่มได้ที่ ภูมิประเทศของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งอยู่ในภูมิภาคกลางมหาสมุทรแอตแลนติกของชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาลักษณะของเมือง ลักษณะของเมือง. ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อถนนและทางหลวงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.; รายชื่อเขตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.; รายชื่อตึกที่มีความสูงที่สุดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเมืองที่ได้วางแผนการก่อสร้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2334 โดยประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ได้มอบหมายให้ปีแอร์ ชารล์ส ลา เอนแฟนท์ ซึ่งเป็นสถาปนิกและนักวางผังเมืองชาวฝรั่งเศส ทำการออกแบบเมืองหลวงแห่งใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอเล็กซานเดอร์ ราล์สตัน นักสำรวจรังวัดชาวสกอตแลนด์ในการจัดวางผังเมือง โดยผังเมืองของเอนแฟนท์ที่ได้ออกแบบไว้ มีความโดดเด่น คือ ถนนที่แผ่กระจายออกมาจากแนวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้มีภูมิทัศน์ที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งผังเมืองของเขากลายเป็นต้นแบบในการออกแบบผังเมืองอื่น ๆ ในภายหลัง เช่น กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส, กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์, คาร์ลสรูเออ ประเทศเยอรมนี, และมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นต้น การออกแบบของลา เอนแฟนท์ยังแสดงให้เห็นว่าถนนใหญ่ได้เรียงรายไปด้วยสวนยาวประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กม.) และยาว 400 ฟุต (120 เมตร) ในพื้นที่ที่เป็นลานคนเมือง ซึ่งต่อมาในเดื่อนมีนาคม พ.ศ. 2335 ประธานาธิบดีวอชิงตันได้ให้ลา เอนแฟนท์พ้นจากการเป็นสถาปนิกออกแบบผังเมือง เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกับคณะกรรมาธิการสามคนที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อกำกับดูแลการก่อสร้างเมืองหลวง และได้มอบหมายให้นายแอนดรูว์ เอลลิคอร์ท ผู้ซึ่งเคยร่วมงานในการออกแบบและสำรวจผังเมืองกับลา เอนแฟนท์ ดำเนินการออกแบบผังเมืองต่อ แม้ว่า เอนแฟนทจะทำการปรับปรุงแก้ไขผังเมืองบางส่วน แต่ยัคงการวางแนวของถนน และภาพรวมของผังเมืองส่วนใหญ่ที่ลา เอนแฟนท์ได้ออกแบบไว้คงเดิม ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 การก่อสร้างอาคารในเมืองหลวงตามผังเมืองที่ลา เอนแฟนท์ ที่ได้วางไว้ ได้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องด้วยการสร้างอาคารแบบสุ่มรวม รวมไปถึงการสร้างสถานีรถไฟบนลานคนเมือง รัฐสภาจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อความสวยงามของวอชิงตันโดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อผังเมืองแมคมิแลน โดยมีการจัดสวนบริเวณอาคารรัฐสภาและลานคนเมือง และรื้อถอนชุมชนแออัดรวมถึงการจัดอุทยานเมืองใหม่ ซึ่งการปรับปรุงเมืองตามผังเมืองแมคมิแลน ได้สำเร็จใน พ.ศ. 2444 ซึ่งได้ออกแบบโดยลา เอนแฟนท์ และผังเมืองฉบับนี้ก็ได้ถูกเก็บรักษาอย่างดีจนถึงปัจจุบัน รัฐบัญญัติความสูงของอาคาร พ.ศ. 2453 กำหนดให้อาคารสามารถสูงกว่าความกว้างของถนนได้ไม่เกิน 20 ฟุต (6.1 เมตร) แม้จะมีความเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาไม่จำกัดความสูงของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น อนุสาวรีย์วอชิงตัน ที่มีความสูงถึง 559 ฟุต (6.1 เมตร) ซึ่งยังคงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในวอชิงตันเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งมีนักวิชาการหลายแขนงที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อจำกัดด้านความสูงของอาคารเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขตปกครองจึงมีที่อยู่อาศัยที่มีความสูงเกินกำหนดเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เกิดปัญหาการจราจรเนื่องด้วยการสร้างอาคารที่พักอาศัยสูง จากการขยายเมือง วอชิงตัน มีอาณาเขตเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 16 กิโลเมตร โดยใจกลางของสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วอชิงตัน ที่อยู่ระหว่างทำเนียบขาวและอาคารรัฐสภาสหรัฐ และได้ทำการแบ่งส่วนของเมืองเป็นสี่ส่วน ซึ่งแต่ละเขตจะมีเนื้อที่ไม่เท่ากัน ได้แก่ เขตนอร์ธเวสท์วอชิงตัน เขตนอร์ธอีสท์วอชิงตัน เขตเซาธ์อีสท์วอชิงตัน เขตเซาธ์เวสท์วอชิงตัน โดยมีแกนทั้งสี่ทิศอยู่ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐ ถนนทั้งหมดของเมืองจะตั้งอยู่ในรูปแบบตารางที่มีถนนตะวันออก-ตะวันตกที่มีชื่อเป็นตัวอักษร (เช่น C Street SW) ถนนทางตอนเหนือ-ใต้ที่มีตัวเลข (เช่นถนน 4th Street NW) และถนนในแนวทแยงซึ่งหลายแห่งตั้งชื่อตามรัฐต่างๆ (ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อถนนที่เป็นชื่อรัฐต่างๆ ในวอชิงตัน ดี.ซี.)สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. สถาปัตยกรรมในกรุงวอชิงตัน ได้ติดอันดับถึง 6 ใน 10 ที่สถาบันสถาปนิกอเมริกันยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมยอดนิยมของสหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2550 อันประกอบไปด้วย ทำเนียบขาว มหาวิหารแห่งชาติวอชิงตัน อนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สัน อาคารรัฐสภาสหรัฐ อนุสรณ์สถานลินคอล์น และ อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม ในรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก, จอร์เจีย, กอทิก และ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ซึ่งสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส เช่น อาคารที่ทำการฝ่ายบริหารเก่า ทั้งนี้ บริเวณชานเมืองของวอชิงตัน มีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในรูปแบบควีนแอนน์ แบบริชาร์ดโซเนียน แบบจอร์เจียน แบบวิจิตรศิลป์ แบบวิคตอเรีย เป็นต้น โดยเฉพาะรูปแบบวิคตอเรีย ที่พบเห็นมากในบริเวณที่พักอาศัย ภายหลังจากเหตุการณ์สงครามกลางเมือง ซึ่งบริเวณจอร์จทาวน์ เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีบ้านหินเก่าที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2308 ทำให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าที่สุดในจอร์จทาวน์ อาคารมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2332 มีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่เป็นแบบโรมาเนสก์ผสมกับสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก อาคารโรนัลด์เรแกน เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวอชิงตัน ด้วยเนื้อที่ 3.1 ล้านตารางฟุต (288,000 ตารางเมตร)ประชากร ประชากร. ดูเพิ่มได้ที่ ประชากรในวอชิงตัน ดี.ซี.เศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ดูเพิ่มได้ที่ และ หมวดหมู่:องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตัน มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่หลากหลาย และมีการจ้างงานในธุรกิจระดับผู้บริหารเพิ่มมากขึ้น โดยการคำนวณยอดมวลรวมผลิตภัณฑ์ของรัฐที่มากที่สุด เมื่อ พ.ศ. 2553 วอชิงตัน มียอดมวลรวมเป็นจำนวน 103.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (330.2 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นอันดับที่ 34 จาก 50 รัฐ และยอดมวลรวมผลิตภัณฑ์ในมหานครวอชิงตัน เมื่อ พ.ศ. 2557 วอชิงตัน มียอดมวลรวม 435 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (13.9 หมื่นล้านบาท) ทำให้วอชิงตัน กลายเป็นมหานครที่มีความหนาแน่นทางเศรษฐกิจ เป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2559 ค่าจีดีพีต่อหัวประชากรในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับต้นของสหรัฐ ใน พ.ศ. 2559 ค่าจีดีพีของประชากรต่อหัวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เฉลี่ยอยู่ที่ 160,472 ดอลลาร์สหรัฐ (5.1 ล้านบาท) ซึ่งมีค่าจีดีพีต่อหัวมากกว่ารัฐแมสซาซูเซตส์ซึ่งมีค่าหัวจีดีพีต่อประชากร เป็นอันดับที่ 2 ของสหรัฐ ถึงสามเท่าตัว และเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 มหานครวอชิงตัน มีอัตราการว่างงานคิดเป็นร้อยละ 6.2 ของทั้งมหานคร ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดเป็นอันดับที่สองในบรรดามลรัฐทั้ง 50 แห่งในประเทศ และในขณะเดียวกัน เขตปกครองพิเศษโคลอมเบียมีอัตราการว่างงานร้อยละ 9.8 เช่นกัน ใน พ.ศ. 2555 รัฐบาลกลางสหรัฐ คิดอัตรางานในวอชิงตันเป็นร้อยละ 29 ของงานทั้งหมดในสหรัฐ ซึ่งเป็นความคิดที่จะทำให้วอชิงตัน รอดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศ มีหลายองค์กร เช่น บริษัทกฎหมาย ผู้รับเหมาอิสระ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร บริษัทล็อบบี้ยิสต์ สหภาพการค้า กลุ่มการค้าอุตสาหกรรม และสมคมวิชาชีพ มีสำนักงานใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงกับที่ทำการของรัฐบาล สำหรับด้านการท่องเที่ยว วอชิงตันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในวอชิงตันประมาณ 18.9 ล้านคน คิดเป็นเงิน 1.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.54 แสนล้านบาท) โดยประมาณ (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2555) วอชิงตันยังเป็นที่ตั้งสถานทูตประมาณ 200 ประเทศ และยังเป็นที่ตั้งองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กร เช่น ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างทวีปอเมริกา องค์การสุขภาพแห่งภาคพื้นอเมริกา วอชิงตันมีจำนวนคณะทูตานุทูตมากกว่า 10,000 คน โดยสร้างรายได้ให้วอชิงตันปีละประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2551) วอชิงตันยังมีองค์กรที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล โดยเฉพาะองค์กรทางการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ และสำรวจวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน โรงพยาบาลศูนย์วอชิงตัน ศูนย์การแพทย์เด็กแห่งสหรัฐ และมหาวิทยาลัยฮอร์วาร์ด เป็นมีองค์กรที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่เป็น 5 อันดับแรกในวอชิงตัน (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2552) ตามสถิติเมื่อ พ.ศ. 2554 มีบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐจำนวน 4 แห่ง จาก 500 แห่ง ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในวอชิงตัน ดัชนีศูนย์กลางทางการเงินโลกประจำปี 2560 วอชิงตันได้รับการจัดอันดับให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก เป็นอันดับที่ 12 และเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในสหรัฐ อันดับที่ 5 รองจาก นครนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ชิคาโก และบอสตันวัฒนธรรม วัฒนธรรม. หัวข้อหลัก: วัฒนธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี.สถานที่สำคัญ สถานที่สำคัญ. ดูเพิ่มได้ที่: รายชื่อสถานที่สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี., รายชื่ออนุสรณ์สถานแห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี และ รายชื่อพิพิธภัณฑ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตันมีพื้นที่ขนาดใหญ่และเป็นสวนแบบเปิดกลางเมืองวอชิงตัน คือ เนชันแนลมอลล์ (National Mall) ซึ่งอยู่ระหว่างอนุสรณ์สถานลินคอล์น และ อาคารรัฐสภาสหรัฐ โดยเป็นสถานที่สำหรับจัดการประท้วงทางการเมือง คอนเสิร์ต เทศกาลทางการเมือง และพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี สำหรับอนุสาวรีย์วอชิงตัน และหลักศิลาเจฟเฟอร์สัน ตั้งอยู่ใกล้เนชันแนลมอลล์และทางทิศใต้ของทำเนียบขาว นอกจากนี้บริเวณเนชันแนลมอลล์ ยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณทิศตะวันออกของสระน้ำอนุสรณ์สถานลินคอล์น เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานสงครามเกาหลี และอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม วอชิงตันยังมีสวนญี่ปุ่นบริเวณทางทิศใต้ของเนชันแนลมอลล์ ชื่อว่า ไทดัลเบซิน (Tidal Basin) โดยสวนดังกล่าว มีลักษณะเป็นต้นเชอร์รี่ญี่ปุ่นเรียงแถว ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้มอบเป็นของขวัญให้สหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2455 โดยมีสถานที่สำคัญตั้งอยู่รอบๆ ไทดัลเบซินหลายแห่ง เช่น อนุสรณ์สถานแฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ อนุสรณ์สถานจอร์จ เมสัน อนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สัน อนุสรณ์สถานมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ และอนุสรณ์สถานสงครมกลางเมือง เป็นต้น วอชิงตันยังมีสถานที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สหรัฐถึงสามแห่ง คือ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งเก็บรักษา[[คำประกาศอิสรภาพสหรัฐ] รัฐธรรมนูญสหรัฐ และ[[บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง]] และ[[หอสมุดรัฐสภา]] ซึ่งเป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนหนังสือในห้องสมุดที่มากถึง 147 ล้านเล่ม รวมถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ต้นฉบับ และโสตถวัสดุอื่นๆ และ[[หอสมุดศาลสูงสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใน[[อาคารศาลสูงสหรัฐ]] โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2478 ซึ่งรวบรวมหนังสือด้านกฎหมายและประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และงานวิจัยด้านกฎหมายในรูปแบบหนังสือมากกว่า 600,000 เล่ม และโสตวัสดุมากกว่า 200,000 ม้วนพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์. [[ไฟล์:12072012 Smithsonian Building 01.jpg|left|thumb|[[สถาบันสมิธโซเนียน]] เป็นสถาบันวิจัยและพิพิธภัณฑ์ระดับโลก โดยมีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และ[[สวนสัตว์วอชิงตัน|สวนสัตว์]]ที่อยู่ในความดูแลของสถาบันถึง 19 แห่ง]]วอชิงตันมีสถาบันวิจัยด้านพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสวนสัตว์ในวอชิงตันโดยเฉพาะ คือ [[สถาบันสมิธโซเนียน]] ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรส เมื่อ พ.ศ. 2389 โดยทางรัฐบาลจะให้เงินสนับสนุนสถาบันเป็นบางส่วน โดยมีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และ[[สวนสัตว์วอชิงตัน|สวนสัตว์]]ที่อยู่ในความดูแลของสถาบันถึง 19 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณเนชันแนลมอลล์ และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบัน มีนักท่องเที่ยวเข้าชมรวมทุกแห่งแล้วทั้งสิ้นประมาณ 30 ล้านคน (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2560) โดยพิพิธภัณฑ์ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดคือ[[พิพิธภัณฑ์ยานบินและยานอวกาศแห่งชาติ|พิพิธภัณฑ์ยานบินและยานอวกาศแห่งสหรัฐ]] ซึ่งมีผู้เข้าชมทั้งปีรวมประมาณ 7 ล้านคน ทั้งนี ยังมีพิพิธภัณฑ์และสถานที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอีกหลายแห่ง เช่น [[พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ศิลปะแอฟริกันแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ชาวอินเดียนแห่งสหรัฐ]] [[หอศิลป์อาร์เธอร์ เอ็ม.แซคเกอร์]] [[หอศิลป์เฟียร์]] [[พิพิธภัณฑ์เฮอร์ชอร์นและสวนประติมากรรม]] [[อาคารศิลปะและอุตสาหกรรม]] [[ศูนย์เอส ดิลลัน ริพลีย์]] และ[[ปราสาทสมิธโซเนียน]] ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของสถาบัน และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ภายใน[[อาคารสำนักงานจดสิทธิบัตร(เดิม)]] ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ[[ไชน่าทาวน์ (วอชิงตัน ดี.ซี.)|ไชน่าทาวน์]] คือ [[พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันสมิธโซเนียน]] และ [[หอศิลป์ภาพเหมือนแห่งสหรัฐ]] [[หอภาพเรนวิค]] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันสมิธโซเนียน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้กับทำเนียบขาว [[พิพิธภัณฑ์แอนาคอสเตีย]] ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของวอชิงตัน [[พิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์แห่งสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใกล้[[สถานีรถไฟวอชิงตัน]] และ[[สวนสัตว์แห่งสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใกล้[[สวนวูดเล่ย์]] [[ไฟล์:National Gallery of Art - West Building facade.JPG|thumb|[[หอศิลป์สหรัฐ]] เป็นหนึ่งใน[[พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก]]]]การเดินทาง การเดินทาง. ระบบขนส่งมวลชนในเมืองจะมีระบบรถไฟใต้ดินเรียกว่า [[รถไฟใต้ดินวอชิงตัน]] (หรือรู้จักในชื่อ เมโทร) ซึ่งมีทั้งหมด 5 สาย และ 86 สถานี สำหรับระบบรถเมล์ในตัววอชิงตันเองจะมีสองระบบได้แก่ [[เมโทรบัส]] และ [[เซอร์คิวเรเตอร์]] โดยนอกจากนี้ระบบรถเมล์เหล่านี้ยังเชื่อมต่อกับเมืองและรัฐข้างเคียง วอชิงตัน ดี.ซี. มี 2 สนามบินคือ [[ท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตันดัลเลส]] และ [[ท่าอากาศยานโรนัลด์เรแกนวอชิงตันเนชันเนล]] ซึ่งทั้งสองสนามบินตั้งอยู่ใน[[รัฐเวอร์จิเนีย]] สำหรับรถไฟจะมีรถไฟ[[แอมแทรก]] [[MARC]] และ [[Virginia Railway Express]] เข้าสู่สถานีที่ยูเนียนสเตชันเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดินภูมิอากาศ
| เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกามีชื่อเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"วอชิงตัน ดี.ซี."
],
"answer_begin_position": [
108
],
"answer_end_position": [
123
]
} |
2,005 | 21,256 | วอชิงตัน ดี.ซี. กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. () มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย () มักเรียกทั่วไปว่า กรุงวอชิงตัน (Washington) หรือ ดี.ซี (D.C.) เป็นเมืองหลวงของสหรัฐ ก่อตั้งขึ้นเมื่อภายหลังจากการปฏิวัติอเมริกา โดยชื่อ วอชิงตัน มาจากชื่อของจอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก และบิดาผู้ก่อตั้งประเทศคนหนึ่ง วอชิงตันเป็นนครหลักนครหนึ่งของเขตมหานครวอชิงตัน (Washington Metropolitan Area) โดยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในวอชิงตันจำนวนประมาณ 6,131,977 คน โดยวอชิงตันได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของโลก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลางสหรัฐและสถาบันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศจำนวนมากเช่น ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น กรุงวอชิงตันเป็นนครที่นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดนครหนึ่งในโลก โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมวอชิงตัน ปีละประมาณ 20 ล้านคน การลงนามรัฐบัญญัติที่ตั้งในสหรัฐ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 มีเนื้อหาสาระสำคัญในการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย กล่าวคือ อนุมัติการจัดตั้งเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโปโตแมคบนชายฝั่งตะวันออกของประเทศ โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐได้ให้ไว้สำหรับเขตปกครองของรัฐบาลกลาง ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐสภา และเขตไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐใด สำหรับเขตที่ดินของรัฐบาลกลางในรัฐแมริแลนด์และรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นรัฐข้างเคียงของเขตปกครองพิเศษโคลอมเบียนั้น เป็นที่ดินของประชาชนที่บริจาคเพื่อจัดตั้งเป็นเขตการปกครองของรัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงการตั้งถิ่นฐานที่มีอยู่ก่อนหน้าของจอร์จทาวน์และอเล็กซานเดรียเมืองวอชิงตันเริ่มทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2334 เพื่อเป็นที่ตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ของสหรัฐ วอชิงตัน ดี.ซี. มีประชากรประมาณ 693,972 คน (ข้อมูลเมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2560) โดยผู้เดินทางจากเมืองแมรีแลนด์และเวอร์จีเนียจะเพิ่มจำนวนประชากรในเมืองมากขึ้นถึงหนึ่งล้านคนในระหว่างวันทำงาน พื้นที่มหานครวอชิงตันซึ่งเป็นเมืองสำคัญของเมืองมีประชากรมากกว่า 6 ล้านคนซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่หกในประเทศ ทั้งสามอำนาจของรัฐบาลกลางสหรัฐมีศูนย์กลางอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทั้งรัฐสภาสหรัฐ (อำนาจนิติบัญญัติ) ประธานาธิบดี (อำนาจบริหาร) และศาลสูงสุดสหรัฐ (อำนาจตุลาการ) วอชิงตันยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ชาติหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่เป็นส่วนใหญ่โดยรอบเนชันแนลมอลล์ (National Mall) วอชิงตันมีสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศจำนวน 177 ประเทศ รวมทั้งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรระหว่างประเทศ สหภาพการค้า องค์กรไม่แสวงผลกำไร กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ และสมาคมวิชาชีพหลายแห่ง ทั้งนี้ กรุงวอชิงตันยังเป็นที่ตั้งขององค์กรนานารัฐอเมริกัน สมาคมผู้เกษียณอายุเมริกัน สมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ฮิวแมนไรตซ์แคมเปญ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ และกาชาดอเมริกัน วอชิงตันเริ่มทำการจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย และสภาสมาชิกเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย 13 คน ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 อย่างไรก็ตาม รัฐสภาสหรัฐยังคงรักษาอำนาจสูงสุดเหนือนายกเทศมนตรีเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย และสภาสมาชิกเขตปกครองพิเศษโคลอมเบีย 13 คน และมีสิทธิ์คว่ำกฎหมายท้องถิ่นของเขตปกครองพิเศษ และมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ออกเสียงผู้แทนสภาในการเลือกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ เขตปกครองพิเศษไม่มีอำนาจในการเป็นตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา และเขตปกครองพิเศษยังได้รับสิทธิพิเศษในการลงคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถึงสามรอบในหนึ่งครั้ง จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 23 เมื่อ พ.ศ. 2504ประวัติ ประวัติ. ดูเพิ่มได้ที่ ประวัติกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และ เหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. ดูเพิ่มได้ที่ ภูมิประเทศของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งอยู่ในภูมิภาคกลางมหาสมุทรแอตแลนติกของชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาลักษณะของเมือง ลักษณะของเมือง. ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อถนนและทางหลวงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.; รายชื่อเขตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.; รายชื่อตึกที่มีความสูงที่สุดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเมืองที่ได้วางแผนการก่อสร้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2334 โดยประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ได้มอบหมายให้ปีแอร์ ชารล์ส ลา เอนแฟนท์ ซึ่งเป็นสถาปนิกและนักวางผังเมืองชาวฝรั่งเศส ทำการออกแบบเมืองหลวงแห่งใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอเล็กซานเดอร์ ราล์สตัน นักสำรวจรังวัดชาวสกอตแลนด์ในการจัดวางผังเมือง โดยผังเมืองของเอนแฟนท์ที่ได้ออกแบบไว้ มีความโดดเด่น คือ ถนนที่แผ่กระจายออกมาจากแนวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้มีภูมิทัศน์ที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งผังเมืองของเขากลายเป็นต้นแบบในการออกแบบผังเมืองอื่น ๆ ในภายหลัง เช่น กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส, กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์, คาร์ลสรูเออ ประเทศเยอรมนี, และมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นต้น การออกแบบของลา เอนแฟนท์ยังแสดงให้เห็นว่าถนนใหญ่ได้เรียงรายไปด้วยสวนยาวประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กม.) และยาว 400 ฟุต (120 เมตร) ในพื้นที่ที่เป็นลานคนเมือง ซึ่งต่อมาในเดื่อนมีนาคม พ.ศ. 2335 ประธานาธิบดีวอชิงตันได้ให้ลา เอนแฟนท์พ้นจากการเป็นสถาปนิกออกแบบผังเมือง เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกับคณะกรรมาธิการสามคนที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อกำกับดูแลการก่อสร้างเมืองหลวง และได้มอบหมายให้นายแอนดรูว์ เอลลิคอร์ท ผู้ซึ่งเคยร่วมงานในการออกแบบและสำรวจผังเมืองกับลา เอนแฟนท์ ดำเนินการออกแบบผังเมืองต่อ แม้ว่า เอนแฟนทจะทำการปรับปรุงแก้ไขผังเมืองบางส่วน แต่ยัคงการวางแนวของถนน และภาพรวมของผังเมืองส่วนใหญ่ที่ลา เอนแฟนท์ได้ออกแบบไว้คงเดิม ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 การก่อสร้างอาคารในเมืองหลวงตามผังเมืองที่ลา เอนแฟนท์ ที่ได้วางไว้ ได้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องด้วยการสร้างอาคารแบบสุ่มรวม รวมไปถึงการสร้างสถานีรถไฟบนลานคนเมือง รัฐสภาจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อความสวยงามของวอชิงตันโดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อผังเมืองแมคมิแลน โดยมีการจัดสวนบริเวณอาคารรัฐสภาและลานคนเมือง และรื้อถอนชุมชนแออัดรวมถึงการจัดอุทยานเมืองใหม่ ซึ่งการปรับปรุงเมืองตามผังเมืองแมคมิแลน ได้สำเร็จใน พ.ศ. 2444 ซึ่งได้ออกแบบโดยลา เอนแฟนท์ และผังเมืองฉบับนี้ก็ได้ถูกเก็บรักษาอย่างดีจนถึงปัจจุบัน รัฐบัญญัติความสูงของอาคาร พ.ศ. 2453 กำหนดให้อาคารสามารถสูงกว่าความกว้างของถนนได้ไม่เกิน 20 ฟุต (6.1 เมตร) แม้จะมีความเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาไม่จำกัดความสูงของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น อนุสาวรีย์วอชิงตัน ที่มีความสูงถึง 559 ฟุต (6.1 เมตร) ซึ่งยังคงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในวอชิงตันเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งมีนักวิชาการหลายแขนงที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อจำกัดด้านความสูงของอาคารเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขตปกครองจึงมีที่อยู่อาศัยที่มีความสูงเกินกำหนดเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เกิดปัญหาการจราจรเนื่องด้วยการสร้างอาคารที่พักอาศัยสูง จากการขยายเมือง วอชิงตัน มีอาณาเขตเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 16 กิโลเมตร โดยใจกลางของสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วอชิงตัน ที่อยู่ระหว่างทำเนียบขาวและอาคารรัฐสภาสหรัฐ และได้ทำการแบ่งส่วนของเมืองเป็นสี่ส่วน ซึ่งแต่ละเขตจะมีเนื้อที่ไม่เท่ากัน ได้แก่ เขตนอร์ธเวสท์วอชิงตัน เขตนอร์ธอีสท์วอชิงตัน เขตเซาธ์อีสท์วอชิงตัน เขตเซาธ์เวสท์วอชิงตัน โดยมีแกนทั้งสี่ทิศอยู่ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐ ถนนทั้งหมดของเมืองจะตั้งอยู่ในรูปแบบตารางที่มีถนนตะวันออก-ตะวันตกที่มีชื่อเป็นตัวอักษร (เช่น C Street SW) ถนนทางตอนเหนือ-ใต้ที่มีตัวเลข (เช่นถนน 4th Street NW) และถนนในแนวทแยงซึ่งหลายแห่งตั้งชื่อตามรัฐต่างๆ (ดูเพิ่มได้ที่ รายชื่อถนนที่เป็นชื่อรัฐต่างๆ ในวอชิงตัน ดี.ซี.)สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. สถาปัตยกรรมในกรุงวอชิงตัน ได้ติดอันดับถึง 6 ใน 10 ที่สถาบันสถาปนิกอเมริกันยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมยอดนิยมของสหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2550 อันประกอบไปด้วย ทำเนียบขาว มหาวิหารแห่งชาติวอชิงตัน อนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สัน อาคารรัฐสภาสหรัฐ อนุสรณ์สถานลินคอล์น และ อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม ในรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก, จอร์เจีย, กอทิก และ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ซึ่งสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส เช่น อาคารที่ทำการฝ่ายบริหารเก่า ทั้งนี้ บริเวณชานเมืองของวอชิงตัน มีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในรูปแบบควีนแอนน์ แบบริชาร์ดโซเนียน แบบจอร์เจียน แบบวิจิตรศิลป์ แบบวิคตอเรีย เป็นต้น โดยเฉพาะรูปแบบวิคตอเรีย ที่พบเห็นมากในบริเวณที่พักอาศัย ภายหลังจากเหตุการณ์สงครามกลางเมือง ซึ่งบริเวณจอร์จทาวน์ เป็นหนึ่งในบริเวณที่มีบ้านหินเก่าที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2308 ทำให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าที่สุดในจอร์จทาวน์ อาคารมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2332 มีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่เป็นแบบโรมาเนสก์ผสมกับสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก อาคารโรนัลด์เรแกน เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวอชิงตัน ด้วยเนื้อที่ 3.1 ล้านตารางฟุต (288,000 ตารางเมตร)ประชากร ประชากร. ดูเพิ่มได้ที่ ประชากรในวอชิงตัน ดี.ซี.เศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ดูเพิ่มได้ที่ และ หมวดหมู่:องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตัน มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่หลากหลาย และมีการจ้างงานในธุรกิจระดับผู้บริหารเพิ่มมากขึ้น โดยการคำนวณยอดมวลรวมผลิตภัณฑ์ของรัฐที่มากที่สุด เมื่อ พ.ศ. 2553 วอชิงตัน มียอดมวลรวมเป็นจำนวน 103.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (330.2 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นอันดับที่ 34 จาก 50 รัฐ และยอดมวลรวมผลิตภัณฑ์ในมหานครวอชิงตัน เมื่อ พ.ศ. 2557 วอชิงตัน มียอดมวลรวม 435 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (13.9 หมื่นล้านบาท) ทำให้วอชิงตัน กลายเป็นมหานครที่มีความหนาแน่นทางเศรษฐกิจ เป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2559 ค่าจีดีพีต่อหัวประชากรในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับต้นของสหรัฐ ใน พ.ศ. 2559 ค่าจีดีพีของประชากรต่อหัวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เฉลี่ยอยู่ที่ 160,472 ดอลลาร์สหรัฐ (5.1 ล้านบาท) ซึ่งมีค่าจีดีพีต่อหัวมากกว่ารัฐแมสซาซูเซตส์ซึ่งมีค่าหัวจีดีพีต่อประชากร เป็นอันดับที่ 2 ของสหรัฐ ถึงสามเท่าตัว และเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 มหานครวอชิงตัน มีอัตราการว่างงานคิดเป็นร้อยละ 6.2 ของทั้งมหานคร ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดเป็นอันดับที่สองในบรรดามลรัฐทั้ง 50 แห่งในประเทศ และในขณะเดียวกัน เขตปกครองพิเศษโคลอมเบียมีอัตราการว่างงานร้อยละ 9.8 เช่นกัน ใน พ.ศ. 2555 รัฐบาลกลางสหรัฐ คิดอัตรางานในวอชิงตันเป็นร้อยละ 29 ของงานทั้งหมดในสหรัฐ ซึ่งเป็นความคิดที่จะทำให้วอชิงตัน รอดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศ มีหลายองค์กร เช่น บริษัทกฎหมาย ผู้รับเหมาอิสระ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร บริษัทล็อบบี้ยิสต์ สหภาพการค้า กลุ่มการค้าอุตสาหกรรม และสมคมวิชาชีพ มีสำนักงานใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงกับที่ทำการของรัฐบาล สำหรับด้านการท่องเที่ยว วอชิงตันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในวอชิงตันประมาณ 18.9 ล้านคน คิดเป็นเงิน 1.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.54 แสนล้านบาท) โดยประมาณ (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2555) วอชิงตันยังเป็นที่ตั้งสถานทูตประมาณ 200 ประเทศ และยังเป็นที่ตั้งองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กร เช่น ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างทวีปอเมริกา องค์การสุขภาพแห่งภาคพื้นอเมริกา วอชิงตันมีจำนวนคณะทูตานุทูตมากกว่า 10,000 คน โดยสร้างรายได้ให้วอชิงตันปีละประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2551) วอชิงตันยังมีองค์กรที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล โดยเฉพาะองค์กรทางการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ และสำรวจวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน โรงพยาบาลศูนย์วอชิงตัน ศูนย์การแพทย์เด็กแห่งสหรัฐ และมหาวิทยาลัยฮอร์วาร์ด เป็นมีองค์กรที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่เป็น 5 อันดับแรกในวอชิงตัน (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2552) ตามสถิติเมื่อ พ.ศ. 2554 มีบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐจำนวน 4 แห่ง จาก 500 แห่ง ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในวอชิงตัน ดัชนีศูนย์กลางทางการเงินโลกประจำปี 2560 วอชิงตันได้รับการจัดอันดับให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก เป็นอันดับที่ 12 และเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในสหรัฐ อันดับที่ 5 รองจาก นครนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ชิคาโก และบอสตันวัฒนธรรม วัฒนธรรม. หัวข้อหลัก: วัฒนธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี.สถานที่สำคัญ สถานที่สำคัญ. ดูเพิ่มได้ที่: รายชื่อสถานที่สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี., รายชื่ออนุสรณ์สถานแห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี และ รายชื่อพิพิธภัณฑ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. วอชิงตันมีพื้นที่ขนาดใหญ่และเป็นสวนแบบเปิดกลางเมืองวอชิงตัน คือ เนชันแนลมอลล์ (National Mall) ซึ่งอยู่ระหว่างอนุสรณ์สถานลินคอล์น และ อาคารรัฐสภาสหรัฐ โดยเป็นสถานที่สำหรับจัดการประท้วงทางการเมือง คอนเสิร์ต เทศกาลทางการเมือง และพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี สำหรับอนุสาวรีย์วอชิงตัน และหลักศิลาเจฟเฟอร์สัน ตั้งอยู่ใกล้เนชันแนลมอลล์และทางทิศใต้ของทำเนียบขาว นอกจากนี้บริเวณเนชันแนลมอลล์ ยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณทิศตะวันออกของสระน้ำอนุสรณ์สถานลินคอล์น เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานสงครามเกาหลี และอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม วอชิงตันยังมีสวนญี่ปุ่นบริเวณทางทิศใต้ของเนชันแนลมอลล์ ชื่อว่า ไทดัลเบซิน (Tidal Basin) โดยสวนดังกล่าว มีลักษณะเป็นต้นเชอร์รี่ญี่ปุ่นเรียงแถว ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้มอบเป็นของขวัญให้สหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2455 โดยมีสถานที่สำคัญตั้งอยู่รอบๆ ไทดัลเบซินหลายแห่ง เช่น อนุสรณ์สถานแฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ อนุสรณ์สถานจอร์จ เมสัน อนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สัน อนุสรณ์สถานมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ และอนุสรณ์สถานสงครมกลางเมือง เป็นต้น วอชิงตันยังมีสถานที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สหรัฐถึงสามแห่ง คือ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งเก็บรักษา[[คำประกาศอิสรภาพสหรัฐ] รัฐธรรมนูญสหรัฐ และ[[บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง]] และ[[หอสมุดรัฐสภา]] ซึ่งเป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนหนังสือในห้องสมุดที่มากถึง 147 ล้านเล่ม รวมถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ต้นฉบับ และโสตถวัสดุอื่นๆ และ[[หอสมุดศาลสูงสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใน[[อาคารศาลสูงสหรัฐ]] โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2478 ซึ่งรวบรวมหนังสือด้านกฎหมายและประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และงานวิจัยด้านกฎหมายในรูปแบบหนังสือมากกว่า 600,000 เล่ม และโสตวัสดุมากกว่า 200,000 ม้วนพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์. [[ไฟล์:12072012 Smithsonian Building 01.jpg|left|thumb|[[สถาบันสมิธโซเนียน]] เป็นสถาบันวิจัยและพิพิธภัณฑ์ระดับโลก โดยมีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และ[[สวนสัตว์วอชิงตัน|สวนสัตว์]]ที่อยู่ในความดูแลของสถาบันถึง 19 แห่ง]]วอชิงตันมีสถาบันวิจัยด้านพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสวนสัตว์ในวอชิงตันโดยเฉพาะ คือ [[สถาบันสมิธโซเนียน]] ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรส เมื่อ พ.ศ. 2389 โดยทางรัฐบาลจะให้เงินสนับสนุนสถาบันเป็นบางส่วน โดยมีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และ[[สวนสัตว์วอชิงตัน|สวนสัตว์]]ที่อยู่ในความดูแลของสถาบันถึง 19 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณเนชันแนลมอลล์ และพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบัน มีนักท่องเที่ยวเข้าชมรวมทุกแห่งแล้วทั้งสิ้นประมาณ 30 ล้านคน (ข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2560) โดยพิพิธภัณฑ์ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดคือ[[พิพิธภัณฑ์ยานบินและยานอวกาศแห่งชาติ|พิพิธภัณฑ์ยานบินและยานอวกาศแห่งสหรัฐ]] ซึ่งมีผู้เข้าชมทั้งปีรวมประมาณ 7 ล้านคน ทั้งนี ยังมีพิพิธภัณฑ์และสถานที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันอีกหลายแห่ง เช่น [[พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ศิลปะแอฟริกันแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งสหรัฐ]] [[พิพิธภัณฑ์ชาวอินเดียนแห่งสหรัฐ]] [[หอศิลป์อาร์เธอร์ เอ็ม.แซคเกอร์]] [[หอศิลป์เฟียร์]] [[พิพิธภัณฑ์เฮอร์ชอร์นและสวนประติมากรรม]] [[อาคารศิลปะและอุตสาหกรรม]] [[ศูนย์เอส ดิลลัน ริพลีย์]] และ[[ปราสาทสมิธโซเนียน]] ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของสถาบัน และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ภายใน[[อาคารสำนักงานจดสิทธิบัตร(เดิม)]] ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ[[ไชน่าทาวน์ (วอชิงตัน ดี.ซี.)|ไชน่าทาวน์]] คือ [[พิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันสมิธโซเนียน]] และ [[หอศิลป์ภาพเหมือนแห่งสหรัฐ]] [[หอภาพเรนวิค]] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอเมริกันสมิธโซเนียน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้กับทำเนียบขาว [[พิพิธภัณฑ์แอนาคอสเตีย]] ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของวอชิงตัน [[พิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์แห่งสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใกล้[[สถานีรถไฟวอชิงตัน]] และ[[สวนสัตว์แห่งสหรัฐ]] ซึ่งตั้งอยู่ใกล้[[สวนวูดเล่ย์]] [[ไฟล์:National Gallery of Art - West Building facade.JPG|thumb|[[หอศิลป์สหรัฐ]] เป็นหนึ่งใน[[พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก]]]]การเดินทาง การเดินทาง. ระบบขนส่งมวลชนในเมืองจะมีระบบรถไฟใต้ดินเรียกว่า [[รถไฟใต้ดินวอชิงตัน]] (หรือรู้จักในชื่อ เมโทร) ซึ่งมีทั้งหมด 5 สาย และ 86 สถานี สำหรับระบบรถเมล์ในตัววอชิงตันเองจะมีสองระบบได้แก่ [[เมโทรบัส]] และ [[เซอร์คิวเรเตอร์]] โดยนอกจากนี้ระบบรถเมล์เหล่านี้ยังเชื่อมต่อกับเมืองและรัฐข้างเคียง วอชิงตัน ดี.ซี. มี 2 สนามบินคือ [[ท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตันดัลเลส]] และ [[ท่าอากาศยานโรนัลด์เรแกนวอชิงตันเนชันเนล]] ซึ่งทั้งสองสนามบินตั้งอยู่ใน[[รัฐเวอร์จิเนีย]] สำหรับรถไฟจะมีรถไฟ[[แอมแทรก]] [[MARC]] และ [[Virginia Railway Express]] เข้าสู่สถานีที่ยูเนียนสเตชันเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดินภูมิอากาศ
| กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ถูกตั้งชื่อตามประธานาธิบดีคนใดของประเทศสหรัฐอเมริกา | {
"answer": [
"จอร์จ วอชิงตัน"
],
"answer_begin_position": [
336
],
"answer_end_position": [
350
]
} |
2,006 | 10,820 | จอร์จ วอชิงตัน จอร์จ วอชิงตัน (, 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799) เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ระหว่าง ค.ศ. 1775 ถึง 1799 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนือบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกัน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพภาคพื้นทวีปใน ค.ศ.1775-1783 และรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1789-1797 วอชิงตันเป็นผู้นำการสร้างรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีการคลังที่ดี ซึ่งวางตนเป็นกลางในสงครามที่ปะทุขึ้นในยุโรป ปราบปรามกบฏและได้รับการยอมรับจากชนอเมริกันทุกประเภท รูปแบบความเป็นผู้นำของเขาได้กลายมาเป็นระเบียบพิธีของรัฐบาลซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมานับแต่นั้น อาทิ การใช้ระบบคณะรัฐมนตรีและการปราศรัยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ วอชิงตันได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็น "บิดาแห่งประเทศของเขา" ด้วย ใน ค.ศ. 1775 รัฐสภาอาณานิคมได้แต่งตั้งวอชิงตันเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปฏิวัติอเมริกัน ปีถัดมา เขานำทัพขับไล่กองทัพอังกฤษออกจากบอสตัน เสียนครนิวยอร์ก ข้ามแม่น้ำเดลาแวร์ในนิวเจอร์ซีย์ และสามารถรบชนะข้าศึกซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวในปลายปีเดียวกัน ผลของยุทธศาสตร์ที่เขาใช้ ทำให้กองกำลังปฏิวัติอเมริกันสามารถยึดกำลังรบสำคัญของอังกฤษ 2 แห่งที่ซาราโตกาและยอร์กทาวน์ ด้วยการเจรจากับสภาอาณานิคมทั้งสิบสาม รัฐอาณานิคม และพันธมิตรฝรั่งเศส วอชิงตันได้รวบรวมกองทัพอันไร้ผู้นำและชาติอันอ่อนแอให้เป็นปึกแผ่น ท่ามกลางภยันตรายจากความแตกแยกและความล้มเหลว หลังสงครามยุติในปี ค.ศ. 1783 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ตรัสถามวอชิงตันว่าจะทำอะไรต่อไป และทรงได้รับข่าวลือมาว่าวอชิงตันจะกลับไปยังบ้านไร่ของตนเอง ทำให้มีพระราชกระแสในทันทีว่า "ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" ซึ่งวอชิงตันก็ได้กลับไปใช้ชีวิตสมถะอย่างชาวไร่จริง ๆ ที่เมานต์เวอร์นอน อันเนื่องมาจาก "บทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐ" (Articles of Confederation) ที่ร่างขึ้นนั้นไม่เป็นที่พอใจโดยทั่วกัน ใน ค.ศ. 1787 วอชิงตันจึงเป็นประธานการประชุมฟิลาเดเฟียเพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา และใน ค.ศ. 1789 ก็ได้รับเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้สถาปนาจารีตและวิถีทางการบริหารหลายประการเกี่ยวแก่องค์กรของรัฐบาลใหม่ ในการนี้ เขาแสวงหาลู่ทางสร้างชาติที่จะสามารถธำรงอยู่ในโลกอันถูกฉีกเป็นชิ้นเพราะสงครามระหว่างอังกฤษฝรั่งเศส วอชิงตันได้มี "ประกาศความเป็นกลาง" (Proclamation of Neutrality of 1793) ใน ค.ศ. 1793 ซึ่งวางรากฐานการงดเว้นไม่เข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งกับต่างชาติ เขายังได้สนับสนุนแผนจัดตั้งรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งโดยวางกองทุนเพื่อหนี้สินของชาติ ส่งผลให้เกิดระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ธนาคารแห่งชาติในที่สุด เนื่องจากวอชิงตันเลี่ยงที่จะไม่ก่อสงครามกับอังกฤษ ทศวรรษแห่งสันติสุขจึงมีขึ้นด้วยสนธิสัญญาเจย์ ค.ศ. 1795 (Jay Treaty of 1795) อันได้รับสัตยาบันไปด้วยดีเพราะเกียรติภูมิส่วนตัวของวอชิงตัน แม้ว่าสนธิสัญญานี้จะถูกต่อต้านอย่างหนักจากโธมัส เจฟเฟอร์สัน ก็ตาม ในทางการเมืองนั้น ถึงแม้ว่าวอชิงตันมิได้เข้าร่วมพรรคสหพันธรัฐนิยม (Federalist Party) อย่างเป็นทางการ แต่เขาก็สนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของพรรค ทั้งยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสำหรับพรรคด้วย เมื่อเขาพ้นจากตำแหน่ง ได้มีสุนทรพจน์แสดงคุณค่าของระบอบสาธารณรัฐ และเตือนให้ระวังความแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความนิยมถิ่น และมิให้ร่วมสงครามกับต่างชาติ ด้วยผลงานอันอุทิศให้แก่ชาติบ้านเมือง วอชิงตันจึงได้รับ "เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญทองแห่งรัฐสภาคองเกรส" (Congressional Gold Medal) เป็นบุคคลแรก เขาถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1799 โดย เฮนรี ลี สดุดีวอชิงตันในพิธีศพว่า "ในยามรบ ยามสงบ และในหัวใจของเพื่อนร่วมชาติ เขาคือที่หนึ่งสำหรับอเมริกันชนทั้งปวง"ประวัติและการศึกษา ประวัติและการศึกษา. จอร์จ วอชิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 เป็นลูกคนแรกของ ออกัสติน วอชิงตัน และภรรยาคนที่สองของเขา แมรี่ บอล วอชิงตัน ที่โคโลเนียล บีช ในเวสต์มอแลนด์ เคาท์ตี้ เวอร์จิเนีย ครอบครัววอชิงตันย้ายไปอยู่ที่เฟอร์รี่ฟาร์มเมื่อจอร์จอายุได้ 6 ขวบ จอร์จเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านโดยพ่อและพีชายคนโตเป็นผู้สอนหนังสือให้ เชื้อสายของเขามาจากเมืองซัลเกรฟ ประเทศอังกฤษ ปู่ทวดของเขา จอห์น วอชิงตัน ย้ายมาอาศัยที่เวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1657การปลูกยาสูบเป็นสินค้าในเวอร์จิเนียสามารถวัดได้โดยจำนวนทาสที่เอามาใช้แรงงานปลูกยาสูบ เมื่อวอชิงตันเกิด จำนวนประชากรของรัฐอาณานิคมเป็นคนผิวดำ 50% ชาวแอฟริกันและอเมริกันแอฟริกันเกือบทั้งหมดถูกบังคับให้เป็นทาส. ในช่วงวัยหนุ่ม วอชิงตันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน เขาได้ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศถื่นฐานบ้านเกิดของเขาอย่างประเมินค่ามิได้ พี่ชายคนโตของเขาแต่งงานกับครอบครัวแฟร์แฟ็กซ์ และได้รับวอชิงตันไปอุมถัมป์เลี้ยงดูโดย โธมัส แฟร์แฟ็กซ์, ลอ์ด แฟร์แฟ็กซ์ที่ 6 แห่งคาเมรอน ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1749 หลังจากที่มีการก่อตั้งเมือง อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนียตลอดตามลำน้ำแม่น้ำโปตาแม็กอย่างกะทันหันนั้น ขณะนั้นวอชิงตันอายุได้ 17 ปีเขาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานสาธารณะเป็นครั้งแรกโดยเป็นผู้สำรวจรังวัดที่ดิน ในเขตคัลเปเปอร์เคาท์ตี้ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ในชายแดนของรัฐอาณานิคม การแต่งตั้งครั้งนี้ถูกรับรองโดยคำสั่งจากลอร์ด แฟร์แฟ็กซ์และลูกพี่ลูกน้องของเขา วิลเลียม แฟร์แฟ็กซ์ ผู้ซึ่งนั่งตำแหน่งในสภาผู้ว่าการรัฐอาชีพ อาชีพ. วอชิงตันเริ่มทำอาชีพเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเขามีทาสในครอบครอง 20 คนหรืออาจจะมากกว่านั้น ค.ศ. 1748 เขาถูกเชิญให้ไปช่วยรังวัดที่ดินของลอ์ด แฟร์แฟ็กซ์ อยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาบลูริดจ์ ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานของเขาเองแห่งแรก สำรวจ คัลเปเปอร์ เคาท์ตี้ (รัฐเวอร์จิเนียร์) ซึ่งเป็นที่ดินแดนแห่งใหม่ และด้วยการสนับสนุนของพี่ชายต่างมารดาชื่อ ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน เขามีความสนใจในสมาคม (Ohio Company) ซึ่งสำรวจแผ่นดินทางตะวันตก ค.ศ. 1751 จอร์จและพี่ชายของเขาเดินทางไปประเทศบาร์เบโดส และได้พักอยู่ที่บ้านบุชฮิลล์ (Bush Hill House) โดยหวังเพื่อรักษาอาการวัณโรคของพี่ชาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางไปนอกเขตที่เป็นประเทศสหรัฐในปัจจุบัน หลังจากที่ลอว์เรนซ์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1752 จอร์จได้รับมรดกบางส่วน และได้รับงานสืบต่อจากพี่ชายในอาณานิคมนั้น ปี ค.ศ. 1752 วอชิงตันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการฝ่ายธุรการ (adjutant general) ให้กับทหารกองหนุนแห่งเวอร์จิเนีย (Virginia militia) ทำให้เขาได้ติดยศพันตรีเมื่ออายุได้เพียง 20 ปี เขามีหน้าที่ฝึกทหารกองหนุนตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เมื่ออายุได้ 21 ปี ที่เฟดเดอร์ริกส์เบิร์ก วอชิงตันได้เป็นนายช่าง (Master Mason) ขององค์กรฟรีเมสัน ซึ่งเป็นองค์การที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดฉันท์พี่น้องที่มีผลต่อเขาตลอดชีวิต เดือนธันวาคม ค.ศ. 1753 วอชิงตันได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการอาณานิคมแห่งเวอร์จิเนีย ชื่อ โรเบิร์ต ดินวิดดี้ ให้นำทหารอังกฤษไปยื่นคำขาดแก่ฝรั่งเศสในบริเวณดินแดน โอไฮโอ วอชิงตันประเมินถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งหมายของกองทัพฝรั่งเศสแล้ว จึงได้ยื่นคำขาดแก่กองทัพฝรั่งเศสที่ป้อม Fort Le Boeuf ซึ่งในปัจจุบันคือ วอเตอร์ฟอร์ด, รัฐเพนซิลเวเนีย ข้อความที่ถูกมองข้ามไป ต้องการให้ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสละทิ้งถิ่นฐานและชุมชนพัฒนานั้นไปจากบริเวณโอไฮโอ เหตุการณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวอาณานิคมทั้งสองกลุ่มซึ่งมีอานาจเกิดความขัดแย้งแพร่หลายไปทั่วโลก รายงานของวอชิงตันนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างทั้งสองฟากของมหาสมุทรแอตแลนติกสงครามอินเดียนและฝรั่งเศส (สงครามเจ็ดปี) สงครามอินเดียนและฝรั่งเศส (สงครามเจ็ดปี). ในปี ค.ศ. 1754 ดินวิดดี้แต่งตั้งยศพันโทให้วอชิงตัน และสั่งให้นำคณะเดินทางไปยังป้อม Fort Duquesne เพื่อไปขับไล่ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา นำโดย ทานาชาริสัน วอชิงตันได้ทำลายทหารสอดแนมของฝรั่งเศสจำนวน 30 นาย ที่นำโดย โจเซฟ โคโลน เดอ จูมอนวิลล์ ที่ฟอร์ต เนเซสซิตี้ วอชิงตันและกองกำลังของเขาต้องพ่ายแพ้ต่อทัพผสมระหว่างแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสกับอินเดียน ที่มีกำลังเหนือกว่าและอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า ในแถลงการยอมจำนนครั้งนี้ได้รวมเอาเนื้อหาว่า วอชิงตันลอบสังหารจูมอนวิลล์หลังจากการซุ่มโจมตี วอชิงตันอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก จึงไม่ทราบว่าเนื้อหาเขียนว่าอะไรและยอมลงนามไป วอชิงตันได้รับการปล่อยตัวจากพวกแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส และได้กลับสู่เวอร์จิเนีย โดยยอมลาออกมากกว่าที่จะถูกลดขั้น ในปี ค.ศ. 1755 วอชิงตันเป็นนายทหารผู้ช่วยของนายพลเอ็ดวาร์ด แบร็ดด็อกแห่งอังกฤษ มีลางไม่ดีในคณะเดินทางของแบร็ดด็อก นี่เป็นความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะยึดโอไฮโอ เคาท์ตี้กลับคืนมา ต่อมาแบร็ดด็อกถูกลอบสังหารทำให้คณะเดินทางของเขาต้องยุติลง ขณะที่บทบาทของวอชิงตันในระหว่างสงครามมีข้อถกเถียงขึ้นมา โดยนักชีวประวัติ โจเซฟ เอลลิส ยืนยันว่า วอชิงตันได้ขี่ม้าตะลุยไปมาตลอดทั่วสมรภูมิ รวบรวมกำลังพลที่เหลือของอังกฤษและเวอร์จิเนียเพื่อถอยทัพ หลังจากเหตุการณ์นี้ วอชิงตันได้รับมอบหมายให้ควบคุมชายแดนอันวุ่นวายแถบเทือกเขาเวอร์จิเนีย และได้รับรางวัลโดยเลื่อนขั้นให้เป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองกำลังเวอร์จิเนียทั้งหมด ในปี ค.ศ. 1758 วอชิงตันติดยศนายพลจัตวาในคณะเดินทางของ Forbes ที่บังคับให้ฝรั่งเศสอพยพถอนทัพออกจาก Fort Duquesne และการสร้างระบบกองทัพของอังกฤษที่พิตต์สเบิร์ก หลังจากปีนั้น วอชิงตันลาออกจากทหารและใช้เวลาพัฒนาไร่ของเขาเป็นเวลาถึง 16 ปี และเป็นนักการเมืองท้องถิ่นของเวอร์จิเนียเปรียบเทียบระหว่างทหารกองหนุนกับทหารกองประจำการ เปรียบเทียบระหว่างทหารกองหนุนกับทหารกองประจำการ. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารกองหนุนอาณานิคม แม้ว่าจะจัดให้วอชิงตันอยู่ในตำแหน่งอาวุโส วอชิงตันรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างดีระหว่างสถาบันทหารกองหนุนและทหารกองประจำการของอังกฤษ โชคดีที่พี่ชายของเขา ลอว์เลนซ์ ได้รับการปูนบำเหน็จจากนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอังกฤษให้เป็น "ร้อยเอกในกองพันทหารราบ" ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1740 กองทัพอังกฤษเพิ่มจำนวนกองพันทหารราบในดินแดนอาณานิคม (กองพันทหารราบที่ 61) เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ในเวสต์อินดี้ระหว่างสงครามหูของเจงกินส์ แต่ละรัฐได้รับอนุมัติให้จัดตั้งนายทหารกองร้อยเป็นของตัวเอง ทั้งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ และพันเอก William Blakeney ได้แจกเอกสารการมอบอำนาจไปยังผู้ว่าการรัฐอาณานิคมต่างๆ 15 ปีต่อมา นายพล แบร็ดด็อก มาถึงเวอร์จิเนียเมื่อปี 1755 พร้อมกับกองพันทหารราบที่ 44 และ 48 วอชิงตันมองหาค่าคอมมิชชันแต่ไม่สามารถหามาจัดซื้อได้ เขาอยากมียศที่สูงกว่าพันโท โดยที่เขาอยากเป็นนายทหารอาวุโสในกองทัพประจำการ วอชิงตันเลือกที่จะไปเป็นนายทหารคนสนิทของนายพล ในขณะนั้น เขาสามารถบัญชาการกองทัพอังกฤษได้ หลังจากความพ่ายแพ้ของแบล็ดด็อก รัฐสภาอังกฤษตัดสินใจสร้าง Royal American Regiment of Foot เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1755 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น King's Royal Rifle Corps ซึ่งแตกต่างจาก "American Regiment" ที่ใช้ในปี 1740-42 ทหารทั้งหมดถูกเกณฑ์ในอังกฤษและยุโรปเมื่อต้นปี 1756ระหว่างสงคราม:เมานต์เวอร์นอน ระหว่างสงคราม:เมานต์เวอร์นอน. จอร์จอ วอชิงตันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ มาร์ธา แดนดริดจ์ คัสทิส ซึ่งเป็นแม่หม้ายที่อาศัยอยู่ในไร่ชื่อ White House Plantation บนฝั่งแม่น้ำ Pamunkey ในเขต นิว เคนต์ เคาท์ตี้, รัฐเวอร์จิเนีย ทั้งนี้โดยการแนะนำจากเพื่อนของมาร์ธา ในขณะที่จอร์จได้พักรบจากสงครามเจ็ดปี เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของมาร์ธาเพียงสองครั้ง ก่อนที่จะขอแต่งงานหลังจากเพิ่งพบกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์ จอร์จและมาร์ธาอายุได้ 27 ปีในวันที่เขาแต่งงาน คือวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1759 ที่บ้านของเธอที่เรียกว่าไวท์เฮาส์ (White House) ซึ่งชื่อบ้านนี้ได้กลายเป็นชื่อทำเนียบขาวต่อมาในปัจจุบัน คู่บ่าวสาวได้ย้ายไปยังบ้านที่ เมานต์เวอร์นอน ที่ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตต่อมาอย่างเป็นเจ้าของไร่และนักการเมือง ทั้งสองมีชีวิตการแต่งงานที่ดี มีบุตรสองคนจากการแต่งงานครั้งก่อนของมาร์ธา ชื่อ Daniel Parke Custis, John Parke Custis และ มาร์ธาได้เรียกบุตรทั้งสองว่า "Jackie" และ "Patsy” จอร์จและมาร์ธาไม่ได้มีบุตรด้วยกันเลย เขาเคยป่วยด้วยโรคฝีดาษ (smallpox) และได้รับเชื้อวัณโรค (tuberculosis) ที่ทำให้เขาเป็นหมัน ต่อมาจอร์จได้รับเลี้ยงหลานยายของมาร์ธา ชื่อ Eleanor Parke Custis ("Nelly") และ George Washington Parke Custis ("Washy") หลังจากที่พ่อของทั้งสองคนได้เสียชีวิตลง การที่วอชิงตันได้แต่งงานกับแม่หม้ายที่มีฐานะ ทำให้เขามีสมบัติและสถานะทางสังคมที่สูงยิ่งขึ้น เขาได้ที่ดินหนึ่งในสามของ 18,000 เอเคอร์ (73 ตารางกิโลเมตร) จากที่ดินตระกูลคัสทิส จากการแต่งงาน และได้รับส่วนที่เหลือในนามของลูกๆของมาร์ธา เขาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมโดยส่วนตัวในที่ซึ่งปัจจุบันคือ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย อันเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ในการรบในสงครามกับฝรั่งเศสและอินเดียน ในปี ค.ศ. 1775 เขาได้มีที่ดินรวม 6,500 เอเคอร์ (26 ตารางกิโลเมตร) และมีทาสกว่า 100 คน ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษจากสมรภูมิและเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ วอชิงตันได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสภาในขณะนั้นที่เรียกว่า Virginia provincial legislature ชื่อ the House of Burgesses ในปี ค.ศ. 1758 เขาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้พิพากษาแห่ง แฟร์แฟ็กซ์, และทำงานศาลที่ อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย ระหว่างปี ค.ศ. 1760 และ 1764 วอชิงตันมีบทบาทการเป็นผู้นำให้แก่ชาวอาณานิคมในการต่อต้านอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1769 เขายื่นข้อเสนอที่ร่างโดยเพื่อนของเขาชื่อ จอร์จ เมสัน ซึ่งเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจากอังกฤษ จนกว่าจะมีการยกเลิกพระราชบัญญัติทาวน์เชนด์ ค.ศ. 1767 (Townshend Acts ) ต่อมารัฐสภาของอังกฤษได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวในปี ค.ศ. 1770 สำหรับวอชิงตันแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ อย่างไรก็ตาม วอชิงตันเห็นว่าข้อความในพระราชบัญญัติการทูตแบบบีบบังคับ ค.ศ. 1774 (Intolerable Acts) เป็นการรุกล้ำสิทธิและประโยชน์ของชาวอาณานิคม ในเดือนกรกฎาคม เขานั่งเป็นประธานในการประชุมซึ่งมีการแก้ปัญหาใน แฟร์แฟ็กซ์ จนเกิดข้อตกลงแฟร์แฟ็กซ์ (Fairfax Resolves) ซึ่งเรียกร้องท่ามกลางสิ่งต่างๆ รวมถึงการเรียกประชุมสภาอาณานิคม ในเดือนสิงหาคม วอชิงตันเข้าร่วมการประชุมเวอร์จิเนียครั้งที่ 1 (First Virginia Convention) และได้รับเลือกจากที่ประชุมให้เป็นตัวแทนไปประชุมสภาอาณานิคมที่ 1 (First Continental Congress) อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในเวลาต่อมาสงครามปฏิวัติอเมริกัน สงครามปฏิวัติอเมริกัน. หลังจากเกิดการปะทะกับอังกฤษในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 วอชิงตันปรากฏตัวดด้วยชุดเครื่องแบบทหารในการประชุมสภาอาณานิคมที่ 2 (Second Continental Congress) ซึ่งเป็นการบอกเหตุว่าเขาพร้อมแล้วที่จะรบ วอชิงตันมีทั้งศักดิ์ศรี ประสบการณ์ด้านการทหาร มีบุคลิกภาพที่งามสง่า มีประวัติในการเป็นผู้รักชาติ และเขาได้รับการสนับสนุนจากรัฐภาคใต้ในขณะนั้น โดยเฉพาะจากเวอร์จิเนีย ถึงแม้เขาไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้นำทัพ และเขายังกล่าวด้วยว่าเขาเองอาจไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง แต่ในที่ประชุมก็ไม่มีใครแข่งขันด้วย สภาฯ ได้ก่อตั้งกองทัพบกที่เรียกว่ากองทัพฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) ในวันที่ 14 มิถุนายน ทั้งนี้จากการเสนอชื่อโดย จอห์น แอดัมส์ จากรัฐแมสซาชูเซตส์ วอชิงตันติดยศพลตรีและได้รับเลือกจากสภาฯ ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (Commander-in-chief) ในสงครามครั้งนี้ ด้านการรบ วอชิงตันรับหน้าที่นำทัพให้กับกองทัพบกฝ่ายอาณานิคมในสนามรบที่เคมบริดจ์ (รัฐแมสซาชูเซตส์) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1775 ระหว่างการเข้ายึดบอสตัน ด้วยความตระหนักว่ากองทัพขาดดินปืน วอชิงตันได้ขอการสนับสนุนเพิ่ม บางส่วนได้จากการยึดอาวุธของอังกฤษ รวมถึงบางส่วนในแคริบเบียน ได้มีความพยายามที่จะผลิตดินปืนกันเอง แต่ก็ไม่เพียงพอในการรบ (ซึ่งต้องการใช้ประมาณ 2.5 ล้านปอนด์) ซึ่งสามารถได้รับอย่างเพียงพอ ก็เมื่อสงครามกำลังจะจบแล้วและโดยส่วนใหญ่ได้มาจากฝรั่งเศส วอชิงตันจัดกำลังกองทัพบกใหม่ หลังจากเสียเวลาไปนาน ก็สามารถผลักดันให้อังกฤษถอนทหารไปได้ด้วยการระดมยิงที่ Dorchester Heights ทหารอังกฤษล่นถอยออกจากบอสตัน และวอชิงตันได้นำกองทัพรุกรานนิวยอร์ก แม้รัฐสภาฯจะมีทัศนะต่อนักรบผู้รักชาติที่ไม่มั่นใจนัก แต่หนังสือพิมพ์อังกฤษได้กล่าวสรรเสริญวอชิงตันว่าเป็นคนมีคุณลักษณะของความเป็นแม่ทัพ ยิ่งกว่านั้นในรัฐสภาของอังกฤษยังเห็นว่านายพลชาวอเมริกันผู้นี้มีความกล้าหาญ อดทน ตั้งใจ และเอาใจใส่ในกำลังพลของตนเอง และเป็นแบบอย่างให้อังกฤษซึ่งควรจะมีแม่ทัพที่มีคุณสมบัติในการรบเช่นนี้บ้าง ในระหว่างนั้นวอชิงตันปฏิเสธที่จะเข้าเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่เข้ายุ่งเกี่ยวและอยู่เหนือการเมืองที่มีฝักฝ่าย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1776 นายพลวิลเลียม โฮว์ ของอังกฤษได้รุกทางเรือและทางบกขนานใหญ่ โดยหวังที่จะบุกยึดเมืองนิวยอร์กและเปิดเจรจาสงบศึก กองทัพฝ่ายอาณานิมภายใต้การนำของวอชิงตันเผชิญหน้ากับข้าศึกเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ประกาศอิสรภาพ โดยทำสงครามที่ ลอง ไอซ์แลนด์ อันเป็นการรบที่ใหญ่ที่สุด การรบในครั้งนี้ได้ทำให้วอชิงตันต้องหนีออกจากนิวยอร์ก และข้ามไปนิวเจอร์ซีย์ ปล่อยให้อนาคตของกองทัพมืดมัว ในคืนวันที่ 25 ธันวาคมปีเดียวกันนั้น วอชิงตันได้ตีกลับ นำกำลังทัพอเมริกันข้ามแม่น้ำเดลาแวร์ และสามารถจับกุมกำลังคนฝ่ายอังกฤษได้เกือบ 1,000 คน ในเทรนตัน, รัฐนิวเจอร์ซีย์ วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1777 วอชิงตันรบแพ้ในสงครามแบรนดี้ไวน์ และวันที่ 26 กันยายน กองทัพของโฮว์ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่าฝ่ายของวอชิงตัน และได้เดินเข้าสู่เมืองฟิลาเดลเฟียโดยที่ไม่ได้รับการต่อต้าน การพ่ายแพ้ของวอชิงตันทำให้นักการเมืองในสภาหลายคนไม่พอใจ และวางแผนที่จะปลดวอชิงตัน แต่ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่หนุนหลังวอชิงตันได้รณรงค์สนับสนุนเขา. เดือนธันวาคม ค.ศ. 1777 กองทัพของวอชิงตันได้ตั้งค่ายที่ วอลเล่ย์ ฟอจ เป็นเวลา 6 เดือน ในช่วงฤดูหนาวนั้นทหารจำนวน 2,500 คนจากจำนวน 10,000 คนได้เสียชีวิตจากโรคและความหนาวเหน็บ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพได้ฟื้นตัวขึ้นที่ วอลเล่ย์ ฟอจ ซึ่งเกิดจากการฝึกและการให้คำแนะนำทางการทหารของ บารอน วอน สติวเบน ผู้ชำนาญการชาวปรัสเซียนที่อยู่ในคณะทำงาน ในปี ค.ศ. 1779 ทหารอังกฤษได้ถอนออกจากเมืองฟิลาเดลเฟีย และกลับสู่เมืองนิวยอร์ก ในขณะนั้นวอชิงตันได้อยู่กับกองทัพของเขาในด้านนอกของนิวยอร์ก และในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1780 ด้วยคำสั่งของวอชิงตัน นายพลจอห์น ซูวิลเลียน, ได้ตอบโต้ต่อการที่ Iroquois และ Tory โจมตีชาวอาณานิคมอเมริกันในช่วงต้นของสงคราม เป็นการรบชนะที่เด็ดขาด สามารถทำลายอย่างน้อย 40 หมู่บ้าน Iroquois ทั่วทั้งตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก เขาได้โจมตีครั้งสำคัญในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1781 หลังจากชัยชนะของกองทัพเรือฝรั่งเศส ทำให้กำลังทัพของอังกฤษต้องถูกกักอยู่ที่เวอร์จิเนีย ซึ่งนำไปสู่การยอมแพ้ที่ยอร์คเทาน์ และทำให้สงครามได้ยุติลง ถึงแม้ว่าจะเป็นชัยชนะในสงครามในชีวิตของเขา วอชิงตันได้ชนะสงคราม 3 ครั้งจากการสู้รบทั้งหมด 9 ครั้ง ชัยชนะของเขาที่ได้มานั้น ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการรบ การจัดทีมงานเสนาธิการและกำลังรบ ความอดทน และความตั้งใจที่จะต่อสู้ของฝ่ายผู้รักชาติ ที่แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ด้านการรบมาก่อน แต่ด้วยความพยายามและความกล้าหาญ เสียสละ จึงทำให้กองกำลังอาสาสมัครที่เริ่มจากคนหนุ่มจำนวนมากที่ไม่มีประสบการณ์ จนแข็งแกร่งขึ้น และสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ไปสู่ชัยชนะได้ เดือนมีนาคม ค.ศ. 1783 วอชิงตันได้ใช้อิทธิพลและบารมีของเขาในการสลายกลุ่มนายทหารบกที่ขู่ว่าจะเผชิญหน้ากับสภาฯ เพื่อเรียกร้องเงินเดือนที่ยังค้างจ่าย เนื่องจากมีสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ (Treaty of Paris) ที่ยอมรับในความเป็นเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกา วอชิงตันจึงได้สลายทัพบกในความรับผิดชอบของเขา และในวันที่ 2 พฤศจิกายน เขาได้กล่าวอำลาต่อทหารของเขา วันที่ 25 พฤศจิกายน อังกฤษถอนกำลังออกจากนิวยอร์ก วอชิงตันและผู้ว่าการรัฐจึงเข้ายึดพื้นที่ที่ Fraunces Tavern วันที่ 4 ธันวาคม เขากล่าวอำลานายทหารของเขา และวันที่ 23 ธันวาคม เขาลาออกจากการเป็นผู้บัญชากองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (commander-in-chief) และเป็นต้นแบบของผู้นำประเทศสาธารณรัฐที่ปฏิเสธการใช้อำนาจ ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐมีการปกครองโดยบทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งยังไม่มีประธานาธิบดีและรัฐบาลอย่างที่มีในปัจจุบัน หลังจากที่ลาออกจากกองทัพ เขาเกษียณกลับไปอยู่ที่เมานต์เวอร์นอน ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาเดินทางสำรวจดินแดนตะวันตกในปี ค.ศ. 1784 ก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงเอกฉันท์ให้เป็นประธานที่ประชุมฟิลาเดเฟียเมื่อช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1787 เขาได้มีส่วนอภิปรายไม่มากนัก แม้ว่าจะออกเสียงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายในหลายมาตรา แต่ด้วยเกียรติคุณของเขา สัมพันธภาพของเขากับบรรดาตัวแทนในสภาฯ เป็นไปด้วยดีฉันท์มิตร บรรดาตัวแทนในสภาได้ออกแบบตำแหน่งประธานาธิบดีโดยมองเขาไว้ในใจ และอนุมัติให้เขากำหนดตำแหน่งหน้าที่เมื่อได้เข้ารับตำแหน่ง ในที่ประชุม เขาได้สนับสนุนและทำให้ตัวแทนจากเวอร์จิเนียออกเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีการยอมรับทั้ง 13 รัฐการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี. ในปี ค.ศ. 1789 คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) มีมติเอกฉันท์เลือกวอชิงตันเป็นประธานาธิบดี และเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1792 เขายังคงได้รับคะแนนอิเล็กโทรรัล โหวต 100% เหมือนเดิม จอห์น แอดัมส์ถูกเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดี วอชิงตันทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1789 ภายในอาคาร เฟดเดอรัลฮอล นิวยอร์กซิตี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาไม่ต้องการที่จะรับตำแหน่งนี้ สภาคองเกรสที่ 1 ได้ออกเสียงอนุมัติเงินเดือนของวอชิงตันที่ปีละ 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามีมูลค่ามากในขณะนั้น แต่เนื่องด้วยวอชิงตันได้เป็นผู้มีฐานะอยู่แล้ว จึงปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนเพราะเขาเห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งเป็นการทำงานรับใช้ประเทศอย่างไม่เห็นแก่ตน แต่ด้วยการหว่านล้อมของสภาฯ เขาจึงได้ยอมรับเงินเดือนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเขาและบรรดา “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ” (Founding fathers) ต้องการให้ตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคตสามารถมาจากคนที่กว้างขวาง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี วอชิงตันได้เข้ารับหน้าที่อย่างระมัดระวัง เขาต้องการให้มั่นใจได้ว่าระบบของสาธารณรัฐจะไม่ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเหมือนกษัตริย์แห่งราชสำนักในยุโรป เขาชอบที่จะให้คนเรียกเขาว่า “ท่านประธานาธิบดี” (Mr. President) มากกว่าที่จะเรียกเป็นอื่นๆในลักษณะที่เรียกกษัตริย์ วอชิงตันได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ เป็นคนรู้จักกระจายอำนาจและสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เขาจะประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นประจำ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในท้ายสุด เขาเป็นคนทำงานอย่างมีกิจวัตร เป็นระบบ มีระเบียบ มีพลัง และถามหาความคิดเห็นจากคนอื่นๆในการตัดสินใจ โดยมีการมองที่เป้าหมายปลายทาง และคิดถึงการกระทำที่จะต้องตามมา หลังจากการรับตำแหน่งในวาระแรก เขาลังเลที่จะรับตำแหน่งต่อในวาระที่สอง และเขาปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งต่อในวาระที่สาม และนั่นจึงเป็นประเพณีสืบต่อมาที่จะไม่มีใครรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกิน 2 สมัย จนกระทั่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งที่ 22 ช่วงหลังสงครามโลกรั้งที่สองแล้ว จึงได้มีการตราเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัยภายในประเทศ ภายในประเทศ. วอชิงตันไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดๆ และคาดหมายไว้ว่าจะไม่จัดตั้งพรรคการเมือง ด้วยเกรงจะทำให้เกิดความขัดแย้งที่จะมีผลกระทบต่อรัฐบาล อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีของเขาเองได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยกลุ่มรัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of Treasury) คือ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ต้องการให้รัฐบาลกลางมีแผนที่หนักแน่น สามารถมีเครดิตของชาติ และทำให้ประเทศมีอำนาจทางการเงิน กลุ่มนี้ได้ตั้งเป็นพรรคสหพันธรัฐนิยม ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ โธมัส เจฟเฟอร์สันได้ก่อตั้ง “พรรคสาธารณรัฐ” (Jeffersonian Republicans) ซึ่งต่อต้านแนวคิดของแฮมิลตัน และได้คัดค้านการเสนอวาระต่างๆในหลายกรณี แต่วอชิงตันในฐานะเป็นนักปฏิบัติค่อนข้างเอนเอียงไปทางแฮมิลตันมากกว่าเจฟเฟอร์สัน ในปี ค.ศ. 1791 สภาฯได้กำหนดให้มีภาษีจัดเก็บจากเหล้า ซึ่งได้มีการประท้วงจากเขตชายแดน โดยเฉพาะจากเพนซิลเวเนีย ในปี ค.ศ. 1794 หลังจากที่วอชิงตันออกคำสั่งและนำผู้ประท้วงขึ้นศาล ทำให้การประท้วงได้ขยายวงรุนแรงมากขึ้นที่เรียกว่า “กบฏเหล้า” (Whiskey Rebellion) รัฐบาลกลางมีกำลังทหารไม่มากพอ จึงใช้รัฐบัญญัติทหารกองหนุน ค.ศ. 1792 เรียกทหารกองหนุน จากรัฐเพนซิลเวเนีย, เวอร์จิเนีย, และรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐ บรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆ จึงส่งกำลังทหารตามคำสั่งของวอชิงตันและเดินทัพไปยังบริเวณที่เกิดกบฏ ในครั้งนี้ประธานาธิบดีนำทัพไปด้วย ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์อเมริกันที่ผู้นำประเทศเป็นผู้นำทัพในลักษณะดังกล่าว และนับเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญใหม่ได้กำหนดให้รัฐบาลกลางใช้มาตรการทางทหารมีอำนาจเหนือรัฐและประชาชนการต่างประเทศ การต่างประเทศ. ในปี ค.ศ. 1793 รัฐบาลปฏิวัติของฝรั่งเศสได้ส่งทูต เอ็ดมุนด์ ชาร์ลส์ จีเน็ต ซึ่งได้เรียกว่า "ซิติเซน จีเน็ต" มายังสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นจดหมายการยอมรับความต่างศาสนา (letters of marque and reprisal) เพื่อให้เรือของสหรัฐจับกุมและควบคุมเรือของอังกฤษ จีเน็ตพยายามสร้างกระแสต่อประชาชนในเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐให้เข้าร่วมกับฝรั่งเศสที่ได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ และเป็นสังคมสาธารณรัฐประชาธิปไตยร่วมกัน วอชิงตันเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าแทรกแซงกิจการภายในของสหรัฐ และได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลฝรั่งเศสเรียก จีเน็ตกลับและไม่ยอมรับการทำงานของเขา ลายเอียดในจดหมาย letters of marque and reprisal นั้นให้เตือนและให้อำนาจแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลฝรั่งเศสที่จะ ตรวจค้น ยึด หรือทำลายทรัพย์สิน หรือสิ่งที่เป็นเจ้าของโดยต่างชาติที่ได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลของฝรั่งเศส วอชิงตันไม่ต้องการเข้าร่วมในสงครามที่เป็นปฏิปักษ์กันระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าปกติกับอังกฤษ จึงถอนกำลังทหารออกจากป้อมด้านตะวันตก และจ่ายหนี้สงครามที่เกิดจากการปฏิวัติ แฮมิลตันและวอชิงตันได้กำหนดสนธิสัญญากับอังกฤษ คือ สนธิสัญญาเจย์ ซึ่งเป็นการเจรจาโดย จอห์น เจย์ ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1794 ฝ่ายเจฟเฟอร์สัน และผู้สนับสนุนมีความโน้มเอียงไปทางฝรั่งเศส และต่อต้านสนธิสัญญาฉบับนี้ แต่วอชิงตันและแฮมิลตันได้รณรงค์ในรัฐสภาและให้ผ่านร่างของ เจย์ อังกฤษได้ตกลงที่จะถอนกำลังทหารออกจากป้อมรอบๆบริเวณ เกรท เลกส์ มีการปรับปรุงเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น การยกเลิกหนี้และการยึดสินค้าของสหรัฐฯ อีกหลายประการ และทางอังกฤษได้เปิดดินแดนด้าน เวสต์ อินดี้ เพื่อทำการค้ากับทางสหรัฐฯ สิ่งสำคัญคือสหรัฐฯ ได้เลี่ยงสงครามกับอังกฤษ และได้นำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศด้วยการคบค้ากับอังกฤษ แต่ได้สร้างความบาดหมางกับฝรั่งเศสและเป็นประเด็นทางการเมืองในเวลาต่อมาแถลงการณ์ลาออก แถลงการณ์ลาออก. คำกล่าวอำลาตำแหน่งของวอชิงตันในปี ค.ศ. 1796 เป็นคำกล่าวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองตอนหนึ่ง ที่เขียนโดยวอชิงตัน ถูกตรวจทานและช่วยปรับปรุงเพิ่มเติมโดย แฮมิลตัน เป็นการให้คำแนะนำอันจำเป็นแก่ประเทศ ให้เห็นความสำคัญของการที่หลายๆ รัฐได้มารวมกันเป็นประเทศ ต้องให้ความสำคัญของรัฐธรรมนูญและต้องเคารพกฎหมาย ข้อเสียจากการมีระบบพรรคการเมือง และการให้ยึดในคุณค่าความเป็นระบบสาธารณรัฐ แต่เขาปฏิเสธที่จะใส่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่อาจสร้างความขัดแย้ง แต่ให้เน้นความสำคัญของการศึกษา และเห็นว่าศีลธรรมของชาติจำเป็นต้องมีหลักการแห่งศาสนา วอชิงตันกล่าวเตือนถึงอิทธิพลจากยุโรป ที่จะมาแทรกแซงการเมืองภายในของสหรัฐฯ เขากล่าวเตือนว่าการเมืองภายในจะไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาเรียกร้องให้อเมริกาเป็นอิสระจากการผูกพันกับต่างประเทศ แต่เป็นมิตรกับทุกประเทศ และเตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามในยุโรป หรือไปเป็นพันธมิตรที่ซับซ้อนพัวพัน (Entangling alliances) คำกล่าวของเขาได้กลายเป็นค่านิยมของอเมริกันทางด้านศาสนาและด้านการต่างประเทศในยุคต่อมาการปลดเกษียณและถึงแก่อนิจกรรม การปลดเกษียณและถึงแก่อนิจกรรม. ภายหลังจากที่ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1797 วอชิงตันกลับไปยังเมานต์เวอร์นอนกับความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เขาให้เวลากับการทำการเกษตร ในปีนั้น เขาดูแลการสร้างโรงกลั่นเหล้าขนาด 2,250 ตารางฟุต (ยาว75 กว้าง 30 ฟุต) หรือประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นโรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐใหม่นั้น โดยมีหม้อต้มกลั่นเหล้าทองแดง 5 หม้อ มีถังหมัก 50 ถัง (Mash tubs) ทดแทนในที่ฟาร์มที่ไม่ได้กำไรในการดำเนินการ ในขณะนั้นช่วงเวลาประมาณ 2 ปี โรงกลั่นของเขาผลิตเหล้าได้ 11,000 แกลลอนที่ทำจากข้าวโพด และข้าวไร มีมูลค่าธุรกิจ 7,500 ดอลลาร์ และยังมีการผลิตเหล้าที่ทำจากผลไม้อีกด้วย วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1798 วอชิงตันได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ ในยศ พลโท และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Commander-in-chief) เพื่อเตรียมทำสงครามกับฝรั่งเศสในอนาคต ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1799 - 14 ธันวาคม ค.ศ. 1800 เขาได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกองทัพเฉพาะกิจในยามที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ให้สู้ในสนามรบ วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1799 วอชิงตันได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงขี่ม้า ตรวจงานในฟาร์มของเขา ในขณะที่มีหิมะ และต่อมามีฝนตกลงมาเป็นลูกเห็บ เขานั่งรับประทานอาหารโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เปียก ในวันต่อมา เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเป็นหวัด มีไข้และหลอดลมอักเสบ ต่อมากลายเป็นปอดบวม และเสียชีวิตช่วงเวลาหัวค่ำของวันที่ 14 ธันวาคม ด้วยวัย 67 ปี ขณะที่นายแพทย์ James Craik เป็นผู้ดูแลอาการป่วย ท่ามกลางเพื่อนสนิทหลายคน และรวมถึง Tobias Lear V ซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวของวอชิงตัน Lear ได้บันทึกคำสุดท้ายของวอชิงตันว่า "Tis well" แพทย์สมัยใหม่มีความเชื่อว่าวอชิงตันได้เสียชีวิตเพราะการรักษาในสมัยนั้น ที่รวมถึง การใช้ยาที่เป็นสารปรอท (calomel หรือ Mercury chloride) และการเจาะเลือดออกจากร่าง (bloodletting) อันเป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่ได้รับความนิยมของแพทย์ในยุคนั้น ซึ่งมีการเจาะออกถึง 5 ไพน์ (Pints) ซึ่งอาจทำให้เขาช๊อค หรือเป็นลม (asphyxia) และร่างกายขาดน้ำ (dehydration) หลังเสียชีวิต มาร์ธา ภรรยาของเขาได้เผาจดหมายการติดต่อระหว่างเธอกับจอร์จ วอชิงตัน โดยเก็บไว้เพียง 3 ฉบับ หลังจากเขาเสียชีวิต กองทัพเรืออังกฤษได้ลดลงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัย กองทัพบกอเมริกันใส่ปลอกแขนสีดำเป็นเวลา 6 เดือน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้สั่งแสดงการไว้ทุกข์ 10 วันในฝรั่งเศส ประชาชนหลายพันคนไว้ทุกข์เป็นเวลาหลายเดือนในสหรัฐอเมริกา เพื่อความเป็นส่วนตัว มาร์ธาจึงเผาจดหมายที่เขียนถึงสามีเธอ และของตัวเธอเอง มีเพียงแค่ 3 ฉบับที่ไม่ได้ถูกเผาการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตุลาการศาลสูงสุด การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตุลาการศาลสูงสุด. ประธานศาลสูงสุด (ระยะเวลา ค.ศ.)- จอห์น เจย์ (1789-1795) - จอห์น ลัทเลดจ์ (1795-1796) - วิลแลี่ยม คัสชิง (1796) - โอลิเวอร์ เอลสเวอร์ธ (1796-1800) รองประธานศาลสูงสุด (ระยะเวลา ค.ศ.)- จอห์น ลัทเลดจ์ (1789-1798) - วิลแลี่ยม คัสชิง (1789-1810) - เจมส์ วิลสัน (1789-1795) - โรเบิร์ต เอช. แฮริสัน (1789) - จอห์น แบลร์ (1789-1791) - เจมส์ อิราเดล (1790-1799) - โธมัส จอห์นสัน (1792-1793) - วิลเลียม เปเตอร์สัน (1793-1806) - ซามูเอล เชส (1796-1811) ในช่วงที่จอร์จ วอชิงตันเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มากกว่าสมัยของประธานาธิบดีคนอื่นๆ- รัฐที่เข้ารวมกับสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ จอร์จ วอชิงตัน: รัฐที่มีมาตั้งแต่แรก:- นอร์ทแคโรไลนา - 1789 - โรดไอแลนด์ - 1790 รัฐใหม่:- เวอร์มอนต์ - 1791 - เคนทักกี - 1792 - เทนเนสซี - 1796เกียรติประวัติ เกียรติประวัติ. เฮนรี ลี สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐอเมริกา และ โรเบิร์ต อี. ลี สหายร่วมสงครามปฏิวัติและเป็นบิดาสงครามประชาชน ได้กล่าวคำยกย่องสรรเสริญวอชิงตันที่รู้จักกันดี ดังนี้ คำกล่าวของลีได้ตั้งเป็นแบบอย่างมาตรฐาน กิตติศัพท์ที่เปี่ยมล้นของวอชิงตันเป็นสิ่งที่ประทับใจในความทรงจำของชาวอเมริกัน วอชิงตันจัดให้รัฐบาลแห่งชาติชุดก่อนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1778 วอชิงตันถูกขนานนามว่าเป็น "บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา" ในช่วงฉลองครบรอบ 200 ปีของประเทศสหรัฐ วอชิงตันได้รับแต่งตั้งเป็นเกียรติยศให้เป็นระดับนายพลเอก (General) ของกองทัพบกสหรัฐ โดยสภาคู่มีมติที่ ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1976 และเป็นคำสั่งออกมาจากกองทัพบกเลขที่ 31-3 วันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1978 โดยมีผลแต่งตั้งอย่างเป็นทางการย้อนหลังในวันที่ 4 กรกฎาคม 1976 อันเป็นวันชาติของสหรัฐฯ เพื่อให้วอชิงตันดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการทหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอนุสาวรีย์และที่ระลึก อนุสาวรีย์และที่ระลึก. ปัจจุบันนี้ ใบหน้าและรูปภาพของวอชิงตันถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆของสหรัฐอเมริกา เช่น ธงชาติ ตราประทับของสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งการแสดงความเคารพต่อวอชิงตันที่เห็นชัดที่สุดคือ มีรูปใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรฉบับละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และ เหรียญควอเตอร์ ใบหน้าของวอชิงตัน, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, ธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ อับราฮัม ลิงคอล์น ถูกนำไปแกะสลักที่เมานต์รัชมอร์ อนุสาวรีย์วอชิงตัน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ชาวอเมริกันรู้จักมากที่สุดได้ถูกสร้างขึ้น The George Washington Masonic National Memorial ในอเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย สร้างขึ้นด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Masonic Fraternity หลายสิ่งหลายอย่างได้นำชื่อของวอชิงตันไปตั้ง ชื่อของวอชิงตันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองหลวงของโลกที่ใช้ชื่อของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (อีกเมืองหนึ่งคือ มอนโรเวีย เมืองหลวงของประเทศไลบีเรีย) รัฐวอชิงตัน เป็นเพียงรัฐเดียวที่ใช้ชื่อนี้หลังจากตั้งประเทศ (แมริแลนด์, เวอร์จิเนีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระนามพระราชวงศ์อังกฤษ) มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน และ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์การถือทาส การถือทาส. ตลอดระยะเวลาในช่วงชีวิตของวอชิงตันมีการค้าขายทาสอย่างต่อเนื่อง วอชิงตันได้รับมรดกทาส 10 คน หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1743 ขณะที่มีอายุเพียง 11 ขวบ ในปีที่เขาแต่งงานกับมาร์ธา คัสทิสนั้น เขามีทาสอย่างน้อย 36 คน เขาใช้ทรัพย์สินของมาร์ธาไปชื่อที่ดินและสวน และซื้อทาสมาเพิ่มอีกจำนวนมาก เขาต้องจ่ายภาษีทาส 135 คน และซื้อทาสครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1772 แม้ว่าเขาจะได้รับทาสมาเพิ่มจากการชดใช้หนี้ของลูกหนี้ก็ตาม ก่อนที่สงครามปฏิวัติอเมริกาจะเกิดขึ้น วอชิงตันแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องทาสที่ไม่มีคุณธรรม แต่ในปี ค.ศ. 1786 เขาเขียนจดหมายไปถึง โรเบิร์ต มอริส ข้อความว่า "ไม่มีใครที่หวังความจริงใจมากกว่าที่ข้าพเจ้าทำ ที่จะมองถึงแผนการยกเลิกทาส" ในปี 1788 วอชิงตันเขียนจดหมายไปถึงผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่เมานต์เวอร์นอนว่า เขาหวังที่จะยกเลิกการค้าชาวนิโกร การปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่เกี่ยวกับประชากรทาสในเมานต์เวอร์นอนที่ไม่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ วอชิงตันไม่สามารถขายทาสที่ได้รับมาจากมรดกอย่างถูกกฎหมายหมายได้ เพราะว่าทาสเหล่านี้ได้แต่งงานระหว่างตระกูลทาสกับเจ้าของทาสของพวกเขา และเขาก็ไม่สามารถขายทาสได้โดยปราศจากการทำลายครอบครัว ในช่วงที่วอชิงตันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่นั้น ในปี ค.ศ. 1789 เขาซื้อทาสไปที่นิวยอร์กซิตี้ เพื่อเอาไว้ใช้งานในบ้านของประธานาธิบดีหลังแรก มี 7 คนคือ ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์ และ วิลเลียม ลี หลังจากที่ย้ายเมืองหลวงไปยังฟิลาเดลเฟีย ในปี 1790 เขาซื้อทาสอีก 9 คนไปใช้งานที่บ้านของประธานาธิบดี ที่ฟิลาเดลเฟีย ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์, เฮอร์คูล, ริชมอนด์ และ โจ (ริชาร์ดสัน) ออนนีย์ จัดจ์ และ เฮอร์คูล ได้พยายามหลบหนีเป็นอิสระ แต่ถูก ริชมอนด์ และ คริสโตเฟอร์ ชีลส์ ขัดขวางเอาไว้ รัฐเพนซิลเวเนีย ได้เริ่มต้นการยกเลิกทาสในปี ค.ศ. 1790 และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นเจ้าของทาสภายในรัฐนี้เกิน 6 เดือน ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายยกเลิกทาส (Gradual Abolition Law) จะให้อำนาจกับทาสเหล่านี้สามารถตั้งตัวเป็นอิสระได้ทันที วอชิงตันแย้งว่าการที่เขามาอยู่ที่เพนซิลเวเนียในครั้งนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขามานั่งตำแหน่งรัฐบาลกลางของเพนซิลเวเนียเพียงคนเดียว และไม่ควรที่จะอนุญาตให้กับตัวเขาเอง จากคำแนะนำของ เอ็ดมุนด์ แรนดอล์ฟ อัยการสูงสุดของเขา เสนอแนะว่า เขาควรสับเปลี่ยนหวุนเวียนทาสในบ้านของประธานาธิบดีอย่างเป็นระเบียบทั้งในและนอกรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้สร้างบ้านต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน การสับเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายของทางรัฐเพนซิลเวเนีย แต่การปฏิบัติของประธานาธิบดีครั้งนี้ก็ไม่มีใครออกมาคัดค้านแต่อย่างใด กฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี ในปี ค.ศ. 1793 (Fugitive Slave Act of 1793) กำหนดให้มีการค้าขายทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเจ้าของทาสสามารถเรียกคืนได้ ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา มาตรที่ 4 ส่วนที่ 2 ผ่านรัฐสภาและลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยวอชิงตัน กฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่เป็นทาสที่ต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมจะหลบหนี จะถูกจับโดยไม่มีการประกันและจะถูกนำตัวส่งให้ผู้เป็นเจ้าของทาส ซึ่งสามารถอ้างความเป็นเจ้าของได้เพียงด้วยการสาบานว่าเป็นเจ้าของทาสจริง คนผิวดำที่ต้องสงสัยว่าเป็นทาสหลบหนีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาการสอบสวน วอชิงตันเป็นเพียงบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าของทาส เป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศผู้ซึ่งปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระในภายหลัง การปฏิบัติของเขาถูกชักจูงโดยผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาเองคือ มาร์กีส์ เดอ ลาฟาแยตต์ (Marquis de Lafayette) วอชิงตันไม่ได้ปล่อยทาสของเขาให้เป็นอิสระในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม วอชิงตันตั้งใจที่จะปล่อยทาสของเขาในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม ในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม มีทาส 317 คนที่เมานต์เวอร์นอน แบ่งออกเป็น 123 คนเป็นทาสของวอชิงตัน 154 คนเป็นทาสที่ได้มาจากมรดกตกทอด และอีก 40 คนเป็นทาสที่ยืมมาจากเพื่อนบ้าน มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันว่าวอชิงตันไม่ได้พูดเรื่องการต่อต้านการค้าทาสในที่สาธารณะ เพราะว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะสร้างความแตกแยกในการเมืองใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและแบ่งแยกทางความคิด แม้ว่าวอชิงตันจะคัดค้านกฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี เขามีสิทธิ์ในการยับยั้ง ซึ่งส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้เป็นโมฆะได้ (การออกเสียงของสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ แต่ทางรัฐสภาผ่านเป็นกฎหมาย ด้วยคะแนน 47 ต่อ 8)ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อทางศาสนา. วอชิงตันถูกทำพิธีตั้งชื่อในศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ในปี ค.ศ. 1765 เมื่อนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ยังคงเป็นศาสนาประจำชาตินั้น เขาทำพิธีสวดมนต์อยู่ในห้องซึ่งพระใช้เตรียมตัวเพื่อทำพิธีทางศาสนาภายในโบสถ์ท้องถิ่นของเขา ตลอดชีวิตของวอชิงตัน เขาพูดถึงคุณค่าของคุณธรรม และเสนอคำขอบคุณสำหรับ "การให้พรของพระเจ้า" ในปี ค.ศ. 1785 วอชิงตันเขียนจดหมายไปถึง จอร์จ เมสัน ข้อความว่า เขาไม่อยู่ท่ามกลางเสียงปลุกเหล่านี้โดยใบประกาศแจ้งว่า "ให้เรียไรเงินจากประชาชนเพื่อทำนุบำรุงศาสนา" วอชิงตันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ "ไม่เหมาะสม" ที่จะให้ผ่านมาตรการนี้และเขาปรารถนาว่าจะต้องไม่ถูกเสนอ และเชื่อว่ามันจะทำให้สังคมวุ่นวาย เนลลี คัสทิส เลวิส ลูกเลี้ยงของวอชิงตัน แถลงว่า "ฉันได้ยินเธอ (แม่ของเนลลี, อีลีเนอร์ คัลเวอร์ต คัสทิส ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมานต์เวอร์นอนเป็นเวลา 2 ปี) กล่าวว่า พลเอกวอชิงตัน ทำพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนกับยายของฉันเสมอ (มาร์ธา วอชิงตัน) ก่อนการปฏิวัติอเมริกา" หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติอเมริกา วอชิงตันไปทำพิธีที่โบสถ์คริสเตียนเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกว่าเขาเคยทำพิธีศีลมหาสนิท และเขาจะเลิกพิธีกรรมต่างๆ ก่อนพิธีศีลมหาสนิทจะเริ่มขึ้นเป็นประจำ พร้อมกับผู้ที่ไม่เข้าร่วมพิธีรำลึกถึงวันสวรรคตของพระเยซูคนอื่นๆ จนกระทั่งหลังจากการตักเตือนโดยพระโปรเตสแตนด์ปกครองแขวงท่านหนึ่ง วอชิงตันยกเลิกที่จะไปทำพิธีทั้งหมดในวันอาทิตย์ วอชิงตันเป็นผู้สนับสนุนในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในปี ค.ศ. 1775 เขาสั่งให้กองทัพไม่ให้แสดงบรรยากาศที่ต่อต้านโรมันคาทอลิก (anti-Catholic) โดยการเผาหุ่นจำลองของโป๊ปในคืน Guy Fawkes Night ในปี ค.ศ. 1790 วอชิงตันตอบจดหมายที่มาจาก Touro Synagogue ซึ่งเขากล่าวว่า ตราบใดที่ประชาชนยังเป็นพลเมืองดีนั้น พวกเขาเชื่อว่าไม่มีเรื่องราวอะไร นี่เป็นสิ่งที่จะช่วยพวกชาวยิวในสหรัฐฯ ตั้งแต่พวกยิวได้ถูกขับไล่และถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากหลายประเทศในยุโรป กฎหมายสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในกระบวนการร่างกฎหมายในเวลานั้นองค์กรฟรีเมสัน องค์กรฟรีเมสัน. วันที่ 4 พศจิกายน ค.ศ. 1752 วอชิงตันถูกชักชวนให้ไปเข้ากับองค์กรฟรีเมสัน ในกระท่อมไม้ที่เฟดเดอริกส์เบิร์ก วันที่ 29 เมษายน 1788 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขฟรีเมสันแห่ง Alexandria Lodge 22 และเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ยังอยู่ในองค์กรนี้ โดยที่ผู้นำของ แกรนด์ลอดจ์แห่งนิวยอร์ก เป็นคนร่างคำแถลงการณ์รับตำแหน่งประธานาธิบดีให้ วันที่ 18 กันยายน 1793 วอชิงตันแต่งเครื่องแบบ เมโซนิคแกรนด์มาสเตอร์ ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในตึก ยู.เอส.แคปิตอลชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. จากประวัติส่วนตัวของมาร์ธา ได้บันทึกว่า วอชิงตันมีความใกล้ชิดกับหลานของเขา ชื่อ บุชร็อด วอชิงตัน อันเป็นบุตรชายของน้องชายของเขาชื่อว่า จอห์น ออกัสติน วอชิงตัน และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาสูงสุด เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่ม วอชิงตันมีผมสีแดง มีคนเชื่อว่าเขาใส่วิก ซึ่งเป็นแฟชั่นของยุคสมัย แท้ที่จริงแล้ววอชิงตันไม่ได้ใส่วิกแต่อย่างใด แต่เขาใส่แป้งที่ผมของเขา ดังที่ได้ปรากฏในภาพวาดหลายๆภาพ รวมถึงภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่ยังวาดไม่เสร็จโดย จิลเบิร์ต สตูอาร์ต วอชิงตันเป็นคนรูปร่างสูงอย่างเห็นได้ชัด เขาสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว หรือ 188 เซนติเมตร ไหล่แคบ อาจมีลักษณะลำตัวส่วนบนกลมหนา สะโพกกว้าง วอชิงตันมีปัญหาเรื่องฟัน ทำให้เขาต้องใส่ฟันปลอม เขาเสียฟันซี่แรกตั้งแต่อายุ 22 ปี และเมื่อเขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี เขาเหลือฟันจริงเพียงซี่เดียว ตามจดหมายเหตุบอกเล่าโดย จอห์น แอดัมส์ วอชิงตันเสียฟันไปจากการขบผลไม้เปลือกแข็งที่เรียกว่า Brazil nuts แต่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้เหตุผลว่า เขาอาจเสียฟันไปจากการรักษาโรคในยุคนั้นที่ใช้ยาที่เข้าสารปรอท (mercury oxide) ในการรักษาโรคฝีดาษ (smallpox) และมาเลเรีย (malaria) เขามีฟันปลอมหลายชุด มี 4 ชุดที่ประดิษฐโดยหมอฟัน ชื่อ จอห์น กรีนวูด ที่ต่างไปจากความเชื่อว่าฟันของเขาไม่ได้ทำจากไม้ แต่ทำจากงา (Ivory) ของฮิปโปและช้าง ที่มีตัวเชื่อมระหว่างฟันเป็นทอง ฟันที่ประดิษฐ์ในยุคนั้น มีทั้งที่ทำจากฟันม้า ฟันลา การใส่ฟันปลอมทำให้วอชิงตันมีอาการปวดฟัน และทำให้เขาต้องใช้ยาระงับปวด laudanum ในขณะนั้น ที่มีส่วนของมอร์ฟีนและแอลกอฮอล์ ทำให้เวลาเขาพูดจะมีการเกร็งฝีปากดูไม่เป็นธรรมชาตินัก
| ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาคือใคร | {
"answer": [
"จอร์จ วอชิงตัน"
],
"answer_begin_position": [
102
],
"answer_end_position": [
116
]
} |
2,007 | 10,820 | จอร์จ วอชิงตัน จอร์จ วอชิงตัน (, 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799) เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ระหว่าง ค.ศ. 1775 ถึง 1799 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนือบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกัน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพภาคพื้นทวีปใน ค.ศ.1775-1783 และรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1789-1797 วอชิงตันเป็นผู้นำการสร้างรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีการคลังที่ดี ซึ่งวางตนเป็นกลางในสงครามที่ปะทุขึ้นในยุโรป ปราบปรามกบฏและได้รับการยอมรับจากชนอเมริกันทุกประเภท รูปแบบความเป็นผู้นำของเขาได้กลายมาเป็นระเบียบพิธีของรัฐบาลซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมานับแต่นั้น อาทิ การใช้ระบบคณะรัฐมนตรีและการปราศรัยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ วอชิงตันได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็น "บิดาแห่งประเทศของเขา" ด้วย ใน ค.ศ. 1775 รัฐสภาอาณานิคมได้แต่งตั้งวอชิงตันเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปฏิวัติอเมริกัน ปีถัดมา เขานำทัพขับไล่กองทัพอังกฤษออกจากบอสตัน เสียนครนิวยอร์ก ข้ามแม่น้ำเดลาแวร์ในนิวเจอร์ซีย์ และสามารถรบชนะข้าศึกซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวในปลายปีเดียวกัน ผลของยุทธศาสตร์ที่เขาใช้ ทำให้กองกำลังปฏิวัติอเมริกันสามารถยึดกำลังรบสำคัญของอังกฤษ 2 แห่งที่ซาราโตกาและยอร์กทาวน์ ด้วยการเจรจากับสภาอาณานิคมทั้งสิบสาม รัฐอาณานิคม และพันธมิตรฝรั่งเศส วอชิงตันได้รวบรวมกองทัพอันไร้ผู้นำและชาติอันอ่อนแอให้เป็นปึกแผ่น ท่ามกลางภยันตรายจากความแตกแยกและความล้มเหลว หลังสงครามยุติในปี ค.ศ. 1783 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ตรัสถามวอชิงตันว่าจะทำอะไรต่อไป และทรงได้รับข่าวลือมาว่าวอชิงตันจะกลับไปยังบ้านไร่ของตนเอง ทำให้มีพระราชกระแสในทันทีว่า "ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" ซึ่งวอชิงตันก็ได้กลับไปใช้ชีวิตสมถะอย่างชาวไร่จริง ๆ ที่เมานต์เวอร์นอน อันเนื่องมาจาก "บทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐ" (Articles of Confederation) ที่ร่างขึ้นนั้นไม่เป็นที่พอใจโดยทั่วกัน ใน ค.ศ. 1787 วอชิงตันจึงเป็นประธานการประชุมฟิลาเดเฟียเพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา และใน ค.ศ. 1789 ก็ได้รับเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้สถาปนาจารีตและวิถีทางการบริหารหลายประการเกี่ยวแก่องค์กรของรัฐบาลใหม่ ในการนี้ เขาแสวงหาลู่ทางสร้างชาติที่จะสามารถธำรงอยู่ในโลกอันถูกฉีกเป็นชิ้นเพราะสงครามระหว่างอังกฤษฝรั่งเศส วอชิงตันได้มี "ประกาศความเป็นกลาง" (Proclamation of Neutrality of 1793) ใน ค.ศ. 1793 ซึ่งวางรากฐานการงดเว้นไม่เข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งกับต่างชาติ เขายังได้สนับสนุนแผนจัดตั้งรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งโดยวางกองทุนเพื่อหนี้สินของชาติ ส่งผลให้เกิดระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ธนาคารแห่งชาติในที่สุด เนื่องจากวอชิงตันเลี่ยงที่จะไม่ก่อสงครามกับอังกฤษ ทศวรรษแห่งสันติสุขจึงมีขึ้นด้วยสนธิสัญญาเจย์ ค.ศ. 1795 (Jay Treaty of 1795) อันได้รับสัตยาบันไปด้วยดีเพราะเกียรติภูมิส่วนตัวของวอชิงตัน แม้ว่าสนธิสัญญานี้จะถูกต่อต้านอย่างหนักจากโธมัส เจฟเฟอร์สัน ก็ตาม ในทางการเมืองนั้น ถึงแม้ว่าวอชิงตันมิได้เข้าร่วมพรรคสหพันธรัฐนิยม (Federalist Party) อย่างเป็นทางการ แต่เขาก็สนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของพรรค ทั้งยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสำหรับพรรคด้วย เมื่อเขาพ้นจากตำแหน่ง ได้มีสุนทรพจน์แสดงคุณค่าของระบอบสาธารณรัฐ และเตือนให้ระวังความแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความนิยมถิ่น และมิให้ร่วมสงครามกับต่างชาติ ด้วยผลงานอันอุทิศให้แก่ชาติบ้านเมือง วอชิงตันจึงได้รับ "เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เหรียญทองแห่งรัฐสภาคองเกรส" (Congressional Gold Medal) เป็นบุคคลแรก เขาถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1799 โดย เฮนรี ลี สดุดีวอชิงตันในพิธีศพว่า "ในยามรบ ยามสงบ และในหัวใจของเพื่อนร่วมชาติ เขาคือที่หนึ่งสำหรับอเมริกันชนทั้งปวง"ประวัติและการศึกษา ประวัติและการศึกษา. จอร์จ วอชิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 เป็นลูกคนแรกของ ออกัสติน วอชิงตัน และภรรยาคนที่สองของเขา แมรี่ บอล วอชิงตัน ที่โคโลเนียล บีช ในเวสต์มอแลนด์ เคาท์ตี้ เวอร์จิเนีย ครอบครัววอชิงตันย้ายไปอยู่ที่เฟอร์รี่ฟาร์มเมื่อจอร์จอายุได้ 6 ขวบ จอร์จเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านโดยพ่อและพีชายคนโตเป็นผู้สอนหนังสือให้ เชื้อสายของเขามาจากเมืองซัลเกรฟ ประเทศอังกฤษ ปู่ทวดของเขา จอห์น วอชิงตัน ย้ายมาอาศัยที่เวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1657การปลูกยาสูบเป็นสินค้าในเวอร์จิเนียสามารถวัดได้โดยจำนวนทาสที่เอามาใช้แรงงานปลูกยาสูบ เมื่อวอชิงตันเกิด จำนวนประชากรของรัฐอาณานิคมเป็นคนผิวดำ 50% ชาวแอฟริกันและอเมริกันแอฟริกันเกือบทั้งหมดถูกบังคับให้เป็นทาส. ในช่วงวัยหนุ่ม วอชิงตันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน เขาได้ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศถื่นฐานบ้านเกิดของเขาอย่างประเมินค่ามิได้ พี่ชายคนโตของเขาแต่งงานกับครอบครัวแฟร์แฟ็กซ์ และได้รับวอชิงตันไปอุมถัมป์เลี้ยงดูโดย โธมัส แฟร์แฟ็กซ์, ลอ์ด แฟร์แฟ็กซ์ที่ 6 แห่งคาเมรอน ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1749 หลังจากที่มีการก่อตั้งเมือง อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนียตลอดตามลำน้ำแม่น้ำโปตาแม็กอย่างกะทันหันนั้น ขณะนั้นวอชิงตันอายุได้ 17 ปีเขาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานสาธารณะเป็นครั้งแรกโดยเป็นผู้สำรวจรังวัดที่ดิน ในเขตคัลเปเปอร์เคาท์ตี้ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ในชายแดนของรัฐอาณานิคม การแต่งตั้งครั้งนี้ถูกรับรองโดยคำสั่งจากลอร์ด แฟร์แฟ็กซ์และลูกพี่ลูกน้องของเขา วิลเลียม แฟร์แฟ็กซ์ ผู้ซึ่งนั่งตำแหน่งในสภาผู้ว่าการรัฐอาชีพ อาชีพ. วอชิงตันเริ่มทำอาชีพเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเขามีทาสในครอบครอง 20 คนหรืออาจจะมากกว่านั้น ค.ศ. 1748 เขาถูกเชิญให้ไปช่วยรังวัดที่ดินของลอ์ด แฟร์แฟ็กซ์ อยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาบลูริดจ์ ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานของเขาเองแห่งแรก สำรวจ คัลเปเปอร์ เคาท์ตี้ (รัฐเวอร์จิเนียร์) ซึ่งเป็นที่ดินแดนแห่งใหม่ และด้วยการสนับสนุนของพี่ชายต่างมารดาชื่อ ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน เขามีความสนใจในสมาคม (Ohio Company) ซึ่งสำรวจแผ่นดินทางตะวันตก ค.ศ. 1751 จอร์จและพี่ชายของเขาเดินทางไปประเทศบาร์เบโดส และได้พักอยู่ที่บ้านบุชฮิลล์ (Bush Hill House) โดยหวังเพื่อรักษาอาการวัณโรคของพี่ชาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางไปนอกเขตที่เป็นประเทศสหรัฐในปัจจุบัน หลังจากที่ลอว์เรนซ์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1752 จอร์จได้รับมรดกบางส่วน และได้รับงานสืบต่อจากพี่ชายในอาณานิคมนั้น ปี ค.ศ. 1752 วอชิงตันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการฝ่ายธุรการ (adjutant general) ให้กับทหารกองหนุนแห่งเวอร์จิเนีย (Virginia militia) ทำให้เขาได้ติดยศพันตรีเมื่ออายุได้เพียง 20 ปี เขามีหน้าที่ฝึกทหารกองหนุนตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เมื่ออายุได้ 21 ปี ที่เฟดเดอร์ริกส์เบิร์ก วอชิงตันได้เป็นนายช่าง (Master Mason) ขององค์กรฟรีเมสัน ซึ่งเป็นองค์การที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดฉันท์พี่น้องที่มีผลต่อเขาตลอดชีวิต เดือนธันวาคม ค.ศ. 1753 วอชิงตันได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการอาณานิคมแห่งเวอร์จิเนีย ชื่อ โรเบิร์ต ดินวิดดี้ ให้นำทหารอังกฤษไปยื่นคำขาดแก่ฝรั่งเศสในบริเวณดินแดน โอไฮโอ วอชิงตันประเมินถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งหมายของกองทัพฝรั่งเศสแล้ว จึงได้ยื่นคำขาดแก่กองทัพฝรั่งเศสที่ป้อม Fort Le Boeuf ซึ่งในปัจจุบันคือ วอเตอร์ฟอร์ด, รัฐเพนซิลเวเนีย ข้อความที่ถูกมองข้ามไป ต้องการให้ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสละทิ้งถิ่นฐานและชุมชนพัฒนานั้นไปจากบริเวณโอไฮโอ เหตุการณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวอาณานิคมทั้งสองกลุ่มซึ่งมีอานาจเกิดความขัดแย้งแพร่หลายไปทั่วโลก รายงานของวอชิงตันนี้ได้ถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างทั้งสองฟากของมหาสมุทรแอตแลนติกสงครามอินเดียนและฝรั่งเศส (สงครามเจ็ดปี) สงครามอินเดียนและฝรั่งเศส (สงครามเจ็ดปี). ในปี ค.ศ. 1754 ดินวิดดี้แต่งตั้งยศพันโทให้วอชิงตัน และสั่งให้นำคณะเดินทางไปยังป้อม Fort Duquesne เพื่อไปขับไล่ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา นำโดย ทานาชาริสัน วอชิงตันได้ทำลายทหารสอดแนมของฝรั่งเศสจำนวน 30 นาย ที่นำโดย โจเซฟ โคโลน เดอ จูมอนวิลล์ ที่ฟอร์ต เนเซสซิตี้ วอชิงตันและกองกำลังของเขาต้องพ่ายแพ้ต่อทัพผสมระหว่างแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสกับอินเดียน ที่มีกำลังเหนือกว่าและอยู่ในชัยภูมิที่ดีกว่า ในแถลงการยอมจำนนครั้งนี้ได้รวมเอาเนื้อหาว่า วอชิงตันลอบสังหารจูมอนวิลล์หลังจากการซุ่มโจมตี วอชิงตันอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก จึงไม่ทราบว่าเนื้อหาเขียนว่าอะไรและยอมลงนามไป วอชิงตันได้รับการปล่อยตัวจากพวกแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส และได้กลับสู่เวอร์จิเนีย โดยยอมลาออกมากกว่าที่จะถูกลดขั้น ในปี ค.ศ. 1755 วอชิงตันเป็นนายทหารผู้ช่วยของนายพลเอ็ดวาร์ด แบร็ดด็อกแห่งอังกฤษ มีลางไม่ดีในคณะเดินทางของแบร็ดด็อก นี่เป็นความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่จะยึดโอไฮโอ เคาท์ตี้กลับคืนมา ต่อมาแบร็ดด็อกถูกลอบสังหารทำให้คณะเดินทางของเขาต้องยุติลง ขณะที่บทบาทของวอชิงตันในระหว่างสงครามมีข้อถกเถียงขึ้นมา โดยนักชีวประวัติ โจเซฟ เอลลิส ยืนยันว่า วอชิงตันได้ขี่ม้าตะลุยไปมาตลอดทั่วสมรภูมิ รวบรวมกำลังพลที่เหลือของอังกฤษและเวอร์จิเนียเพื่อถอยทัพ หลังจากเหตุการณ์นี้ วอชิงตันได้รับมอบหมายให้ควบคุมชายแดนอันวุ่นวายแถบเทือกเขาเวอร์จิเนีย และได้รับรางวัลโดยเลื่อนขั้นให้เป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองกำลังเวอร์จิเนียทั้งหมด ในปี ค.ศ. 1758 วอชิงตันติดยศนายพลจัตวาในคณะเดินทางของ Forbes ที่บังคับให้ฝรั่งเศสอพยพถอนทัพออกจาก Fort Duquesne และการสร้างระบบกองทัพของอังกฤษที่พิตต์สเบิร์ก หลังจากปีนั้น วอชิงตันลาออกจากทหารและใช้เวลาพัฒนาไร่ของเขาเป็นเวลาถึง 16 ปี และเป็นนักการเมืองท้องถิ่นของเวอร์จิเนียเปรียบเทียบระหว่างทหารกองหนุนกับทหารกองประจำการ เปรียบเทียบระหว่างทหารกองหนุนกับทหารกองประจำการ. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารกองหนุนอาณานิคม แม้ว่าจะจัดให้วอชิงตันอยู่ในตำแหน่งอาวุโส วอชิงตันรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างดีระหว่างสถาบันทหารกองหนุนและทหารกองประจำการของอังกฤษ โชคดีที่พี่ชายของเขา ลอว์เลนซ์ ได้รับการปูนบำเหน็จจากนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอังกฤษให้เป็น "ร้อยเอกในกองพันทหารราบ" ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1740 กองทัพอังกฤษเพิ่มจำนวนกองพันทหารราบในดินแดนอาณานิคม (กองพันทหารราบที่ 61) เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ในเวสต์อินดี้ระหว่างสงครามหูของเจงกินส์ แต่ละรัฐได้รับอนุมัติให้จัดตั้งนายทหารกองร้อยเป็นของตัวเอง ทั้งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ และพันเอก William Blakeney ได้แจกเอกสารการมอบอำนาจไปยังผู้ว่าการรัฐอาณานิคมต่างๆ 15 ปีต่อมา นายพล แบร็ดด็อก มาถึงเวอร์จิเนียเมื่อปี 1755 พร้อมกับกองพันทหารราบที่ 44 และ 48 วอชิงตันมองหาค่าคอมมิชชันแต่ไม่สามารถหามาจัดซื้อได้ เขาอยากมียศที่สูงกว่าพันโท โดยที่เขาอยากเป็นนายทหารอาวุโสในกองทัพประจำการ วอชิงตันเลือกที่จะไปเป็นนายทหารคนสนิทของนายพล ในขณะนั้น เขาสามารถบัญชาการกองทัพอังกฤษได้ หลังจากความพ่ายแพ้ของแบล็ดด็อก รัฐสภาอังกฤษตัดสินใจสร้าง Royal American Regiment of Foot เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1755 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น King's Royal Rifle Corps ซึ่งแตกต่างจาก "American Regiment" ที่ใช้ในปี 1740-42 ทหารทั้งหมดถูกเกณฑ์ในอังกฤษและยุโรปเมื่อต้นปี 1756ระหว่างสงคราม:เมานต์เวอร์นอน ระหว่างสงคราม:เมานต์เวอร์นอน. จอร์จอ วอชิงตันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ มาร์ธา แดนดริดจ์ คัสทิส ซึ่งเป็นแม่หม้ายที่อาศัยอยู่ในไร่ชื่อ White House Plantation บนฝั่งแม่น้ำ Pamunkey ในเขต นิว เคนต์ เคาท์ตี้, รัฐเวอร์จิเนีย ทั้งนี้โดยการแนะนำจากเพื่อนของมาร์ธา ในขณะที่จอร์จได้พักรบจากสงครามเจ็ดปี เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของมาร์ธาเพียงสองครั้ง ก่อนที่จะขอแต่งงานหลังจากเพิ่งพบกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์ จอร์จและมาร์ธาอายุได้ 27 ปีในวันที่เขาแต่งงาน คือวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1759 ที่บ้านของเธอที่เรียกว่าไวท์เฮาส์ (White House) ซึ่งชื่อบ้านนี้ได้กลายเป็นชื่อทำเนียบขาวต่อมาในปัจจุบัน คู่บ่าวสาวได้ย้ายไปยังบ้านที่ เมานต์เวอร์นอน ที่ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตต่อมาอย่างเป็นเจ้าของไร่และนักการเมือง ทั้งสองมีชีวิตการแต่งงานที่ดี มีบุตรสองคนจากการแต่งงานครั้งก่อนของมาร์ธา ชื่อ Daniel Parke Custis, John Parke Custis และ มาร์ธาได้เรียกบุตรทั้งสองว่า "Jackie" และ "Patsy” จอร์จและมาร์ธาไม่ได้มีบุตรด้วยกันเลย เขาเคยป่วยด้วยโรคฝีดาษ (smallpox) และได้รับเชื้อวัณโรค (tuberculosis) ที่ทำให้เขาเป็นหมัน ต่อมาจอร์จได้รับเลี้ยงหลานยายของมาร์ธา ชื่อ Eleanor Parke Custis ("Nelly") และ George Washington Parke Custis ("Washy") หลังจากที่พ่อของทั้งสองคนได้เสียชีวิตลง การที่วอชิงตันได้แต่งงานกับแม่หม้ายที่มีฐานะ ทำให้เขามีสมบัติและสถานะทางสังคมที่สูงยิ่งขึ้น เขาได้ที่ดินหนึ่งในสามของ 18,000 เอเคอร์ (73 ตารางกิโลเมตร) จากที่ดินตระกูลคัสทิส จากการแต่งงาน และได้รับส่วนที่เหลือในนามของลูกๆของมาร์ธา เขาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมโดยส่วนตัวในที่ซึ่งปัจจุบันคือ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย อันเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ในการรบในสงครามกับฝรั่งเศสและอินเดียน ในปี ค.ศ. 1775 เขาได้มีที่ดินรวม 6,500 เอเคอร์ (26 ตารางกิโลเมตร) และมีทาสกว่า 100 คน ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษจากสมรภูมิและเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ วอชิงตันได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสภาในขณะนั้นที่เรียกว่า Virginia provincial legislature ชื่อ the House of Burgesses ในปี ค.ศ. 1758 เขาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้พิพากษาแห่ง แฟร์แฟ็กซ์, และทำงานศาลที่ อเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย ระหว่างปี ค.ศ. 1760 และ 1764 วอชิงตันมีบทบาทการเป็นผู้นำให้แก่ชาวอาณานิคมในการต่อต้านอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1769 เขายื่นข้อเสนอที่ร่างโดยเพื่อนของเขาชื่อ จอร์จ เมสัน ซึ่งเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าจากอังกฤษ จนกว่าจะมีการยกเลิกพระราชบัญญัติทาวน์เชนด์ ค.ศ. 1767 (Townshend Acts ) ต่อมารัฐสภาของอังกฤษได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวในปี ค.ศ. 1770 สำหรับวอชิงตันแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ อย่างไรก็ตาม วอชิงตันเห็นว่าข้อความในพระราชบัญญัติการทูตแบบบีบบังคับ ค.ศ. 1774 (Intolerable Acts) เป็นการรุกล้ำสิทธิและประโยชน์ของชาวอาณานิคม ในเดือนกรกฎาคม เขานั่งเป็นประธานในการประชุมซึ่งมีการแก้ปัญหาใน แฟร์แฟ็กซ์ จนเกิดข้อตกลงแฟร์แฟ็กซ์ (Fairfax Resolves) ซึ่งเรียกร้องท่ามกลางสิ่งต่างๆ รวมถึงการเรียกประชุมสภาอาณานิคม ในเดือนสิงหาคม วอชิงตันเข้าร่วมการประชุมเวอร์จิเนียครั้งที่ 1 (First Virginia Convention) และได้รับเลือกจากที่ประชุมให้เป็นตัวแทนไปประชุมสภาอาณานิคมที่ 1 (First Continental Congress) อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในเวลาต่อมาสงครามปฏิวัติอเมริกัน สงครามปฏิวัติอเมริกัน. หลังจากเกิดการปะทะกับอังกฤษในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 วอชิงตันปรากฏตัวดด้วยชุดเครื่องแบบทหารในการประชุมสภาอาณานิคมที่ 2 (Second Continental Congress) ซึ่งเป็นการบอกเหตุว่าเขาพร้อมแล้วที่จะรบ วอชิงตันมีทั้งศักดิ์ศรี ประสบการณ์ด้านการทหาร มีบุคลิกภาพที่งามสง่า มีประวัติในการเป็นผู้รักชาติ และเขาได้รับการสนับสนุนจากรัฐภาคใต้ในขณะนั้น โดยเฉพาะจากเวอร์จิเนีย ถึงแม้เขาไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้นำทัพ และเขายังกล่าวด้วยว่าเขาเองอาจไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง แต่ในที่ประชุมก็ไม่มีใครแข่งขันด้วย สภาฯ ได้ก่อตั้งกองทัพบกที่เรียกว่ากองทัพฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) ในวันที่ 14 มิถุนายน ทั้งนี้จากการเสนอชื่อโดย จอห์น แอดัมส์ จากรัฐแมสซาชูเซตส์ วอชิงตันติดยศพลตรีและได้รับเลือกจากสภาฯ ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (Commander-in-chief) ในสงครามครั้งนี้ ด้านการรบ วอชิงตันรับหน้าที่นำทัพให้กับกองทัพบกฝ่ายอาณานิคมในสนามรบที่เคมบริดจ์ (รัฐแมสซาชูเซตส์) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1775 ระหว่างการเข้ายึดบอสตัน ด้วยความตระหนักว่ากองทัพขาดดินปืน วอชิงตันได้ขอการสนับสนุนเพิ่ม บางส่วนได้จากการยึดอาวุธของอังกฤษ รวมถึงบางส่วนในแคริบเบียน ได้มีความพยายามที่จะผลิตดินปืนกันเอง แต่ก็ไม่เพียงพอในการรบ (ซึ่งต้องการใช้ประมาณ 2.5 ล้านปอนด์) ซึ่งสามารถได้รับอย่างเพียงพอ ก็เมื่อสงครามกำลังจะจบแล้วและโดยส่วนใหญ่ได้มาจากฝรั่งเศส วอชิงตันจัดกำลังกองทัพบกใหม่ หลังจากเสียเวลาไปนาน ก็สามารถผลักดันให้อังกฤษถอนทหารไปได้ด้วยการระดมยิงที่ Dorchester Heights ทหารอังกฤษล่นถอยออกจากบอสตัน และวอชิงตันได้นำกองทัพรุกรานนิวยอร์ก แม้รัฐสภาฯจะมีทัศนะต่อนักรบผู้รักชาติที่ไม่มั่นใจนัก แต่หนังสือพิมพ์อังกฤษได้กล่าวสรรเสริญวอชิงตันว่าเป็นคนมีคุณลักษณะของความเป็นแม่ทัพ ยิ่งกว่านั้นในรัฐสภาของอังกฤษยังเห็นว่านายพลชาวอเมริกันผู้นี้มีความกล้าหาญ อดทน ตั้งใจ และเอาใจใส่ในกำลังพลของตนเอง และเป็นแบบอย่างให้อังกฤษซึ่งควรจะมีแม่ทัพที่มีคุณสมบัติในการรบเช่นนี้บ้าง ในระหว่างนั้นวอชิงตันปฏิเสธที่จะเข้าเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่เข้ายุ่งเกี่ยวและอยู่เหนือการเมืองที่มีฝักฝ่าย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1776 นายพลวิลเลียม โฮว์ ของอังกฤษได้รุกทางเรือและทางบกขนานใหญ่ โดยหวังที่จะบุกยึดเมืองนิวยอร์กและเปิดเจรจาสงบศึก กองทัพฝ่ายอาณานิมภายใต้การนำของวอชิงตันเผชิญหน้ากับข้าศึกเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ประกาศอิสรภาพ โดยทำสงครามที่ ลอง ไอซ์แลนด์ อันเป็นการรบที่ใหญ่ที่สุด การรบในครั้งนี้ได้ทำให้วอชิงตันต้องหนีออกจากนิวยอร์ก และข้ามไปนิวเจอร์ซีย์ ปล่อยให้อนาคตของกองทัพมืดมัว ในคืนวันที่ 25 ธันวาคมปีเดียวกันนั้น วอชิงตันได้ตีกลับ นำกำลังทัพอเมริกันข้ามแม่น้ำเดลาแวร์ และสามารถจับกุมกำลังคนฝ่ายอังกฤษได้เกือบ 1,000 คน ในเทรนตัน, รัฐนิวเจอร์ซีย์ วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1777 วอชิงตันรบแพ้ในสงครามแบรนดี้ไวน์ และวันที่ 26 กันยายน กองทัพของโฮว์ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่าฝ่ายของวอชิงตัน และได้เดินเข้าสู่เมืองฟิลาเดลเฟียโดยที่ไม่ได้รับการต่อต้าน การพ่ายแพ้ของวอชิงตันทำให้นักการเมืองในสภาหลายคนไม่พอใจ และวางแผนที่จะปลดวอชิงตัน แต่ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่หนุนหลังวอชิงตันได้รณรงค์สนับสนุนเขา. เดือนธันวาคม ค.ศ. 1777 กองทัพของวอชิงตันได้ตั้งค่ายที่ วอลเล่ย์ ฟอจ เป็นเวลา 6 เดือน ในช่วงฤดูหนาวนั้นทหารจำนวน 2,500 คนจากจำนวน 10,000 คนได้เสียชีวิตจากโรคและความหนาวเหน็บ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพได้ฟื้นตัวขึ้นที่ วอลเล่ย์ ฟอจ ซึ่งเกิดจากการฝึกและการให้คำแนะนำทางการทหารของ บารอน วอน สติวเบน ผู้ชำนาญการชาวปรัสเซียนที่อยู่ในคณะทำงาน ในปี ค.ศ. 1779 ทหารอังกฤษได้ถอนออกจากเมืองฟิลาเดลเฟีย และกลับสู่เมืองนิวยอร์ก ในขณะนั้นวอชิงตันได้อยู่กับกองทัพของเขาในด้านนอกของนิวยอร์ก และในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1780 ด้วยคำสั่งของวอชิงตัน นายพลจอห์น ซูวิลเลียน, ได้ตอบโต้ต่อการที่ Iroquois และ Tory โจมตีชาวอาณานิคมอเมริกันในช่วงต้นของสงคราม เป็นการรบชนะที่เด็ดขาด สามารถทำลายอย่างน้อย 40 หมู่บ้าน Iroquois ทั่วทั้งตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก เขาได้โจมตีครั้งสำคัญในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1781 หลังจากชัยชนะของกองทัพเรือฝรั่งเศส ทำให้กำลังทัพของอังกฤษต้องถูกกักอยู่ที่เวอร์จิเนีย ซึ่งนำไปสู่การยอมแพ้ที่ยอร์คเทาน์ และทำให้สงครามได้ยุติลง ถึงแม้ว่าจะเป็นชัยชนะในสงครามในชีวิตของเขา วอชิงตันได้ชนะสงคราม 3 ครั้งจากการสู้รบทั้งหมด 9 ครั้ง ชัยชนะของเขาที่ได้มานั้น ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการรบ การจัดทีมงานเสนาธิการและกำลังรบ ความอดทน และความตั้งใจที่จะต่อสู้ของฝ่ายผู้รักชาติ ที่แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ด้านการรบมาก่อน แต่ด้วยความพยายามและความกล้าหาญ เสียสละ จึงทำให้กองกำลังอาสาสมัครที่เริ่มจากคนหนุ่มจำนวนมากที่ไม่มีประสบการณ์ จนแข็งแกร่งขึ้น และสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ไปสู่ชัยชนะได้ เดือนมีนาคม ค.ศ. 1783 วอชิงตันได้ใช้อิทธิพลและบารมีของเขาในการสลายกลุ่มนายทหารบกที่ขู่ว่าจะเผชิญหน้ากับสภาฯ เพื่อเรียกร้องเงินเดือนที่ยังค้างจ่าย เนื่องจากมีสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ (Treaty of Paris) ที่ยอมรับในความเป็นเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกา วอชิงตันจึงได้สลายทัพบกในความรับผิดชอบของเขา และในวันที่ 2 พฤศจิกายน เขาได้กล่าวอำลาต่อทหารของเขา วันที่ 25 พฤศจิกายน อังกฤษถอนกำลังออกจากนิวยอร์ก วอชิงตันและผู้ว่าการรัฐจึงเข้ายึดพื้นที่ที่ Fraunces Tavern วันที่ 4 ธันวาคม เขากล่าวอำลานายทหารของเขา และวันที่ 23 ธันวาคม เขาลาออกจากการเป็นผู้บัญชากองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (commander-in-chief) และเป็นต้นแบบของผู้นำประเทศสาธารณรัฐที่ปฏิเสธการใช้อำนาจ ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐมีการปกครองโดยบทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งยังไม่มีประธานาธิบดีและรัฐบาลอย่างที่มีในปัจจุบัน หลังจากที่ลาออกจากกองทัพ เขาเกษียณกลับไปอยู่ที่เมานต์เวอร์นอน ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาเดินทางสำรวจดินแดนตะวันตกในปี ค.ศ. 1784 ก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงเอกฉันท์ให้เป็นประธานที่ประชุมฟิลาเดเฟียเมื่อช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1787 เขาได้มีส่วนอภิปรายไม่มากนัก แม้ว่าจะออกเสียงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายในหลายมาตรา แต่ด้วยเกียรติคุณของเขา สัมพันธภาพของเขากับบรรดาตัวแทนในสภาฯ เป็นไปด้วยดีฉันท์มิตร บรรดาตัวแทนในสภาได้ออกแบบตำแหน่งประธานาธิบดีโดยมองเขาไว้ในใจ และอนุมัติให้เขากำหนดตำแหน่งหน้าที่เมื่อได้เข้ารับตำแหน่ง ในที่ประชุม เขาได้สนับสนุนและทำให้ตัวแทนจากเวอร์จิเนียออกเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีการยอมรับทั้ง 13 รัฐการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี. ในปี ค.ศ. 1789 คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) มีมติเอกฉันท์เลือกวอชิงตันเป็นประธานาธิบดี และเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1792 เขายังคงได้รับคะแนนอิเล็กโทรรัล โหวต 100% เหมือนเดิม จอห์น แอดัมส์ถูกเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดี วอชิงตันทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1789 ภายในอาคาร เฟดเดอรัลฮอล นิวยอร์กซิตี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาไม่ต้องการที่จะรับตำแหน่งนี้ สภาคองเกรสที่ 1 ได้ออกเสียงอนุมัติเงินเดือนของวอชิงตันที่ปีละ 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามีมูลค่ามากในขณะนั้น แต่เนื่องด้วยวอชิงตันได้เป็นผู้มีฐานะอยู่แล้ว จึงปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนเพราะเขาเห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งเป็นการทำงานรับใช้ประเทศอย่างไม่เห็นแก่ตน แต่ด้วยการหว่านล้อมของสภาฯ เขาจึงได้ยอมรับเงินเดือนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเขาและบรรดา “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ” (Founding fathers) ต้องการให้ตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคตสามารถมาจากคนที่กว้างขวาง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี วอชิงตันได้เข้ารับหน้าที่อย่างระมัดระวัง เขาต้องการให้มั่นใจได้ว่าระบบของสาธารณรัฐจะไม่ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเหมือนกษัตริย์แห่งราชสำนักในยุโรป เขาชอบที่จะให้คนเรียกเขาว่า “ท่านประธานาธิบดี” (Mr. President) มากกว่าที่จะเรียกเป็นอื่นๆในลักษณะที่เรียกกษัตริย์ วอชิงตันได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ เป็นคนรู้จักกระจายอำนาจและสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เขาจะประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นประจำ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในท้ายสุด เขาเป็นคนทำงานอย่างมีกิจวัตร เป็นระบบ มีระเบียบ มีพลัง และถามหาความคิดเห็นจากคนอื่นๆในการตัดสินใจ โดยมีการมองที่เป้าหมายปลายทาง และคิดถึงการกระทำที่จะต้องตามมา หลังจากการรับตำแหน่งในวาระแรก เขาลังเลที่จะรับตำแหน่งต่อในวาระที่สอง และเขาปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งต่อในวาระที่สาม และนั่นจึงเป็นประเพณีสืบต่อมาที่จะไม่มีใครรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกิน 2 สมัย จนกระทั่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งที่ 22 ช่วงหลังสงครามโลกรั้งที่สองแล้ว จึงได้มีการตราเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัยภายในประเทศ ภายในประเทศ. วอชิงตันไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดๆ และคาดหมายไว้ว่าจะไม่จัดตั้งพรรคการเมือง ด้วยเกรงจะทำให้เกิดความขัดแย้งที่จะมีผลกระทบต่อรัฐบาล อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีของเขาเองได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยกลุ่มรัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of Treasury) คือ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ต้องการให้รัฐบาลกลางมีแผนที่หนักแน่น สามารถมีเครดิตของชาติ และทำให้ประเทศมีอำนาจทางการเงิน กลุ่มนี้ได้ตั้งเป็นพรรคสหพันธรัฐนิยม ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ โธมัส เจฟเฟอร์สันได้ก่อตั้ง “พรรคสาธารณรัฐ” (Jeffersonian Republicans) ซึ่งต่อต้านแนวคิดของแฮมิลตัน และได้คัดค้านการเสนอวาระต่างๆในหลายกรณี แต่วอชิงตันในฐานะเป็นนักปฏิบัติค่อนข้างเอนเอียงไปทางแฮมิลตันมากกว่าเจฟเฟอร์สัน ในปี ค.ศ. 1791 สภาฯได้กำหนดให้มีภาษีจัดเก็บจากเหล้า ซึ่งได้มีการประท้วงจากเขตชายแดน โดยเฉพาะจากเพนซิลเวเนีย ในปี ค.ศ. 1794 หลังจากที่วอชิงตันออกคำสั่งและนำผู้ประท้วงขึ้นศาล ทำให้การประท้วงได้ขยายวงรุนแรงมากขึ้นที่เรียกว่า “กบฏเหล้า” (Whiskey Rebellion) รัฐบาลกลางมีกำลังทหารไม่มากพอ จึงใช้รัฐบัญญัติทหารกองหนุน ค.ศ. 1792 เรียกทหารกองหนุน จากรัฐเพนซิลเวเนีย, เวอร์จิเนีย, และรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐ บรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆ จึงส่งกำลังทหารตามคำสั่งของวอชิงตันและเดินทัพไปยังบริเวณที่เกิดกบฏ ในครั้งนี้ประธานาธิบดีนำทัพไปด้วย ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์อเมริกันที่ผู้นำประเทศเป็นผู้นำทัพในลักษณะดังกล่าว และนับเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญใหม่ได้กำหนดให้รัฐบาลกลางใช้มาตรการทางทหารมีอำนาจเหนือรัฐและประชาชนการต่างประเทศ การต่างประเทศ. ในปี ค.ศ. 1793 รัฐบาลปฏิวัติของฝรั่งเศสได้ส่งทูต เอ็ดมุนด์ ชาร์ลส์ จีเน็ต ซึ่งได้เรียกว่า "ซิติเซน จีเน็ต" มายังสหรัฐอเมริกา เพื่อยื่นจดหมายการยอมรับความต่างศาสนา (letters of marque and reprisal) เพื่อให้เรือของสหรัฐจับกุมและควบคุมเรือของอังกฤษ จีเน็ตพยายามสร้างกระแสต่อประชาชนในเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐให้เข้าร่วมกับฝรั่งเศสที่ได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ และเป็นสังคมสาธารณรัฐประชาธิปไตยร่วมกัน วอชิงตันเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าแทรกแซงกิจการภายในของสหรัฐ และได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลฝรั่งเศสเรียก จีเน็ตกลับและไม่ยอมรับการทำงานของเขา ลายเอียดในจดหมาย letters of marque and reprisal นั้นให้เตือนและให้อำนาจแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลฝรั่งเศสที่จะ ตรวจค้น ยึด หรือทำลายทรัพย์สิน หรือสิ่งที่เป็นเจ้าของโดยต่างชาติที่ได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลของฝรั่งเศส วอชิงตันไม่ต้องการเข้าร่วมในสงครามที่เป็นปฏิปักษ์กันระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าปกติกับอังกฤษ จึงถอนกำลังทหารออกจากป้อมด้านตะวันตก และจ่ายหนี้สงครามที่เกิดจากการปฏิวัติ แฮมิลตันและวอชิงตันได้กำหนดสนธิสัญญากับอังกฤษ คือ สนธิสัญญาเจย์ ซึ่งเป็นการเจรจาโดย จอห์น เจย์ ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1794 ฝ่ายเจฟเฟอร์สัน และผู้สนับสนุนมีความโน้มเอียงไปทางฝรั่งเศส และต่อต้านสนธิสัญญาฉบับนี้ แต่วอชิงตันและแฮมิลตันได้รณรงค์ในรัฐสภาและให้ผ่านร่างของ เจย์ อังกฤษได้ตกลงที่จะถอนกำลังทหารออกจากป้อมรอบๆบริเวณ เกรท เลกส์ มีการปรับปรุงเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น การยกเลิกหนี้และการยึดสินค้าของสหรัฐฯ อีกหลายประการ และทางอังกฤษได้เปิดดินแดนด้าน เวสต์ อินดี้ เพื่อทำการค้ากับทางสหรัฐฯ สิ่งสำคัญคือสหรัฐฯ ได้เลี่ยงสงครามกับอังกฤษ และได้นำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศด้วยการคบค้ากับอังกฤษ แต่ได้สร้างความบาดหมางกับฝรั่งเศสและเป็นประเด็นทางการเมืองในเวลาต่อมาแถลงการณ์ลาออก แถลงการณ์ลาออก. คำกล่าวอำลาตำแหน่งของวอชิงตันในปี ค.ศ. 1796 เป็นคำกล่าวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองตอนหนึ่ง ที่เขียนโดยวอชิงตัน ถูกตรวจทานและช่วยปรับปรุงเพิ่มเติมโดย แฮมิลตัน เป็นการให้คำแนะนำอันจำเป็นแก่ประเทศ ให้เห็นความสำคัญของการที่หลายๆ รัฐได้มารวมกันเป็นประเทศ ต้องให้ความสำคัญของรัฐธรรมนูญและต้องเคารพกฎหมาย ข้อเสียจากการมีระบบพรรคการเมือง และการให้ยึดในคุณค่าความเป็นระบบสาธารณรัฐ แต่เขาปฏิเสธที่จะใส่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่อาจสร้างความขัดแย้ง แต่ให้เน้นความสำคัญของการศึกษา และเห็นว่าศีลธรรมของชาติจำเป็นต้องมีหลักการแห่งศาสนา วอชิงตันกล่าวเตือนถึงอิทธิพลจากยุโรป ที่จะมาแทรกแซงการเมืองภายในของสหรัฐฯ เขากล่าวเตือนว่าการเมืองภายในจะไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาเรียกร้องให้อเมริกาเป็นอิสระจากการผูกพันกับต่างประเทศ แต่เป็นมิตรกับทุกประเทศ และเตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามในยุโรป หรือไปเป็นพันธมิตรที่ซับซ้อนพัวพัน (Entangling alliances) คำกล่าวของเขาได้กลายเป็นค่านิยมของอเมริกันทางด้านศาสนาและด้านการต่างประเทศในยุคต่อมาการปลดเกษียณและถึงแก่อนิจกรรม การปลดเกษียณและถึงแก่อนิจกรรม. ภายหลังจากที่ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1797 วอชิงตันกลับไปยังเมานต์เวอร์นอนกับความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เขาให้เวลากับการทำการเกษตร ในปีนั้น เขาดูแลการสร้างโรงกลั่นเหล้าขนาด 2,250 ตารางฟุต (ยาว75 กว้าง 30 ฟุต) หรือประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นโรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐใหม่นั้น โดยมีหม้อต้มกลั่นเหล้าทองแดง 5 หม้อ มีถังหมัก 50 ถัง (Mash tubs) ทดแทนในที่ฟาร์มที่ไม่ได้กำไรในการดำเนินการ ในขณะนั้นช่วงเวลาประมาณ 2 ปี โรงกลั่นของเขาผลิตเหล้าได้ 11,000 แกลลอนที่ทำจากข้าวโพด และข้าวไร มีมูลค่าธุรกิจ 7,500 ดอลลาร์ และยังมีการผลิตเหล้าที่ทำจากผลไม้อีกด้วย วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1798 วอชิงตันได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ ในยศ พลโท และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Commander-in-chief) เพื่อเตรียมทำสงครามกับฝรั่งเศสในอนาคต ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1799 - 14 ธันวาคม ค.ศ. 1800 เขาได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกองทัพเฉพาะกิจในยามที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ให้สู้ในสนามรบ วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1799 วอชิงตันได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงขี่ม้า ตรวจงานในฟาร์มของเขา ในขณะที่มีหิมะ และต่อมามีฝนตกลงมาเป็นลูกเห็บ เขานั่งรับประทานอาหารโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เปียก ในวันต่อมา เขาตื่นขึ้นพร้อมกับเป็นหวัด มีไข้และหลอดลมอักเสบ ต่อมากลายเป็นปอดบวม และเสียชีวิตช่วงเวลาหัวค่ำของวันที่ 14 ธันวาคม ด้วยวัย 67 ปี ขณะที่นายแพทย์ James Craik เป็นผู้ดูแลอาการป่วย ท่ามกลางเพื่อนสนิทหลายคน และรวมถึง Tobias Lear V ซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวของวอชิงตัน Lear ได้บันทึกคำสุดท้ายของวอชิงตันว่า "Tis well" แพทย์สมัยใหม่มีความเชื่อว่าวอชิงตันได้เสียชีวิตเพราะการรักษาในสมัยนั้น ที่รวมถึง การใช้ยาที่เป็นสารปรอท (calomel หรือ Mercury chloride) และการเจาะเลือดออกจากร่าง (bloodletting) อันเป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่ได้รับความนิยมของแพทย์ในยุคนั้น ซึ่งมีการเจาะออกถึง 5 ไพน์ (Pints) ซึ่งอาจทำให้เขาช๊อค หรือเป็นลม (asphyxia) และร่างกายขาดน้ำ (dehydration) หลังเสียชีวิต มาร์ธา ภรรยาของเขาได้เผาจดหมายการติดต่อระหว่างเธอกับจอร์จ วอชิงตัน โดยเก็บไว้เพียง 3 ฉบับ หลังจากเขาเสียชีวิต กองทัพเรืออังกฤษได้ลดลงครึ่งเสา เพื่อเป็นการไว้อาลัย กองทัพบกอเมริกันใส่ปลอกแขนสีดำเป็นเวลา 6 เดือน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้สั่งแสดงการไว้ทุกข์ 10 วันในฝรั่งเศส ประชาชนหลายพันคนไว้ทุกข์เป็นเวลาหลายเดือนในสหรัฐอเมริกา เพื่อความเป็นส่วนตัว มาร์ธาจึงเผาจดหมายที่เขียนถึงสามีเธอ และของตัวเธอเอง มีเพียงแค่ 3 ฉบับที่ไม่ได้ถูกเผาการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตุลาการศาลสูงสุด การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตุลาการศาลสูงสุด. ประธานศาลสูงสุด (ระยะเวลา ค.ศ.)- จอห์น เจย์ (1789-1795) - จอห์น ลัทเลดจ์ (1795-1796) - วิลแลี่ยม คัสชิง (1796) - โอลิเวอร์ เอลสเวอร์ธ (1796-1800) รองประธานศาลสูงสุด (ระยะเวลา ค.ศ.)- จอห์น ลัทเลดจ์ (1789-1798) - วิลแลี่ยม คัสชิง (1789-1810) - เจมส์ วิลสัน (1789-1795) - โรเบิร์ต เอช. แฮริสัน (1789) - จอห์น แบลร์ (1789-1791) - เจมส์ อิราเดล (1790-1799) - โธมัส จอห์นสัน (1792-1793) - วิลเลียม เปเตอร์สัน (1793-1806) - ซามูเอล เชส (1796-1811) ในช่วงที่จอร์จ วอชิงตันเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มากกว่าสมัยของประธานาธิบดีคนอื่นๆ- รัฐที่เข้ารวมกับสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ จอร์จ วอชิงตัน: รัฐที่มีมาตั้งแต่แรก:- นอร์ทแคโรไลนา - 1789 - โรดไอแลนด์ - 1790 รัฐใหม่:- เวอร์มอนต์ - 1791 - เคนทักกี - 1792 - เทนเนสซี - 1796เกียรติประวัติ เกียรติประวัติ. เฮนรี ลี สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐอเมริกา และ โรเบิร์ต อี. ลี สหายร่วมสงครามปฏิวัติและเป็นบิดาสงครามประชาชน ได้กล่าวคำยกย่องสรรเสริญวอชิงตันที่รู้จักกันดี ดังนี้ คำกล่าวของลีได้ตั้งเป็นแบบอย่างมาตรฐาน กิตติศัพท์ที่เปี่ยมล้นของวอชิงตันเป็นสิ่งที่ประทับใจในความทรงจำของชาวอเมริกัน วอชิงตันจัดให้รัฐบาลแห่งชาติชุดก่อนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1778 วอชิงตันถูกขนานนามว่าเป็น "บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา" ในช่วงฉลองครบรอบ 200 ปีของประเทศสหรัฐ วอชิงตันได้รับแต่งตั้งเป็นเกียรติยศให้เป็นระดับนายพลเอก (General) ของกองทัพบกสหรัฐ โดยสภาคู่มีมติที่ ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1976 และเป็นคำสั่งออกมาจากกองทัพบกเลขที่ 31-3 วันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1978 โดยมีผลแต่งตั้งอย่างเป็นทางการย้อนหลังในวันที่ 4 กรกฎาคม 1976 อันเป็นวันชาติของสหรัฐฯ เพื่อให้วอชิงตันดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการทหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอนุสาวรีย์และที่ระลึก อนุสาวรีย์และที่ระลึก. ปัจจุบันนี้ ใบหน้าและรูปภาพของวอชิงตันถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆของสหรัฐอเมริกา เช่น ธงชาติ ตราประทับของสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งการแสดงความเคารพต่อวอชิงตันที่เห็นชัดที่สุดคือ มีรูปใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรฉบับละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และ เหรียญควอเตอร์ ใบหน้าของวอชิงตัน, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, ธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ อับราฮัม ลิงคอล์น ถูกนำไปแกะสลักที่เมานต์รัชมอร์ อนุสาวรีย์วอชิงตัน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ชาวอเมริกันรู้จักมากที่สุดได้ถูกสร้างขึ้น The George Washington Masonic National Memorial ในอเล็กซานเดรีย, เวอร์จิเนีย สร้างขึ้นด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Masonic Fraternity หลายสิ่งหลายอย่างได้นำชื่อของวอชิงตันไปตั้ง ชื่อของวอชิงตันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เมืองหลวงของโลกที่ใช้ชื่อของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (อีกเมืองหนึ่งคือ มอนโรเวีย เมืองหลวงของประเทศไลบีเรีย) รัฐวอชิงตัน เป็นเพียงรัฐเดียวที่ใช้ชื่อนี้หลังจากตั้งประเทศ (แมริแลนด์, เวอร์จิเนีย, เซาท์แคโรไลนา, นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระนามพระราชวงศ์อังกฤษ) มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน และ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์การถือทาส การถือทาส. ตลอดระยะเวลาในช่วงชีวิตของวอชิงตันมีการค้าขายทาสอย่างต่อเนื่อง วอชิงตันได้รับมรดกทาส 10 คน หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1743 ขณะที่มีอายุเพียง 11 ขวบ ในปีที่เขาแต่งงานกับมาร์ธา คัสทิสนั้น เขามีทาสอย่างน้อย 36 คน เขาใช้ทรัพย์สินของมาร์ธาไปชื่อที่ดินและสวน และซื้อทาสมาเพิ่มอีกจำนวนมาก เขาต้องจ่ายภาษีทาส 135 คน และซื้อทาสครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1772 แม้ว่าเขาจะได้รับทาสมาเพิ่มจากการชดใช้หนี้ของลูกหนี้ก็ตาม ก่อนที่สงครามปฏิวัติอเมริกาจะเกิดขึ้น วอชิงตันแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องทาสที่ไม่มีคุณธรรม แต่ในปี ค.ศ. 1786 เขาเขียนจดหมายไปถึง โรเบิร์ต มอริส ข้อความว่า "ไม่มีใครที่หวังความจริงใจมากกว่าที่ข้าพเจ้าทำ ที่จะมองถึงแผนการยกเลิกทาส" ในปี 1788 วอชิงตันเขียนจดหมายไปถึงผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่เมานต์เวอร์นอนว่า เขาหวังที่จะยกเลิกการค้าชาวนิโกร การปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่เกี่ยวกับประชากรทาสในเมานต์เวอร์นอนที่ไม่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ วอชิงตันไม่สามารถขายทาสที่ได้รับมาจากมรดกอย่างถูกกฎหมายหมายได้ เพราะว่าทาสเหล่านี้ได้แต่งงานระหว่างตระกูลทาสกับเจ้าของทาสของพวกเขา และเขาก็ไม่สามารถขายทาสได้โดยปราศจากการทำลายครอบครัว ในช่วงที่วอชิงตันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่นั้น ในปี ค.ศ. 1789 เขาซื้อทาสไปที่นิวยอร์กซิตี้ เพื่อเอาไว้ใช้งานในบ้านของประธานาธิบดีหลังแรก มี 7 คนคือ ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์ และ วิลเลียม ลี หลังจากที่ย้ายเมืองหลวงไปยังฟิลาเดลเฟีย ในปี 1790 เขาซื้อทาสอีก 9 คนไปใช้งานที่บ้านของประธานาธิบดี ที่ฟิลาเดลเฟีย ออนนีย์ จัดจ์, มอลล์, จิลเลส, ปารีส, อัสติน, คริสโตเฟอร์ ชีลส์, เฮอร์คูล, ริชมอนด์ และ โจ (ริชาร์ดสัน) ออนนีย์ จัดจ์ และ เฮอร์คูล ได้พยายามหลบหนีเป็นอิสระ แต่ถูก ริชมอนด์ และ คริสโตเฟอร์ ชีลส์ ขัดขวางเอาไว้ รัฐเพนซิลเวเนีย ได้เริ่มต้นการยกเลิกทาสในปี ค.ศ. 1790 และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นเจ้าของทาสภายในรัฐนี้เกิน 6 เดือน ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายยกเลิกทาส (Gradual Abolition Law) จะให้อำนาจกับทาสเหล่านี้สามารถตั้งตัวเป็นอิสระได้ทันที วอชิงตันแย้งว่าการที่เขามาอยู่ที่เพนซิลเวเนียในครั้งนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขามานั่งตำแหน่งรัฐบาลกลางของเพนซิลเวเนียเพียงคนเดียว และไม่ควรที่จะอนุญาตให้กับตัวเขาเอง จากคำแนะนำของ เอ็ดมุนด์ แรนดอล์ฟ อัยการสูงสุดของเขา เสนอแนะว่า เขาควรสับเปลี่ยนหวุนเวียนทาสในบ้านของประธานาธิบดีอย่างเป็นระเบียบทั้งในและนอกรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้สร้างบ้านต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน การสับเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายของทางรัฐเพนซิลเวเนีย แต่การปฏิบัติของประธานาธิบดีครั้งนี้ก็ไม่มีใครออกมาคัดค้านแต่อย่างใด กฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี ในปี ค.ศ. 1793 (Fugitive Slave Act of 1793) กำหนดให้มีการค้าขายทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเจ้าของทาสสามารถเรียกคืนได้ ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา มาตรที่ 4 ส่วนที่ 2 ผ่านรัฐสภาและลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยวอชิงตัน กฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่เป็นทาสที่ต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมจะหลบหนี จะถูกจับโดยไม่มีการประกันและจะถูกนำตัวส่งให้ผู้เป็นเจ้าของทาส ซึ่งสามารถอ้างความเป็นเจ้าของได้เพียงด้วยการสาบานว่าเป็นเจ้าของทาสจริง คนผิวดำที่ต้องสงสัยว่าเป็นทาสหลบหนีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาการสอบสวน วอชิงตันเป็นเพียงบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าของทาส เป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศผู้ซึ่งปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระในภายหลัง การปฏิบัติของเขาถูกชักจูงโดยผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาเองคือ มาร์กีส์ เดอ ลาฟาแยตต์ (Marquis de Lafayette) วอชิงตันไม่ได้ปล่อยทาสของเขาให้เป็นอิสระในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม วอชิงตันตั้งใจที่จะปล่อยทาสของเขาในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม ในวันที่เขาถึงแก่อสัญกรรม มีทาส 317 คนที่เมานต์เวอร์นอน แบ่งออกเป็น 123 คนเป็นทาสของวอชิงตัน 154 คนเป็นทาสที่ได้มาจากมรดกตกทอด และอีก 40 คนเป็นทาสที่ยืมมาจากเพื่อนบ้าน มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันว่าวอชิงตันไม่ได้พูดเรื่องการต่อต้านการค้าทาสในที่สาธารณะ เพราะว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะสร้างความแตกแยกในการเมืองใหม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและแบ่งแยกทางความคิด แม้ว่าวอชิงตันจะคัดค้านกฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี เขามีสิทธิ์ในการยับยั้ง ซึ่งส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้เป็นโมฆะได้ (การออกเสียงของสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ แต่ทางรัฐสภาผ่านเป็นกฎหมาย ด้วยคะแนน 47 ต่อ 8)ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อทางศาสนา. วอชิงตันถูกทำพิธีตั้งชื่อในศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ในปี ค.ศ. 1765 เมื่อนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ยังคงเป็นศาสนาประจำชาตินั้น เขาทำพิธีสวดมนต์อยู่ในห้องซึ่งพระใช้เตรียมตัวเพื่อทำพิธีทางศาสนาภายในโบสถ์ท้องถิ่นของเขา ตลอดชีวิตของวอชิงตัน เขาพูดถึงคุณค่าของคุณธรรม และเสนอคำขอบคุณสำหรับ "การให้พรของพระเจ้า" ในปี ค.ศ. 1785 วอชิงตันเขียนจดหมายไปถึง จอร์จ เมสัน ข้อความว่า เขาไม่อยู่ท่ามกลางเสียงปลุกเหล่านี้โดยใบประกาศแจ้งว่า "ให้เรียไรเงินจากประชาชนเพื่อทำนุบำรุงศาสนา" วอชิงตันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ "ไม่เหมาะสม" ที่จะให้ผ่านมาตรการนี้และเขาปรารถนาว่าจะต้องไม่ถูกเสนอ และเชื่อว่ามันจะทำให้สังคมวุ่นวาย เนลลี คัสทิส เลวิส ลูกเลี้ยงของวอชิงตัน แถลงว่า "ฉันได้ยินเธอ (แม่ของเนลลี, อีลีเนอร์ คัลเวอร์ต คัสทิส ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมานต์เวอร์นอนเป็นเวลา 2 ปี) กล่าวว่า พลเอกวอชิงตัน ทำพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนกับยายของฉันเสมอ (มาร์ธา วอชิงตัน) ก่อนการปฏิวัติอเมริกา" หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติอเมริกา วอชิงตันไปทำพิธีที่โบสถ์คริสเตียนเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกว่าเขาเคยทำพิธีศีลมหาสนิท และเขาจะเลิกพิธีกรรมต่างๆ ก่อนพิธีศีลมหาสนิทจะเริ่มขึ้นเป็นประจำ พร้อมกับผู้ที่ไม่เข้าร่วมพิธีรำลึกถึงวันสวรรคตของพระเยซูคนอื่นๆ จนกระทั่งหลังจากการตักเตือนโดยพระโปรเตสแตนด์ปกครองแขวงท่านหนึ่ง วอชิงตันยกเลิกที่จะไปทำพิธีทั้งหมดในวันอาทิตย์ วอชิงตันเป็นผู้สนับสนุนในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในปี ค.ศ. 1775 เขาสั่งให้กองทัพไม่ให้แสดงบรรยากาศที่ต่อต้านโรมันคาทอลิก (anti-Catholic) โดยการเผาหุ่นจำลองของโป๊ปในคืน Guy Fawkes Night ในปี ค.ศ. 1790 วอชิงตันตอบจดหมายที่มาจาก Touro Synagogue ซึ่งเขากล่าวว่า ตราบใดที่ประชาชนยังเป็นพลเมืองดีนั้น พวกเขาเชื่อว่าไม่มีเรื่องราวอะไร นี่เป็นสิ่งที่จะช่วยพวกชาวยิวในสหรัฐฯ ตั้งแต่พวกยิวได้ถูกขับไล่และถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากหลายประเทศในยุโรป กฎหมายสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในกระบวนการร่างกฎหมายในเวลานั้นองค์กรฟรีเมสัน องค์กรฟรีเมสัน. วันที่ 4 พศจิกายน ค.ศ. 1752 วอชิงตันถูกชักชวนให้ไปเข้ากับองค์กรฟรีเมสัน ในกระท่อมไม้ที่เฟดเดอริกส์เบิร์ก วันที่ 29 เมษายน 1788 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขฟรีเมสันแห่ง Alexandria Lodge 22 และเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ยังอยู่ในองค์กรนี้ โดยที่ผู้นำของ แกรนด์ลอดจ์แห่งนิวยอร์ก เป็นคนร่างคำแถลงการณ์รับตำแหน่งประธานาธิบดีให้ วันที่ 18 กันยายน 1793 วอชิงตันแต่งเครื่องแบบ เมโซนิคแกรนด์มาสเตอร์ ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในตึก ยู.เอส.แคปิตอลชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. จากประวัติส่วนตัวของมาร์ธา ได้บันทึกว่า วอชิงตันมีความใกล้ชิดกับหลานของเขา ชื่อ บุชร็อด วอชิงตัน อันเป็นบุตรชายของน้องชายของเขาชื่อว่า จอห์น ออกัสติน วอชิงตัน และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาสูงสุด เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่ม วอชิงตันมีผมสีแดง มีคนเชื่อว่าเขาใส่วิก ซึ่งเป็นแฟชั่นของยุคสมัย แท้ที่จริงแล้ววอชิงตันไม่ได้ใส่วิกแต่อย่างใด แต่เขาใส่แป้งที่ผมของเขา ดังที่ได้ปรากฏในภาพวาดหลายๆภาพ รวมถึงภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่ยังวาดไม่เสร็จโดย จิลเบิร์ต สตูอาร์ต วอชิงตันเป็นคนรูปร่างสูงอย่างเห็นได้ชัด เขาสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว หรือ 188 เซนติเมตร ไหล่แคบ อาจมีลักษณะลำตัวส่วนบนกลมหนา สะโพกกว้าง วอชิงตันมีปัญหาเรื่องฟัน ทำให้เขาต้องใส่ฟันปลอม เขาเสียฟันซี่แรกตั้งแต่อายุ 22 ปี และเมื่อเขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี เขาเหลือฟันจริงเพียงซี่เดียว ตามจดหมายเหตุบอกเล่าโดย จอห์น แอดัมส์ วอชิงตันเสียฟันไปจากการขบผลไม้เปลือกแข็งที่เรียกว่า Brazil nuts แต่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ให้เหตุผลว่า เขาอาจเสียฟันไปจากการรักษาโรคในยุคนั้นที่ใช้ยาที่เข้าสารปรอท (mercury oxide) ในการรักษาโรคฝีดาษ (smallpox) และมาเลเรีย (malaria) เขามีฟันปลอมหลายชุด มี 4 ชุดที่ประดิษฐโดยหมอฟัน ชื่อ จอห์น กรีนวูด ที่ต่างไปจากความเชื่อว่าฟันของเขาไม่ได้ทำจากไม้ แต่ทำจากงา (Ivory) ของฮิปโปและช้าง ที่มีตัวเชื่อมระหว่างฟันเป็นทอง ฟันที่ประดิษฐ์ในยุคนั้น มีทั้งที่ทำจากฟันม้า ฟันลา การใส่ฟันปลอมทำให้วอชิงตันมีอาการปวดฟัน และทำให้เขาต้องใช้ยาระงับปวด laudanum ในขณะนั้น ที่มีส่วนของมอร์ฟีนและแอลกอฮอล์ ทำให้เวลาเขาพูดจะมีการเกร็งฝีปากดูไม่เป็นธรรมชาตินัก
| ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ถึงแก่กรรมเมื่อปีค.ศ.ใด | {
"answer": [
"1799"
],
"answer_begin_position": [
162
],
"answer_end_position": [
166
]
} |
2,008 | 72,909 | เลย์ เลย์ () เป็นชื่อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอดกรอบ ของบริษัทฟริโต-เลย่ ประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับในประเทศไทย มีบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (ฟริโต - เลย์) เป็นผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย ซึ่งนับเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 70% มีฐานการผลิตอยู่ที่ เลขที่99/9-10 ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง หมู่ที่11 ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 51150 (ข้อมูลเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548)ประวัติ ประวัติ. นาย เฮอร์แมน เลย์ เริ่มทำธุรกิจมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทสเนสซี ในปี 1961 ดูลิน และ เลย์ ได้ตกลงที่จะร่วมกิจการระหว่างธุรกิจของพวกเขาเพื่อจัดตั้ง บริษัท Frito – Lay ต่อมาหน่วย ธุรกิจ Frito-Lay North America ทำรายได้รวม 29 % ของรายได้ทั้งหมดของ PepsiCo และเป็น 36% ของกำไรบริษัท มีส่วนแบ่งการตลาด 70% ของธุรกิจขนมขบเคี้ยวในอเมริกาแต่ในระยะหลังมียอดการจำหน่ายที่ลดลงธุรกิจ เครื่องดื่มอัดลมของเป๊ปซี่ เล็งเห็น แนวโน้มหลักของธุรกิจนี้คือ การหันมาให้ความสำคัญกับคุณค่าของขนมขบเคี้ยวที่เพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อว่าเป็นการรางวัลกับตัวเองด้วยของกินที่มีคุณค่าและมีรสชาติดีผู้ ผลิตหลายรายมีการพัฒนารสชาติใหม่ ขึ้นมาโดยใช้น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ มากขึ้น มีการปรับรสชาติให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค มีการจัดทำ package ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อให้คำนึงถึงปริมาณที่คนบริโภคมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยง การกินในปริมาณที่มากเกินไปและยังสามารถพกพาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น Frito-Lay เป็นขนมที่ครองตลาดได้มากที่สุดในอเมริกาที่วางจำหน่ายของอุปโภคสะดวกซื้อ โดยอาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุห่อเพื่อให้รับประทานได้สะดวก และใช้เวลาเตรียมเพียงเล็กน้อย รวมไปถึง ขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม และหวาน เช่น มันฝรั่งทอด เพรซเซิ้ล ข้าวโพดคั่ว แครกเกอร์ ถั่ว ธัญพืช คุ้กกี้ เป็นต้น ในปี 2008 มีการปรับปรุงประสิทธิภาพขนมขบเคี้ยวให้ดีต่อสุขภาพ เป็นการริเริ่มกลยุทธ์ใหม่ให้เป็นกลยุทธ์หลัก โดยพยายามลดส่วนประกอบที่เป็นไขมันออกจากขนมทั้งหมดของบริษัท เช่น Frito-Lay, Ruffles, Cheetos, Toritos, Doritos และมีความพยายามที่จะมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้ขนมขบเคี้ยวให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเปิดตัวมันฝรั่งทอด Lay’s รสคลาสสิกที่ทอดด้วยน้ำมันดอกทานตะวัน และยังคงรักษารสชาดเดิมไว้ได้แต่สามารถลดไขมันชนิดอิ่มตัวลงได้ถึง 50%
| บริษัทใดเป็นเจ้าของขนมขบเคี้ยวชนิดมันฝรั่งทอดกรอบยี่ห้อ เลย์ | {
"answer": [
"ฟริโต - เลย์"
],
"answer_begin_position": [
237
],
"answer_end_position": [
249
]
} |
2,009 | 25,143 | นาฬิกา นาฬิกา () เป็นเครื่องมือสำหรับใช้บอกเวลา โดยมากจะมีรอบเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง สำหรับนาฬิกาทั่วไป มีเครื่องหมายบอกชั่วโมง นาที หรือวินาที เครื่องมือสำหรับจับเวลาระยะสั้นๆ เรียกว่านาฬิกาจับเวลา เดิมนั้นเป็นอุปกรณ์เชิงกล มีลานหมุนขับเคลื่อนกำลัง และมีเฟืองเป็นตัวทดความเร็วให้ได้รอบที่ต้องการ และใช้เข็มบอกเวลา โดยใช้หน้าปัดเขียนตัวเลขระบุเวลาเอาไว้ ลักษณนามของนาฬิกา เรียกว่า “เรือน” แต่ก็มีนาฬิกาแบบอื่นๆ ซึ่งใช้บอกอีก เช่น นาฬิกาทราย ใช้จับเวลา, นาฬิกากะลา เป็นกะลาเจาะรูใช้จับเวลา โดยการลอยในน้ำ จนกว่าจะจมก็ถือว่าหมดเวลา, นาฬิกาแดด เป็นการตั้งเครื่องมือเพื่อให้สังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ โดยดูจากเงาของเครื่องมือ บางครั้งเราก็มีการบอกเวลาโดยใช้เครื่องมืออื่น ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น นาฬิกา เช่น การตีกลองบอกเวลาเพล ของพระสงฆ์, การตีฆ้องบอกเวลาของแขกยาม หรือการยิงปืนบอกเวลา เป็นต้นประวัติ ประวัติ. นาฬิกา เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการเครื่องมือบอกเวลาที่ละเอียดกว่าหน่วยธรรมชาติ เช่น เช้า กลางวัน เย็น ข้างขึ้น ข้างแรม ซึ่งก็ได้มีการสร้างอุปกรณ์และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นนาฬิกาที่ใช้กันทุกวันนี้ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือบอกเวลาเป็นครั้งแรก โดยการใช้นาฬิกาแดด ในประเทศไทย นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์คนแรกพระนิเทศชลที (กัปตันลอฟตัส) จัดทำนาฬิกาแดดประดิษฐานขึ้นที่หน้าอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบันนาฬิกาแดด นาฬิกาแดด. นาฬิกาแดดจะวัดเวลาโดยการดูจากเงาที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคโบราณ ถือเป็นนาฬิกาอย่างแรกของมนุษย์นาฬิกาดิจิตอล นาฬิกาดิจิตอล. นาฬิกาดิจิตอล จะแสดงตัวเลขของเวลาปัจจุบัน นาฬิกาดิจิตอลบางรุ่นมีเทคโนโลยีที่สามารถปรับจูนเวลาให้ตรงกับเวลาสากลโดยใช้อินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติแต่ต้องใส่ถ่านและจับเวลาได้
| นาฬิกาเป็นเครื่องมือสำหรับใช้บอกอะไร | {
"answer": [
"เวลา"
],
"answer_begin_position": [
122
],
"answer_end_position": [
126
]
} |
2,010 | 25,143 | นาฬิกา นาฬิกา () เป็นเครื่องมือสำหรับใช้บอกเวลา โดยมากจะมีรอบเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง สำหรับนาฬิกาทั่วไป มีเครื่องหมายบอกชั่วโมง นาที หรือวินาที เครื่องมือสำหรับจับเวลาระยะสั้นๆ เรียกว่านาฬิกาจับเวลา เดิมนั้นเป็นอุปกรณ์เชิงกล มีลานหมุนขับเคลื่อนกำลัง และมีเฟืองเป็นตัวทดความเร็วให้ได้รอบที่ต้องการ และใช้เข็มบอกเวลา โดยใช้หน้าปัดเขียนตัวเลขระบุเวลาเอาไว้ ลักษณนามของนาฬิกา เรียกว่า “เรือน” แต่ก็มีนาฬิกาแบบอื่นๆ ซึ่งใช้บอกอีก เช่น นาฬิกาทราย ใช้จับเวลา, นาฬิกากะลา เป็นกะลาเจาะรูใช้จับเวลา โดยการลอยในน้ำ จนกว่าจะจมก็ถือว่าหมดเวลา, นาฬิกาแดด เป็นการตั้งเครื่องมือเพื่อให้สังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ โดยดูจากเงาของเครื่องมือ บางครั้งเราก็มีการบอกเวลาโดยใช้เครื่องมืออื่น ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น นาฬิกา เช่น การตีกลองบอกเวลาเพล ของพระสงฆ์, การตีฆ้องบอกเวลาของแขกยาม หรือการยิงปืนบอกเวลา เป็นต้นประวัติ ประวัติ. นาฬิกา เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการเครื่องมือบอกเวลาที่ละเอียดกว่าหน่วยธรรมชาติ เช่น เช้า กลางวัน เย็น ข้างขึ้น ข้างแรม ซึ่งก็ได้มีการสร้างอุปกรณ์และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นนาฬิกาที่ใช้กันทุกวันนี้ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือบอกเวลาเป็นครั้งแรก โดยการใช้นาฬิกาแดด ในประเทศไทย นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์คนแรกพระนิเทศชลที (กัปตันลอฟตัส) จัดทำนาฬิกาแดดประดิษฐานขึ้นที่หน้าอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบันนาฬิกาแดด นาฬิกาแดด. นาฬิกาแดดจะวัดเวลาโดยการดูจากเงาที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคโบราณ ถือเป็นนาฬิกาอย่างแรกของมนุษย์นาฬิกาดิจิตอล นาฬิกาดิจิตอล. นาฬิกาดิจิตอล จะแสดงตัวเลขของเวลาปัจจุบัน นาฬิกาดิจิตอลบางรุ่นมีเทคโนโลยีที่สามารถปรับจูนเวลาให้ตรงกับเวลาสากลโดยใช้อินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติแต่ต้องใส่ถ่านและจับเวลาได้
| ลักษณะนามของนาฬิกาเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"เรือน"
],
"answer_begin_position": [
469
],
"answer_end_position": [
474
]
} |
2,290 | 25,143 | นาฬิกา นาฬิกา () เป็นเครื่องมือสำหรับใช้บอกเวลา โดยมากจะมีรอบเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง สำหรับนาฬิกาทั่วไป มีเครื่องหมายบอกชั่วโมง นาที หรือวินาที เครื่องมือสำหรับจับเวลาระยะสั้นๆ เรียกว่านาฬิกาจับเวลา เดิมนั้นเป็นอุปกรณ์เชิงกล มีลานหมุนขับเคลื่อนกำลัง และมีเฟืองเป็นตัวทดความเร็วให้ได้รอบที่ต้องการ และใช้เข็มบอกเวลา โดยใช้หน้าปัดเขียนตัวเลขระบุเวลาเอาไว้ ลักษณนามของนาฬิกา เรียกว่า “เรือน” แต่ก็มีนาฬิกาแบบอื่นๆ ซึ่งใช้บอกอีก เช่น นาฬิกาทราย ใช้จับเวลา, นาฬิกากะลา เป็นกะลาเจาะรูใช้จับเวลา โดยการลอยในน้ำ จนกว่าจะจมก็ถือว่าหมดเวลา, นาฬิกาแดด เป็นการตั้งเครื่องมือเพื่อให้สังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ โดยดูจากเงาของเครื่องมือ บางครั้งเราก็มีการบอกเวลาโดยใช้เครื่องมืออื่น ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น นาฬิกา เช่น การตีกลองบอกเวลาเพล ของพระสงฆ์, การตีฆ้องบอกเวลาของแขกยาม หรือการยิงปืนบอกเวลา เป็นต้นประวัติ ประวัติ. นาฬิกา เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการเครื่องมือบอกเวลาที่ละเอียดกว่าหน่วยธรรมชาติ เช่น เช้า กลางวัน เย็น ข้างขึ้น ข้างแรม ซึ่งก็ได้มีการสร้างอุปกรณ์และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นนาฬิกาที่ใช้กันทุกวันนี้ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือบอกเวลาเป็นครั้งแรก โดยการใช้นาฬิกาแดด ในประเทศไทย นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์คนแรกพระนิเทศชลที (กัปตันลอฟตัส) จัดทำนาฬิกาแดดประดิษฐานขึ้นที่หน้าอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังคงใช้งานได้จนถึงปัจจุบันนาฬิกาแดด นาฬิกาแดด. นาฬิกาแดดจะวัดเวลาโดยการดูจากเงาที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคโบราณ ถือเป็นนาฬิกาอย่างแรกของมนุษย์นาฬิกาดิจิตอล นาฬิกาดิจิตอล. นาฬิกาดิจิตอล จะแสดงตัวเลขของเวลาปัจจุบัน นาฬิกาดิจิตอลบางรุ่นมีเทคโนโลยีที่สามารถปรับจูนเวลาให้ตรงกับเวลาสากลโดยใช้อินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติแต่ต้องใส่ถ่านและจับเวลาได้
| นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยตั้งอยู่ที่จังหวัดไหน | {
"answer": [
"จังหวัดพระนครศรีอยุธยา"
],
"answer_begin_position": [
1529
],
"answer_end_position": [
1551
]
} |
2,011 | 3,818 | สหประชาชาติ สหประชาชาติ (; ตัวย่อ: UN) หรือ องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจำนวนมากเพื่อนำภารกิจไปปฏิบัติ สหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 6 เสาหลัก ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการ และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงคณะมนตรีภาวะทรัสตี (ปัจจุบันยุติการทำงานแล้ว) นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่น องค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของสหประชาชาติ คือ เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017 ต่อจาก พัน กี-มุน ชาวเกาหลีใต้การก่อตั้ง การก่อตั้ง. สหประชาชาติถูกก่อตั้งเพื่อสืบทอดองค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพที่จะธำรงรักษาสันติภาพ ดังที่เห็นได้จากความล้มเหลวในการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง คำว่า "สหประชาชาติ" เป็นแนวคิดของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์และวินสตัน เชอร์ชิลล์ พบใช้ครั้งแรกในกฎบัตรสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1942 ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร 26 ประเทศในสงครามโลกครั้งที่สองเข้าด้วยกันภายใต้การลงนามกฎบัตรแอตแลนติก และกลายเป็นคำที่ใช้เรียกองค์การนี้ในที่สุด ใน ค.ศ. 1944 ผู้แทนจากประเทศฝรั่งเศส สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตเข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนการก่อตั้งสหประชาชาติที่ดัมบาตันโอกส์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การประชุมครั้งนั้นและครั้งต่อ ๆ มา ทำให้เกิดรากฐานความร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม โดยแผนเหล่านี้ได้ผ่านการถกเถียงอภิปรายจากรัฐบาลและประชาชนจากทั่วโลก เมื่อใกล้สิ้นสุดสงคราม การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยองค์การระหว่างประเทศ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 ที่นครซานฟรานซิสโก ตัวแทนจาก 50 ประเทศได้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ยกเว้นโปแลนด์ที่ไม่สามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมได้แต่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสมาชิกดั้งเดิม รวมเป็น 51 ประเทศ แม้สันนิบาตชาติจะถูกล้มเลิกไป แต่อุดมการณ์ส่วนใหญ่และโครงสร้างบางประการได้ถูกกำหนดไว้ในกฎบัตรโดยได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับโลกใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น หลังจากกฎบัตรผ่านการลงนามจากสมาชิก สหประชาชาติจึงได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อกฎบัตรมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 หลังจากนั้น การประชุมสมัชชาครั้งแรกเกิดขึ้นที่กรุงลอนดอน เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1946องค์กร องค์กร. ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 5 เสาหลัก (ไม่นับรวมคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ ซึ่งยุติการปฏิบัติงานไปใน ค.ศ. 1994) ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สี่องค์กรในจำนวนนี้มีที่ทำการในสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก ส่วนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ส่วนองค์กรย่อย ๆ ตั้งอยู่ที่เจนีวา เวียนนาและไนโรบี รวมไปถึงเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก สหประชาชาติมีธง ที่ทำการไปรษณีย์ และดวงตราไปรษณียากรของตนเอง ภาษาทางการที่ใช้มีอยู่ 6 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย ภาษาจีน และภาษาอาหรับ โดยที่ภาษาอาหรับได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังสุด เมื่อปี ค.ศ. 1973 ส่วนสำนักเลขาธิการนั้นใช้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษที่กำหนดให้เป็นมาตรฐาน คือ อังกฤษบริติช และการสะกดแบบออกซ์ฟอร์ด ส่วนภาษาจีนมาตรฐาน คือ อักษรจีนตัวย่อ ซึ่งเปลี่ยนมาจาก อักษรจีนตัวเต็ม ใน ค.ศ. 1971 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสมาชิกสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีนสมัชชาใหญ่ สมัชชาใหญ่. สมัชชาใหญ่เป็นที่ประชุมซึ่งรัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดประชุมกันเป็นประจำในสมัยประชุมประจำปีภายใต้ประธานซึ่งเลือกตั้งมาจากรัฐสมาชิก ในช่วงเปิดสมัยประชุมแต่ละสมัยเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ สมาชิกทั้งหมดมีโอกาสจะเสนอญัตติแก่สมัชชาได้ สมัยประชุมแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1946 ในเวสต์มินสเตอร์เซ็นทรัลฮอลล์ ในกรุงลอนดอน ซึ่งในขณะนั้นมีสมาชิก 51 ประเทศ เมื่อสมัชชาใหญ่ลงมติต่อปัญหาที่สำคัญ จะต้องมีการลงมติและได้รับเสียงส่วนใหญ่เกินสองในสามของรัฐสมาชิกที่มาประชุม ตัวอย่างปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การแนะนำต่อสันติภาพและความมั่นคง การเลือกตั้งสมาชิกองค์กร การรับเข้า การระงับและการขับสมาชิก และประเด็นด้านงบประมาณ ส่วนปัญหาอื่นทั้งหมดตัดสินโดยใช้มติเสียงข้างมาก รัฐสมาชิกแต่ละประเทศมีหนึ่งเสียง นอกเหนือไปจากการอนุมัติประเด็นทางงบประมาณ ข้อมติสมัชชาใหญ่ไม่มีผลผูกมัดต่อสมาชิก สมัชชาใหญ่อาจเสนอคำแนะนำต่อปัญหาใด ๆ ภายใต้ขอบเขตของสหประชาชาติ ยกเว้นประเด็นด้านสันติภาพและความมั่นคงซึ่งอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคง. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่ดำรงรักษาสันติภาพและความปลอดภัยแก่ประเทศสมาชิก ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของสหประชาชาติสามารถเพียงให้คำแนะนำแก่รัฐบาลของประเทศสมาชิก แต่คณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจที่จะผูกมัดประเทศสมาชิกให้ปฏิบัติตามการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อตกลงในกฎบัตรข้อที่ 25 โดยผลการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคง เรียกว่า มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกถาวร 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และสมาชิกไม่ถาวรอีก 10 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยชาด ไนจีเรีย แองโกลา จอร์แดน มาเลเซีย ชิลี เวเนซุเอลา นิวซีแลนด์ สเปน และลิทัวเนีย สมาชิกถาวรทั้งห้าประเทศมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจยับยั้งการนำไปใช้ แต่ไม่ใช่การยับยั้งมติโดยรวม ส่วนสมาชิกไม่ถาวรทั้งสิบประเทศจะอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี ซึ่งได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่โดยใช้เกณฑ์ตามภูมิภาค ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะหมุนเวียนตามตัวอักษรทุกเดือนสำนักเลขาธิการ สำนักเลขาธิการ. สำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติมีเลขาธิการแห่งสหประชาชาติเป็นประธาน ได้รับการสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่พลเรือนทั่วโลก มีหน้าที่ศึกษา รวบรวมข้อมูลและอำนวยความสะดวกให้แก่การประชุม และยังมีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติและส่วนอื่น ๆ ขององค์การ กฎบัตรสหประชาชาติได้ระบุถึงเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเลือกว่าต้องมี "มาตรฐานประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด มีความสามารถและความซื่อสัตย์" และความสำคัญในการคัดเลือกคนที่มาจากพื้นฐานภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน กฎบัตรสหประชาชาติยังได้กำหนดด้วยว่าเจ้าหน้าที่จะต้องไม่แสวงหาหรือรับคำสั่งจากอำนาจใดนอกเหนือจากองค์การสหประชาชาติ ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติทุกประเทศจะต้องเคารพความเป็นสากลของสำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติและจะต้องไม่มุ่งมีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการเป็นอันขาด โดยเลขาธิการสหประชาชาติจะเป็นผู้คัดเลือกเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติแต่เพียงผู้เดียว สถานที่ทำการของสำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติอยู่ในพื้นที่ของสำนักงานประสานกิจการมนุษยชาติและสำนักงานควบคุมปฏิบัติการรักษาสันติภาพเลขาธิการ เลขาธิการ. เลขาธิการทำหน้าที่เสมือนเป็นโฆษกและผู้นำองค์การสหประชาชาติโดยพฤตินัย เลขาธิการองค์การสหประชาชาติคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากปัน คี มูน ใน ค.ศ. 2017 ตำแหน่งนี้ ซึ่งแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์มองว่าเป็น "ผู้ดูแลโลก" ถูกนิยามไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติว่าเป็น "ผู้นำการบริหารขององค์การ" และกฎบัตรยังได้ระบุว่าเลขาธิการสหประชาชาติสามารถยก "ปัญหาใด ๆ ที่เขาเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ" ขึ้นเพื่อให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพิจารณาได้ ทำให้บทบาทของเลขาธิการสหประชาชาติมีขอบเขตกว้างขวางมากขึ้นในเวทีโลก ตำแหน่งเลขาธิการแห่งสหประชาชาติจึงมีสองบทบาท ทั้งผู้บริหารสหประชาชาติ และนักการทูตหรือผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างประเทศสมาชิก และหาข้อยุติให้กับปัญหาระดับโลก เลขาธิการสหประชาชาติมีหน้าที่ที่จะควบคุมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การควบคุมองค์กรสากล การรวบรวมข้อมูลจากข้อตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เลขาธิการสหประชาชาติถูกแต่งตั้งจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หลังจากที่ได้รับมติมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การเลือกเลขาธิการสหประชาชาติมีสิทธิ์ถูกยับยั้งจากสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และตามทฤษฎีแล้ว สมัชชาใหญ่จะสามารถเปลี่ยนการสนับสนุนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ หากไม่ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติไม่ได้ถูกกำหนดคุณสมบัติแน่ชัด แต่เป็นที่ยอมรับกันว่าอยู่ในตำแหน่งวาระละห้าปีได้หนึ่งหรือสองวาระ ตำแหน่งควรจะเวียนไปตามภูมิภาคของโลก และต้องไม่ได้มาจากประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รายนามเลขาธิการสหประชาชาติคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติมีส่วนช่วยเหลือสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในการให้ความสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและการพัฒนา คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด 54 ประเทศ ซึ่งได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติวาระละสามปี ส่วนประธานมีวาระหนึ่งปีและได้รับเลือกจากประเทศขนาดเล็กหรือขนาดกลางเพื่อเป็นผู้แทนของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมขึ้นทุกปี เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม เป็นเวลาสี่สัปดาห์ แต่หลังจากปี ค.ศ. 1998 เป็นต้นมา ได้มีการจัดการประชุมขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่รวบรวมและให้การแนะนำประเทศสมาชิก โดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติเป็นความร่วมมือทางนโยบายที่ดีที่สุด และมีผลงานมากที่สุดในองค์การสหประชาชาติศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการตัดสินปัญหาของสหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1945 จากผลของกฎบัตรสหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเริ่มทำหน้าที่ในปี ค.ศ. 1946 แทนศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศ อนุสาวรีย์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งคล้ายกับศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศก่อนหน้า คือ ข้อความรัฐธรรมนูญที่วางระเบียบของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตั้งอยู่ในพระราชวังสันติภาพ ในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งของสถาบันกฎหมายนานาชาติเฮก ซึ่งเป็นสถานที่ของเอกชนในการศึกษากฎหมายนานาชาติ ผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหลายคนเป็นนิสิตเก่าหรือคณะครูในสถาบันแห่งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อพิจารณาความขัดแย้งระหว่างรัฐ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสงคราม การเข้าไปสอดแทรกกิจการภายในรัฐ และการล้างชาติพันธุ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีศาลที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกัน คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อปี ค.ศ. 2002 ผ่านทางการอภิปรายหลายครั้งของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลถาวรระหว่างประเทศที่ลงโทษผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายสากล รวมไปถึงอาชญากรรมสงครามและการล้างชาติพันธุ์ ศาลอาญาระหว่างประเทศถือว่าเป็นเอกภาพ ทั้งจากลักษณะโดยรวมและทางการเงิน แต่การประชุมบางคราวของโครงสร้างศาลอาญาระหว่างประเทศ คณะสมัชชาแห่งชาติถูกจัดขึ้นที่สหประชาชาติ ซึ่งมี "ข้อตกลงความสัมพันธ์" ระหว่างศาลอาญาระหว่างประเทศกับสหประชาชาติซึ่งทั้งสองต่างก็ยอมรับกันทางกฎหมายหน่วยงานพิเศษ หน่วยงานพิเศษ. นอกจาก 5 เสาหลักของสหประชาชาติแล้ว ยังมีหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติที่ทำหน้าที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นไปตามกำหนดของกฎบัตรสหประชาชาติว่า เสาหลักของสหประชาชาติสามารถก่อตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อเติมเต็มการทำหน้าที่ของตัวเองได้ หน่วยงานเหล่านั้นประกอบด้วยสมาชิก สมาชิก. เมื่อนับรวมไปถึง เซาท์ซูดาน ซึ่งเข้ามาหลังสุด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ขณะนี้ สหประชาชาติมีรัฐสมาชิกซึ่งรวมไปถึงรัฐที่ได้รับการรับรองว่าเป็นเอกราช ทั้งหมด 193 ประเทศ ยกเว้นนครรัฐวาติกัน คอซอวอ และปาเลสไตน์ ซึ่งได้สถานภาพรัฐสังเกตการณ์ กฎบัตรสหประชาชาติได้กำหนดการเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติไว้ว่า1. สิทธิ์การเข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติเปิดกว้างให้แก่รัฐที่รักสันติทุกประเทศที่สามารถยอมรับข้อตกลงที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และสามารถนำพันธะในองค์กรไปปฏิบัติใช้ได้ 2. การยอมรับการเข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมัชชาใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กลุ่ม 77 เป็นการรวมกำลังกันอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในสหประชาชาติ ออกแบบมาเพื่อแสดงออกถึงความสนใจทางเศรษฐกิจร่วมกันและส่งเสริมความร่วมมืออำนาจในการต่อรองภายในสหประชาชาติ กลุ่ม 77 มีจำนวนสมาชิกครั้งก่อตั้งจำนวน 77 ประเทศ แต่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 130 ประเทศ กลุ่มดังกล่าวได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1964 โดย "แถลงการณ์ร่วมของชาติ 77 ชาติ" ซึ่งประกาศเอาไว้ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา การประชุมหลักในครั้งแรกเกิดขึ้นในกรุงแอลเจียร์ ในปี ค.ศ. 1967 ซึ่งจากกฎบัตรอัลเจียร์ได้รับการพัฒนาและพื้นฐานโครงสร้างของสถาบันถาวรได้ริเริ่มเอาไว้ภารกิจการรักษาสันติภาพและความมั่นคง ภารกิจ. การรักษาสันติภาพและความมั่นคง. สหประชาชาติ ภายหลังจากที่ได้รับรองจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จะมีการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไปยังเขตพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในการใช้อาวุธที่สิ้นสุดลงหรือหยุดชะงักเพื่อบังคับใช้เงื่อนไขของข้อตกลงสันติภาพและห้ามปรามผู้เข้าร่วมรบจากความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน สหประชาชาติไม่ได้มีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง การรักษาสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ด้วยการอาสาสมัครจากรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ มีชื่อเรียกว่า "หมวกน้ำเงิน" ผู้ซึ่งสมัครใจปฏิบัติตามมติสหประชาชาติจะได้รับเหรียญสหประชาชาติ และพิจารณามอบเครื่องอิสริยาภรณ์สากล แทนที่จะเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ทางทหาร กองกำลังรักษาสันติภาพทั้งหมดได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 1988 เหล่าผู้ก่อตั้งสหประชาชาติได้เผชิญหน้ากันว่าองค์การสหประชาชาติจะทำหน้าที่ป้องกันความขัดแย้งระหว่างรัฐและทำให้สงครามในอนาคตกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การแตกหักของสงครามเย็นได้ทำให้ข้อตกลงการรักษาสันติภาพกลายเป็นความยุ่งยากอย่างมาก เนื่องจากมีการแบ่งส่วนต่าง ๆ ของโลกออกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ภายหลังจากสงครามเย็น ได้มีความหวังใหม่ว่าสหประชาชาติจะเป็นผู้ธำรงสันติภาพของโลก ในขณะที่ยังมีความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบันทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2005 การศึกษาบริษัทแรนด์ได้พบว่าสหประชาชาติประสบความสำเร็จในการรักษาสันติภาพสองในสาม ได้มีการเปรียบเทียบว่าความพยายามสร้างชาติของสหประชาชาตินี้กับความพยายามของสหรัฐอเมริกา และพบว่าเจ็ดในแปดกรณีของสหประชาชาตินั้นอยู่ในสภาวะสันติภาพ ไม่เหมือนกับสี่ในแปดกรณีของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในสภาวะสันติภาพ ในปี 2005 รายงานความมั่นคงของมนุษย์ได้เป็นพยานหลักฐานของสงคราม การล้างชาติพันธุ์และการละเมิดสิทธิมนุษย์หลายครั้งตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามเย็น และนำเสนอหลักฐาน กรณีแวดล้อมและกิจการสากล ซึ่งส่วนใหญ่นำโดยสหประชาชาติ เป็นสาเหตุของการลดจำนวนลงของความขัดแย้งด้วยอาวุธภายหลังสงครามเย็น สถานการณ์ที่สหประชาชาติมีส่วนร่วมรักษาสันติภาพได้ รวมไปถึง สงครามเกาหลี และการอนุญาตให้เข้าแทรกแซงในอิรัก ภายหลังจากที่อิรักรุกรานคูเวต ในปี ค.ศ. 1990 แต่สหประชาชาติก็ได้รับคำวิจารณ์จากความล้มเหลวในการรักษาสันติภาพหลายครั้ง ในหลายกรณีที่รัฐสมาชิกปฏิบัติการด้วยความไม่เต็มใจในการปฏิบัติตามหรือการบังคับใช้มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ปิดกั้นธรรมชาติของรัฐบาลนานาชาติของสหประชาชาติ ดังที่เห็นได้ชัดเจนจากความร่วมมือกันของรัฐสมาชิก 192 ประเทศต้องมีความเป็นเอกฉันท์ ไม่ใช่องค์การที่มีอิสระ ความไม่เห็นด้วยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทำให้สหประชาชาติล้มเหลวที่จะป้องกันเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา เมื่อปี ค.ศ. 1994 ล้มเหลวที่จะป้องกันที่จะยื่นความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในเข้าแทรก สงครามคองโกครั้งที่สอง ล้มเหลวที่จะเข้าแทรกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซรีเบนนิกา เมื่อปี ค.ศ. 1995 และการป้องกันผู้ลี้ภัยโดยการใช้กำลังรักษาสันติภาพ ล้มเหลวที่จะส่งอาหารให้แก่ผู้คนที่อดอยากในโซมาเลีย ล้มเหลวที่จะปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และล้มเหลวในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเข้าแทรกแซงในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์ กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติตกเป็นจำเลยในการข่มขืนกระทำชำเราเยาวชน การทารุณทางเพศ หรือการใช้บริการโสเภณีระหว่างภารกิจรักษาสันติภาพหลายครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เป็นต้นมา ในคองโก เฮติ ไลบีเรีย ซูดาน บุรุนดีและโกตดิวัวร์ ในความพยายามที่จะรักษาสันติภาพ สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในความพยายามด้านการลดและลดอาวุธ การวางระเบียบของอาวุธยุทธภัณฑ์ รวมไปถึง การเขียนกฎบัตรสหประชาชาติในปี 1945 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะลดการใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรทางเศรษฐกิจในการผลิตอาวุธ อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ก็ปรากฏอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้แนวคิดของการจำกัดอาวุธและการลดอาวุธต้องหยุดชะงักไป โดยมีผลในมติการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อ "การทำลายอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธอื่นที่สามารถก่อการทำลายล้างสูงได้" โดยกระทู้หลักของประเด็นการลดอาวุธอยู่ที่คณะกรรมการการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก คณะกรรมาธิการการลดอาวุธของสหประชาชาติ และการเจรจาลดอาวุธ โดยได้พิจารณาห้ามการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ การควบคุมอาวุธอวกาศ การห้ามใช้อาวุธเคมีและกับระเบิด การลดอาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ การกำหนดเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ การลดงบประมาณทางการทหาร และความพยายามที่จะเสริมสร้างความมั่นคงสากล สหประชาชาติยังได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของกระทู้ความมั่นคงโลก ซึ่งเป็นการประชุมหลักนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาสาธารณภัยต่าง ๆ ซึ่งก่อตั้งขึ้นที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือนตุลาคม 2008สิทธิมนุษยชนและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชนและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม. ความพยายามในการกำกับดูแลสิทธิมนุษยชนถือได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการก่อตั้งสหประชาชาติ ความร้ายกาจจากสงครามโลกครั้งที่สองและพันธุฆาตได้นำไปสู่การเตรียมการองค์การใหม่ขึ้นเพื่อทำงานป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมอีกในอนาคต เป้าหมายในระยะแรก คือ ความพยายามสร้างโครงร่างสำหรับพิจารณาและการลงมือช่วยเหลือตามคำร้องที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดให้รัฐสมาชิกต้องมีการส่งเสริม "ความเคารพและการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชน" และจะต้องสนับสนุนต่อ "การลงมือปฏิบัติร่วมและแยกกัน" จนถึงที่สุด โดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แม้ว่าจะมิได้เป็นข้อผูกมัดทางกฎหมาย ได้ถูกร่างขึ้นโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1948 โดยถือเอาเป็นมาตรฐานการวัดความสำเร็จโดยทั่วไป โดยปกติแล้ว สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะรับฟังประเด็นทางมนุษยธรรมเสมอ สหประชาชาติและหน่วยงานสนับสนุนเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมและเพิ่มพูนตามหลักการของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในกรณีจุดที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติในการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย ความช่วยเหลือทางเทคนิคในการจัดการเลือกตั้งปราศจากค่าใช้จ่ายและยุติธรรม การปรับปรุงระบบยุติธรรม การร่างรัฐธรรมนูญ การฝึกหัดเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชน และการเปลี่ยนแปลงเอาขบวนการติดอาวุธเป็นพรรคการเมืองแทน โดยได้รับความสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงโลกให้กลายเป็นระบอบประชาธิปไตย สหประชาชาติได้มีส่วนช่วยจัดการเลือกตั้งให้แก่ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไม่นานนัก อย่างเช่น อัฟกานิสถานและติมอร์-เลสเตในปัจจุบัน สหประชาชาติยังมีส่วนสำคัญในการรณรงค์สนับสนุนสิทธิสตรีในด้านสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ และชีวิตทางสังคมในประเทศ นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ปลูกฝังแนวคิดสิทธิมนุษยชนผ่านทางกติการของสหประชาชาติ และให้ความสนใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านทางสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2006 ได้มีการจัดตั้งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติขึ้น เพื่อนำเสนอเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อที่ประชุม โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ต่อจากผู้ตรวจการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมักจะได้รับคำวิจารณ์สำหรับตำแหน่งในการบีบรัฐสมาชิกที่ไม่ค่อยให้การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนมีสมาชิก 47 ประเทศกระจายกันไปตามทุกทวีปในโลก โดยมีวาระสมาชิกสามปี และไม่เป็นสมาชิกสามวาระติดต่อกัน ผู้ที่เสนอตัวเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจะต้องได้รับเสียงส่วนใหญ่จากสมัชชาใหญ่ นอกจากนี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยังมีอำนาจอย่างเข้มงวดเหนือรัฐสมาชิก รวมไปถึงการทบทวนสิทธิมนุษยชนสากล ขณะที่รัฐสมาชิกบางประเทศที่มีข้อกังขาถึงประวัติสิทธิมนุษยชนภายในประเทศเมื่อถูกเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ก็จะเพิ่มความสนใจให้แก่ประวัติสิทธิมนุษยชนของรัฐสมาชิกให้มากขึ้นกว่าที่เคย นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ให้ความสนใจแก่ชาวพื้นเมืองจำนวนกว่า 370 ล้านคนทั่วโลก โดยในปฏิญญาสิทธิชนพื้นเมืองได้รับรองจากสมัชชาใหญ่ในปี ค.ศ. 2007 ปฏิญญาดังกล่าวสรุปเน้นถึงความเป็นเอกเทศและการรวมกันของสิทธิทางวัฒนธรรม ภาษา การศึกษา รูปพรรณ การจ้างงานและสุขภาพ ด้วยเหตุนั้น จึงมีประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังยุคอาณานิคม ซึ่งขัดกับวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ปฏิญญาสิทธิชนพื้นเมืองมีเป้าหมายเพื่อที่จะธำรงรักษา สร้างความแข็งแกร่งและสนับสนุนการเจริญเติบโตของสถาบันชนพื้นเมือง วัฒนธรรมและประเพณี และยังมีการห้ามลำเอียงในการต่อต้านชนพื้นเมือง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมือง ซึ่งต้องคำนึงถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ในความร่วมมือกับองค์กรอื่น อย่างเช่น กาชาด สหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัยและบริการให้แก่อาณาประชาราษฎร์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ สูญเสียที่อยู่อาศัยจากภัยสงคราม หรือได้รับผลกระทบจากมหันตภัยอื่น โครงการเพื่อมนุษยธรรมหลักของสหประชาชาติ คือ โครงการอาหารโลก ซึ่งได้ช่วยชีวิตมนุษย์กว่า 100 ล้านคนใน 80 ประเทศทั่วโลก) รวมไปถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ใน 116 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึง ประเทศที่มีภารกิจรักษาสันติภาพ 24 ประเทศการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ. สหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการได้รับการสนับสนุนเฉพาะทางจากทั่วโลก องค์การอย่างเช่น องค์การอนามัยโลก โครงการต้านภัยเอดส์ กองทุนต่อต้านโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย ได้เป็นองค์การสำคัญในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศยากจน กองทุนประชากรของสหประชาชาติเป็นผู้สนับสนุนหลักของบริการระบบสืบพันธุ์ ซึ่งช่วยลดจำนวนทารกและการตายของมารดาในกว่า 100 ประเทศ สหประชาชาติยังได้ส่งเสริมการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ผ่านทางหน่วยงานหลายอย่าง อย่างเช่น ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เป็นองค์การพิเศษและผู้สังเกตการณ์ภายในโครงสร้างของสหประชาชาติ ตามข้อตกลงของปี ค.ศ. 1947 องค์การเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นแยกต่างหากกับสหประชาชาติตามข้อตกลงเบรตตันวูดส์ในปี ค.ศ. 1944 สหประชาชาติได้การตีพิมพ์ดัชนีการพัฒนามนุษย์ทุกปี ซึ่งเป็นการจัดอันดับจากตัวชี้วัดความยากจน จำนวนผู้อ่านออกเขียนได้ การศึกษาและอายุเฉลี่ย และจากตัวแปรอื่น ๆ เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ คือ เป้าหมายแปดประการที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 192 ประเทศตั้งใจจะให้บรรลุภายในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งได้ประกาศไว้ในปฏิญญาสหัสวรรษขององค์การสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2000อาณัติพิเศษ อาณัติพิเศษ. บางครั้งหน่วยงานในองค์การสหประชาชาติได้ผ่านมติที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "เรียกร้อง" "เป็นหน้าที่" หรือ "ให้ช่วยเหลือ" ทำให้เลขาธิการสหประชาชาติตีความว่าเป็นการมอบหมายอาณัติพิเศษให้ตั้งองค์กรชั่วคราวขึ้นหรือสั่งให้ดำเนินการบางสิ่งบางอย่าง อาณัติพิเศษเหล่านี้อาจเป็นภารกิจเล็กๆ เช่นการวิจัยและเผยแพร่เอกสารรายงาน ไปจนถึงการใช้อำนาจเต็มที่ เช่น ปฏิบัติการรักษาสันติภาพเต็มรูปแบบ (ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสิทธิ์เฉพาะของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) แม้ว่าจะมีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางของสหประชาชาติบางแห่งเช่น องค์การอนามัยโลก ขึ้นในลักษณะดังกล่าวมานี้ แต่หน่วยงานเหล่านั้นก็มิใช่อาณัติพิเศษ เพราะองค์การเหล่านั้นถือว่าเป็นองค์การถาวรซึ่งปฏิบัติงานเป็นเอกเทศจากสหประชาชาติ โดยมีโครงสร้างสมาชิกของตัวเอง อาจกล่าวได้ว่าอาณัติเริ่มแรกเป็นแต่เพียงคำสั่งที่ครอบคลุมกระบวนการก่อตั้งสถาบัน และได้สิ้นสุดอาณัติไปนานแล้ว อาณัติพิเศษส่วนใหญ่จะหมดอายุไปในช่วงเวลาที่กำหนด และต้องมีคำสั่งให้ต่ออายุจากหน่วยงานของสหประชาชาติที่เป็นผู้ก่อตั้งเพื่อจะปฏิบัติงานต่อไป หนึ่งในผลจากการประชุมโลกปี 2005 คือ อาณัติพิเศษ (ชื่อว่า "id 17171") สำหรับเลขาธิการสหประชาชาติที่จะ "ทบทวนอาณัติพิเศษทั้งหมดที่มีอายุมากกว่าห้าปีที่ได้รับมาจากมติของสมัชชาใหญ่หรือองค์การส่วนอื่น ๆ" เพื่อให้การทบทวนครั้งนี้เป็นไปโดยง่ายและต่อเนื่องกันภายในองค์การ สำนักเลขาธิการจึงได้จัดทำรายชื่ออาณัติพิเศษออนไลน์ เพื่อดึงรายงานที่เกี่ยวข้องออกมาอยู่รวมกันและสร้างภาพรวมที่เด่นชัดออกมาภารกิจด้านอื่น ๆ ภารกิจด้านอื่น ๆ. ตลอดช่วงเวลาของสหประชาชาติ มีอาณานิคมกว่า 80 แห่งที่เรียกร้องเอกราช สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ออกปฏิญญาการมอบเอกราชให้แก่อาณานิคมและประชากรในปี ค.ศ. 1960 โดยไม่มีเสียงต่อต้านเลย ส่วนประเทศเจ้าอาณานิคมเพียงแต่งดลงคะแนนเสียงเท่านั้น ผ่านทางคณะกรรมการสหประชาชาติเพื่อการปลดปล่อยอาณานิคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 สหประชาชาติได้ให้ความสนใจในการปลดปล่อยอาณานิคม คณะกรรมการดังกล่าวยังได้สนับสนุนรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจากการปกครองตัวเอง คณะกรรมการดังกล่าวดูแลการตรวจตราการปลดปล่อยอาณานิคมที่มีขนาดใหญ่กว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร และถอดรายชื่อประเทศนั้น ๆ ออกจากรายชื่อดินแดนที่ไม่ได้ปกครองตนเองของสหประชาชาติ สหประชาชาติยังได้มีการประกาศวันหยุดสากล ช่วงเวลาที่จะเฉลิมฉลองต่อประเด็นความสนใจหรือความกังวลนานาชาติ การใช้สัญลักษณ์ของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และโครงสร้างพื้นฐานของระบบสหประชาชาติ ซึ่งเป็นช่วงเวลาวันหรือปีที่เป็นประเด็นสำหรับความกังวลในระดับโลก อย่างเช่น วันวัณโรคโลก วันคุ้มครองโลก หรือ ปีแห่งทะเลทรายและการเกิดทะเลทรายสากลงบประมาณ งบประมาณ. สหประชาชาติได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐสมาชิกด้วยความสมัครใจตามจำนวนที่ประเมินไว้แล้ว งบประมาณจำนวนสองปีของสหประชาชาติและหน่วยงานพิเศษได้รับเงินสนับสนุนจากการประเมิน สมัชชาใหญ่จะเป็นผู้กำหนดงบประมาณประจำและพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวงเงินบริจาคให้แก่สหประชาชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความสามารถในการบริจาคของแต่ละประเทศ โดยวัดได้จากรายได้โดยรวมของชาติ และปรับฐานด้วยปริมาณหนี้ต่างประเทศและรายได้ต่อหัว สมัชชาใหญ่ยังได้กำหนดหลักการว่าสหประชาชาติไม่ควรจะพึ่งพาทางการเงินจากรัฐสมาชิกใดรัฐหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จึงมีการกำหนดเพดานการบริจาค ซึ่งเป็นการกำหนดจำนวนวงเงินสูงสุดในการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงบประมาณประจำของสหประชาชาติ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 สมัชชาใหญ่ได้มีการทบทวนวงเงินในการสนับสนุนสหประชาชาติใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของโลก หลังจากการทบทวน ได้มีการกำหนดลดเพดานวงเงินบริจาคสูงสุดจาก 25% เหลือ 22% ซึ่งมีเพียงสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่มีวงเงินบริจาคมากเพียงนั้น และยังมีการกำหนดวงเงินบริจาคต่ำสุดของงบประมาณสหประชาชาติไว้ที่ 0.001% สำหรับประเทศด้อยพัฒนาเพดานวงเงินบริจาคถูกกำหนดไว้ที่ 0.01% โดยปัจจุบัน วงเงินปฏิบัติการของสหประชาชาติตั้งไว้ที่ 4.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายที่สำคัญของสหประชาชาติคือค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาสันติภาพและความมั่นคง งบประมาณเพื่อการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติประจำปี 2005-2006 กินจำนวนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทหารประจำการกว่า 70,000 นาย ในภารกิจรักษาสันติภาพ 17 แห่งทั่วโลก ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้รับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิก แต่ด้วยวงเงินที่แตกต่างไปจากปกติ แต่ยังรวมไปถึงการเก็บเงินเพิ่มสำหรับสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถาวรห้าประเทศ ผู้เป็นผู้สั่งการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวนี้เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 ผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินหลักแก่ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 10 รายสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี จีน แคนาดา สเปนและเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติไม่จัดรวมอยู่ในงบประมาณประจำ (อย่างเช่น กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนโดยสมัครใจจากรัฐสมาชิก นอกจากจะให้การช่วยเหลือทางการเงินแล้ว บางประเทศได้บริจาคในรูปของผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ประชากรที่หิวโหยแทนนโยบายด้านบุคลากรและการจ้างงาน นโยบายด้านบุคลากรและการจ้างงาน. องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติ มักได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันจากกฎหมายของประเทศที่ปฏิบัติการอยู่ (เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินภารกิจขององค์การ)เพื่อเป็นการป้องกันให้องค์การสหประชาชาติคงความยุติธรรมให้แก่ประเทศเจ้าบ้านและรัฐสมาชิก ความเป็นอิสระดังกล่าวทำให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถใช้ทรัพยากรมนุษย์ได้ แม้ว่าในบางกรณีอาจจะขัดต่อกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านหรือรัฐสมาชิกก็ตาม แม้ว่าสหประชาชาติจะมีอิสระในด้านนโยบายทรัพยากรมนุษย์ สหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ สมัครใจที่จะบังคับใช้กฎหมายการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน โดยให้สถานะของพนักงานในความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัญชาติ สหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ จะให้การยอมรับพนักงานที่แต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันได้เฉพาะในประเทศที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น การปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงแนวคิดของสหประชาชาติที่มีต่อการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันโดยตรง แต่สะท้อนถึงนโยบายด้านบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์ของสหประชาชาติ และบางหน่วยงานได้เอื้อประโยชน์เพียงน้อยนิดให้แก่ความสัมพันธ์แบบครอบครัวของพนักงานหน่วยงาน และหน่วยงานบางแห่งไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันหรือความสัมพันธ์แบบครอบครัวเลยการปฏิรูป การปฏิรูป. นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ ก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์การหลายครั้ง แม้ว่าจะมีทิศทางการแก้ไขที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็ตาม บางฝ่ายต้องการให้องค์การสหประชาชาติมีบทบาทมากขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้นในกิจการของโลก ขณะที่บางฝ่ายต้องการให้ลดบทบาทขององค์การเหลือเพียงการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้เพิ่มสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติขึ้นอีก เพื่อที่จะให้มีหนทางที่แตกต่างในการเลือกตั้งเลขาธิการสหประชาชาติ และสมัชชารัฐสภาแห่งสหประชาชาติ สหประชาชาติยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและสิ้นเปลือง ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 สหรัฐอเมริกาปฏิเสธที่จะบริจาคเงินอุดหนุนให้แก่สหประชาชาติโดยอ้างว่าสหประชาชาติบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ และจะเริ่มบริจาคเงินอุดหนุนให้อีกครั้งภายหลังจากมีการประกาศปฏิรูปองค์การเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1994 สมัชชาใหญ่ได้มีมติให้มีการจัดตั้งสำนักงานบริการตรวจสอบภายในขึ้นเพื่อเป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพภายในองค์การ โครงการปฏิรูปอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นขึ้นโดย โคฟี อันนัน ในปี ค.ศ. 1997 การปฏิรูปอย่างกล่าวรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงตัวสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเดิมสะท้อนถึงมหาอำนาจของโลกภายหลังปี ค.ศ. 1945 เพื่อให้ระบบการทำงานโปร่งใสขึ้น มีเหตุมีผลและมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์การสหประชาชาติมีรูปแบบเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และมีการกำหนดภาษีศุลกากรในประดิษฐกรรมอาวุธทั่วโลก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 สหประชาชาติได้จัดการประชุมโลก การประชุมครั้งนี้เรียกว่า "การประชุมครั้งหนึ่งในโอกาสแห่งชั่วอายุคนเพื่อการตัดสินใจครั้งสำคัญในพื้นที่การพัฒนา ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการปฏิรูปสหประชาชาติ" โคฟี อันนันได้เสนอให้ที่ประชุมได้ตกลง "ลดราคาครั้งใหญ่" ในการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองขององค์การต่อสันติภาพ ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา และปรับปรุงรูปแบบเพื่อรองรับเหตุการณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ผลของการประชุมได้ข้อสรุปเป็นการประนีประนอมของเหล่าผู้นำโลก ซึ่งสรุปให้มีการก่อตั้งคณะกรรมการสร้างสันติภาพ เพื่อให้การช่วยเหลือประเทศที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกองทุนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการต่อสู้อย่างชัดเจนต่อการก่อการร้าย "ในทุกรูปแบบและการกระทำ" และข้อตกลงที่จะมอบทรัพยากรให้แก่สำนักงานบิรหารตรวจสอบภายในเพิ่มขึ้น ให้เงินสนับสนุนอีกพันล้านให้แก่เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ ยกเลิกคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติเนื่องจากทำภารกิจลุล่วงแล้ว และประชาคมโลกจะต้องมี "ความรับผิดชอบในการป้องกัน" ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแห่งชาติที่จะคอยป้องกันพลเมืองของตนจากอาชญากรรมร้ายแรง สำนักงานบริการตรวจสอบภายในได้มีการก่อตั้งขึ้นใหม่ด้วยขอบเขตและอำนาจที่ได้รับอย่างชัดเจน และจะได้รับทรัพยากรเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สมัชชาใหญ่ยังได้รับอำนาจการตรวจสอบเพิ่มขึ้น มีการก่อตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาการตรวจสอบอิสระ (IAAC) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 คณะกรรมการชุดที่ห้าได้ออกมติร่างข้อเรียนปฏิบัติของคณะกรรมการดังกล่าว สำนักงานหลักจรรยาได้ก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีอำนาจรับผิดชอบในการบริหารการเปิดเผยทางการเงินและนโยบายการป้องกันผู้ให้ข้อมูล สำนักงานหลักจรรยาได้ดำเนินการร่วมกับ OIOS ในการวางแผนส่งเสริมนโยบายการป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวง สำนักเลขาธิการกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนอำนาจที่ได้รับมอบของสหประชาชาติที่มีอายุมากกว่าห้าปี การทบทวนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อกำจัดโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าไม่จำเป็น โดยมีหัวข้อที่ต้องทบทวนกว่า 7,000 หัวข้อ และมีการโต้แย้งกันในเรื่องที่ว่าจะการกำหนดอำนาจที่ได้รับมอบขึ้นมาใหม่ จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการอยู่การโต้เถียงและคำวิจารณ์ การโต้เถียงและคำวิจารณ์. องค์การสหประชาชาติได้รับการโต้เถียงและคำวิจารณ์มาตั้งแต่กิจกรรมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ในช่วงต้นของการก่อตั้งสหประชาชาติ ได้มีการต่อต้านสหประชาชาติในสหรัฐอเมริกาโดยสมาคมจอห์น เบิรช์ ซึ่งเริ่มต้นการรณรงค์ "ดึงสหรัฐออกจากสหประชาชาติ" ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ซึ่งกล่าวหาว่านโยบายของสหประชาชาติ คือ การก่อตั้งรัฐบาลโลกเพียงหนึ่งเดียว หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คณะกรรมการว่าด้วยการปลดปล่อยแห่งชาติฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้เป็นรัฐบาลฝรั่งเศสในภายหลัง ดังนั้น ในช่วงแรกฝรั่งเศสจึงถูกกีดกันออกจากการประชุมเพื่อที่จะก่อตั้งองค์การใหม่ขึ้น ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า le machin ("ไอ้สวะ") และไม่เชื่อมั่นว่าพันธมิตรที่ร่วมกันรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศจะช่วยธำรงรักษาสันติภาพไว้ได้ โดยเสนอว่าการทำสนธิสัญญาป้องกันระหว่างประเทศโดยตรงจะดีกว่า ในปี ค.ศ. 1967 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า "พ้นสมัยและไม่เพียงพอ" ต่อการจัดการปัญหาความขัดแย้งในสมัยนั้น อย่างเช่น สงครามเย็น จีน เคิร์กแพทริก ผู้เลือกให้โรนัลด์ เรแกนเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ได้เขียนความเห็นไว้ใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ เมื่อปี ค.ศ. 1983 ว่ากระบวนการอภิปรายของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "มีส่วนเหมือนคนโง่" ของสหรัฐอเมริกา "มากกว่าการโต้วาทีทางการเมืองหรือเพื่อการแก้ปัญหาใด ๆ" ในการปราศรัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ก่อนหน้าการรุกรานอิรักของสหรัฐอเมริกาไม่นานนัก นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวว่า "เหล่าประเทศเสรีจะไม่ปล่อยให้สหประชาชาติเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ในฐานะของสมาคมโต้วาทีที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ตรงประเด็น" ในปี ค.ศ. 2005 เขาได้แต่งตั้งให้นายจอห์น อาร์. โบลตันเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ซึ่งเขาได้กล่าวในปี ค.ศ. 1994 ว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเป็นสหประชาชาติได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่ประชาคมโลก ซึ่งสามารถนำได้โดยประเทศอภิมหาอำนาจที่เหลืออยู่ คือ สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น" ในปี ค.ศ. 2004 อดีตเอกอัครทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ดอร์ โกลด์ ได้ตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า Tower of Babble: How the United Nations Has Fueled Global Chaos ซึ่งได้วิจารณ์สหประชาชาติในสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ของศีลธรรมในการเผชิญหน้ากับการล้างชาติพันธุ์และการก่อการร้าย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาก่อตั้งกับเวลาปัจจุบัน ขณะที่สหประชาชาติในช่วงที่กำลังก่อตั้งมีความจำกัดต่อชาติที่ประกาศสงครามต่อประเทศฝ่ายอักษะอย่างน้อยหนึ่งประเทศ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และยังได้สามารถยืดหยัดต่อต้านความชั่วร้ายได้ ส่วนสหประชาชาติสมัยใหม่ตามความเห็นของโกลด์แล้ว มีความเจือจางลงจนถึงจุดที่มีเพียงรัฐสมาชิก 75 จาก 184 รัฐ (ในขณะนั้น) เท่านั้นที่ "เป็นประชาธิปไตยเสรี เมื่อดูจากการสำรวจของฟรีดอมเฮาส์ เขาได้กล่าวต่อไปว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงสหประชาชาติ ดังนั้น ตัวองค์กรโดยรวมจึงมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการตามอย่างของเผด็จการอคติในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล อคติในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล. ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลและปาเลสไตน์ในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอลได้ทำให้สหประชาชาติสิ้นเปลืองเวลาโต้วาที ออกมติและทรัพยากรจำนวนมาก คณะกรรมการพิเศษปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติได้ตัดสินใจสนับสนุนให้มีการผนวกปาเลสไตน์เข้ากับสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 1947 เป็นการตัดสินใจในช่วงแรกของการก่อตั้งสหประชาชาติ นับตั้งแต่นั้นมา สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในพื้นที่พิพาทดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ผ่านทางองค์การทำงานและบรรเทาทุกข์เพื่อชาวปาเลสไตน์ในดินแดนตะวันออกใกล้ประจำสหประชาชาติ และมอบเวทีแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านทางคณะกรรมการสิทธิ์การโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ แผนกสิทธิชาวปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติ คณะกรรมการพิเศษสืบสวนการละเมิดสิมธิมุนษยชนชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอล ระบบข้อมูลในกระทู้เกี่ยวกับปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติและวันแห่งความร่วมมือกับชาวปาเลสไตน์สากล สหประชาชาติได้สนับสนุนให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพรรคการเมือง โดยครั้งล่าสุด คือ แผนที่ถนนเพื่อสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 2002 จนถึงปัจจุบัน ปัญหาในตะวันออกกลางได้ทำให้สหประชาชาติต้องออกมติสมัชชาใหญ่คิดเป็น 76% มติคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 100% มติผู้ตรวจการสิทธิสตรีแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 100% รายงานของโครงการอาหารโลกคิดเป็น 50% มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 6% และเป็นหัวข้อในสมัยการประชุมพิเศษฉุกเฉินของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ 6 ครั้งจากทั้งหมด 10 ครั้ง จากมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 3379 (ค.ศ. 1975) ได้เริ่มต้นว่า "ลัทธิไซออนคือลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ" และล้มเลิกเมื่อปี ค.ศ. 1991 โดยการตัดสินใจเหล่านี้ได้ผ่านจากการสนับสนุนจากองค์การการประชุมอิสลาม ซึ่งได้ประณามต่อการปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอล ซึ่งได้มีหลายคนที่กล่าวว่าเป็นการกระทำที่เลยเถิดเกินไป คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากความล้มเหลวในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิสราเอล สหรัฐอเมริกาเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในการใช้อำนาจยับยั้งในการตัดสินใจของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิสราเอล เป็นที่รู้จักกันว่า "ลัทธิเนโกรปอนเต" ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 อิสราเอลถูกกีดกันออกจากเขตพื้นที่ทวีปเอเชีย ในปี ค.ศ. 2000 อิสราเอลตกลงที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและอื่น ๆ องค์การทำงานและบรรเทาทุกข์เพื่อชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ประจำสหประชาชาติตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ในชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ แม้ว่าสหประชาชาติจะกล่าวโทษลัทธิต่อต้านชาวยิว แต่ว่าก็มีผู้กล่าวว่ามีคนจำนวนมากที่ต่อต้านชาวยิวทำงานในสหประชาชาติ และมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายหลายกรณีด้วยกันโครงการน้ำมันแลกอาหาร โครงการน้ำมันแลกอาหาร. โครงการน้ำมันแลกอาหารถูกก่อตั้งโดยสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1996 เพื่อให้อิรักขายน้ำมันเพื่อแลกกับอาหาร ยา และปัจจัยพื้นฐานให้แก่ชาวอิรักซึ่งได้รับผลกระทบจากการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลอิรักสร้างกำลังทหารขึ้นมาใหม่หลังจากสงครามอ่าว อิรักได้ส่งน้ำมันสู่ตลาดโลกกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายทางด้านปัจจัยพื้นฐานเป็นจำนวน 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาษีเพิ่มเติมที่จ่ายเพื่อชำระค่าปฏิกรรมสงครามสงครามอ่าวผ่านทางกองทุนชดเชย โครงการปกครองของสหประชาชาติและค่าปฏิบัติการสำหรับโครงการ (2.2%) และโครงการตรวจตราอาวุธ (0.8%) โครงการดังกล่าวถูกล้มเลิกในตอนปลายปี 2003 ท่ามกลางข้อครหาจากโทษและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้กำกับโครงการคนก่อน บีนอน ซีแวน ถูกระงับและลาออกจากสหประชาชาติ การทำรายงานสืบสวนโดยได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติได้สรุปว่าเซแวนรับเงินสินบนจากรัฐบาลอิรัก โตโจ อันนัน ถูกกล่าวหาเช่นกันว่าผิดกฎหมายในการอนุมัติข้อตกลงน้ำมันแลกอาหารบนผลประโยชน์ของบริษัทสวิส โคเทคนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เค. นัทวาร์ ซิงฮ์ ถูกให้ออกจากตำแหน่งเพราะมีเรื่องอื้อฉาว และออสเตรเลียนวีทบอร์ดก็ฝ่าฝืนกฎหมายเนื่องจากทำข้อตกลงไว้กับอิรักด้านอื่น ด้านอื่น. อัลบิน คูร์ติ นักเคลื่อนไหวจากคอซอวอ ได้กล่าวหาองค์การสหประชาชาติ ผู้ปกครองคอซอวอมาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 เนื่องจากว่าตามกลั่นแกล้งและจับกุมเขาด้วยเหตุผลทางการเมือง การกล่าวหาของเขาได้รับการสนับสนุนจากองค์การสิทธิมนุษยชนสากล อย่างเช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและสหพันธ์เฮลซิงกิสากล ตามรายงานของอัมเนสตี ผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกจากสหประชาชาติ "จวนเจียนจะถึงโจทก์หลังจากการฟัง - ในการขาดทั้งคูร์ติหรือนักกฎหมายที่ศาลมอบหมาย - เพื่อที่จะคลายความสงสัยที่ฝ่ายโจทก์จะแนะนำความสัมพันธ์ถึงการกักขังตัวเขาไว้"
| สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นในค.ศ.ใด | {
"answer": [
"1945"
],
"answer_begin_position": [
377
],
"answer_end_position": [
381
]
} |
2,012 | 3,818 | สหประชาชาติ สหประชาชาติ (; ตัวย่อ: UN) หรือ องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจำนวนมากเพื่อนำภารกิจไปปฏิบัติ สหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 6 เสาหลัก ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการ และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงคณะมนตรีภาวะทรัสตี (ปัจจุบันยุติการทำงานแล้ว) นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่น องค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของสหประชาชาติ คือ เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017 ต่อจาก พัน กี-มุน ชาวเกาหลีใต้การก่อตั้ง การก่อตั้ง. สหประชาชาติถูกก่อตั้งเพื่อสืบทอดองค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพที่จะธำรงรักษาสันติภาพ ดังที่เห็นได้จากความล้มเหลวในการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง คำว่า "สหประชาชาติ" เป็นแนวคิดของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์และวินสตัน เชอร์ชิลล์ พบใช้ครั้งแรกในกฎบัตรสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1942 ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร 26 ประเทศในสงครามโลกครั้งที่สองเข้าด้วยกันภายใต้การลงนามกฎบัตรแอตแลนติก และกลายเป็นคำที่ใช้เรียกองค์การนี้ในที่สุด ใน ค.ศ. 1944 ผู้แทนจากประเทศฝรั่งเศส สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตเข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนการก่อตั้งสหประชาชาติที่ดัมบาตันโอกส์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การประชุมครั้งนั้นและครั้งต่อ ๆ มา ทำให้เกิดรากฐานความร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม โดยแผนเหล่านี้ได้ผ่านการถกเถียงอภิปรายจากรัฐบาลและประชาชนจากทั่วโลก เมื่อใกล้สิ้นสุดสงคราม การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยองค์การระหว่างประเทศ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 ที่นครซานฟรานซิสโก ตัวแทนจาก 50 ประเทศได้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ยกเว้นโปแลนด์ที่ไม่สามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมได้แต่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสมาชิกดั้งเดิม รวมเป็น 51 ประเทศ แม้สันนิบาตชาติจะถูกล้มเลิกไป แต่อุดมการณ์ส่วนใหญ่และโครงสร้างบางประการได้ถูกกำหนดไว้ในกฎบัตรโดยได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับโลกใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น หลังจากกฎบัตรผ่านการลงนามจากสมาชิก สหประชาชาติจึงได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อกฎบัตรมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 หลังจากนั้น การประชุมสมัชชาครั้งแรกเกิดขึ้นที่กรุงลอนดอน เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1946องค์กร องค์กร. ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 5 เสาหลัก (ไม่นับรวมคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ ซึ่งยุติการปฏิบัติงานไปใน ค.ศ. 1994) ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สี่องค์กรในจำนวนนี้มีที่ทำการในสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก ส่วนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ส่วนองค์กรย่อย ๆ ตั้งอยู่ที่เจนีวา เวียนนาและไนโรบี รวมไปถึงเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก สหประชาชาติมีธง ที่ทำการไปรษณีย์ และดวงตราไปรษณียากรของตนเอง ภาษาทางการที่ใช้มีอยู่ 6 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษารัสเซีย ภาษาจีน และภาษาอาหรับ โดยที่ภาษาอาหรับได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังสุด เมื่อปี ค.ศ. 1973 ส่วนสำนักเลขาธิการนั้นใช้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษที่กำหนดให้เป็นมาตรฐาน คือ อังกฤษบริติช และการสะกดแบบออกซ์ฟอร์ด ส่วนภาษาจีนมาตรฐาน คือ อักษรจีนตัวย่อ ซึ่งเปลี่ยนมาจาก อักษรจีนตัวเต็ม ใน ค.ศ. 1971 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสมาชิกสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีนสมัชชาใหญ่ สมัชชาใหญ่. สมัชชาใหญ่เป็นที่ประชุมซึ่งรัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดประชุมกันเป็นประจำในสมัยประชุมประจำปีภายใต้ประธานซึ่งเลือกตั้งมาจากรัฐสมาชิก ในช่วงเปิดสมัยประชุมแต่ละสมัยเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ สมาชิกทั้งหมดมีโอกาสจะเสนอญัตติแก่สมัชชาได้ สมัยประชุมแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1946 ในเวสต์มินสเตอร์เซ็นทรัลฮอลล์ ในกรุงลอนดอน ซึ่งในขณะนั้นมีสมาชิก 51 ประเทศ เมื่อสมัชชาใหญ่ลงมติต่อปัญหาที่สำคัญ จะต้องมีการลงมติและได้รับเสียงส่วนใหญ่เกินสองในสามของรัฐสมาชิกที่มาประชุม ตัวอย่างปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การแนะนำต่อสันติภาพและความมั่นคง การเลือกตั้งสมาชิกองค์กร การรับเข้า การระงับและการขับสมาชิก และประเด็นด้านงบประมาณ ส่วนปัญหาอื่นทั้งหมดตัดสินโดยใช้มติเสียงข้างมาก รัฐสมาชิกแต่ละประเทศมีหนึ่งเสียง นอกเหนือไปจากการอนุมัติประเด็นทางงบประมาณ ข้อมติสมัชชาใหญ่ไม่มีผลผูกมัดต่อสมาชิก สมัชชาใหญ่อาจเสนอคำแนะนำต่อปัญหาใด ๆ ภายใต้ขอบเขตของสหประชาชาติ ยกเว้นประเด็นด้านสันติภาพและความมั่นคงซึ่งอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคง. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่ดำรงรักษาสันติภาพและความปลอดภัยแก่ประเทศสมาชิก ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของสหประชาชาติสามารถเพียงให้คำแนะนำแก่รัฐบาลของประเทศสมาชิก แต่คณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจที่จะผูกมัดประเทศสมาชิกให้ปฏิบัติตามการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตามข้อตกลงในกฎบัตรข้อที่ 25 โดยผลการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคง เรียกว่า มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกถาวร 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และสมาชิกไม่ถาวรอีก 10 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยชาด ไนจีเรีย แองโกลา จอร์แดน มาเลเซีย ชิลี เวเนซุเอลา นิวซีแลนด์ สเปน และลิทัวเนีย สมาชิกถาวรทั้งห้าประเทศมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจยับยั้งการนำไปใช้ แต่ไม่ใช่การยับยั้งมติโดยรวม ส่วนสมาชิกไม่ถาวรทั้งสิบประเทศจะอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี ซึ่งได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่โดยใช้เกณฑ์ตามภูมิภาค ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะหมุนเวียนตามตัวอักษรทุกเดือนสำนักเลขาธิการ สำนักเลขาธิการ. สำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติมีเลขาธิการแห่งสหประชาชาติเป็นประธาน ได้รับการสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่พลเรือนทั่วโลก มีหน้าที่ศึกษา รวบรวมข้อมูลและอำนวยความสะดวกให้แก่การประชุม และยังมีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติและส่วนอื่น ๆ ขององค์การ กฎบัตรสหประชาชาติได้ระบุถึงเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเลือกว่าต้องมี "มาตรฐานประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด มีความสามารถและความซื่อสัตย์" และความสำคัญในการคัดเลือกคนที่มาจากพื้นฐานภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน กฎบัตรสหประชาชาติยังได้กำหนดด้วยว่าเจ้าหน้าที่จะต้องไม่แสวงหาหรือรับคำสั่งจากอำนาจใดนอกเหนือจากองค์การสหประชาชาติ ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติทุกประเทศจะต้องเคารพความเป็นสากลของสำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติและจะต้องไม่มุ่งมีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการเป็นอันขาด โดยเลขาธิการสหประชาชาติจะเป็นผู้คัดเลือกเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติแต่เพียงผู้เดียว สถานที่ทำการของสำนักเลขาธิการแห่งสหประชาชาติอยู่ในพื้นที่ของสำนักงานประสานกิจการมนุษยชาติและสำนักงานควบคุมปฏิบัติการรักษาสันติภาพเลขาธิการ เลขาธิการ. เลขาธิการทำหน้าที่เสมือนเป็นโฆษกและผู้นำองค์การสหประชาชาติโดยพฤตินัย เลขาธิการองค์การสหประชาชาติคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากปัน คี มูน ใน ค.ศ. 2017 ตำแหน่งนี้ ซึ่งแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์มองว่าเป็น "ผู้ดูแลโลก" ถูกนิยามไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติว่าเป็น "ผู้นำการบริหารขององค์การ" และกฎบัตรยังได้ระบุว่าเลขาธิการสหประชาชาติสามารถยก "ปัญหาใด ๆ ที่เขาเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ" ขึ้นเพื่อให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพิจารณาได้ ทำให้บทบาทของเลขาธิการสหประชาชาติมีขอบเขตกว้างขวางมากขึ้นในเวทีโลก ตำแหน่งเลขาธิการแห่งสหประชาชาติจึงมีสองบทบาท ทั้งผู้บริหารสหประชาชาติ และนักการทูตหรือผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างประเทศสมาชิก และหาข้อยุติให้กับปัญหาระดับโลก เลขาธิการสหประชาชาติมีหน้าที่ที่จะควบคุมปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การควบคุมองค์กรสากล การรวบรวมข้อมูลจากข้อตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เลขาธิการสหประชาชาติถูกแต่งตั้งจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หลังจากที่ได้รับมติมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การเลือกเลขาธิการสหประชาชาติมีสิทธิ์ถูกยับยั้งจากสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และตามทฤษฎีแล้ว สมัชชาใหญ่จะสามารถเปลี่ยนการสนับสนุนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ หากไม่ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติไม่ได้ถูกกำหนดคุณสมบัติแน่ชัด แต่เป็นที่ยอมรับกันว่าอยู่ในตำแหน่งวาระละห้าปีได้หนึ่งหรือสองวาระ ตำแหน่งควรจะเวียนไปตามภูมิภาคของโลก และต้องไม่ได้มาจากประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รายนามเลขาธิการสหประชาชาติคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติมีส่วนช่วยเหลือสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในการให้ความสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและการพัฒนา คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด 54 ประเทศ ซึ่งได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติวาระละสามปี ส่วนประธานมีวาระหนึ่งปีและได้รับเลือกจากประเทศขนาดเล็กหรือขนาดกลางเพื่อเป็นผู้แทนของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมขึ้นทุกปี เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม เป็นเวลาสี่สัปดาห์ แต่หลังจากปี ค.ศ. 1998 เป็นต้นมา ได้มีการจัดการประชุมขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่รวบรวมและให้การแนะนำประเทศสมาชิก โดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติเป็นความร่วมมือทางนโยบายที่ดีที่สุด และมีผลงานมากที่สุดในองค์การสหประชาชาติศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการตัดสินปัญหาของสหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1945 จากผลของกฎบัตรสหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเริ่มทำหน้าที่ในปี ค.ศ. 1946 แทนศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศ อนุสาวรีย์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งคล้ายกับศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศก่อนหน้า คือ ข้อความรัฐธรรมนูญที่วางระเบียบของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตั้งอยู่ในพระราชวังสันติภาพ ในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งของสถาบันกฎหมายนานาชาติเฮก ซึ่งเป็นสถานที่ของเอกชนในการศึกษากฎหมายนานาชาติ ผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหลายคนเป็นนิสิตเก่าหรือคณะครูในสถาบันแห่งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อพิจารณาความขัดแย้งระหว่างรัฐ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสงคราม การเข้าไปสอดแทรกกิจการภายในรัฐ และการล้างชาติพันธุ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีศาลที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกัน คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อปี ค.ศ. 2002 ผ่านทางการอภิปรายหลายครั้งของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลถาวรระหว่างประเทศที่ลงโทษผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายสากล รวมไปถึงอาชญากรรมสงครามและการล้างชาติพันธุ์ ศาลอาญาระหว่างประเทศถือว่าเป็นเอกภาพ ทั้งจากลักษณะโดยรวมและทางการเงิน แต่การประชุมบางคราวของโครงสร้างศาลอาญาระหว่างประเทศ คณะสมัชชาแห่งชาติถูกจัดขึ้นที่สหประชาชาติ ซึ่งมี "ข้อตกลงความสัมพันธ์" ระหว่างศาลอาญาระหว่างประเทศกับสหประชาชาติซึ่งทั้งสองต่างก็ยอมรับกันทางกฎหมายหน่วยงานพิเศษ หน่วยงานพิเศษ. นอกจาก 5 เสาหลักของสหประชาชาติแล้ว ยังมีหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติที่ทำหน้าที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นไปตามกำหนดของกฎบัตรสหประชาชาติว่า เสาหลักของสหประชาชาติสามารถก่อตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อเติมเต็มการทำหน้าที่ของตัวเองได้ หน่วยงานเหล่านั้นประกอบด้วยสมาชิก สมาชิก. เมื่อนับรวมไปถึง เซาท์ซูดาน ซึ่งเข้ามาหลังสุด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ขณะนี้ สหประชาชาติมีรัฐสมาชิกซึ่งรวมไปถึงรัฐที่ได้รับการรับรองว่าเป็นเอกราช ทั้งหมด 193 ประเทศ ยกเว้นนครรัฐวาติกัน คอซอวอ และปาเลสไตน์ ซึ่งได้สถานภาพรัฐสังเกตการณ์ กฎบัตรสหประชาชาติได้กำหนดการเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติไว้ว่า1. สิทธิ์การเข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติเปิดกว้างให้แก่รัฐที่รักสันติทุกประเทศที่สามารถยอมรับข้อตกลงที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และสามารถนำพันธะในองค์กรไปปฏิบัติใช้ได้ 2. การยอมรับการเข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมัชชาใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนคำแนะนำของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กลุ่ม 77 เป็นการรวมกำลังกันอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในสหประชาชาติ ออกแบบมาเพื่อแสดงออกถึงความสนใจทางเศรษฐกิจร่วมกันและส่งเสริมความร่วมมืออำนาจในการต่อรองภายในสหประชาชาติ กลุ่ม 77 มีจำนวนสมาชิกครั้งก่อตั้งจำนวน 77 ประเทศ แต่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 130 ประเทศ กลุ่มดังกล่าวได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1964 โดย "แถลงการณ์ร่วมของชาติ 77 ชาติ" ซึ่งประกาศเอาไว้ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา การประชุมหลักในครั้งแรกเกิดขึ้นในกรุงแอลเจียร์ ในปี ค.ศ. 1967 ซึ่งจากกฎบัตรอัลเจียร์ได้รับการพัฒนาและพื้นฐานโครงสร้างของสถาบันถาวรได้ริเริ่มเอาไว้ภารกิจการรักษาสันติภาพและความมั่นคง ภารกิจ. การรักษาสันติภาพและความมั่นคง. สหประชาชาติ ภายหลังจากที่ได้รับรองจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จะมีการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไปยังเขตพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในการใช้อาวุธที่สิ้นสุดลงหรือหยุดชะงักเพื่อบังคับใช้เงื่อนไขของข้อตกลงสันติภาพและห้ามปรามผู้เข้าร่วมรบจากความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน สหประชาชาติไม่ได้มีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง การรักษาสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ด้วยการอาสาสมัครจากรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ มีชื่อเรียกว่า "หมวกน้ำเงิน" ผู้ซึ่งสมัครใจปฏิบัติตามมติสหประชาชาติจะได้รับเหรียญสหประชาชาติ และพิจารณามอบเครื่องอิสริยาภรณ์สากล แทนที่จะเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ทางทหาร กองกำลังรักษาสันติภาพทั้งหมดได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 1988 เหล่าผู้ก่อตั้งสหประชาชาติได้เผชิญหน้ากันว่าองค์การสหประชาชาติจะทำหน้าที่ป้องกันความขัดแย้งระหว่างรัฐและทำให้สงครามในอนาคตกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การแตกหักของสงครามเย็นได้ทำให้ข้อตกลงการรักษาสันติภาพกลายเป็นความยุ่งยากอย่างมาก เนื่องจากมีการแบ่งส่วนต่าง ๆ ของโลกออกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ภายหลังจากสงครามเย็น ได้มีความหวังใหม่ว่าสหประชาชาติจะเป็นผู้ธำรงสันติภาพของโลก ในขณะที่ยังมีความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบันทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2005 การศึกษาบริษัทแรนด์ได้พบว่าสหประชาชาติประสบความสำเร็จในการรักษาสันติภาพสองในสาม ได้มีการเปรียบเทียบว่าความพยายามสร้างชาติของสหประชาชาตินี้กับความพยายามของสหรัฐอเมริกา และพบว่าเจ็ดในแปดกรณีของสหประชาชาตินั้นอยู่ในสภาวะสันติภาพ ไม่เหมือนกับสี่ในแปดกรณีของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในสภาวะสันติภาพ ในปี 2005 รายงานความมั่นคงของมนุษย์ได้เป็นพยานหลักฐานของสงคราม การล้างชาติพันธุ์และการละเมิดสิทธิมนุษย์หลายครั้งตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามเย็น และนำเสนอหลักฐาน กรณีแวดล้อมและกิจการสากล ซึ่งส่วนใหญ่นำโดยสหประชาชาติ เป็นสาเหตุของการลดจำนวนลงของความขัดแย้งด้วยอาวุธภายหลังสงครามเย็น สถานการณ์ที่สหประชาชาติมีส่วนร่วมรักษาสันติภาพได้ รวมไปถึง สงครามเกาหลี และการอนุญาตให้เข้าแทรกแซงในอิรัก ภายหลังจากที่อิรักรุกรานคูเวต ในปี ค.ศ. 1990 แต่สหประชาชาติก็ได้รับคำวิจารณ์จากความล้มเหลวในการรักษาสันติภาพหลายครั้ง ในหลายกรณีที่รัฐสมาชิกปฏิบัติการด้วยความไม่เต็มใจในการปฏิบัติตามหรือการบังคับใช้มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่ปิดกั้นธรรมชาติของรัฐบาลนานาชาติของสหประชาชาติ ดังที่เห็นได้ชัดเจนจากความร่วมมือกันของรัฐสมาชิก 192 ประเทศต้องมีความเป็นเอกฉันท์ ไม่ใช่องค์การที่มีอิสระ ความไม่เห็นด้วยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทำให้สหประชาชาติล้มเหลวที่จะป้องกันเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา เมื่อปี ค.ศ. 1994 ล้มเหลวที่จะป้องกันที่จะยื่นความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในเข้าแทรก สงครามคองโกครั้งที่สอง ล้มเหลวที่จะเข้าแทรกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซรีเบนนิกา เมื่อปี ค.ศ. 1995 และการป้องกันผู้ลี้ภัยโดยการใช้กำลังรักษาสันติภาพ ล้มเหลวที่จะส่งอาหารให้แก่ผู้คนที่อดอยากในโซมาเลีย ล้มเหลวที่จะปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และล้มเหลวในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเข้าแทรกแซงในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์ กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติตกเป็นจำเลยในการข่มขืนกระทำชำเราเยาวชน การทารุณทางเพศ หรือการใช้บริการโสเภณีระหว่างภารกิจรักษาสันติภาพหลายครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เป็นต้นมา ในคองโก เฮติ ไลบีเรีย ซูดาน บุรุนดีและโกตดิวัวร์ ในความพยายามที่จะรักษาสันติภาพ สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในความพยายามด้านการลดและลดอาวุธ การวางระเบียบของอาวุธยุทธภัณฑ์ รวมไปถึง การเขียนกฎบัตรสหประชาชาติในปี 1945 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะลดการใช้ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรทางเศรษฐกิจในการผลิตอาวุธ อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ก็ปรากฏอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้แนวคิดของการจำกัดอาวุธและการลดอาวุธต้องหยุดชะงักไป โดยมีผลในมติการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อ "การทำลายอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธอื่นที่สามารถก่อการทำลายล้างสูงได้" โดยกระทู้หลักของประเด็นการลดอาวุธอยู่ที่คณะกรรมการการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก คณะกรรมาธิการการลดอาวุธของสหประชาชาติ และการเจรจาลดอาวุธ โดยได้พิจารณาห้ามการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ การควบคุมอาวุธอวกาศ การห้ามใช้อาวุธเคมีและกับระเบิด การลดอาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ การกำหนดเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ การลดงบประมาณทางการทหาร และความพยายามที่จะเสริมสร้างความมั่นคงสากล สหประชาชาติยังได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของกระทู้ความมั่นคงโลก ซึ่งเป็นการประชุมหลักนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาสาธารณภัยต่าง ๆ ซึ่งก่อตั้งขึ้นที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือนตุลาคม 2008สิทธิมนุษยชนและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชนและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม. ความพยายามในการกำกับดูแลสิทธิมนุษยชนถือได้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการก่อตั้งสหประชาชาติ ความร้ายกาจจากสงครามโลกครั้งที่สองและพันธุฆาตได้นำไปสู่การเตรียมการองค์การใหม่ขึ้นเพื่อทำงานป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมอีกในอนาคต เป้าหมายในระยะแรก คือ ความพยายามสร้างโครงร่างสำหรับพิจารณาและการลงมือช่วยเหลือตามคำร้องที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดให้รัฐสมาชิกต้องมีการส่งเสริม "ความเคารพและการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชน" และจะต้องสนับสนุนต่อ "การลงมือปฏิบัติร่วมและแยกกัน" จนถึงที่สุด โดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แม้ว่าจะมิได้เป็นข้อผูกมัดทางกฎหมาย ได้ถูกร่างขึ้นโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1948 โดยถือเอาเป็นมาตรฐานการวัดความสำเร็จโดยทั่วไป โดยปกติแล้ว สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะรับฟังประเด็นทางมนุษยธรรมเสมอ สหประชาชาติและหน่วยงานสนับสนุนเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมและเพิ่มพูนตามหลักการของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในกรณีจุดที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติในการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย ความช่วยเหลือทางเทคนิคในการจัดการเลือกตั้งปราศจากค่าใช้จ่ายและยุติธรรม การปรับปรุงระบบยุติธรรม การร่างรัฐธรรมนูญ การฝึกหัดเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชน และการเปลี่ยนแปลงเอาขบวนการติดอาวุธเป็นพรรคการเมืองแทน โดยได้รับความสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงโลกให้กลายเป็นระบอบประชาธิปไตย สหประชาชาติได้มีส่วนช่วยจัดการเลือกตั้งให้แก่ประเทศที่มีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไม่นานนัก อย่างเช่น อัฟกานิสถานและติมอร์-เลสเตในปัจจุบัน สหประชาชาติยังมีส่วนสำคัญในการรณรงค์สนับสนุนสิทธิสตรีในด้านสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ และชีวิตทางสังคมในประเทศ นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ปลูกฝังแนวคิดสิทธิมนุษยชนผ่านทางกติการของสหประชาชาติ และให้ความสนใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านทางสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 2006 ได้มีการจัดตั้งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติขึ้น เพื่อนำเสนอเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อที่ประชุม โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ต่อจากผู้ตรวจการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมักจะได้รับคำวิจารณ์สำหรับตำแหน่งในการบีบรัฐสมาชิกที่ไม่ค่อยให้การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนมีสมาชิก 47 ประเทศกระจายกันไปตามทุกทวีปในโลก โดยมีวาระสมาชิกสามปี และไม่เป็นสมาชิกสามวาระติดต่อกัน ผู้ที่เสนอตัวเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจะต้องได้รับเสียงส่วนใหญ่จากสมัชชาใหญ่ นอกจากนี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยังมีอำนาจอย่างเข้มงวดเหนือรัฐสมาชิก รวมไปถึงการทบทวนสิทธิมนุษยชนสากล ขณะที่รัฐสมาชิกบางประเทศที่มีข้อกังขาถึงประวัติสิทธิมนุษยชนภายในประเทศเมื่อถูกเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ก็จะเพิ่มความสนใจให้แก่ประวัติสิทธิมนุษยชนของรัฐสมาชิกให้มากขึ้นกว่าที่เคย นอกจากนี้ สหประชาชาติยังได้ให้ความสนใจแก่ชาวพื้นเมืองจำนวนกว่า 370 ล้านคนทั่วโลก โดยในปฏิญญาสิทธิชนพื้นเมืองได้รับรองจากสมัชชาใหญ่ในปี ค.ศ. 2007 ปฏิญญาดังกล่าวสรุปเน้นถึงความเป็นเอกเทศและการรวมกันของสิทธิทางวัฒนธรรม ภาษา การศึกษา รูปพรรณ การจ้างงานและสุขภาพ ด้วยเหตุนั้น จึงมีประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังยุคอาณานิคม ซึ่งขัดกับวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ปฏิญญาสิทธิชนพื้นเมืองมีเป้าหมายเพื่อที่จะธำรงรักษา สร้างความแข็งแกร่งและสนับสนุนการเจริญเติบโตของสถาบันชนพื้นเมือง วัฒนธรรมและประเพณี และยังมีการห้ามลำเอียงในการต่อต้านชนพื้นเมือง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมือง ซึ่งต้องคำนึงถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ในความร่วมมือกับองค์กรอื่น อย่างเช่น กาชาด สหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัยและบริการให้แก่อาณาประชาราษฎร์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ สูญเสียที่อยู่อาศัยจากภัยสงคราม หรือได้รับผลกระทบจากมหันตภัยอื่น โครงการเพื่อมนุษยธรรมหลักของสหประชาชาติ คือ โครงการอาหารโลก ซึ่งได้ช่วยชีวิตมนุษย์กว่า 100 ล้านคนใน 80 ประเทศทั่วโลก) รวมไปถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ใน 116 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึง ประเทศที่มีภารกิจรักษาสันติภาพ 24 ประเทศการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ. สหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการได้รับการสนับสนุนเฉพาะทางจากทั่วโลก องค์การอย่างเช่น องค์การอนามัยโลก โครงการต้านภัยเอดส์ กองทุนต่อต้านโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย ได้เป็นองค์การสำคัญในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศยากจน กองทุนประชากรของสหประชาชาติเป็นผู้สนับสนุนหลักของบริการระบบสืบพันธุ์ ซึ่งช่วยลดจำนวนทารกและการตายของมารดาในกว่า 100 ประเทศ สหประชาชาติยังได้ส่งเสริมการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ผ่านทางหน่วยงานหลายอย่าง อย่างเช่น ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เป็นองค์การพิเศษและผู้สังเกตการณ์ภายในโครงสร้างของสหประชาชาติ ตามข้อตกลงของปี ค.ศ. 1947 องค์การเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นแยกต่างหากกับสหประชาชาติตามข้อตกลงเบรตตันวูดส์ในปี ค.ศ. 1944 สหประชาชาติได้การตีพิมพ์ดัชนีการพัฒนามนุษย์ทุกปี ซึ่งเป็นการจัดอันดับจากตัวชี้วัดความยากจน จำนวนผู้อ่านออกเขียนได้ การศึกษาและอายุเฉลี่ย และจากตัวแปรอื่น ๆ เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ คือ เป้าหมายแปดประการที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 192 ประเทศตั้งใจจะให้บรรลุภายในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งได้ประกาศไว้ในปฏิญญาสหัสวรรษขององค์การสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2000อาณัติพิเศษ อาณัติพิเศษ. บางครั้งหน่วยงานในองค์การสหประชาชาติได้ผ่านมติที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "เรียกร้อง" "เป็นหน้าที่" หรือ "ให้ช่วยเหลือ" ทำให้เลขาธิการสหประชาชาติตีความว่าเป็นการมอบหมายอาณัติพิเศษให้ตั้งองค์กรชั่วคราวขึ้นหรือสั่งให้ดำเนินการบางสิ่งบางอย่าง อาณัติพิเศษเหล่านี้อาจเป็นภารกิจเล็กๆ เช่นการวิจัยและเผยแพร่เอกสารรายงาน ไปจนถึงการใช้อำนาจเต็มที่ เช่น ปฏิบัติการรักษาสันติภาพเต็มรูปแบบ (ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสิทธิ์เฉพาะของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) แม้ว่าจะมีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางของสหประชาชาติบางแห่งเช่น องค์การอนามัยโลก ขึ้นในลักษณะดังกล่าวมานี้ แต่หน่วยงานเหล่านั้นก็มิใช่อาณัติพิเศษ เพราะองค์การเหล่านั้นถือว่าเป็นองค์การถาวรซึ่งปฏิบัติงานเป็นเอกเทศจากสหประชาชาติ โดยมีโครงสร้างสมาชิกของตัวเอง อาจกล่าวได้ว่าอาณัติเริ่มแรกเป็นแต่เพียงคำสั่งที่ครอบคลุมกระบวนการก่อตั้งสถาบัน และได้สิ้นสุดอาณัติไปนานแล้ว อาณัติพิเศษส่วนใหญ่จะหมดอายุไปในช่วงเวลาที่กำหนด และต้องมีคำสั่งให้ต่ออายุจากหน่วยงานของสหประชาชาติที่เป็นผู้ก่อตั้งเพื่อจะปฏิบัติงานต่อไป หนึ่งในผลจากการประชุมโลกปี 2005 คือ อาณัติพิเศษ (ชื่อว่า "id 17171") สำหรับเลขาธิการสหประชาชาติที่จะ "ทบทวนอาณัติพิเศษทั้งหมดที่มีอายุมากกว่าห้าปีที่ได้รับมาจากมติของสมัชชาใหญ่หรือองค์การส่วนอื่น ๆ" เพื่อให้การทบทวนครั้งนี้เป็นไปโดยง่ายและต่อเนื่องกันภายในองค์การ สำนักเลขาธิการจึงได้จัดทำรายชื่ออาณัติพิเศษออนไลน์ เพื่อดึงรายงานที่เกี่ยวข้องออกมาอยู่รวมกันและสร้างภาพรวมที่เด่นชัดออกมาภารกิจด้านอื่น ๆ ภารกิจด้านอื่น ๆ. ตลอดช่วงเวลาของสหประชาชาติ มีอาณานิคมกว่า 80 แห่งที่เรียกร้องเอกราช สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ออกปฏิญญาการมอบเอกราชให้แก่อาณานิคมและประชากรในปี ค.ศ. 1960 โดยไม่มีเสียงต่อต้านเลย ส่วนประเทศเจ้าอาณานิคมเพียงแต่งดลงคะแนนเสียงเท่านั้น ผ่านทางคณะกรรมการสหประชาชาติเพื่อการปลดปล่อยอาณานิคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1962 สหประชาชาติได้ให้ความสนใจในการปลดปล่อยอาณานิคม คณะกรรมการดังกล่าวยังได้สนับสนุนรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจากการปกครองตัวเอง คณะกรรมการดังกล่าวดูแลการตรวจตราการปลดปล่อยอาณานิคมที่มีขนาดใหญ่กว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร และถอดรายชื่อประเทศนั้น ๆ ออกจากรายชื่อดินแดนที่ไม่ได้ปกครองตนเองของสหประชาชาติ สหประชาชาติยังได้มีการประกาศวันหยุดสากล ช่วงเวลาที่จะเฉลิมฉลองต่อประเด็นความสนใจหรือความกังวลนานาชาติ การใช้สัญลักษณ์ของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และโครงสร้างพื้นฐานของระบบสหประชาชาติ ซึ่งเป็นช่วงเวลาวันหรือปีที่เป็นประเด็นสำหรับความกังวลในระดับโลก อย่างเช่น วันวัณโรคโลก วันคุ้มครองโลก หรือ ปีแห่งทะเลทรายและการเกิดทะเลทรายสากลงบประมาณ งบประมาณ. สหประชาชาติได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐสมาชิกด้วยความสมัครใจตามจำนวนที่ประเมินไว้แล้ว งบประมาณจำนวนสองปีของสหประชาชาติและหน่วยงานพิเศษได้รับเงินสนับสนุนจากการประเมิน สมัชชาใหญ่จะเป็นผู้กำหนดงบประมาณประจำและพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวงเงินบริจาคให้แก่สหประชาชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความสามารถในการบริจาคของแต่ละประเทศ โดยวัดได้จากรายได้โดยรวมของชาติ และปรับฐานด้วยปริมาณหนี้ต่างประเทศและรายได้ต่อหัว สมัชชาใหญ่ยังได้กำหนดหลักการว่าสหประชาชาติไม่ควรจะพึ่งพาทางการเงินจากรัฐสมาชิกใดรัฐหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จึงมีการกำหนดเพดานการบริจาค ซึ่งเป็นการกำหนดจำนวนวงเงินสูงสุดในการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงบประมาณประจำของสหประชาชาติ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 สมัชชาใหญ่ได้มีการทบทวนวงเงินในการสนับสนุนสหประชาชาติใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของโลก หลังจากการทบทวน ได้มีการกำหนดลดเพดานวงเงินบริจาคสูงสุดจาก 25% เหลือ 22% ซึ่งมีเพียงสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่มีวงเงินบริจาคมากเพียงนั้น และยังมีการกำหนดวงเงินบริจาคต่ำสุดของงบประมาณสหประชาชาติไว้ที่ 0.001% สำหรับประเทศด้อยพัฒนาเพดานวงเงินบริจาคถูกกำหนดไว้ที่ 0.01% โดยปัจจุบัน วงเงินปฏิบัติการของสหประชาชาติตั้งไว้ที่ 4.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายที่สำคัญของสหประชาชาติคือค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาสันติภาพและความมั่นคง งบประมาณเพื่อการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติประจำปี 2005-2006 กินจำนวนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทหารประจำการกว่า 70,000 นาย ในภารกิจรักษาสันติภาพ 17 แห่งทั่วโลก ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้รับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิก แต่ด้วยวงเงินที่แตกต่างไปจากปกติ แต่ยังรวมไปถึงการเก็บเงินเพิ่มสำหรับสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถาวรห้าประเทศ ผู้เป็นผู้สั่งการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวนี้เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 ผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินหลักแก่ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 10 รายสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี จีน แคนาดา สเปนและเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติไม่จัดรวมอยู่ในงบประมาณประจำ (อย่างเช่น กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนโดยสมัครใจจากรัฐสมาชิก นอกจากจะให้การช่วยเหลือทางการเงินแล้ว บางประเทศได้บริจาคในรูปของผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ประชากรที่หิวโหยแทนนโยบายด้านบุคลากรและการจ้างงาน นโยบายด้านบุคลากรและการจ้างงาน. องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติ มักได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันจากกฎหมายของประเทศที่ปฏิบัติการอยู่ (เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินภารกิจขององค์การ)เพื่อเป็นการป้องกันให้องค์การสหประชาชาติคงความยุติธรรมให้แก่ประเทศเจ้าบ้านและรัฐสมาชิก ความเป็นอิสระดังกล่าวทำให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถใช้ทรัพยากรมนุษย์ได้ แม้ว่าในบางกรณีอาจจะขัดต่อกฎหมายของประเทศเจ้าบ้านหรือรัฐสมาชิกก็ตาม แม้ว่าสหประชาชาติจะมีอิสระในด้านนโยบายทรัพยากรมนุษย์ สหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ สมัครใจที่จะบังคับใช้กฎหมายการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกัน โดยให้สถานะของพนักงานในความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัญชาติ สหประชาชาติและหน่วยงานต่าง ๆ จะให้การยอมรับพนักงานที่แต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันได้เฉพาะในประเทศที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น การปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงแนวคิดของสหประชาชาติที่มีต่อการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันโดยตรง แต่สะท้อนถึงนโยบายด้านบุคลากร/ทรัพยากรมนุษย์ของสหประชาชาติ และบางหน่วยงานได้เอื้อประโยชน์เพียงน้อยนิดให้แก่ความสัมพันธ์แบบครอบครัวของพนักงานหน่วยงาน และหน่วยงานบางแห่งไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างคนเพศเดียวกันหรือความสัมพันธ์แบบครอบครัวเลยการปฏิรูป การปฏิรูป. นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ ก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์การหลายครั้ง แม้ว่าจะมีทิศทางการแก้ไขที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็ตาม บางฝ่ายต้องการให้องค์การสหประชาชาติมีบทบาทมากขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้นในกิจการของโลก ขณะที่บางฝ่ายต้องการให้ลดบทบาทขององค์การเหลือเพียงการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้เพิ่มสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติขึ้นอีก เพื่อที่จะให้มีหนทางที่แตกต่างในการเลือกตั้งเลขาธิการสหประชาชาติ และสมัชชารัฐสภาแห่งสหประชาชาติ สหประชาชาติยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและสิ้นเปลือง ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 สหรัฐอเมริกาปฏิเสธที่จะบริจาคเงินอุดหนุนให้แก่สหประชาชาติโดยอ้างว่าสหประชาชาติบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ และจะเริ่มบริจาคเงินอุดหนุนให้อีกครั้งภายหลังจากมีการประกาศปฏิรูปองค์การเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1994 สมัชชาใหญ่ได้มีมติให้มีการจัดตั้งสำนักงานบริการตรวจสอบภายในขึ้นเพื่อเป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพภายในองค์การ โครงการปฏิรูปอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นขึ้นโดย โคฟี อันนัน ในปี ค.ศ. 1997 การปฏิรูปอย่างกล่าวรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงตัวสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเดิมสะท้อนถึงมหาอำนาจของโลกภายหลังปี ค.ศ. 1945 เพื่อให้ระบบการทำงานโปร่งใสขึ้น มีเหตุมีผลและมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์การสหประชาชาติมีรูปแบบเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และมีการกำหนดภาษีศุลกากรในประดิษฐกรรมอาวุธทั่วโลก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 สหประชาชาติได้จัดการประชุมโลก การประชุมครั้งนี้เรียกว่า "การประชุมครั้งหนึ่งในโอกาสแห่งชั่วอายุคนเพื่อการตัดสินใจครั้งสำคัญในพื้นที่การพัฒนา ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการปฏิรูปสหประชาชาติ" โคฟี อันนันได้เสนอให้ที่ประชุมได้ตกลง "ลดราคาครั้งใหญ่" ในการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองขององค์การต่อสันติภาพ ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา และปรับปรุงรูปแบบเพื่อรองรับเหตุการณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ผลของการประชุมได้ข้อสรุปเป็นการประนีประนอมของเหล่าผู้นำโลก ซึ่งสรุปให้มีการก่อตั้งคณะกรรมการสร้างสันติภาพ เพื่อให้การช่วยเหลือประเทศที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกองทุนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการต่อสู้อย่างชัดเจนต่อการก่อการร้าย "ในทุกรูปแบบและการกระทำ" และข้อตกลงที่จะมอบทรัพยากรให้แก่สำนักงานบิรหารตรวจสอบภายในเพิ่มขึ้น ให้เงินสนับสนุนอีกพันล้านให้แก่เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ ยกเลิกคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติเนื่องจากทำภารกิจลุล่วงแล้ว และประชาคมโลกจะต้องมี "ความรับผิดชอบในการป้องกัน" ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลแห่งชาติที่จะคอยป้องกันพลเมืองของตนจากอาชญากรรมร้ายแรง สำนักงานบริการตรวจสอบภายในได้มีการก่อตั้งขึ้นใหม่ด้วยขอบเขตและอำนาจที่ได้รับอย่างชัดเจน และจะได้รับทรัพยากรเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สมัชชาใหญ่ยังได้รับอำนาจการตรวจสอบเพิ่มขึ้น มีการก่อตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาการตรวจสอบอิสระ (IAAC) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 คณะกรรมการชุดที่ห้าได้ออกมติร่างข้อเรียนปฏิบัติของคณะกรรมการดังกล่าว สำนักงานหลักจรรยาได้ก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีอำนาจรับผิดชอบในการบริหารการเปิดเผยทางการเงินและนโยบายการป้องกันผู้ให้ข้อมูล สำนักงานหลักจรรยาได้ดำเนินการร่วมกับ OIOS ในการวางแผนส่งเสริมนโยบายการป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวง สำนักเลขาธิการกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนอำนาจที่ได้รับมอบของสหประชาชาติที่มีอายุมากกว่าห้าปี การทบทวนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อกำจัดโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าไม่จำเป็น โดยมีหัวข้อที่ต้องทบทวนกว่า 7,000 หัวข้อ และมีการโต้แย้งกันในเรื่องที่ว่าจะการกำหนดอำนาจที่ได้รับมอบขึ้นมาใหม่ จนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการอยู่การโต้เถียงและคำวิจารณ์ การโต้เถียงและคำวิจารณ์. องค์การสหประชาชาติได้รับการโต้เถียงและคำวิจารณ์มาตั้งแต่กิจกรรมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ในช่วงต้นของการก่อตั้งสหประชาชาติ ได้มีการต่อต้านสหประชาชาติในสหรัฐอเมริกาโดยสมาคมจอห์น เบิรช์ ซึ่งเริ่มต้นการรณรงค์ "ดึงสหรัฐออกจากสหประชาชาติ" ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ซึ่งกล่าวหาว่านโยบายของสหประชาชาติ คือ การก่อตั้งรัฐบาลโลกเพียงหนึ่งเดียว หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คณะกรรมการว่าด้วยการปลดปล่อยแห่งชาติฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้เป็นรัฐบาลฝรั่งเศสในภายหลัง ดังนั้น ในช่วงแรกฝรั่งเศสจึงถูกกีดกันออกจากการประชุมเพื่อที่จะก่อตั้งองค์การใหม่ขึ้น ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า le machin ("ไอ้สวะ") และไม่เชื่อมั่นว่าพันธมิตรที่ร่วมกันรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศจะช่วยธำรงรักษาสันติภาพไว้ได้ โดยเสนอว่าการทำสนธิสัญญาป้องกันระหว่างประเทศโดยตรงจะดีกว่า ในปี ค.ศ. 1967 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้วิจารณ์สหประชาชาติว่า "พ้นสมัยและไม่เพียงพอ" ต่อการจัดการปัญหาความขัดแย้งในสมัยนั้น อย่างเช่น สงครามเย็น จีน เคิร์กแพทริก ผู้เลือกให้โรนัลด์ เรแกนเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ได้เขียนความเห็นไว้ใน เดอะนิวยอร์กไทมส์ เมื่อปี ค.ศ. 1983 ว่ากระบวนการอภิปรายของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ "มีส่วนเหมือนคนโง่" ของสหรัฐอเมริกา "มากกว่าการโต้วาทีทางการเมืองหรือเพื่อการแก้ปัญหาใด ๆ" ในการปราศรัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 ก่อนหน้าการรุกรานอิรักของสหรัฐอเมริกาไม่นานนัก นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวว่า "เหล่าประเทศเสรีจะไม่ปล่อยให้สหประชาชาติเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ในฐานะของสมาคมโต้วาทีที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ตรงประเด็น" ในปี ค.ศ. 2005 เขาได้แต่งตั้งให้นายจอห์น อาร์. โบลตันเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ซึ่งเขาได้กล่าวในปี ค.ศ. 1994 ว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเป็นสหประชาชาติได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่ประชาคมโลก ซึ่งสามารถนำได้โดยประเทศอภิมหาอำนาจที่เหลืออยู่ คือ สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น" ในปี ค.ศ. 2004 อดีตเอกอัครทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ดอร์ โกลด์ ได้ตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า Tower of Babble: How the United Nations Has Fueled Global Chaos ซึ่งได้วิจารณ์สหประชาชาติในสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ของศีลธรรมในการเผชิญหน้ากับการล้างชาติพันธุ์และการก่อการร้าย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาก่อตั้งกับเวลาปัจจุบัน ขณะที่สหประชาชาติในช่วงที่กำลังก่อตั้งมีความจำกัดต่อชาติที่ประกาศสงครามต่อประเทศฝ่ายอักษะอย่างน้อยหนึ่งประเทศ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และยังได้สามารถยืดหยัดต่อต้านความชั่วร้ายได้ ส่วนสหประชาชาติสมัยใหม่ตามความเห็นของโกลด์แล้ว มีความเจือจางลงจนถึงจุดที่มีเพียงรัฐสมาชิก 75 จาก 184 รัฐ (ในขณะนั้น) เท่านั้นที่ "เป็นประชาธิปไตยเสรี เมื่อดูจากการสำรวจของฟรีดอมเฮาส์ เขาได้กล่าวต่อไปว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงสหประชาชาติ ดังนั้น ตัวองค์กรโดยรวมจึงมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการตามอย่างของเผด็จการอคติในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล อคติในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล. ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลและปาเลสไตน์ในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอลได้ทำให้สหประชาชาติสิ้นเปลืองเวลาโต้วาที ออกมติและทรัพยากรจำนวนมาก คณะกรรมการพิเศษปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติได้ตัดสินใจสนับสนุนให้มีการผนวกปาเลสไตน์เข้ากับสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 1947 เป็นการตัดสินใจในช่วงแรกของการก่อตั้งสหประชาชาติ นับตั้งแต่นั้นมา สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในพื้นที่พิพาทดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ผ่านทางองค์การทำงานและบรรเทาทุกข์เพื่อชาวปาเลสไตน์ในดินแดนตะวันออกใกล้ประจำสหประชาชาติ และมอบเวทีแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านทางคณะกรรมการสิทธิ์การโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ แผนกสิทธิชาวปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติ คณะกรรมการพิเศษสืบสวนการละเมิดสิมธิมุนษยชนชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอล ระบบข้อมูลในกระทู้เกี่ยวกับปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติและวันแห่งความร่วมมือกับชาวปาเลสไตน์สากล สหประชาชาติได้สนับสนุนให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพรรคการเมือง โดยครั้งล่าสุด คือ แผนที่ถนนเพื่อสันติภาพ เมื่อปี ค.ศ. 2002 จนถึงปัจจุบัน ปัญหาในตะวันออกกลางได้ทำให้สหประชาชาติต้องออกมติสมัชชาใหญ่คิดเป็น 76% มติคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 100% มติผู้ตรวจการสิทธิสตรีแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 100% รายงานของโครงการอาหารโลกคิดเป็น 50% มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคิดเป็น 6% และเป็นหัวข้อในสมัยการประชุมพิเศษฉุกเฉินของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ 6 ครั้งจากทั้งหมด 10 ครั้ง จากมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 3379 (ค.ศ. 1975) ได้เริ่มต้นว่า "ลัทธิไซออนคือลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ" และล้มเลิกเมื่อปี ค.ศ. 1991 โดยการตัดสินใจเหล่านี้ได้ผ่านจากการสนับสนุนจากองค์การการประชุมอิสลาม ซึ่งได้ประณามต่อการปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอล ซึ่งได้มีหลายคนที่กล่าวว่าเป็นการกระทำที่เลยเถิดเกินไป คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากความล้มเหลวในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิสราเอล สหรัฐอเมริกาเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในการใช้อำนาจยับยั้งในการตัดสินใจของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิสราเอล เป็นที่รู้จักกันว่า "ลัทธิเนโกรปอนเต" ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 อิสราเอลถูกกีดกันออกจากเขตพื้นที่ทวีปเอเชีย ในปี ค.ศ. 2000 อิสราเอลตกลงที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและอื่น ๆ องค์การทำงานและบรรเทาทุกข์เพื่อชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ประจำสหประชาชาติตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ในชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ แม้ว่าสหประชาชาติจะกล่าวโทษลัทธิต่อต้านชาวยิว แต่ว่าก็มีผู้กล่าวว่ามีคนจำนวนมากที่ต่อต้านชาวยิวทำงานในสหประชาชาติ และมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายหลายกรณีด้วยกันโครงการน้ำมันแลกอาหาร โครงการน้ำมันแลกอาหาร. โครงการน้ำมันแลกอาหารถูกก่อตั้งโดยสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1996 เพื่อให้อิรักขายน้ำมันเพื่อแลกกับอาหาร ยา และปัจจัยพื้นฐานให้แก่ชาวอิรักซึ่งได้รับผลกระทบจากการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลอิรักสร้างกำลังทหารขึ้นมาใหม่หลังจากสงครามอ่าว อิรักได้ส่งน้ำมันสู่ตลาดโลกกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายทางด้านปัจจัยพื้นฐานเป็นจำนวน 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาษีเพิ่มเติมที่จ่ายเพื่อชำระค่าปฏิกรรมสงครามสงครามอ่าวผ่านทางกองทุนชดเชย โครงการปกครองของสหประชาชาติและค่าปฏิบัติการสำหรับโครงการ (2.2%) และโครงการตรวจตราอาวุธ (0.8%) โครงการดังกล่าวถูกล้มเลิกในตอนปลายปี 2003 ท่ามกลางข้อครหาจากโทษและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้กำกับโครงการคนก่อน บีนอน ซีแวน ถูกระงับและลาออกจากสหประชาชาติ การทำรายงานสืบสวนโดยได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติได้สรุปว่าเซแวนรับเงินสินบนจากรัฐบาลอิรัก โตโจ อันนัน ถูกกล่าวหาเช่นกันว่าผิดกฎหมายในการอนุมัติข้อตกลงน้ำมันแลกอาหารบนผลประโยชน์ของบริษัทสวิส โคเทคนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เค. นัทวาร์ ซิงฮ์ ถูกให้ออกจากตำแหน่งเพราะมีเรื่องอื้อฉาว และออสเตรเลียนวีทบอร์ดก็ฝ่าฝืนกฎหมายเนื่องจากทำข้อตกลงไว้กับอิรักด้านอื่น ด้านอื่น. อัลบิน คูร์ติ นักเคลื่อนไหวจากคอซอวอ ได้กล่าวหาองค์การสหประชาชาติ ผู้ปกครองคอซอวอมาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 เนื่องจากว่าตามกลั่นแกล้งและจับกุมเขาด้วยเหตุผลทางการเมือง การกล่าวหาของเขาได้รับการสนับสนุนจากองค์การสิทธิมนุษยชนสากล อย่างเช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากลและสหพันธ์เฮลซิงกิสากล ตามรายงานของอัมเนสตี ผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกจากสหประชาชาติ "จวนเจียนจะถึงโจทก์หลังจากการฟัง - ในการขาดทั้งคูร์ติหรือนักกฎหมายที่ศาลมอบหมาย - เพื่อที่จะคลายความสงสัยที่ฝ่ายโจทก์จะแนะนำความสัมพันธ์ถึงการกักขังตัวเขาไว้"
| คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดกี่ประเทศ | {
"answer": [
"15"
],
"answer_begin_position": [
4948
],
"answer_end_position": [
4950
]
} |
2,013 | 2,417 | ประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น (, ชื่ออย่างเป็นทางการ ) เป็นรัฐเอกราชหมู่เกาะในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกนอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลีและประเทศจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์" จึงทำให้มักได้ชื่อว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้นซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ เกาะใหญ่สุดคือ เกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศญี่ปุ่น และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 จังหวัดใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ชาวญี่ปุ่นเป็นร้อยละ 98.5 ของประชากรทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 9.1 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490 ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงปี 2411 ประเทศญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนายโชกุนซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยวอันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติในปี 2396 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนในปี 2411 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชูและซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยนิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองในปี 2484 ซึ่งยุติในปี 2488 นับแต่การลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับบทวนวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ระหว่างการยึดครองของผู้บังคับบัญชาสูงสุดสำหรับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศญี่ปุ่นธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญโดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญํติจากการเลือกตั้ง เรียก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ OECD จี7 จี8 และจี20 และถือเป็นมหาอำนาจ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลกด้วย ประเทศญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นประเทศที่มีการศึกษาสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก โดยมีร้อยละของพลเมืองมีวุฒิการศึกษาขั้นตติยภูมิ (tertiary education) สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งใช้สำหรับบทบาทป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงสุดและมีอัตราการเสียชีวิตทารกต่ำสุดอันดับ 3 ในโลก ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องภาพยนตร์ที่เก่าแก่และกว้างขวาง อาหารหลากชนิดและการเข้ามีส่วนร่วมสำคัญในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบันชื่อประเทศ ชื่อประเทศ. ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (), ยาพัน (), ฌาปง (), ฆาปอน () รวมถึงคำว่า ญี่ปุ่น ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน) หรือ "หยิกปึ้ง" (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว () หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น () ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" (; 日本 Ilbon) และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" (, 日本) จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเองภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 6,852 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองติจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคีวชู หมู่เกาะรีวกีวรวมทั้งเกาะโอกินาวะเรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า กลุ่มเกาะญี่ปุ่น พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบนวงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่แผ่นอเมริกาเหนือ แผ่นแปซิฟิกและแผ่นทะเลฟิลิปปินบรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของทวีปยูเรเชีย แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิดทะเลญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 และแผ่นดินไหวในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลกปี 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15ภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง ทะเลเซโตะใน มหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะรีวกีว เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น หยาดน้ำฟ้าไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจากลมเฟิน (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขาชูโงกุและเกาะชิโกกุกั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาวไม่รุนแรง มีหิมะตกบางครั้ง และฤดูร้อนที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อนร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556 ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายนและกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมาความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและหมู่เกาะโอะงะซะวะระ จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้งหมีสีน้ำตาล ลิงกังญี่ปุ่น ทะนุกิ หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนในรายการมรดกโลกของยูเนสโกสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มีมลภาวะสิ่งแวดล้อมแพร่หลายในคริสต์ทศสวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513 วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 39 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแดวล้อมปี 2559 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนามพิธีสารเกียวโตปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ. วัฒนธรรมยุคหินเก่าประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็นยุคโจมงเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่ยุคหินกลางถึงยุคหินใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย รวมทั้งบรรพบุรุษของชาวไอนุและชาวยะมะโตะร่วมสมัยด้วย เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยะโยะอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมอน ยุคยะโยะอิซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก เครื่องดินเผาแบบใหม่ และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นซู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตะกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่นในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอะซุกะ (ค.ศ. 592–710) ยุคนาระ (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิในเฮโจเกียว (จังหวัดนาระปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ การระบาดของโรคฝีดาษในปี 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม ในปี 1327 จักรพรรดิคัมมุย้ายเมืองหลวงจากนาระไปนะงะโอกะเกียว และเฮอังเกียว (นครเกียวโตปัจจุบัน) ในปี 1337 นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว ตำนานเก็นจิของมุราซากิ ชิคิบุ และ "คิมิงะโยะ" เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้ ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่างยุคเฮอัง ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงน สุขาวดี (โจโดะชู โจโดะชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11ยุคเจ้าขุนมูลนาย ยุคเจ้าขุนมูลนาย. ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879 อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุโระมะชิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะรุ่งเรืองในสมัยของอะชิกะงะ โยะชิมิสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยะบิ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิน) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงะกุ ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารีคณะเยสุอิตจากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน) โดยตรง ทำให้โอะดะ โนะบุนะงะได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูกอะเกะชิ มิสึฮิเดะลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม โทะกุงะวะ อิเอะยะซุตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซจึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะในเอะโดะ (กรุงโตเกียวปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซะโกะกุ ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอะโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงะกุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะในนางาซากิ ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วยยุคใหม่ ยุคใหม่. วันที่ 31 มีนาคม 2397 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี และ "เรือดำ" แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วยสนธิสัญญาคานางาวะ สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุคบะกุมะสึนำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่สงครามโบะชิง และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ (การฟื้นฟูเมจิ) ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมขปงะเรทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิในปี 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่มรัฐธรรมนูญเมจิ และเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437–2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของเกาะซาฮาลิน ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนในปี 2416 เป็น 70 ล้านคนในปี 2478 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่ฟาสซิสต์ มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "ยุคโชวะ" ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและลัทธิคลั่งชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครองแมนจูเรีย เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในปี 2476 ในปี 2479 ญี่ปุ่นลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับนาซีเยอรมนี และกติกาสัญญาไตรภาคีในปี 2483 เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ หลังพ่ายในสงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่นที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจากติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาถึงปี 2488 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นวัตรประชาธิปไตยเสรีนิยม การยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกในปี 2499 และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งยังส่งผลให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิการเมือง การเมือง. ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน" นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ในชิโยะดะ กรุงโตเกียว สภาฯ ใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ ราชมนตรีสภา () เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2536 ถึง 2537 และระหว่างปี 2552 ถึง 2555 ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากกฎหมายจีนมาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศในยุคเอะโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ () ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง () โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก หกประมวล ()การแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขาการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อยๆ แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้ การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลใน พ.ศ. 2542 ให้เหลือ 1,773 เทศบาลใน พ.ศ. 2553 ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไปความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก และเป็นสมาชิกปัจจุบันของสหประชาชาติตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกจี 7, เอเปก และ "อาเซียนบวกสาม" และเข้าร่วมประชุมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550 และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551 เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557 ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับหินลีอังคอร์ท (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับประเทศจีนและประเทศไต้หวันเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของโอะกิโนะโทะริชิมะกองทัพ กองทัพ. กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น" นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดในดัชนีสันติภาพโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออกเพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้นอันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุดในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553 ในเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะกล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉยที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4 ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้ ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6 และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้นโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐาน. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม ร้อยละ 20 จากถ่านหิน ร้อยละ 14 จากก๊าซธรรมชาติ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด แต่หลังจากเกิดเหตุอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ รัฐบาลญี่ปุ่นก็วางแผนที่จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในทศวรรษที่ 2570 ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็งซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม. ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลกตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของ โลก เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552ประชากร ประชากร. จากการสำรวจในวันที่ 1 สิงหาคม 2012 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127,692,273 คน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี พ.ศ. 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้นจำนวนประชากร จำนวนประชากร. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัดศาสนา ศาสนา. จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูก ผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียวภาษา ภาษา. ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่ ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้นการรักษาพยาบาล การรักษาพยาบาล. คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516 แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปวัฒนธรรม วัฒนธรรม. วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523ดนตรี ดนตรี. ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโตนักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่นวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก ระหว่างยุคเอะโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537)กีฬา กีฬา. หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่- ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน- การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479 มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ และ ฮิเดะกิ มะสึอิ- ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย สามารถชนะเลิศเอเชียนคัพ 3 ครั้งอาหาร อาหาร. ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็งปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่นและอาหารประจำฤดู วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ, มิโซะ, เต้าหู้ ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่นการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
| เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นมีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"โตเกียว"
],
"answer_begin_position": [
974
],
"answer_end_position": [
981
]
} |
2,014 | 2,417 | ประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น (, ชื่ออย่างเป็นทางการ ) เป็นรัฐเอกราชหมู่เกาะในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกนอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลีและประเทศจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์" จึงทำให้มักได้ชื่อว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้นซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ เกาะใหญ่สุดคือ เกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่แผ่นดินประมาณร้อยละ 97 ของประเทศญี่ปุ่น และมักเรียกว่าเป็นหมู่เกาะเหย้า (home islands) ประเทศแบ่งเป็น 47 จังหวัดใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ชาวญี่ปุ่นเป็นร้อยละ 98.5 ของประชากรทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 9.1 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ การวิจัยทางโบราณคดีระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในญี่ปุ่นปัจจุบันครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490 ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงปี 2411 ประเทศญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนายโชกุนซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยวอันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติในปี 2396 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนในปี 2411 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชูและซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยนิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองปี 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองในปี 2484 ซึ่งยุติในปี 2488 นับแต่การลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับบทวนวันที่ 3 พฤษภาคม 2490 ระหว่างการยึดครองของผู้บังคับบัญชาสูงสุดสำหรับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศญี่ปุ่นธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญโดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญํติจากการเลือกตั้ง เรียก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ OECD จี7 จี8 และจี20 และถือเป็นมหาอำนาจ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลกด้วย ประเทศญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นประเทศที่มีการศึกษาสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก โดยมีร้อยละของพลเมืองมีวุฒิการศึกษาขั้นตติยภูมิ (tertiary education) สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งใช้สำหรับบทบาทป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงสุดและมีอัตราการเสียชีวิตทารกต่ำสุดอันดับ 3 ในโลก ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องภาพยนตร์ที่เก่าแก่และกว้างขวาง อาหารหลากชนิดและการเข้ามีส่วนร่วมสำคัญในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบันชื่อประเทศ ชื่อประเทศ. ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (), ยาพัน (), ฌาปง (), ฆาปอน () รวมถึงคำว่า ญี่ปุ่น ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน) หรือ "หยิกปึ้ง" (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว () หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น () ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" (; 日本 Ilbon) และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" (, 日本) จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเองภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 6,852 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองติจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ ฮกไกโด ฮนชู ชิโกกุ และคีวชู หมู่เกาะรีวกีวรวมทั้งเกาะโอกินาวะเรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า กลุ่มเกาะญี่ปุ่น พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบนวงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่แผ่นอเมริกาเหนือ แผ่นแปซิฟิกและแผ่นทะเลฟิลิปปินบรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของทวีปยูเรเชีย แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิดทะเลญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 และแผ่นดินไหวในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลกปี 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15ภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง ทะเลเซโตะใน มหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะรีวกีว เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น หยาดน้ำฟ้าไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจากลมเฟิน (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขาชูโงกุและเกาะชิโกกุกั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาวไม่รุนแรง มีหิมะตกบางครั้ง และฤดูร้อนที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อนร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2556 ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายนและกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมาความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและหมู่เกาะโอะงะซะวะระ จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้งหมีสีน้ำตาล ลิงกังญี่ปุ่น ทะนุกิ หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนในรายการมรดกโลกของยูเนสโกสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มีมลภาวะสิ่งแวดล้อมแพร่หลายในคริสต์ทศสวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับในปี 2513 วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 39 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแดวล้อมปี 2559 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนามพิธีสารเกียวโตปี 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ. วัฒนธรรมยุคหินเก่าประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็นยุคโจมงเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่ยุคหินกลางถึงยุคหินใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย รวมทั้งบรรพบุรุษของชาวไอนุและชาวยะมะโตะร่วมสมัยด้วย เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยะโยะอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมอน ยุคยะโยะอิซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก เครื่องดินเผาแบบใหม่ และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นซู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยะมะไตโกะกุ มีกาเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตะกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่นในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอะซุกะ (ค.ศ. 592–710) ยุคนาระ (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิในเฮโจเกียว (จังหวัดนาระปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ การระบาดของโรคฝีดาษในปี 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม ในปี 1327 จักรพรรดิคัมมุย้ายเมืองหลวงจากนาระไปนะงะโอกะเกียว และเฮอังเกียว (นครเกียวโตปัจจุบัน) ในปี 1337 นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว ตำนานเก็นจิของมุราซากิ ชิคิบุ และ "คิมิงะโยะ" เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้ ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่างยุคเฮอัง ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงน สุขาวดี (โจโดะชู โจโดะชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11ยุคเจ้าขุนมูลนาย ยุคเจ้าขุนมูลนาย. ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879 อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุโระมะชิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะรุ่งเรืองในสมัยของอะชิกะงะ โยะชิมิสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยะบิ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิน) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงะกุ ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารีคณะเยสุอิตจากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน) โดยตรง ทำให้โอะดะ โนะบุนะงะได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูกอะเกะชิ มิสึฮิเดะลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม โทะกุงะวะ อิเอะยะซุตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซจึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะในเอะโดะ (กรุงโตเกียวปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซะโกะกุ ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอะโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงะกุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะในนางาซากิ ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วยยุคใหม่ ยุคใหม่. วันที่ 31 มีนาคม 2397 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี และ "เรือดำ" แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วยสนธิสัญญาคานางาวะ สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุคบะกุมะสึนำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่สงครามโบะชิง และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ (การฟื้นฟูเมจิ) ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมขปงะเรทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิในปี 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่มรัฐธรรมนูญเมจิ และเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437–2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของเกาะซาฮาลิน ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนในปี 2416 เป็น 70 ล้านคนในปี 2478 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่ฟาสซิสต์ มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "ยุคโชวะ" ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและลัทธิคลั่งชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครองแมนจูเรีย เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติในปี 2476 ในปี 2479 ญี่ปุ่นลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับนาซีเยอรมนี และกติกาสัญญาไตรภาคีในปี 2483 เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ หลังพ่ายในสงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่นที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจากติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาถึงปี 2488 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา) ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ ปี 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเน้นวัตรประชาธิปไตยเสรีนิยม การยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกในปี 2499 และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงในปี 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป วันที่ 11 มีนาคม 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งยังส่งผลให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิการเมือง การเมือง. ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน" นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ในชิโยะดะ กรุงโตเกียว สภาฯ ใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และ ราชมนตรีสภา () เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2536 ถึง 2537 และระหว่างปี 2552 ถึง 2555 ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากกฎหมายจีนมาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศในยุคเอะโดะผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ () ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง () โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันเป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก หกประมวล ()การแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขาการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อยๆ แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้ การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลใน พ.ศ. 2542 ให้เหลือ 1,773 เทศบาลใน พ.ศ. 2553 ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไปความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก และเป็นสมาชิกปัจจุบันของสหประชาชาติตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกจี 7, เอเปก และ "อาเซียนบวกสาม" และเข้าร่วมประชุมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550 และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551 เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557 ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตะโระฟุ คุนะชิริ ชิโตะคัง และฮะโบะมะอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองในปี 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับหินลีอังคอร์ท (หรือ "ทะเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับประเทศจีนและประเทศไต้หวันเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุ และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของโอะกิโนะโทะริชิมะกองทัพ กองทัพ. กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น" นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดในดัชนีสันติภาพโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออกเพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้นอันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุดในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงเป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดในปี 2552 และ 2553 ในเดือนพฤษภาคม 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะกล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉยที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกะกุเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัวจนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตกต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวในปี พ.ศ. 2543 สภาพเศรษฐกิจหลังจากปี พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเลคโทรนิคมากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูงและเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงานที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4 ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเคดา นินเทนโด นิปปอน สตีล และ เซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเคอิมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเระสึหรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิตและการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้ ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6 และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6เท่านั้น ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้นโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐาน. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2548 ร้อยละ 50 ของพลังงานที่ใช้ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม ร้อยละ 20 จากถ่านหิน ร้อยละ 14 จากก๊าซธรรมชาติ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์มีปริมาณหนึ่งในสี่ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด แต่หลังจากเกิดเหตุอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิชิ รัฐบาลญี่ปุ่นก็วางแผนที่จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในทศวรรษที่ 2570 ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็งซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม. ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยมและมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตรเป็นอันดับ 3 ของโลกตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของ โลก เป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด และผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิงเป็นอันดับหนึ่งของโลก องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติและโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศใน พ.ศ. 2552ประชากร ประชากร. จากการสำรวจในวันที่ 1 สิงหาคม 2012 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127,692,273 คน ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยะมะโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุและชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบุระกุ ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 82.07 ปี จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25) ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ในปี พ.ศ. 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด) การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้นจำนวนประชากร จำนวนประชากร. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัดศาสนา ศาสนา. จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูก ผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโตเพื่อทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียวภาษา ภาษา. ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่ ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้นการรักษาพยาบาล การรักษาพยาบาล. คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูงและอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516 แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปวัฒนธรรม วัฒนธรรม. วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมงซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกะบะนะ (การจัดดอกไม้) โอะริงะมิ อุกิโยะ-เอะ ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คะบุกิ โน บุนระกุ ระกุโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะหรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น แอนิเมชันที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อะนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523ดนตรี ดนตรี. ดนตรีญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ โคะโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และชะมิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอะโดะริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตกเริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอะซะวะ นักไวโอลิน มิโดะริ โกะโตนักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟนทั่วไปในญี่ปุ่นวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคะจิกิ และ นิฮงโชะกิ และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คะนะ (ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมุระซะกิ ชิกิบุมักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก ระหว่างยุคเอะโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับ โชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยะมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น โซเซะกิ นะสึเมะและโองะอิ โมริเป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น ตามมาด้วย ริวโนะซุเกะ อะคุตะกะวะ, ทะนิซะกิ จุนอิชิโระ, ยะซุนะริ คะวะบะตะ, มิชิมะ ยุกิโอะ และล่าสุด ฮะรุกิ มุระกะมิ ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยะซุนะริ คะวะบะตะ (พ.ศ. 2511) และ เค็นซะบุโร โอเอะ (พ.ศ. 2537)กีฬา กีฬา. หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น กีฬาที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ได้แก่- ซูโม่เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน- การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479 มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอลเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซุซุกิ และ ฮิเดะกิ มะสึอิ- ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึง พ.ศ. 2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย สามารถชนะเลิศเอเชียนคัพ 3 ครั้งอาหาร อาหาร. ชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ, เท็มปุระ, สุกียากี้, ยะกิโทะริ และ โซบะ เป็นต้น อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกะสึ, ราเม็งปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่นและอาหารประจำฤดู วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ, มิโซะ, เต้าหู้ ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่นการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
| ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการปกครองเป็นรัฐแบบใด | {
"answer": [
"ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ"
],
"answer_begin_position": [
17726
],
"answer_end_position": [
17752
]
} |
2,015 | 2,623 | ภาษาเกาหลี ภาษาเกาหลี (한국어 หรือ 조선말, ดูในส่วนชื่อ) เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนพูดโดยทั่วไป(ในจังหวัดปกครองตนเองชนชาติเกาหลีเหยียนเปียน มณฑลจี๋หลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลีเหนือ) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ตระกูลภาษาอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) อักษรเกาหลี เรียกว่าอักษรฮันกึล ใช้แทนเสียงของแต่ละพยางค์ นอกจากนี้ใช้ยังตัวอักขระแบบจีนเรียกว่าอักษรฮันจา ในการเขียนด้วย ในขณะที่คำศัพท์ที่ใช้กันส่วนใหญ่เป็นคำภาษาเกาหลีแท้ โดยที่มีคำศัพท์มากกว่า 50% มาจากภาษาจีนทั้งทางตรงและทางอ้อมเกี่ยวกับชื่อ เกี่ยวกับชื่อ. คำว่า เกาหลี มาจากภาษาจีน โดยอักษรจีนคือ 高麗 (พินอิน: Gāo lí) ซึ่งหมายถึงประเทศโครยอ ซึ่งเป็นชื่อเก่าและปัจจุบันชาวเกาหลีมิได้ใช้ชื่อนี้แล้ว ในเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มีความแตกต่างกัน ในเกาหลีเหนือ ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่มักเรียกว่า โชซ็อนมัล (조선말) หรือหากเป็นทางการขึ้นจะเรียกว่า โชซอนอ (조선어) ในเกาหลีใต้ ประชาชนส่วนใหญ่เรียกภาษาของตนว่า ฮันกุงมัล (한국말) หรือ ฮันกูกอ (한국어) หรือ กูกอ (국어; "ภาษาประจำชาติ") บางครั้งอาจเรียกในแบบภาษาพื้นเมืองหรือภาษาถิ่นว่า อูรีมัล (แปลว่า "ภาษาของเรา"; มาจากคำว่า 우리말 (เขียนติดกันในเกาหลีใต้) หรือ 우리 말 (เขียนแยกกันในเกาหลีเหนือ))สำเนียงท้องถิ่น สำเนียงท้องถิ่น. ภาษาเกาหลีมีสำเนียงท้องถิ่นมากมาย ภาษาทางการที่ใช้ในเกาหลีใต้คือสำเนียงท้องถิ่นที่ใช้ในพื้นที่บริเวณโซล และภาษาทางการที่ใช้ในเกาหลีเหนือคือสำเนียงท้องถิ่นที่ใช้บริเวณกรุงเปียงยาง สำเนียงท้องถิ่นโดยทั่วไปจะมีความคล้ายคลึงกัน ยกเว้นสำเนียงท้องถิ่นบนเกาะเชจูที่มีความแตกต่างค่อนข้างมาก ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างสำเนียงท้องถิ่นแต่ละแห่งคือ การเน้นเสียง สำเนียงท้องถิ่นของโซลจะเน้นเสียงน้อยมาก และไม่ค่อยมีความสูงต่ำในการเปล่งเสียง ในทางกลับกัน สำเนียงท้องถิ่นของ คย็องซัง มีความสูงต่ำของการออกเสียงอย่างมากจนคล้ายกับภาษาทางยุโรป อย่างไรก็ตามเราสามารถจำแนกสำเนียงท้องถิ่นของภาษาเกาหลีออกเป็นภูมิภาคต่าง ๆ ได้ดังตาราง โดยพิจารณาจากขอบเขตของภูเขาและทะเลอักษรเกาหลี อักษรเกาหลี. อักษรเกาหลี หรือ ฮันกึล โดยผิวเผินแล้ว อักษรฮันกึลคล้ายกับอักษรรูปภาพเหมือนอักษรจีน แต่จริง ๆ แล้ว อักษรฮันกึลอยู่ในระบบอักษรแทนเสียง (ตัวพยัญชนะเป็นอักษรรูปภาพเลียนแบบอวัยวะการออกเสียงในขณะที่ออกเสียงนั้นๆ สระเป็นอักษรรูปภาพใช้แนวคิดเชิงปรัชญา เกี่ยวกับ ท้องฟ้า พื้นดิน และมนุษย์) คือประกอบด้วยพยัญชนะและสระ ซึ่งมีทั้งหมด 24 ตัว ประกอบด้วย- พยัญชนะ 14 ตัว คือ ㄱ (คีย็อก), ㄴ (นีอึน), ㄷ (ทีกึด), ㄹ (รีอึล), ㅁ (มีอึม), ㅂ (พีอึบ), ㅅ (ชีอด), ㅇ (อีอึง), ㅈ (ชีอึด), ㅊ (ชีอึด), ㅋ (คีอึก), ㅌ (ทีอึด), ㅍ (พีอึบ) และ ㅎ (ฮีอึด) - สระ 10 ตัว คือ ㅏ (อา), ㅑ (ยา), ㅓ (ออ), ㅕ (ยอ), ㅗ (โอ), ㅛ (โย), ㅜ (อู), ㅠ (ยู), ㅡ (อือ) และ ㅣ (อี) พยัญชนะและสระดังกล่าวเรียกว่า พยัญชนะเดี่ยว และสระเดี่ยว ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เรียกว่าพยัญชนะซ้ำ และสระประสมด้วย คือ- พยัญชนะซ้ำ 5 ตัว ได้แก่ ㄲ (ซังกีย็อก), ㄸ (ซังดีกึด), ㅃ (ซังบีอึบ), ㅆ (ซังชีอด) และ ㅉ (ซังจีอึด) - สระประสม 11 ตัว ได้แก่ ㅐ (แอ), ㅒ (แย), ㅔ (เอ), ㅖ (เย), ㅚ (เว), ㅟ (วี), ㅘ (วา), ㅙ (แว), ㅝ (วอ), ㅞ (เว) และ ㅢ (อึย) อักษรเกาหลีมีลำดับการเขียนคล้ายอักษรจีน คือ ลากจากบนลงล่าง และจากซ้ายไปขวา นอกจากนี้การเขียนพยางค์หนึ่ง ๆ จะเริ่มเขียนจากพยัญชนะต้น ไปสระ และตัวสะกดตามลำดับเลขเกาหลีสัทศาสตร์ สัทศาสตร์. ข้อมูลการเทียบเสียงต่อไปนี้เป็นเพียงการเทียบเสียงเบื้องต้น ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องมากนัก พยัญชนะทุกตัวในภาษาเกาหลีมีเสียงแตกต่างกัน แต่พบว่าบางครั้งการได้ยินของคนไทยไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้เหมือนคนเกาหลี เช่น คำว่า 자 (ja; ชา) กับ 차 (cha; ชา) เป็นต้นพยัญชนะพยัญชนะ. - * หมายถึง พยัญชนะเสียงหนัก - ** หมายถึง เสียงพยัญชนะที่มากับรูปสระ - สำหรับ ㅇ เมื่อเป็นพยัญชนะต้นแต่มีคำอื่นมาก่อน จะนำพยัญชนะสะกดของคำก่อนหน้ามาเป็นเสียงพยัญชนะต้น ดูที่ การอ่านโยงเสียงตัวอย่างคำศัพท์สระ สระ. สระเกาหลีไม่เหมือนภาษาไทยซึ่งมีเสียงสั้นเสียงยาวแยกกัน เช่น อิ กับ อี จะรวมเป็นสระเดียว คือ ㅣ () แต่จะเป็นเสียงสั้นหรือเสียงยาวนั้นขึ้นอยู่กับการเน้นเสียง แม้คำที่เขียนเหมือนกันแต่อ่านด้วยเสียงที่ต่างกัน ความหมายก็อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ตัวสะกด ตัวสะกด. แม้พยัญชนะเกาหลีจะมีหลายตัว และแต่ละตัวเสียงแตกต่างกัน แต่เมื่อนำมาใช้เป็นตัวสะกดแล้ว จะมีทั้งหมด 7 มาตราเท่านั้น ดังตาราง จะเห็นว่าคล้ายคลึงกับภาษาไทย โดยที่ต่างออกไปคือ เสียง [ㄹ] (ล) เมื่อนำไปเป็นตัวสะกดแล้วจะไม่ใช่เสียง [น] เช่นในภาษาไทย นอกจากนี้อาจพบตัวสะกดแบบที่มีพยัญชนะสะกดสองตัว เช่น 여덟, 앉다 ฯลฯ ตัวสะกดลักษณะนี้จะเลือกออกเสียงเฉพาะตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น และอีกตัวจะไม่ออกเสียง เช่น 여덟 อ่านว่า /ยอ-ด็อล/ ไม่ใช่ /ยอ-ด็อบ/ การที่จะทราบว่าตัวสะกดคู่จะออกเสียงพยัญชนะตัวใด แสดงดังตาราง อย่างไรก็ตามมีตัวสะกดคู่บางส่วนที่ออกเสียงไม่แน่นอนขึ้นกับคำ คือ ㄺ และ ㄼการอ่านโยงเสียง การอ่านโยงเสียง. ในพยางค์หนึ่งๆ กรณีที่พยัญชนะต้นเป็นตัวอีอึง (ㅇ) เสียงของมันอาจไม่ใช่เสียง "อ" แต่จะเป็นเสียงของตัวสะกดในพยางค์ก่อนหน้าแทน เช่น- 직업 อ่านว่า /지겁/ (ชี-กอบ) ไม่ใช่ /직-업/ (ชิก-ออบ) - 당신은 อ่านว่า /당시는/ (ทัง-ชี-นึน) ไม่ใช่ /당-신-은/ (ทัง-ชิน-อึน) ถ้าไม่มีคำใดมาก่อนจะออกเสียงคล้าย อ หรือถ้าคำก่อนหน้าไม่มีพยัญชนะสะกด จะออกเสียงเชื่อมสระเข้าด้วยกันกฎการอ่านแบบกลมกลืนเสียง* กฎการอ่านแบบกลมกลืนเสียง*. ในพยางค์ใดที่ลงท้ายด้วยตัวสะกดและพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไปที่ติดกัน เสียงของตัวสะกดจะเปลี่ยนเพื่อให้ออกเสียงได้สะดวกกลมกลืนและไม่ขัดกัน โดยจำแนกไว้เป็นกฎต่างๆดังต่อไปนี้ 1. พยางค์ใดลงท้ายด้วยตัวสะกดในแม่ /ㄱ/, /ㄷ/, /ㅂ/ และพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไปเป็นเสียงนาสิก เสียงตัวสะกดจะเปลี่ยนเป็น /ㅇ/,/ㄴ/,/ㅁ/ ตามลำดับ เพื่อให้ออกเสียงได้สะดวกกลมกลืนและไม่ขัดกัน ตัวอย่างเช่น 집는다 -> /짐는다/ เขียนว่า "ชิบนึนดา" แต่จะอ่านเป็น "ชิมนึนดา" เพื่อให้ออกเสียงได้สะดวกกลมกลืนและไม่ขัดกัน 받는다 -> /반는다/ เขียนว่า "พัดนึนดา" แต่จะอ่านเป็น "พันนึนดา" เพื่อให้ออกเสียงได้สะดวกกลมกลืนและไม่ขัดกัน 속는다 -> /송는다/ เขียนว่า "ซกนึนดา" แต่จะอ่านเป็น "ซงนึนดา" เพื่อให้ออกเสียงได้สะดวกกลมกลืนและไม่ขัดกัน ที่คุ้นเคยกันดีได้แก่ ไวยากรณ์ลงท้ายประโยคอย่างสุภาพ "~습니다" ถึงแม้ว่าจะเขียนเป็น ซึ่บนิดา แต่เพื่อให้เป็นไปตามเหตุผลดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว เราก็จะอ่านว่า ซึมนิดาตัวอย่างประโยคหรือวลีที่มักพบไวยากรณ์ ไวยากรณ์. การวางคำในประโยคภาษาเกาหลีมีลักษณะใกล้เคียงกับการเรียงในภาษาญี่ปุ่นและภาษาตุรกีรวมไปถึงภาษาในประเทศอินเดีย โดยเรียงลำดับคำในประโยคเป็น "ประธาน-กรรม-กริยา" ซึ่งแตกต่างกับประโยคในภาษาไทยที่เป็น "ประธาน-กริยา-กรรม" เช่นประโยค "ฉันกินข้าว" ในภาษาไทย จะเขียนลำดับเป็น "ฉันข้าวกิน" [나는 밥을 먹는다.] ในภาษาเกาหลี ภาษาเกาหลีมีคำช่วยเพื่อบอกหน้าที่ของคำต่างๆ ในประโยค เช่น เป็นคำช่วยที่ใช้วางหลังสถานที่เพื่อระบุตำแหน่ง และ 가 หรือ 를 เป็นคำช่วยที่วางหลังคำเพื่อระบุว่าคำนั้นเป็นประธานของประโยค เป็นต้น นอกจากนี้ภาษาเกาหลียังมีการผันรูปกริยาหลายรูปแบบเพื่อเปลี่ยนแปลงกาลเทศะ เช่น ระดับความสุภาพและความเป็นทางการของประโยค สภาพกาลของประโยคว่าเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันการเทียบเสียง การเทียบเสียง. ในภาษาเกาหลี ได้มีการกำหนดระบบในการถอดภาษาเกาหลีด้วยอักษรโรมันไว้ โดยเป็นที่นิยมมาก 2 ระบบ คือ ระบบกระทรวงวัฒนธรรมเกาหลี 2000 ระบบที่ใช้อย่างเป็นทางการในประเทศเกาหลีใต้ปัจจุบัน และ ระบบแมกคูน-ไรซ์ชาวเออร์ ใช้ในประเทศเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการในปัจจุบัน และเคยใช้ในเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการในช่วง พ.ศ. 2527-2543
| ภาษาเกาหลีประกอบด้วยพยัญชนะและสระทั้งหมดกี่ตัว | {
"answer": [
"24"
],
"answer_begin_position": [
2638
],
"answer_end_position": [
2640
]
} |
2,016 | 55,592 | ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน () เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักออกแบบท่าเต้น นักแสดง โปรดิวเซอร์เพลงและนักการกุศล ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาเพลงป็อป" (The King of Pop)อิทธิพลทางดนตรี การเต้นรำ แฟชั่นและผลงานด้านมนุษยธรรม กับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยมากว่า 4 ทศวรรษ เขาเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1964 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขากลายเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อป และถือเป็นศิลปินชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่มีผลงานออกอากาศผ่านทางช่องเอ็มทีวี มิวสิกวิดีโอของเขา ประกอบด้วยเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thriller" ได้รับการยกย่องสำหรับการทำลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของงานศิลปะ ความนิยมของมิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องเอ็มทีวีที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียง อัลบั้ม Bad ของเขาในปี 1987 นับเป็นอัลบั้มเพลงแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงอันดับ 1 ถึง 5 เพลงบนบิลบอร์ดฮ็อต 100 จากอัลบั้มเดียว มิวสิกวิดีโอในรูปแบบใหม่อย่างเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังออกอากาศบ่อยทางช่องเอ็มทีวี เขายังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือในฐานะศิลปินเดี่ยวกับลีลาบนเวทีและการแสดง แจ็กสันสร้างความโด่งดังให้กับเทคนิคการเต้นที่ซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลายๆท่า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่หลายอย่างมาก อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้นมูนวอล์ก เอกลักษณ์ทางด้านดนตรีและเสียงร้องอันโดดเด่นของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินหลายแนวเพลง อิทธิพลของเขาได้แพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่นทั่วโลก Thriller ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือของเขา ก็ยังติดอันดับอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลก ประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ (1995) แจ็กสันเดินทางไปทั่วโลกเพื่อร่วมกิจกรรมด้านมนุษยธรรม เขาหาเงินนับร้อยล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิลและผลกำไรจากทัวร์คอนเสิร์ตที่เขาสนับสนุนให้กับองค์กร 39 แห่ง บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ระบุว่าเขาเป็นบุคคลบันเทิงที่มีส่วนร่วมในการกุศลมากยิ่งกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ ชีวิตส่วนตัวของเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ แจ็กสันมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด (ซึ่งในภายหลังคู่กรณีหลายรายได้ออกมายอมรับว่า แจ็กสัน ไม่ได้กระทำ และที่กล่าวหา เพราะเป็นเด็ก และถูกผู้ปกครองบังคับ โดยหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย) เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟมถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับบันทึกสถิติหลายครั้ง กินเนสส์บุ้คเวิลด์เรคคอร์ดจารึกชื่อเขาเป็น "ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาเป็นนักร้องคนเดียวจากโลกดนตรีป็อปและร็อกแอนด์โรลที่มีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศแดนซ์ฮอลออฟเฟม และยังเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีเพลงฮิตติดท็อป 10 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100 ทุก 10 ปี ติดต่อกันนานกว่าครึ่งศตวรรษ แจ็กสันชนะรางวัลจากเวทีต่างๆ นับร้อยกว่ารางวัล ทำให้เขาเป็นศิลปินที่คว้ารางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อปความสำเร็จอื่นๆ ของเขาได้แก่ สถิติในกินเนสบุ้คเวิลด์เรคคอร์ดหลายครั้ง 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษ Grammy Legend Award , Grammy Lifetime Achievement Award 26 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมไปถึงรางวัลพิเศษ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" และ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" 13 ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ และมียอดขายรวมกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก ไมเคิล แจ็กสัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี ในขณะที่เตรียมความพร้อมสำหรับคอนเสิร์ตคัมแบ็ก ดิส อีส อิท การเสียชีวิตของเขาสร้างความเศร้าโศกไปทั่วทุกมุมโลก การรายงานข่าวสารทางสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ต่างพุ่งขึ้นสูงที่สุดในรอบทศวรรษ งานพิธีไว้อาลัยได้รับการออกอากาศถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ต่อมาในปี 2010 บริษัทโซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตกลงนามทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก เพื่อจัดจำหน่ายผลงานของเขา รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 ด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงสุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรีนิตยสารธุรกิจและการเงิน ฟอบส์ จัดให้เขาเป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 1 หลังเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยรายได้ 825 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 เพียงปีเดียว สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้โดยสิ่งพิมพ์ประวัติ1958-64: ชีวิตช่วงแรก ประวัติ. 1958-64: ชีวิตช่วงแรก. ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกันชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพยานพระยะโฮวา เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ เขากล่าวว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง — ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง — โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทางบีบีซีว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก โจยังพูดว่าเขาใช้วาจาทำร้ายลูกชายและล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน Living with Michael Jackson (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือเข็มขัดขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้1964-75: จุดเริ่มต้นของอาชีพ และเดอะแจ็กสันไฟฟ์ 1964-75: จุดเริ่มต้นของอาชีพ และเดอะแจ็กสันไฟฟ์. แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรีวันคริสต์มาสเมื่ออายุได้ 5 ขวบ ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนชวนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"— วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน — โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและแทมบูรีน ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดอะแจ็กสันไฟฟ์ วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "ชิตลินเซอร์คิต" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปินโมทาวน์ เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของเจมส์ บราวน์ นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน นิตยสารโรลลิงสโตน ได้อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่าเป็นเด็ก "อัจฉริยะ" พร้อมด้วย "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" (ปี 1967) ซิงเกิลแรกของพวกเขาภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1969 โดยในปีเดียวกัน พวกเขาย้ายออกจากแกรี่ไปยังลอสแอนเจลิส สถานที่พวกเขาบันทึกเพลงสำหรับโมทาวน์ต่อไป วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("I Want You Back", "ABC", "The Love You Save" และ "I'll Be There") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100ในช่วงเวลานี้ ไมเคิลได้พัฒนาบทบาทจากนักแสดงเด็กไปยังทีนไอดอล ขณะที่เขาเริ่มปรากฏตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยที่ยังคงผูกพันกับเดอะแจ็กสันไฟว์ เขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด Got to Be There และ Ben ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "Ben" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของนิตยสารบิลบอร์ด และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ และเพลงเก่าของบ็อบบี เดย์ นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin" เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้รับการอธิบายว่าเป็น "แบบฉบับที่ทันสมัยของศิลปินผิวสี" แม้ว่ายอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์ พวกเขามีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลงดิสโก้ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" ก่อนที่จะออกจากโมทาวน์ในปี 19751975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และOff the Wall 1975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และOff the Wall. เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ ซีบีเอสเรคเคิดส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์ โดยมีแรนดี้ น้องชายคนสุดท้องเข้าร่วมวงอย่างเป็นทางการ ในขณะที่เจอร์เมนเลือกที่จะอยู่โมทาวน์และเริ่มต้นอาชีพเดี่ยว หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 ระหว่างช่วงเวลานี้ ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It" ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง The Wiz เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดยควินซี โจนส์ ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด Off the Wall ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด Off the Wall อัลบั้มนี้เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงจากวัยรุ่นไปยังเสียงร้องของเขาที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ที่เขาจะสร้างเมื่อเป็นผู้ใหญ่ มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ ร็อด เทมเพอร์ตัน จากวงฮีตเวฟ สตีวี วันเดอร์ และพอล แม็กคาร์ตนีย์ ออกวางขายในปี 1979 Off the Wall ถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่างเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "Rock with You" Off the Wall ติดชาร์ตบิลบอร์ด 200 สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 8 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough" ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough") เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า Off the Wall ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%1982-83: Thriller และ โมทาวน์ 25 1982-83: Thriller และ โมทาวน์ 25. ปี 1982 แจ็กสันมุ่งมั่นเข้าสู่ความสนใจของเขาในการแต่งเพลงและภาพยนตร์ โดยมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้มชุดที่หกของเขา Thriller อัลบั้มทำให้เขาได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ และ 8 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส จากอัลบั้มเดียว Thriller เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดทั่วโลกในปี 1983 รวมทั้งในอเมริกา และกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ และเป็นอัลบั้มแรกที่มี 7 ซิงเกิล ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ประกอบด้วย "The Girl Is Mine" "Billie Jean", "Beat It" "Wanna Be Startin' Somethin'" "Human Nature" "P.Y.T. (Pretty Young Thing" และ "Thriller"ในปี 2015 อัลบั้มได้รับการรับรองมียอดขายมากกว่า 32 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกาโดยRIAA ทำให้อัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย นอกเหนือจากอัลบั้มเพลงแล้ว แจ็กสันได้ปล่อยผลงาน"Thriller" มิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นที่มีความยาว 14 นาที กำกับโดยจอห์น แลนดิส ในปี 1983 มิวสิกวิดีโอนี้ได้รับคำนิยามว่า "ทลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ" ได้รับการออกอากาศทางเอ็มทีวีซึ่งเป็นช่องรายการที่พึ่งเปิดใหม่ในเวลานั้น ในปี 2009 มิวสิกวิดีโอได้รับการจดทะเบียนเข้าสู่หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดยหอสมุดรัฐสภา ซึ่งนับเป็นผลงานมิวสิควีดีโอชิ้นแรกและชิ้นดียวเท่านั้นที่ได้รับเกียรติยศในฐานะ "วัฒนธรรมภาพยนตร์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์" นักกฎหมายของแจ็กสัน จอห์น บรังกา ตั้งข้อสังเกตว่าแจ็กสันมีส่วนแบ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม เขายังทำรายได้เป็นประวัติการณ์จากภาพยนตร์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด ในเวลาไม่กี่เดือน นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง อย่างเช่น ตุ๊กตาจำลอง ไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด จนผู้เขียนชีวประวัติของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี Thriller หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวกนิตยสาร ของเล่น ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน" ในปี 1985 ภาพยนตร์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ก็ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยมแบบยาว นิตยสารไทม์ ได้กล่าวถึงอิทธิพลของแจ็กสันตรงจุดนั้นว่า "ดวงดาวแห่งการบันทึกเสียง คลื่นวิทยุ และวิดีโอ ชายผู้ฟื้นฟูธุรกิจอุสาหกรรมดนตรี นักแต่งเพลงผู้กำหนดจังหวะแห่งทศวรรษ นักเต้นรำด้วยฝีเท้าแห่งจินตนาการ นักร้องผู้ก้าวข้ามพรมแดนแห่งรสนิยมและสีผิว"เดอะนิวยอร์กไทมส์ เขียนว่า "ในโลกแห่งเพลงป็อป เมื่อมีไมเคิล แจ็กสัน จึงมีคนอื่นๆ" นอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว Thriller ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของอัลบั้ม ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของพังก์และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง" ข้อสามคือ นำเอ็มทีวีก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ Thriller ข้อสี่ Thriller ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น พรินซ์ จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก 25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดในรายการโทรทัศน์เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศ ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารโรลลิงสโตน มิเกล กิลมอ รายงานในภายหลังว่า "มีช่วงเวลาเมื่อคุณรู้ว่ากำลังได้ยิน หรือเห็น บางสิ่งที่น่าอัศจรรย์...ที่มาในคืนนั้น" การแสดงนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของเอลวิส เพรสลีย์และเดอะบีทเทิลส์ ในรายการ ดิเอดซัลลิแวนโชว์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ 1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ. ในเดือนพฤศจิกายน 1983 แจ็กสันและพี่น้องของเขา ร่วมมือกับ เป๊ปซี่ ด้วยค่าตัว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวในวงการอุตสาหกรรมโฆษณา แคมเปญแรกของเป๊ปซี่ เริ่มต้นด้วยการออกอากาศในสหรัฐอเมริกาจากปี 1983 - 1984 และเปิดตัวด้วยธีม "คนรุ่นใหม่" รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยว กิจกรรมการแสดง โดยใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการประชาสัมพันธ์ แจ็กสันมีส่วนร่วมในการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นให้กับเป๊ปซี่อย่างมาก เขาแนะนำให้ใช้เพลง "Billie Jean" เป็นดนตรีประกอบในรูปแบบใหม่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 ขณะถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ในลอสแอนเจลิส หนังศีรษะเป็นแผลไหม้ระดับสองหลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก แจ็กสันเข้ารับการรักษาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นและทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจนเป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ให้แก่ผู้ป่วย ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่ทำเนียบขาว สำหรับผลงานด้านมนุษยธรรมของเขา โดยมีประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและยาเสพติดและมอบคำกล่าวขวัญแก่การสนับสนุนของเขาที่มีต่อสภาและทางหลวงแห่งชาติในการรณรงค์เมาแล้วไม่ขับ แจ็กสันบริจาคเพลง "Beat it" เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ สำหรับบริการสาธารณะ แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน Thriller ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์สำหรับการออกทัวร์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยว ให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย ผลงานการกุศลและรางวัลด้านมนุษยธรรมของเขายังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัวเพลง "We Are the World" ซึ่งเขาเขียนเพลงร่วมกับไลโอเนล ริชชี เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คน ในการบันทึกเสียง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1985 และได้รับการปล่อยออกทั่วโลกในเดือนมีนาคม เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกาและในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลนี้ทำรายได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบรรเทาความอดยาก และกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 20 ล้านชุด "We Are the World" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1985 สาขาบทเพลงแห่งปี และถึงแม้ว่าในงานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส คณะกรรมการจะถอนเพลงประเภทการกุศลออกจากการแข่งขันเนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในปี 1986 ก็ได้ข้อสรุปในการสรรเสริญบทเพลงนี้สำหรับวันครบรอบ 1 ปี ซึ่งผู้คิดโปรเจกต์ยังได้เกียรติพิเศษจาก AMA สำหรับผู้สร้างสรรค์บทเพลง และอีกหนึ่งไอเดียสำหรับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาไปยังแอฟริกา โดยแจ็กสัน ควินซีโจนส์ และผู้จัดงาน เคน คราเกน ได้รับรางวัลพิเศษสำหรับบทบาทของพวกเขาในการสร้างสรรค์เพลง แจ็กสันมีความสนใจในธุรกิจซื้อขายลิขสิทธิ์เพลงที่กำลังขยายตัว ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในช่วงต้นปี 1980 ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน เขาได้เรียนรู้ต่อมาว่าแม็กคาร์ตนีย์ สามารถทำรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ็กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อขายลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน แต่เขาก็ระมัดระวังในการซื้อขายเหล่านั้น เขาเริ่มต้นธุรกิจการซื้อขายเพลงอยู่หลายเพลง หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงนอร์เทิร์นซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่ส่วนใหญ่ที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย ในปี 1984 โรเบิร์ต โฮล์มส์ศาล เศรษฐีนักลงทุนชาวออสเตรเลียผู้เป็นเจ้าของ ATV Music Publishing ได้ประกาศว่าเขากำลังนำแคตตาล็อกเพลงขึ้นเพื่อขายในปี 1981 แม็กคาร์ตนีย์ได้รับการเสนอราคาแคตตาล็อกที่ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์ สอดคล้องกับช่วงเวลาที่แม็กคาร์ตนีย์เองได้ติดต่อโยโกะ โอโนะเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ร่วมกัน โดยสนนราคาแยกกันคนละ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์ แต่โอโนะคิดว่าพวกเขาสามารถซื้อมันด้วยราคา 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เมื่อทั้งสองไม่สามารถตกลงกันได้ และแม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งไม่ต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เดอะบีทเทิ่ลเพียงลำพัง ก็ไม่ได้ติดตามข้อเสนอของเขาอีกเลย ตามการเจรจาต่อรองซื้อขายของ โฮล์มส์ศาล ในปี 1984 โดยแม็กคาร์ตนีย์ได้บอกปัดก่อนและปฏิเสธที่จะซื้อขาย แจ็กสันรับรู้การซื้อขายจากนักฏกหมายของเขา จอห์น บรังกา เขาสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา" (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เนื่องจากแม็กคาร์ตนีย์รู้สึกว่ามันมีราคาที่สูงเกินไป แต่บริษัทและนักลงทุนหลายคนต่างก็มีความสนใจในการเสนอราคา แจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ การซื้อขาย ATV Music Publishing ของแจ็กสันจึงสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 19851986-88: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม Bad 1986-88: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม Bad. สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวและโรคลูปัส การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่างแจ็กสันกล่าวว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและไม่ได้มีการทำศัลยกรรมในส่วนอื่นๆ เขามีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จากอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและกลายเป็นปัญหาสุขภาพของเขาในเวลาต่อมา ในปี 1986 ข่าวในแท็บลอยด์ เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber) เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก (ซึ่งความจริงแล้วเป็นภาพในขณะรักษาแผลไฟไหม้ที่ศีรษะ) ถึงแม้เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อลิงชิมแพนซี ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็รายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูกโจเซฟ เมอร์ริค หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญและถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แจ็กสันก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวในเวลานั้นแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ก็ตาม ต่อมาเขาเริ่มที่จะหยุดการรั่วไหลเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับที่สื่ออย่างแท็บลอยด์เริ่มรู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวกระทบความรู้สึกและโลดโผนมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุดังนี้สื่อดังกล่าวจึงเริ่มแต่งเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับเขา จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง Captain EO กำกับโดยแฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994ในปี 1987 เขาผันตัวเองออกจากลัทธิพยานพระยะโฮวา เพื่อตอบสนองความไม่พอใจของพวกเขาจากการแสดงมิวสิกวิดีโอเพลงทริลเลอร์ และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัลบั้ม Bad ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมากอัลบั้มมี 7 ซิงเกิล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 5 ซิงเกิล ประกอบด้วย ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่มีเพลงอันดับ 1 จากอัลบั้มเดียวมากที่สุด จากข้อมูลปี 2012 อัลบั้มมียอดขายระหว่าง 30-45 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 9 ล้านชุด อัลบั้มได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ สำหรับสาขาจัดการเสียงยอดเยี่ยม และสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม สำหรับเพลง "Leave Me Alone" ในปี 1989 ในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับรางวัลพิเศษ Award of Achievement ที่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส หลังจาก Bad กลายเป็นอัลบั้มแรกที่มีถึง 5 ซิงเกิล ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มแรกที่ติดท๊อปใน 25 ประเทศ และอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกปี 1987 และ 1988ในปี 1988 "Bad" ได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขาเพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม ทัวร์คอนเสิร์ตแบดเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1987 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1989 ในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว บัตรขายหมดทุกรอบ ทั้ง 14 รอบ กับจำนวนคนถึง 570,000 คน ถือเป็นเกือบ 3 เท่าของสถิติเดิม 200,000 คนในทัวร์เดียวที่มีศิลปินออกทัวร์คอนเสิร์ตในญี่ปุ่น แจ็กสันยังสร้างสถิติในกินเนสบุ๊ก เมื่อคน 504,000 คนเข้าดูโชว์ที่ขายหมดในสนามกีฬาเวมบลีย์ 7 รอบ เขาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งหมด 123 คอนเสิร์ตกับผู้ชมร่วม 4.4 ล้านคน ถือเป็นซีรีส์ทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมี ซึ่งต่อมาได้ทำลายสถิติโดยฮิสทรีเวิลด์ทัวร์ของเขาเอง และยังทำลายสถิติเดิมในกินเนสบุ๊กเมื่อทัวร์ทำรายได้ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างทัวร์เขายังได้เชิญเด็กด้อยโอกาสมาเข้าชมฟรีและยังบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า และองค์กรการกุศลอื่น ๆ1988-90: อัตชีวประวัติ , ผลงานภาพยนตร์ และเนเวอร์แลนด์ 1988-90: อัตชีวประวัติ , ผลงานภาพยนตร์ และเนเวอร์แลนด์. ในปี 1988 แจ็กสันออกอัตชีวประวัติที่ชื่อ "มูนวอล์ก" ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก ว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์บนใบหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที "มูนวอล์ก" ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์ ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ "มูนวอคเกอร์" ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี "มูนวอคเกอร์" ติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาก็ถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด Michael Jackson: The Legend Continues ของเขาเอง ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว เขายังถือเป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ของสหภาพโซเวียต จากความสำเร็จของเขา ทำให้เขาได้รับฉายา "คิง ออฟ ป๊อป" หรือ "ราชาเพลงป็อป" จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขา เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เธอยังเชิญรางวัลพิเศษให้กับเขาที่งานโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง" ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศล1991-93: อัลบั้ม Dangerous , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27 1991-93: อัลบั้ม Dangerous , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27. เดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของนีล ไดอะมอนด์กับโคลัมเบียเรเคิดส์ แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด เดนเจอรัส ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวนิวแจ็กสวิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Black or White" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ในปี 1992 อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงที่มียอดขายทั่วโลกสูงสุดของปี และเพลง "Black or White" ก็ยังเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของปีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แจ็กสันยังได้รับรางวัลสำหรับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วยในปี 1993 แจ็กสันได้ขึ้นแสดงในงานรางวัล โซลเทรน อวอร์ด โดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "Heal the World" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992 แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์เริ่มต้นวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ทัวร์ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แจ็กสันแสดงกว่า 70 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน เขาหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิกาลกุศล โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์ เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่องเอชบีโอ จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุดและยังครองสถิติจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ไรอัน ไวต์เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของบิล คลินตัน ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และการวิจัย ในการเยือนแอฟริกา แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือกาบองและอียิปต์ เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือลือล้น โดยที่มีคนมากกว่า 100,000 คน เข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า " ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไมเคิล " และในการเยือนไอวอรีโคสต์ แจ็กสันได้รับการสวมมงกุฎเป็น "King Sani" หรือ "ราชาแห่งซานิ" โดยหัวหน้าเผ่า เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และทำพิธีลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของเขาและนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ ในระหว่างเป็นประธานพิธีเต้นรำ ช่วงกลางปี 1992 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลพิเศษ "Point of Light Ambassador" จากประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จากการเชื้อเชิญเปิดให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เขายังได้กล่าวขณะรับมอบรางวัลว่า " ผู้คนแต่ล่ะคนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของใครบางคนที่จำเป็นได้ " แจ็กสันเป็นศิลปินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ หนึ่งในการแสดงอันกล่าวขวัญคือการแสดงช่วงพักครึ่งเวลาในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 27 ของเดือน มกราคม ค.ศ 1993 อันเนื่องมาจากยอดผู้ชมที่น้อยลงในช่วงครึ่งเวลาของปีก่อนๆที่ผ่านมา ทางเอ็นเอฟแอลจึงตัดสินใจแสวงหาผู้ที่มีความสามารถที่จะเรียกจำนวนคนดูมากขึ้น ด้วยการปรากฏตัวของไมเคิล แจ็กสันสำหรับการดึงดูดความสนใจอย่างกว้างขวางของเขา โดยเริ่มการแสดงด้วยการที่แจ็กสันดีดตัวขึ้นบนเวทีพร้อมพลุไฟด้านหลัง ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เขายังคงนิ่งสนิท แข็งนิ่ง ยืนเป็นอนุสาวรีย์ แต่งตัวในชุดทหารสีดำและทองคำกับแว่นตากันแดด เขายังคงนิ่งสนิทอยู่หลายนาทีขณะที่เสียงเชียร์ยังคงดังลั่น จากนั้นเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอดแว่นตากันแดดออกและโยนทิ้งไปจากนั้นก็เริ่มร้องและเต้น กับ 4 เพลงคือ "Jam", "Billie Jean", "Black or White" และ "Heal the World" การแสดงครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของซูเปอร์โบวล์ และนับเป็นซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกที่ทำลายสถิติ มีคนในช่วงครึ่งเวลามากขึ้น โดยมีจำนวนผู้ชมมากกว่าการแข่งขันเอง ส่วนอัลบั้ม เดนเจอรัส ของเขากระโดดขึ้นมา 90 อันดับบนชาร์ต แจ็กสันให้สัมภาษณ์ในรายการยาว 90 นาทีของโอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 ถือเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ครั้งที่ 2 ของเขาตั้งแต่ปี 1979 เขาทำหน้าบูดบึ้งขณะพูดถึงชีวิตที่ถูกทารุณด้วยน้ำมือพ่อของเขาในวัยเด็ก เขาเชื่อว่าเขาพลาดความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก และยอมรับว่าเขามักจะร้องไห้เมื่อโดดเดี่ยว เขาปฏิเสธข่าวลือจากแท็ปลอยด์ที่ว่าเขาซื้อกระดูกมนุษย์ช้างหรือนอนในตู้ออกซิเจน เขาปฏิเสธข่าวที่เขาฟอกสีผิว และยังพูดครั้งแรกว่าเขาเป็นโรคด่างขาว การสัมภาษณ์ครั้งนี้มีผู้ชมอเมริกันสูงถึง 90 ล้านคน นับเป็นรายการแบบสัมภาษณ์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการให้ความรู้เรื่องโรคด่างขาวที่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไหร่ อัลบั้ม เดนเจอรัส กลับมาเข้าชาร์ทท็อป 10 อีกครั้ง หลังจากที่ออกขายมากกว่า 1 ปี แจ็กสันได้รับรางวัล "ตำนานที่ยังคงอยู่" ในงานแจกรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 35 ในลอสแอนเจลิส เพลง "Black or White" ถูกเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่ในสาขาร้องยอดเยี่ยม ส่วนเพลง "Jam" ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลในสาขาแสดงเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมและเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้ม/ป็อป ยอดเยี่ยม เพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม จากเพลง "Remember the Time" เขายังเป็นศิลปินคนแรกที่ได้รับรางวัลศิลปินนานาชาติแห่งความเป็นเลิศสำหรับการแสดงระดับโลกและความอาทรด้านมนุษยธรรมของเขาต่อมาในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในปัจจุบัน ที่พิพิธภัณฑ์กินเนสส์เวิลด์เร็กคอร์ดได้เชิญรางวัล Lifetime Achievement Award ให้เป็นพิเศษจากความสำเร็จของเขาอันเป็นประวัติการณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อนในโลกบันเทิง1993-94: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก และการแต่งงานครั้งแรก 1993-94: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก และการแต่งงานครั้งแรก. ในช่วงฤดูร้อนปี 1993 แจ็กสันถูกฟ้องร้องจากเรื่องละเมิดทางเพศจากเด็กชายอายุ 13 ปีที่ชื่อ จอร์แดน แชนด์เลอร์และพ่อของเขา อีแวน แชนด์เลอร์ อาชีพทันตแพทย์ ครอบครัวแชนด์เลอร์ได้เรียกร้องการจ่ายเงินจากแจ็กสัน ช่วงแรกเขาปฏิเสธการเรียกร้องนี้ ในที่สุดแล้วจอร์แดน แชนด์เลอร์ก็ได้บอกกับตำรวจว่าเขาถูกทารุณกรรมทางเพศ อีแวน แชนด์เลอร์ถูกบันทึกเสียงสนทนาที่แสดงถึงเจตนาที่พุ่งประเด็นไปยังการเรียกร้องค่าใช้จ่าย และพูดออกมาว่า "ถ้าฉันจะทำ ฉันชนะครั้งใหญ่ ไม่มีทางที่จะแพ้ ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการและพวกเขาจะถูกทำลายไปตลอดกาล...อาชีพการงานของแจ็กสันก็เป็นอันจบ" อย่างไรก็ตามเทปบันทึกเสียงนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่มีการกระทำผิดในส่วนของแจ็กสัน โดยแม่ของจอร์แดนก็อยู่ในการสนทนาด้วย และต่อมาแจ็กสันก็ได้ใช้เสียงบันทึกนี้โต้แย้งว่าเขาเป็นเหยื่อของพ่อที่มีเป้าหมายเพียงเพื่อที่จะรีดไถเงินจากเขา หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา ลา โทยา กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์ เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างคอนเสิร์ตเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมีเอลิซาเบธ เทย์เลอร์และเอลตัน จอห์นมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาทำความเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวกันอีกต่อไปออกไป 1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน ภายหลังต่อได้มีการเปิดเอกสารที่รวบรวมข้อมูลการสอบสวนทั้งหมดในช่วงเวลาเกือบ 20 ปี โดยเอฟบีไอ ทนายความของแจ็กสันชี้ให้เห็นว่า ทุกข้อกล่าวหาที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานอะไรที่ระบุถึงการรุนรานหรือเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมของแจ็กสันที่มีต่อผู้เยาว์ สอดคล้องตามรายงานของกรมเด็กและบริการครอบครัวที่สอบสวนแจ็กสัน เริ่มตั้งแต่ปี 1993 ตามข้อกล่าวหาของแชนด์เลอร์ และอีกครั้งในปี 2003 รายงานนี้แสดงข้อมูลให้เห็นว่ากรมตำรวจลอสแอนเจลิส และกรมเด็กและบริการครอบครัว ไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือของการล่วงละเมิดหรือประพฤติผิดทางเพศแม้แต่น้อย เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง ลิซา มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์ ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993 ตามที่เพื่อนคนหนึ่งของเพรสลีย์ว่า "ความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ของพวกเขาเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 1992 ใน L.A" ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น" จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?"เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่สาธารณรัฐโดมินิกันเป็นการส่วนตัว ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศกับเด็ก แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ เมื่อปี 2010 เพรสลีย์ยอมรับว่าพวกเขาใช้เวลาสี่ปีหลังจากการหย่าร้างที่จะ "กลับมาอยู่ด้วยกันและเลิกกัน" จนกระทั่งเธอตัดสินใจที่จะหยุด1995-99: อัลบั้ม HIStory การแต่งงานครั้งที่สอง , ความเป็นพ่อ และ Blood on the Dance Floor 1995-99: อัลบั้ม HIStory การแต่งงานครั้งที่สอง , ความเป็นพ่อ และ Blood on the Dance Floor. ในปี 1995 แจ็กสันรวมเพลงแคตาล็อกของเขาจากนอร์เทิร์นซองส์เข้ากับโซนี โดย Sony/ATV Music Publishing แจ็กสันครอบครองครึ่งหนึ่งของบริษัท มีรายได้ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีลิขสิทธิ์เพลงอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาออกอัลบั้มคู่ที่ชื่อ แผ่นแรกชื่อ HIStory Begins มีเพลง 15 เพลงที่เป็นงานเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าของเขาซึ่งต่อมาถูกทำมารวมใหม่ในชื่อ Greatest Hits – HIStory Vol. I ในปี 2001 ส่วนแผ่นที่ 2 เป็นเพลงใหม่ 15 เพลง อัลบั้มเปิดตัวขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกและมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นอัลบั้มเพลงหลายแผ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล กับยอดขาย 20 ล้านชุด (40 ล้านหน่วย) ทั่วโลก HIStory ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม ซิงเกิลแรกถูกปล่อยจากอัลบั้มคือ "Scream/Childhood" ชื่อเพลง "Scream" ที่ร้องร่วมกับน้องสาวคนสุดท้องของครอบครัวเจเน็ต แจ็กสันประท้วงต่อสื่อ โดยเฉพาะสำหรับการปฏิบัติต่อเขาช่วงปี 1993 ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาผิดเพี้ยนต่อสาธารณะ ซิงเกิลเปิดตัวบนชาร์ตที่อันดับ 5 บนบิลบอร์ดฮอต 100 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "การร่วมงานร้องในเพลงป็อปยอดเยี่ยม" "You Are Not Alone" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม และยังครองสถิติบนกินเนสเวิลด์เรคเคิร์ด สำหรับเพลงแรกที่เปิดตัวติดอันดับ 1 ทันที บนบิลบอร์ดฮอต 100 เพลงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านศิลปะและยอดขาย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "เพลงร้องป็อปยอดเยี่ยม" อีกด้วย ปลายปี 1995 แจ็กสันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลระหว่างการซ้อมในการแสดงรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเกิดอาการภาวะเครียด "Earth Song" เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม HIStory ขึ้นอันดับ 1 บนยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต ยาวนาน 6 สัปดาห์ในช่วงคริสต์มาสปี 1995 มียอดขายมากกว่าล้านชุด ถือเป็นซิงเกิลของแจ็กสันที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสหราชอาณาจักร ในปี 1996 แจ็กสันได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม แบบสั้นจากเพลง "Scream" และรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขา Favorite Pop/Rock Male Artist HIStory ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการประกาศเปิดตัวฮิสทรีเวิลด์ทัวร์ ทัวร์เริ่มเมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 และจบลงเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1997 แจ็กสันแสดงกว่า 82 คอนเสิร์ต โดยออกทัวร์ไป 5 ทวีป ใน35 ประเทศและ 58 เมือง ทำรายได้รวม 165 ล้านเหรียญ โดยมีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านคน ถือเป็นทัวร์ที่มียอดจำนวนผู้ชมมากที่สุดของแจ็กสัน และปัจจุบันยังเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยอดจำนวนผู้ชม ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ในออสเตรเลีย เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 แจ็กสันแต่งงานกับ เดโบราห์ จีน โรว์ พยาบาลผิวหนังเพื่อนเก่าของเขา ผู้ดูแลรักษาอาการป่วยเมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่แจ็กสัน เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน แต่เดิมพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้ให้สิทธิ์ดูแลเด็กกับแจ็กสัน ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม ที่รวมซิงเกิลรีมิกซ์เพลงดังจากอัลบั้ม HIStory และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขายกว่า 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มเพลงรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24 นิตยสารฟอร์บ ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997 ตลอดเดือนมิถุนายน 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับลูชาโน ปาวารอตตี ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา อิตาลี สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ วอร์ไชลด์ มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยในโคโซโว เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กในกัวเตมาลา ต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "ไมเคิล แจ็กสันแอนด์เฟรนส์" คอนเสิร์ตหารายได้ในเยอรมนีและเกาหลี มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วงสกอร์เปี้ยนส์ บอยซ์ทูเมน ลูเธอร์ แวนดรอส มารายห์ แครี เอ.อาร์. ราห์มาน Prabhu Deva Sundaram อานเดรอา โบเชลลี Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" กาชาดและยูเนสโก2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม Invincible และลูกคนที่ 3 2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม Invincible และลูกคนที่ 3. ปี 2000 แจ็กสันมีชื่ออยู่ในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ สำหรับการสนับสนุนองค์การการกุศล 39 หน่วยงาน มากกว่าดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ในเวลานั้นแจ็กสันรอใบอนุญาตจากผลงานอัลบั้มที่จะลับมาเป็นของเขา ที่จะทำให้เขาสามารถประชาสัมพันธ์เพลงเก่าของเขาได้สะดวก และปกป้องจากโซนีที่ตัดรายได้ของเขาไป แจ็กสันคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัญญามีรายละเอียดมากมาย การกลับคืนไปสู่เขาก็ยังคงใช้เวลานานอีกหลายปี แจ็กสันเริ่มการตรวจสอบและปรากฏว่านักกฎหมายของเขาก็เป็นตัวแทนของโซนีเช่นกัน ทำให้เกิดความขัดผลประโยชน์กัน แจ็กสันยังกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซนีพยายามซื้อหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ โดยแจ็กสันเกรงว่าโซนี่อาจจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากหากอาชีพการงานหรือสถานการณ์การเงินของเขาทรุดลง เขาก็อาจจะต้องขายหุ้นส่วนในราคาต่ำ ถึงกระนั้นโซนีก็อาจทำอะไรบางอย่างกับอาชีพของเขา แจ็กสันพยายามหาทางออกตั้งแต่แรกจากสัญญาของเขา เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีสำหรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของแจ็กสัน ที่งานเฉลิมฉลองคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีของเมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2001 เขากับพี่น้อง เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้ปรากฏตัวบนเวทีร่วมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ในงานยังมีการแสดงของศิลปินอย่าง มายย่า อัชเชอร์ วิตนีย์ ฮูสตัน เอ็นซิงก์ และสแลช รวมถึงศิลปินอื่นอีกหลายคน การแสดงนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนเพียงหนึ่งคืนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน แจ็กสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหาเงินใน "ยูไนเต็ด วีแสตนด์: วอตมอร์แคนไอกีฟ" คอนเสิร์ตเพื่อการกุศล ที่สนามกีฬาอาร์เอฟเคในวอชิงตันดีซี คอนเสิร์ตเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2001 ประกอบด้วยการแสดงจากหลากหลายศิลปิน รวมถึงตัวเขาที่แสดงในเพลง "What More Can I Give" เป็นเพลงสุดท้าย ผลงานอัลบั้ม Invincible ประสบความสำเร็จ เปิดตัวอันดับ 1 ใน 13 ประเทศและมียอดขายราว 13 ล้านชุดทั่วโลก ยังได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวคู่ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามยอดขายอัลบั้ม Invincible ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลงานในชุดก่อนเนื่องจากการทำเพลงที่ป็อปน้อยลง การขาดการประชาสัมพันธ์ การไม่ได้รับการสนับสนุนในทัวร์และความขัดแย้งกับค่ายเพลงต้นสังกัด อัลบั้มมี 3 ซิงเกิลคือ "You Rock My World", "Cry" และ "Butterflies" ซิงเกิลหลังไม่มีมิวสิกวิดีโอ แต่ก่อนที่จะออกผลงานอัลบั้ม Invincible แจ็กสันประกาศต่อหน้าประธานโซนีเอนเตอร์เทนเมนต์ ทอมมี มอตโตลา ว่าเขาจะออกจากโซนี ผลคือ ซิงเกิลทั้งหมด การถ่ายทำวิดีโอและการประชาสัมพันธ์ทุกอย่างจากอัลบั้ม Invincible ถูกยกเลิกทันที แจ็กสันจะกล่าวโทษมอตโตลาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 ว่าเป็น "ปีศาจ" และ "เหยียดสีผิว" โดยเขาไม่สนับสนุนต่อศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ประโยชน์พวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เขายังกล่าวโทษมอตโตลา ว่าเขาเรียก ผู้ร่วมงานของเขา เอิร์ฟ กอตตี ว่า "ไอ้มืดอ้วน" (fat nigger) โซนีออกมาโต้เถียงสาเหตุของความล้มเหลวของอัลบั้ม Invincible คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ การปฏิเสธการทัวร์ประชาสัมพันธ์ของแจ็กสันในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในการประชาสัมพันธ์ต้องใช้เงินถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2002 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลครั้งที่ 22 จากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในฐานะ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" ในปีเดียวกัน ลูกคนที่ 3 ของเขาชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002 แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเอง ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องของโรงแรมแอดรอนในเบอร์ลิน โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง" ในเดือนพฤศจิกายน 2003 โซนีออกผลงาน "Number Ones" อัลบั้มที่รวมเพลงฮิตของเขา ทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองโดยอาร์ไอเอเอ ในสหราชอาณาจักรได้รับการรับรองแพลทินัมหกครั้ง โดยมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด 2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด. ในซีรีส์การสัมภาษณ์กับมาร์ติน แบชเชียร์ ออกอากาศปี 2003 ในรายการชื่อ Living with Michael Jackson มีภาพแจ็กสันจับมือและกำลังพูดถึงการนอนกับเกวิน อาร์ซิโว อายุ 13 ปี ซึ่งต่อมาออกมาฟ้องร้องละเมิดทางเพศกับเขา หลังจากนี้รายการออกอากาศไม่นาน แจ็กสันถูกข้อกล่าวหากับคู่กรณี 7 รายเรื่องการลวนลามทางเพศ และ 2 กรณีจากให้สิ่งมึนเมากับอาร์ซิโว แจ็กสันปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยพูดว่าเป็นการนอนโดยไม่มีการถูกเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมชาติ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์เข้ามาปกป้องเขา โดยพูดว่า เธออยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียง "ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร" และเธอบอกกับแลร์รี คิง ว่า "ไม่มีการสัมผัสกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พวกเราหัวเราะกันเหมือนเด็กและดูทีวีวอลต์ดิสนีย์อีกหลายเรื่อง ไม่มีเรื่องผิดปกติเลย" ในระหว่างการสืบสวนแจ็กสันถูกตรวจสอบสุขภาพจิตจาก ดร.สแตน แคตซ์ หมอที่คลุกคลีหลายชั่วโมงกับผู้กล่าวหาด้วย แคตซ์พูดว่า แจ็กสันเหมือนกลับไปเป็นเด็ก 10 ขวบ และไม่มีหลักฐานอะไรระบุว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ระหว่าง 2 ปีที่เกิดคดีความ มีรายงานว่าแจ็กสันติดยาเพทิดีน และน้ำหนักลดฮวบ การพิจาณาคดีความเริ่มเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2005 ในแซนตามาเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จบลงปลายเดือนพฤษภาคม โดยแจ็กสันพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่เกาะในอ่าวเปอร์เซีย บาห์เรน โดยเป็นแขกของชีค อับดุลลา2006-09: ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต This Is Michael Jackson 2006-09: ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต This Is Michael Jackson. ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25) แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดสนับเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลังจากการเสียชีวิตของเจมส์ บราวน์ แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006 หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จากเวียคอมในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของเอ็มมิเน็ม ชาคีร่า และเบ็ก รวมถึงอื่น ๆ การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller โดยการออกอัลบั้มพิเศษ Thriller 25 ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด Thriller 25 ยังมีดีวีดี มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย Thriller 25 ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก แต่ก็ไม่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด 200 เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของชาร์ตแต่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตป็อปแคตตาล็อก นาน 11 สัปดาห์และมียอดขายดีที่สุดในชาร์ตนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1996 ใน 12 อาทิตย์ Thriller 25 ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก Thriller 25 ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในแคตตาล็อกอัลบั้มปี 2008 หลังจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน อัลบั้มมียอดขายอีก 774,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา เพื่อฉลองอายุครบ 50 ปีของไมเคิล แจ็กสัน โซนีบีเอ็มจี ออกอัลบั้มรวมเพลงในชุดที่ชื่อ King of Pop เป็นชุดอัลบั้มที่มีเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นกลุ่มจนถึงเป็นศิลปินเดี่ยว เพลงเลือกจากการลงคะแนนเสียงโดยแฟนเพลง โดยแต่ละประเทศจะมีรายชื่อเพลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของแฟนเพลงประเทศนั้น King of Pop ติดท็อป 10 โดยมากในประเทศส่วนใหญ่ที่ออกขาย และขายได้ทั้งในรูปแบบอัลบั้มนำเข้าในหลายประเทศ ฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ยึดทรัพย์จากการค้ำประกันของไร่เนเวอร์แลนด์ ที่แจ็กสันได้กู้เงินไปใช้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามฟอร์ตเทรสเลือกที่จะขายหนี้ของแจ็กสันให้กับ Colony Capital LLC. ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้เปลี่ยนชื่อไร่เนเวอร์แลนด์เป็น Sycamore Valley Ranch Company LLC ที่เป็นการร่วมกันระหว่างแจ็กสันและ Colony Capital LLC. การตกลงครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างหนี้ของเขาและมีรายงานว่ามีเงินเพิ่มอีกกว่า 35 ล้านเหรียญจากการร่วมทุนกันครั้งนี้ ในเวลาที่เขาเสียชีวิต แจ็กสันก็ยังคงเป็นเจ้าของเนเวอร์แลนด์/ไซคามอร์วัลเลย์อยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามีขอบเขตเท่าใด เดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 แจ็กสันได้ประกาศจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ HIStory World Tour โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก ทางผู้จัดจึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ โดยทำลายสถิติขายบัตรคอนเสิร์ต มากกว่า 1ล้านใบในเวลาไม่ถึง 2 ช.ม โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 และสิ้นสุดลงวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2010 โดยจะมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่โอทูอารีนา ในช่วงงานแถลงข่าวทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ว่าจะลามือ เขาพูดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับผลงานของเขาหลังจากนี้ว่าเป็น "การปิดม่านครั้งสุดท้าย" แรนดี ฟิลิปส์ ประธานและซีอีโอ ของเออีจีไลฟ์ กล่าวว่า แค่ใน 10 วันแรกอย่างเดียว แจ็กสันก็จะได้เงินโดยประมาณ 50 ล้านปอนด์การเสียชีวิตและงานรำลึก การเสียชีวิตและงานรำลึก. 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แจ็กสันล้มลงที่คฤหาสน์ที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา จึงมีการประกาศว่าแจ็กสันเสียชีวิตเมื่อเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที ของวันที่ 26 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย การเสียชีวิตของแจ็กสันก่อให้เกิดความเศร้าโศกไปทั่วทุกมุมโลก มีการออกแถลงการไว้อาลัยในประเทศต่างๆ เนื้อข่าวได้มีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทางออนไลน์ ก่อให้เกิดการสัญจรล่าช้าทางอินเทอร์เน็ตและความผิดพลาดจากการเข้าใช้งานเกินพิกัด ทั้งเว็บไซด์อย่าง TMZ และ Los Angeles Times ต่างประสบปัญหากับช่วงเวลาที่หายไปเริ่มแรกกูเกิลเชื่อว่าคำขอใช้เครื่องมือค้นหามากกว่าล้านครั้งอยู่ภายใต้การโจมตีเครือข่ายการให้บริการ (DDoS) และปิดกั้นการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับไมเคิล แจ็กสันเป็นเวลา 30 นาที ทวิตเตอร์ได้รายงานความผิดพลาดเช่นเดียวกับวิกิพีเดียที่เวลา 15:15 น.มูลนิธิวิกิมีเดียรายงานว่าภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ประวัติของแจ็กสันมีผู้เข้าชมเกือบล้านคน อาจจะเป็นชั่วโมงเวลาที่มีผู้เข้าชมไปยังบทความใดๆมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิกิพีเดีย เอโอแอลผู้ให้บริการข้อมูลทางเครือข่ายมัลติมีเดียซึ่งทรุดตัวลงเป็นเวลา 40 นาที กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น "ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ทางอินเทอร์เน็ต เราไม่เคยเห็นขอบเขตแห่งความลึกล้ำอะไรแบบนี้มาก่อน"ราว 15% ของการโพสข้อความบนทวิตเตอร์ (5,000 ทวีตต่อนาที) ล้วนรายงานกล่าวถึงแจ็กสันหลังจากที่ข่าวจบเมื่อเทียบกับ 5% ที่กล่าวถึงการเลือกตั้งในอิหร่านหรือไข้หวัดใหญ่ระบาดที่ได้ทำข่าวก่อนหน้านี้ในปีเดียวกันโดยรวมทั้งสิ้นการเข้าชมเว็บไซด์ตั้งแต่ 11% ถึงอย่างน้อย 20% เพิ่มสูงกว่าปกติแจ็กสันถูกออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกเป็นพิเศษ ละครโทรทัศน์อังกฤษอีส soap opera เพิ่มฉากนาทีสุด เมื่อตัวละครตัวหนึ่งบอกคนอื่นๆเกี่ยวกับข่าว เอ็มทีวีและรายการโทรทัศน์ BET ได้ออกอากาศมิวสิกวิดีโออย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลองผลงานของเขาพร้อมด้วยรายการข่าวสดของปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง มีการออกอากาศตลอดทั้งสัปดาห์และยังมีการถ่ายทอดสดงานพิธีไว้อาลัย พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส โดยก่อนหน้านี้มีพิธีส่วนตัวของครอบครัวที่ฮอลออฟลิเบอร์ตีในฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์ก และเนื่องจากความต้องการเข้าร่วมงานที่สูง ทางผู้จัดพิธีจึงกำหนดให้มีการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อขอรับบัตรเข้าร่วมพิธีไว้อาลัย เป็นเวลา 2 วันก่อนเริ่มงานพิธี โดยมีการสุ่มแจกบัตรให้แก่แฟนๆจำนวน 8,750 ชื่อ จากการลงทะเบียน 1.6 ล้านคน สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า พันล้านคน มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดี และสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอน "พวกเรามีเขา" ประพันธ์โดยมายา อันเกลู บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า " ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อของหนู ที่น่าแปลกคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญต่างหาก แต่เขาก็รับมือกับมันได้ " สิ่งที่น่าจดจำได้ดีที่สุดเมื่อ บุตรสาวของแจ็กสัน แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน อายุ 11 ปี ร่ำไห้และบอกกับผู้คนทั้งโลกว่า "ตั้งแต่ที่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้... หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักเขามากเหลือเกิน" ในเวลาต่อมาสำนักข่าวหลายแหล่งข่าวให้ข้อมูลไม่ระบุที่มาว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพลอสแอนเจลิสตัดสินใจระบุว่าการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็นการถูกฆาตกรรม ในเวลาที่เสียชีวิต แจ็กสันถูกให้โปรโพฟอล ยานอนหลับที่ชื่อว่าลอราเซแพมและยามิดาโซแลมพนักงานสอบสวนกำลังจะสรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวของไมเคิล แจ็กสัน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อไป ร่างของแจ็กสันถูกฝังเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2009 ที่สุสานฟอเรสต์ลอว์น เมืองเกรนเดล รัฐแคลิฟอเนียผลตามหลัง ผลตามหลัง. หลังจากการเสียชีวิตของเขา แจ็กสันกลายเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดในปี 2009 ด้วยยอดขายมากกว่า 8.2 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และ 35 ล้านชุดทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนหลังการเสียชีวิต แจ็กสันกลายเป็นศิลปินคนแรกที่มียอดขายดาวน์โหลดเพลงมากกว่าล้านชุดภายใน 1 สัปดาห์ ทำลายสถิติของเขา ด้วย 2.6 ล้านการดาวน์โหลดเพลง สามในห้าอัลบั้มเพลงของเขา สามารถทำยอดขายได้มากกว่าอัลบั้มเพลงใหม่ของศิลปินคนอื่นๆ เขายังเป็นศิลปินคนแรกที่มีถึงสี่อัลบั้ม ติดท๊อปขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น ซิงเกิล "'This Is It" ออกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2009 จากผลงานอัลบั้มในชื่อเดียวกัน This Is It ที่ออกขายทั่วโลกวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2009 และในอเมริกาเหนือในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ก่อนภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson's This Is It ออกฉาย 1 วันที่ภาพยนตร์ทำสถิติเป็นภาพยนตร์สารคดีหรือคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาลด้วยรายได้มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก โดยเพลงใหม่นี้มี 2 เวอร์ชัน ทีอัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตเก่า ๆ ของเขาซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เช่นกัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2010 โซนีมิวสิกได้ออกแถลงข่าวการวางจำหน่ายผลงานชิ้นใหม่ ชื่ออัลบั้ม ไมเคิล เป็นรวมผลงานบันทึกเสียงของไมเคิล แจ็กสันที่ไม่เคยนำออกเผยแพร่ที่ใดมาก่อน มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม โดยจะมีซิงเกิลชื่อ Breaking News ออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ MichaelJackson.com ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010 โซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ได้เข้าทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก ด้วยเงินมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสิทธิที่เกี่ยวพันกับการผลิต และจัดจำหน่ายผลงานทั้งอัลบั้มเพลง วีดีโอเกม ภาพยนตร์รวม 10 โครงการ รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดสำหรับศินปินที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อุสาหกรรมดนตรี มีการจัดหน่ายเกมส์ที่ผสมผสานการร้อง เต้น โดยใช้กล้องจับภาพการเคลื่อนไหว ชื่อว่า ในรูปแบบของเครื่องเล่นวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล และวี วันที่ 3 พฤศจิกายน 2010 บริษัทคณะละครกายกรรม "เซิร์ค ดู เซอ เลย์" ประกาศว่าจะเปิดตัว "" ในวันที่ 11 ตุลาคม 2011 ที่ มอนทรีออล ในขณะที่การแสดงอย่างถาวรจะอยู่ในลาสเวกัส ช่วงเวลา 90 นาที กับต้นทุน 57 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยการแสดงจะรวบรวมบทเพลงและท่าเต้นของแจ็กสันเข้าด้วยกันกับงานศิลป์ของเซิร์ค การเต้นรำและการแสดงทางอากาศที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน 65 คน ทัวร์มีผู้เขียนบทและควบคุมการผลิตโดยเจมี่ คิง โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ "ต้นไม้สร้างแรงบันดาลใจ" จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ สถานที่ความรักในเสียงดนตรีของเขาและการเต้นรำ เทพนิยายและความมหัศจรรย์และความงามของธรรมชาติที่เปราะบางจะได้รับการปลดปล่อย ในวันที่ 3 ตุลาคม 2011 อิมมอร์ทัล อัลบั้มรีมิกซ์ดนตรีต้นฉบับของแจ็กสันได้ถูกประกาศว่ามีบันทึกเสียงต้นฉบับมากกว่า 40 เพลงของแจ็กสัน ผลิตโดยเควิน ตูนส์ ในเดือนเมษายน 2011 มหาเศรษฐีนักธุรกิจโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด-ประธานสโมสรฟุตบอลฟูแล่มและเพื่อนเก่าแก่ของแจ็กสันเปิดตัวรูปปั้นของไมเคิล แจ็กสัน ด้านนอกสนามกีฬาของสโมสรเครเวนคอตทิจแนวเพลงและการแสดงธีมและแนวเพลง แนวเพลงและการแสดง. ธีมและแนวเพลง. สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิกพูดว่า ตลอดการเป็นนักร้องเดี่ยว ความสามารถรอบด้านของเขาทำให้เขาได้ทดลองแนวเพลงที่หลากหลาย ในฐานะนักดนตรีแล้ว เขาสามารถทำได้ตั้งแต่เพลงเต้นรำแบบโมทาวน์และบัลลาด ไปถึงเทคโนและเฮาส์ นิวแจ็กสวิง เพื่อนำมารวมกับดนตรีแบบจังหวะเพลงฟังก์และกีตาร์ฮาร์ดร็อก ตัวเขาเองเคยกล่าวก่อนการออกผลงานชุด Off the Wall ว่า ลิตเทิล ริชาร์ด มีอิทธิพลให้กับเขาอย่างมาก ต่างจากศิลปินอื่น แจ็กสันไม่ได้เขียนเพลงบนกระดาษ เขาจะคอยสั่งการใส่เครื่องบันทึกเสียงแทน เมื่อเริ่มอัดเสียงเขาจะร้องจากความจำในขณะเมื่อแต่งเพลง เขาจะเริ่มทำเสียงบีตบ็อกซ์และใช้เสียงตัวเองเป็นเครื่องดนตรีแทนจังหวะมากกว่าใช้อุปกรณ์ มีนักวิจารณ์หลายคนสังเกตว่า Off the Wall เป็นงานที่มีทั้ง ฟังก์ ดิสโก้-ป็อป โซล ซอฟต์ร็อก แจ๊ซ และป็อปบัลลาด ตัวอย่างเพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด ใน "She's out of My Life" และ 2 เพลงในแนวดิสโก้อย่าง "Workin' Day and Night" และ "Get on the Floor" ฮิวอียังกล่าวว่า Thriller กลั่นกรองเอาจุดแข็งจาก Off the Wall ไม่ว่าจะเพลงแดนซ์และร็อกก็ดูแข็งกร้าวขึ้น ขณะที่เพลงป็อปและเพลงบัลลาดจะดูอ่อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้นเพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด "The Lady in My Life" "Human Nature" และ "The Girl Is Mine" ส่วนเพลงฟังก์เช่น "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" และดิสโก้อย่าง "Baby Be Mine" และ "P.Y.T. (Pretty Young Thing)" สำหรับอัลบั้ม Thriller แล้ว คริสโตเฟอร์ คอนเนลลีจากนิตยสารโรลลิงสโตน วิจารณ์ไว้ว่า แจ็กสันได้พัฒนาจากธีมในจิตใต้สำนึกที่เกี่ยวกับความหวาดระแวงและความมืดมน ซึ่งสตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ เสริมว่า สามารถเห็นอย่างชัดเจนในเพลง "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" ในเพลง "Billie Jean" แจ็กสันพูดเกี่ยวกับแฟนเพลงที่บ้าคลั่งที่กล่าวหาว่าเขาเป็นพ่อของลูกของเธอ ในเพลง "Wanna Be Startin' Somethin'" เขาโต้ข่าวซุบซิบและสื่อ ส่วนเพลง "Beat It" ที่พูดถึงการต่อต้านความรุนแรงของแก๊งค์อันธพาลในแนวเพลงร็อก ก็เป็นการคารวะต่อหนัง West Side Story และถือเป็นเพลงข้ามแนวในลักษณะร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นเพลงแรก จากคำกล่าวของ ฮิวอี เขายังสังเกตว่าเพลง "Thriller" แสดงให้เห็นว่าแจ็กสันเริ่มสนใจเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งต่อมาก็มีเขาก็แต่งเพลงเนื้อหาดังกล่าวอีก ในปี 1985 แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศลที่ชื่อ "We Are the World" ที่กล่าวถึงความอาทรมนุษยธรรม ซึ่งการแต่งเพลงรูปแบบดังกล่าวเขาก็นำมาใส่ในเนื้อเพลงและเป็นเรื่องที่เขาสนใจเป็นการส่วนตัวในเวลาต่อมา ในอัลบั้ม Bad ได้แนวความคิดจากคนรักของคนอื่น สามารถเห็นได้จากเพลงร็อกอย่าง "Dirty Diana" ส่วนซิงเกิลแรก "I Just Can't Stop Loving You" เป็นเพลงรักทั่วไปแบบดั้งเดิม ขณะที่เพลง "Man in the Mirror" เป็นเพลงรักเกี่ยวกับการสารภาพรักและความตั้งใจอย่างแน่วแน่"Smooth Criminal" เป็นเพลงที่พูดถึงการถูกทำร้ายการข่มขืนและเป็นไปได้ว่าอาจพูดถึงฆาตกรรม สตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ จากออลมิวสิก พูดว่า Dangerous นำเสนอแจ็กสันในลักษณะตัวตนที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เขาวิจารณ์ว่า อัลบั้มนี้มีความหลากหลายมากกว่า Bad อัลบั้มก่อนหน้านี้ ที่ดึงดูดกลุ่มคนในเมืองขณะที่ก็สะดุดหูกับชนชั้นกลาง อย่างเพลง "Heal the World" ครึ่งแรกของอัลบั้มเป็นแนวนิวแจ็กสวิง มีเพลงอย่าง "Jam" และ "Remember the Time"และยังถือเป็นอัลบั้มแรกของแจ็กสันที่พูดถึงปัญหาความเจ็บป่วยทางสังคมอย่างเพลง "Why You Wanna Trip on Me" ที่พูดถึงการท้วงต่อโลกแห่งความหิวโหย เอดส์ การไร้ที่อยู่อาศัย และยาเสพติด Dangerous ยังมีเพลงที่พูดถึงในเรื่องทางเพศอย่าง "In the Closet" เพลงรักที่พูดถึงความต้องการและการปฏิเสธ ความเสี่ยงและการข่มอารมณ์ การอยู่โดดเดี่ยวและการติดต่อกัน ความเป็นส่วนตัวและการเปิดเผย ส่วนเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ก็ยังพูดถึงคนรักและความต้องการ ส่วนครึ่งหลังของอัลบั้มเป็นแนวป็อป-กอสเปล อย่าง "Will You Be There", "Heal the World" และ "Keep the Faith" ซึ่งเพลงเหล่านี้เป็นเพลงที่เปิดเผยที่ปัญหาส่วนตัว การต่อสู้และความกังวล ส่วนเพลงบัลลาด "Gone Too Soon" เป็นเพลงที่เขาอุทิศให้กับเพื่อนของเขาไรอัน ไวต์และผู้ป่วยโรคเอดส์ ในอัลบั้มชุด HIStory ได้สร้างบรรยากาศแบบหวาดระแวง เนื้อหามุ่งเน้นไปที่การทนทุกข์ทรมานและการดิ้นรนต่อสาธารณะ ที่ลงเนื้อหาในเพลงแนวนิวแจ็กสวิง-ฟังก์-ร็อก อย่าง "Scream" และ "Tabloid Junkie" รวมถึงเพลงอาร์แอนด์บีหวานซึ้งอย่าง "You Are Not Alone" แจ็กสันตอบโต้ต่อความอยุติธรรมและความรู้สึกแปลกแยกที่เขารู้สึก และมุ่งไปที่ความโกรธต่อสื่อ ในเพลงบัลลาดอย่าง "Stranger in Moscow" แจ็กสันโศกเศร้าต่อความไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป ขณะที่เพลงอย่าง "Earth Song", "Childhood", "Little Susie" และ "Smile" ถือเป็นเพลงโอเปราแบบป็อป ในเพลงที่ชื่อ "D.S." แจ็กสันพูดจู่โจม ทอม สเนดดอน เขาพูดถึงสเนดดอนว่า เป็นพวกที่เห็นสายเลือดผิวขาวสูงส่งกว่าใคร ๆ "เขาต้องการให้ฉันไม่อยู่หรือตาย" เกี่ยวกับเพลงสเนดดอนพูดว่า "ผมเปล่า— เราพูดหรือเปล่า— ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยโดยการฟังเพลง แต่ผมบอกแล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงปืน" Invincible เป็นผลงานที่เขาทำงานอย่างหนักกับโปรดิวเซอร์ รอดนีย์ เจอร์กินส์มีเพลงแนวเออเบินโซลอย่าง "Cry" และ "The Lost Children" เพลงบัลลาดอย่างเช่น "Speechless", "Break of Dawn" และ "Butterflies" และเพลงรวมหลากหลายแนวเพลงอย่างฮิปฮอป ป็อป แร็ป ในเพลง "2000 Watts", "Heartbreaker" และ "Invincible"เสียงและสไตล์การร้อง เสียงและสไตล์การร้อง. แจ็กสันเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ยังเด็ก เสียงของเขาและแนวทางการร้องเพลงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะจากเสียงแตกหนุ่มหรือความพอใจส่วนตัวในการตีความต่อแนวเพลงและธีมที่เขาเลือกที่จะแสดงออก ในระหว่างปี 1971 และ 1975 เสียงของแจ็กสันเป็นเสียงโซปราโนของเด็กผู้ชายไปทางเสียงเทอเนอร์สูงของเสียงชาย-หญิงต้นปี 1973 เขาได้ดัดแปลงเสียงแบบสะอึกเข้าไป โดยได้ยินครั้งแรกจากเพลง "It's Too Late to Change the Time" กับวงแจ็กสันไฟฟ์ ในอัลบั้ม G.I.T.: Get It Together ถึงแม้ว่าแจ็กสันจะไม่ได้ใช้เสียงลักษณะสะอึกอย่างมากมาย แต่ต่อมาผลงานอัลบั้มชุด Off the Wall สามารถพบได้มากในวิดีโอเพลง "Shake Your Body (Down to the Ground)" จุดประสงค์ของการทำเสียงแบบสะอึก เหมือนกับเป็นการกลืนอากาศหรืออ้าปาก เพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ ไม่ว่าจะตื่นเต้น เศร้าหรือกลัว และกับผลงานในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ชุด Off the Wall ความสามารถในการร้องของเขาก็เป็นที่เด่นชัด ออลมิวสิกเขียนไว้ว่า "เสียงร้องอันเป็นพรสวรรค์อย่างเป็นที่สุด" ขณะที่นิตยสารโรลลิงสโตน เปรียบเทียบเสียงเขากับสตีวี วันเดอร์ว่า "ร้องหายใจขัด ร้องตะกุกตะกักแบบเรียบ ๆ" การวิเคราะห์ถึงเสียงร้องว่า "น้ำเสียงของแจ็กสันเป็นเสียงเทเนอร์ที่อ่อนนุ่ม ที่สวยงามมาก ลื่นไปอย่างนุ่มนวลสู่เสียงสูงอย่างน่าตกใจ ใช้ได้อย่างกล้าหาญ" และในปี 1982 เมื่อออกผลงาน Thriller นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นการร้องว่า "เสียงผู้ใหญ่เต็มตัว" ที่ "แหลมสูงด้วยความเศร้า" ในการออกผลงานชุด "Bad" ในปี 1987 เห็นได้ว่าเสียงร้องนำบนท่อนร้องอย่างกล้าหาญ และโทนที่เบาลงที่ใช้บนท่อนคอรัส การตั้งใจในการออกเสียงผิดของคำว่า "คัมมอน" () ก็ใช้บ่อยที่ออกเสียง เป็นเสียง เชมอน (cha'mone) หรือชามอน (shamone) ที่เป็นส่วนสำคัญในการแสดงออกและเหมือนเป็นภาพลักษณ์ของเขา จนในคริสต์ทศวรรษ 1990 จากการออกผลงานชุด Dangerous แจ็กสันใช้เสียงร้องเพิ่มขึ้นเพื่อแยกแนวเพลงและธีมของเพลง นิวยอร์กไทมส์ เขียนไว้เกี่ยวกับบางเพลงว่า "เขากลืนลมเข้าไปกับเสียงร้องที่สั่นและกระตือรือร้น หรือต่ำลงไปเป็นเสียงกระซิบที่สื่อถึงความสิ้นหวัง และยังทำเสียงฟ่อผ่านฟัน นอกจากนี้เขายังมีเสียงโทนเศร้า" และเมื่อร้องเพลงเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกันหรือการยกย่องตัวเอง เขาจะร้องเสียงสไตล์ราบเรียบ ส่วนในเพลง "In the Closet" มีเสียงสูดลมหายใจชัดเจนและออกเสียงชัด ๆ ซ้ำ ๆ 5 ครั้ง แต่ทว่าในเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม เขายังร้องแร็ปแบบพูด อีกด้วย และเมื่อพูดถึงชุด Invincible นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นว่า "กับอายุ 43 ปี แจ็กสันยังคงร้องมีจังหวะอย่างสวยงามและเสียงร้องสั่นที่ยังกลมกลืนกัน" โจเซฟ โวเกิล นักวิจารณ์วัฒนธรรมร่วมสมัยตั้งข้อสังเกตว่าแจ็กสันมีรูปแบบที่โดดเด่นเฉพาะตัว คือ "ความสามารถของเขาในการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก โดยไม่ต้องใช้ภาษา ด้วยรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง การคำราม สูดอากาศ การอ้าปากหายใจ สะอื้น หรือการเปล่งเสียง เขามักจะเล่นคำใช้เสียงบางอย่างที่ทำให้ผู้ฟังเแทบจับสังเกตไม่ได้" นีล แมค ยังสังเกตว่า สไตล์การร้องเพลงที่แหกกฎทั่วไปของแจ็กสันมีความเป็นต้นฉบับและโดดเด่นอย่างที่สุด จากเสียงสูงอันเกือบไม่มีตัวตน จนถึงความนุ่มนวล เสียงกลางที่หวาน ทั้งการควบคุมเสียงบนตัวโน๊ตที่รวดเร็ว การระเบิดจังหวะแต่ยังคงความไพเราะเอาไว้ ทั้งการทำเสียงแบบหอนหรือการร้องเยาะเย้ย (อย่างเช่น ฮี่ ฮี่ เพื่อคำรามและครวญคราง) เขามักไม่ได้ร้องเพลงในรูปแบบการใช้เสียงราบเรียบอย่างทั่วไปหรือเพลงบัลลาดอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเขาได้ร้อง ( อย่างเช่นเพลง Ben หรือ She's out of My Life ) ผลกระทบคือความเรียบง่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เนลสัน จอร์จ สรุปเสียงของแจ็กสันโดยพูดไว้ว่า "งดงาม รุกราน คำราม เสียงร้องเด็กผู้ชายที่ดูเป็นธรรมชาติ เสียงสูงเหมือนผู้หญิง ความอ่อนโยน ทั้งหมดรวมกันเป็นองค์ประกอบสไตล์การร้องของเขา"มิวสิกวิดีโอและการออกแบบท่าเต้น มิวสิกวิดีโอและการออกแบบท่าเต้น. แจ็กสันถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งมิวสิกวีดีโอ" สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก สังเกตว่า แจ็กสันได้เปลี่ยนรูปแบบของมิวสิกวิดีโอให้เป็นในรูปแบบของศิลปะและเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ผ่านเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ท่าเต้น สเปเชียลเอฟเฟกต์และนักแสดงชื่อดัง และยังทลายอุปสรรคทางสีผิวไปในเวลาเดียวกัน ก่อนอัลบั้ม Thriller แจ็กสันติดปัญหาในการแสดงผลงานมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี เนื่องจากเขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งทางค่ายซีบีเอสก็เกลี้ยกล่อมให้เอ็มทีวีเปิดเพลง "Billie Jean" และต่อมา "Beat It" ซึ่งก็ทำให้ช่องเกิดความสัมพันธ์อันยาวนานกับแจ็กสัน และยังช่วยให้เพลงของศิลปินผิวดำคนอื่นเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย คนในเอ็มทีวีเองก็ปฏิเสธเรื่องการแบ่งชนชั้นผิวสีทางช่องหรือเรื่องความกดดันในการเปลียนจุดยืนนี้ เอ็มทีวียังคงเล่นเพลงร็อกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ และจากความนิยมในมิวสิกวิดีโอของแจ็กสันเองทางช่องเอ็มทีวี ยังทำให้ช่องมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเน้นในเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี การแสดงของเขาในงานครบรอบ 25 ปี ของโมทาวน์ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ได้เปลี่ยนขอบเขตอิสระของการแสดงสดบนเวที และก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่ศิลปินรุ่นใหม่สามารถสร้างความน่าตื่นเต้นบนเวทีได้ราวกับมิวสิกวิดีโอ ในมิวสิกวีดีโอที่ดูราวกับเป็นภาพยนตร์สั้น เพลง "Thriller" ยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับแจ็กสัน ขณะที่การเต้นในเพลง "Beat It" ก็ยังถูกนำเอามาเป็นต้นแบบอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางการเต้นในเพลง "Thriller" ยังกลายมีผลต่อวัฒนธรรมป็อปไปทั่วโลก การทำเลียนแบบไม่ว่าจากภาพยนตร์อินเดียหรือการเต้นเลียนแบบของนักโทษในฟิลิปปินส์มิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้น "Thriller" ได้สร้างมาตรฐานความตื่นเต้นเร้าใจให้กับมิวสิกวิดีโอ และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นมิวสิกวีดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมีมาโดยกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ ในมิวสิกวีดีโอเวอร์ชันเต็มความยาว 19 นาที เพลง "Bad" ซึ่งกำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี แจ็กสันได้ใช้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศและการเต้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในงานเขา เขาจะจับหรือแตะที่หน้าอก ลำตัวและเป้า ต่อมาในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ถามเขาถึงที่มาของท่านี้ เขาอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณกำลังเต้น สื่อสารภาษาดนตรี และเสียงต่างๆเคล้าคลอที่จะปั่นอารมณ์ให้ไปตามเสียงนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็นดนตรีที่ขับดันให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า เอาล่ะ เมื่ออยู่บนเวทีแล้วผมต้องเอามือแตะเป้าล่ะนะ บางครั้งเมื่อกลับไปดูบันทึกการแสดงย้อนหลัง ผมยังเคยคิดว่า นี่ผมทำแบบนั้นด้วยเหรอ ผมตกเป็นทาสของจังหวะเข้าแล้ว" "Bad" ได้รับกระแสตอบรับที่หลากหลายทั้งจากแฟนและนักวิจารณ์ โดยนิตยสารไทม์ บอกไว้ว่า "น่าขายหน้า" ในมิวสิกวิดีโอยังร่วมด้วยเวสลีย์ สไนปส์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง สำหรับมิวสิกวิดีโอ "Smooth Criminal" แจ็กสันได้ทดลองนวัตกรรม "การเอนต้านแรงโน้มถ่วง 45องศา" เพื่อให้บรรลุผลในการแสดงสดนี้ แจ็กสันและนักออกแบบได้พัฒนารองเท้าพิเศษที่ล็อกเท้าของนักแสดงไปยังเวทีที่ช่วยให้พวกเขาโน้มไปข้างหน้า พวกเขาได้รับสิทธิบัตรสหรัฐฯ 5,255,452 สำหรับอุปกรณ์ และถึงแม้ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง "Leave Me Alone" จะไม่ได้ออกอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา แต่ในปี 1989 ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกวิดีโออวอร์ดส และในปีเดียวกันก็ได้รับ 3 รางวัลสิงโตทองคำ สำหรับสเปเชียลเอฟเฟกต์ในการผลิตผลงาน ต่อมาในปี 1990 "Leave Me Alone" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น เอ็มทีวีได้มอบรางวัล "ศิลปินผู้นำด้านมิวสิกวิดีโอแห่งทศวรรษ" ในปี 1988 และเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จแก่เขาในรูปแบบงานศิลปะตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 ปีต่อมา 1991 ชื่อรางวัลดังกล่าวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเขาเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา "Black or White" ยังเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 ออกอากาศปฐมทัศน์พร้อมกันใน 27 ประเทศ มีผู้ชมประมาณ 500 ล้านคน ถือเป็นยอดจำนวนคนดูที่มากที่สุดสำหรับมิวสิกวิดีโอ ในมิวสิกวิดีโอมีฉากที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์และภาพความรุนแรง แต่ฉากดังกล่าวก็ถูกตัดออกไปเหลือเป็นเวอร์ชันยาว 14 นาที เพื่อป้องกันการถูกแบนและแจ็กสันก็ออกมาขอโทษในส่วนนี้ นอกจากแจ็กสันแล้ว ในมิวสิกวิดีโอนี้ยังมีดาราอย่าง แม็กคอเลย์ คัลกิน เพกกี ลิปตัน และจอร์จ เวนดต์ และจบลงด้วยการเปลี่ยนภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในมิวสิกวิดีโอนี้ "Remember the Time" เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีงานภาคผลิตทำอย่างละเอียด และถือเป็นมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดเพลงหนึ่งกับความยาว 9 นาที มีฉากอยู่ในยุคอียิปต์โบราณ ยังเป็นผู้บุกเบิกทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ รวมถึงผู้มีชื่อเสียงอย่าง เอดดี เมอร์ฟี อิมาน และแมจิก จอห์นสัน ซึ่งก็มีท่าเต้นซับซ้อนเป็นจุดเด่นเช่นเคย ในเพลง "In the Closet" ถือเป็นวิดีโอที่แสดงยั่วยุทางเพศที่สุดของแจ็กสัน มีซูเปอร์โมเดลอย่างเนโอมี แคมป์เบลล์ เต้นรำกับแจ็กสัน แต่มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกแบนในแอฟริกาใต้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แสดง มิวสิกวิดีโอเพลง "Scream" กำกับโดยมาร์ก โรมาเนก และผู้ออกแบบงานสร้างคือทอม โฟเดน ถือเป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดเพลงหนึ่ง โดยในปี 1995 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอวอร์ดส 11 สาขา มากกว่ามิวสิกวิดีโอใดที่เคยทำได้ และได้รับรางวัลในสาขา "มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม" "ท่าเต้นยอดเยี่ยม" และ "องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม" เพลงและมิวสิกวิดีโอเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของแจ็กสันที่ได้รับจากสื่อหลังจากข้อกล่าวหาการละเมิดทางเพศต่อเด็กในปี 1993 ในปีถัดมา ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ต่อจากนั้นกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ยังให้ตำแหน่งว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดที่เคยทำมา โดยตกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ "Earth Song" ก็ยังเป็นเพลงที่แพงเช่นกันและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ในปี 1997 เป็นมิวสิกวิดีโอที่พูดถึงสภาพแวดล้อม แสดงภาพการทารุณสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า สภาวะมลพิษและสงคราม มีการใช้ภาพสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทำให้ย้อนชีวิตกลับไป สงครามสิ้นสุดลงและป่ากลับฟื้นดังเดิม ในมิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นเพลง Ghosts ออกเมื่อปี 1997 โดยออกปฐมทัศน์ครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1996 โดยภาพยนตร์สั้นนี้เขียนบทโดยแจ็กสันและสตีเฟน คิง กำกับโดยสแตน วินสตัน มีความยาวกว่า 38 นาที และถือครองสถิติในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดในโลก ในมิวสิกวอิดีโอเพลง "You Rock My World" ที่มีความยาวกว่า 13 นาที ถูกกำกับโดยพอล ฮันเตอร์และได้รับการปล่อยในปี 2001 มิวสิกวิดีโอมีลักษณะเด่นที่การปรากฏตัวจากคริสทักเกอร์และมาร์ลอน แบรนโด วิดีโอได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพีอิมเมจอวอร์ดสำหรับความโดดเด่นของมิวสิกวิดีโอมรดกและอิทธิพล มรดกและอิทธิพล. แจ็กสันเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีและวัฒนธรรมทั่วโลก เขาสามารถทลายกำแพงแห่งชนชาติไปได้ ผ่านศิลปะทางมิวสิกวิดีโอ ปูทางให้กับนักร้องผิวสีและเพลงป็อปสมัยใหม่ ผลงานของแจ็กสันมีความโดดเด่นด้านดนตรี การเต้นรำและสไตล์การร้องซึ่งมีอิทธิพลให้กับศิลปินมากมายหลากหลายแนวเพลง อย่างเช่น มารายห์ แครี เซลีน ดิออน มาดอนน่า บียอนเซ่ เจเน็ต แจ็กสัน อัชเชอร์ บริตนีย์ สเปียรส์ นี-โย จัสติน ทิมเบอร์เลค คริส บราวน์ บรูโน มาร์ส เดอะวีกเอนด์ คานเย เวสต์ และอาร์. เคลลี สำหรับบทบาทอาชีพของเขา เขาถือเป็นศิลปิน"หาตัวจับยาก"ในโลกใบนี้ ผู้ทรงอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าศิลปินรุ่นใหม่ๆ ผ่านทางงานเพลงของเขาและงานการกุศล รายการโทรทัศน์ BET บรรยายถึงแจ็กสันว่า "เป็นที่แน่ชัดในฐานะผู้ให้ความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนักร้องเด็กที่เปิดตัวในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์จนถึงการจากไปอย่างกะทันหัน แจ็กสันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของเขา และ "ผู้ปฏิวัติวงการมิวสิกวีดีโอและนำท่าเต้นราวกับเดินบนดวงจันทร์สู่โลก" เสียงของแจ็กสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคลื่อนไหว และมรดกทางดนตรีของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทุกประเภท จุดเด่นของเขาคือ "เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ท่าเต้นที่เคลื่อนไหวสะดุดตา ผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อและมีพลังแห่งความเป็นดาราอย่างที่สุด" ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 นิตยสารไทม์ กล่าวถึงเขาว่า "ไมเคิล แจ็กสันคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดอะบีทเทิลส์ เขาเป็นปรากฏการณ์เดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่เอลวิส เพรสลีย์ เขาอาจจะเป็นนักร้องผิวสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ในปี 1990 แวนิตีแฟร์ พูดถึงแจ็กสันว่า เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดง นักเขียนเดลีเทเลกราฟ ที่ชื่อทอม อัตลีย์ เรียกเขาว่า "บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมสมัยนิยม" และ "อัจฉริยะ" ในปลายปี 2007 แจ็กสันพูดถึงผลงานต่อมาของเขาและอิทธิพลในอนาคตว่า "ดนตรีคือการปลดปล่อย เป็นของขวัญของผมที่จะมอบให้กับคนรักทั่วโลก ผ่านดนตรีของผม ผมรู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป" แดเนเยล สมิธ หัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอเมริกัน Vibe และนักข่าวสื่อสิ่งพิมพ์ เรียกแจ็กสันว่าเป็น "ดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"หัวหน้ากองบรรณาธิการกินเนสส์บุ๊ค เคร็ก เกล็นเดย์ กล่าวถึงเขาว่าเป็น "บุคคลที่โด่งดังที่สุดบนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นไม่ใช่แค่ชื่อเสียง มันคือดนตรีของเขา" บัลติมอร์ซัน เขียนบทความ "7 วิธีที่ ไมเคิล แจ็กสันเปลี่ยนโลก" จิลล์ โรเซ็น ตั้งข้อสังเกตว่า "เราจะจดจำเขาได้ หากเขาเป็นเพียงแค่นักแต่งเพลง เป็นแค่นักเต้นรำหรือแค่ผู้สนับสนุนแฟชั่น แต่ไมเคิล แจ็กสัน มีความโดดเด่นเหนือศิลปะเหล่านั้น และอื่นๆอีกมากมาย" มรดกของเขามีความยั่งยืนและแพร่กระจายอย่างหลากหลาย ทั้งอิทธิพลต่อเสียงร้อง การเต้นรำ แฟชั่น การทำวิดีโอ แรงบันดาลใจ การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และทลายความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ตลอดระยะเวลานานหลายทศวรรษ แจ็กสันเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอยู่เสมอ เขามียอดขายนับล้านและข่าวลื่อเกี่ยวกับเขานับล้านเช่นเดียวกัน ขณะที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นกล่าวว่า "ถ้าจะมีใครบนโลก เป็นที่ยอมรับมากไปกว่าเขา บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่โลกไม่อาจละสายตาได้" ตลอดอาชีพของเขา เขามีรายได้จากผลงานเดี่ยวและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงงานคอนเสิร์ตไปจนถึงผลงานโฆษณาตกอยู่ราว 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนใน Sony/ATV Music Publishing ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณรายได้แท้จริงของเขา นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่าผลงานแคตตาล็อกเพลงที่เขาถืออาจมีค่าอย่างน้อยราวพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลกกับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรรมร่วมสมัยตลอด 4 ทศวรรษ วันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ 2014 สภาวัฒนธรรมสัมพันธ์อังกฤษได้ยกย่องอิทธิพลทางดนตรีและชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็น 1 ใน "80 เหตุการณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20"รางวัลและเกียรติยศ รางวัลและเกียรติยศ. ไมเคิล แจ็กสัน ได้รับการบรรจุชื่ออยู่บนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมเมื่อปี 1980 ในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ และศิลปินเดี่ยวในปี 1984 ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่มีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้ง ตลอดอาชีพของเขา ได้สร้างความสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วน โดยการทำงานที่ผ่านมาเขาได้รับรางวัลต่างๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลจากเวิลด์มิวสิกอวอร์ดสในฐานะศิลปินป็อปชายที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ รางวัลศิลปินแห่งศตวรรษจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส และรางวัลศิลปินป็อปแห่งสหัสวรรษจากแบมบี เขามีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้งในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ครั้งหนึ่งในฐานะสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1997 และต่อมาในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 2001 เขายังมีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศอีกหลายแห่ง รวมไปถึงโวคอลกรุ๊ปฮอลออฟเฟมในปี 1999 และซองไรเตอร์สฮอลออฟเฟมในปี 2002 ในปี 2010 แจ็กสันเป็นคนแรก(และคนเดียวในปัจจุบัน)จากนักร้องป็อปและร็อกแอนด์โรลทั่วโลกที่ได้รับจารึกชื่ออยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของหอเกียรติยศแดนซ์ฮอลออฟเฟม ในปี 2014 เขายังมีชื่ออยู่ในอาร์แอนด์บีฮอลออฟเฟม เขาได้รับเชิญรางวัลพิเศษจากประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาวถึง 2 ครั้ง ในปี 1992 เขายังได้รับรางวัลและการยกย่องจากประธานาธิบดีให้เป็น "Point of Light Ambassador" หรือแสงสว่างในชีวิต จากการเชื้อเชิญให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเขาเป็นศิลปินคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ รางวัลอื่นที่เขาได้รับอย่างเช่น สถิติในกินเนสเวิลด์เรคคอร์ดอยู่หลายครั้ง (8 ครั้งในปี 2006 อย่างเดียว) การสนับสนุนองค์การการกุศล 39 แห่งมากกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ สถิติเจ้าของอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล รวมทั้งได้รับการบันทึกว่าเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษสาขาตำนานและความสำเร็จในชีวิต รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส 26 ครั้ง มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งศตวรรษ" และ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" 13 เพลงอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ในชาร์ตฮอต 100 และยังมียอดขายมากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก ผลงานอัลบั้ม 5 ชุด ประกอบด้วย Off the Wall (1979),Thriller (1982), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory(1995) ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยอัลบั้มขายดีที่มากยิ่งกว่าศิลปินคนใดๆ ทำให้เขาเป็นศิลปินป็อปชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในโลกความนิยมที่แพร่หลาย ความนิยมที่แพร่หลาย. ในปีค.ศ 1984 หนังสือพิมพ์ของสาธารณรัฐเกาหลี ได้ตีพิมพ์บทความ"ฤดูกาลแห่งความนิยม" โดยใช้ผลสำรวจของเยาวชนพบว่าที่โรงเรียนประถมศึกษาไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักไมเคิล แจ็กสันและเด็กๆยังมีความกระตือลือล้นในเพลงของเขา รายงานดังกล่าวยังได้ทำผลสำรวจเพิ่มเติมและพบว่าเด็กนักเรียนต่างรู้จักแจ็กสันแม้จะเป็นชื่อของนักร้องต่างประเทศนอกจากนี้จากการสำรวจในหัวข้อ"บุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"โดยใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กในระดับประถมศึกษากว่า 2,000 คน พบว่าแจ็กสันได้รับการโหวตให้มากที่สุด ตามด้วยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ,ลินคอล์น,และทอมัส เอดิสันในประเทศญี่ปุ่นแจ็กสันได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกับโลกตะวันตก และเรียกเขาว่าเป็น "ปรากฏการณ์ระดับไต้ฝุ่น" ขณะที่รองประธานอาวุโสของบริษัทโซนี่ มิวสิคญี่ปุ่นยังกล่าวถึงเขาว่า "ไม่มีนักแสดงคนใดมีพลังเหมือนไมเคิล แจ็กสัน เขาเป็นที่รักสำหรับความสามารถของเขา ดนตรีของเขา การเต้นของเขา เช่นเดียวกับจิตใจที่อ่อนโยน"ประเทศแอฟริกาเขาได้รับการยกย่องในฐานะผู้ที่ทลายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขายังทำให้วัฒนธรรมของคนผิวสีและนักร้องรุ่นหลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอีกด้วยเกาหลีก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแจ็กสันอย่างสูง แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ด้วยความนิยมของศิลปินตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจ็กสันได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ฮาร์ด คอร์ด นักร้องชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียพูดว่า"ถ้าคุณไปที่หมู่บ้านใดๆหรือทั่วทุกมุมในประเทศอินเดียคุณจะพบว่าทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของไมเคิล แจ็กสัน ไม่มีนักดนตรีคนไหนจะแทนที่เขาได้"ในประเทศปากีสถาน แจ็กสันยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับโคคาโคล่า ขณะที่ประเทศจีนซึ่งปิดตัวเองจากโลกตะวันตกมาจนถึงทศวรรษ 80 แจ็กสันก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอมเหลืองและรัฐก็ยังควบคุมการเปิดเพลงทางวิทยุ แจ็กสันยังเป็นศิลปินคนแรกที่นำพาวัฒนธรรมเพลงป็อปตะวันตกมาสู่ประเทศ ชาร์ลี เคนดัลล์ ผู้อำนวยของสถานีวิทยุร็อคนิวยอร์ก อธิบายถึงเขาว่า "ไมเคิล แจ็กสันเป็นวัฒนธรรมของมวลชน เขาดึงดูดความสนใจของทุกคน" และกล่าวว่า "ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขามีเสียงที่น่าเกรงขามและลีลาที่สมบูรณ์แบบ เขาสามารถเต้นราวกับไม่ใช่มนุษย์ เขาดึงดูดความสนใจของคนทุกเพศทุกวัยและผู้ฟังเพลงทุกประเภท อย่างยากที่จะจำแนกหมวดหมู่" ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้นำประเทศในหลายทวีป นอกจากวงการดนตรีแล้ว แจ็กสันยังมีอิทธิพอย่างมากต่อวงการแฟชั่น ฟิลลิป โบลช สไตลิสชื่อดัง กล่าวว่า "ไมเคิล แจ็กสัน ไม่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่น แต่แฟชั่นต่างหากที่ได้รับอิทธิพลจากเขา"เขายังมีบทบาทด้านมนุษยธรรมและการช่วยเหลือเด็กและสังคม ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เขายังได้ยกผลกำไรทั้งหมดเข้าสู่มูลินิธิการกุศล และยังได้มอบเงินให้แก่มูลนิธิในทุกประเทศที่เขาเดินทาง ในขณะที่การเสียชีวิตของเขากลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ทั่วโลก สื่อประเทศฮ่องกงได้นำเสนอข่าวว่า "ไม่มีส่วนใดของเอเชีย...และที่เหลือของโลก จะไม่จดจำไมเคิล แจ็กสัน" เว็บไซด์ชื่อดังของจีนขนามนามเขาว่า "นักร้องที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล" ขณะที่หลายๆคนทั่วโลกต่างรู้สึกว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเหมือนการสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก นับได้ว่าเขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ของโลกผู้สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง หลังครบรอบวันเกิดของเขาในปีเดียวกัน ชาวเม็กซิโกยังได้ไปชุมนุมกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ กว่า 13,957 คน เพื่อเต้นรำตามจังหวะและท่าทางตามเพลง " ทริลเลอร์ " เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา นับเป็นการเต้นรำหมู่เพลงทริลเลอร์ที่ทำลายสถิติกินเนสบุ้คมีจำนวนคนเข้าร่วมมากที่สุด หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นานในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เอ็มทีวีปรับเปลี่ยนช่องโดยเล่นมิวสิกวิดีโอของเขาเพื่อเป็นการอุทิศและเฉลิมฉลองในงานของเขา สถานียังออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเขาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และยังมีการสัมภาษณ์สดในปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง ตลอดทั้งสัปดาห์ยังมีรายการและยังมีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัย ในพิธีไว้อาลัย ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงโมทาวน์ เบอร์รี กอร์ดี ยังสรรเสริญแจ็กสันว่าเป็น "คนบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2009 สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน รำลึกถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแจ็กสันว่าเป็น "เหตุการณ์ที่สำคัญ" และกล่าวว่า "การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายน เขาอายุเพียง 50 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกต่างโศกเศร้าและเกิดการสรรเสริญตัวเขาไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน"ผลงานอัลบั้มผลงานอัลบั้ม. - Got to Be There (1972) - Ben (1972) - Music & Me (1973) - Forever, Michael (1975) - Off the Wall (1979) - Thriller (1982) - Bad (1987) - Dangerous (1991) - (1995) - Invincible (2001)ผลงานแสดง
| นักร้องชายชาวอเมริกันที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป ได้แก่ใคร | {
"answer": [
"ไมเคิล แจ็กสัน"
],
"answer_begin_position": [
87
],
"answer_end_position": [
101
]
} |
2,017 | 55,592 | ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน () เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักออกแบบท่าเต้น นักแสดง โปรดิวเซอร์เพลงและนักการกุศล ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาเพลงป็อป" (The King of Pop)อิทธิพลทางดนตรี การเต้นรำ แฟชั่นและผลงานด้านมนุษยธรรม กับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยมากว่า 4 ทศวรรษ เขาเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1964 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขากลายเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อป และถือเป็นศิลปินชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่มีผลงานออกอากาศผ่านทางช่องเอ็มทีวี มิวสิกวิดีโอของเขา ประกอบด้วยเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thriller" ได้รับการยกย่องสำหรับการทำลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของงานศิลปะ ความนิยมของมิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องเอ็มทีวีที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียง อัลบั้ม Bad ของเขาในปี 1987 นับเป็นอัลบั้มเพลงแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงอันดับ 1 ถึง 5 เพลงบนบิลบอร์ดฮ็อต 100 จากอัลบั้มเดียว มิวสิกวิดีโอในรูปแบบใหม่อย่างเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังออกอากาศบ่อยทางช่องเอ็มทีวี เขายังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือในฐานะศิลปินเดี่ยวกับลีลาบนเวทีและการแสดง แจ็กสันสร้างความโด่งดังให้กับเทคนิคการเต้นที่ซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลายๆท่า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่หลายอย่างมาก อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้นมูนวอล์ก เอกลักษณ์ทางด้านดนตรีและเสียงร้องอันโดดเด่นของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินหลายแนวเพลง อิทธิพลของเขาได้แพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่นทั่วโลก Thriller ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือของเขา ก็ยังติดอันดับอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลก ประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ (1995) แจ็กสันเดินทางไปทั่วโลกเพื่อร่วมกิจกรรมด้านมนุษยธรรม เขาหาเงินนับร้อยล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิลและผลกำไรจากทัวร์คอนเสิร์ตที่เขาสนับสนุนให้กับองค์กร 39 แห่ง บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ระบุว่าเขาเป็นบุคคลบันเทิงที่มีส่วนร่วมในการกุศลมากยิ่งกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ ชีวิตส่วนตัวของเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ แจ็กสันมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด (ซึ่งในภายหลังคู่กรณีหลายรายได้ออกมายอมรับว่า แจ็กสัน ไม่ได้กระทำ และที่กล่าวหา เพราะเป็นเด็ก และถูกผู้ปกครองบังคับ โดยหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย) เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟมถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับบันทึกสถิติหลายครั้ง กินเนสส์บุ้คเวิลด์เรคคอร์ดจารึกชื่อเขาเป็น "ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาเป็นนักร้องคนเดียวจากโลกดนตรีป็อปและร็อกแอนด์โรลที่มีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศแดนซ์ฮอลออฟเฟม และยังเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีเพลงฮิตติดท็อป 10 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100 ทุก 10 ปี ติดต่อกันนานกว่าครึ่งศตวรรษ แจ็กสันชนะรางวัลจากเวทีต่างๆ นับร้อยกว่ารางวัล ทำให้เขาเป็นศิลปินที่คว้ารางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อปความสำเร็จอื่นๆ ของเขาได้แก่ สถิติในกินเนสบุ้คเวิลด์เรคคอร์ดหลายครั้ง 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษ Grammy Legend Award , Grammy Lifetime Achievement Award 26 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมไปถึงรางวัลพิเศษ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" และ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" 13 ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ และมียอดขายรวมกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก ไมเคิล แจ็กสัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี ในขณะที่เตรียมความพร้อมสำหรับคอนเสิร์ตคัมแบ็ก ดิส อีส อิท การเสียชีวิตของเขาสร้างความเศร้าโศกไปทั่วทุกมุมโลก การรายงานข่าวสารทางสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ต่างพุ่งขึ้นสูงที่สุดในรอบทศวรรษ งานพิธีไว้อาลัยได้รับการออกอากาศถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ต่อมาในปี 2010 บริษัทโซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตกลงนามทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก เพื่อจัดจำหน่ายผลงานของเขา รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 ด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงสุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรีนิตยสารธุรกิจและการเงิน ฟอบส์ จัดให้เขาเป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 1 หลังเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยรายได้ 825 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2016 เพียงปีเดียว สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้โดยสิ่งพิมพ์ประวัติ1958-64: ชีวิตช่วงแรก ประวัติ. 1958-64: ชีวิตช่วงแรก. ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกันชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพยานพระยะโฮวา เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ เขากล่าวว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง — ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง — โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทางบีบีซีว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก โจยังพูดว่าเขาใช้วาจาทำร้ายลูกชายและล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน Living with Michael Jackson (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือเข็มขัดขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้1964-75: จุดเริ่มต้นของอาชีพ และเดอะแจ็กสันไฟฟ์ 1964-75: จุดเริ่มต้นของอาชีพ และเดอะแจ็กสันไฟฟ์. แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรีวันคริสต์มาสเมื่ออายุได้ 5 ขวบ ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนชวนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"— วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน — โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและแทมบูรีน ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดอะแจ็กสันไฟฟ์ วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "ชิตลินเซอร์คิต" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปินโมทาวน์ เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของเจมส์ บราวน์ นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน นิตยสารโรลลิงสโตน ได้อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่าเป็นเด็ก "อัจฉริยะ" พร้อมด้วย "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" (ปี 1967) ซิงเกิลแรกของพวกเขาภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1969 โดยในปีเดียวกัน พวกเขาย้ายออกจากแกรี่ไปยังลอสแอนเจลิส สถานที่พวกเขาบันทึกเพลงสำหรับโมทาวน์ต่อไป วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("I Want You Back", "ABC", "The Love You Save" และ "I'll Be There") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100ในช่วงเวลานี้ ไมเคิลได้พัฒนาบทบาทจากนักแสดงเด็กไปยังทีนไอดอล ขณะที่เขาเริ่มปรากฏตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยที่ยังคงผูกพันกับเดอะแจ็กสันไฟว์ เขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด Got to Be There และ Ben ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "Ben" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของนิตยสารบิลบอร์ด และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ และเพลงเก่าของบ็อบบี เดย์ นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin" เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้รับการอธิบายว่าเป็น "แบบฉบับที่ทันสมัยของศิลปินผิวสี" แม้ว่ายอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์ พวกเขามีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลงดิสโก้ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" ก่อนที่จะออกจากโมทาวน์ในปี 19751975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และOff the Wall 1975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และOff the Wall. เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ ซีบีเอสเรคเคิดส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์ โดยมีแรนดี้ น้องชายคนสุดท้องเข้าร่วมวงอย่างเป็นทางการ ในขณะที่เจอร์เมนเลือกที่จะอยู่โมทาวน์และเริ่มต้นอาชีพเดี่ยว หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 ระหว่างช่วงเวลานี้ ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It" ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง The Wiz เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดยควินซี โจนส์ ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด Off the Wall ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด Off the Wall อัลบั้มนี้เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงจากวัยรุ่นไปยังเสียงร้องของเขาที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ที่เขาจะสร้างเมื่อเป็นผู้ใหญ่ มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ ร็อด เทมเพอร์ตัน จากวงฮีตเวฟ สตีวี วันเดอร์ และพอล แม็กคาร์ตนีย์ ออกวางขายในปี 1979 Off the Wall ถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่างเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "Rock with You" Off the Wall ติดชาร์ตบิลบอร์ด 200 สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 8 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough" ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough") เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า Off the Wall ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%1982-83: Thriller และ โมทาวน์ 25 1982-83: Thriller และ โมทาวน์ 25. ปี 1982 แจ็กสันมุ่งมั่นเข้าสู่ความสนใจของเขาในการแต่งเพลงและภาพยนตร์ โดยมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้มชุดที่หกของเขา Thriller อัลบั้มทำให้เขาได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ และ 8 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส จากอัลบั้มเดียว Thriller เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดทั่วโลกในปี 1983 รวมทั้งในอเมริกา และกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ และเป็นอัลบั้มแรกที่มี 7 ซิงเกิล ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ประกอบด้วย "The Girl Is Mine" "Billie Jean", "Beat It" "Wanna Be Startin' Somethin'" "Human Nature" "P.Y.T. (Pretty Young Thing" และ "Thriller"ในปี 2015 อัลบั้มได้รับการรับรองมียอดขายมากกว่า 32 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกาโดยRIAA ทำให้อัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย นอกเหนือจากอัลบั้มเพลงแล้ว แจ็กสันได้ปล่อยผลงาน"Thriller" มิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นที่มีความยาว 14 นาที กำกับโดยจอห์น แลนดิส ในปี 1983 มิวสิกวิดีโอนี้ได้รับคำนิยามว่า "ทลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ" ได้รับการออกอากาศทางเอ็มทีวีซึ่งเป็นช่องรายการที่พึ่งเปิดใหม่ในเวลานั้น ในปี 2009 มิวสิกวิดีโอได้รับการจดทะเบียนเข้าสู่หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดยหอสมุดรัฐสภา ซึ่งนับเป็นผลงานมิวสิควีดีโอชิ้นแรกและชิ้นดียวเท่านั้นที่ได้รับเกียรติยศในฐานะ "วัฒนธรรมภาพยนตร์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์" นักกฎหมายของแจ็กสัน จอห์น บรังกา ตั้งข้อสังเกตว่าแจ็กสันมีส่วนแบ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม เขายังทำรายได้เป็นประวัติการณ์จากภาพยนตร์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด ในเวลาไม่กี่เดือน นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง อย่างเช่น ตุ๊กตาจำลอง ไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด จนผู้เขียนชีวประวัติของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี Thriller หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวกนิตยสาร ของเล่น ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน" ในปี 1985 ภาพยนตร์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ก็ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยมแบบยาว นิตยสารไทม์ ได้กล่าวถึงอิทธิพลของแจ็กสันตรงจุดนั้นว่า "ดวงดาวแห่งการบันทึกเสียง คลื่นวิทยุ และวิดีโอ ชายผู้ฟื้นฟูธุรกิจอุสาหกรรมดนตรี นักแต่งเพลงผู้กำหนดจังหวะแห่งทศวรรษ นักเต้นรำด้วยฝีเท้าแห่งจินตนาการ นักร้องผู้ก้าวข้ามพรมแดนแห่งรสนิยมและสีผิว"เดอะนิวยอร์กไทมส์ เขียนว่า "ในโลกแห่งเพลงป็อป เมื่อมีไมเคิล แจ็กสัน จึงมีคนอื่นๆ" นอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว Thriller ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของอัลบั้ม ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของพังก์และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง" ข้อสามคือ นำเอ็มทีวีก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ Thriller ข้อสี่ Thriller ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น พรินซ์ จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก 25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดในรายการโทรทัศน์เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศ ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารโรลลิงสโตน มิเกล กิลมอ รายงานในภายหลังว่า "มีช่วงเวลาเมื่อคุณรู้ว่ากำลังได้ยิน หรือเห็น บางสิ่งที่น่าอัศจรรย์...ที่มาในคืนนั้น" การแสดงนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของเอลวิส เพรสลีย์และเดอะบีทเทิลส์ ในรายการ ดิเอดซัลลิแวนโชว์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ 1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ. ในเดือนพฤศจิกายน 1983 แจ็กสันและพี่น้องของเขา ร่วมมือกับ เป๊ปซี่ ด้วยค่าตัว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวในวงการอุตสาหกรรมโฆษณา แคมเปญแรกของเป๊ปซี่ เริ่มต้นด้วยการออกอากาศในสหรัฐอเมริกาจากปี 1983 - 1984 และเปิดตัวด้วยธีม "คนรุ่นใหม่" รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยว กิจกรรมการแสดง โดยใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการประชาสัมพันธ์ แจ็กสันมีส่วนร่วมในการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นให้กับเป๊ปซี่อย่างมาก เขาแนะนำให้ใช้เพลง "Billie Jean" เป็นดนตรีประกอบในรูปแบบใหม่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 ขณะถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ในลอสแอนเจลิส หนังศีรษะเป็นแผลไหม้ระดับสองหลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก แจ็กสันเข้ารับการรักษาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นและทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจนเป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ให้แก่ผู้ป่วย ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่ทำเนียบขาว สำหรับผลงานด้านมนุษยธรรมของเขา โดยมีประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและยาเสพติดและมอบคำกล่าวขวัญแก่การสนับสนุนของเขาที่มีต่อสภาและทางหลวงแห่งชาติในการรณรงค์เมาแล้วไม่ขับ แจ็กสันบริจาคเพลง "Beat it" เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ สำหรับบริการสาธารณะ แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน Thriller ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์สำหรับการออกทัวร์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยว ให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย ผลงานการกุศลและรางวัลด้านมนุษยธรรมของเขายังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัวเพลง "We Are the World" ซึ่งเขาเขียนเพลงร่วมกับไลโอเนล ริชชี เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คน ในการบันทึกเสียง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1985 และได้รับการปล่อยออกทั่วโลกในเดือนมีนาคม เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกาและในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลนี้ทำรายได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบรรเทาความอดยาก และกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 20 ล้านชุด "We Are the World" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1985 สาขาบทเพลงแห่งปี และถึงแม้ว่าในงานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส คณะกรรมการจะถอนเพลงประเภทการกุศลออกจากการแข่งขันเนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในปี 1986 ก็ได้ข้อสรุปในการสรรเสริญบทเพลงนี้สำหรับวันครบรอบ 1 ปี ซึ่งผู้คิดโปรเจกต์ยังได้เกียรติพิเศษจาก AMA สำหรับผู้สร้างสรรค์บทเพลง และอีกหนึ่งไอเดียสำหรับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาไปยังแอฟริกา โดยแจ็กสัน ควินซีโจนส์ และผู้จัดงาน เคน คราเกน ได้รับรางวัลพิเศษสำหรับบทบาทของพวกเขาในการสร้างสรรค์เพลง แจ็กสันมีความสนใจในธุรกิจซื้อขายลิขสิทธิ์เพลงที่กำลังขยายตัว ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในช่วงต้นปี 1980 ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน เขาได้เรียนรู้ต่อมาว่าแม็กคาร์ตนีย์ สามารถทำรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ็กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อขายลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน แต่เขาก็ระมัดระวังในการซื้อขายเหล่านั้น เขาเริ่มต้นธุรกิจการซื้อขายเพลงอยู่หลายเพลง หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงนอร์เทิร์นซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่ส่วนใหญ่ที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย ในปี 1984 โรเบิร์ต โฮล์มส์ศาล เศรษฐีนักลงทุนชาวออสเตรเลียผู้เป็นเจ้าของ ATV Music Publishing ได้ประกาศว่าเขากำลังนำแคตตาล็อกเพลงขึ้นเพื่อขายในปี 1981 แม็กคาร์ตนีย์ได้รับการเสนอราคาแคตตาล็อกที่ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์ สอดคล้องกับช่วงเวลาที่แม็กคาร์ตนีย์เองได้ติดต่อโยโกะ โอโนะเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ร่วมกัน โดยสนนราคาแยกกันคนละ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์ แต่โอโนะคิดว่าพวกเขาสามารถซื้อมันด้วยราคา 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เมื่อทั้งสองไม่สามารถตกลงกันได้ และแม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งไม่ต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เดอะบีทเทิ่ลเพียงลำพัง ก็ไม่ได้ติดตามข้อเสนอของเขาอีกเลย ตามการเจรจาต่อรองซื้อขายของ โฮล์มส์ศาล ในปี 1984 โดยแม็กคาร์ตนีย์ได้บอกปัดก่อนและปฏิเสธที่จะซื้อขาย แจ็กสันรับรู้การซื้อขายจากนักฏกหมายของเขา จอห์น บรังกา เขาสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา" (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เนื่องจากแม็กคาร์ตนีย์รู้สึกว่ามันมีราคาที่สูงเกินไป แต่บริษัทและนักลงทุนหลายคนต่างก็มีความสนใจในการเสนอราคา แจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ การซื้อขาย ATV Music Publishing ของแจ็กสันจึงสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 19851986-88: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม Bad 1986-88: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม Bad. สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวและโรคลูปัส การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่างแจ็กสันกล่าวว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและไม่ได้มีการทำศัลยกรรมในส่วนอื่นๆ เขามีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จากอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและกลายเป็นปัญหาสุขภาพของเขาในเวลาต่อมา ในปี 1986 ข่าวในแท็บลอยด์ เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber) เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก (ซึ่งความจริงแล้วเป็นภาพในขณะรักษาแผลไฟไหม้ที่ศีรษะ) ถึงแม้เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อลิงชิมแพนซี ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็รายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูกโจเซฟ เมอร์ริค หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญและถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แจ็กสันก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวในเวลานั้นแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ก็ตาม ต่อมาเขาเริ่มที่จะหยุดการรั่วไหลเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับที่สื่ออย่างแท็บลอยด์เริ่มรู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวกระทบความรู้สึกและโลดโผนมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุดังนี้สื่อดังกล่าวจึงเริ่มแต่งเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับเขา จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง Captain EO กำกับโดยแฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994ในปี 1987 เขาผันตัวเองออกจากลัทธิพยานพระยะโฮวา เพื่อตอบสนองความไม่พอใจของพวกเขาจากการแสดงมิวสิกวิดีโอเพลงทริลเลอร์ และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัลบั้ม Bad ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมากอัลบั้มมี 7 ซิงเกิล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 5 ซิงเกิล ประกอบด้วย ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่มีเพลงอันดับ 1 จากอัลบั้มเดียวมากที่สุด จากข้อมูลปี 2012 อัลบั้มมียอดขายระหว่าง 30-45 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 9 ล้านชุด อัลบั้มได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ สำหรับสาขาจัดการเสียงยอดเยี่ยม และสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม สำหรับเพลง "Leave Me Alone" ในปี 1989 ในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับรางวัลพิเศษ Award of Achievement ที่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส หลังจาก Bad กลายเป็นอัลบั้มแรกที่มีถึง 5 ซิงเกิล ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มแรกที่ติดท๊อปใน 25 ประเทศ และอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกปี 1987 และ 1988ในปี 1988 "Bad" ได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขาเพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม ทัวร์คอนเสิร์ตแบดเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1987 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1989 ในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว บัตรขายหมดทุกรอบ ทั้ง 14 รอบ กับจำนวนคนถึง 570,000 คน ถือเป็นเกือบ 3 เท่าของสถิติเดิม 200,000 คนในทัวร์เดียวที่มีศิลปินออกทัวร์คอนเสิร์ตในญี่ปุ่น แจ็กสันยังสร้างสถิติในกินเนสบุ๊ก เมื่อคน 504,000 คนเข้าดูโชว์ที่ขายหมดในสนามกีฬาเวมบลีย์ 7 รอบ เขาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งหมด 123 คอนเสิร์ตกับผู้ชมร่วม 4.4 ล้านคน ถือเป็นซีรีส์ทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมี ซึ่งต่อมาได้ทำลายสถิติโดยฮิสทรีเวิลด์ทัวร์ของเขาเอง และยังทำลายสถิติเดิมในกินเนสบุ๊กเมื่อทัวร์ทำรายได้ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างทัวร์เขายังได้เชิญเด็กด้อยโอกาสมาเข้าชมฟรีและยังบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า และองค์กรการกุศลอื่น ๆ1988-90: อัตชีวประวัติ , ผลงานภาพยนตร์ และเนเวอร์แลนด์ 1988-90: อัตชีวประวัติ , ผลงานภาพยนตร์ และเนเวอร์แลนด์. ในปี 1988 แจ็กสันออกอัตชีวประวัติที่ชื่อ "มูนวอล์ก" ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก ว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์บนใบหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที "มูนวอล์ก" ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์ ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ "มูนวอคเกอร์" ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี "มูนวอคเกอร์" ติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาก็ถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด Michael Jackson: The Legend Continues ของเขาเอง ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว เขายังถือเป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ของสหภาพโซเวียต จากความสำเร็จของเขา ทำให้เขาได้รับฉายา "คิง ออฟ ป๊อป" หรือ "ราชาเพลงป็อป" จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขา เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เธอยังเชิญรางวัลพิเศษให้กับเขาที่งานโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง" ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศล1991-93: อัลบั้ม Dangerous , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27 1991-93: อัลบั้ม Dangerous , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27. เดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของนีล ไดอะมอนด์กับโคลัมเบียเรเคิดส์ แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด เดนเจอรัส ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวนิวแจ็กสวิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Black or White" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ในปี 1992 อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงที่มียอดขายทั่วโลกสูงสุดของปี และเพลง "Black or White" ก็ยังเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของปีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แจ็กสันยังได้รับรางวัลสำหรับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วยในปี 1993 แจ็กสันได้ขึ้นแสดงในงานรางวัล โซลเทรน อวอร์ด โดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "Heal the World" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992 แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์เริ่มต้นวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ทัวร์ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แจ็กสันแสดงกว่า 70 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน เขาหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิกาลกุศล โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์ เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่องเอชบีโอ จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุดและยังครองสถิติจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ไรอัน ไวต์เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของบิล คลินตัน ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และการวิจัย ในการเยือนแอฟริกา แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือกาบองและอียิปต์ เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือลือล้น โดยที่มีคนมากกว่า 100,000 คน เข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า " ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไมเคิล " และในการเยือนไอวอรีโคสต์ แจ็กสันได้รับการสวมมงกุฎเป็น "King Sani" หรือ "ราชาแห่งซานิ" โดยหัวหน้าเผ่า เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และทำพิธีลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของเขาและนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ ในระหว่างเป็นประธานพิธีเต้นรำ ช่วงกลางปี 1992 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลพิเศษ "Point of Light Ambassador" จากประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จากการเชื้อเชิญเปิดให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เขายังได้กล่าวขณะรับมอบรางวัลว่า " ผู้คนแต่ล่ะคนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของใครบางคนที่จำเป็นได้ " แจ็กสันเป็นศิลปินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ หนึ่งในการแสดงอันกล่าวขวัญคือการแสดงช่วงพักครึ่งเวลาในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 27 ของเดือน มกราคม ค.ศ 1993 อันเนื่องมาจากยอดผู้ชมที่น้อยลงในช่วงครึ่งเวลาของปีก่อนๆที่ผ่านมา ทางเอ็นเอฟแอลจึงตัดสินใจแสวงหาผู้ที่มีความสามารถที่จะเรียกจำนวนคนดูมากขึ้น ด้วยการปรากฏตัวของไมเคิล แจ็กสันสำหรับการดึงดูดความสนใจอย่างกว้างขวางของเขา โดยเริ่มการแสดงด้วยการที่แจ็กสันดีดตัวขึ้นบนเวทีพร้อมพลุไฟด้านหลัง ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เขายังคงนิ่งสนิท แข็งนิ่ง ยืนเป็นอนุสาวรีย์ แต่งตัวในชุดทหารสีดำและทองคำกับแว่นตากันแดด เขายังคงนิ่งสนิทอยู่หลายนาทีขณะที่เสียงเชียร์ยังคงดังลั่น จากนั้นเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอดแว่นตากันแดดออกและโยนทิ้งไปจากนั้นก็เริ่มร้องและเต้น กับ 4 เพลงคือ "Jam", "Billie Jean", "Black or White" และ "Heal the World" การแสดงครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของซูเปอร์โบวล์ และนับเป็นซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกที่ทำลายสถิติ มีคนในช่วงครึ่งเวลามากขึ้น โดยมีจำนวนผู้ชมมากกว่าการแข่งขันเอง ส่วนอัลบั้ม เดนเจอรัส ของเขากระโดดขึ้นมา 90 อันดับบนชาร์ต แจ็กสันให้สัมภาษณ์ในรายการยาว 90 นาทีของโอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 ถือเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ครั้งที่ 2 ของเขาตั้งแต่ปี 1979 เขาทำหน้าบูดบึ้งขณะพูดถึงชีวิตที่ถูกทารุณด้วยน้ำมือพ่อของเขาในวัยเด็ก เขาเชื่อว่าเขาพลาดความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก และยอมรับว่าเขามักจะร้องไห้เมื่อโดดเดี่ยว เขาปฏิเสธข่าวลือจากแท็ปลอยด์ที่ว่าเขาซื้อกระดูกมนุษย์ช้างหรือนอนในตู้ออกซิเจน เขาปฏิเสธข่าวที่เขาฟอกสีผิว และยังพูดครั้งแรกว่าเขาเป็นโรคด่างขาว การสัมภาษณ์ครั้งนี้มีผู้ชมอเมริกันสูงถึง 90 ล้านคน นับเป็นรายการแบบสัมภาษณ์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการให้ความรู้เรื่องโรคด่างขาวที่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไหร่ อัลบั้ม เดนเจอรัส กลับมาเข้าชาร์ทท็อป 10 อีกครั้ง หลังจากที่ออกขายมากกว่า 1 ปี แจ็กสันได้รับรางวัล "ตำนานที่ยังคงอยู่" ในงานแจกรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 35 ในลอสแอนเจลิส เพลง "Black or White" ถูกเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่ในสาขาร้องยอดเยี่ยม ส่วนเพลง "Jam" ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลในสาขาแสดงเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมและเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้ม/ป็อป ยอดเยี่ยม เพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม จากเพลง "Remember the Time" เขายังเป็นศิลปินคนแรกที่ได้รับรางวัลศิลปินนานาชาติแห่งความเป็นเลิศสำหรับการแสดงระดับโลกและความอาทรด้านมนุษยธรรมของเขาต่อมาในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในปัจจุบัน ที่พิพิธภัณฑ์กินเนสส์เวิลด์เร็กคอร์ดได้เชิญรางวัล Lifetime Achievement Award ให้เป็นพิเศษจากความสำเร็จของเขาอันเป็นประวัติการณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อนในโลกบันเทิง1993-94: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก และการแต่งงานครั้งแรก 1993-94: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก และการแต่งงานครั้งแรก. ในช่วงฤดูร้อนปี 1993 แจ็กสันถูกฟ้องร้องจากเรื่องละเมิดทางเพศจากเด็กชายอายุ 13 ปีที่ชื่อ จอร์แดน แชนด์เลอร์และพ่อของเขา อีแวน แชนด์เลอร์ อาชีพทันตแพทย์ ครอบครัวแชนด์เลอร์ได้เรียกร้องการจ่ายเงินจากแจ็กสัน ช่วงแรกเขาปฏิเสธการเรียกร้องนี้ ในที่สุดแล้วจอร์แดน แชนด์เลอร์ก็ได้บอกกับตำรวจว่าเขาถูกทารุณกรรมทางเพศ อีแวน แชนด์เลอร์ถูกบันทึกเสียงสนทนาที่แสดงถึงเจตนาที่พุ่งประเด็นไปยังการเรียกร้องค่าใช้จ่าย และพูดออกมาว่า "ถ้าฉันจะทำ ฉันชนะครั้งใหญ่ ไม่มีทางที่จะแพ้ ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการและพวกเขาจะถูกทำลายไปตลอดกาล...อาชีพการงานของแจ็กสันก็เป็นอันจบ" อย่างไรก็ตามเทปบันทึกเสียงนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่มีการกระทำผิดในส่วนของแจ็กสัน โดยแม่ของจอร์แดนก็อยู่ในการสนทนาด้วย และต่อมาแจ็กสันก็ได้ใช้เสียงบันทึกนี้โต้แย้งว่าเขาเป็นเหยื่อของพ่อที่มีเป้าหมายเพียงเพื่อที่จะรีดไถเงินจากเขา หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา ลา โทยา กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์ เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างคอนเสิร์ตเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมีเอลิซาเบธ เทย์เลอร์และเอลตัน จอห์นมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาทำความเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวกันอีกต่อไปออกไป 1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน ภายหลังต่อได้มีการเปิดเอกสารที่รวบรวมข้อมูลการสอบสวนทั้งหมดในช่วงเวลาเกือบ 20 ปี โดยเอฟบีไอ ทนายความของแจ็กสันชี้ให้เห็นว่า ทุกข้อกล่าวหาที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานอะไรที่ระบุถึงการรุนรานหรือเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมของแจ็กสันที่มีต่อผู้เยาว์ สอดคล้องตามรายงานของกรมเด็กและบริการครอบครัวที่สอบสวนแจ็กสัน เริ่มตั้งแต่ปี 1993 ตามข้อกล่าวหาของแชนด์เลอร์ และอีกครั้งในปี 2003 รายงานนี้แสดงข้อมูลให้เห็นว่ากรมตำรวจลอสแอนเจลิส และกรมเด็กและบริการครอบครัว ไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือของการล่วงละเมิดหรือประพฤติผิดทางเพศแม้แต่น้อย เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง ลิซา มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์ ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993 ตามที่เพื่อนคนหนึ่งของเพรสลีย์ว่า "ความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ของพวกเขาเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 1992 ใน L.A" ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น" จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?"เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่สาธารณรัฐโดมินิกันเป็นการส่วนตัว ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศกับเด็ก แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ เมื่อปี 2010 เพรสลีย์ยอมรับว่าพวกเขาใช้เวลาสี่ปีหลังจากการหย่าร้างที่จะ "กลับมาอยู่ด้วยกันและเลิกกัน" จนกระทั่งเธอตัดสินใจที่จะหยุด1995-99: อัลบั้ม HIStory การแต่งงานครั้งที่สอง , ความเป็นพ่อ และ Blood on the Dance Floor 1995-99: อัลบั้ม HIStory การแต่งงานครั้งที่สอง , ความเป็นพ่อ และ Blood on the Dance Floor. ในปี 1995 แจ็กสันรวมเพลงแคตาล็อกของเขาจากนอร์เทิร์นซองส์เข้ากับโซนี โดย Sony/ATV Music Publishing แจ็กสันครอบครองครึ่งหนึ่งของบริษัท มีรายได้ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีลิขสิทธิ์เพลงอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาออกอัลบั้มคู่ที่ชื่อ แผ่นแรกชื่อ HIStory Begins มีเพลง 15 เพลงที่เป็นงานเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าของเขาซึ่งต่อมาถูกทำมารวมใหม่ในชื่อ Greatest Hits – HIStory Vol. I ในปี 2001 ส่วนแผ่นที่ 2 เป็นเพลงใหม่ 15 เพลง อัลบั้มเปิดตัวขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกและมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นอัลบั้มเพลงหลายแผ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล กับยอดขาย 20 ล้านชุด (40 ล้านหน่วย) ทั่วโลก HIStory ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม ซิงเกิลแรกถูกปล่อยจากอัลบั้มคือ "Scream/Childhood" ชื่อเพลง "Scream" ที่ร้องร่วมกับน้องสาวคนสุดท้องของครอบครัวเจเน็ต แจ็กสันประท้วงต่อสื่อ โดยเฉพาะสำหรับการปฏิบัติต่อเขาช่วงปี 1993 ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาผิดเพี้ยนต่อสาธารณะ ซิงเกิลเปิดตัวบนชาร์ตที่อันดับ 5 บนบิลบอร์ดฮอต 100 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "การร่วมงานร้องในเพลงป็อปยอดเยี่ยม" "You Are Not Alone" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม และยังครองสถิติบนกินเนสเวิลด์เรคเคิร์ด สำหรับเพลงแรกที่เปิดตัวติดอันดับ 1 ทันที บนบิลบอร์ดฮอต 100 เพลงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านศิลปะและยอดขาย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "เพลงร้องป็อปยอดเยี่ยม" อีกด้วย ปลายปี 1995 แจ็กสันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลระหว่างการซ้อมในการแสดงรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเกิดอาการภาวะเครียด "Earth Song" เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม HIStory ขึ้นอันดับ 1 บนยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต ยาวนาน 6 สัปดาห์ในช่วงคริสต์มาสปี 1995 มียอดขายมากกว่าล้านชุด ถือเป็นซิงเกิลของแจ็กสันที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสหราชอาณาจักร ในปี 1996 แจ็กสันได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม แบบสั้นจากเพลง "Scream" และรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขา Favorite Pop/Rock Male Artist HIStory ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการประกาศเปิดตัวฮิสทรีเวิลด์ทัวร์ ทัวร์เริ่มเมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 และจบลงเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1997 แจ็กสันแสดงกว่า 82 คอนเสิร์ต โดยออกทัวร์ไป 5 ทวีป ใน35 ประเทศและ 58 เมือง ทำรายได้รวม 165 ล้านเหรียญ โดยมีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านคน ถือเป็นทัวร์ที่มียอดจำนวนผู้ชมมากที่สุดของแจ็กสัน และปัจจุบันยังเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยอดจำนวนผู้ชม ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ในออสเตรเลีย เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 แจ็กสันแต่งงานกับ เดโบราห์ จีน โรว์ พยาบาลผิวหนังเพื่อนเก่าของเขา ผู้ดูแลรักษาอาการป่วยเมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่แจ็กสัน เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน แต่เดิมพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้ให้สิทธิ์ดูแลเด็กกับแจ็กสัน ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม ที่รวมซิงเกิลรีมิกซ์เพลงดังจากอัลบั้ม HIStory และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขายกว่า 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มเพลงรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24 นิตยสารฟอร์บ ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997 ตลอดเดือนมิถุนายน 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับลูชาโน ปาวารอตตี ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา อิตาลี สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ วอร์ไชลด์ มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยในโคโซโว เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กในกัวเตมาลา ต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "ไมเคิล แจ็กสันแอนด์เฟรนส์" คอนเสิร์ตหารายได้ในเยอรมนีและเกาหลี มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วงสกอร์เปี้ยนส์ บอยซ์ทูเมน ลูเธอร์ แวนดรอส มารายห์ แครี เอ.อาร์. ราห์มาน Prabhu Deva Sundaram อานเดรอา โบเชลลี Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" กาชาดและยูเนสโก2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม Invincible และลูกคนที่ 3 2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม Invincible และลูกคนที่ 3. ปี 2000 แจ็กสันมีชื่ออยู่ในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ สำหรับการสนับสนุนองค์การการกุศล 39 หน่วยงาน มากกว่าดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ในเวลานั้นแจ็กสันรอใบอนุญาตจากผลงานอัลบั้มที่จะลับมาเป็นของเขา ที่จะทำให้เขาสามารถประชาสัมพันธ์เพลงเก่าของเขาได้สะดวก และปกป้องจากโซนีที่ตัดรายได้ของเขาไป แจ็กสันคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัญญามีรายละเอียดมากมาย การกลับคืนไปสู่เขาก็ยังคงใช้เวลานานอีกหลายปี แจ็กสันเริ่มการตรวจสอบและปรากฏว่านักกฎหมายของเขาก็เป็นตัวแทนของโซนีเช่นกัน ทำให้เกิดความขัดผลประโยชน์กัน แจ็กสันยังกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซนีพยายามซื้อหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ โดยแจ็กสันเกรงว่าโซนี่อาจจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากหากอาชีพการงานหรือสถานการณ์การเงินของเขาทรุดลง เขาก็อาจจะต้องขายหุ้นส่วนในราคาต่ำ ถึงกระนั้นโซนีก็อาจทำอะไรบางอย่างกับอาชีพของเขา แจ็กสันพยายามหาทางออกตั้งแต่แรกจากสัญญาของเขา เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีสำหรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของแจ็กสัน ที่งานเฉลิมฉลองคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีของเมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2001 เขากับพี่น้อง เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้ปรากฏตัวบนเวทีร่วมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ในงานยังมีการแสดงของศิลปินอย่าง มายย่า อัชเชอร์ วิตนีย์ ฮูสตัน เอ็นซิงก์ และสแลช รวมถึงศิลปินอื่นอีกหลายคน การแสดงนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนเพียงหนึ่งคืนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน แจ็กสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหาเงินใน "ยูไนเต็ด วีแสตนด์: วอตมอร์แคนไอกีฟ" คอนเสิร์ตเพื่อการกุศล ที่สนามกีฬาอาร์เอฟเคในวอชิงตันดีซี คอนเสิร์ตเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2001 ประกอบด้วยการแสดงจากหลากหลายศิลปิน รวมถึงตัวเขาที่แสดงในเพลง "What More Can I Give" เป็นเพลงสุดท้าย ผลงานอัลบั้ม Invincible ประสบความสำเร็จ เปิดตัวอันดับ 1 ใน 13 ประเทศและมียอดขายราว 13 ล้านชุดทั่วโลก ยังได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวคู่ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามยอดขายอัลบั้ม Invincible ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลงานในชุดก่อนเนื่องจากการทำเพลงที่ป็อปน้อยลง การขาดการประชาสัมพันธ์ การไม่ได้รับการสนับสนุนในทัวร์และความขัดแย้งกับค่ายเพลงต้นสังกัด อัลบั้มมี 3 ซิงเกิลคือ "You Rock My World", "Cry" และ "Butterflies" ซิงเกิลหลังไม่มีมิวสิกวิดีโอ แต่ก่อนที่จะออกผลงานอัลบั้ม Invincible แจ็กสันประกาศต่อหน้าประธานโซนีเอนเตอร์เทนเมนต์ ทอมมี มอตโตลา ว่าเขาจะออกจากโซนี ผลคือ ซิงเกิลทั้งหมด การถ่ายทำวิดีโอและการประชาสัมพันธ์ทุกอย่างจากอัลบั้ม Invincible ถูกยกเลิกทันที แจ็กสันจะกล่าวโทษมอตโตลาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 ว่าเป็น "ปีศาจ" และ "เหยียดสีผิว" โดยเขาไม่สนับสนุนต่อศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ประโยชน์พวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เขายังกล่าวโทษมอตโตลา ว่าเขาเรียก ผู้ร่วมงานของเขา เอิร์ฟ กอตตี ว่า "ไอ้มืดอ้วน" (fat nigger) โซนีออกมาโต้เถียงสาเหตุของความล้มเหลวของอัลบั้ม Invincible คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ การปฏิเสธการทัวร์ประชาสัมพันธ์ของแจ็กสันในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในการประชาสัมพันธ์ต้องใช้เงินถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2002 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลครั้งที่ 22 จากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในฐานะ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" ในปีเดียวกัน ลูกคนที่ 3 ของเขาชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002 แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเอง ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องของโรงแรมแอดรอนในเบอร์ลิน โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง" ในเดือนพฤศจิกายน 2003 โซนีออกผลงาน "Number Ones" อัลบั้มที่รวมเพลงฮิตของเขา ทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองโดยอาร์ไอเอเอ ในสหราชอาณาจักรได้รับการรับรองแพลทินัมหกครั้ง โดยมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด 2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด. ในซีรีส์การสัมภาษณ์กับมาร์ติน แบชเชียร์ ออกอากาศปี 2003 ในรายการชื่อ Living with Michael Jackson มีภาพแจ็กสันจับมือและกำลังพูดถึงการนอนกับเกวิน อาร์ซิโว อายุ 13 ปี ซึ่งต่อมาออกมาฟ้องร้องละเมิดทางเพศกับเขา หลังจากนี้รายการออกอากาศไม่นาน แจ็กสันถูกข้อกล่าวหากับคู่กรณี 7 รายเรื่องการลวนลามทางเพศ และ 2 กรณีจากให้สิ่งมึนเมากับอาร์ซิโว แจ็กสันปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยพูดว่าเป็นการนอนโดยไม่มีการถูกเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมชาติ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์เข้ามาปกป้องเขา โดยพูดว่า เธออยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียง "ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร" และเธอบอกกับแลร์รี คิง ว่า "ไม่มีการสัมผัสกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พวกเราหัวเราะกันเหมือนเด็กและดูทีวีวอลต์ดิสนีย์อีกหลายเรื่อง ไม่มีเรื่องผิดปกติเลย" ในระหว่างการสืบสวนแจ็กสันถูกตรวจสอบสุขภาพจิตจาก ดร.สแตน แคตซ์ หมอที่คลุกคลีหลายชั่วโมงกับผู้กล่าวหาด้วย แคตซ์พูดว่า แจ็กสันเหมือนกลับไปเป็นเด็ก 10 ขวบ และไม่มีหลักฐานอะไรระบุว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ระหว่าง 2 ปีที่เกิดคดีความ มีรายงานว่าแจ็กสันติดยาเพทิดีน และน้ำหนักลดฮวบ การพิจาณาคดีความเริ่มเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2005 ในแซนตามาเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จบลงปลายเดือนพฤษภาคม โดยแจ็กสันพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่เกาะในอ่าวเปอร์เซีย บาห์เรน โดยเป็นแขกของชีค อับดุลลา2006-09: ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต This Is Michael Jackson 2006-09: ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต This Is Michael Jackson. ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25) แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดสนับเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลังจากการเสียชีวิตของเจมส์ บราวน์ แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006 หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จากเวียคอมในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของเอ็มมิเน็ม ชาคีร่า และเบ็ก รวมถึงอื่น ๆ การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller โดยการออกอัลบั้มพิเศษ Thriller 25 ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด Thriller 25 ยังมีดีวีดี มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย Thriller 25 ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก แต่ก็ไม่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด 200 เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของชาร์ตแต่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตป็อปแคตตาล็อก นาน 11 สัปดาห์และมียอดขายดีที่สุดในชาร์ตนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1996 ใน 12 อาทิตย์ Thriller 25 ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก Thriller 25 ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในแคตตาล็อกอัลบั้มปี 2008 หลังจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน อัลบั้มมียอดขายอีก 774,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา เพื่อฉลองอายุครบ 50 ปีของไมเคิล แจ็กสัน โซนีบีเอ็มจี ออกอัลบั้มรวมเพลงในชุดที่ชื่อ King of Pop เป็นชุดอัลบั้มที่มีเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นกลุ่มจนถึงเป็นศิลปินเดี่ยว เพลงเลือกจากการลงคะแนนเสียงโดยแฟนเพลง โดยแต่ละประเทศจะมีรายชื่อเพลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของแฟนเพลงประเทศนั้น King of Pop ติดท็อป 10 โดยมากในประเทศส่วนใหญ่ที่ออกขาย และขายได้ทั้งในรูปแบบอัลบั้มนำเข้าในหลายประเทศ ฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ยึดทรัพย์จากการค้ำประกันของไร่เนเวอร์แลนด์ ที่แจ็กสันได้กู้เงินไปใช้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามฟอร์ตเทรสเลือกที่จะขายหนี้ของแจ็กสันให้กับ Colony Capital LLC. ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้เปลี่ยนชื่อไร่เนเวอร์แลนด์เป็น Sycamore Valley Ranch Company LLC ที่เป็นการร่วมกันระหว่างแจ็กสันและ Colony Capital LLC. การตกลงครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างหนี้ของเขาและมีรายงานว่ามีเงินเพิ่มอีกกว่า 35 ล้านเหรียญจากการร่วมทุนกันครั้งนี้ ในเวลาที่เขาเสียชีวิต แจ็กสันก็ยังคงเป็นเจ้าของเนเวอร์แลนด์/ไซคามอร์วัลเลย์อยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามีขอบเขตเท่าใด เดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 แจ็กสันได้ประกาศจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ HIStory World Tour โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก ทางผู้จัดจึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ โดยทำลายสถิติขายบัตรคอนเสิร์ต มากกว่า 1ล้านใบในเวลาไม่ถึง 2 ช.ม โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 และสิ้นสุดลงวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2010 โดยจะมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่โอทูอารีนา ในช่วงงานแถลงข่าวทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ว่าจะลามือ เขาพูดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับผลงานของเขาหลังจากนี้ว่าเป็น "การปิดม่านครั้งสุดท้าย" แรนดี ฟิลิปส์ ประธานและซีอีโอ ของเออีจีไลฟ์ กล่าวว่า แค่ใน 10 วันแรกอย่างเดียว แจ็กสันก็จะได้เงินโดยประมาณ 50 ล้านปอนด์การเสียชีวิตและงานรำลึก การเสียชีวิตและงานรำลึก. 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แจ็กสันล้มลงที่คฤหาสน์ที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา จึงมีการประกาศว่าแจ็กสันเสียชีวิตเมื่อเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที ของวันที่ 26 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย การเสียชีวิตของแจ็กสันก่อให้เกิดความเศร้าโศกไปทั่วทุกมุมโลก มีการออกแถลงการไว้อาลัยในประเทศต่างๆ เนื้อข่าวได้มีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทางออนไลน์ ก่อให้เกิดการสัญจรล่าช้าทางอินเทอร์เน็ตและความผิดพลาดจากการเข้าใช้งานเกินพิกัด ทั้งเว็บไซด์อย่าง TMZ และ Los Angeles Times ต่างประสบปัญหากับช่วงเวลาที่หายไปเริ่มแรกกูเกิลเชื่อว่าคำขอใช้เครื่องมือค้นหามากกว่าล้านครั้งอยู่ภายใต้การโจมตีเครือข่ายการให้บริการ (DDoS) และปิดกั้นการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับไมเคิล แจ็กสันเป็นเวลา 30 นาที ทวิตเตอร์ได้รายงานความผิดพลาดเช่นเดียวกับวิกิพีเดียที่เวลา 15:15 น.มูลนิธิวิกิมีเดียรายงานว่าภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ประวัติของแจ็กสันมีผู้เข้าชมเกือบล้านคน อาจจะเป็นชั่วโมงเวลาที่มีผู้เข้าชมไปยังบทความใดๆมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิกิพีเดีย เอโอแอลผู้ให้บริการข้อมูลทางเครือข่ายมัลติมีเดียซึ่งทรุดตัวลงเป็นเวลา 40 นาที กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น "ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ทางอินเทอร์เน็ต เราไม่เคยเห็นขอบเขตแห่งความลึกล้ำอะไรแบบนี้มาก่อน"ราว 15% ของการโพสข้อความบนทวิตเตอร์ (5,000 ทวีตต่อนาที) ล้วนรายงานกล่าวถึงแจ็กสันหลังจากที่ข่าวจบเมื่อเทียบกับ 5% ที่กล่าวถึงการเลือกตั้งในอิหร่านหรือไข้หวัดใหญ่ระบาดที่ได้ทำข่าวก่อนหน้านี้ในปีเดียวกันโดยรวมทั้งสิ้นการเข้าชมเว็บไซด์ตั้งแต่ 11% ถึงอย่างน้อย 20% เพิ่มสูงกว่าปกติแจ็กสันถูกออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกเป็นพิเศษ ละครโทรทัศน์อังกฤษอีส soap opera เพิ่มฉากนาทีสุด เมื่อตัวละครตัวหนึ่งบอกคนอื่นๆเกี่ยวกับข่าว เอ็มทีวีและรายการโทรทัศน์ BET ได้ออกอากาศมิวสิกวิดีโออย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลองผลงานของเขาพร้อมด้วยรายการข่าวสดของปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง มีการออกอากาศตลอดทั้งสัปดาห์และยังมีการถ่ายทอดสดงานพิธีไว้อาลัย พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส โดยก่อนหน้านี้มีพิธีส่วนตัวของครอบครัวที่ฮอลออฟลิเบอร์ตีในฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์ก และเนื่องจากความต้องการเข้าร่วมงานที่สูง ทางผู้จัดพิธีจึงกำหนดให้มีการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อขอรับบัตรเข้าร่วมพิธีไว้อาลัย เป็นเวลา 2 วันก่อนเริ่มงานพิธี โดยมีการสุ่มแจกบัตรให้แก่แฟนๆจำนวน 8,750 ชื่อ จากการลงทะเบียน 1.6 ล้านคน สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า พันล้านคน มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดี และสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอน "พวกเรามีเขา" ประพันธ์โดยมายา อันเกลู บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า " ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อของหนู ที่น่าแปลกคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญต่างหาก แต่เขาก็รับมือกับมันได้ " สิ่งที่น่าจดจำได้ดีที่สุดเมื่อ บุตรสาวของแจ็กสัน แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน อายุ 11 ปี ร่ำไห้และบอกกับผู้คนทั้งโลกว่า "ตั้งแต่ที่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้... หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักเขามากเหลือเกิน" ในเวลาต่อมาสำนักข่าวหลายแหล่งข่าวให้ข้อมูลไม่ระบุที่มาว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพลอสแอนเจลิสตัดสินใจระบุว่าการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็นการถูกฆาตกรรม ในเวลาที่เสียชีวิต แจ็กสันถูกให้โปรโพฟอล ยานอนหลับที่ชื่อว่าลอราเซแพมและยามิดาโซแลมพนักงานสอบสวนกำลังจะสรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวของไมเคิล แจ็กสัน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อไป ร่างของแจ็กสันถูกฝังเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2009 ที่สุสานฟอเรสต์ลอว์น เมืองเกรนเดล รัฐแคลิฟอเนียผลตามหลัง ผลตามหลัง. หลังจากการเสียชีวิตของเขา แจ็กสันกลายเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดในปี 2009 ด้วยยอดขายมากกว่า 8.2 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และ 35 ล้านชุดทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนหลังการเสียชีวิต แจ็กสันกลายเป็นศิลปินคนแรกที่มียอดขายดาวน์โหลดเพลงมากกว่าล้านชุดภายใน 1 สัปดาห์ ทำลายสถิติของเขา ด้วย 2.6 ล้านการดาวน์โหลดเพลง สามในห้าอัลบั้มเพลงของเขา สามารถทำยอดขายได้มากกว่าอัลบั้มเพลงใหม่ของศิลปินคนอื่นๆ เขายังเป็นศิลปินคนแรกที่มีถึงสี่อัลบั้ม ติดท๊อปขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น ซิงเกิล "'This Is It" ออกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2009 จากผลงานอัลบั้มในชื่อเดียวกัน This Is It ที่ออกขายทั่วโลกวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2009 และในอเมริกาเหนือในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ก่อนภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson's This Is It ออกฉาย 1 วันที่ภาพยนตร์ทำสถิติเป็นภาพยนตร์สารคดีหรือคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาลด้วยรายได้มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก โดยเพลงใหม่นี้มี 2 เวอร์ชัน ทีอัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตเก่า ๆ ของเขาซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เช่นกัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2010 โซนีมิวสิกได้ออกแถลงข่าวการวางจำหน่ายผลงานชิ้นใหม่ ชื่ออัลบั้ม ไมเคิล เป็นรวมผลงานบันทึกเสียงของไมเคิล แจ็กสันที่ไม่เคยนำออกเผยแพร่ที่ใดมาก่อน มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม โดยจะมีซิงเกิลชื่อ Breaking News ออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ MichaelJackson.com ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010 โซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ได้เข้าทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก ด้วยเงินมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสิทธิที่เกี่ยวพันกับการผลิต และจัดจำหน่ายผลงานทั้งอัลบั้มเพลง วีดีโอเกม ภาพยนตร์รวม 10 โครงการ รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดสำหรับศินปินที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อุสาหกรรมดนตรี มีการจัดหน่ายเกมส์ที่ผสมผสานการร้อง เต้น โดยใช้กล้องจับภาพการเคลื่อนไหว ชื่อว่า ในรูปแบบของเครื่องเล่นวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล และวี วันที่ 3 พฤศจิกายน 2010 บริษัทคณะละครกายกรรม "เซิร์ค ดู เซอ เลย์" ประกาศว่าจะเปิดตัว "" ในวันที่ 11 ตุลาคม 2011 ที่ มอนทรีออล ในขณะที่การแสดงอย่างถาวรจะอยู่ในลาสเวกัส ช่วงเวลา 90 นาที กับต้นทุน 57 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยการแสดงจะรวบรวมบทเพลงและท่าเต้นของแจ็กสันเข้าด้วยกันกับงานศิลป์ของเซิร์ค การเต้นรำและการแสดงทางอากาศที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน 65 คน ทัวร์มีผู้เขียนบทและควบคุมการผลิตโดยเจมี่ คิง โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ "ต้นไม้สร้างแรงบันดาลใจ" จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ สถานที่ความรักในเสียงดนตรีของเขาและการเต้นรำ เทพนิยายและความมหัศจรรย์และความงามของธรรมชาติที่เปราะบางจะได้รับการปลดปล่อย ในวันที่ 3 ตุลาคม 2011 อิมมอร์ทัล อัลบั้มรีมิกซ์ดนตรีต้นฉบับของแจ็กสันได้ถูกประกาศว่ามีบันทึกเสียงต้นฉบับมากกว่า 40 เพลงของแจ็กสัน ผลิตโดยเควิน ตูนส์ ในเดือนเมษายน 2011 มหาเศรษฐีนักธุรกิจโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด-ประธานสโมสรฟุตบอลฟูแล่มและเพื่อนเก่าแก่ของแจ็กสันเปิดตัวรูปปั้นของไมเคิล แจ็กสัน ด้านนอกสนามกีฬาของสโมสรเครเวนคอตทิจแนวเพลงและการแสดงธีมและแนวเพลง แนวเพลงและการแสดง. ธีมและแนวเพลง. สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิกพูดว่า ตลอดการเป็นนักร้องเดี่ยว ความสามารถรอบด้านของเขาทำให้เขาได้ทดลองแนวเพลงที่หลากหลาย ในฐานะนักดนตรีแล้ว เขาสามารถทำได้ตั้งแต่เพลงเต้นรำแบบโมทาวน์และบัลลาด ไปถึงเทคโนและเฮาส์ นิวแจ็กสวิง เพื่อนำมารวมกับดนตรีแบบจังหวะเพลงฟังก์และกีตาร์ฮาร์ดร็อก ตัวเขาเองเคยกล่าวก่อนการออกผลงานชุด Off the Wall ว่า ลิตเทิล ริชาร์ด มีอิทธิพลให้กับเขาอย่างมาก ต่างจากศิลปินอื่น แจ็กสันไม่ได้เขียนเพลงบนกระดาษ เขาจะคอยสั่งการใส่เครื่องบันทึกเสียงแทน เมื่อเริ่มอัดเสียงเขาจะร้องจากความจำในขณะเมื่อแต่งเพลง เขาจะเริ่มทำเสียงบีตบ็อกซ์และใช้เสียงตัวเองเป็นเครื่องดนตรีแทนจังหวะมากกว่าใช้อุปกรณ์ มีนักวิจารณ์หลายคนสังเกตว่า Off the Wall เป็นงานที่มีทั้ง ฟังก์ ดิสโก้-ป็อป โซล ซอฟต์ร็อก แจ๊ซ และป็อปบัลลาด ตัวอย่างเพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด ใน "She's out of My Life" และ 2 เพลงในแนวดิสโก้อย่าง "Workin' Day and Night" และ "Get on the Floor" ฮิวอียังกล่าวว่า Thriller กลั่นกรองเอาจุดแข็งจาก Off the Wall ไม่ว่าจะเพลงแดนซ์และร็อกก็ดูแข็งกร้าวขึ้น ขณะที่เพลงป็อปและเพลงบัลลาดจะดูอ่อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้นเพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด "The Lady in My Life" "Human Nature" และ "The Girl Is Mine" ส่วนเพลงฟังก์เช่น "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" และดิสโก้อย่าง "Baby Be Mine" และ "P.Y.T. (Pretty Young Thing)" สำหรับอัลบั้ม Thriller แล้ว คริสโตเฟอร์ คอนเนลลีจากนิตยสารโรลลิงสโตน วิจารณ์ไว้ว่า แจ็กสันได้พัฒนาจากธีมในจิตใต้สำนึกที่เกี่ยวกับความหวาดระแวงและความมืดมน ซึ่งสตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ เสริมว่า สามารถเห็นอย่างชัดเจนในเพลง "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" ในเพลง "Billie Jean" แจ็กสันพูดเกี่ยวกับแฟนเพลงที่บ้าคลั่งที่กล่าวหาว่าเขาเป็นพ่อของลูกของเธอ ในเพลง "Wanna Be Startin' Somethin'" เขาโต้ข่าวซุบซิบและสื่อ ส่วนเพลง "Beat It" ที่พูดถึงการต่อต้านความรุนแรงของแก๊งค์อันธพาลในแนวเพลงร็อก ก็เป็นการคารวะต่อหนัง West Side Story และถือเป็นเพลงข้ามแนวในลักษณะร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นเพลงแรก จากคำกล่าวของ ฮิวอี เขายังสังเกตว่าเพลง "Thriller" แสดงให้เห็นว่าแจ็กสันเริ่มสนใจเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งต่อมาก็มีเขาก็แต่งเพลงเนื้อหาดังกล่าวอีก ในปี 1985 แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศลที่ชื่อ "We Are the World" ที่กล่าวถึงความอาทรมนุษยธรรม ซึ่งการแต่งเพลงรูปแบบดังกล่าวเขาก็นำมาใส่ในเนื้อเพลงและเป็นเรื่องที่เขาสนใจเป็นการส่วนตัวในเวลาต่อมา ในอัลบั้ม Bad ได้แนวความคิดจากคนรักของคนอื่น สามารถเห็นได้จากเพลงร็อกอย่าง "Dirty Diana" ส่วนซิงเกิลแรก "I Just Can't Stop Loving You" เป็นเพลงรักทั่วไปแบบดั้งเดิม ขณะที่เพลง "Man in the Mirror" เป็นเพลงรักเกี่ยวกับการสารภาพรักและความตั้งใจอย่างแน่วแน่"Smooth Criminal" เป็นเพลงที่พูดถึงการถูกทำร้ายการข่มขืนและเป็นไปได้ว่าอาจพูดถึงฆาตกรรม สตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ จากออลมิวสิก พูดว่า Dangerous นำเสนอแจ็กสันในลักษณะตัวตนที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เขาวิจารณ์ว่า อัลบั้มนี้มีความหลากหลายมากกว่า Bad อัลบั้มก่อนหน้านี้ ที่ดึงดูดกลุ่มคนในเมืองขณะที่ก็สะดุดหูกับชนชั้นกลาง อย่างเพลง "Heal the World" ครึ่งแรกของอัลบั้มเป็นแนวนิวแจ็กสวิง มีเพลงอย่าง "Jam" และ "Remember the Time"และยังถือเป็นอัลบั้มแรกของแจ็กสันที่พูดถึงปัญหาความเจ็บป่วยทางสังคมอย่างเพลง "Why You Wanna Trip on Me" ที่พูดถึงการท้วงต่อโลกแห่งความหิวโหย เอดส์ การไร้ที่อยู่อาศัย และยาเสพติด Dangerous ยังมีเพลงที่พูดถึงในเรื่องทางเพศอย่าง "In the Closet" เพลงรักที่พูดถึงความต้องการและการปฏิเสธ ความเสี่ยงและการข่มอารมณ์ การอยู่โดดเดี่ยวและการติดต่อกัน ความเป็นส่วนตัวและการเปิดเผย ส่วนเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ก็ยังพูดถึงคนรักและความต้องการ ส่วนครึ่งหลังของอัลบั้มเป็นแนวป็อป-กอสเปล อย่าง "Will You Be There", "Heal the World" และ "Keep the Faith" ซึ่งเพลงเหล่านี้เป็นเพลงที่เปิดเผยที่ปัญหาส่วนตัว การต่อสู้และความกังวล ส่วนเพลงบัลลาด "Gone Too Soon" เป็นเพลงที่เขาอุทิศให้กับเพื่อนของเขาไรอัน ไวต์และผู้ป่วยโรคเอดส์ ในอัลบั้มชุด HIStory ได้สร้างบรรยากาศแบบหวาดระแวง เนื้อหามุ่งเน้นไปที่การทนทุกข์ทรมานและการดิ้นรนต่อสาธารณะ ที่ลงเนื้อหาในเพลงแนวนิวแจ็กสวิง-ฟังก์-ร็อก อย่าง "Scream" และ "Tabloid Junkie" รวมถึงเพลงอาร์แอนด์บีหวานซึ้งอย่าง "You Are Not Alone" แจ็กสันตอบโต้ต่อความอยุติธรรมและความรู้สึกแปลกแยกที่เขารู้สึก และมุ่งไปที่ความโกรธต่อสื่อ ในเพลงบัลลาดอย่าง "Stranger in Moscow" แจ็กสันโศกเศร้าต่อความไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป ขณะที่เพลงอย่าง "Earth Song", "Childhood", "Little Susie" และ "Smile" ถือเป็นเพลงโอเปราแบบป็อป ในเพลงที่ชื่อ "D.S." แจ็กสันพูดจู่โจม ทอม สเนดดอน เขาพูดถึงสเนดดอนว่า เป็นพวกที่เห็นสายเลือดผิวขาวสูงส่งกว่าใคร ๆ "เขาต้องการให้ฉันไม่อยู่หรือตาย" เกี่ยวกับเพลงสเนดดอนพูดว่า "ผมเปล่า— เราพูดหรือเปล่า— ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยโดยการฟังเพลง แต่ผมบอกแล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงปืน" Invincible เป็นผลงานที่เขาทำงานอย่างหนักกับโปรดิวเซอร์ รอดนีย์ เจอร์กินส์มีเพลงแนวเออเบินโซลอย่าง "Cry" และ "The Lost Children" เพลงบัลลาดอย่างเช่น "Speechless", "Break of Dawn" และ "Butterflies" และเพลงรวมหลากหลายแนวเพลงอย่างฮิปฮอป ป็อป แร็ป ในเพลง "2000 Watts", "Heartbreaker" และ "Invincible"เสียงและสไตล์การร้อง เสียงและสไตล์การร้อง. แจ็กสันเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ยังเด็ก เสียงของเขาและแนวทางการร้องเพลงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะจากเสียงแตกหนุ่มหรือความพอใจส่วนตัวในการตีความต่อแนวเพลงและธีมที่เขาเลือกที่จะแสดงออก ในระหว่างปี 1971 และ 1975 เสียงของแจ็กสันเป็นเสียงโซปราโนของเด็กผู้ชายไปทางเสียงเทอเนอร์สูงของเสียงชาย-หญิงต้นปี 1973 เขาได้ดัดแปลงเสียงแบบสะอึกเข้าไป โดยได้ยินครั้งแรกจากเพลง "It's Too Late to Change the Time" กับวงแจ็กสันไฟฟ์ ในอัลบั้ม G.I.T.: Get It Together ถึงแม้ว่าแจ็กสันจะไม่ได้ใช้เสียงลักษณะสะอึกอย่างมากมาย แต่ต่อมาผลงานอัลบั้มชุด Off the Wall สามารถพบได้มากในวิดีโอเพลง "Shake Your Body (Down to the Ground)" จุดประสงค์ของการทำเสียงแบบสะอึก เหมือนกับเป็นการกลืนอากาศหรืออ้าปาก เพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ ไม่ว่าจะตื่นเต้น เศร้าหรือกลัว และกับผลงานในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ชุด Off the Wall ความสามารถในการร้องของเขาก็เป็นที่เด่นชัด ออลมิวสิกเขียนไว้ว่า "เสียงร้องอันเป็นพรสวรรค์อย่างเป็นที่สุด" ขณะที่นิตยสารโรลลิงสโตน เปรียบเทียบเสียงเขากับสตีวี วันเดอร์ว่า "ร้องหายใจขัด ร้องตะกุกตะกักแบบเรียบ ๆ" การวิเคราะห์ถึงเสียงร้องว่า "น้ำเสียงของแจ็กสันเป็นเสียงเทเนอร์ที่อ่อนนุ่ม ที่สวยงามมาก ลื่นไปอย่างนุ่มนวลสู่เสียงสูงอย่างน่าตกใจ ใช้ได้อย่างกล้าหาญ" และในปี 1982 เมื่อออกผลงาน Thriller นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นการร้องว่า "เสียงผู้ใหญ่เต็มตัว" ที่ "แหลมสูงด้วยความเศร้า" ในการออกผลงานชุด "Bad" ในปี 1987 เห็นได้ว่าเสียงร้องนำบนท่อนร้องอย่างกล้าหาญ และโทนที่เบาลงที่ใช้บนท่อนคอรัส การตั้งใจในการออกเสียงผิดของคำว่า "คัมมอน" () ก็ใช้บ่อยที่ออกเสียง เป็นเสียง เชมอน (cha'mone) หรือชามอน (shamone) ที่เป็นส่วนสำคัญในการแสดงออกและเหมือนเป็นภาพลักษณ์ของเขา จนในคริสต์ทศวรรษ 1990 จากการออกผลงานชุด Dangerous แจ็กสันใช้เสียงร้องเพิ่มขึ้นเพื่อแยกแนวเพลงและธีมของเพลง นิวยอร์กไทมส์ เขียนไว้เกี่ยวกับบางเพลงว่า "เขากลืนลมเข้าไปกับเสียงร้องที่สั่นและกระตือรือร้น หรือต่ำลงไปเป็นเสียงกระซิบที่สื่อถึงความสิ้นหวัง และยังทำเสียงฟ่อผ่านฟัน นอกจากนี้เขายังมีเสียงโทนเศร้า" และเมื่อร้องเพลงเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกันหรือการยกย่องตัวเอง เขาจะร้องเสียงสไตล์ราบเรียบ ส่วนในเพลง "In the Closet" มีเสียงสูดลมหายใจชัดเจนและออกเสียงชัด ๆ ซ้ำ ๆ 5 ครั้ง แต่ทว่าในเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม เขายังร้องแร็ปแบบพูด อีกด้วย และเมื่อพูดถึงชุด Invincible นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นว่า "กับอายุ 43 ปี แจ็กสันยังคงร้องมีจังหวะอย่างสวยงามและเสียงร้องสั่นที่ยังกลมกลืนกัน" โจเซฟ โวเกิล นักวิจารณ์วัฒนธรรมร่วมสมัยตั้งข้อสังเกตว่าแจ็กสันมีรูปแบบที่โดดเด่นเฉพาะตัว คือ "ความสามารถของเขาในการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก โดยไม่ต้องใช้ภาษา ด้วยรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง การคำราม สูดอากาศ การอ้าปากหายใจ สะอื้น หรือการเปล่งเสียง เขามักจะเล่นคำใช้เสียงบางอย่างที่ทำให้ผู้ฟังเแทบจับสังเกตไม่ได้" นีล แมค ยังสังเกตว่า สไตล์การร้องเพลงที่แหกกฎทั่วไปของแจ็กสันมีความเป็นต้นฉบับและโดดเด่นอย่างที่สุด จากเสียงสูงอันเกือบไม่มีตัวตน จนถึงความนุ่มนวล เสียงกลางที่หวาน ทั้งการควบคุมเสียงบนตัวโน๊ตที่รวดเร็ว การระเบิดจังหวะแต่ยังคงความไพเราะเอาไว้ ทั้งการทำเสียงแบบหอนหรือการร้องเยาะเย้ย (อย่างเช่น ฮี่ ฮี่ เพื่อคำรามและครวญคราง) เขามักไม่ได้ร้องเพลงในรูปแบบการใช้เสียงราบเรียบอย่างทั่วไปหรือเพลงบัลลาดอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเขาได้ร้อง ( อย่างเช่นเพลง Ben หรือ She's out of My Life ) ผลกระทบคือความเรียบง่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เนลสัน จอร์จ สรุปเสียงของแจ็กสันโดยพูดไว้ว่า "งดงาม รุกราน คำราม เสียงร้องเด็กผู้ชายที่ดูเป็นธรรมชาติ เสียงสูงเหมือนผู้หญิง ความอ่อนโยน ทั้งหมดรวมกันเป็นองค์ประกอบสไตล์การร้องของเขา"มิวสิกวิดีโอและการออกแบบท่าเต้น มิวสิกวิดีโอและการออกแบบท่าเต้น. แจ็กสันถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งมิวสิกวีดีโอ" สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก สังเกตว่า แจ็กสันได้เปลี่ยนรูปแบบของมิวสิกวิดีโอให้เป็นในรูปแบบของศิลปะและเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ผ่านเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ท่าเต้น สเปเชียลเอฟเฟกต์และนักแสดงชื่อดัง และยังทลายอุปสรรคทางสีผิวไปในเวลาเดียวกัน ก่อนอัลบั้ม Thriller แจ็กสันติดปัญหาในการแสดงผลงานมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี เนื่องจากเขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งทางค่ายซีบีเอสก็เกลี้ยกล่อมให้เอ็มทีวีเปิดเพลง "Billie Jean" และต่อมา "Beat It" ซึ่งก็ทำให้ช่องเกิดความสัมพันธ์อันยาวนานกับแจ็กสัน และยังช่วยให้เพลงของศิลปินผิวดำคนอื่นเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย คนในเอ็มทีวีเองก็ปฏิเสธเรื่องการแบ่งชนชั้นผิวสีทางช่องหรือเรื่องความกดดันในการเปลียนจุดยืนนี้ เอ็มทีวียังคงเล่นเพลงร็อกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ และจากความนิยมในมิวสิกวิดีโอของแจ็กสันเองทางช่องเอ็มทีวี ยังทำให้ช่องมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเน้นในเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี การแสดงของเขาในงานครบรอบ 25 ปี ของโมทาวน์ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ได้เปลี่ยนขอบเขตอิสระของการแสดงสดบนเวที และก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่ศิลปินรุ่นใหม่สามารถสร้างความน่าตื่นเต้นบนเวทีได้ราวกับมิวสิกวิดีโอ ในมิวสิกวีดีโอที่ดูราวกับเป็นภาพยนตร์สั้น เพลง "Thriller" ยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับแจ็กสัน ขณะที่การเต้นในเพลง "Beat It" ก็ยังถูกนำเอามาเป็นต้นแบบอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางการเต้นในเพลง "Thriller" ยังกลายมีผลต่อวัฒนธรรมป็อปไปทั่วโลก การทำเลียนแบบไม่ว่าจากภาพยนตร์อินเดียหรือการเต้นเลียนแบบของนักโทษในฟิลิปปินส์มิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้น "Thriller" ได้สร้างมาตรฐานความตื่นเต้นเร้าใจให้กับมิวสิกวิดีโอ และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นมิวสิกวีดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมีมาโดยกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ ในมิวสิกวีดีโอเวอร์ชันเต็มความยาว 19 นาที เพลง "Bad" ซึ่งกำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี แจ็กสันได้ใช้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศและการเต้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในงานเขา เขาจะจับหรือแตะที่หน้าอก ลำตัวและเป้า ต่อมาในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ถามเขาถึงที่มาของท่านี้ เขาอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณกำลังเต้น สื่อสารภาษาดนตรี และเสียงต่างๆเคล้าคลอที่จะปั่นอารมณ์ให้ไปตามเสียงนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็นดนตรีที่ขับดันให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า เอาล่ะ เมื่ออยู่บนเวทีแล้วผมต้องเอามือแตะเป้าล่ะนะ บางครั้งเมื่อกลับไปดูบันทึกการแสดงย้อนหลัง ผมยังเคยคิดว่า นี่ผมทำแบบนั้นด้วยเหรอ ผมตกเป็นทาสของจังหวะเข้าแล้ว" "Bad" ได้รับกระแสตอบรับที่หลากหลายทั้งจากแฟนและนักวิจารณ์ โดยนิตยสารไทม์ บอกไว้ว่า "น่าขายหน้า" ในมิวสิกวิดีโอยังร่วมด้วยเวสลีย์ สไนปส์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง สำหรับมิวสิกวิดีโอ "Smooth Criminal" แจ็กสันได้ทดลองนวัตกรรม "การเอนต้านแรงโน้มถ่วง 45องศา" เพื่อให้บรรลุผลในการแสดงสดนี้ แจ็กสันและนักออกแบบได้พัฒนารองเท้าพิเศษที่ล็อกเท้าของนักแสดงไปยังเวทีที่ช่วยให้พวกเขาโน้มไปข้างหน้า พวกเขาได้รับสิทธิบัตรสหรัฐฯ 5,255,452 สำหรับอุปกรณ์ และถึงแม้ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง "Leave Me Alone" จะไม่ได้ออกอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา แต่ในปี 1989 ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกวิดีโออวอร์ดส และในปีเดียวกันก็ได้รับ 3 รางวัลสิงโตทองคำ สำหรับสเปเชียลเอฟเฟกต์ในการผลิตผลงาน ต่อมาในปี 1990 "Leave Me Alone" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น เอ็มทีวีได้มอบรางวัล "ศิลปินผู้นำด้านมิวสิกวิดีโอแห่งทศวรรษ" ในปี 1988 และเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จแก่เขาในรูปแบบงานศิลปะตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 ปีต่อมา 1991 ชื่อรางวัลดังกล่าวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเขาเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา "Black or White" ยังเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 ออกอากาศปฐมทัศน์พร้อมกันใน 27 ประเทศ มีผู้ชมประมาณ 500 ล้านคน ถือเป็นยอดจำนวนคนดูที่มากที่สุดสำหรับมิวสิกวิดีโอ ในมิวสิกวิดีโอมีฉากที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์และภาพความรุนแรง แต่ฉากดังกล่าวก็ถูกตัดออกไปเหลือเป็นเวอร์ชันยาว 14 นาที เพื่อป้องกันการถูกแบนและแจ็กสันก็ออกมาขอโทษในส่วนนี้ นอกจากแจ็กสันแล้ว ในมิวสิกวิดีโอนี้ยังมีดาราอย่าง แม็กคอเลย์ คัลกิน เพกกี ลิปตัน และจอร์จ เวนดต์ และจบลงด้วยการเปลี่ยนภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในมิวสิกวิดีโอนี้ "Remember the Time" เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีงานภาคผลิตทำอย่างละเอียด และถือเป็นมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดเพลงหนึ่งกับความยาว 9 นาที มีฉากอยู่ในยุคอียิปต์โบราณ ยังเป็นผู้บุกเบิกทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ รวมถึงผู้มีชื่อเสียงอย่าง เอดดี เมอร์ฟี อิมาน และแมจิก จอห์นสัน ซึ่งก็มีท่าเต้นซับซ้อนเป็นจุดเด่นเช่นเคย ในเพลง "In the Closet" ถือเป็นวิดีโอที่แสดงยั่วยุทางเพศที่สุดของแจ็กสัน มีซูเปอร์โมเดลอย่างเนโอมี แคมป์เบลล์ เต้นรำกับแจ็กสัน แต่มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกแบนในแอฟริกาใต้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แสดง มิวสิกวิดีโอเพลง "Scream" กำกับโดยมาร์ก โรมาเนก และผู้ออกแบบงานสร้างคือทอม โฟเดน ถือเป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดเพลงหนึ่ง โดยในปี 1995 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอวอร์ดส 11 สาขา มากกว่ามิวสิกวิดีโอใดที่เคยทำได้ และได้รับรางวัลในสาขา "มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม" "ท่าเต้นยอดเยี่ยม" และ "องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม" เพลงและมิวสิกวิดีโอเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของแจ็กสันที่ได้รับจากสื่อหลังจากข้อกล่าวหาการละเมิดทางเพศต่อเด็กในปี 1993 ในปีถัดมา ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ต่อจากนั้นกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ยังให้ตำแหน่งว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดที่เคยทำมา โดยตกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ "Earth Song" ก็ยังเป็นเพลงที่แพงเช่นกันและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ในปี 1997 เป็นมิวสิกวิดีโอที่พูดถึงสภาพแวดล้อม แสดงภาพการทารุณสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า สภาวะมลพิษและสงคราม มีการใช้ภาพสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทำให้ย้อนชีวิตกลับไป สงครามสิ้นสุดลงและป่ากลับฟื้นดังเดิม ในมิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นเพลง Ghosts ออกเมื่อปี 1997 โดยออกปฐมทัศน์ครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1996 โดยภาพยนตร์สั้นนี้เขียนบทโดยแจ็กสันและสตีเฟน คิง กำกับโดยสแตน วินสตัน มีความยาวกว่า 38 นาที และถือครองสถิติในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดในโลก ในมิวสิกวอิดีโอเพลง "You Rock My World" ที่มีความยาวกว่า 13 นาที ถูกกำกับโดยพอล ฮันเตอร์และได้รับการปล่อยในปี 2001 มิวสิกวิดีโอมีลักษณะเด่นที่การปรากฏตัวจากคริสทักเกอร์และมาร์ลอน แบรนโด วิดีโอได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพีอิมเมจอวอร์ดสำหรับความโดดเด่นของมิวสิกวิดีโอมรดกและอิทธิพล มรดกและอิทธิพล. แจ็กสันเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีและวัฒนธรรมทั่วโลก เขาสามารถทลายกำแพงแห่งชนชาติไปได้ ผ่านศิลปะทางมิวสิกวิดีโอ ปูทางให้กับนักร้องผิวสีและเพลงป็อปสมัยใหม่ ผลงานของแจ็กสันมีความโดดเด่นด้านดนตรี การเต้นรำและสไตล์การร้องซึ่งมีอิทธิพลให้กับศิลปินมากมายหลากหลายแนวเพลง อย่างเช่น มารายห์ แครี เซลีน ดิออน มาดอนน่า บียอนเซ่ เจเน็ต แจ็กสัน อัชเชอร์ บริตนีย์ สเปียรส์ นี-โย จัสติน ทิมเบอร์เลค คริส บราวน์ บรูโน มาร์ส เดอะวีกเอนด์ คานเย เวสต์ และอาร์. เคลลี สำหรับบทบาทอาชีพของเขา เขาถือเป็นศิลปิน"หาตัวจับยาก"ในโลกใบนี้ ผู้ทรงอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าศิลปินรุ่นใหม่ๆ ผ่านทางงานเพลงของเขาและงานการกุศล รายการโทรทัศน์ BET บรรยายถึงแจ็กสันว่า "เป็นที่แน่ชัดในฐานะผู้ให้ความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนักร้องเด็กที่เปิดตัวในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์จนถึงการจากไปอย่างกะทันหัน แจ็กสันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของเขา และ "ผู้ปฏิวัติวงการมิวสิกวีดีโอและนำท่าเต้นราวกับเดินบนดวงจันทร์สู่โลก" เสียงของแจ็กสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคลื่อนไหว และมรดกทางดนตรีของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทุกประเภท จุดเด่นของเขาคือ "เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ท่าเต้นที่เคลื่อนไหวสะดุดตา ผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อและมีพลังแห่งความเป็นดาราอย่างที่สุด" ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 นิตยสารไทม์ กล่าวถึงเขาว่า "ไมเคิล แจ็กสันคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดอะบีทเทิลส์ เขาเป็นปรากฏการณ์เดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่เอลวิส เพรสลีย์ เขาอาจจะเป็นนักร้องผิวสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ในปี 1990 แวนิตีแฟร์ พูดถึงแจ็กสันว่า เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดง นักเขียนเดลีเทเลกราฟ ที่ชื่อทอม อัตลีย์ เรียกเขาว่า "บุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมสมัยนิยม" และ "อัจฉริยะ" ในปลายปี 2007 แจ็กสันพูดถึงผลงานต่อมาของเขาและอิทธิพลในอนาคตว่า "ดนตรีคือการปลดปล่อย เป็นของขวัญของผมที่จะมอบให้กับคนรักทั่วโลก ผ่านดนตรีของผม ผมรู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป" แดเนเยล สมิธ หัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอเมริกัน Vibe และนักข่าวสื่อสิ่งพิมพ์ เรียกแจ็กสันว่าเป็น "ดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"หัวหน้ากองบรรณาธิการกินเนสส์บุ๊ค เคร็ก เกล็นเดย์ กล่าวถึงเขาว่าเป็น "บุคคลที่โด่งดังที่สุดบนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นไม่ใช่แค่ชื่อเสียง มันคือดนตรีของเขา" บัลติมอร์ซัน เขียนบทความ "7 วิธีที่ ไมเคิล แจ็กสันเปลี่ยนโลก" จิลล์ โรเซ็น ตั้งข้อสังเกตว่า "เราจะจดจำเขาได้ หากเขาเป็นเพียงแค่นักแต่งเพลง เป็นแค่นักเต้นรำหรือแค่ผู้สนับสนุนแฟชั่น แต่ไมเคิล แจ็กสัน มีความโดดเด่นเหนือศิลปะเหล่านั้น และอื่นๆอีกมากมาย" มรดกของเขามีความยั่งยืนและแพร่กระจายอย่างหลากหลาย ทั้งอิทธิพลต่อเสียงร้อง การเต้นรำ แฟชั่น การทำวิดีโอ แรงบันดาลใจ การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และทลายความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ตลอดระยะเวลานานหลายทศวรรษ แจ็กสันเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอยู่เสมอ เขามียอดขายนับล้านและข่าวลื่อเกี่ยวกับเขานับล้านเช่นเดียวกัน ขณะที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นกล่าวว่า "ถ้าจะมีใครบนโลก เป็นที่ยอมรับมากไปกว่าเขา บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่โลกไม่อาจละสายตาได้" ตลอดอาชีพของเขา เขามีรายได้จากผลงานเดี่ยวและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงงานคอนเสิร์ตไปจนถึงผลงานโฆษณาตกอยู่ราว 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนใน Sony/ATV Music Publishing ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณรายได้แท้จริงของเขา นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่าผลงานแคตตาล็อกเพลงที่เขาถืออาจมีค่าอย่างน้อยราวพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลกกับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรรมร่วมสมัยตลอด 4 ทศวรรษ วันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ 2014 สภาวัฒนธรรมสัมพันธ์อังกฤษได้ยกย่องอิทธิพลทางดนตรีและชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็น 1 ใน "80 เหตุการณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20"รางวัลและเกียรติยศ รางวัลและเกียรติยศ. ไมเคิล แจ็กสัน ได้รับการบรรจุชื่ออยู่บนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมเมื่อปี 1980 ในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ และศิลปินเดี่ยวในปี 1984 ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่มีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้ง ตลอดอาชีพของเขา ได้สร้างความสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วน โดยการทำงานที่ผ่านมาเขาได้รับรางวัลต่างๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลจากเวิลด์มิวสิกอวอร์ดสในฐานะศิลปินป็อปชายที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ รางวัลศิลปินแห่งศตวรรษจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส และรางวัลศิลปินป็อปแห่งสหัสวรรษจากแบมบี เขามีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้งในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ครั้งหนึ่งในฐานะสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1997 และต่อมาในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 2001 เขายังมีชื่ออยู่ในหอเกียรติยศอีกหลายแห่ง รวมไปถึงโวคอลกรุ๊ปฮอลออฟเฟมในปี 1999 และซองไรเตอร์สฮอลออฟเฟมในปี 2002 ในปี 2010 แจ็กสันเป็นคนแรก(และคนเดียวในปัจจุบัน)จากนักร้องป็อปและร็อกแอนด์โรลทั่วโลกที่ได้รับจารึกชื่ออยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของหอเกียรติยศแดนซ์ฮอลออฟเฟม ในปี 2014 เขายังมีชื่ออยู่ในอาร์แอนด์บีฮอลออฟเฟม เขาได้รับเชิญรางวัลพิเศษจากประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาวถึง 2 ครั้ง ในปี 1992 เขายังได้รับรางวัลและการยกย่องจากประธานาธิบดีให้เป็น "Point of Light Ambassador" หรือแสงสว่างในชีวิต จากการเชื้อเชิญให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเขาเป็นศิลปินคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ รางวัลอื่นที่เขาได้รับอย่างเช่น สถิติในกินเนสเวิลด์เรคคอร์ดอยู่หลายครั้ง (8 ครั้งในปี 2006 อย่างเดียว) การสนับสนุนองค์การการกุศล 39 แห่งมากกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ สถิติเจ้าของอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล รวมทั้งได้รับการบันทึกว่าเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษสาขาตำนานและความสำเร็จในชีวิต รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส 26 ครั้ง มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งศตวรรษ" และ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" 13 เพลงอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ในชาร์ตฮอต 100 และยังมียอดขายมากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก ผลงานอัลบั้ม 5 ชุด ประกอบด้วย Off the Wall (1979),Thriller (1982), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory(1995) ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยอัลบั้มขายดีที่มากยิ่งกว่าศิลปินคนใดๆ ทำให้เขาเป็นศิลปินป็อปชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในโลกความนิยมที่แพร่หลาย ความนิยมที่แพร่หลาย. ในปีค.ศ 1984 หนังสือพิมพ์ของสาธารณรัฐเกาหลี ได้ตีพิมพ์บทความ"ฤดูกาลแห่งความนิยม" โดยใช้ผลสำรวจของเยาวชนพบว่าที่โรงเรียนประถมศึกษาไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักไมเคิล แจ็กสันและเด็กๆยังมีความกระตือลือล้นในเพลงของเขา รายงานดังกล่าวยังได้ทำผลสำรวจเพิ่มเติมและพบว่าเด็กนักเรียนต่างรู้จักแจ็กสันแม้จะเป็นชื่อของนักร้องต่างประเทศนอกจากนี้จากการสำรวจในหัวข้อ"บุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"โดยใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กในระดับประถมศึกษากว่า 2,000 คน พบว่าแจ็กสันได้รับการโหวตให้มากที่สุด ตามด้วยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ,ลินคอล์น,และทอมัส เอดิสันในประเทศญี่ปุ่นแจ็กสันได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกับโลกตะวันตก และเรียกเขาว่าเป็น "ปรากฏการณ์ระดับไต้ฝุ่น" ขณะที่รองประธานอาวุโสของบริษัทโซนี่ มิวสิคญี่ปุ่นยังกล่าวถึงเขาว่า "ไม่มีนักแสดงคนใดมีพลังเหมือนไมเคิล แจ็กสัน เขาเป็นที่รักสำหรับความสามารถของเขา ดนตรีของเขา การเต้นของเขา เช่นเดียวกับจิตใจที่อ่อนโยน"ประเทศแอฟริกาเขาได้รับการยกย่องในฐานะผู้ที่ทลายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขายังทำให้วัฒนธรรมของคนผิวสีและนักร้องรุ่นหลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอีกด้วยเกาหลีก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแจ็กสันอย่างสูง แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ด้วยความนิยมของศิลปินตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจ็กสันได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ฮาร์ด คอร์ด นักร้องชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียพูดว่า"ถ้าคุณไปที่หมู่บ้านใดๆหรือทั่วทุกมุมในประเทศอินเดียคุณจะพบว่าทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของไมเคิล แจ็กสัน ไม่มีนักดนตรีคนไหนจะแทนที่เขาได้"ในประเทศปากีสถาน แจ็กสันยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับโคคาโคล่า ขณะที่ประเทศจีนซึ่งปิดตัวเองจากโลกตะวันตกมาจนถึงทศวรรษ 80 แจ็กสันก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอมเหลืองและรัฐก็ยังควบคุมการเปิดเพลงทางวิทยุ แจ็กสันยังเป็นศิลปินคนแรกที่นำพาวัฒนธรรมเพลงป็อปตะวันตกมาสู่ประเทศ ชาร์ลี เคนดัลล์ ผู้อำนวยของสถานีวิทยุร็อคนิวยอร์ก อธิบายถึงเขาว่า "ไมเคิล แจ็กสันเป็นวัฒนธรรมของมวลชน เขาดึงดูดความสนใจของทุกคน" และกล่าวว่า "ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขามีเสียงที่น่าเกรงขามและลีลาที่สมบูรณ์แบบ เขาสามารถเต้นราวกับไม่ใช่มนุษย์ เขาดึงดูดความสนใจของคนทุกเพศทุกวัยและผู้ฟังเพลงทุกประเภท อย่างยากที่จะจำแนกหมวดหมู่" ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้นำประเทศในหลายทวีป นอกจากวงการดนตรีแล้ว แจ็กสันยังมีอิทธิพอย่างมากต่อวงการแฟชั่น ฟิลลิป โบลช สไตลิสชื่อดัง กล่าวว่า "ไมเคิล แจ็กสัน ไม่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่น แต่แฟชั่นต่างหากที่ได้รับอิทธิพลจากเขา"เขายังมีบทบาทด้านมนุษยธรรมและการช่วยเหลือเด็กและสังคม ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เขายังได้ยกผลกำไรทั้งหมดเข้าสู่มูลินิธิการกุศล และยังได้มอบเงินให้แก่มูลนิธิในทุกประเทศที่เขาเดินทาง ในขณะที่การเสียชีวิตของเขากลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ทั่วโลก สื่อประเทศฮ่องกงได้นำเสนอข่าวว่า "ไม่มีส่วนใดของเอเชีย...และที่เหลือของโลก จะไม่จดจำไมเคิล แจ็กสัน" เว็บไซด์ชื่อดังของจีนขนามนามเขาว่า "นักร้องที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล" ขณะที่หลายๆคนทั่วโลกต่างรู้สึกว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเหมือนการสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก นับได้ว่าเขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ของโลกผู้สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง หลังครบรอบวันเกิดของเขาในปีเดียวกัน ชาวเม็กซิโกยังได้ไปชุมนุมกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ กว่า 13,957 คน เพื่อเต้นรำตามจังหวะและท่าทางตามเพลง " ทริลเลอร์ " เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา นับเป็นการเต้นรำหมู่เพลงทริลเลอร์ที่ทำลายสถิติกินเนสบุ้คมีจำนวนคนเข้าร่วมมากที่สุด หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นานในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เอ็มทีวีปรับเปลี่ยนช่องโดยเล่นมิวสิกวิดีโอของเขาเพื่อเป็นการอุทิศและเฉลิมฉลองในงานของเขา สถานียังออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเขาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และยังมีการสัมภาษณ์สดในปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง ตลอดทั้งสัปดาห์ยังมีรายการและยังมีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัย ในพิธีไว้อาลัย ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงโมทาวน์ เบอร์รี กอร์ดี ยังสรรเสริญแจ็กสันว่าเป็น "คนบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2009 สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน รำลึกถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแจ็กสันว่าเป็น "เหตุการณ์ที่สำคัญ" และกล่าวว่า "การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายน เขาอายุเพียง 50 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกต่างโศกเศร้าและเกิดการสรรเสริญตัวเขาไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน"ผลงานอัลบั้มผลงานอัลบั้ม. - Got to Be There (1972) - Ben (1972) - Music & Me (1973) - Forever, Michael (1975) - Off the Wall (1979) - Thriller (1982) - Bad (1987) - Dangerous (1991) - (1995) - Invincible (2001)ผลงานแสดง
| ไมเคิล แจ็กสัน นักร้องชายชาวอเมริกันเสียชีวิตเมื่อปีค.ศ. ใด | {
"answer": [
"2009"
],
"answer_begin_position": [
3776
],
"answer_end_position": [
3780
]
} |
2,018 | 4,600 | กาแฟ กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดซึ่งได้จากต้นกาแฟ หรือมักเรียกว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการปลูกต้นกาแฟในมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กาแฟเขียว (กาแฟซึ่งยังไม่ผ่านการคั่ว) เป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรซึ่งมีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก กาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ทำให้มีสรรพคุณชูกำลังในมนุษย์ ปัจจุบันกาแฟเป็นเครื่องดื่มซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เป็นที่เชื่อกันว่าสรรพคุณชูกำลังจากเมล็ดของต้นกาแฟนั้นถูกพบเป็นครั้งแรกใน เยเมน แถบอาระเบีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือของ เอธิโอเปีย และการปลูกต้นกาแฟในสมัยแรกได้แพร่ขยายในโลกอาหรับ หลักฐานบันทึกว่าการดื่มกาแฟได้ปรากฏขึ้นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อันเป็นหลักฐานซึ่งเชื่อถือได้และเก่าแก่ที่สุด ถูกพบในวิหาร ซูฟี ในเยเมน แถบอาระเบีย จาก โลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังทวีปยุโรป อินโดนีเซีย และทวีปอเมริกา ในระหว่างที่กาแฟเริ่มเดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางสู่ทวีปยุโรป กาแฟได้ถูกส่งผ่านไปยังซิซิลีและอิตาลีในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากนั้นผ่านตุรกีไปยังกรีซ ฮังการี และออสเตรียในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากอิตาลีและออสเตรีย กาแฟได้แพร่ขยายไปยังส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป กาแฟได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคมหลายแห่งตลอดประวัติศาสตร์ ในแอฟริกาและเยเมน มันถูกใช้ร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนา ผลที่ตามมาคือ ศาสนจักรเอธิโอเปีย ได้สั่งห้ามการบริโภคกาแฟตลอดกาล จนกระทั่งถึงรัชสมัยของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 มันยังได้ถูกห้ามใน จักรวรรดิออตโตมันระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากสาเหตุทางการเมือง และมีส่วนเกี่ยวพันกับกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป ผลกาแฟ ซึ่งบรรจุเมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตจากไม้พุ่มไม่ผลัดใบขนาดเล็กใน จีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ Coffea arabica และกาแฟ "โรบัสต้า" ที่ได้จากชนิด Coffea canephora ซึ่งมีรสเข้มกว่า สายพันธุ์ดังกล่าวมีความทนทานต่อราสนิมใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สายพันธุ์กาแฟทั้งคู่มีการปลูกในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปแอฟริกา เมื่อสุกแล้ว ผลดังกล่าวจะถูกเก็บรวบรวม นำไปผ่านกรรมวิธีและทำให้แห้ง หลังจากนั้น เมล็ดจะถูกคั่วในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และจะถูกบดและบ่มเพื่อผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ในหลายวิธี กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโลก โดยในปี คริสต์ศักราช 2004 กาแฟเป็นสินค้าการเกษตรส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 12 ประเทศ และเป็นพืชที่มีการส่งออกอย่างถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี คริสต์ศักราช 2005 กาแฟได้รับการโต้เถียงบางส่วนในด้านการเพาะปลูกต้นกาแฟและผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และมีการศึกษาจำนวนมากที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับข้อจำกัดทางยาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษกันแน่เกี่ยวกับชื่อ เกี่ยวกับชื่อ. การอ้างอิงคำว่าcoffee ในภาษาอังกฤษ อยู่ในรูปของ chaoua ซึ่งสามารถสืบย้อนไปได้ถึง คริสต์ศักราช 1598 ในภาษาอังกฤษและในภาษายุโรปอื่น ๆ coffee ได้ถูกดัดแปลงมาจากภาษาตุรกีออตโตมัน kahve ผ่านทางภาษาอิตาลี caffè ในขณะเดียวกัน คำดังกล่าวในภาษาตุรกีออตโตมันถูกยืมมาจาก เกาะหฺวะหฺ ในภาษาอาหรับ (; qahwah) ผู้เขียนพจนานุกรมชาวอาหรับ ยืนยันว่า เดิม เกาะหฺวะหฺ ไปคำที่หมายถึงไวน์ประเภทหนึ่ง และได้ให้นิรุกติศาสตร์กับคำกริยา qahiya ในความหมายว่า "ไม่มีความอยากอาหาร" เนื่องจากเครื่องดื่มดังกล่าวถูกใช้เพื่อดับความหิวของผู้ที่ดื่มเข้าไป นิรุกติศาสตร์ทางอื่นอีกเป็นจำนวนมากกล่าวว่า คำดังกล่าวในภาษาอาหรับอาจเป็นการบิดเบือนคำยืมมาจากหลักฐานเอธิโอเปียหรือแอฟริกัน โดยเสนอว่าคำดังกล่าวมาจาก คัฟฟา ที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย เนื่องจากต้นกาแฟเป็นพืชท้องถิ่นในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คำว่า qahwah ไม่ได้ถูกใช้กับเบอร์รี่หรือพืชซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นในบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะถูกเรียกว่า bunn หรือมีชื่อพื้นเมืองในชีวา ว่า būnประวัติ ประวัติ. เป็นที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษชาวเอธิโอเปียของชาวโอโรโมในปัจจุบัน เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งรู้จักผลกระทบกระตุ้นประสาทของเมล็ดจากต้นกาแฟ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานโดยตรงซึ่งชี้ชัดว่าต้นกาแฟมีการปลูกอยู่ที่ใดในทวีปแอฟริกา หรือผู้ใดในกลุ่มชาวพื้นเมืองซึ่งอาจใช้มันเป็นสารกระตุ้น หรือแม้แต่รู้ถึงผลกระทบนั้น ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรื่องราวของ คาลดี เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปียในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผู้ซึ่งค้นพบต้นกาแฟนั้น มิได้ปรากฏชื่อในงานเขียนจนกระทั่งถึง คริสต์ศักราช 1671 หรืออาจเป็นเพียงเรื่องปลอมเท่านั้น จากเอธิโอเปีย สันนิษฐานว่ากาแฟได้แพร่กระจายไปยังเยเมน ที่ซึ่งมีการดื่มและผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นได้แพร่ไปยังอียิปต์ ในขณะที่ หลักฐานซึ่งเชื่อถือได้สามารถสืบย้อนไปได้ไกลที่สุด ถึงการดื่มกาแฟในวิหารซูฟีในม็อคค่าในเยเมน ที่ซึ่งในอาระเบีย ได้มีการคั่วและชงเมล็ดกาแฟเป็นครั้งแรก อันเป็นวิธีที่คล้ายคลึงกับการเตรียมกาแฟ ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 16 กาแฟได้แพร่ขยายไปทั่วถึงตะวันออกกลาง เปอร์เซีย ตุรกี และแอฟริกาเหนือ ในปี คริสต์ศักราช 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้: จากโลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังอิตาลี การค้าขายระหว่างเวนิซกับแอฟริกาเหนือ อียิปต์และตะวันออกกลางที่เจริญขึ้น ทำให้อิตาลีได้รับสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงกาแฟด้วย หลังจากนั้น กาแฟก็ได้แพร่กระจายจากเมืองท่าเวนิซไปทั่วยุโรป กาแฟได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ลงความเห็นว่ามันเป็นเครื่องดื่มสำหรับคริสเตียน ในปี คริสต์ศักราช 1600 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้ยกเลิก "เครื่องดื่มมุสลิม" ก็ตาม ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี คริสต์ศักราช 1645 ชาว ดัตช์เป็นชนชาติแรกที่นำเข้ากาแฟเป็นจำนวนมาก และฝ่าฝืนข้อห้ามของอาหรับเกี่ยวกับการส่งออกพืชและเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่ว เมื่อ Pieter van den Broeck ลักลอบนำเข้ากาแฟจากเอเดนไปยังยุโรปในปี คริสต์ศักราช 1616 ในภายหลังชาวดัตช์ยังได้นำไปปลูกในเกาะชวาและซีลอน ซึ่งผลผลิตกาแฟจากเกาะชวาสามารถส่งไปยังเนเธอร์แลนด์ได้ในปี คริสต์ศักราช 1711 และด้วยความพยายามของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำให้กาแฟได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน กาแฟเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ในปี คริสต์ศักราช 1657 และเข้าสู่ออสเตรียและโปแลนด์ หลังจากยุทธการเวียนนา เมื่อปี คริสต์ศักราช 1683 ซึ่งทหารสามารถยึดเสบียงของทหารออตโตมานเติร์กที่พ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น หลังจากนั้น กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงยุคอาณานิคม แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกัน ปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้ากักตุนสินค้าเอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้มากนัก หลังจากสงครามปี 1812 ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน แต่ในอังกฤษ ปริมาณการบริโภคกาแฟกลับลดลง และชาวอังกฤษหันไปบริโภคชาแทนระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 เครื่องดื่มชาเป็นเครื่องดื่มซึ่งเตรียมขึ้นได้ง่ายกว่า และหาซื้อได้ในราคาถูกจากการยึดครองอินเดียและอุตสาหกรรมชาในอินเดียของอังกฤษชีววิทยา ชีววิทยา. ต้นกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนแถบแอฟริกาและเอเชียใต้ กาแฟถูกจัดให้อยู่รวมกับพืชมีดอก ของวงศ์ Rubiaceae ถูกจัดเป็นต้นไม้ประเภทไม่ผลัดใบ ต้นกาแฟสามารถสูงได้ถึง 5 เมตรถ้าไม่เล็มออก ใบของต้นกาแฟมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ขนาดโดยเฉลี่ยยาว 10-15 เซนติเมตร และกว้าง 6 เซนติเมตร ดอกของต้นกาแฟมีสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานพร้อมกันทั้งต้น ผลกาแฟมีลักษณะรียาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลกาแฟอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุก สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเมื่อนำไปผึ่งให้แห้ง สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและสีดำในที่สุด ผลกาแฟแต่ละผลจะมีเมล็ดอยู่สองเมล็ด แต่ผลกาแฟประมาณ 5-10% จะมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว เมล็ดจำพวกนี้จะเรียกว่า พีเบอร์รี่ โดยปกติแล้ว ผลกาแฟจะสุกภายในเจ็ดถึงเก้าเดือนการเพาะปลูก การเพาะปลูก. กาแฟมักจะได้รับการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด วิธีดั้งเดิมในการปลูกกาแฟคือการใส่เมล็ดกาแฟจำนวน 20 เมล็ดในแต่ละหลุม เมื่อย่างเข้าฤดูฝน เมล็ดกาแฟครึ่งหนึ่งจะถูกกำจัดตามธรรมชาติ เกษตรกรมักจะปลูกต้นกาแฟร่วมกับพืชผลประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วหรือข้าว ในช่วงปีแรกๆ ของการเพาะปลูก กาแฟสายพันธุ์หลักที่ปลูกกันทั่วโลกมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ Coffea canephora และ Coffea arabica กาแฟอาราบิกา (ผลผลิตจาก Coffea arabica) ถูกพิจารณาว่าเหมาะแก่การดื่มมากกว่ากาแฟโรบัสตา (ผลผลิตจาก Coffea canephora) เพราะกาแฟโรบัสตามักจะมีรสชาติขมกว่าและมีรสชาติน้อยกว่ากาแฟอาราบิกา ด้วยเหตุผลดังกล่าว กาแฟที่เพาะปลูกกันจำนวนกว่าสามในสี่ของโลกจึงเป็น Coffea arabica อย่างไรก็ตาม Coffea canephora สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถก่อให้เกิดโรคได้น้อยกว่า Coffea arabica และสามารถปลูกได้ในสภาพแวดล้อมที่ Coffea arabica ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ กาแฟโรบัสตามีปริมาณคาเฟอีนผสมอยู่มากกว่ากาแฟอาราบิกาอยู่ประมาณ 40-50% ดังนั้น ธุรกิจกาแฟจึงมักใช้กาแฟโรบัสตาทดแทนกาแฟอาราบิกาเนื่องจากมีราคาถูกกว่า กาแฟโรบัสตาคุณภาพดีมักจะใช้ผสมในเอสเพรสโซเพื่อให้เกิดฟองและลดค่าวัตถุดิบลง นอกจากกาแฟทั้งสองสายพันธุ์นี้แล้ว ยังมี Coffea liberica และ Coffea esliaca ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพืชท้องถิ่นของประเทศไลบีเรียและทางตอนใต้ของประเทศซูดานตามลำดับ เมล็ดกาแฟอาราบิกาส่วนใหญ่ปลูกในละตินอเมริกา แอฟริกาตะวันออก อาราเบียหรือเอเชีย ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสตาปลูกในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง ไปจนถึง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศบราซิล เมล็ดกาแฟที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันส่งผลให้เมล็ดกาแฟของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะตัว อย่างเช่น รสชาติ กลิ่น สัมผัสและความเป็นกรด ลักษณะรสชาติของกาแฟนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ปลูกเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์กำเนิดและกระบวนการผลิตด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ความแตกต่างนี้จะสามารถรับรู้กันในท้องถิ่นเท่านั้นปริมาณการผลิตผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม. ในอดีต การปลูกต้นกาแฟจะทำในร่มเงาของต้นไม้ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงทั้งหลาย ทฤษฎีนี้มักจะเป็นไปตามทฤษฎีเงาดั้งเดิม ในปัจจุบัน เกษตรกรจำนวนมากได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการปลูกต้นกาแฟแบบทันสมัย โดยการใช้แสงอาทิตย์ในการปลูกต้นกาแฟ ซึ่งต้นกาแฟจะถูกปลูกเรียงกันเป็นแถวอยู่ใต้แสงอาทิตย์โดยมีปะรำป่าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การปลูกแบบใหม่นี้ทำให้เมล็ดกาแฟสุกเร็วขึ้นและให้ผลผลิตมากขึ้น แต่การปลูกแบบดังกล่าวจำเป็นต้องตัดต้นไม้ ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก อีกด้านหนึ่ง การปลูกต้นกาแฟแบบดั้งเดิมจะทำให้เมล็ดกาแฟสุกช้ากว่าการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่และให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่จะให้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า นอกเหนือจากนั้น ทฤษฎีเงาดั้งเดิมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในกับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก นักวิจารณ์การปลูกกาแฟแบบใหม่กล่าวว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น การตัดไม้ทำลายป่า มลภาวะที่เกิดจากยาฆ่าแมลง การทำลายที่อยอาศัยของสัตว์ป่า การเสื่อมคุณภาพของดินและน้ำ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่นี้ สมาคมดูนกอเมริกันเป็นผู้นำการรณรงค์ "การปลูกในร่มเงา" และ กาแฟอินทรีย์ ซึ่งพวกเขาสนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงการปลูกกาแฟให้เป็นแบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะที่การปลูกต้นกาแฟในร่มหลายแบบแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางชีวภาพมากกว่าระบบการปลูกต้นกาแฟกลางแจ้ง มันก็ยังเทียบไม่ได้กับป่าท้องถิ่นในแง่ของที่อยู่อาศัยของสัตว์ อีกประเด็นหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ การใช้น้ำในการผลิตกาแฟ ตามที่นิตยสาร New Scientist ระบุว่า ต้องใช้น้ำจำนวนถึง 140 ลิตรในกระบวนการปลูกต้นกาแฟไปจนถึงผลผลิตกาแฟหนึ่งถ้วย และกาแฟมักจะถูกปลูกในประเทศที่มีการขาดแคลนน้ำ อย่างเช่น เอธิโอเปียเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. บราซิลเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟสูงที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เวียดนามกลายมาเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสตารายใหญ่ของโลก อินโดนีเซียเป็นประเทศส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสาม และเป็นผู้ผลิตกาแฟอาราบิกาละลาย ราคาซื้อขายกาแฟโรบัสตาในลอนดอนมีราคาถูกกว่าในนิวยอร์ก ซึ่งทำให้ลูกค้าผู้ประกอบการอุตสาหกรรม อย่างเช่น บริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูป โอนเอียงไปทางกาแฟในลอนดอนมากกว่า เพราะว่ามีราคาถูกกว่า บริษัทข้ามชาติสี่แห่ง (ประกอบด้วย ครอฟท์ เนสเล่ พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและซาร่า ลี) ได้ซื้อกาแฟคิดเป็นปริมาณ 50% ของผลผลิตต่อปี การเลือกซื้อกาแฟโรบัสตาราคาถูกของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสี่ของตลาดกาแฟทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคากาแฟตกต่ำ และปริมาณความต้องการเมล็ดกาแฟอาราบิกาคุณภาพสูงกระเตื้องขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการเข้ามาล้นตลาดของกาแฟเขียวราคาถูกอย่างมหาศาล หลังจากการล่มสลายของข้อตกลงกาแฟสากลแห่งปี 1975-1989 ได้ส่งผลกระทบยืดเยื้อต่อวิกฤตการณ์ราคากาแฟตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช 1989 ถึงปี คริสต์ศักราช 2004 ในปี คริสต์ศักราช 1997 ราคาของกาแฟในนิวยอร์กแตะระดับที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ แต่เมื่อถึงปลายปี คริสต์ศักราช 2001 ราคาของกาแฟเหลือเพียง 0.43 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ ในปี คริสต์ศักราช 2007 ราคากาแฟขายส่งอยู่ที่ประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ (จาก 69 เซนต์ในลอนดอน เมื่อเดือนมีนาคม มาเป็น 134 เซนต์ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนตุลาคม) และราคาของกาแฟโรบัสตาคิดเป็น 70% ของกาแฟอาราบิกา ราคาซื้อขายกาแฟผันผวนอย่างมากจากราคาโดยเฉลี่ย 3 ดอลลาร์สหรัฐในโปแลนด์ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกาและ 17 ดอลลาร์สหรัฐในสหราชอาณาจักร แนวคิดของการค้าโดยชอบธรรมให้การรับรองว่าเกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนตามจำนวนราคาที่เจรจาไว้ก่อนการเพาะปลูก เริ่มจากมูลนิธิแมกซ์ ฮาเวลลาร์ ที่เริ่มต้นโครงการดังกล่าวในเนเธอร์แลนด์ ในปี คริสต์ศักราช 2004 ผลผลิตกาแฟ 24,222 เมตริกตันจากผลผลิตกาแฟทั้งหมด 7,050,000 เมตริกตันทั่วโลกเป็นไปตามแนวคิดการค้าโดยชอบธรรม ปีต่อมา ผลผลิตกาแฟ 33,991 เมตริกตันจากทั้งหมด 6,685,000 เมตริกตันเป็นไปตามแนวคิดการค้าโดยชอบธรรม ปริมาณผลผลิตกาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรมคิดเป็น 0.34% ในปี 2004 และ 0.51% ในปี 2005 จากการศึกษาจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่าผลผลิตกาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรมมีผลกระทบในด้านบวกต่อชุมชนที่ปลูกกาแฟ การศึกษาครั้งหนึ่งในปี 2002 แสดงให้เห็นว่าการค้าอย่างชอบธรรมจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทผู้ผลิต เพิ่มผลตอบแทนในการผู้ผลิตรายย่อย และส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น การศึกษาครั้งหนึ่งในปี 2003 สรุปว่าการค้าโดยชอบธรรมนั้น "ได้พัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกรปลูกกาแฟรายย่อยและครอบครัวอย่างมาก" ด้วยการเข้าถึงความน่าเชื่อถือและเงินทุนการพัฒนาจากภายนอก และการเข้าถึงการฝึกฝนได้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพของกาแฟที่ปลูก ครอบครัวของเกษตรกรปลูกต้นกาแฟยังมีความมั่นคงมากกว่าผู้ที่ไม่อยู่ในการค้าโดยชอบธรรม และลูกของพวกเขาก็สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดีขึ้น จากการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตกาแฟแห่งหนึ่งในโบลิเวียในปี 2005 สรุปว่าการรับรองการค้าโดยชอบธรรมจะส่งผลกระทบในด้านบวกต่อราคากาแฟในท้องถิ่น และให้ผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ผู้ผลิตกาแฟทุกราย การผลิตและการบริโภค กาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรม ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบกากาแฟท้องถิ่นและกาแฟระดับชาติได้เริ่มมอบข้อเสนอทางเลือกการค้าโดยชอบธรรมให้แก่เกษตรกรการซื้อขายกาแฟ การซื้อขายกาแฟ. กาแฟยังได้ซื้อขายกันโดยนักลงทุนและผู้แสวงหากำไรเนื่องจากเป็นสินค้าซื้อขายกัน สัญญาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าได้รับการลงนามใน New York Mercantile Exchange ภายใต้สัญลักษณ์การค้าขาย KT และการส่งสัญญาจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม กันยายนและธันวาคมการผลิตเมล็ดกาแฟการคั่ว การผลิตเมล็ดกาแฟ. การคั่ว. ผลกาแฟและเมล็ดกาแฟต้องผ่านกระบวนการมากมายก่อนที่จะกลายมาเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว ขั้นแรก กาแฟจะถูกเลือกสรร โดยใช้มือเป็นส่วนใหญ่ จากนั้น นำมาจัดเรียงตามความสุก สี จากนั้นเนื้อกาแฟจะถูกนำออกโดยเครื่องจักร ส่วนเมล็ดกาแฟจะถูกหมักเพื่อกำจัดชั้นเมือกบาง ๆ ที่เกาะอยู่ตามเมล็ด เมื่อกระบวนการหมักเสร็จสิ้น เมล็ดกาแฟจะถูกล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำบริสุทธิ์คุณภาพสูงเพื่อกำจัดกากที่เกิดจากการหมัก ซึ่งก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนสูงปริมาณมาก หลังจากนั้น เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปตากแห้ง จัดเรียงและระบุว่าเป็นเมล็ดกาแฟเขียว ขั้นตอนต่อไปคือการคั่วเมล็ดกาแฟเขียว โดยปกติแล้ว กาแฟมักจะถูกจำหน่ายหลังจากคั่วแล้ว และกาแฟทุกรูปแบบจำเป็นต้องคั่วก่อนที่จะบริโภค กาแฟสามารถคั่วได้โดยผู้ประกอบการหรือคั่วเองได้ที่บ้าน กระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะส่งผลต่อรสชาติของเมล็ดกาแฟ เนื่องจากเมล็ดกาแฟมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและทางเคมี เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วจะมีมวลลดลงเพราะสูญเสียความชื้นไป แต่จะมีปริมาตรมากขึ้น ทำให้มันมีความหนาแน่นลดลง ความหนาแน่นของเมล็ดกาแฟเองก็ส่งผลต่อความเข้มของกาแฟและความจำเป็นในการบรรจุ กระบวนการคั่วจะเริ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิภายในเมล็ดกาแฟสูงถึง 200 °C แม้ว่าเมล็ดกาแฟแต่ละประเภทจะมีความชื้นและความหนาแน่นที่แตกต่างกัน และยังคั่วด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน ระหว่างการคั่ว ปฏิกิริยารีดอกซ์ของน้ำตาลจะเกิดขึ้นภายในเมล็ดกาแฟ หลังจากที่ความร้อนมหาศาลได้เผาแป้งที่อยู่ในเมล็ดกาแฟ และเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งจะเริ่มเกรียม และเปลี่ยนสีของเมล็ดกาแฟ ระหว่างกระบวนการคั่ว เมล็ดกาแฟจะสูญเสียซูโครสอย่างรวดเร็วและอาจสูญเสียไปทั้งหมดหากคั่วติดต่อกันเป็นเวลานาน ระหว่างการคั่ว น้ำมันหอม กรดและคาเฟอีนจะอ่อนลง ทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนไป ที่อุณหภูมิ 205 °C น้ำมันชนิดอื่นจะขยายขึ้น หนึ่งในนั้นคือ caffeol ซึ่งเกิดขึ้นที่อุณหภูมิ 200 °C ซึ่งทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสชาติ สีของเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่ว สามารถแบ่งได้ด้วยสายตามนุษย์ออกเป็น อ่อน อ่อนปานกลาง ปานกลาง เข้มปานกลาง เข้มและเข้มมาก วิธีตรวจสอบที่มีความแน่นอนกว่าในการตรวจหาระดับของการคั่ว คือ การตรวจวัดแสงสะท้อนจากเมล็ดกาแฟหลังจากการคั่วแล้ว โดยอาศัยแสงจากแหล่งกำเนิดแสงที่ใกล้กับอินฟราเรดสเปคตรัม เครื่องวัดแสงอย่างประณีตใช้กระบวนการที่เรียกว่า สเปคโตรสโกปี เพื่อคืนจำนวนที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งจะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟหรือการพัฒนารสชาติของมัน เครื่องมือดังกล่าวจะถูกใช้ในการรับประกันคุณภาพของกาแฟในธุรกิจคั่วกาแฟเท่านั้น การคั่วให้เมล็ดกาแฟมีสีเข้มมักจะทำให้เมล็ดกาแฟมีผิวเรียบขึ้น เพราะว่าเมล็ดกาแฟเหลือใยอาหารอยู่น้อยและจะมีความหวานมากขึ้น การคั่วอ่อน ๆ เมล็ดกาแฟจะเหลือคาเฟอีนสะสมอยู่มาก ทำให้กาแฟมีรสชาติขมอ่อน ๆ และมีรสชาติเข้มขึ้นจากน้ำมันหอมและกรด ซึ่งจะสูญเสียไปหากคั่วเมล็ดกาแฟเป็นเวลานาน ระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ จะก่อให้เกิดกากเล็กน้อยจากผิวของเมล็ดกาแฟภายหลังการคั่วแล้ว กากจะถูกกำจัดโดยการเคลื่อนไหวของอากาศ แม้ว่าในเมล็ดกาแฟคั่วที่มีสีเข้มกว่าจะมีการเติมกากเพื่อให้เมล็ดกาแฟมีน้ำมันชุ่ม นอกจากนี้ ระหว่างกระบวนการอาจมีการกำจัดคาเฟอีนด้วย เมล็ดกาแฟจะถูกกำจัดคาเฟอีนขณะยังเขียวอยู่ มีหลากหลายวิธีในการกำจัดคาเฟอีนออกจากกาแฟ เช่น การแช่เมล็ดกาแฟในน้ำร้อนหรือการอบเมล็ดกาแฟ จากนั้นใช้ตัวทำละลายในการละลายน้ำมันที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย การกำจัดคาเฟอีนมักจะทำโดยบริษัทผู้ประกอบการ จากนั้นคาเฟอีนที่ถูกแยกออกมามักจะถูกจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมทางยาการเก็บรักษา การเก็บรักษา. เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วแล้วจำเป็นต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อคงความสดของรสชาติเอาไว้ เงื่อนไขในการคงความสด คือ ความกดอากาศและความเย็น อากาศ ความชื้น ความร้อนและแสงสว่างถือว่าเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ ถุงที่พับขึ้นนับว่าเป็นวิธีการทั่วไปที่ลูกค้ามักจะใช้ในการซื้อกาแฟนั้นไม่เหมาะสำหรับการเก็บรักษาในเวลานาน เนื่องจากอากาศสามารถเข้าไปในถุงได้ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมควรจะเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทมีลิ้นทางเดียวเพื่อป้องกันอากาศไม่ให้เข้าไปในบรรจุภัณฑ์นั้นการเตรียมการ การเตรียมการ. เมล็ดกาแฟจะต้องถูกบดและชงเพื่อที่จะทำเป็นเครื่องดื่ม การบดเมล็ดกาแฟคั่วสามารถทำได้ที่เตาอบกาแฟ ในร้านขายของชำ หรือในบ้านก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่เตาอบกาแฟจากนั้นจะบรรจุและจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้า เมล็ดกาแฟสามารถบดได้หลายวิธี เครื่องบดเลื่อยใช้การหมุนในการตัดเมล็ดให้ขาดออกจากกัน เครื่องบดไฟฟ้าใช้การอัดกระแทกของใบมีดทื่อที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไปจนถึงการใช้โกร่งบดยา ประเภทของการบดจะตั้งชื่อตามวิธีของการชงกาแฟที่ใช้กันโดยทั่วไป อย่างเช่น กาแฟตุรกีเป็นการบดที่ดีที่สุด ในขณะที่เครื่องต้มกาแฟหรือหม้อต้มกาแฟเป็นการบดที่ลื่นไหลที่สุด ส่วนการบดแบบธรรมดาจะอยู่กึ่งกลางระหว่างการบดที่ดีที่สุดกับการบดที่ลื่นไหลที่สุดนี้ การบดแบบปานกลางมักจะใช้กับเครื่องชงกาแฟทั่วไปตามบ้าน กาแฟสามารถชงได้หลายวิธี การต้ม การจุ่มน้ำหรือการใช้ความดัน การต้มการแฟโดยใช้วิธีการต้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ยกตัวอย่าง กาแฟต้ม คือ กาแฟตุรกี โดยการตำเมล็ดกาแฟด้วยโกร่งบดยา จากนั้นนำผงกาแฟไปต้มกับน้ำจนเดือดในหม้อที่เรียกว่าเซสฟ์ หรือบริกิ ในภาษากรีก ซึ่งจะทำให้เกิดกาแฟที่มีรสเข้มและมีฟองเกาะอยู่บนผิวหน้าของกาแฟ เครื่องจักรอย่างเช่น เครื่องต้มกาแฟ หรือ เครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ต้มกาแฟโดยใช้แรงโน้มถ่วง น้ำร้อนจะหยดสู่ผงกาแฟซึ่งถูกยึดใว้ในที่กรองกาแฟที่ทำจากกระดาษหรือโลหะที่เจาะรู เพื่อให้น้ำค่อย ๆ ไหลซึมไปยังเมล็ดกาแฟ ขณะที่ดูดซึมน้ำมันไป แรงโน้มถ่วงทำให้ของเหลวสามารถผ่านขวดใส่น้ำหรือหม้อ ขณะที่ผงกาแฟยังคงเก็บไว้ในที่กรองกาแฟอยู่ ด้วยวิธีการดังกล่าว น้ำต้มเดือดจะถูกดันเข้าสู่ที่ว่างเหนือที่กรองกาแฟด้วยแรงดันไอน้ำที่เกิดจากการต้มน้ำ จากนั้นน้ำจะผ่านลงไปด้านล่างผ่านผงกาแฟโดยแรงโน้มถ่วง และกระบวนการจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะถูกหยุดโดยตัวจับเวลาภายใน หรือถ้าโดยทั่วไปแล้วเครื่องบังคับความร้อนในการตัดตัวทำความร้อนเมื่ออุณหภูมิภายในหม้อสูงตามที่กำหนดแล้วแทน เครื่องบังคับความร้อนสามารถควบคุมอุณหภูมิของกาแฟให้คงที่ได้ เนื่องจากเมื่อกาแฟเย็นลง เครื่องบังคับความร้อนจะเปิดให้ตัวทำความร้อนทำงานอีกครั้ง แต่วิธีนี้จำเป็นต้องนำถาดรองผงกาแฟออกหลังจากการต้มครั้งแรกเสร็จแล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดการต้มเพิ่มอีก ผู้ที่มีความพิถีพิถันจะรู้สึกว่าการต้มหลาย ๆ ครั้งจะทำให้กาแฟไม่ได้รสชาติที่ดีที่สุดของมัน กาแฟยังสามารถต้มได้ด้วยวิธีการจุ้มในเครื่องต้มกาแฟ ผงกาแฟและน้ำร้อนจะถูกผสมรวมกันในเครื่องต้ม และใช้เวลาไม่กี่นาทีในการต้ม เครื่องแทงจะลดระดับลงเพื่อใช้แยกผงกาแฟ ซึ่งจะเหลืออยู่ที่ก้นของเครื่องต้ม เนื่องจากผงกาแฟสัมผัสกับน้ำโดยตรง น้ำมันกาแฟทั้งหมดจึงยังเหลืออยู่ในกาแฟนั้น ทำให้กาแฟมีรสชาติเข้มขึ้น และพบว่ามีตะกอนอยู่มากกว่ากาแฟซึ่งผลิตในเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ส่วนกาแฟเอสเพรสโซ่ใช้วิธีการพาสเจอร์ไรซ์ร้อน แต่ไม่ถึงกับเดือด โดยให้น้ำไหลผ่านผงกาแฟ ผลจากการต้มภายใต้แรงดันสูงประมาณ 9-10 หน่วยบรรยากาศ ทำให้เครื่องดื่มเอสเพรสโซ่มีรสแรงมาก คิดเป็น 10-15 เท่าของกาแฟที่ใช้วิธีแรงโน้มถ่วง และมีองค์ประกอบทางกายภาพและทางเคมีที่ซับซ้อน กาแฟเอสเพรสโซ่ชั้นดีจะมีครีมสีน้ำตาลแดงลอยอยู่บนผิวหน้า ที่เรียกว่า "ครีมา" ส่วนเครื่องดื่ม "อเมริกาโน" ซึ่งได้ชื่อมาจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่ทหารเหล่านั้นคิดว่ากาแฟเอสเพรสโซ่ในแบบของชาวยุโรปนั้นมีรสชาติแรงเกินไป จึงมีการทำให้เจือจางโดยใส่น้ำมากขึ้นกว่ากาแฟเอสเพรสโซ่การนำเสนอ การนำเสนอ. เมื่อผ่านการต้มแล้ว กาแฟสามารถนำเสนอได้ในหลายรูปแบบ การต้มหยด ซึม หรือกาแฟที่ทำมาจากเครื่องต้มกาแฟสามารถดื่มได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสารปรุงแต่งเพิ่มเติม หรืออาจจะใส่น้ำตาล นม ครีมหรือทั้งคู่ และยังสามารถเสิร์ฟในน้ำแข็งได้อีกด้วย กาแฟประเภทเอสเพรสโซมีวิธีการนำเสนอหลากหลายรูปแบบ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด กาแฟเอสเพรสโซสามารถดื่มได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเพิ่มเติม หรือในรูปแบบที่มีการเจือจางด้วยน้ำมากขึ้น เรียกว่า "อเมริกาโน" ซึ่งประกอบด้วยเอสเพรสโซหนึ่งหรือสองช็อตผสมกับน้ำร้อน กาแฟอเมริกาโนควรจะเสิร์ฟพร้อมกับเอสพรสโซช็อตเพื่อรักษาครีมาเอาไว้ กาแฟเอสเพรสโซหลายรูปแบบสามารถใส่นมเพื่อปรุงแต่งได้ เมื่อเพิ่มนมร้อนในกาแฟเอสเพรสโซแล้ว จะเรียกว่า "ลาเต" กาแฟเอสเพรสโซและนมในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จะได้ "คาปูชิโน" และยังมีการใช้นมร้อนในการวาดลวดลายบนผิวหน้าของกาแฟ ซึ่งเรียกว่า ศิลปะลาเต้ กาแฟจำนวนมากถูกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ไม่มีเวลาที่จะทำกาแฟของตนเอง กาแฟประเภทนี้ ได้แก่ กาแฟสำเร็จรูป ซึ่งถูกทำให้แห้งจนกลายเป็นผงแป้งที่สามารถละลายน้ำได้ หรือการทำให้แห้งจนเป็นเกล็ดขนาดเล็กซึ่งสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในน้ำ กาแฟกระป๋องเป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในชาวเอเชียเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ผู้ผลิตได้ใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติในการจำหน่ายกาแฟกระป๋องหลายรูปแบบ อย่างเช่น กาแฟต้มหรือกาแฟซึม และมีทั้งกาแฟร้อนและเย็น ร้านสะดวกซื้อและร้านขายของชำในประเทศญี่ปุ่นยังมีการจำหน่ายกาแฟบรรจุขวดหลายรูปแบบ โดยมักจะมีรสหวานอ่อน ๆ และผสมกับนมเล็กน้อย กาแฟบรรจุขวดยังได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา ในบางครั้ง กาแฟเหลวข้นถูกผลิตออกมาเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้คนนับพันในเวลาเดียวกัน รสชาติของมันเทียบได้กับกาแฟโรบัสตาชั้นเลว และใช้ต้นทุนการผลิต 10 เซนต์ เครื่องจักรสามารถผลิตกาแฟได้ 500 ถ้วยต่อชั่วโมง หรืออาจมากถึง 1,000 ถ้วยต่อชั่วโมงถ้าใช้น้ำร้อนในการผลิตกาแฟแต่ละรูปลักษณ์กาแฟกับสังคม กาแฟกับสังคม. กาแฟนั้นแต่เดิมใช้เพื่อเหตุผลทางด้านจิตวิญญาณ เมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา พ่อค้าได้นำกาแฟข้ามทะเลแดงมายังดินแดนอาระเบีย (ปัจจุบัน คือ ประเทศเยเมน) ที่ซึ่งนักบวชชาวมุสลิมได้ปลูกไม้พุ่มในสวนของตน ในตอนแรก ชาวอาหรับได้ผลิตไวน์จากเนื้อของเมล็ดกาแฟหมัก เครื่องดื่มดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันว่า qishr (ปัจจุบัน คือ kisher) และเป็นส่วนประกอบของพิธีการทางศาสนาอีกด้วย หลังจากนั้น กาแฟได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่ทำหน้าที่แทนไวน์ในพิธีกรรมทางศาสนา หลังจากที่ได้มีการห้ามดื่มไวน์ การดื่มกาแฟถูกห้ามโดยชาวมุสลิมตามฮะรอม ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ว่าข้อห้ามดังกล่าวได้ถูกล้มล้างในเวลาไม่นาน การนำไปใช้ในพิธีกรรมทางศานาทำให้กาแฟถูกส่งไปยังนครเมกกะ กาแฟถูกกล่าวว่าเป็นต้นเหตุของการประพฤติตนนอกคอก การผลิตและการบริโภคกาแฟถูกปราบปราม ต่อมา กาแฟถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในจักรวรรดิออตโตมาน กาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มของชาวมุสลิม ถูกห้ามในหมู่ชาวเอธิโอเปียซึ่งนับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ จนกระทั่งถึงปี คริสต์ศักราช 1889 ซึ่งได้เป็นเครื่องดื่มประจำชาติของเอธิโอเปีย ที่ไม่ว่าคนที่นับถือความเชื่อใดก็สามารถดื่มได้ทั้งสิ้น การใช้กาแฟในกิจกรรมก่อการกบฏทางการเมืองทำให้กาแฟถูกห้ามในสหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ ในยุคเดียวกับที่มีการห้ามดื่มกาแฟในจักรวรรดิออตโตมานนั้น การห้ามกาแฟยังสามารถพบเห็นได้ในวิหารคริสต์ศาสนานิกายมอมะนิสม์แห่งพระเยซูคริสต์เจ้า ซึ่งได้กล่าวอ้างว่าการดื่มกาแฟจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมาจากทฤษฎีทางด้านสุขภาพของชาวคริสต์นิกายมอมะนิสม์ในปี คริสต์ศักราช 1833 โดยผู้ก่อตั้งนิกาย โจเซฟ สมิธ ในพระวจนะที่เรียกว่า ถ้อยคำแห่งปัญญา แต่ถ้อยคำแห่งปัญญานี้ไม่ได้หมายความตามชื่อ แต่ยังรวมไปถึงข้อกำหนดที่ว่า "เครื่องดื่มร้อนไม่ใช่ของสำหรับดื่ม" จึงมีการตีความว่า ห้ามการดื่มกาแฟและชาด้วย นอกจากนี้ สมาชิกของคริสต์ศาสนาแอดเวนทิสต์วันที่เจ็ดยังได้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เนื่องจากคริสตจักรได้สอนให้พวกเขาละเว้นจากการดื่มชาและกาแฟ รวมไปถึงเครื่องดื่มบำรุงกำลังอื่น ๆ การศึกษาวิจัยของนิกายแอดเวนทิสต์ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เล็กแต่ว่าส่งผลอย่างมากในทางสถิติระหว่างการดื่มกาแฟกับอัตราการตายจากการเป็นโรคหัวใจ และอีกหลายสาเหตุของการเสียชีวิตผลกระทบต่อสุขภาพ ผลกระทบต่อสุขภาพ. จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับคุณสมบัติทางยา ผลที่ได้จากการศึกษานั้นมีความขัดแย้งกันในเรื่องของประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ และยังมีความขัดแย้งกันในด้านผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคกาแฟอีกด้วย การดื่มกาแฟดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดขนาดของหน้าอก และการได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเต้านม กาแฟดูเหมือนว่าจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคตับแข็ง และโรคเกาต์ จากผลของการศึกษาระยะยาวในปี คริสต์ศักราช 2009 พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม (ได้แก่ 3-5 ถ้วยต่อวัน) จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะไหลย้อนกลับและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบที่เกิดจากการดื่มกาแฟบางอย่างเป็นเพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ แต่ก็ใช่ว่าส่วนประกอบอย่างอื่นไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเสียทีเดียว อย่างเช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันอนุมูลอิสระภายในร่างกาย กาแฟช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้มันยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจอีกด้วย ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น กาแฟมีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา ทีมวิจัยของ University of Bari ประเทศอิตาลี พบว่าการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุกได้ และยังช่วยลดอัตราการกระตุกให้ช้าลงได้สำหรับผู้ป่วย นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เยเซอร์ ดอร์รี ได้เสนอว่ากลิ่นของกาแฟสามารถลดอาการอยากอาหารและสามารถฟื้นฟูประสาทรับกลิ่นได้ เขายังเสนอว่าผู้คนสามารถลดอาการอยากอาหารได้เมื่อพวกเขาได้สูดดมกลิ่นเมล็ดกาแฟเข้าไป และทฤษฎีดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับสัตว์ทดลองอีกด้วย แต่ว่าคาเฟอีนก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่ดื่มกาแฟมากเกินไป อย่างเช่น อาการ "ใจสั่น" ซึ่งเป็นอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับคาเฟอีนมากเกินไป กาแฟยังเพิ่มความดันโลหิตให้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่ผลการศึกษาเพิ่มเติมก็ยังแสดงให้เห็นว่ามันช่วยลดอัตราเสี่ยงโดยรวมในการเกิดโรคหัวใจด้วย กาแฟยังทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับในบางคน แต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้บางคนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังอาจทำให้เกิดความกังวลและอาการหงุดหงิดง่ายให้กับบางคนที่ดื่มมากเกินไป และบางคนก็เกิดอาการทางประสาท ผลกระทบบางอย่างของกาแฟก็เกิดขึ้นกับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น มันทำให้อาการป่วยเลวร้ายลงในกรณีของผู้ป่วยประเภท PMS และยังลดความสามารถในการมีบุตรของสตรี และยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดระดู และยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หากแม่ดื่มตั้งแต่ 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป) ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ในประเทศเดนมาร์กได้มีการศึกษาสตรีจำนวน 18,478 คนซึ่งดื่มกาแฟเป็นปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์ พบว่ามันส่งผลให้อัตราเสี่ยงของการตายของทารกหลังคลอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก (แต่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการตายในปีแรกของทารก) ในรายงานระบุว่า "ผลการศึกษาบ่งชี้ถึงผลกระทบจากการดื่มตั้งแต่ 4 ถึง 7 ถ้วยต่อวัน" คนที่ดื่ม 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 220% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม การศึกษานี้ยังไม่ได้มีการทำซ้ำให้แน่ใจ แต่ก็ทำให้แพทย์หลายๆ คนเพิ่มความระมัดระวังต่อการดื่มกาแฟมากเกินไปของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ผลการศึกษาตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2547 ใน American Journal of Clinical Nutrition พยายามค้นหาว่าทำไมประโยชน์และโทษของกาแฟจึงได้ดูขัดกันเอง และได้ค้นพบว่าการดื่มกาแฟมีความเกี่ยวข้องกับการปรากฏชัดทางชีวเคมีของอาการอักเสบและเป็นผลกระทบที่รุนแรงของกาแฟต่อระบบหัวใจร่วมหลอดเลือด ซึ่งเป็นตัวอธิบายว่าทำไมกาแฟจึงได้มีผลดีต่อหัวใจเมื่อดื่มไม่เกินวันละ 4 ถ้วยเท่านั้น (ไม่เกิน 20 ออนซ์) คาเฟอีนจึงเปรียบเสมือนยาพิษหากเสพมากเกินไป การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง อย่างเช่น เป็นเม็ดหรือเป็นผง ในปริมาณมาก ก็อาจทำให้ร่างกายอาเจียน หมดสติ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากผลของการสำรวจพบว่า 10% ของผู้ตอบที่ดื่มกาแฟในปริมาณ 235 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป รายงานว่าตนมีความทุกข์มากขึ้นเมื่อตนขาดคาเฟอีน ในขณะที่ผู้ตอบ 15% บอกว่าตนได้เลิกการบริโภคคาเฟอีนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของตน
| กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากส่วนใดของต้นกาแฟ | {
"answer": [
"เมล็ด"
],
"answer_begin_position": [
108
],
"answer_end_position": [
113
]
} |
2,019 | 56,151 | สตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์ () เป็นร้านกาแฟจากอเมริกาในเมืองซีแอตเทิลในรัฐวอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1971 โดย กอร์ดอน โบเคอร์, เจอรี่ บัลด์วิน และซิฟ ซีเกิ้ล โดยตอนแรกใช้โลโก้เป็นรูปไซเรน 2 หาง ก่อตั้งในฐานะร้านขายเมล็ดกาแฟคั่ว ต่อมาปี 1982 สตาร์บัคส์มีสาขา 5 สาขา และโฮเวิร์ด ชูลทส์ได้เข้ามาร่วมงานด้วย โดยดูแลด้านการตลาดและค้าปลีก ซึ่งเขาเป็นผู้แนะนำให้สตาร์บัคส์เปิดเป็นบาร์กาแฟ แต่หลายคนก็ไม่เชื่อในวิสัยทัศน์ของเขา ต่อมาชูลทส์ได้ลาออกจากบริษัท ไปเปิดบาร์กาแฟของตนเองชื่อ อิล จิออร์เนล และจำหน่ายกาแฟของสตาร์บัคส์ ในปี 1987 สตาร์บัคส์ประสบปัญหายุ่งยากจากการไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ ปี 1988 อิล จิออร์เนลจึงซื้อกิจการด้านค้าปลีกไว้พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น และจ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามาดูแล ปี 1992 สตาร์บัคส์ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ และในปี 1996 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกนอกอเมริกาเหนือที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมากกว่า 1 ใน 3 ของร้านสตาร์บัคส์ทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วสตาร์บัคส์เปิดสาขาใหม่เพิ่มวันละ 2 สาขาระหว่างปี 1987 และ 2007 บริษัทได้เริ่ม Caffe Starbucks เป็นระบบบริการออนไลน์โดยอาศัยเครือข่ายของ เอโอแอล สัญลักษณ์ของสตาร์บัคส์ครั้งแรกนั้นเป็นรูปนางเงือก ซึ่งเป็น นางเงือกไซเรนสองหาง (Norse Siren) ในเทพนิยายปรัมปรา เพื่อให้นึกถึงการผจญภัยในทะเล และปรับเปลี่ยนหลายครั้งและล่าสุดคือ ค.ศ. 2011 ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันสตาร์บัคส์ มีสาขากว่า 27,984 สาขาทั้งในสหรัฐฯและในอีก 73 ประเทศ ในปีค.ศ. 2018 ประเทศไทยมีจำนวนสาขาทั้งหมด 328 สาขา อดีตประธานบริหาร โฮเวิร์ด ชูลทส์ (Howard Schultz)ประกาศลาออกเมื่อเดือนเมษายน 2017 ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารปัจจุบันคือ เควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson)ประวัติก่อตั้ง ประวัติ. ก่อตั้ง. สตาร์บัคส์สาขาแรกก่อตั้งขึ้นในซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1971 โดย 3 ผู้ก่อตั้งที่ได้รู้จักกันในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก คือ เจอร์รี บัลด์วิน ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ, เซฟ ซีเกิล อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ และ กอร์ดอน โบว์เกอร์ นักเขียน โดยพวกเขามีแรงบันดาลในที่จะขายเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง และอุปกรณ์คั่วกาแฟโดย อัลเฟรด พีท หลังจากที่ได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับการคั่วเมล็ดกาแฟ บริษัทได้นำชื่อจากหนังสือโมบิดิก คือ สตาร์บัค (Starbuck) หลังจากคิดค้นมาหลายชื่อเช่น "คาร์โกเฮาส์" (Cargo House) และ "พีควด" (Pequod) โบว์เกอร์ได้ปรึกษากับเทอร์รี เฮกเลอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าตัวอักษร "st" นั้นดูแข็งแรง ผู้ก่อตั้งจึงรวมหัวกันคิดชื่อที่ขึ้นต้นด้วย "st" ซึ่งได้มีคนหนึ่งนำแผนที่เหมืองเก่าของเทือกเขาแคสเคด และเห็นชื่อเมืองในเหมืองที่ชื่อว่า "สตาร์โบ" (Starbo) และโบว์เกอร์ก็ได้ยกตัวละคร "สตาร์บัค" (Starbuck) และกล่าวว่า โมบิดิก ไม่ได้มีบทเด่นสำหรับสตาร์บัคส์ และชื่อนี้ฟังดูตรงกับความต้องการของเรา สตาร์บัคส์สโตร์สาขาแรกตั้งขึ้นในซีแอทเทิล ที่ 2000 เวสต์เทิร์นอเวนิล ตั้งแต่ ค.ศ. 1971–1976 และสาขานี้ได้ย้ายไปยัง 1912 ไพก์เพลซ และไม่ได้มีการย้ายอีก ในช่วงนั้น ทางบริษัทได้จำหน่ายเพียงเมล็ดกาแฟคั่วเท่านั้น ยังไม่ได้จำหน่ายกาแฟสำเร็จรูป ซึ่งกาแฟสำเร็จรูปที่อยู่ในร้านเป็นเพียงแก้วทดลองซึ่งแจกฟรีให้กับลูกค้า โดยปีแรกพวกเขาได้ซื้อเมล็ดกาแฟจากพีท หลังจากนั้นจึงเริ่มซื้อจากชาวสวนโดยตรงขยายตัว ขยายตัว. ในปี ค.ศ. 1984 เจ้าของบริษัทสตาร์บัคส์ นำโดยเจอร์รี บัลด์วิน ได้ทำการซื้อ พีทส์ ซึ่งในช่วงยุค 80 ยอดขายของกาแฟในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างซบเซา แต่ยอดขายของกาแฟชนิดพิเศษกลับเพิ่มขึ้น 10% ของตลาดในปี ค.ศ. 1989 เทียบกับปี ค.ศ. 1983 ที่ 3% ในปี ค.ศ. 1986 บริษัทได้เปิดร้านแล้วถึง 6 สาขาในซีแอทเทิลโดยมีสาขาหนึ่งเริ่มทดลองขายกาแฟเอสเปรสโซ ต่อมาในปี ค.ศ. 1987 ผู้บริหารได้ตัดสินใจขายสาขาของสตาร์บัคส์ให้กับผู้จัดการสาขา โฮเวิร์ด ชูลซ์ ได้ปรับปรุงร้านกาแฟ อิลจีออร์นาเลคอฟฟี ของเขาเป็นสตาร์บัคส์ และเริ่มต้นที่จะขยายสาขาออกไป ต่อมาในปีเดียวกัน สตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาไปยังนอกซีแอทเทิลสาขาแรก ที่สถานีวอเตอร์ฟรอนต์ ที่แวนคูเวอร์ ใน รัฐบริติชโคลัมเบีย และ ชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1989 ได้มีร้านถึง 46 สาขาทั้งในเขตนอร์ธเวสต์และมิดเวสต์ อีกทั้งสตาร์บัคส์ยังได้ขายกาแฟไปถึง และถึงเวลาที่จะทำการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก บนตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 ซึ่งในขณะนั้นมีร้านถึง 140 สาขา และรายได้ 73.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1987 โดยบริษัทมีมูลค่าทางการตลาด 271 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น โดยหุ้น 12% ของบริษัทได้ถูกขายและเพิ่มขึ้นประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มตามร้านค้าที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในสองปีถัดมา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1992 สตาร์บัคส์ได้มีมูลค่ามากขึ้น 70% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เท่าจากปีก่อน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 มากกว่า 10% ของการซื้อสินค้าในร้านมาจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือผ่านแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์ โดยบริษัทได้ทำโปรโมชัน "ทวีตอะคอฟฟี" (Tweet-a-Coffee) เพื่อส่งเสริมการซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือในเดือนตุลาม ค.ศ. 2013 ในโอกาสนี้ โปรโมชันที่ใช้ทวิตเตอร์ ซึ่งลูกค้ามีโอกาสได้รับบัตรของขวัญมูลค่า 5 ดอลลาร์ สำหรับเพื่อนที่เมนชัน "@tweetacoffee" และเพื่อนที่แท็กในทวีต โดยคีย์โฮลได้ตรวจสอบเกี่ยวกับแคมเปญนี้ โดยวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ได้รายงานว่า มี 27,000 คนเข้าร่วมแคมเปญนี้ และมียอดซื้อถึง 180,000 ดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกันตลาดใหม่ ตลาดใหม่. สาขาแรกของสตาร์บัคส์ที่ตั้งอยู่นอกอเมริกาเหนือตั้งอยู่ที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1996 ต่อมาได้เข้าทำตลาดในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1998 ด้วยมูลค่า 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยร้าน 56 สาขา และปรับปรุงร้านภายใต้ชื่อ สตาร์บัคส์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในลาตินอเมริกา ที่เม็กซิโกซิตี ซึ่งในขณะนี้มีมากกว่า 500 สาขาในประเทศเม็กซิโก อีกทั้งยังมีแผนที่จะขยายเป็น 850 สาขาใน ค.ศ. 2018 ในปี ค.ศ. 1999 สตาร์บัคส์ได้ทดลองตลาดใหม่ด้วยการเปิดร้านอาหารในซานฟรานซิสโกเบย์ ซึ่งร้านมีชื่อว่า "เซอร์คาเดีย" (Circadia) ซึ่งอนาคตจะมีการเปลี่ยนเป็นสตาร์บัคส์ คาเฟ่ ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้ก่อตั้งบริษัทค้าขายกาแฟในโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อซื้อเมล็ดกาแฟเขียว ซึ่งธุรกิจอื่น เช่น ร้านกาแฟ ยังคงจัดการจากซีแอทเทิลโดยตรง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ซีแอทเทิลส์เบสต์คอฟฟี และ ทอร์เรฟาซีโอเน อีตาเลีย จาก เอเอฟซีเอนเตอร์ไพรซ์ ด้วยมูลค่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้มีร้านสตาร์บัคส์เพิ่ม 150 สาขา แต่ตามรายงานของซีแอทเทิลโพสต์-อินเทลิเจนเซอร์ กล่าวว่าทำให้ธุรกิจค้าส่งมีสัญญาณที่ดีขึ้น ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ดายดริชคอฟฟี ได้ยืนยันที่จะขายบริษัทและร้านค้าทั้งหมดให้กับสตาร์บัคส์ รวมถึงสาขาของร้านคอฟฟีพีเพิล ในรัฐออริกอนด้วย ทำให้ต่อมาได้เปลี่ยนร้านทั้งหมดเป็นสตาร์บัคส์ ยกเว้นร้านคอฟฟีพีเพิลในสนามบินนานาชาติพอร์ตแลนด์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในอเมริกาใต้ ตั้งอยู่ในลิมา ประเทศเปรู ในปี ค.ศ. 2007 บริษัทได้ทำการเปิดสาขาแรกในประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็น 10 ปีหลังจากได้จดทะเบียนการค้าที่นี่ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 พวกเขาได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตเครื่องคั่วกาแฟ และได้ทดสอบการทำกาแฟสดที่ร้านสตาร์บัคส์ในซีแอทเทิล, แคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ก และบอสตัน ต้นปี ค.ศ. 2008 สตาร์บัคส์ได้เปิดเว็บไซต์คอมมูนิตี "มายสตาร์บัคส์ไอเดีย" เพื่อเก็บข้อสงสัยและความคิดเห็นจากลูกค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถให้ความคิดเห็นและโหวตได้ ซึ่งให้บริการโดย เซลส์ฟอร์ซดอตคอม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 ได้มีการเปิดตัวบัตรสตาร์บัคส์ (เปลี่ยนจากบัตรของขวัญ) ซึ่งนำเสนอการใช้วายฟายฟรีภายในร้าน, การไม่คิดค่านมถั่วเหลืองและไซรัป รวมไปถึงกาแฟ, กาแฟเย็น และชา สามารถเติมฟรีได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 สตาร์บัคส์ได้เริ่มทดสอบแอปพลิเคชันบนมือถือของบัตรสตาร์บัคส์ ซึ่งจะเก็บมูลค่าของบัตรเพื่อนำมาซื้อสินค้าภายในร้าน สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2011 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ทำการยื่นซื้อ ทีวานา ในราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และข้อเสนอได้เสร็จสิ้นในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม และประกาศว่าจะเปิดสาขาในประเทศโคลอมเบีย ในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ในการประชุมที่โบโกตา ซึ่งประธานบริษัทได้กล่าวว่า "สตาร์บัคส์เคารพและชื่นชอบประเพณีของกาแฟในโคลอมเบีย" เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในวิลเลียมส์เบิร์ก ในบรูกลิน ซึ่งสาขานี้เป็นหนึ่งใน 30 สาขาของสตาร์บัคส์ที่วางขายเบียร์และไวน์. ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 ได้มีการเปิดเผยว่าสตาร์บัคส์จะได้หุ้นอีก 60.5% ในร้านสตาร์บัคส์ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ที่ราคา 913.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะเปิดสาขาใน ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นสาขาในประเทศที่ 16 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยร้านแรกจะตั้งที่พนมเปญ ในปลายปี ค.ศ. 2015 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะทำตลาดในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ 24 ในทวีปยุโรป โดยจะเปิดสาขาแรกในมิลาน ภายในปี ค.ศ. 2017 ในเดือนสิงหาคม ฟลักซ์พอร์ต บริษัทสตาร์ตอัป ได้เปิดตัว "ชี" (Qi) ซึ่งเป็นแท่นชาร์จแบตเตอรี โดยเลือกที่จะใช้ในร้านที่ประเทศเยอรมนี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวซีรีส์ "อัปสแตนเดอร์" (Upstanders) ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากชาวอเมริกันเกี่ยวกับความเมตตา, ความเป็นพลเมือง และความสุภาพ ซีรีส์จะมีทั้งแบบพอดแคสต์, คำพูด และวิดีโอ โดยจะออกอากาศทางแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์, ออนไลน์ และดิจิทัลเน็ตเวิร์กของร้านการบริหารกิจการ การบริหารกิจการ. โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานบริษัทได้กล่าวถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องของกิจการตามวัฒนธรรมองค์กร ชูลซ์ ได้ขึ้นมารับตำแหน่งประธานกรรมการจนถึงปี ค.ศ. 2000 โอริน ซี. สมิธ ได้เป็นประธานต่อจากชูลซ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 จนถึง ค.ศ. 2005 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ชูลซ์ ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งหลังจาก 8 ปีผ่านไป โดยรับตำแหน่งแทน จิม ดอนัลด์ ประธานคนก่อนหน้า ซึ่งรับตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และลาออกในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ชูลซ์ มีเป้าหมายที่จะกู้คืนสตาร์บัคส์ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์การตลาดเชื่อว่า ชูลซ์ จะต้องกำหนดวิธีการที่จะรับมือต้นทุนที่สูงขึ้นและราคาของสินค้าที่ลดลง ซึ่งต้องแข่งขันกับร้านอาหารจานด่วนที่มีราคาถูกอย่างแมคโดนัลด์ และ ดังกิ้นโดนัท ทำให้สตาร์บัคส์ตัดสินใจที่จะยกเลิกแซนด์วิชอุ่นร้อน ซึ่งเป็นเมนูอาหารเช้าที่เคยมีแผนจะเปิดตัวทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2008 โดยตั้งเป้าที่จะมีจุดมุ่งหมายทางด้านการขายกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็นำมาขายอีกครั้งเนื่องจากมีข้อร้องเรียนจำนวนมากและยังคงอยู่ในสายการผลิต ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 ทรอย อัลสเตด ผู้บริหารเชิงปฏิบัติการของสตาร์บัคส์ ได้ตัดสินใจที่จะลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ต่อมา เควิน จอห์นสัน จึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารเชิงปฏิบัติการแทนอัลสเตด ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ทำการจ้างผู้บริหารทางด้านเทคโนโลยีคนแรก โดย แกร์รี มาร์ติน-ฟลิกกินเกอร์ เข้ามารับตำแหน่งเพื่อที่จะพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี การดำเนินการหลักในการควบคุมคุณภาพของสตาร์บัคส์คือการติดต่อกับชาวสวนที่จะรักษาเมล็ดกาแฟ, การคั่วเมล็ดกาแฟ และการจัดการกระจายสินค้าไปยังสาขาของสตาร์บัคส์ นอกจากนี้สตาร์บัคส์และชาวสวนจะต้องตกลงราคาในการขายเมล็ดกาแฟร่วมกันสินค้า สินค้า. ในปี ค.ศ. 1994 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ เดอะคอฟฟีคอนเนคชัน เพื่อที่จะได้สิทธิในการใช้, ผลิต, ทำการตลาด และ ขายเครื่องดื่มแฟรปปูชิโน โดยเครื่องดื่มได้ถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อของสตาร์บัคส์ในปี ค.ศ. 1995 โดยในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ประกาศว่ายอดขายแฟรปปูชิโนขายไปแล้วมากกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทได้เริ่มผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพใน ค.ศ. 2008 ซึ่งรวมไปถึงเครื่องดื่มในรูปแบบโลว์แคลลอรีและไม่มีน้ำตาล โดยจะใช้นมพร่องมันเนยแทนนมปกติ และสามารถเพิ่มความหวานได้ด้วยสิ่งที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ (เช่น น้ำตาลทราย, น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง), สารให้ความหวาน (เช่น สวีตแอนด์โลว์, สเปลนดา, อีควอล). สตาร์บัคส์ได้เลิกขายผลิตภัณฑ์จากนมวัวที่ถูกเลี้ยงด้วย rBGH ในปี ค.ศ. 2007 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 บริษัทได้ยืนยันที่จะปรับปรุงเมนูใหม่ อีกทั้งยังขายสลัดและเบเกอรีโดยไม่ใช้ไซรัปที่มีฟรักโทสสูงหรือการใช้ส่วนผสมเทียม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยไม่เพิ่มต้นทุนและราคา สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวกาแฟสำเร็จรูป มีชื่อว่า "VIA Ready Brew" ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 โดยเปิดตัวครั้งแรกในนิวยอร์ก อีกทั้งยังทดลองขายในซีแอทเทิล, ชิคาโก และลอนดอน โดย เวีย 2 รสชาติแรกคือ อิตาเลียนโรสต์ และ โคลอมเบีย ซึ่งทั้ง 2 รสชาติเลิกวางขายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 โดยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะมีการทำโปรโมชัน บลายด์เทสต์ (Blind taste) เพื่อที่จะให้ลูกค้าทดลองชิมกาแฟเพียงลิ้มรสอย่างเดียว สตาร์บัคส์เริ่มขายเบียร์ และ ไวน์ ในบางสาขาที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 2010 ต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 มีการขายเบียร์และไวน์ใน 7 สาขา ในปี ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์เปิดตัวขนาดแก้วใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า "เทรนตา" (Trenta) โดยมีขนาด 31 ออนซ์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว "เวริสโม" (Verismo) เครื่องทำกาแฟขนาดเล็ก ซึ่งมีที่ใส่นมสำหรับการทำลาตเทด้วย ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์ได้ทำการประกาศว่าได้ซื้ออีโวลูชันเฟรช บริษัทน้ำผลไม้ ด้วยมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะทำการขายน้ำผลไม้ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2012 เพื่อตีตลาดแข่งกับ จัมบา โดยสาขาแรกที่วางขายน้ำผลไม้คือสาขาในซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และวางแผนที่จะวางขายในซานฟรานซิสโกซึ่งได้วางขายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2013 ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เริ่มขายเครื่องดื่มสำเร็จรูปแบบเย็นที่มีสารสกัดจากเมล็ดกาแฟอาราบิกา ซึ่งเครื่องดื่มจะมีรสชาติของผลไม้และจะมีคาเฟอีน ผสมอยู่ด้วย แต่โฆษณาว่าผสมกาแฟ ซึ่งกระบวนการสกัดมาจากการนำเมล็ดกาแฟลงไปแช่ในน้ำ ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะเผยแพร่จำนวนแคลลอรีของเครื่องดื่มและอาหารที่สตาร์บัคส์ทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์เริ่มผลิตโซดา โดยมีชื่อว่า "ฟิซซิโอ" (Fizzio) ในปี ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มวางขายกะทิ ซึ่งเป็นทางเลือกในการปรุงเครื่องดื่มจากนมและถั่วเหลืองชา ชา. สตาร์บัคส์ได้เริ่มทำการตลาดชาในปี ค.ศ. 1999 หลังจากซื้อ "ทาโซ" (Tazo) ด้วยมูลค่าทางการตลาด 8.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปลายปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ทีวานา ด้วยราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ไม่มีความตั้งใจในการที่จะขยายตลาดของร้านค้าทีวานา แม้ว่าจะเคยวางแผนที่จะวางตลาดในสาขาในห้างสรรพสินค้า ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะวางขายทีวานาในสาขาของสตาร์บัคส์ ทั้งเครื่องดื่มสำเร็จรูปและในแบบขายปลีกคุณภาพของกาแฟ คุณภาพของกาแฟ. เควิน น็อก ซึ่งดูแลและควบคุมคุณภาพของโดนัท ในร้านสตาร์บัคส์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 จนถึง 1993 ได้เขียนบนบล็อกของเขาในปี ค.ศ. 2010 ว่า จอร์จ โฮเวลล์นักตรวจสอบคุณภาพกาแฟ ผู้ก่อตั้งคัพออฟเอกเซเลนซ์ ซึ่งได้วิตกเมื่อสตาร์บัคส์ได้ขายกาแฟคั่วสีดำ ในปี ค.ศ. 1990 โดยได้เปิดเผยกับนิวยอร์กไทมส์ ในปี ค.ศ. 2008 โฮเวลล์ได้ระบุว่าการคั่วเมล็ดกาแฟเข้มสีดำของสตาร์บัคส์ ไม่ได้ทำให้กาแฟมีรสเข้มขึ้น แต่ทำลายความแตกต่างของรสชาติจากกาแฟปกติ คอนซูเมอร์รีพอตส์ ฉบับเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 ได้จัดอันดับกาแฟของสตาร์บัคส์ไว้ต่ำกว่ากาแฟพรีเมียมของแมคโดนัลด์ โดยให้ความเห็นว่า "รสเข้มแต่มีความขมพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้" ตามรายงานของไทม์ ในปี ค.ศ. 2010 มีการวิจารณ์จำนวนมากว่ากาแฟของสตาร์บัคส์คั่วนานเกินไป แม้ว่าการชงกาแฟสดจะมีในทุกสาขาของสตาร์บัคส์ แต่บริษัทไม่ได้มีการโฆษณามากนัก เพราะมีวิธีการที่ยุ่งยากและมีผลกำไรที่ต่ำกว่าเอสเปรสโซปกติสินค้าอื่น สินค้าอื่น. ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว สตาร์บัคส์ เวริสโม ซึ่งเป็นเครื่องทำกาแฟขนาดเล็กที่สามารถทำเอสเปรสโซและช็อกโกแลตจากเครื่องได้ โดยตัวเครื่องใช้ระบบ K-Fee และมีถ้วยชนกาแฟที่มีถ้วยเดียว ในการวิจารณ์ของคอนซูเมอร์รีพอตส์ต่อรุ่น 580 นั้นได้ทดสอบและระบุไว้ว่า "การล้างถ้วยทุกครั้งไม่ใช่ความสะดวกสบายของการทำกาแฟในเวลาที่ต้องการหลาย ๆ ถ้วย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมที่จะสามารถปรับระดับความเข้มได้ แต่เวริสโมมีเพียงปุ่มทำกาแฟ, เอสเปรสโซ และ ลาทเต ไม่มีปุ่มที่จะปรับระดับความเข้ม เหมือนสตาร์บัคส์ต้องการที่จะจำกัดในการใช้แบรนด์ของพวกเขา ซึ่งมีเพียง 8 รูปแบบในการใช้นมสำหรับการทำลาทเต"สาขา สาขา. บริษัทมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีพนักงาน 3,501 คน (ข้อมูลในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015)สาขาปัจจุบัน สาขาปัจจุบัน. ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์เปิดสาขาใน 72 ประเทศและดินแดนปกครองตนเองร้านค้าอิสระ ร้านค้าอิสระ. อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ ยังมีร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างอิสระกับร้านค้าอื่น คือ อาโฮลด์เดลไฮซ์, บานส์แอนด์โนเบิล, ทาร์เก็ต, ทอมทัมบ์ ในปี ค.ศ. 2015 มีสาขาอิสระถึง 4,962 สาขาจำนวนสาขา จำนวนสาขา. ในเวอร์ชันที่สามที่ใช้ระหว่างปี 1992 ถึง 2011 ทั้งสะดือและหน้าอกของเธอไม่สามารถมองเห็นเลย มีเพียงร่องรอยของหางปลาเท่านั้น
| ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด | {
"answer": [
"อเมริกา"
],
"answer_begin_position": [
123
],
"answer_end_position": [
130
]
} |
2,020 | 56,151 | สตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์ () เป็นร้านกาแฟจากอเมริกาในเมืองซีแอตเทิลในรัฐวอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1971 โดย กอร์ดอน โบเคอร์, เจอรี่ บัลด์วิน และซิฟ ซีเกิ้ล โดยตอนแรกใช้โลโก้เป็นรูปไซเรน 2 หาง ก่อตั้งในฐานะร้านขายเมล็ดกาแฟคั่ว ต่อมาปี 1982 สตาร์บัคส์มีสาขา 5 สาขา และโฮเวิร์ด ชูลทส์ได้เข้ามาร่วมงานด้วย โดยดูแลด้านการตลาดและค้าปลีก ซึ่งเขาเป็นผู้แนะนำให้สตาร์บัคส์เปิดเป็นบาร์กาแฟ แต่หลายคนก็ไม่เชื่อในวิสัยทัศน์ของเขา ต่อมาชูลทส์ได้ลาออกจากบริษัท ไปเปิดบาร์กาแฟของตนเองชื่อ อิล จิออร์เนล และจำหน่ายกาแฟของสตาร์บัคส์ ในปี 1987 สตาร์บัคส์ประสบปัญหายุ่งยากจากการไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ ปี 1988 อิล จิออร์เนลจึงซื้อกิจการด้านค้าปลีกไว้พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชั่น และจ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามาดูแล ปี 1992 สตาร์บัคส์ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ และในปี 1996 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกนอกอเมริกาเหนือที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมากกว่า 1 ใน 3 ของร้านสตาร์บัคส์ทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วสตาร์บัคส์เปิดสาขาใหม่เพิ่มวันละ 2 สาขาระหว่างปี 1987 และ 2007 บริษัทได้เริ่ม Caffe Starbucks เป็นระบบบริการออนไลน์โดยอาศัยเครือข่ายของ เอโอแอล สัญลักษณ์ของสตาร์บัคส์ครั้งแรกนั้นเป็นรูปนางเงือก ซึ่งเป็น นางเงือกไซเรนสองหาง (Norse Siren) ในเทพนิยายปรัมปรา เพื่อให้นึกถึงการผจญภัยในทะเล และปรับเปลี่ยนหลายครั้งและล่าสุดคือ ค.ศ. 2011 ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันสตาร์บัคส์ มีสาขากว่า 27,984 สาขาทั้งในสหรัฐฯและในอีก 73 ประเทศ ในปีค.ศ. 2018 ประเทศไทยมีจำนวนสาขาทั้งหมด 328 สาขา อดีตประธานบริหาร โฮเวิร์ด ชูลทส์ (Howard Schultz)ประกาศลาออกเมื่อเดือนเมษายน 2017 ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารปัจจุบันคือ เควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson)ประวัติก่อตั้ง ประวัติ. ก่อตั้ง. สตาร์บัคส์สาขาแรกก่อตั้งขึ้นในซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1971 โดย 3 ผู้ก่อตั้งที่ได้รู้จักกันในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก คือ เจอร์รี บัลด์วิน ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ, เซฟ ซีเกิล อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ และ กอร์ดอน โบว์เกอร์ นักเขียน โดยพวกเขามีแรงบันดาลในที่จะขายเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง และอุปกรณ์คั่วกาแฟโดย อัลเฟรด พีท หลังจากที่ได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับการคั่วเมล็ดกาแฟ บริษัทได้นำชื่อจากหนังสือโมบิดิก คือ สตาร์บัค (Starbuck) หลังจากคิดค้นมาหลายชื่อเช่น "คาร์โกเฮาส์" (Cargo House) และ "พีควด" (Pequod) โบว์เกอร์ได้ปรึกษากับเทอร์รี เฮกเลอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าตัวอักษร "st" นั้นดูแข็งแรง ผู้ก่อตั้งจึงรวมหัวกันคิดชื่อที่ขึ้นต้นด้วย "st" ซึ่งได้มีคนหนึ่งนำแผนที่เหมืองเก่าของเทือกเขาแคสเคด และเห็นชื่อเมืองในเหมืองที่ชื่อว่า "สตาร์โบ" (Starbo) และโบว์เกอร์ก็ได้ยกตัวละคร "สตาร์บัค" (Starbuck) และกล่าวว่า โมบิดิก ไม่ได้มีบทเด่นสำหรับสตาร์บัคส์ และชื่อนี้ฟังดูตรงกับความต้องการของเรา สตาร์บัคส์สโตร์สาขาแรกตั้งขึ้นในซีแอทเทิล ที่ 2000 เวสต์เทิร์นอเวนิล ตั้งแต่ ค.ศ. 1971–1976 และสาขานี้ได้ย้ายไปยัง 1912 ไพก์เพลซ และไม่ได้มีการย้ายอีก ในช่วงนั้น ทางบริษัทได้จำหน่ายเพียงเมล็ดกาแฟคั่วเท่านั้น ยังไม่ได้จำหน่ายกาแฟสำเร็จรูป ซึ่งกาแฟสำเร็จรูปที่อยู่ในร้านเป็นเพียงแก้วทดลองซึ่งแจกฟรีให้กับลูกค้า โดยปีแรกพวกเขาได้ซื้อเมล็ดกาแฟจากพีท หลังจากนั้นจึงเริ่มซื้อจากชาวสวนโดยตรงขยายตัว ขยายตัว. ในปี ค.ศ. 1984 เจ้าของบริษัทสตาร์บัคส์ นำโดยเจอร์รี บัลด์วิน ได้ทำการซื้อ พีทส์ ซึ่งในช่วงยุค 80 ยอดขายของกาแฟในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างซบเซา แต่ยอดขายของกาแฟชนิดพิเศษกลับเพิ่มขึ้น 10% ของตลาดในปี ค.ศ. 1989 เทียบกับปี ค.ศ. 1983 ที่ 3% ในปี ค.ศ. 1986 บริษัทได้เปิดร้านแล้วถึง 6 สาขาในซีแอทเทิลโดยมีสาขาหนึ่งเริ่มทดลองขายกาแฟเอสเปรสโซ ต่อมาในปี ค.ศ. 1987 ผู้บริหารได้ตัดสินใจขายสาขาของสตาร์บัคส์ให้กับผู้จัดการสาขา โฮเวิร์ด ชูลซ์ ได้ปรับปรุงร้านกาแฟ อิลจีออร์นาเลคอฟฟี ของเขาเป็นสตาร์บัคส์ และเริ่มต้นที่จะขยายสาขาออกไป ต่อมาในปีเดียวกัน สตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาไปยังนอกซีแอทเทิลสาขาแรก ที่สถานีวอเตอร์ฟรอนต์ ที่แวนคูเวอร์ ใน รัฐบริติชโคลัมเบีย และ ชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1989 ได้มีร้านถึง 46 สาขาทั้งในเขตนอร์ธเวสต์และมิดเวสต์ อีกทั้งสตาร์บัคส์ยังได้ขายกาแฟไปถึง และถึงเวลาที่จะทำการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก บนตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 ซึ่งในขณะนั้นมีร้านถึง 140 สาขา และรายได้ 73.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1987 โดยบริษัทมีมูลค่าทางการตลาด 271 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น โดยหุ้น 12% ของบริษัทได้ถูกขายและเพิ่มขึ้นประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มตามร้านค้าที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในสองปีถัดมา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1992 สตาร์บัคส์ได้มีมูลค่ามากขึ้น 70% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เท่าจากปีก่อน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 มากกว่า 10% ของการซื้อสินค้าในร้านมาจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือผ่านแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์ โดยบริษัทได้ทำโปรโมชัน "ทวีตอะคอฟฟี" (Tweet-a-Coffee) เพื่อส่งเสริมการซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือในเดือนตุลาม ค.ศ. 2013 ในโอกาสนี้ โปรโมชันที่ใช้ทวิตเตอร์ ซึ่งลูกค้ามีโอกาสได้รับบัตรของขวัญมูลค่า 5 ดอลลาร์ สำหรับเพื่อนที่เมนชัน "@tweetacoffee" และเพื่อนที่แท็กในทวีต โดยคีย์โฮลได้ตรวจสอบเกี่ยวกับแคมเปญนี้ โดยวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ได้รายงานว่า มี 27,000 คนเข้าร่วมแคมเปญนี้ และมียอดซื้อถึง 180,000 ดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกันตลาดใหม่ ตลาดใหม่. สาขาแรกของสตาร์บัคส์ที่ตั้งอยู่นอกอเมริกาเหนือตั้งอยู่ที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1996 ต่อมาได้เข้าทำตลาดในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1998 ด้วยมูลค่า 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยร้าน 56 สาขา และปรับปรุงร้านภายใต้ชื่อ สตาร์บัคส์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในลาตินอเมริกา ที่เม็กซิโกซิตี ซึ่งในขณะนี้มีมากกว่า 500 สาขาในประเทศเม็กซิโก อีกทั้งยังมีแผนที่จะขยายเป็น 850 สาขาใน ค.ศ. 2018 ในปี ค.ศ. 1999 สตาร์บัคส์ได้ทดลองตลาดใหม่ด้วยการเปิดร้านอาหารในซานฟรานซิสโกเบย์ ซึ่งร้านมีชื่อว่า "เซอร์คาเดีย" (Circadia) ซึ่งอนาคตจะมีการเปลี่ยนเป็นสตาร์บัคส์ คาเฟ่ ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้ก่อตั้งบริษัทค้าขายกาแฟในโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อซื้อเมล็ดกาแฟเขียว ซึ่งธุรกิจอื่น เช่น ร้านกาแฟ ยังคงจัดการจากซีแอทเทิลโดยตรง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ซีแอทเทิลส์เบสต์คอฟฟี และ ทอร์เรฟาซีโอเน อีตาเลีย จาก เอเอฟซีเอนเตอร์ไพรซ์ ด้วยมูลค่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้มีร้านสตาร์บัคส์เพิ่ม 150 สาขา แต่ตามรายงานของซีแอทเทิลโพสต์-อินเทลิเจนเซอร์ กล่าวว่าทำให้ธุรกิจค้าส่งมีสัญญาณที่ดีขึ้น ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ดายดริชคอฟฟี ได้ยืนยันที่จะขายบริษัทและร้านค้าทั้งหมดให้กับสตาร์บัคส์ รวมถึงสาขาของร้านคอฟฟีพีเพิล ในรัฐออริกอนด้วย ทำให้ต่อมาได้เปลี่ยนร้านทั้งหมดเป็นสตาร์บัคส์ ยกเว้นร้านคอฟฟีพีเพิลในสนามบินนานาชาติพอร์ตแลนด์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในอเมริกาใต้ ตั้งอยู่ในลิมา ประเทศเปรู ในปี ค.ศ. 2007 บริษัทได้ทำการเปิดสาขาแรกในประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็น 10 ปีหลังจากได้จดทะเบียนการค้าที่นี่ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 พวกเขาได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตเครื่องคั่วกาแฟ และได้ทดสอบการทำกาแฟสดที่ร้านสตาร์บัคส์ในซีแอทเทิล, แคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ก และบอสตัน ต้นปี ค.ศ. 2008 สตาร์บัคส์ได้เปิดเว็บไซต์คอมมูนิตี "มายสตาร์บัคส์ไอเดีย" เพื่อเก็บข้อสงสัยและความคิดเห็นจากลูกค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถให้ความคิดเห็นและโหวตได้ ซึ่งให้บริการโดย เซลส์ฟอร์ซดอตคอม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 ได้มีการเปิดตัวบัตรสตาร์บัคส์ (เปลี่ยนจากบัตรของขวัญ) ซึ่งนำเสนอการใช้วายฟายฟรีภายในร้าน, การไม่คิดค่านมถั่วเหลืองและไซรัป รวมไปถึงกาแฟ, กาแฟเย็น และชา สามารถเติมฟรีได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 สตาร์บัคส์ได้เริ่มทดสอบแอปพลิเคชันบนมือถือของบัตรสตาร์บัคส์ ซึ่งจะเก็บมูลค่าของบัตรเพื่อนำมาซื้อสินค้าภายในร้าน สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2011 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ทำการยื่นซื้อ ทีวานา ในราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และข้อเสนอได้เสร็จสิ้นในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม และประกาศว่าจะเปิดสาขาในประเทศโคลอมเบีย ในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ในการประชุมที่โบโกตา ซึ่งประธานบริษัทได้กล่าวว่า "สตาร์บัคส์เคารพและชื่นชอบประเพณีของกาแฟในโคลอมเบีย" เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในวิลเลียมส์เบิร์ก ในบรูกลิน ซึ่งสาขานี้เป็นหนึ่งใน 30 สาขาของสตาร์บัคส์ที่วางขายเบียร์และไวน์. ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 ได้มีการเปิดเผยว่าสตาร์บัคส์จะได้หุ้นอีก 60.5% ในร้านสตาร์บัคส์ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ที่ราคา 913.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะเปิดสาขาใน ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นสาขาในประเทศที่ 16 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยร้านแรกจะตั้งที่พนมเปญ ในปลายปี ค.ศ. 2015 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะทำตลาดในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ 24 ในทวีปยุโรป โดยจะเปิดสาขาแรกในมิลาน ภายในปี ค.ศ. 2017 ในเดือนสิงหาคม ฟลักซ์พอร์ต บริษัทสตาร์ตอัป ได้เปิดตัว "ชี" (Qi) ซึ่งเป็นแท่นชาร์จแบตเตอรี โดยเลือกที่จะใช้ในร้านที่ประเทศเยอรมนี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวซีรีส์ "อัปสแตนเดอร์" (Upstanders) ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากชาวอเมริกันเกี่ยวกับความเมตตา, ความเป็นพลเมือง และความสุภาพ ซีรีส์จะมีทั้งแบบพอดแคสต์, คำพูด และวิดีโอ โดยจะออกอากาศทางแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์, ออนไลน์ และดิจิทัลเน็ตเวิร์กของร้านการบริหารกิจการ การบริหารกิจการ. โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานบริษัทได้กล่าวถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องของกิจการตามวัฒนธรรมองค์กร ชูลซ์ ได้ขึ้นมารับตำแหน่งประธานกรรมการจนถึงปี ค.ศ. 2000 โอริน ซี. สมิธ ได้เป็นประธานต่อจากชูลซ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 จนถึง ค.ศ. 2005 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ชูลซ์ ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งหลังจาก 8 ปีผ่านไป โดยรับตำแหน่งแทน จิม ดอนัลด์ ประธานคนก่อนหน้า ซึ่งรับตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และลาออกในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ชูลซ์ มีเป้าหมายที่จะกู้คืนสตาร์บัคส์ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์การตลาดเชื่อว่า ชูลซ์ จะต้องกำหนดวิธีการที่จะรับมือต้นทุนที่สูงขึ้นและราคาของสินค้าที่ลดลง ซึ่งต้องแข่งขันกับร้านอาหารจานด่วนที่มีราคาถูกอย่างแมคโดนัลด์ และ ดังกิ้นโดนัท ทำให้สตาร์บัคส์ตัดสินใจที่จะยกเลิกแซนด์วิชอุ่นร้อน ซึ่งเป็นเมนูอาหารเช้าที่เคยมีแผนจะเปิดตัวทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2008 โดยตั้งเป้าที่จะมีจุดมุ่งหมายทางด้านการขายกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็นำมาขายอีกครั้งเนื่องจากมีข้อร้องเรียนจำนวนมากและยังคงอยู่ในสายการผลิต ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 ทรอย อัลสเตด ผู้บริหารเชิงปฏิบัติการของสตาร์บัคส์ ได้ตัดสินใจที่จะลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ต่อมา เควิน จอห์นสัน จึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารเชิงปฏิบัติการแทนอัลสเตด ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ทำการจ้างผู้บริหารทางด้านเทคโนโลยีคนแรก โดย แกร์รี มาร์ติน-ฟลิกกินเกอร์ เข้ามารับตำแหน่งเพื่อที่จะพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี การดำเนินการหลักในการควบคุมคุณภาพของสตาร์บัคส์คือการติดต่อกับชาวสวนที่จะรักษาเมล็ดกาแฟ, การคั่วเมล็ดกาแฟ และการจัดการกระจายสินค้าไปยังสาขาของสตาร์บัคส์ นอกจากนี้สตาร์บัคส์และชาวสวนจะต้องตกลงราคาในการขายเมล็ดกาแฟร่วมกันสินค้า สินค้า. ในปี ค.ศ. 1994 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ เดอะคอฟฟีคอนเนคชัน เพื่อที่จะได้สิทธิในการใช้, ผลิต, ทำการตลาด และ ขายเครื่องดื่มแฟรปปูชิโน โดยเครื่องดื่มได้ถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อของสตาร์บัคส์ในปี ค.ศ. 1995 โดยในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ประกาศว่ายอดขายแฟรปปูชิโนขายไปแล้วมากกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทได้เริ่มผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพใน ค.ศ. 2008 ซึ่งรวมไปถึงเครื่องดื่มในรูปแบบโลว์แคลลอรีและไม่มีน้ำตาล โดยจะใช้นมพร่องมันเนยแทนนมปกติ และสามารถเพิ่มความหวานได้ด้วยสิ่งที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ (เช่น น้ำตาลทราย, น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง), สารให้ความหวาน (เช่น สวีตแอนด์โลว์, สเปลนดา, อีควอล). สตาร์บัคส์ได้เลิกขายผลิตภัณฑ์จากนมวัวที่ถูกเลี้ยงด้วย rBGH ในปี ค.ศ. 2007 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 บริษัทได้ยืนยันที่จะปรับปรุงเมนูใหม่ อีกทั้งยังขายสลัดและเบเกอรีโดยไม่ใช้ไซรัปที่มีฟรักโทสสูงหรือการใช้ส่วนผสมเทียม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยไม่เพิ่มต้นทุนและราคา สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวกาแฟสำเร็จรูป มีชื่อว่า "VIA Ready Brew" ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 โดยเปิดตัวครั้งแรกในนิวยอร์ก อีกทั้งยังทดลองขายในซีแอทเทิล, ชิคาโก และลอนดอน โดย เวีย 2 รสชาติแรกคือ อิตาเลียนโรสต์ และ โคลอมเบีย ซึ่งทั้ง 2 รสชาติเลิกวางขายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 โดยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะมีการทำโปรโมชัน บลายด์เทสต์ (Blind taste) เพื่อที่จะให้ลูกค้าทดลองชิมกาแฟเพียงลิ้มรสอย่างเดียว สตาร์บัคส์เริ่มขายเบียร์ และ ไวน์ ในบางสาขาที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 2010 ต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 มีการขายเบียร์และไวน์ใน 7 สาขา ในปี ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์เปิดตัวขนาดแก้วใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า "เทรนตา" (Trenta) โดยมีขนาด 31 ออนซ์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว "เวริสโม" (Verismo) เครื่องทำกาแฟขนาดเล็ก ซึ่งมีที่ใส่นมสำหรับการทำลาตเทด้วย ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์ได้ทำการประกาศว่าได้ซื้ออีโวลูชันเฟรช บริษัทน้ำผลไม้ ด้วยมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะทำการขายน้ำผลไม้ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2012 เพื่อตีตลาดแข่งกับ จัมบา โดยสาขาแรกที่วางขายน้ำผลไม้คือสาขาในซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และวางแผนที่จะวางขายในซานฟรานซิสโกซึ่งได้วางขายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2013 ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เริ่มขายเครื่องดื่มสำเร็จรูปแบบเย็นที่มีสารสกัดจากเมล็ดกาแฟอาราบิกา ซึ่งเครื่องดื่มจะมีรสชาติของผลไม้และจะมีคาเฟอีน ผสมอยู่ด้วย แต่โฆษณาว่าผสมกาแฟ ซึ่งกระบวนการสกัดมาจากการนำเมล็ดกาแฟลงไปแช่ในน้ำ ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะเผยแพร่จำนวนแคลลอรีของเครื่องดื่มและอาหารที่สตาร์บัคส์ทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์เริ่มผลิตโซดา โดยมีชื่อว่า "ฟิซซิโอ" (Fizzio) ในปี ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มวางขายกะทิ ซึ่งเป็นทางเลือกในการปรุงเครื่องดื่มจากนมและถั่วเหลืองชา ชา. สตาร์บัคส์ได้เริ่มทำการตลาดชาในปี ค.ศ. 1999 หลังจากซื้อ "ทาโซ" (Tazo) ด้วยมูลค่าทางการตลาด 8.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปลายปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ทีวานา ด้วยราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ไม่มีความตั้งใจในการที่จะขยายตลาดของร้านค้าทีวานา แม้ว่าจะเคยวางแผนที่จะวางตลาดในสาขาในห้างสรรพสินค้า ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะวางขายทีวานาในสาขาของสตาร์บัคส์ ทั้งเครื่องดื่มสำเร็จรูปและในแบบขายปลีกคุณภาพของกาแฟ คุณภาพของกาแฟ. เควิน น็อก ซึ่งดูแลและควบคุมคุณภาพของโดนัท ในร้านสตาร์บัคส์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 จนถึง 1993 ได้เขียนบนบล็อกของเขาในปี ค.ศ. 2010 ว่า จอร์จ โฮเวลล์นักตรวจสอบคุณภาพกาแฟ ผู้ก่อตั้งคัพออฟเอกเซเลนซ์ ซึ่งได้วิตกเมื่อสตาร์บัคส์ได้ขายกาแฟคั่วสีดำ ในปี ค.ศ. 1990 โดยได้เปิดเผยกับนิวยอร์กไทมส์ ในปี ค.ศ. 2008 โฮเวลล์ได้ระบุว่าการคั่วเมล็ดกาแฟเข้มสีดำของสตาร์บัคส์ ไม่ได้ทำให้กาแฟมีรสเข้มขึ้น แต่ทำลายความแตกต่างของรสชาติจากกาแฟปกติ คอนซูเมอร์รีพอตส์ ฉบับเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 ได้จัดอันดับกาแฟของสตาร์บัคส์ไว้ต่ำกว่ากาแฟพรีเมียมของแมคโดนัลด์ โดยให้ความเห็นว่า "รสเข้มแต่มีความขมพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้" ตามรายงานของไทม์ ในปี ค.ศ. 2010 มีการวิจารณ์จำนวนมากว่ากาแฟของสตาร์บัคส์คั่วนานเกินไป แม้ว่าการชงกาแฟสดจะมีในทุกสาขาของสตาร์บัคส์ แต่บริษัทไม่ได้มีการโฆษณามากนัก เพราะมีวิธีการที่ยุ่งยากและมีผลกำไรที่ต่ำกว่าเอสเปรสโซปกติสินค้าอื่น สินค้าอื่น. ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว สตาร์บัคส์ เวริสโม ซึ่งเป็นเครื่องทำกาแฟขนาดเล็กที่สามารถทำเอสเปรสโซและช็อกโกแลตจากเครื่องได้ โดยตัวเครื่องใช้ระบบ K-Fee และมีถ้วยชนกาแฟที่มีถ้วยเดียว ในการวิจารณ์ของคอนซูเมอร์รีพอตส์ต่อรุ่น 580 นั้นได้ทดสอบและระบุไว้ว่า "การล้างถ้วยทุกครั้งไม่ใช่ความสะดวกสบายของการทำกาแฟในเวลาที่ต้องการหลาย ๆ ถ้วย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมที่จะสามารถปรับระดับความเข้มได้ แต่เวริสโมมีเพียงปุ่มทำกาแฟ, เอสเปรสโซ และ ลาทเต ไม่มีปุ่มที่จะปรับระดับความเข้ม เหมือนสตาร์บัคส์ต้องการที่จะจำกัดในการใช้แบรนด์ของพวกเขา ซึ่งมีเพียง 8 รูปแบบในการใช้นมสำหรับการทำลาทเต"สาขา สาขา. บริษัทมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีพนักงาน 3,501 คน (ข้อมูลในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015)สาขาปัจจุบัน สาขาปัจจุบัน. ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์เปิดสาขาใน 72 ประเทศและดินแดนปกครองตนเองร้านค้าอิสระ ร้านค้าอิสระ. อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ ยังมีร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างอิสระกับร้านค้าอื่น คือ อาโฮลด์เดลไฮซ์, บานส์แอนด์โนเบิล, ทาร์เก็ต, ทอมทัมบ์ ในปี ค.ศ. 2015 มีสาขาอิสระถึง 4,962 สาขาจำนวนสาขา จำนวนสาขา. ในเวอร์ชันที่สามที่ใช้ระหว่างปี 1992 ถึง 2011 ทั้งสะดือและหน้าอกของเธอไม่สามารถมองเห็นเลย มีเพียงร่องรอยของหางปลาเท่านั้น
| ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ สาขาแรกในทวีปเอเชียตั้งอยู่ที่ประเทศใด | {
"answer": [
"ญี่ปุ่น"
],
"answer_begin_position": [
4872
],
"answer_end_position": [
4879
]
} |
2,021 | 32,420 | ภูเขาฟูจิ ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Mountain) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน ประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณ จังหวัดชิซุโอะกะ และ จังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของ โตเกียว พื้นที่โดยรอบ ประกอบด้วย ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุ และ น้ำตกชิระอิโตะ โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจาก โตเกียว ได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ยุคเอะโดะ ภูเขาไฟฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟูจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า "ฟูจิยะมะ" เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) สามารถอ่านได้ 2 แบบทั้ง "ยะมะ" และ "ซัง"ประวัติ ประวัติ. เชื่อว่ามีผู้ปีนภูเขาไฟฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึง ยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบัน ภูเขาไฟฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ ประเทศญี่ปุ่น ภูเขาไฟฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย ภูเขาไฟฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรในอดีตใช้เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ รูปแบบภูเขาไฟฟุจิและกิจกรรมต่อเนื่องเป็นแรงบันดาลใจจนกลายเป็นวิถีปฏิบัติทางศาสนาที่เชื่อมโยงผู้คนที่นับถือศาสนาชินโต พุทธศาสนา และธรรมชาติเข้าด้วยกัน ภูเขาไฟฟุจิยังเป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในการผลิตภาพเขียนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทั้งนี้ ภูเขาไฟฟุจิซึ่งมีความสูง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ เป็นหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จากการที่มีหิมะปกคลุมบริเวณยอดเขา ทำให้กลายเป็นจุดดึงดูดผู้คนมานานหลายร้อยปีมรดกโลก มรดกโลก. ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 37 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ภายใต้ชื่อ "ฟูจิซัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความบันดาลใจทางศิลปะ" ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 13 และเป็น มรดกโลก แห่งที่ 17 ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
| ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมีชื่อเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"ฟูจิ"
],
"answer_begin_position": [
99
],
"answer_end_position": [
103
]
} |
2,022 | 440,737 | แอร์เอเชีย สายการบินแอร์เอเชีย เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย และเป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยค่าโดยสารที่ถูกที่สุดในเอเชีย กลุ่มแอร์เอเชีย ดำเนินการให้บริการเที่ยวบินทั่งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางมากกว่า 400 เมืองใน 25 ประเทศ และมีท่าอากาศยานหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร อาคาร KLIA2 และยังมี สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย เข้ามาใช้บริการร่วมด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย มีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่เปอตาลิงจายา, รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ แอร์เอเชียมีแผนจะเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนในจาการ์ตา ในปี พ.ศ. 2554ขณะเดียวกันยังคงรักษาสำนักงานใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เอาไว้ด้วย สายการบินแอร์เอเชียได้รับรางวัล World's best low-cost airlines award 9 ปีติดต่อกันตั้งแต่ พ.ศ. 2551 - 2560 จาก Skytrax แอร์เอเชียเคยมีราคาค่าโดยสารที่ต่ำที่สุดในราคา 0.035 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อที่นั่งในปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นสายการบินแรกในภูมิภาคที่มีการออกตั๋วโดยสารแบบ Ticketless คือ ไม่มีการออกบัตรโดยสารเป็นกระดาษให้ แต่จะใช้รหัสบัตรโดยสารในการเช็คอินประวัติ ประวัติ. แอร์เอเชียก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2536 และเริ่มดำเนินการเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ DRB-Hicom ของรัฐบาลมาเลเซีย หลังจากดำเนินงานประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และมีหนี้สินจำนวนมาก และเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2544 กลุ่มบริษัท ทูนแอร์ โดยผู้บริหารคือ นายโทนี เฟอร์นานเดส ได้เข้าซื้อหนี้ของสายการบินแอร์เอเชีย และเข้ามาบริหารงาน โดยเริ่มเปิดเส้นทางบินใหม่จาก ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ และตีคู่แข่งอย่าง มาเลเซียแอร์ไลน์ ด้วยค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 1 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 0.27 ดอลลาร์สหรัฐท่าอากาศยานรอง ท่าอากาศยานรอง. ในปี พ.ศ. 2546 แอร์เอเชียได้เปิดตัวท่าอากาศยานรองแห่งที่สองที่ ท่าอากาศยานนานาชาติเซไน ใน รัฐยะโฮร์ บาห์รู ซึ่งใกล้กับประเทศสิงคโปร์และเปิดตัวเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกด้วย โดยบินตรงสู่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเริ่มมีการจัดตั้งสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเส้นทางบินสู่ประเทศสิงคโปร์, มาเก๊า, เซียะเหมิน ประเทศจีน, กรุงมะนิลา, ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา และ ประเทศพม่า ในปัจจุบันแอร์เอเชียมาเลเซีย มีท่าอากาศยานรองอีกสองแห่งในมาเลเซียตะวันออก ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ตั้งอยู่ในเมืองกูชิง รัฐซาราวะก์ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ตั้งอยู่ในเมืองโกตากีนาบาลู รัฐซาบะฮ์จุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทาง. ในปัจจุบัน แอร์เอเชียมาเลเชียมีเส้นทางบินตรงสู่ 58 จุดหมายปลายทาง ครอบคลุมประเทศในกลุ่มอาเซียน เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และ ออสเตรเลีย ด้วยฐานการบินหลักจาก ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ อาคาร LCCT- แอร์เอเชียมาเลเชีย ได้ทำการบินไปยังจุดหมายปลายทางดังต่อไปนี้ - ประเทศมาเลเซีย- กัวลาลัมเปอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ฐานการบินหลัก - ปีนัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง ฐานการบินหลัก - ยะโฮร์บาห์รู - ท่าอากาศยานนานาชาติเซนัยฐานการบินหลัก - โกตากีนาบาลู - ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ฐานการบินหลัก - อลอร์สตาร์ - ท่าอากาศยานอลอร์สตาร์ - บินตูลู - ท่าอากาศยานบินตูลู - โกตาบารู - ท่าอากาศยานโกตาบารู - กัวลาเตอเริงกานู - ท่าอากาศยานกัวลาเตอเริงกานู - ลาบวน - ท่าอากาศยานลาบวน - มีรี - ท่าอากาศยานมีรี - กูชิง - ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง - ซันดากัน - ท่าอากาศยานซันดากัน - ซิบู - ท่าอากาศยานซิบู - ตาเวา - ท่าอากาศยานตาเวา - เกาะลังกาวี - ท่าอากาศยานนานาชาติลังกาวี - ประเทศไทย- กรุงเทพมหานคร - ท่าอากาศยานดอนเมือง - ภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ต - หาดใหญ่ - ท่าอากาศยานหาดใหญ่ - กระบี่ - ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ - เชียงใหม่ - ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - สุราษฎร์ธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี - พัทยา - ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา - อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี - ประจวบคีรีขันธ์ - ท่าอากาศยานหัวหิน - สาธารณรัฐอินโดนีเซีย- บันดาอาเจะฮ์ - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่านอีสกันดาร์มูด้า - เมดาน - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลานามู - เปกันบารู - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่าน Syarif Qasim - ปาดัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาดัง - ปาเล็มบัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาเล็มบัง - จาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา - บันดุง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮุสเซอิน ซัสตราเนการ่า - ยอกยาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติอดิสุจิบโต - เซมารัง - ท่าอากาศยานนานาชาติ Achmad Yani - สุราบายา - ท่าอากาศยานนานาชาติจวนดา - บาหลี - ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร เดนปาซาร์ - ลอมบอก - ท่าอากาศยานนานาชาติลอมบอก - บาลิก์ปาปัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบาลิก์ปาปัน - มากัสซาร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติมากัสซาร์ อูจุง ปาดัง - โซโล (สุราการ์ตา) - ท่าอากาศยานนานาชาติโซโล(Adisumarmo) - สาธารณรัฐสิงคโปร์- สิงคโปร์ - ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี - ประเทศบรูไน- บันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ประเทศฟิลิปปินส์- กรุงมะนิลา - สนามบินนานาชาติคลาร์ค - ประเทศพม่า- ย่างกุ้ง - ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง - ประเทศลาว- เวียงจันทน์ - ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต - สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม- ฮานอย - ท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ - โฮจิมินห์ซิตี - ท่าอากาศยานนานาชาติเติ่นเซินเญิ้ต - ประเทศกัมพูชา- พนมเปญ - ท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง - เสียมราฐ - ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ - สาธารณรัฐประชาชนจีน- กวางโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติกวางโจวไป๋หยุน - กุ้ยหลิน - ท่าอากาศยานนานาชาติกุ้ยหลิน - เซินเจิ้น - ท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจินบาวอัน - หนานหนิง - ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง - คุนหมิง - ท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิงอูเจียป้า - เขตบริหารพิเศษฮ่องกง- ฮ่องกง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง - เขตบริหารพิเศษมาเก๊า- มาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า - สาธารณรัฐจีน- ไทเป - ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน - ประเทศอินเดีย- โกลกาตา - ท่าอากาศยานนานาชาติเนตาจิสุภาสจันทรโภส - เจนไน - ท่าอากาศยานนานาชาติเชนไน - บังคาลอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติบังคาลอร์ - โคชิ - ท่าอากาศยานนานาชาติโกชิ - ติรุจิรัปปัลลิ - ท่าอากาศยานนานาชาติติรุจิรัปปัลลิ- ( ไทยแอร์เอเชีย FD, แอร์เอเชียมาเลเซีย AK, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย QZ, ให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ตั้งแต่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 )ฝูงบิน ฝูงบิน. จำนวนฝูงบินของสายการบินแอร์เอเชียมาเลเซีย ณ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 66 ลำ กลุ่มแอร์เอเชีย เป็นกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียที่ดำเนินการโดยฝูงบินแอร์บัสทั้งหมด โดยสายการบินยังเป็นลูกค้าเครื่องบินตระกูล เอ320 รายใหญ่ที่สุดด้วยคำสั่งซื้อเครื่องบินทั้งหมด 475 ลำ แบ่งออกเป็น เอ320 นีโอ จำนวน 264 ลำ และเอ320 ซีโอ จำนวน 211 ลำ แอร์เอเชียเอ็กซ์ สั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้าง เอ330-300 จำนวน 26 ลำ และ เอ350 เอ็กซ์ดับเบิลยูบีอีกจำนวน 10 ลำ ปัจจุบันเครื่องบินแอร์บัสทั้งสิ้น 141 ลำกำลังให้บริการจาก 16 ฐานการบินของกลุ่มแอร์เอเชีย ( ไทยแอร์เอเชีย FD, แอร์เอเชียมาเลเซีย AK, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย QZ, แอร์เอเชียเจแปน JW, แอร์เอเชียฟิลิปปินส์ PQ, แอร์เอเชียเซสต์ Z2, แอร์เอเชีย เอกซ์ D7 ไทยแอร์เอเชียเอกซ์ XJ)การบริการบนเครื่องบิน การบริการบนเครื่องบิน. การให้บริการบนเครื่องบินของแอร์เอเชีย เป็นการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน (เดิมทีบริการนี้มีชื่อเรียกว่า "Snack Attack" แต่ต่อมาได้ยกเลิกชื่อเรียกนี้ไป) และการให้สั่งจองอาหารพร้อมชำระเงินล่วงหน้าก่อนเริ่มเที่ยวบินไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง แอร์เอเชียเป็นสายการบินที่ได้รับการรับรองจาก the KL Syariah Index หรือหน่วยงานที่ควบคุมดูแลเรื่องอาหารให้สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม ในเที่ยวบินของแอร์เอเชียจะไม่จำหน่ายอาหารประเภทหมู และไม่บริการเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยกเว้นเที่ยวบินภายในประเทศบางประเทศ
| สายการบินแอร์เอเชียก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ใด | {
"answer": [
"2536"
],
"answer_begin_position": [
1224
],
"answer_end_position": [
1228
]
} |
2,023 | 440,737 | แอร์เอเชีย สายการบินแอร์เอเชีย เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย และเป็นสายการบินที่ให้บริการด้วยค่าโดยสารที่ถูกที่สุดในเอเชีย กลุ่มแอร์เอเชีย ดำเนินการให้บริการเที่ยวบินทั่งในประเทศ และ ระหว่างประเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางมากกว่า 400 เมืองใน 25 ประเทศ และมีท่าอากาศยานหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร อาคาร KLIA2 และยังมี สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย เข้ามาใช้บริการร่วมด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย มีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่เปอตาลิงจายา, รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ แอร์เอเชียมีแผนจะเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนในจาการ์ตา ในปี พ.ศ. 2554ขณะเดียวกันยังคงรักษาสำนักงานใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์เอาไว้ด้วย สายการบินแอร์เอเชียได้รับรางวัล World's best low-cost airlines award 9 ปีติดต่อกันตั้งแต่ พ.ศ. 2551 - 2560 จาก Skytrax แอร์เอเชียเคยมีราคาค่าโดยสารที่ต่ำที่สุดในราคา 0.035 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อที่นั่งในปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นสายการบินแรกในภูมิภาคที่มีการออกตั๋วโดยสารแบบ Ticketless คือ ไม่มีการออกบัตรโดยสารเป็นกระดาษให้ แต่จะใช้รหัสบัตรโดยสารในการเช็คอินประวัติ ประวัติ. แอร์เอเชียก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2536 และเริ่มดำเนินการเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ DRB-Hicom ของรัฐบาลมาเลเซีย หลังจากดำเนินงานประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และมีหนี้สินจำนวนมาก และเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2544 กลุ่มบริษัท ทูนแอร์ โดยผู้บริหารคือ นายโทนี เฟอร์นานเดส ได้เข้าซื้อหนี้ของสายการบินแอร์เอเชีย และเข้ามาบริหารงาน โดยเริ่มเปิดเส้นทางบินใหม่จาก ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ และตีคู่แข่งอย่าง มาเลเซียแอร์ไลน์ ด้วยค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 1 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 0.27 ดอลลาร์สหรัฐท่าอากาศยานรอง ท่าอากาศยานรอง. ในปี พ.ศ. 2546 แอร์เอเชียได้เปิดตัวท่าอากาศยานรองแห่งที่สองที่ ท่าอากาศยานนานาชาติเซไน ใน รัฐยะโฮร์ บาห์รู ซึ่งใกล้กับประเทศสิงคโปร์และเปิดตัวเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกด้วย โดยบินตรงสู่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเริ่มมีการจัดตั้งสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเส้นทางบินสู่ประเทศสิงคโปร์, มาเก๊า, เซียะเหมิน ประเทศจีน, กรุงมะนิลา, ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา และ ประเทศพม่า ในปัจจุบันแอร์เอเชียมาเลเซีย มีท่าอากาศยานรองอีกสองแห่งในมาเลเซียตะวันออก ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง ตั้งอยู่ในเมืองกูชิง รัฐซาราวะก์ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ตั้งอยู่ในเมืองโกตากีนาบาลู รัฐซาบะฮ์จุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทาง. ในปัจจุบัน แอร์เอเชียมาเลเชียมีเส้นทางบินตรงสู่ 58 จุดหมายปลายทาง ครอบคลุมประเทศในกลุ่มอาเซียน เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และ ออสเตรเลีย ด้วยฐานการบินหลักจาก ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ อาคาร LCCT- แอร์เอเชียมาเลเชีย ได้ทำการบินไปยังจุดหมายปลายทางดังต่อไปนี้ - ประเทศมาเลเซีย- กัวลาลัมเปอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ฐานการบินหลัก - ปีนัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง ฐานการบินหลัก - ยะโฮร์บาห์รู - ท่าอากาศยานนานาชาติเซนัยฐานการบินหลัก - โกตากีนาบาลู - ท่าอากาศยานนานาชาติโกตากีนาบาลู ฐานการบินหลัก - อลอร์สตาร์ - ท่าอากาศยานอลอร์สตาร์ - บินตูลู - ท่าอากาศยานบินตูลู - โกตาบารู - ท่าอากาศยานโกตาบารู - กัวลาเตอเริงกานู - ท่าอากาศยานกัวลาเตอเริงกานู - ลาบวน - ท่าอากาศยานลาบวน - มีรี - ท่าอากาศยานมีรี - กูชิง - ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง - ซันดากัน - ท่าอากาศยานซันดากัน - ซิบู - ท่าอากาศยานซิบู - ตาเวา - ท่าอากาศยานตาเวา - เกาะลังกาวี - ท่าอากาศยานนานาชาติลังกาวี - ประเทศไทย- กรุงเทพมหานคร - ท่าอากาศยานดอนเมือง - ภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ต - หาดใหญ่ - ท่าอากาศยานหาดใหญ่ - กระบี่ - ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ - เชียงใหม่ - ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - สุราษฎร์ธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี - พัทยา - ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา - อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี - ประจวบคีรีขันธ์ - ท่าอากาศยานหัวหิน - สาธารณรัฐอินโดนีเซีย- บันดาอาเจะฮ์ - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่านอีสกันดาร์มูด้า - เมดาน - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลานามู - เปกันบารู - ท่าอากาศยานนานาชาติ สุลต่าน Syarif Qasim - ปาดัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาดัง - ปาเล็มบัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปาเล็มบัง - จาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา - บันดุง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮุสเซอิน ซัสตราเนการ่า - ยอกยาการ์ตา - ท่าอากาศยานนานาชาติอดิสุจิบโต - เซมารัง - ท่าอากาศยานนานาชาติ Achmad Yani - สุราบายา - ท่าอากาศยานนานาชาติจวนดา - บาหลี - ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร เดนปาซาร์ - ลอมบอก - ท่าอากาศยานนานาชาติลอมบอก - บาลิก์ปาปัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบาลิก์ปาปัน - มากัสซาร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติมากัสซาร์ อูจุง ปาดัง - โซโล (สุราการ์ตา) - ท่าอากาศยานนานาชาติโซโล(Adisumarmo) - สาธารณรัฐสิงคโปร์- สิงคโปร์ - ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี - ประเทศบรูไน- บันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ท่าอากาศยานนานาชาติบันดาร์เซอรีเบอกาวัน - ประเทศฟิลิปปินส์- กรุงมะนิลา - สนามบินนานาชาติคลาร์ค - ประเทศพม่า- ย่างกุ้ง - ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง - ประเทศลาว- เวียงจันทน์ - ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต - สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม- ฮานอย - ท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ - โฮจิมินห์ซิตี - ท่าอากาศยานนานาชาติเติ่นเซินเญิ้ต - ประเทศกัมพูชา- พนมเปญ - ท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง - เสียมราฐ - ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ - สาธารณรัฐประชาชนจีน- กวางโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติกวางโจวไป๋หยุน - กุ้ยหลิน - ท่าอากาศยานนานาชาติกุ้ยหลิน - เซินเจิ้น - ท่าอากาศยานนานาชาติเซินเจินบาวอัน - หนานหนิง - ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง - คุนหมิง - ท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิงอูเจียป้า - เขตบริหารพิเศษฮ่องกง- ฮ่องกง - ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง - เขตบริหารพิเศษมาเก๊า- มาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า - สาธารณรัฐจีน- ไทเป - ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน - ประเทศอินเดีย- โกลกาตา - ท่าอากาศยานนานาชาติเนตาจิสุภาสจันทรโภส - เจนไน - ท่าอากาศยานนานาชาติเชนไน - บังคาลอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติบังคาลอร์ - โคชิ - ท่าอากาศยานนานาชาติโกชิ - ติรุจิรัปปัลลิ - ท่าอากาศยานนานาชาติติรุจิรัปปัลลิ- ( ไทยแอร์เอเชีย FD, แอร์เอเชียมาเลเซีย AK, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย QZ, ให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ตั้งแต่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555 )ฝูงบิน ฝูงบิน. จำนวนฝูงบินของสายการบินแอร์เอเชียมาเลเซีย ณ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 66 ลำ กลุ่มแอร์เอเชีย เป็นกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียที่ดำเนินการโดยฝูงบินแอร์บัสทั้งหมด โดยสายการบินยังเป็นลูกค้าเครื่องบินตระกูล เอ320 รายใหญ่ที่สุดด้วยคำสั่งซื้อเครื่องบินทั้งหมด 475 ลำ แบ่งออกเป็น เอ320 นีโอ จำนวน 264 ลำ และเอ320 ซีโอ จำนวน 211 ลำ แอร์เอเชียเอ็กซ์ สั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้าง เอ330-300 จำนวน 26 ลำ และ เอ350 เอ็กซ์ดับเบิลยูบีอีกจำนวน 10 ลำ ปัจจุบันเครื่องบินแอร์บัสทั้งสิ้น 141 ลำกำลังให้บริการจาก 16 ฐานการบินของกลุ่มแอร์เอเชีย ( ไทยแอร์เอเชีย FD, แอร์เอเชียมาเลเซีย AK, อินโดนีเซียแอร์เอเชีย QZ, แอร์เอเชียเจแปน JW, แอร์เอเชียฟิลิปปินส์ PQ, แอร์เอเชียเซสต์ Z2, แอร์เอเชีย เอกซ์ D7 ไทยแอร์เอเชียเอกซ์ XJ)การบริการบนเครื่องบิน การบริการบนเครื่องบิน. การให้บริการบนเครื่องบินของแอร์เอเชีย เป็นการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน (เดิมทีบริการนี้มีชื่อเรียกว่า "Snack Attack" แต่ต่อมาได้ยกเลิกชื่อเรียกนี้ไป) และการให้สั่งจองอาหารพร้อมชำระเงินล่วงหน้าก่อนเริ่มเที่ยวบินไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง แอร์เอเชียเป็นสายการบินที่ได้รับการรับรองจาก the KL Syariah Index หรือหน่วยงานที่ควบคุมดูแลเรื่องอาหารให้สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม ในเที่ยวบินของแอร์เอเชียจะไม่จำหน่ายอาหารประเภทหมู และไม่บริการเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยกเว้นเที่ยวบินภายในประเทศบางประเทศ
| สายการบินแอร์เอเชียก่อตั้งขึ้นที่ประเทศใด | {
"answer": [
"มาเลเซีย"
],
"answer_begin_position": [
160
],
"answer_end_position": [
168
]
} |
2,024 | 10,705 | การบินไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (; ชื่อย่อ: ไทย, THAI) เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดำเนินธุรกิจการบินพาณิชย์ ในฐานะสายการบินแห่งชาติของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 โดยปฏิบัติการบินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นหลัก ทั้งนี้ การบินไทยยังได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรการบิน สตาร์อัลไลแอนซ์ เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสายการบินนกแอร์ และเปิดตัวสายการบินลูก ไทยสมายล์ อีกด้วย ปัจจุบัน(มิถุนายน พ.ศ. 2561) การบินไทยบิน 64 สนามบินรวมต่างประเทศและในประเทศ แบ่งเป็นต่างประเทศ 60 สนามบิน ในประเทศไทย 4 สนามบินไม่รวมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งหมด 3 ทวีป 32 ประเทศทั่วโลกไม่รวมประเทศไทย จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยฝูงบินกว่า 84 ลำ การบินไทยเป็นสายการบินลำดับต้นในเอเชีย ที่ทำการบินในเส้นทางกรุงเทพ ลอนดอน (ท่าอากาศยานฮีทโธรว์) นอกจากนี้ การบินไทยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากองค์การอนามัยโลกว่าด้วยสุขอนามัยบนเครื่องบินอีกด้วยประวัติเริ่มก่อตั้ง ประวัติ. เริ่มก่อตั้ง. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2502 รัฐบาลไทยดำเนินการให้ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด (อังกฤษ: Thai Airways Company Limited; ชื่อย่อ: บดท.; TAC) กับ สายการบินสแกนดิเนเวียน (อังกฤษ: Scandinavian Airlines System; ชื่อย่อ: SAS) ทำสัญญาร่วมทุนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2502 จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 บริษัท การบินไทย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นด้วยทุนประเดิม 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยมีเที่ยวบินปฐมฤกษ์ไปยังฮ่องกง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2520 เอสเอเอสคืนหุ้นให้เดินอากาศไทย หลังจากครบระยะเวลาตามสัญญาร่วมทุน แล้วโอนให้แก่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรี พนักงานคนแรกได้แก่ กัปตัน พร้อม ณ ถลาง อีกทั้งยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของการบินไทยในปี พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2523 อีกด้วยพ.ศ. 2530 : ควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย พ.ศ. 2530 : ควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย. วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2531 เดินอากาศไทยซึ่งดำเนินธุรกิจสายการบินภายในประเทศ ก็รวมกิจการเข้ากับการบินไทย เพื่อให้สายการบินแห่งชาติเป็นหนึ่งเดียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จากนั้นในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 การบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี และจดทะเบียนแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดมหาชน เมื่อปี พ.ศ. 2537พ.ศ. 2540 : ก่อตั้งพันธมิตรการบิน และ ขยายเส้นทางบิน พ.ศ. 2540 : ก่อตั้งพันธมิตรการบิน และ ขยายเส้นทางบิน. วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 การบินไทย ร่วมกับสายการบินลุฟต์ฮันซา, แอร์แคนาดา, เอสเอเอส, และ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ก่อตั้งพันธมิตรการบินแห่งแรก และใหญ่ที่สุด สตาร์อัลไลแอนซ์ ขึ้น จากนั้นจึงเริ่มขยายที่หมายการบินใหม่ไปยัง เฉิงตู, ปูซาน, เชนไน, เซียะเหมิน, มิลาน, มอสโก, อิสลามาบาด, ไฮเดอราบัด และ ออสโล ในวันที่ 29 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2545 การบินไทยเปิดเส้นทางบินใหม่กรุงเทพ แวะกรุงเอเธนส์ ไปกรุงเจนีวา ในปี พ.ศ. 2548 การบินไทยได้เปิดเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพ นิวยอร์ก ด้วยเครื่องบินแบบ แอร์บัส เอ 340-500 ถือเป็นเที่ยวบินตรงเส้นทางแรกสู่สหรัฐอเมริกา ต่อมาได้เปลี่ยนเที่ยวบินตรงไปยังลอสแอนเจลิสแทน แต่เนื่องด้วยเครื่องบินรุ่นนี้ใช้น้ำมันมากจึงได้ระงับไปในปี 2551 แม้จะมีผู้โดยสารจองที่นั่งกว่าร้อยละ 80 ก็ตาม ในปี พ.ศ. 2549 การบินไทยได้ย้ายฐานการปฏิบัติการไปยังสนามบินใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกันนี้ การบินไทยได้ปรับภาพลักษณ์ของสายการบินใหม่ ตั้งแต่นำเครื่องบินรุ่นใหม่มาปฏิบัติการบิน ปรับปรุงที่นั่งรุ่นเก่าให้เป็นรุ่นใหม่ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนการให้บริการภาคพื้น และ บนเครื่องบินอีกด้วย เปิดเส้นทางใหม่ไป โจฮันเนสเบิร์ก ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2549พ.ศ. 2550 : ปรับฝูงบิน และ ครบรอบ 50 ปีการบินไทย พ.ศ. 2550 : ปรับฝูงบิน และ ครบรอบ 50 ปีการบินไทย. ในปี พ.ศ. 2553 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี การบินไทย ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้อำนวยการใหญ่ ในขณะนั้น ได้ตั้งเป้าหมายในอนาคตของการบินไทย โดยสร้างแผนงานในการนำฝูงบินใหม่ มาทดแทนฝูงบินเก่า และปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น โดยวางแผนซื้อเครื่องบินแบบ โบอิงค์ 787 และ แอร์บัส เอ350 รวมไปถึงการนำเครื่องบินแบบ โบอิงค์ 747 และ 777 มาปรับปรุงห้องโดยสารใหม่อีกด้วย ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 การบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษ TG8830 จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติไคโร การบินไทย กลับมาบินสู่ ลอสแอนเจลิส อีกครั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โดยแวะพักที่โซล ด้วยเครื่องบินแบบ แอร์บัส เอ 340-600 และปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย โบอิง 777-200ER สำหรับเส้นทาง กรุงเทพ โซล ลอสแอนเจลิสพ.ศ. 2558 : ยกเลิกเครื่องบิน ยกเลิกเที่ยวบิน ครบรอบ 55 ปี การบินไทย พ.ศ. 2558 : ยกเลิกเครื่องบิน ยกเลิกเที่ยวบิน ครบรอบ 55 ปี การบินไทย. ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 การบินไทยและการบินไทยสมายล์มีเครื่องบินที่ทำการบินรวมกันมากถึง 102 ลำ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเที่ยวบิน TG991 เป็นเที่ยวบินสุดท้าย ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินขนส่งสินค้าโดยเครื่องบิน 747-400BCF เที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติอัมสเตอร์ดัม สคิปโฮลมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเที่ยวบิน TG899 เป็นเที่ยวบินสุดท้าย ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินขนส่งสินค้าโดยเครื่องบิน 747-400BCF เที่ยวสุดท้าย ในเที่ยวบิน TG897 แฟรงเฟิร์ต-กรุงเทพ ก่อนปลดประจำการเครื่องบินรุ่นดังกล่าวและปลดเครื่องบินแบบ A340-600 ลำสุดท้ายในวันที่ 28 มีนาคมให้บริการเที่ยวบินสุดท้ายในเที่ยวบิน TG923 แฟรงก์เฟิร์ตมากรุงเทพ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติโดโมเดโดโวมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเที่ยวสุดท้าย ในเที่ยวบิน TG975 และกลับมาบินอีกครั้ง ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ใน วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558 ในเที่ยวบิน TG949 บริการเส้นทางไปท่าอากาศยานนานาชาติมาดริดบาราคัสมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเที่ยวบินสุดท้ายก่อนยกเลิก และ บริการเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิสมาท่าอากาศยานนานาชาติอินช็อนมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เที่ยวสุดท้าย ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ในเที่ยวบิน TG693 การบินไทย เปิดโฆษณา ปลายทางคือคุณ เป็นเพลงฉลองครบรอบ 55 ปี และจัดโปรโมชั่นให้ผู้โดยสาร และจัดงาน TG Online Market Fair ครั้งที่ 1ในวันที่ 28-29 เมษายน 2558ในปี พ.ศ. 2560 การบินไทยบริการเที่ยวบินไปกลับระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปอัลมะดีนะฮ์และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปเจดดาห์ เป็นครั้งแรกเพื่อบริการผู้โดยสารที่ไปทำพิธีฮัจญ์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่. - ข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558สำนักงาน สำนักงาน. สำนักงานการบินไทยในกรุงเทพมหานครแห่งแรก เป็นห้องแถวสามชั้น เลขที่ 1101 ริมถนนเจริญกรุง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเยื้องกับไปรษณีย์กลางบางรัก อันเป็นศูนย์รวมธุรกิจในยุคนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ซึ่งส่วนมากเป็นนักธุรกิจและชาวต่างชาติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 การบินไทยเช่าอาคารเลขที่ 1043 ถนนพหลโยธิน ติดกับซอยลือชา (ซอยพหลโยธิน 3) บริเวณสนามเป้าเป็นสำนักงาน โดยเมื่อปี พ.ศ. 2522 การบินไทยจัดซื้อที่ดินริมถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และก่อสร้างอาคารหลังแรกขนาด 5 ชั้น ซึ่งเริ่มใช้ปฏิบัติงานเมื่อปี พ.ศ. 2523 หลังจากนั้นจึงมีโครงการสร้างอาคารถาวร จนกระทั่งแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2532 เมื่อปี พ.ศ. 2506 การบินไทยเปิดสำนักงานสาขาในต่างประเทศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นแห่งแรก ในปี พ.ศ. 2553 สำนักงานสาขาในต่างประเทศของการบินไทย มีทั้งหมด 76 สาขาใน 38 ประเทศ ครอบคลุมทั้ง 5 ทวีป ส่วนศูนย์ซ่อมเครื่องบินของการบินไทย มีอยู่สองแห่งคือ ภายในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และภายในบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยองผลประกอบการ ผลประกอบการ. ในปี พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2558 การบินไทยมีผลประกอบการขาดทุน การบินไทยมีผลประกอบการกำไรอีกครั้งใน ปี พ.ศ. 2559 โดยมีกำไรสุทธิ 15.14 ล้านบาทจุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทาง. เส้นทางบินที่ไกลที่สุดได้แก่ 10 อันดับแรก ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี TG790/TG791 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG794/TG795 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับ ท่าอากาศยานนานาชาติมาดริดบาราคัส TG948/TG949 ไปกลับ ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน ซีแอตเทิล TG762/TG763 ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติอินช็อนไปท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG692/693 ( เดิมคือไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพไปท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG770/771 ) ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ TG910/TG911 ( เดิมคือ ไปกลับ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ) ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติออกแลนด์ TG491/492 ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต TG926/927 ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG694/695 และ ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบ TG991/992 โดยทุกเส้นทางทำการบินมากกว่า 9000 กิโลเมตร ณ วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560 การบินไทยได้ให้บริการการบินไปยังท่าอากาศยานทั้งหมด 64 แห่ง 32 ประเทศ (ไม่รวมประเทศไทย) ครอบคลุม 3 ทวีปทั่วโลกข้อตกลงการทำการบินร่วม ข้อตกลงการทำการบินร่วม. การบินไทยทำข้อตกลงการทำการบินร่วม กับสายการบินต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:ภาพลักษณ์ขององค์กร ภาพลักษณ์ขององค์กร. การบินไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่มีระเบียบการเปลี่ยนเครื่องแบบในตลอดการเดินทาง โดยพนักงานต้อนรับหญิงประจำเที่ยวบินระหว่างประเทศจะต้องเปลี่ยนเครื่องแบบจากชุดสูทสีม่วง (สำหรับแต่งกายนอกห้องโดยสาร) เป็นชุดไทยประเพณี (เห็นได้จากโฆษณาของสายการบิน) ขณะต้อนรับผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบิน และต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดสูทเมื่อนำผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน เว็บไซต์อาสค์เมนจัดอันดับ สุดยอดแอร์โฮสเตทสาวที่ฮอทที่สุด 10 สายการบินทั่วโลก โดยการบินไทยได้อันดับที่ 7 เว็บไซต์อาร์คเมนส์ ให้เหตุผลว่า พนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินดูดีในชุดเครื่องแบบโทนสีม่วง-ทอง รูปร่างหน้าตาสวยงาม การบริการระหว่างการเดินทางดี นอกจากนี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรและมารยาทงามอีกด้วยนอกจากนี้ การบินไทยยังถูกจัดให้เป็นสายการบินที่ดีที่สุด ลำดับ 5 ของโลกนอกจากนี้การบินไทยเป็นสายการบินที่คำนึงถึงสุขภาพผู้โดยสารเป็นสำคัญ โดยที่ผ่านมาการบินไทยได้นำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานนะฮะท่าอากาศยานแองเคอเรจ ซึ่งเป็นการลงจอดนอกแผนการบิน เนื่องจากกรณีผู้โดยสารป่วย อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับว่าการบินไทยมีการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจทางการเมืองโดยข้อเท็จจริงการบินไทยมีกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 17 คน (นับถึงปี พ.ศ. 2559) ในระยะเวลาตลอดที่ทำการบินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 - พ.ศ. 2557 เมื่อเฉลี่ยแล้วกรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทยอยู่ในตำแหน่งเพียง 3 ปี 5 เดือน การแทรกแซงอื่นที่ปรากฏ อาทิ การจัดซื้อเครื่องบิน การจัดเส้นทางบิน การปลดกรรมการผู้จัดการใหญ่ การโยกย้ายกรรมการบริษัท ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตราสัญลักษณ์ ตราสัญลักษณ์. เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 การบินไทยเปิดตัวตราสัญลักษณ์แบบแรก เป็นภาพตุ๊กตารำไทยซึ่งออกแบบโดย หม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไชย นักออกแบบที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ซึ่งเป็นผู้ออกเครื่องแบบพนักงานต้อนรับชุดแรกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 การบินไทยจัดจ้างวอลเตอร์ แลนเดอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ () บริษัทโฆษณาระดับโลก ให้ออกแบบตราสัญลักษณ์ใหม่ จากนั้นราวปลายปี พ.ศ. 2517 คณะผู้แทนการบินไทยเดินทางไปพิจารณาเลือกแบบ ซึ่งคณะผู้ออกแบบนำเสนอกว่าสิบภาพ โดยภาพดอกบัวโดดเด่นที่สุด เนื่องจากมีสีสันกลมกลืนสดใส แต่มีผู้แทนคนหนึ่งเห็นว่า การบินไทยใช้ชื่อบริการว่าเอื้องหลวง หากใช้สัญลักษณ์ดอกบัวก็เป็นการขัดกัน จึงเสนอแนะแก่คณะผู้ออกแบบไว้ ซึ่งต่อมาในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2520 เดินอากาศไทยนำภาพดอกบัวดังกล่าว มาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ใหม่ แทนภาพช้างเอราวัณสามเศียรอยู่กลางตราอาร์ม สองข้างซ้ายขวาประกอบด้วยภาพปีกนกซ้อนทับบนปีกเครื่องบิน โดยในปีถัดมา (พ.ศ. 2518) คณะผู้ออกแบบพยายามดัดแปลงแก้ไขจากแบบที่เลือกไว้แล้ว จึงได้แบบที่คณะผู้แทนการบินไทยเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ จึงนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ใหม่ ซึ่งคณะผู้ออกแบบอธิบายว่าเป็นภาพใบเสมา ซึ่งพบเห็นทั่วไปในประเทศไทย โดยจับวางตะแคงข้าง เพื่อต้องการสื่อถึงความเร็ว เนื่องจากนำมาใช้กับสายการบิน สำหรับสีทองมาจากแสงอร่ามของวัดวาอารามไทย สีม่วงสดมาจากกล้วยไม้ ดอกไม้สัญลักษณ์ของการบินไทย ส่วนสีชมพูมาจากดอกบัว ทั้งนี้ มักใช้ประกอบกับตัวอักษรชื่อ "ไทย" หรือ "Thai" ตามรูปแบบเดียวกับที่ประกอบอยู่ในตราสัญลักษณ์ใหม่ของเดินอากาศไทย สำหรับตราสัญลักษณ์นี้มักมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า มีความคล้ายคลึงกับลักษณะของดอกรักเสียมากกว่า ผิดแต่เพียงสีที่แท้จริงของดอกรักเป็นขาว โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้มาถึง 30 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2548 การบินไทยจัดจ้าง ห้างหุ้นส่วนอินเตอร์แบรนด์ () เป็นผู้ออกแบบลวดลายภายนอกตัวเครื่องบิน พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงสีสันภายในตราสัญลักษณ์ให้สดใสขึ้นกว่าเดิม และปรับปรุงตัวอักษรชื่อที่ประกอบอยู่กับตราสัญลักษณ์ โดยออกแบบขึ้นใหม่ และใช้อักษรอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดคำขวัญ คำขวัญ. คำขวัญภาษาไทยของการบินไทยคือรักคุณเท่าฟ้า ปรากฏเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2521 เป็นชื่อใหม่ของวารสารภายใน ซึ่งเปลี่ยนจากเดิมคือ ข่าวการบินไทย (เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2519) โดยวลีดังกล่าวมีที่มาจาก วิถีชีวิตของชาวไทย ดังที่พ่อแม่มักตั้งคำถามกับลูกว่า รักพ่อแม่แค่ไหน แล้วลูกก็มักตอบว่า "รักพ่อแม่เท่าฟ้า" ซึ่งสื่อความหมายถึงความรักที่กว้างใหญ่ไพศาลไปสุดขอบฟ้า จึงนำมาใช้เชิงเปรียบเทียบกับบริการของการบินไทย ทั้งนี้ คำขวัญของการบินไทยดังกล่าว เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทย จากผลงานเพลงชื่อเดียวกัน ของวงดนตรีเพื่อชีวิต คาราบาว ซึ่งเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2528 ส่วนคำขวัญภาษาอังกฤษใช้ว่า Smooth as Silk ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า นุ่มละมุนดุจแพรไหม มีชื่อเสียงมาจากเพลงชื่อเดียวกัน ที่กระจายเสียงภายในเครื่องก่อนเริ่มเที่ยวบิน และที่นำมาใช้ประกอบรายการ การบินไทยไขจักรวาลฝูงบิน ฝูงบิน. ในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 การบินไทยทำการบินด้วยฝูงบิน 102 ลำ โดยรวมการบินไทยสมายล์ มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท การบินไทยสมายล์ จำกัด หากไม่รวมการบินไทยสมายล์ การบินไทยทำการบินด้วยฝูงบินสูงสุด 91 ลำ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 การบินไทยทำการบินทั้งหมด 84 ลำ เมื่อรวมสายการบินไทยสมายล์ ฝูงบินทั้งหมด 104 ลำการจัดหา/ปลดระวาง การจัดหา/ปลดระวาง. ณ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560 อายุเฉลี่ยของฝูงบินของการบินไทยอยู่ที่ 9.3 ปี การบินไทยปลดระวาง Boeing747-400 6 ลำ และปรับปรุงที่นั่งในชั้นทุกชั้น จำนวน 12 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2555-2556 ปลดระวาง A300-600 15 ลำ บินครั้งสุดท้าย 31 กรกฎาคม 2557 ปลดระวาง Boeing 737-400 10 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2558-2560 ปลดระวาง ATR72-201 2 ลำ ปลดระวางลำแรก เดือน มีนาคม พ.ศ. 2549 ลำที่สอง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปลดระว่าง A330-322 12 ลำทั้งหมดใน เดือน สิงหาคม ปี พ.ศ. 2560 จอดเครื่องรอขาย A340-500 4 ลำ จอดเครื่องรอขาย A340-600 6 ลำ บินครั้งสุดท้าย เดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยปลดระวาง B747-400BCF 2 ลำในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380จำนวน 6 ลำ ซึ่งจะส่งมอบตั้งแต่ พ.ศ. 2555-2556 จัดหาเข้าประจำการ A330-343X 15 ลำ มาครบแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 B777-300ER สั่งซื้อ 6 ลำ กำหนดมอบส่งครบทุกลำเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2558 A350-900 ซื้อ 4 ลำ กำหนดมอบส่งครบ พ.ศ. 2559-2560 A350-900 พ.ศ. 2559-2560 เช่าซื้อ 8 ลำโดยแบ่งเป็น 6 ลำ เช่าซื้อจาก (ALAFCO) ส่งมอบ พ.ศ. 2559 และ 2 ลำ เช่าซื้อจาก (CIT) ส่งมอบ พ.ศ. 2560 B787-8 เช่าซื้อ 6 ลำ มาครบแล้วใน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 B787-9 เช่าซื้อ 2 ลำ ได้มาครบในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560บริการในห้องโดยสาร บริการในห้องโดยสาร. การบินไทยแบ่งการให้บริการภายในห้องโดยสาร ออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่รอยัลเฟิร์สคลาส (ชั้นหนึ่ง) รอยัลเฟิร์สคลาส (ชั้นหนึ่ง). ที่นั่งชั้นหนึ่งของการบินไทยสามารถปรับเอนนอนได้ 180 องศา ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบนวดผ่อนคลาย, ไฟอ่านหนังสือ, ปลั๊กไฟส่วนตัว (VAC) 115 โวลต์, จอภาพส่วนตัวขนาด 10.4 นิ้วพร้อมระบบความบันเทิงส่วนตัวผู้โดยสาร ในชั้นรอยัลเฟิร์สคลาสนี้สามารถเลือกเมนูอาหาร จากเมนูต่าง ๆ ทั้ง 22 รายการก่อนขึ้นเครื่องได้อีกด้วย ส่วนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380-800 ที่นั่งโดยสารถูกออกแบบให้เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัว มีความห่างระหว่างแถว 83 นิ้ว ความกว้างที่นั่ง 26.5 นิ้ว สามารถปรับเอนนอนเป็นแนวราบได้ถึง 180 องศาและติดตั้งอุปกรณ์สาระบันเทิงอย่างครบครันด้วยจอภาพ AVOD ระบบสัมผัสขนาด 23นิ้ว ติดตั้งระบบ Wi-Fi อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารได้ทุกชนิด พร้อมปลั๊กไฟส่วนตัวสำหรับคอมพิวเตอร์วางตักไว้บริการผู้โดยสาร นอกจากนี้การบินไทยยังติดตั้งห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของห้องน้ำปกติ โดยออกแบบให้มีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งแต่งตัวได้อย่างสะดวกสบายด้วยเช่นกัน ปัจจุบันการบินไทยติดตั้งที่นั่งชั้นรอยัลเฟิร์สคลาสในเครื่องบิน 31 ลำดังต่อไปนี้- เครื่องบินแอร์บัส เอ 380-841 จำนวน 6 ลำให้บริการเที่ยวบินระหว่างเส้นทางกรุงเทพ ฮ่องกง, โตเกียว, แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, โอซะกะ และปารีส - เครื่องบินโบอิง 747-400 จำนวน 8 ลำในรหัส B74R และ B74N โดยจะให้บริการระหว่างเส้นทางกรุงเทพ โอซะกะ, มิวนิก, ซิดนีย์, โตเกียว ฮาเนดะ, ฮ่องกง, มิลาน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ที่นั่งชั้นหนึ่งจะขายในราคาแบบที่นั่งชั้นธุรกิจสามารถเลือกนั่งได้ด้วยโดยจะบริการเฉพาะเส้นทาง กรุงเทพ เชียงใหม่ และภูเก็ต เท่านั้น ในเครื่องบินแบบ B74R B74Nรอยัลซิลค์ (ชั้นธุรกิจ) รอยัลซิลค์ (ชั้นธุรกิจ). เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับแอร์บัส A340-500 มาในลักษณะแบบเปลือกหอย มีการติดตั้งชั้นธุรกิจนี้ในเครื่องบินโบอิงB747-400, 777-300, 777-200, 777-200ER ,777-300ER ความห่างระหว่างที่นั้ง 60-62 นิ้ว และความกว้างของที่นั่ง 20-21.5 นิ้ว สามารถปรับเอนได้สูงสุดถึง 170 องศา ในทุก ๆ ที่นั่งจะมีระบบนวด.โทรทัศน์ส่วนตัวระบบสัมผัส 10.4 และ 15 นิ้ว (ในเก้าอี้แบบใหม่) สามารถปรับเอนนอนเป็นแนวราบได้ถึง 180 องศา และยังมีที่นั่งแบบใหม่ที่ถูกติดตั้งบนแอร์บัส เอ 380 และโบอิง777-300ER โดยจอ IFE มีขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว และติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบคาดผ่านเอว นอกจากนี้บนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ยังมีรอยัลซิลค์ บาร์บริการอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย ชั้นธุรกิจแบบเก่ายังมีในเครื่องบินแบบ B737-400 1 ลำ อนึ่ง A330-300 รุ่นใหม่จะมีการปรับเปลี่ยนชั้นธุรกิจเป็นแบบใหม่จะมีในรุ่นแบบ A330 และA33H ในเครื่องบินแบบ A330-343Eมีบริการทั้งหมด 15 ลำแบ่งเป็น A330 8 ลำ A33H 7 ลำ ให้บริการในทวีปเอเซียชั้นประหยัดพรีเมียม ชั้นประหยัดพรีเมียม. ชั้นประหยัดพรีเมียมการบินไทยบริการในเครื่องบินแบบ B777-300ER ในเส้นทางโคเปนเฮเกนและสต๊อกโฮม โดย นำที่นั่งชั้นธุรกิจ โซนหลัง มาขายเป็น ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม (แถวที่นั่ง 18-22) ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม ที่เป็นที่นั่ง ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม จริงๆ มีให้บริการบนเครื่องบินรุ่น A340-500 เท่านั้น แต่ปัจจุบันเครื่องบินรุ่นนี้ได้ปลดระวางไปแล้วชั้นประหยัด ชั้นประหยัด. ขนาดที่นั่งในชั้นประหยัดของการบินไทย มีขนาดใหญ่ถึง 36 นิ้ว ต่างจากโดยทั่วไปที่มีขนาด 34 นิ้ว โดยแถวที่นั่งจะถูกจัดวางในรูปแบบดังต่อไปนี้- แบบ 3-4-3 ในเครื่องบินโบอิง 747-400 และแอร์บัส เอ 380-841 (ชั้นล่าง) - แบบ 3-3-3 ในเครื่องบินโบอิง 787-9, 787-8, 777-200, 777-200ER, 777-300, และ 777-300ER - แบบ 2-4-2 ในเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-343, เอ 380-841 (ชั้นบน) - แบบ 3-3 ในเครื่องบินโบอิง 737-400 ทุกที่นั่งในชั้นประหยัดบนเครื่องบิน แอร์บัส A330-300 8 ลำ. โบอิง B777-200 , โบอิง B777-200ER, โบอิง B777-300, โบอิงB747-400 6 ลำจะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) หน้าจอระบบสัมผัส 9 นิ้ว ในทุกที่นั่ง แอร์บัส A33H 7 ลำ, A380-800 6 ลำ, โบอิงB747-400 6 ลำ, โบอิงB777-300ER จะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) ระบบปฏิบัติการ Panasonic eX2 หน้าจอระบบสัมผัส 10.6 นิ้ว และเครื่องบินแบบ โบอิงB787-8 จะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) ระบบปฏิบัติการ Panasonic eX3 หน้าจอระบบสัมผัส 11 นิ้วรอยัลออร์คิดพลัส รอยัลออร์คิดพลัส. รอยัลออร์คิดพลัส (Royal Orchid Plus หรือ ROP) เป็นรายการสะสมแต้มการบินของการบินไทย ซึ่งนับเป็นรายการแรกของประเทศไทย มีสมาชิกจากทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านคน ระดับสมาชิก ของรอยัลออร์คิดพลัสมี 4 ระดับชั้น ได้แก่- สมาชิก - สำหรับสมาชิกทั่วไป - ซิลเวอร์ - ต้องมีไมล์สะสมตั้งแต่ 10, 000 Q ไมล์ ใน 1 ปี หรือ 15, 000 Q ไมล์จากวันเริ่มต้นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปี - โกลด์ - ต้องมีไมล์สะสมตั้งแต่ 50, 000 Q ไมล์ ใน 1 ปี หรือ, 80, 000 Q ไมล์ จากวันที่เริ่มต้นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปี, หรือใช้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศตั้งแต่ 40 เที่ยวบินกับการบินไทย ภายใน 1 ปี. - แพลทินัม - สมาชิกภาพบัตรแพลทินัมได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อมอบแด่ท่านสมาชิกที่มีเอกลักษณ์ในการเดินทางที่โดดเด่น รวมถึงการเลือกเดินทางอย่างมีระดับในชั้นหนึ่ง รอยัล เฟิร์สท และชั้นธุรกิจ รอยัล ซิลค์ กับการบินไทยเสมอมา ตลอดจนเป็นผู้ที่ดำรงสถานภาพบัตรทองมายาวนาน และเป็นผู้ที่ได้รับการเรียนเชิญจากรอยัล ออร์คิด พลัส เท่านั้น รูปแบบการสะสมไมล์ มี 3 รูปแบบ ได้แก่- Eligible Qualifying Mile's (EQM) ซึ่งสามารถสะสมไมล์เดินทาง เมื่อใช้บริการเที่ยวบินของสายการบินไทย, สายการบินไทยสมายล์, สายการบินในกลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์, สายการบิน เจ๊ท แอร์เวย์ และเที่ยวบินในสายการบิน หรือเที่ยวบินที่ร่วมเส้นทางจาก/ถึงกรุงเทพ คือสายการบินมาเลเซียน, สายการบินเอมิเรตส์, สายการบินเอลอัลของอิสราเอล และสายการบินไชนาอีสเทิร์น - Qualifying Mile's (Q Miles) ซึ่งสามารถสะสมไมล์เดินทาง ในชั้นบริการของสายการบินไทย และสายการบินในกลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์ โดยจะสะสมแต้มตามชั้นที่นั่งซึ่งผู้โดยสารใช้บริการ - Partner Mile เป็นการสะสมสิทธิ์จากการใช้บริการอื่น ๆ ที่เป็นแนวร่วมกับสายการบินไทย เช่นบัตรเครดิตที่ร่วมรายการโอนคะแนนสะสมไมล์, โรงแรมที่พัก หรือสินค้าบริการอื่น ๆ ที่เข้าร่วมรายการอุบัติการณ์และอุบัติเหตุ อุบัติการณ์และอุบัติเหตุ. การบินไทยมีอุบัติการณ์มากกว่าอุบัติเหตุ ซึ่งหมายถึงการทำการบินที่ผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อยหรือไม่บาดเจ็บเลย รวมถึงการขู่ว่ามีการวางระเบิด อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์และอุบัติเหตุของการบินไทยค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับสายการบินอื่น ๆ ทั่วโลก- 30 มิถุนายน พ.ศ. 2510 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 601 เครื่องบิน Sud Aviation SE-210 Caravelle III ทะเบียน HS-TGI ของการบินไทย บินจากซงชาน กรุงไทเป ไปยังสนามบินฮ่องกง (ไคตั๊ก) เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกขณะทำการลงจอดในขณะที่มีพายุไต้ฝุ่น เสียชีวิต 24คน บาดเจ็บหนัก 56 คน โดยมีผู้โดยสารทั้งหมด 73 คน ลูกเรือ 7 คน- 25 ธันวาคม พ.ศ. 2510 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 002 เครื่องบิน Douglas DC-3 ทะเบียน HS-TDH บินจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ประสบอุบัติเหตุตก มีผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน ลูกเรือ 2 คน จากจำนวนผู้โดยสาร 28 คน ลูกเรือ 3 คน- 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 - การบินไทยไม่ทราบเทื่ยวบิน เครื่องบิน Douglas DC-8 ทะเบียน HS-TGU บินจากกรุงเทพไปเนปาลเกิดอุบัติเหตุลื่นไถลออกนอกรันเวย์มีผู้เสียชีวิตที่ภาคพื้นดินเป็นประชาชนชาวเนปาล 1 ราย- 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 311 เครื่องบินแอร์บัส เอ 310-304ทะเบียน HS-TID ของการบินไทย ชนเทือกเขา 35 กม. ทางเหนือของกาฎมานฑุ ผู้โดยสาร 113 คนเสียชีวิต (ผู้โดยสาร 99 คน และ พนักงาน 14 คน) สาเหตุเกิดจากปัญหาทางเทคนิคและหลงทิศเนื่องจากสภาพอากาศปิด- 11 ธันวาคม พ.ศ. 2541 – การบินไทย เที่ยวบินที่ 261 เครื่องบินแอร์บัส เอ 310-304ทะเบียน HS-TIA ของการบินไทย จากกรุงเทพไปสุราษฎร์ธานี ตกสาเหตุเนื่องจากฝนตกหนักมาก ผู้โดยสาร 102 คน จาก 143 คน เสียชีวิต- 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 – การบินไทย เที่ยวบินที่ 114 เครื่องบินโบอิง 737-4D7 ทะเบียน HS-TDC ของการบินไทย จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่จอดที่สนามบิน เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 8คน สาเหตุเกิดจากน้ำมันกับอากาศเข้าผสมกัน และเกิดการสันดาปขึ้นในส่วนของถังน้ำมันเนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด- 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 600 เครื่องบินแอร์บัส 380-841ทะเบียน HS-TUA ของการบินไทยจากกรุงเทพไปฮ่องกงเกิดตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บ 38 ราย ลูกเรือบาดเจ็บ 9 รายลูกเรือบาดเจ็บสาหัส 1 ราย ภายในเครื่องบินได้รับความเสียหาย- 8 กันยายน พ.ศ. 2556 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 679 เครื่องบิน แอร์บัส 330-300 ทะเบียน HS-TEF ของการบินไทย จากกวางโจวไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุล้อหลังด้านขวาของเครื่องบินขัดข้อง ขณะร่อนลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้เครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 12 ราย- 12 เมษายน พ.ศ. 2558 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 641 เครื่องบิน แอร์บัส 340-600 ทะเบียน HS-TNF ของการบินไทย จากนะริตะไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อย 12 ราย- 12 เมษายน พ.ศ. 2559 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 434 เครื่องบิน โบอิง 777-200ทะเบียน HS-TJH ของการบินไทย จากจาร์กาตาไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อย 6 ราย- 21 กันยายน พ.ศ. 2559 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 221 เครื่องบิน แอร์บัส 350-900ทะเบียน HS-THB ของการบินไทย จากกรุงเทพไปภูเก็ต เกิดอุบัติการณ์ยางล้อแตกขณะลงจอดบริษัทร่วมทุน บริษัทร่วมทุน. การบินไทยเคยถือหุ้นอยู่ในสายการบินนกแอร์อยู่ 49% นับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2560 นกแอร์ได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท การบินไทยตัดสินใจไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม และสัดส่วนหุ้นนกแอร์ที่ถือโดยการบินไทยลดลงจากเดิม 39.2% เหลือ 21.57% (29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560) นอกจากนั้นบริษัทการบินไทยยังมีบริษัทย่อยดังต่อไปนี้1. บริษัท ไทย-อะมาดิอุส เซาท์อีสต์เอเชีย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 55 2. บริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 3. บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 4. บริษัท ทัวร์เอื้องหลวง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 5. บริษัท ดอนเมือง อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต โฮเต็ล จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 40 6. บริษัท ครัวการบินภูเก็ต จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 30 7. บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 30 8. บริษัท โรงแรม รอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 24 9. บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 22.59การบินไทยคาร์โก การบินไทยคาร์โก. บริษัทการบินไทยเคยทำกิจการขนส่งเฉพาะสินค้า โดยมีเครื่องบินขนส่งสินค้าเป็นของบริษัทเองในช่วง ปี พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2526 ด้วยเครื่องบิน Douglas DC-8-62F ทะเบียน HS-TGS และในระหว่างวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 - 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 ทำการบินโดย B747-400BCF ทะเบียน HS-TGH และ HS-THJ เส้นทางบินได้แก่ทางกรุงเทพแวะเชนไนไปอัมสเตอร์ดัม TG898 กรุงเทพแวะไฮเดอราบัดสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG890 กรุงเทพแวะไฮเดอราบัดสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG894 กรุงเทพไปซิดนีย์ TG865 กรุงเทพไปนะริตะ TG862 นะริตะไปเทเปกลับกรุงเทพ TG863 เส้นทางจาก แฟรงเฟิร์ต แวะ เซี่ยเหมิน สิ้นสุดที่ กรุงเทพ TG897 นอกเหนือจากนั้นเป็นเครื่องบินที่บริษัทเช่าทำการบินโดยสายการบินอื่น อีก 3 ลำ ได้แก่เครื่องบินทะเบียน N552MC ใช้บินระหว่าง พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ. 2542 เครื่องบินทะเบียน N774SA N775SA ใช้ในปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2554 รวมการบินไทยเคยทำการบินเฉพาะขนส่งสินค้าทั้งหมด 6 ลำครัวการบินไทย ครัวการบินไทย. ครัวการบินไทย () เริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2503 โดยเช่าโรงซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบิน และอาคารเล็กอย่างละหนึ่งหลัง ภายในบริเวณท่าอากาศยานกรุงเทพ ที่ดอนเมืองเป็นแห่งแรก เพื่อทำการผลิตและให้บริการอาหารชนิดต่าง ๆ สำหรับสายการบินไทย และสายการบินอื่นอีกมากกว่า 50 สายการบิน สำนักงานของครัวการบินไทย มีสองแห่งคือ อาคารขนาดใหญ่บนพื้นที่ 90, 000 ตารางเมตร ภายในบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัย เพื่อผลิตอาหารสำหรับรองรับในส่วนของสายการบินไทย และคำสั่งจากลูกค้าทุกสายการบิน โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอาหารจำนวนมากกว่า 87, 000 มื้อต่อวัน ส่วนสำนักงานอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อสนับสนุนการกลับมาเปิดดำเนินการบินอีกครั้ง ตลอดจนรองรับความต้องการของเที่ยวบินภายในประเทศ รวมทั้งกิจการภาคพื้นดินอย่างการผลิตขนมอบ (Bakery) และการจัดเลี้ยงต่าง ๆ โดยมีศักยภาพผลิตอาหารได้สูงสุด 49, 000 มื้อต่อวัน ครัวการบินไทยมีผลงานที่สำคัญคือ เป็นผู้ดำเนินการผลิตและให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม แก่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2541, เฟสปิกเกมส์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2542 และกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อนครั้งที่ 24 เมื่อปี พ.ศ. 2550 ที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงในงานไอฉิเอ็กซโป (Aichi Expo) เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยภัตตาคารการบินไทย ภัตตาคารการบินไทย. ภัตตาคารการบินไทย () เปิดให้บริการเป็นแห่งแรก ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2515 และเริ่มให้บริการสาขาแรก ภายในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2529พัฟแอนด์พาย พัฟแอนด์พาย. ร้านขนมอบพัฟแอนด์พาย () ก่อตั้งขึ้นราวปลายปี พ.ศ. 2538 โดยครัวการบินไทย และเริ่มเปิดทำการเป็นแห่งแรก เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 บริเวณหน้าอาคารรักคุณเท่าฟ้า ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ตลอดจนบริหารบุคลากรและอุปกรณ์ที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากครัวการบินไทยต้องสูญเสียรายได้ จากการบริการอาหารบนเครื่องบิน (Uplift) เนื่องจาก บมจ.การบินไทย มีนโยบายงดให้บริการอาหาร บนเที่ยวบินที่ไม่ตรงเวลาอาหาร ดังนั้นจึงทดลองเปิดขายขนมชนิดต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ครัวการบินไทยมีรายได้เพิ่ม เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด จึงเพิ่มความสำคัญอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้ จากกิจการพัฟแอนด์พาย ให้เป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากงานจัดเลี้ยง รวมถึงจากการผลิตและบริการอาหารบนเที่ยวบิน ดังนั้น ครัวการบินไทยจึงดำเนินการขยายสาขาของร้านพัฟแอนด์พาย โดยแผนระยะแรก จะเปิดขายในพื้นที่ของ บมจ.การบินไทยก่อน เพื่อเป็นสวัสดิการของพนักงาน ทว่าต่อมาได้รับการเรียกร้องจากลูกค้าภายนอก ให้ขยายสาขาเพิ่มขึ้นในที่ต่าง ๆ เพื่อความสามารถในการให้บริการอย่างทั่วถึง ครัวการบินไทยจึงพิจารณาขยายสาขา ในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น ตลอดจนร้านพัฟแอนด์พายเฉพาะกิจ ภายในศูนย์การค้าและงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมากและต่อเนื่อง ครัวการบินไทยจึงพิจารณาขยายตลาด โดยเปิดโครงการ Puff & Pie Whole Sales โดยให้บุคคลภายนอกที่สนใจกิจการ เข้าร่วมประกอบธุรกิจในชื่อ Puff & Pie Supreme Bakery Delight ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา สำหรับรูปแบบของร้านพัฟแอนด์พายส่วนมาก จะสร้างเป็นร้านค้าขนาดเล็ก (Kiosk) มีหลังคาผ้าใบสีขาวและเหลืองเป็นสัญลักษณ์ จำหน่ายอาหารไทย อาหารจีน และอาหารฝรั่งชนิดปรุงสำเร็จ ในชื่อผลิตภัณฑ์ซื้อกลับบ้าน (Take Home) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เอื้องหลวง ที่ฝ่ายผลิตและบริการภาคพื้นเป็นผู้ผลิต วางจำหน่ายร่วมด้วยนิตยสารประจำเที่ยวบิน นิตยสารประจำเที่ยวบิน. นิตยสารประจำเที่ยวบิน (Inflight Magazine) ของการบินไทย มีชื่อว่าสวัสดี () ออกเป็นฉบับปฐมฤกษ์เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2514 เนื้อหาส่วนมากนำเสนอบทความสารคดี ว่าด้วยความเป็นไทย โดยเฉพาะประเพณีและวัฒนธรรม ที่เขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะเป็นภาษาอังกฤษทั้งฉบับ มิได้นำบทความที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารอื่นมาลงซ้ำ นอกจากนั้น ยังมีภาพประกอบที่สวยงามโดดเด่นอีกด้วย นิตยสารประจำเที่ยวบินของเดินอากาศไทย มีชื่อว่ากินรี () ออกเป็นฉบับปฐมฤกษ์เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2527 เนื้อหาส่วนมากนำเสนอบทความสารคดี ว่าด้วยสารบันเทิงปกิณกะ โดยเฉพาะความเป็นไทย ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะเป็นภาษาไทยทั้งฉบับ อนึ่ง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 กินรีออกฉบับพิเศษ "41 ปี เดินอากาศไทย" ก่อนที่จะรวมกิจการเข้ากับการบินไทย ในวันที่ 1 เมษายนด้วย หลังจากนั้น การบินไทยจึงเป็นเจ้าของนิตยสารทั้งสองฉบับ โดยสวัสดียังคงเป็นนิตยสารประจำเที่ยวบินระหว่างประเทศ และกินรีกลายเป็นนิตยสารประจำเที่ยวบินภายในประเทศ จนกระทั่งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 มีการเปลี่ยนแปลงให้นิตยสารสวัสดี ตีพิมพ์เป็นสองภาษาควบคู่กัน โดยให้บริการทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ ส่วนนิตยสารกินรี การบินไทยขายกิจการไปให้กับธนาคารกรุงเทพ เพื่อใช้เป็นชื่อนิตยสารสำหรับลูกค้าธนาคารที่เป็นสมาชิกการบินไทยไขจักรวาล การบินไทยไขจักรวาล. การบินไทยเป็นผู้สนับสนุนให้มีรายการโทรทัศน์ ประเภทตอบปัญหาชิงรางวัลและทุนการศึกษาแก่เยาวชน ซึ่งมีชื่อว่าการบินไทยไขจักรวาล ที่จัดแข่งขันระหว่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาผู้แทนโรงเรียนต่าง ๆ กลุ่มละสามคน โดยแต่ละครั้งจะแข่งขันกันระหว่างสองโรงเรียน ดำเนินรายการโดย พลตรีถาวร ช่วยประสิทธิ์ (2518-2521) และหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (2521-2548) (เวลาต่อมาจึงได้เพิ่มรัตน์มณี กังวานไกล เป็นพิธีกรดำเนินรายการร่วมไปด้วย ซึ่งบางครั้งทำหน้าที่ดำเนินรายการแทนเพียงคนเดียว) ออกอากาศทุกวันอังคาร สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 17:00-17:30 น. (ต่อมาย้ายไปออกอากาศทุกวันศุกร์ สัปดาห์และเวลาออกอากาศเดียวกัน) ถ่ายทอดสดจากห้องส่งสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เป็นระยะเวลาถึง 30 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2518-พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ นักเรียนที่ชนะการตอบปัญหาประจำสัปดาห์ จะได้รับทุนการศึกษา ส่วนนักเรียนที่ชนะเลิศการตอบปัญหาประจำปี จะได้รับรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับต่างประเทศ พร้อมกิจกรรมทัศนศึกษา ซึ่งการบินไทยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดกรณีฟ้องร้องบริษัทต่างประเทศ กรณีฟ้องร้องบริษัทต่างประเทศ. การบินไทยได้ฟ้องร้องบริษัทโคอิโตะ ในกรณีที่ไม่สามารถติดตั้งเก้าอี้โดยสารภายในเครื่องบินแอร์บัส เอ 330ในชั้นประหยัดทั้ง 5 ลำได้ส่งผลให้การบินไทยเสียโอกาสในการนำเครื่องบินบริการแก่ผู้โดยสาร ค่าเสียโอกาสในการบำรุงเครื่องบินและยังต้องหาบริการอื่นเพื่อดำเนินการในการติดตั้งเก้าอี้โดยสารใหม่ กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อการบินไทยว่าจ้างบริษัทโคอิโตะติดตั้งเก้าอี้ในชั้นประหยัดโดยในระยะแรกเป็นไปด้วยดีแต่เมื่อถึงต้นปีพ.ศ. 2553 บริษัทดังกล่าวไม่ได้การรับรองจากกรมการบินประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากการที่ดังกล่าวบริษัทเปลี่ยนมาตรฐาน ส่งผลให้ 2 รายการ จาก 18 รายการ ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากประเทศญี่ปุ่นเรื่องดังกล่าวนอกจากกระทบต้องเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ 330ยังกระทบต่อเครื่องบินแบบโบอิง 777-300 HS-TKEโดยเครื่องบินลำดังกล่าวขายที่นั่งได้น้อยลงเพราะต้องขายเฉพาะที่นั่งที่ติดตั้งจากบริษัทโคอิโตะเพียงส่วนหนึ่งก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะถูกถอนใบอนุญาต กรณีดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการให้บริการบนเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ 330เนื่องจากเครื่องบินมีการจ้างบริษัทที่ติดตั้งเก้าอี้แตกต่างกัน โดย 12ลำแรกHS-TEA ถึง HS-TEM รหัส A333 เป็นการออกแบบที่นั่งแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีจอส่วนตัวให้ผู้โดยสารใช้เครื่องยนต์ PW4000 8 ลำต่อมาตั้งแต่ HS-TEN ถึง HS-TEU A330 ก็เป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งมีจอส่วนตัวให้ผู้โดยสาร ใช้เครื่องยนต์ Rolls Royce Trent 700 ส่วนในชุดสุดท้ายเป็นการออกแบบที่นั่งอีกแบบหนึ่งซึ่งทันสมัยมากที่สุดรหัส A33H ใช้เครื่องยนต์ Rolls Royce Trent 700 นอกจากนั้นแล้วใน 4 ลำดังกล่าวการบินไทยได้เริ่มใช้รหัสใหม่เป็น HS-TBA ซึ่งโดยปกติแล้วแอร์บัส เอ 330จะใช้รหัสเป็น HS-TE_ ทั้งนี้เพื่อกันความสับสนของนักบินและลูกเรือซึ่งใน 7 ลำดังกล่าวได้เลิกใช้การติดตั้งเก้าอี้ของบริษัทโคอิโตะในชั้นประหยัดกรณีซื้อและเช่าเครื่องบินซึ่งผลดำเนินการขาดทุน กรณีซื้อและเช่าเครื่องบินซึ่งผลดำเนินการขาดทุน. การบินไทยซื้อเครื่องบินแอร์บัส340 โดยกรรมการใหญ่ผู้จัดการใหญ่ในขณะนั้น นายกนก อภิรดี ซื้อมาโดยวางแผนบินเส้นทางกรุงเทพไปนิวยอร์ก กรุงเทพไปลอสแอนเจลิส ผลของการซื้อเครื่องบินแบบดังกล่าวคือการขาดทุนมหาศาลทั้งผลการดำเนินงานที่ขาดทุนทุกเที่ยวบินที่บินไปนิวยอร์ก และต่อมาก็ขาดทุนทางบัญชี ค่าเสียโอกาส เนื่องจากการบินไทยเลือกที่จะนำเครื่องบินรุ่นดังกล่าวไปจอดไว้ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองผลจากเรื่องนี้นำมาสู่การยึดอำนาจนาย กนก อภิรดี การบินไทยนับจากการซื้อเครื่องบินเมื่อปีพ.ศ. 2548 จนถึง ปี พ.ศ. 2559 ไม่สามารถขายเครื่องบินได้เนื่องจากหากขายเครื่องบินรุ่นดังกล่าวจะต้องขายเครื่องบินแบบขาดทุนอย่างมาก จนไม่มีกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใดกล้าขายเพราะต้องเผชิญเสียงวิจารณ์ในทางลบอย่างมากจากภายในบริษัทและภายนอกบริษัท อีกทั้งเสี่ยงต่อการถูกสอบสวน ในข้อหาทำให้บริษัท การบินไทย เสียหายนับว่าเป็นวิกฤตจนถึงปัจจุบันที่เครื่องบินไม่สามารถขายได้และมีค่าเสื่อมราคาลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นแล้วในเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันนท์ ได้สั่งโยกย้าย นายพฤทธิ์ บุปผาคำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เนื่องจากผลดำเนินการขาดทุนของการบินไทยคาร์โก้ โดยให้เหตุผลว่า นายพฤทธิ์ กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ตนเอง โดยการเซ็นสัญญาเช่าเครื่องบินเพื่อขนส่งสินค้า 2 ลำกับ Southern Air ต้องเป็นหน้าที่ของบอร์ดที่จะต้องมีการพิจารณาและอนุมัติก่อน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากการกระทำที่ผิดนโยบาย คือ เดิมการบินไทยมีเป้าหมายจะให้เช่าพื้นที่คาร์โก้ แต่กลับไปเช่าเครื่องบินท้ายที่สุดแล้วการบินไทยเช่าพื้นที่คาร์โก้ของเครื่องบินทั้งสองลำ และผลดำเนินการขาดทุนกว่า 100 ล้านบาทจนต้องรีบคืนเครื่องบิน 1 ลำ ก่อนครบสัญญาเช่ารางวัลที่ได้รับ
| การบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศใด | {
"answer": [
"ไทย"
],
"answer_begin_position": [
248
],
"answer_end_position": [
251
]
} |
2,025 | 10,705 | การบินไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (; ชื่อย่อ: ไทย, THAI) เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดำเนินธุรกิจการบินพาณิชย์ ในฐานะสายการบินแห่งชาติของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 โดยปฏิบัติการบินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นหลัก ทั้งนี้ การบินไทยยังได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรการบิน สตาร์อัลไลแอนซ์ เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสายการบินนกแอร์ และเปิดตัวสายการบินลูก ไทยสมายล์ อีกด้วย ปัจจุบัน(มิถุนายน พ.ศ. 2561) การบินไทยบิน 64 สนามบินรวมต่างประเทศและในประเทศ แบ่งเป็นต่างประเทศ 60 สนามบิน ในประเทศไทย 4 สนามบินไม่รวมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งหมด 3 ทวีป 32 ประเทศทั่วโลกไม่รวมประเทศไทย จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยฝูงบินกว่า 84 ลำ การบินไทยเป็นสายการบินลำดับต้นในเอเชีย ที่ทำการบินในเส้นทางกรุงเทพ ลอนดอน (ท่าอากาศยานฮีทโธรว์) นอกจากนี้ การบินไทยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากองค์การอนามัยโลกว่าด้วยสุขอนามัยบนเครื่องบินอีกด้วยประวัติเริ่มก่อตั้ง ประวัติ. เริ่มก่อตั้ง. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2502 รัฐบาลไทยดำเนินการให้ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด (อังกฤษ: Thai Airways Company Limited; ชื่อย่อ: บดท.; TAC) กับ สายการบินสแกนดิเนเวียน (อังกฤษ: Scandinavian Airlines System; ชื่อย่อ: SAS) ทำสัญญาร่วมทุนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2502 จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 บริษัท การบินไทย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นด้วยทุนประเดิม 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยมีเที่ยวบินปฐมฤกษ์ไปยังฮ่องกง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2520 เอสเอเอสคืนหุ้นให้เดินอากาศไทย หลังจากครบระยะเวลาตามสัญญาร่วมทุน แล้วโอนให้แก่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรี พนักงานคนแรกได้แก่ กัปตัน พร้อม ณ ถลาง อีกทั้งยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของการบินไทยในปี พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2523 อีกด้วยพ.ศ. 2530 : ควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย พ.ศ. 2530 : ควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย. วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2531 เดินอากาศไทยซึ่งดำเนินธุรกิจสายการบินภายในประเทศ ก็รวมกิจการเข้ากับการบินไทย เพื่อให้สายการบินแห่งชาติเป็นหนึ่งเดียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จากนั้นในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 การบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี และจดทะเบียนแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดมหาชน เมื่อปี พ.ศ. 2537พ.ศ. 2540 : ก่อตั้งพันธมิตรการบิน และ ขยายเส้นทางบิน พ.ศ. 2540 : ก่อตั้งพันธมิตรการบิน และ ขยายเส้นทางบิน. วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 การบินไทย ร่วมกับสายการบินลุฟต์ฮันซา, แอร์แคนาดา, เอสเอเอส, และ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ก่อตั้งพันธมิตรการบินแห่งแรก และใหญ่ที่สุด สตาร์อัลไลแอนซ์ ขึ้น จากนั้นจึงเริ่มขยายที่หมายการบินใหม่ไปยัง เฉิงตู, ปูซาน, เชนไน, เซียะเหมิน, มิลาน, มอสโก, อิสลามาบาด, ไฮเดอราบัด และ ออสโล ในวันที่ 29 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2545 การบินไทยเปิดเส้นทางบินใหม่กรุงเทพ แวะกรุงเอเธนส์ ไปกรุงเจนีวา ในปี พ.ศ. 2548 การบินไทยได้เปิดเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพ นิวยอร์ก ด้วยเครื่องบินแบบ แอร์บัส เอ 340-500 ถือเป็นเที่ยวบินตรงเส้นทางแรกสู่สหรัฐอเมริกา ต่อมาได้เปลี่ยนเที่ยวบินตรงไปยังลอสแอนเจลิสแทน แต่เนื่องด้วยเครื่องบินรุ่นนี้ใช้น้ำมันมากจึงได้ระงับไปในปี 2551 แม้จะมีผู้โดยสารจองที่นั่งกว่าร้อยละ 80 ก็ตาม ในปี พ.ศ. 2549 การบินไทยได้ย้ายฐานการปฏิบัติการไปยังสนามบินใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกันนี้ การบินไทยได้ปรับภาพลักษณ์ของสายการบินใหม่ ตั้งแต่นำเครื่องบินรุ่นใหม่มาปฏิบัติการบิน ปรับปรุงที่นั่งรุ่นเก่าให้เป็นรุ่นใหม่ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนการให้บริการภาคพื้น และ บนเครื่องบินอีกด้วย เปิดเส้นทางใหม่ไป โจฮันเนสเบิร์ก ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2549พ.ศ. 2550 : ปรับฝูงบิน และ ครบรอบ 50 ปีการบินไทย พ.ศ. 2550 : ปรับฝูงบิน และ ครบรอบ 50 ปีการบินไทย. ในปี พ.ศ. 2553 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี การบินไทย ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้อำนวยการใหญ่ ในขณะนั้น ได้ตั้งเป้าหมายในอนาคตของการบินไทย โดยสร้างแผนงานในการนำฝูงบินใหม่ มาทดแทนฝูงบินเก่า และปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น โดยวางแผนซื้อเครื่องบินแบบ โบอิงค์ 787 และ แอร์บัส เอ350 รวมไปถึงการนำเครื่องบินแบบ โบอิงค์ 747 และ 777 มาปรับปรุงห้องโดยสารใหม่อีกด้วย ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 การบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษ TG8830 จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติไคโร การบินไทย กลับมาบินสู่ ลอสแอนเจลิส อีกครั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โดยแวะพักที่โซล ด้วยเครื่องบินแบบ แอร์บัส เอ 340-600 และปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย โบอิง 777-200ER สำหรับเส้นทาง กรุงเทพ โซล ลอสแอนเจลิสพ.ศ. 2558 : ยกเลิกเครื่องบิน ยกเลิกเที่ยวบิน ครบรอบ 55 ปี การบินไทย พ.ศ. 2558 : ยกเลิกเครื่องบิน ยกเลิกเที่ยวบิน ครบรอบ 55 ปี การบินไทย. ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 การบินไทยและการบินไทยสมายล์มีเครื่องบินที่ทำการบินรวมกันมากถึง 102 ลำ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเที่ยวบิน TG991 เป็นเที่ยวบินสุดท้าย ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินขนส่งสินค้าโดยเครื่องบิน 747-400BCF เที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติอัมสเตอร์ดัม สคิปโฮลมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเที่ยวบิน TG899 เป็นเที่ยวบินสุดท้าย ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินขนส่งสินค้าโดยเครื่องบิน 747-400BCF เที่ยวสุดท้าย ในเที่ยวบิน TG897 แฟรงเฟิร์ต-กรุงเทพ ก่อนปลดประจำการเครื่องบินรุ่นดังกล่าวและปลดเครื่องบินแบบ A340-600 ลำสุดท้ายในวันที่ 28 มีนาคมให้บริการเที่ยวบินสุดท้ายในเที่ยวบิน TG923 แฟรงก์เฟิร์ตมากรุงเทพ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยบินเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติโดโมเดโดโวมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเที่ยวสุดท้าย ในเที่ยวบิน TG975 และกลับมาบินอีกครั้ง ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ใน วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558 ในเที่ยวบิน TG949 บริการเส้นทางไปท่าอากาศยานนานาชาติมาดริดบาราคัสมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเที่ยวบินสุดท้ายก่อนยกเลิก และ บริการเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิสมาท่าอากาศยานนานาชาติอินช็อนมาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เที่ยวสุดท้าย ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ในเที่ยวบิน TG693 การบินไทย เปิดโฆษณา ปลายทางคือคุณ เป็นเพลงฉลองครบรอบ 55 ปี และจัดโปรโมชั่นให้ผู้โดยสาร และจัดงาน TG Online Market Fair ครั้งที่ 1ในวันที่ 28-29 เมษายน 2558ในปี พ.ศ. 2560 การบินไทยบริการเที่ยวบินไปกลับระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปอัลมะดีนะฮ์และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปเจดดาห์ เป็นครั้งแรกเพื่อบริการผู้โดยสารที่ไปทำพิธีฮัจญ์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่. - ข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558สำนักงาน สำนักงาน. สำนักงานการบินไทยในกรุงเทพมหานครแห่งแรก เป็นห้องแถวสามชั้น เลขที่ 1101 ริมถนนเจริญกรุง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเยื้องกับไปรษณีย์กลางบางรัก อันเป็นศูนย์รวมธุรกิจในยุคนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ซึ่งส่วนมากเป็นนักธุรกิจและชาวต่างชาติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 การบินไทยเช่าอาคารเลขที่ 1043 ถนนพหลโยธิน ติดกับซอยลือชา (ซอยพหลโยธิน 3) บริเวณสนามเป้าเป็นสำนักงาน โดยเมื่อปี พ.ศ. 2522 การบินไทยจัดซื้อที่ดินริมถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และก่อสร้างอาคารหลังแรกขนาด 5 ชั้น ซึ่งเริ่มใช้ปฏิบัติงานเมื่อปี พ.ศ. 2523 หลังจากนั้นจึงมีโครงการสร้างอาคารถาวร จนกระทั่งแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2532 เมื่อปี พ.ศ. 2506 การบินไทยเปิดสำนักงานสาขาในต่างประเทศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นแห่งแรก ในปี พ.ศ. 2553 สำนักงานสาขาในต่างประเทศของการบินไทย มีทั้งหมด 76 สาขาใน 38 ประเทศ ครอบคลุมทั้ง 5 ทวีป ส่วนศูนย์ซ่อมเครื่องบินของการบินไทย มีอยู่สองแห่งคือ ภายในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และภายในบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยองผลประกอบการ ผลประกอบการ. ในปี พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2558 การบินไทยมีผลประกอบการขาดทุน การบินไทยมีผลประกอบการกำไรอีกครั้งใน ปี พ.ศ. 2559 โดยมีกำไรสุทธิ 15.14 ล้านบาทจุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทาง. เส้นทางบินที่ไกลที่สุดได้แก่ 10 อันดับแรก ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี TG790/TG791 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG794/TG795 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับ ท่าอากาศยานนานาชาติมาดริดบาราคัส TG948/TG949 ไปกลับ ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถา-ยฺเหวียน ซีแอตเทิล TG762/TG763 ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติอินช็อนไปท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG692/693 ( เดิมคือไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพไปท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG770/771 ) ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ TG910/TG911 ( เดิมคือ ไปกลับ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ) ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติออกแลนด์ TG491/492 ไปกลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต TG926/927 ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส TG694/695 และ ไปกลับระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบ TG991/992 โดยทุกเส้นทางทำการบินมากกว่า 9000 กิโลเมตร ณ วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560 การบินไทยได้ให้บริการการบินไปยังท่าอากาศยานทั้งหมด 64 แห่ง 32 ประเทศ (ไม่รวมประเทศไทย) ครอบคลุม 3 ทวีปทั่วโลกข้อตกลงการทำการบินร่วม ข้อตกลงการทำการบินร่วม. การบินไทยทำข้อตกลงการทำการบินร่วม กับสายการบินต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:ภาพลักษณ์ขององค์กร ภาพลักษณ์ขององค์กร. การบินไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่มีระเบียบการเปลี่ยนเครื่องแบบในตลอดการเดินทาง โดยพนักงานต้อนรับหญิงประจำเที่ยวบินระหว่างประเทศจะต้องเปลี่ยนเครื่องแบบจากชุดสูทสีม่วง (สำหรับแต่งกายนอกห้องโดยสาร) เป็นชุดไทยประเพณี (เห็นได้จากโฆษณาของสายการบิน) ขณะต้อนรับผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบิน และต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดสูทเมื่อนำผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน เว็บไซต์อาสค์เมนจัดอันดับ สุดยอดแอร์โฮสเตทสาวที่ฮอทที่สุด 10 สายการบินทั่วโลก โดยการบินไทยได้อันดับที่ 7 เว็บไซต์อาร์คเมนส์ ให้เหตุผลว่า พนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินดูดีในชุดเครื่องแบบโทนสีม่วง-ทอง รูปร่างหน้าตาสวยงาม การบริการระหว่างการเดินทางดี นอกจากนี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรและมารยาทงามอีกด้วยนอกจากนี้ การบินไทยยังถูกจัดให้เป็นสายการบินที่ดีที่สุด ลำดับ 5 ของโลกนอกจากนี้การบินไทยเป็นสายการบินที่คำนึงถึงสุขภาพผู้โดยสารเป็นสำคัญ โดยที่ผ่านมาการบินไทยได้นำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานนะฮะท่าอากาศยานแองเคอเรจ ซึ่งเป็นการลงจอดนอกแผนการบิน เนื่องจากกรณีผู้โดยสารป่วย อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับว่าการบินไทยมีการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจทางการเมืองโดยข้อเท็จจริงการบินไทยมีกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 17 คน (นับถึงปี พ.ศ. 2559) ในระยะเวลาตลอดที่ทำการบินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 - พ.ศ. 2557 เมื่อเฉลี่ยแล้วกรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทยอยู่ในตำแหน่งเพียง 3 ปี 5 เดือน การแทรกแซงอื่นที่ปรากฏ อาทิ การจัดซื้อเครื่องบิน การจัดเส้นทางบิน การปลดกรรมการผู้จัดการใหญ่ การโยกย้ายกรรมการบริษัท ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตราสัญลักษณ์ ตราสัญลักษณ์. เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 การบินไทยเปิดตัวตราสัญลักษณ์แบบแรก เป็นภาพตุ๊กตารำไทยซึ่งออกแบบโดย หม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไชย นักออกแบบที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ซึ่งเป็นผู้ออกเครื่องแบบพนักงานต้อนรับชุดแรกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 การบินไทยจัดจ้างวอลเตอร์ แลนเดอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ () บริษัทโฆษณาระดับโลก ให้ออกแบบตราสัญลักษณ์ใหม่ จากนั้นราวปลายปี พ.ศ. 2517 คณะผู้แทนการบินไทยเดินทางไปพิจารณาเลือกแบบ ซึ่งคณะผู้ออกแบบนำเสนอกว่าสิบภาพ โดยภาพดอกบัวโดดเด่นที่สุด เนื่องจากมีสีสันกลมกลืนสดใส แต่มีผู้แทนคนหนึ่งเห็นว่า การบินไทยใช้ชื่อบริการว่าเอื้องหลวง หากใช้สัญลักษณ์ดอกบัวก็เป็นการขัดกัน จึงเสนอแนะแก่คณะผู้ออกแบบไว้ ซึ่งต่อมาในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2520 เดินอากาศไทยนำภาพดอกบัวดังกล่าว มาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ใหม่ แทนภาพช้างเอราวัณสามเศียรอยู่กลางตราอาร์ม สองข้างซ้ายขวาประกอบด้วยภาพปีกนกซ้อนทับบนปีกเครื่องบิน โดยในปีถัดมา (พ.ศ. 2518) คณะผู้ออกแบบพยายามดัดแปลงแก้ไขจากแบบที่เลือกไว้แล้ว จึงได้แบบที่คณะผู้แทนการบินไทยเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ จึงนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ใหม่ ซึ่งคณะผู้ออกแบบอธิบายว่าเป็นภาพใบเสมา ซึ่งพบเห็นทั่วไปในประเทศไทย โดยจับวางตะแคงข้าง เพื่อต้องการสื่อถึงความเร็ว เนื่องจากนำมาใช้กับสายการบิน สำหรับสีทองมาจากแสงอร่ามของวัดวาอารามไทย สีม่วงสดมาจากกล้วยไม้ ดอกไม้สัญลักษณ์ของการบินไทย ส่วนสีชมพูมาจากดอกบัว ทั้งนี้ มักใช้ประกอบกับตัวอักษรชื่อ "ไทย" หรือ "Thai" ตามรูปแบบเดียวกับที่ประกอบอยู่ในตราสัญลักษณ์ใหม่ของเดินอากาศไทย สำหรับตราสัญลักษณ์นี้มักมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า มีความคล้ายคลึงกับลักษณะของดอกรักเสียมากกว่า ผิดแต่เพียงสีที่แท้จริงของดอกรักเป็นขาว โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้มาถึง 30 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2548 การบินไทยจัดจ้าง ห้างหุ้นส่วนอินเตอร์แบรนด์ () เป็นผู้ออกแบบลวดลายภายนอกตัวเครื่องบิน พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงสีสันภายในตราสัญลักษณ์ให้สดใสขึ้นกว่าเดิม และปรับปรุงตัวอักษรชื่อที่ประกอบอยู่กับตราสัญลักษณ์ โดยออกแบบขึ้นใหม่ และใช้อักษรอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดคำขวัญ คำขวัญ. คำขวัญภาษาไทยของการบินไทยคือรักคุณเท่าฟ้า ปรากฏเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2521 เป็นชื่อใหม่ของวารสารภายใน ซึ่งเปลี่ยนจากเดิมคือ ข่าวการบินไทย (เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2519) โดยวลีดังกล่าวมีที่มาจาก วิถีชีวิตของชาวไทย ดังที่พ่อแม่มักตั้งคำถามกับลูกว่า รักพ่อแม่แค่ไหน แล้วลูกก็มักตอบว่า "รักพ่อแม่เท่าฟ้า" ซึ่งสื่อความหมายถึงความรักที่กว้างใหญ่ไพศาลไปสุดขอบฟ้า จึงนำมาใช้เชิงเปรียบเทียบกับบริการของการบินไทย ทั้งนี้ คำขวัญของการบินไทยดังกล่าว เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทย จากผลงานเพลงชื่อเดียวกัน ของวงดนตรีเพื่อชีวิต คาราบาว ซึ่งเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2528 ส่วนคำขวัญภาษาอังกฤษใช้ว่า Smooth as Silk ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า นุ่มละมุนดุจแพรไหม มีชื่อเสียงมาจากเพลงชื่อเดียวกัน ที่กระจายเสียงภายในเครื่องก่อนเริ่มเที่ยวบิน และที่นำมาใช้ประกอบรายการ การบินไทยไขจักรวาลฝูงบิน ฝูงบิน. ในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 การบินไทยทำการบินด้วยฝูงบิน 102 ลำ โดยรวมการบินไทยสมายล์ มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท การบินไทยสมายล์ จำกัด หากไม่รวมการบินไทยสมายล์ การบินไทยทำการบินด้วยฝูงบินสูงสุด 91 ลำ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 การบินไทยทำการบินทั้งหมด 84 ลำ เมื่อรวมสายการบินไทยสมายล์ ฝูงบินทั้งหมด 104 ลำการจัดหา/ปลดระวาง การจัดหา/ปลดระวาง. ณ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560 อายุเฉลี่ยของฝูงบินของการบินไทยอยู่ที่ 9.3 ปี การบินไทยปลดระวาง Boeing747-400 6 ลำ และปรับปรุงที่นั่งในชั้นทุกชั้น จำนวน 12 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2555-2556 ปลดระวาง A300-600 15 ลำ บินครั้งสุดท้าย 31 กรกฎาคม 2557 ปลดระวาง Boeing 737-400 10 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2558-2560 ปลดระวาง ATR72-201 2 ลำ ปลดระวางลำแรก เดือน มีนาคม พ.ศ. 2549 ลำที่สอง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปลดระว่าง A330-322 12 ลำทั้งหมดใน เดือน สิงหาคม ปี พ.ศ. 2560 จอดเครื่องรอขาย A340-500 4 ลำ จอดเครื่องรอขาย A340-600 6 ลำ บินครั้งสุดท้าย เดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยปลดระวาง B747-400BCF 2 ลำในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 การบินไทยสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380จำนวน 6 ลำ ซึ่งจะส่งมอบตั้งแต่ พ.ศ. 2555-2556 จัดหาเข้าประจำการ A330-343X 15 ลำ มาครบแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 B777-300ER สั่งซื้อ 6 ลำ กำหนดมอบส่งครบทุกลำเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2558 A350-900 ซื้อ 4 ลำ กำหนดมอบส่งครบ พ.ศ. 2559-2560 A350-900 พ.ศ. 2559-2560 เช่าซื้อ 8 ลำโดยแบ่งเป็น 6 ลำ เช่าซื้อจาก (ALAFCO) ส่งมอบ พ.ศ. 2559 และ 2 ลำ เช่าซื้อจาก (CIT) ส่งมอบ พ.ศ. 2560 B787-8 เช่าซื้อ 6 ลำ มาครบแล้วใน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 B787-9 เช่าซื้อ 2 ลำ ได้มาครบในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560บริการในห้องโดยสาร บริการในห้องโดยสาร. การบินไทยแบ่งการให้บริการภายในห้องโดยสาร ออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่รอยัลเฟิร์สคลาส (ชั้นหนึ่ง) รอยัลเฟิร์สคลาส (ชั้นหนึ่ง). ที่นั่งชั้นหนึ่งของการบินไทยสามารถปรับเอนนอนได้ 180 องศา ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบนวดผ่อนคลาย, ไฟอ่านหนังสือ, ปลั๊กไฟส่วนตัว (VAC) 115 โวลต์, จอภาพส่วนตัวขนาด 10.4 นิ้วพร้อมระบบความบันเทิงส่วนตัวผู้โดยสาร ในชั้นรอยัลเฟิร์สคลาสนี้สามารถเลือกเมนูอาหาร จากเมนูต่าง ๆ ทั้ง 22 รายการก่อนขึ้นเครื่องได้อีกด้วย ส่วนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380-800 ที่นั่งโดยสารถูกออกแบบให้เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัว มีความห่างระหว่างแถว 83 นิ้ว ความกว้างที่นั่ง 26.5 นิ้ว สามารถปรับเอนนอนเป็นแนวราบได้ถึง 180 องศาและติดตั้งอุปกรณ์สาระบันเทิงอย่างครบครันด้วยจอภาพ AVOD ระบบสัมผัสขนาด 23นิ้ว ติดตั้งระบบ Wi-Fi อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารได้ทุกชนิด พร้อมปลั๊กไฟส่วนตัวสำหรับคอมพิวเตอร์วางตักไว้บริการผู้โดยสาร นอกจากนี้การบินไทยยังติดตั้งห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของห้องน้ำปกติ โดยออกแบบให้มีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งแต่งตัวได้อย่างสะดวกสบายด้วยเช่นกัน ปัจจุบันการบินไทยติดตั้งที่นั่งชั้นรอยัลเฟิร์สคลาสในเครื่องบิน 31 ลำดังต่อไปนี้- เครื่องบินแอร์บัส เอ 380-841 จำนวน 6 ลำให้บริการเที่ยวบินระหว่างเส้นทางกรุงเทพ ฮ่องกง, โตเกียว, แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, โอซะกะ และปารีส - เครื่องบินโบอิง 747-400 จำนวน 8 ลำในรหัส B74R และ B74N โดยจะให้บริการระหว่างเส้นทางกรุงเทพ โอซะกะ, มิวนิก, ซิดนีย์, โตเกียว ฮาเนดะ, ฮ่องกง, มิลาน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ที่นั่งชั้นหนึ่งจะขายในราคาแบบที่นั่งชั้นธุรกิจสามารถเลือกนั่งได้ด้วยโดยจะบริการเฉพาะเส้นทาง กรุงเทพ เชียงใหม่ และภูเก็ต เท่านั้น ในเครื่องบินแบบ B74R B74Nรอยัลซิลค์ (ชั้นธุรกิจ) รอยัลซิลค์ (ชั้นธุรกิจ). เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับแอร์บัส A340-500 มาในลักษณะแบบเปลือกหอย มีการติดตั้งชั้นธุรกิจนี้ในเครื่องบินโบอิงB747-400, 777-300, 777-200, 777-200ER ,777-300ER ความห่างระหว่างที่นั้ง 60-62 นิ้ว และความกว้างของที่นั่ง 20-21.5 นิ้ว สามารถปรับเอนได้สูงสุดถึง 170 องศา ในทุก ๆ ที่นั่งจะมีระบบนวด.โทรทัศน์ส่วนตัวระบบสัมผัส 10.4 และ 15 นิ้ว (ในเก้าอี้แบบใหม่) สามารถปรับเอนนอนเป็นแนวราบได้ถึง 180 องศา และยังมีที่นั่งแบบใหม่ที่ถูกติดตั้งบนแอร์บัส เอ 380 และโบอิง777-300ER โดยจอ IFE มีขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว และติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบคาดผ่านเอว นอกจากนี้บนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ยังมีรอยัลซิลค์ บาร์บริการอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย ชั้นธุรกิจแบบเก่ายังมีในเครื่องบินแบบ B737-400 1 ลำ อนึ่ง A330-300 รุ่นใหม่จะมีการปรับเปลี่ยนชั้นธุรกิจเป็นแบบใหม่จะมีในรุ่นแบบ A330 และA33H ในเครื่องบินแบบ A330-343Eมีบริการทั้งหมด 15 ลำแบ่งเป็น A330 8 ลำ A33H 7 ลำ ให้บริการในทวีปเอเซียชั้นประหยัดพรีเมียม ชั้นประหยัดพรีเมียม. ชั้นประหยัดพรีเมียมการบินไทยบริการในเครื่องบินแบบ B777-300ER ในเส้นทางโคเปนเฮเกนและสต๊อกโฮม โดย นำที่นั่งชั้นธุรกิจ โซนหลัง มาขายเป็น ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม (แถวที่นั่ง 18-22) ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม ที่เป็นที่นั่ง ชั้นประหยัดพรีเมี่ยม จริงๆ มีให้บริการบนเครื่องบินรุ่น A340-500 เท่านั้น แต่ปัจจุบันเครื่องบินรุ่นนี้ได้ปลดระวางไปแล้วชั้นประหยัด ชั้นประหยัด. ขนาดที่นั่งในชั้นประหยัดของการบินไทย มีขนาดใหญ่ถึง 36 นิ้ว ต่างจากโดยทั่วไปที่มีขนาด 34 นิ้ว โดยแถวที่นั่งจะถูกจัดวางในรูปแบบดังต่อไปนี้- แบบ 3-4-3 ในเครื่องบินโบอิง 747-400 และแอร์บัส เอ 380-841 (ชั้นล่าง) - แบบ 3-3-3 ในเครื่องบินโบอิง 787-9, 787-8, 777-200, 777-200ER, 777-300, และ 777-300ER - แบบ 2-4-2 ในเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-343, เอ 380-841 (ชั้นบน) - แบบ 3-3 ในเครื่องบินโบอิง 737-400 ทุกที่นั่งในชั้นประหยัดบนเครื่องบิน แอร์บัส A330-300 8 ลำ. โบอิง B777-200 , โบอิง B777-200ER, โบอิง B777-300, โบอิงB747-400 6 ลำจะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) หน้าจอระบบสัมผัส 9 นิ้ว ในทุกที่นั่ง แอร์บัส A33H 7 ลำ, A380-800 6 ลำ, โบอิงB747-400 6 ลำ, โบอิงB777-300ER จะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) ระบบปฏิบัติการ Panasonic eX2 หน้าจอระบบสัมผัส 10.6 นิ้ว และเครื่องบินแบบ โบอิงB787-8 จะถูกติดตั้งระบบมัลติมีเดีย (AVOD) ระบบปฏิบัติการ Panasonic eX3 หน้าจอระบบสัมผัส 11 นิ้วรอยัลออร์คิดพลัส รอยัลออร์คิดพลัส. รอยัลออร์คิดพลัส (Royal Orchid Plus หรือ ROP) เป็นรายการสะสมแต้มการบินของการบินไทย ซึ่งนับเป็นรายการแรกของประเทศไทย มีสมาชิกจากทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านคน ระดับสมาชิก ของรอยัลออร์คิดพลัสมี 4 ระดับชั้น ได้แก่- สมาชิก - สำหรับสมาชิกทั่วไป - ซิลเวอร์ - ต้องมีไมล์สะสมตั้งแต่ 10, 000 Q ไมล์ ใน 1 ปี หรือ 15, 000 Q ไมล์จากวันเริ่มต้นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปี - โกลด์ - ต้องมีไมล์สะสมตั้งแต่ 50, 000 Q ไมล์ ใน 1 ปี หรือ, 80, 000 Q ไมล์ จากวันที่เริ่มต้นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปี, หรือใช้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศตั้งแต่ 40 เที่ยวบินกับการบินไทย ภายใน 1 ปี. - แพลทินัม - สมาชิกภาพบัตรแพลทินัมได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อมอบแด่ท่านสมาชิกที่มีเอกลักษณ์ในการเดินทางที่โดดเด่น รวมถึงการเลือกเดินทางอย่างมีระดับในชั้นหนึ่ง รอยัล เฟิร์สท และชั้นธุรกิจ รอยัล ซิลค์ กับการบินไทยเสมอมา ตลอดจนเป็นผู้ที่ดำรงสถานภาพบัตรทองมายาวนาน และเป็นผู้ที่ได้รับการเรียนเชิญจากรอยัล ออร์คิด พลัส เท่านั้น รูปแบบการสะสมไมล์ มี 3 รูปแบบ ได้แก่- Eligible Qualifying Mile's (EQM) ซึ่งสามารถสะสมไมล์เดินทาง เมื่อใช้บริการเที่ยวบินของสายการบินไทย, สายการบินไทยสมายล์, สายการบินในกลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์, สายการบิน เจ๊ท แอร์เวย์ และเที่ยวบินในสายการบิน หรือเที่ยวบินที่ร่วมเส้นทางจาก/ถึงกรุงเทพ คือสายการบินมาเลเซียน, สายการบินเอมิเรตส์, สายการบินเอลอัลของอิสราเอล และสายการบินไชนาอีสเทิร์น - Qualifying Mile's (Q Miles) ซึ่งสามารถสะสมไมล์เดินทาง ในชั้นบริการของสายการบินไทย และสายการบินในกลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์ โดยจะสะสมแต้มตามชั้นที่นั่งซึ่งผู้โดยสารใช้บริการ - Partner Mile เป็นการสะสมสิทธิ์จากการใช้บริการอื่น ๆ ที่เป็นแนวร่วมกับสายการบินไทย เช่นบัตรเครดิตที่ร่วมรายการโอนคะแนนสะสมไมล์, โรงแรมที่พัก หรือสินค้าบริการอื่น ๆ ที่เข้าร่วมรายการอุบัติการณ์และอุบัติเหตุ อุบัติการณ์และอุบัติเหตุ. การบินไทยมีอุบัติการณ์มากกว่าอุบัติเหตุ ซึ่งหมายถึงการทำการบินที่ผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อยหรือไม่บาดเจ็บเลย รวมถึงการขู่ว่ามีการวางระเบิด อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์และอุบัติเหตุของการบินไทยค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับสายการบินอื่น ๆ ทั่วโลก- 30 มิถุนายน พ.ศ. 2510 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 601 เครื่องบิน Sud Aviation SE-210 Caravelle III ทะเบียน HS-TGI ของการบินไทย บินจากซงชาน กรุงไทเป ไปยังสนามบินฮ่องกง (ไคตั๊ก) เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกขณะทำการลงจอดในขณะที่มีพายุไต้ฝุ่น เสียชีวิต 24คน บาดเจ็บหนัก 56 คน โดยมีผู้โดยสารทั้งหมด 73 คน ลูกเรือ 7 คน- 25 ธันวาคม พ.ศ. 2510 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 002 เครื่องบิน Douglas DC-3 ทะเบียน HS-TDH บินจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ประสบอุบัติเหตุตก มีผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน ลูกเรือ 2 คน จากจำนวนผู้โดยสาร 28 คน ลูกเรือ 3 คน- 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 - การบินไทยไม่ทราบเทื่ยวบิน เครื่องบิน Douglas DC-8 ทะเบียน HS-TGU บินจากกรุงเทพไปเนปาลเกิดอุบัติเหตุลื่นไถลออกนอกรันเวย์มีผู้เสียชีวิตที่ภาคพื้นดินเป็นประชาชนชาวเนปาล 1 ราย- 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 - การบินไทย เที่ยวบินที่ 311 เครื่องบินแอร์บัส เอ 310-304ทะเบียน HS-TID ของการบินไทย ชนเทือกเขา 35 กม. ทางเหนือของกาฎมานฑุ ผู้โดยสาร 113 คนเสียชีวิต (ผู้โดยสาร 99 คน และ พนักงาน 14 คน) สาเหตุเกิดจากปัญหาทางเทคนิคและหลงทิศเนื่องจากสภาพอากาศปิด- 11 ธันวาคม พ.ศ. 2541 – การบินไทย เที่ยวบินที่ 261 เครื่องบินแอร์บัส เอ 310-304ทะเบียน HS-TIA ของการบินไทย จากกรุงเทพไปสุราษฎร์ธานี ตกสาเหตุเนื่องจากฝนตกหนักมาก ผู้โดยสาร 102 คน จาก 143 คน เสียชีวิต- 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 – การบินไทย เที่ยวบินที่ 114 เครื่องบินโบอิง 737-4D7 ทะเบียน HS-TDC ของการบินไทย จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่จอดที่สนามบิน เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 8คน สาเหตุเกิดจากน้ำมันกับอากาศเข้าผสมกัน และเกิดการสันดาปขึ้นในส่วนของถังน้ำมันเนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด- 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 600 เครื่องบินแอร์บัส 380-841ทะเบียน HS-TUA ของการบินไทยจากกรุงเทพไปฮ่องกงเกิดตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บ 38 ราย ลูกเรือบาดเจ็บ 9 รายลูกเรือบาดเจ็บสาหัส 1 ราย ภายในเครื่องบินได้รับความเสียหาย- 8 กันยายน พ.ศ. 2556 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 679 เครื่องบิน แอร์บัส 330-300 ทะเบียน HS-TEF ของการบินไทย จากกวางโจวไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุล้อหลังด้านขวาของเครื่องบินขัดข้อง ขณะร่อนลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้เครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 12 ราย- 12 เมษายน พ.ศ. 2558 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 641 เครื่องบิน แอร์บัส 340-600 ทะเบียน HS-TNF ของการบินไทย จากนะริตะไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อย 12 ราย- 12 เมษายน พ.ศ. 2559 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 434 เครื่องบิน โบอิง 777-200ทะเบียน HS-TJH ของการบินไทย จากจาร์กาตาไปกรุงเทพ เกิดอุบัติเหตุตกหลุมอากาศผู้โดยสารบาดเจ็บเล็กน้อย 6 ราย- 21 กันยายน พ.ศ. 2559 - การบินไทยเที่ยวบินที่ 221 เครื่องบิน แอร์บัส 350-900ทะเบียน HS-THB ของการบินไทย จากกรุงเทพไปภูเก็ต เกิดอุบัติการณ์ยางล้อแตกขณะลงจอดบริษัทร่วมทุน บริษัทร่วมทุน. การบินไทยเคยถือหุ้นอยู่ในสายการบินนกแอร์อยู่ 49% นับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2560 นกแอร์ได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท การบินไทยตัดสินใจไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม และสัดส่วนหุ้นนกแอร์ที่ถือโดยการบินไทยลดลงจากเดิม 39.2% เหลือ 21.57% (29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560) นอกจากนั้นบริษัทการบินไทยยังมีบริษัทย่อยดังต่อไปนี้1. บริษัท ไทย-อะมาดิอุส เซาท์อีสต์เอเชีย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 55 2. บริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 3. บริษัท ไทยไฟลท์เทรนนิ่ง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 4. บริษัท ทัวร์เอื้องหลวง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 49 5. บริษัท ดอนเมือง อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต โฮเต็ล จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 40 6. บริษัท ครัวการบินภูเก็ต จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 30 7. บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 30 8. บริษัท โรงแรม รอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 24 9. บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 22.59การบินไทยคาร์โก การบินไทยคาร์โก. บริษัทการบินไทยเคยทำกิจการขนส่งเฉพาะสินค้า โดยมีเครื่องบินขนส่งสินค้าเป็นของบริษัทเองในช่วง ปี พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2526 ด้วยเครื่องบิน Douglas DC-8-62F ทะเบียน HS-TGS และในระหว่างวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 - 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 ทำการบินโดย B747-400BCF ทะเบียน HS-TGH และ HS-THJ เส้นทางบินได้แก่ทางกรุงเทพแวะเชนไนไปอัมสเตอร์ดัม TG898 กรุงเทพแวะไฮเดอราบัดสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG890 กรุงเทพแวะไฮเดอราบัดสิ้นสุดที่แฟรงเฟิร์ต TG894 กรุงเทพไปซิดนีย์ TG865 กรุงเทพไปนะริตะ TG862 นะริตะไปเทเปกลับกรุงเทพ TG863 เส้นทางจาก แฟรงเฟิร์ต แวะ เซี่ยเหมิน สิ้นสุดที่ กรุงเทพ TG897 นอกเหนือจากนั้นเป็นเครื่องบินที่บริษัทเช่าทำการบินโดยสายการบินอื่น อีก 3 ลำ ได้แก่เครื่องบินทะเบียน N552MC ใช้บินระหว่าง พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ. 2542 เครื่องบินทะเบียน N774SA N775SA ใช้ในปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2554 รวมการบินไทยเคยทำการบินเฉพาะขนส่งสินค้าทั้งหมด 6 ลำครัวการบินไทย ครัวการบินไทย. ครัวการบินไทย () เริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2503 โดยเช่าโรงซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบิน และอาคารเล็กอย่างละหนึ่งหลัง ภายในบริเวณท่าอากาศยานกรุงเทพ ที่ดอนเมืองเป็นแห่งแรก เพื่อทำการผลิตและให้บริการอาหารชนิดต่าง ๆ สำหรับสายการบินไทย และสายการบินอื่นอีกมากกว่า 50 สายการบิน สำนักงานของครัวการบินไทย มีสองแห่งคือ อาคารขนาดใหญ่บนพื้นที่ 90, 000 ตารางเมตร ภายในบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตอันทันสมัย เพื่อผลิตอาหารสำหรับรองรับในส่วนของสายการบินไทย และคำสั่งจากลูกค้าทุกสายการบิน โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอาหารจำนวนมากกว่า 87, 000 มื้อต่อวัน ส่วนสำนักงานอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อสนับสนุนการกลับมาเปิดดำเนินการบินอีกครั้ง ตลอดจนรองรับความต้องการของเที่ยวบินภายในประเทศ รวมทั้งกิจการภาคพื้นดินอย่างการผลิตขนมอบ (Bakery) และการจัดเลี้ยงต่าง ๆ โดยมีศักยภาพผลิตอาหารได้สูงสุด 49, 000 มื้อต่อวัน ครัวการบินไทยมีผลงานที่สำคัญคือ เป็นผู้ดำเนินการผลิตและให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม แก่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2541, เฟสปิกเกมส์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2542 และกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อนครั้งที่ 24 เมื่อปี พ.ศ. 2550 ที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงในงานไอฉิเอ็กซโป (Aichi Expo) เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยภัตตาคารการบินไทย ภัตตาคารการบินไทย. ภัตตาคารการบินไทย () เปิดให้บริการเป็นแห่งแรก ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2515 และเริ่มให้บริการสาขาแรก ภายในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2529พัฟแอนด์พาย พัฟแอนด์พาย. ร้านขนมอบพัฟแอนด์พาย () ก่อตั้งขึ้นราวปลายปี พ.ศ. 2538 โดยครัวการบินไทย และเริ่มเปิดทำการเป็นแห่งแรก เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 บริเวณหน้าอาคารรักคุณเท่าฟ้า ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ตลอดจนบริหารบุคลากรและอุปกรณ์ที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากครัวการบินไทยต้องสูญเสียรายได้ จากการบริการอาหารบนเครื่องบิน (Uplift) เนื่องจาก บมจ.การบินไทย มีนโยบายงดให้บริการอาหาร บนเที่ยวบินที่ไม่ตรงเวลาอาหาร ดังนั้นจึงทดลองเปิดขายขนมชนิดต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ครัวการบินไทยมีรายได้เพิ่ม เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด จึงเพิ่มความสำคัญอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้ จากกิจการพัฟแอนด์พาย ให้เป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากงานจัดเลี้ยง รวมถึงจากการผลิตและบริการอาหารบนเที่ยวบิน ดังนั้น ครัวการบินไทยจึงดำเนินการขยายสาขาของร้านพัฟแอนด์พาย โดยแผนระยะแรก จะเปิดขายในพื้นที่ของ บมจ.การบินไทยก่อน เพื่อเป็นสวัสดิการของพนักงาน ทว่าต่อมาได้รับการเรียกร้องจากลูกค้าภายนอก ให้ขยายสาขาเพิ่มขึ้นในที่ต่าง ๆ เพื่อความสามารถในการให้บริการอย่างทั่วถึง ครัวการบินไทยจึงพิจารณาขยายสาขา ในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น ตลอดจนร้านพัฟแอนด์พายเฉพาะกิจ ภายในศูนย์การค้าและงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมากและต่อเนื่อง ครัวการบินไทยจึงพิจารณาขยายตลาด โดยเปิดโครงการ Puff & Pie Whole Sales โดยให้บุคคลภายนอกที่สนใจกิจการ เข้าร่วมประกอบธุรกิจในชื่อ Puff & Pie Supreme Bakery Delight ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา สำหรับรูปแบบของร้านพัฟแอนด์พายส่วนมาก จะสร้างเป็นร้านค้าขนาดเล็ก (Kiosk) มีหลังคาผ้าใบสีขาวและเหลืองเป็นสัญลักษณ์ จำหน่ายอาหารไทย อาหารจีน และอาหารฝรั่งชนิดปรุงสำเร็จ ในชื่อผลิตภัณฑ์ซื้อกลับบ้าน (Take Home) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เอื้องหลวง ที่ฝ่ายผลิตและบริการภาคพื้นเป็นผู้ผลิต วางจำหน่ายร่วมด้วยนิตยสารประจำเที่ยวบิน นิตยสารประจำเที่ยวบิน. นิตยสารประจำเที่ยวบิน (Inflight Magazine) ของการบินไทย มีชื่อว่าสวัสดี () ออกเป็นฉบับปฐมฤกษ์เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2514 เนื้อหาส่วนมากนำเสนอบทความสารคดี ว่าด้วยความเป็นไทย โดยเฉพาะประเพณีและวัฒนธรรม ที่เขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะเป็นภาษาอังกฤษทั้งฉบับ มิได้นำบทความที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารอื่นมาลงซ้ำ นอกจากนั้น ยังมีภาพประกอบที่สวยงามโดดเด่นอีกด้วย นิตยสารประจำเที่ยวบินของเดินอากาศไทย มีชื่อว่ากินรี () ออกเป็นฉบับปฐมฤกษ์เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2527 เนื้อหาส่วนมากนำเสนอบทความสารคดี ว่าด้วยสารบันเทิงปกิณกะ โดยเฉพาะความเป็นไทย ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะเป็นภาษาไทยทั้งฉบับ อนึ่ง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 กินรีออกฉบับพิเศษ "41 ปี เดินอากาศไทย" ก่อนที่จะรวมกิจการเข้ากับการบินไทย ในวันที่ 1 เมษายนด้วย หลังจากนั้น การบินไทยจึงเป็นเจ้าของนิตยสารทั้งสองฉบับ โดยสวัสดียังคงเป็นนิตยสารประจำเที่ยวบินระหว่างประเทศ และกินรีกลายเป็นนิตยสารประจำเที่ยวบินภายในประเทศ จนกระทั่งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 มีการเปลี่ยนแปลงให้นิตยสารสวัสดี ตีพิมพ์เป็นสองภาษาควบคู่กัน โดยให้บริการทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ ส่วนนิตยสารกินรี การบินไทยขายกิจการไปให้กับธนาคารกรุงเทพ เพื่อใช้เป็นชื่อนิตยสารสำหรับลูกค้าธนาคารที่เป็นสมาชิกการบินไทยไขจักรวาล การบินไทยไขจักรวาล. การบินไทยเป็นผู้สนับสนุนให้มีรายการโทรทัศน์ ประเภทตอบปัญหาชิงรางวัลและทุนการศึกษาแก่เยาวชน ซึ่งมีชื่อว่าการบินไทยไขจักรวาล ที่จัดแข่งขันระหว่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาผู้แทนโรงเรียนต่าง ๆ กลุ่มละสามคน โดยแต่ละครั้งจะแข่งขันกันระหว่างสองโรงเรียน ดำเนินรายการโดย พลตรีถาวร ช่วยประสิทธิ์ (2518-2521) และหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (2521-2548) (เวลาต่อมาจึงได้เพิ่มรัตน์มณี กังวานไกล เป็นพิธีกรดำเนินรายการร่วมไปด้วย ซึ่งบางครั้งทำหน้าที่ดำเนินรายการแทนเพียงคนเดียว) ออกอากาศทุกวันอังคาร สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 17:00-17:30 น. (ต่อมาย้ายไปออกอากาศทุกวันศุกร์ สัปดาห์และเวลาออกอากาศเดียวกัน) ถ่ายทอดสดจากห้องส่งสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เป็นระยะเวลาถึง 30 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2518-พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ นักเรียนที่ชนะการตอบปัญหาประจำสัปดาห์ จะได้รับทุนการศึกษา ส่วนนักเรียนที่ชนะเลิศการตอบปัญหาประจำปี จะได้รับรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับต่างประเทศ พร้อมกิจกรรมทัศนศึกษา ซึ่งการบินไทยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดกรณีฟ้องร้องบริษัทต่างประเทศ กรณีฟ้องร้องบริษัทต่างประเทศ. การบินไทยได้ฟ้องร้องบริษัทโคอิโตะ ในกรณีที่ไม่สามารถติดตั้งเก้าอี้โดยสารภายในเครื่องบินแอร์บัส เอ 330ในชั้นประหยัดทั้ง 5 ลำได้ส่งผลให้การบินไทยเสียโอกาสในการนำเครื่องบินบริการแก่ผู้โดยสาร ค่าเสียโอกาสในการบำรุงเครื่องบินและยังต้องหาบริการอื่นเพื่อดำเนินการในการติดตั้งเก้าอี้โดยสารใหม่ กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อการบินไทยว่าจ้างบริษัทโคอิโตะติดตั้งเก้าอี้ในชั้นประหยัดโดยในระยะแรกเป็นไปด้วยดีแต่เมื่อถึงต้นปีพ.ศ. 2553 บริษัทดังกล่าวไม่ได้การรับรองจากกรมการบินประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากการที่ดังกล่าวบริษัทเปลี่ยนมาตรฐาน ส่งผลให้ 2 รายการ จาก 18 รายการ ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากประเทศญี่ปุ่นเรื่องดังกล่าวนอกจากกระทบต้องเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ 330ยังกระทบต่อเครื่องบินแบบโบอิง 777-300 HS-TKEโดยเครื่องบินลำดังกล่าวขายที่นั่งได้น้อยลงเพราะต้องขายเฉพาะที่นั่งที่ติดตั้งจากบริษัทโคอิโตะเพียงส่วนหนึ่งก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะถูกถอนใบอนุญาต กรณีดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบต่อความยากลำบากในการให้บริการบนเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ 330เนื่องจากเครื่องบินมีการจ้างบริษัทที่ติดตั้งเก้าอี้แตกต่างกัน โดย 12ลำแรกHS-TEA ถึง HS-TEM รหัส A333 เป็นการออกแบบที่นั่งแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีจอส่วนตัวให้ผู้โดยสารใช้เครื่องยนต์ PW4000 8 ลำต่อมาตั้งแต่ HS-TEN ถึง HS-TEU A330 ก็เป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งมีจอส่วนตัวให้ผู้โดยสาร ใช้เครื่องยนต์ Rolls Royce Trent 700 ส่วนในชุดสุดท้ายเป็นการออกแบบที่นั่งอีกแบบหนึ่งซึ่งทันสมัยมากที่สุดรหัส A33H ใช้เครื่องยนต์ Rolls Royce Trent 700 นอกจากนั้นแล้วใน 4 ลำดังกล่าวการบินไทยได้เริ่มใช้รหัสใหม่เป็น HS-TBA ซึ่งโดยปกติแล้วแอร์บัส เอ 330จะใช้รหัสเป็น HS-TE_ ทั้งนี้เพื่อกันความสับสนของนักบินและลูกเรือซึ่งใน 7 ลำดังกล่าวได้เลิกใช้การติดตั้งเก้าอี้ของบริษัทโคอิโตะในชั้นประหยัดกรณีซื้อและเช่าเครื่องบินซึ่งผลดำเนินการขาดทุน กรณีซื้อและเช่าเครื่องบินซึ่งผลดำเนินการขาดทุน. การบินไทยซื้อเครื่องบินแอร์บัส340 โดยกรรมการใหญ่ผู้จัดการใหญ่ในขณะนั้น นายกนก อภิรดี ซื้อมาโดยวางแผนบินเส้นทางกรุงเทพไปนิวยอร์ก กรุงเทพไปลอสแอนเจลิส ผลของการซื้อเครื่องบินแบบดังกล่าวคือการขาดทุนมหาศาลทั้งผลการดำเนินงานที่ขาดทุนทุกเที่ยวบินที่บินไปนิวยอร์ก และต่อมาก็ขาดทุนทางบัญชี ค่าเสียโอกาส เนื่องจากการบินไทยเลือกที่จะนำเครื่องบินรุ่นดังกล่าวไปจอดไว้ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองผลจากเรื่องนี้นำมาสู่การยึดอำนาจนาย กนก อภิรดี การบินไทยนับจากการซื้อเครื่องบินเมื่อปีพ.ศ. 2548 จนถึง ปี พ.ศ. 2559 ไม่สามารถขายเครื่องบินได้เนื่องจากหากขายเครื่องบินรุ่นดังกล่าวจะต้องขายเครื่องบินแบบขาดทุนอย่างมาก จนไม่มีกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใดกล้าขายเพราะต้องเผชิญเสียงวิจารณ์ในทางลบอย่างมากจากภายในบริษัทและภายนอกบริษัท อีกทั้งเสี่ยงต่อการถูกสอบสวน ในข้อหาทำให้บริษัท การบินไทย เสียหายนับว่าเป็นวิกฤตจนถึงปัจจุบันที่เครื่องบินไม่สามารถขายได้และมีค่าเสื่อมราคาลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นแล้วในเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันนท์ ได้สั่งโยกย้าย นายพฤทธิ์ บุปผาคำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เนื่องจากผลดำเนินการขาดทุนของการบินไทยคาร์โก้ โดยให้เหตุผลว่า นายพฤทธิ์ กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ตนเอง โดยการเซ็นสัญญาเช่าเครื่องบินเพื่อขนส่งสินค้า 2 ลำกับ Southern Air ต้องเป็นหน้าที่ของบอร์ดที่จะต้องมีการพิจารณาและอนุมัติก่อน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากการกระทำที่ผิดนโยบาย คือ เดิมการบินไทยมีเป้าหมายจะให้เช่าพื้นที่คาร์โก้ แต่กลับไปเช่าเครื่องบินท้ายที่สุดแล้วการบินไทยเช่าพื้นที่คาร์โก้ของเครื่องบินทั้งสองลำ และผลดำเนินการขาดทุนกว่า 100 ล้านบาทจนต้องรีบคืนเครื่องบิน 1 ลำ ก่อนครบสัญญาเช่ารางวัลที่ได้รับ
| สายการบิน การบินไทย ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2503"
],
"answer_begin_position": [
286
],
"answer_end_position": [
290
]
} |
2,026 | 451,234 | การบินไทยสมายล์ สายการบินไทยสมายล์ เป็นสายการบินในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด (มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจตาม พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502) ยังเป็นบริษัทในเครือการบินไทย (ถือหุ้นร้อยละ 100) โดยเริ่มบินระหว่างประเทศเที่ยวแรกไปยังมาเก๊า เมื่อวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 หลังจากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร) เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ และท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการบินไทยสมายล์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555จุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทาง. การบินไทยสมายล์ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยรองรับเที่ยวบินให้สามารถเดินทางต่อกับสายการบินไทยได้อย่างราบรื่น จุดหมายแรกที่การบินไทยสมายล์เริ่มทำการบินคือ มาเก๊า โดยเริ่มให้บริการในเดือนกรกฎาคม จำนวน 2 เที่ยวบินต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ แต่เดิมสายการบินไทยสมายล์ได้มีการให้บริการผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังจุดหมายปลายทางทั้งสิ้น 3 เส้นทางบินไป - กลับ ได้แก่ เชียงใหม่ วันละ 3 เที่ยวบิน, ขอนแก่น วันละ 3 เที่ยวบิน และ ภูเก็ต วันละ 2 เที่ยวบิน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พุทธศักราช 2557 มาโดยตลอดจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มกราคม พุทธศักราช 2560 ได้ให้บริการผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นวันสุดท้าย และได้ทำการย้ายฐานการบินไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้งหมด นับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พุทธศักราช 2560 ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 การบินไทยสมายล์ ยกเลิกเที่ยวบินกรุงเทพแวะภูเก็ตไปกว่างโจว โดยเปลี่ยนเป็นบินตรง กรุงเทพไปกว่างโจวภายในประเทศ ภายในประเทศ. ให้บริการจาก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ฐานการบินหลัก- เชียงราย - ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย - ขอนแก่น - ท่าอากาศยานขอนแก่น - อุบลราชธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี - อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี - สุราษฎร์ธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี - หาดใหญ่ - ท่าอากาศยานหาดใหญ่ - นราธิวาส - ท่าอากาศยานนราธิวาส - เชียงใหม่ - ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - ภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ต - กระบี่ - ท่าอากาศยานกระบี่ข้อตกลงการทำการบินร่วม ข้อตกลงการทำการบินร่วม. ในปี พ.ศ. 2561 ทั้งการบินไทยสมายล์และการบินไทยได้มีข้อตกลงการทำการบินร่วมกับนกแอร์ในเส้นทางดอนเมือง-แม่ฮ่องสอน โดยนกแอร์เป็นผู้ทำการบิน (เที่ยวบินแรก วันที่ 25 มีนาคม 2561)ระหว่างประเทศระหว่างประเทศ. - กัมพูชา- เสียมราฐ - ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ - พนมเปญ - ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ- จีน- ฉงชิ่ง - ท่าอากาศยานนานาชาติฉงชิ่งเจียงเป่ย์ - ฉางชา - ท่าอากาศยานนานาชาติฉางชาหวงหัว - เจิ้งโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติเจิ้งโจวซินเจิ้ง - กวางโจว - ท่าอากาศยานนานาชาติกว่างโจวไป๋-ยฺหวิน- อินเดีย- มุมไบ - ท่าอากาศยานนานาชาติ ชหะตราปาตี ชิวาจี - คยา - ท่าอากาศยานนานาชาติคยา - พาราณสี - ท่าอากาศยานนานาชาติพาราณสี - ชัยปุระ - ท่าอากาศยานนานาชาติชัยปุระ - ลัคเนา - ท่าอากาศยานนานาชาติโชทารี ชารัน สิงห์- พม่า- ย่างกุ้ง - ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์ - ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์- มาเลเซีย- ปีนัง - ท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง - กัวลาลัมเปอร์ - ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์- ลาว- หลวงพระบาง - ท่าอากาศยานนานาชาติหลวงพระบาง - เวียงจันทน์ - ท่าอากาศยานนานาชาติวัตไต- ไต้หวัน- เกาสง - ท่าอากาศยานนานาชาติเกาสงจุดหมายปลายทางที่ยกเลิกแล้วจุดหมายปลายทางที่ยกเลิกแล้ว. - อินเดีย- เดลี - ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี - มาเก๊า- มาเก๊า - ท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า - บังกลาเทศ- จิตตะกอง - ท่าอากาศยานนานาชาติชาห์ อมานัตฝูงบิน ฝูงบิน. ฝูงบินของการบินไทยสมายล์ประกอบด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ 320-200 ที่บริษัทฯ จัดหามาใหม่จำนวน 20 ลำ โดยจำนวนที่นั่งมีทั้งหมด 162/168 ที่นั่ง แบ่งเป็นชั้นประหยัดแบบธรรมดา 150/156 ที่นั่ง และ Smile Plus ที่มีพื้นที่มากขึ้น จำนวน 3 แถวแรก หรือ 12 ที่นั่ง ซึ่งภายนอกและภายในเครื่องบินของการบินไทยสมายล์ได้รับการออกแบบโดยบริษัท Priestmangoode สะท้อนถึงความทันสมัยตามคอนเซปท์ของการบินไทยสมายล์ โดยสายการบินรับเครื่องบินลำแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 รายชื่อทะเบียนและรายชื่อเครื่องบิน- HS - TXA - อุบลราชธานี รับมอบวันที่ 29 มิถุนายน 2555 - HS - TXB - นครพนม รับมอบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2555 - HS - TXC - หนองบัวลำภู รับมอบเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2555 - HS - TXD - สิงห์บุรี รับมอบเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2555 - HS - TXE - นครศรีธรรมราช รับมอบเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2556 - HS - TXF - สมุทรสงคราม รับมอบเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556 - HS - TXG - ปราจีนบุรี รับมอบเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2556 - HS - TXH - สตูล รับมอบเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 - HS - TXJ - อ่างทองรับมอบเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 - HS - TXK - ระนอง รับมอบเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 - HS - TXL - หนองคาย รับมอบเมื่อวันที่ 31 กุมภาพันธ์ 2557 - HS - TXM - กรุงเทพมหานคร รับมอบเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2557 - HS - TXN - อุดรธานี รับมอบเมื่อ 28 พฤษภาคม 2557 - HS - TXO - นครราชสีมา รับมอบเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 - HS - TXP - สุราษฎร์ธานี รับมอบเมื่อ 1 กันยาคม 2557 - HS - TXQ - พระนครศรีอยุธยา รับมอบเมื่อ 9 ตุลาคม 2557 (เป็นเครื่องบินลำเดียวที่ตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนจากการ์ตูนเน็ตเวิร์ค) - HS - TXR - ตราด รับมอบเมื่อ20 พฤศจิกายน 2557 - HS - TXS - ร้อยเอ็ด รับมอบเมื่อ ธันวาคม 2558 - HS - TXT - ขอนแก่น รับมอบเมื่อ 9 ตุลาคม 2558 - HS - TXU - ฉะเชิงเทรา รับมอบในปี 5 พฤศจิกายน 2558การให้บริการ การให้บริการ. การบริการของการบินไทยสมายล์ เช่น บริการเลือกที่นั่งและบริการเช็คอินเคานต์เตอร์โดยไม่คิดเงินเพิ่ม อาหารว่างและเครื่องดื่มฟรีแก่ผู้โดยสารบนทุกเที่ยวบิน และให้น้ำหนักกระเป๋าสัมภาระ 20 กิโลกรัม ในชั้นประหยัด “Smile” และ 30 กิโลกรัม ในชั้นธุรกิจสำหรับเส้นทางบินระยะสั้น “Smile Plus” เท่ากับทุกเที่ยวบินของการบินไทย ที่สำคัญลูกค้าของการบินไทยสมายล์ยังสามารถสะสมไมล์กับรอยัล ออร์คิด พลัส ของการบินไทยได้อีกด้วยห้องโดยสาร ห้องโดยสาร. ห้องโดยสารบนเครื่องบินของการบินไทยสมายล์ในเส้นทางบินในประเทศได้รับการจัดวางเป็นที่นั่งชั้นประหยัด “Smile” จำนวน 156 ที่นั่ง และชั้นธุรกิจสำหรับเส้นทางบินระยะสั้น “Smile Plus” จำนวน 12 ที่นั่ง ส่วนเส้นทางบินระหว่างประเทศนั้นจัดวางที่นั่งชั้นประหยัด “Smile” จำนวน 150 ที่นั่ง และชั้นธุรกิจสำหรับเส้นทางบินระยะสั้น “Smile Plus” จำนวน 16 ที่นั่ง โดยเลือกใช้เก้าอี้รุ่นใหม่ที่นั่งสบาย และการออกแบบตกแต่งภายในห้องโดยสารที่สอดคล้องกับบุคลิกที่สนุกสนานและทันสมัยของการบินไทยสมายล์อาหารและเครื่องดื่มอาหารและเครื่องดื่ม. - ผู้โดยสารในชั้นประหยัด สมายล์พลัส จะได้อาหารร้อนและเครื่องดื่ม - ผู้โดยสารในชั้นประหยัดทุกที่นั่งของการบินไทยสมายล์จะได้รับ สมายล์แพ็ค ประกอบด้วยขนมและเครื่องดื่มให้บริการฟรี
| ไทยสมายล์ เป็นสายการบินในเครือสายการบินใด | {
"answer": [
"การบินไทย"
],
"answer_begin_position": [
297
],
"answer_end_position": [
306
]
} |
2,027 | 596,704 | วัฒนธรรมชุบแป้งทอด วัฒนธรรมชุบแป้งทอดเป็นรายการโทรทัศน์ไทยผลิตโดยบริษัทดิวันโอวันเปอร์เซนต์ ออกอากาศทางไทยพีบีเอสดำเนินรายการโดย สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์, ทีปกร วุฒิพิทยามงคลและโตมร ศุขปรีชาเริ่มออกอากาศวันที่ 26 มิถุนายน 2556 ในตอน ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ ออกอากาศรีรันในวันศุกร์เวลา 11:05 น. รายการวัฒนธรรมชุบแป้งทอดเป็นรายการที่นำวัฒนธรรมมาชุบแป้งทอดให้กินง่าย อร่อย แต่มีคุณค่าทางสมอง กระตุกความคิด สะกิดให้สังเกต และหาคำตอบในหลายประเด็นที่เราอาจลืมตั้งคำถาม เช่น ทำไมเราต้องใส่เครื่องแบบ ทำไมเราต้องขยัน ทำไมเราต้องเดินห้างฯ ทำไมแมวถึงฮิต ทำไมคนเพศเดียวกันแต่งงานกันไม่ได้ ทำไมผีถึงอยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน และอีกหลายๆ ทำไมวันและเวลาออกอากาศการออกอากาศซีซั่น 1 การออกอากาศ. ซีซั่น 1. วัฒนธรรมชุบแป้งทอดเคยงดออกอากาศดังนี้- 25 กันยายน 2556 เนื่องจากมีรายการสารคดีนักวอลเลย์บอล - 13 พฤศจิกายน 2556 เนื่องจากมีความไม่สงบทางการเมืองเลยมีรายการพิเศษมาแทน - 27 พฤศจิกายน 2556 เนื่องจากมีการถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ - 4 ธันวาคม 2556 และ11 ธันวาคม 2556 เนื่องจากมีรายการ "ทางออกประเทศไทย" มาแทน - 16 และ 23 มกราคม 2557 เนื่องจากมีรายการติดตามสถานการณ์ปัจจุบันจากทางสถานีมาแทนซีซั่น 2
| รายการวัฒนธรรมชุบแป้งทอด ออกอากาศทางโทรทัศน์สถานีใด | {
"answer": [
"ไทยพีบีเอส"
],
"answer_begin_position": [
196
],
"answer_end_position": [
206
]
} |
2,028 | 14,558 | แม่น้ำแอมะซอน แม่น้ำแอมะซอน (; ; ) เป็นแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเปรู และไหลออกมหาสมุทรที่ประเทศบราซิล มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 6,992 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของโลก (รองลงมาคือแม่น้ำไนล์) และยังเป็นแม่น้ำที่มีปากแม่น้ำกว้างที่สุดในโลก ซึ่งอยู่บริเวณทางเหนือของบราซิล แม่น้ำแอมะซอนเป็นแม่น้ำสายที่มีปริมาณน้ำมากที่สุด ปริมาณน้ำที่ไหลออกยังมหาสมุทรแอตแลนติกมากถึง 45 ล้านแกลลอนต่อวินาทีในฤดูฝน ฝนที่ตกในลุ่มแม่น้ำแอมะซอนเฉลี่ยปีละ 3 เมตร (สูงสุด 6 เมตร) แต่ฝนจะตกเพียงไม่กี่เดือน ต่างกันไปตามแต่ละสถานที่ ในช่วงฤดูแล้งราวเดือนตุลาคม น้ำจะลดปริมาณลงจนเห็นสันทรายและเกิดเป็นทะเลสาบต่าง ๆ บางแห่งตัดขาดจากกัน ในฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วมป่าทุกปี ในเนื้อที่ประมาณ 90,000 ตารางกิโลเมตร ขนาดเท่าประเทศอังกฤษ และยังถือเป็นแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำมากถึง 1 ใน 5 ส่วนของโลก มีแม่น้ำสาขาที่แยกออกจากแอมะซอนมากกว่า 1,100 สาขา อีกทั้งยังถือเป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก เป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ปลามากที่สุดในโลก กว่า 3,000 ชนิด ซึ่งนับว่ามากกว่ามหาสมุทรแอตแลนติกเสียอีก
| แม่น้ำแอมะซอนตั้งอยู่ในทวีปใด | {
"answer": [
"อเมริกาใต้"
],
"answer_begin_position": [
137
],
"answer_end_position": [
147
]
} |
2,029 | 32,318 | แม่น้ำไนล์ แม่น้ำไนล์ ( อันนีล; ) เป็นแม่น้ำใน ทวีปแอฟริกา เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก โดยถูกค้นพบแหล่งต้นน้ำใหม่ที่ทำให้มีความยาวกว่าเดิมเมื่อไม่นานมานี้ โดยแม่น้ำไนล์มีความยาวทั้งสิ้น 6,695 กิโลเมตร^~^ที่มาของชื่อ ที่มาของชื่อ. คำว่า "Nile" ('nIl) มาจากคำว่า "เนย์ลอส" (ละติน : Neilos ; กรีก : Νειλος) ชื่อในภาษากรีกที่มีความหมายว่า "หุบเขาที่มีแม่น้ำ" อีกชื่อหนึ่งของแม่น้ำไนล์ในภาษากรีกคือ "ไอกึปตอส" (ละติน : Aigyptos ; กรีก : Αιγυπτος) ซึ่งแปลว่าแผ่นดิน "อียิปต์" นั่นเอง เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดและมีคนยกย่องว่าแม่น้ำนี้มีปลาในส่วนใหญ่แม่น้ำสาขา แม่น้ำสาขา. แม่น้ำไนล์เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายใหญ่ 2 สายคือ แม่น้ำบลูไนล์ (Blue Nile) จากประเทศเอธิโอเปีย และแม่น้ำไวท์ไนล์ (White Nile) จากบริเวณแอฟริกาตะวันออก มารวมตัวกันในประเทศซูดาน จากนั้นไหลผ่านประเทศอียิปต์ และไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแม่น้ำไวท์ไนล์ แม่น้ำไวท์ไนล์. แม่น้ำไวท์ไนล์ กำเนิดจากทะเลสาบวิกตอเรีย ซึ่งอยู่ระหว่างประเทศยูกันดา ประเทศเคนยา และประเทศแทนซาเนีย แม่น้ำไนล์ช่วงที่ไหลออกจากทะเลสาบวิกทอเรีย จะเรียกแม่น้ำวิกตอเรียไนล์ ซึ่งไหลไปยังทะเลสาบแอลเบิร์ท ในช่วงนี้จะเรียก แม่น้ำแอลเบิร์ทไนล์ ไหลไปที่ประเทศเซาท์ซูดานและประเทศซูดาน รวมกับแม่น้ำหลายสาย และเรียกว่าไวท์ไนล์ตอนกลางประเทศก่อนจะไปรวมกับบลูไนล์แม่น้ำบลูไนล์ แม่น้ำบลูไนล์. แม่น้ำบลูไนล์ (*อ่านได้ว่า บลูไนเอวล์ เพื่อป้องกันการสับสนชื่อกับประเทศบรูไน) กำเนิดในประเทศเอธิโอเปีย และไหลผ่านเข้าซูดานไปรวมกับไวท์ไนล์เลยประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำสายที่หล่อเลี้ยงทวีปแอฟริกาที่แห้งแล้ง จนทำให้เกิดอารยธรรมโบราณขึ้นมากมาย โดยที่รู้จักกันดีคืออารยธรรมอียิปต์ เมื่อสมัยมากกว่ากว่าห้าพันปีที่แล้ว และยังสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่แถบนั้นด้วย
| แม่น้ำไนล์ตั้งอยู่ในทวีปใด | {
"answer": [
"แอฟริกา"
],
"answer_begin_position": [
134
],
"answer_end_position": [
141
]
} |
2,030 | 669 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ () หรือเรียกโดยย่อว่า มธ. (TU) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศไทย ก่อตั้งในชื่อ "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" หรือ "ม.ธ.ก." (The University of Moral and Political Sciences หรือ UMPS) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดวิชา เพื่อการศึกษาด้านกฎหมายและการเมือง สำหรับประชาชนทั่วไป ต่อมาใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ผูกพันกับพัฒนาการทางการเมือง และความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประสาสน์การและอธิการบดีมาแล้ว 23 คน อธิการบดีคนปัจจุบันคือ รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ และนายกสภามหาวิทยาลัย คือ ศาสตราจารย์พิเศษนรนิติ เศรษฐบุตร วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศ "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2558" ซึ่งได้มีผลให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในอีก 30 วันต่อมา มหาวิทยาลัยเป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม รวมทั้งเป็นสมาชิกของเครือข่ายสถาบันการศึกษาและวิจัยในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMSARN) อีกด้วย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบไปด้วย 19 คณะ 4 วิทยาลัย1 สถาบัน 1 สำนักวิชา จำนวนหลักสูตรทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 297 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 139 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 6 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 118 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูล พ.ศ. 2557-2558) นอกจากนี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552 อีกด้วยประวัติ ประวัติ. การปฏิวัติสยาม เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้วในเดือนธันวาคม ถัดจากนั้นได้เพียง 13 วัน ตามรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี, ครั้งที่ 6 วันที่ 23 ธันวาคม 2475 หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ก็ทรงเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดตั้งโรงเรียนการเมืองชั้นสูง แต่หากทว่าเพราะหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรเป็นเจ้านายพระองค์เดียวที่ใกล้ชิดกับคณะราษฎรและใกล้ชิดกับราชสำนัก จึงทำให้แม้จะทรงพยายามเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรแต่ก็ทรงไม่ได้ความยอมรับหรือความไว้วางใจอย่างเต็มที่ เพราะปรากฏว่ารัฐบาลรีบขัดขวางสนอและตัดหน้าที่เรื่องการเมืองและประวัติศาสตร์ออกไป ให้ทรงงานเฉพาะเรื่องการแปลเท่านั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิด มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เนื่องจากใน ระบุว่า การที่ราษฎรยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยนั้น “เป็นเพราะขาดการศึกษา ที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่” เป็นผลให้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ประการที่ 6 ระบุว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร” สถาบันศึกษาแบบใหม่ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนชาวสยาม ได้รับการศึกษาชั้นสูง โดยเฉพาะที่จะรองรับการปกครองบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับการปฏิวัติ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พุทธศักราช 2476 ขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปีเดียวกัน โดยมีใจความสำคัญว่า จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก เสด็จในพิธีเปิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ณ ที่ตั้งเดิมของโรงเรียนกฎหมาย ริมถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา โดยศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ กล่าวในโอกาสก่อตั้งมหาวิทยาลัยว่า และ ในช่วงเวลา 2 ปีแรก (พ.ศ. 2477–2479) การเรียนการสอนของ ม.ธ.ก. ยังคงดำเนินอยู่ที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าภิภพลีลา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2478 ม.ธ.ก.ขอซื้อที่ดินบริเวณท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมเป็นที่ของทหาร และปรับปรุงอาคารเดิม พร้อมทั้งสร้างตึกโดม โดยทุนซึ่งใช้จัดซื้อที่ดิน รวมทั้งการก่อสร้าง ได้มาจากเงินที่ ม.ธ.ก.เก็บจากค่าสมัครและค่าเล่าเรียน นอกจากนี้ ม.ธ.ก.ยังจัดตั้งสถาบันการเงินขึ้น สำหรับให้นักศึกษาวิชาการบัญชี ใช้เป็นสถานที่ฝึกงานคือ ธนาคารแห่งเอเชียเพื่ออุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารเอเชีย และปัจจุบันคือธนาคารยูโอบี) และเมื่อ พ.ศ. 2481 ม.ธ.ก. ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมปริญญา มีหลักสูตร 2 ปี เพื่อรับผู้ประสงค์จะเข้าเรียนต่อที่ ม.ธ.ก.โดยตรง โรงเรียนเตรียมปริญญา มีหลักสูตรการสอน หนักไปทางภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาทางสังคม เช่น ปรัชญา วิชาเทคโนโลยี ดนตรี พิมพ์ดีด และชวเลข เป็นต้น แต่ยกเลิกไปใน พ.ศ. 2490 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับผลกระทบโดยตรง ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ รัฐบาลนำคำว่า “การเมือง” ออกจากชื่อมหาวิทยาลัย เหลือเพียง “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” พร้อมทั้งยกเลิกตำแหน่งผู้ประศาสน์การ โดยใช้ชื่อตำแหน่งว่าอธิการบดีแทน หลักสูตรการศึกษาธรรมศาสตรบัณฑิต เปลี่ยนแปลงเป็นคณะนิติศาสตร์, พาณิชยศาสตร์และการบัญชี, รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ความเป็นตลาดวิชาหมดไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2495 พ.ศ. 2518 ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีในขณะนั้น เห็นควรขยายการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ในระดับปริญญาบัณฑิตเพิ่มขึ้น พื้นที่เดิมบริเวณท่าพระจันทร์ ไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางวิชาการ และการพัฒนา มหาวิทยาลัยจึงเจรจาขอแลกเปลี่ยนที่ดิน กับบริเวณนิคมอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย เรียกว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นอกจากนี้ ยังขยายไปที่ศูนย์ลำปาง และศูนย์พัทยาด้วย ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังคงดำเนินการเรียนการสอน และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยหลักสูตรปริญญาตรีภาคปกติทั้งหมด และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์ จัดการเรียนการสอนที่ศูนย์รังสิต และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มสังคมศาสตร์ โครงการนานาชาติ และโครงการพิเศษ จัดการเรียนการสอนที่ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งผลทำให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย. - ธรรมจักร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย โดยตราธรรมจักรนี้มี 12 แฉก อันหมายถึง อริยสัจ 4 ซึ่งวนอยู่ในญาณ 3 คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และ กตญาณ และมีพานรัฐธรรมนูญอยู่ตรงกลาง อันหมายถึงการยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย - เพลงประจำมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ทำนองมอญดูดาว) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเพลงแรก ประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา เมื่อ พ.ศ. 2478 - สีเหลืองแดง เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังปรากฏในเนื้อเพลง "เพลงประจำมหาวิทยาลัย" (มอญดูดาว) ที่ว่า "เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้" มีความหมายถึง ความสำนึกในความเป็นธรรมและความเสียสละเพื่อสังคม นับเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปีแรกของการก่อตั้ง คือ พ.ศ. 2477 - เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 ได้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขณะเสด็จมาทรงดนตรี ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ภายในพระราชวังดุสิต พระองค์รับสั่งว่าจะทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยพระราชทานให้แก่นักศึกษาธรรมศาสตร์ จนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ มาทรงดนตรี ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงบรรเลงทำนองเพลงที่จะพระราชทานให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วย โดยเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 36 มีนายจำนงราชกิจ (จรัล บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง และยกร่างโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช- หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงปลูกไว้บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่จำนวน 5 ต้น เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 เวลา 14:30 นาฬิกา พร้อมกับพระราชทานให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดอกมีสีเหลือง–แดง สัมพันธ์กับสีประจำมหาวิทยาลัย อนึ่ง ประชาคมธรรมศาสตร์มักเรียกเพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ และต้นหางนกยูงฝรั่งว่า ยูงทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจโดยตรง รวมทั้งพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วย- "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" เป็นวลีอมตะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วาทะสำคัญนี้มีต้นเค้ามาจาก มองนักศึกษา มธก. ผ่านแว่นขาว บทความของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนชัดหลักการของประชาคมธรรมศาสตร์ นับแต่มหาวิทยาลัยนี้กำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2477 ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเสมอภาคทางการศึกษา โดยปัจจุบันเปรียบเสมือนคำขวัญอย่างไม่เป็นทางการของมหาวิทยาลัย และประชาคมธรรมศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าวาทะดังกล่าวนี้อธิบายความหมายของจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ได้อย่างดีที่สุด สัญลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็คือ ตึกโดม คำว่า "ลูกแม่โดม" หมายถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์การบริหารงานนายกสภาผู้ประศาสน์การและอธิการบดี การบริหารงาน. ผู้ประศาสน์การและอธิการบดี. นับแต่สถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประศาสน์การและอธิการบดีดังนี้การศึกษา การศึกษา. แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ในระดับปริญญาตรีมีเปิดสอนเพียงหลักสูตรเดียวคือ "ธรรมศาสตร์บัณฑิต" (ธ.บ.) ซึ่งเน้นวิชากฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมีวิชารัฐศาสตร์และวิชาเศรษฐศาสตร์แทรกอยู่ด้วย ส่วนในระดับปริญญาโทนั้นมีแยกสามแขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และต่อมาได้มีหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชีซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท และในระดับระดับปริญญาเอกมีสี่แขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต แต่ใน พ.ศ. 2492 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ แทน ตาม “ข้อบังคับเพิ่มเติมว่าด้วยการแบ่งแยกการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ และกำหนดสมัยการศึกษาและการสอบไล่ พ.ศ. 2492” ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบไปด้วย 19 คณะ 4 วิทยาลัย1 สถาบัน 1 สำนักวิชา จำนวนหลักสูตรทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 256 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 111 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 8 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 99 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูล พ.ศ. 2550)คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์คณะกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. - คณะนิติศาสตร์ - คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี - คณะรัฐศาสตร์ - คณะเศรษฐศาสตร์ - คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ - คณะศิลปศาสตร์ - คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน - คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา - คณะศิลปกรรมศาสตร์ - วิทยาลัยนวัตกรรม - วิทยาลัยสหวิทยาการ - วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ - วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ - คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์คณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคณะกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. - คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร - คณะวิศวกรรมศาสตร์ - คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมืองคณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพคณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ. - คณะแพทยศาสตร์ - คณะเภสัชศาสตร์ - คณะสหเวชศาสตร์ - คณะทันตแพทยศาสตร์ - คณะพยาบาลศาสตร์ - คณะสาธารณสุขศาสตร์ - วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ - วิทยาลัยโลกคดีศึกษา นอกจากนี้ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา อาทิ สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้นหลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรนานาชาติ. นอกจาก วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแล้ว คณะต่าง ๆ ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนานาชาติสำหรับนักศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลายหลักสูตรด้วยกัน โดยคณะที่เปิดหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ คณะนิติศาสตร์, คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร, คณะสาธารณสุขศาสตร์ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัย. - วิทยาลัยนวัตกรรม - วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์หน่วยงานอื่นหน่วยงานอื่น. - โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ - สำนักงานบริหารทรัพย์สินและกีฬา - สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ - สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์หน่วยงานบริการวิชาการหน่วยงานบริการวิชาการ. - สำนักหอสมุด - สำนักงานทะเบียนนักศึกษา - สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม - สำนักทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ - สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา - สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมงานวิจัย งานวิจัย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหน่วยงานวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้- สถาบันภาษา - สถาบันไทยคดีศึกษา - สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา - สถาบันทรัพยากรมนุษย์ - สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ฯ - ศูนย์ออสเตรเลียศึกษา - ศูนย์ศึกษาความร่วมมือระหว่างประเทศ (ศูนย์เอเปค) - ศูนย์อินเดียศึกษา - ศูนย์อาเซียนศึกษา- ศูนย์ศึกษารัสเซียและเครือรัฐเอกราช - ศูนย์จัดการศึกษาและฝึกอบรมด้านกฎหมาย (LeTec) - ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยขั้นสูง - ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา - ศูนย์สัตว์ทดลอง - ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนับสนุนหน่วยงานวิจัย ได้แก่- สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดตั้งสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกโดยย่อว่า "สว.มธ." โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Thammasat University Research and Consultancy Institute" หรือ "TU-RAC" ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการด้านการบริหารงานวิจัยและทำวิจัยในนามมหาวิทยาลัย โดยมีการบริหารงานที่คล่องตัวนอกระบบราชการ ทั้งนี้ สถาบันถือเป็นหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเพียงหน่วยงานเดียวที่สามารถให้บริการการวิจัย ให้คำปรึกษา และฝึกอบรมสัมมนา เป็นต้น - สำนักงานบริหารการวิจัย ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอธิการบดี โดยจัดตั้งขึ้นตามมติสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมพ.ศ. 2551 เป็นหน่วยงานรองรับการดำเนินงานทางด้านบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การบังคับบัญชาของรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยที่ได้รับมอบหมายจากอธิการบดีให้เป็นผู้บริหารงานทางด้านการวิจัยผ่านคณะกรรมการบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินการตามเป้าประสงค์ของมหาวิทยาลัยในการมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University) โดยมีงานในสังกัดที่มีขอบเขตภาระงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 งานดังนี้คือ งานวางแผนและบริหารงานวิจัย และงานส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2553 โดยโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติและส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล มีระยะเวลา 3 ปีงบประมาณ (พ.ศ. 2553–2555) อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2555 (โครงการ SP2) ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยไทย ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับแผนพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางการศึกษา (Education Hub) ของภูมิภาค ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาตินั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ มีต้นทุนทางบุคลากรสูง เพราะฉะนั้นจึงมุ่งใช้ศักยภาพของบุคลากรในเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น ในเรื่องของการวิจัย โดยส่งเสริมให้สร้างผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ตอบสนองต่อสังคม และมีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยให้เป็นพื้นฐานให้แก่การเรียนการสอนระดับปริญญาตรี รวมถึงการผลิตทรัพยากรบุคคลในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการใช้นวัตกรรมที่เกิดจากความมีอิสระทางความคิด ตลอดจนมีอิสระในการบริหารจัดการภายใน และมีศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาที่จะสามารถวางทิศทางได้ จึงมีเอกลักษณ์ความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติได้อย่างชัดเจนอันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัยการประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย. การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย. ใน พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทยใน "โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย"โดยในภาพรวมผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกลุ่มดัชนีชี้วัดด้านการวิจัยและกลุ่มดัชนีชี้วัดตามด้านการเรียนการสอน ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 6 ในด้านการเรียนการสอนของประเทศไทย และเป็นอันดับ 8 ในด้านการวิจัยของประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล, ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีโยธา, ภาควิชาวิศวกรรมระบบการผลิต, และภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา, สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและระบบการผลิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีการสื่อสาร, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ และโครงการบัณฑิตศึกษา สาขาชีวเวชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อันดับมหาวิทยาลัย อันดับมหาวิทยาลัย. นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่การจัดอันดับโดย Nature Index การจัดอันดับโดย Nature Index. Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group สำหรับปี 2016 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 26 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds การจัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds. แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ QS จัดอันดับมหาวิทยาลัยในสองส่วน คือ การจัดอันดับเป็นระดับโลก(QS World University Rankings) และระดับทวีปเอเชีย(QS University Rankings: Asia) มีระเบียบวิธีจัดอันดับ ดังนี้ QS Asia1. ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ 2. การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์) 3. อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา 4. การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน scopusและ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้นๆเอง 5. บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์) 6. สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) 7. สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์) โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 101 ของเอเชีย QS World1. ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา 2. การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ 3. งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี 4. H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 601-650 ของโลก น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการการจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking. อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 634 ของโลก และเป็นอันดับ 20 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance. อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 9 ของประเทศไทย และอันดับ 1370 ของโลก โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิงอันดับของมหาวิทยาลัยในด้านอื่นๆการจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2018 อันดับของมหาวิทยาลัยในด้านอื่นๆ. การจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2018. เป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยและอยู่ในช่วงอันดับ 301 - 500 ของโลกการจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking. เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 73 ของโลกการจัดอันดับโดย Webometrics การจัดอันดับโดย Webometrics. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำปี พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยSearch Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 8 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 899 ของโลกการจัดอันดับโดย 4 International Colleges & Universities การจัดอันดับโดย 4 International Colleges & Universities. การจัดอันดับของ 4 International Colleges & Universities หรือ 4ICU เป็นการจัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์มหาวิทยาลัย ในปี 2016 ได้รับการจัดอันดับความนิยมเว็บไซต์เป็นอันดับที่ 11 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 1166 ของโลกพื้นที่มหาวิทยาลัย พื้นที่มหาวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร และมีศูนย์ในภูมิภาคอีก 5 ศูนย์ท่าพระจันทร์ ท่าพระจันทร์. ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าพระจันทร์ ในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร ในเริ่มแรกแห่งการสถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดการเรียนการสอนที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม (เพราะบุคลากรตลอดจนทรัพย์สินของโรงเรียนกฎหมายไม่ได้เปลี่ยนแปลง หลังจากรอการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย จึงโอนมาเป็นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมด) เป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงซื้อที่ดินจากกรมทหารซึ่งเป็นคลังแสงเดิม แล้วจึงย้ายมาอยู่บริเวณท่าพระจันทร์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและสนามหลวง มีเนื้อที่ 49 ไร่ เป็นศูนย์แรกของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เดิมบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหน้า (พระราชวังบวรสถานมงคล) ท่าพระจันทร์แห่งนี้ เมื่อ พ.ศ. 2519 เป็นสถานที่ที่นักศึกษาและประชาชนได้มาชุมนุมประท้วงกัน กรณีจอมพล ประภาส จารุเสถียร และจอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางกลับมาประเทศไทย (หลังลี้ภัยออกนอกประเทศไปเมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) และนำไปสู่เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 คนสถาปัตยกรรมและสถานที่สำคัญสถาปัตยกรรมและสถานที่สำคัญ. - ตึกโดม จิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์ ออกแบบด้วยการเชื่อมอาคารทั้ง 4 หลัง ที่เป็นของกองพันทหารราบที่ 4 เดิม ต่อเข้าเป็นตึกเดียวกัน จุดเชื่อมอยู่ระหว่างอาคารที่ 2 และ 3 ตึกโดมได้รับการออกแบบให้โดนเด่นตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ เพื่อให้เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้เลียนแบบชาติอื่น ปัจจุบัน ตึกโดมเหลือเพียงอาคาร 2 และ 3 เดิม เพราะตึกฝั่งเหนือถูกทุบเพื่อสร้างตึกคณะเศรษฐศาสตร์ สำนักหอสมุด และอาคารเอนกประสงค์ นอกจากนี้ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนตึกโดมเป็นโบราณสถาน และสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้คัดเลือกตึกโดมให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทสถาบันและอาคารสาธารณะ ในงานสถาปนิก 48 ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีในขณะนั้น ได้เข้ารับพระราชทานรางวัลดังกล่าวจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ ศาลาดุสิตาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต- ลานโพ ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นสถานที่ซึ่งขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนร่วมกันต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย เช้าตรู่วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ลานโพเป็นสถานที่เริ่มต้นของการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักศึกษา เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวกลุ่มผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คน ซึ่งถูกรัฐบาลจับกุม ต่อมามีผู้เข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมเพิ่มมากขึ้น จนต้องย้ายไปชุมนุมที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ จำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนหลายแสนคน ก่อนเคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลาเที่ยงตรงของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และกลายเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ลานโพ ยังมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เมื่อ พ.ศ. 2519 คือ เป็นสถานที่แสดงละครล้อการเมืองของนักศึกษาในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่หนังสือพิมพ์ดาวสยามประโคมข่าวว่านักศึกษาแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนกระทั่งมีการชุมนุมของลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มพลังต่าง ๆ จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ล้อมปราบสังหารนักศึกษา และประชาชน- ลานปรีดี ลานปรีดี และอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ผู้นำขนวนการเสรีไทย และผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง- กำแพงวังหน้า ตำแหน่งพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หากจะกล่าวเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว วังหน้าเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อมีการสร้างพระราชวังหลวงใน พ.ศ. 2325 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงสร้างวังหน้าขึ้นพร้อมกันทางด้านทิศเหนือของพระราชวังหลวง และอยู่ชิดกับฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างอาคารอเนกประสงค์ 2 ขึ้น จึงมีการขุดพื้นดินต่าง ๆ และจัดแสดงรูปร่างของกำแพงวังหน้าให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมว่ากาลครั้งหนึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นสถานที่ตั้งของวังหน้า อนึ่ง นักศึกษาและศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จำนวนหนึ่งมีความเชื่อว่าการที่สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย คือ วังหน้า มีความหมายว่า สถานที่แห่งนี้มีจิตวิญญาณของการช่วยเหลือสถาบันทางอำนาจและในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้นำสูงสุดตลอดมา- สนามฟุตบอล เป็นสถานที่ที่เป็นเวทีและเป็นศูนย์กลางการจัดชุมนุมใหญ่ของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน ในระหว่างวันที่ 10–14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากระบอบเผด็จการทหาร ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย และเป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักในสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยการเคลื่อนไหวในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 มีผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 77 คน และบาดเจ็บ 857 คน- กำแพงเก่า ปืนใหญ่ และประตูสนามหลวง กำแพงเก่า คือ กำแพงด้านถนนพระจันทร์ ซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนที่ชาวธรรมศาสตร์เรียกกันว่า "กำแพงชรา" คือ กำแพงของพระราชวังบวรสถานมงคลที่เหลืออยู่ แต่เดิมกำแพงชราจะมีทั้งด้านถนนพระจันทร์และด้านถนนพระธาตุ–สนามหลวง โดยมีประตูป้อมตรงหัวมุมถนนท่าพระจันทร์–หน้าพระธาตุ เชื่อมกำแพงทั้งสองด้านและเป็นประตูสำหรับการเข้าออก ต่อมาในสมัยที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดี กำแพงและประตูป้อมด้านถนนพระธาตุ–สนามหลวงได้ถูกรื้อลงเพื่อก่อสร้างหอประชุมใหญ่ ใน พ.ศ. 2527 ได้มีการจัดสร้างประตูป้อมขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อเฉลิมฉลองการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอายุครบรอบ 50 ปี ในการก่อสร้างประตูป้อมในครั้งนั้น ได้มีการขุดค้นพบปืนใหญ่ของวังหน้าจำนวน 9 กระบอก ที่ฝังอยู่ใต้ดิน โดยเป็นปืนใหญ่รุ่นโบราณผลิตจากประเทศอังกฤษ ที่ต้องใส่ดินปืน และลูกปืนจากทางด้านหน้าทาง โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้นำขึ้นมาบูรณะแล้วจัดตั้งแสดงไว้ที่ริมรั้วหน้าหอประชุมใหญ่ด้านสนามหลวง- หอประชุมใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2497 ในวาระครบรอบ 20 ปี ของการสถาปนามหาวิทยาลัย โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัย มีการวางศิลาฤกษ์ในวันสถาปนามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2497 และสร้างแล้วเสร็จในสมัยที่พลเอก ถนอม กิตติขจร เป็นอธิการบดี ในราว พ.ศ. 2506 โดยหอประชุมนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหอประชุมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น ทั้งในเรื่องของระบบเสียง ความเย็น และที่นั่ง ซึ่งมีทั้งสิ้น 2,500 ที่นั่ง โดยแยกออกเป็น ที่นั่งชั้นล่าง 1,800 ที่นั่ง และชั้นบน 700 ที่นั่ง ส่วนทางด้านทิศใต้ของหอประชุมนี้จัดทำเป็น หอประชุมเล็ก อีกส่วนหนึ่ง โดยบรรจุคนได้ราว 500 คน ปัจจุบันหอประชุมเล็กเรียกชื่อว่า หอประชุมศรีบูรพา ตามนามปากกาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย หอประชุมใหญ่ใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของทางมหาวิทยาลัยและนักศึกษาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับพิธีไหว้ครู พิธีพระราชทานปริญญาบัตร และที่สำคัญได้แก่การจัดกิจกรรมทางการเมืองโดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หอประชุมใหญ่กลายเป็นสถานที่ที่มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ สภาพการเมืองและสังคม ผ่านการอภิปรายและการจัดนิทรรศการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนด่านหน้าในการป้องกันการโจมตี จากกลุ่มอันธพาลการเมือง และการล้อมปราบนิสิตนักศึกษา และประชาชน ในเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519- สวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อยู่ลานกว้างด้านหน้าหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วยชิ้นงานประติมากรรมที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองและประชาธิปไตยที่ผ่านมา โดยสวนประติมากรรมแห่งนี้เป็นสวนประติมากรรมกลางแจ้ง มีประติมากรรม 8 ชิ้น ใน 11 เหตุการณ์สำคัญ เพื่อความเข้าใจที่กระชับลงตัว โดยให้ผลงานประติมากรรมชิ้นหนึ่งรวม 3 เหตุการณ์ไว้ด้วยกัน มีประติมากรรม ได้แก่ การอภิวัฒน์ 2475, การก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง, ธรรมศาสตร์กับขบวนการเสรีไทย, ขบวนการนักศึกษา พ.ศ. 2494–พ.ศ. 2500, ยุคสายลมแสงแดดและยุคแสวงหา, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519, ธรรมศาสตร์กับเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ทั้งนี้ ประติมากรรมเป็นฝีมือของสุรพล ปัญญาวชิระการขยายไปศูนย์รังสิต การขยายไปศูนย์รังสิต. แต่เดิมท่าพระจันทร์นี้ เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนสำหรับกลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในระดับปริญญาตรีด้วย แต่ในปัจจุบันหลักสูตรทั้งหมดดังกล่าวได้ขยายไปอยู่ที่ศูนย์รังสิตแล้วตามนโยบายมหาวิทยาลัย เหลือเพียงหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรควบปริญญาตรี–โท และปริญญาตรีโครงการพิเศษ ในช่วงของการพิจารณาขยายการเรียนการสอนไปยังศูนย์รังสิตดังกล่าวนั้น ได้มีการต่อต้านอย่างหนักจากประชาคมธรรมศาสตร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา ศิษย์เก่า อาจารย์ และชุมชนท่าพระจันทร์ (ดูจิตวิญญาณธรรมศาสตร์)ศูนย์รังสิต ศูนย์รังสิต. ศูนย์รังสิตเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ 1,757 ไร่ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 99 หมู่ 18 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางเหนือประมาณ 42 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “กลุ่มวิสาหกิจเทคโนโลยีกรุงเทพตอนบน” โดยมีสถาบันที่อยู่ใกล้เคียงได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียและอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีสวนอุตสาหกรรมจำนวนมากในพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2512 ศาสตราจารย์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดีในขณะนั้นได้รับโอนกรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดินทุ่งรังสิตจากกระทรวงอุตสาหกรรม และศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีใน พ.ศ. 2518 ที่เห็นว่าในการพัฒนาประเทศนั้น จะขาดบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้ มหาวิทยาลัยจึงวางแผนการขยายวิทยาเขตไปที่ชานเมือง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาวางศิลาฤกษ์อาคารโดมบริหาร และวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มาทรงประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และปลูกต้นยูงทอง ณ บริเวณอาคารโดมบริหาร พร้อมทั้งทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในคราวเดียวกันด้วย และต่อมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2531 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาเปิดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จากมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 3/2528 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2528 จึงเป็นคณะแรกที่เปิดสอนที่ศูนย์รังสิต ในปีการศึกษา 2529 17 มิถุนายน พ.ศ. 2528 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดอาคารศูนย์ญี่ปุ่นศึกษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณค่าก่อสร้างจากรัฐบาลญี่ปุ่น และในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงประกอบพิธีเปิดอาคารสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร ต่อมาใน พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยเห็นควรสร้างอาคารหอพระและเอนกประสงค์ศาลาในบริเวณเดียวกับองค์พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเททองหล่อพระ จำนวน 4 องค์ เพื่อประดิษฐาน ณ ท่าพระจันทร์ ศูนย์รังสิต ศูนย์พัทยา และสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งพระราชทานนามพระพุทธรูปดังกล่าวว่า .พระพุทธธรรมทิฐิศาสดา” เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2527 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์อาคารหอพระเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 และต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธธรรมทิฐิศาสดามาประดิษฐาน ณ หอพระดังกล่าว ภายในศูนย์ประกอบด้วยกลุ่มอาคารเรียนต่าง ๆ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อาคารอำนวยการ อาคารบริการวิชาการ เช่น ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา โรงพิมพ์ สิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ร้านอาหาร ร้านค้าและธนาคาร กลุ่มหอพักนักศึกษาและบุคลากร โรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาคารระบบสาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้าย่อย และโรงบำบัดน้ำเสีย ศูนย์นี้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นศูนย์กีฬากลางแจ้งและในร่มขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นสนามกีฬารองรับการแข่งขันระดับนานาชาติ เช่น เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2541 และ กีฬามหาวิทยาลัยโลก พ.ศ. 2550 ปัจจุบัน ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 6/2548 วันที่ 20 มิถุนายน 2548 ศูนย์นี้เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอน สำหรับหลักสูตรภาคปกติทุกกลุ่มวิชา โดยเริ่มต้นสำหรับนักศึกษาที่รับเข้าในปีการศึกษา 2549 และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพศูนย์ลำปาง ศูนย์ลำปาง. ตั้งอยู่ที่ 248 หมู่ 2 ถนนลำปาง–เชียงใหม่ ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง 52190 อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปาง ประมาณ 15 กิโลเมตร ไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายลำปาง–เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่จากการบริจาคของบุญชู ตรีทอง มีพื้นที่ 364 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวา เป็นที่ตั้งของ ศูนย์ลำปาง มีอาคารเรียนรวมหลังแรกชื่อ "อาคารสิรินธรารัตน์"ศูนย์พัทยาศูนย์พัทยา. - ศูนย์พัทยา หรือ ศูนย์ถาวร–อุษา พรประภา : ตั้งอยู่ที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ 565 ไร่ เป็นที่ตั้งของ อุทยานการเรียนรู้ และวิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา และ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยประกอบไปด้วยหลักสูตร AUTO-TU และ TU-PINE บางสาขาวิชาพิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัย. ภายในเขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น นอกจากเป็นที่ตั้งของคณะต่าง ๆ แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการอนุรักษ์ ดังนี้- พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ : เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่อาศัยในแผ่นดินไทยปัจจุบัน ตั้งอยู่ ณ ศูนย์รังสิต ในความดูแลของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สืบเนื่องจากการที่คณะฯ ได้รับโบราณวัตถุจากการขุดค้นภาคสนามในโครงการขุดค้นวัฒนธรรมบ้านเชียง ที่บ้านอ้อมแก้วและบ้านธาตุ จังหวัดอุดรธานี และมีโบราณวัตถุเพิ่มเติมขึ้นจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีอื่น ๆ ในช่วงระยะเวลาต่อมา - อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ : อยู่ในพื้นที่จัดแสดงทั้งหมดราว 400 ตารางเมตร บนชั้น 2 ของตึกโดม ณ ท่าพระจันทร์ บอกเล่าถึงชีวิตนายปรีดี พนมยงค์ และสะท้อนวิวัฒนาการทางการเมืองของไทย ทั้งยังแฝงบางแง่มุมของอุดมการณ์ที่ควรค่าแก่การเอาเยี่ยงอย่าง - หอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : อยู่ในพื้นที่จัดแสดง บนชั้น 3 ของตึกโดม ณ ท่าพระจันทร์ บอกเล่าเรื่องราวและความเป็นมาของมหาวิทยาลัย แสดงถึงตัวตนและจิตวิญญาณมหาวิทยาลัยซึ่งมีส่วนสร้างสรรค์จิตสำนึก และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทเคียงข้างสังคมไทยสมัยใหม่ และยังเป็นแหล่งสืบค้น และศูนย์รวมข้อมูลของประชาคมธรรมศาสตร์ชีวิตนักศึกษา ชีวิตนักศึกษา. การเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีการศึกษา แต่สำหรับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และโครงการบูรณาการของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ใช้เวลา 5 ปีการศึกษา ในขณะที่ คณะแพทยศาสตร์ และคณะทันตแพทยศาสตร์ จะใช้เวลา 6 ปีการศึกษา ตลอดระยะเวลาการเรียนนอกจากการเรียนวิชาพื้นฐานมหาวิทยาลัยและวิชาบังคับเลือกของสาขาวิชาแล้ว ยังสามารถลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีหรือวิชาโทข้ามคณะและสาขาวิชาได้อย่างเสรี ยกเว้นหลักสูตรที่ด้วยสภาพการณ์แล้วไม่สามารถทำได้ เช่น แพทยศาสตรบัณฑิต ทันตแพทยศาสตรบัณฑิต เป็นต้น นอกจากการพบปะกันในคณะหรือสาขาวิชาแล้ว ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชุมนุมชมรมของมหาวิทยาลัย การเข้ากลุ่มของคณะ การเล่นกีฬา และสำหรับคณะหรือสถาบันที่มีระบบโต๊ะกลุ่มหรือระบบบ้าน เช่น คณะนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ยังมีโอกาสที่จะได้พบปะหรือร่วมกิจกรรมกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่โต๊ะกลุ่มหรือบ้านได้อีกด้วยชุมนุม ชมรม กลุ่มกิจกรรม กลุ่มอิสระในมหาวิทยาลัย ชุมนุม ชมรม กลุ่มกิจกรรม กลุ่มอิสระในมหาวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านกิจกรรมนักศึกษา 1.องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) กิจกรรมภายในของนักศึกษานั้น จะอยู่ภายใต้การดูแลขององค์การของนักศึกษา โดยทำงานประสานกับ งานกิจกรรมนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา 2.สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย 3 วิทยาเขต คือ รังสิต ท่าพระจันทร์ และ ลำปาง ทำหน้าที่พิจารณาโครงการ งบประมาณ การจัดตั้ง–ยุบชุมนุมชมรม รวมไปถึงการพิจารณากฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ของแต่ละศูนย์ หากมีเรื่องเร่งด่วนจะมีการประชุมสภาทั้งหมด โดยทำงานประสานกับ งานกิจกรรมนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา 3.คณะกรรมการหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กพน.) กำกับดูแลหอพักนักศึกษา โดยทำงานประสานกับกลุ่มงานผู้ช่วยอาจารย์หอพัก สำนักงานจัดการทรัพย์สิน 4.คณะกรรมการนักศึกษา คณะกรรมการนักศึกษาของแต่ละคณะมีทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมและเป็นตัวแทนของนักศึกษาในคณะ อยู่ในความดูแลของรองคณบดีหรือผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการนักศึกษาของคณะนั้นๆ ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังประกอบด้วยชุมนุมชมรต่างๆ แบ่งได้เป็น 4 ฝ่าย ดังต่อไปนี้- ฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม ได้แก่ ชุมนุมโขนธรรมศาสตร์ ชุมนุมสันทนาการ (กองสันทนาการ ; RCATU) ชุมนุมเชียร์ ชุมนุมศิลปะและการแสดงแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Drama Club Thammasat) ชุมนุมถ่ายภาพ (Photo Club) ชุมนุมดนตรีไทย ชุมนุมดนตรีสากลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Band) ชุมนุมดุริยางค์สากลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TUSO) ชุมนุมขับร้องและประสานเสียง (TU Chorus) ชุมนุมโฟล์คซอง (TU Folksong) ชุมนุมวรรณศิลป์ ชมรมโดมทักษิณ ชมรมนักศึกษาชาวเหนือ ชมรมนักศึกษาอีสาน ชุมนุมปาฐกถาและโต้วาที ชุมนุมปาฐกถาภาษาอังกฤษ (Debate Club) ชมรมโบราณคดีและไทยศึกษา และชมรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร (TACTU)- ฝ่ายศาสนาและจริยธรรม ได้แก่ ชุมนุมศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน ชมรมมุสลิม ชมรมคาทอลิก และชมรมคริสเตียน- ฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ ได้แก่ ชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ชุมนุมพัฒนาชายหญิงเพื่อสังคม (Youth Club) สโมสรโรตาแรคท์ ชุมนุมสังคมพัฒนา ชุมนุมอนุรักษ์ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชุมนุมเพื่อนโดมสัมพันธ์ ชมรมอนุรักษ์นกและศึกษาธรรมชาติ ชมรมสิทธิมนุษยชน ชมรมนักศึกษาโครงการเรียนดีจากชนบท ชมรมวิทยุและกระจายเสียง และชุมนุมยูทฟอร์เน็กซ์สเต็ป (Youth for Next Step)- ฝ่ายกีฬา ได้แก่ ชุมนุมกรีฑา ชุมนุมกีฬาในร่ม ชุมนุมคาเต้-โด ชมรมเทควันโด ชุมนุมยูโด ชุมนุมแบดมินตัน ชุมนุมเทเบิลเทนนิส ชุมนุมลอนเทนนิส ชุมนุมฟุตบอล ชุมนุมรักบี้ฟุตบอล ชุมนุมบาสเกตบอล ชุมนุมวอลเลย์บอล ชุมนุมซอฟท์บอลและเบสบอล ชุมนุมตะกร้อ ชุมนุมเปตอง ชุมนุมกีฬาทางน้ำ ชุมนุมฟันดาบสากล ชุมนุมยิงปืน ชุมนุมยิงธนู ชุมนุมกีฬาลีลาศ ชุมนุมเพาะกาย ชมรมมวย ชุมนุมกอล์ฟ ชมรมมวยไทย ชมรมฟุตบอล ชมรมรักบี้ฟุตบอล ชมรมยิงปืน ชมรมตระกร้อ ชมรมยิงธนู ชมรมว่ายน้ำ ชมรมฟันดาบ ชมรมโปโลน้ำ ชมรมบาสเก็ตบอล ชมรมวอลเล่ย์บอล ชมรมเทควันโด และชมรมคาราเต้- กลุ่มอิสระ ได้แก่ กลุ่มอิสระล้อการเมือง กลุ่มอิสระลานสรรค์ กลุ่มอิสระไม้ขีดไฟ กลุ่มอิสระเพาะรัก กลุ่มอิสระสังคมนิยมประชาธิปไตย และกลุ่มลีดตลก ประจำงานฟุตบอลประเพณีฯ- พรรคการเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีพรรคการเมืองของนักศึกษาในปัจจุบัน คือ พรรคก้าวหน้า และ พรรคคนกันเอง ซึ่งเป็นผู้สมัครเลือกนายก อมธ. ส่วนสภานักศึกษา มี พรรคเพื่อนกัน พรรคเราธรรมได้ พรรคธรรมศาสตร์มั่นคง ส่วน พรรคที่เหลือจะถูกเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ หรือ อาจยุติบทบาทไม่ส่งผู้สมัครในบางปี เช่น พรรคปลุกโดม พรรครักธรรมศาสตร์ เป็นต้น แต่พรรคพรรคที่มีอายุยาวนานที่สุดของสภานักศึกษา คือ พรรคธรรมจักร (ยุบพรรค ปี 2558) ส่วน อมธ. คือ พรรคธรรมเพื่อโดม (ยุบพรรคในปี 2560) และในส่วนคณะกรรมการหอพักนักศึกษา มักมีผู้สมัครเพียงรายเดียวในการลงสมัคร- ชมรมชุมนุมในหอพัก ได้แก่ สโมสรนักศึกษาสภากาแฟ กลุ่มกิจกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ITTAG) กลุ่มพัฒนาศักยภาพ (R&DTC) และกลุ่มส่งเสริมคุณภาพชีวิต องค์การนักศึกษา สภานักศึกษา ชมรมชุมนุม และกลุ่มอิสระต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่มีที่ทำการอยู่ ณ อาคารกิจกรรมนักศึกษา ยกเว้นชุมนุมสายกีฬาที่มีที่ทำการอยู่ ณ ศูนย์บริการการกีฬา อาคารยิมเนเซียม 7 และคณะกรรมการหอพักนักศึกษา ชมรมชุมนุมในส่วนของหอพักอยู่ภายในศูนย์ต่าง ๆ ที่หมู่บ้านเอเชี่ยนเกมส์ ศูนย์เหล่านี้เรียกว่า "น็อก" (NOC) เพราะเดิมเป็นที่พักคณะกรรมการโอลิมปิกส์แห่งชาติ (National Olympic Committee)กีฬาและนันทนาการกีฬาและนันทนาการ. - งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุยเดชระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2477 จนถึงปัจจุบัน โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพฝ่ายละหนึ่งปี ปกติจัดขึ้น ณ สนามศุภชลาศัย - งานรักบี้ประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันรักบี้ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2480 แต่ได้ยุติไประยะหนึ่ง และได้มีการฟื้นฟูการแข่งขันอีกครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป - ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือกลุ่มตัวแทนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการบำเพ็ญประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์–จุฬาฯยังได้รับหน้าที่เป็น ผู้นำของขบวนพาเหรดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเป็นผู้นำขบวนอัญเชิญธรรมจักร ผู้อัญเชิญป้ายนามมหาวิทยาลัย ถ้วยพระราชทาน และที่สำคัญยังเป็นดรัมเมเยอร์อีกด้วย - เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือผู้นำเชียร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นตัวแทนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสำหรับทำหน้าที่นำกองเชียร์ส่งเสียงเชียร์นักกีฬา โดยเฉพาะในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์–จุฬา - ธิดาโดม คือนางงามที่ชนะเลิศในการประกวดของสมาคมธรรมศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนียตอนใต้ การประกวดธิดาโดมเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2516 โดยการเชิญสาวงามที่ไปเที่ยวงานในคืนนั้นขึ้นมาประกวด - สโมสรฟุตบอลโดม หรือ โดม เอฟซี เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 ตามแนวนโยบายของอธิการบดี โดยแข่งขันอยู่ลีกอาชีพดิวิชั่น 2 โซนภาคกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งมีนโยบายเน้นใช้นักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยรวมถึงศิษย์เก่า และนักกีฬาอื่นๆ โดยมีสนามเหย้าอยู่ ณ สนามธรรมศาสตร์สเตเดียม ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตศิลปวัฒนธรรมศิลปวัฒนธรรม. - คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ การแสดงคอนเสิร์ตร่วมของสถานศึกษา 3 แห่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเพลงประจำ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - งิ้วธรรมศาสตร์ การแสดงล้อเลียนเสียดสีการเมืองโดยดัดแปลงมาจากงิ้ว เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ที่ชุมนุมนาฏศิลป์ มักใช้เรื่องสามก๊กผสานกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น- ธรรมศาสตร์รวมใจจุดเทียนชัยถวายพระพร กิจกรรมการรวมพลังของประชาคมธรรมศาสตร์เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ กลุ่มพัฒนาศักยภาพ (R&DTC) จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2548 ต่อเนื่องมาทุกปี ใน พ.ศ. 2552 ผู้แทนพระองค์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาเป็นประธานในพิธี ณ ลานอินเตอร์โซน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และใน พ.ศ. 2549 ได้เกิดวิกฤติทางการเมือง กลุ่มพัฒนาศักยภาพจึงเชิญประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง และประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นประธานในพิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ - โขนธรรมศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นโดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ พ.ศ. 2509 ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในความอุปถัมถ์ของ มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80งานบำเพ็ญประโยชน์และอาสาสมัครงานบำเพ็ญประโยชน์และอาสาสมัคร. - ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University Ambassador) เป็นผู้แทนนักศึกษาในการนำขบวนอัญเชิญธรรมจักรหรือถ้วยพระราชทาน และเป็นดรัมเมเยอร์ในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์–จุฬาฯ นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่จัดกิจกรรมและร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม อาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยในโอกาสต่าง ๆ เป็นผู้นำเสนอสินค้า วิทยากร พิธีกร เดินแบบ ให้แก่สถาบันและหน่วยงานสาธารณกุศล ทั้งยังเป็นผู้แทนนักศึกษาในการ ต้อนรับบุคคลสำคัญในงานของมหาวิทยาลัย ประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยและกิจกรรมของนักศึกษาให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ตลอดจนการเชิญชวนให้นักศึกษามาร่วมกันทำกิจกรรมกันมากขึ้น - ธรรมศาสตร์แชริงเฟสติวัล (Thammasat Sharing Festival) หรือทียูแชริง (TU Sharing) เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยได้ร่วมกันทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ และสร้างกระแสให้นักศึกษาทุกคนรู้สึกว่า การทำความดีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ Share Idea with Idol, T-Shirt sharing, กิจกรรมปล่อยนก, บริจาคเงินเพื่อเด็กกำพร้า, คนพิการ, คนชรา, อ่านหนังสือให้ผู้พิการทางสายตา, Best sharing award, ธรรมศาสตร์ตักบาตรเพื่อพ่อ และกิจกรรมนั่งสมาธิ โดยเริ่มจัดครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2552 โดยชมรมพัฒนาศักยภาพ R&DTC มีผู้ร่วมทำกิจกรรมทั้งหมดกว่า 3,000 คน - บัณฑิตอาสาสมัคร เป็นโครงการระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต ให้บัณฑิตออกไปสู่ชุมชนและชนบท เพื่อเรียนรู้ เข้าใจ และทำงานประสานร่วมกับชาวบ้านและหน่วยงานพัฒนาต่าง ๆ โครงการนี้ดูแลโดย สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร - ศูนย์อาสาสมัคร เป็นหน่วยงานของกองกิจการนักศึกษา มีจุดประสงค์เพื่อรณรงค์ส่งเสริมงานอาสาสมัคร และเป็นตัวกลางของงานอาสาสมัคร โดยจะเป็นตัวกลางระหว่างหน่วยงานที่ต้องการอาสาสมัครและนักศึกษาที่ต้องการทำงานอาสาสมัคร และยังมีการสนับสนุนให้การจัดการเรียนการสอนวิชาศึกษาทั่วไปของชั้นปีที่ 1 มีการปรับปรุงหลักสูตรจากการเรียนการสอนแบบฟังบรรยาย มาเป็นกระบวนการกลุ่มรวมทั้งการการเป็นอาสาสมัครก่อนจบการศึกษา - ธรรมศาสตร์ทำนา เป็นโครงการในความรับผิดชอบของฝ่ายการนักศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมผัสกับปัญหาและความทุกข์ยากของผู้อื่น ตลอดจนกระตุ้นให้นักศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา และที่มาของข้าว ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงบนแปลงนาพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ ภายในศูนย์รังสิต โครงการนี้มีต้นแบบมาจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่กิจกรรมการทำนานี้จะเปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วมใน 3 ขั้นตอน คือ การถอนกล้า ดำนา และเกี่ยวข้าว ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้นั้นจะนำไปหุงเป็นอาหารมื้อแรกให้นักศึกษาใหม่ได้รับประทานในกิจกรรมการแสดงแสง สี เสียง ประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ "ณ ดินแดนแห่งนี้มีตำนาน ขอเธอสืบสานจิตวิญญาณธรรม" ซึ่งเป็นวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ด้วย และข้าวสารส่วนหนึ่งจะนำมาแบ่งบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายในศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์การพักอาศัยของนักศึกษา การพักอาศัยของนักศึกษา. การพักอาศัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งท่าพระจันทร์ และศูนย์รังสิตมีลักษณะคล้ายกับนิสิตนักศึกษาอื่นในกรุงเทพฯ โดยคนที่มีภูมิลำเนาหรือมีญาติพี่น้องอยู่ในกรุงเทพหรือเขตปริมณฑล ก็จะพักอาศัยกับครอบครัวหรือบ้านคนรู้จัก สำหรับนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดจะพักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัย หรือหอพักเอกชนบริเวณรอบ ๆ มหาวิทยาลัยท่าพระจันทร์ ท่าพระจันทร์. มหาวิทยาลัยมีบริการหอพักสำหรับนักศึกษา คือ หอพักรัชดาภิเษก เขตตลิ่งชัน เดิมตั้งอยู่ ณ บริเวณพระที่นั่งวิมานเมฆ ซึ่งเป็นบริเวณเขตพระราชฐาน เพื่อให้เป็นสวัสดิการแก่นักศึกษาที่ยากจนและขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมถึงไม่มีที่พักในกรุงเทพฯ ให้อยู่อาศัยในราคาย่อมเยาเพื่อเป็นการช่วยเหลือนักศึกษา ต่อมาจึงได้ย้ายมายังที่ตั้งปัจจุบัน ทั้งนี้ พ.ศ. 2552 สำนักงานจัดการทรัพย์สิน ซึ่งดูแลหอพักได้ปรับปรุงหอพักขึ้นใหม่ และจัดเก็บอัตราค่าใช้บริการค่อนข้างสูง ในปัจจุบันจึงมักจะเป็นที่พักอาศัยของบุคลากร และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นที่ต้องการที่พักในการเดินทางมาสัมมนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ศูนย์รังสิต. สำหรับศูนย์รังสิต สำนักงานจัดการทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจดูแลระบบการจัดสรรที่พักอาศัยของทั้งบุคลากรและนักศึกษา ได้ออกระเบียบให้นักศึกษาต้องแจ้งย้ายเข้าทะเบียนราษฎร์ของตนเองเข้ามาในทะเบียนบ้านกลางของมหาวิทยาลัย โดยนักศึกษาแต่ละคณะจะมีบ้านเลขที่ประจำคณะตนเองภายใต้ท้องถิ่นตำบลคลองหนึ่ง เทศบาลเมืองท่าโขลง จังหวัดปทุมธานี เช่น เลขที่ 99/3 หมู่ 18 สำหรับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ และ 99/8 หมู่ 18 สำหรับคณะเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น โดยมหาวิทยาลัยได้มีสวัสดิการที่พักสำหรับนักศึกษา หลายกลุ่ม และราคา ดังนี้- กลุ่มอาคารหอพักเอเชี่ยนเกมส์ ประกอบไปด้วย อาคารหอพักแบบห้องเดี่ยว คือ พัก 2 คน ได้แก่ โซนซี 11 อาคาร โซนอี 2 อาคาร และอาคารหอพักแบบชุด คือ พัก 4 คน ได้แก่ โซนบี 8 อาคาร โดยทั้งสอบแบบมีอุปกรณ์ครุภัณฑ์ภายในห้องพัก ได้แก่ เตียงนอน โต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ โทรศัพท์สายตรง ADSL โทรทัศน์สัญญาณจานดาวเทียม เครื่องปรับอากาศ ราวพาดผ้า เครื่องตรวจจับควันไฟ ลานซักล้าง ห้องน้ำในตัวพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น ระบบโทรทัศน์วงจรปิด ลิฟท์โดยสาร ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องกรองน้ำ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้กดบริการเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ และบริการซักรีด สำหรับอาคารหอพักแบบชุด คือ โซนบี มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมคือ แยกห้องน้ำห้องส้วม โต๊ะรับประทานอาหาร และชุดรับแขก อนึ่ง อาคารหอพักเอเชี่ยนเกมส์ มักมีปัญหาเรื่องการร้องเรียนค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง หรือการบริหารงานแบบธุรกิจเอกชนโดยไม่ให้นักศึกษามีส่วนร่วม แต่กระนั้นนักศึกษาก็แจ้งความประสงค์เข้าพักอาศัยเป็นจำนวนมาก- กลุ่มอาคารหอพักมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หรือ หอพักใน แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ อาคารหอพักคู่โดม สำหรับนักศึกษาหญิง และอาคารหอพักเคียงโดม สำหรับนักศึกษาชาย ประกอบไปด้วยเตียงนอน โต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ เครื่องตรวจจับควันไฟ ห้องน้ำรวม ระบบโทรทัศน์วงจรปิด เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องกรองน้ำ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้กดบริการเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ ห้องอ่านหนังสือรวม และบริการซักรีด - อาคารหอพักโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เป็นหอพักสำหรับนักศึกษาในคณะกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตั้งแต่ฐานะชั้นปีที่ 2 ขึ้นไป แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งเอ สำหรับนักศึกษาหญิง และฝั่งบี สำหรับนักศึกษาชาย ประกอบไปด้วย ตู้เย็น ไมโครเวฟ โทรทัศน์สัญญาณจานดาวเทียม เครื่องทำน้ำร้อน–น้ำเย็น เครื่องกรองน้ำ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้กดบริการเครื่องดื่ม โทรศัพท์สายตรงภายในหอ ฟรีอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย ห้องฟิตเนส อุปกรณ์กีฬา และห้องน้ำในตัว - กลุ่มอาคารทียูโดม-โดมเพลส เป็นกลุ่มอาคารหอพักกลุ่มใหม่ของมหาวิทยาลัย โดยตัวกลุ่มอาคารอยู่ภายนอกมหาวิทยาลัย ฝั่งตรงข้ามประตูเชียงราก เครื่องใช้มาตรฐานในห้องพักเหมือนกับกลุ่มอาคารหอพักเอเชี่ยนเกมส์ แต่เพิ่มเติม โต๊ะเอนกประสงค์ โคมไฟ และมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ บริการหนังสือพิมพ์ โครงการก่อสร้างกลุ่มอาคารทียูโดมยังไม่แล้วเสร็จ แม้จะเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 แต่ก็ได้เปิดให้นักศึกษาเข้าพักอาศัยแล้ว และเป็นอาคารหอพักที่ประสบปัญหาและข้อร้องเรียนเป็นอย่างมาก ล่าสุดบริษัทผู้รับสัมปทานมีโครงการเร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 อนึ่ง กลุ่มหอพักทั้งสี่กลุ่ม เป็นอาคารหอพักแบบแยกอาคารที่พักหญิง และอาคารที่พักชาย นักศึกษาไม่สามารถเข้าออกในอาคารที่พักของนักศึกษาต่างเพศได้ มีบริการรับทำความสะอาดภายในห้องพัก บริการให้เช่าเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรทัศน์ และตู้เย็น ทั้งนี้ กลุ่มอาคารหอพักเอเชี่ยนเกมส์ และกลุ่มอาคารหอพักใน มีเวลาเปิดปิดอาคารไม่ให้เข้าออกอาคาร คือ 05:00–24:00 นาฬิกา แต่สำหรับหอพักโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และกลุ่มอาคารหอพักทียูโดมเปิดให้เข้าออกได้ตลอดเวลา การจัดสรรที่พักสำหรับนักศึกษา ณ ศูนย์รังสิต โดยปกติใช้วิธีการจับสลาก ไม่ได้ใช้การพิจารณาจากลำดับก่อนหลัง หรือความใกล้ไกลของภูมิลำเนาศูนย์ลำปาง ศูนย์ลำปาง. การพักอาศัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง มีลักษณะคล้ายกับท่าพระจันทร์ และศูนย์รังสิต โดยคนที่มีภูมิลำเนาหรือมีญาติพี่น้องอยู่ในอำเภอเมืองห้างฉัตร หรือใกล้เคียง ก็จะพักอาศัยกับครอบครัวหรือบ้านคนรู้จัก สำหรับนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดจะพักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัย หรือหอพักเอกชนในตัวเมืองจังหวัดลำปาง ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีหอพักสวัสดิการสำหรับนักศึกษา ณ ศูนย์ลำปาง โดยมีรูปแบบคล้ายคลึงกับกลุ่มอาคารหอพักใน ณ ศูนย์รังสิตการเดินทาง การเดินทาง. นักศึกษา บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมายังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ดังนี้ท่าพระจันทร์ท่าพระจันทร์. - รถเมล์ สาย 1, 2, 3, 15, 25, 47, 53, 59, 60, 65, 70, 80, 82, 91, 203, 503, 507 และ 524 หรืออาจนั่งรถที่เส้นทางผ่านมายังพระบรมมหาราชวัง หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร - รถตู้สาธารณะ ทุกสายที่ผ่านสนามหลวง โดยลงรถบริเวณสนามหลวง หรือสำนักงานศาลยุติธรรม - ทางน้ำ โดยสารเรือสองแถวมาขึ้น ณ ท่าสะพานผ่านฟ้าลีลาศ หรือโดยเรือด่วนเจ้าพระยาธงทุกสีมาขึ้น ณ ท่าพรานนก (วังหลัง) แล้วลงเรือข้ามฟากมาขึ้น ณ ท่าพระจันทร์ - รถส่วนตัว นอกจากบุคลากรแล้ว ในเวลาปกติมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้รถยนต์ส่วนตัวของนักศึกษา หรือบุคคลภายนอกเข้าจอดภายในมหาวิทยาลัย ผู้ประสงค์นำรถยนต์ส่วนตัวมาอาจนำมาจอด ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร แล้วเดินเข้าทางประตูท่าพระจันทร์ ทั้งนี้ หากมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นำรถเข้าจอดได้ นักศึกษาและบุคคลทั่วไปสามารถนำรถเข้าจอดได้ ณ บริเวณรอบ ๆ สนามฟุตบอล หรืออาคารจอดรถใต้ดินฝั่งประตูท่าพระจันทร์ศูนย์รังสิต ศูนย์รังสิต. สามารถเดินทางมาศูนย์รังสิต ได้หลายเส้นทางทั้งทางรถยนต์โดยผ่านถนนพหลโยธิน หรือ ทางพิเศษอุดรรัถยา และ ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านตะวันออก) โดยผ่านถนนเชียงราก/ถนนคลองหลวง รถเมล์ สาย 29 39 และ 510 รถตู้โดยสารร่วม ขสมก. สาย ต.85 จาก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ สาย ต.118 จาก รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต/รถไฟฟ้ามหานคร สถานีสวนจตุจักร รถตู้โดยสารปรับอากาศท่าพระจันทร์–ศูนย์รังสิต และรถตู้โดยสารปรับอากาศจากฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต รวมทั้งสามารถเดินทางโดยรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง สำหรับสถานีรถไฟมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ปัจจุบันมีขบวนรถชานเมืองและธรรมดา หยุดรับส่งผู้โดยสาร 11 ขบวนต่อวัน สำหรับการเดินทางในมหาวิทยาลัย มีรถโดยสารเชื้อเพลิงก๊าซเอ็นจีวี บริการรับ–ส่งนักศึกษาและบุคลากรโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และรถโดยสารขนาดเล็ก (สองแถว) ให้บริการในราคาประหยัด รถทั้ง 2 ประเภทให้บริการ 3 เส้นทางดังนี้- สายที่ 1 หมู่บ้านนักกีฬา โซนซี – ศูนย์การประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต (ยิมเนเซียม 1) - สายที่ 2 หมู่บ้านนักกีฬา โซนเอ – โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ - สายที่ 3 หมู่บ้านนักกีฬา โซนเอ – ทียูโดม นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังได้จัดให้มีบริการรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับทางมหาวิทยาลัยไว้บริการในราคาประหยัดอีกด้วยพิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร. ปัจจุบันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเสด็จพระราชดำเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในระดับบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต โดยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ส่วนมากจะจัดขึ้นในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน โดยกำหนดการพิธีพระราชทานปริญญาบัตรให้เป็นไปตามประกาศของมหาวิทยาลัยในแต่ละปีการศึกษา โดยใช้หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรวันสำคัญวันสำคัญ. - วันปรีดี พนมยงค์ ตรงกับวันที่ 11 พฤษภาคม ของทุกปี - วันสถาปนามหาวิทยาลัย - วันธรรมศาสตร์บุคคลสำคัญบุคคลสำคัญ. - ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกขบวนการเสรีไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของไทย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 และรัฐบุรุษอาวุโส - ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สมาชิกขบวนการเสรีไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ - สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องคมนตรี นายกรัฐมนตรีคนที่ 12 ของไทย และประธานองคมนตรีการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล. ใน พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ซึ่งมีเงื่อนไขส่วนหนึ่งว่าด้วยการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย ต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้เปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยของตน มีหลักการสคำคัญที่กำหนดให้มหาวิทยาลัยไม่เป็นส่วนราชการ แต่อยู่ในกำกับของรัฐ เพื่อการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและคล่องตัวอันจะช่วยให้จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในกำกับของรัฐเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการได้พิจารณาเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้อง และได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... ขึ้นมาฉบับหนึ่ง ใน พ.ศ. 2543 แล้วนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นเผยแพร่ให้ประชาคมธรรมศาสตร์แสดงความคิดเห็น หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2546 กำหนดหลักการกลาง 10 ประการที่ต้องมีในร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกฉบับ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงส่งร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... ส่งคืนมาให้มหาวิทยาลัยแก้ไข แต่มหาวิทยาลัยเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติสอดคล้องกับหลักการกลางที่คณะรัฐมนตรีกำหนดแล้ว จึงไม่แก้ไขอีก และส่งร่างพระราชบัญญัติคืนให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ต่อมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการของร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา การเปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐก่อให้เกิดการคัดค้านและการตั้งคำถามต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจะสนใจเพียงค่าหน่วยกิตและค่าธรรมเนียมการศึกษาซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งกิจกรรมกลายเป็นธุรกิจมากขึ้น จนใส่ใจต่อสังคมน้อยลง หรือผู้บริหารจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการพิจารณาสัญญาจ้างและในการประเมินพนักงาน จนนำไปสู่ระบบเผด็จการของผู้บริหารหรือไม่ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ... และส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไปเตรียมธรรมศาสตร์ เตรียมธรรมศาสตร์. โรงเรียนเตรียมปริญญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ เตรียมธรรมศาสตร์ (ต.มธก.) ตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2481 มีหลักสูตร 2 ปี เพื่อรับผู้ประสงค์จะเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองโดยตรง โรงเรียนเตรียมปริญญามีหลักสูตรการสอนหนักไปทางด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาด้านสังคม เช่น ปรัชญา วิชาเทคโนโลยี ดนตรี พิมพ์ดีด และชวเลข เป็นต้น โรงเรียนเตรียมปริญญามีทั้งหมดรวม 8 รุ่น จนถึง พ.ศ. 2490 จึงถูกยกเลิกไป ปัจจุบันได้มีค่าย "เตรียมธรรมศาสตร์" ซึ่งจัดโดย องค์การนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดตั้งเพื่อให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนหลายได้เข้ามาสัมผัสชีวิต การเป็นอยู่ การเรียนในมหาวิทยาลัยในรูปแบบธรรมศาสตร์ และบรรยากาศแบบดั่งเดิมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองของพระนคร 3 วัน 2 คืน จัดในช่วงต้นปีของทุกๆปี
| ตราประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คืออะไร | {
"answer": [
"ธรรมจักร"
],
"answer_begin_position": [
6102
],
"answer_end_position": [
6110
]
} |
2,031 | 2,032 | ประเทศจีน ประเทศจีน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (; ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1,300 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า ประเทศจีนมีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 3 หรือ 4 แล้วแต่วิธีการวัด ลักษณะภูมิประเทศของจีนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ป่าสเต็ปป์และทะเลทรายในพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศติดกับประเทศมองโกเลียและไซบีเรียของรัสเซีย และป่าฝนกึ่งโซนร้อนในพื้นที่ชื้นทางใต้ซึ่งติดกับเวียดนาม ลาว และพม่า ส่วนภูมิประเทศทางตะวันตกนั้นขรุขระและเป็นที่สูง โดยมีเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาเทียนชานกั้นเป็นพรมแดนตามธรรมชาติกับประเทศอินเดีย เนปาล และเอเชียกลาง ในทางตรงกันข้าม แนวชายฝั่งด้านตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นที่ราบต่ำ และมีแนวชายฝั่งยาว 14,500 กิโลเมตร (ยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลก) ซึ่งติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางใต้ และทะเลจีนตะวันออกทางตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประเทศที่เป็นเกาะอยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี และญี่ปุ่น อารยธรรมจีนโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งอารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก เจริญรุ่งเรืองในลุ่มแม่น้ำเหลืองอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งไหลผ่านที่ราบลุ่มจีนเหนือ จีนยึดระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยหลายสหัสวรรษ จีนรวมกันเป็นปึกแผ่นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉินเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนราชวงศ์สุดท้าย ราชวงศ์ชิง สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1912 ด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ พร้อมกันกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีนโดยพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมจีน ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคสมัยแห่งความแตกแยกและสงครามกลางเมืองซึ่งแบ่งประเทศออกเป็นค่ายการเมืองสองค่ายหลักคือ ก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ ความเป็นปฏิปักษ์ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนสาธารณรัฐจีน ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งนั้น ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังไทเปบนเกาะไต้หวัน นับแต่นั้นมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งทางการเมือง กับสาธารณรัฐจีนเหนือปัญหาอธิปไตยและสถานะทางการเมืองของไต้หวัน นับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนตลาดเมื่อปี ค.ศ. 1978 ประเทศจีนได้กลายมาเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศราคาตลาดและความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ ตลอดจนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเทศจีนได้รับการจัดให้เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศจีนถูกจัดว่ามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลกโดยนักวิเคราะห์วิชาการ นักวิเคราะห์การทหาร ตลอดจนนักวิเคราะห์นโยบายสาธารณะและเศรษฐกิจภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก บนฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่บนบกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และถูกพิจารณาว่ามีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลขนาดนี้เกี่ยวข้องกับ (ก) ความถูกต้องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของจีน อย่างเช่น อัคสัยจินและดินแดนทรานส์คอราคอรัม (ซึ่งอินเดียอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งสองด้วยเช่นกัน) และ (ข) วิธีการคำนวณขนาดทั้งหมดโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือความจริงของโลกระบุไว้ที่ 9,826,630 กม. และสารานุกรมบริตานิการะบุไว้ที่ 9,522,055 กม. สถิติพื้นที่นี้ยังไม่นับรวมดินแดน 1,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งผนวกเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรัฐสภาทาจิกิสถานเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 ซึ่งยุติข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยาวนานนับศตวรรษ ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศจีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก ดินแดนจีนตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 18° และ 54° เหนือ และลองติจูด 73° และ 135° ตะวันออก ประกอบด้วยลักษณะภูมิภาพหลายแบบ ทางตะวันออก ตามแนวชายฝั่งที่ติดกับทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มตะกอนน้ำพาซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและกว้างขวาง ขณะที่ตามชายขอบของที่ราบสูงมองโกเลียในทางตอนเหนือนั้นเป็นทุ่งหญ้า ตอนใต้ของจีนนั้นเป็นดินแดนหุบเขาและแนวเทือกเขาระดับต่ำเป็นจำนวนมาก ทางตอนกลาง-ตะวันตกนั้นเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำสองสายหลักของจีน ได้แก่ แม่น้ำหวงและแม่น้ำแยงซี ส่วนแม่น้ำอื่นที่สำคัญของจีนได้แก่ แม่น้ำซี แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอามูร์ ทางตะวันตกนั้น เป็นเทือกเขาสำคัญ ที่โดดเด่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีจุดสูงสุดของจีนอยู่ทางครึ่งตะวันออกของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และที่ราบสูงอยู่ท่ามกลางภูมิภาพแห้งแล้ง อย่างเช่น ทะเลทรายทาคลามากันและทะเลทรายโกบี ประเด็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายโกบี ถึงแม้ว่าแนวต้นไม้กำบั้งซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จะช่วยลดความถี่ของการเกิดพายุทรายขึ้นได้ แต่ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้นและวิธีการทางเกษตรกรรมที่เลวส่งผลทำให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นทางตอนเหนือของจีนทุกฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจึงแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นของเอเชียตะวันออก รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมจีน (SEPA) ประเทศจีนกำลังกลายสภาพเป็นทะเลทรายราว 4,000 กม. ต่อปี น้ำ การกัดเซาะ และการควบคุมมลพิษได้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญในความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในเทือกเขาหิมาลัยยังได้นำไปสู่การขาดแคลนน้ำในประชากรจีนนับหลายร้อยล้านคน ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในฤดูหนาวและฤดูร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดูร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. จีนเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และตั้งอยู่ในสองเขตชีวภาพสำคัญของโลก เขตชีวภาพพาลีอาร์กติกและเขตชีวภาพอินโดมาลายา ในเขตพาลีอาร์กติกจะพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างเช่น ม้า อูฐ สมเสร็จ และหนูเจอร์บัว ส่วนสปีชีส์ที่พบในเขตอินโดมาลายาเช่น แมวดาว ตุ่นพงสาลี กระแต ไปจนถึงลิงและเอปหลายสปีชีส์ สัตว์บางชนิดพบในเขตชีวภาพทั้งสองเนื่องจากการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติและการอพยพ และกวางหรือแอนติโลป หมี หมาป่า สุกรและสัตว์ฟันแทะสามารถพบได้ในทุกสภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน แพนด้ายักษ์ที่มีชื่อเสียงนั้นพบได้ในบริเวณจำกัดตามแม่น้ำแยงซี ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่ในด้านการค้าสปีชีส์ใกล้สูญพันธุ์ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามกิจกรรมดังกล่าวแล้วก็ตาม ประเทศจีนมีป่าหลายประเภท ขอบเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีภูเขาและป่าสนเขตอากาศหนาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์บางสปีชีส์ รวมไปถึง มูสและหมีดำเอเชีย นอกจากนี้ยังมีนกอีกราว 120 ชนิด ป่าสนชื้นมีชั้นไม้พุ่มเป็นไผ่ แทนที่โดยกุหลาบพันปีกลุ่มไม้จำพวกสนและยิวบนภูเขาที่สูงกว่า ป่าใต้เขตร้อน ซึ่งพบมากทางตอนกลางและตอนใต้ของจีน พบพรรณพืชจำนวนน่าพิศวงถึง 146,000 สปีชีส์ ป่าฝนเขตร้อนและป่าดิบแล้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขอบเขตเพียงมณฑลยูนนานและเกาะไหหนาน แต่มีพรรณพืชและพันธุ์สัตว์คิดเป็นหนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่พบในประเทศจีนสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. ประเทศจีนมีการวางกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติบางฉบับ เช่น กฎหมายป้องกันสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2522 ซึ่งส่วนใหญ่ยึดแบบมาจากกฎหมายสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งแวดล้อมยังคงเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ข้อบังคับนั้นค่อนข้างที่จะเข้มงวด แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังคงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากชุมชนหรือรัฐบาลท้องถิ่นมักจะปล่อยปละละเลยอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่มุ่งให้ความสนใจกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่า หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับมานาน 12 ปี มีนครเพียงแห่งเดียวในจีนเท่านั้นที่กำลังมีความพยายามที่จะบำบัดน้ำเสีย ส่วนหนึ่งของรายจ่ายที่จีนต้องเสียเพื่อแลกกับความเฟื่องฟูที่เพิ่มขึ้นนั้นคือควมเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรน้ำ ชาวจีนราว 300 ล้านคนกำลังดื่มน้ำที่ไม่ปลอดภัยสำหรับบริโภค ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำที่กำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ 400 จาก 600 นครทั่วประเทศกำลังขาดแคลนน้ำ อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินกว่า 34,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดใน พ.ศ. 2552 ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศผู้นำการลงทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีนผลิตกังหันลมและแผงสุริยะต่อปีมากที่สุดในโลกประวัติศาสตร์สาธารณรัฐจีน (2455-2492) ประวัติศาสตร์. สาธารณรัฐจีน (2455-2492). การปฏิวัติซินไฮ่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิงสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน. การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง" แผนเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ล้านคน ใน พ.ศ. 2509 เหมาและพันธมิตรทางการเมืองได้เริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งกินเวลาจนกระทั่งเหมาถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งทศวรรษถัดมา การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคและความกลัวสหภาพโซเวียต นำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสังคมจีน ใน พ.ศ. 2505 ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตเลวร้ายลงมากที่สุด เหมาและโจว เอินไหล พบกับริชาร์ด นิกสันในกรุงปักกิ่งเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติแทนที่สาธารณรัฐจีน และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2519 และการจับกุมตัวแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิงได้แย่งชิงอำนาจจากทายาททางการเมืองที่เหมาวางตัวไว้ หัว กั๋วเฟิง อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นประธานพรรคหรือประมุขแห่งรัฐ ในทางปฏิบัติแล้ว เติ้งเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในเวลานั้น อิทธิพลของเขาภายในพรรคนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์ได้ผ่อนปรนการควบคุมเหนือชีวิตประจำวันของพลเมืองและคอมมูนถูกยุบโดยชาวนาจำนวนมากได้รับที่ดินเช่า ซึ่งได้เป็นการเพิ่มสิ่งจูงใจและผลผลิตทางเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เหตุการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงจีนจากระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีสภาพเป็นตลาดเปิดเพิ่มมากขึ้น หรือที่บางคนเรียกว่า "ตลาดสังคมนิยม" และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียกมันอย่างเป็นทางการว่า "สังคมนิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะของจีน" สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ในปี พ.ศ. 2532 การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทางการผู้สนับสนุนการปฏิรูป หู ย่าวปัง เป็นการจุดชนวนการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมดังกล่าวถูกปราบปรามลงเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางและนำไปสู่การประณามและการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลจีน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และนายกรัฐมนตรีจู หรงจี สองอดีตนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนภายหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ภายใต้การบริหารงานเป็นระยะเวลาสิบปีของทั้งสอง สมรรถนะทางเศรษฐกิจของจีนได้ช่วยยกระดับฐานะของชาวนาประมาณ 150 ล้านคนขึ้นจากความยากจนและรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไว้ที่ 11.2% ต่อปี จีนเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2544 ถึงแม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจีนได้เริ่มวิตกกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนี้จะมีผลกระทบในด้านลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลคือบางภาคส่วนของสังคมไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ ตัวอย่างหนึ่งคือช่องว่างใหญ่ระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ดังนั้น ภายใต้เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดปัจจุบัน ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เริ่มดำเนินนโยบายเพื่อที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาของการแจกจ่ายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แต่ผลที่ออกมานั้นยังสามารถพบเห็นได้ ชาวนามากกว่า 40 ล้านคนถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตน ซึ่งเป็นเหตุปกติธรรมดาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลกว่า 87,000 ครั้งในปี พ.ศ. 2548 สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของจีนแล้ว มาตรฐานการดำเนินชีวิตมองเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างมาก และเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การควบคุมทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความยากจนในชนบทการเมือง การเมือง. ประเทศจีนถูกพิจารณาโดยนักรัฐศาสตร์หลายคนว่าเป็นหนึ่งในห้ารัฐคอมมิวนิสต์สุดท้าย (เช่นเดียวกับเวียดนาม เกาหลีเหนือ ลาว และคิวบา) แต่การอธิบายลักษณะอย่างเรียบง่ายของโครงสร้างการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่อาจเป็นไปได้อีกตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ถูกอธิบายอย่างแพร่หลายว่าเป็นคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม แต่ยังรวมไปถึงเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งยังคงเหลือการควบคุมอย่างหนักในหลายพื้นที่ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ อินเทอร์เน็ต สื่อ เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ และเสรีภาพในการนับถือศาสนาทำให้ประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย เมื่อเทียบกับนโยบายปิดประเทศซึ่งดำเนินมาจนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 แล้ว การเปิดเสรีในสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งผลทำให้บรรยากาศการบริหารประเทศลดระดับการจำกัดควบคุมลงกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังห่างจากเสรีประชาธิปไตยหรือสังคมประชาธิปไตยซึ่งเกิดขึ้นในยุโรปหรืออเมริกาเหนือโดยเฉพาะด้านเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่ และสภาประชาชนแห่งชาติ (หน่วยงานสูงสุดของรัฐ) ถูกอธิบายว่าเป็นหน่วยงาน "ประทับตรายาง" ตำแหน่งทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้นำรัฐบาลมักทับซ้อนกัน ตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดี เจียง เจ๋อหมิน เป็นต้นมา ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนมักดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกตำแหน่งหนึ่งด้วยบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งอำนาจของพรรคนั้นอยู่ภายใต้บัญญัติของรัฐธรรมนูญจีน ระบบการเมืองนั้นเป็นแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางอย่างมาก โดยมีกระบวนการประชาธิปไตยที่จำกัดมากภายในพรรคและในระดับหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าการทดลองเหล่านี้จะถูกทำให้เสียหายโดยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ประเทศจีนมีพรรคการเมืองอื่นอยู่บางพรรค ซึ่งถูกกล่าวถึงในประเทศว่าเป็นพรรคประชาธิปไตย ซึ่งมีส่วนร่วมในสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) และสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีน (CPPCC) ขณะนี้มีการผลักดันบางอย่างเพื่อให้เกิดเสรีทางการเมือง โดยมีการเลือกตั้งที่มีการคัดค้านอย่างเปิดเผยในระดับหมู่บ้านและเมือง และในสภานิติบัญญัติก็ได้แสดงให้เห็นการยืนยันความคิดในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงควบคุมเหนือการแต่งตั้งรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการไม่มีคู่แข่งที่มีความหมาย พรรคคอมมิวนิสต์จึงชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอยเกือบจะทุกครั้ง ความกังวลทางการเมืองในประเทศจีนรวมไปถึงการลดช่องว่างที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจน และการต่อสู้การฉ้อราษฎร์บังหลวงในหมู่ผู้นำรัฐบาล ระดับการให้การสนับสนุนรัฐบาลและการบริหารจัดการในประเทศจีนนับว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยมีประชากรถึง 86% แสดงความพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และเศรษฐกิจของชาติตามการสำรวจของสำนักวิจัยพิวเมื่อปี พ.ศ. 2551ตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล และถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ 23 ของตน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอำนาจการปกครองเหนือไต้หวันซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกคัดค้านโดยสาธารณรัฐจีน นอกจากนี้ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นเขตปกครองตนเอง 5 แห่ง แต่ละแห่งมีชื่อตามชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่นั้น เทศบาลนคร 4 แห่ง และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง ซึ่งมีสิทธิ์ปกครองตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง ดินแดนเหล่านี้อาจถูกเรียกรวมกันว่า "จีนแผ่นดินใหญ่" ซึ่งมักยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต ทางการไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาด้วยความราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค ความร่วมมือกันของทั้ง 2 ได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นเมื่อจีนสามารถได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนทุกประเทศแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ได้ลดลงไปจากเดิม ความสัมพันธ์ในปัจจุบันจึงได้เน้นด้านการค้าและเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก- การเมือง ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย - จีน มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคี และเวทีภูมิภาค เช่น การประชุมอาเซียนและจีน อาเซียน + 3 ARF ASEM เป็นต้น ในการเยือนจีนเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 ทางไทยและจีนต่างเห็นพ้องที่จะมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์และขอบข่ายความร่วมมือระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จหลายด้าน เช่น ความร่วมมือด้านยาเสพติด ด้านการเงิน การคลัง พาณิชย์นาวี รวมทั้งได้ลงนามความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย - จีน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย - จีน- เศรษฐกิจและการค้า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ได้มีการลงนามความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย -จีน ซึ่งช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีในการค้าสินค้าผักและผลไม้ (สินค้าพิกัดภาษี 07 08) ทั้งประเทศไทย และ จีน มีความพร้อมในการลดภาษีอยู่แล้ว ซึ่งได้มีผลยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า 116 รายการ ในพิกัดภาษี 07 08 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546- การค้าไทย และ จีน ในปี 2548 มีมูลค่า 20,343.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.31 ประเทศไทยส่งออก 9,183.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้า 11,159.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - การค้าไทย และ จีน ในปี 2549 มีมูลค่า 25,154.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.75 ประเทศไทยส่งออก 11,708.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 13,445.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ทางการจีนนำเข้าจากไทยที่สำคัญมากที่สุดคือ สายอากาศและเครื่องสะท้อนสัญญาณทางอากาศ พลาสติก มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ แผงวงจรไฟฟ้า ไม้ที่เลื่อยแล้ว ส่วนสินค้าที่จีนส่งออกมาไทยที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดร้อน เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์หรือโทรเลขแบบใช้สาย เงิน ตะกั่ว การลงทุนของไทยในจีนเมื่อปี 2548 ไทยลงทุนในจีนรวม 95.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร การนวดแผนไทย ส่วนการลงทุนของจีนในไทยในปีเดีวกัน จีนลงทุนในไทยรวม 2,286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานการลงทุนที่จีนได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนมีจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ ประกอบด้วยกิจการก่อสร้าง การค้า ธนาคาร การแปรรูปโลหะ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เครื่องจักร ร้านอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์- การทหาร - การท่องเที่ยวสภาพทางการทูตโดยสังเขปสภาพทางการทูตโดยสังเขป. - นโยบายทางการทูตของจีน - นโยบายทางการทูตของจีน - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา ญี่ปุ่น และรัสเซีย - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนรัสเซีย - องค์การระหว่างประเทศกับจีน - อาเซียนกับจีน - องค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้กับจีน - สหประชาชาติกับจีน - องค์การเอเปกกับจีน - องค์การการค้าโลกกับจีนกองทัพ กองทัพ. ตั้งแต่ก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492 กองทัพของประเทศจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วกองทัพเรือ ตำรวจมีอาวุธในข้อตกลงที่แท้จริงของกองทัพแดง ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอาวุธที่มีนั้นส่วนใหญ่จะมาจากประเทศรัสเซีย จีนเพิ่มกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชียและอันดับที่ 4 ของโลก หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำให้สถานะของยุคหลังสงครามโลก หรือที่เรียกกันว่ายุคสงครามเย็นได้ยุติลง ได้ส่งผลให้ขั้วของการเป็นมหาอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปสหรัฐอเมริกาเองปรารถนาที่จะเป็นขั้วอำนาจขั้วเดียวในโลกโดยดำเนินยุทธศาสตร์ที่มุ่งไปสู่ความเป็นมหาอำนาจชาติเดียว ในขณะเดียวกันประเทศที่ศักยภาพอย่างจีนได้พยายามที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ประเทศมหาอำนาจ โดยการเร่งพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ การพัฒนาให้กองทัพมีศักย์ในการดำเนินสงครามโดยการปรับปรุงให้กองทัพให้มีความทันสมัยในช่วง 10 ปี แรกนั้น ภัยคุกคามหลักของจีนนั้นมุ่งไปที่สหภาพโซเวียต ในขณะที่ปัญหาไต้หวันยังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในระดับต่ำ ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2538 – 2539 (ค.ศ. 1995 – 1996) ปัญหาเกิดขึ้นบริเวณเกาะไต้หวัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายใน ทำให้ทิศทางของการพัฒนากองทัพมุ่งไปสู่การรองรับภัยคุกคามที่เกิดจากการพยายามแยกตัวของไต้หวันตั้งแต่ พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) เป็นต้นมา กองกำลังทางบกได้รับอาวุธและยุทโธปกรณ์พิเศษที่ใหม่ และหลากหลายที่จีนผลิตเองเข้าประจำการ เช่น รถถังหลัก รถถังสะเทินน้ำสะเทินบก รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่อัตตาจร อาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ กล้องมองกลางคืน อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ฯลฯเศรษฐกิจศักยภาพทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ศักยภาพทางเศรษฐกิจ. ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2492 จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางเหมือนโซเวียต ไม่มีภาคเอกชนหรือระบอบทุนนิยม เหมา เจ๋อตง เริ่มใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล เพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยและก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม แต่นโยบายนี้กลับถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม หลังจากที่เหมาเสียชีวิตและสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิง และผู้นำจีนรุ่นใหม่ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบผสมที่ให้ความสำคัญกับทุนนิยมมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ว่า 1ระบอบ 2ระบบ ตั้งแต่เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2521 เศรษฐกิจของจีนซึ่งนำโดยการลงทุนและการส่งออก เติบโตขึ้นถึง 70 เท่า และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ปัจจุบัน จีนมีจีดีพี (nominal) สูงเป็นอันดับสามของโลกที่ 30 ล้านล้านหยวน (4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่รายได้ต่อหัวมีค่าเฉลี่ยเพียง 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงยังคงตามหลังประเทศอื่นอีกนับร้อย อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และ ตติยภูมิ มีอัตราส่วนร้อยละ 11.3, 48.6 และ 40.1 ตามลำดับ และหากวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ จีนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จีนเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกและเป็นประเทศที่มีมูลค่าทางการค้าสูงเป็นอันดับสามรองจาก สหรัฐอเมริกาและเยอรมนีด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ 2.56 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าการส่งออก 1.43 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสอง) และมูลค่าการนำเข้า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสาม) จีนมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก (มากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์) และเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมของการลงทุนจากต่างชาติ โดยสามารถดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2550 เพียงปีเดียวการพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน. เมื่อราวๆ กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการวิพากษ์ในหนังสือพิมพ์จีนว่าด้วย การทบทวนและประเมินการพัฒนาอุตสาหกรรมจีนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนปัจจุบัน และเปรียบเทียบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหลังเปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลากหลายความเห็นที่น่าสนใจที่ไทยอาจต้องศึกษา เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ เนื่องจากประเทศจีนได้เริ่มพัฒนาตามแบบฉบับอุตสาหกรรมใหม่ (ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1) ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย และเกิดการชะงักงันเป็นเวลาหลายสิบปีจวบจนกลางศตวรรษที่ 20 และเกือบหยุดสนิทประมาณ 30 ปี เสร็จแล้วใช้เวลาอีก 20 ปี ในการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านของโลก นักวิชาการจีนดังกล่าวมีความเห็นว่า ที่จีนสามารถพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ เกิดจากกระแสความคิด 2 กระแส1. กระแสแรก จีนได้วางพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักไว้ตั้งแต่ต้นและไม่เคยละทิ้ง เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล เคมี จึงกลายเป็นพื้นฐานรองรับและประกันการพัฒนา 2. กระแสที่สอง ในช่วงที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ ว่าด้วยแนวทางที่จะนำเข้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีกลุ่มหนึ่งเห็นคล้อยตามคำแนะนำของประเทศที่พัฒนาแล้วสมัยนั้นว่า ควรที่จะพัฒนาตามขั้นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีจีนขณะนั้นล้าหลังอยู่มาก จึงเลือกนำเข้าเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับก่อนหน้าสมัยนั้น 5-10 ปี ถึงแม้เทคโนโลยีที่จีนใช้ในขณะนั้นจะล้าหลังในสากลโลก แต่ถือว่าทันสมัยมากสำหรับจีน ในการผลิตและจำหน่ายในตลาดของจีน ซึ่งรับความนิยมสูงมาก เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่า พื้นฐานทางวิชาการและเทคโนโลยีจีนพร้อมอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะก้าวกระโดดโดยซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ณ ขณะนั้น เช่น ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร เทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมเหล็ก ปรากฏในภายหลังว่า ทั้งสองกลุ่มได้พบจุดบรรจบกันในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 20 และนำมาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอีกระลอกดังที่เห็นกันขณะนี้ ผลและสภาพของการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของจีนที่เราได้เห็นทุกวันนี้ นักวิชาการจีนส่วนใหญ่มองว่าเป็นผลเกิดจากการปูพื้นฐานทางวิชาการและการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักตั้งแต่สมัยแรก กลายเป็นหลักประกันสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมเบา เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ให้พัฒนาอยู่บนขาของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ เช่น เหล็กและโลหะอื่นๆ พลาสติก และเคมี ที่เป็นพื้นฐานนำไปแปรรูปต่อจนจีนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระดับสูงดังที่เป็นอยู่ และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีและสิทธิบัตรตราสินค้าของตนเองการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. รัฐบาล ไทยและจีนได้ทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เมื่อเดือนสิงหาคม 2536 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการตลาดและการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่าง ประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศโดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเท่านั้น ประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกร่วมกับสิงคโปร์และมาเลเซียที่ได้รับอนุญาตให้ชาวจีน เดินทางออกไปท่องเที่ยวทัวร์จีน และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ ทำรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมาก โดยในขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเที่ยวจีนก็เพิ่มมากขึ้น โดยปี 2557 นักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวจีนจำนวน 613,100 คน(ครั้ง) ในปี 2557 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปประเทศไทยจำนวน 4,422,100 คน(ครั้ง) จีนเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเยอะที่สุดไปเที่ยวไทยโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมคมนาคมโทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. จีนเป็นประเทศเอกภาพที่มีหลายชนชาติ รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายทางชนชาติที่ให้ ชนชาติต่าง ๆ มีความเสมอภาค สมานสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและขนบธรรมเนียมของชนชาติส่วนน้อยระบบปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นระบบการเมืองอันสำคัญอย่างหนึ่งของจีน คือ ให้ท้องที่ที่มีชนชาติส่วนน้อยต่าง ๆ อยู่รวม ๆ กันใช้ระบบปกครองตนเอง ตั้งองค์กรปกครองตนเองและใช้สิทธิอำนาจปกครองตนเอง ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ ของรัฐ รัฐประกันให้ท้องที่ที่ปกครองตนเองปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของรัฐตามสภาพที่เป็นจริงในท้องถิ่นของตน ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ บุคลากรทางวิชาการและ กรรมกรทางเทคนิคชนิดต่าง ๆ ของชนชาติส่วนน้อยเป็นจำนวนมาก ประชาชน ชนชาติต่าง ๆ ในท้องที่ที่ปกครองตนเองกับประชาชนทั่วปแระเทศรวมศูนย์กำลังดำเนิน การสร้างสรรค์สังคมนิยมที่ทันสมัย เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องที่ที่ ปก ครองตนเองให้เร็วขึ้นและสร้างสรรค์ท้องที่ที่ปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยที่สมานสามัคคีกันและเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างการปฏิบัติเป็นเวลาหลายสิบปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ของจีนได้ก่อรูปขึ้นซึ่งทรรศนะและนโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาทางชนชาติหลายประการที่สำคัญได้แก่- การกำเนิด การพัฒนาและการสูญสลายของชนชาตินั้นเป็นกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ปัญหาชนชาติจะดำรงอยู่เป็นเวลานาน - ระยะสังคมนิยมเป็นระยะที่ชนชาติต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง ปัจจัย ร่วมกันระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลักษณะพิเศษและข้อ แตกต่างระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะดำรงอยู่ต่อไป - ปัญหาชนชาติเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทั่วสังคม มีแต่แก้ปัญหาทั่วสังคมให้ลุล่วง ไปเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างมีขั้นตอน มีแต่ในภารกิจร่วมกัน ที่สร้างสรรค์สังคมนิยมเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติของจีนในปัจจุบันจึงจะได้รับการ แก้ไขอย่างมีขั้นตอนได้ - ชนชาติต่าง ๆ ไม่ว่ามีประชากรมากหรือน้อย มีประวัติยาวหรือสั้นและมีระดับ การพัฒนาสูงหรือต่ำ ต่างก็เคยสร้างคุณูปการเพื่ออารยธรรมของปิตุภูมิ จึงควรมีความ เสมอภาคทั้งนั้น ควรเสริมสร้างความสามัคคีอันยิ่งใหญ่ระหว่างประชาชนชนชาติต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและรักษาเอกภาพแห่งชาติ - การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่เป็นภาระหน้าที่มูลฐานแห่งสังคมนิยม และก็ เป็นภาระหน้าที่มูลฐานของงานชนชาติของจีนในขั้นตอนปัจจุบัน ชนชาติต่าง ๆ ต้องช่วย เหลือซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุซึ่งความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน การปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อทฤษฎีชนชาติของลัทธิมาร์กซ และเป็นระบอบมูลฐานในการแก้ปัญหาชนชาติของจีนการพยายามสร้างขบวนเจ้าหน้าที่ชนชาติส่วนน้อยขนาดใหญ่ขนาดหนึ่งที่มีทั้งคุณธรรม และขีดความสามารถเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในการทำงานทางชนชาติให้ดีและแก้ปัญหาทางชนชาติให้ลุล่วงไปปัญหาทางชนชาติกับปัญหาทางศาสนามักจะผสมผสานอยู่ด้วยกันในท้องที่บาง แห่ง ขณะจัดการกับปัญหาทางชนชาติ ยังต้องสังเกตปฏิบัติตามนโยบายทางศาสนา ของรัฐอย่างทั่วด้านและถูกต้องนอกจากนี้ ในขณะเดียวกันกับที่พยายามส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษาตลอดจนภารกิจอื่นๆ ของเขตชนชาติส่วนน้อย ยกระดับชีวิตทาง วัตถุและวัฒนธรรมของประชาชนชนชาติส่วนน้อยอันไพศาลซึ่งรวมทั้งชาวศาสนาด้วยให้สูงขึ้น รัฐบาลจีนยังสนใจเคารพความเชื่อถือทางศาสนาของชนชาติส่วนน้อยและรักษา มรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติส่วนน้อยเป็นพิเศษ สำรวจ เก็บสะสม ศึกษา จัดให้เป็น ระเบียบและจัดพิมพ์จำหน่ายมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นเมืองของชนชาติต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาด้วย รัฐบาลยังได้ลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อซ่อมแซม วัดวาอารามและสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาอันสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในเขตชนชาติส่วนน้อยศาสนา ศาสนา. ประชาชนจีนมีทั้งสิ้น 56 ชนเผ่า ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนับถือนิกายมหายานและวัชรยานโดยนับถือปนไปกับลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋ากว่า 300 ล้านคน นอกนั้นนับถือนิกายเถรวาท มีนับถือศาสนาอิสลามกว่า 11 ล้านคน และนับถือศาสนาคริสต์อีก5.2 ล้านคนภาษา ภาษา. ภาษาจีนเป็นภาษาเก่าแก่และเป็นภาษาที่คนใช้มากที่สุดภาษาหนึ่ง เป็นภาษาหลักที่คนจีนใช้กันอยู่ ภาษามาตาฐานของภาษาจีน คือ ภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวฮั่นใช้กันโดยทั่วไปเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างพื้นที่ต่างๆ และในชนเผ่าต่างๆ ของจีน แม้ชาวจีนทุกคนสามารถใช้ภาษาจีนได้ แต่จากการที่ประเทศจีนมีอาณาเขตที่กว้างขวางทำให้ท้องถิ่นต่างๆ มีภาษาพูดที่แตกต่างกัน โดยภาษาพูดที่ใช้กันในแต่ละท้องถื่นคือ ภาษาถิ่น ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อกันเฉพาะในท้องถื่น ภาษาท้องถื่นของจีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายภาษา เช่น ภาษาเหนือ ภาษาอู๋ ภาษาเซียง ภาษาก้าน ภาษาแคะ ภาษาหมิ่น ภาษาเย่ว์ ทั้งหมดนี้ภาษาเหนือเป็นภาษาที่มีการใช้กันมากที่สุดเมืองใหญ่ เมืองใหญ่. ดูรายชื่อทั้งหมดที่รายชื่อเมืองในจีนเรียงตามจำนวนประชากร อันดับเมืองขนาดใหญ่ 20 เมืองแรก จัดอันดับตามจำนวนประชากรกีฬาฟุตบอลมวยสากลวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมวรรณกรรมดนตรี และ นาฎศิลป์อาหารสื่อสารมวลชนวันหยุดวัฒนธรรม. วันหยุด. 1. วันขึ้นปีใหม่ (元旦) 2. วันตรุษจีน (春节) 3. วันเช็งเม้ง (清明节) 4. วันแรงงาน (劳动节) 5. วันไหว้บะจ่าง (端午节) 6. วันไหว้พระจันทร์ (中秋节) 7. วันชาติ (国庆节)
| เมืองหลวงของประเทศจีนมีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"ปักกิ่ง"
],
"answer_begin_position": [
309
],
"answer_end_position": [
316
]
} |
2,032 | 2,032 | ประเทศจีน ประเทศจีน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (; ) เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1,300 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) 5 เขตปกครองตนเอง 4 เทศบาลนคร (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกงและมาเก๊า ประเทศจีนมีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 3 หรือ 4 แล้วแต่วิธีการวัด ลักษณะภูมิประเทศของจีนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ป่าสเต็ปป์และทะเลทรายในพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศติดกับประเทศมองโกเลียและไซบีเรียของรัสเซีย และป่าฝนกึ่งโซนร้อนในพื้นที่ชื้นทางใต้ซึ่งติดกับเวียดนาม ลาว และพม่า ส่วนภูมิประเทศทางตะวันตกนั้นขรุขระและเป็นที่สูง โดยมีเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาเทียนชานกั้นเป็นพรมแดนตามธรรมชาติกับประเทศอินเดีย เนปาล และเอเชียกลาง ในทางตรงกันข้าม แนวชายฝั่งด้านตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นที่ราบต่ำ และมีแนวชายฝั่งยาว 14,500 กิโลเมตร (ยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลก) ซึ่งติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางใต้ และทะเลจีนตะวันออกทางตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประเทศที่เป็นเกาะอยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี และญี่ปุ่น อารยธรรมจีนโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งอารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก เจริญรุ่งเรืองในลุ่มแม่น้ำเหลืองอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งไหลผ่านที่ราบลุ่มจีนเหนือ จีนยึดระบบการเมืองแบบราชาธิปไตยหลายสหัสวรรษ จีนรวมกันเป็นปึกแผ่นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฉินเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนราชวงศ์สุดท้าย ราชวงศ์ชิง สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1912 ด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ พร้อมกันกับการสถาปนาสาธารณรัฐจีนโดยพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมจีน ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคสมัยแห่งความแตกแยกและสงครามกลางเมืองซึ่งแบ่งประเทศออกเป็นค่ายการเมืองสองค่ายหลักคือ ก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ ความเป็นปฏิปักษ์ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนสาธารณรัฐจีน ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของก๊กมินตั๋งนั้น ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังไทเปบนเกาะไต้หวัน นับแต่นั้นมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งทางการเมือง กับสาธารณรัฐจีนเหนือปัญหาอธิปไตยและสถานะทางการเมืองของไต้หวัน นับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนตลาดเมื่อปี ค.ศ. 1978 ประเทศจีนได้กลายมาเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกทั้งในด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศราคาตลาดและความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ ตลอดจนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเทศจีนได้รับการจัดให้เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ประเทศจีนถูกจัดว่ามีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจของโลกโดยนักวิเคราะห์วิชาการ นักวิเคราะห์การทหาร ตลอดจนนักวิเคราะห์นโยบายสาธารณะและเศรษฐกิจภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก บนฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีพื้นที่บนบกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และถูกพิจารณาว่ามีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลขนาดนี้เกี่ยวข้องกับ (ก) ความถูกต้องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของจีน อย่างเช่น อัคสัยจินและดินแดนทรานส์คอราคอรัม (ซึ่งอินเดียอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งสองด้วยเช่นกัน) และ (ข) วิธีการคำนวณขนาดทั้งหมดโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือความจริงของโลกระบุไว้ที่ 9,826,630 กม. และสารานุกรมบริตานิการะบุไว้ที่ 9,522,055 กม. สถิติพื้นที่นี้ยังไม่นับรวมดินแดน 1,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งผนวกเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรัฐสภาทาจิกิสถานเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 ซึ่งยุติข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยาวนานนับศตวรรษ ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่ ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศจีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก ดินแดนจีนตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 18° และ 54° เหนือ และลองติจูด 73° และ 135° ตะวันออก ประกอบด้วยลักษณะภูมิภาพหลายแบบ ทางตะวันออก ตามแนวชายฝั่งที่ติดกับทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มตะกอนน้ำพาซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและกว้างขวาง ขณะที่ตามชายขอบของที่ราบสูงมองโกเลียในทางตอนเหนือนั้นเป็นทุ่งหญ้า ตอนใต้ของจีนนั้นเป็นดินแดนหุบเขาและแนวเทือกเขาระดับต่ำเป็นจำนวนมาก ทางตอนกลาง-ตะวันตกนั้นเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำสองสายหลักของจีน ได้แก่ แม่น้ำหวงและแม่น้ำแยงซี ส่วนแม่น้ำอื่นที่สำคัญของจีนได้แก่ แม่น้ำซี แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอามูร์ ทางตะวันตกนั้น เป็นเทือกเขาสำคัญ ที่โดดเด่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีจุดสูงสุดของจีนอยู่ทางครึ่งตะวันออกของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และที่ราบสูงอยู่ท่ามกลางภูมิภาพแห้งแล้ง อย่างเช่น ทะเลทรายทาคลามากันและทะเลทรายโกบี ประเด็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายโกบี ถึงแม้ว่าแนวต้นไม้กำบั้งซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จะช่วยลดความถี่ของการเกิดพายุทรายขึ้นได้ แต่ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้นและวิธีการทางเกษตรกรรมที่เลวส่งผลทำให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นทางตอนเหนือของจีนทุกฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจึงแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นของเอเชียตะวันออก รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมจีน (SEPA) ประเทศจีนกำลังกลายสภาพเป็นทะเลทรายราว 4,000 กม. ต่อปี น้ำ การกัดเซาะ และการควบคุมมลพิษได้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญในความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในเทือกเขาหิมาลัยยังได้นำไปสู่การขาดแคลนน้ำในประชากรจีนนับหลายร้อยล้านคน ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในฤดูหนาวและฤดูร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดูร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. จีนเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และตั้งอยู่ในสองเขตชีวภาพสำคัญของโลก เขตชีวภาพพาลีอาร์กติกและเขตชีวภาพอินโดมาลายา ในเขตพาลีอาร์กติกจะพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอย่างเช่น ม้า อูฐ สมเสร็จ และหนูเจอร์บัว ส่วนสปีชีส์ที่พบในเขตอินโดมาลายาเช่น แมวดาว ตุ่นพงสาลี กระแต ไปจนถึงลิงและเอปหลายสปีชีส์ สัตว์บางชนิดพบในเขตชีวภาพทั้งสองเนื่องจากการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติและการอพยพ และกวางหรือแอนติโลป หมี หมาป่า สุกรและสัตว์ฟันแทะสามารถพบได้ในทุกสภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน แพนด้ายักษ์ที่มีชื่อเสียงนั้นพบได้ในบริเวณจำกัดตามแม่น้ำแยงซี ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาที่กำลังดำเนินอยู่ในด้านการค้าสปีชีส์ใกล้สูญพันธุ์ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามกิจกรรมดังกล่าวแล้วก็ตาม ประเทศจีนมีป่าหลายประเภท ขอบเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีภูเขาและป่าสนเขตอากาศหนาว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์บางสปีชีส์ รวมไปถึง มูสและหมีดำเอเชีย นอกจากนี้ยังมีนกอีกราว 120 ชนิด ป่าสนชื้นมีชั้นไม้พุ่มเป็นไผ่ แทนที่โดยกุหลาบพันปีกลุ่มไม้จำพวกสนและยิวบนภูเขาที่สูงกว่า ป่าใต้เขตร้อน ซึ่งพบมากทางตอนกลางและตอนใต้ของจีน พบพรรณพืชจำนวนน่าพิศวงถึง 146,000 สปีชีส์ ป่าฝนเขตร้อนและป่าดิบแล้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขอบเขตเพียงมณฑลยูนนานและเกาะไหหนาน แต่มีพรรณพืชและพันธุ์สัตว์คิดเป็นหนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่พบในประเทศจีนสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. ประเทศจีนมีการวางกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติบางฉบับ เช่น กฎหมายป้องกันสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2522 ซึ่งส่วนใหญ่ยึดแบบมาจากกฎหมายสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งแวดล้อมยังคงเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ข้อบังคับนั้นค่อนข้างที่จะเข้มงวด แต่การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังคงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากชุมชนหรือรัฐบาลท้องถิ่นมักจะปล่อยปละละเลยอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่มุ่งให้ความสนใจกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่า หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับมานาน 12 ปี มีนครเพียงแห่งเดียวในจีนเท่านั้นที่กำลังมีความพยายามที่จะบำบัดน้ำเสีย ส่วนหนึ่งของรายจ่ายที่จีนต้องเสียเพื่อแลกกับความเฟื่องฟูที่เพิ่มขึ้นนั้นคือควมเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรน้ำ ชาวจีนราว 300 ล้านคนกำลังดื่มน้ำที่ไม่ปลอดภัยสำหรับบริโภค ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำที่กำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ 400 จาก 600 นครทั่วประเทศกำลังขาดแคลนน้ำ อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินกว่า 34,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดใน พ.ศ. 2552 ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศผู้นำการลงทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีนผลิตกังหันลมและแผงสุริยะต่อปีมากที่สุดในโลกประวัติศาสตร์สาธารณรัฐจีน (2455-2492) ประวัติศาสตร์. สาธารณรัฐจีน (2455-2492). การปฏิวัติซินไฮ่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์ชิงสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน. การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง" แผนเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ล้านคน ใน พ.ศ. 2509 เหมาและพันธมิตรทางการเมืองได้เริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งกินเวลาจนกระทั่งเหมาถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งทศวรรษถัดมา การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคและความกลัวสหภาพโซเวียต นำไปสู่ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสังคมจีน ใน พ.ศ. 2505 ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตเลวร้ายลงมากที่สุด เหมาและโจว เอินไหล พบกับริชาร์ด นิกสันในกรุงปักกิ่งเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติแทนที่สาธารณรัฐจีน และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2519 และการจับกุมตัวแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งถูกประณามว่าเป็นผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิงได้แย่งชิงอำนาจจากทายาททางการเมืองที่เหมาวางตัวไว้ หัว กั๋วเฟิง อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นประธานพรรคหรือประมุขแห่งรัฐ ในทางปฏิบัติแล้ว เติ้งเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในเวลานั้น อิทธิพลของเขาภายในพรรคนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ หลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์ได้ผ่อนปรนการควบคุมเหนือชีวิตประจำวันของพลเมืองและคอมมูนถูกยุบโดยชาวนาจำนวนมากได้รับที่ดินเช่า ซึ่งได้เป็นการเพิ่มสิ่งจูงใจและผลผลิตทางเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เหตุการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงจีนจากระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีสภาพเป็นตลาดเปิดเพิ่มมากขึ้น หรือที่บางคนเรียกว่า "ตลาดสังคมนิยม" และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียกมันอย่างเป็นทางการว่า "สังคมนิยมที่เป็นลักษณะเฉพาะของจีน" สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ในปี พ.ศ. 2532 การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทางการผู้สนับสนุนการปฏิรูป หู ย่าวปัง เป็นการจุดชนวนการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมดังกล่าวถูกปราบปรามลงเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางและนำไปสู่การประณามและการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลจีน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และนายกรัฐมนตรีจู หรงจี สองอดีตนายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนภายหลังเหตุการณ์เทียนอันเหมินในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ภายใต้การบริหารงานเป็นระยะเวลาสิบปีของทั้งสอง สมรรถนะทางเศรษฐกิจของจีนได้ช่วยยกระดับฐานะของชาวนาประมาณ 150 ล้านคนขึ้นจากความยากจนและรักษาอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไว้ที่ 11.2% ต่อปี จีนเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2544 ถึงแม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจีนได้เริ่มวิตกกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนี้จะมีผลกระทบในด้านลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลคือบางภาคส่วนของสังคมไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ ตัวอย่างหนึ่งคือช่องว่างใหญ่ระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ดังนั้น ภายใต้เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดปัจจุบัน ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เริ่มดำเนินนโยบายเพื่อที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาของการแจกจ่ายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แต่ผลที่ออกมานั้นยังสามารถพบเห็นได้ ชาวนามากกว่า 40 ล้านคนถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตน ซึ่งเป็นเหตุปกติธรรมดาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลกว่า 87,000 ครั้งในปี พ.ศ. 2548 สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของจีนแล้ว มาตรฐานการดำเนินชีวิตมองเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างมาก และเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การควบคุมทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความยากจนในชนบทการเมือง การเมือง. ประเทศจีนถูกพิจารณาโดยนักรัฐศาสตร์หลายคนว่าเป็นหนึ่งในห้ารัฐคอมมิวนิสต์สุดท้าย (เช่นเดียวกับเวียดนาม เกาหลีเหนือ ลาว และคิวบา) แต่การอธิบายลักษณะอย่างเรียบง่ายของโครงสร้างการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่อาจเป็นไปได้อีกตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ถูกอธิบายอย่างแพร่หลายว่าเป็นคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม แต่ยังรวมไปถึงเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งยังคงเหลือการควบคุมอย่างหนักในหลายพื้นที่ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ อินเทอร์เน็ต สื่อ เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ และเสรีภาพในการนับถือศาสนาทำให้ประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย เมื่อเทียบกับนโยบายปิดประเทศซึ่งดำเนินมาจนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 แล้ว การเปิดเสรีในสาธารณรัฐประชาชนจีนส่งผลทำให้บรรยากาศการบริหารประเทศลดระดับการจำกัดควบคุมลงกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังห่างจากเสรีประชาธิปไตยหรือสังคมประชาธิปไตยซึ่งเกิดขึ้นในยุโรปหรืออเมริกาเหนือโดยเฉพาะด้านเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่ และสภาประชาชนแห่งชาติ (หน่วยงานสูงสุดของรัฐ) ถูกอธิบายว่าเป็นหน่วยงาน "ประทับตรายาง" ตำแหน่งทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้นำรัฐบาลมักทับซ้อนกัน ตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดี เจียง เจ๋อหมิน เป็นต้นมา ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีนมักดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกตำแหน่งหนึ่งด้วยบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งอำนาจของพรรคนั้นอยู่ภายใต้บัญญัติของรัฐธรรมนูญจีน ระบบการเมืองนั้นเป็นแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางอย่างมาก โดยมีกระบวนการประชาธิปไตยที่จำกัดมากภายในพรรคและในระดับหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าการทดลองเหล่านี้จะถูกทำให้เสียหายโดยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ประเทศจีนมีพรรคการเมืองอื่นอยู่บางพรรค ซึ่งถูกกล่าวถึงในประเทศว่าเป็นพรรคประชาธิปไตย ซึ่งมีส่วนร่วมในสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) และสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีน (CPPCC) ขณะนี้มีการผลักดันบางอย่างเพื่อให้เกิดเสรีทางการเมือง โดยมีการเลือกตั้งที่มีการคัดค้านอย่างเปิดเผยในระดับหมู่บ้านและเมือง และในสภานิติบัญญัติก็ได้แสดงให้เห็นการยืนยันความคิดในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงควบคุมเหนือการแต่งตั้งรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการไม่มีคู่แข่งที่มีความหมาย พรรคคอมมิวนิสต์จึงชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอยเกือบจะทุกครั้ง ความกังวลทางการเมืองในประเทศจีนรวมไปถึงการลดช่องว่างที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจน และการต่อสู้การฉ้อราษฎร์บังหลวงในหมู่ผู้นำรัฐบาล ระดับการให้การสนับสนุนรัฐบาลและการบริหารจัดการในประเทศจีนนับว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยมีประชากรถึง 86% แสดงความพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และเศรษฐกิจของชาติตามการสำรวจของสำนักวิจัยพิวเมื่อปี พ.ศ. 2551ตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล และถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่ 23 ของตน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอำนาจการปกครองเหนือไต้หวันซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกคัดค้านโดยสาธารณรัฐจีน นอกจากนี้ยังแบ่งเขตการปกครองเป็นเขตปกครองตนเอง 5 แห่ง แต่ละแห่งมีชื่อตามชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่นั้น เทศบาลนคร 4 แห่ง และเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง ซึ่งมีสิทธิ์ปกครองตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง ดินแดนเหล่านี้อาจถูกเรียกรวมกันว่า "จีนแผ่นดินใหญ่" ซึ่งมักยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต ทางการไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศดำเนินมาด้วยความราบรื่นบนพื้นฐานของความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน และอยู่ภายใต้หลักการของผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของภูมิภาค ความร่วมมือกันของทั้ง 2 ได้ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นเมื่อจีนสามารถได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนทุกประเทศแล้ว ความสำคัญของประเทศไทยต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ได้ลดลงไปจากเดิม ความสัมพันธ์ในปัจจุบันจึงได้เน้นด้านการค้าและเศรษฐกิจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่างตอบแทนเป็นหลัก- การเมือง ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย - จีน มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคี และเวทีภูมิภาค เช่น การประชุมอาเซียนและจีน อาเซียน + 3 ARF ASEM เป็นต้น ในการเยือนจีนเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 ทางไทยและจีนต่างเห็นพ้องที่จะมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์และขอบข่ายความร่วมมือระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จหลายด้าน เช่น ความร่วมมือด้านยาเสพติด ด้านการเงิน การคลัง พาณิชย์นาวี รวมทั้งได้ลงนามความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย - จีน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย - จีน- เศรษฐกิจและการค้า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ได้มีการลงนามความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย -จีน ซึ่งช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีในการค้าสินค้าผักและผลไม้ (สินค้าพิกัดภาษี 07 08) ทั้งประเทศไทย และ จีน มีความพร้อมในการลดภาษีอยู่แล้ว ซึ่งได้มีผลยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า 116 รายการ ในพิกัดภาษี 07 08 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546- การค้าไทย และ จีน ในปี 2548 มีมูลค่า 20,343.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.31 ประเทศไทยส่งออก 9,183.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้า 11,159.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - การค้าไทย และ จีน ในปี 2549 มีมูลค่า 25,154.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.75 ประเทศไทยส่งออก 11,708.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 13,445.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ทางการจีนนำเข้าจากไทยที่สำคัญมากที่สุดคือ สายอากาศและเครื่องสะท้อนสัญญาณทางอากาศ พลาสติก มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ แผงวงจรไฟฟ้า ไม้ที่เลื่อยแล้ว ส่วนสินค้าที่จีนส่งออกมาไทยที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดร้อน เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์หรือโทรเลขแบบใช้สาย เงิน ตะกั่ว การลงทุนของไทยในจีนเมื่อปี 2548 ไทยลงทุนในจีนรวม 95.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร การนวดแผนไทย ส่วนการลงทุนของจีนในไทยในปีเดีวกัน จีนลงทุนในไทยรวม 2,286 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานการลงทุนที่จีนได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนมีจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ ประกอบด้วยกิจการก่อสร้าง การค้า ธนาคาร การแปรรูปโลหะ การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เครื่องจักร ร้านอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์- การทหาร - การท่องเที่ยวสภาพทางการทูตโดยสังเขปสภาพทางการทูตโดยสังเขป. - นโยบายทางการทูตของจีน - นโยบายทางการทูตของจีน - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา ญี่ปุ่น และรัสเซีย - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกา - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนรัสเซีย - องค์การระหว่างประเทศกับจีน - อาเซียนกับจีน - องค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้กับจีน - สหประชาชาติกับจีน - องค์การเอเปกกับจีน - องค์การการค้าโลกกับจีนกองทัพ กองทัพ. ตั้งแต่ก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492 กองทัพของประเทศจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็วกองทัพเรือ ตำรวจมีอาวุธในข้อตกลงที่แท้จริงของกองทัพแดง ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอาวุธที่มีนั้นส่วนใหญ่จะมาจากประเทศรัสเซีย จีนเพิ่มกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชียและอันดับที่ 4 ของโลก หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำให้สถานะของยุคหลังสงครามโลก หรือที่เรียกกันว่ายุคสงครามเย็นได้ยุติลง ได้ส่งผลให้ขั้วของการเป็นมหาอำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปสหรัฐอเมริกาเองปรารถนาที่จะเป็นขั้วอำนาจขั้วเดียวในโลกโดยดำเนินยุทธศาสตร์ที่มุ่งไปสู่ความเป็นมหาอำนาจชาติเดียว ในขณะเดียวกันประเทศที่ศักยภาพอย่างจีนได้พยายามที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ประเทศมหาอำนาจ โดยการเร่งพัฒนาหลาย ๆ ด้าน และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ การพัฒนาให้กองทัพมีศักย์ในการดำเนินสงครามโดยการปรับปรุงให้กองทัพให้มีความทันสมัยในช่วง 10 ปี แรกนั้น ภัยคุกคามหลักของจีนนั้นมุ่งไปที่สหภาพโซเวียต ในขณะที่ปัญหาไต้หวันยังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในระดับต่ำ ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2538 – 2539 (ค.ศ. 1995 – 1996) ปัญหาเกิดขึ้นบริเวณเกาะไต้หวัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายใน ทำให้ทิศทางของการพัฒนากองทัพมุ่งไปสู่การรองรับภัยคุกคามที่เกิดจากการพยายามแยกตัวของไต้หวันตั้งแต่ พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) เป็นต้นมา กองกำลังทางบกได้รับอาวุธและยุทโธปกรณ์พิเศษที่ใหม่ และหลากหลายที่จีนผลิตเองเข้าประจำการ เช่น รถถังหลัก รถถังสะเทินน้ำสะเทินบก รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่อัตตาจร อาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม อุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ กล้องมองกลางคืน อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ฯลฯเศรษฐกิจศักยภาพทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ศักยภาพทางเศรษฐกิจ. ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2492 จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางเหมือนโซเวียต ไม่มีภาคเอกชนหรือระบอบทุนนิยม เหมา เจ๋อตง เริ่มใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล เพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยและก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม แต่นโยบายนี้กลับถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม หลังจากที่เหมาเสียชีวิตและสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิง และผู้นำจีนรุ่นใหม่ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบผสมที่ให้ความสำคัญกับทุนนิยมมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ว่า 1ระบอบ 2ระบบ ตั้งแต่เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2521 เศรษฐกิจของจีนซึ่งนำโดยการลงทุนและการส่งออก เติบโตขึ้นถึง 70 เท่า และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ปัจจุบัน จีนมีจีดีพี (nominal) สูงเป็นอันดับสามของโลกที่ 30 ล้านล้านหยวน (4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่รายได้ต่อหัวมีค่าเฉลี่ยเพียง 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงยังคงตามหลังประเทศอื่นอีกนับร้อย อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และ ตติยภูมิ มีอัตราส่วนร้อยละ 11.3, 48.6 และ 40.1 ตามลำดับ และหากวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ จีนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จีนเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกและเป็นประเทศที่มีมูลค่าทางการค้าสูงเป็นอันดับสามรองจาก สหรัฐอเมริกาและเยอรมนีด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ 2.56 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าการส่งออก 1.43 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสอง) และมูลค่าการนำเข้า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสาม) จีนมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก (มากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์) และเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมของการลงทุนจากต่างชาติ โดยสามารถดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2550 เพียงปีเดียวการพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน. เมื่อราวๆ กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการวิพากษ์ในหนังสือพิมพ์จีนว่าด้วย การทบทวนและประเมินการพัฒนาอุตสาหกรรมจีนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนปัจจุบัน และเปรียบเทียบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหลังเปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลากหลายความเห็นที่น่าสนใจที่ไทยอาจต้องศึกษา เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ เนื่องจากประเทศจีนได้เริ่มพัฒนาตามแบบฉบับอุตสาหกรรมใหม่ (ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1) ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย และเกิดการชะงักงันเป็นเวลาหลายสิบปีจวบจนกลางศตวรรษที่ 20 และเกือบหยุดสนิทประมาณ 30 ปี เสร็จแล้วใช้เวลาอีก 20 ปี ในการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านของโลก นักวิชาการจีนดังกล่าวมีความเห็นว่า ที่จีนสามารถพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ เกิดจากกระแสความคิด 2 กระแส1. กระแสแรก จีนได้วางพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักไว้ตั้งแต่ต้นและไม่เคยละทิ้ง เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล เคมี จึงกลายเป็นพื้นฐานรองรับและประกันการพัฒนา 2. กระแสที่สอง ในช่วงที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ ว่าด้วยแนวทางที่จะนำเข้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีกลุ่มหนึ่งเห็นคล้อยตามคำแนะนำของประเทศที่พัฒนาแล้วสมัยนั้นว่า ควรที่จะพัฒนาตามขั้นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีจีนขณะนั้นล้าหลังอยู่มาก จึงเลือกนำเข้าเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับก่อนหน้าสมัยนั้น 5-10 ปี ถึงแม้เทคโนโลยีที่จีนใช้ในขณะนั้นจะล้าหลังในสากลโลก แต่ถือว่าทันสมัยมากสำหรับจีน ในการผลิตและจำหน่ายในตลาดของจีน ซึ่งรับความนิยมสูงมาก เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่า พื้นฐานทางวิชาการและเทคโนโลยีจีนพร้อมอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะก้าวกระโดดโดยซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ณ ขณะนั้น เช่น ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร เทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมเหล็ก ปรากฏในภายหลังว่า ทั้งสองกลุ่มได้พบจุดบรรจบกันในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 20 และนำมาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอีกระลอกดังที่เห็นกันขณะนี้ ผลและสภาพของการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของจีนที่เราได้เห็นทุกวันนี้ นักวิชาการจีนส่วนใหญ่มองว่าเป็นผลเกิดจากการปูพื้นฐานทางวิชาการและการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักตั้งแต่สมัยแรก กลายเป็นหลักประกันสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมเบา เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ให้พัฒนาอยู่บนขาของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ เช่น เหล็กและโลหะอื่นๆ พลาสติก และเคมี ที่เป็นพื้นฐานนำไปแปรรูปต่อจนจีนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระดับสูงดังที่เป็นอยู่ และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีและสิทธิบัตรตราสินค้าของตนเองการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. รัฐบาล ไทยและจีนได้ทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เมื่อเดือนสิงหาคม 2536 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการตลาดและการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่าง ประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศโดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเท่านั้น ประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกร่วมกับสิงคโปร์และมาเลเซียที่ได้รับอนุญาตให้ชาวจีน เดินทางออกไปท่องเที่ยวทัวร์จีน และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ ทำรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมาก โดยในขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเที่ยวจีนก็เพิ่มมากขึ้น โดยปี 2557 นักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวจีนจำนวน 613,100 คน(ครั้ง) ในปี 2557 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปประเทศไทยจำนวน 4,422,100 คน(ครั้ง) จีนเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเยอะที่สุดไปเที่ยวไทยโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมคมนาคมโทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. จีนเป็นประเทศเอกภาพที่มีหลายชนชาติ รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายทางชนชาติที่ให้ ชนชาติต่าง ๆ มีความเสมอภาค สมานสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เคารพและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและขนบธรรมเนียมของชนชาติส่วนน้อยระบบปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นระบบการเมืองอันสำคัญอย่างหนึ่งของจีน คือ ให้ท้องที่ที่มีชนชาติส่วนน้อยต่าง ๆ อยู่รวม ๆ กันใช้ระบบปกครองตนเอง ตั้งองค์กรปกครองตนเองและใช้สิทธิอำนาจปกครองตนเอง ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ ของรัฐ รัฐประกันให้ท้องที่ที่ปกครองตนเองปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของรัฐตามสภาพที่เป็นจริงในท้องถิ่นของตน ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ บุคลากรทางวิชาการและ กรรมกรทางเทคนิคชนิดต่าง ๆ ของชนชาติส่วนน้อยเป็นจำนวนมาก ประชาชน ชนชาติต่าง ๆ ในท้องที่ที่ปกครองตนเองกับประชาชนทั่วปแระเทศรวมศูนย์กำลังดำเนิน การสร้างสรรค์สังคมนิยมที่ทันสมัย เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องที่ที่ ปก ครองตนเองให้เร็วขึ้นและสร้างสรรค์ท้องที่ที่ปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยที่สมานสามัคคีกันและเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างการปฏิบัติเป็นเวลาหลายสิบปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ของจีนได้ก่อรูปขึ้นซึ่งทรรศนะและนโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาทางชนชาติหลายประการที่สำคัญได้แก่- การกำเนิด การพัฒนาและการสูญสลายของชนชาตินั้นเป็นกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ปัญหาชนชาติจะดำรงอยู่เป็นเวลานาน - ระยะสังคมนิยมเป็นระยะที่ชนชาติต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง ปัจจัย ร่วมกันระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ลักษณะพิเศษและข้อ แตกต่างระหว่างชนชาติต่าง ๆ จะดำรงอยู่ต่อไป - ปัญหาชนชาติเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทั่วสังคม มีแต่แก้ปัญหาทั่วสังคมให้ลุล่วง ไปเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างมีขั้นตอน มีแต่ในภารกิจร่วมกัน ที่สร้างสรรค์สังคมนิยมเท่านั้น ปัญหาทางชนชาติของจีนในปัจจุบันจึงจะได้รับการ แก้ไขอย่างมีขั้นตอนได้ - ชนชาติต่าง ๆ ไม่ว่ามีประชากรมากหรือน้อย มีประวัติยาวหรือสั้นและมีระดับ การพัฒนาสูงหรือต่ำ ต่างก็เคยสร้างคุณูปการเพื่ออารยธรรมของปิตุภูมิ จึงควรมีความ เสมอภาคทั้งนั้น ควรเสริมสร้างความสามัคคีอันยิ่งใหญ่ระหว่างประชาชนชนชาติต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและรักษาเอกภาพแห่งชาติ - การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่เป็นภาระหน้าที่มูลฐานแห่งสังคมนิยม และก็ เป็นภาระหน้าที่มูลฐานของงานชนชาติของจีนในขั้นตอนปัจจุบัน ชนชาติต่าง ๆ ต้องช่วย เหลือซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุซึ่งความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน การปกครองตนเองในเขตชนชาติส่วนน้อยเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อทฤษฎีชนชาติของลัทธิมาร์กซ และเป็นระบอบมูลฐานในการแก้ปัญหาชนชาติของจีนการพยายามสร้างขบวนเจ้าหน้าที่ชนชาติส่วนน้อยขนาดใหญ่ขนาดหนึ่งที่มีทั้งคุณธรรม และขีดความสามารถเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในการทำงานทางชนชาติให้ดีและแก้ปัญหาทางชนชาติให้ลุล่วงไปปัญหาทางชนชาติกับปัญหาทางศาสนามักจะผสมผสานอยู่ด้วยกันในท้องที่บาง แห่ง ขณะจัดการกับปัญหาทางชนชาติ ยังต้องสังเกตปฏิบัติตามนโยบายทางศาสนา ของรัฐอย่างทั่วด้านและถูกต้องนอกจากนี้ ในขณะเดียวกันกับที่พยายามส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษาตลอดจนภารกิจอื่นๆ ของเขตชนชาติส่วนน้อย ยกระดับชีวิตทาง วัตถุและวัฒนธรรมของประชาชนชนชาติส่วนน้อยอันไพศาลซึ่งรวมทั้งชาวศาสนาด้วยให้สูงขึ้น รัฐบาลจีนยังสนใจเคารพความเชื่อถือทางศาสนาของชนชาติส่วนน้อยและรักษา มรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติส่วนน้อยเป็นพิเศษ สำรวจ เก็บสะสม ศึกษา จัดให้เป็น ระเบียบและจัดพิมพ์จำหน่ายมรดกทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นเมืองของชนชาติต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาด้วย รัฐบาลยังได้ลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อซ่อมแซม วัดวาอารามและสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาอันสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในเขตชนชาติส่วนน้อยศาสนา ศาสนา. ประชาชนจีนมีทั้งสิ้น 56 ชนเผ่า ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนับถือนิกายมหายานและวัชรยานโดยนับถือปนไปกับลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋ากว่า 300 ล้านคน นอกนั้นนับถือนิกายเถรวาท มีนับถือศาสนาอิสลามกว่า 11 ล้านคน และนับถือศาสนาคริสต์อีก5.2 ล้านคนภาษา ภาษา. ภาษาจีนเป็นภาษาเก่าแก่และเป็นภาษาที่คนใช้มากที่สุดภาษาหนึ่ง เป็นภาษาหลักที่คนจีนใช้กันอยู่ ภาษามาตาฐานของภาษาจีน คือ ภาษาจีนกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวฮั่นใช้กันโดยทั่วไปเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างพื้นที่ต่างๆ และในชนเผ่าต่างๆ ของจีน แม้ชาวจีนทุกคนสามารถใช้ภาษาจีนได้ แต่จากการที่ประเทศจีนมีอาณาเขตที่กว้างขวางทำให้ท้องถิ่นต่างๆ มีภาษาพูดที่แตกต่างกัน โดยภาษาพูดที่ใช้กันในแต่ละท้องถื่นคือ ภาษาถิ่น ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อกันเฉพาะในท้องถื่น ภาษาท้องถื่นของจีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายภาษา เช่น ภาษาเหนือ ภาษาอู๋ ภาษาเซียง ภาษาก้าน ภาษาแคะ ภาษาหมิ่น ภาษาเย่ว์ ทั้งหมดนี้ภาษาเหนือเป็นภาษาที่มีการใช้กันมากที่สุดเมืองใหญ่ เมืองใหญ่. ดูรายชื่อทั้งหมดที่รายชื่อเมืองในจีนเรียงตามจำนวนประชากร อันดับเมืองขนาดใหญ่ 20 เมืองแรก จัดอันดับตามจำนวนประชากรกีฬาฟุตบอลมวยสากลวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมวรรณกรรมดนตรี และ นาฎศิลป์อาหารสื่อสารมวลชนวันหยุดวัฒนธรรม. วันหยุด. 1. วันขึ้นปีใหม่ (元旦) 2. วันตรุษจีน (春节) 3. วันเช็งเม้ง (清明节) 4. วันแรงงาน (劳动节) 5. วันไหว้บะจ่าง (端午节) 6. วันไหว้พระจันทร์ (中秋节) 7. วันชาติ (国庆节)
| ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็นกี่มณฑล | {
"answer": [
"22"
],
"answer_begin_position": [
347
],
"answer_end_position": [
349
]
} |
2,033 | 5,519 | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ "พระเกี้ยว" มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีมาแล้ว 17 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากหลายสถาบันจัดอันดับ ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย คุณภาพบัณฑิต คุณภาพด้านการวิจัย ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย คุณภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยในเขตเมือง และคุณภาพแยกตามรายวิชาอีก 27 รายวิชา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552 และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมากจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในส่วนของการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษานั้นพบว่า ผู้สมัครสอบที่ทำคะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปีส่วนใหญ่เลือกเข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษาในสังกัดของสถาบัน เพราะเมื่อแรกก่อตั้ง ที่ตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือว่าอยู่ไกลจากเขตพระนครซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญในขณะนั้น จึงมีการสร้างหอพักเพื่อให้ผู้เข้าศึกษาสามารถพักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัยและใช้คำว่า "นิสิต" ในภาษาบาลีที่แปลว่า "ผู้อยู่อาศัย" เรียกผู้เข้าศึกษา ด้วยมีลักษณะเช่นเดียวกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่อาศัยกับสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ของนักเรียนในระบบการศึกษาแบบโบราณ เช่น การฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักของบาทหลวงหรือวิทยาลัยแบบอาศัยของมหาวิทยาลัยในยุโรป ส่วนในประเทศไทย นักเรียนจะไปฝากตัวที่วัดเป็นศิษย์ของพระและอาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจึงใช้คำว่า "Matriculated Student" ที่แปลว่า "นักศึกษาที่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว" เรียกผู้เข้าศึกษา เช่นเดียวกับคำว่า "นิสิต" ทั้งนี้ ในอดีต โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้จบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนเพื่อสอบวิชาเป็นบัณฑิต แม้ว่าในปัจจุบันการคมนาคมจะสะดวกขึ้นอย่างมาก เขตปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร นิสิตไม่มีความจำเป็นต้องพักในหอพักนิสิตทุกคนอีกต่อไป แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาของสถาบันเช่นเดิม เมื่อกล่าวถึงคำว่า "สามย่าน" สามารถอนุมานถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เพราะอาณาเขตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดต่อกับสี่แยก 2 แห่ง คือแยกสามย่านและแยกปทุมวัน ทั้งสองแห่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานครและประเทศไทย เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์และศูนย์การค้าหลายแห่ง จนกลายเป็นภาพลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถูกใช้ในการแปรอักษรตอบโต้ ในงานงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ที่จัดขึ้นทุกปีระหว่างสองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทยคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ถือเป็นพิธีสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีขึ้นครั้งแรกในประเทศ บุคคลสำคัญจากหลายสาขาอาชีพได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก อาทิ เอกอัครราชทูตจากนานาประเทศ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ทำให้พิธีพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการหน้าที่นั่งของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์นับแต่นั้นเป็นต้นมา กล่าวคือหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่สามารถเสด็จได้ ก็จะเป็นการถวายปฏิญญาต่อพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์และรับพระราชทานปริญญาบัตรจากผู้แทนพระองค์ ธรรมเนียมนี้ได้ใช้ปฏิบัติในสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลทางกฎหมายก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 ถึง 4 ปี เพราะมีพระบรมราชโองการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2459 เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิและอำนาจอันชอบธรรมแก่มหาวิทยาลัย ในการประสาทปริญญาแก่นิสิตผู้สำเร็จการศึกษาอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกอบไปด้วย 19 คณะวิชา 1 สำนักวิชา ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ และมีหน่วยงานประเภท วิทยาลัย 3 แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย 1 แห่ง สถาบัน 14 แห่ง และสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน จำนวนหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 506 หลักสูตร ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 113 หลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา 393 หลักสูตร ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตรประวัติ ประวัติ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจาก “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (นับวันขึ้นปีใหม่แบบไทยคือ พ.ศ. 2441) ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยมีพระราชปรารภที่จะทรงจัดการปกครองพระราชอาณาจักรให้ทันกาลสมัย จึงจัดตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิดพระองค์ และด้วยประเพณีโบราณที่ข้าราชการจะถวายตัวเข้าศึกษางานในกรมมหาดเล็ก ก่อนที่จะออกไปรับตำแหน่งในกรมอื่น ๆ ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูงต่อไปในอนาคต ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานแก่พระราชวงศ์ และข้าราชการซึ่งเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานของโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง ความตอนหนึ่งดังนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะขยายการจัดการศึกษา เพื่อผลิตนักเรียนไปรับราชการในกระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ ไม่เฉพาะกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่ประกอบการเรียนการสอน และสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 พร้อมทั้ง พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริจัดตั้งขึ้น และได้ใช้เงินคงเหลือจากการที่ราษฎรเรี่ยรายกันเพื่อสร้างพระบรมรูปทรงม้า เป็นเงินจำนวน 982,672 บาท 47 สตางค์ มากกว่ามูลค่าการก่อสร้างพระบรมรูปทรงม้าถึงห้าเท่าตัว มาใช้เป็นทุนของโรงเรียนแห่งนี้ นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,309 ไร่เป็นเขตโรงเรียน โดยมีการจัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน (คณะในปัจจุบัน) ได้แก่ โรงเรียนรัฎฐประศาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา (โรงเรียนฝึกหัดครู) โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา (โรงเรียนกฎหมาย) และโรงเรียนยันตรศึกษา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้สังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการ ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ผู้มาร่วมงานพระราชพิธีวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน) เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 เวลา 16 นาฬิกา 7 นาที ดังนี้ ในระยะแรกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียบัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดับปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตปทุมวันและวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาในระดับปริญญาได้ หลังจากนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขยายการจัดการศึกษาโดยจัดตั้งคณะและแผนกอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ โดยการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมและแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน (คณะรัฐประศาสนศาสตร์เดิม) เข้าไว้ด้วยกัน แผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบัน) ระหว่าง พ.ศ. 2476–2486 การจัดการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีการโอนย้ายส่วนราชการออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. 2476 มีการโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) และ พ.ศ. 2486 มีการโอนย้ายคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ และแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ เพื่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ยังคงใช้สถานที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการศึกษาอยู่ ดังนั้น ทั้ง 3 คณะจึงโอนกลับมาเป็นคณะวิชาในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งในระยะต่อมา เมื่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านภาษาและหนังสือหลายประการ เช่น ยกเลิกการใช้อักษร "ฬ" ให้ใช้ "ร, ล" แทน และ ยกเลิกการใช้ "ณ" ให้ใช้ "น" แทน ดังนั้น จึงได้ปรากฏการเขียนชื่อมหาวิทยาลัยในรูปแบบอื่นอีก ได้แก่ "จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ใน พ.ศ. 2487 ก็มีการประกาศยกเลิกการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และให้กลับไปใช้การเขียนภาษาในรูปแบบเดิม การเขียนชื่อมหาวิทยาลัยจึงกลับเป็นแบบเดิม หลังจากนั้น ในช่วง พ.ศ. 2497 - พ.ศ. 2514 ยังสามารถพบการเขียนนามมหาวิทยาลัยว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ซึ่งไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่ "ณ" เช่น พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ฉบับที่ 4, 5 และ 6 ระหว่าง พ.ศ. 2486–2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นโดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก โดยมีการจัดตั้งคณะขึ้นใหม่หลายสาขา และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างกว้างขว้าง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และก่อตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและงานบริการทางวิชาการแก่สังคม สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย. - พระเกี้ยว เป็นพิจิตรเรขา (สัญลักษณ์) ประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงเรียนมหาดเล็กซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระเกี้ยวเป็นเครื่องหมายของโรงเรียน และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจนกระทั่งโรงเรียนได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - เพลงพระราชนิพนธ์ มหาจุฬาลงกรณ์ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 พระราชทานให้เป็นเพลงประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - เสื้อครุยพระราชทาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ใช้เสื้อครุยได้ โดยสีพื้นของสำรด นั้นแบ่งออกเป็น 3 สี ได้แก่ พื้นสำรด "สีเหลือง" สำหรับฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภก เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมราชจักรีวงศ์- จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากวังไกลกังวล ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ - สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัย คือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ จึงสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคลการบริหารงานนายกสภาผู้บัญชาการและอธิการบดี การบริหารงาน. ผู้บัญชาการและอธิการบดี. นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดี ดังรายพระนามและรายนาม ต่อไปนี้ หมายเหตุ คำนำหน้าพระนามหรือนามของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหรืออธิการบดี เป็นคำนำหน้าพระนามหรือนามในขณะดำรงตำแหน่งการศึกษา การศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเรียนและสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 19 คณะ 1 สำนักวิชา 3 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน 2 สถาบัน และยังมีสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน ในปีการศึกษา 2556 เปิดสอนด้วยจำนวนหลักสูตรทั้งหมด 506 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 113 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 9 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 230 สาขาวิชา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 39 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก 115 สาขาวิชา ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร ปัจจุบันประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการที่จัดการเรียนการสอน ได้แก่หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรนานาชาติ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติทั้งหมด 87 หลักสูตรส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษาส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษา. - บัณฑิตวิทยาลัย - วิทยาลัยประชากรศาสตร์ - วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี - วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข - สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - สถาบันภาษาสถาบันสมทบสถาบันสมทบ. - สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา, สภากาชาดไทย - วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติงานวิจัย งานวิจัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนงานที่มีวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเพื่อเป็นสถาบันวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้- สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ - สถาบันวิจัยพลังงาน - สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ - สถาบันวิจัยสังคม- สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม - สถาบันการขนส่ง - สถาบันเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ - สถาบันเอเชียศึกษา หน่วยงานที่สนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนำผลการศึกษาวิจัยออกสู่สังคมและหน่วยงานนอกมหาวิทยาลัย ส่วนหน่วยงานสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผลงานศึกษาวิจัยได้พัฒนาและนำไปสู่การจดสิทธิบัตรประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังสนับสนุนทุนสำหรับการสร้างหน่วยปฏิบัติการวิจัย (RU) และศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (CE) ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหน่วยปฏิบัติการวิจัยมากกว่า 100 หน่วย และมีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งในระดับชาติและมหาวิทยาลัยมากกว่า 20 ศูนย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กำหนดให้มีกลุ่มวิจัยหลักซึ่งเป็นการรวมศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักวิชาการที่มีเฉพาะเรื่องเข้ามาบูรณาการให้เป็นการวิจัยแบบสหศาสตร์ รวมทั้ง เน้นการบริหารจัดการการวิจัยที่เป็นองค์รวม มีการติดตามและประเมินผลแบบอัตโนมัติ โดยแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มวิจัยหลัก ได้แก่- กลุ่มวิจัยด้านพลังงาน - กลุ่มวิจัยด้านอาหารและน้ำ - กลุ่มวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ - กลุ่มวิจัยด้านสุขภาพ - กลุ่มวิจัยด้านสังคมผู้สูงวัย- กลุ่มวิจัยวัสดุขั้นสูง - กลุ่มวิจัยความมั่นคงมนุษย์ - กลุ่มวิจัยด้านพัฒนาสังคม - กลุ่มวิจัยด้านอาเซียนศึกษา - กลุ่มวิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติ ปี พ.ศ 2559 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากการจัดอันดับของ Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในฐานข้อมูล Web of Science ของสถาบัน ISI บริษัท Thomson Reuters จำนวน 1,567 เรื่อง และผลงานตีพิมพ์ฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier B.V. จำนวน 1988 เรื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยระดับนานาชาติของประเทศไทยในหลายด้าน เช่น องค์การอนามัยโลก เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และ สมาคมสถาบันการศึกษาชั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASAIHL) ศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกที่ตั้งอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีดังนี้- ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา - WHO Collaborating Centre for Medical Education ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ - WHO Collaborating Centre for Research in Human Reproduction ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์- ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน - WHO Collaborating Centre for Research and Training on Viral Zoonoses ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ - WHO Collaborating Centre for Health Economics ตั้งอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมพัฒนาการสาธารณสุข - WHO Collaborating Centre for Research and Training in Public Health Development ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขทรัพยากรวิชาการ ทรัพยากรวิชาการ. ระบบการให้บริการทางวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสำนักงานวิทยทรัพยากรเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการในหลายลักษณะ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่ให้บริการทางวิชาการ เช่น สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุด (Chulalinet) และ CHULA MOOCสำนักงานวิทยทรัพยากร สำนักงานวิทยทรัพยากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเริ่มมีการให้บริการทางวิชาการขึ้นในมหาวิทยาลัยแก่บุคลากร นิสิตและประชาชนทั่วไปตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นใน พ.ศ. 2453 และมีพัฒนาการด้านการบริการไปพร้อมกับการวิวัฒน์ขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นการรองรับกิจการที่กว้างขวางขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ใน พ.ศ. 2458 ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลางและขยายการบริการทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยการรวมหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน คือ หอสมุดกลาง ศูนย์เอกสารประเทศไทย และศูนย์โสตทัศนศึกษากลาง เมื่อสถาบันวิทยบริการมีการขยายงานบริการที่หลากหลายขึ้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานวิทยทรัพยากรพร้อมทั้งปรับการบริหารภายในองค์กร สำนักงานวิทยทรัพยากรตั้งอยู่ที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ บนพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ปัจจุบัน สำนักงานวิทยทรัพยากรประกอบด้วย 1 ฝ่าย และ 8 ศูนย์ดังนี้- ฝ่ายบริหาร (Administrative Division) - ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศ (Collection Development & Information Resource Analysis Center) - ศูนย์เครือข่ายห้องสมุดดิจิทัลจุฬาฯ (CU Digital Library Center) - ศูนย์มรดกภูมิปัญญา จุฬาฯ (CU Intellectual Heritage Center) - ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Center for Media Development Innovation and Technology) - ศูนย์บริการสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และวิจัย (Information Service for Learning and Research Center) - ศูนย์จัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resources Management Center) - ศูนย์สารสนเทศนานาชาติ (International Information Center) - ศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center)หอสมุดกลาง หอสมุดกลาง. หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ "หอกลาง" ตั้งอยู่ภายในอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ เป็นอาคารสูง 7 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยห้องสมุดสาขาวิชาและหน่วยงานอื่น ๆ ดังนี้- ชั้น 1 เป็นชั้นอำนวยการบริการต่าง ๆ เช่น บริการยืม-คืน บริการถ่ายเอกสาร บรรณารักษ์ - ชั้น 2 เป็นพื้นที่อ่านหนังสือและห้องสืบค้นกลุ่ม ส่วนวิทยานิพนธ์ งานวิจัยและหนังสืออ้างอิงได้ย้ายสถานที่ให้บริการไปยังอาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา หรืออาคารจามจุรี 10 - ชั้น 3 ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ศูนย์สัมผัสวัฒนธรรมจีน สถาบันขงจื่อศึกษา - ชั้น 4 ห้องหนังสือมนุษยศาสตร์และวรรณกรรม ห้องหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - ชั้น 5 ห้องหนังสือสังคมศาสตร์ ศูนย์สารสนเทศนานาชาติ ศูนย์รัสเซียศึกษา - ชั้น 6 ศูนย์มรดกภูมิปัญญา ห้องหนังสือหายาก ศูนย์เอกสารประเทศไทย ห้องสิ่งพิมพ์พิเศษ - ชั้น 7 หอศิลปวิทยนิทรรศน์ระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ. ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้ทุก ๆ แขนงแก่บุคลากร นิสิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกทั้งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญของการศึกษาวิจัยในองค์กร ด้วยการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงสามารถขยายบริหารทางวิชาออกไปได้อย่างกว้างขวาง อาทิ- เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalinet) เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุดเป็นระบบเครือข่ายห้องสมุดบนอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดอัตโนมัติแห่งแรกของประเทศไทย ระบบนี้ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ของห้องสมุดทุกแห่งภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ช่วยให้บุคลากร นิสิตและประชาชนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ทันทีที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต- คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทยเป็นแหล่งจัดเก็บและให้บริการสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเป็นภูมิปัญญาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในรูปแบบดิจิตอล จำพวกผลงานวิจัยทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย รวมถึงการเข้าถึงหนังสือทุกประเภทที่ได้รับการจัดเก็บเป็นสื่อดิจิตอลด้วย เนื่องจากคลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย ให้บริการผ่านเครื่อข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งพึ่งพาทางวิชาการที่สำคัญของประชาชน- ฐานข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัย (CU Reference Databases) เป็นแหล่งรวบฐานข้อมูลวิชาการสาขาต่าง ๆ จำนวนมากโดยกำหนดให้ใช้งานฐานข้อมูลที่บอกรับผ่านเครือค่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CUNet) บุคคลภายนอกสามารถใช้งานได้ที่คอมพิวเตอร์ที่ต่อกับเครื่อข่ายของมหาวิทยาลัยเท่านั้น- ฐานข้อมูลศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center Database) เป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลเอกสาร บทความ วิทยานิพนธ์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าถึงต้นฉบับเอกสารทางวิชาการที่ได้ศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของประเทศไทย และสามารถเข้าสืบค้นด้วยตนเองที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์- จุฬาวิทยานุกรม (Chulapedia) จุฬาวิทยานุกรมเป็นระบบสารานุกรมออนไลน์ สามารถสืบค้นเนื้อหาด้วยคำสำคัญ (Keyword) ซึ่งแก้ไขพัฒนาบทความโดยคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเปิดให้ประชาชนใช้บริการสืบค้นได้แต่ไม่สามารถร่วมแก้ไขพัฒนาบทความได้- ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี มีหน้าที่ผลิตสื่อวิดีทัศน์ สื่อผสมรูปแบบสื่อใหม่ สื่อภาพถ่ายดิจิทัล สื่อเสียง สื่อกราฟิก ให้แก่มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาสื่อยังมีหน่วยผลิตสื่อเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อไปบันทึกกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ และส่งสัญญาณภาพและเสียงนำมาถ่ายทอดรายการ ผ่านระบบเครือข่าย ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมรายการสำคัญ ๆ ได้ทุกที่ที่มีสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำกัดสถานที่ หรือสามารถรับชมผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ (Mobile Device) ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เช่น พิธีพระราชทานปริญญาบัตร งานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 42 และงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 16 หรืองานวิศิษฏศิลปินสรรพศิลป์สโมสร เป็นต้นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้. เป็นศูนย์สนับสนุนทางนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่สนับสนุนเทคโนโลยีในการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นแหล่งนำองค์ความรู้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งจากคณาจารย์ บุคลากรและนิสิต สู่สังคมไทยและนานาชาติ เพื่อนำสังคมสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต บริการด้านวิชาการในส่วนนี้คือ "ห้องสมุดออนไลน์" ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์CHULA MOOC CHULA MOOC. CHULA MOOC หรือ "จุฬาฯ มูค" เป็นคอร์สเรียนออนไลน์แบบไม่จำกัดบุคคล สถานที่ และเวลา ผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นให้บริการ เข้าถึงได้โดยไม่คิดค่าใช่จ่ายใด ๆ เมื่อเรียนสำเร็จในแต่ละคอร์สจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมอบประกาศนียบัตร (Certificate of Completion) ให้แก่ผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ตามที่รายวิชากำหนดไว้ เข้าถึง CHULA MOOC ได้ผ่านทางเว็บไซต์สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังให้บริการทางวิชาการแก่ประชาชนทั่วไปผ่านการออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz อีกหนึ่งช่องทางด้วย โดยสถานีวิทยุจุฬาฯ เป็นสถานีวิทยุเพื่อการศึกษา มีการเผยแพร่เอกสารสื่อการสอนบนเว็บไซต์ของสถานีเป็นจำนวนมาก และมีการจัดรายการข่าวสารเชิงวิชาการ ให้ความรู้แก่ผู้ฟังตลอดช่วงเวลา 06.00-23.59 น. และยังเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพื่อการสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในทุก ๆ ปี สถานีวิทยุจุฬาฯ จะจัดสอนพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและถ่ายทอดภาพและเสียงไปทั่วประเทศ ภายใต้รายการชื่อว่า "เปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย" โดยจัดขึ้นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัยการประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย. การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย. เมื่อ พ.ศ. 2549 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศ ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย นอกจากนี้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้เข้าประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับรองมาตรฐานในระดับดีมากแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดย สกว. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยครั้งที่ 3 ในปีพ.ศ. 2554 พบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการประเมินในระดับ 5 หรือในระดับดีเยี่ยมในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มสาขาเทคโนโลยี กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร และสัตวแพทยศาสตร์ และกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอันดับมหาวิทยาลัย อันดับมหาวิทยาลัย. นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่การจัดอันดับโดย Academic Ranking of World Universities การจัดอันดับโดย Academic Ranking of World Universities. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย Academic Ranking of World Universities หรือ ARWU ประจำปี 2017 จัดโดยมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทงของประเทศจีน โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงในวารสารชั้นนำของโลก ศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ เป็นต้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 401-500 ของโลกการจัดอันดับโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies การจัดอันดับโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies หรือ CWTS Leiden University ประจำปี 2017 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารที่ปรากฏชื่ออยู่ในฐานข้อมูล Web of Science database จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 458 ของโลกการจัดอันดับโดย Center for World University Rankings การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings. การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings หรือ CWUR ที่มีเกณฑ์การจัดอันดับคือ คุณภาพงานวิจัย ศิษย์เก่าที่จบไป คุณภาพการศึกษา คุณภาพของอาจารย์ และภาควิชาต่าง ๆ ประจำ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 308 ของโลกการจัดอันดับโดย Nature Index การจัดอันดับโดย Nature Index. Nature Index เป็นดัชนีชี้วัดผลผลิตด้านการวิจัย จัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group จัดอันดับทั้งสถาบันวิจัยและสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก สำหรับปี 2017 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย การจัดอันดับโดย. แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ British Quacquarelli Symonds (QS) เป็นบริษัทจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีการจัดอันดับครอบคลุมในหลายมิติ เช่น การจัดอันดับเป็นระดับโลก (QS World University Rankings) ระดับทวีปเอเชีย (QS University Rankings: Asia) การจัดอันดับแยกตามคณะ (QS World University Rankings by Faculty) การจัดอันดับแยกตามรายวิชา (QS World University Rankings by Subject) การจัดอันดับคุณภาพบัณฑิต (QS Graduate Employability Rankings 2017) เป็นต้น QS World1. ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา 2. การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ 3. งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี 4. H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 245 ของโลก น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ QS Asia1. ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ 2. การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์) 3. อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา 4. การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน Scopus และ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้น ๆ เอง 5. บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์) 6. สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) 7. สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์) โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 50 ของเอเชียการจัดอันดับโดย QS World University Rankings by Subject การจัดอันดับโดย QS World University Rankings by Subject. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของ QS World University Rankings by Subject ประจำ พ.ศ. 2561 แบ่งการประกาศออกเป็น 2 แบบ คือ 1) แบบสาขาวิชาเฉพาะ 2) แบบกลุ่มสาขาวิชา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสาขาเฉพาะ และกลุ่มสาขาวิชาติดอันดับโลกมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีสาขาวิชาเฉพาะที่ติดอันดับโลก 22 สาขา และติดอันดับโลกทั้ง 5 กลุ่มสาขาวิชาที่ QS ทำการจัดอันดับ โดยเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย 4 กลุ่มสาขาวิชาจาก 5 กลุ่ม และเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย 1 กลุ่มสาขาวิชา อันดับที่ 48 ของโลก- สาขา Mineral & Mining Engineering โดยเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้ อันดับที่ 51 – 100 ของโลก- สาขา Chemical Engineering อันดับที่ 101 – 150 ของโลก- Accounting & Finance (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Architecture / Built Environment - Environmental Sciences - Geography (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Modern Languages - Pharmacy & Pharmacology - Politics & International Studies (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) อันดับที่ 151 – 200 ของโลก- Business & Management Studies - Chemistry - Civil & Structural Engineering - Electrical & Electronic Engineering - Linguistics - Materials Science (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering - Medicine - Sociology (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) อันดับที่ 201 – 250 ของโลก- Biological Sciences - Computer Science & Information Systems - Economics & Econometrics อันดับที่ 300 – 350 ของโลก- Physics & Astronomy (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย จำนวน 19 สาขาวิชา ดังนี้ สาขา Accounting & Finance, Architecture / Built Environment, Biological Sciences, Business & Management Studies, Chemical Engineering, Chemistry, CiviI & Structural Engineering, Computer Science & Information System, Economics & Econometrics, Electrical & Electronic Engineering, Environmental Science, Geography, Linguistics, Materials Science, Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering, Mineral & Mining Engineering, Modern Languages, Physics & Astronomy, Politics & International Studies, Sociologyการจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2017 การจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2017. เป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยและอยู่ในช่วงอันดับ 251-300 ของโลกการจัดอันดับโดย Round University Rankings การจัดอันดับโดย Round University Rankings. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2018 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (A Ranking of Leading World Universities มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 465 ของโลก การจัดอันดับ RUR Reputation Rankings 2017 ซึ่งเป็นการจัดอันดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยพบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 194 ของโลก การจัดอันดับ RUR Research Performance World University Rankings 2016 ซึ่งเน้นไปที่ศักยภาพการทำวิจัยพบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 424 ของโลกการจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking. อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ใน พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 456 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย The Times Higher Education การจัดอันดับโดย The Times Higher Education. การจัดอันดับโดย The Times Higher Education หรือ THE ที่จัดอันดับ มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มีเกณฑ์การจัดอันดับในด้าน คุณภาพการสอน สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน คุณภาพงานวิจัย ปริมาณ รายได้ และชื่อเสียงของงานวิจัย การอ้างอิงในงานวิจัย การนำงานวิจัยของสถาบันไปใช้อ้างอิง ความเป็นนานาชาติ และ รายได้ทางอุตสาหกรรม ใน พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ช่วงอันดับที่ 601-800 เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance. อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP พ.ศ. 2559-2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และอันดับ 474 ของโลก โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิงการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report การจัดอันดับโดย U.S. News & World Report. U.S. News & World Report นิตยสารการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุด “Best Global Universities Rankings 2018” จากการสำรวจมหาวิทยาลัย 60 ประเทศทั่วโลก และมีเกณฑ์จัดอันดับหลายด้าน เช่น ชื่อเสียงการวิจัยในระดับโลก และระดับภูมิภาค สื่อสิ่งพิมพ์ การถูกนำไปอ้างอิง ความร่วมมือระหว่างประเทศ จำนวนบุคลากรระดับปริญญาเอก เป็นต้น โดยมีมหาวิทยาลัยของไทยติดอันดับ 6 แห่ง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย และอันดับที่ 539 ของโลกการจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking. เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ในรอบ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 2 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 90 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของไทย อันดับที่ 16 ของโลกในการจัดอันดับประเภทมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองการจัดอันดับโดย Webometrics การจัดอันดับโดย Webometrics. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำ พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วย Search Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 548 ของโลกพื้นที่มหาวิทยาลัย พื้นที่มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพื้นที่ทั้งหมด 1,153 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา 595 ไร่ พื้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ 184 ไร่ และพื้นที่เขตพาณิชย์ 374 ไร่ โดยแต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดมี 1,309 ไร่ แต่ในปัจจุบันวัดได้ 1,153 ไร่ เพราะตัดที่ดินส่วนที่ใช้เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปพื้นที่การศึกษา พื้นที่การศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพื้นที่การศึกษา 595 ไร่ แบ่งออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งอยู่บริเวณ แขวงวังใหม่และแขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ส่วนที่ 1 ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน ประกอบด้วย สระน้ำ สนามรักบี้ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ อาคารมหาวชิราวุธ ศาลาพระเกี้ยว ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (สาขาศาลาพระเกี้ยว) ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สาขาศาลาพระเกี้ยว) หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ตึกจักรพงษ์) อาคารจุลจักรพงษ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ สถาบันภาษา สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา และสถาบันการขนส่ง พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สถานีสามย่าน ส่วนที่ 2 ฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ ประกอบด้วย สำนักงานมหาวิทยาลัย (กลุ่มอาคารจามจุรี 1-5, 8-9) บัณฑิตวิทยาลัย สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (อาคารศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ฟิตเนสเซ็นเตอร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ ศูนย์วิทยทรัพยากร สถานีวิทยุจุฬาฯ โรงพิมพ์จุฬาฯ ธรรมสถาน สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารวิทยพัฒนา อาคารแว่นแก้ว อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10) หอพักศศนิเวศ อาคารศศปาฐศาลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ส่วนที่ 3 ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันนออกของถนนพญาไท ทิศใต้ของถนนพระรามที่ 1 ด้านหลังสยามสแควร์ อยู่ในแขวงปทุมวัน ประกอบด้วย คณะทันตแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ โอสถศาลาหรือสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชนของคณะเภสัชศาสตร์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข อาคารวิทยกิตติ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์หนังสือจุฬาฯและสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามด้านถนนพระรามที่ 1 ส่วนที่ 4 ทิศตะวันออกของถนนอังรีดูนังต์ ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน บริเวณตั้งแต่สี่แยกศาลาแดง จนถึงสี่แยกอังรีดูนังต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของสภากาชาดไทย โดยมีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทยและสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันสมทบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดงและรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สถานีสีลม บริเวณสี่แยกศาลาแดง ส่วนที่ 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพื้นที่ส่วนนี้คืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (พลศึกษา) และกรมพลศึกษา ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ คือ พื้นที่บริเวณระหว่างห้างมาบุญครอง และสนามกีฬาแห่งชาติ ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาพัฒน์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะสหเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะจิตวิทยา ศูนย์วิทยาศาตร์ฮาลาล และอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ส่วนที่ 6 คือ พื้นที่ภายในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน) ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาวิชช์ อันเป็นส่วนขยายของคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะจิตวิทยา และโครงการขยายโอกาสอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พื้นที่ส่วนนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไทจึงอยู่ในแขวงปทุมวัน ในส่วนพื้นที่การศึกษานี้ มีต้นไม้สำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรวม 6 ต้น ได้แก่ ต้นจามจุรีพระราชทาน 5 ต้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปลูกไว้บริเวณเสาธง หน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท และต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งอยู่บริเวณระหว่างอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ (หอสมุดกลาง) และอาคารจามจุรี 5 ใกล้คณะครุศาสตร์ ทางฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท นอกจากนี้ บริเวณพื้นที่ลานจอดรถศาลาพระเกี้ยวด้านคณะเศรษฐศาสตร์ ทุก ๆ วันศุกร์ (หรือตามแต่กรรมการสโมสรอาจารย์เป็นผู้กำหนด) จะจัดเป็นตลาดนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกกันว่า "ตลาดพิกุล" เนื่องจากพื้นที่นั้นมีต้นพิกุล กิจกรรมดังกล่าวดำเนินการโดยสโมสรอาจารย์พื้นที่ให้ส่วนราชการเช่าใช้ พื้นที่ให้ส่วนราชการเช่าใช้. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับให้หน่วยงานราชการเช่าใช้ เป็นจำนวน 184 ไร่ ได้แก่- กรีฑาสถานแห่งชาติ เป็นสนามกีฬาแห่งชาติของประเทศไทย อยู่ในความดูแลของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยส่งคืนสถานที่บางส่วนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา กรมพลศึกษาใช้อาคารสถานที่ในส่วนที่ยังเช่าอยู่เพื่อเป็นที่ทำการของกรมฯ ตลอดจนสมาคมหรือองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา และนันทนาการต่าง ๆ เช่น คณะลูกเสือแห่งชาติ มีสนามหลัก ๆ ได้แก่ สนามศุภชลาศัย สนามเทพหัสดิน สนามจินดารักษ์ - โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาที่จัดการเรียนการสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย - โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน โรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย - สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน - สถานีดับเพลิงบรรทัดทองพื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม. เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวลาต่อมา) พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นที่ปลูกสร้างสถานศึกษาและอีกส่วนหนึ่งให้ใช้จัดหาผลประโยชน์เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนซึ่งจะต้องเติบโตขึ้นในอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว โดยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยในเขตปทุมวัน มีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา 595 ไร่ พื้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ 184 ไร่ และพื้นที่เขตพาณิชย์ 374 ไร่ รวม 1,153 ไร่ โดยแต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดมี 1,309 ไร่ แต่ในปัจจุบันวัดได้ 1,153 ไร่ เพราะตัดที่ดินส่วนที่ใช้เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไป พื้นที่พาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นแยกออกจากพื้นที่การศึกษาเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน โดยพื้นที่เขตพาณิชย์จะเป็นส่วนมุมของที่ดินซึ่งมีถนนสายสำคัญตัดผ่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่การเดินทางและการค้าขาย โดยมีพื้นที่พาณิชย์ทั้งหมด 374 ไร่ ปัจจุบันสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์เหล่านี้- สยามสแควร์ เป็นศูนย์การค้าแนวราบและเปิดโล่ง มีเนื้อที่ 63 ไร่ มีพื้นที่อยู่ระหว่างสี่แยกปทุมวันและทางแยกเฉลิมเผ่า มีถนนพญาไทตัดผ่านทางทิศตะวันตก ถนนพระรามที่ 1 ตัดผ่านทางทิศเหนือและถนนอังรีดูนังต์ตัดผ่านทางทิศตะวันออก ตรงข้ามศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์และวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ยังมีทางวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีสยาม ตั้งอยู่เหนือผิวถนนพระรามที่ 1 ในบริเวณนี้ด้วย - เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ บริษัท เอ็มบีเค พรอพเพอร์ตีส์ แอนด์ ดีเวลอปเมนต์ จำกัด เช่าที่ดินจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อทำเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 89,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณมุมถนนพญาไทและถนนพระรามที่ 1 หรือแยกปทุมวัน มีพื้นที่ติดกับกรีฑาสถานแห่งชาติและตรงข้ามกับหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในบริเวณนี้มีทางวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีสนามกีฬาแห่งชาติตั้งอยู่เหนือผิวถนนพระรามที่ 1 - จัตุรัสจามจุรี เป็นศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ ตั้งอยู่บนมุมถนนพญาไทกับถนนพระรามที่ 4 หรือทางแยกสามย่านฝั่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรงข้ามวัดหัวลำโพง พระอารามหลวง จัตุรัสจามจุรีมีทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้ามหานคร สถานีสามย่าน นับเป็นการเชื่อมต่อกับอาคารแห่งแรกของไทย - ตลาดสามย่าน เป็นตลาดสดในพื้นที่สามย่าน มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นตลาดสดและชั้นบนเป็นร้านอาหาร มีพื้นที่ใช้สอย 6,200 ตารางเมตร เดิมเคยตั้งอยู่ที่แยกสามย่านติดกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปตั้งอยู่ด้านหลังสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซอยจุฬาลงกรณ์ 9 ใกล้กับสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันและสถานีดับเพลิงบรรทัดทอง - แอมพาร์ค เป็นศูนย์การค้าแบบเปิดโล่งตั้งอยู่ด้านข้างอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่พาณิชกรรม สวนหลวง-สามย่าน - สยามสแควร์วัน ศูนย์การค้าในพื้นที่สยามสแควร์ สร้างบนพื้นที่ 8 ไร่ ที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์สยามที่ถูกไฟไหม้เสียหายไปเมื่อ พ.ศ. 2553 สยามสแควร์วันมีพื้นที่ใช้สอย 74,100 ตารางเมตร สวนลอยฟ้าที่ชั้นดาดฟ้าสยามสแควร์วันเป็นพื้นที่สาธารณะลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยชื่อว่า สยามกรีนสกาย (Siam Green Sky) - เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ ศูนย์การค้าในพื้นที่สยามสแควร์ สร้างบนพื้นที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เดิมในชื่อ ดิจิตอล เกตเวย์ (Digital Gateway) โดยเป็นการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทีซีซีแลนด์- สยามกิตติ์ พื้นที่ให้เช่าทำการค้าปลีก สถาบันกวดวิชา ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและพื้นที่จอดรถ- โรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ สยามสแควร์ เป็นโรงแรมในเครือโนโวเทล ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สยามสแควร์ มีห้องพักทั้งหมด 423 ห้อง- พื้นพาณิชยกรรม สวนหลวง-สามย่าน ด้านหลังพื้นที่การศึกษาฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วยอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจุดกึ่งกลางของเขตพาณิชบริเวณนี้ ทิศเหนือของอุทยานเป็นที่ตั้งของตลาดสามย่านแห่งใหม่ แหล่งธุรกิจอะไหล่เก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร ร้านอาหารและสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ทิศเหนือของอุทยาน 100 ปี เป็นที่ตั้งของย่านพาณิชกรรมแห่งใหม่ คือ สวนหลวงสแควร์ และ CU Sport Zone เป็นแหล่งรวมร้านอุปกรณ์กีฬา ทั้งนี้การก่อสร้างอุทยาน 100 ปี เป็นการลดพื้นที่พาณิชกรรมเก็บรายได้ลงกว่า 29 ไร่ - อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่นันทนาการสาธารณะให้กับชุมชนสวนหลวง-สามย่านและบรรทัดทอง และเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแบบให้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำของกรุงเทพมหานคร มีแนวพื้นที่รับน้ำ (Rain Garden) และระบบระบายน้ำใต้ดินพื้นที่ต่างจังหวัด พื้นที่ต่างจังหวัด. นอกจากพื้นที่ในกรุงเทพมหานครแล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีพื้นที่การศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ (ไม่ใช่วิทยาเขต) ได้แก่- พื้นที่จังหวัดนครปฐม พื้นที่จังหวัดนครปฐมเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 หลังจากการโอนย้ายคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับคืนมาเป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพลเอก ประภาส จารุเสถียร อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ปรารภว่า "การโอนคณะสัตวแพทยศาสตร์โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น การโอนก็ไม่มีความหมาย" ดังนั้น จึงได้โอนที่ดินของกระทรวงมหาดไทยที่ขณะนั้นว่างเปล่าอยู่ 79 ไร่ ในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เพื่อจัดเป็นไร่ฝึกแก่นิสิตใช้ฝึกปฏิบัติวิชาสัตวบาลจนพัฒนาเป็น "ศูนย์ฝึกนิสิตคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" และ "โรงพยาบาลปศุสัตว์" ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงขอใช้ชื่อว่า "ไร่ฝึกนิสิตจารุเสถียร" นอกจากจะใช้พื้นที่สำหรับสนับสนุนการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัย และตรวจรักษาปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงของประชาชนแล้ว คณะสัตวแพทยศาสตร์ยังใช้ผลผลิตฟาร์มเป็นผลพลอยได้จำหน่ายเป็นสวัสดิการให้อาจารย์-บุคลากรของคณะและมหาวิทยาลัย- พื้นที่จังหวัดน่าน พื้นที่จังหวัดน่านเป็นที่ตั้งของ "ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการเครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" สำหรับให้บริการการศึกษาเรียนรู้สำหรับนิสิตโดยเฉพาะในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณทิต สาขาวิชาการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร ประกอบด้วย อาคารวิชชาคาม 1 อาคารวิชชาคาม 2 และกลุ่มอาคารชมพูภูคา- พื้นที่จังหวัดสระบุรี การพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เขตอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2532 โดยมีพื้นที่ทั้งหมดรวม 3,364 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์ 2,632 ไร่ และพื้นที่ที่มูลนิธินิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ใช้ประโยชน์ 732 ไร่ โดยมีการแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น 5 เขต ได้แก่ เขตพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ เขตศูนย์วิจัยเฉพาะทาง เขตโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-สระบุรี เขตบริการวิชาการและการศึกษา และเขตบริหารจัดการ โดยได้รับความร่วมมือจาก 6 คณะที่จะเข้าไปจัดทำโครงการในเขตพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ คณะเภสัชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ พื้นที่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงพื้นที่ใช้สนับสนุนการสอนและการวิจัยเท่านั้น มิได้มีสถานะเป็นวิทยาเขต เพราะมหาวิทยาลัยมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่จัดตั้งวิทยาเขต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต้องเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยแห่งอื่น เช่น พระตำหนักดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่, พระจุฑาธุชราชฐานและพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีสถาปัตยกรรมที่สำคัญ สถาปัตยกรรมที่สำคัญ. ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีพัฒนาการทางด้านกายภาพมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่เป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้เขตมหาวิทยาลัยมีอาคารและกลุ่มอาคารที่แสดงถึงแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต จุลาสัย กรรมการสภาสถาปนิกและอดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยกล่าวว่า อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ เป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2457 เพื่อเป็นตึกบัญชาการของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในช่วงแรกสถาปนาและเป็นอาคารเรียนของคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะรัฏฐประศาสนศาสตร์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 จึงได้ใช้เป็นอาคารเรียนของคณะอักษรศาสตร์ อาคารนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530 อาคารมหาวชิราวุธ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2496 โดยถอดแบบจากอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ทุกประการและมีการสร้างทางเดินเชื่อมกับอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมไทยเช่นเดียวกับตัวอาคารทั้งสอง อาคารทั้งสองจึงเรียกว่า "เทวาลัย" ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักคณบดีคณะอักษรศาสตร์ สำนักงานเลขานุการคณะอักษรศาสตร์ สมาคมนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ ศูนย์สารนิเทศมนุษยศาสตร์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องพิพิธพัสดุ์ไท-กะไดและห้องโครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการคณะอักษรศาสตร์ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างขึ้นในสมัย จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดี โดยมีความมุ่งหวังให้เป็นที่รับรองพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาประกอบพระกรณียกิจที่มหาวิทยาลัย และใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายกับพระอุโบสถของวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ที่สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำ พ.ศ. 2545 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมป์ พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล หรือ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดและพระผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเสาธงประจำมหาวิทยาลัย ถูกออกแบบให้เป็นจุดสนใจทางภูมิสถาปัตยกรรม (Focal Point) ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท เรือนภะรตราชา สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นที่พักของผู้บริหาร อาจารย์ชาวต่างประเทศ และข้าราชการของมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดการชำรุดตามกาลเวลา เรือนหลังนี้จึงได้รับการบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและเป็นการระลึกถึงพระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) อดีตผู้บัญชาการมหาวิทยาลัย ที่เคยพำนักอยู่ ณ เรือนแห่งนี้ เรือนภะรตราชาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2540 เรือนไทย สร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 70 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2530 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธียกเสาเอก ประกอบด้วย เรือน 5 หลัง โดยเรือนประธานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระราชทาน ศีรษะครูเทพเจ้าทางดนตรีไทย เครื่องดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ และระนาดทรงของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรือนที่เหลือจัดแสดงเครื่องใช้และวัตถุโบราณ เครื่องจักสานไทยของภาคต่าง ๆ และมีศาลากลางน้ำสำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ศาลาพระเกี้ยว เริ่มการก่อสร้างใน พ.ศ. 2508 แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2509 ในสมัย จอมพล ประภาส จารุเสถียร ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ออกแบบให้มีโครงสร้างคล้ายพระเกี้ยวเพื่อควบคุมคุณภาพเสียงอีกทั้งยังสื่อถึงสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมของนิสิตเช่น การลงทะเบียนแรกเข้าของนิสิตชั้นปีที่ 1 งานจุฬาฯ วิชาการ แต่ในระหว่างการก่อสร้างได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนชั้นใต้ดินให้เป็นที่ทำการต่าง ๆ เช่น ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาศาลาพระเกี้ยว, ร้านสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในระยะแรกนั้นมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่จอดรถ ใน พ.ศ. 2559 ศาลาพระเกี้ยวได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีสถาปัตยกรรมสำคัญอีกหลายแห่ง แต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของนิสิตและบุคลากรรวมทั้งผู้เข้ามาเยือน อาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ เรือนภะรตราชา และยังมีอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เช่น อาคารวิศวกรรมศาสตร์ 1 อาคารวิศวกรรมศาสตร์ 2 และลานเกียร์ และอาคารนารถ โพธิประสาท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์. ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนอกจากเป็นที่ตั้งของคณะวิชาและหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว ยังประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่ตั้งอยู่ทั้งภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการอนุรักษ์ แบ่งพิพิธภัณฑ์ตามที่ตั้งได้ดังนี้พื้นที่ส่วนกลางพื้นที่ส่วนกลาง. - อาคารพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ใกล้กับคณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จัดแสดงพัฒนาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้านวิชาการ ด้านกายภาพและประวัติความเป็นมาด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบ - หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่อาคารจักรพงษ์ ด้านหน้าลานจักรพงษ์ ด้านข้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า อาคารนี้จัดแสดงพระเกี้ยว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหลักฐานในเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เช่น ครุยพระบรมราชูปถัมภก เปียโนทรงบรรเลงของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถคณะวิทยาศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ตึกชีววิทยา 1 ภาควิชาชีววิทยา จัดแสดงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อม - พิพิธภัณฑสถานธรณีวิทยา ตั้งอยู่ที่ตึกธรณีวิทยา ชั้น 1 ภาควิชาธรณีวิทยาจัดแสดงตัวอย่างหินชนิดต่าง ๆ ลักษณะชั้นหินและฟอสซิลที่ภาควิชาเก็บตัวอย่างมาจากการสำรวจ - พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ ตั้งอยู่ชั้น 3 และชั้น 6 ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ จัดแสดงประวัติศาสตร์เทคโนโลยีทางภาพและการพิมพ์ในประเทศไทย และความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน - พิพิธภัณฑสถานพืชศาสตราจารย์กสิน สุวะตะพันธุ์ ตั้งอยู่ที่ตึกพฤกษศาสตร์ ชั้น 4 ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จัดแสดงตัวอย่างพันธุ์ไม้ ทั้งตัวอย่างแห้ง ตัวอย่างรักษาสภาพโดยการดอง ตัวอย่างผล เมล็ด ละอองเรณู และสปอร์ ภาพถ่าย ภาพวาดสไลด์สีโปร่งแสง ตัวอย่างเนื้อไม้ ซากดึกดำบรรพ์ (fossil) เป็นที่ตั้งของฐานข้อมูล เฟิร์น กล้วยไม้เมืองไทยและพืชมีพิษของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - พิพิธภัณฑ์หอยทากของไทย ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ห้อง 218 ตึกชีววิทยา 1 (ตึกขาว) คณะวิทยาศาสตร์จัดแสดงนิทรรศการหอยทากที่พบในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในรายการบันทึกของพิพิธภัณฑ์สถานธรรมชาติวิทยาแห่งหนึ่งของโลกคณะแพทยศาสตร์คณะแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานออร์โธปิดิกส์ ตั้งอยู่ที่ตึกเจริญ – สมศรี เจริญรัชต์ภาคย์ ชั้น 2 ภาควิชาออร์โธปิดิกส์จัดแสดงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เลิกใช้แล้ว ชิ้นเนื้อโรคมะเร็งกระดูก ชิ้นส่วนมือจริงที่แสดงการทำผ่าตัดย้ายเอ็นกล้ามเนื้อแบบต่าง ๆ โลหะดามกระดูกและกายอุปกรณ์ - พิพิธภัณฑสถานกุมารศัลยศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ตึกสิรินธร ชั้นล่าง ข้างห้องบรรยายพาหุรัดจัดแสดงตัวอย่างพร้อมการบรรยายในเชิงวิเคราะห์ ได้แก่ การตรวจโรค การวินิจฉัยโรคในระดับต้น และระดับใช้กล้องจุลทรรศน์ รวมทั้งการรักษาโรค และยังรวบรวมอุปกรณ์ด้านการวิสัญญี โคมไฟ และเครื่องมือสำหรับการผ่าตัด เตียงผ่าตัด ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี เช่น เครื่องกรองน้ำรุ่นแรกของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ - หอประวัติคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 อาคารหอสมุดคณะแพทยศาสตร์จัดแสดงสื่อผสมประวัติการก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แผนที่ภูมิทัศน์ของคณะและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ยุคแรกก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศการเรียนการสอน ประเพณี และบุคคลสำคัญของคณะ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ จัดแสดงอุปกรณ์การเรียนแพทย์และแซกโซโฟนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชคณะทันตแพทยศาสตร์คณะทันตแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานวาจวิทยาวัฑฒน์ ตั้งอยู่ที่ตึกวาจวิทยาวัฑฒน์ ชั้น 1 จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ทางทันตกรรม ลักษณะโรคฟันผุ วิวัฒนาการทางด้านทันตกรรมของประเทศไทย และเป็นที่จัดแสดงยูนิตทำฟันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยทรงทำพระทนต์ รวมทั้งหลอดยาสีพระทนต์พระราชทานสีขาวที่ถูกรีดจนแบนด้วย - พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ ตั้งอยู่ที่ห้อง 909-910 อาคารทันตแพทยศาสตร์เฉลิมนวมราช 80 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงกายวิภาคศาสตร์ของร่างกายมนุษย์แห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รักษาลักษณะร่างกายมนุษย์โดยใช้เทคนิคพลาสิเนชัน (Plastination) เป็นการแทนที่ของเหลวและไขมันในร่างกายทั้งหมด ด้วยพลาสติกสังเคราะห์ จึงไม่มีกลิ่นน้ำยาคงสภาพ ไม่มีการเน่าสลายของเนื้อเยื่อ และคงสภาพได้นานคณะเภสัชศาสตร์คณะเภสัชศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานเครื่องยาไทยและประวัติเภสัชกรรมไทย ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 อาคารโอสถศาลาจัดแสดงประวัติเภสัชกรรม อุปกรณ์การทำยาไทยตั้งแต่สมัยทวาราวดี และวิวัฒนาการจนถึงปัจจุบัน เครื่องแสดงคุณลักษณะของเภสัชกรในสมัยก่อน เช่น กระบองอาญาสิทธิ์และย่ามแดงของแพทย์หลวง และอุปกรณ์ผลิตยา เช่น เครื่องบดยา เครื่องทำยาเม็ดและยาแคปซูล เครื่องชั่ง ตวง วัด ฯลฯ จัดแสดงเครื่องยาไทยและวิวัฒนาการรูปแบบการใช้ยาจากสมุนไพร และสื่อความรู้ทันสมัยเกี่ยวกับสมุนไพรคณะสัตวแพทยศาสตร์คณะสัตวแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานปรสิตวิทยาในสัตว์ ตึกเก่ารูปตัวยู คณะสัตวแพทยศาสตร์ เก็บรวบรวมตัวอย่างปรสิตภายในและภายนอกของสัตว์ชนิดต่าง ๆ มาเป็นเป็นเวลายาวนานทำให้เก็บตัวอย่างได้หลากหลายและหลายประเภท อาทิ หนอนพยาธิ แมลง ไร เห็บ และโปรโตซัว อันมีประโยชน์ต่อการศึกษาด้านสัตวแพทย์คณะอักษรศาสตร์คณะอักษรศาสตร์. - พิพิธพัสดุ์ไท-กะได ชั้น 1 ปีกซ้าย อาคารมหาวชิราวุธ คณะอักษรศาสตร์ เป็นแหล่งรวมผลงานจากการทำวิจัยภาคสนามของ ศ. ดร.ปราณี กุลละวณิชย์ และ ศ. ดร.ธีระพันธ์ เหลืองทองคำจาก 4 ประเทศ คือ ประเทศจีน (ยูนาน กวางสี ไกวโจว และไฮนัน) ลาว เวียดนาม และไทย อาจารย์ได้ศึกษาศิลปวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ และภาษา และได้รวบรวมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย พร้อมเครื่องประดับของหญิงเผ่าไท-กะได และชนเผ่าในแขวงเขตเซกอง ลาวใต้ มามอบให้ศูนย์สารนิเทศมนุษยศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อเผยแพร่หอศิลป์หอศิลป์. - หอศิลปวิทยนิทรรศน์ ตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 7 อาคารมหาธีรราชานุสรณ์หรือหอสมุดกลาง เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียนด้านศิลปะร่วมสมัยของประเทศไทยและต่างชาติ ทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการทางศิลปะของนิสิตทั้งระดับปริญญาบัณฑิตและระดับบัณฑิตศึกษา ปัจจุบันพื้นที่นี้ใช้จัดนิทรรศการ "จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย" แหล่งรวบรวมข้อมูลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรูปแบบดิจิทัล - หอศิลป์จามจุรี ตั้งอยู่ที่อาคารจามจุรี 8 ด้านข้างสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นหอศิลป์ที่เปิดให้บุคคลภายนอกสามารถจัดแสดงผลงานได้จัดแสดงศิลปกรรมประเภททัศนศิลป์เป็นส่วนใหญ่ เปิดให้ประชาชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแล ตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่, พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐานและพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน ณ เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีชีวิตนิสิต ชีวิตนิสิต. การเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะใช้เวลาใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีในการเรียน แต่สำหรับคณะครุศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ใช้เวลา 5 ปี ในขณะที่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์จะใช้เวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาการเรียน มีทั้งการเรียนในคณะของตนเอง และการเรียนวิชานอกคณะ ได้พบปะกับบุคคลและบรรยากาศการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไปของคณะอื่น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชมรมของมหาวิทยาลัย การเข้าชมรมของคณะ การเล่นกีฬา การร่วมเป็นอาสาสมัครในงานสำคัญต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยที่ทางองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนิสิตเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่มีมากมายในทุก ๆ คณะ หรือการพบปะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่โต๊ะโรงเรียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่นิสิตเดินทางเข้ามาเรียนจากหลายภาคของประเทศไทย ทำให้ความแตกต่างของรูปแบบการดำเนินชีวิตมีมาก หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำให้นิสิตได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคลในทุกด้าน ช่วยเสริมสร้างให้นิสิตผู้ที่จะเป็นบัณฑิตในอนาคตเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นการพักอาศัยของนิสิต การพักอาศัยของนิสิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหอพักภายในมหาวิทยาลัย เรียกว่า "หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" หรือชื่อที่นิสิตหอพักเรียกกันมายาวนานกว่า 70 ปี ว่า "ซีมะโด่ง" เปิดดำเนินการใน พ.ศ. 2461 มีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ตรงข้ามกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เนื่องจากหอพักมีจำนวนจำกัดและราคาถูกกว่าหอพักภายนอกที่ตั้งอยู่ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอพักนิสิตฯ จึงมีขั้นตอนการคัดกรองนิสิตที่สมัครหลายด้าน เช่น รายได้และภาระหนี้สินของครอบครัว ประวัติการเข้าร่วมกิจกรรมและที่พักในกรุงเทพมหานครของนิสิต โดยหอจะแบ่งออกเป็น- หอพักนิสิตหญิง : - หอพุดตาน (อาคารสูง 14 ชั้น สีน้ำตาล) เป็นหอพักแบบอาคารสูงหลังแรกของของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพุดซ้อน (อาคารสูง 14 ชั้น สีขาว) เป็นหอพักหญิงล้วนหลังใหม่ที่สุด นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง ชั้นสองของอาคารหอพุดซ้อนเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักนิสิตฯ - หอพักจำปา (อาคารสูง 5 ชั้น สีขาว อยู่ถัดจากหอจำปี ) เมื่อแรกสร้างหอจำปาเคยเป็นหอพักชาย ปรับเปลี่ยนเป็นหอพักหญิง แบ่งชั้นให้พักทั้งหญิงและชายจนใน ปีการศึกษา 2557 หอพักจำปาจึงกลับมามีสถานะเป็นหอพักหญิงล้วน นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพักนิสิตชาย : - หอจำปี (อาคารสีขาว สูง 14 ชั้น) นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพักแบบแยกชั้นนิสิตชาย-หญิง : - หอชวนชม (อาคารหลังใหม่สูง 17 ชั้นใกล้ทางเข้าด้านถนนพญาไท) นิสิตพักได้ 2 คนต่อหนึ่งห้อง ห้องพักนิสิตหญิงจะอยู่ชั้นที่ 2-12 ส่วนห้องพักนิสิตชายจะอยู่ชั้น 13-17 หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นพร้อมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2459 แต่เดิมหอพักตั้งอยู่ในบริเวณวังวินด์เซอร์ ปัจจุบันพื้นที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ตั้งของกรีฑาสถานแห่งชาติ หอพักนิสิตฯ มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับจนกระทั่งย้ายมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน ถือเป็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีหอพักพวงชมพู หรือเรียกว่า หอ U-center ตั้งอยู่บริเวณหลังตลาดสามย่านแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่บริเวณมุมแยกสามย่าน ด้านข้างคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2546ชมรม ชมรม. การเข้าร่วมกิจกรรมชมรมในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีการจำกัดชั้นปี โดยชมรมของมหาวิทยาลัยนั้นเปิดให้นิสิตในแต่ละคณะรวมกัน และเจอกับนิสิตคณะอื่น พบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีชมรมที่จัดขึ้นเฉพาะคณะต่าง ๆ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตึกจุลจักรพงษ์ โดยชมรมต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่1. ชมรมสังกัดฝ่ายวิชาการ เช่น ชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี ชมรมวาทศิลป์และมนุษยสัมพันธ์ ชมรมประดิษฐ์และออกแบบ ชมรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 2. ชมรมสังกัดฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชมรมสลัม ชมรมโรตาแรคท์ เป็นต้น 3. ชมรมสังกัดฝ่ายศิลปและวัฒนธรรม เช่น ชมรมอีสาน ชมรมล้านนา ชมรมจุฬา-ทักษิณ ชมรมนักร้องประสานเสียง ชมรมศิลปการถ่ายภาพ เป็นต้น 4. ชมรมฝ่ายกีฬา เช่น ชมรมฟุตบอล ชมรมบริดจ์และหมากกระดาน เป็นต้นกิจกรรมในมหาวิทยาลัยกิจกรรมในมหาวิทยาลัย. - งานลอยกระทง : งานลอยกระทงจัดขึ้นทุกทุกปีในวันลอยกระทง จัดขึ้นโดยในงานมีจัดทำกระทงของแต่ละคณะ ขบวนพาเหรด และนางนพมาศจากแต่ละคณะมาประชันกัน และในตัวงานได้มีการจัดงานรื่นเริง พร้อมเกมการละเล่นโดยรอบบริเวณสระน้ำหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาลอยกระทงและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตจัดขึ้นทุกปี- การประชุมเชียร์ : คือ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อประสานความสัมพันธ์ของนิสิตปี 1 จุดประสงค์ของงานเพื่อให้นิสิตเรียนรู้เพลง ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมายาวนานของมหาวิทยาลัย โดยมักจัดขึ้นในห้องเชียร์ของแต่ละคณะ เพื่อให้นิสิตได้รู้จักเพื่อนในรุ่น งานรับน้องจัดโดยนิสิตรุ่นพี่ในคณะ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาทุกรุ่น- จุฬาฯ วิชาการ : จุฬาฯ วิชาการ เป็นนิทรรศการวิชาการที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี จัดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลภายนอก รวมทั้งนักเรียนจากระดับประถมถึงมัธยม ได้เรียนรู้ รวมทั้งเปิดให้นักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัย และบุคคลอื่นอื่นได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและพัฒนาในมหาวิทยาลัย ในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน “จุฬาฯ วิชาการ” ภายใต้ชื่องาน “จุฬาฯ Expo 2017” ระหว่างวันที่ 15 – 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 แนวคิดหลักของการจัดงานคือ “จุฬาฯ 100 ปี นวัตกรรม คิดทำเพื่อสังคม” “CU@100 toward greater innovation for society” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตจุฬาฯ ที่ครบครันและครอบคลุมทุกสาขาวิชา นำเสนอต่อสาธารณชน รวมทั้งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย- รับน้องก้าวใหม่ :งานก้าวใหม่จัดขึ้นทุกปี ช่วงก่อนเปิดการศึกษาภาคเรียนที่ 1 จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำนิสิตให้รู้จักมหาวิทยาลัย รวมทั้งฝึกให้นิสิตเข้าใหม่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นการละลายพฤติกรรมเข้าหากันระหว่างเพื่อน พี่ น้อง เป็นการรับน้องใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งนิสิตชั้นปีที่ 1 จะได้รู้จักเพื่อนต่างคณะและทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปงานรับน้องก้าวใหม่จะจัดทั้งหมด 3 วัน- กีฬาเฟรชชี่ : งานกีฬาระหว่างคณะจัดขึ้นช่วงสองเดือนแรกของการเปิดเทอม 1 ระหว่างนิสิตชั้นปี 1 ของแต่ละคณะ กีฬาแต่ละชนิดจัดขึ้นกระจายไปตามแต่ละที่ในมหาวิทยาลัย รวมทั้ง สนามกีฬาในร่ม อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (Sport Complex) และสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นิสิตว่า "สนามจุ๊บ"- กีฬา 5 หมอ : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์- ซียู อินเตอร์ เกม : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ หลักสูตร BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, หลักสูตร EBA คณะเศรษฐศาสตร์, หลักสูตร INDA คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตร COMMDE คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตรภาษาอังกฤษ คณะนิเทศศาสตร์ (COMM'ARTS), หลักสูตร JIPP คณะจิตวิทยา, หลักสูตร ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์, หลักสูตร BSAC คณะวิทยาศาสตร์, และ หลักสูตร BALAC คณะอักษรศาสตร์องค์การบริหารสโมสรนิสิต องค์การบริหารสโมสรนิสิต. องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า “อบจ.” เป็นองค์กรของนิสิตที่จัดตั้งขึ้นตาม ระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529 มีหน้าที่บริหาร (ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารในสโมสรนิสิต) และดำเนินกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาฯวิชาการ หรือ จุฬาฯ Expo งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ งานรับน้องก้าวใหม่ และงานลอยกระทงจุฬาฯ เป็นต้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตคือบุคคลเดียวกับนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสโมสรนิสิตในอดีตที่มีชื่อเสียง เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นเป็นตัวแทนนิสิตจุฬาฯ เจรจากับรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คน จนเป็นผลสำเร็จ โดยตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสภานิสิต สภานิสิต. สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นองค์การนักศึกษาที่อยู่ภายใต้สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 โดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และส่งเสริม คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สภานิสิตฯ ได้มีบทบาททางการเมืองในการเรียกร้องเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ โดยตำแหน่งประธานสภานิสิตเป็นตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งสมาชิกสภานิสิตของแต่ละคณะและสำนักวิชาที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วในขั้นแรกเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตำแหน่งประธานสภานิสิตกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย. กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วม มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันกีฬา งานด้านวิชาการ ทั้งกิจกรรมระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมระดับคณะ หรือกิจกรรมระดับภาควิชา เช่น- ระดับมหาวิทยาลัย : - งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำปีที่จัดติดต่อกันมายาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ กิจกรรมนี้ได้รับความสนใจของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ อย่างมากในทุก ๆ ปี - งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันรักบี้ฟุตบอล ที่จัดขึ้นทุกปีติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกับงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ แต่มีประวัติการกำเนิดที่ต่างกัน และจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกัน จัดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ - การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัย 5 แห่งแรกที่เริ่มส่งนิสิตเข้าร่วมการแข่งขัน - งานฟุตบอลยูลีก เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมฟุตบอลสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย - การประกวดมิสยูลีก เป็นการประกวด นักศึกษาสาว ในงานฟุตบอลยูลีก โดยคัดเลือกจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการฟุตบอลยูลีก - คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (CKT) เป็นงานแสดงร้องเพลงประสานเสียงที่จัดร่วมกันระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(C) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(K) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(T) ซึ่งทั้งสามมหาวิทยาลัยล้วนได้รับพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย- ระดับคณะและระดับภาควิชา : คือกิจกรรมที่แต่ละคณะได้จัดการแข่งขันกับคณะหรือภาควิชาเดียวกันในมหาวิทยาลัยอื่น เช่น เกียร์เกมส์, กีฬาสามเส้า, กีฬาวิศวกรรมเคมีสัมพันธ์, อะตอมเกมส์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาสัมพันธภาพฟิสิกส์, กีฬาคณิตศาสตร์สัมพันธ์, กีฬาสิ่งแวดล้อมนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย, งานกีฬา-วิชาการจุลชีววิทยาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย(โคโลนีเกมส์), กีฬาเข็มสัมพันธ์, กีฬาสองเข็ม, กีฬาเภสัชสัมพันธ์, งานกอล์ฟประเพณีสัตวแพทย์จุฬาฯ - เกษตร, กีฬาสหเวชศาสตร์-เทคนิคการแพทย์สัมพันธ์, กีฬาเศรษฐสัมพันธ์, กีฬานิติสัมพันธ์, กีฬาสิงห์สัมพันธ์, กิจกรรมประเพณีสัมพันธ์ สิงห์ดำ-สิงห์แดง, งานจ๊ะเอ๋ลูกนก, ไม้เรียวเกมส์, วิทยาศาสตร์การกีฬาสัมพันธ์, งานวันอาร์ทส์, กีฬาสถิติสัมพันธ์, งานโลจิสติกส์สัมพันธ์, กีฬาเปิดกระป๋อง เป็นต้นการเดินทาง การเดินทาง. นิสิต บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมาจุฬาฯ ได้หลายเส้นทาง ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้ามหานคร และรถโดยสารประจำทางรถไฟฟ้า รถไฟฟ้า. สามารถเดินทางมายังจุฬาฯ ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้ามหานคร สำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอส ผู้โดยสารสามารถลงได้สองสถานี ได้แก่ สถานีสยามและสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ส่วนรถไฟฟ้ามหานคร สามารถลงได้สองสถานีเช่นเดียวกัน คือ สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2 เชื่อมต่อกับพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท และสถานีสีลม ทางออกที่ 2 เชื่อมต่อกับคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์รถโดยสารประจำทางรถโดยสารประจำทาง. - ถนนพระรามที่ 1 สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 11 (ผ่านช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ) 15 16 25 40 48 54 73 73ก 79 141 204 501 และ 508 - ถนนพระรามที่ 4 สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 4 21 45 46 47 50 67 93 109 141 172 และ 177 - ถนนพญาไท สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 21 25 29 34 36 40 47 50 93 113 141 172 177 187 501 529 และ 542 - ถนนอังรีดูนังต์ สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 16 21 และ 141 - ถนนบรรทัดทอง สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัยด้านนี้จะผ่านเขตพาณิชยกรรมอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 67 และ 73รถโดยสารภายใน รถโดยสารภายใน. การเดินทางในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีรถโดยสารปรับอากาศขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า "รถ ปอพ." ให้บริการแก่นิสิต บุคลากร และผู้มาติดต่อภายในพื้นที่การศึกษาและพื้นที่พาณิชยกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยไม่คิดค่าบริการใด ๆ รถโดยสารนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 6 สาย ดังนี้- สายที่ 1: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ แยกเฉลิมเผ่า โรงภาพยนตร์ลิโด้ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 2: ศาลาพระเกี้ยว คณะวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อาคารจามจุรี 9 สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ อาคารวิทยพัฒนา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา (ถึงเวลา 17.00 น.) หอพักนิสิต สำนักงานมหาวิทยาลัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 3: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะวิทยาศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 4: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ แยกเฉลิมเผ่า โรงภาพยนตร์ลิโด้ คณะเภสัชศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อาคารจามจุรี 9 U-CENTER คณะนิติศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 5: ระเบียงจามจุรี (หน้า 7-11) ธรรมสถาน สำนักงานจัดการทรัพย์สิน สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศาลาพระเกี้ยว - สายที่ 5A: ระเบียงจามจุรี (หน้า 7-11) ธรรมสถาน หลังอาคารวิทยทรัพยากร สาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม สาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม หอยูเซนเตอร์ นิติศาสตร์ ถนนพญาไท สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศาลาพระเกี้ยว. (สาย 5A ให้บริการเฉพาะช่วงเปิดภาคเรียนของโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ) รถโดยสารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ และวันเสาร์จะให้บริการเพียงสาย 1 และสาย 2 เท่านั้น ผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูตำแหน่งของรถแต่ละสาย ประกาศกำหนดการเดินรถในงานพิธีต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและข้อมูลปลีกย่อยได้จากโปรแกรมประยุกต์ (application software) CU Popbus บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และไอโอเอส และจอแสดงตำแหน่งรถโดยสารภายในจุฬาฯ ที่ป้ายหยุดรถศาลาพระเกี้ยวจักรยานสาธารณะ จักรยานสาธารณะ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีจักรยานสาธารณะให้บริการแก่นิสิตและบุคลากรที่สมัครเป็นสมาชิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีชื่อที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า " CU BIKE " มีศูนย์บริการอยู่ที่ชั้น 1 อาคารมหิตลาธิเบศร และตั้งสถานีจักรยานอยู่หลายจุดทั่วพื้นที่ส่วนการศึกษาของจุฬาฯ ดังนี้- ประตูทางเชื่อมจัตุรัสจามจุรี - ลานจักรพงษ์ - อาคารบรมราชกุมารี - หอพักนิสิต - อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) - อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10) - อาคารจามจุรี 9 ระบบยืม-คืนจักรยานเป็นระบบที่ทันสมัย สามารถบันทึกสถานะการใช้งานของสมาชิก ระยะทางที่ปั่น และต้องมีการใส่รหัสผ่านทุกครั้งที่จะยืมหรือคืน สถานีจักรยานทุกจุดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในจักรยานแต่ละคันยังมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับให้พลังงานแก่ไฟส่องสว่างทั้งด้านหน้า ด้านหลังและเลี้ยงกล่องควบคุม โดยแปลงพลังงานกลจากการปั่นจักรยานเป็นพลังงานไฟฟ้า หากจำเป็นต้องจอดจักรยานชั่วคราวนอกสถานี สามารถดึงสายคล้องเพื่อล็อกตัวจักรยานไว้กับจุดจอดได้พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดให้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ณ ตึกบัญชาการ (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ในปัจจุบัน) โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่เวชบัณฑิต (แพทยศาสตรบัณฑิต) ของมหาวิทยาลัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทย ในการนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระองค์ด้วย หลังจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนั้นเสร็จสิ้นแล้ว สภามหาวิทยาลัยได้เสนอให้กระทรวงธรรมการกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตสงวนธรรมเนียมนี้ไว้ กล่าวคือ "ถือว่าการพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการหน้าที่นั่ง หากเสด็จไม่ได้ก็จะเป็นการถวายปฏิญญาต่อพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และรับพระราชทานปริญญาบัตรจากผู้แทนพระองค์" เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่มหาวิทยาลัยกราบบังคมทูลขอ ดังนั้น พิธีพระราชทานปริญญาบัตรจึงเป็นธรรมเนียมที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศนี้ นับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทย แขกผู้มีเกียรติระดับชาติและจากนานาอารยประเทศ เอกอัครราชทูต ผู้นำศาสนา มิชชันนารี ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนหน่วยงานรัฐบาลไทย ทหาร สื่อมวลชนไทยและนานาชาติทุกแขนงเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการสำคัญครั้งนี้ เพื่อแสดงความยินดีกับความเจริญวัฒนาของสยามประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวของพระองค์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เองเรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ในบางปีนั้นพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตในระดับปริญญาตรีด้วยพระองค์เอง ส่วนมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตนั้นจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรต่อหน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครุยพระบรมราชูปถัมภกแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญารัฐศาสตร์ดุษฎีกิตติมศักดิ์แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ใบแรกในรัชสมัยของพระองค์ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระปฐมบรมราโชวาทแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ดังนี้ ปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันสำคัญวันสำคัญ. - วันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ตรงกับวันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี โดยมีกิจกรรมต่อเนื่องกันหลายวัน เช่น พิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีอุปการคุณแก่มหาวิทยาลัย, พิธีตักบาตรในตอนเช้าวันที่ 26 มีนาคม, พิธีถวายชัยมงคลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน, การแสดงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์, งานคืนเหย้าของนิสิตเก่าจุฬาฯ ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าฯลฯ- วันอานันทมหิดล : ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร "พระผู้พระราชทานกำเนิดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดงานขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์- วันภาษาไทยแห่งชาติ : ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงอภิปรายเรื่อง "ปัญหาการใช้คำไทย" ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้เสนอต่อรัฐบาลให้กำหนดวันที่ 29 กรกฎาคม เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"- วันทรงดนตรี : ตรงกับวันที่ 20 กันยายน ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างปี 2500-2516 โดยจุฬาฯ จัดงานรำลึกวันทรงดนตรีขึ้นเป็นประจำทุกปี- วันปิยมหาราช : ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ซึ่งคณะผู้บริหารและนิสิต จุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ เช่น งานปิยมหาราชานุสรณ์ หารายได้สมทบเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิต เป็นประจำทุกปี- วันมหาธีรราชเจ้า : ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระผู้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" โดยในวันนี้ คณะผู้บริหารและนิสิตจุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคม ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมพินี รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ เช่น งานมหาธีรราชเจ้าคอนเสิร์ต ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี- วันภูมิพล : เป็นวันที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกันประกอบกิจกุศล โดยการบริจาคทุนทรัพย์และสิ่งของนำไปแจกจ่ายแก่เด็กอนาถาตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ บรรดานิสิตอาสาสมัครจะไปแสดงดนตรี และให้ความสนุกสนานรื่นเริงแก่เด็ก ๆ การบำเพ็ญประโยชน์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อการน้อมเกล้าฯ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และโดยเสด็จพระราชกุศลในดิถีอันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาบุคคลสำคัญคณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร บุคคลสำคัญ. คณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาได้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2473 ผู้สำเร็จการศึกษาและคณาจารย์รวมถึงบุคลากรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรอิสระเป็นจำนวนมากเจ้าฟ้าอาจารย์ เจ้าฟ้าอาจารย์. ตลอดระยะเวลานับแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศ์หลายพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานการสอน ดังนี้- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย - ทรงสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)- สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก - ทรงสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังและวิชาประวัติศาสตร์ แก่นิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทรงสอนระหว่าง พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2468 ทรงพระราชทานพระดำริเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ตลอดจนทรงติดตามมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ให้ช่วยพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้นจนถึงปัจจุบัน- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ - ทรงสอนที่คณะอักษรศาสตร์ ในรายวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปี 2 ถึง ปี 4- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี - ทรงสอนวิชาอารยธรรมไทย (Thai Civilization) แก่นิสิตทุกคณะที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ ปัจจุบันพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนี้แล้ว ทั้งนี้พระองค์ยังทรงเป็นนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ด้วยคณาจารย์ คณาจารย์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนิสิตเก่าจำนวนมากที่ปัจจุบันกลับมาเป็นอาจารย์และมีชื่อเสียงในวงการวิชาการ เช่น- ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ - นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประมวล วีรุตมเสน - ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช - นายกรัฐมนตรี คนที่ 6 ของประเทศไทย ผู้จัดตั้งจัดตั้งขบวนการเสรีไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอดีตนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - พระเจริญวิศวกรรม - ผู้วางรากฐานให้แก่วงการวิศวกรรมศาสตร์ของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ - นักวิจัยผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติระดับโลก เจ้าของผลงานทางวิชาการที่มีประโยชน์เชิงพาณิชและสังคมจำนวนมาก - ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว - นักวิจัยผู้บุกเบิกด้านเคมีคอมพิวเตอร์ และคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ - ว่าที่ร้อยตรี รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ - อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์และ "นักสื่อสารวิทยาศาสตร์" เป็นผู้อธิบายเรื่องเหลือเชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ - นายแพทย์ สำลี เปลี่ยนบางช้าง - คนไทยคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แพทย์เกียรติยศแพทยสภา ศาสตราภิชานวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา - ประธานกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดลคนแรกของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557 นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ พ.ศ. 2545 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ - ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ - ที่ปรึกษาในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 34/2560บุคลากร บุคลากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีบุคลากรที่ไม่ใช่นิสิตเก่ามาทำหน้าที่สำคัญทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัยรวมถึงบริหารในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก โดยมีหลายท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและนานาชาติ เช่น- แปลก พิบูลสงคราม - นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยและอดีตอธิการบดี เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านมาสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น การตราพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล - อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์และทรงเป็นศาสตราจารย์องค์แรกของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แอลเลอร์ เอลลิส - อดีตอธิการบดีในยุคมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์เข้าช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยให้สมบูรณ์ตามอย่างตะวันตก เป็นรากฐานให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล - รองศาสตราจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด - อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักฟิสิกส์และกรรมการรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ - ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร - อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2541 ผู้มีชื่อเสียงในวงการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการวิชาการไทย เช่น A History of Thailand - ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ - ศาสตราจารย์กิตติคุณประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ยังมีนิสิตเก่า คณาจารย์และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ ปลัดกระทรวง ข้าราชการระดับสูง นักวิจัยระดับนานาชาติ คณะองคมนตรีไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ 8 คน นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ 3 คน นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ (พ.ศ. 2427-2559) กว่า 103 คน นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น 13 คน (2525-2557) เมธีวิจัยอาวุโส สกว. 55 คน ศิลปินแห่งชาติ 38 คน (2528-2559) นิสิตเก่าและบุคลากรผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นของแพทยสภาแห่งประเทศไทย 12 คน และแพทย์เกียรติยศแพทยสภา 2 คน นักกีฬาโอลิมปิค นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรีของประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมากการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวและมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวและมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน. นโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว. มหาวิทยาลัยสีเขียวเป็นนโยบายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547- พ.ศ. 2551 โดยเริ่มตั้งแต่การจัดทำโครงการผังแม่บทจุฬาฯ 100 ปี ให้มีแนวแกนสีเขียว ทั้งแกนด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก และแนวแกนเหนือ-ใต้ เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวที่จะรับน้ำ และเพิ่มความร่มรื่นให้มหาวิทยาลัย จำกัดพื้นที่ก่อสร้างให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนด นอกจากนั้นยังมีการริเริ่มโครงการรถประจำทางไฟฟ้าภายในมหาวิทยาลัย เพื่อลดการสัญจรด้วยรถยนต์และลดมลภาวะ โครงการนำใบไม้ไปหมักเป็นปุ๋ยได้มีการดำเนินงานและใช้ผลผลิตนั้นกับต้นไม้ในมหาวิทยาลัยมาจนปัจจุบันในช่วง พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555 นโยบายมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการต่อเนื่อง มีการสร้างอาคารจอดรถริมถนนใหญ่สาธารณะเพื่อลดปริมาณรถยนต์ที่จะวิ่งเข้ามาภายใน ขยายโครงการรถประจำทางไฟฟ้าโดยเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น และให้บริการฟรี ซึ่งเป็นที่นิยมของนิสิต บุคลากร และผู้มาติดต่อจำนวนสนับสนุนการเดินเท้าโดยสร้างหลังคาคลุมทางเดินไปตามถนนหลายสายในมหาวิทยาลัย มีโครงการจุฬารักษ์โลกสนับสนุนการใช้จักรยานแทนรถยนต์ และรณรงค์ชาวจุฬาฯร่วมกันปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น เพิ่มบรรยากาศร่มเย็นให้มากขึ้น รื้ออาคารเก่าที่ทรุดโทรมโดยการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวสำหรับซึมซับน้ำในมหาวิทยาลัย ขยายโครงการรีไซเคิลขยะหลายประเภท ใบไม้ กระดาษ พลาสติก เศษอาหาร และงดการใช้โฟมเป็นภาชนะใส่อาหาร เพิ่มโครงการประหยัดพลังงานด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบปรับอากาศ พร้อมด้วยการรณรงค์ให้นิสิตและบุคลากร ร่วมมือกันประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยมีนโยบายนำ "มหาวิทยาลัยสีเขียว" ไปสู่ "มหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน" สานต่อโครงการในสี่ปีก่อนให้เข้มแข็ง และดำเนินโครงการวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานอาคารเขียวในมหาวิทยาลัยรวมถึงเพิ่มการปรับปรุงอาคารเดิม เพื่อการประหยัดการใช้พลังงาน เริ่มโครงการวิจัยหาแนวทางดำเนินการลดคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาวิทยาลัย เพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อเก็บน้ำสำหรับรีไซเคิลให้มีปริมาณมากขึ้น ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking ให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยในไทย ติดต่อกันสองปี ในระดับโลก จุฬาฯ ไดรับการจัดอันดับให้เป็นที่ 30 ของโลก และเป็นอันดับที่ 4 ของโลกในประเภทมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง (City Center University) จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยไทยแห่งเดียวที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของโลก
| มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยมีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
],
"answer_begin_position": [
114
],
"answer_end_position": [
135
]
} |
2,034 | 5,519 | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ "พระเกี้ยว" มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีมาแล้ว 17 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากหลายสถาบันจัดอันดับ ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย คุณภาพบัณฑิต คุณภาพด้านการวิจัย ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย คุณภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยในเขตเมือง และคุณภาพแยกตามรายวิชาอีก 27 รายวิชา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552 และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมากจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในส่วนของการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษานั้นพบว่า ผู้สมัครสอบที่ทำคะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปีส่วนใหญ่เลือกเข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษาในสังกัดของสถาบัน เพราะเมื่อแรกก่อตั้ง ที่ตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือว่าอยู่ไกลจากเขตพระนครซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญในขณะนั้น จึงมีการสร้างหอพักเพื่อให้ผู้เข้าศึกษาสามารถพักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัยและใช้คำว่า "นิสิต" ในภาษาบาลีที่แปลว่า "ผู้อยู่อาศัย" เรียกผู้เข้าศึกษา ด้วยมีลักษณะเช่นเดียวกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่อาศัยกับสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ของนักเรียนในระบบการศึกษาแบบโบราณ เช่น การฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักของบาทหลวงหรือวิทยาลัยแบบอาศัยของมหาวิทยาลัยในยุโรป ส่วนในประเทศไทย นักเรียนจะไปฝากตัวที่วัดเป็นศิษย์ของพระและอาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจึงใช้คำว่า "Matriculated Student" ที่แปลว่า "นักศึกษาที่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว" เรียกผู้เข้าศึกษา เช่นเดียวกับคำว่า "นิสิต" ทั้งนี้ ในอดีต โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้จบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนเพื่อสอบวิชาเป็นบัณฑิต แม้ว่าในปัจจุบันการคมนาคมจะสะดวกขึ้นอย่างมาก เขตปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร นิสิตไม่มีความจำเป็นต้องพักในหอพักนิสิตทุกคนอีกต่อไป แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาของสถาบันเช่นเดิม เมื่อกล่าวถึงคำว่า "สามย่าน" สามารถอนุมานถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เพราะอาณาเขตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดต่อกับสี่แยก 2 แห่ง คือแยกสามย่านและแยกปทุมวัน ทั้งสองแห่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานครและประเทศไทย เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์และศูนย์การค้าหลายแห่ง จนกลายเป็นภาพลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถูกใช้ในการแปรอักษรตอบโต้ ในงานงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ที่จัดขึ้นทุกปีระหว่างสองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทยคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ถือเป็นพิธีสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีขึ้นครั้งแรกในประเทศ บุคคลสำคัญจากหลายสาขาอาชีพได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก อาทิ เอกอัครราชทูตจากนานาประเทศ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ทำให้พิธีพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการหน้าที่นั่งของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์นับแต่นั้นเป็นต้นมา กล่าวคือหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่สามารถเสด็จได้ ก็จะเป็นการถวายปฏิญญาต่อพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์และรับพระราชทานปริญญาบัตรจากผู้แทนพระองค์ ธรรมเนียมนี้ได้ใช้ปฏิบัติในสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลทางกฎหมายก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2477 ถึง 4 ปี เพราะมีพระบรมราชโองการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2459 เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิและอำนาจอันชอบธรรมแก่มหาวิทยาลัย ในการประสาทปริญญาแก่นิสิตผู้สำเร็จการศึกษาอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกอบไปด้วย 19 คณะวิชา 1 สำนักวิชา ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ และมีหน่วยงานประเภท วิทยาลัย 3 แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย 1 แห่ง สถาบัน 14 แห่ง และสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน จำนวนหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 506 หลักสูตร ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 113 หลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา 393 หลักสูตร ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตรประวัติ ประวัติ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจาก “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442 (นับวันขึ้นปีใหม่แบบไทยคือ พ.ศ. 2441) ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยมีพระราชปรารภที่จะทรงจัดการปกครองพระราชอาณาจักรให้ทันกาลสมัย จึงจัดตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิดพระองค์ และด้วยประเพณีโบราณที่ข้าราชการจะถวายตัวเข้าศึกษางานในกรมมหาดเล็ก ก่อนที่จะออกไปรับตำแหน่งในกรมอื่น ๆ ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 เพื่อเป็นรากฐานของสถาบันการศึกษาขั้นสูงต่อไปในอนาคต ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานแก่พระราชวงศ์ และข้าราชการซึ่งเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานของโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง ความตอนหนึ่งดังนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะขยายการจัดการศึกษา เพื่อผลิตนักเรียนไปรับราชการในกระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ ไม่เฉพาะกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่ประกอบการเรียนการสอน และสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 พร้อมทั้ง พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริจัดตั้งขึ้น และได้ใช้เงินคงเหลือจากการที่ราษฎรเรี่ยรายกันเพื่อสร้างพระบรมรูปทรงม้า เป็นเงินจำนวน 982,672 บาท 47 สตางค์ มากกว่ามูลค่าการก่อสร้างพระบรมรูปทรงม้าถึงห้าเท่าตัว มาใช้เป็นทุนของโรงเรียนแห่งนี้ นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,309 ไร่เป็นเขตโรงเรียน โดยมีการจัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน (คณะในปัจจุบัน) ได้แก่ โรงเรียนรัฎฐประศาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา (โรงเรียนฝึกหัดครู) โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา (โรงเรียนกฎหมาย) และโรงเรียนยันตรศึกษา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้สังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการ ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ผู้มาร่วมงานพระราชพิธีวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน) เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 เวลา 16 นาฬิกา 7 นาที ดังนี้ ในระยะแรกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่เพียงระดับประกาศนียบัตรพร้อมกับเตรียมการเรียนการสอนในระดับปริญญา โดยจัดการศึกษาออกเป็น 2 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตปทุมวันและวิทยาเขตโรงพยาบาลศิริราช จัดการเรียนการสอนออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูย้ายกลับไปสังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ และโรงเรียนกฎหมายย้ายกลับไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาในระดับปริญญาได้ หลังจากนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขยายการจัดการศึกษาโดยจัดตั้งคณะและแผนกอิสระเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ โดยการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมและแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน (คณะรัฐประศาสนศาสตร์เดิม) เข้าไว้ด้วยกัน แผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยจัดตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปัจจุบัน) ระหว่าง พ.ศ. 2476–2486 การจัดการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีการโอนย้ายส่วนราชการออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. 2476 มีการโอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) และ พ.ศ. 2486 มีการโอนย้ายคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์ และแผนกอิสระเภสัชกรรมศาสตร์ เพื่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม คณะเภสัชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ยังคงใช้สถานที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการศึกษาอยู่ ดังนั้น ทั้ง 3 คณะจึงโอนกลับมาเป็นคณะวิชาในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งในระยะต่อมา เมื่อจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านภาษาและหนังสือหลายประการ เช่น ยกเลิกการใช้อักษร "ฬ" ให้ใช้ "ร, ล" แทน และ ยกเลิกการใช้ "ณ" ให้ใช้ "น" แทน ดังนั้น จึงได้ปรากฏการเขียนชื่อมหาวิทยาลัยในรูปแบบอื่นอีก ได้แก่ "จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ใน พ.ศ. 2487 ก็มีการประกาศยกเลิกการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และให้กลับไปใช้การเขียนภาษาในรูปแบบเดิม การเขียนชื่อมหาวิทยาลัยจึงกลับเป็นแบบเดิม หลังจากนั้น ในช่วง พ.ศ. 2497 - พ.ศ. 2514 ยังสามารถพบการเขียนนามมหาวิทยาลัยว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ซึ่งไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่ "ณ" เช่น พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ฉบับที่ 4, 5 และ 6 ระหว่าง พ.ศ. 2486–2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นโดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก โดยมีการจัดตั้งคณะขึ้นใหม่หลายสาขา และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างกว้างขว้าง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และก่อตั้งหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและงานบริการทางวิชาการแก่สังคม สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย. - พระเกี้ยว เป็นพิจิตรเรขา (สัญลักษณ์) ประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงเรียนมหาดเล็กซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระเกี้ยวเป็นเครื่องหมายของโรงเรียน และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจนกระทั่งโรงเรียนได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - เพลงพระราชนิพนธ์ มหาจุฬาลงกรณ์ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 พระราชทานให้เป็นเพลงประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - เสื้อครุยพระราชทาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ใช้เสื้อครุยได้ โดยสีพื้นของสำรด นั้นแบ่งออกเป็น 3 สี ได้แก่ พื้นสำรด "สีเหลือง" สำหรับฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภก เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมราชจักรีวงศ์- จามจุรี เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมพระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากวังไกลกังวล ทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรี ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ ทรงเล่าว่าทรงปลูกต้นไม้ที่พระตำหนักไกลกังวล จามจุรีงอกขึ้นที่บริเวณต้นไม้ซึ่งทรงปลูกไว้ จึงทรงถือว่าทรงปลูกจามจุรีเหล่านั้นด้วย เมื่อจามจุรีโตขึ้นแล้วเห็นว่าควรเข้ามหาวิทยาลัยเสียที สถานที่เรียนนั้นไม่มีที่ใดเหมาะเท่าจุฬาฯ - สีชมพู เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัย คือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ จึงสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคลการบริหารงานนายกสภาผู้บัญชาการและอธิการบดี การบริหารงาน. ผู้บัญชาการและอธิการบดี. นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดี ดังรายพระนามและรายนาม ต่อไปนี้ หมายเหตุ คำนำหน้าพระนามหรือนามของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหรืออธิการบดี เป็นคำนำหน้าพระนามหรือนามในขณะดำรงตำแหน่งการศึกษา การศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเรียนและสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 19 คณะ 1 สำนักวิชา 3 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน 2 สถาบัน และยังมีสถาบันสมทบอีก 2 สถาบัน ในปีการศึกษา 2556 เปิดสอนด้วยจำนวนหลักสูตรทั้งหมด 506 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 113 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 9 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 230 สาขาวิชา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 39 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก 115 สาขาวิชา ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร ปัจจุบันประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการที่จัดการเรียนการสอน ได้แก่หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรนานาชาติ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติทั้งหมด 87 หลักสูตรส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษาส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษา. - บัณฑิตวิทยาลัย - วิทยาลัยประชากรศาสตร์ - วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี - วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข - สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - สถาบันภาษาสถาบันสมทบสถาบันสมทบ. - สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา, สภากาชาดไทย - วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติงานวิจัย งานวิจัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนงานที่มีวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเพื่อเป็นสถาบันวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้- สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ - สถาบันวิจัยพลังงาน - สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ - สถาบันวิจัยสังคม- สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม - สถาบันการขนส่ง - สถาบันเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ - สถาบันเอเชียศึกษา หน่วยงานที่สนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนำผลการศึกษาวิจัยออกสู่สังคมและหน่วยงานนอกมหาวิทยาลัย ส่วนหน่วยงานสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผลงานศึกษาวิจัยได้พัฒนาและนำไปสู่การจดสิทธิบัตรประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังสนับสนุนทุนสำหรับการสร้างหน่วยปฏิบัติการวิจัย (RU) และศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (CE) ปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหน่วยปฏิบัติการวิจัยมากกว่า 100 หน่วย และมีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งในระดับชาติและมหาวิทยาลัยมากกว่า 20 ศูนย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กำหนดให้มีกลุ่มวิจัยหลักซึ่งเป็นการรวมศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักวิชาการที่มีเฉพาะเรื่องเข้ามาบูรณาการให้เป็นการวิจัยแบบสหศาสตร์ รวมทั้ง เน้นการบริหารจัดการการวิจัยที่เป็นองค์รวม มีการติดตามและประเมินผลแบบอัตโนมัติ โดยแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มวิจัยหลัก ได้แก่- กลุ่มวิจัยด้านพลังงาน - กลุ่มวิจัยด้านอาหารและน้ำ - กลุ่มวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ - กลุ่มวิจัยด้านสุขภาพ - กลุ่มวิจัยด้านสังคมผู้สูงวัย- กลุ่มวิจัยวัสดุขั้นสูง - กลุ่มวิจัยความมั่นคงมนุษย์ - กลุ่มวิจัยด้านพัฒนาสังคม - กลุ่มวิจัยด้านอาเซียนศึกษา - กลุ่มวิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติ ปี พ.ศ 2559 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยจากการจัดอันดับของ Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในฐานข้อมูล Web of Science ของสถาบัน ISI บริษัท Thomson Reuters จำนวน 1,567 เรื่อง และผลงานตีพิมพ์ฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier B.V. จำนวน 1988 เรื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยระดับนานาชาติของประเทศไทยในหลายด้าน เช่น องค์การอนามัยโลก เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และ สมาคมสถาบันการศึกษาชั้นอุดมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASAIHL) ศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกที่ตั้งอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีดังนี้- ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา - WHO Collaborating Centre for Medical Education ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ - WHO Collaborating Centre for Research in Human Reproduction ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์- ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน - WHO Collaborating Centre for Research and Training on Viral Zoonoses ตั้งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ - WHO Collaborating Centre for Health Economics ตั้งอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ - ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมพัฒนาการสาธารณสุข - WHO Collaborating Centre for Research and Training in Public Health Development ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขทรัพยากรวิชาการ ทรัพยากรวิชาการ. ระบบการให้บริการทางวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสำนักงานวิทยทรัพยากรเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการในหลายลักษณะ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นที่ทำหน้าที่ให้บริการทางวิชาการ เช่น สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุด (Chulalinet) และ CHULA MOOCสำนักงานวิทยทรัพยากร สำนักงานวิทยทรัพยากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเริ่มมีการให้บริการทางวิชาการขึ้นในมหาวิทยาลัยแก่บุคลากร นิสิตและประชาชนทั่วไปตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นใน พ.ศ. 2453 และมีพัฒนาการด้านการบริการไปพร้อมกับการวิวัฒน์ขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นการรองรับกิจการที่กว้างขวางขึ้นของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ใน พ.ศ. 2458 ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลางและขยายการบริการทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยการรวมหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน คือ หอสมุดกลาง ศูนย์เอกสารประเทศไทย และศูนย์โสตทัศนศึกษากลาง เมื่อสถาบันวิทยบริการมีการขยายงานบริการที่หลากหลายขึ้นจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานวิทยทรัพยากรพร้อมทั้งปรับการบริหารภายในองค์กร สำนักงานวิทยทรัพยากรตั้งอยู่ที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ บนพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ปัจจุบัน สำนักงานวิทยทรัพยากรประกอบด้วย 1 ฝ่าย และ 8 ศูนย์ดังนี้- ฝ่ายบริหาร (Administrative Division) - ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศ (Collection Development & Information Resource Analysis Center) - ศูนย์เครือข่ายห้องสมุดดิจิทัลจุฬาฯ (CU Digital Library Center) - ศูนย์มรดกภูมิปัญญา จุฬาฯ (CU Intellectual Heritage Center) - ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Center for Media Development Innovation and Technology) - ศูนย์บริการสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และวิจัย (Information Service for Learning and Research Center) - ศูนย์จัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resources Management Center) - ศูนย์สารสนเทศนานาชาติ (International Information Center) - ศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center)หอสมุดกลาง หอสมุดกลาง. หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ "หอกลาง" ตั้งอยู่ภายในอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ เป็นอาคารสูง 7 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยห้องสมุดสาขาวิชาและหน่วยงานอื่น ๆ ดังนี้- ชั้น 1 เป็นชั้นอำนวยการบริการต่าง ๆ เช่น บริการยืม-คืน บริการถ่ายเอกสาร บรรณารักษ์ - ชั้น 2 เป็นพื้นที่อ่านหนังสือและห้องสืบค้นกลุ่ม ส่วนวิทยานิพนธ์ งานวิจัยและหนังสืออ้างอิงได้ย้ายสถานที่ให้บริการไปยังอาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา หรืออาคารจามจุรี 10 - ชั้น 3 ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ศูนย์สัมผัสวัฒนธรรมจีน สถาบันขงจื่อศึกษา - ชั้น 4 ห้องหนังสือมนุษยศาสตร์และวรรณกรรม ห้องหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - ชั้น 5 ห้องหนังสือสังคมศาสตร์ ศูนย์สารสนเทศนานาชาติ ศูนย์รัสเซียศึกษา - ชั้น 6 ศูนย์มรดกภูมิปัญญา ห้องหนังสือหายาก ศูนย์เอกสารประเทศไทย ห้องสิ่งพิมพ์พิเศษ - ชั้น 7 หอศิลปวิทยนิทรรศน์ระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ. ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 สถาบันวิทยบริการ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทย ที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและองค์ความรู้ทุก ๆ แขนงแก่บุคลากร นิสิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจอีกทั้งเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญของการศึกษาวิจัยในองค์กร ด้วยการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงสามารถขยายบริหารทางวิชาออกไปได้อย่างกว้างขวาง อาทิ- เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalinet) เครือข่ายสารสนเทศห้องสมุดเป็นระบบเครือข่ายห้องสมุดบนอินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดอัตโนมัติแห่งแรกของประเทศไทย ระบบนี้ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ของห้องสมุดทุกแห่งภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ช่วยให้บุคลากร นิสิตและประชาชนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ทันทีที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต- คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย (CUIR – Chulalongkorn University Intellectual Repository) คลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทยเป็นแหล่งจัดเก็บและให้บริการสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเป็นภูมิปัญญาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในรูปแบบดิจิตอล จำพวกผลงานวิจัยทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย รวมถึงการเข้าถึงหนังสือทุกประเภทที่ได้รับการจัดเก็บเป็นสื่อดิจิตอลด้วย เนื่องจากคลังปัญญาจุฬาฯ เพื่อประเทศไทย ให้บริการผ่านเครื่อข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งพึ่งพาทางวิชาการที่สำคัญของประชาชน- ฐานข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัย (CU Reference Databases) เป็นแหล่งรวบฐานข้อมูลวิชาการสาขาต่าง ๆ จำนวนมากโดยกำหนดให้ใช้งานฐานข้อมูลที่บอกรับผ่านเครือค่ายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CUNet) บุคคลภายนอกสามารถใช้งานได้ที่คอมพิวเตอร์ที่ต่อกับเครื่อข่ายของมหาวิทยาลัยเท่านั้น- ฐานข้อมูลศูนย์เอกสารประเทศไทย (Thailand Information Center Database) เป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลเอกสาร บทความ วิทยานิพนธ์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าถึงต้นฉบับเอกสารทางวิชาการที่ได้ศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของประเทศไทย และสามารถเข้าสืบค้นด้วยตนเองที่อาคารมหาธีรราชานุสรณ์- จุฬาวิทยานุกรม (Chulapedia) จุฬาวิทยานุกรมเป็นระบบสารานุกรมออนไลน์ สามารถสืบค้นเนื้อหาด้วยคำสำคัญ (Keyword) ซึ่งแก้ไขพัฒนาบทความโดยคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเปิดให้ประชาชนใช้บริการสืบค้นได้แต่ไม่สามารถร่วมแก้ไขพัฒนาบทความได้- ศูนย์พัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี มีหน้าที่ผลิตสื่อวิดีทัศน์ สื่อผสมรูปแบบสื่อใหม่ สื่อภาพถ่ายดิจิทัล สื่อเสียง สื่อกราฟิก ให้แก่มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาสื่อยังมีหน่วยผลิตสื่อเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อไปบันทึกกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ และส่งสัญญาณภาพและเสียงนำมาถ่ายทอดรายการ ผ่านระบบเครือข่าย ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมรายการสำคัญ ๆ ได้ทุกที่ที่มีสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำกัดสถานที่ หรือสามารถรับชมผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ (Mobile Device) ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เช่น พิธีพระราชทานปริญญาบัตร งานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 42 และงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 16 หรืองานวิศิษฏศิลปินสรรพศิลป์สโมสร เป็นต้นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้. เป็นศูนย์สนับสนุนทางนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่สนับสนุนเทคโนโลยีในการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นแหล่งนำองค์ความรู้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งจากคณาจารย์ บุคลากรและนิสิต สู่สังคมไทยและนานาชาติ เพื่อนำสังคมสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต บริการด้านวิชาการในส่วนนี้คือ "ห้องสมุดออนไลน์" ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์CHULA MOOC CHULA MOOC. CHULA MOOC หรือ "จุฬาฯ มูค" เป็นคอร์สเรียนออนไลน์แบบไม่จำกัดบุคคล สถานที่ และเวลา ผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำขึ้นให้บริการ เข้าถึงได้โดยไม่คิดค่าใช่จ่ายใด ๆ เมื่อเรียนสำเร็จในแต่ละคอร์สจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมอบประกาศนียบัตร (Certificate of Completion) ให้แก่ผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ตามที่รายวิชากำหนดไว้ เข้าถึง CHULA MOOC ได้ผ่านทางเว็บไซต์สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังให้บริการทางวิชาการแก่ประชาชนทั่วไปผ่านการออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz อีกหนึ่งช่องทางด้วย โดยสถานีวิทยุจุฬาฯ เป็นสถานีวิทยุเพื่อการศึกษา มีการเผยแพร่เอกสารสื่อการสอนบนเว็บไซต์ของสถานีเป็นจำนวนมาก และมีการจัดรายการข่าวสารเชิงวิชาการ ให้ความรู้แก่ผู้ฟังตลอดช่วงเวลา 06.00-23.59 น. และยังเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการให้ความรู้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพื่อการสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในทุก ๆ ปี สถานีวิทยุจุฬาฯ จะจัดสอนพิเศษให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและถ่ายทอดภาพและเสียงไปทั่วประเทศ ภายใต้รายการชื่อว่า "เปิดประตูสู่มหาวิทยาลัย" โดยจัดขึ้นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัยการประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย. การประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย. เมื่อ พ.ศ. 2549 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศ ทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย นอกจากนี้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้เข้าประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับรองมาตรฐานในระดับดีมากแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการโดย สกว. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยครั้งที่ 3 ในปีพ.ศ. 2554 พบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการประเมินในระดับ 5 หรือในระดับดีเยี่ยมในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มสาขาเทคโนโลยี กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร และสัตวแพทยศาสตร์ และกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอันดับมหาวิทยาลัย อันดับมหาวิทยาลัย. นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่การจัดอันดับโดย Academic Ranking of World Universities การจัดอันดับโดย Academic Ranking of World Universities. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย Academic Ranking of World Universities หรือ ARWU ประจำปี 2017 จัดโดยมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทงของประเทศจีน โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงในวารสารชั้นนำของโลก ศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ เป็นต้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 401-500 ของโลกการจัดอันดับโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies การจัดอันดับโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย Centrum voor Wetenschap en Technologie Studies หรือ CWTS Leiden University ประจำปี 2017 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารที่ปรากฏชื่ออยู่ในฐานข้อมูล Web of Science database จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 458 ของโลกการจัดอันดับโดย Center for World University Rankings การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings. การจัดอันดับโดย Center for World University Rankings หรือ CWUR ที่มีเกณฑ์การจัดอันดับคือ คุณภาพงานวิจัย ศิษย์เก่าที่จบไป คุณภาพการศึกษา คุณภาพของอาจารย์ และภาควิชาต่าง ๆ ประจำ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 308 ของโลกการจัดอันดับโดย Nature Index การจัดอันดับโดย Nature Index. Nature Index เป็นดัชนีชี้วัดผลผลิตด้านการวิจัย จัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group จัดอันดับทั้งสถาบันวิจัยและสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก สำหรับปี 2017 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย การจัดอันดับโดย. แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ British Quacquarelli Symonds (QS) เป็นบริษัทจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีการจัดอันดับครอบคลุมในหลายมิติ เช่น การจัดอันดับเป็นระดับโลก (QS World University Rankings) ระดับทวีปเอเชีย (QS University Rankings: Asia) การจัดอันดับแยกตามคณะ (QS World University Rankings by Faculty) การจัดอันดับแยกตามรายวิชา (QS World University Rankings by Subject) การจัดอันดับคุณภาพบัณฑิต (QS Graduate Employability Rankings 2017) เป็นต้น QS World1. ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา 2. การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ 3. งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี 4. H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 245 ของโลก น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ QS Asia1. ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ 2. การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์) 3. อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา 4. การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน Scopus และ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้น ๆ เอง 5. บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์) 6. สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) 7. สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์) โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 50 ของเอเชียการจัดอันดับโดย QS World University Rankings by Subject การจัดอันดับโดย QS World University Rankings by Subject. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของ QS World University Rankings by Subject ประจำ พ.ศ. 2561 แบ่งการประกาศออกเป็น 2 แบบ คือ 1) แบบสาขาวิชาเฉพาะ 2) แบบกลุ่มสาขาวิชา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสาขาเฉพาะ และกลุ่มสาขาวิชาติดอันดับโลกมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีสาขาวิชาเฉพาะที่ติดอันดับโลก 22 สาขา และติดอันดับโลกทั้ง 5 กลุ่มสาขาวิชาที่ QS ทำการจัดอันดับ โดยเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย 4 กลุ่มสาขาวิชาจาก 5 กลุ่ม และเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย 1 กลุ่มสาขาวิชา อันดับที่ 48 ของโลก- สาขา Mineral & Mining Engineering โดยเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้ อันดับที่ 51 – 100 ของโลก- สาขา Chemical Engineering อันดับที่ 101 – 150 ของโลก- Accounting & Finance (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Architecture / Built Environment - Environmental Sciences - Geography (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Modern Languages - Pharmacy & Pharmacology - Politics & International Studies (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) อันดับที่ 151 – 200 ของโลก- Business & Management Studies - Chemistry - Civil & Structural Engineering - Electrical & Electronic Engineering - Linguistics - Materials Science (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) - Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering - Medicine - Sociology (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) อันดับที่ 201 – 250 ของโลก- Biological Sciences - Computer Science & Information Systems - Economics & Econometrics อันดับที่ 300 – 350 ของโลก- Physics & Astronomy (มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับโลกในสาขานี้) ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย จำนวน 19 สาขาวิชา ดังนี้ สาขา Accounting & Finance, Architecture / Built Environment, Biological Sciences, Business & Management Studies, Chemical Engineering, Chemistry, CiviI & Structural Engineering, Computer Science & Information System, Economics & Econometrics, Electrical & Electronic Engineering, Environmental Science, Geography, Linguistics, Materials Science, Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering, Mineral & Mining Engineering, Modern Languages, Physics & Astronomy, Politics & International Studies, Sociologyการจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2017 การจัดอันดับโดย QS Graduate Employability Rankings 2017. เป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยและอยู่ในช่วงอันดับ 251-300 ของโลกการจัดอันดับโดย Round University Rankings การจัดอันดับโดย Round University Rankings. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก Round University Rankings 2018 โดย RUR Rankings Agency ของประเทศรัสเซีย เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (A Ranking of Leading World Universities มีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับโดยการพิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือด้านการสอน (Teaching) 5 ตัวชี้วัด คิดเป็น 40% การวิจัย (Research) 5 ตัวชี้วัด 40% ด้านความเป็นนานาชาติ (International Diversity) 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) 5 ตัวชี้วัด 10% จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 465 ของโลก การจัดอันดับ RUR Reputation Rankings 2017 ซึ่งเป็นการจัดอันดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยพบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 194 ของโลก การจัดอันดับ RUR Research Performance World University Rankings 2016 ซึ่งเน้นไปที่ศักยภาพการทำวิจัยพบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 424 ของโลกการจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Ranking. อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ใน พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 456 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย The Times Higher Education การจัดอันดับโดย The Times Higher Education. การจัดอันดับโดย The Times Higher Education หรือ THE ที่จัดอันดับ มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มีเกณฑ์การจัดอันดับในด้าน คุณภาพการสอน สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน คุณภาพงานวิจัย ปริมาณ รายได้ และชื่อเสียงของงานวิจัย การอ้างอิงในงานวิจัย การนำงานวิจัยของสถาบันไปใช้อ้างอิง ความเป็นนานาชาติ และ รายได้ทางอุตสาหกรรม ใน พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ช่วงอันดับที่ 601-800 เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยการจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performance. อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP พ.ศ. 2559-2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และอันดับ 474 ของโลก โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิงการจัดอันดับโดย U.S. News & World Report การจัดอันดับโดย U.S. News & World Report. U.S. News & World Report นิตยสารการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุด “Best Global Universities Rankings 2018” จากการสำรวจมหาวิทยาลัย 60 ประเทศทั่วโลก และมีเกณฑ์จัดอันดับหลายด้าน เช่น ชื่อเสียงการวิจัยในระดับโลก และระดับภูมิภาค สื่อสิ่งพิมพ์ การถูกนำไปอ้างอิง ความร่วมมือระหว่างประเทศ จำนวนบุคลากรระดับปริญญาเอก เป็นต้น โดยมีมหาวิทยาลัยของไทยติดอันดับ 6 แห่ง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย และอันดับที่ 539 ของโลกการจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking. เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ในรอบ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 2 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 90 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของไทย อันดับที่ 16 ของโลกในการจัดอันดับประเภทมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองการจัดอันดับโดย Webometrics การจัดอันดับโดย Webometrics. การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำ พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วย Search Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำ พ.ศ. 2560 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 548 ของโลกพื้นที่มหาวิทยาลัย พื้นที่มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพื้นที่ทั้งหมด 1,153 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา 595 ไร่ พื้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ 184 ไร่ และพื้นที่เขตพาณิชย์ 374 ไร่ โดยแต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดมี 1,309 ไร่ แต่ในปัจจุบันวัดได้ 1,153 ไร่ เพราะตัดที่ดินส่วนที่ใช้เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปพื้นที่การศึกษา พื้นที่การศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพื้นที่การศึกษา 595 ไร่ แบ่งออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งอยู่บริเวณ แขวงวังใหม่และแขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ส่วนที่ 1 ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน ประกอบด้วย สระน้ำ สนามรักบี้ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ อาคารมหาวชิราวุธ ศาลาพระเกี้ยว ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (สาขาศาลาพระเกี้ยว) ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สาขาศาลาพระเกี้ยว) หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ตึกจักรพงษ์) อาคารจุลจักรพงษ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ สถาบันภาษา สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา และสถาบันการขนส่ง พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สถานีสามย่าน ส่วนที่ 2 ฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ ประกอบด้วย สำนักงานมหาวิทยาลัย (กลุ่มอาคารจามจุรี 1-5, 8-9) บัณฑิตวิทยาลัย สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (อาคารศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ฟิตเนสเซ็นเตอร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ ศูนย์วิทยทรัพยากร สถานีวิทยุจุฬาฯ โรงพิมพ์จุฬาฯ ธรรมสถาน สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารวิทยพัฒนา อาคารแว่นแก้ว อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10) หอพักศศนิเวศ อาคารศศปาฐศาลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ส่วนที่ 3 ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันนออกของถนนพญาไท ทิศใต้ของถนนพระรามที่ 1 ด้านหลังสยามสแควร์ อยู่ในแขวงปทุมวัน ประกอบด้วย คณะทันตแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ โอสถศาลาหรือสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชนของคณะเภสัชศาสตร์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข อาคารวิทยกิตติ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์หนังสือจุฬาฯและสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามด้านถนนพระรามที่ 1 ส่วนที่ 4 ทิศตะวันออกของถนนอังรีดูนังต์ ตั้งอยู่ในแขวงปทุมวัน บริเวณตั้งแต่สี่แยกศาลาแดง จนถึงสี่แยกอังรีดูนังต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของสภากาชาดไทย โดยมีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทยและสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันสมทบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดงและรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สถานีสีลม บริเวณสี่แยกศาลาแดง ส่วนที่ 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพื้นที่ส่วนนี้คืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (พลศึกษา) และกรมพลศึกษา ตั้งอยู่ในแขวงวังใหม่ คือ พื้นที่บริเวณระหว่างห้างมาบุญครอง และสนามกีฬาแห่งชาติ ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาพัฒน์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะสหเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะจิตวิทยา ศูนย์วิทยาศาตร์ฮาลาล และอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ส่วนที่ 6 คือ พื้นที่ภายในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (ได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน) ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาวิชช์ อันเป็นส่วนขยายของคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะจิตวิทยา และโครงการขยายโอกาสอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พื้นที่ส่วนนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไทจึงอยู่ในแขวงปทุมวัน ในส่วนพื้นที่การศึกษานี้ มีต้นไม้สำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรวม 6 ต้น ได้แก่ ต้นจามจุรีพระราชทาน 5 ต้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปลูกไว้บริเวณเสาธง หน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท และต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งอยู่บริเวณระหว่างอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ (หอสมุดกลาง) และอาคารจามจุรี 5 ใกล้คณะครุศาสตร์ ทางฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท นอกจากนี้ บริเวณพื้นที่ลานจอดรถศาลาพระเกี้ยวด้านคณะเศรษฐศาสตร์ ทุก ๆ วันศุกร์ (หรือตามแต่กรรมการสโมสรอาจารย์เป็นผู้กำหนด) จะจัดเป็นตลาดนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกกันว่า "ตลาดพิกุล" เนื่องจากพื้นที่นั้นมีต้นพิกุล กิจกรรมดังกล่าวดำเนินการโดยสโมสรอาจารย์พื้นที่ให้ส่วนราชการเช่าใช้ พื้นที่ให้ส่วนราชการเช่าใช้. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับให้หน่วยงานราชการเช่าใช้ เป็นจำนวน 184 ไร่ ได้แก่- กรีฑาสถานแห่งชาติ เป็นสนามกีฬาแห่งชาติของประเทศไทย อยู่ในความดูแลของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยส่งคืนสถานที่บางส่วนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา กรมพลศึกษาใช้อาคารสถานที่ในส่วนที่ยังเช่าอยู่เพื่อเป็นที่ทำการของกรมฯ ตลอดจนสมาคมหรือองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา และนันทนาการต่าง ๆ เช่น คณะลูกเสือแห่งชาติ มีสนามหลัก ๆ ได้แก่ สนามศุภชลาศัย สนามเทพหัสดิน สนามจินดารักษ์ - โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาที่จัดการเรียนการสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย - โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน โรงเรียนมัธยมศึกษา ในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย - สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน - สถานีดับเพลิงบรรทัดทองพื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม. เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวลาต่อมา) พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นที่ปลูกสร้างสถานศึกษาและอีกส่วนหนึ่งให้ใช้จัดหาผลประโยชน์เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนซึ่งจะต้องเติบโตขึ้นในอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว โดยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยในเขตปทุมวัน มีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามลักษณะการใช้พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตการศึกษา 595 ไร่ พื้นที่ส่วนราชการเช่าใช้ 184 ไร่ และพื้นที่เขตพาณิชย์ 374 ไร่ รวม 1,153 ไร่ โดยแต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดมี 1,309 ไร่ แต่ในปัจจุบันวัดได้ 1,153 ไร่ เพราะตัดที่ดินส่วนที่ใช้เป็นถนนและซอยต่าง ๆ ในเขตที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไป พื้นที่พาณิชย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นแยกออกจากพื้นที่การศึกษาเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน โดยพื้นที่เขตพาณิชย์จะเป็นส่วนมุมของที่ดินซึ่งมีถนนสายสำคัญตัดผ่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่การเดินทางและการค้าขาย โดยมีพื้นที่พาณิชย์ทั้งหมด 374 ไร่ ปัจจุบันสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานพัฒนาพื้นที่เขตพาณิชย์เหล่านี้- สยามสแควร์ เป็นศูนย์การค้าแนวราบและเปิดโล่ง มีเนื้อที่ 63 ไร่ มีพื้นที่อยู่ระหว่างสี่แยกปทุมวันและทางแยกเฉลิมเผ่า มีถนนพญาไทตัดผ่านทางทิศตะวันตก ถนนพระรามที่ 1 ตัดผ่านทางทิศเหนือและถนนอังรีดูนังต์ตัดผ่านทางทิศตะวันออก ตรงข้ามศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์และวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ยังมีทางวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีสยาม ตั้งอยู่เหนือผิวถนนพระรามที่ 1 ในบริเวณนี้ด้วย - เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ บริษัท เอ็มบีเค พรอพเพอร์ตีส์ แอนด์ ดีเวลอปเมนต์ จำกัด เช่าที่ดินจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อทำเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 89,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณมุมถนนพญาไทและถนนพระรามที่ 1 หรือแยกปทุมวัน มีพื้นที่ติดกับกรีฑาสถานแห่งชาติและตรงข้ามกับหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในบริเวณนี้มีทางวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีสนามกีฬาแห่งชาติตั้งอยู่เหนือผิวถนนพระรามที่ 1 - จัตุรัสจามจุรี เป็นศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ ตั้งอยู่บนมุมถนนพญาไทกับถนนพระรามที่ 4 หรือทางแยกสามย่านฝั่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรงข้ามวัดหัวลำโพง พระอารามหลวง จัตุรัสจามจุรีมีทางเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้ามหานคร สถานีสามย่าน นับเป็นการเชื่อมต่อกับอาคารแห่งแรกของไทย - ตลาดสามย่าน เป็นตลาดสดในพื้นที่สามย่าน มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นตลาดสดและชั้นบนเป็นร้านอาหาร มีพื้นที่ใช้สอย 6,200 ตารางเมตร เดิมเคยตั้งอยู่ที่แยกสามย่านติดกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันได้ย้ายไปตั้งอยู่ด้านหลังสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซอยจุฬาลงกรณ์ 9 ใกล้กับสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันและสถานีดับเพลิงบรรทัดทอง - แอมพาร์ค เป็นศูนย์การค้าแบบเปิดโล่งตั้งอยู่ด้านข้างอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่พาณิชกรรม สวนหลวง-สามย่าน - สยามสแควร์วัน ศูนย์การค้าในพื้นที่สยามสแควร์ สร้างบนพื้นที่ 8 ไร่ ที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์สยามที่ถูกไฟไหม้เสียหายไปเมื่อ พ.ศ. 2553 สยามสแควร์วันมีพื้นที่ใช้สอย 74,100 ตารางเมตร สวนลอยฟ้าที่ชั้นดาดฟ้าสยามสแควร์วันเป็นพื้นที่สาธารณะลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยชื่อว่า สยามกรีนสกาย (Siam Green Sky) - เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ ศูนย์การค้าในพื้นที่สยามสแควร์ สร้างบนพื้นที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เดิมในชื่อ ดิจิตอล เกตเวย์ (Digital Gateway) โดยเป็นการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทีซีซีแลนด์- สยามกิตติ์ พื้นที่ให้เช่าทำการค้าปลีก สถาบันกวดวิชา ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและพื้นที่จอดรถ- โรงแรมโนโวเทลกรุงเทพ สยามสแควร์ เป็นโรงแรมในเครือโนโวเทล ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สยามสแควร์ มีห้องพักทั้งหมด 423 ห้อง- พื้นพาณิชยกรรม สวนหลวง-สามย่าน ด้านหลังพื้นที่การศึกษาฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วยอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจุดกึ่งกลางของเขตพาณิชบริเวณนี้ ทิศเหนือของอุทยานเป็นที่ตั้งของตลาดสามย่านแห่งใหม่ แหล่งธุรกิจอะไหล่เก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร ร้านอาหารและสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ทิศเหนือของอุทยาน 100 ปี เป็นที่ตั้งของย่านพาณิชกรรมแห่งใหม่ คือ สวนหลวงสแควร์ และ CU Sport Zone เป็นแหล่งรวมร้านอุปกรณ์กีฬา ทั้งนี้การก่อสร้างอุทยาน 100 ปี เป็นการลดพื้นที่พาณิชกรรมเก็บรายได้ลงกว่า 29 ไร่ - อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่นันทนาการสาธารณะให้กับชุมชนสวนหลวง-สามย่านและบรรทัดทอง และเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแบบให้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำของกรุงเทพมหานคร มีแนวพื้นที่รับน้ำ (Rain Garden) และระบบระบายน้ำใต้ดินพื้นที่ต่างจังหวัด พื้นที่ต่างจังหวัด. นอกจากพื้นที่ในกรุงเทพมหานครแล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีพื้นที่การศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ (ไม่ใช่วิทยาเขต) ได้แก่- พื้นที่จังหวัดนครปฐม พื้นที่จังหวัดนครปฐมเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 หลังจากการโอนย้ายคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับคืนมาเป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพลเอก ประภาส จารุเสถียร อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ปรารภว่า "การโอนคณะสัตวแพทยศาสตร์โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น การโอนก็ไม่มีความหมาย" ดังนั้น จึงได้โอนที่ดินของกระทรวงมหาดไทยที่ขณะนั้นว่างเปล่าอยู่ 79 ไร่ ในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เพื่อจัดเป็นไร่ฝึกแก่นิสิตใช้ฝึกปฏิบัติวิชาสัตวบาลจนพัฒนาเป็น "ศูนย์ฝึกนิสิตคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" และ "โรงพยาบาลปศุสัตว์" ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงขอใช้ชื่อว่า "ไร่ฝึกนิสิตจารุเสถียร" นอกจากจะใช้พื้นที่สำหรับสนับสนุนการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัย และตรวจรักษาปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงของประชาชนแล้ว คณะสัตวแพทยศาสตร์ยังใช้ผลผลิตฟาร์มเป็นผลพลอยได้จำหน่ายเป็นสวัสดิการให้อาจารย์-บุคลากรของคณะและมหาวิทยาลัย- พื้นที่จังหวัดน่าน พื้นที่จังหวัดน่านเป็นที่ตั้งของ "ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการเครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" สำหรับให้บริการการศึกษาเรียนรู้สำหรับนิสิตโดยเฉพาะในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณทิต สาขาวิชาการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตร ประกอบด้วย อาคารวิชชาคาม 1 อาคารวิชชาคาม 2 และกลุ่มอาคารชมพูภูคา- พื้นที่จังหวัดสระบุรี การพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เขตอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2532 โดยมีพื้นที่ทั้งหมดรวม 3,364 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์ 2,632 ไร่ และพื้นที่ที่มูลนิธินิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ใช้ประโยชน์ 732 ไร่ โดยมีการแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น 5 เขต ได้แก่ เขตพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ เขตศูนย์วิจัยเฉพาะทาง เขตโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-สระบุรี เขตบริการวิชาการและการศึกษา และเขตบริหารจัดการ โดยได้รับความร่วมมือจาก 6 คณะที่จะเข้าไปจัดทำโครงการในเขตพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ คณะเภสัชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ พื้นที่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงพื้นที่ใช้สนับสนุนการสอนและการวิจัยเท่านั้น มิได้มีสถานะเป็นวิทยาเขต เพราะมหาวิทยาลัยมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่จัดตั้งวิทยาเขต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต้องเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยแห่งอื่น เช่น พระตำหนักดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่, พระจุฑาธุชราชฐานและพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีสถาปัตยกรรมที่สำคัญ สถาปัตยกรรมที่สำคัญ. ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีพัฒนาการทางด้านกายภาพมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่เป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้เขตมหาวิทยาลัยมีอาคารและกลุ่มอาคารที่แสดงถึงแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต จุลาสัย กรรมการสภาสถาปนิกและอดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยกล่าวว่า อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ เป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2457 เพื่อเป็นตึกบัญชาการของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในช่วงแรกสถาปนาและเป็นอาคารเรียนของคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะรัฏฐประศาสนศาสตร์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 จึงได้ใช้เป็นอาคารเรียนของคณะอักษรศาสตร์ อาคารนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530 อาคารมหาวชิราวุธ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2496 โดยถอดแบบจากอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ทุกประการและมีการสร้างทางเดินเชื่อมกับอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมไทยเช่นเดียวกับตัวอาคารทั้งสอง อาคารทั้งสองจึงเรียกว่า "เทวาลัย" ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักคณบดีคณะอักษรศาสตร์ สำนักงานเลขานุการคณะอักษรศาสตร์ สมาคมนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ ศูนย์สารนิเทศมนุษยศาสตร์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องพิพิธพัสดุ์ไท-กะไดและห้องโครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการคณะอักษรศาสตร์ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างขึ้นในสมัย จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดี โดยมีความมุ่งหวังให้เป็นที่รับรองพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาประกอบพระกรณียกิจที่มหาวิทยาลัย และใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายกับพระอุโบสถของวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ที่สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำ พ.ศ. 2545 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมป์ พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล หรือ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดและพระผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหน้าหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเสาธงประจำมหาวิทยาลัย ถูกออกแบบให้เป็นจุดสนใจทางภูมิสถาปัตยกรรม (Focal Point) ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท เรือนภะรตราชา สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นที่พักของผู้บริหาร อาจารย์ชาวต่างประเทศ และข้าราชการของมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดการชำรุดตามกาลเวลา เรือนหลังนี้จึงได้รับการบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและเป็นการระลึกถึงพระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) อดีตผู้บัญชาการมหาวิทยาลัย ที่เคยพำนักอยู่ ณ เรือนแห่งนี้ เรือนภะรตราชาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2540 เรือนไทย สร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 70 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2530 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธียกเสาเอก ประกอบด้วย เรือน 5 หลัง โดยเรือนประธานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระราชทาน ศีรษะครูเทพเจ้าทางดนตรีไทย เครื่องดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ และระนาดทรงของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรือนที่เหลือจัดแสดงเครื่องใช้และวัตถุโบราณ เครื่องจักสานไทยของภาคต่าง ๆ และมีศาลากลางน้ำสำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ศาลาพระเกี้ยว เริ่มการก่อสร้างใน พ.ศ. 2508 แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2509 ในสมัย จอมพล ประภาส จารุเสถียร ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ออกแบบให้มีโครงสร้างคล้ายพระเกี้ยวเพื่อควบคุมคุณภาพเสียงอีกทั้งยังสื่อถึงสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมของนิสิตเช่น การลงทะเบียนแรกเข้าของนิสิตชั้นปีที่ 1 งานจุฬาฯ วิชาการ แต่ในระหว่างการก่อสร้างได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในส่วนชั้นใต้ดินให้เป็นที่ทำการต่าง ๆ เช่น ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาศาลาพระเกี้ยว, ร้านสหกรณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในระยะแรกนั้นมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่จอดรถ ใน พ.ศ. 2559 ศาลาพระเกี้ยวได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีสถาปัตยกรรมสำคัญอีกหลายแห่ง แต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของนิสิตและบุคลากรรวมทั้งผู้เข้ามาเยือน อาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทย เช่น อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ เรือนภะรตราชา และยังมีอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เช่น อาคารวิศวกรรมศาสตร์ 1 อาคารวิศวกรรมศาสตร์ 2 และลานเกียร์ และอาคารนารถ โพธิประสาท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์. ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนอกจากเป็นที่ตั้งของคณะวิชาและหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว ยังประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่ตั้งอยู่ทั้งภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการอนุรักษ์ แบ่งพิพิธภัณฑ์ตามที่ตั้งได้ดังนี้พื้นที่ส่วนกลางพื้นที่ส่วนกลาง. - อาคารพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ใกล้กับคณะศิลปกรรมศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จัดแสดงพัฒนาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้านวิชาการ ด้านกายภาพและประวัติความเป็นมาด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบ - หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่อาคารจักรพงษ์ ด้านหน้าลานจักรพงษ์ ด้านข้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า อาคารนี้จัดแสดงพระเกี้ยว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหลักฐานในเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เช่น ครุยพระบรมราชูปถัมภก เปียโนทรงบรรเลงของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถคณะวิทยาศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ตึกชีววิทยา 1 ภาควิชาชีววิทยา จัดแสดงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อม - พิพิธภัณฑสถานธรณีวิทยา ตั้งอยู่ที่ตึกธรณีวิทยา ชั้น 1 ภาควิชาธรณีวิทยาจัดแสดงตัวอย่างหินชนิดต่าง ๆ ลักษณะชั้นหินและฟอสซิลที่ภาควิชาเก็บตัวอย่างมาจากการสำรวจ - พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ ตั้งอยู่ชั้น 3 และชั้น 6 ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ จัดแสดงประวัติศาสตร์เทคโนโลยีทางภาพและการพิมพ์ในประเทศไทย และความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน - พิพิธภัณฑสถานพืชศาสตราจารย์กสิน สุวะตะพันธุ์ ตั้งอยู่ที่ตึกพฤกษศาสตร์ ชั้น 4 ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จัดแสดงตัวอย่างพันธุ์ไม้ ทั้งตัวอย่างแห้ง ตัวอย่างรักษาสภาพโดยการดอง ตัวอย่างผล เมล็ด ละอองเรณู และสปอร์ ภาพถ่าย ภาพวาดสไลด์สีโปร่งแสง ตัวอย่างเนื้อไม้ ซากดึกดำบรรพ์ (fossil) เป็นที่ตั้งของฐานข้อมูล เฟิร์น กล้วยไม้เมืองไทยและพืชมีพิษของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - พิพิธภัณฑ์หอยทากของไทย ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ห้อง 218 ตึกชีววิทยา 1 (ตึกขาว) คณะวิทยาศาสตร์จัดแสดงนิทรรศการหอยทากที่พบในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในรายการบันทึกของพิพิธภัณฑ์สถานธรรมชาติวิทยาแห่งหนึ่งของโลกคณะแพทยศาสตร์คณะแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานออร์โธปิดิกส์ ตั้งอยู่ที่ตึกเจริญ – สมศรี เจริญรัชต์ภาคย์ ชั้น 2 ภาควิชาออร์โธปิดิกส์จัดแสดงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เลิกใช้แล้ว ชิ้นเนื้อโรคมะเร็งกระดูก ชิ้นส่วนมือจริงที่แสดงการทำผ่าตัดย้ายเอ็นกล้ามเนื้อแบบต่าง ๆ โลหะดามกระดูกและกายอุปกรณ์ - พิพิธภัณฑสถานกุมารศัลยศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ตึกสิรินธร ชั้นล่าง ข้างห้องบรรยายพาหุรัดจัดแสดงตัวอย่างพร้อมการบรรยายในเชิงวิเคราะห์ ได้แก่ การตรวจโรค การวินิจฉัยโรคในระดับต้น และระดับใช้กล้องจุลทรรศน์ รวมทั้งการรักษาโรค และยังรวบรวมอุปกรณ์ด้านการวิสัญญี โคมไฟ และเครื่องมือสำหรับการผ่าตัด เตียงผ่าตัด ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี เช่น เครื่องกรองน้ำรุ่นแรกของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ - หอประวัติคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 อาคารหอสมุดคณะแพทยศาสตร์จัดแสดงสื่อผสมประวัติการก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แผนที่ภูมิทัศน์ของคณะและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ยุคแรกก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศการเรียนการสอน ประเพณี และบุคคลสำคัญของคณะ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ จัดแสดงอุปกรณ์การเรียนแพทย์และแซกโซโฟนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชคณะทันตแพทยศาสตร์คณะทันตแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานวาจวิทยาวัฑฒน์ ตั้งอยู่ที่ตึกวาจวิทยาวัฑฒน์ ชั้น 1 จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ทางทันตกรรม ลักษณะโรคฟันผุ วิวัฒนาการทางด้านทันตกรรมของประเทศไทย และเป็นที่จัดแสดงยูนิตทำฟันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยทรงทำพระทนต์ รวมทั้งหลอดยาสีพระทนต์พระราชทานสีขาวที่ถูกรีดจนแบนด้วย - พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ ตั้งอยู่ที่ห้อง 909-910 อาคารทันตแพทยศาสตร์เฉลิมนวมราช 80 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงกายวิภาคศาสตร์ของร่างกายมนุษย์แห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รักษาลักษณะร่างกายมนุษย์โดยใช้เทคนิคพลาสิเนชัน (Plastination) เป็นการแทนที่ของเหลวและไขมันในร่างกายทั้งหมด ด้วยพลาสติกสังเคราะห์ จึงไม่มีกลิ่นน้ำยาคงสภาพ ไม่มีการเน่าสลายของเนื้อเยื่อ และคงสภาพได้นานคณะเภสัชศาสตร์คณะเภสัชศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานเครื่องยาไทยและประวัติเภสัชกรรมไทย ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 อาคารโอสถศาลาจัดแสดงประวัติเภสัชกรรม อุปกรณ์การทำยาไทยตั้งแต่สมัยทวาราวดี และวิวัฒนาการจนถึงปัจจุบัน เครื่องแสดงคุณลักษณะของเภสัชกรในสมัยก่อน เช่น กระบองอาญาสิทธิ์และย่ามแดงของแพทย์หลวง และอุปกรณ์ผลิตยา เช่น เครื่องบดยา เครื่องทำยาเม็ดและยาแคปซูล เครื่องชั่ง ตวง วัด ฯลฯ จัดแสดงเครื่องยาไทยและวิวัฒนาการรูปแบบการใช้ยาจากสมุนไพร และสื่อความรู้ทันสมัยเกี่ยวกับสมุนไพรคณะสัตวแพทยศาสตร์คณะสัตวแพทยศาสตร์. - พิพิธภัณฑสถานปรสิตวิทยาในสัตว์ ตึกเก่ารูปตัวยู คณะสัตวแพทยศาสตร์ เก็บรวบรวมตัวอย่างปรสิตภายในและภายนอกของสัตว์ชนิดต่าง ๆ มาเป็นเป็นเวลายาวนานทำให้เก็บตัวอย่างได้หลากหลายและหลายประเภท อาทิ หนอนพยาธิ แมลง ไร เห็บ และโปรโตซัว อันมีประโยชน์ต่อการศึกษาด้านสัตวแพทย์คณะอักษรศาสตร์คณะอักษรศาสตร์. - พิพิธพัสดุ์ไท-กะได ชั้น 1 ปีกซ้าย อาคารมหาวชิราวุธ คณะอักษรศาสตร์ เป็นแหล่งรวมผลงานจากการทำวิจัยภาคสนามของ ศ. ดร.ปราณี กุลละวณิชย์ และ ศ. ดร.ธีระพันธ์ เหลืองทองคำจาก 4 ประเทศ คือ ประเทศจีน (ยูนาน กวางสี ไกวโจว และไฮนัน) ลาว เวียดนาม และไทย อาจารย์ได้ศึกษาศิลปวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ และภาษา และได้รวบรวมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย พร้อมเครื่องประดับของหญิงเผ่าไท-กะได และชนเผ่าในแขวงเขตเซกอง ลาวใต้ มามอบให้ศูนย์สารนิเทศมนุษยศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อเผยแพร่หอศิลป์หอศิลป์. - หอศิลปวิทยนิทรรศน์ ตั้งอยู่บริเวณ ชั้น 7 อาคารมหาธีรราชานุสรณ์หรือหอสมุดกลาง เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียนด้านศิลปะร่วมสมัยของประเทศไทยและต่างชาติ ทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการทางศิลปะของนิสิตทั้งระดับปริญญาบัณฑิตและระดับบัณฑิตศึกษา ปัจจุบันพื้นที่นี้ใช้จัดนิทรรศการ "จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย" แหล่งรวบรวมข้อมูลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรูปแบบดิจิทัล - หอศิลป์จามจุรี ตั้งอยู่ที่อาคารจามจุรี 8 ด้านข้างสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นหอศิลป์ที่เปิดให้บุคคลภายนอกสามารถจัดแสดงผลงานได้จัดแสดงศิลปกรรมประเภททัศนศิลป์เป็นส่วนใหญ่ เปิดให้ประชาชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในความดูแล ตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่, พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐานและพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน ณ เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีชีวิตนิสิต ชีวิตนิสิต. การเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะใช้เวลาใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีในการเรียน แต่สำหรับคณะครุศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ใช้เวลา 5 ปี ในขณะที่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์จะใช้เวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาการเรียน มีทั้งการเรียนในคณะของตนเอง และการเรียนวิชานอกคณะ ได้พบปะกับบุคคลและบรรยากาศการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไปของคณะอื่น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชมรมของมหาวิทยาลัย การเข้าชมรมของคณะ การเล่นกีฬา การร่วมเป็นอาสาสมัครในงานสำคัญต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยที่ทางองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนิสิตเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่มีมากมายในทุก ๆ คณะ หรือการพบปะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่โต๊ะโรงเรียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่นิสิตเดินทางเข้ามาเรียนจากหลายภาคของประเทศไทย ทำให้ความแตกต่างของรูปแบบการดำเนินชีวิตมีมาก หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำให้นิสิตได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคลในทุกด้าน ช่วยเสริมสร้างให้นิสิตผู้ที่จะเป็นบัณฑิตในอนาคตเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นการพักอาศัยของนิสิต การพักอาศัยของนิสิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีหอพักภายในมหาวิทยาลัย เรียกว่า "หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" หรือชื่อที่นิสิตหอพักเรียกกันมายาวนานกว่า 70 ปี ว่า "ซีมะโด่ง" เปิดดำเนินการใน พ.ศ. 2461 มีพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของถนนพญาไท ตรงข้ามกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เนื่องจากหอพักมีจำนวนจำกัดและราคาถูกกว่าหอพักภายนอกที่ตั้งอยู่ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอพักนิสิตฯ จึงมีขั้นตอนการคัดกรองนิสิตที่สมัครหลายด้าน เช่น รายได้และภาระหนี้สินของครอบครัว ประวัติการเข้าร่วมกิจกรรมและที่พักในกรุงเทพมหานครของนิสิต โดยหอจะแบ่งออกเป็น- หอพักนิสิตหญิง : - หอพุดตาน (อาคารสูง 14 ชั้น สีน้ำตาล) เป็นหอพักแบบอาคารสูงหลังแรกของของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพุดซ้อน (อาคารสูง 14 ชั้น สีขาว) เป็นหอพักหญิงล้วนหลังใหม่ที่สุด นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง ชั้นสองของอาคารหอพุดซ้อนเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักนิสิตฯ - หอพักจำปา (อาคารสูง 5 ชั้น สีขาว อยู่ถัดจากหอจำปี ) เมื่อแรกสร้างหอจำปาเคยเป็นหอพักชาย ปรับเปลี่ยนเป็นหอพักหญิง แบ่งชั้นให้พักทั้งหญิงและชายจนใน ปีการศึกษา 2557 หอพักจำปาจึงกลับมามีสถานะเป็นหอพักหญิงล้วน นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพักนิสิตชาย : - หอจำปี (อาคารสีขาว สูง 14 ชั้น) นิสิตพักได้ 4 คนต่อหนึ่งห้อง - หอพักแบบแยกชั้นนิสิตชาย-หญิง : - หอชวนชม (อาคารหลังใหม่สูง 17 ชั้นใกล้ทางเข้าด้านถนนพญาไท) นิสิตพักได้ 2 คนต่อหนึ่งห้อง ห้องพักนิสิตหญิงจะอยู่ชั้นที่ 2-12 ส่วนห้องพักนิสิตชายจะอยู่ชั้น 13-17 หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นพร้อมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2459 แต่เดิมหอพักตั้งอยู่ในบริเวณวังวินด์เซอร์ ปัจจุบันพื้นที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ตั้งของกรีฑาสถานแห่งชาติ หอพักนิสิตฯ มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับจนกระทั่งย้ายมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน ถือเป็นหอพักภายในมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีหอพักพวงชมพู หรือเรียกว่า หอ U-center ตั้งอยู่บริเวณหลังตลาดสามย่านแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่บริเวณมุมแยกสามย่าน ด้านข้างคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2546ชมรม ชมรม. การเข้าร่วมกิจกรรมชมรมในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีการจำกัดชั้นปี โดยชมรมของมหาวิทยาลัยนั้นเปิดให้นิสิตในแต่ละคณะรวมกัน และเจอกับนิสิตคณะอื่น พบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีชมรมที่จัดขึ้นเฉพาะคณะต่าง ๆ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตึกจุลจักรพงษ์ โดยชมรมต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่1. ชมรมสังกัดฝ่ายวิชาการ เช่น ชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี ชมรมวาทศิลป์และมนุษยสัมพันธ์ ชมรมประดิษฐ์และออกแบบ ชมรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 2. ชมรมสังกัดฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา ชมรมสลัม ชมรมโรตาแรคท์ เป็นต้น 3. ชมรมสังกัดฝ่ายศิลปและวัฒนธรรม เช่น ชมรมอีสาน ชมรมล้านนา ชมรมจุฬา-ทักษิณ ชมรมนักร้องประสานเสียง ชมรมศิลปการถ่ายภาพ เป็นต้น 4. ชมรมฝ่ายกีฬา เช่น ชมรมฟุตบอล ชมรมบริดจ์และหมากกระดาน เป็นต้นกิจกรรมในมหาวิทยาลัยกิจกรรมในมหาวิทยาลัย. - งานลอยกระทง : งานลอยกระทงจัดขึ้นทุกทุกปีในวันลอยกระทง จัดขึ้นโดยในงานมีจัดทำกระทงของแต่ละคณะ ขบวนพาเหรด และนางนพมาศจากแต่ละคณะมาประชันกัน และในตัวงานได้มีการจัดงานรื่นเริง พร้อมเกมการละเล่นโดยรอบบริเวณสระน้ำหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาลอยกระทงและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตจัดขึ้นทุกปี- การประชุมเชียร์ : คือ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อประสานความสัมพันธ์ของนิสิตปี 1 จุดประสงค์ของงานเพื่อให้นิสิตเรียนรู้เพลง ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมายาวนานของมหาวิทยาลัย โดยมักจัดขึ้นในห้องเชียร์ของแต่ละคณะ เพื่อให้นิสิตได้รู้จักเพื่อนในรุ่น งานรับน้องจัดโดยนิสิตรุ่นพี่ในคณะ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาทุกรุ่น- จุฬาฯ วิชาการ : จุฬาฯ วิชาการ เป็นนิทรรศการวิชาการที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี จัดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลภายนอก รวมทั้งนักเรียนจากระดับประถมถึงมัธยม ได้เรียนรู้ รวมทั้งเปิดให้นักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัย และบุคคลอื่นอื่นได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและพัฒนาในมหาวิทยาลัย ในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน “จุฬาฯ วิชาการ” ภายใต้ชื่องาน “จุฬาฯ Expo 2017” ระหว่างวันที่ 15 – 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 แนวคิดหลักของการจัดงานคือ “จุฬาฯ 100 ปี นวัตกรรม คิดทำเพื่อสังคม” “CU@100 toward greater innovation for society” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย และนิสิตจุฬาฯ ที่ครบครันและครอบคลุมทุกสาขาวิชา นำเสนอต่อสาธารณชน รวมทั้งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย- รับน้องก้าวใหม่ :งานก้าวใหม่จัดขึ้นทุกปี ช่วงก่อนเปิดการศึกษาภาคเรียนที่ 1 จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำนิสิตให้รู้จักมหาวิทยาลัย รวมทั้งฝึกให้นิสิตเข้าใหม่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นการละลายพฤติกรรมเข้าหากันระหว่างเพื่อน พี่ น้อง เป็นการรับน้องใหญ่ของมหาวิทยาลัยซึ่งนิสิตชั้นปีที่ 1 จะได้รู้จักเพื่อนต่างคณะและทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปงานรับน้องก้าวใหม่จะจัดทั้งหมด 3 วัน- กีฬาเฟรชชี่ : งานกีฬาระหว่างคณะจัดขึ้นช่วงสองเดือนแรกของการเปิดเทอม 1 ระหว่างนิสิตชั้นปี 1 ของแต่ละคณะ กีฬาแต่ละชนิดจัดขึ้นกระจายไปตามแต่ละที่ในมหาวิทยาลัย รวมทั้ง สนามกีฬาในร่ม อาคารเฉลิมราชสุดากีฬาสถาน (Sport Complex) และสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นิสิตว่า "สนามจุ๊บ"- กีฬา 5 หมอ : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์- ซียู อินเตอร์ เกม : งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ หลักสูตร BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, หลักสูตร EBA คณะเศรษฐศาสตร์, หลักสูตร INDA คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตร COMMDE คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, หลักสูตรภาษาอังกฤษ คณะนิเทศศาสตร์ (COMM'ARTS), หลักสูตร JIPP คณะจิตวิทยา, หลักสูตร ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์, หลักสูตร BSAC คณะวิทยาศาสตร์, และ หลักสูตร BALAC คณะอักษรศาสตร์องค์การบริหารสโมสรนิสิต องค์การบริหารสโมสรนิสิต. องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า “อบจ.” เป็นองค์กรของนิสิตที่จัดตั้งขึ้นตาม ระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วย สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529 มีหน้าที่บริหาร (ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารในสโมสรนิสิต) และดำเนินกิจกรรมส่วนกลางของมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาฯวิชาการ หรือ จุฬาฯ Expo งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ งานรับน้องก้าวใหม่ และงานลอยกระทงจุฬาฯ เป็นต้น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตคือบุคคลเดียวกับนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสโมสรนิสิตในอดีตที่มีชื่อเสียง เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นเป็นตัวแทนนิสิตจุฬาฯ เจรจากับรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คน จนเป็นผลสำเร็จ โดยตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสภานิสิต สภานิสิต. สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นองค์การนักศึกษาที่อยู่ภายใต้สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สจม.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 โดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และส่งเสริม คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย สภานิสิตฯ ได้มีบทบาททางการเมืองในการเรียกร้องเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ โดยตำแหน่งประธานสภานิสิตเป็นตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งสมาชิกสภานิสิตของแต่ละคณะและสำนักวิชาที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วในขั้นแรกเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตำแหน่งประธานสภานิสิตกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย. กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วม มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันกีฬา งานด้านวิชาการ ทั้งกิจกรรมระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมระดับคณะ หรือกิจกรรมระดับภาควิชา เช่น- ระดับมหาวิทยาลัย : - งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำปีที่จัดติดต่อกันมายาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ กิจกรรมนี้ได้รับความสนใจของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ อย่างมากในทุก ๆ ปี - งานรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เป็นการแข่งขันรักบี้ฟุตบอล ที่จัดขึ้นทุกปีติดต่อกันมาอย่างยาวนาน ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เช่นเดียวกับงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ แต่มีประวัติการกำเนิดที่ต่างกัน และจัดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกัน จัดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ - การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัย 5 แห่งแรกที่เริ่มส่งนิสิตเข้าร่วมการแข่งขัน - งานฟุตบอลยูลีก เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมฟุตบอลสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย - การประกวดมิสยูลีก เป็นการประกวด นักศึกษาสาว ในงานฟุตบอลยูลีก โดยคัดเลือกจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการฟุตบอลยูลีก - คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (CKT) เป็นงานแสดงร้องเพลงประสานเสียงที่จัดร่วมกันระหว่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(C) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(K) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(T) ซึ่งทั้งสามมหาวิทยาลัยล้วนได้รับพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย- ระดับคณะและระดับภาควิชา : คือกิจกรรมที่แต่ละคณะได้จัดการแข่งขันกับคณะหรือภาควิชาเดียวกันในมหาวิทยาลัยอื่น เช่น เกียร์เกมส์, กีฬาสามเส้า, กีฬาวิศวกรรมเคมีสัมพันธ์, อะตอมเกมส์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาเคมีสัมพันธ์, กีฬาสัมพันธภาพฟิสิกส์, กีฬาคณิตศาสตร์สัมพันธ์, กีฬาสิ่งแวดล้อมนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย, งานกีฬา-วิชาการจุลชีววิทยาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย(โคโลนีเกมส์), กีฬาเข็มสัมพันธ์, กีฬาสองเข็ม, กีฬาเภสัชสัมพันธ์, งานกอล์ฟประเพณีสัตวแพทย์จุฬาฯ - เกษตร, กีฬาสหเวชศาสตร์-เทคนิคการแพทย์สัมพันธ์, กีฬาเศรษฐสัมพันธ์, กีฬานิติสัมพันธ์, กีฬาสิงห์สัมพันธ์, กิจกรรมประเพณีสัมพันธ์ สิงห์ดำ-สิงห์แดง, งานจ๊ะเอ๋ลูกนก, ไม้เรียวเกมส์, วิทยาศาสตร์การกีฬาสัมพันธ์, งานวันอาร์ทส์, กีฬาสถิติสัมพันธ์, งานโลจิสติกส์สัมพันธ์, กีฬาเปิดกระป๋อง เป็นต้นการเดินทาง การเดินทาง. นิสิต บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมาจุฬาฯ ได้หลายเส้นทาง ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้ามหานคร และรถโดยสารประจำทางรถไฟฟ้า รถไฟฟ้า. สามารถเดินทางมายังจุฬาฯ ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้ามหานคร สำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอส ผู้โดยสารสามารถลงได้สองสถานี ได้แก่ สถานีสยามและสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ส่วนรถไฟฟ้ามหานคร สามารถลงได้สองสถานีเช่นเดียวกัน คือ สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2 เชื่อมต่อกับพื้นที่ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท และสถานีสีลม ทางออกที่ 2 เชื่อมต่อกับคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์รถโดยสารประจำทางรถโดยสารประจำทาง. - ถนนพระรามที่ 1 สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 11 (ผ่านช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ) 15 16 25 40 48 54 73 73ก 79 141 204 501 และ 508 - ถนนพระรามที่ 4 สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 4 21 45 46 47 50 67 93 109 141 172 และ 177 - ถนนพญาไท สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 21 25 29 34 36 40 47 50 93 113 141 172 177 187 501 529 และ 542 - ถนนอังรีดูนังต์ สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 16 21 และ 141 - ถนนบรรทัดทอง สายรถประจำทางที่ผ่านมหาวิทยาลัยด้านนี้จะผ่านเขตพาณิชยกรรมอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ สาย 67 และ 73รถโดยสารภายใน รถโดยสารภายใน. การเดินทางในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีรถโดยสารปรับอากาศขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า "รถ ปอพ." ให้บริการแก่นิสิต บุคลากร และผู้มาติดต่อภายในพื้นที่การศึกษาและพื้นที่พาณิชยกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยไม่คิดค่าบริการใด ๆ รถโดยสารนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 6 สาย ดังนี้- สายที่ 1: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ แยกเฉลิมเผ่า โรงภาพยนตร์ลิโด้ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 2: ศาลาพระเกี้ยว คณะวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อาคารจามจุรี 9 สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ อาคารวิทยพัฒนา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา (ถึงเวลา 17.00 น.) หอพักนิสิต สำนักงานมหาวิทยาลัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 3: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะวิทยาศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 4: ศาลาพระเกี้ยว คณะรัฐศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ แยกเฉลิมเผ่า โรงภาพยนตร์ลิโด้ คณะเภสัชศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อาคารจามจุรี 9 U-CENTER คณะนิติศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ - สายที่ 5: ระเบียงจามจุรี (หน้า 7-11) ธรรมสถาน สำนักงานจัดการทรัพย์สิน สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศาลาพระเกี้ยว - สายที่ 5A: ระเบียงจามจุรี (หน้า 7-11) ธรรมสถาน หลังอาคารวิทยทรัพยากร สาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม สาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม หอยูเซนเตอร์ นิติศาสตร์ ถนนพญาไท สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ศาลาพระเกี้ยว. (สาย 5A ให้บริการเฉพาะช่วงเปิดภาคเรียนของโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ) รถโดยสารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ และวันเสาร์จะให้บริการเพียงสาย 1 และสาย 2 เท่านั้น ผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูตำแหน่งของรถแต่ละสาย ประกาศกำหนดการเดินรถในงานพิธีต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและข้อมูลปลีกย่อยได้จากโปรแกรมประยุกต์ (application software) CU Popbus บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และไอโอเอส และจอแสดงตำแหน่งรถโดยสารภายในจุฬาฯ ที่ป้ายหยุดรถศาลาพระเกี้ยวจักรยานสาธารณะ จักรยานสาธารณะ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีจักรยานสาธารณะให้บริการแก่นิสิตและบุคลากรที่สมัครเป็นสมาชิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีชื่อที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า " CU BIKE " มีศูนย์บริการอยู่ที่ชั้น 1 อาคารมหิตลาธิเบศร และตั้งสถานีจักรยานอยู่หลายจุดทั่วพื้นที่ส่วนการศึกษาของจุฬาฯ ดังนี้- ประตูทางเชื่อมจัตุรัสจามจุรี - ลานจักรพงษ์ - อาคารบรมราชกุมารี - หอพักนิสิต - อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ (สำนักงานวิทยทรัพยากร) - อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10) - อาคารจามจุรี 9 ระบบยืม-คืนจักรยานเป็นระบบที่ทันสมัย สามารถบันทึกสถานะการใช้งานของสมาชิก ระยะทางที่ปั่น และต้องมีการใส่รหัสผ่านทุกครั้งที่จะยืมหรือคืน สถานีจักรยานทุกจุดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ในจักรยานแต่ละคันยังมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับให้พลังงานแก่ไฟส่องสว่างทั้งด้านหน้า ด้านหลังและเลี้ยงกล่องควบคุม โดยแปลงพลังงานกลจากการปั่นจักรยานเป็นพลังงานไฟฟ้า หากจำเป็นต้องจอดจักรยานชั่วคราวนอกสถานี สามารถดึงสายคล้องเพื่อล็อกตัวจักรยานไว้กับจุดจอดได้พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดให้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ณ ตึกบัญชาการ (อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ ในปัจจุบัน) โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่เวชบัณฑิต (แพทยศาสตรบัณฑิต) ของมหาวิทยาลัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทย ในการนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระองค์ด้วย หลังจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนั้นเสร็จสิ้นแล้ว สภามหาวิทยาลัยได้เสนอให้กระทรวงธรรมการกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตสงวนธรรมเนียมนี้ไว้ กล่าวคือ "ถือว่าการพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการหน้าที่นั่ง หากเสด็จไม่ได้ก็จะเป็นการถวายปฏิญญาต่อพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และรับพระราชทานปริญญาบัตรจากผู้แทนพระองค์" เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่มหาวิทยาลัยกราบบังคมทูลขอ ดังนั้น พิธีพระราชทานปริญญาบัตรจึงเป็นธรรมเนียมที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศนี้ นับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทย แขกผู้มีเกียรติระดับชาติและจากนานาอารยประเทศ เอกอัครราชทูต ผู้นำศาสนา มิชชันนารี ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนหน่วยงานรัฐบาลไทย ทหาร สื่อมวลชนไทยและนานาชาติทุกแขนงเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการสำคัญครั้งนี้ เพื่อแสดงความยินดีกับความเจริญวัฒนาของสยามประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวของพระองค์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เองเรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ในบางปีนั้นพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตในระดับปริญญาตรีด้วยพระองค์เอง ส่วนมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตนั้นจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรต่อหน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครุยพระบรมราชูปถัมภกแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญารัฐศาสตร์ดุษฎีกิตติมศักดิ์แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ใบแรกในรัชสมัยของพระองค์ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระปฐมบรมราโชวาทแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ดังนี้ ปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันสำคัญวันสำคัญ. - วันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ตรงกับวันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี โดยมีกิจกรรมต่อเนื่องกันหลายวัน เช่น พิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีอุปการคุณแก่มหาวิทยาลัย, พิธีตักบาตรในตอนเช้าวันที่ 26 มีนาคม, พิธีถวายชัยมงคลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน, การแสดงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์, งานคืนเหย้าของนิสิตเก่าจุฬาฯ ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าฯลฯ- วันอานันทมหิดล : ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร "พระผู้พระราชทานกำเนิดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดงานขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์- วันภาษาไทยแห่งชาติ : ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงอภิปรายเรื่อง "ปัญหาการใช้คำไทย" ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้เสนอต่อรัฐบาลให้กำหนดวันที่ 29 กรกฎาคม เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"- วันทรงดนตรี : ตรงกับวันที่ 20 กันยายน ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรี ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างปี 2500-2516 โดยจุฬาฯ จัดงานรำลึกวันทรงดนตรีขึ้นเป็นประจำทุกปี- วันปิยมหาราช : ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ซึ่งคณะผู้บริหารและนิสิต จุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ เช่น งานปิยมหาราชานุสรณ์ หารายได้สมทบเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิต เป็นประจำทุกปี- วันมหาธีรราชเจ้า : ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระผู้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" โดยในวันนี้ คณะผู้บริหารและนิสิตจุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคม ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมพินี รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ เช่น งานมหาธีรราชเจ้าคอนเสิร์ต ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี- วันภูมิพล : เป็นวันที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกันประกอบกิจกุศล โดยการบริจาคทุนทรัพย์และสิ่งของนำไปแจกจ่ายแก่เด็กอนาถาตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ บรรดานิสิตอาสาสมัครจะไปแสดงดนตรี และให้ความสนุกสนานรื่นเริงแก่เด็ก ๆ การบำเพ็ญประโยชน์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อการน้อมเกล้าฯ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และโดยเสด็จพระราชกุศลในดิถีอันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาบุคคลสำคัญคณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร บุคคลสำคัญ. คณาจารย์ ศิษย์เก่าและบุคลากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถประสาทปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาได้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2473 ผู้สำเร็จการศึกษาและคณาจารย์รวมถึงบุคลากรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรอิสระเป็นจำนวนมากเจ้าฟ้าอาจารย์ เจ้าฟ้าอาจารย์. ตลอดระยะเวลานับแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศ์หลายพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานการสอน ดังนี้- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย - ทรงสอนวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)- สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก - ทรงสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลังและวิชาประวัติศาสตร์ แก่นิสิตเตรียมแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ นิสิตคณะวิทยาศาสตร์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทรงสอนระหว่าง พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2468 ทรงพระราชทานพระดำริเกี่ยวกับการพัฒนามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ตลอดจนทรงติดตามมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ให้ช่วยพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาขึ้นจนถึงปัจจุบัน- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ - ทรงสอนที่คณะอักษรศาสตร์ ในรายวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสของนิสิตชั้นปี 2 ถึง ปี 4- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี - ทรงสอนวิชาอารยธรรมไทย (Thai Civilization) แก่นิสิตทุกคณะที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้ ปัจจุบันพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนี้แล้ว ทั้งนี้พระองค์ยังทรงเป็นนิสิตเก่าคณะอักษรศาสตร์ด้วยคณาจารย์ คณาจารย์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนิสิตเก่าจำนวนมากที่ปัจจุบันกลับมาเป็นอาจารย์และมีชื่อเสียงในวงการวิชาการ เช่น- ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ - นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประมวล วีรุตมเสน - ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช - นายกรัฐมนตรี คนที่ 6 ของประเทศไทย ผู้จัดตั้งจัดตั้งขบวนการเสรีไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอดีตนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - พระเจริญวิศวกรรม - ผู้วางรากฐานให้แก่วงการวิศวกรรมศาสตร์ของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ - นักวิจัยผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติระดับโลก เจ้าของผลงานทางวิชาการที่มีประโยชน์เชิงพาณิชและสังคมจำนวนมาก - ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว - นักวิจัยผู้บุกเบิกด้านเคมีคอมพิวเตอร์ และคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ - ว่าที่ร้อยตรี รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ - อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์และ "นักสื่อสารวิทยาศาสตร์" เป็นผู้อธิบายเรื่องเหลือเชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ - นายแพทย์ สำลี เปลี่ยนบางช้าง - คนไทยคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แพทย์เกียรติยศแพทยสภา ศาสตราภิชานวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา - ประธานกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดลคนแรกของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย) พ.ศ. 2557 นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ พ.ศ. 2545 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ - ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ - ที่ปรึกษาในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 34/2560บุคลากร บุคลากร. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีบุคลากรที่ไม่ใช่นิสิตเก่ามาทำหน้าที่สำคัญทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัยรวมถึงบริหารในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก โดยมีหลายท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและนานาชาติ เช่น- แปลก พิบูลสงคราม - นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยและอดีตอธิการบดี เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านมาสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น การตราพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล - อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์และทรงเป็นศาสตราจารย์องค์แรกของประเทศไทย - ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แอลเลอร์ เอลลิส - อดีตอธิการบดีในยุคมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์เข้าช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยให้สมบูรณ์ตามอย่างตะวันตก เป็นรากฐานให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล - รองศาสตราจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด - อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักฟิสิกส์และกรรมการรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ - ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร - อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2541 ผู้มีชื่อเสียงในวงการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการวิชาการไทย เช่น A History of Thailand - ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ - ศาสตราจารย์กิตติคุณประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ยังมีนิสิตเก่า คณาจารย์และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ ปลัดกระทรวง ข้าราชการระดับสูง นักวิจัยระดับนานาชาติ คณะองคมนตรีไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ 8 คน นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ 3 คน นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ (พ.ศ. 2427-2559) กว่า 103 คน นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น 13 คน (2525-2557) เมธีวิจัยอาวุโส สกว. 55 คน ศิลปินแห่งชาติ 38 คน (2528-2559) นิสิตเก่าและบุคลากรผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นของแพทยสภาแห่งประเทศไทย 12 คน และแพทย์เกียรติยศแพทยสภา 2 คน นักกีฬาโอลิมปิค นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ศิลปิน นักแสดง นักดนตรีของประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมากการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวและมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวและมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน. นโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว. มหาวิทยาลัยสีเขียวเป็นนโยบายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547- พ.ศ. 2551 โดยเริ่มตั้งแต่การจัดทำโครงการผังแม่บทจุฬาฯ 100 ปี ให้มีแนวแกนสีเขียว ทั้งแกนด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก และแนวแกนเหนือ-ใต้ เพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวที่จะรับน้ำ และเพิ่มความร่มรื่นให้มหาวิทยาลัย จำกัดพื้นที่ก่อสร้างให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนด นอกจากนั้นยังมีการริเริ่มโครงการรถประจำทางไฟฟ้าภายในมหาวิทยาลัย เพื่อลดการสัญจรด้วยรถยนต์และลดมลภาวะ โครงการนำใบไม้ไปหมักเป็นปุ๋ยได้มีการดำเนินงานและใช้ผลผลิตนั้นกับต้นไม้ในมหาวิทยาลัยมาจนปัจจุบันในช่วง พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555 นโยบายมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการต่อเนื่อง มีการสร้างอาคารจอดรถริมถนนใหญ่สาธารณะเพื่อลดปริมาณรถยนต์ที่จะวิ่งเข้ามาภายใน ขยายโครงการรถประจำทางไฟฟ้าโดยเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น และให้บริการฟรี ซึ่งเป็นที่นิยมของนิสิต บุคลากร และผู้มาติดต่อจำนวนสนับสนุนการเดินเท้าโดยสร้างหลังคาคลุมทางเดินไปตามถนนหลายสายในมหาวิทยาลัย มีโครงการจุฬารักษ์โลกสนับสนุนการใช้จักรยานแทนรถยนต์ และรณรงค์ชาวจุฬาฯร่วมกันปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น เพิ่มบรรยากาศร่มเย็นให้มากขึ้น รื้ออาคารเก่าที่ทรุดโทรมโดยการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวสำหรับซึมซับน้ำในมหาวิทยาลัย ขยายโครงการรีไซเคิลขยะหลายประเภท ใบไม้ กระดาษ พลาสติก เศษอาหาร และงดการใช้โฟมเป็นภาชนะใส่อาหาร เพิ่มโครงการประหยัดพลังงานด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบปรับอากาศ พร้อมด้วยการรณรงค์ให้นิสิตและบุคลากร ร่วมมือกันประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยมีนโยบายนำ "มหาวิทยาลัยสีเขียว" ไปสู่ "มหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน" สานต่อโครงการในสี่ปีก่อนให้เข้มแข็ง และดำเนินโครงการวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานอาคารเขียวในมหาวิทยาลัยรวมถึงเพิ่มการปรับปรุงอาคารเดิม เพื่อการประหยัดการใช้พลังงาน เริ่มโครงการวิจัยหาแนวทางดำเนินการลดคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาวิทยาลัย เพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อเก็บน้ำสำหรับรีไซเคิลให้มีปริมาณมากขึ้น ใน พ.ศ. 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Ranking ให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยในไทย ติดต่อกันสองปี ในระดับโลก จุฬาฯ ไดรับการจัดอันดับให้เป็นที่ 30 ของโลก และเป็นอันดับที่ 4 ของโลกในประเภทมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง (City Center University) จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยไทยแห่งเดียวที่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของโลก
| สัญลักษณ์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคืออะไร | {
"answer": [
"พระเกี้ยว"
],
"answer_begin_position": [
11292
],
"answer_end_position": [
11301
]
} |
2,036 | 12,209 | ไทยบางแก้ว ไทยบางแก้ว หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า บางแก้ว () สุนัขประเภทสปิตซ์สายพันธุ์หนึ่ง ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย และถือเป็นสุนัขไทยสายพันธุ์เดียวที่มีขนยาวสองชั้น หางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียวฉลาดประวัติ ประวัติ. ประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยบางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยบางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า หมาจิ้งจอก และหมาใน หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยงสุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิตติศัพท์ในความดุของสุนัขที่วัดบางแก้วนี้เอง จึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยบางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ตำบลท่านางงามและตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเฝ้าบ้านเรือนหรือเรือกสวนไร่นาทางภาคใต้และภาคตะวันออก เหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยบางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด เพราะพื้นที่ในเขตตำบลท่านางงาม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งสุนัขจิ้งจอกและหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้งจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง ซึ่งเรื่องนี้ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วจึงมีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้าย หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ มีความสวยงาม ในต้นปี พ.ศ. 2557 ปรากฏข่าวว่าสุนัขบางแก้วของไชยา มิตรชัย พระเอกลิเกและนักร้องนักแสดงชื่อดัง ได้ทำการปกป้องบ้านของผู้เป็นเจ้าของที่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ไว้ด้วยชีวิต ขณะที่เจ้าตัวไม่อยู่ที่บ้าน ด้วยการกัดเอาคนร้ายที่ปีนขึ้นบ้านจนเลือดสาด ไม่สามารถทำการโจรกรรมสำเร็จ และถูกแทงตามลำตัวเป็นแผลได้รับบาดเจ็บ โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ไชยา มิตรชัย ได้หาซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้วมาเลี้ยงเพิ่มเติมอีก 10 ตัว ด้วยหวั่นคนร้ายจะหวนกลับมาล้างแค้น ทำให้ความนิยมในตัวสุนัขบางแก้วพุ่งสูงขึ้นอย่างยิ่ง หลายฟาร์มเพาะพันธุ์ที่จังหวัดพิษณุโลก ได้มีลูกค้าหลายรายมาจอง ทำให้ราคาพุ่งสูงสุดถึงตัวละ 250,000 บาท และแม้แต่ชาวเนเธอร์แลนด์ก็ยังมีการติดต่อขอซื้อไปเลี้ยงยังประเทศของตัวเองมาตรฐานสายพันธุ์ มาตรฐานสายพันธุ์. มีขนปุยยาว มีความสง่างาม ว่องไวและแข็งแรง เวลายืนมักเชิดหน้าและโก่งคอคล้ายม้า เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว หน้าแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมีสองชั้น นิสัยรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกหัดได้ ชอบเล่นน้ำมาก ขนาดเท่าสุนัขไทยทั่วไป หรือเล็กกว่าเล็กน้อย ไม่อ้วน ความสูงวัดที่ไหล่ ตัวผู้พ่อพันธุ์สูง 42-53 เซนติเมตร ตัวเมียแม่พันธุ์ 38-48 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมีย 13-15 กิโลกรัม ลำตัว ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงตัวตอนท้ายค่อนข้างเล็ก ลำตัวหนาปานกลาง อกลึกปานกลาง อกแคบ ยืดอกเวลายืน ส่วนเอวจะคอดน้อยกว่าหมาไทย ท้ายลาด สง่าเหมือนสุนัขจิ้งจอก ส่วนขา ขาหน้าจะใหญ่กว่าขาหลังเล็กน้อย ขาส่วนบนใหญ่และเรียวลงมาถึงข้อเท้า ตั้งตรงแข็งแรง ถ้าดูด้านข้างจะเห็นขนยาวเป็นเส้นตรงจากข้อเท้าด้านหลังขึ้นไปถึงข้อศอกเหมือนขาสิงห์ ขาหลังช่วงล่างมีทั้งตั้งตรงและเกือบตรง ช่วงบนด้านหลังจะมีขนยาว เป็นเส้นตรงขึ้นไปจนถึงโคนหาง เวลายืนท่าปกติจะรับน้ำหนักทรงตัวดี นิ้วเรียงชิดกัน ขนที่ปลายนิ้วยาวหุ้มเล็บ หัว กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้น ตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนไปข้างๆ เล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นสุนัขบางแก้ว ภายในหูมีขนปรายปิดรูหูอย่างสีดำมีแววของความไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้า ใสแววที่เรียกกันว่า ตาเขียว จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กข่าวคม มีเขี้ยวข้างบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปานดำเหมือนสุนัขไทยทั่วไป ขนสองชั้น หนา ชั้นล่างละเอียดอ่อนนิ่ม ขนชั้นบนยาวเป็นเส้น เมื่อยังเล็กจะมีขนยาวปุกปุยแน่นทั่วตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะมีขนยาวปานกลางแน่นทั้งตัว ขนที่กลางหลังตั้งแต่แผงคอไปยังโคนหางจะยาวกว่าขนบริเวณอื่น ๆ มีแผงขนเป็นชั้นช่วงสันหลัง เวลาโกรธจะฟูยกให้เห็นชัดเจน ด้านล่างจากข้อเท้าตอนล่างถึงโคนขาตอนบนจะมีขนยาวฟูพอประมาณ หางต้องเป็นพวง ถือเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอกลักษณะใบหน้า ลักษณะใบหน้า. 1. ลักษณะหน้าเสือ ใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง โคนหูตั้งอยู่ห่างกัน หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตาเซื่องซึม พื้นสีตามักจะเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีขนย้อยจากโคนหูด้านล่างเป็นแผงที่คอ เรียกว่า แผงคอ แต่ไม่รอบคอ ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีหางเป็นพวง ทั้งหางงอ และหางม้วน แลดูดุร้าย 2. ลักษณะหน้าสิงโต มีกะโหลกศีรษะเล็กกว่าลักษณะหน้าเสือ หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ป้องไปข้างหน้ารับกับใบหน้าอย่างสวยงาม ปากไม่เรียวแหลมมาก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีขนยาวตั้งแต่โคนหูลงมาด้านล่าง เป็นแผงรอบคอ และมีขนเป็นเคราจากใต้คางย้อยลงมาเหมือนคอพอกลงมาถึงคอด้านล่าง ที่บริเวณรอบลำคอมีขนยาวโดยรอบ มีทั้งขนสั้นฟูและฟูยาว เมื่องมองจากดานหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงโต ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางมีทั้งม้วนสูงและม้วนต่ำ เป็นพวงและไม่เป็นพวง ช่วงตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและท่าทางเซื่องซึม แต่เมื่อเป็นศัตรูปรือคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะหน้าสิงโตเป็นลักษณะที่หายากมาก นาน ๆ จึงจะพบเห็นสักตัวหนึ่ง 3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าลักษณะหน้าเสือและหน้าสิงโต ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปากแหลมเรียวและค่อนข้างยาว ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลางและเล็ก อุปนิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก
| สุนัขพันธุ์ไทยบางแก้วมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดใดในประเทศไทย | {
"answer": [
"พิษณุโลก"
],
"answer_begin_position": [
621
],
"answer_end_position": [
629
]
} |
2,037 | 12,209 | ไทยบางแก้ว ไทยบางแก้ว หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า บางแก้ว () สุนัขประเภทสปิตซ์สายพันธุ์หนึ่ง ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย และถือเป็นสุนัขไทยสายพันธุ์เดียวที่มีขนยาวสองชั้น หางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียวฉลาดประวัติ ประวัติ. ประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยบางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยบางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า หมาจิ้งจอก และหมาใน หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยงสุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิตติศัพท์ในความดุของสุนัขที่วัดบางแก้วนี้เอง จึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยบางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ตำบลท่านางงามและตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเฝ้าบ้านเรือนหรือเรือกสวนไร่นาทางภาคใต้และภาคตะวันออก เหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยบางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด เพราะพื้นที่ในเขตตำบลท่านางงาม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งสุนัขจิ้งจอกและหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้งจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง ซึ่งเรื่องนี้ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วจึงมีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้าย หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ มีความสวยงาม ในต้นปี พ.ศ. 2557 ปรากฏข่าวว่าสุนัขบางแก้วของไชยา มิตรชัย พระเอกลิเกและนักร้องนักแสดงชื่อดัง ได้ทำการปกป้องบ้านของผู้เป็นเจ้าของที่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ไว้ด้วยชีวิต ขณะที่เจ้าตัวไม่อยู่ที่บ้าน ด้วยการกัดเอาคนร้ายที่ปีนขึ้นบ้านจนเลือดสาด ไม่สามารถทำการโจรกรรมสำเร็จ และถูกแทงตามลำตัวเป็นแผลได้รับบาดเจ็บ โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ไชยา มิตรชัย ได้หาซื้อลูกสุนัขพันธุ์บางแก้วมาเลี้ยงเพิ่มเติมอีก 10 ตัว ด้วยหวั่นคนร้ายจะหวนกลับมาล้างแค้น ทำให้ความนิยมในตัวสุนัขบางแก้วพุ่งสูงขึ้นอย่างยิ่ง หลายฟาร์มเพาะพันธุ์ที่จังหวัดพิษณุโลก ได้มีลูกค้าหลายรายมาจอง ทำให้ราคาพุ่งสูงสุดถึงตัวละ 250,000 บาท และแม้แต่ชาวเนเธอร์แลนด์ก็ยังมีการติดต่อขอซื้อไปเลี้ยงยังประเทศของตัวเองมาตรฐานสายพันธุ์ มาตรฐานสายพันธุ์. มีขนปุยยาว มีความสง่างาม ว่องไวและแข็งแรง เวลายืนมักเชิดหน้าและโก่งคอคล้ายม้า เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว หน้าแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมีสองชั้น นิสัยรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกหัดได้ ชอบเล่นน้ำมาก ขนาดเท่าสุนัขไทยทั่วไป หรือเล็กกว่าเล็กน้อย ไม่อ้วน ความสูงวัดที่ไหล่ ตัวผู้พ่อพันธุ์สูง 42-53 เซนติเมตร ตัวเมียแม่พันธุ์ 38-48 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมีย 13-15 กิโลกรัม ลำตัว ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงตัวตอนท้ายค่อนข้างเล็ก ลำตัวหนาปานกลาง อกลึกปานกลาง อกแคบ ยืดอกเวลายืน ส่วนเอวจะคอดน้อยกว่าหมาไทย ท้ายลาด สง่าเหมือนสุนัขจิ้งจอก ส่วนขา ขาหน้าจะใหญ่กว่าขาหลังเล็กน้อย ขาส่วนบนใหญ่และเรียวลงมาถึงข้อเท้า ตั้งตรงแข็งแรง ถ้าดูด้านข้างจะเห็นขนยาวเป็นเส้นตรงจากข้อเท้าด้านหลังขึ้นไปถึงข้อศอกเหมือนขาสิงห์ ขาหลังช่วงล่างมีทั้งตั้งตรงและเกือบตรง ช่วงบนด้านหลังจะมีขนยาว เป็นเส้นตรงขึ้นไปจนถึงโคนหาง เวลายืนท่าปกติจะรับน้ำหนักทรงตัวดี นิ้วเรียงชิดกัน ขนที่ปลายนิ้วยาวหุ้มเล็บ หัว กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้น ตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนไปข้างๆ เล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นสุนัขบางแก้ว ภายในหูมีขนปรายปิดรูหูอย่างสีดำมีแววของความไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้า ใสแววที่เรียกกันว่า ตาเขียว จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กข่าวคม มีเขี้ยวข้างบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปานดำเหมือนสุนัขไทยทั่วไป ขนสองชั้น หนา ชั้นล่างละเอียดอ่อนนิ่ม ขนชั้นบนยาวเป็นเส้น เมื่อยังเล็กจะมีขนยาวปุกปุยแน่นทั่วตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะมีขนยาวปานกลางแน่นทั้งตัว ขนที่กลางหลังตั้งแต่แผงคอไปยังโคนหางจะยาวกว่าขนบริเวณอื่น ๆ มีแผงขนเป็นชั้นช่วงสันหลัง เวลาโกรธจะฟูยกให้เห็นชัดเจน ด้านล่างจากข้อเท้าตอนล่างถึงโคนขาตอนบนจะมีขนยาวฟูพอประมาณ หางต้องเป็นพวง ถือเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอกลักษณะใบหน้า ลักษณะใบหน้า. 1. ลักษณะหน้าเสือ ใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง โคนหูตั้งอยู่ห่างกัน หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตาเซื่องซึม พื้นสีตามักจะเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีขนย้อยจากโคนหูด้านล่างเป็นแผงที่คอ เรียกว่า แผงคอ แต่ไม่รอบคอ ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีหางเป็นพวง ทั้งหางงอ และหางม้วน แลดูดุร้าย 2. ลักษณะหน้าสิงโต มีกะโหลกศีรษะเล็กกว่าลักษณะหน้าเสือ หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ป้องไปข้างหน้ารับกับใบหน้าอย่างสวยงาม ปากไม่เรียวแหลมมาก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีขนยาวตั้งแต่โคนหูลงมาด้านล่าง เป็นแผงรอบคอ และมีขนเป็นเคราจากใต้คางย้อยลงมาเหมือนคอพอกลงมาถึงคอด้านล่าง ที่บริเวณรอบลำคอมีขนยาวโดยรอบ มีทั้งขนสั้นฟูและฟูยาว เมื่องมองจากดานหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงโต ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางมีทั้งม้วนสูงและม้วนต่ำ เป็นพวงและไม่เป็นพวง ช่วงตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและท่าทางเซื่องซึม แต่เมื่อเป็นศัตรูปรือคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะหน้าสิงโตเป็นลักษณะที่หายากมาก นาน ๆ จึงจะพบเห็นสักตัวหนึ่ง 3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าลักษณะหน้าเสือและหน้าสิงโต ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปากแหลมเรียวและค่อนข้างยาว ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลางและเล็ก อุปนิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก
| หางที่เป็นพวงของสุนัขพันธุ์ไทยบางแก้วนั้นเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมากจากสัตว์ชนิดใด | {
"answer": [
"สุนัขจิ้งจอก"
],
"answer_begin_position": [
4725
],
"answer_end_position": [
4737
]
} |
2,038 | 175,106 | โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ดูเพิ่มเติม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ เป็นหนึ่งในยี่สิบเอ็ดแห่งของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายประวัติ ประวัติ. เมื่อปี พ.ศ. 2447 ได้มีการก่อตั้ง “สุขศาลาท่าบ่อ” ขึ้นเพื่อบริการด้านการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอำเภอท่าบ่อเป็นแห่งแรก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองร้อยอาสารักษาดินแดนในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 ได้ย้ายที่ทำการมาอยู่แห่งใหม่ คือบริเวณที่ตั้งโรงพยาบาลปัจจุบัน และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สถานีอนามัยชั้น 1” โดยมีเตียงรับคนไข้ภายใน 10 เตียง ประกอบด้วย นายแพทย์ประจำ 1 คน สารวัตรสุขาภิบาล พนักงานอนามัย นางสงเคราะห์ (พยาบาล)ผดุงครรภ์ พนักงานบำบัดโรคเรื้อน และนักการอย่างละ 1 คน ส่วนด้านการรักษาพยาบาล ถ้ามีคนไข้หนักก็นำส่งโรงพยาบาลหนองคาย เนื่องจากเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนแพทย์และเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ส่วนเจ้าหน้าที่อื่นๆ เช่น ด้านส่งเสริมสุขภาพ สุขาภิบาลป้องกันโรค ต้องรับผิดชอบงานทุกตำบลในเขตอำเภอท่าบ่อ เนื่องจากยังไม่มีสถานีอนามัยตำบล หรือสำนักงานผดุงครรภ์ ประมาณปี พ.ศ. 2517 กระทรวงสาธารณสุข ได้วางโครงการขยายงานด้านการรักษาพยาบาลออกไปสู่เขตชุมชนมากขึ้น “สถานีอนามัยชั้น 1” จึงมีการพัฒนามากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์การแพทย์และอนามัย” ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ก็ได้ยกระดับมาเป็น “โรงพยาบาลท่าบ่อ” แต่การบริการด้านการรักษาพยาบาลก็ยังคงรูปแบบเดิม คือมีเตียงรักษาผู้ป่วย 10 เตียง มีแพทย์ประจำ 1 คน ปี พ.ศ. 2520 ได้รับการยกฐานะให้เป็นโรงพยาบาล 30 เตียง มีแพทย์ประจำปฏิบัติงาน มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น และเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2520 รัฐบาลร่วมกับพสกนิกรชาวไทย ได้บริจาคทุนทรัพย์ร่วมกันจัดสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้นในอำเภอต่างๆ ทั่วประเทศจำนวน 21 แห่ง โรงพยาบาลท่าบ่อได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ” และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2520 และเสด็จฯ มาทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2522 ในปี พ.ศ. 2524 กระทรวงสาธารณสุขขออนุมัติให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ขยายจากขนาด 30 เตียงเป็นโรงพยาบาล 60 เตียง และต่อมาก็ได้ยกฐานะเป็นโรงพยาบาลขนาด 90 เตียง ปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อได้ขยายเป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง เป็นโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายของโรงพยาบาลชุมชนในเขตจังหวัดหนองคายตอนเหนือ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสังคม โรงพยาบาลศรีเชียงใหม่ และโรงพยาบาลโพธิ์ตาก ตลอดจนสถานีอนามัยในเขตอำเภอท่าบ่ออีกด้วย
| โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อตั้งอยู่ที่จังหวัดใดในประเทศไทย | {
"answer": [
"หนองคาย"
],
"answer_begin_position": [
297
],
"answer_end_position": [
304
]
} |
2,039 | 175,106 | โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ดูเพิ่มเติม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ เป็นหนึ่งในยี่สิบเอ็ดแห่งของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายประวัติ ประวัติ. เมื่อปี พ.ศ. 2447 ได้มีการก่อตั้ง “สุขศาลาท่าบ่อ” ขึ้นเพื่อบริการด้านการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวอำเภอท่าบ่อเป็นแห่งแรก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองร้อยอาสารักษาดินแดนในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 ได้ย้ายที่ทำการมาอยู่แห่งใหม่ คือบริเวณที่ตั้งโรงพยาบาลปัจจุบัน และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สถานีอนามัยชั้น 1” โดยมีเตียงรับคนไข้ภายใน 10 เตียง ประกอบด้วย นายแพทย์ประจำ 1 คน สารวัตรสุขาภิบาล พนักงานอนามัย นางสงเคราะห์ (พยาบาล)ผดุงครรภ์ พนักงานบำบัดโรคเรื้อน และนักการอย่างละ 1 คน ส่วนด้านการรักษาพยาบาล ถ้ามีคนไข้หนักก็นำส่งโรงพยาบาลหนองคาย เนื่องจากเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนแพทย์และเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ส่วนเจ้าหน้าที่อื่นๆ เช่น ด้านส่งเสริมสุขภาพ สุขาภิบาลป้องกันโรค ต้องรับผิดชอบงานทุกตำบลในเขตอำเภอท่าบ่อ เนื่องจากยังไม่มีสถานีอนามัยตำบล หรือสำนักงานผดุงครรภ์ ประมาณปี พ.ศ. 2517 กระทรวงสาธารณสุข ได้วางโครงการขยายงานด้านการรักษาพยาบาลออกไปสู่เขตชุมชนมากขึ้น “สถานีอนามัยชั้น 1” จึงมีการพัฒนามากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์การแพทย์และอนามัย” ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ก็ได้ยกระดับมาเป็น “โรงพยาบาลท่าบ่อ” แต่การบริการด้านการรักษาพยาบาลก็ยังคงรูปแบบเดิม คือมีเตียงรักษาผู้ป่วย 10 เตียง มีแพทย์ประจำ 1 คน ปี พ.ศ. 2520 ได้รับการยกฐานะให้เป็นโรงพยาบาล 30 เตียง มีแพทย์ประจำปฏิบัติงาน มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น และเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2520 รัฐบาลร่วมกับพสกนิกรชาวไทย ได้บริจาคทุนทรัพย์ร่วมกันจัดสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้นในอำเภอต่างๆ ทั่วประเทศจำนวน 21 แห่ง โรงพยาบาลท่าบ่อได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ” และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2520 และเสด็จฯ มาทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2522 ในปี พ.ศ. 2524 กระทรวงสาธารณสุขขออนุมัติให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ขยายจากขนาด 30 เตียงเป็นโรงพยาบาล 60 เตียง และต่อมาก็ได้ยกฐานะเป็นโรงพยาบาลขนาด 90 เตียง ปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อได้ขยายเป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง เป็นโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่ายของโรงพยาบาลชุมชนในเขตจังหวัดหนองคายตอนเหนือ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสังคม โรงพยาบาลศรีเชียงใหม่ และโรงพยาบาลโพธิ์ตาก ตลอดจนสถานีอนามัยในเขตอำเภอท่าบ่ออีกด้วย
| โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อเป็นโรงพยาบาลขนาดกี่เตียงในปี พ.ศ. 2561 | {
"answer": [
"200"
],
"answer_begin_position": [
2180
],
"answer_end_position": [
2183
]
} |
2,040 | 678,924 | นางงามจักรวาล 1973 นางงามจักรวาล 1973 () เป็นการจัดการประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 22 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ณ Odeon of Herodes Atticus, เอเธนส์, กรีซ ในปีนี้มีผู้เข้าประกวด 61 คน จากทั่วโลก โดยมี เคอร์รี่ แอนน์ เวลส์ นางงามจักรวาลปี 1972 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ มาร์การิตา โมราน สาวงามวัย 19 ปีจากประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผู้ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลในปีนี้ผลการประกวดลำดับที่รางวัลพิเศษลำดับการประกาศชื่อ12 คนสุดท้ายลำดับการประกาศชื่อ. 12 คนสุดท้าย. 1. อินเดีย 2. อาร์เจนตินา 3. บราซิล 4. ฟิลิปปินส์ 5. อิสราเอล 6. สหรัฐอเมริกา 7. โคลอมเบีย 8. ญี่ปุ่น 9. สเปน 10. เลบานอน 11. กรีซ 12. นอร์เวย์5 คนสุดท้าย5 คนสุดท้าย. 1. สหรัฐอเมริกา 2. ฟิลิปปินส์ 3. นอร์เวย์ 4. อิสราเอล 5. สเปนคณะกรรมการคณะกรรมการ. - เอล คอร์โดเบส - มาทาดอร์ - ฌอง-ปิแอร์ ออมองค์ - นักแสดง - ฮอร์สท์ บุชโฮลซ์ - นักแสดง - อาภัสรา หงสกุล - นางงามจักรวาล 1965 จากประเทศไทย - ฮานาเอะ โมริ - ดีไซเนอร์ - ลินน์ เรดเกรฟ - นักแสดง - เอดิลสัน ซิด วาเรลา - โปรดิวเซอร์รายการทีวี - เอิร์ล วิลสัน - คอลัมนิสต์ - วอลต์ เฟรซิเออร์ - นักบาสเกตบอล - เฮราคลีส มาทิโอพูโลส - จิงเจอร์ โรเจอร์ส - นักแสดงผู้เข้าประกวด ผู้เข้าประกวด. มี 61 ผู้เข้าประกวด ดังต่อไปนี้- - ซูซานา โรเมโร - - โมนิกา โอดูเบอร์ - - ซูซาน เมนเวริง - - โรสวิธา โคบาลด์ - - คริสเตียน เดวิช - - จูดี ริชาร์ดส - - โรซานา ซิทติก ฮาร์บ - - ซานดรา มารา - - เดโบราห์ ดูชาร์ม - - ชิรานตี วิคเครเมซิง - - เจนเนตต์ โรเบิร์ตสัน - - อนา ลูเซีย อกูเดโล - - มาเรีย โรซาริโอ โมรา บาดิลลา - - อินจิบอร์ก ซีลินสกี - - โจฮานนา เมลานิโอโดส - - เอเนตต์ แกรงค์วิสต์ - - ลิลี เฟอร์นานเดซ - - อิเวตต์ โรเมโร - - เวโรนิกา แอน ครอส - - ไรจา สตาร์ค - - นาเดีย อิซาเบลล์ ครูแมคเกอร์ - - ดักมา วิงค์เลอร์ - - วานา ปาปาดากิ - - เบียทริซ เบนิโต - - โมนีค โบรเจลด์ - - ซูยาปา กอนซาเลซ - - อีเลน ซง - - ฟาร์ซานา ฮาบิบ - - พอลลีน ฟิตซ์ไซมอนส์ - - ลิมอร์ ชริบแมน - - อันโตเนลลา บาร์ชี- - รีตา เฟย์ เชมเบอร์ส - - มิโยโกะ โซเมทานิ - - ยอง-จู คิม - - มาร์เซลล์ เฮอร์โร - - ลิเดีย เมส - - มาร์กาเรต ลู - - มาร์ทีส ไวการ์ - - รอสซานา วิลลาเรส โมเรโน - - พาเมลา คิง - - อนา ซีซิเลีย ซาราเวีย ลานซาส - - ไอนา วาลเล - - จีนีน ลิซัวอิน - - เทเรซิตา มาเรีย คาโน - - มาร์การิตา โมราน - - คาร์ลา บาร์รอส - - วาเนสซา โคลอน - - แคโรไลน์ มีด - - เดบรา เดอ ซูซา - - มาเรีย เดล โรซิโอ มาร์ติน - - อีวอน มา เอจอง - - โมนิกา ซุนดิน - - บาร์บารา ชอตตลิ - - กนกอร บุญมา - - คาเมลลา คิง - - ยิลดิซ อาร์แฮน - - โยแลนดา เฟอร์รารี - - อแมนดา โจนส์ - - เดสิรี โรแลนโด - - ซินดี ริชาร์ดส์ - - เดียดรี กรีนแลนด์รายละเอียดของการประกวดรายละเอียดของการประกวด. - ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลเป็นคนที่ 2 ของประเทศและคนที่ 5 ของทวีปเอเชีย (คนแรกในปี 1969)- ประเทศที่ผ่านเข้ารอบในปีที่แล้วด้วย ได้แก่ , , , , และ - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1971 - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1970 - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1969- ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน- ชนะรางวัล นางงามมิตรภาพ เป็นครั้งแรก - ชนะรางวัล ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรก - ชนะรางวัล ขวัญใจช่างภาพ เป็นครั้งที่สอง- เป็นประเทศที่ 4 ที่ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลมากกว่า 1 คน (ต่อจาก , , และ ) - เป็นคนที่ 2 ที่ได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ และได้ตำแหน่งนางงามจักรวาล (ต่อจากนางงามจักรวาลปี 1966)
| การประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 22 จัดขึ้นที่ประเทศใด | {
"answer": [
"กรีซ"
],
"answer_begin_position": [
255
],
"answer_end_position": [
259
]
} |
2,041 | 678,924 | นางงามจักรวาล 1973 นางงามจักรวาล 1973 () เป็นการจัดการประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 22 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ณ Odeon of Herodes Atticus, เอเธนส์, กรีซ ในปีนี้มีผู้เข้าประกวด 61 คน จากทั่วโลก โดยมี เคอร์รี่ แอนน์ เวลส์ นางงามจักรวาลปี 1972 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ มาร์การิตา โมราน สาวงามวัย 19 ปีจากประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผู้ครองตำแหน่งนางงามจักรวาลในปีนี้ผลการประกวดลำดับที่รางวัลพิเศษลำดับการประกาศชื่อ12 คนสุดท้ายลำดับการประกาศชื่อ. 12 คนสุดท้าย. 1. อินเดีย 2. อาร์เจนตินา 3. บราซิล 4. ฟิลิปปินส์ 5. อิสราเอล 6. สหรัฐอเมริกา 7. โคลอมเบีย 8. ญี่ปุ่น 9. สเปน 10. เลบานอน 11. กรีซ 12. นอร์เวย์5 คนสุดท้าย5 คนสุดท้าย. 1. สหรัฐอเมริกา 2. ฟิลิปปินส์ 3. นอร์เวย์ 4. อิสราเอล 5. สเปนคณะกรรมการคณะกรรมการ. - เอล คอร์โดเบส - มาทาดอร์ - ฌอง-ปิแอร์ ออมองค์ - นักแสดง - ฮอร์สท์ บุชโฮลซ์ - นักแสดง - อาภัสรา หงสกุล - นางงามจักรวาล 1965 จากประเทศไทย - ฮานาเอะ โมริ - ดีไซเนอร์ - ลินน์ เรดเกรฟ - นักแสดง - เอดิลสัน ซิด วาเรลา - โปรดิวเซอร์รายการทีวี - เอิร์ล วิลสัน - คอลัมนิสต์ - วอลต์ เฟรซิเออร์ - นักบาสเกตบอล - เฮราคลีส มาทิโอพูโลส - จิงเจอร์ โรเจอร์ส - นักแสดงผู้เข้าประกวด ผู้เข้าประกวด. มี 61 ผู้เข้าประกวด ดังต่อไปนี้- - ซูซานา โรเมโร - - โมนิกา โอดูเบอร์ - - ซูซาน เมนเวริง - - โรสวิธา โคบาลด์ - - คริสเตียน เดวิช - - จูดี ริชาร์ดส - - โรซานา ซิทติก ฮาร์บ - - ซานดรา มารา - - เดโบราห์ ดูชาร์ม - - ชิรานตี วิคเครเมซิง - - เจนเนตต์ โรเบิร์ตสัน - - อนา ลูเซีย อกูเดโล - - มาเรีย โรซาริโอ โมรา บาดิลลา - - อินจิบอร์ก ซีลินสกี - - โจฮานนา เมลานิโอโดส - - เอเนตต์ แกรงค์วิสต์ - - ลิลี เฟอร์นานเดซ - - อิเวตต์ โรเมโร - - เวโรนิกา แอน ครอส - - ไรจา สตาร์ค - - นาเดีย อิซาเบลล์ ครูแมคเกอร์ - - ดักมา วิงค์เลอร์ - - วานา ปาปาดากิ - - เบียทริซ เบนิโต - - โมนีค โบรเจลด์ - - ซูยาปา กอนซาเลซ - - อีเลน ซง - - ฟาร์ซานา ฮาบิบ - - พอลลีน ฟิตซ์ไซมอนส์ - - ลิมอร์ ชริบแมน - - อันโตเนลลา บาร์ชี- - รีตา เฟย์ เชมเบอร์ส - - มิโยโกะ โซเมทานิ - - ยอง-จู คิม - - มาร์เซลล์ เฮอร์โร - - ลิเดีย เมส - - มาร์กาเรต ลู - - มาร์ทีส ไวการ์ - - รอสซานา วิลลาเรส โมเรโน - - พาเมลา คิง - - อนา ซีซิเลีย ซาราเวีย ลานซาส - - ไอนา วาลเล - - จีนีน ลิซัวอิน - - เทเรซิตา มาเรีย คาโน - - มาร์การิตา โมราน - - คาร์ลา บาร์รอส - - วาเนสซา โคลอน - - แคโรไลน์ มีด - - เดบรา เดอ ซูซา - - มาเรีย เดล โรซิโอ มาร์ติน - - อีวอน มา เอจอง - - โมนิกา ซุนดิน - - บาร์บารา ชอตตลิ - - กนกอร บุญมา - - คาเมลลา คิง - - ยิลดิซ อาร์แฮน - - โยแลนดา เฟอร์รารี - - อแมนดา โจนส์ - - เดสิรี โรแลนโด - - ซินดี ริชาร์ดส์ - - เดียดรี กรีนแลนด์รายละเอียดของการประกวดรายละเอียดของการประกวด. - ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลเป็นคนที่ 2 ของประเทศและคนที่ 5 ของทวีปเอเชีย (คนแรกในปี 1969)- ประเทศที่ผ่านเข้ารอบในปีที่แล้วด้วย ได้แก่ , , , , และ - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1971 - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1970 - และ เข้ารอบก่อนหน้านี้เมื่อปี 1969- ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน - ผ่านเข้ารอบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน- ชนะรางวัล นางงามมิตรภาพ เป็นครั้งแรก - ชนะรางวัล ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรก - ชนะรางวัล ขวัญใจช่างภาพ เป็นครั้งที่สอง- เป็นประเทศที่ 4 ที่ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลมากกว่า 1 คน (ต่อจาก , , และ ) - เป็นคนที่ 2 ที่ได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพ และได้ตำแหน่งนางงามจักรวาล (ต่อจากนางงามจักรวาลปี 1966)
| ใครเป็นผู้ชนะการประกวดนางงามจักรวาลปี 1973 | {
"answer": [
"มาร์การิตา โมราน"
],
"answer_begin_position": [
370
],
"answer_end_position": [
386
]
} |
2,042 | 146,943 | อีริค ชาเวซ อีริค ชาเวซ (Eric Chavez) หรือ เคนตะ ซาโตะ นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ มีชื่อจริงว่า อัลเกริโอ ชาเวซ เกิดเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2505 สถิติการชก 60 ครั้ง ชนะ 39 (น็อค 24) เสมอ 5 แพ้ 16ประวัติ ประวัติ. ชาเวซขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ชนะคะแนน จูน กาเวโร จากนั้นชกชนะและเสมอโดยไม่แพ้ใครจนถึง พ.ศ. 2532 โดยเคยชกชนะน็อค ดอมมี่ เออร์ซัว จูเนียร์ ยก 1 และชนะน็อค จอห์น เมดิน่า ยก 5 จากนั้นขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นมินิฟลายเวท IBF เมื่อ 21 กันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งชาเวชเป็นฝ่ายชนะน็อคนิกโก้ โทมัส ยก 5 ได้แชมป์มาครอง แต่พอขึ้นป้องกันแชมป์ครั้งแรก ชาเวชมาแพ้แตกฟ้าลั่น ศักดิ์กรีรินทร์ ยก 7 เสียแชมป์ไปเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ชาเวชขึ้นชกชนะน็อค ทวีเลิศ ต.บุญเลิศ ยก 3 จากนั้นจึงชกแก้มือกับฟ้าลั่นอีกครั้งเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งชาเวชเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไป ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ ในช่วง พ.ศ. 2534 - 2535 การชกของชาเวชตกต่ำมาก ชกแพ้ตลอด โดยแพ้ แมนนี่ เมลชอร์ แอนดี้ ทานาบาส โนเอล ทูนาเกา เมลวิน มากราโม นอกจากนั้น ยังมาชกนอกรอบในไทย แพ้พะเนียง พูนธรัตน์ โตโต้ ป.พงษ์สว่าง และ ห้าดาว ซีพียิม ในช่วง พ.ศ. 2536 – 2537 จากนั้น การชกของชาเวชเริ่มดีขึ้น ชกชนะคะแนน เจอรี่ ปาฮายาไฮ และได้ไปเป็นมวยสร้างในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ เคนตะ ซาโตะ ชกชนะคะแนน อัศวิน ศิษย์หลักเมือง และชนะน็อค นกน้อย ส.ธนิกุล ชาเวชเดินทางมาชกในไทยสองครั้งในช่วงปลายปี พ.ศ. 2538 ชนะน็อค ฤทธิชัย เกียรติประภัสร์ ยก 4 และชิงแชมป์ PABA รุ่นมินิมัมเวท ชนะน็อค ขวัญใจ สามเคแบตเตอรี ยก 1 ได้แชมป์ไปครอง จากนั้น ชาเวชขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวท WBA เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ปรากฏว่าเป็นฝ่ายแพ้คะแนนโรเซนโด อัลวาเรซแบบไม่เอกฉันท์ จากนั้น ชาเวชกลับมาชกที่ฟิลิปปินส์และชกแพ้เป็นส่วนใหญ่ หลังที่ขึ้นชิงแชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBOเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2541 แพ้คะแนน มซูกิซี มาราลี ที่แอฟริกาใต้แล้ว ชาเวชก็แขวนนวมไปเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวท IBF- ชิง 21 กันยายน 2532 ชนะน็อค นิกโก้ โธมัส ยก 5 ที่ อินโดนีเซีย - เสียแชมป์ 22 กุมภาพันธ์ 2533 แพ้แตก ฟ้าลั่น ลูกมิ่งขวัญ ยก 7 ที่ เวทีมวยราชดำเนิน - แชมป์ PABA รุ่นมินิมั่มเวท- ชิง 2 ธันวาคม 2538 ชนะน็อค ขวัญใจ 3เคแบตเตอรี่ ยก 1 ที่ สระแก้ว - สละแชมป์ - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวท IBF เมื่อ 15 สิงหาคม 2533 แพ้คะแนน ฟ้าลั่น ลูกมิ่งขวัญ ที่เวทีมวยราชดำเนิน - ชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวท WBA เมื่อ 15 มิถุนายน 2539 แพ้คะแนน โรเซนโด อัลบาเรซ ที่ ญี่ปุ่น - ชิงแชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBOเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2541 แพ้คะแนน มซูกิซี มาราลี ที่แอฟริกาใต้
| อีริค ชาเวซ นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ มีชื่อจริงว่าอะไร | {
"answer": [
"อัลเกริโอ ชาเวซ"
],
"answer_begin_position": [
179
],
"answer_end_position": [
194
]
} |
2,043 | 146,943 | อีริค ชาเวซ อีริค ชาเวซ (Eric Chavez) หรือ เคนตะ ซาโตะ นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ มีชื่อจริงว่า อัลเกริโอ ชาเวซ เกิดเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2505 สถิติการชก 60 ครั้ง ชนะ 39 (น็อค 24) เสมอ 5 แพ้ 16ประวัติ ประวัติ. ชาเวซขึ้นชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ชนะคะแนน จูน กาเวโร จากนั้นชกชนะและเสมอโดยไม่แพ้ใครจนถึง พ.ศ. 2532 โดยเคยชกชนะน็อค ดอมมี่ เออร์ซัว จูเนียร์ ยก 1 และชนะน็อค จอห์น เมดิน่า ยก 5 จากนั้นขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นมินิฟลายเวท IBF เมื่อ 21 กันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งชาเวชเป็นฝ่ายชนะน็อคนิกโก้ โทมัส ยก 5 ได้แชมป์มาครอง แต่พอขึ้นป้องกันแชมป์ครั้งแรก ชาเวชมาแพ้แตกฟ้าลั่น ศักดิ์กรีรินทร์ ยก 7 เสียแชมป์ไปเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ชาเวชขึ้นชกชนะน็อค ทวีเลิศ ต.บุญเลิศ ยก 3 จากนั้นจึงชกแก้มือกับฟ้าลั่นอีกครั้งเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งชาเวชเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไป ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ ในช่วง พ.ศ. 2534 - 2535 การชกของชาเวชตกต่ำมาก ชกแพ้ตลอด โดยแพ้ แมนนี่ เมลชอร์ แอนดี้ ทานาบาส โนเอล ทูนาเกา เมลวิน มากราโม นอกจากนั้น ยังมาชกนอกรอบในไทย แพ้พะเนียง พูนธรัตน์ โตโต้ ป.พงษ์สว่าง และ ห้าดาว ซีพียิม ในช่วง พ.ศ. 2536 – 2537 จากนั้น การชกของชาเวชเริ่มดีขึ้น ชกชนะคะแนน เจอรี่ ปาฮายาไฮ และได้ไปเป็นมวยสร้างในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ เคนตะ ซาโตะ ชกชนะคะแนน อัศวิน ศิษย์หลักเมือง และชนะน็อค นกน้อย ส.ธนิกุล ชาเวชเดินทางมาชกในไทยสองครั้งในช่วงปลายปี พ.ศ. 2538 ชนะน็อค ฤทธิชัย เกียรติประภัสร์ ยก 4 และชิงแชมป์ PABA รุ่นมินิมัมเวท ชนะน็อค ขวัญใจ สามเคแบตเตอรี ยก 1 ได้แชมป์ไปครอง จากนั้น ชาเวชขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวท WBA เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ปรากฏว่าเป็นฝ่ายแพ้คะแนนโรเซนโด อัลวาเรซแบบไม่เอกฉันท์ จากนั้น ชาเวชกลับมาชกที่ฟิลิปปินส์และชกแพ้เป็นส่วนใหญ่ หลังที่ขึ้นชิงแชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBOเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2541 แพ้คะแนน มซูกิซี มาราลี ที่แอฟริกาใต้แล้ว ชาเวชก็แขวนนวมไปเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวท IBF- ชิง 21 กันยายน 2532 ชนะน็อค นิกโก้ โธมัส ยก 5 ที่ อินโดนีเซีย - เสียแชมป์ 22 กุมภาพันธ์ 2533 แพ้แตก ฟ้าลั่น ลูกมิ่งขวัญ ยก 7 ที่ เวทีมวยราชดำเนิน - แชมป์ PABA รุ่นมินิมั่มเวท- ชิง 2 ธันวาคม 2538 ชนะน็อค ขวัญใจ 3เคแบตเตอรี่ ยก 1 ที่ สระแก้ว - สละแชมป์ - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวท IBF เมื่อ 15 สิงหาคม 2533 แพ้คะแนน ฟ้าลั่น ลูกมิ่งขวัญ ที่เวทีมวยราชดำเนิน - ชิงแชมป์โลกรุ่นมินิมัมเวท WBA เมื่อ 15 มิถุนายน 2539 แพ้คะแนน โรเซนโด อัลบาเรซ ที่ ญี่ปุ่น - ชิงแชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBOเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2541 แพ้คะแนน มซูกิซี มาราลี ที่แอฟริกาใต้
| แชมป์มวยสากลโลกรุ่นมินิฟลายเวท IBF ในปีพ.ศ. 2532 คือใคร | {
"answer": [
"อีริค ชาเวซ"
],
"answer_begin_position": [
98
],
"answer_end_position": [
109
]
} |
2,044 | 201,854 | ไตรกีฬา ไตรกีฬา คือการแข่งขันกีฬา 3 ประเภท ต่อเนื่องกัน คือ- ว่ายน้ำ - ขี่จักรยาน - วิ่ง ระยะทางในการแข่งขันกีฬานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระยะทางแตกต่างกันออกไปดังนี้ โดยจะแบ่งตามลำดับดังนี้ ว่ายน้ำ/จักรยาน/วิ่ง กิโลเมตร- Sprint Distance 0.75/20/5 - Olympic Distance 1.5/40/10 (เป็นระยะที่ใช้ในการแข่งโอลิมปิก ITU การแข่งขันระดับชาติอื่นๆ) - Half Ironman 1.9/90/21 (รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งคือ Ironman 70.3 มาจากระยะทางรวมเมื่อคิดเป็นหน่วยไมล์) - Ironman 3.8/180/42 ทั้งนี้อาจะมีระยะการแข่งขันที่นอกเหนือจากนี้เช่น ITU Long Distance และ Super Sprint เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการแต่ละรายการแข่งขันด้วย เช่นในประเทศไทยรายการที่มือชื่อเสียงมากที่สุดของการแข่งไตรกีฬาในประเทศไทยคือ Laguna Phuket Triathlon ก็จะมีระยะทาง 1.8/55/12 กม. ซึ่งในปี 2553 Laguna ได้จัดการแข่งขัน IRONMAN 70.3 ขึ้นต่อจากการแข่งขันLaguna Phuket Triathlon ส่วนรายการแข่งอย่างเป็นทางการที่จัดโดยสมคมไตรกีฬาในประเทศไทยเช่น แม่น้ำโขงไตรกีฬา และรายการชิงแชมป์ประเทศไทยก็จะใช้ระยะ Olympic Distance ในการแข่งขัน ในบางรายการก็จะมีระยะ Sprint Distance เพื่อให้เยาวชนหรือมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นไตรกีฬาสามารถลงแข่งขันได้ประวัติไตรกีฬา ประวัติไตรกีฬา. พบว่าการแข่งขันไตรกีฬานั้นเริ่มครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศสในระหว่างปี 1920 – 1930 ซึ่งเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "Les trois sports" ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีการแข่งขันนี้อยู่โดยอยู่ใกล้กับ Joinville le pont ใน Meulan และ Poissy มีการรายงานครั้งแรกในปี 1920 ในหนังสือพิมพ์ชื่อ "L´Auto" ได้รายงานถึงการแข่งขันนี้ซึ่งประกอบไปด้วยกีฬา 3 ประเภทได้แก่ วิ่ง 3 กม. ขี่จักรยาน 12 กม. และว่ายน้ำข้ามคลอง Marne โดยไม่มีการหยุดพัก และในปี 1934ได้มีบทความเกี่ยวกับ "Les trois sports" ที่พูดถึงการแข่งขันในเมือง Rochelle ซึ่งเริ่มด้วยการว่ายน้ำข้ามคลอง 200 ม. ขี่จักรยาน 10 กม. และวิ่ง 1.2 กม. การพูดถึงไตรกีฬานั้นเป็นที่กล่าวกันในวงแคบๆจนกระทั่งในปี 1974 ที่ Mission Bay ใน ซานดีเอโก้ ได้มี สโมสรกีฬาที่ชื่อ San Diego Track Club ซึ่งมีกลุ่มนักกีฬาในที่ประกอบไปด้วย นักวิ่ง นักว่ายน้ำ และนักจักรยาน ซึ่งก็ได้กลายเป็นการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการเกิดขึ้นในกลุ่ม ซึ่งคิดค้นขึ้นโดย Jack Johnstone และ Don Shanahan โดยมีการแข่งขันครั้งแรกที่ Mission Bay นี่เอง ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 กันยายน 1974 โดยมีนักกีฬาเข้าร่วมในการแข่งขันทั้งหมด 46 คน โดยใช้ชื่อการแข่งขันว่า Mission Bay Triathlon โดยเริ่มต้นด้วยการวิ่ง 6 ไมล์ จักรยาน 5 ไมล์ และปิดท้ายด้วยการว่ายน้ำ 500 หลา จนกระทั่งในปี 1988 ณ เมือง stockholm ประเทศสวีเดน ได้ทำการประชุม Triathlon National Federations เพื่อหาคณะทำงานสำหรับการจัดการแข่งขันไตรกีฬา และในปี 1989 ณ เมือง Avignon ประเทศฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้ง International Triathlon Union (ITU) ขึ้นซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันไตรกีฬาชิงแชมป์โลกขึ้นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนี้ โดยมีระยะการแข่งขันเท่ากับระยะ Olympic ในปัจจุบัน ในปี 1991 International Olympic Committee (IOC)หรือ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล มีการเล็งเห็นความพยายามสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและการผลักดันอย่างต่อเนื่องของ ITU จึงได้มีแนวความคิดที่จะเสนอให้ไตรกีฬาเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่จะบรรจุลงในการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งขณะนั้น ไตรกีฬาก็ได้เผยแพร่ไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลกแล้ว ซึ่งการผลักดันนี้ประสบความสำเร็จในปี 1994 คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้บรรจุไตรกีฬาให้เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของการแข่งขัน โดยจะได้ปรากฏในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกในปี 2000 ที่เมือง Sydney ประเทศออสเตรเลียวิธีการเล่น วิธีการเล่น. นักกีฬาที่ได้ลงทะเบียนแล้วจะได้หมายเลขแทนของแต่ละบุคคล ซึ่งจะได้รับสติกเกอร์สำหรับติดที่ส่วนต่างๆของอุปกรณ์การแข่งเช่นหมวกกันน็อค หรือจักรยานทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการเช็คเลขหมายของกรรมการ และจะมีการเขียนหรือประทับหมายเลขนั้นที่แขนและขาของนักกีฬาแต่ละคนอีกครั้งในวันแข่ง ในวันแข่งขันนักกีฬาจะต้องทำการนำอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้มารวมกันไว้ ณ พื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่า 'Transition Area' หรือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของชนิดกีฬา จากนั้นนักกีฬาจะถูกนำตัวไปปล่อยสำหรับการเริ่มกีฬาว่ายน้ำ หลังจากนั้นก็จะเข้ามาที่ Transition Area เพื่อเปลี่ยนเป็นจักรยาน และเมื่อครบระยะทางก็จะต้องกลับเข้ามาใน Transition Area อีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเป็นวิ่งในลำดับสุดท้าย
| การแข่งไตรกีฬาประกอบไปด้วยการแข่งว่ายน้ำ วิ่ง และกีฬาประเภทใด | {
"answer": [
"ขี่จักรยาน"
],
"answer_begin_position": [
153
],
"answer_end_position": [
163
]
} |
2,045 | 201,854 | ไตรกีฬา ไตรกีฬา คือการแข่งขันกีฬา 3 ประเภท ต่อเนื่องกัน คือ- ว่ายน้ำ - ขี่จักรยาน - วิ่ง ระยะทางในการแข่งขันกีฬานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระยะทางแตกต่างกันออกไปดังนี้ โดยจะแบ่งตามลำดับดังนี้ ว่ายน้ำ/จักรยาน/วิ่ง กิโลเมตร- Sprint Distance 0.75/20/5 - Olympic Distance 1.5/40/10 (เป็นระยะที่ใช้ในการแข่งโอลิมปิก ITU การแข่งขันระดับชาติอื่นๆ) - Half Ironman 1.9/90/21 (รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งคือ Ironman 70.3 มาจากระยะทางรวมเมื่อคิดเป็นหน่วยไมล์) - Ironman 3.8/180/42 ทั้งนี้อาจะมีระยะการแข่งขันที่นอกเหนือจากนี้เช่น ITU Long Distance และ Super Sprint เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการแต่ละรายการแข่งขันด้วย เช่นในประเทศไทยรายการที่มือชื่อเสียงมากที่สุดของการแข่งไตรกีฬาในประเทศไทยคือ Laguna Phuket Triathlon ก็จะมีระยะทาง 1.8/55/12 กม. ซึ่งในปี 2553 Laguna ได้จัดการแข่งขัน IRONMAN 70.3 ขึ้นต่อจากการแข่งขันLaguna Phuket Triathlon ส่วนรายการแข่งอย่างเป็นทางการที่จัดโดยสมคมไตรกีฬาในประเทศไทยเช่น แม่น้ำโขงไตรกีฬา และรายการชิงแชมป์ประเทศไทยก็จะใช้ระยะ Olympic Distance ในการแข่งขัน ในบางรายการก็จะมีระยะ Sprint Distance เพื่อให้เยาวชนหรือมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นไตรกีฬาสามารถลงแข่งขันได้ประวัติไตรกีฬา ประวัติไตรกีฬา. พบว่าการแข่งขันไตรกีฬานั้นเริ่มครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศสในระหว่างปี 1920 – 1930 ซึ่งเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "Les trois sports" ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีการแข่งขันนี้อยู่โดยอยู่ใกล้กับ Joinville le pont ใน Meulan และ Poissy มีการรายงานครั้งแรกในปี 1920 ในหนังสือพิมพ์ชื่อ "L´Auto" ได้รายงานถึงการแข่งขันนี้ซึ่งประกอบไปด้วยกีฬา 3 ประเภทได้แก่ วิ่ง 3 กม. ขี่จักรยาน 12 กม. และว่ายน้ำข้ามคลอง Marne โดยไม่มีการหยุดพัก และในปี 1934ได้มีบทความเกี่ยวกับ "Les trois sports" ที่พูดถึงการแข่งขันในเมือง Rochelle ซึ่งเริ่มด้วยการว่ายน้ำข้ามคลอง 200 ม. ขี่จักรยาน 10 กม. และวิ่ง 1.2 กม. การพูดถึงไตรกีฬานั้นเป็นที่กล่าวกันในวงแคบๆจนกระทั่งในปี 1974 ที่ Mission Bay ใน ซานดีเอโก้ ได้มี สโมสรกีฬาที่ชื่อ San Diego Track Club ซึ่งมีกลุ่มนักกีฬาในที่ประกอบไปด้วย นักวิ่ง นักว่ายน้ำ และนักจักรยาน ซึ่งก็ได้กลายเป็นการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการเกิดขึ้นในกลุ่ม ซึ่งคิดค้นขึ้นโดย Jack Johnstone และ Don Shanahan โดยมีการแข่งขันครั้งแรกที่ Mission Bay นี่เอง ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 กันยายน 1974 โดยมีนักกีฬาเข้าร่วมในการแข่งขันทั้งหมด 46 คน โดยใช้ชื่อการแข่งขันว่า Mission Bay Triathlon โดยเริ่มต้นด้วยการวิ่ง 6 ไมล์ จักรยาน 5 ไมล์ และปิดท้ายด้วยการว่ายน้ำ 500 หลา จนกระทั่งในปี 1988 ณ เมือง stockholm ประเทศสวีเดน ได้ทำการประชุม Triathlon National Federations เพื่อหาคณะทำงานสำหรับการจัดการแข่งขันไตรกีฬา และในปี 1989 ณ เมือง Avignon ประเทศฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้ง International Triathlon Union (ITU) ขึ้นซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันไตรกีฬาชิงแชมป์โลกขึ้นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนี้ โดยมีระยะการแข่งขันเท่ากับระยะ Olympic ในปัจจุบัน ในปี 1991 International Olympic Committee (IOC)หรือ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล มีการเล็งเห็นความพยายามสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและการผลักดันอย่างต่อเนื่องของ ITU จึงได้มีแนวความคิดที่จะเสนอให้ไตรกีฬาเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่จะบรรจุลงในการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งขณะนั้น ไตรกีฬาก็ได้เผยแพร่ไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลกแล้ว ซึ่งการผลักดันนี้ประสบความสำเร็จในปี 1994 คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้บรรจุไตรกีฬาให้เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของการแข่งขัน โดยจะได้ปรากฏในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกในปี 2000 ที่เมือง Sydney ประเทศออสเตรเลียวิธีการเล่น วิธีการเล่น. นักกีฬาที่ได้ลงทะเบียนแล้วจะได้หมายเลขแทนของแต่ละบุคคล ซึ่งจะได้รับสติกเกอร์สำหรับติดที่ส่วนต่างๆของอุปกรณ์การแข่งเช่นหมวกกันน็อค หรือจักรยานทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการเช็คเลขหมายของกรรมการ และจะมีการเขียนหรือประทับหมายเลขนั้นที่แขนและขาของนักกีฬาแต่ละคนอีกครั้งในวันแข่ง ในวันแข่งขันนักกีฬาจะต้องทำการนำอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้มารวมกันไว้ ณ พื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่า 'Transition Area' หรือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของชนิดกีฬา จากนั้นนักกีฬาจะถูกนำตัวไปปล่อยสำหรับการเริ่มกีฬาว่ายน้ำ หลังจากนั้นก็จะเข้ามาที่ Transition Area เพื่อเปลี่ยนเป็นจักรยาน และเมื่อครบระยะทางก็จะต้องกลับเข้ามาใน Transition Area อีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเป็นวิ่งในลำดับสุดท้าย
| การแข่งไตรกีฬาเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศใด | {
"answer": [
"ฝรั่งเศส"
],
"answer_begin_position": [
1238
],
"answer_end_position": [
1246
]
} |
2,046 | 150,067 | ซูการ์โน เบนจาโอ ซูการ์โน เบนจาโอ (Sukarno Banjao) นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ เกิดที่เมือง Cadiz City ประเทศฟิลิปปินส์ สถิติการชก 30 ครั้ง ชนะ 19 (น็อค 13) เสมอ 1 แพ้ 10ประวัติ ประวัติ. เบนจาโอขึ้นชกมวยสากลครั้งแรกเมื่อ 18 กันยายน พ.ศ. 2542 ชนะน็อค หลุยส์ เอสกามีญาส ยก 1 ที่ ฟิลิปปินส์ จากนั้น ขึนชกชนะเป็นส่วนใหญ่ จนได้ชิงแชมป์ฟิลิปปินส์รุ่นไลท์ฟลายเวทเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 แต่แพ้คะแนน โจวาน เพรสบีเตโร ไม่ได้แชมป์ จากนั้น เดินทางมาชิงแชมป์ PABA รุ่นฟลายเวทในไทย เมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2545 แพ้คะแนน เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต จากนั้นเบนจาโอยังขึ้นชกอย่างต่อเนื่อง และเคยมาชกในไทย แพ้คะแนน ดวงเพชร แสงมรกตและวิษณุ ก่อเกียรติยิมเมื่อ พ.ศ. 2546 จากนั้น ได้ขึ้นชิงแชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBF ที่ว่าง เมื่อ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 ชนะน็อค ยองกี้ อาฟรีซัด ยก 6 ได้แชมป์มาครอง และขึ้นชกป้องกันแชมป์ได้ 1 ครั้ง เมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ชนะน็อค วิษณุ ก่อเกียรติยิม ในยกที่ 9 ต่อจากนั้น เบนจาโอได้ชิงแชมป์ฟิลิปปินส์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวทที่ว่างเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2548 แพ้คะแนน เซลโซ่ แดงก๊อด ไม่ได้แชมป์ เบนจาโอขึ้นชกครั้งสุดท้ายเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 แพ้น็อค ฮาเวียร์ มาลูลัน ยก 4 จากนั้นก็แขวนนวมไปเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์เงารุ่นฟลายเวท WBF- ชิง 25 กันยายน 2547 ชนะน็อค ยองกี้ อาฟรีซัล ยก 6 ที่ ฟิลิปปินส์ - เสียแชมป์ 17 มิถุนายน 2548 แพ้คะแนน เซลโซ่ แดงก๊อด ที่ ฟิลิปปินส์ - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์ PABA รุ่นฟลายเวทเมื่อ 16 เมษายน 2545 แพ้คะแนน เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต ที่ หัวหิน
| ซูการ์โน เบนจาโอเป็นนักมวยสากลสัญชาติใด | {
"answer": [
"ฟิลิปปินส์"
],
"answer_begin_position": [
155
],
"answer_end_position": [
165
]
} |
2,050 | 940,246 | รอลโลแห่งนอร์ม็องดี รอลโล หรือ กาอาง รอล์ฟ (, ภาษานอร์มัน: Rou, , ; ค.ศ. 846 – 930) เป็นชาวไวกิ้งที่กลายเป็นผู้ปกครองคนแรกของนอร์ม็องดี บางครั้งก็ถูกเรียกว่าดยุคที่ 1 แห่งนอร์ม็องดี ชื่อสแกนดิเนเวียของเขาคือ รอล์ฟ ที่ถูกขยายเพิ่มว่า กาอาง รอล์ฟ เนื่องจากเขามีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าที่ม้าโตเต็มวัยจะแบกไหว เขาจึงต้องเดิน (หรือ "gaa" ในภาษาดาโนนอร์วีเจียน) รอลโลปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะบุคคลที่โดดเด่นท่ามกลางชาวนอร์ส ที่มีฐานที่มั่นถาวรที่มั่นคงบนผืนแผ่นดินของชาวแฟรงก์ในหุบเขาแม่น้ำเซนล่าง พระเจ้าชาร์ลผู้เรียบง่าย กษัตริย์แห่งเวสต์ฟรังเกีย ยกดินแดนระหว่างปากแม่น้ำเซนกับเมืองรูอ็องในปัจจุบันให้เขา แลกกับการให้รอลโลยินยอมยุติการปล้นทรัพย์และให้การคุ้มกันชาวแฟรงก์จากการรุกรานของชาวไวกิ้งในอนาคต รอลโลได้รับการบันทึกครั้งแรกในฐานะผู้นำของผู้ตั้งรกรากชาวไวกิ้งกลุ่มดังกล่าวในกฎบัตรของ ค.ศ. 918 และเขาครองตำแหน่งในแคว้นนอร์ม็องดีจนถึง ค.ศ. 928 เป็นอย่างน้อย เขาได้รับการสืบทอดต่อโดยบุตรชาย วิลเลี่ยมผู้ดาบยาว ในดัชชีนอร์ม็องดีที่เขาก่อตั้ง ลูกหลานของรอลโลกับผู้ติดตามกลายเป็นที่รู้จักในชื่อชาวนอร์มัน หลังการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันกับการพิชิตอิตาลีใต้และซิซิลีในสองศตวรรษที่ตามมา ลูกหลานของเขาขึ้นปกครองอังกฤษยุคนอร์มัน (ตระกูลนอร์ม็องดี), ราชอาณาจักรซิซิลี (กษัตริย์แห่งซิซิลี) เช่นเดียวกับราชรัฐอันติอ็อค ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 10 จนถึงคริสตศตวรรษที่ 12 ทิ้งมรดกตกทอดที่คงอยู่ยืนยาวในด้านพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไว้ให้ยุโรปและตะวันออกใกล้การเริ่มต้นของนอร์ม็องดี การเริ่มต้นของนอร์ม็องดี. ใน ค.ศ. 918 พระเจ้าชาร์ลกับรอลโลเจอกันที่ชายแดนของวิกซ็องกับรูมัวซ์ รูมัวซ์เป็นชื่อในตอนนั้นของมณฑลที่มีรูอ็องเป็นเมืองหลวง ในกฎบัตรกษัตริย์ยืนยันสิทธิ์ของรอลโลในเมืองรูอ็อง พระองค์ยังมอบอาณาเขตทางตะวันตกของชายแดนของบริตทานีทั้งหมดให้แก่เขา ใน ค.ศ. 924 นอร์ม็องดีเติบโตขึ้นเป็นราชรัฐ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้บายูซ์กับเมนมา รอลโลปรากฏในจดหมายเหตุหลายแห่ง เขาต่อสู้แย่งชิงปราสาทอูกับพระเจ้าราอูล เขายังให้ความช่วยเหลือพระเจ้าชาร์ลผู้เรียบง่ายในการต่อสู้กับแอร์แบต์ที่ 2 แห่งแวร์ม็องดัวซ์ รอลโลตายราว ค.ศ. 928 เขาถูกสืบทอดต่อโดยบุตรชาย วิลเลี่ยมผู้ดาบยาวครองครัว ครองครัว. รอลโลแต่งงานครั้งแรกกับโปปป้า ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน คือ1. วิลเลี่ยมที่ 1 ผู้ดาบยาว เขาสืบทอดต่อจากบิดาเป็นแพร็งเซป (princeps) แห่งนอร์ม็องดี 2. แฌร์ล็อค ภรรยาของวิลเลี่ยมที่ 3 ดยุคแห่งอากีแตน เขาแต่งงานครั้งต่อมากับจิเซลา พระธิดาของพระเจ้าชาร์ลที่ 3 ผู้เรียบง่าย กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน
| รอลโลเป็นชาวไวกิ้งคนแรกที่ปกครองเมืองอะไร | {
"answer": [
"นอร์ม็องดี"
],
"answer_begin_position": [
219
],
"answer_end_position": [
229
]
} |
2,051 | 940,246 | รอลโลแห่งนอร์ม็องดี รอลโล หรือ กาอาง รอล์ฟ (, ภาษานอร์มัน: Rou, , ; ค.ศ. 846 – 930) เป็นชาวไวกิ้งที่กลายเป็นผู้ปกครองคนแรกของนอร์ม็องดี บางครั้งก็ถูกเรียกว่าดยุคที่ 1 แห่งนอร์ม็องดี ชื่อสแกนดิเนเวียของเขาคือ รอล์ฟ ที่ถูกขยายเพิ่มว่า กาอาง รอล์ฟ เนื่องจากเขามีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าที่ม้าโตเต็มวัยจะแบกไหว เขาจึงต้องเดิน (หรือ "gaa" ในภาษาดาโนนอร์วีเจียน) รอลโลปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะบุคคลที่โดดเด่นท่ามกลางชาวนอร์ส ที่มีฐานที่มั่นถาวรที่มั่นคงบนผืนแผ่นดินของชาวแฟรงก์ในหุบเขาแม่น้ำเซนล่าง พระเจ้าชาร์ลผู้เรียบง่าย กษัตริย์แห่งเวสต์ฟรังเกีย ยกดินแดนระหว่างปากแม่น้ำเซนกับเมืองรูอ็องในปัจจุบันให้เขา แลกกับการให้รอลโลยินยอมยุติการปล้นทรัพย์และให้การคุ้มกันชาวแฟรงก์จากการรุกรานของชาวไวกิ้งในอนาคต รอลโลได้รับการบันทึกครั้งแรกในฐานะผู้นำของผู้ตั้งรกรากชาวไวกิ้งกลุ่มดังกล่าวในกฎบัตรของ ค.ศ. 918 และเขาครองตำแหน่งในแคว้นนอร์ม็องดีจนถึง ค.ศ. 928 เป็นอย่างน้อย เขาได้รับการสืบทอดต่อโดยบุตรชาย วิลเลี่ยมผู้ดาบยาว ในดัชชีนอร์ม็องดีที่เขาก่อตั้ง ลูกหลานของรอลโลกับผู้ติดตามกลายเป็นที่รู้จักในชื่อชาวนอร์มัน หลังการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันกับการพิชิตอิตาลีใต้และซิซิลีในสองศตวรรษที่ตามมา ลูกหลานของเขาขึ้นปกครองอังกฤษยุคนอร์มัน (ตระกูลนอร์ม็องดี), ราชอาณาจักรซิซิลี (กษัตริย์แห่งซิซิลี) เช่นเดียวกับราชรัฐอันติอ็อค ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 10 จนถึงคริสตศตวรรษที่ 12 ทิ้งมรดกตกทอดที่คงอยู่ยืนยาวในด้านพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไว้ให้ยุโรปและตะวันออกใกล้การเริ่มต้นของนอร์ม็องดี การเริ่มต้นของนอร์ม็องดี. ใน ค.ศ. 918 พระเจ้าชาร์ลกับรอลโลเจอกันที่ชายแดนของวิกซ็องกับรูมัวซ์ รูมัวซ์เป็นชื่อในตอนนั้นของมณฑลที่มีรูอ็องเป็นเมืองหลวง ในกฎบัตรกษัตริย์ยืนยันสิทธิ์ของรอลโลในเมืองรูอ็อง พระองค์ยังมอบอาณาเขตทางตะวันตกของชายแดนของบริตทานีทั้งหมดให้แก่เขา ใน ค.ศ. 924 นอร์ม็องดีเติบโตขึ้นเป็นราชรัฐ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้บายูซ์กับเมนมา รอลโลปรากฏในจดหมายเหตุหลายแห่ง เขาต่อสู้แย่งชิงปราสาทอูกับพระเจ้าราอูล เขายังให้ความช่วยเหลือพระเจ้าชาร์ลผู้เรียบง่ายในการต่อสู้กับแอร์แบต์ที่ 2 แห่งแวร์ม็องดัวซ์ รอลโลตายราว ค.ศ. 928 เขาถูกสืบทอดต่อโดยบุตรชาย วิลเลี่ยมผู้ดาบยาวครองครัว ครองครัว. รอลโลแต่งงานครั้งแรกกับโปปป้า ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน คือ1. วิลเลี่ยมที่ 1 ผู้ดาบยาว เขาสืบทอดต่อจากบิดาเป็นแพร็งเซป (princeps) แห่งนอร์ม็องดี 2. แฌร์ล็อค ภรรยาของวิลเลี่ยมที่ 3 ดยุคแห่งอากีแตน เขาแต่งงานครั้งต่อมากับจิเซลา พระธิดาของพระเจ้าชาร์ลที่ 3 ผู้เรียบง่าย กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน
| พระเจ้าชาร์ล กษัตริย์แห่งเวสต์ฟรังเกียยกดินแดนระหว่างปากแม่น้ำเซนกับเมืองรูอ็องให้กับรอลโลโดยแลกกับอะไร | {
"answer": [
"รอลโลยินยอมยุติการปล้นทรัพย์และให้การคุ้มกันชาวแฟรงก์จากการรุกรานของชาวไวกิ้งในอนาคต"
],
"answer_begin_position": [
700
],
"answer_end_position": [
784
]
} |
2,055 | 374,710 | รัตโก มลาดิช รัตโก มลาดิช (; ; เกิด 12 มีนาคม ค.ศ. 1942 หรือ 1943) เป็นผู้นำการทหารและผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามชาวเซิร์บ รัตโกเป็นที่รู้จักขึ้นมาระหว่างสงครามยูโกสลาเวีย เริ่มจากการเป็นนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย และเป็นเสนาธิการกองทัพเซิร์บบอสเนียระหว่างสงครามบอสเนีย ค.ศ. 1992-1995 ในปี ค.ศ. 1995 เขาถูกตั้งข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากศาลอาญาระหว่างประเทศในอดีตยูโกสลาเวีย เนื่องจากเป็นนายพลทหารระดับสูงซึ่งมีความรับผิดชอบทางการบังคับบัญชา มลาดิชจึงถูกกล่าวหาโดยศาลอาญาระหว่างประเทศว่ารับผิดชอบต่อการล้อมซาราเยโวระหว่างปี ค.ศ. 1992-1995 และการสังหารหมู่เซเบรนิกา ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เขาเป็นผู้หลบหนีคดีนานเกือบสิบหกปีจนกระทั่งถูกจับกุมโดยกองกำลังความมั่นคงเซอร์เบียเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ในลาซาเรโว เซอร์เบีย มลาดิชเป็นสมาชิกอย่างยาวนานของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย เขาเริ่มต้นอาชีพทหารในกองทัพประชาชนยูโกสลาเวียในปี ค.ศ. 1965 และมีประวัติการทำงานไม่โดดเด่นมากนักในยูโกสลาเวียจนกระทั่งสงครามยูโกสลาเวียปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1991
| ผู้นำทางการทหารชาวเซิร์บ รัตโก มลาดิช เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใด | {
"answer": [
"พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย"
],
"answer_begin_position": [
954
],
"answer_end_position": [
980
]
} |
2,056 | 374,710 | รัตโก มลาดิช รัตโก มลาดิช (; ; เกิด 12 มีนาคม ค.ศ. 1942 หรือ 1943) เป็นผู้นำการทหารและผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามชาวเซิร์บ รัตโกเป็นที่รู้จักขึ้นมาระหว่างสงครามยูโกสลาเวีย เริ่มจากการเป็นนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย และเป็นเสนาธิการกองทัพเซิร์บบอสเนียระหว่างสงครามบอสเนีย ค.ศ. 1992-1995 ในปี ค.ศ. 1995 เขาถูกตั้งข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากศาลอาญาระหว่างประเทศในอดีตยูโกสลาเวีย เนื่องจากเป็นนายพลทหารระดับสูงซึ่งมีความรับผิดชอบทางการบังคับบัญชา มลาดิชจึงถูกกล่าวหาโดยศาลอาญาระหว่างประเทศว่ารับผิดชอบต่อการล้อมซาราเยโวระหว่างปี ค.ศ. 1992-1995 และการสังหารหมู่เซเบรนิกา ซึ่งเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เขาเป็นผู้หลบหนีคดีนานเกือบสิบหกปีจนกระทั่งถูกจับกุมโดยกองกำลังความมั่นคงเซอร์เบียเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ในลาซาเรโว เซอร์เบีย มลาดิชเป็นสมาชิกอย่างยาวนานของพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย เขาเริ่มต้นอาชีพทหารในกองทัพประชาชนยูโกสลาเวียในปี ค.ศ. 1965 และมีประวัติการทำงานไม่โดดเด่นมากนักในยูโกสลาเวียจนกระทั่งสงครามยูโกสลาเวียปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1991
| เมื่อใดที่ผู้นำทางการทหารชาวเซิร์บ รัตโก มลาดิช ถูกจับกุมโดยกองกำลังความมั่นคงเซอร์เบียในคดีเกี่ยวกับสงคราม | {
"answer": [
"26 พฤษภาคม ค.ศ. 2011"
],
"answer_begin_position": [
882
],
"answer_end_position": [
902
]
} |
2,057 | 611,699 | โคเฮอิ โคโนะ โคเฮอิ โคโนะ (; ; โรมะจิ: Kōno Kōhei) นักมวยสากลอาชีพชาวญี่ปุ่น เป็นอดีตแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ของสมาคมมวยโลก (WBA) 2 สมัย โคโนะ ได้แชมป์โลกมาอย่างพลิกความคาดหมายในวัย 32 ปี เมื่อเป็นฝ่ายเอาชนะทีเคโอ เทพฤทธิ์ ก่อเกียรติเจนิฟู้ดยิม แชมป์โลกชาวไทยไปได้ในยกที่ 4 เมื่อวันสิ้นปี ค.ศ. 2012 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านั้นโคโนะเคยชิงแชมป์โลกมาแล้ว 2 ครั้ง กับ โนะบุโอะ นะชิโระ นักมวยชาวญี่ปุ่นด้วยกัน และโทมัส โรฮาส นักมวยชาวเม็กซิกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นเมื่อป้องกันตำแหน่งครั้งแรก โคโนะ ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้คะแนนเสียแชมป์โลกไปโดยทันที เมื่อเป็นฝ่ายแพ้คะแนนต่อ ลิโบริโอ โซลิส นักมวยชาวเวเนซุเอลา แต่หลังการชกครั้งนี้ทางฝ่ายโคโนะได้ยื่นหนังสือประท้วงไปยัง WBA เพื่อขอชกใหม่เนื่องจากยังติดใจผลการให้คะแนน แต่ปรากฏว่าฝ่ายโซลิสกลับเอาตำแหน่งไปชกเดิมพันแชมป์โลกข้ามสถาบัน กับ ไดกิ คะเมะดะ แชมป์โลกในรุ่นเดียวกันของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) แต่ผลการชกครั้งนี้ถึงแม้ฝ่ายโซลิสจะเป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้ แต่ไม่สามารถทำน้ำหนักให้อยู่ในพิกัดได้ จึงทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBA ว่างลงโดยปริยาย ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม นักมวยชาวไทยก็เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนน โนะบุโอะ นะชิโระ ได้ที่ประเทศไทย จึงทำให้กลายเป็นแชมป์เฉพาะกาลในรุ่นนี้ไป ทั้งคู่จึงโคจรมาพบกันเพื่อพิสูจน์การเป็นแชมป์โลกตัวจริง ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2014 ที่โคระกุเอ็งฮอล กรุงโตเกียว ในครั้งนี้โคโนะมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเอาชนะเด่นเก้าแสน ที่มีอายุมากถึง 36 ปีแล้วให้ได้ ด้วยการฟิตซ้อมอย่างหนัก และลงนวมกับนักมวยปล้ำเพื่อนร่วมชาติอีกด้วย ซึ่งโคโนะต้องการแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตไปเพื่อชกล้มแชมป์กับ โคกิ คะเมะดะ แชมป์โลกในรุ่นแบนตั้มเวต (118 ปอนด์) ของ WBA นักมวยเพื่อนร่วมชาติระดับซูเปอร์สตาร์ ผู้เป็นพี่ชายของไดกิ คะเมะดะ ต่อไป ผลการชก ปรากฏว่า โคโนะเป็นฝ่ายเอาชนะน็อกเด่นเก้าแสนไปได้ในวินาทีที่ 40 ของยกที่ 8 ด้วยหมัดฮุกขวา และก่อนหน้านั้นก็เป็นฝ่ายได้นับ 8 ในยกที่ 4 ทำให้ได้เป็นแชมป์โลกในสมัยที่ 2 และในปลายปีเดียวกัน ก็ป้องกันตำแหน่งไว้ได้โดยเสมอกับ นอร์แบร์โต ฮิเมเนซ นักมวยชาวโดมินิกัน ที่โอตะ-ซิตีเจเนอรัลยิมเนเซียม กรุงโตเกียว โดยกรรมการ 3 คน ให้โคโนะเป็นฝ่ายชนะ 1 เสียง และแพ้ 1 เสียง และอีก 1 เสียงให้ทั้งคู่เสมอกัน โคะโนะ ป้องกันตำแหน่งสมัยที่ 2 นี้ไว้ได้ 3 ครั้ง โดยการป้องกันครั้งต่อมาเป็นการชกกับ โคกิ คะเมะดะ ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา โคะโนะก็เอาชนะคะแนนไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์ การป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 3 ก็เอาชนะคะแนน อินทนนท์ ศิษย์ชะมวง นักมวยชาวไทย ไปอย่างเป็นเอกฉันท์ ที่โอตะ-ซิตีเจเนอรัลยิมเนเซียม กรุงโตเกียว ในปลายเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2016 จนกระทั่งการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 4 กับลุยซ์ คอนเซปซิโอน นักมวยชาวปานามา ที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปีเดียวกัน โคะโนะเป็นฝายแพ้คะแนนไปในที่สุด ต่อมาในปลายปีเดียวกัน โคะโนะได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่น 115 ปอนด์ ขององค์กรมวยโลก (WBO) กับเจ้าของตำแหน่งชาวญี่ปุ่นด้วยกัน คือ นะโอะยะ อิโนะอุเอะ ปรากฏว่าเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปในยกที่ 6
| ใครคือนักมวยสากลอาชีพที่เป็นแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของสมาคมมวยโลกในปีค.ศ. 2012 | {
"answer": [
"โคเฮอิ โคโนะ"
],
"answer_begin_position": [
100
],
"answer_end_position": [
112
]
} |
2,058 | 611,699 | โคเฮอิ โคโนะ โคเฮอิ โคโนะ (; ; โรมะจิ: Kōno Kōhei) นักมวยสากลอาชีพชาวญี่ปุ่น เป็นอดีตแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ของสมาคมมวยโลก (WBA) 2 สมัย โคโนะ ได้แชมป์โลกมาอย่างพลิกความคาดหมายในวัย 32 ปี เมื่อเป็นฝ่ายเอาชนะทีเคโอ เทพฤทธิ์ ก่อเกียรติเจนิฟู้ดยิม แชมป์โลกชาวไทยไปได้ในยกที่ 4 เมื่อวันสิ้นปี ค.ศ. 2012 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านั้นโคโนะเคยชิงแชมป์โลกมาแล้ว 2 ครั้ง กับ โนะบุโอะ นะชิโระ นักมวยชาวญี่ปุ่นด้วยกัน และโทมัส โรฮาส นักมวยชาวเม็กซิกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นเมื่อป้องกันตำแหน่งครั้งแรก โคโนะ ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้คะแนนเสียแชมป์โลกไปโดยทันที เมื่อเป็นฝ่ายแพ้คะแนนต่อ ลิโบริโอ โซลิส นักมวยชาวเวเนซุเอลา แต่หลังการชกครั้งนี้ทางฝ่ายโคโนะได้ยื่นหนังสือประท้วงไปยัง WBA เพื่อขอชกใหม่เนื่องจากยังติดใจผลการให้คะแนน แต่ปรากฏว่าฝ่ายโซลิสกลับเอาตำแหน่งไปชกเดิมพันแชมป์โลกข้ามสถาบัน กับ ไดกิ คะเมะดะ แชมป์โลกในรุ่นเดียวกันของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) แต่ผลการชกครั้งนี้ถึงแม้ฝ่ายโซลิสจะเป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้ แต่ไม่สามารถทำน้ำหนักให้อยู่ในพิกัดได้ จึงทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBA ว่างลงโดยปริยาย ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม นักมวยชาวไทยก็เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนน โนะบุโอะ นะชิโระ ได้ที่ประเทศไทย จึงทำให้กลายเป็นแชมป์เฉพาะกาลในรุ่นนี้ไป ทั้งคู่จึงโคจรมาพบกันเพื่อพิสูจน์การเป็นแชมป์โลกตัวจริง ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2014 ที่โคระกุเอ็งฮอล กรุงโตเกียว ในครั้งนี้โคโนะมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเอาชนะเด่นเก้าแสน ที่มีอายุมากถึง 36 ปีแล้วให้ได้ ด้วยการฟิตซ้อมอย่างหนัก และลงนวมกับนักมวยปล้ำเพื่อนร่วมชาติอีกด้วย ซึ่งโคโนะต้องการแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตไปเพื่อชกล้มแชมป์กับ โคกิ คะเมะดะ แชมป์โลกในรุ่นแบนตั้มเวต (118 ปอนด์) ของ WBA นักมวยเพื่อนร่วมชาติระดับซูเปอร์สตาร์ ผู้เป็นพี่ชายของไดกิ คะเมะดะ ต่อไป ผลการชก ปรากฏว่า โคโนะเป็นฝ่ายเอาชนะน็อกเด่นเก้าแสนไปได้ในวินาทีที่ 40 ของยกที่ 8 ด้วยหมัดฮุกขวา และก่อนหน้านั้นก็เป็นฝ่ายได้นับ 8 ในยกที่ 4 ทำให้ได้เป็นแชมป์โลกในสมัยที่ 2 และในปลายปีเดียวกัน ก็ป้องกันตำแหน่งไว้ได้โดยเสมอกับ นอร์แบร์โต ฮิเมเนซ นักมวยชาวโดมินิกัน ที่โอตะ-ซิตีเจเนอรัลยิมเนเซียม กรุงโตเกียว โดยกรรมการ 3 คน ให้โคโนะเป็นฝ่ายชนะ 1 เสียง และแพ้ 1 เสียง และอีก 1 เสียงให้ทั้งคู่เสมอกัน โคะโนะ ป้องกันตำแหน่งสมัยที่ 2 นี้ไว้ได้ 3 ครั้ง โดยการป้องกันครั้งต่อมาเป็นการชกกับ โคกิ คะเมะดะ ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา โคะโนะก็เอาชนะคะแนนไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์ การป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 3 ก็เอาชนะคะแนน อินทนนท์ ศิษย์ชะมวง นักมวยชาวไทย ไปอย่างเป็นเอกฉันท์ ที่โอตะ-ซิตีเจเนอรัลยิมเนเซียม กรุงโตเกียว ในปลายเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2016 จนกระทั่งการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 4 กับลุยซ์ คอนเซปซิโอน นักมวยชาวปานามา ที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปีเดียวกัน โคะโนะเป็นฝายแพ้คะแนนไปในที่สุด ต่อมาในปลายปีเดียวกัน โคะโนะได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่น 115 ปอนด์ ขององค์กรมวยโลก (WBO) กับเจ้าของตำแหน่งชาวญี่ปุ่นด้วยกัน คือ นะโอะยะ อิโนะอุเอะ ปรากฏว่าเป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอไปในยกที่ 6
| ใครคือนักมวยชาวไทยที่แพ้ให้กับโคเฮอิ โคโนะในการแข่งขันชิงตำแหน่งแชมป์มวยโลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของ WBA ในปีค.ศ. 2014 | {
"answer": [
"เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม"
],
"answer_begin_position": [
1163
],
"answer_end_position": [
1187
]
} |
2,059 | 628,225 | บะช่อ บะช่อ หรือบ๊ะฉ่อ(肉脞) เป็นอาหารประเภทเนื้อหมูอย่างหนึ่ง ป็นหมูสับผสมเครื่องต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารจีนแต้จิ๋ว บ๊ะฉ่อมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วหมายถึงหมูที่สับจนละเอียด เป็นการนำเนื้อหมูมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก แล้วสับให้ละเอียดด้วยปังตอ ปรุงรสขณะสับด้วยซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล แป้งข้าวโพด หรือรากผักชี กระเทียมโขลก สูตรดั้งเดิมของชาวแต้จิ๋วจะใส่เพียงซีอิ๊วและพริกไทยป่น บะช่อที่สับเสร็จแล้วใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกงจืด นำไปยัดไส้มะระหรือหมึก บางครั้งนิยมสับส่วนผสมอื่นปนไปด้วยเช่น วุ้นเส้น กุ้ง ใบตำลึง ใบสะระแหน่ บะช่อมีบทบาทในอาหารจีนหลายชนิดและหลายภูมิภาค ชาวจีนแต้จิ๋วนำบะช่อไปนึ่ง ทอด และต้ม โดยนิยมนึ่งกับไข่ตุ๋นหรือผักกาดดอง ชาวจีนกวางตุ้งนิยมนำบะช่อมาผัด นึ่ง และตุ๋น นำมาปรุงคู่กับปลาเค็ม ผักกาดดองเค็ม ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า นำมานึ่งเช่นคลุกกับข้าวเหนียวดิบแล้วนึ่ง ตุ๋นรวมกับน้ำแกงที่ใส่ของเค็มหรือของแห้ง เช่น เป็ดเค็ม หอยเชลล์แห้ง ผักกาดขาวตากแห้ง ชาวจีนฮกเกี้ยนนิยมนำบะช่อมาเป็นส่วนหนึ่งของน้ำแกง เช่งแกงจืดลำไยยัดไส้หมูสับ แกงจืดหมูสับผสมหัวไชเท้า ชาวจีนแคะใช้บะช่อปรุงอาหารมาก โดยนิยมนำสิ่งอื่นสับลงในบะช่อด้วย เช่น หมึกแห้ง ข้าวหมากแดง เนื้อปลา เนื้อกุ้ง อาหารไทยที่มีบะช่อเป็นองค์ประกอบได้แก่ ม้าอ้วน ที่นำหมูบะช่อ มันหมูแข็ง และเนื้อปูมารวมกัน ปรุงรสด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทย น้ำปลา ใส่ถ้วยตะไล นึ่งจนสุก ใช้เป็นอาหารว่าง
| คำว่าบะช่อที่มาจากภาษาจีนแต้จิ๋วหมายถึงอะไร | {
"answer": [
"หมูที่สับจนละเอียด"
],
"answer_begin_position": [
233
],
"answer_end_position": [
251
]
} |
2,060 | 628,225 | บะช่อ บะช่อ หรือบ๊ะฉ่อ(肉脞) เป็นอาหารประเภทเนื้อหมูอย่างหนึ่ง ป็นหมูสับผสมเครื่องต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารจีนแต้จิ๋ว บ๊ะฉ่อมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วหมายถึงหมูที่สับจนละเอียด เป็นการนำเนื้อหมูมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก แล้วสับให้ละเอียดด้วยปังตอ ปรุงรสขณะสับด้วยซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล แป้งข้าวโพด หรือรากผักชี กระเทียมโขลก สูตรดั้งเดิมของชาวแต้จิ๋วจะใส่เพียงซีอิ๊วและพริกไทยป่น บะช่อที่สับเสร็จแล้วใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกงจืด นำไปยัดไส้มะระหรือหมึก บางครั้งนิยมสับส่วนผสมอื่นปนไปด้วยเช่น วุ้นเส้น กุ้ง ใบตำลึง ใบสะระแหน่ บะช่อมีบทบาทในอาหารจีนหลายชนิดและหลายภูมิภาค ชาวจีนแต้จิ๋วนำบะช่อไปนึ่ง ทอด และต้ม โดยนิยมนึ่งกับไข่ตุ๋นหรือผักกาดดอง ชาวจีนกวางตุ้งนิยมนำบะช่อมาผัด นึ่ง และตุ๋น นำมาปรุงคู่กับปลาเค็ม ผักกาดดองเค็ม ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า นำมานึ่งเช่นคลุกกับข้าวเหนียวดิบแล้วนึ่ง ตุ๋นรวมกับน้ำแกงที่ใส่ของเค็มหรือของแห้ง เช่น เป็ดเค็ม หอยเชลล์แห้ง ผักกาดขาวตากแห้ง ชาวจีนฮกเกี้ยนนิยมนำบะช่อมาเป็นส่วนหนึ่งของน้ำแกง เช่งแกงจืดลำไยยัดไส้หมูสับ แกงจืดหมูสับผสมหัวไชเท้า ชาวจีนแคะใช้บะช่อปรุงอาหารมาก โดยนิยมนำสิ่งอื่นสับลงในบะช่อด้วย เช่น หมึกแห้ง ข้าวหมากแดง เนื้อปลา เนื้อกุ้ง อาหารไทยที่มีบะช่อเป็นองค์ประกอบได้แก่ ม้าอ้วน ที่นำหมูบะช่อ มันหมูแข็ง และเนื้อปูมารวมกัน ปรุงรสด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทย น้ำปลา ใส่ถ้วยตะไล นึ่งจนสุก ใช้เป็นอาหารว่าง
| บะช่อเป็นอาหารที่ใช้เนื้อสัตว์ชนิดใดเป็นหลัก | {
"answer": [
"เนื้อหมู"
],
"answer_begin_position": [
122
],
"answer_end_position": [
130
]
} |
2,061 | 305,272 | คิม คัพฮวาน คิม คัพฮวาน (; ; ) เป็นตัวละครจากเกม เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส (ปรากฏตัวครั้งแรกในเกม Fatal Fury 2) ซึ่งเป็นนักเทควันโดชาวเกาหลี สมาชิกในทีมเกาหลีของ คิม คัพฮวาน ได้แก่ ชาง, ชเว และ จุน ฮุน นอกจากนี้ คิมยังมีบุตรชายสองคน ได้แก่ คิม ดอง ฮวน และ คิม แจ ฮุน โดยทั้งคู่ต่างก็เป็นนักเทควันโด ตลอดจนคิมยังได้รับการกำหนดเป็นตัวละครในเกม แคปคอม vs. เอสเอ็นเค 2 ด้วยเช่นกันประวัติตามท้องเรื่องประวัติตามท้องเรื่อง. - ตำนานหมาป่ากระหายเลือด คิม คัพฮวาน เป็นครูผู้สอนศิลปะการต่อสู้เทควันโด ผู้มีความภาคภูมิใจที่ส่งเสริมให้โลกรู้จักใช้ศิลปะการต่อสู้นี้เพื่อผดุงความยุติธรรม เขาเคยเดินทางไปสู้กับคราวเซอร์มาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อความท้าทาย ในขณะเดินทางนี้เอง ที่ทำให้เขาได้พบกับเทอร์รี่ โบการ์ด และเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา คิมยินดีช่วยเทอร์รี่เสมอ และยินดีประลองฝีมือเพื่อกระชับมิตร ส่วนในด้านครอบครัว คิมมีภรรยาชื่อเมียง ซุกกับบุตรชายสองคนชื่อคิม ดอง ฮวน กับคิม แจ ฮุน- เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส ในศึกเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส คิมมักอยู่ร่วมทีมเดียวกันกับ ชาง และ ชอย ซึ่งเป็นสองวายร้ายกลับใจ และยินดีเข้าร่วมทีมตามคำเชิญชวนของคิม โดยมีคิมเป็นหัวหน้าทีม อย่างไรก็ตาม ในศึกเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์สครั้งหลัง สมาชิกทีมคิมก็มักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระยะๆ เช่น เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส XI ที่คิมอยู่ร่วมทีมเดียวกันกับ เทอร์รี่ โบการ์ด กับดั๊ค คิง รวมไปจนถึง เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส XIII ที่มี หัว ใจ กับ ไรเด็น เข้าร่วมทีมการตอบรับ การตอบรับ. นักเล่นเกมต่างตอบรับคิมในเกณฑ์ที่ดี โดยมีผลสำรวจจากวารสารและเว็บไซต์หลายแห่ง ในนิตยสารเกมเมสต์ 1997 ฮีโรส์คอลเลกชัน คิมได้รับการโหวตให้เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมอันดับสิบ ใน ค.ศ. 2005 ผลการสำรวจที่จัดทำขึ้นโดยเอสเอ็นเค-เพลย์มอร์ยูเอสเอ เขาได้รับการโหวตให้อยู่ในอันดับสิบด้วยคะแนนโหวต 119 เสียง ในนิตยสารเกมเมสต์ฉบับวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1995 ในประเทศญี่ปุ่น คิมอยู่ในอันดับที่ 44 ของ 50 สุดยอดตัวละครที่ได้รับความนิยมใน ค.ศ. 1994 ซึ่งอยู่ในอันดับเดียวกันกับตัวละครอื่นๆอีกสามตัว
| ตัวละครจากเกมเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส คิม คัพฮวาน เป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้ชนิดใด | {
"answer": [
"เทควันโด"
],
"answer_begin_position": [
563
],
"answer_end_position": [
571
]
} |
2,062 | 344,834 | ไทยเดินเรือทะเล บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด เดิมเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทบริษัทจำกัด ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินธุรกิจด้านการบริการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ บริการด้านคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนธุรกิจการขนส่งทางน้ำ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2483 ปัจจุบันยุบเลิกกิจการแล้วประวัติ ประวัติ. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ เมื่อปี พ.ศ. 2483 ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2542 และวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ให้เตรียมดำเนินการยุบเลิกกิจการ หากยังไม่สามารถสรรหาผู้สนใจมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ ในระยะต่อมาบริษัทฯ มีสถานะเป็นเพียงนายหน้าขนส่ง เนื่องจากไม่มีเรือเดินทะเลเป็นของบริษัทเอง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2554 คณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติให้ยุบเลิกกิจการบริษัทฯกิจการของบริษัท กิจการของบริษัท. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด ในอดีตเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่ดำเนินธุรกิจสำคัญ 3 ประการ คือ1. การเดินเรือเพื่อรับขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง กองบัญชาการกองทัพไทย 2. การขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ โดยการเช่าระวางเรือของบริษัทอื่นมาเสริมการให้บริการของบริษัทฯ 3. ท่าเทียบเรือและโรงพักสินค้าอนุมัติ เป็นภารกิจที่บริษัทฯ ร่วมกับบริษัท ธนาพรชัย พอร์ท เซอร์วิส จำกัดผลการดำเนินงาน ผลการดำเนินงาน. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีผลกำไรในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจากรายงานงบการเงินปี 2551 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 0.29 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการให้บริการลดลงทั้งในเส้นทางยุโรป และเส้นทางอเมริกา
| บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. อะไร | {
"answer": [
"2483"
],
"answer_begin_position": [
339
],
"answer_end_position": [
343
]
} |
2,063 | 344,834 | ไทยเดินเรือทะเล บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด เดิมเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทบริษัทจำกัด ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินธุรกิจด้านการบริการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ บริการด้านคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนธุรกิจการขนส่งทางน้ำ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2483 ปัจจุบันยุบเลิกกิจการแล้วประวัติ ประวัติ. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ เมื่อปี พ.ศ. 2483 ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2542 และวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ให้เตรียมดำเนินการยุบเลิกกิจการ หากยังไม่สามารถสรรหาผู้สนใจมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ ในระยะต่อมาบริษัทฯ มีสถานะเป็นเพียงนายหน้าขนส่ง เนื่องจากไม่มีเรือเดินทะเลเป็นของบริษัทเอง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2554 คณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติให้ยุบเลิกกิจการบริษัทฯกิจการของบริษัท กิจการของบริษัท. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด ในอดีตเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่ดำเนินธุรกิจสำคัญ 3 ประการ คือ1. การเดินเรือเพื่อรับขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง กองบัญชาการกองทัพไทย 2. การขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ โดยการเช่าระวางเรือของบริษัทอื่นมาเสริมการให้บริการของบริษัทฯ 3. ท่าเทียบเรือและโรงพักสินค้าอนุมัติ เป็นภารกิจที่บริษัทฯ ร่วมกับบริษัท ธนาพรชัย พอร์ท เซอร์วิส จำกัดผลการดำเนินงาน ผลการดำเนินงาน. บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีผลกำไรในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจากรายงานงบการเงินปี 2551 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 0.29 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการให้บริการลดลงทั้งในเส้นทางยุโรป และเส้นทางอเมริกา
| บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด มีผลขาดทุนสุทธิเท่าไรในปี 2551 | {
"answer": [
"0.29 ล้านบาท"
],
"answer_begin_position": [
1434
],
"answer_end_position": [
1446
]
} |
2,064 | 43,602 | มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น (ชื่อเดิม มหาวิทยาลัยณิวัฒนา) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่ที่อำเภอห้วยกระเจา]] จังหวัดกาญจนบุรี ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2541 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น" เมื่อปี พ.ศ. 2547ประวัติ ประวัติ. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น เดิมชื่อ มหาวิทยาลัยณิวัฒนา ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งตามใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ ๒/๒๕๔๐ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย) เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๐ เป็นสถาบันการศึกษาระดับ อุดมศึกษาเอกชนที่ได้สถาปนาขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชโองการโปรดเกล้าสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในเขตภูมิภาคของภาคกลางและเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาสู่ภูมิภาคของประเทศในการส่งเสริมการพัฒนาทาง ด้านทรัพยากรมนุษย์ของประเทศชาติ โดยมีภารกิจหลัก ๔ ประการคือ การผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการแก่สังคม และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์ของประเทศชาติ และประการสำคัญคือเพื่อตอบสนองความต้องการของชาติในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่พรั่งพร้อมด้วยความเป็นเลิศทางวิชาการ มีทักษะขั้นสูงในการประกอบอาชีพ และกอปรด้วยคุณธรรม จริยธรรม ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นได้เปิดดำเนินการสอนในระดับปริญญาตรี 6 คณะวิชา และเปิดดำเนินการสอนในระดับมหาบัณฑิต 5 หลักสูตรคณะ/หลักสูตรบัณฑิตวิทยาลัยคณะ/หลักสูตร. บัณฑิตวิทยาลัย. - หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต - หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต- สาขาวิชาการบริหารการศึกษา - สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน - หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต - หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต - หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิตคณะทันตแพทยศาสตร์คณะทันตแพทยศาสตร์. - หลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาทันตแพทยศาสตร์คณะเทคนิคการแพทย์คณะเทคนิคการแพทย์. - หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต- สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์คณะสัตวแพทยศาสตร์คณะสัตวแพทยศาสตร์. - หลักสูตรสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ วัชรพลคณะพยาบาลศาสตร์ วัชรพล. - หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ กาญจนบุรีคณะพยาบาลศาสตร์ กาญจนบุรี. - หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ บุรีรัมย์คณะพยาบาลศาสตร์ บุรีรัมย์. - หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์คณะสาธารณสุขศาสตร์ กาญจนบุรีคณะสาธารณสุขศาสตร์ กาญจนบุรี. - หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์คณะสาธารณสุขศาสตร์ บุรีรัมย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ บุรีรัมย์. - หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์. - หลักสูตรบริหารธุรกิจรบัณฑิต- สาขาวิชาการบัญชี - สาขาวิชาการตลาด - สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ - สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ - สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ - สาขาวิชาการจัดการทั่วไป - หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ - สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่นคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี. - หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา - สาขาวิชาไฟฟ้า - หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์คณะนิติศาสตร์คณะนิติศาสตร์. - หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชานิติศาสตร์วิทยาลัยการศึกษาผ่านระบบเครือข่ายวิทยาลัยการศึกษาผ่านระบบเครือข่าย. - หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต- สาขาวิชาบัญชี - สาขาวิชาการจัดการ - สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ - สาขาวิชาอุตสาหกรรมบริการ - สาขาวิชาการตลาด - หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชานิติศาสตร์ - รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น - หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต- สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน - หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต - หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต- สาขาวิชาการบริหารการศึกษา - สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน - หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต - หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต - หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต
| มหาวิทยาลัยณิวัฒนา ในจังหวัดกาญจนบุรี เปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น เมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2547"
],
"answer_begin_position": [
313
],
"answer_end_position": [
317
]
} |
2,065 | 746,380 | นีกูเลา ดุช ไรช์ ลูบาตู นีกูเลา ดุช ไรช์ ลูบาตู (; 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1978) เป็นนักการเมืองและวีรบุรุษของประเทศติมอร์-เลสเต ลูบาตูเป็นนายกรัฐมนตรีติมอร์ตะวันออก (ในช่วงสงครามประกาศเอกราชจากโปรตุเกส) ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม ค.ศ. 1975 และเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1977 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สนามบินนานาชาติของติมอร์-เลสเตได้รับการตั้งชื่อว่า "ท่าอากาศยานนานาชาติประธานาธิบดีนีกูเลา ลูบาตู" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
| นีกูเลา ดุช ไรช์ ลูบาตู นักการเมืองของประเทศติมอร์-เลสเต ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดในช่วงปีค.ศ.1977-1978 | {
"answer": [
"ประธานาธิบดี"
],
"answer_begin_position": [
375
],
"answer_end_position": [
387
]
} |
2,066 | 608,611 | วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 วอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลชาย จำนวน 12 ทีม ภายใต้การกำกับดูแลการแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ร่วมกับ สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (เอฟไอวีบี) และนับเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลในโอลิมปิกฤดูร้อน ครั้งที่ 11 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 15 ถึง 29 สิงหาคม 2004 ที่พีซ แอนด์ เฟรนด์ชิป สเตเดียม โดยวอลเลย์บอลชายทีมชาติบราซิล สามารถคว้าเหรียญทองได้เป็นสมัยที่ 2 ส่วนเหรียญเงินนั้นเป็นของวอลเลย์บอลชายทีมชาติอิตาลีการคัดเลือกการคัดเลือก. - ทีมที่ได้รับเลือกจากทวีปเอเชียจะเป็นทีมมาจากการแข่งขันวอลเลย์บอลในโอลิมปิกรอบคัดเลือกระดับโลก โดยจะต้องเป็นทีมจากเอเชียที่อันดับดีที่สุดนับตั้งแต่ลำดับที่ 2 ลงมาการแบ่งกลุ่มการแบ่งกลุ่ม. - อันดับโลกในวงเล็บเป็นอันดับโลกเอฟไอวีบี เมื่อ เดือนมกราคม 2004สนามแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มรอบแบ่งกลุ่ม. - เวลาการแข่งขันเป็นเวลามาตรฐานในท้องถิ่นกลุ่ม Aกลุ่ม Bรอบสุดท้ายรอบสุดท้าย. - เวลาการแข่งขันเป็นเวลามาตรฐานในท้องถิ่นรอบก่อนรองชนะเลิศรอบรองชนะเลิศรอบชิงอันดับที่ 3รอบชิงชนะเลิศอันดับการแข่งขันรางวัลรางวัล. - ผู้เล่นทรงคุณค่า - ทำคะแนนสูงสุด - ตบยอดเยี่ยม - บล็อกยอดเยี่ยม - เสิร์ฟยอดเยี่ยม- รับลูกตบยอดเยี่ยม - เซ็ตยอดเยี่ยม - รับลูกเสิร์ฟยอดเยี่ยม - ตัวรับอิสระยอดเยี่ยม
| วอลเลย์บอลชายทีมชาติใดที่ได้เหรียญทองจากการแข่งขันวอลเลย์บอลชายในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2004 | {
"answer": [
"บราซิล"
],
"answer_begin_position": [
520
],
"answer_end_position": [
526
]
} |
2,067 | 36,094 | อิเกีย อิเกีย หรือ อิเคยา () คือร้านขายเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้านขนาดใหญ่ของประเทศสวีเดน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยอิงวาร์ คัมปราด เปิดสาขาแรกในปี พ.ศ. 2496 มี 231 สาขา ใน 33 ประเทศ โดยสาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป และบางส่วนในทวีปอเมริกา เอเชีย และออสเตรเลีย ไอเคียมีชื่อเสียงในด้านเครื่องเรือนราคาย่อมเยา และเป็นร้านเครื่องเรือนร้านแรกที่ขายเครื่องเรือนแบบถอดประกอบได้ โดยผู้ซื้อจะเดินเลือกสินค้าจากที่จัดแสดงไว้ และจดเลขรหัสของสินค้าที่ต้องการ จากนั้นจึงเดินไปเอากล่องบรรจุชิ้นส่วนจากห้องเก็บของ เพื่อเอาไปประกอบเองที่บ้าน IKEA ในภาษาสวีเดนออกเสียงว่า "อิเคยา" แต่ในภาษาอังกฤษจะออกเสียงว่า "ไอคีอา" ในประเทศไทย บริษัท อิคาโน่ ตัวแทนของอิเกีย ได้ลงนามร่วมกับสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ ของไทยในการสร้างศูนย์การค้าเมกาบางนาโดยอาคารสีน้ำเงิน จะเป็นศูนย์การค้าเฟอร์นิเจอร์ของอิเกีย ส่วนอาคารสีเทาจะเป็นศูนย์การค้าครบวงจรของ สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ ในส่วนของอิเกียนั้นเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ต่อมา ได้มีการเปิดศูนย์บริการสั่งซื้อและรับสินค้าอิเกีย ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 และเปิดสาขาที่ 2 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 โดยเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ขนาดพื้นที่ 50,278 ตรม.) ใหญ่กว่าสาขาที่เมือง ยะโฮร์บาห์รู ประเทศ มาเลเซีย แต่เดิมนั้น อิเกีย มีโครงการจะเปิดสาขาที่เมกา รังสิต บริเวณทางแยกต่างระดับธัญบุรี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆประเทศโดยอิเกีย
| ร้านขายเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้านชื่อว่า อิเกีย มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด | {
"answer": [
"สวีเดน"
],
"answer_begin_position": [
165
],
"answer_end_position": [
171
]
} |
2,068 | 36,094 | อิเกีย อิเกีย หรือ อิเคยา () คือร้านขายเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้านขนาดใหญ่ของประเทศสวีเดน ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยอิงวาร์ คัมปราด เปิดสาขาแรกในปี พ.ศ. 2496 มี 231 สาขา ใน 33 ประเทศ โดยสาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป และบางส่วนในทวีปอเมริกา เอเชีย และออสเตรเลีย ไอเคียมีชื่อเสียงในด้านเครื่องเรือนราคาย่อมเยา และเป็นร้านเครื่องเรือนร้านแรกที่ขายเครื่องเรือนแบบถอดประกอบได้ โดยผู้ซื้อจะเดินเลือกสินค้าจากที่จัดแสดงไว้ และจดเลขรหัสของสินค้าที่ต้องการ จากนั้นจึงเดินไปเอากล่องบรรจุชิ้นส่วนจากห้องเก็บของ เพื่อเอาไปประกอบเองที่บ้าน IKEA ในภาษาสวีเดนออกเสียงว่า "อิเคยา" แต่ในภาษาอังกฤษจะออกเสียงว่า "ไอคีอา" ในประเทศไทย บริษัท อิคาโน่ ตัวแทนของอิเกีย ได้ลงนามร่วมกับสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ ของไทยในการสร้างศูนย์การค้าเมกาบางนาโดยอาคารสีน้ำเงิน จะเป็นศูนย์การค้าเฟอร์นิเจอร์ของอิเกีย ส่วนอาคารสีเทาจะเป็นศูนย์การค้าครบวงจรของ สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ ในส่วนของอิเกียนั้นเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ต่อมา ได้มีการเปิดศูนย์บริการสั่งซื้อและรับสินค้าอิเกีย ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 และเปิดสาขาที่ 2 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 โดยเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ขนาดพื้นที่ 50,278 ตรม.) ใหญ่กว่าสาขาที่เมือง ยะโฮร์บาห์รู ประเทศ มาเลเซีย แต่เดิมนั้น อิเกีย มีโครงการจะเปิดสาขาที่เมกา รังสิต บริเวณทางแยกต่างระดับธัญบุรี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆประเทศโดยอิเกีย
| ร้านขายเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้านชื่อว่า อิเกีย เปิดสาขาแรกในปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2496"
],
"answer_begin_position": [
235
],
"answer_end_position": [
239
]
} |
2,069 | 136,592 | พิซซ่าฮัท พิซซ่าฮัท (Pizza Hut) เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารพิซซ่า เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501 โดยสองพี่น้อง แฟรงค์ และ แดน คาร์นี ชาวเมืองวิชิต้า รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเปิดร้านแรกที่เมืองวิชิต้า รัฐแคนซัส และใน ปีถัดมา พ.ศ. 2502 พิซซ่าฮัทได้เริ่มระบบตัวแทนจำหน่าย (แฟรนส์ไชส์) “ร้านพิซซ่าฮัท” โดยร้านตัวแทนแห่งแรกอยู่ที่ เมืองโทเพกา รัฐแคนซัส ซึ่งร้านตัวแทนสาขาจะต้องทำตามสูตรการทำพิซซ่าต้นตำรับ และทางด้านการบริหารต้องได้รับการอบรมจากสองพี่น้องตระกูลคาร์นีย์ พิซซ่าฮัท มีสาขาต่างประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2511 ที่ประเทศแคนาดา ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 พิซซ่าฮัท อิงค์รวมตัวเข้ากับ เป๊ปซี่ โค อิงค์ (Pepsi Co., Inc.) และได้เริ่มโครงการขยายสาขาไปทั่วโลก ต่อมา เป๊ปซี่ โค อิงค์ มีนโยบายแยกตัวกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในเครือ ซึ่งได้แก่ พิซซ่าฮัท เคเอฟซี และ ทาโก้เบลล์ และได้ก่อตั้งเป็นบริษัท ไทรคอน โกลโบล เรสเทอรองตส์ จำกัด (Tricon Global Restaurants) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2540 เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2545 บริษัท ไทรคอน โกลโบล เรสเทอรองตส์ จำกัด (Tricon Global Restaurants) เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ยัม! แบรนด์ส อิงค์ จำกด (Yum! Brands, Inc.) และบริษัท ไทรคอน เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Tricon Restaurants International) เปลี่ยนเป็น บริษัท ยัม! เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Yum Restaurants International) หลังจากได้เข้าซื้อกิจการของ ร้านอาหารลอง จอห์น ซิลเวอร์ และ เอ แอนด์ ดับบลิว จึงทำให้มีแบรนด์อาหารเพิ่มขึ้นเป็น 5 แบรนด์คือ เคเอฟซี, พิซซ่าฮัท, ทาโก้ เบลล์, ลอง จอห์น ซิลเวอร์ และ เอ แอนด์ ดับบลิว
| แฟรนไชส์ร้านอาหารชื่อว่า พิซซ่าฮัท มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด | {
"answer": [
"สหรัฐอเมริกา"
],
"answer_begin_position": [
245
],
"answer_end_position": [
257
]
} |
2,070 | 136,592 | พิซซ่าฮัท พิซซ่าฮัท (Pizza Hut) เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารพิซซ่า เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501 โดยสองพี่น้อง แฟรงค์ และ แดน คาร์นี ชาวเมืองวิชิต้า รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเปิดร้านแรกที่เมืองวิชิต้า รัฐแคนซัส และใน ปีถัดมา พ.ศ. 2502 พิซซ่าฮัทได้เริ่มระบบตัวแทนจำหน่าย (แฟรนส์ไชส์) “ร้านพิซซ่าฮัท” โดยร้านตัวแทนแห่งแรกอยู่ที่ เมืองโทเพกา รัฐแคนซัส ซึ่งร้านตัวแทนสาขาจะต้องทำตามสูตรการทำพิซซ่าต้นตำรับ และทางด้านการบริหารต้องได้รับการอบรมจากสองพี่น้องตระกูลคาร์นีย์ พิซซ่าฮัท มีสาขาต่างประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2511 ที่ประเทศแคนาดา ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 พิซซ่าฮัท อิงค์รวมตัวเข้ากับ เป๊ปซี่ โค อิงค์ (Pepsi Co., Inc.) และได้เริ่มโครงการขยายสาขาไปทั่วโลก ต่อมา เป๊ปซี่ โค อิงค์ มีนโยบายแยกตัวกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในเครือ ซึ่งได้แก่ พิซซ่าฮัท เคเอฟซี และ ทาโก้เบลล์ และได้ก่อตั้งเป็นบริษัท ไทรคอน โกลโบล เรสเทอรองตส์ จำกัด (Tricon Global Restaurants) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2540 เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2545 บริษัท ไทรคอน โกลโบล เรสเทอรองตส์ จำกัด (Tricon Global Restaurants) เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ยัม! แบรนด์ส อิงค์ จำกด (Yum! Brands, Inc.) และบริษัท ไทรคอน เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Tricon Restaurants International) เปลี่ยนเป็น บริษัท ยัม! เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Yum Restaurants International) หลังจากได้เข้าซื้อกิจการของ ร้านอาหารลอง จอห์น ซิลเวอร์ และ เอ แอนด์ ดับบลิว จึงทำให้มีแบรนด์อาหารเพิ่มขึ้นเป็น 5 แบรนด์คือ เคเอฟซี, พิซซ่าฮัท, ทาโก้ เบลล์, ลอง จอห์น ซิลเวอร์ และ เอ แอนด์ ดับบลิว
| สาขาแรกในต่างประเทศของแฟรนไชส์ร้านอาหารชื่อว่า พิซซ่าฮัท ตั้งอยู่ที่ประเทศใด | {
"answer": [
"แคนาดา"
],
"answer_begin_position": [
611
],
"answer_end_position": [
617
]
} |
2,071 | 54,700 | ยุคเมจิ ยุคเมจิ () เป็นยุคสมัยของญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ. 1868 - ค.ศ. 1912 ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ ยุคใหม่ (Modern Era) ของญี่ปุ่น ยุคเมจิเริ่มต้นหลังจากที่กลุ่มหัวก้าวหน้าในแคว้นโชชูและแคว้นซะสึมะ ผนึกกำลังกันล้มล้างระบอบโชกุนและระบบซะมุไร หลังจากล้มระบอบโชกุนได้แล้ว ก็สถาปนารัฐธรรมนูญและรัฐบาลใหม่ที่มีองค์จักรพรรดิเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ จักรพรรดิทรงย้ายเมืองหลวงจากเคียวโตะไปยังเอโดะ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว คณะรัฐบาลในสมเด็จพระจักรพรรดิได้ร่วมมือกันปฏิรูปญี่ปุ่นในทุกๆด้าน มีการทำสงครามกับจักรวรรดิรัสเซียและมีชัยเหนือรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในขณะนั้น รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกระบอบศักดินาสวามิภักดิ์และมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ในกรุงโตเกียว มีการสถาปนาสภานิติบัญญัติในสมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นมาตามแบบอย่างของรัฐสภาอังกฤษ อันประกอบด้วยสภาขุนนาง (สภาสูง) และสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ เนื่องจากอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่เหล่าขุนนางในสภาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะเก็นโรเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในระบบการเมือง มีการประกาศยกเลิกการครอบครองที่ดินในระบบศักดินานำที่ดินแจกจ่ายให้ชาวไร่ชาวนาทรงสร้างระบบการคมนาคมทั้งถนน ทางรถไฟ ระบบขนส่งทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการค้าภายในและภายนอก ปรับปรุงระบบไปรษณีย์ การเงินและธนาคาร และวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมเหล็กกล้า และสนับสนุนเอกชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรม ใน ค.ศ. 1911 ประเทศญี่ปุ่นก็มีอำนาจในการจัดตั้งภาษีศุลกากรได้สำเร็จ และในช่วงเดียวกันประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย มีการประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษของซะมุไร ประชาชนทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน ค.ศ. 1872 รัฐบาลประกาศนโยบายการศึกษาให้ประชาชนเล่าเรียนกันทุกคน มีการปลูกฝังความคิดและค่านิยมแบบดั้งเดิม คือ ลัทธิขงจื๊อในแผนการศึกษาเพื่อเน้นความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ จัดให้มีการเกณฑ์ทหารตามแบบมาตรฐานสากลจัดตั้งกระทรวงกลาโหมดูแลการทหาร ปรับปรุงกองทัพให้มีประสิทธิภาพทั้งระเบียบวินัยของกองทัพและศักยภาพของอาวุธทำให้ประเทศญี่ปุ่นก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่งของโลก การปฏิรูปสมัยเมจิใช้เวลาเพียง 20 ปี ก็สามารถพัฒนาประเทศญี่ปุ่นจากประเทศด้อยพัฒนามาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย
| ยุคเมจิ เป็นชื่อยุคสมัยของประเทศใด | {
"answer": [
"ญี่ปุ่น"
],
"answer_begin_position": [
199
],
"answer_end_position": [
206
]
} |
2,072 | 54,700 | ยุคเมจิ ยุคเมจิ () เป็นยุคสมัยของญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ. 1868 - ค.ศ. 1912 ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ ยุคใหม่ (Modern Era) ของญี่ปุ่น ยุคเมจิเริ่มต้นหลังจากที่กลุ่มหัวก้าวหน้าในแคว้นโชชูและแคว้นซะสึมะ ผนึกกำลังกันล้มล้างระบอบโชกุนและระบบซะมุไร หลังจากล้มระบอบโชกุนได้แล้ว ก็สถาปนารัฐธรรมนูญและรัฐบาลใหม่ที่มีองค์จักรพรรดิเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ จักรพรรดิทรงย้ายเมืองหลวงจากเคียวโตะไปยังเอโดะ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว คณะรัฐบาลในสมเด็จพระจักรพรรดิได้ร่วมมือกันปฏิรูปญี่ปุ่นในทุกๆด้าน มีการทำสงครามกับจักรวรรดิรัสเซียและมีชัยเหนือรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในขณะนั้น รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกระบอบศักดินาสวามิภักดิ์และมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ในกรุงโตเกียว มีการสถาปนาสภานิติบัญญัติในสมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นมาตามแบบอย่างของรัฐสภาอังกฤษ อันประกอบด้วยสภาขุนนาง (สภาสูง) และสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ เนื่องจากอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ที่เหล่าขุนนางในสภาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะเก็นโรเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในระบบการเมือง มีการประกาศยกเลิกการครอบครองที่ดินในระบบศักดินานำที่ดินแจกจ่ายให้ชาวไร่ชาวนาทรงสร้างระบบการคมนาคมทั้งถนน ทางรถไฟ ระบบขนส่งทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการค้าภายในและภายนอก ปรับปรุงระบบไปรษณีย์ การเงินและธนาคาร และวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมเหล็กกล้า และสนับสนุนเอกชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรม ใน ค.ศ. 1911 ประเทศญี่ปุ่นก็มีอำนาจในการจัดตั้งภาษีศุลกากรได้สำเร็จ และในช่วงเดียวกันประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย มีการประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษของซะมุไร ประชาชนทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน ค.ศ. 1872 รัฐบาลประกาศนโยบายการศึกษาให้ประชาชนเล่าเรียนกันทุกคน มีการปลูกฝังความคิดและค่านิยมแบบดั้งเดิม คือ ลัทธิขงจื๊อในแผนการศึกษาเพื่อเน้นความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ จัดให้มีการเกณฑ์ทหารตามแบบมาตรฐานสากลจัดตั้งกระทรวงกลาโหมดูแลการทหาร ปรับปรุงกองทัพให้มีประสิทธิภาพทั้งระเบียบวินัยของกองทัพและศักยภาพของอาวุธทำให้ประเทศญี่ปุ่นก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่งของโลก การปฏิรูปสมัยเมจิใช้เวลาเพียง 20 ปี ก็สามารถพัฒนาประเทศญี่ปุ่นจากประเทศด้อยพัฒนามาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย
| การเข้าสู่ยุคใหม่ของประเทศญี่ปุ่นเกิดขึ้นในยุคสมัยที่มีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"เมจิ"
],
"answer_begin_position": [
83
],
"answer_end_position": [
87
]
} |
2,073 | 153,970 | จักรวรรดิเกาหลี จักรวรรดิโชซ็อน ( หรือ ประเทศโชซ็อน () คือราชอาณาจักรโชซ็อนที่ประกาศยกสถานะของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นจักรวรรดิ ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าโกจง พร้อมกับการเปลี่ยนพระอิสริยยศจาก กษัตริย์ เป็น จักรพรรดิ โดยพระองค์มีพระนามว่า จักรพรรดิควางมูแห่งเกาหลี เพื่อให้ประเทศเอกราชจากจักรวรรดิชิง และยกสถานะของประเทศมีความเท่าเทียมกับจักรวรรดิชิง และ จักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าโดยพฤติการณ์แล้วสถานะของเกาหลีไม่ได้เข้าข่ายการเป็นจักรวรรดิเลยก็ตาม จนกระทั่งถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองในปี ค.ศ. 1910ประวัติศาสตร์การสถาปนาจักรวรรดิ ประวัติศาสตร์. การสถาปนาจักรวรรดิ. ราชอาณาจักรโชซ็อนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพัฒนาประเทศให้ทันสมัยตามแบบชาวตะวันตก ขณะที่เกาหลียึดมั่นในความสันโดษอย่างแข็งกร้าว ในปี พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894) เป็นปีแห่งความวุ่นวายของเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจปีคัปชิน ทำให้ฝ่ายหัวก้าวหน้ามีอำนาจ หรือกบฏทงฮัก ซึ่งทั้งจีน (ตามคำขอของพระมเหสีมินจายอง) และญี่ปุ่นต่างส่งทัพมาปราบ และทำสงครามกัน ผลลงเอยด้วยญี่ปุ่นได้ชัยชนะเกิดสนธิสัญญาชิโมะโนะเซะกิ ซึ่งจักรวรรดิชิงรับรองว่าโชซ็อนเป็นประเทศเอกราชตามสนธิสัญญาดังกล่าว แต่จักรวรรดิรัสเซียเห็นว่าการขยายอำนาจในตะวันออกไกลของญี่ปุ่นจะเป็นภัย ด้วยความช่วยเหลือของเยอรมนีและฝรั่งเศส การบังคับยึดเอาพอร์ตอาเธอร์ในคาบสมุทรเหลียวตงมาจากจีนกลายเป็นภัยโดยตรงต่อญี่ปุ่น พระมเหสีมินจายองทรงเป็นผู้นำในการต่อต้านอิทธิพลของญี่ปุ่นในโชซ็อน จึงทรงถูกทหารญี่ปุ่นลอบสังหารในปี พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) ทำให้พระเจ้าโกจงทรงหลบหนีไปสถานกงสุลรัสเซีย ญี่ปุ่นเข้าควบคุมการปกครองโชซ็อน ทำการปรับปรุงประเทศต่างๆ ยกเลิกประเพณีเก่าแก่ เช่น ยกเลิกการใช้นามปีนับศักราชแบบจีน และให้ใช้ปฏิทินเกรกอเรียนแทน รวมทั้งการตัดจุกของผู้ชาย ซึ่งขัดกับหลักขงจื้อที่ห้ามตัดผมตลอดชีวิต ทำให้ประชาชนเล็งเห็นถึงภัยจากต่างชาติที่กำลังคุกคามโชซ็อน อย่างหนัก จึงรวมตัวกันเป็นสมาคมเอกราช รบเร้าให้พระเจ้าโกจงทรงกลับมาต่อต้านอิทธิพลของญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) พระเจ้าโกจงทรงกลับมาประทับที่พระราชวังต๊อกซูกุง ประกาศเปลี่ยนให้อาณาจักรโชซ็อนเป็นจักรวรรดิโชซ็อน และพระองค์เองทรงเลื่อนสถานะเป็นสมเด็จจักรพรรดิควางมู (광무제; 光武帝) (รวมทั้งเลื่อนสถานะพระมเหสีมินจายองเป็นสมเด็จจักรพรรดินีเมียงซอง) ทรงเลือกใช้คำว่า"ฮัน"มาเป็นชื่อประเทศจากอาณาจักรสามฮันในสมัยโบราณการแทรกแซงของรัสเซีย การแทรกแซงของรัสเซีย. หลังจากที่จีนสิ้นอำนาจไปแล้วจักรวรรดิรัสเซียก็เริ่มที่จะมีอิทธิพลในตะวันออกไกลแทน รัสเซียสร้างทางรถไฟในแมนจูเรียจากฮาร์บินผ่านมุกเดนมาถึงพอร์ตอาเธอร์ แต่กบฏนักมวยได้เผาทางรถไฟของรัสเซียในแมนจูเรียในพ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899)ทำให้รัสเซียยกทัพเข้ายึดครองแมนจูเรีย อ้างว่าเพื่อปกป้องทางรถไฟของตน และบรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่น ว่ารัสเซียจะไม่ยุ่งกับโชซ็อน และญี่ปุ่นจะไม่ยุ่งกับแมนจูเรีย แต่ทั้งสองประเทศต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจ้องจะยึดครองอาณานิคมของอีกฝ่ายอยู่ จนญี่ปุ่นทำข้อตกลงพันธมิตรกับอังกฤษในพ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) ทำให้รัสเซียไม่อาจดึงชาติตะวันตกอื่นๆมาร่วมได้ เพราะจะต้องเป็นปฏิปักษ์กับอังกฤษ ขณะเดียวกันรัสเซียก็เริ่มเคลื่อนไหวที่ริมฝั่งแม่น้ำยาลูฝั่งแมนจูเรีย ในพ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) ทูตญี่ปุ่นที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้พยายามเจรจาอีกครั้ง แต่ไม่ประสบผล ในพ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นจึงเริ่มขึ้น โดยรบกันที่พอร์ตอาเธอร์และแม่น้ำยาลูเป็นส่วนใหญ่ ญี่ปุ่นนำกองทัพเคลื่อนผ่านโชซ็อนไปมาโดยที่ขุนนางโชซ็อนไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะแม้พระเจ้าโกจงทรงอุตสาหะเลื่อนสถานะของประเทศเป็นจักรวรรดิ แต่ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของญี่ปุ่นอยู่ดีการเข้ายึดครองของญี่ปุ่น การเข้ายึดครองของญี่ปุ่น. ญี่ปุ่นยึดพอร์ตอาเธอร์ได้ในที่สุดในพ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) การชนะสงครามกับรัสเซียในครั้งนี้ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งเอเชียบูรพา และสามารถขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกในการยึดครองโชซ็อนได้ เช่น สหรัฐอเมริกายินยอมให้ญี่ปุ่นแผ่อิทธิพลสู่เกาหลีในข้อตกลงทาฟต์-คะสึระ จนบังคับโชซ็อนลงนามใน สนธิสัญญาอึลซา ให้โชซ็อนตกเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยมีเพียงรัฐมนตรีโชซ็อนบางคนเท่านั้นที่ลงนามยอมรับ แต่ตัวจักรพรรดิควางมูเองมิได้ทรงลงนามด้วย แต่อย่างไรก็ตาม โชซ็อนก็ได้หมดสภาพในการติดต่อสัมพันธ์กับต้างประเทศ และการค้ากับต่างประเทศผ่านท่าเรือทุกแห่งญี่ปุ่นจะเข้าควบคุมดูแล รวมทั้งเข้ายึดครองระบบขนส่งและสื่อสารทั้งหมดของประเทศ แต่จักรพรรดิควางมูก็ยังไม่ทรงหมดความหวัง โดยแอบส่งทูตไปยังการประชุมอนุสัญญากรุงเฮกในปีพ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากการกระทำของญี่ปุ่นในสภาโลก แต่บรรดามหาอำนาจทั้งหลายไม่ยอมรับโชซ็อนเป็นรัฐเอกราช และไม่ยอมให้ผู้แทนโชซ็อนเข้าร่วมการประชุม เมื่อญี่ปุ่นทราบเหตุการณ์จึงกล่าวโทษโชซ็อนว่าละเมิดข้อสัญญาในสนธิสัญญาอึลซา จึงบังคับให้โชซ็อนทำสนธิสัญญาญี่ปุ่น-เกาหลีฉบับที่ 3 ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และให้จักรพรรดิควางมูสละบัลลังก์ให้พระโอรสขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิยุงฮึย ชาวญี่ปุ่นได้เข้าเป็นผู้บริหารประเทศ จักรพรรดิควางมูสิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน จนในพ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) การลงนามในสนธิสัญญาผนวกดินแดนญี่ปุ่น-เกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองโชซ็อนอย่างสมบูรณ์ ในสนธิสัญญามีตราตั้งพระราชลัญจกร และมีพระนามของจักรพรรดิยุงฮีที่ลงนามโดยลีวานยง นายกรัฐมนตรีแทน ดังนั้นตลอดเวลาและหลังการยึดครองของญี่ปุ่น จึงมีคำถามโดยเฉพาะกับชาวเกาหลีว่าสนธิสัญญาฉบับนี้มีความถูกต้องมากเพียงใด ซึ่งแน่นอนว่าชาวเกาหลีในปัจจุบันจะต้องไม่ยอมรับสัญญาฉบับนี้ และประกาศให้สัญญาฉบับนี้เป็นโมฆะในพ.ศ. 2548 แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เกาหลีก็ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นไป 30 กว่าปี จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เกาหลีจึงถูกแบ่งเป็นเหนือและใต้การเมืองการปกครองนิติบัญญัติบริหารตุลาการนโยบายต่างประเทศกองทัพเศรษฐกิจโครงสร้างพื้นฐานประชากรศาสตร์การฟื้นฟูสถาบันจักรพรรดิ การฟื้นฟูสถาบันจักรพรรดิ. สถาบันจักรพรรดิแห่งเกาหลีได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้งเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยเจ้าหญิงเฮวอน (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงประกาศฟื้นฟูสถาบันจักรพรรดิแห่งเกาหลีอย่างเป็นทางการ โดยพระนางทรงเรียกพระองค์เองว่า จักรพรรดินีแห่งเกาหลี ทำให้เกาหลีมีประมุขแห่งราชวงศ์ลีและสถาบันจักรพรรดิเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ปิดฉากไปเป็นเวลานานกว่า 97 ปี (พ.ศ. 2453) ด้วยการที่จักรวรรดิญี่ปุ่น (ด้วยความร่วมมือขอพระราชบิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิควางมู หรือพระเจ้าโกจง) บุกยึดเกาหลีและล้มล้างสถาบันจักรพรรดิจนราบคาบ แต่เนื่องจากรัฐบาลของสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ยังมิได้ให้การรับรองหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ จึงทำให้พระนางยังคงขาดสถานะความเป็นประมุขแห่งรัฐ อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระจักรพรรดินีเฮวอนทรงดำรงพระยศเป็น ประมุขแห่งราชตระกูลจักรพรรดิเกาหลี และ ประมุขคริสตจักรเกาหลีรายพระนามจักรพรรดิและผู้อ้างสิทธิแห่งราชบัลลังก์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเกาหลีผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเกาหลี
| ในอดีต จักรวรรดิเกาหลีถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองในปี ค.ศ.ใด | {
"answer": [
"1910"
],
"answer_begin_position": [
580
],
"answer_end_position": [
584
]
} |
2,074 | 5,333 | สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่สอง (; มักย่อเป็น WWII หรือ WW2) เป็นสงครามทั่วโลกกินเวลาตั้งแต่ปี 1939 ถึง 1945 ประเทศส่วนใหญ่ในโลกมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด แบ่งเป็นพันธมิตรทางทหารคู่สงครามสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ เป็นสงครามที่กว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารกว่า 100 ล้านนายจากกว่า 30 ประเทศเข้าร่วมโดยตรง สงครามนี้มีลักษณะเป็น "สงครามเบ็ดเสร็จ" คือ ประเทศผู้ร่วมสงครามหลักทุ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเพื่อความพยายามของสงคราม โดยลบเส้นแบ่งระหว่างทรัพยากรของพลเรือนและทหาร ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 50 ถึง 85 ล้านคน ด้วยประการทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และมีผู้เสียชีวิตสูงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ จักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งมีเป้าหมายครอบงำทวีปเอเชียและแปซิฟิกและทำสงครามกับจีนมาตั้งแต่ปี 1937 แล้ว แต่โดยทั่วไปถือว่าสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มตั้งแต่การบุกครองโปแลนด์ของเยอรมนีในวันที่ 1 กันยายน 1939 นำไปสู่การประกาศสงครามต่อเยอรมนีของประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปลายปี 1939 ถึงต้นปี 1941 ในการทัพและสนธิสัญญาต่าง ๆ ประเทศเยอรมนีพิชิตหรือควบคุมยุโรปภาคพื้นทวีปได้ส่วนใหญ่ และตั้งพันธมิตรอักษะกับอิตาลีและญี่ปุ่น ภายใต้สนธิสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบนทรอพเมื่อเดือนสิงหาคม 1939 เยอรมนีและสหภาพโซเวียตแบ่งแลผนวกดินแดนประเทศเพื่อนบ้านยุโรปของตน ได้แก่ โปแลนด์ ฟินแลนด์ โรมาเนียและรัฐบอลติก สงครามดำเนินต่อส่วนใหญ่ระหว่างชาติฝ่ายอักษะยุโรปและแนวร่วมสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพบริติช โดยมีการทัพอย่างการทัพแอฟริกาเหนือและแอฟริกาตะวันออก ยุทธการที่บริเตนซึ่งเป็นการสู้รบทางอากาศ การทัพทิ้งระเบิดเดอะบลิตซ์ การทัพบอลข่าน ตลอดจนยุทธการที่แอตแลนติกที่ยืดเยื้อ ในเดือนมิถุนายน 1941 ชาติอักษะยุโรปบุกครองสหภาพโซเวียต เปิดฉากเขตสงครามภาคพื้นดินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้กำลังทหารสำคัญของฝ่ายอักษะตกอยู่ในสงครามบั่นทอนกำลัง ในเดือนธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นโจมตีสหรัฐและอาณานิคมยุโรปในมหาสมุทรแปซิฟิก และพิชิตมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกส่วนมากได้อย่างรวดเร็ว การรุกของฝ่ายอักษะยุติลงในปี 1942 หลังญี่ปุ่นปราชัยในยุทธนาวีที่มิดเวย์ใกล้กับฮาวายที่สำคัญ และเยอรมนีปราชัยในแอฟริกาเหนือและจากนั้นที่สตาลินกราดในสหภาพโซเวียต ในปี 1943 จากความปราชัยของเยอรมนีติด ๆ กันที่เคิสก์ในยุโรปตะวันออก การบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำให้อิตาลียอมจำนน จนถึงชัยของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิก ฝ่ายอักษะเสียการริเริ่มและต้องล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในทุกแนวรบ ในปี 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองฝรั่งเศสในการยึดครองของเยอรมนี ขณะเดียวกันกับที่สหภาพโซเวียตยึดดินแดนที่เสียไปทั้งหมดคืนและบุกครองเยอรมนีและพันธมิตร ระหว่างปี 1944 และ 1945 ญี่ปุ่นปราชัยสำคัญในทวีปเอเชียในภาคกลางและภาคใต้ของจีนและพม่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรก่อความเสียหายต่อกองทัพเรือญี่ปุ่นและยึดหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตกที่สำคัญ สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่น และการบุกครองแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก สหประชาชาติถูกสถาปนาขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก้าวเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอันเป็นคู่ปรปักษ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งบนเวทีแห่งสงครามเย็น ซึ่งได้ดำเนินต่อมาอีก 46 ปีหลังสงคราม ขณะเดียวกัน การยอมรับหลักการการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง เร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา พร้อม ๆ กับที่หลายประเทศได้มุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งอุตสาหกรรมได้รับความเสียหายระหว่างสงคราม และบูรณาการทางการเมืองได้เกิดขึ้นทั่วโลกในความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์หลังสงครามภูมิหลัง ภูมิหลัง. สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงดินแดนอย่างใหญ่หลวงในยุโรป ด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง รวมทั้งการล่มสลายของรัฐจักรวรรดิที่สำคัญ ได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ตลอดจนจักรวรรดิรัสเซีย ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี เซอร์เบียและโรมาเนีย รวมไปถึงการก่อตั้งรัฐใหม่หลังจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี รัสเซียและออตโตมันล่มสลาย หลังสงคราม ชาตินิยมอุดมการณ์เรียกร้องดินแดน (irredentism) และลัทธิแก้แค้น (revanchism) กลายมามีความสำคัญในหลายประเทศยุโรป อุดมการณ์เรียกร้องดินแดนและลัทธิแก้แค้นแรงกล้ามากในเยอรมนี เพราะเยอรมนีบังคับตามสนธิสัญญาแวร์ซาย เป็นผลให้เยอรมนีเสียดินแดนของประเทศไปร้อยละ 13 รวมทั้งอาณานิคมโพ้นทะเลทั้งหมด การรวมเยอรมนีเข้ากับประเทศอื่นถูกห้าม ซ้ำต้องแบกภาระชำระค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาล และถูกจำกัดขนาดและขีดความสามารถของกองทัพอย่างมาก ขณะเดียวกัน สงครามกลางเมืองรัสเซียได้นำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต นำโดยพรรคบอลเชวิค ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ จักรวรรดิเยอรมันสิ้นสภาพไปจากการปฏิวัติเยอรมนีใน ค.ศ. 1918-19 และรัฐบาลประชาธิปไตยถูกตั้งขึ้น ซึ่งภายหลังรู้จักกันว่า สาธารณรัฐไวมาร์ ในเยอรมนีระหว่างสงครามโลกได้เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นระหว่างผู้สนับสนุนสาธารณรัฐใหม่และผู้คัดค้านที่ยึดมั่นทางฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย พรรคนาซี นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เจริญรอยตามการจัดตั้งรัฐบาลฟาสซิสต์ตามอย่างอิตาลีในเยอรมนี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้การสนับสนุนพรรคนาซีภายในประเทศเพิ่มขึ้น และใน ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังเหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาค ฮิตเลอร์สถาปนารัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จพรรคการเมืองเดียวนำโดยพรรคนาซี สถานการณ์คล้ายกันนี้ยังได้เกิดขึ้นในอิตาลี แม้ว่าอิตาลีจะเป็นพันธมิตรฝ่ายไตรภาคีและได้รับดินแดนอยู่บ้าง แต่พวกชาตินิยมอิตาลีรู้สึกโกรธแค้นที่คำมั่นสัญญาของอังกฤษและฝรั่งเศสให้ไว้เพื่อให้อิตาลีเข้าสู่สงครามในสนธิสัญญาลอนดอน ไม่เป็นไปตามการตกลงสันติภาพ นับจาก ค.ศ. 1922 ถึง 1925 ขบวนการฟาสซิสต์ นำโดยเบนิโต มุสโสลินี ยึดอำนาจในอิตาลีด้วยวาระชาตินิยม เผด็จการเบ็ดเสร็จและความร่วมมือระหว่างชนชั้น ซึ่งยกเลิกระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน สังคมนิยมใช้อำนาจบังคับ กำลังฝ่ายซ้ายและเสรีนิยม และดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบก้าวร้าวโดยมีเป้าหมายเพื่อสถาปนาอิตาลีเป็นมหาอำนาจของโลกโดยใช้กำลัง คือ "จักรวรรดิโรมันใหม่" ส่วนทางด้านประเทศจีน รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งได้เริ่มการทัพรวมชาติขึ้นต่อต้านเหล่าขุนศึกอิสระ จนนำไปสู่การรวมชาติในนามราวกลางคริสต์ทศวรรษ 1920 แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลจีนกลับต้องเข้าไปพัวพันในสงครามกลางเมืองกับพันธมิตรเก่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน ใน ค.ศ. 1931 จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีความต้องการจะมีอิทธิพลเหนือประเทศจีนมาเป็นเวลานานแล้ว กำลังเพิ่มกำลังทหารในจีนอย่างขนานใหญ่ เพื่อเป็นแผนการขั้นแรกในการเข้าปกครองทั้งทวีปเอเชีย โดยใช้กรณีมุกเดนเป็นข้ออ้างในการบุกครองแมนจูเรีย และจัดตั้งรัฐหุ่นเชิด แมนจูกัว จีนได้ขอความช่วยเหลือจากสันนิบาตชาติ ญี่ปุ่นจึงลาออกจากองค์การหลังมีการประณามการบุกครองดังกล่าว หลังจากนั้น ทั้งสองชาติได้เกิดการปะทะกันประปรายขึ้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งนำไปสู่การพักรบตางกู ในปี ค.ศ. 1933 แต่ถึงกระนั้น กองกำลังอาสาจีนก็ยังคงต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นต่อไปในอีกหลายพื้นที่ ทั้งในแมนจูเรียและมองโกเลียใน ต่อมา ฮิตเลอร์สนับสนุนนโยบายการจัดระเบียบโลกใหม่โดยอาศัยปัจจัยทางด้านเชื้อชาติ และเริ่มเสริมสร้างกำลังทหารครั้งใหญ่ เพื่อรักษาพันธมิตรของตน ฝรั่งเศสจึงยินยอมให้อิตาลียึดครองเอธิโอเปีย ซึ่งอิตาลีต้องการยึดเป็นอาณานิคมอยู่แล้ว เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อถึงช่วงต้น ค.ศ. 1935 ซาร์ลันด์ได้รวมเข้ากับเยอรมนีตามกฎหมาย และฮิตเลอร์ได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย พร้อมกับเร่งการฟื้นฟูกองทัพและเริ่มให้มีการเกณฑ์ทหารอย่างรวดเร็ว ในความพยายามที่จะจำกัดวงเยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และอิตาลีจึงก่อตั้งแนวสเตรซาขึ้น ด้านสหภาพโซเวียตเองก็กังวลต่อเป้าหมายยึดครองดินแดนยุโรปตะวันออกอันกว้างใหญ่ของเยอรมนีเช่นกัน จึงได้ทำสนธิสัญญาช่วยเหลือทวิภาคีกับฝรั่งเศส แต่สนธิสัญญาฝรั่งเศส-โซเวียตต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนของสันนิบาตชาติเสียก่อน ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวไม่มีผลเลย ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1935 สหราชอาณาจักรได้ทำสนธิสัญญาการเดินเรือแยกต่างหากกับเยอรมนี โดยผ่อนปรนต่อข้อบังคับต่าง ๆ ที่เคยกำหนดมาก่อนหน้านี้ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็กังวลต่อสถานการณ์ซึ่งอุบัติขึ้นในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย จึงได้ผ่านรัฐบัญญัติว่าด้วยความเป็นกลางในเดือนสิงหาคม ในเดือนตุลาคม อิตาลีบุกครองเอธิโอเปีย โดยมีเพียงเยอรมนีเป็นมหาอำนาจชาติเดียวในยุโรปที่สนับสนุนการบุกครองดังกล่าว อิตาลีจึงยกเลิกข้อคัดค้านต่อเป้าหมายการผนวกออสเตรียของเยอรมนี เดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 ฮิตเลอร์การส่งกองทัพเข้ายึดครองไรน์ลันด์ อันเป็นการฝ่าฝืนสนธิสัญญาโลคาร์โน แต่ก็ได้รับการตอบสนองน้อยมากจากชาติยุโรปอื่น ๆ ครั้นเมื่อสงครามกลางเมืองสเปนปะทุขึ้นในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ทั้งฮิตเลอร์และมุสโสลินีได้ให้ความสนับสนุนแก่จอมทัพฟาสซิสต์ ฟรันซิสโก ฟรังโก และฝ่ายชาตินิยมสเปน เพื่อต่อต้านรัฐบาลสาธารณรัฐสเปนที่สอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ทั้งสองฝ่ายต่างใช้สงครามครั้งนี้เป็นสนามทดสอบอาวุธและยุทธวิธีในการทำสงครามที่คิดค้นขึ้นใหม่ด้วย จนกระทั่งฝ่ายชาตินิยมสเปนได้รับชัยชนะเมื่อต้น ค.ศ. 1939 จากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ได้นำไปสู่ความพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งหรือการรวมกลุ่มระหว่างประเทศขึ้น เยอรมนีได้ร่วมมือกับอิตาลีก่อตั้งแกนโรม-เบอร์ลินขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 และทำกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับญี่ปุ่นในเดือนถัดมา ซึ่งอิตาลีก็ได้เข้าร่วมด้วยใน ค.ศ. 1937 ส่วนในประเทศจีน หลังจากกรณีซีอาน กองทัพพรรคก๊กมินตั๋งและกองทัพคอมมิวนิสต์ได้ตกลงหยุดยิงเพื่อร่วมกันสร้างแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่น กลาง ค.ศ. 1937 หลังเหตุการณ์สะพานมาร์โค โปโล ญี่ปุ่นเริ่มการบุกครองจีนอย่างเต็มตัว ซึ่งลงเอยด้วยการทัพที่มีเป้าหมายจะบุกครองจีนทั้งหมด สหภาพโซเวียตเร่งลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับจีนและให้ความช่วยเหลือด้านวัตถุดิบแก่จีน เป็นการยุติความร่วมมือกับเยอรมนีของจีนที่มีอยู่ก่อนหน้า จอมทัพเจียง ไคเช็คได้วางกำลังพลที่ดีที่สุดของเขาเพื่อป้องกันเซี่ยงไฮ้ แต่ก็เสียเมืองไปหลังการสู้รบนานสามเดือน กองทัพญี่ปุ่นยังผลักดันกองทัพจีนให้ล่าถอยต่อไป และสามารถยึดนานกิงได้ในเดือนธันวาคม และกระทำการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม เมื่อถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1938 กองทัพจีนสามารถหยุดการรุกคืบของกองทัพญี่ปุ่นได้โดยเหตุอุทกภัยแม่น้ำหวง ในช่วงนี้ จีนได้เตรียมการป้องกันที่เมืองอู่ฮั่น แต่ก็ยังถูกตีแตกในเดือนตุลาคม แม้ว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะได้รับชัยชนะทางทหาร แต่กลับไม่สามารถทำลายการต้านทานของจีนลงได้อย่างที่หวัง โดยรัฐบาลจีนย้ายลึกเข้าไปในแผ่นดินถึงฉงชิ่งแล้วทำสงครามต่อ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 กองทัพญี่ปุ่นและกองทัพโซเวียตปะทะกันอย่างประปรายที่ทะเลสาบคาซาน แม้ว่าโซเวียตจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ญี่ปุ่นกลับมองว่าเป็นการเสมอที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 ญี่ปุ่นตัดสินใจขยายพรมแดนญี่ปุ่น-มองโกเลียขึ้นไปถึงแม่น้ำคัลคินกอลด้วยกำลัง แม้ว่าญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จในระยะแรก แต่กองทัพคันโตในมองโกเลียได้ถูกขัดขวางอีกครั้ง และสงครามยุติลงด้วยสัญญาหยุดยิงเมื่อวันที่ 15 กันยายน โดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงดินแดนใด ๆ นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญครั้งแรกกองทัพคันโต ความพ่ายแพ้ดังกล่าวได้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นควรมุ่งปรองดองกับรัฐบาลโซเวียตเพื่อมิให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามในจีน และหันเหความสนใจทางทหารไปทางใต้ ไปยังดินแดนในครอบครองของสหรัฐอเมริกาและยุโรปในแปซิฟิกแทน ด้านทวีปยุโรป บทบาทของเยอรมนีและอิตาลีเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 เยอรมนีผนวกออสเตรีย โดยมีปฏิกิริยาจากชาติตะวันตกอื่น ๆ เพียงเล็กน้อยเช่นเดิม ด้วยความฮึกเหิม ฮิตเลอร์จึงอ้างสิทธิครอบครองซูเดเทินลันด์ ดินแดนของเชโกสโลวาเกียซึ่งมีพลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมัน โดยขัดต่อความต้องการของรัฐบาลเชโกสโลวาเกีย ฝรั่งเศสและอังกฤษยินยอมให้เยอรมนียึดครองซูเดนเตแลนด์ เพื่อแลกกับการหยุดแสวงหาดินแดนเพิ่มเติม ทว่าหลังจากนั้น เยอรมนีและอิตาลีได้บังคับให้เชโกสโลวาเกียยกดินแดนให้กับฮังการีและโปแลนด์อีก และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 เยอรมนีบุกครองเชโกสโลวาเกียส่วนที่เหลือ และแบ่งประเทศออกเป็นรัฐในอารักขาโบฮีเมียและโมราเวียของเยอรมนี และรัฐหุ่นเชิดอิสระนิยมเยอรมนี สาธารณรัฐสโลวัก ด้วยความตื่นตัวจากเหตุที่ฮิตเลอร์ต้องการนครเสรีดานซิกเพิ่มเติม ฝรั่งเศสและอังกฤษจึงรับประกันว่าจะให้การสนับสนุนเอกราชของโปแลนด์ และเมื่ออิตาลียึดครองแอลเบเนียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1939 ฝรั่งเศสและอังกฤษก็ให้คำมั่นเช่นเดียวกันนี้แก่โรมาเนียและกรีซ ไม่นานหลังจากการให้คำมั่นดังนี้ ทางด้านเยอรมนีและอิตาลีก็ร่วมมือกันและลงนามเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาเหล็ก เดิมสหภาพโซเวียตพยายามเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อพยายามจำกัดวงเยอรมนี แต่ทั้งสองชาติปฏิเสธ ด้วยแคลงใจในเจตนาและความสามารถของสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตเกรงว่าสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสไม่ปรารถนาจะให้ความร่วมมือทางทหารแก่ตน และวิตกว่าอาจเกิดสงครามระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียต โดยฝ่ายสัมพันธมิตรอาจเอนเอียงเข้ากับฮิตเลอร์ ทำให้สหภาพโซเวียตลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างนาซี-โซเวียต ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวมีข้อตกลงลับระหว่างทั้งสองที่จะแบ่งกันครอบครองยุโรปตะวันออก โดยยกโปแลนด์ตะวันตกและลิทัวเนียให้อยู่ในเขตอิทธิพลของเยอรมนี และยกโปแลนด์ตะวันออก ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และแคว้นเบสซาราเบียของโรมาเนียให้อยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคำถามถึงการมีเอกราชของโปแลนด์ต่อไปด้วยทัศนะโดยทั่วไป ทัศนะโดยทั่วไป. ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดสงครามในระดับโลกขึ้นถึงสองครั้ง โดยสงครามโลกครั้งแรกเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเฉพาะในทวีปยุโรปเป็นสำคัญเท่านั้น แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองนับได้ว่าเป็นสงครามที่ลุกลามไปทั่วโลกอย่างแท้จริง และพบว่าสงครามโลกทั้งสองครั้งมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการทีเดียว สงครามโลกครั้งที่สองก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในหลายประเทศ เพราะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นการระดมคนจำนวนมากเข้ามาประหัตประหารกัน ที่เรียกว่า "สงครามของคนหมู่มาก" (War of the Masses) แต่ในสงครามโลกครั้งที่สอง ประชาชนทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า สงครามโลกครั้งที่สองนั้นเป็น "สงครามของประชาชนทุกคน" สงครามโลกครั้งที่สองกลายเป็นการรบซึ่งตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสองประการซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายหนึ่งต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกใหม่ (ฝ่ายอักษะ) และอีกฝ่ายที่พยายามจะรักษาแนวทางเดิมของโลกเอาไว้ (ฝ่ายสัมพันธมิตร) หรืออาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มตามอาณานิคมและทรัพยากรธรรมชาติในครอบครองของตน ได้แก่ "กลุ่มประเทศมี" (Have Countries) กับ "กลุ่มประเทศไม่มี" (Have not Countries) อย่างไรก็ตาม พันธมิตรทางทหารทั้งสองฝ่ายก็มิได้ให้ความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นมากนัก เพราะทั้งสองฝ่ายเพียงร่วมมือกันระหว่างประทศคู่สงครามเพื่อทำลายอีกคู่สงครามฝ่ายลงอย่างราบคาบเท่านั้น การรบในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งยุทธศาสตร์ ยุทโธปกรณ์และยุทธวิธี จนมีนักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า สงครามโลกครั้งที่สอง "เป็นการรบที่กระทำอย่างกะทันหันโดยปราศจากการวางแผนอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์" เพราะไม่อาจกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าที่ใดคือจุดแตกหักของสงคราม อาวุธใดโดดเด่นที่สุดในสงครามและข้อสรุปทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ทวีปยุโรปไม่เหลือพลังอำนาจที่จะดำเนินนโยบายของตนในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกได้อีกต่อไป ดังที่เห็นได้จากสถานการณ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบฝ่ายอักษะหลังสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้าสู่สงคราม ดังนั้น สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตจึงก้าวขึ้นเป็นสองประเทศอภิมหาอำนาจที่ดำเนินนโยบายของโลกในเวลาต่อมาการนับเวลา การนับเวลา. สงครามโลกครั้งที่สองไม่สามารถกำหนดจุดเริ่มต้นอย่างชี้ชัดแน่นอนได้ เพราะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง นักประวัติศาสตร์จึงเลือกหลายช่วงเวลาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งนี้แตกต่างกันไปตามแนวคิดของตน ซึ่งได้แก่ เหตุการณ์ญี่ปุ่นบุกครองแมนจูเรีย ในปี ค.ศ. 1931 อิตาลีบุกครองเอธิโอเปีย ในปี ค.ศ. 1935 ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสันนิบาติชาติ สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1937 เยอรมนีบุกครองโปแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม ญี่ปุ่นโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในปี ค.ศ. 1941 และเยอรมนีบุกครองสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1941 และยังมีนักเขียนบางคนให้ความเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่สองเป็นสงครามครั้งเดียวกันกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำไป (ใช้คำว่า "สงครามกลางเมืองยุโรป" หรือ "สงครามสามสิบปีครั้งที่สอง") อย่างไรก็ตาม ในตำราส่วนใหญ่มักถือว่าสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 และยุติเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 นอกเหนือจากนั้น สงครามโลกครั้งที่สองยังมีกำหนดเวลาสิ้นสุดแตกต่างกันเช่นกัน บ้างก็นับที่การประกาศสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 มากกว่าการยอมจำนนอย่างเป็นทางการเมือ่วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945; บางประเทศในทวีปยุโรปยึดเอาวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรป (8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945) เป็นสำคัญ แต่ว่า สนธิสัญญาสันติภาพกับประเทศญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้มีการลงนามจนกระทั่งปี ค.ศ. 1951 และสนธิสัญญาสันติภาพกับประเทศเยอรมนีมีการลงนามใน ค.ศ. 1990เส้นทางของสงครามสงครามปะทุ เส้นทางของสงคราม. สงครามปะทุ. เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีและรัฐบริวารสโลวาเกียบุกครองโปแลนด์ วันที่ 3 กันยายน ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนี ตามมาด้วยบรรดาประเทศในเครือจักรภพแห่งชาติ แต่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์เพียงเล็กน้อยเฉพาะการโจมตีขนาดเล็กของฝรั่งเศสเข้าไปในซาร์ลันด์เท่านั้น แม้ว่าอีกทางหนึ่ง อังกฤษกับฝรั่งเศสจะเริ่มต้นการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำลายเศรษฐกิจและความพยายามสงครามของเยอรมนี วันที่ 17 กันยายน หลังจากสงบศึกชั่วคราวกับญี่ปุ่นแล้ว สหภาพโซเวียตก็ได้เริ่มการบุกครองโปแลนด์ของตน ท้ายสุด โปแลนด์ได้ถูกแบ่งออกระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียต ส่วนลิทัวเนียกับสโลวาเกียได้รับส่วนแบ่งบ้าง ชาวโปแลนด์มิได้ยอมจำนนและสถาปนารัฐใต้ดินโปแลนด์ กองทัพป้องกันประเทศ (Home Army) ใต้ดิน และยังสู้อิงฝ่ายสัมพันธมิตรในทุกแนวรบนอกประเทศ และในเวลาเดียวกับการรบในโปแลนด์ กองทัพญี่ปุ่นก็เปิดฉากโจมตีเมืองฉางซาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ของจีน แต่ก็ถูกขับไล่กลับมาเมื่อปลายเดือนกันยายน ภายหลังการบุกครองโปแลนด์และการลงนามในสนธิสัญญากำหนดสิทธิปกครองลิทัวเนีย สหภาพโซเวียตได้บีบบังคับรัฐบอลติกเพื่อยินยอมให้สหภาพโซเวียตส่งกองทัพเข้าไปประจำการภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างกัน ฟินแลนด์ปฏิเสธการเรียกร้องดินแดนและถูกสหภาพโซเวียตบุกครอง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 และจบลงด้วยการยินยอมยกดินแดนบางส่วนให้กับสหภาพโซเวียต ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรมองว่าสหภาพโซเวียตพยายามจะเข้าสู่สงครามโดยอยู่ข้างเยอรมนี และได้ตอบสนองต่อการบุกครองโดยการขับสหภาพโซเวียตออกจากสันนิบาตชาติ และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 สหภาพโซเวียตบุกครองและยึดครองรัฐบอลติก ในยุโรปตะวันตก อังกฤษได้วางกำลังบนยุโรปภาคพื้นทวีป แต่ในช่วงที่เรียกว่า สงครามลวง ไม่มีปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายอีกกระทั่งเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 ทางด้านสหภาพโซเวียตและเยอรมนีได้บรรลุสนธิสัญญาการค้าระหว่างกัน ซึ่งสหภาพโซเวียตได้รับเครื่องประกอบทางทหารและทางอุตสาหกรรมของเยอรมนีโดยแลกกับการส่งวัตถุดิบให้กับเยอรมนี ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกปิดล้อมเมืองท่าโดยราชนาวีสหราชอาณาจักร เดือนเมษายน ค.ศ. 1940 เยอรมนีบุกครองเดนมาร์กและนอร์เวย์ เพื่อควบคุมการขนส่งแร่เหล็กจากสวีเดน ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังจะขัดขวาง เดนมาร์กได้ยอมจำนนอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่านอร์เวย์จะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วก็ตาม แต่เยอรมนีก็ยังสามารถพิชิตนอร์เวย์ได้ในเวลาเพียงสองเดือน ความไม่พอใจต่อผลของการทัพนอร์เวย์ของชาวอังกฤษได้นำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรจากเนวิล เชมเบอร์ลิน เป็นวินสตัน เชอร์ชิลล์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940ฝ่ายอักษะเคลื่อนทัพ ฝ่ายอักษะเคลื่อนทัพ. ในวันเดียวกัน เยอรมนีบุกครองฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมพ่ายแพ้จากผลของยุทธวิธีบลิทซครีกติดต่อกันในเวลาเพียงไม่กี่วันและไม่กี่สัปดาห์ตามลำดับ ฝ่ายเยอรมนีใช้อุบายการตีผ่านแนวเทือกเขาอาร์เดนเนส ซึ่งมีป่าปกคลุมหนาแน่น เพื่อโอบล้อมแนวป้องกันแมกิโนต์ของฝรั่งเศส ความผิดพลาดดังกล่าวเป็นเพราะนักวางแผนชาวฝรั่งเศสคาดการณ์ผิดว่าเทือกเขานี้เป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติที่เชื่อกันว่า ยานยนต์หุ้มเกราะไม่อาจโจมตีผ่านได้ เมื่อถึงปลายเดือนพฤษภาคม ทหารอังกฤษถูกบีบให้ล่าถอยจากแผ่นดินใหญ่ยุโรปในยุทธการดันเคิร์ก และทิ้งยุทโธปกรณ์หนักไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน อิตาลีเริ่มการบุกครองฝรั่งเศส และประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส สิบสองวันหลังจากนั้น ฝรั่งเศสยอมจำนน และถูกแบ่งเป็นเขตยึดครองของเยอรมนีและอิตาลีในเวลาไม่นานนัก และรัฐซึ่งไม่อยู่ภายใต้การยึดครองภายใต้ระบอบวีชี เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม กองทัพเรืออังกฤษก็ทำลายกองทัพเรือฝรั่งเศสในแอลจีเรีย เพื่อป้องกันมิให้กองทัพเยอรมนีนำไปใช้ในกรณีที่เป็นไปได้ ในเดือนมิถุนายน ช่วงปลายยุทธการฝรั่งเศส สหภาพโซเวียตเริ่มจัดการเลือกตั้งที่ถูกจัดฉากขึ้นในรัฐบอลติกและผนวกดินแดนเหล่านี้ด้วยกำลังอย่างผิดกฎหมาย ตามด้วยการผนวกแคว้นเบสซาราเบียในโรมาเนีย แม้ว่าความร่วมมือระหว่างสหภาพโซเวียตและนาซีเยอรมนีจะมีเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ตาม ทั้งในด้านเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ด้านการทหารเล็กน้อย การแลกเปลี่ยนประชากรและความตกลงเกี่ยวกับชายแดน จนอาจกล่าวได้ว่าสหภาพโซเวียตเป็นพันธมิตรโดยพฤตินัยของเยอรมนีแล้วก็ตาม การยึดครองรัฐบอลติก เบสซาราเบียและนอร์ทบูโควิน่าได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่เยอรมนี พฤติการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจากความไม่สามารถบรรลุความความร่วมมือระหว่างนาซี-โซเวียตได้เพิ่มเติม ได้ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองเสื่อมทรามลง เหลือแต่รอเวลาทำสงคราม เมื่อฝรั่งเศสหลุดจากสงคราม ฝ่ายอักษะก็มีกำลังยิ่งขึ้น กองทัพอากาศเยอรมันเริ่มการรบในยุทธการบริเตน เพื่อครองแสงยานุภาพเหนือน่านฟ้าและเตรียมการรบภาคพื้นดินบนเกาะอังกฤษ แต่การทัพดังกล่าวประสบความล้มเหลว และแผนการบุกครองภาคพื้นดินได้ถูกยกเลิกในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือเยอรมันประสบความสำเร็จในการจมเรือรบราชนาวีอังกฤษด้วยเรืออู ในมหาสมุทรแอตแลนติก ฝ่ายอิตาลีก็เริ่มการปฏิบัติการทางทะเลของตนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการปิดล้อมมอลตา ในเดือนมิถุนายน ครอบครองบริติชโซมาลิแลนด์ในเดือนสิงหาคม และเปิดส่งกองทัพเข้าสู่อียิปต์ของสหราชอาณาจักรในตอนต้นเดือนกันยายน ส่วนทางด้านญี่ปุ่นก็เพิ่มการปิดล้อมจีนด้วยการโจมตีฐานทัพหลายแห่ง ทางตอนเหนือของอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งถูกโดดเดี่ยว ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ฝ่ายสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นกลางได้ออกมาตรการในการช่วยเหลือจีนและสัมพันธมิตรตะวันตก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 รัฐบัญญัติว่าด้วยความเป็นกลางของสหรัฐอเมริกามีผลตามกฎหมาย การแปรบัญญัติดังกล่าวส่งผลเปิดโอกาสให้ฝ่ายสัมพันธมิตรซื้อสินค้าแบบ "จ่ายเป็นเงินสด" ได้ ระหว่างปี ค.ศ. 1940 ภายหลังจากที่เยอรมนียึดกรุงปารีส สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มเติมขนาดกองทัพเรือของตนขนานใหญ่ และหลังจากการรุกล้ำเข้าไปยังอินโดจีนฝรั่งเศสของญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาก็สนับสนุนการห้ามขนส่งเหล็ก เหล็กกล้า และชิ้นส่วนเครื่องจักรแก่ญี่ปุ่น และในเดือนกันยายน สหรัฐอเมริกาก็ตกลงแลกเปลี่ยนเรือประจัญบานอเมริกันกับฐานทัพอังกฤษเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สาธารณชนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยังคงต่อต้านการเข้าแทรกแซงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1941 ปลายเดือนกันยายน กติกาสัญญาไตรภาคีระหว่างเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ได้เป็นรวมตัวกันก่อตั้งฝ่ายอักษะอย่างเป็นทางการ สัญญาดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนไขว่าทุกประเทศ ยกเว้นสหภาพโซเวียต ซึ่งยังไม่อยู่ในภาวะสงครามและโจมตีรัฐสมาชิกฝ่ายอักษะรัฐใดรัฐหนึ่งจะนำไปสู่สภาวะสงครามกับรัฐสมาชิกทั้งหมด ในช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐอเมริกายังคงสนับสนุนสหราชอาณาจักรและจีนโดยนโยบายให้ยืม-เช่าต่อไป ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดหาทรัพยากรสงครามและสิ่งอื่น ๆ รวมทั้งการสร้างพื้นที่ปลอดภัยแบบหยาบ ๆ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจะคอยคุ้มกันกองเรือสินค้าของอังกฤษ ผลจากการตัดสินใจดังกล่าว ทำให้เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากันในการทำสงครามทางทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและตอนกลาง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยังคงดำรงตนเป็นกลางอย่างเป็นทางการอยู่ก็ตาม ฝ่ายอักษะได้ขยายตัวในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1940 เมื่อฮังการี สโลวาเกีย และโรมาเนียเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ซึ่งในเวลาต่อมา ประเทศเหล่านี้ได้มีส่วนร่วมในการรุกรานสหภาพโซเวียต แต่โรมาเนียถูกพิจารณาว่ามีบทบาทมากที่สุด เนื่องจากต้องการทวงดินแดนที่ถูกสหภาพโซเวียตยึดครองก่อนหน้า และยังเป็นความปรารถนาส่วนตัวของอีออน อันโตเนสกูที่ต้องการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ในเดือนตุลาคม อิตาลีบุกครองกรีซ แต่ภายในไม่กี่วันก็ถูกขับไล่และถูกตีจนต้องถอยร่นเข้าไปในอัลแบเนีย ซึ่งสถานการณ์การรบยังคงคุมเชิงกันอยู่ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1940 ในทวีปแอฟริกา กองทัพเครือจักรภพอังกฤษก็ได้ตีโต้ตอบกองทัพอิตาลีในอียิปต์และดินแดนแอฟริกาตะวันออกของอิตาลี ในตอนต้นของปี ค.ศ. 1941 เมื่อกองทัพอิตาลีนั้นถูกผลักดันกลับไปยังลิเบียโดยกองทัพเครือจักรภพ เชอร์ชิลล์ก็ได้ออกคำสั่งให้ส่งกำลังจากแอฟริกาเข้าไปเสริมในกรีซ ในขณะเดียวกัน กองทัพเรืออิตาลีก็ประสบกับความปราชัยครั้งสำคัญ เมื่อราชนาวีอังกฤษสามารถทำลายเรือประจัญบานปลดประจำการของอิตาลีไปได้ถึงสามลำในยุทธนาวีตารันโต และสร้างความเสียหายให้กับเรือรบอิตาลีอีกหลายลำในยุทธนาวีที่แหลมมาตาปัน ไม่นานนัก เยอรมนีก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิตาลี ฮิตเลอร์ได้ส่งกองทัพเยอรมันเข้าสู่ลิเบีย ในเดือนกุมภาพันธ์ และภายในปลายเดือนมีนาคม กองทัพฝ่ายอักษะก็ทำการรุกหนักกับกองทัพของกลุ่มเครือจักรภพที่ลดจำนวนลงไป และภายในหนึ่งเดือน กองทัพเครือจักรภพก็ถูกตีถอยร่นกลับสู่อียิปต์ เว้นแต่เพียงเมืองท่าโทบรุคซึ่งถูกล้อมเอาไว้เท่านั้น กองทัพเครือจักรภพพยายามจะขับไล่กองทัพอักษะออกไปในเดือนพฤษภาคม และอีกครั้งในเดือนมิถุนายน แต่ก็ประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้ง ตอนต้นของเดือนเมษายน หลังจากบัลแกเรียเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ กองทัพเยอรมันก็เข้าแทรกแซงในคาบสมุทรบอลข่าน โดยโจมตีกรีซและยูโกสลาเวียภายหลังรัฐประหาร ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนในท้ายที่สุด กองทัพสัมพันธมิตรก็ต้องถอนกำลังออกไปหลังจากที่เยอรมนีสามารถยึดเกาะครีตได้เมื่อถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม ฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็ประสบความสำเร็จในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน ในตะวันออกกลาง กองทัพเครือจักรภพก็ได้รับชัยชนะในการปราบปรามรัฐประหารในอิรัก ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกองทัพอากาศเยอรมันจากฐานทัพในซีเรียในอาณัติฝรั่งเศส จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของขบวนการฝรั่งเศสเสรี ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ประสบความสำเร็จในการทัพซีเรียและเลบานอน เพื่อจัดการกับทหารอักษะในพื้นที่ อีกทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก ประชาชนชาวอังกฤษมีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นจากการจมจมเรือธง บิสมาร์ค ของเยอรมนี ลงสู่ก้นทะเลได้สำเร็จ และที่อาจสำคัญสุด กองทัพอากาศอังกฤษสามารถต้านทานการโจมตีของลุควาฟเฟได้ในยุทธการแห่งบริเตน และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ต้องยกเลิกการทิ้งระเบิดเหนือเกาะอังกฤษไป ในทวีปเอเซีย หลังจากการรุกของทั้งสองฝ่าย สงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นยังคงคุมเชิงกันอยู่ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อจีนโดยการกีดขวางเส้นทางเสบียง และเพิ่มเสริมสร้างฐานะที่เหนือกว่า กองกำลังญี่ปุ่นได้อาศัยจังหวะที่มหาอำนาจตะวันตกยังคงทำสงครามกันอยู่ ยึดครองอินโดจีนทางตอนใต้ด้วยกำลังทหาร และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน คอมมิวนิสต์จีนก็ได้โจมตีตอนกลางของจีน และเพื่อเป็นการแก้แค้น ญี่ปุ่นก็มีมาตรการรุนแรงออกมาเพื่อลดกำลังคนและปัจจัยการผลิตของกองกำลังคอมมิวนิสต์จีน และความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพชาตินิยมจีน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิงในเดือนมกราคม ค.ศ. 1941 อันทำให้ปฏิบัติการทางทหารที่เคยกระทำร่วมกันก็ยุติลงตามไปด้วย ขณะที่สถานการณ์ในยุโรปและเอเชียนั้นค่อนข้างมั่นคง เยอรมนี ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียตก็ได้ตระเตรียมการตามนโยบายของตน ทางด้านสหภาพโซเวียตเผชิญกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจากเยอรมนี ส่วนญี่ปุ่นนั้นพยายามที่ใช้ประโยชน์จากสงครามในทวีปยุโรป โดยการยึดเอาอาณานิคมอันอุดมสมบูรณ์ของยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตก็ได้ตกลงทำสนธิสัญญาความเป็นกลางโซเวียต-ญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 ตรงกันข้ามกับเยอรมนีซึ่งตั้งใจอย่างไม่ลดละที่จะวางแผนทำสงครามในสหภาพโซเวียต ได้มีการระดมพลประชิดชายแดนสหภาพโซเวียตเพิ่มมากขึ้นสงครามลุกลามทั่วโลก สงครามลุกลามทั่วโลก. เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 เยอรมนีรวมถึงกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะในทวีปยุโรปและฟินแลนด์ ได้บุกครองสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซา ซึ่งเป็นการโจมตีที่เหนือความคาดหมาย โดยมีเป้าหมายคือการยึดครองรัฐบอลติก มอสโก และยูเครน และกำหนดเป้าหมายสูงสุดไว้ใกล้กับแนวเอ-เอ เมื่อปลายปี ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นแนวที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบแคสเปียนกับทะเลขาว ส่วนวัตถุประสงค์ของฮิตเลอร์ คือ การทำลายล้างแสนยานุภาพทางทหารของสหภาพโซเวียต กวาดล้างระบอบคอมมิวนิสต์ และสร้าง "พื้นที่อยู่อาศัย" โดยการใช้กำลังแย่งชิงดินแดนมาจากชนพื้นเมืองเดิม และเป็นการรับประกันการสร้างหนทางซึ่งนำไปสู่การยึดครองทรัพยากรที่จำเป็นต่อทำลายคู่แข่งของเยอรมนีที่ยังเหลืออยู่ แม้ฝ่ายกองทัพแดงจะมีการเตรียมการตีโต้ตอบทางยุทธศาสตร์ไว้ก่อนสงครามก็ตาม แต่ปฏิบัติการบาร์บารอสซาบีบให้กองบัญชาการทหารสูงสุดของโซเวียตปรับใช้แผนตั้งรับทางยุทธศาสตร์แทน ช่วงฤดูร้อน กองทัพฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะมาตลอด สามารถยึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ และสร้างความเสียหายทั้งทางด้านทรัพยากรและกำลังพลให้แก่สหภาพโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่ทว่าในช่วงกลางเดือนสิงหาคม กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมนีตัดสินใจที่จะพักการรบของหมู่กองทัพกลางเอาไว้ หลังจากที่กำลังพลมีจำนวนลดลง และแบ่งกลุ่มแพนเซอร์ที่สองไปสมทบกับกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตอนกลางของยูเครนและเลนินกราด ยุทธการเคียฟประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ส่งผลทำให้กองทัพโซเวียตถูกทำลายไปถึงสี่กองทัพ และทำให้การมุ่งหน้าต่อไปยังคาบสมุทรไครเมียและเขตอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วในยูเครนตะวันออกเป็นไปได้ ในช่วงปฏิบัติการบาร์บารอสซา กองทัพกว่าสามในสี่ของฝ่ายอักษะ และกองทัพอากาศส่วนใหญ่ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากฝรั่งเศสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังแนวรบด้านตะวันออก สหราชอาณาจักรได้รีบทำการพิจารณายุทธศาสตร์หลักใหม่ทันที ในเดือนกรกฎาคม สหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตก็ได้รวมตัวกันจัดตั้งพันธมิตรทางทหารเพื่อต่อต้านเยอรมนี ทั้งสองประเทศได้ร่วมมือกันบุกครองอิหร่านเพื่อรักษาฉนวนเปอร์เซียและแหล่งน้ำมันในอิหร่าน ในเดือนสิงหาคม สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกันตั้งกฎบัตรแอตแลนติก ต้นเดือนตุลาคม หลังจากที่กองทัพฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะในยูเครนและแถบทะเลบอลติก โดยมีเพียงเลนินกราดและเซวัสโตปอลทื่ยังคงรบต้านทานอยู่เท่านั้น ยุทธการมอสโกก็ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นใหม่ หลังจากผ่านการรบอย่างหนักเป็นเวลาสองเดือน กองทัพฝ่ายอักษะเกือบจะถึงชานกรุงมอสโกแล้ว กองทัพของฝ่ายอักษะที่อ่อนเปลี้ย ทำให้การบุกนั้นต้องหยุดชะงักไป และถึงแม้ว่าเยอรมนีจะได้ดินแดนมาจำนวนมหาศาล แต่ว่าประสบความล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ สองนครที่สำคัญของโซเวียตยังไม่แตก ขีดความสามารถของกองทัพแดงในการต้านทานการบุกของฝ่ายอักษะยังคงไม่ถูกทำลาย และศักยภาพทางทหารยังคงเหลืออยู่มาก หลังจากนี้ ระยะบลิทซครีกในทวีปยุโรปจึงได้ยุติลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงต้นเดือนธันวาคม สหภาพโซเวียตได้รับกองหนุนที่ระดมมาจากพรมแดนด้านตะวันออกซึ่งติดกับเขตแมนจูกัวของญี่ปุ่น ทำให้กองทัพโซเวียตมีปริมาณกำลังพลที่เทียบได้กับกองทัพฝ่ายอักษะ ซึ่งเมื่อประกอบกับการยืนยันจากข้อมูลข่าวกรองแล้วว่า กองทัพโซเวียตในภาคพื้นตะวันออกไกลมีปริมาณเพียงพอที่จะสามารถต้านทานกองทัพคันโตของญี่ปุ่นได้ ในวันที่ 5 ธันวาคม กองทัพโซเวียตได้ตีโต้ตอบขนานใหญ่ตามแนวรบที่ยาวต่อเนื่องกันกว่า 1,000 กิโลเมตร และสามารถผลักดันกองทัพอักษะได้เป็นระยะทางถึง 100-250 กิโลเมตร ความสำเร็จของเยอรมนีในทวีปยุโรปได้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเพิ่มการกดดันต่อรัฐบาลยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลดัตช์ยินยอมที่จะส่งมอบทรัพยากรน้ำมันจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ แต่ปฏิเสธที่จะยินยอมให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงทางการเมืองภายในอาณานิคม ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศสเขตวีชีซึ่งยินยอมให้ญี่ปุ่นยึดครองอินโดจีนฝรั่งเศส รัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและประเทศตะวันตกตอบโต้การยึดครองดังกล่าวด้วยการอายัดทรัพย์สินของญี่ปุ่น ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (ซึ่งญี่ปุ่นอาศัยนำเข้าน้ำมันเป็นปริมาณกว่าร้อยละ 80) ตอบสนองโดยการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์ ญี่ปุ่นถูกบีบให้เลือกว่าจะล้มเลิกความทะเยอทะยานในการยึดครองทวีปเอเชียและหันกลับไปดำเนินการรบในจีนต่อไป หรือเข้ายึดแหล่งทรัพยากรที่ต้องการด้วยกำลังทหาร กองทัพญี่ปุ่นไม่พิจารณาถึงทางเลือกแรก และนายทหารระดับสูงจำนวนมากพิจารณาว่าการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นเป็นการประกาศสงครามโดยนัย ญี่ปุ่นได้วางแผนในการยึดครองอาณานิคมของชาติยุโรปในทวีปเอเชียอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสร้างแนวป้องกันขนาดใหญ่ซึ่งลากยาวผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการแสวงหาทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอิสระขณะทำสงครามป้องกันตนเองจนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ต้องสู้รบเป็นอาณาบริเวณกว้างเหนื่อยล้า และเพื่อการป้องกันการเข้าแทรกแซงของภายนอก ญี่ปุ่นจึงพยายามวางแผนที่จะทำลายกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก ในวันที่ 7 ธันวาคม ญี่ปุ่นได้โจมตีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางในเวลาเดียวกัน รวมไปถึงโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และยกพลขึ้นบกในไทยและมาลายา จากการโจมตีครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย จีน และฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกประกาศสงครามกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ส่วนทางด้านเยอรมนี อิตาลี และกลุ่มประเทศตามสนธิสัญญาสามฝ่ายก็ได้ตอบสนองโดยการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และจีน ร่วมด้วยยี่สิบสองรัฐบาลซึ่งเป็นประเทศเล็กหรือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ได้ร่วมกันออกปฏิญญาสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการรับรองกฎบัตรแอตแลนติก แต่สหภาพโซเวียตมิได้ปฏิบัติตามแถลงการณ์ดังกล่าว และคงความตกลงเป็นกลางกับญี่ปุ่น และดำเนินการตัดสินใจตามหลักการพิจารณาของตนเพียงฝ่ายเดียว นับตั้งแต่ ค.ศ. 1941 สตาลินได้ร้องขอเชอร์ชิลล์และโรสเวลต์อย่างต่อเนื่องให้เปิด "แนวรบที่สอง" ขึ้นในฝรั่งเศส แนวรบด้านตะวันออกจะกลายเป็นเขตสงครามหลักของสงครามในยุโรปและสร้างความสูญเสียแก่ชีวิตของชาวโซเวียตหลายล้านคน ซึ่งทำให้การสูญเสียหลายแสนคนของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกเป็นเรื่องเล็กน้อย เชอร์ชิลล์และโรสเวลต์กล่าวว่าพวกเขาต้องการเวลาเตรียมการมากกว่านี้ จึงนำไปสู่การบอกเล่าที่ว่าพวกเขาชะลอเพื่อช่วยชีวิตชาวตะวันตกด้วยราคาของชีวิตชาวโซเวียต เมื่อถึงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นเกือบจะสามารถครอบครองพม่า มาลายา หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ สิงคโปร์ และราบูล โดยสามารถสร้างความเสียหายกับกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรและจับกุมเชลยศึกได้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะทำการรบต้านทานอย่างหนัก แต่ฟิลิปปินส์ก็ถูกยึดครองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ทำให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องพลัดถิ่น กองทัพญี่ปุ่นยังได้รับชัยชนะในยุทธนาวีหลายครั้งในทะเลจีนใต้ ทะเลจาวาและมหาสมุทรอินเดีย ต่อมา ได้เคลื่อนมาทิ้งระเบิดดาร์วิน และได้รับชัยชนะในการรบทางทะเลในทะเลจีนใต้ ทะเลชวาและมหาสมุทรอินเดีย แต่ความสำเร็จที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรเกิดขึ้นในยุทธการชิงชาครั้งที่สองในตอนต้นของเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 เท่านั้น การเอาชนะข้าศึกที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำให้ญี่ปุ่นมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทางด้านเยอรมนีก็สามารถทำการรุกต่อได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากการบังคับบัญชากองทัพเรือที่ไม่แน่นอนของสหรัฐ กองทัพเรือเยอรมันสามารถทำลายทรัพยากรฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้ชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกาได้ ถึงแม้ว่าจะประสบความสูญเสียเป็นจำนวนมาก แต่กองทัพฝ่ายอักษะก็สามารถหยุดยั้งการรุกครั้งใหญ่ของโซเวียตได้ทางตอนกลางและตอนใต้ และยังคงถือครองดินแดนเพิ่มเติมที่ได้รับเข้ามาเมื่อปีที่แล้วอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนในแอฟริกาเหนือ ฝ่ายอักษะได้ทำการบุกอีกครั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 เป็นการผลักดันให้กองทัพสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพกลับไปยังแนวกาซาลาในตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนในแนวรบด้านตะวันออก การตีโต้ตอบของกองทัพโซเวียตได้ยุติลงเมื่อเดือนมีนาคม ตามด้วยการยุติการรบชั่วคราวของเยอรมนี ซึ่งใช้เวลาเพื่อวางแผนในการโจมตีในครั้งหน้าต่อไปจุดเปลี่ยนของสงคราม จุดเปลี่ยนของสงคราม. ต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นได้เริ่มวางแผนยึดพอร์ตมอร์สบีในปฏิบัติการโม โดยการโจมตีแบบสะเทินน้ำสะเทินบก เพื่อเป็นการตัดเส้นทางเสบียงระหว่างสหรัฐอเมริกากับออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถเข้าขัดขวางและทำให้ทัพเรือญี่ปุ่นต้องล่าถอยไปได้ในยุทธนาวีทะเลคอรัล และสามารถขัดขวางการบุกครองปาปัวนิวกินีได้สำเร็จ ส่วนแผนการขั้นต่อไปของญี่ปุ่น อันเกิดจากการกระตุ้นหลังกรุงโตเกียวถูกทิ้งระเบิด คือ การยึดครองหมู่เกาะมิดเวย์ รวมไปถึงการล่อเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันที่ยังคงเหลืออยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกมาทำลายในการรบด้วยและในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้ส่งอีกกองทัพหนึ่งไปยึดหมู่เกาะอะลูเชียนในอะแลสกา ในต้นเดือนมิถุนายน ญี่ปุ่นก็ได้งัดเอาแผนของตัวเองออกมาปฏิบัติ แต่ก็ถูกสกัดกั้น เนื่องจากกองทัพสหรัฐอเมริกาสามารถถอดรหัสลับกองทัพเรือญี่ปุ่นได้ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจึงได้เตรียมตัวรับมือกับการบุกของญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงใช้ข่าวกรองดังกล่าวกระทั่งได้รับชัยชนะเด็ดขาดในยุทธนาวีมิดเวย์เหนือกองทัพเรือญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเสียทรัพยากรในการรุกรานไปมากที่มิดเวย์ ญี่ปุ่นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทำการรบที่การทัพโคโคดะบนดินแดนปาปัว ในความพยายามอีกครั้งหนึ่งในการยึดพอร์ตมอร์สบี สำหรับฝ่ายสหรัฐก็ได้วางแผนที่จะตีโต้ตอบครั้งต่อไปในหมู่เกาะโซโลมอน โดยเริ่มต้นจากเกาะกัวดัลคะแนล อันเป็นก้าวแรกของการเข้ายึดราบูล ซึ่งเป็นฐานทัพเรือหลักของกองทัพญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ แผนการทั้งสองเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม แต่เมื่อถึงกลางเดือนกันยายน ญี่ปุ่นจำต้องหันมาให้ความสำคัญกับการทัพกัวดัลคะแนลมากขึ้น และกองทัพญี่ปุ่นในเกาะนิวกินีนั้นได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่เขตพอร์ตมอร์สบีไปยังทางตอนเหนือของเกาะ ที่ซึ่งกองทัพนี้ต้องเผชิญกับกำลังผสมระหว่างสหรัฐกับออสเตรเลีย กัวดัลคะแนลได้กลายเป็นจุดยุทธศาตร์สำคัญสำหรับทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดการทุ่มทรัพยากรคนและเรือรบมาเป็นจำนวนมากเพื่อทำการรบ จนกระทั่งในตอนต้นของปี ค.ศ. 1943 กองทัพญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้บนเกาะกัวดัลคะแนลและถอยทัพกลับ ในประเทศพม่า กองทัพเครือจักรภพได้รบในสองปฏิบัติการ หนึ่งคือการรุกเข้าไปในแคว้นอาระกันระหว่างการทัพพม่า ในปลายปี ค.ศ. 1942 แต่ก็ประสบความหายนะอย่างร้ายแรง และจำเป็นต้องถอยทัพกลับเข้าสู่อินเดีย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 และปฏิบัติการที่สอง ก็คือ การส่งกองกำลังนอกแบบเข้าทางด้านหลังแนวรบของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อปลายเดือนเมษายน ก็ได้รับผลที่ไม่แน่นอนเท่าใดนัก ขณะที่เหตุการณ์ในแนวรบด้านตะวันออก กองทัพเยอรมันและพันธมิตรฝ่ายอักษะ ยังคงเอาชนะกองทัพโซเวียตที่ยุทธการที่คาบสมุทรเคียร์ชและยุทธการที่คาร์คอฟครั้งที่ 2 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้เปิดฉากรุกหนักในฤดูร้อนในกรณีสีน้ำเงินในแถบสหภาพโซเวียตตอนใต้ ระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 เพื่อยึดครองแหล่งขุดเจาะน้ำมันทุกแห่งในแถบคอเคซัสและทุ่งหญ้าสเตปป์คูบานอันกว้างใหญ่ เยอรมนีแบ่งหมู่กองทัพใต้ออกเป็นสองส่วน หมู่กองทัพเอถูกส่งไปโจมตีแม่น้ำดอนตอนล่าง ขณะที่หมู่กองทัพบีถูกส่งไปโจมตีทางตะวันตกเฉียงใต้โดยมุ่งหน้าไปยังคอเคซัสและแม่น้ำวอลกา กองทัพโซเวียตได้ตัดสินใจที่จะตั้งรับที่สตาลินกราด ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดินทัพของฝ่ายอักษะ ตอนกลางเดือนพฤศจิกายน กองทัพอักษะเกือบจะพิชิตสตาลินกราดในการสงครามเมืองอันขมขื่นแล้ว แต่กองทัพโซเวียตก็ทำการตีโต้ตอบในฤดูหนาวเป็นครั้งที่สอง โดยเริ่มจากการโอบล้อมกองทัพเยอรมันที่สตาลินกราด ตามด้วยการโจมตีสันเขารเจฟ ใกล้กรุงมอสโก แม้ว่าจะปราชัยย่อยยับในภายหลังก็ตาม ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 กองทัพเยอรมันประสบกับความสูญเสียมหาศาล และกองทัพเยอรมันในสตาลินกราดถูกบีบบังคับให้ยอมจำนน แนวรบด้านตะวันออกถูกผลักดันไปยังจุดก่อนการรุกในฤดูร้อน กลางเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่การตีโต้ตอบของโซเวียตหยุดชะงัก กองทัพเยอรมันได้โจมตีฮาร์คอฟอีกครั้งหนึ่ง เกิดเป็นแนวรบที่ยื่นเข้าไปในดินแดนของโซเวียตรอบเคิสก์ ทางด้านตะวันตก ด้วยความวิตกกังวลว่าญี่ปุ่นอาจใช้เกาะมาดากัสการ์ ซึ่งเป็นฐานทัพของฝรั่งเศสเขตวีชี กองทัพอังกฤษจึงสั่งดำเนินการโจมตีเกาะมาดากัสการ์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 และทางด้านการทัพแอฟริกาเหนือ การโจมตีครั้งล่าสุดของฝ่ายอักษะที่ยุทธการที่กาซาลา ได้ผลักดันให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรให้กลับเข้าสู่อียิปต์ จนกระทั่งการบุกต้องหยุดชะงักที่เอล อาลาเมน ระหว่างการรบในช่วงนี้ บนยุโรปภาคพื้นทวีป หน่วยคอมมานโดของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตีโฉบฉวยเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ และจบลงด้วยการตีโฉบฉวยดีแยป ซึ่งผลเป็นความหายนะ แสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถของฝ่ายพันธมิตรตะวันตกในการออกปฏิบัติการบุกครองยุโรปภาคพื้นทวีปโดยปราศจากการเตรียมการยุทโธปกรณ์และความมั่นคงทางปฏิบัติการมากกว่านี้ ในเดือนสิงหาคม กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถผลักดันแนวรบฝ่ายอักษะให้ถอยไปในยุทธการเอลแอละเมนครั้งที่สอง และด้วยการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างสูงลิบ ก็สามารถขนทรัพยากรที่ต้องการไปให้เมืองมอลต้าที่ถูกปิดล้อมเอาไว้ได้ในปฏิบัติการฐานเสาหิน จากนั้น ไม่กี่เดือนหลังจากยุทธการเอลแอละเมนครั้งที่สองในอียิปต์ ทางด้านอังกฤษและประเทศเครือจักรภพก็เริ่มเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันตกสู่ประเทศลิเบีย ไม่นานหลังจากที่การบุกครองแอฟริกาเหนือของฝรั่งเศสของสหรัฐอเมริกา-สหราชอาณาจักร ซึ่งก็ได้ชัยชนะ และเป็นผลให้ดินแดนดังกล่าวเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฮิตเลอร์ได้ตอบสนองต่อการเอาใจออกห่างของอาณานิคมฝรั่งเศสโดยการออกคำสั่งยึดครองฝรั่งเศสเขตวีชี ถึงแม้ว่าฝรั่งเศสเขตวีชีจะไม่ละเมิดเงื่อนไขในข้อตกลงหยุดยิง แต่กระทรวงทหารเรือของฝรั่งเศสเขตวีชีได้จัดการจมกองทัพเรือของตนเพื่อมิให้ตกอยู่ในมือของฝ่ายเยอรมนี เมื่อถูกบีบจากกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้กองทัพฝ่ายอักษะต้องถอยร่นไปตั้งรับในตูนิเซีย ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งหลักได้ ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งหลักได้. ภายหลังจากการทัพเกาะกัวดัลคะแนล ฝ่ายสัมพันธมิตรก็เริ่มปฏิบัติการทางทหารมากมายต่อกองทัพญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 กองทัพอเมริกันถูกส่งออกไปโจมตีกองทัพญี่ปุ่นจากหมู่เกาะอะลูเชียน และเริ่มต้นปฏิบัติการหลักในการโดดเดี่ยวเมืองราบูล โดยการยึดครองเกาะรอบ เพื่อตัดขาดกำลังสนับสนุน และการฝ่าช่องโหว่ในแนวป้องกันในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรก็สามารถประสบความสำเร็จทั้งในสองปฏิบัตการ และยังสามารถทำลายฐานทัพเรือหลักของกองทัพเรือญี่ปุ่นได้ในบริเวณหมู่เกาะแคโรไลน์ เมื่อถึงเดือนเมษายน กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้เริ่มปฏิบัติการที่จะยึดครองเกาะนิวกินีตะวันตก ในสหภาพโซเวียต ทั้งเยอรมนีและโซเวียตต่างตระเตรียมแผนการสำหรับการรุกครั้งใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ค.ศ. 1943 แถบรัสเซียตอนกลาง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 กองทัพเยอรมันเริ่มเข้าตีกำลังโซเวียตรอบแนวยื่นที่เคิสก์ แต่ฮิตเลอร์กลับต้องยกเลิกแผนการนี้แม้ว่าจะผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว เนื่องจากสูญเสียต่อการวางระบบป้องกันเป็นขั้น ๆ อย่างลึกและการป้องกันที่สร้างไว้อย่างดี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ฮิตเลอร์มีพฤติการณ์ดังกล่าว แม้ว่าปฏิบัติการดังกล่าวจะยังไม่บรรลุผลทางยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีเลยก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวบางส่วนเป็นผลมาจากการบุกครองเกาะซิซิลีของสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ประกอบกับความล้มเหลวของอิตาลีที่ผ่านมา ส่งผลให้มุสโสลินีถูกขับออกจากตำแหน่งและถูกจับกุมหลังจากนั้น วันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 สหภาพโซเวียตได้ทำการตีโต้ตอบของตน และดับความหวังใด ๆ ของกองทัพเยอรมันที่จะชนะหรือกระทั่งรักษาสถานการณ์คุมเชิงไว้ได้อีกในทางตะวันออก ชัยชนะที่เคิสก์ของโซเวียตนำพาให้ความเหนือกว่าของเยอรมนีเสื่อมลง และให้สหภาพโซเวียตกลับเป็นฝ่ายริเริ่มในแนวรบด้านตะวันออก ทหารเยอรมันพยายามสร้างความมั่นคงแก่แนวรบด้านตะวันออกของตนตามแนวพันเทอร์-โวทันที่มีการเสริมอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ดี ฝ่ายโซเวียตสามารถตีผ่านแนวดังกล่าวได้ที่สโมเลนสก์และโดยการรุกโลวเออร์นีเปอร์ เดือนกันยายน ค.ศ. 1943 สัมพันธมิตรตะวันตกเริ่มการบุกครองแผ่นดินใหญ่อิตาลี ตามด้วยการสงบศึกกับสัมพันธมิตรของอิตาลี เยอรมนีสนองโดยการปลดอาวุธกองทัพอิตาลี ยึดการควบคุมทางทหารในพื้นที่อิตาลีทั้งหมด และสร้างแนวป้องกันขึ้นมาหลายชั้นด้วยกัน เมื่อวันที่ 12 กันยายน กองกำลังพิเศษเยอรมันช่วยเหลือตัวมุสโสลินี และสถาปนารัฐบริวารในอิตาลีส่วนที่ถูกเยอรมนียึดครอง ชื่อว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี ฝ่ายกองทัพสัมพันธมิตรทะลวงผ่านแนวป้องกันเยอรมันได้หลายแนว จนถึงแนวป้องกันหลักของเยอรมนีเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ทางด้านการรบทางทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติก กองทัพเรือเยอรมันประสบความสูญเสียอย่างหนักในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 จนถูกเรียกว่า "พฤษภาอนธการ" ความสูญเสียกองเรือดำน้ำของฝ่ายเยอรมนีเป็นจำนวนมาก ทำให้การดักทำลายกองทัพเรือฝ่ายสัมพันธมิตรต้องหยุดชะงัก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 แฟรงกลิน โรสเวลต์ และวินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้เดินทางไปพบกับเจียง ไคเช็ค ระหว่างการประชุมกรุงไคโร และอีกครั้งกับโจเซฟ สตาลินระหว่างการประชุมเตหะราน และผลจากการประชุมทั้งสองครั้งได้ข้อตกลงว่า สัมพันธมิตรตะวันตกจะบุกครองยุโรปภายในปี ค.ศ. 1944 และสหภาพโซเวียตจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นภายในสามเดือนหลังเยอรมนียอมแพ้ เดือนมกราคม ค.ศ. 1944 กองทัพสัมพันธมิตรได้เข้าตีหลายครั้งที่มอนเตกัสซีโน และพยายามตีโอบด้วยการยกพลขึ้นบกที่อันซิโอ เมื่อถึงปลายเดือนมกราคม กองทัพโซเวียตก็สามารถขับไล่กองทัพเยอรมันออกจากมณฑลเลนินกราด ยุติการล้อมที่เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ปฏิบัติการรุกในเวลาต่อมาของโซเวียตถูกหยุดตรงพรมแดนเอสโตเนียก่อนสงคราม ซึ่งกองทัพกลุ่มเหนือของเยอรมนีได้รับความช่วยเหลือจากชาวเอสโตเนีย ด้วยหวังจะสถาปนาเอกราชของชาติใหม่ ความล่าช้านี้ได้ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการในแถบทะเลบอลติก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944 กองทัพโซเวียตปลดปล่อยคาบสมุทรไครเมีย โดยสามารถขับไล่กองทัพอักษะออกจากยูเครนขนานใหญ่ และเริ่มทำการรุกเข้าไปยังโรมาเนีย ซึ่งถูกขับไล่โดยกองทัพอักษะ พร้อมกับที่การรุกอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตรประสบความสำเร็จ และบังคับให้กองทัพเยอรมันต้องล่าถอยไป และในวันที่ 4 มิถุนายน โรมก็ตกอยู่ในมือของฝ่ายสัมพันธมิตร เริ่มในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มการบุกครองหนึ่งในสองครั้ง คือ ปฏิบัติการต่อที่ตั้งของอังกฤษในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย และสามารถล้อมที่ตั้งของเครือจักรภพได้ที่อิมผาลและโกหิมา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944 กำลังอังกฤษรุกโต้ตอบกองทัพญี่ปุ่นกลับไปยังพม่า และกองทัพจีนซึ่งบุกครองพม่าตอนเหนือเมื่อปลาย ค.ศ. 1943 ได้ล้อมกองทัพญี่ปุ่นไว้ที่มิตจีนา การบุกครองครั้งที่สองของญี่ปุ่นเป็นความพยายามที่จะทำลายกำลังรบหลักของจีน สร้างความปลอดภัยแก่ทางรถไฟระหว่างดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดไว้และยึดสนามบินของสัมพันธมิตร เมื่อถึงเดือนมิถุนายน กองทัพญี่ปุ่นสามารถพิชิตมณฑลเหอหนานและเริ่มต้นการเข้าตีฉางชาใหม่ในมณฑลหูหนานฝ่ายสัมพันธมิตรรุกคืบ ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกคืบ. 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ฝ่ายพันธมิตรตะวันตกได้ยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์ม็องดีในปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด และหลังจากการมอบหมายหน้าที่ให้กับกองทัพสัมพันธมิตรหลายกองพลในอิตาลีแล้ว จึงเริ่มการรุกเข้าสู่ฝรั่งเศสตอนใต้ในเดือนสิงหาคม จนสามารถปลดปล่อยกรุงปารีสได้ในวันที่ 25 สิงหาคม ส่วนทางด้านแนวรบด้านตะวันออก เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน กองทัพโซเวียตได้กระหน่ำโจมตีเป็นชุดอย่างหนักต่อเยอรมนี โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ไล่ตั้งแต่ปฏิบัติการบากราติออนในเบลารุส ซึ่งสามารถทำลายกองทัพกลุ่มกลางของเยอรมนีลงเกือบทั้งหมด ตามด้วยปฏิบัติการในการขับไล่ทหารเยอรมันออกจากยูเครนตะวันตกและโปแลนด์ตะวันออก ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ขบวนการกู้ชาติโปแลนด์ได้เริ่มต้นก่อการจลาจล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงวอร์ซอ และในสโลวาเกียทางตอนใต้ แต่จลาจลทั้งสองครั้งไม่ได้รับการสนับสนุนจากกำลังโซเวียตเลย และถูกกองทัพเยอรมันปราบปราม ส่วนการโจมตีโรมาเนียได้ทำลายกองทัพเยอรมันไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เกิดการรัฐประการในโรมาเนียและบัลแกเรีย ส่งผลให้ประเทศทั้งสองเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรแทน ในเดือนกันยายน 1944 กองทัพแดงได้เคลื่อนทัพไปยังยูโกสลาเวีย ทำให้กองทัพกลุ่มอีและกองทัพกลุ่มเอฟในกรีซ แอลเบเนีย และยูโกสลาเวียต้องถอยร่นอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้ถูกตัดออกจากกำลังส่วนอื่น ๆ เมื่อถึงจุดนี้ พลพรรคชาวยูโกสลาฟภายใต้การนำของจอมพล ยอซีป บรอซ ตีโต ซึ่งได้ครอบครองดินแดนจำนวนมากในยูโกสลาเวียและโจมตีกองทัพเยอรมันต่อไปทางทิศใต้ ในเซอร์เบีย กองทัพแดงได้มีส่วนช่วยเหลือพลพรรคในการปลดปล่อยกรุงเบลเกรด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ไม่กี่วันหลังจากนั้น กองทัพแดงได้โจมตีฮังการีครั้งใหญ่ในการรุกบูดาเปสต์ ซึ่งกินเวลานานก่อนที่กรุงบูดาเปสต์จะแตกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะประสบความสำเร็จในคาบสมุทรบอลข่าน แต่การต่อต้านของฟินแลนด์ต่อปฏิบัติการของโซเวียตบนคอคอดแครีเลียน ได้ปฏิเสธการยึดครองของสหภาพโซเวียต ก่อนจะมีการนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกด้วยเงื่อนไขที่เสียเปรียบเพียงเล็กน้อย และทำให้ฟินแลนด์เปลี่ยนมาอยู่กับฝ่ายสัมพันธมิตรแทน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม กองทัพเครือจักรภพ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถคลายวงล้อมของกองทัพญี่ป่นที่รัฐอัสลัมลงได้ และสามารถผลักดันให้กองทัพญี่ปุ่นถอยไปได้จนถึงแม่น้ำชินด์วินด์ ขณะที่กองทัพจีนสามารถยึดเมืองมยิตคยินาในประเทศพม่าได้ ส่วนทางด้านประเทศจีน กองทัพญี่ปุ่นเริ่มได้รับชัยชนะอย่างมาก จากการยึดเมืองฉางชาไว้ได้ในที่สุดในตอนกลางเดือนมิถุนายน และยึดเมืองเหิงหยางได้เมื่อต้นเดือนสิงหาคม จากนั้นจึงได้เคลื่อนทัพต่อไปยังมณฑลกวางสี สามารถเอาชนะกองกำลังจีนได้ที่กุ้ยหลินและหลิวโจว เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพอเมริกันยังคงกดดันแนวป้องกันของญี่ปุ่นตามหมู่เกาะต่าง ๆ ต่อไป ราวกลางเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 กองทัพอเมริกันเริ่มการโจมตีหมู่เกาะมาเรียนาและปาเลา และได้รับชัยชนะเด็ดขาดต่อกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในยุทธนาวีที่ทะเลฟิลิปปินภายในเวลาไม่กี่วัน ผลของความปราชัยนี้นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นของพลเอกโตโจ และทำให้สหรัฐอเมริกามีฐานทัพอากาศซึ่งสามารถรองรับเครื่องบินทิ้งระเบิดหนักเพื่อโจมตีแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่นได้ ปลายเดือนตุลาคม กองทัพอเมริกันยกพลขึ้นบกที่เกาะเลย์เต หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพเรือของสัมพันธมิตรก็ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ต่อกองทัพญี่ปุ่นอีกครั้งในยุทธนาวีอ่าวเลย์เต ซึ่งถือได้ว่ายุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝ่ายอักษะล่มสลาย ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัย ฝ่ายอักษะล่มสลาย ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัย. วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 กองทัพเยอรมันได้พยายามอย่างเข้าตาจนเพื่อความสำเร็จโดยการเรียกระดมกองหนุนเยอรมัน และตีโต้ตอบครั้งใหญ่ที่ป่าอาร์เดนเนส เพื่อที่จะแบ่งแยกฝ่ายพันธมิตรตะวันตก โอบล้อมกองกำลังฝ่ายพันธมิตรตะวันตกขนาดใหญ่และยึดครองเมืองท่าเสบียงที่สำคัญที่อันท์เวิร์พ เพื่อที่จะรักษาความสงบทางการเมือง ซึ่งกินเวลาจนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 โดยไม่บรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์แต่อย่างใดเลย ส่วนในแนวรบด้านตะวันออก กองทัพโซเวียตโจมตีถึงฮังการี และกองทัพเยอรมันจำเป็นต้องทิ้งกรีซและยูโกสลาเวีย ขณะที่ในอิตาลี กองทัพสัมพันธมิตรยังคงไม่สามารถโจมตีผ่านแนวป้องกันของเยอรมันได้ และกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตโจมตีโปแลนด์ สามารถผลักดันกองทัพเยอรมันจากแม่น้ำวิสตูลาถึงแม่น้ำโอเดอร์ในเยอรมนี และยึดครองปรัสเซียตะวันออก และกำหนดเวลาที่สหภาพโซเวียตจะเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกได้เข้าสู่แผ่นดินของเยอรมนีและเข้าประชิดแม่น้ำไรน์ ขณะที่กองทัพโซเวียตโจมตีพอเมอเรเนียตะวันออกและไซลีเซีย เมื่อถึงเดือนมีนาคม กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกได้ข้ามแม่น้ำไรน์ทั้งทางเหนือและทางใต้ของแคว้นไรน์-รูร์ และสามารถล้อมกองทัพเยอรมันขนาดใหญ่เอาไว้ ส่วนด้านกองทัพโซเวียตสามารถรุกเข้าถึงกรุงเวียนนา ในที่สุดกองทัพสัมพันธมิตรตะวันดกก็สามารถตีฝ่าแนวป้องกันของเยอรมันได้ในอิตาลี และสามารถโจมตีได้ทางตะวันตกของเยอรมนี เมื่อต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ขณะที่ปลายเดือนเดียวกัน กองทัพโซเวียตเข้าถล่มกรุงเบอร์ลิน กองทัพฝ่ายพันธมิตรตะวันตกและกองทัพโซเวียตได้มาบรรจบกันที่แม่น้ำเอลเบอ เมื่อวันที่ 25 เมษายน เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 อาคารรัฐสภาไรชส์ทาคถูกยึดครอง แสดงถึงความพ่ายแพ้ทางการทหารของนาซีเยอรมนี ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 เมษายน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฟรงกลิน โรสเวลต์ ถึงแก่อสัญกรรมขณะดำรงตำแหน่ง ผู้ที่มารับตำแหน่งต่อคือ รองประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน ขณะที่เบนิโต มุสโสลินีถูกสังหารโดยขบวนการกู้ชาติอิตาลี เมื่อวันที่ 28 เมษายน และอีกสองวันให้หลัง ฮิตเลอร์ก็ยิงตัวตาย และสืบทอดอำนาจต่อให้กับจอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์ หลังจากนั้น กองทัพเยอรมันในอิตาลีได้ยอมแพ้ในวันที่ 29 เมษายน ส่วนเยอรมนีได้ยอมแพ้ในยุโรปตะวันตกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ทว่ากองทัพเยอรมันยังรบกับกองทัพโซเวียตในแนวรบด้านตะวันออกต่อไปถึงวันที่ 8-9 พฤษภาคม ส่วนกองทัพเยอรมันที่เหลือเพียงเล็กน้อยได้ทำการสู้รบต้านทานกับกองทัพโซเวียตในกรุงปรากกระทั่งยอมจำนนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพสหรัฐอเมริกาได้รุกเข้าสู่ฟิลิปปินส์ หลังจากได้ชัยในเกาะเลเตเมื่อปลายปี ค.ศ. 1944 จากนั้นก็ยกพลขึ้นบกที่ลูซอน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 และสามารถยึดกรุงมะนิลาคืนได้ในเดือนมีนาคม; การรบบนเกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และเกาะอื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม ในเดือนพฤษภาคม กองกำลังออสเตรเลียยกพลขึ้นบกบนเกาะบอร์เนียว และสามารถยึดครองบ่อน้ำมันที่นั่นได้ กองกำลังอังกฤษ อเมริกัน และจีนก็สามารถเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นในพม่าตอนเหนือเมื่อเดือนพฤษภาคม และกองทัพอังกฤษรุดหน้าไปถึงย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม กองทัพอเมริกันยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ญี่ปุ่น สามารถยึดเกาะอิโวะจิมะได้ในเดือนมีนาคม และยึดเกาะโอะกินะวะได้ในเดือนมิถุนายน ในขณะที่เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาได้ทำลายเมืองต่าง ๆ ของญี่ปุ่น และเรือดำน้ำอเมริกันก็เข้าปิดล้อมเกาะญี่ปุ่น ตัดขาดการนำเข้าจากภายนอก วันที่ 11 กรกฎาคม บรรดาผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมที่พอทสดัม ประเทศเยอรมนี ได้ข้อสรุปว่า ที่ประชุมให้การรับรองเกี่ยวกับข้อตกลงต่าง ๆ กับเยอรมนีก่อนหน้านี้ และย้ำถึงความจำเป็นของญี่ปุ่นที่จะต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่ว่า "ทางเลือกสำหรับญี่ปุ่นคือการทำลายล้างฉับพลันสิ้นซาก" ระหว่างการประชุมนี้ สหราชอาณาจักรจัดการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 และคลีเมนต์ แอตลีย์ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรแทนวินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีคนเดิม เมื่อญี่ปุ่นได้ปฏิเสธข้อเสนอที่พอทสดัม สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกบนแผ่นดินญี่ปุ่นที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ระหว่างการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูก สหภาพโซเวียตก็ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และโจมตีแมนจูเรียของญี่ปุ่น ตามข้อตกลงยัลตา ญี่ปุ่นได้ตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 หลังจากนั้นในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นได้ลงนามในตราสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดจบของสงครามด้วยเช่นกันหลังสงคราม หลังสงคราม. ฝ่ายสัมพันธมิตรได้สถาปนาการบริหารยึดครองในออสเตรียและเยอรมนี ออสเตรียนั้นได้กลายมาเป็นรัฐที่เป็นกลางทางการเมือง โดยไม่อิงกับกลุ่มการเมืองใด ๆ ส่วนเยอรมนีนั้นถูกแบ่งออกเป็นเขตยึดครองฝั่งตะวันตกและตะวันออกซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียตตามลำดับ โครงการขจัดความเป็นนาซี (Denazification) ในเยอรมนีได้นำไปสู่การฟ้องอาชญากรสงครามนาซีและการปลดอดีตผู้นำนาซีลงจากอำนาจ แต่ต่อมานโยบายนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นการนิรโทษกรรมและการยอมรับอดีตนาซีเข้ากับสังคมเยอรมนีตะวันตกอีกครั้ง เยอรมนีสูญเสียพื้นที่ไปหนึ่งในสี่จากพื้นที่เมื่อ ค.ศ. 1937 พื้นที่ทางตะวันออก ได้แก่ ไซลีเซีย นอยมาร์ค และส่วนใหญ่ของพอเมอเรเนียถูกผนวกเข้ากับโปแลนด์ ปรัสเซียตะวันออกถูกแบ่งระหว่างโปแลนด์กับสหภาพโซเวียต ตามด้วยการขับไล่ชาวเยอรมัน 9 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ เช่นเดียวกับชาวเยอรมัน 3 ล้านคนออกจากซูเดเตนแลนด์ในเชโกสโลวาเกียไปยังเยอรมนี ภายในคริสต์ทศวรรษ 1950 ชาวเยอรมันตะวันตกหนึ่งในห้าคนเป็นผู้ลี้ภัยมาจากทางตะวันออก สหภาพโซเวียตยังได้ยึดครองจังหวัดของโปแลนด์ที่อยู่ทางตะวันออกของเส้นเคอร์ซอน ซึ่งชาวโปแลนด์กว่า 2 ล้านคนถูกขับไล่ออกมาด้วย การยึดครองนี้รวมไปถึงโรมาเนียตะวันออก บางส่วนของฟินแลนด์ตะวันออก และรัฐบอลติกทั้งสาม ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้ก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น ด้วยความพยายามที่จะรักษาสันติภาพทั่วโลก โดยมีผลอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 และปรับใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในปี ค.ศ. 1948 อันเป็นมาตรฐานสามัญซึ่งทุกชาติสมาชิกจะต้องบรรลุ ความสัมพันธ์ระหว่างสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียตได้เสื่อมลงตั้งแต่ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะจบลงแล้ว และชาติอภิมหาอำนาจแต่ละฝ่ายต่างก็เริ่มสร้างเขตอิทธิพลของตนเองอย่างรวดเร็ว ทวีปยุโรปได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้วยอิทธิพลของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "ม่านเหล็ก" ซึ่งได้ลากผ่านประเทศเยอรมนีและประเทศออสเตรีย สหภาพโซเวียตได้สร้างค่ายตะวันออกขึ้น โดยการผนวกดินแดนหลายประเทศซึ่งถูกยึดครองอยู่ในลักษณะของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ซึ่งเดิมจะต้องผนวกรวมเข้ากับเยอรมนี ตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ อย่างเช่น โปแลนด์ตะวันออก รัฐบอลติกทั้งสาม บางส่วนของฟินแลนด์ตะวันออก และโรมาเนียตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนรัฐอื่นที่สหภาพโซเวียตยึดครองในระหว่างสงครามก็ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต อย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนฮังการี สาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวัก สาธารณรัฐประชาชนโรมาเนีย สาธารณรัฐประชาชนแอลเบเนีย และเยอรมนีตะวันออกภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียต ในทวีปเอเชีย สหรัฐอเมริกาได้เข้ายึดครองญี่ปุ่น และดำเนินการปกครองหมู่เกาะต่าง ๆ ของญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก ขณะที่สหภาพโซเวียตก็เข้ายึดครองหมู่เกาะซาฮาลินและหมู่เกาะคูริล ส่วนเกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นนั้น ก็ถูกแบ่งแยกและถูกยึดครองโดยสองขั้วอำนาจ จากความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก่อตั้งพันธมิตรนาโต้ และทางสหภาพโซเวียตก็ได้ก่อตั้งสนธิสัญญาวอร์ซอขึ้น ทั้งสององค์การทางทหารนี้อาจถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็น หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นไม่นาน เกิดเหตุการณ์เกาหลีเหนือบุกครองเกาหลีใต้ขึ้น ระหว่างเกาหลีเหนือซึ่งได้รับการหนุนหลังโดยจีนและสหภาพโซเวียต กับเกาหลีใต้ภายใต้ความช่วยเหลือของสหประชาชาติ ซึ่งทึ่สุดแล้วจบลงด้วยการเสมอกันและสัญญาหยุดยิง หลังจากนั้น ผู้นำเกาเหลีเหนือ คิม อิลซอง ได้สร้างรูปแบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอย่างมาก รวมทั้งก่อให้เกิดลัทธิบูชาบุคคลอันน่าเกรงขาม หลายประเทศซึ่งถูกชาติตะวันตกยึดครองเป็นอาณานิคม ได้ประกาศเอกราชและแยกตัวออกมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากความสูญเสียทรัพยากรของชาติตะวันตก ทำให้อิทธิพลจากภายนอกอ่อนแอลง โดยการแยกตัวดังกล่าวได้เกิดขึ้นอย่างสันติในหลายประเทศ ยกเว้นในเวียดนาม มาดากัสการ์ อินโดนีเซีย และแอลจีเรีย ในอีกหลายพื้นที่ในโลก ทำให้เกิดเป็นประเทศใหม่ขึ้นมามากมาย ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมและศาสนา การประกาศเอกราชที่โดดเด่นมาก คือ ปาเลสไตน์ในอาณัติอังกฤษ อันนำไปสู่การก่อตั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ และในอินเดียก็เกิดการแตกออกเป็นสองประเทศ คือ อินเดียและปากีสถาน ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองมีความแตกต่างกันในหลากหลายภูมิภาคของโลก และพบว่าในหลายประเทศมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในทางบวก เช่น เยอรมนีตะวันตก ซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนอยู่ในสถานะก่อนสงครามได้ในคริสต์ทศวรรษ 1950 อิตาลี ซึ่งออกจากสงครามด้วยสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 เศรษฐกิจของอิตาลีก็มีอัตราการเติบโตสูงและมีเสถียรภาพ สหราชอาณาจักรออกจากสงครามด้วยเศรษฐกิจตกต่ำเช่นกัน แต่สภาพทางเศรษฐกิจของอังกฤษยังคงถดถอยอีกเป็นเวลากว่าทศวรรษ ฝรั่งเศสก็มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างรวดเร็วเช่นกัน และมีอัตราการเจริญเติบโตสูงและมีการดำเนินตามสมัยนิยม สหภาพโซเวียตก็มีอัตราการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังสงคราม และญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราการเติบโจทางเศรษฐกิจสูงมาก จนกระทั่งก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 จีน ซึ่งเป็นประเทศล้มละลายจากผลของสงครามกลางเมือง แต่ในปี ค.ศ. 1953 เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว และมีอัตราการผลิตกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกาที่มีผลผลิตทางอุตสาหกรรมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของโลก แต่ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก็ถดถอยอย่างหนักผลกระทบของสงครามความสูญเสียและอาชญากรรมสงคราม ผลกระทบของสงคราม. ความสูญเสียและอาชญากรรมสงคราม. ได้มีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองไว้อย่างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ได้เสนอว่าคิดเป็นจำนวนมากกว่า 60 ล้านคน ประกอบไปด้วยทหารอย่างน้อย 22 ล้านคน และพลเรือนอย่างน้อย 40 ล้านคน สาเหตุเสียชีวิตของพลเรือนส่วนใหญ่นั้นมาจากโรคระบาด การอดอาหาร การฆ่าฟัน และการทำลายพืชพันธุ์ ด้านสหภาพโซเวียตสูญเสียประชากรราว 27 ล้านคนระหว่างช่วงสงคราม คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จากความสูญเสียร้อยละ 85 เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร (ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและชาวโซเวียต) และร้อยละ 15 เป็นของฝ่ายอักษะ มีการประมาณว่ามีพลเรือนราว 12 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกันนาซี 1.5 ล้านคนจากการทิ้งระเบิด และสาเหตุอื่นๆ ในยุโรปอีก 7 ล้านคน รวมไปถึงอีก 7.5 ล้านคนในจีน โดยเหตุการณ์ที่โด่งดัง ได้แก่ การสังหารหมู่ที่นานกิง โดยสาเหตุที่ตัวเลขความสูญเสียมีความแตกต่างกันมากนั้นมีสาเหตุมาจากว่าการตายส่วนใหญ่ไม่ได้มีการจดบันทึกเอาไว้ จำนวนการเสียชีวิตจำนวนมากเป็นผลมาจากการล้างชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนภายใต้การยึดครองของฝ่ายอักษะ และอาชญากรรมสงครามอื่น ๆ ซึ่งถูกกระทำโดยชาวเยอรมันและชาวญี่ปุ่น โดยเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันดีของอาชญากรรมสงครามชาวเยอรมัน ได้แก่ ฮอโลคอสต์ ซึ่งเป็นการล้างชาติอย่างเป็นระบบในเขตยึดครองของเยอรมนีและพันธมิตร โดยนอกจากชาวยิวแล้ว ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มความคิดอื่น ๆ ถูกสังหารอีกเป็นจำนวนกว่า 5 ล้านคน และด้านทหารญี่ปุ่นก็ได้สังหารพลเรือนราว 3 - 10 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ระหว่างสงครามโลกครั้งทีสอง นอกจากนั้น เรื่องของการใช้อาวุธชีวภาพและอาวุธเคมียังได้ถูกนำมาตัดสินด้วย ทหารอิตาลีได้ใช้แก๊สมัสตาร์ดในการบุกครองเอธิโอเปีย ส่วนญี่ปุ่นได้ใช้อาวุธดังกล่าวในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และในสงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น โดยทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นได้มีการทดลองอาวุธกับพลเรือนและเชลยสงครามจำนวนมาก ขณะที่การตัดสินคดีความอาชญากรรมสงครามของฝ่ายอักษะถูกชำระความในศาลชำระความระหว่างประเทศแห่งแรก แต่ว่าอาชญากรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรกลับตรงกันข้าม ตัวอย่างอาชญากรรมสงคราม เช่น การถ่ายเทพลเรือนในสหภาพโซเวียต ค่ายใช้แรงงานของโซเวียต การกักกันชาวญี่ปุ่น-อเมริกันในสหรัฐอเมริกา ปฏิบัติการคีลฮาล (Operation Keelhaul) การขับไล่ชาวเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การข่มขืนระหว่างการยึดครองเยอรมนี การสังหารหมู่คาตินของสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ ในสงครามยังมีผู้เสียชีวิตเป็นอันมากจากทุพภิกขภัย เช่น ทุพภิกขภัยแคว้นเบงกอล ค.ศ. 1943 และทุพภิกขภัยเวียดนาม ค.ศ. 1944-45 นักประวัติศาสตร์บางคนเสนอว่า การทิ้งระเบิดขนานใหญ่ในเขตพลเรือนในดินแดนข้าศึกของสัมพันธมิตรตะวันตก รวมทั้งโตเกียว และที่โดดเด่นที่สุดคือ นครเดรสเดิน ฮัมบูร์ก และโคโลญของเยอรมนี อันเป็นผลให้นครกว่า 160 แห่งถูกทำลายล้าง และพลเรือนชาวเยอรมันเสียชีวิตกว่า 600,000 คน ควรถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรมสงครามด้วยค่ายกักกันและการใช้แรงงานทาส ค่ายกักกันและการใช้แรงงานทาส. ฮอโลคอสต์ได้สังหารชาวยิวในทวีปยุโรปเป็นจำนวนอย่างน้อย 6 ล้านคน รวมไปถึงเชื้อชาติอื่น ๆ อีกที่ถูกพวกนาซีลงความเห็นว่าเป็นพวกที่ "ไม่คู่ควร" หรือ "ต่ำกว่ามนุษย์" (รวมไปถึงผู้ที่ทุพพลภาพ ผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต เชลยสงครามโซเวียต พวกรักร่วมเพศ สมาคมฟรีเมสัน ผู้นับถือลัทธิพยานพระเยโฮวาห์และชาวยิปซี) โดยเป็นส่วนหนึ่งของถอนรากถอนโคนอย่างจงใจ และได้รับการดำเนินการโดยรัฐบาลฟาสซิสต์นาซี นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีกรรมกรและคนงานราว 12 ล้านคน ซึ่งโดยส่วนมากมาจากยุโรปตะวันออก ได้ถูกว่าจ้างให้มาทำงานให้เศรษฐกิจสงครามของนาซีเยอรมนี นอกเหนือจากค่ายกักกันของนาซีแล้ว ยังมีค่ายกูลักหรือค่ายแรงงานของสหภาพโซเวียต ซึ่งได้นำไปสู่ความตายของพลเรือนจำนวนมากในดินแดนยึดครองของฝ่ายนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียต ได้แก่ โปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย รวมไปถึงเชลยสงครามของเยอรมนี และยังมีชาวโซเวียตบางส่วนที่คาดว่าเป็นผู้สนับสนุนของฝ่ายนาซี จากหลักฐานพบว่าเชลยสงครามของโซเวียตกว่า 60% ของทั้งหมดได้เสียชีวิตระหว่างสงคราม ริชาร์ด โอเวรีได้บันทึกตัวเลขเชลยศึกชาวโซเวียตไว้ 5.7 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ 57% เสียชีวิต คิดเป็น 3.6 ล้านคน เชลยศึกโซเวียตที่รอดชีวิตและหลบหนีเข้าสู่มาตุภูมิจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ (ดูเพิ่ม: คำสั่งหมายเลข 270) ค่ายเชลยสงครามของญี่ปุ่นเองก็มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และยังมีการตั้งเป็นค่ายแรงงาน ภายหลังจากการตัดสินของศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกล (เดิมชื่อ ศาลพิเศษโตเกียว) ได้ลงมติว่าอัตราการเสียชีวิตของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรคิดเป็น 27.1% (ในจำนวนนี้เป็นทหารสหรัฐอเมริกา 37%) คิดเป็นเจ็ดเท่าของอัตราเดียวกันของค่ายแรงงานของนาซีเยอรมนีและอิตาลี แต่จำนวนดังกล่าวนั้นมีสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชลยศึกชาวจีน ซึ่งจากคำสั่งที่ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1937 โดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตได้ระบุว่า ชาวจีนไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายระหว่างประเทศ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารสหราชอาณาจักรได้รับการปล่อยตัว 37,853 นาย ทหารเนเธอร์แลนด์ 28,500 นาย ทหารสหรัฐอเมริกา 14,473 นาย แต่พบว่าทหารจีนถูกพบว่าได้รับการปล่อยตัวเพียง 56 นาย อ้างอิงจากการศึกษาร่วมกันของนักประวัติศาสตร์ ได้สรุปว่า มีชาวจีนมากกว่า 10 ล้านคนถูกเกณฑ์โดยกองทัพญี่ปุ่น และถูกใช้แรงงานอย่างทาส เพื่อวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ทั้งในแมนจูกัวและทางภาคเหนือของประเทศจีน ห้องสมุดรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณว่าในเกาะชวาว่าชาวอินโดนีเซียกว่า 4 ถึง 10 ล้านคนต้องถูกบังคับให้ทำงานแก่กองทัพญี่ปุ่นระหว่างสงคราม ชาวอินโดนีเซียบนเกาะชวากว่า 270,000 คนได้ถูกส่งไปทำงานในดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีเพียง 52,000 คนเท่านั้นที่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นเดิมได้ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ซึ่งได้ทำการกักตัวชาวญี่ปุ่น ชาวอิตาลี ชาวเยอรมัน และผู้อพยพบางส่วนจากหมู่เกาะฮาวาย ซึ่งหลบหนีหลังจากการโจมตีที่ฐานทัพเรือเพิร์ลในช่วงเวลาระหว่างสงครามเป็นจำนวนมาก ชาวญี่ปุ่น-อเมริกันถูกกักตัวโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นจำนวนกว่า 150,000 คน รวมไปถึงชาวเยอรมันและชาวอิตาลีซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเกือบ 11,000 คน ขณะเดียวกัน ก็การใช้แรงงานโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในดินแดนตะวันออก อย่างเช่นในโปแลนด์ แต่ยังมีผู้ใช้แรงงานอีกกว่าล้านคนในตะวันตก ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 หลักฐานของฝรั่งเศสได้ระบุว่ามีเชลยสงครามชาวเยอรมันกว่า 2,000 คน ตายหรือพิการทุกเดือนในอุบัติเหตุการเก็บกวาดทุ่นระเบิดแนวหลังและอุตสาหกรรม แนวหลังและอุตสาหกรรม. ในทวีปยุโรป ช่วงสงครามเริ่มขึ้นใหม่ ๆ นั้นฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นมีความได้เปรียบทั้งทางด้านจำนวนประชากรและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในปี 1938 ฝ่ายสัมพันธมิตรมีประชากรมากกว่าฝ่ายอักษะ 30% และอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมากกว่าฝ่ายอักษะ 30% ซึ่งทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบทางยุทธศาสตร์มากกว่า 5:1 ในด้านจำนวนประชากรและอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมคิดเป็น 2:1 ในทวีปเอเชีย จีนนั้นมีประชากรเป็นหกเท่าของญี่ปุ่น และมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมากกว่าญี่ปุ่นไป 89% แต่ถ้าหากรวมเอาอาณานิคมของญี่ปุ่นเข้าไปด้วย ความแตกต่างของจำนวนประชากรจะลดลงเหลือเพียงสามเท่าและความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลงเหลือ 38% แม้ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายจะมีมาก แต่ฝ่ายอักษะก็สามารถตัดกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรได้ด้วยบลิทซครีกของเยอรมนีและญี่ปุ่นหลายครั้ง ทว่าความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและประชากรของฝ่ายสัมพันธมิตรได้กลายมาเป็นปัจจัยแตกหักจนถึง ค.ศ. 1942 หลังสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้าสู่สงคราม โดยสงครามได้เปลี่ยนไปเป็นสงครามแห่งความสูญเสีย ช่วงปลายสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถช่วงชิงความได้เปรียบทางเศรษฐกิจได้ด้วยการเข้ายึดแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ความไม่เต็มใจของเยอรมนีและญี่ปุ่นที่จะเกณฑ์แรงงานสตรี และการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจสงครามในตอนปลาย เยอรมนีและญี่ปุ่นนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้เตรียมการอย่างเหมาะสมสำหรับสงครามยืดเยื้อและไม่มีขีดความสามารถใด ๆ เลยที่จะทำเช่นนั้น เพื่อที่จะเพิ่มการผลิต เยอรมนีและญี่ปุ่นจำเป็นต้องอาศัยแรงงานจากประเทศที่ตนเองสามารถยึดครองได้มาใช้แรงงานนับล้าน โดยพบว่าเยอรมนีได้มีการใช้แรงงานทาสกว่า 12 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยุโรปตะวันออก และญี่ปุ่นได้มีการใช้แรงงานทาสเอเชียตะวันออกไกลกว่า 18 ล้านคนดินแดนที่ถูกยึดครองระหว่างสงคราม ดินแดนที่ถูกยึดครองระหว่างสงคราม. ในทวีปยุโรป การยึดครองแบ่งออกเป็นสองประเภท สำหรับยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ และยุโรปกลาง เยอรมนีได้ออกนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งได้ผลตอบแทนกว่า 69.5 ล้านล้านไรช์มาร์กจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม ซึ่งยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ยุทโธปกรณ์ทางทหาร วัตถุดิบและสินค้าอื่น ๆ ซึ่งเรียกกันว่า การปล้นของนาซี (Nazi plunder) รายได้ของนาซีเยอรมนีในดินแดนยึดครองนั้นคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายได้จากภาษีในแผ่นดินเยอรมนี และเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมดของเยอรมนีในช่วงระหว่างสงคราม ส่วนทางยุโรปตะวันออก ซึ่งคนทั้งหลายต่างก็หวังต่อผลประโยชน์จากนโยบายแสวงหาพื้นที่อยู่อาศัยไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากแนวรบซึ่งไม่แน่นอน และผลจากนโยบาย "สกอชท์เอิร์ธ" ของโซเวียต ซึ่งเป็นการปฏิเสธมิให้ทรัพยากรทั้งหลายตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวเยอรมัน ไม่เหมือนกับทางยุโรปตะวันตก นโยบายเชื้อชาติของพรรคนาซีนั้นได้ก่อให้เกิดความเลวร้ายต่าง ๆ กับ "ชนชั้นต่ำกว่ามนุษย์" ในแนวรบด้านตะวันออก จึงเต็มไปด้วยการฆาตกรรมและการสังหารหมู่ และถึงแม้ว่าจะมีขบวนการกู้ขาติเกิดขึ้นมากมายในประเทศที่ถูกยึดครอง แต่ก็ยังไม่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบโดยรวมต่อการขยายตัวของนาซีเยอรมนีได้ กระทั่งปลาย ค.ศ. 1943 ในเอเชีย ญี่ปุ่นพยายามสร้างวงไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาขึ้น และมีจุดประสงค์ที่จะครองความเป็นใหญ่ โดยอ้างการปลดปล่อยชาติที่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติอภิมหาอำนาจในทวีปยุโรป ถึงแม้ว่ากองทัพญี่ปุ่นนั้นจะได้รับการต้อนรับจากนักต่อสู้เพื่อเอกราชในหลายดินแดน แต่ว่าเนื่องจากการกระทำที่โหดร้ายได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อญี่ปุ่นไปเสียภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงแรกนั้นได้รับน้ำมันกว่า 4 ล้านแกลลอนจากการล่าถอยของฝ่ายสัมพันธมิตร และใน ค.ศ. 1943 ญี่ปุ่นได้ผลผลิตจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์กว่า 50 ล้านแกลลอน กว่าร้อยละ 76 ของอัตราการผลิตของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1940การพัฒนาเทคโนโลยีและรูปแบบการทำสงคราม การพัฒนาเทคโนโลยีและรูปแบบการทำสงคราม. ระหว่างสงคราม อากาศยานยังคงดำรงบทบาทของตนทั้งในการลาดตระเวนสำรวจ เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินทิ้งระเบิด และการสนับสนุนภาคพื้นดินมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าอากาศยานทั้งหลายจะได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว บทบาทที่สำคัญของอากาศยานอีกสองประการนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ เป็นความสามารถที่จะเคลื่อนย้ายเสบียง เครื่องยุทธภัณฑ์และหน่วยทหารได้อย่างรวดเร็วตามลำดับความสำคัญ ถึงแม้ว่าจะยังมีปริมาณที่รองรับได้ต่ำอยู่ก็ตาม และการทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นการทิ้งระเบิดถล่มเป้าหมายพลเรือนด้วยความหวังที่จะทำลายอุตสาหกรรมและขวัญกำลังใจของข้าศึก อาวุธต่อสู้อากาศยานเองก็มีการพัฒนาขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันภัยที่สำคัญ เช่น เรดาร์ และปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างสูง อย่างเช่น ปืนใหญ่ 88 มม. ของเยอรมนี อากาศยานเจตก็ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกในการออกปฏิบัติการจำนวนหนึ่งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และถึงแม้ว่าอากาศยานเจตจะถูกนำเข้าสู่สงครามในตอนปลาย และปรากฏให้เห็นเพียงจำนวนน้อย หมายความว่าพวกมันไม่มีผลกระทบต่อสงครามโดยตรงด้วยตัวเอง และจำนวนน้อยถูกพบเห็นในการบริการขนส่งขนาดใหญ่หลังจากสงคราม ส่วนในทะเล ในขณะที่การพัฒนาเกิดขึ้นในการทำสงครามทางทะเลในเกือบทุกรูปแบบ แต่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในการพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือดำน้ำ ถึงแม้ว่าในตอนต้นของสงคราม การทำสงครามการบินประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ปฏิบัติการในตารันโต อ่าวเพิร์ล ทะเลจีนใต้ และทะเลคอรัล ได้ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินก้าวขึ้นมากมีบทบาทสำคัญแทนที่เรือประจัญบาน ในมหาสมุทรแอตแลนติก เรือบรรทุกเครื่องบินถูกพิสูจน์แล้วว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในระบบกองเรือคุ้มกันฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประสิทธิภาพรัศมีในการป้องกันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และมีส่วนช่วยในการอุดช่องว่างแอตแลนติกตอนกลาง นอกเหนือจากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นแล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินยังประหยัดกว่าเรือประจัญบานเนื่องจากเครื่องบินมีราคาต่ำ และลำเรือไม่จำเป็นจะต้องหุ้มเกราะหนา เรือดำน่ำ ซึ่งถูกพิสูจน์ว่าเป็นอาวุธอันทรงประสิทธิภาพระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้มีการคาดการณ์ล่วงหน้าโดยทุกฝ่ายว่าจะมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายอังกฤษมุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์และยุทธวิธีในการต่อสู้เรือดำน้ำ อย่างเช่น โซนาร์ และระบบกองเรือคุ้มกัน ในขณะที่เยอรมนีมุ่งเน้นไปยังการพัฒนาความสามารถในการรุก ด้วยการออกแบบเรือดำน้ำไทป์ 7 และยุทธวิธีฝูงหมาป่า และการพัฒนาเทคโนโลยีของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างช้า ๆ ก็ได้พิสูจน์ถึงชัยชนะ ส่วนรูปแบบการรบภาคพื้นดินได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากแนวรบอยู่กับที่ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นการรบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นแนวคิดมาจากรูปแบบการทำสงครามระหว่างเหล่าทัพ ซึ่งเป็นการประสานงานกันระหว่างคุณสมบัติของกองกำลังทหารที่หลากหลาย รถถัง ซึ่งถูกใช้สนับสนุนทหารราบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้พัฒนาจนกลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานของกองกำลังทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 การออกแบบรถถังได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากในทุกด้าน เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และยังได้มีการพัฒนาความเร็ว เกราะและกำลังยิงที่เพิ่มมากขึ้น ยังได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระหว่างสงคราม ในช่วงแรกของสงคราม กองทัพส่วนใหญ่พิจารณาว่ารถถังเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้รถถังด้วยกัน จึงได้พัฒนารถถังที่มีจุดประสงค์พิเศษขึ้นเพื่อบรรลุผลนั้น แต่แนวคิดดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าผิดในการปฏิบัติของรถถังค่อนข้างเบาในช่วงแรกในการต่อกรกับรถถัง และหลักนิยมของเยอรมันในการหลีกเลี่ยงการรบแบบรถถังต่อรถถัง และอีกปัจจัยนหนึ่ง จากการใช้กองกำลังผสมของเยอรมนี อันเป็นปัจจัยหลักของยุทธวิธีการโจมตีสายฟ้าแลบซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในโปแลนด์และฝรั่งเศส และปรากฏหลายวิธีในการทำลายรถถัง รวมทั้งปืนใหญ่ทางอ้อม ปืนต่อสู้รถถัง ทุ่นระเบิด อาวุธพิสัยใกล้ต่อสู้รถถังสำหรับทหารราบ และการใช้รถถังได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ แม้กระทั่งในหลายกองทัพจะได้มีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรอย่างกว้างขวาง แต่ทหารราบก็ยังคงเป็นกระดูกสันหลังสำหรับกองกำลังทั้งหมด และตลอดช่วงเวลาของสงคราม ยุทธภัณฑ์ของทหารราบส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกับที่เคยใช้ประโยชน์ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติเป็นประเทศแรก ซึ่งก็คือ เอ็ม-1 กาแรนด์ นอกจากนี้ การพัฒนาบางประการยังเกี่ยวกับปืนกลพกพาได้ ตัวอย่างที่โดดเด่นเช่น เอ็มจี 42 ของเยอรมนี และปืนกลมืออีกหลายประเภท ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับการรบในเมืองและในป่า ปืนเล็กยาวจู่โจม ซึ่งเป็นพัฒนาการในตอนปลายของสงคราม เป็นการรวมข้อดีของปืนเล็กยาวและปืนกลมือเข้าไว้ด้วยกัน และได้กลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานสำหรับทหารราบในเกือบทุกกองทัพหลังสงคราม ในแง่ของการติดต่อสื่อสาร ผู้เข้าร่วมสงครามส่วนใหญ่พยายามที่จะแก้ไขปัญหาของความซับซ้อนและการรักษาความปลอดภัย โดยการใช้ประโยชน์จากคู่มือลงรหัสขนาดใหญ่สำหรับวิทยาการเข้ารหัส ประกอบกับการสร้างเครื่องรหัสขึ้นมาหลายแบบ ซึ่งที่เป็นรู้จักกันกว้างขวางที่สุด ได้แก่ เครื่องอินิกมาของเยอรมนี ข่าวกรองทางสัญญาณ ซึ่งเป็นกระบวนการตอบโต้เครื่องถอดรหัส ซึ่งตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ อัลตราของอังกฤษ และการถอดรหัสกองทัพเรือญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนอีกทิศทางหนึ่งที่สำคัญของข่าวกรองทางทหาร ได้แก่ การใช้ปฏิบัติการการหลอกลวง ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรได้ประสบความสำเร็จในหลายโอกาสจนได้ผลดี อย่างเช่น ปฏิบัติการเนื้อสับและปฏิบัติการบอดีการ์ด นอกจากนี้ ในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมยังได้แก่ คอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถโปรแกรมได้เป็นครั้งแรก (แซด 3 คอมพิวเตอร์โคลอสซัสและอีนิแอก) ขีปนาวุธนำวิถี และจรวดสมัยใหม่ การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นผลมาจากโครงการแมนฮัตตัน การสร้างท่าเรือประดิษฐ์ และการสร้างท่อน้ำมันลอดผ่านช่องแคบอังกฤษ
| สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดเมื่อปีค.ศ.ใด | {
"answer": [
"1945"
],
"answer_begin_position": [
205
],
"answer_end_position": [
209
]
} |
2,075 | 34,192 | อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อยู่ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี มีเนื้อที่ 85,388.97 ไร่ (136.62 ตารางกิโลเมตร) อาณาเขตด้านใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา มีถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารบริเวณผามออีแดงในตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541) นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 19 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาพระวิหาร ป่าฝั่งลำโดมใหญ่ ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพื้นที่ป่าไม้ชายแดนให้เป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ ห้ามเข้าไปและอาศัยอยู่โดยเด็ดขาด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มาก มีทัศนียภาพที่สวยงาม ตลอดจนโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และกรมป่าไม้กำหนดและประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารมีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง เช่น จุดชมทิวทัศน์ผามออีแดง จุดชมทิวทัศน์หน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอบสระตราว ถ้ำฤๅษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญคือ ปราสาทเขาพระวิหาร อันเป็นโบราณสถานสำคัญเก่าแก่ ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา เมื่อพ.ศ. 2505 และในที่สุดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินให้ตัวปราสาทอยู่ในอธิปไตยของประเทศกัมพูชา แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ทางฝั่งไทย และพื้นที่ทางขึ้นบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นทางขึ้นที่สะดวกที่สุดภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทิวเขาพนมดงรัก ลาดเอียงไปทางทิศเหนือกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง เนินเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200-500 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยลำธารต่าง ๆ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย ห้วยตานี ห้วยตาเงิด ห้วยตุง ห้วยตะแอก และห้วยบอน เป็นต้นภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แบ่งออกได้เป็น 3 ฤดู คือ- ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม - ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน – ตุลาคม - ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์พืชพรรณและสัตว์ป่า พืชพรรณและสัตว์ป่า. เนื่องจากพื้นที่ของอุทยานส่วนใหญ่เป็นภูเขาลาดชัน เป็นเนินเขา สภาพป่าจึงประกอบด้วย- ป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้คละปะปนกันมาก เช่น ประดู่ มะค่าโมง แดง ชิงชัน ตะแบก มะเกลือ งิ้วป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหญ้าและไผ่ชนิดต่าง ๆ - ป่าเต็งรัง มีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นอยู่กระจัดกระจาย พืชชั้นล่างมีหญ้าชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะหญ้าแพ้ว พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง พยอม เขลง ตะคร้อ ฯลฯ - ป่าดิบแล้ง พบบริเวณที่ราบเรียบหรือหุบเขา พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ตะเคียน พยุง สมพง กระเบากลัก กัดลิ้น ข่อยหนาม ยาง กระบก ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหวาย และพืชในตระกูลขิงข่าต่าง ๆ สภาพป่าของป่าเขาพระวิหารและป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่บนทิวเขาพนมดงรักยังมีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ทั่วไป เช่น หมูป่า ลิงแสม พังพอนธรรมดา กระต่ายป่า หนูท้องขาว กระรอกหลากสี กระแตเหนือ ค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ นกนางแอ่นลาย นกเขนน้อยปีกแถบขาว นกปรอดทอง นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกกินแมลงอกเหลือง นกปีกลายสก็อต จิ้งจกดินลายจุด ตุ๊กแกเขาหินทราย กิ้งก่าบินปีกสีส้ม จิ้งเหลนภูเขาเขมร ตะกวด งูดิน งูเหลือม งูแม่ตะงาว งูหัวกะโหลก กบหนอง เขียดจะนา กบหลังขีด กบนา ปาดบ้าน อึ่งข้างดำ และกบอ่อง เป็นต้น ในบริเวณพื้นที่แหล่งน้ำมีปลาหลากชนิดอาศัยอยู่ เช่น ปลากระสูบจุด ปลาตะเพียนทอง ปลานวลจันทร์เทศ ปลาช่อน ปลาหมอเทศ และปลาดุกด้าน เป็นต้น
| อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่เท่าใดของประเทศไทย | {
"answer": [
"83"
],
"answer_begin_position": [
631
],
"answer_end_position": [
633
]
} |
2,076 | 34,192 | อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อยู่ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี มีเนื้อที่ 85,388.97 ไร่ (136.62 ตารางกิโลเมตร) อาณาเขตด้านใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา มีถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารบริเวณผามออีแดงในตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541) นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 19 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาพระวิหาร ป่าฝั่งลำโดมใหญ่ ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพื้นที่ป่าไม้ชายแดนให้เป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ ห้ามเข้าไปและอาศัยอยู่โดยเด็ดขาด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มาก มีทัศนียภาพที่สวยงาม ตลอดจนโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และกรมป่าไม้กำหนดและประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารมีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง เช่น จุดชมทิวทัศน์ผามออีแดง จุดชมทิวทัศน์หน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอบสระตราว ถ้ำฤๅษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญคือ ปราสาทเขาพระวิหาร อันเป็นโบราณสถานสำคัญเก่าแก่ ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา เมื่อพ.ศ. 2505 และในที่สุดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินให้ตัวปราสาทอยู่ในอธิปไตยของประเทศกัมพูชา แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ทางฝั่งไทย และพื้นที่ทางขึ้นบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นทางขึ้นที่สะดวกที่สุดภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทิวเขาพนมดงรัก ลาดเอียงไปทางทิศเหนือกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง เนินเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200-500 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยลำธารต่าง ๆ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย ห้วยตานี ห้วยตาเงิด ห้วยตุง ห้วยตะแอก และห้วยบอน เป็นต้นภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แบ่งออกได้เป็น 3 ฤดู คือ- ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม - ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน – ตุลาคม - ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์พืชพรรณและสัตว์ป่า พืชพรรณและสัตว์ป่า. เนื่องจากพื้นที่ของอุทยานส่วนใหญ่เป็นภูเขาลาดชัน เป็นเนินเขา สภาพป่าจึงประกอบด้วย- ป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้คละปะปนกันมาก เช่น ประดู่ มะค่าโมง แดง ชิงชัน ตะแบก มะเกลือ งิ้วป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหญ้าและไผ่ชนิดต่าง ๆ - ป่าเต็งรัง มีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นอยู่กระจัดกระจาย พืชชั้นล่างมีหญ้าชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะหญ้าแพ้ว พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง พยอม เขลง ตะคร้อ ฯลฯ - ป่าดิบแล้ง พบบริเวณที่ราบเรียบหรือหุบเขา พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ตะเคียน พยุง สมพง กระเบากลัก กัดลิ้น ข่อยหนาม ยาง กระบก ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหวาย และพืชในตระกูลขิงข่าต่าง ๆ สภาพป่าของป่าเขาพระวิหารและป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่บนทิวเขาพนมดงรักยังมีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ทั่วไป เช่น หมูป่า ลิงแสม พังพอนธรรมดา กระต่ายป่า หนูท้องขาว กระรอกหลากสี กระแตเหนือ ค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ นกนางแอ่นลาย นกเขนน้อยปีกแถบขาว นกปรอดทอง นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกกินแมลงอกเหลือง นกปีกลายสก็อต จิ้งจกดินลายจุด ตุ๊กแกเขาหินทราย กิ้งก่าบินปีกสีส้ม จิ้งเหลนภูเขาเขมร ตะกวด งูดิน งูเหลือม งูแม่ตะงาว งูหัวกะโหลก กบหนอง เขียดจะนา กบหลังขีด กบนา ปาดบ้าน อึ่งข้างดำ และกบอ่อง เป็นต้น ในบริเวณพื้นที่แหล่งน้ำมีปลาหลากชนิดอาศัยอยู่ เช่น ปลากระสูบจุด ปลาตะเพียนทอง ปลานวลจันทร์เทศ ปลาช่อน ปลาหมอเทศ และปลาดุกด้าน เป็นต้น
| พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทิวเขาใด | {
"answer": [
"พนมดงรัก"
],
"answer_begin_position": [
1785
],
"answer_end_position": [
1793
]
} |
2,077 | 10,214 | อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 11 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ อำเภอปากช่อง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา; อำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี; อำเภอปากพลี อำเภอบ้านนา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก; และอำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2505 และได้รับสมญานามว่าเป็น "อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน" อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีเนื้อที่ปกคลุม 2,215.42 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า และป่ารุ่นสอง ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง พืชพรรณมี 3,000 ชนิด, มีผีเสื้ออยู่กว่า 189 ชนิด, นกป่ามากมายกว่า 350 ชนิดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 71 ชนิด ซึ่งได้แก่ ช้าง เสือ ชะนี กวาง และหมูป่า พบอยู่ตามทุ่งหญ้ากว้างทั่ว ๆ ไปประวัติ ประวัติ. ในสมัยก่อน การเดินทางติดต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานนั้น มีอุปสรรคคือจะต้องผ่านป่าดงดิบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมายทั้งสัตว์ร้ายและไข้ป่า ผู้คนที่เดินทางผ่านป่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงได้ขนานนามว่า ดงพญาไฟ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านในคราวเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา ทรงเห็นว่าชื่อดงพญาไฟนี้ ฟังดูน่ากลัว จึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็นดงพญาเย็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีการสร้างทางรถไฟ ชาวบ้านก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่กัน โดยเฉพาะบนยอดเขา โดยถางป่าเพื่อทำไร่ และในปี พ.ศ. 2465 ได้ขอจัดตั้งเป็นตำบลเขาใหญ่ แต่ด้วยการที่จะเดินทางมายังยอดเขานี้ค่อนข้างลำบากห่างไกลจากการปกครองของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำบลเขาใหญ่จึงเป็นแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้าย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 ทางราชการได้ส่งปลัดจ่างมาปราบโจรผู้ร้ายจนหมด แต่สุดท้ายปลัดจ่างก็เสียชีวิตด้วยไข้ป่า ได้ตั้งเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือจนปัจจุบันนี้ หลังจากปราบโจรผู้ร้ายหมดลงแล้ว ทางราชการเห็นว่าตำบลเขาใหญ่นี้ยากแก่การปกครอง อีกทั้งปล่อยไว้จะเป็นแหล่งซ่องสุมโจรผู้ร้ายอีก จึงได้ยุบตำบลเขาใหญ่ และให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเขาทั้งหมดย้ายลงมาอาศัยอยู่ข้างล่าง ป่าที่ถูกถางเพื่อทำไร่นั้นปัจจุบันคือยังมีร่องรอยให้เห็นเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ บนเขาใหญ่นั่นเอง ปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เล็งเห็นว่าบริเวณเขาใหญ่นี้ มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีความสวยงาม เหมาะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่มีปัญหาคือมีการตัดไม้ทำลายป่า จึงได้ให้มีการสำรวจพื้นที่บริเวณตำบลเขาใหญ่เดิมและบริเวณโดยรอบและได้ตราพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติขึ้น ตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย และได้ตัดถนนธนะรัชต์แยกออกมาจากถนนมิตรภาพมายังตัวเขาใหญ่โดยถนนนี้ขึ้นมาบนเขาใหญ่แล้วจะแยกเป็นสองสาย คือไปสิ้นสุดที่น้ำตกเหวสุวัตสายหนึ่ง และไปสิ้นสุดที่เขาเขียวอีกสายหนึ่ง ซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2525 ถนนธนะรัชต์นี้เป็นเพียงถนนสายเดียวที่จะมายังเขาใหญ่ได้ ในปี พ.ศ. 2523 ได้มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่ โดยถนนนี้เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2525 ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น และเดินทางจากกรุงเทพมหานครใช้ระยะทางสั้นกว่า อีกทั้งเส้นทางยังชันและมีโค้งหักศอกน้อยกว่าถนนธนะรัชต์เดิม อีกทั้งยังทำให้การท่องเที่ยวในส่วนใต้ของอุทยานสะดวกขึ้น เช่น สามารถเดินทางมายังน้ำตกเหวนรกได้โดยตรง ซึ่งแต่เดิมจะต้องเดินเท้าเข้ามาจากอำเภอปากพลีแล้วเลาะมาตามหน้าผา แต่การตัดถนนใหม่สามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดแล้วเดินเท้าประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงน้ำตกเหวนรกได้แล้ว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทับลาน ปางสีดา ตาพระยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก ภายใต้ชื่อกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ภูเขาที่สำคัญเขาร่ม ภูเขาที่สำคัญ. เขาร่ม. เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยสูง 1,351 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เขาร่มสามารถมองเห็นได้จากถนนธนะรัชต์ เป็นแนวเขาขนานกับเขาเขียว การเดินทางไปยังเขาร่มนั้นต้องเดินเข้าไปด้วยเท้า ซึ่งมีน้อยคนนักที่เดินทางขึ้นไปถึงยอดเขาร่ม โดยมากจะเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เท่านั้นเขาแหลม เขาแหลม. เนื่องจากเป็นเขาที่มียอดแหลมจึงได้ชื่อว่าเขาแหลม เขาแหลมมีความสูงรองจากเขาร่ม การเดินทางต้องเดินเท้าเข้าไปเช่นกันโดยเส้นทางยากลำบากมาก ใช้เวลาเดินไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง และก่อนถึงยอดเขาจะต้องโหนเชือกขึ้นไปเพื่อไปยังยอดเขา ด้วยเส้นทางที่ยากลำบากนี้ สโมสรโรตารีเคยตั้งรางวัลให้กับสตรีที่พิชิตยอดเขาแหลมเป็นเงิน 60,000 บาท โดยผู้ได้รับรางวัลคือ นางแคทเธอรีน บ.บุรี ได้พิชิตยอดเขาแหลมในปี 2515 ความสำคัญของเส้นทางไปยอดเขาแหลมคือ เส้นทางที่ใช้เดินทางจะผ่านทางเดินของสัตว์หลายชนิด จึงพบรอยเท้าสัตว์ได้มากมาย อีกทั้งยังมีโอกาสพบสัตว์ป่าต่างๆ ได้อีกด้วยเขาเขียว เขาเขียว. เป็นภูเขาสูงอีกลูกหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลักษณะเป็นทิวเขายาว มองเห็นได้จากทางจังหวัดนครนายก การเดินทางไปยังเขาเขียวสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ไปถึงยอด โดยบนยอดของเขาเขียวเป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศ ซึ่งเปิดให้เป็นจุดชมวิว อีกทั้งยังมีจุดชมวิวและศึกษาเส้นทางธรรมชาติผาเดียวดาย ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากจุดหนึ่งเขาสามยอด เขาสามยอด. ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญ อีกทั้งยังมีสัตว์ป่าชุกชุม การเดินทางไปเขาสามยอดต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาราว 6-8 ชั่วโมง เส้นทางนี้มีทากชุกชุมมากเขาฟ้าผ่า เขาฟ้าผ่า. อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นกัน เขาฟ้าผ่าเป็นต้นกำเนิดของลำนางรองซึ่งไหลเป็นน้ำตกนางรองในจังหวัดนครนายก นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุสื่อสารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตั้งอยู่อีกด้วย การเดินทางจะต้องผ่านถนนลูกรังโดยใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไปเขากำแพง เขากำแพง. เป็นเทีอกเขาแนวยาวราวกับกำแพงจึงได้ชื่อว่าเขากำแพง โดยเขากำแพงนี้เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสำคัญ เช่น ลำพระเพลิง ลำพระยาธาร ลำใสใหญ่ เป็นต้นเขาสมอปูน เขาสมอปูน. เห็นได้ชัดจากจังหวัดปราจีนบุรีและนครนายก ชาวบ้านบางคนเรียกว่าเขาสูง สามารถเดินทางเข้ามาโดยไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านหาของป่าเป็นประจำ และเส้นทางนี้สามารถทะลุมายังน้ำตกเหวนรกได้อีกด้วยเขาแก้ว เขาแก้ว. อยู่ทางทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของห้วยคลองมะเดื่อและห้วยเจ็ดคต จะเห็นได้ว่า ไม่มีเขาลูกใดชื่อ "เขาใหญ่" เลย การที่เรียกบริเวณนี้ว่าเขาใหญ่นั้นเรียกตามตำบลเดิมที่เคยจัดตั้งมาแต่ก่อนเท่านั้นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญน้ำตกเหวนรก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ. น้ำตกเหวนรก. เป็นน้ำตกที่เกิดจากคลองท่าด่าน น้ำตกเหวนรกเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นน้ำตกที่มีความสูงและสวยงามมากแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่เดิมก่อนที่จะมีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่นั้น จะต้องเดินเท้าเข้ามาโดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แต่หลังจากตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่เสร็จแล้ว ถนนตัดผ่านใกล้น้ำตกเหวนรกมาก โดยมีลานจอดรถห่างจากตัวน้ำตกเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ระหว่างทางสามารถเดินชมธรรมชาติอันสวยงามสองข้างทางได้ เมื่อถึงตัวน้ำตกจะมีบันไดลงไปอีกราว 50 เมตร ซึ่งค่อนข้างแคบและชัน แต่เมื่อลงไปถึงจุดชมวิวก็จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกได้อย่างสวยงาม หากไปในฤดูฝนมีน้ำมาก ละอองน้ำจะกระเซ็นต้องกับแสงอาทิตย์เป็นสายรุ้งอย่างงดงาม แต่หากมาชมในหน้าแล้งนั้นอาจต้องผิดหวังเพราะไม่มีน้ำ เห็นแต่เพียงหน้าผาแห้งๆ เท่านั้น ระหว่างทางเดินมายังน้ำตกเหวนรกนี้ จะสังเกตเห็นแนวคันปูนเป็นระยะ สร้างขึ้นเพื่อป้องกันช้างพลัดตกไปยังน้ำตก ตั้งแต่ในปี 2530 จะมีช้างตกลงไปยังผาข้างล่างปีละเชือกหรือสองเชือกเสมอ และในครั้งใหญ่ที่สุดปี 2535 มีช้างโขลงหนึ่งจำนวน 8 เชือกหลงเข้ามาและถูกกระแสน้ำพัดตกลงไปตายหมด ทางอุทยานแห่งชาติจึงได้สร้างแนวป้องกันนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันอันตรายแก่ช้างป่ามิให้เกิดขึ้นอีก ในความเป็นจริงแล้ว น้ำตกเหวนรกนั้นมีอยู่ 2 ชั้น ที่ได้ชมนี้เป็นชั้นที่ 1 โดยมีความสูงของตัวน้ำตกประมาณ 50 เมตร ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 นั้นอยู่ห่างออกไป ซึ่งชั้นที่สองนี้มีความสูงมากกว่าชั้นแรกเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วมีเส้นทางสำรวจป่าของทางอุทยานเพื่อไปยังผาอีกด้านหนึ่งเพื่อชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่สองและสามแต่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไปเนื่องจากเป็นทางเข้าไปในป่าดิบ มีสัตว์ป่าออกหากินตลอด หากต้องการเข้าชมควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางเข้าไปเพื่อความปลอดภัย และหากต้องการชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 ให้สวยงามที่สุด ควรเดินทางมาชมในช่วงกันยายนหรือตุลาคม เนื่องจากจะมีน้ำมาก ตกลงมาเป็นละออง และหากมาชมในช่วงเวลา 10 นาฬิกา จะเป็นเวลาพอเหมาะที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับละอองน้ำตกเกิดเป็นสายรุ้ง โดยรวมความสูงของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 นี้ประมาณ 150 เมตรน้ำตกผากล้วยไม้ น้ำตกผากล้วยไม้. เกิดจากห้วยลำตะคอง การเดินทางมาจะต้องจอดรถที่ลานกางเต๊นท์ผากล้วยไม้ แล้วเดินเท้าเลาะไปตามห้วยลำตะคอง ผ่านป่าดงดิบตลอดทาง หากโชคดีอาจพบนกบางชนิด เช่น นกกางเขนหลังเทา เมื่อเดินเข้ามาประมาณ 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกผากล้วยไม้ มีป้ายเขียนเอาไว้ชัดเจน น้ำตกผากล้วยไม้นั้นลักษณะเป็นผาไม่สูงนัก ชื่อน้ำตกผากล้วยไม้นี้มาจากมีกล้วยไม้หลายชนิดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกล้วยไม้หวายแดง ซึ่งจะออกดอกช่วงเดินเมษายน ปกติแล้วนักท่องเที่ยวจะนิยมชมน้ำตกบริเวณด้านนอกเท่านั้น แต่หากเดินเลาะไปตามโขดหินอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะพบน้ำตกชั้นใน ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน และหากเดินเลาะมาตามห้วยลำตะคองเรื่อยๆ ก็จะมาทะลุถึงน้ำตกเหวสุวัตได้น้ำตกเหวสุวัต น้ำตกเหวสุวัต. เป็นน้ำตกอีกแห่งที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเกิดจากห้วยลำตะคองไหลตกผ่านหน้าผาสูงราว 25 เมตร และมีแอ่งน้ำทางด้านล่างเหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างมาก แต่ทางอุทยานแห่งชาติได้มีป้ายประกาศว่าห้ามเล่นน้ำไว้เนื่องจากกลัวอันตรายว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากเฉียบพลัน ในฤดูฝนสายน้ำที่ตกลงมาจะเป็นละอองกระจายเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แต่หากมาในฤดูน้ำน้อย จะสามารถเดินลัดเลาะเพื่อเข้าไปยังโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้หน้าผาน้ำตกได้ บางคนกล่าวไว้ว่า ชื่อน้ำตกเหวสุวัตนี้ เกิดจากมีโจรชื่อสุวัต หนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจนมุมยังน้ำตกแห่งนี้ เลยตัดสินใจกระโดดลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่าง แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น สำหรับห้วยลำตะคองนี้ หลังจากผ่านน้ำตกเหวสุวัตแล้ว ยังมีน้ำตกเหวไทรและน้ำตกเหวประทุนที่อยู่ลึกเข้าไปอีก แต่จะต้องเดินผ่านป่าลึกฝ่าดงทากเข้าไป ควรมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเนื่องจากในป่าลึกนั้นเส้นทางไม่ชัดเจน อาจพลัดหลงได้ง่ายจุดชมวิวผาเดียวดาย จุดชมวิวผาเดียวดาย. อยู่บนยอดเขาเขียว สามารถขับรถยนต์เข้าไปถึงแต่ถนนไม่ค่อยดีนักเนื่องจากมีหินถล่มบ่อยทำให้ผิวถนนเสียหายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ถนนยังชันและเป็นโค้งหักศอกอีกด้วย เมื่อขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาก็จะมีที่จอดรถให้บริเวณใกล้กับผาเดียวดาย ซึ่งระหว่างทางจะเดินผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยเส้นทางนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณต่างๆ มากมาย ที่น่าสนใจ เช่น ช้องนางคลี หญ้าข้าวกล่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีไม้ใหญ่อื่นๆ ซึ่งมักถูกปกคลุมด้วยมอสเป็นสีเขียวแลดูสดชื่น และยังมีไม้หอมพวกกฤษณาอีกด้วย ใช้เวลาเดินผ่านป่าดิบชื้นนี้ประมาณ 15 นาที ก็จะถึงจุดชมวิวผาเดียวดาย แลเห็นเขาสมอปูนทางขวามือและทุ่งงูเหลือมอยู่ตรงกลาง หากโชคดี เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเดียวดายนี้ อาจพบนกหายากบางชนิด เช่น นกเงือก นกปรอดดำ นกแซงแซวหางบ่วง เป็นต้นจุดชมวิวผาตรอมใจ จุดชมวิวผาตรอมใจ. ตั้งอยู่เลยทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเดียวดายไปอีกเล็กน้อย คือเป็นทางเข้าของศูนย์เรดาร์ของกองทัพอากาศ บริเวณนี้จริงๆ แล้วเป็นเขตทหาร แต่ได้จัดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้บริเวณจุดชมวิวผาตรอมใจ เมื่อมองออกไปจะแลเห็นทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากเป็นเขตทหารและอยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นอีกทั้งการเดินทางมาก็ค่อนข้างลำบากเพราะไกลและถนนไม่ดี มีคนมาน้อย บรรยากาศเงียบสงบจึงมีนกหลายชนิดให้ศึกษา บางวันจะมีช่างภาพพร้อมกล้องถ่ายรูปและเลนส์ขนาดใหญ่สำหรับถ่ายภาพนกมานั่งเงียบๆ คอยนกมาเกาะบนกิ่งไม้แล้วถ่ายภาพ จริงๆ แล้วข้างในศูนย์เรดาร์ยังมีหน้าผาหินอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีวิวสวยไม่แพ้กัน แต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมอ่างเก็บน้ำสายศร อ่างเก็บน้ำสายศร. เป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเพื่อเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่า ดำเนินการสร้างโดยนายบุญเรือง สายศร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่คนแรกเมื่อปี 2524 โดยในช่วงที่สร้างนี้ นายบุญเรืองได้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานในวาระที่ 2 แต่เดิมเรียกกันว่าอ่างเก็บน้ำมอสิงโต โดยเรียกตามชื่อของเขามอสิงโตที่อยู่บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับสิงโต แต่ต่อมาในปี 2550 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอ่างเก็บน้ำสายศรเพื่อเป็นเกียรติแก่นายบุญเรือง สายศร อดีตหัวหน้าอุทยานเขาใหญ่คนแรก (พ.ศ. 2503-2506) ผู้ซึ่งมีส่วนบุกเบิกในการจัดตั้งอุทยาน และไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสิงโตอาศัยอยู่หนองผักชี หนองผักชี. แต่เดิมนั้นเคยมีชาวบ้านขึ้นมาจับจองพื้นที่อาศัยอยู่บนเขาใหญ่ และถางป่าเพื่อปลูกพืชผักบางอย่าง เช่น ผักชี พริก เป็นต้น โดยอาศัยแหล่งน้ำคือหนองผักชีนี้เพื่อการเกษตรกรรม เมื่อทางการได้สั่งให้อพยพออกจากเขาใหญ่ พื้นที่ที่เคยปลูกพืชก็ถูกทิ้งร้างมีหญ้าขึ้นสูง เป็นแหล่งอาหารให้กับสัตว์กินพืชซึ่งจะลงมากินหญ้าที่บริเวณนี้เป็นประจำ ทางอุทยานแห่งชาติได้สร้างหอดูสัตว์หนองผักชีเพื่อใช้ดูสัตว์ที่ลงมากินหญ้า โดยสัตว์มักลงมากินหญ้าตอนเช้าตรู่และตอนเย็นหอดูสัตว์ หอดูสัตว์. ทางอุทยานแห่งชาติได้สร้างขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้ดูสัตว์ที่ลงมากินดินโป่ง มีทั้งหมด 3 แห่งคือ 1. หอดูสัตว์หนองผักชี 2. หอดูสัตว์มอสิงโต 3. หอดูสัตว์คลองปลากั้ง โดยหอดูสัตว์ทั้งหมดนี้จะสร้างใกล้ๆ โป่ง เนื่องจากสัตว์จะลงมากินดินโป่ง ซึ่งโดยมากที่เห็นจะเป็นกวาง ช้างป่ามีบ้างแต่น้อยกว่า และหากโชคดีอาจมีโอกาสได้เห็นกระทิงลงมากินดินโป่งซึ่งหาชมได้ยากมาก โดยโอกาสเห็นกระทิงนั้นจะพบที่หอดูสัตว์คลองปลากั้งมากที่สุดจุดชมทิวทัศน์ กิโลเมตรที่ 30 จุดชมทิวทัศน์ กิโลเมตรที่ 30. หากเดินทางมาจากฝั่งปราจีนบุรี จุดชมวิวนี้เป็นจุดแวะสุดท้ายก่อนจะลงจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไปยังฝั่งอำเภอปากช่อง โดย ณ จุดนี้นักท่องเที่ยวมักนิยมแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนลงจากเขาใหญ่ เนื่องจากจะเห็นวิวข้างหลังยาวออกเป็นเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงาม และในวันที่เงียบสงบ อาจเห็นนกหลายชนิดมาเกาะตามกิ่งไม้ในบริเวณนี้ ซึ่งจะมีช่างภาพมาตั้งกล้องถ่ายภาพนกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ทิวทัศน์ที่แลเห็นได้จากจุดนี้มีดังนี้คือ เขาลูกซ้ายมือคือเขาลูกช้าง มีถ้ำค้างคาวอยู่ เวลาโพล้เพล้อาจเห็นค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเป็นสายเพื่อไปหาอาหาร เห็นเป็นเส้นสีดำเป็นแนวยาวตัดกับขอบฟ้า ทิวเขาที่ไกลที่สุดเป็นแนวยาวนั้นคือ เขาแผงม้าซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร ทุ่งโล่งตรงกลางในเงาเมฆนั้นเป็นร่องรอยการถางป่าเพื่อทำไร่ก่อนจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตรงทุ่งโล่งนี้จะเห็นบ้านคนอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของบ้านท่ามะปราง และทางขวามือจะเห็นยอดเขาเล็กๆ อีกสามสี่ยอด เป็นส่วนหนึ่งของเขากำแพงซึ่งยาวออกไปทางทิศตะวันออก ได้แก่เขาแผงม้า เขาวังหิน เขาผาแจง เขาริมหัว และเขาแสงคำตามลำดับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่. ตั้งอยู่บนหลักกิโลเมตรที่ 23 ของถนนธนะรัชต์ โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำริให้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปลัดจ่าง ผู้ปราบโจรบนเขาใหญ่ได้สำเร็จเมื่อกว่า 70 ปีก่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะอยู่เสมอ และทุกวันที่ 26 มกราคม จะมีพิธีบวงสรวงเพื่อรำลึกถึงพระคุณของปลัดจ่างที่ได้ดูแลพื้นที่บริเวณนี้ในอดีตโป่ง โป่ง. โป่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น โป่งหนองผักชี โป่งช้าง โป่งกระทิง และโป่งชมรมเพื่อนเป็นต้น โดยโป่งชมรมเพื่อนนี้เป็นโป่งเทียม คือมนุษย์เป็นผู้เอาเกลือแร่ไปใส่ไว้ในดินให้สัตว์กินนั่นเอง สร้างตั้งแต่ปี 2517 นอกจากนี้ โป่งธรรมชาติก็จะมีการเติมเกลือแร่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปเกลือแร่ตามธรรมชาติก็จะหมด การเติมเกลือแร่จะทำใหัสัตว์มากินดินโป่งที่โป่งนั้นๆ เหมือนเดิม ทำให้เราสามารถสำรวจและชมสัตว์ป่าได้สะดวกขึ้น และสัตว์ป่าก็ไม่ต้องไปหาโป่งแห่งใหม่ ปัญหาที่สำคัญคือ มนุษย์ได้เข้ามาใกล้โป่งเพื่อดูสัตว์ จะทำให้สัตว์ตื่นกลัวและไม่ลงมากินดินโป่งอีก บางโป่งก็แทบจะกลายเป็นโป่งร้างไป เช่น โป่งหนองผักชี แต่เดิมเคยมีกระทิงลงมากินดินโป่งเป็นประจำแต่ปัจจุบันไม่พบกระทิงลงมากินดินโป่งนี้อีกเลย โดยพบกระทิงที่โป่งหนองผักชีครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2524 รวมความว่าในระยะนี้โป่งหนองผักชีมีสัตว์ออกมากินดินโป่งค่อนข้างน้อยกว่าแต่ก่อนมาก เป็นต้น ตัวอย่างสำคัญที่ยืนยันว่าการรบกวนของมนุษย์มีผลต่อการกินดินโป่งของสัตว์ กล่าวคือ แต่เดิมมีโป่งหนึ่งเป็นโป่งขนาดใหญ่ มีสัตว์หลายชนิดมากินดินโป่งประจำ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นโป่งร้างไปเสียแล้ว คือโป่งเครื่องบินตก โดยได้ชื่อมาจากเครื่องบินของสายการบินอาหรับได้เกิดอุบัติเหตุตกในบริเวณนี้ (ตรงกับบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 บนถนนธนะรัชต์) มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 คน เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ถางป่าเป็นทางเพื่อลำเลียงศพผู้เคราะห์ร้ายออกมาจากซากเครื่องบิน และภายหลังจากนั้นได้ตัดเส้นทางจากที่ถางป่าเข้าไปยังซากเครื่องบินตกแล้วตัดไปยังน้ำตกเหวสุวัตเพื่อเป็นเส้นทางเดินป่า รวมถึงมีการสร้างห้างไว้ดูสัตว์เวลากลางคืนบริเวณโป่งเครื่องบินตกนี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เป็นการรบกวนสัตว์ป่า ส่งผลโป่งเครื่องบินตกกลายเป็นโป่งร้างไปในที่สุดการเดินทาง การเดินทาง. การเดินทางมายังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สามารถเดินทางได้ 2 ทางดังนี้ 1. ขึ้นเขาฝั่งปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางดั้งเดิม สร้างตั้งแต่ปี 2505 โดยเดินทางผ่านถนนมิตรภาพ เมื่อถึงช่วงอำเภอปากช่องจะมีทางแยกเข้าถนนธนะรัชต์ จากถนนมิตรภาพเข้ามาตามถนนธนะรัชต์ประมาณ 20 กิโลเมตรก็จะถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งใกล้กันนั้นเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ หรือปลัดจ่างผู้ปราบโจรบนเขาใหญ่เมื่อ 80 ปีก่อน โดยจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมนี้ ต้องเดินทางไปอีกประมาณเกือบ 20 กิโลเมตรจึงจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เส้นทางนี้ค่อนข้างชันเมื่อเทียบกับเส้นใหม่ที่ขึ้นเขาฝั่งปราจีนบุรี สองข้างทางเป็นป่าดิบ มีดงเสือ ดงงูเห่า และดงช้างเป็นต้น ซึ่งนานๆ ครั้ง อาจเห็นสัตว์ออกมาเดินบนถนนใหญ่ โดยเฉพาะลิงซึ่งอาจมีมากเป็นร้อยตัวและมีกีดขวางการจราจร ควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมากเนื่องจากมีอุบัติเหตุขับรถชนลิงอยู่บ่อยๆ 2. ขึ้นเขาฝั่งปราจีนบุรี เป็นทางที่ตัดขึ้นใหม่ในปี 2525 ซึ่งหากเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครแล้ว นับว่าสะดวกและใกล้กว่าทางฝั่งปากช่อง อีกทั้งทางขึ้นยังชันน้อยกว่าเล็กน้อย โดยขับรถมาทางถนนรังสิต-นครนายก เมื่อถึงตัวเมืองนครนายกให้เลี้ยวเข้าถนนสุวรรณศร (หมายเลข 33) ไปทางปราจีนบุรี เดินทางมาจนกระทั่งถึงวงเวียนให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปราจีนบุรี-เขาใหญ่ ซึ่งนับจากวงเวียนนี้ จะห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 40 กิโลเมตร แต่หากมาจากทางนี้จะใกล้น้ำตกเหวนรกมากกว่า เส้นทางฝั่งนี้ไม่ค่อยมีสัตว์มากเท่ากับฝั่งปากช่อง แต่มีลิงมากพอๆ กัน ซึ่งควรขับรถด้วยความระมัดระวังเช่นกันสิ่งอำนวยความสะดวกที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวก. ที่พัก. มีบ้านพัก บ้านพักเรือนแถว และค่ายพักแรม ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว จำนวน 4 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พื้นที่บนเขา-จุดชมทิวทัศน์ พื้นที่ค่ายสุรัสวดี และพื้นที่บ้านธนะรัชต์ แต่ละเขตอยู่ห่างกันพอสมควร ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่จองที่พัก-บริการไว้แล้ว ควรติดต่อที่เจ้าหน้าที่งานบ้านพักและบริการของอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้มอบกุญแจที่พัก แนะนำเส้นทางเข้าที่พัก และคำแนะนำอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ก่อนเข้าพักสถานที่กางเต็นท์ สถานที่กางเต็นท์. มีลานกางเต็นท์ตามจุดต่าง ๆ และมีเต็นท์ให้เช่า การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรงร้านอาหาร ร้านอาหาร. เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น. ในวันจันทร์ - ศุกร์ และเวลา 07.00 - 21.00 น. ในวันเสาร์ - อาทิตย์ มีจำนวน 5 แห่ง คือ1. บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2. บริเวณจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ 3. บริเวณจุดกางเต็นท์ลำตะคลอง 4. บริเวณน้ำตกเหวสุวัต 5. บริเวณน้ำตกเหวนรกศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว. ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีขนาดใหญ่พอที่จะรับนักท่องเที่ยวได้ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 150 คน บริเวณนี้มีห้องประชุมซึ่งสามารถบรรจุคนได้ถึง 100 คน ใช้สำหรับเป็นที่ประชุมบรรยาย ฉายภาพนิ่ง และภาพยนตร์ระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปโภค. มีถนนระบบสองทางเชื่อมโยงจากการบริการ ไปยังจุดท่องเที่ยวและนันทนาการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ความยาวรวมกันกว่า 86 กิโลเมตร มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ตลอด 24 ชั่วโมงสุขา สุขา. มีสุขาบริการตามจุดบริการนักท่องเที่ยว และบริเวณลานกางเต็นท์
| อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในไทยมีพื้นที่คาบเกี่ยวกี่จังหวัด | {
"answer": [
"4"
],
"answer_begin_position": [
171
],
"answer_end_position": [
172
]
} |
2,078 | 10,214 | อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 11 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ อำเภอปากช่อง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา; อำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี; อำเภอปากพลี อำเภอบ้านนา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก; และอำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2505 และได้รับสมญานามว่าเป็น "อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน" อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีเนื้อที่ปกคลุม 2,215.42 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า และป่ารุ่นสอง ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง พืชพรรณมี 3,000 ชนิด, มีผีเสื้ออยู่กว่า 189 ชนิด, นกป่ามากมายกว่า 350 ชนิดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 71 ชนิด ซึ่งได้แก่ ช้าง เสือ ชะนี กวาง และหมูป่า พบอยู่ตามทุ่งหญ้ากว้างทั่ว ๆ ไปประวัติ ประวัติ. ในสมัยก่อน การเดินทางติดต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานนั้น มีอุปสรรคคือจะต้องผ่านป่าดงดิบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมายทั้งสัตว์ร้ายและไข้ป่า ผู้คนที่เดินทางผ่านป่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงได้ขนานนามว่า ดงพญาไฟ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านในคราวเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา ทรงเห็นว่าชื่อดงพญาไฟนี้ ฟังดูน่ากลัว จึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็นดงพญาเย็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีการสร้างทางรถไฟ ชาวบ้านก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่กัน โดยเฉพาะบนยอดเขา โดยถางป่าเพื่อทำไร่ และในปี พ.ศ. 2465 ได้ขอจัดตั้งเป็นตำบลเขาใหญ่ แต่ด้วยการที่จะเดินทางมายังยอดเขานี้ค่อนข้างลำบากห่างไกลจากการปกครองของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำบลเขาใหญ่จึงเป็นแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้าย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 ทางราชการได้ส่งปลัดจ่างมาปราบโจรผู้ร้ายจนหมด แต่สุดท้ายปลัดจ่างก็เสียชีวิตด้วยไข้ป่า ได้ตั้งเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือจนปัจจุบันนี้ หลังจากปราบโจรผู้ร้ายหมดลงแล้ว ทางราชการเห็นว่าตำบลเขาใหญ่นี้ยากแก่การปกครอง อีกทั้งปล่อยไว้จะเป็นแหล่งซ่องสุมโจรผู้ร้ายอีก จึงได้ยุบตำบลเขาใหญ่ และให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเขาทั้งหมดย้ายลงมาอาศัยอยู่ข้างล่าง ป่าที่ถูกถางเพื่อทำไร่นั้นปัจจุบันคือยังมีร่องรอยให้เห็นเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ บนเขาใหญ่นั่นเอง ปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เล็งเห็นว่าบริเวณเขาใหญ่นี้ มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีความสวยงาม เหมาะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่มีปัญหาคือมีการตัดไม้ทำลายป่า จึงได้ให้มีการสำรวจพื้นที่บริเวณตำบลเขาใหญ่เดิมและบริเวณโดยรอบและได้ตราพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติขึ้น ตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย และได้ตัดถนนธนะรัชต์แยกออกมาจากถนนมิตรภาพมายังตัวเขาใหญ่โดยถนนนี้ขึ้นมาบนเขาใหญ่แล้วจะแยกเป็นสองสาย คือไปสิ้นสุดที่น้ำตกเหวสุวัตสายหนึ่ง และไปสิ้นสุดที่เขาเขียวอีกสายหนึ่ง ซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2525 ถนนธนะรัชต์นี้เป็นเพียงถนนสายเดียวที่จะมายังเขาใหญ่ได้ ในปี พ.ศ. 2523 ได้มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่ โดยถนนนี้เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2525 ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น และเดินทางจากกรุงเทพมหานครใช้ระยะทางสั้นกว่า อีกทั้งเส้นทางยังชันและมีโค้งหักศอกน้อยกว่าถนนธนะรัชต์เดิม อีกทั้งยังทำให้การท่องเที่ยวในส่วนใต้ของอุทยานสะดวกขึ้น เช่น สามารถเดินทางมายังน้ำตกเหวนรกได้โดยตรง ซึ่งแต่เดิมจะต้องเดินเท้าเข้ามาจากอำเภอปากพลีแล้วเลาะมาตามหน้าผา แต่การตัดถนนใหม่สามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดแล้วเดินเท้าประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงน้ำตกเหวนรกได้แล้ว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทับลาน ปางสีดา ตาพระยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก ภายใต้ชื่อกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ภูเขาที่สำคัญเขาร่ม ภูเขาที่สำคัญ. เขาร่ม. เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยสูง 1,351 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เขาร่มสามารถมองเห็นได้จากถนนธนะรัชต์ เป็นแนวเขาขนานกับเขาเขียว การเดินทางไปยังเขาร่มนั้นต้องเดินเข้าไปด้วยเท้า ซึ่งมีน้อยคนนักที่เดินทางขึ้นไปถึงยอดเขาร่ม โดยมากจะเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เท่านั้นเขาแหลม เขาแหลม. เนื่องจากเป็นเขาที่มียอดแหลมจึงได้ชื่อว่าเขาแหลม เขาแหลมมีความสูงรองจากเขาร่ม การเดินทางต้องเดินเท้าเข้าไปเช่นกันโดยเส้นทางยากลำบากมาก ใช้เวลาเดินไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง และก่อนถึงยอดเขาจะต้องโหนเชือกขึ้นไปเพื่อไปยังยอดเขา ด้วยเส้นทางที่ยากลำบากนี้ สโมสรโรตารีเคยตั้งรางวัลให้กับสตรีที่พิชิตยอดเขาแหลมเป็นเงิน 60,000 บาท โดยผู้ได้รับรางวัลคือ นางแคทเธอรีน บ.บุรี ได้พิชิตยอดเขาแหลมในปี 2515 ความสำคัญของเส้นทางไปยอดเขาแหลมคือ เส้นทางที่ใช้เดินทางจะผ่านทางเดินของสัตว์หลายชนิด จึงพบรอยเท้าสัตว์ได้มากมาย อีกทั้งยังมีโอกาสพบสัตว์ป่าต่างๆ ได้อีกด้วยเขาเขียว เขาเขียว. เป็นภูเขาสูงอีกลูกหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลักษณะเป็นทิวเขายาว มองเห็นได้จากทางจังหวัดนครนายก การเดินทางไปยังเขาเขียวสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ไปถึงยอด โดยบนยอดของเขาเขียวเป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศ ซึ่งเปิดให้เป็นจุดชมวิว อีกทั้งยังมีจุดชมวิวและศึกษาเส้นทางธรรมชาติผาเดียวดาย ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากจุดหนึ่งเขาสามยอด เขาสามยอด. ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญ อีกทั้งยังมีสัตว์ป่าชุกชุม การเดินทางไปเขาสามยอดต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาราว 6-8 ชั่วโมง เส้นทางนี้มีทากชุกชุมมากเขาฟ้าผ่า เขาฟ้าผ่า. อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นกัน เขาฟ้าผ่าเป็นต้นกำเนิดของลำนางรองซึ่งไหลเป็นน้ำตกนางรองในจังหวัดนครนายก นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุสื่อสารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตั้งอยู่อีกด้วย การเดินทางจะต้องผ่านถนนลูกรังโดยใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไปเขากำแพง เขากำแพง. เป็นเทีอกเขาแนวยาวราวกับกำแพงจึงได้ชื่อว่าเขากำแพง โดยเขากำแพงนี้เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสำคัญ เช่น ลำพระเพลิง ลำพระยาธาร ลำใสใหญ่ เป็นต้นเขาสมอปูน เขาสมอปูน. เห็นได้ชัดจากจังหวัดปราจีนบุรีและนครนายก ชาวบ้านบางคนเรียกว่าเขาสูง สามารถเดินทางเข้ามาโดยไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านหาของป่าเป็นประจำ และเส้นทางนี้สามารถทะลุมายังน้ำตกเหวนรกได้อีกด้วยเขาแก้ว เขาแก้ว. อยู่ทางทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของห้วยคลองมะเดื่อและห้วยเจ็ดคต จะเห็นได้ว่า ไม่มีเขาลูกใดชื่อ "เขาใหญ่" เลย การที่เรียกบริเวณนี้ว่าเขาใหญ่นั้นเรียกตามตำบลเดิมที่เคยจัดตั้งมาแต่ก่อนเท่านั้นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญน้ำตกเหวนรก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ. น้ำตกเหวนรก. เป็นน้ำตกที่เกิดจากคลองท่าด่าน น้ำตกเหวนรกเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นน้ำตกที่มีความสูงและสวยงามมากแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่เดิมก่อนที่จะมีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่นั้น จะต้องเดินเท้าเข้ามาโดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แต่หลังจากตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่เสร็จแล้ว ถนนตัดผ่านใกล้น้ำตกเหวนรกมาก โดยมีลานจอดรถห่างจากตัวน้ำตกเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ระหว่างทางสามารถเดินชมธรรมชาติอันสวยงามสองข้างทางได้ เมื่อถึงตัวน้ำตกจะมีบันไดลงไปอีกราว 50 เมตร ซึ่งค่อนข้างแคบและชัน แต่เมื่อลงไปถึงจุดชมวิวก็จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกได้อย่างสวยงาม หากไปในฤดูฝนมีน้ำมาก ละอองน้ำจะกระเซ็นต้องกับแสงอาทิตย์เป็นสายรุ้งอย่างงดงาม แต่หากมาชมในหน้าแล้งนั้นอาจต้องผิดหวังเพราะไม่มีน้ำ เห็นแต่เพียงหน้าผาแห้งๆ เท่านั้น ระหว่างทางเดินมายังน้ำตกเหวนรกนี้ จะสังเกตเห็นแนวคันปูนเป็นระยะ สร้างขึ้นเพื่อป้องกันช้างพลัดตกไปยังน้ำตก ตั้งแต่ในปี 2530 จะมีช้างตกลงไปยังผาข้างล่างปีละเชือกหรือสองเชือกเสมอ และในครั้งใหญ่ที่สุดปี 2535 มีช้างโขลงหนึ่งจำนวน 8 เชือกหลงเข้ามาและถูกกระแสน้ำพัดตกลงไปตายหมด ทางอุทยานแห่งชาติจึงได้สร้างแนวป้องกันนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันอันตรายแก่ช้างป่ามิให้เกิดขึ้นอีก ในความเป็นจริงแล้ว น้ำตกเหวนรกนั้นมีอยู่ 2 ชั้น ที่ได้ชมนี้เป็นชั้นที่ 1 โดยมีความสูงของตัวน้ำตกประมาณ 50 เมตร ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 นั้นอยู่ห่างออกไป ซึ่งชั้นที่สองนี้มีความสูงมากกว่าชั้นแรกเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วมีเส้นทางสำรวจป่าของทางอุทยานเพื่อไปยังผาอีกด้านหนึ่งเพื่อชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่สองและสามแต่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไปเนื่องจากเป็นทางเข้าไปในป่าดิบ มีสัตว์ป่าออกหากินตลอด หากต้องการเข้าชมควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางเข้าไปเพื่อความปลอดภัย และหากต้องการชมทัศนียภาพของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 ให้สวยงามที่สุด ควรเดินทางมาชมในช่วงกันยายนหรือตุลาคม เนื่องจากจะมีน้ำมาก ตกลงมาเป็นละออง และหากมาชมในช่วงเวลา 10 นาฬิกา จะเป็นเวลาพอเหมาะที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับละอองน้ำตกเกิดเป็นสายรุ้ง โดยรวมความสูงของน้ำตกชั้นที่ 2 และ 3 นี้ประมาณ 150 เมตรน้ำตกผากล้วยไม้ น้ำตกผากล้วยไม้. เกิดจากห้วยลำตะคอง การเดินทางมาจะต้องจอดรถที่ลานกางเต๊นท์ผากล้วยไม้ แล้วเดินเท้าเลาะไปตามห้วยลำตะคอง ผ่านป่าดงดิบตลอดทาง หากโชคดีอาจพบนกบางชนิด เช่น นกกางเขนหลังเทา เมื่อเดินเข้ามาประมาณ 1.2 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกผากล้วยไม้ มีป้ายเขียนเอาไว้ชัดเจน น้ำตกผากล้วยไม้นั้นลักษณะเป็นผาไม่สูงนัก ชื่อน้ำตกผากล้วยไม้นี้มาจากมีกล้วยไม้หลายชนิดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกล้วยไม้หวายแดง ซึ่งจะออกดอกช่วงเดินเมษายน ปกติแล้วนักท่องเที่ยวจะนิยมชมน้ำตกบริเวณด้านนอกเท่านั้น แต่หากเดินเลาะไปตามโขดหินอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะพบน้ำตกชั้นใน ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน และหากเดินเลาะมาตามห้วยลำตะคองเรื่อยๆ ก็จะมาทะลุถึงน้ำตกเหวสุวัตได้น้ำตกเหวสุวัต น้ำตกเหวสุวัต. เป็นน้ำตกอีกแห่งที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเกิดจากห้วยลำตะคองไหลตกผ่านหน้าผาสูงราว 25 เมตร และมีแอ่งน้ำทางด้านล่างเหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างมาก แต่ทางอุทยานแห่งชาติได้มีป้ายประกาศว่าห้ามเล่นน้ำไว้เนื่องจากกลัวอันตรายว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากเฉียบพลัน ในฤดูฝนสายน้ำที่ตกลงมาจะเป็นละอองกระจายเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แต่หากมาในฤดูน้ำน้อย จะสามารถเดินลัดเลาะเพื่อเข้าไปยังโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้หน้าผาน้ำตกได้ บางคนกล่าวไว้ว่า ชื่อน้ำตกเหวสุวัตนี้ เกิดจากมีโจรชื่อสุวัต หนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจนมุมยังน้ำตกแห่งนี้ เลยตัดสินใจกระโดดลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่าง แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น สำหรับห้วยลำตะคองนี้ หลังจากผ่านน้ำตกเหวสุวัตแล้ว ยังมีน้ำตกเหวไทรและน้ำตกเหวประทุนที่อยู่ลึกเข้าไปอีก แต่จะต้องเดินผ่านป่าลึกฝ่าดงทากเข้าไป ควรมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเนื่องจากในป่าลึกนั้นเส้นทางไม่ชัดเจน อาจพลัดหลงได้ง่ายจุดชมวิวผาเดียวดาย จุดชมวิวผาเดียวดาย. อยู่บนยอดเขาเขียว สามารถขับรถยนต์เข้าไปถึงแต่ถนนไม่ค่อยดีนักเนื่องจากมีหินถล่มบ่อยทำให้ผิวถนนเสียหายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ถนนยังชันและเป็นโค้งหักศอกอีกด้วย เมื่อขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาก็จะมีที่จอดรถให้บริเวณใกล้กับผาเดียวดาย ซึ่งระหว่างทางจะเดินผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยเส้นทางนี้มีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณต่างๆ มากมาย ที่น่าสนใจ เช่น ช้องนางคลี หญ้าข้าวกล่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีไม้ใหญ่อื่นๆ ซึ่งมักถูกปกคลุมด้วยมอสเป็นสีเขียวแลดูสดชื่น และยังมีไม้หอมพวกกฤษณาอีกด้วย ใช้เวลาเดินผ่านป่าดิบชื้นนี้ประมาณ 15 นาที ก็จะถึงจุดชมวิวผาเดียวดาย แลเห็นเขาสมอปูนทางขวามือและทุ่งงูเหลือมอยู่ตรงกลาง หากโชคดี เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเดียวดายนี้ อาจพบนกหายากบางชนิด เช่น นกเงือก นกปรอดดำ นกแซงแซวหางบ่วง เป็นต้นจุดชมวิวผาตรอมใจ จุดชมวิวผาตรอมใจ. ตั้งอยู่เลยทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเดียวดายไปอีกเล็กน้อย คือเป็นทางเข้าของศูนย์เรดาร์ของกองทัพอากาศ บริเวณนี้จริงๆ แล้วเป็นเขตทหาร แต่ได้จัดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้บริเวณจุดชมวิวผาตรอมใจ เมื่อมองออกไปจะแลเห็นทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากเป็นเขตทหารและอยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นอีกทั้งการเดินทางมาก็ค่อนข้างลำบากเพราะไกลและถนนไม่ดี มีคนมาน้อย บรรยากาศเงียบสงบจึงมีนกหลายชนิดให้ศึกษา บางวันจะมีช่างภาพพร้อมกล้องถ่ายรูปและเลนส์ขนาดใหญ่สำหรับถ่ายภาพนกมานั่งเงียบๆ คอยนกมาเกาะบนกิ่งไม้แล้วถ่ายภาพ จริงๆ แล้วข้างในศูนย์เรดาร์ยังมีหน้าผาหินอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีวิวสวยไม่แพ้กัน แต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมอ่างเก็บน้ำสายศร อ่างเก็บน้ำสายศร. เป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเพื่อเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่า ดำเนินการสร้างโดยนายบุญเรือง สายศร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่คนแรกเมื่อปี 2524 โดยในช่วงที่สร้างนี้ นายบุญเรืองได้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานในวาระที่ 2 แต่เดิมเรียกกันว่าอ่างเก็บน้ำมอสิงโต โดยเรียกตามชื่อของเขามอสิงโตที่อยู่บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับสิงโต แต่ต่อมาในปี 2550 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอ่างเก็บน้ำสายศรเพื่อเป็นเกียรติแก่นายบุญเรือง สายศร อดีตหัวหน้าอุทยานเขาใหญ่คนแรก (พ.ศ. 2503-2506) ผู้ซึ่งมีส่วนบุกเบิกในการจัดตั้งอุทยาน และไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสิงโตอาศัยอยู่หนองผักชี หนองผักชี. แต่เดิมนั้นเคยมีชาวบ้านขึ้นมาจับจองพื้นที่อาศัยอยู่บนเขาใหญ่ และถางป่าเพื่อปลูกพืชผักบางอย่าง เช่น ผักชี พริก เป็นต้น โดยอาศัยแหล่งน้ำคือหนองผักชีนี้เพื่อการเกษตรกรรม เมื่อทางการได้สั่งให้อพยพออกจากเขาใหญ่ พื้นที่ที่เคยปลูกพืชก็ถูกทิ้งร้างมีหญ้าขึ้นสูง เป็นแหล่งอาหารให้กับสัตว์กินพืชซึ่งจะลงมากินหญ้าที่บริเวณนี้เป็นประจำ ทางอุทยานแห่งชาติได้สร้างหอดูสัตว์หนองผักชีเพื่อใช้ดูสัตว์ที่ลงมากินหญ้า โดยสัตว์มักลงมากินหญ้าตอนเช้าตรู่และตอนเย็นหอดูสัตว์ หอดูสัตว์. ทางอุทยานแห่งชาติได้สร้างขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้ดูสัตว์ที่ลงมากินดินโป่ง มีทั้งหมด 3 แห่งคือ 1. หอดูสัตว์หนองผักชี 2. หอดูสัตว์มอสิงโต 3. หอดูสัตว์คลองปลากั้ง โดยหอดูสัตว์ทั้งหมดนี้จะสร้างใกล้ๆ โป่ง เนื่องจากสัตว์จะลงมากินดินโป่ง ซึ่งโดยมากที่เห็นจะเป็นกวาง ช้างป่ามีบ้างแต่น้อยกว่า และหากโชคดีอาจมีโอกาสได้เห็นกระทิงลงมากินดินโป่งซึ่งหาชมได้ยากมาก โดยโอกาสเห็นกระทิงนั้นจะพบที่หอดูสัตว์คลองปลากั้งมากที่สุดจุดชมทิวทัศน์ กิโลเมตรที่ 30 จุดชมทิวทัศน์ กิโลเมตรที่ 30. หากเดินทางมาจากฝั่งปราจีนบุรี จุดชมวิวนี้เป็นจุดแวะสุดท้ายก่อนจะลงจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไปยังฝั่งอำเภอปากช่อง โดย ณ จุดนี้นักท่องเที่ยวมักนิยมแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนลงจากเขาใหญ่ เนื่องจากจะเห็นวิวข้างหลังยาวออกเป็นเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงาม และในวันที่เงียบสงบ อาจเห็นนกหลายชนิดมาเกาะตามกิ่งไม้ในบริเวณนี้ ซึ่งจะมีช่างภาพมาตั้งกล้องถ่ายภาพนกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ทิวทัศน์ที่แลเห็นได้จากจุดนี้มีดังนี้คือ เขาลูกซ้ายมือคือเขาลูกช้าง มีถ้ำค้างคาวอยู่ เวลาโพล้เพล้อาจเห็นค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเป็นสายเพื่อไปหาอาหาร เห็นเป็นเส้นสีดำเป็นแนวยาวตัดกับขอบฟ้า ทิวเขาที่ไกลที่สุดเป็นแนวยาวนั้นคือ เขาแผงม้าซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร ทุ่งโล่งตรงกลางในเงาเมฆนั้นเป็นร่องรอยการถางป่าเพื่อทำไร่ก่อนจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตรงทุ่งโล่งนี้จะเห็นบ้านคนอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของบ้านท่ามะปราง และทางขวามือจะเห็นยอดเขาเล็กๆ อีกสามสี่ยอด เป็นส่วนหนึ่งของเขากำแพงซึ่งยาวออกไปทางทิศตะวันออก ได้แก่เขาแผงม้า เขาวังหิน เขาผาแจง เขาริมหัว และเขาแสงคำตามลำดับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่. ตั้งอยู่บนหลักกิโลเมตรที่ 23 ของถนนธนะรัชต์ โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำริให้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปลัดจ่าง ผู้ปราบโจรบนเขาใหญ่ได้สำเร็จเมื่อกว่า 70 ปีก่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะอยู่เสมอ และทุกวันที่ 26 มกราคม จะมีพิธีบวงสรวงเพื่อรำลึกถึงพระคุณของปลัดจ่างที่ได้ดูแลพื้นที่บริเวณนี้ในอดีตโป่ง โป่ง. โป่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น โป่งหนองผักชี โป่งช้าง โป่งกระทิง และโป่งชมรมเพื่อนเป็นต้น โดยโป่งชมรมเพื่อนนี้เป็นโป่งเทียม คือมนุษย์เป็นผู้เอาเกลือแร่ไปใส่ไว้ในดินให้สัตว์กินนั่นเอง สร้างตั้งแต่ปี 2517 นอกจากนี้ โป่งธรรมชาติก็จะมีการเติมเกลือแร่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปเกลือแร่ตามธรรมชาติก็จะหมด การเติมเกลือแร่จะทำใหัสัตว์มากินดินโป่งที่โป่งนั้นๆ เหมือนเดิม ทำให้เราสามารถสำรวจและชมสัตว์ป่าได้สะดวกขึ้น และสัตว์ป่าก็ไม่ต้องไปหาโป่งแห่งใหม่ ปัญหาที่สำคัญคือ มนุษย์ได้เข้ามาใกล้โป่งเพื่อดูสัตว์ จะทำให้สัตว์ตื่นกลัวและไม่ลงมากินดินโป่งอีก บางโป่งก็แทบจะกลายเป็นโป่งร้างไป เช่น โป่งหนองผักชี แต่เดิมเคยมีกระทิงลงมากินดินโป่งเป็นประจำแต่ปัจจุบันไม่พบกระทิงลงมากินดินโป่งนี้อีกเลย โดยพบกระทิงที่โป่งหนองผักชีครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2524 รวมความว่าในระยะนี้โป่งหนองผักชีมีสัตว์ออกมากินดินโป่งค่อนข้างน้อยกว่าแต่ก่อนมาก เป็นต้น ตัวอย่างสำคัญที่ยืนยันว่าการรบกวนของมนุษย์มีผลต่อการกินดินโป่งของสัตว์ กล่าวคือ แต่เดิมมีโป่งหนึ่งเป็นโป่งขนาดใหญ่ มีสัตว์หลายชนิดมากินดินโป่งประจำ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นโป่งร้างไปเสียแล้ว คือโป่งเครื่องบินตก โดยได้ชื่อมาจากเครื่องบินของสายการบินอาหรับได้เกิดอุบัติเหตุตกในบริเวณนี้ (ตรงกับบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 บนถนนธนะรัชต์) มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 คน เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ถางป่าเป็นทางเพื่อลำเลียงศพผู้เคราะห์ร้ายออกมาจากซากเครื่องบิน และภายหลังจากนั้นได้ตัดเส้นทางจากที่ถางป่าเข้าไปยังซากเครื่องบินตกแล้วตัดไปยังน้ำตกเหวสุวัตเพื่อเป็นเส้นทางเดินป่า รวมถึงมีการสร้างห้างไว้ดูสัตว์เวลากลางคืนบริเวณโป่งเครื่องบินตกนี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เป็นการรบกวนสัตว์ป่า ส่งผลโป่งเครื่องบินตกกลายเป็นโป่งร้างไปในที่สุดการเดินทาง การเดินทาง. การเดินทางมายังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สามารถเดินทางได้ 2 ทางดังนี้ 1. ขึ้นเขาฝั่งปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางดั้งเดิม สร้างตั้งแต่ปี 2505 โดยเดินทางผ่านถนนมิตรภาพ เมื่อถึงช่วงอำเภอปากช่องจะมีทางแยกเข้าถนนธนะรัชต์ จากถนนมิตรภาพเข้ามาตามถนนธนะรัชต์ประมาณ 20 กิโลเมตรก็จะถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งใกล้กันนั้นเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ หรือปลัดจ่างผู้ปราบโจรบนเขาใหญ่เมื่อ 80 ปีก่อน โดยจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมนี้ ต้องเดินทางไปอีกประมาณเกือบ 20 กิโลเมตรจึงจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เส้นทางนี้ค่อนข้างชันเมื่อเทียบกับเส้นใหม่ที่ขึ้นเขาฝั่งปราจีนบุรี สองข้างทางเป็นป่าดิบ มีดงเสือ ดงงูเห่า และดงช้างเป็นต้น ซึ่งนานๆ ครั้ง อาจเห็นสัตว์ออกมาเดินบนถนนใหญ่ โดยเฉพาะลิงซึ่งอาจมีมากเป็นร้อยตัวและมีกีดขวางการจราจร ควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมากเนื่องจากมีอุบัติเหตุขับรถชนลิงอยู่บ่อยๆ 2. ขึ้นเขาฝั่งปราจีนบุรี เป็นทางที่ตัดขึ้นใหม่ในปี 2525 ซึ่งหากเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครแล้ว นับว่าสะดวกและใกล้กว่าทางฝั่งปากช่อง อีกทั้งทางขึ้นยังชันน้อยกว่าเล็กน้อย โดยขับรถมาทางถนนรังสิต-นครนายก เมื่อถึงตัวเมืองนครนายกให้เลี้ยวเข้าถนนสุวรรณศร (หมายเลข 33) ไปทางปราจีนบุรี เดินทางมาจนกระทั่งถึงวงเวียนให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนปราจีนบุรี-เขาใหญ่ ซึ่งนับจากวงเวียนนี้ จะห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 40 กิโลเมตร แต่หากมาจากทางนี้จะใกล้น้ำตกเหวนรกมากกว่า เส้นทางฝั่งนี้ไม่ค่อยมีสัตว์มากเท่ากับฝั่งปากช่อง แต่มีลิงมากพอๆ กัน ซึ่งควรขับรถด้วยความระมัดระวังเช่นกันสิ่งอำนวยความสะดวกที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวก. ที่พัก. มีบ้านพัก บ้านพักเรือนแถว และค่ายพักแรม ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว จำนวน 4 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พื้นที่บนเขา-จุดชมทิวทัศน์ พื้นที่ค่ายสุรัสวดี และพื้นที่บ้านธนะรัชต์ แต่ละเขตอยู่ห่างกันพอสมควร ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่จองที่พัก-บริการไว้แล้ว ควรติดต่อที่เจ้าหน้าที่งานบ้านพักและบริการของอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้มอบกุญแจที่พัก แนะนำเส้นทางเข้าที่พัก และคำแนะนำอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ก่อนเข้าพักสถานที่กางเต็นท์ สถานที่กางเต็นท์. มีลานกางเต็นท์ตามจุดต่าง ๆ และมีเต็นท์ให้เช่า การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรงร้านอาหาร ร้านอาหาร. เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น. ในวันจันทร์ - ศุกร์ และเวลา 07.00 - 21.00 น. ในวันเสาร์ - อาทิตย์ มีจำนวน 5 แห่ง คือ1. บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2. บริเวณจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ 3. บริเวณจุดกางเต็นท์ลำตะคลอง 4. บริเวณน้ำตกเหวสุวัต 5. บริเวณน้ำตกเหวนรกศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว. ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีขนาดใหญ่พอที่จะรับนักท่องเที่ยวได้ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 150 คน บริเวณนี้มีห้องประชุมซึ่งสามารถบรรจุคนได้ถึง 100 คน ใช้สำหรับเป็นที่ประชุมบรรยาย ฉายภาพนิ่ง และภาพยนตร์ระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปโภค. มีถนนระบบสองทางเชื่อมโยงจากการบริการ ไปยังจุดท่องเที่ยวและนันทนาการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ความยาวรวมกันกว่า 86 กิโลเมตร มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ตลอด 24 ชั่วโมงสุขา สุขา. มีสุขาบริการตามจุดบริการนักท่องเที่ยว และบริเวณลานกางเต็นท์
| ยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในไทยมีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"เขาร่ม"
],
"answer_begin_position": [
3473
],
"answer_end_position": [
3479
]
} |
2,079 | 1,901 | พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวาย ในปี พ.ศ. 2524 และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ในปี พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปี 4 เดือน 4 วัน ที่ทรงครองราชย์ เกิดรัฐประหารโดยกองทัพ 11 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 16 ฉบับ และนายกรัฐมนตรี 27 คน ประชาชนชาวไทยจำนวนมากเคารพพระองค์ อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อปี พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ กับทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนหนึ่งด้วย ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง) สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใช้สินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ นับแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมพรรษาพระราชประวัติพระราชสมภพ พระราชประวัติ. พระราชสมภพ. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า เบบี สงขลา () ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก" พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล" ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด พระนามของพระองค์มีความหมายว่า- ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" - อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้" เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษาการศึกษา การศึกษา. พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ () เมืองชายี-ซูร์-โลซาน () เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช" เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481 พระองค์ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นเวลา 2 เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึง พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากโรงเรียนฌีมนาซกลาซิกก็องตอนาลเดอโลซาน () แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวังทรงประสบอุบัติเหตุ ทรงประสบอุบัติเหตุ. หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก ในขณะนั้น ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและ 15 พรรษาตามลำดับ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งก่อนหน้าพระองค์เคยชอบพอกับหม่อมราชวงศ์สุพิชชา โสณกุล แต่ไม่ถึงขั้นหมั้นหมายกันพระมหากษัตริย์ไทยเสวยราชย์และทรงอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ไทย. เสวยราชย์และทรงอภิเษกสมรส. วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ในวันเดียวกัน รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เดิมทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงครองราชสมบัติ แต่ในช่วงการจัดงานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชประทับรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบชายคนเดิมนั้นในอีก 20 ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2493 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จอมพล แปลกมีแนวคิดชาตินิยมอย่างรุนแรง และประสงค์ให้ประเทศไทยเจริญเสมอนานารยประเทศ จอมพล แปลกมีนโยบาย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ และไม่สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และควบคุมการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์ผนวช ผนวช. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม–5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้น พระองค์เสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ผนวชนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกัน ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า–เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัยนอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอื่น ๆ เช่นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในวันที่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในโอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย อนึ่ง ในการทรงพระผนวชครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และถวายฐานันดรศักดิ์ เป็น กรมหลวงขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและจอมพล แปลกมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในโอกาสฉลองพุทธศตวรรษ พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จมาทรงเป็นประธานซึ่งก็ทรงตอบรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ครั้นถึงวันงานทรงพระประชวรปัจจุบันทันด่วน ทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเป็นประธานเปิดพิธีเอง และในเดือนสิงหาคมปีดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาโจมตีรัฐบาลของจอมพล แปลกว่าละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งข่าวการระหองระแหงกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและรัฐบาลดังกล่าว ทำให้สาธารณะเริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล แปลกได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเตือนจอมพล แปลกว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลกปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการฉบับหลังมีความว่าสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์. เมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจแล้ว รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จออกประชาชนเป็นอันมาก ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย โดยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศให้นำประเพณีหมอบกราบเข้าเฝ้า ซึ่งเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับมาใช้ใหม่ กับทั้งประกาศให้สถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้นซ้ำด้วย นอกจากนี้ นับตั้งแต่การปฏิวัติสยาม 2475 สืบมา ประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน พิธีกรรมตามโบราณประเพณีหลายอย่างของราชวงศ์จักรี เช่นพิธีกรรมพืชมงคล ก็มีประกาศให้ฟื้นฟู วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ 24 มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วยเมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม 2506 สำนักพระราชวังก็มีประกาศให้จัดการไว้ทุกข์ในพระราชวังเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวัน และศพจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับพระราชทานฉัตรห้าชั้น ซึ่งปรกติเป็นเครื่องยศของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า กางกั้นตลอดระยะเวลาไว้ศพ ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลยสมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร สมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร. หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2506 จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดมา และจอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สืบนโยบายราชานิยมของจอมพล สฤษดิ์ต่อมาอีกกว่าทศวรรษ ซึ่งเดือนตุลาคม 2516 ในการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาล และมีผู้ตายเป็นจำนวนมหาศาลอันเนื่องมาจากการปราบปรามของรัฐบาลนั้น พระองค์ได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพระทวารพระตำหนักจิตรลดารโหฐานรับผู้ชุมนุมที่หนีตายเข้ามา และพระราชทานพระราชโอกาสให้เหล่าผู้ชุมนุมเฝ้า ต่อมา ก็ทรงตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้ลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ตามลำดับ ครั้งนั้น สัญญา ธรรมศักดิ์ จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนสำเร็จเป็นครั้งแรก ทว่า ไม่ช้าไม่นานต่อมาใน พ.ศ. 2519 จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สามารถเข้าประเทศโดยบวชเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้าง วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ไม่อาจจัดการอะไรได้ จึงขอลาออก และเมื่อเวลา 21.30 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จไปวัดบวรนิเวศ ไม่นานให้หลัง เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งกองกำลังติดอาวุธสังหารหมู่ผู้ประท้วงล้มตายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์. ในความโกลาหลครั้งนั้น ฝ่ายทหารก็เข้ายึดอำนาจอีกครั้ง และเสนอนามบุคคลสามคนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกอบด้วย ประกอบ หุตะสิงห์ ประธานศาลฎีกา, ธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยความที่ธานินทร์ กรัยวิเชียร มีเกียรติคุณดีที่สุด จึงได้รับการโปรดให้เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์มีพระราชดำรัสในพิธีประดับยศนายทหารชั้นนายพล เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2519 ความตอนหนึ่งว่า เดือนกันยายน 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ เสด็จพระราชดำเนินปฏิบัติพระราชกรณียกิจในจังหวัดภาคใต้ ในวันที่ 22 กันยายน 2520 เวลา 15.15 น. ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ประทับบนพลับพลาที่ประทับ ซึ่งมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จฯราว 30,000 คน ก็ได้มีราษฏรที่มาเฝ้ารับเสด็จฯไปหยิบไฟแช็คดังกล่าวเป็นเหตุให้ระเบิดลูกแรกเกิดระเบิดขึ้น ราษฏรต่างพากันแตกตื่นและเหยียบกับระเบิดลูกที่สอง ทำให้ระเบิดลูกที่สองเกิดระเบิดขึ้น ระเบิดลูกแรกห่างจากพลับพลาที่ประทับ 60.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 5.20 เมตร และระเบิดลูกที่สองห่างจากพลับพลาที่ประทับ 105.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 6.00 เมตร แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 55 คน บาดเจ็บสาหัส 11 คน ขณะที่เกิดความโกลาหลนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาลูกเสือชาวบ้านได้เข้าระงับควบคุมฝูงชนอย่างฉับพลัน มีการใช้เครื่องขยายเสียงแบบมือถือที่เตรียมไว้แล้วปลอบโยนประชาชนมิให้ตื่นตระหนกและให้อยู่กับที่ ขณะเดียวกันก็มีการลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มิได้ทรงรับบาดเจ็บใด ๆ ขณะเกิดเหตุนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยืนประทับอยู่กับที่และทอดพระเนตรมองเหตุการณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยืนรายล้อมถวายการอารักษา ในขณะที่พิธีการต้องหยุดชะงักชั่วครู่ ทั้งนี้ก่อนหน้าเหตุระเบิดราวราว 20 ชั่วโมง ก็ได้มีตำรวจขับรถจักรยานยนต์ฝ่าสัญญาณไฟจราจรพุ่งชนรถยนต์พระที่นั่งจนเกิดไฟลุกท่วม ภายหลังเกิดเหตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่อไป โดยมิได้แสดงพระอาการปริวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำรัสให้ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งไม่ตื่นเต้นต่อสถานการณ์ เมื่อจบคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาฯทรงนำเหล่าราษฎรร้องเพลง “เราสู้” และภายหลังเสร็จพระราชกรณียกิจ เวลา 18.55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลจังหวัดยะลา ธานินทร์ กรัยวิเชียรมีแนวคิดขวาจัด ทำให้เหล่านักศึกษาหนีเข้าป่าไปรวมกลุ่มกับพวกคอมมิวนิสต์ รัฐบาลของธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงถูกรัฐประหารนำโดย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ใน พ.ศ. 2523 และคณะรัฐประหารก็ตั้งพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะนั้น กองกำลังที่นิยมรัฐบาลได้เข้ายึดกรุงเทพมหานคร ทว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธไม่รับรอง การก่อการครั้งนี้จึงกลายเป็นกบฏที่รู้จักในชื่อ "กบฏเมษาฮาวาย" และนำไปสู่ "กบฏทหารนอกราชการ" ในเวลาต่อมาพฤษภาทมิฬ พฤษภาทมิฬ. รัฐประหารของคณะทหารเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 นำประเทศไทยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอีกครั้ง ซึ่งหลังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปแล้ว พรรคการเมืองที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือพรรคสามัคคีธรรม จำนวนเจ็ดสิบเก้าคน ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีการเตรียมเสนอ ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนราษฎรมากที่สุดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่ามาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา ได้แถลงว่า ณรงค์เป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด พลเอก สุจินดา คราประยูร หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งเคยตกปากว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ภายหลังจากเลือกตั้งอีกเพื่อตัดข้อครหาบทบาทของทหารในรัฐบาลพลเรือน กลับยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสร้างความไม่พอใจท่ามกลางประชาชนเป็นอันมาก นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชน โดยมีร้อยตรี ฉลาด วรฉัตร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เป็นแกนนำ ซึ่งรัฐบาลของพลเอก สุจินดาได้สั่งให้ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงโดดเฉียบขาด กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดในที่สุด และมีผู้คนเสียชีวิต เมื่อฝ่ายทหารเปิดการโจมตีผู้ชุมนุม เหตุการณ์ดิ่งสู่ความรุนแรงเรื่อย ๆ เมื่อกำลังทหารและตำรวจเข้าควบคุมกรุงเทพมหานครเต็มที่ และท่ามกลางเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเข้าแทรกแซง โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติ ณ จุดสูงสุดของวิกฤติการณ์ ปรากฏภาพพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้าผู้ประท้วง เฝ้าทูลละอองพระบาทโดยหมอบกราบ และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้งทั่วไปรัฐประหาร พ.ศ. 2549 รัฐประหาร พ.ศ. 2549. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานสภาองคมนตรี และรัฐบุรุษ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ และพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายรายงานสถานการณ์ การปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อเวลา 00.19 น. วันพุธที่ 20 กันยายน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อันมีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้สึกรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนส่วนหนึ่งเคลือบแคลงสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานอิสระ ถูกการเมืองครอบงำ ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ แม้หลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ เดิม คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Council for Democratic Reform under Constitutional Monarchy (อักษรย่อ CDRM) ต่อมาได้ตัดคำว่า under Constitutional Monarchy ออก เพื่อไม่ให้สื่อต่างประเทศนำไปตีความว่า คณะปฏิรูปฯ เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น Council for Democratic Reform (อักษรย่อ CDR) โดยยังคงใช้ชื่อภาษาไทยตามเดิม นอกจากนี้ ในวันที่ 22 กันยายน โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก แพร่ภาพพิธีรับพระบรมราชโองการ แต่งตั้งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่พลเอก สนธิ ซึ่งมีข้อสังเกตว่าประกาศฉบับดังกล่าว มีพลเอก สนธิเอง ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และลงวันที่ 20 กันยายน ขณะที่พิธีรับพระบรมราชโองการนั้น จัดให้มีขึ้นต่อมาในภายหลัง หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดย หัวหน้า คปค. ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549. การตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาติ นักวิชาการไทยคนหนึ่งว่า "การถือภาพลวงว่าพระมหากษัตริย์ได้รับการเทิดทูนถ้วนหน้ายิ่งยากขึ้นทุกที" ในเดือนเมษายน 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมวางแผนรัฐประหาร เป็นองคมนตรี ในห้วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พระองค์ทรงแต่งตั้งพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้นำรัฐประหารปี 2549 เป็นองคมนตรี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้พระราชทานสัมภาษณ์ในรายการโดยอ้างว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสียพระทัยต่อเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ใจความตอนหนึ่งว่า อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิได้ทรงตอบรับข้ออ้างของพระธิดาต่อสาธารณชนว่าเป็นจริงหรือเท็จ นอกจากนี้ พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาส หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพระพลานามัยปลายพระชนม์ พระพลานามัยปลายพระชนม์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อไมโคพลาสมา ราวปี พ.ศ. 2530 เสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2538 นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการรักษา ต่อมาจนถึงเดิอนสิงหาคม พ.ศ. 2556 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ จนกระทั่งวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถอีกครั้ง แต่เสด็จฯไปประทับได้ไม่นาน ก็ทรงกลับมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดระยะเวลาที่ทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ดีขึ้นและทรุดลงเป็นครั้งคราว โดยพระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระองค์คือการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายคือการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559พระพลานามัยปลายพระชนม์ พระพลานามัยปลายพระชนม์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อไมโคพลาสมา ราวปี พ.ศ. 2530 เสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2538 นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการรักษา ต่อมาจนถึงเดิอนสิงหาคม พ.ศ. 2556 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ จนกระทั่งวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ ตลอดระยะเวลาที่ทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ดีขึ้นและทรุดลงเป็นครั้งคราว โดยพระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระองค์คือการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายคือการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559เสด็จสวรรคต เสด็จสวรรคต. ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระปรอทต่ำ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะ พระปับผาสะซ้ายอักเสบ มีพระโลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะเล็กน้อย คณะแพทย์จึงทำการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะ และใช้สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำเพื่อฟอกพระโลหิต แต่มีพระความดันพระโลหิตต่ำจึงใช้เครื่องช่วยหายพระทัย พระอาการไม่คงที่ ก่อนที่พระอาการจะทรุดลงไปอีก มีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา 15.52 น. รวมพระชนมายุ 88 พรรษา ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเคลื่อนพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปยังพระบรมมหาราชวัง มีพระราชพิธีถวายสรงน้ำพระบรมศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา มีการเชิญพระบรมศพลงสู่พระหีบ ประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศทองใหญ่ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา 30 วัน และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐไว้ทุกข์ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560สถานะพระมหากษัตริย์ สถานะพระมหากษัตริย์. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ จอมทัพไทย และอัครศาสนูปถัมภก และเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในรัชสมัยของพระองค์ เกิดรัฐประหาร 11 ครั้ง เหตุการณ์กบฏ 9 ครั้ง เหตุการณ์การก่อการกำเริบโดยประชาชนจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล 2 ครั้งได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลา และ พฤษภาทมิฬ รัฐธรรมนูญ 16 ฉบับ และการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี 26 คน ตามรัฐธรรมนูญไทย พระองค์ทรง "ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" แต่พระองค์เคยมีพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2548 ว่า "...แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น ...ฉะนั้น ที่บอกว่าการวิจารณ์ เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบ้อม คือ ขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญว่ายังงั้น ลงท้าย พระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก"บทบาททางการเมืองไทย บทบาททางการเมืองไทย. พระองค์ทรงมีบทบาทในการเมืองไทยหลายครั้ง ได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏยังเติร์ก ในปี พ.ศ. 2524 และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ หัวหน้าคณะยึดอำนาจนอกเหนือจากนี้มิได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ยกเว้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 บทบาททางการเมืองที่สำคัญของพระองค์ อาทิ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 และเมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจ รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จออกประชาชนเป็นอันมาก ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย นอกจากนี้วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ 24 มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วย ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลย และยังเป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในพฤษภาทมิฬ โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติ และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้งทั่วไป ในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทำการบันทึกภาพและเสียงระหว่างการเข้าเฝ้าของพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะ ในช่วงหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 การตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาติ นอกจากนี้ พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาสอำนาจตามรัฐธรรมนูญ อำนาจตามรัฐธรรมนูญ. อำนาจตามรัฐธรรมนูญของพระองค์มักเป็นที่ถกเถียงกัน บางส่วนเพราะความเป็นที่นิยมอย่างล้นหลามของพระองค์และบางส่วนเป็นเพราะอำนาจของพระองค์มักถูกตีความขัดกันแม้จะมีนิยามอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นการแต่งตั้งจารุวรรณ เมณฑกาเป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ทว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งเธอขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาเลือกผู้ดำรงตำแหน่งแทนจารุวรรณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธเขา วุฒิสภาปฏิเสธลงคะแนนยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ สุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้จารุวรรณกลับเข้ารับตำแหน่ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการอธิบายว่ากรณีนี้เป็นความพยายามของวุฒิสภาเพื่อบีบบังคับให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทำตามความปรารถนาของพวกตน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเฉพาะว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจเงินแผ่นดินตามคำแนะนำของวุฒิสภา การพ้นจากตำแหน่งจึงต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายน้อยครั้ง พอล แฮนด์ลีย์เขียนใน เดอะคิงเนเวอร์สไมล์ ว่าในปี พ.ศ. 2519 เมื่อรัฐสภาลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อขยายการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสู่ระดับอำเภอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยกฎหมาย รัฐสภาไม่ยอมออกเสียงยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่รัฐสภาเห็นชอบสองครั้งก่อนทรงยินยอมลงพระปรมาภิไธย บางทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ยับยั้งการตรากฎหมาย เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มาตรา 107 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย แต่ก็ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งโดยตรง เพียงแต่มีพระราชกระแสท้ายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับมาตรา 107 วรรค 2 แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งขัดกับหลักที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเสมือนเป็นองค์กรทางการเมือง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญอภัยโทษอาชญากร แม้มีเกณฑ์หลายข้อสำหรับการได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งรวมอายุและโทษที่ยังเหลืออยู่ การอภัยโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราและช่างภาพเปลือยเด็กชาวออสเตรเลียผู้หนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดข้อโต้เถียงภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์. พระองค์ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "สมเด็จพระภัทรมหาราช" หมายความว่า "พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง" ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 มีการถวายใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช" และ "พระภูมิพลมหาราช" อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช" ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ว่า "ในหลวง" ซึ่งคาดว่าย่อมาจาก "ใน (พระบรมมหาราชวัง) หลวง" หรืออาจออกเสียงเพี้ยนมาจากคำว่า "นายหลวง" ซึ่งแปลว่าเจ้านายผู้เป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงออกผนวช ทรงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง และนอกจากนี้ยังเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาอย่างเสมอภาค ทรงสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้แปลพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจัดตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4400 โครงการ นอกจากนี้ยังเสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญที่สุดจนทำให้พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทย คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระองค์ได้ปฏิบัติพระองค์เองเป็นแบบอย่าง โปรดให้มีการการปลูกข้าว การเลี้ยงโคนม การเพาะพันธุ์ปลานิลขึ้นในสวนจิตรลดา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการประหยัด ตัวอย่างเช่น ทรงใช้ดินสอเดือนละ 1 แท่ง หรือการใช้ยาสีพระทนต์จดหมดหลอด นอกจากนั้นยังไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับใด ๆ เลย ยกเว้นแต่นาฬิกาข้อมือ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ โรงเรียน องค์การและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 1000 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือการเสด็จไปประทับ ณ วังไกลกังวลและสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือคุณทองแดง สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสวยพระกระยาหารร่วมกัน ความนิยมในพระองค์ปรากฏให้หลังเหตุจลาจลในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ. 2546 เมื่อผู้ประท้วงชาวไทยหลายร้อยคนซึ่งโกรธจากข่าวลือว่าผู้ก่อจลาจลชาวกัมพูชาย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมนอกสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์จบลงอย่างสันติก็เมื่อพลตำรวจเอก สันต์ ศรุตานนท์ บอกฝูงชนว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากราชเลขานุการ อาสา สารสิน ถ่ายทอดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงขอให้สงบ ฝูงชนจึงสลาย ประเพณีหมอบกราบเบื้องหน้าพระมหากษัตริย์ซึ่งเคยเลิกไปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้รับการฟื้นฟูในรัชกาลของพระองค์ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดอยู่หน้าอาคารรัฐบาล ทางเข้าท่าอากาศยาน ธนาคารพาณิชย์ และโดยมารยาทในสำนักงานและโรงเรียนชีวิตส่วนพระองค์กีฬา ชีวิตส่วนพระองค์. กีฬา. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13ดนตรี ดนตรี. พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คราริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพันธ์แสงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ยิ้มสู้ ค่ำแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือพรปีใหม่ เป็นต้นพระราชทรัพย์ พระราชทรัพย์. พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของที่ดินและหุ้น โดยแบ่งออกได้เป็นส่วน ๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อโครงการพระราชดำริจำนวนกว่า 4,000 โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาภายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภค และการศึกษาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์. สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการแก้ไข สองครั้งในปี พ.ศ. 2484 และ พ.ศ. 2491 ซึ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากกัน ข้ออ้างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 กำหนดให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 มี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คนแรกและอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คนสุดท้ายตามกฎหมายพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง เพื่อการนั้น จึงมีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นเรียก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น ทั้งนี้บริษัทซีบีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ที่ 32,500 ไร่ โดยในบางพื้นที่มีมูลค่าสูงกว่า 380 ล้านบาทต่อไร่ ทำให้พระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชี้แจงถึงบทความดังกล่าวว่า "มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง ทรัพย์สินที่นับมาประเมินนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์"ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระองค์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงทุนส่วนพระองค์เอง โดยมีการแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกจากสำนักงานพระคลังข้างที่ และตั้งสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ขึ้น โดยมี “ผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดว่าการดูแลรักษาและการจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย” ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ยังหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่าง ๆ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นต้องเสียภาษีอากรตามปกติไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี มูลนิธิอานันทมหิดล กล่าวว่า พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากแก่ โครงการพระราชดำริ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ การกุศล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บิลเลียนแนส์นิวส์ไวร์ (Billionaires NewsWire) ชี้ว่าพระองค์ทรงมีทองคำและเครื่องประดับจำนวนมาก คือ ทองคำ 9,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐรถยนต์พระที่นั่งรถยนต์พระที่นั่ง. 1. มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน ร.ย.ล.1 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่ง โดยได้จัดซื้อมาใช้ แทนรถยนต์พระที่นั่ง โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ซิกซ์ (VI) ที่ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งทรงมานานถึง 30 ปี 2. มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน 1ด-1992 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งสำรอง 3. คาดิลแลค ดีทีเอส เลขทะเบียน ร.ย.ล.960 ทรงใช้ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ 4. มายบัค 62 สีน้ำเงิน ตัดด้วยสีทอง เลขทะเบียน 1ด-1991 5. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T5 TDi เลขทะเบียน 1ด-3901 6. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T5 TDi เลขทะเบียน 1ด-4901 7. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T4 TDi เลขทะเบียน 1ด-0968การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์. ทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เฉพาะที่ถือครองหุ้นเกิน 0.5% (มูลค่า ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558)พระพุทธรูปประจำพระองค์ พระพุทธรูปประจำพระองค์. พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ภายใต้ฉัตร 5 ชั้น หน้าตักกว้าง 7 นิ้ว ความสูงยอดพระรัศมี 9 นิ้ว ทรงพัดแฉก หล่อด้วยเงิน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2506 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ตั้งการฉลองสมโภชพระพุทธรูปประจำประชนมวาร ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อเสร็จการแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ประดิษฐานไว้กับพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร ปัจจุบันอัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระราชพิธีสงกรานต์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งเป็นปางประจำวันจันทร์พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี พระราชกรณียกิจ. ด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี. พ.ศ. 2503 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาใหม่หลังจากที่ได้เลิกร้างไปตั้งแต่ พ.ศ. 2479 และประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้รับการฟื้นฟูเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ประวัติศาสตร์ไทย สถาปัตยกรรม จิตรกรรม นาฏศิลป์ การดนตรีและศิลปะอื่น ๆ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดทำโน้ตเพลงไทยตามระบบสากลและจัดพิมพ์ขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยหาระดับเฉลี่ยมาตรฐานของเครื่องดนตรีไทย ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชนิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน เรื่อง ทองแดง เป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง เป็นต้นด้านการพัฒนาชนบท ด้านการพัฒนาชนบท. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดรัชสมัยไปกับการเสด็จฯเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ทุกภูมิภาคของประเทศ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยเฉพาะในแทบที่ชนบททุรกันดาร เพื่อทรงเยี่ยมเยียน ซักถามเรื่องความเป็นอยู่และสารทุกข์สุกดิบของประชาชน นอกจากนี้พระองค์จะทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆด้วยพระองค์เองด้วยแผนที่หรือเอกสารต่างๆ ทำให้ทรงรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หลังจากนั้นพระองค์ก็จะทรงคิดค้นแนวทางพระราชดำริเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆในแต่ละพื้นที่ พระองค์จะทรงพัฒนาชนบทในรูปโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีจุดประสงค์ คือ การพัฒนาบทเพื่อให้ราษฎรในชนบทได้มีความเป็นอยู่ตลอดจนสามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงครอบครัวให้ดีขึ้น แนวพระราชดำริที่สำคัญในเรื่องการพัฒนาชนบท คือมีพระราชประสงค์ช่วยให้ชาวชนบทสามารถช่วยเหลือพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อการผลิตให้แก่ราษฎรเหล่านั้น ทรงส่งเสริมให้ชาวชนบทมีความรู้ในการประกอบอาชีพตามแต่ละท้องถิ่น นอกจากนี้ยังทรงหาทางนำเอาวิทยาการสมัยใหม่มาประยุกต์กับภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการเกษตรและชลประทาน ด้านการเกษตรและชลประทาน. ในด้านชลประทาน พระองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยทรงคิดค้นโครงการตามพระราชดำริของพระองค์ มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน เมื่อคราวเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2538 พระองค์ทรงมีพระราชดำริเรื่องแก้มลิง ควบคุมการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน ลำคลองต่าง ๆ ลงสู่อ่าวไทย พระองค์ทรงประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศ กังหันชัยพัฒนา ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่มออกซิเจน เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชใหม่ ๆ ตลอดจนการศึกษาแมลงศัตรูพืช และพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่เกษตรกรควรมีรายได้จากกิจกรรมอื่นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง พระองค์ยังทรงคิดค้นการแก้ปัญหาทรัพยากรทางการเกษตรหลายอย่างที่สำคัญ เช่น การแกล้งดิน เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวหรือดินเป็นกรด จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้ การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ พระองค์ทรงส่งเสริมการเลี้ยงปลานิล ทรงจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชและปศุสัตว์ รวมถึงการการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิตเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลด้านการแพทย์ ด้านการแพทย์. โครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในระยะแรกล้วนแต่เป็นโครงการด้านสาธารณสุข ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรตามท้องที่ต่าง ๆ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และล้วนเป็นอาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์พร้อมให้การรักษาพยาบาลราษฎรผู้ป่วยไข้ นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทานซึ่งเป็นพระราชดำริให้ทันตแพทย์อาสาสมัครเดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟันโดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทางไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วยด้านการศึกษา ด้านการศึกษา. พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพระราชทานทุนแก่นิสิตนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเด่นในด้านต่างๆ ให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้มีโอกาสไปศึกษาหาความรู้วิชาการชั้นสูงในต่างประเทศ และนำความรู้นั้นกลับมาใช้พัฒนาบ้านเมือง ส่วนในประเทศพระองค์ทรงให้การอุปถัมป์ในด้านต่างๆ เช่น ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียน โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการจัดการบริหารทางการศึกษา แบบให้เปล่าตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในลักษณะทั้งอยู่ประจำและไปกลับแบ่งเป็น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน 26 โรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จำนวน 14 โรงเรียน พระองค์ยังได้จัดสร้างโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเพื่อเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในวิชาการทุกสาขา ได้จัดทำหนังสือสารานุกรมไทยที่บรรจุความรู้ใน 7 สาขาวิชา โดยแต่ละเล่มได้จัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามพื้นฐานของตน นอกจากนี้ตลอดรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เหล่านิสิตผู้สำเร็จการศึกษาด้านการต่างประเทศ ด้านการต่างประเทศ. ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 27 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยทรงเสด็จเยือนประเทศเวียดนามใต้ อย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรก ซึ่งหลังจากการเสด็จเยือนประเทศแคนาดา เมื่อปี พ.ศ. 2510 พระองค์ก็มิได้ทรงเสด็จเยือนประเทศไหนอีกเลย กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2537 ทรงเสด็จเยือนประเทศลาว ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์ ในภายหลังพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยหลายครั้ง ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทยและถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ รวมทั้งพระองค์จะมีพระราชสานส์ถึงผู้นำประเทศต่างๆทั้งการแสดงความยินดีและแสดงความเสียพระราชหฤทัยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นจากพระดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆภายในประเทศทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและแก้ไขปัญหาระยะยาวทรงเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2493 ตลอดรัชสมัยมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด 4,447 โครงการ โดยมีหน่วยงานราชการพิเศษที่ประสานงานโครงการ คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยแต่ละโครงการจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป โครงการเพื่อการส่งเสริมและวิจัย เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา, มูลนิธิโครงการหลวง, โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการเกี่ยวกับน้ำ เช่น โครงการแก้มลิง, โครงการฝนหลวง, กังหันชัยพัฒนา โครงการเกี่ยวกับการเกษตร เช่น โครงการแกล้งดิน โครงการอื่นๆ เช่น โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะแถบชนบท นอกจากนี้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริยังได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาสาขาสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2531 อีกด้วยพระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศพระบรมราชอิสริยยศพระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ. พระบรมราชอิสริยยศ. - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2478) - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 — 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) - สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 — 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493) - พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร (5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559)รางวัล รางวัล. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากบุคคลและคณะบุคคลในประเทศและต่างประเทศ อันเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจและพระราชอัธยาศัยในการแสวงหาความรู้ ที่สำคัญเป็นต้นว่า- ประธานรัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรัฐสภายุโรป" (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519) - ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสันติภาพของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลสันติภาพ" (9 กันยายน พ.ศ. 2529) - สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณในการนำชนบทให้พัฒนา" (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2530) - ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองประกาศพระเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม" (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535) - ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน" (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535) - คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล (International Society of Chemical Ecology) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลเทิดพระเกียรติในการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ" (26 มกราคม พ.ศ. 2536) - หัวหน้าสาขาเกษตร ฝ่ายวิชาการภูมิภาคเอเชียของธนาคารโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลหญ้าแฝกชุบสำริด" สดุดีพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำ (30 ตุลาคม พ.ศ. 2536) - ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด" (12 ธันวาคม พ.ศ. 2537) - องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร" (6 ธันวาคม พ.ศ. 2539) - สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" จากการที่ได้ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและทรงพระวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาตลอดพระชนม์ชีพ (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549) - ในปี พ.ศ. 2550 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) แถลงข่าวการทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา" (Global Leaders Award) โดยนายฟรานซิส เกอร์รี่ ผู้อำนวยการใหญ่เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระราชวังไกลกังวล ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงมีบทบาทและผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่โดดเด่น และพระองค์ทรงเป็นผู้นำโลกคนแรกที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลดังกล่าว - วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) นำโดยอดีตเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) เป็นพระองค์แรกของโลก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นผู้ที่ได้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเป็นสถิติโลกถึง 176 ฉบับ ใน พ.ศ. 2555 โดยทรงได้รับมอบถวายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่พระยศทหารพระยศทหาร. - พ.ศ. 2493: จอมพล, จอมพลเรือ, จอมพลอากาศพระบรมราชานุสรณ์พระราชสันตติวงศ์พงศาวลี
| พระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทยมีพระนามว่าอะไร | {
"answer": [
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช"
],
"answer_begin_position": [
150
],
"answer_end_position": [
189
]
} |
2,080 | 1,901 | พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวาย ในปี พ.ศ. 2524 และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ในปี พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปี 4 เดือน 4 วัน ที่ทรงครองราชย์ เกิดรัฐประหารโดยกองทัพ 11 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 16 ฉบับ และนายกรัฐมนตรี 27 คน ประชาชนชาวไทยจำนวนมากเคารพพระองค์ อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อปี พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ กับทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนหนึ่งด้วย ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง) สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใช้สินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ นับแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมพรรษาพระราชประวัติพระราชสมภพ พระราชประวัติ. พระราชสมภพ. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า เบบี สงขลา () ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก" พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล" ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด พระนามของพระองค์มีความหมายว่า- ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" - อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้" เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษาการศึกษา การศึกษา. พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ () เมืองชายี-ซูร์-โลซาน () เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช" เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481 พระองค์ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นเวลา 2 เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึง พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากโรงเรียนฌีมนาซกลาซิกก็องตอนาลเดอโลซาน () แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวังทรงประสบอุบัติเหตุ ทรงประสบอุบัติเหตุ. หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก ในขณะนั้น ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและ 15 พรรษาตามลำดับ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งก่อนหน้าพระองค์เคยชอบพอกับหม่อมราชวงศ์สุพิชชา โสณกุล แต่ไม่ถึงขั้นหมั้นหมายกันพระมหากษัตริย์ไทยเสวยราชย์และทรงอภิเษกสมรส พระมหากษัตริย์ไทย. เสวยราชย์และทรงอภิเษกสมรส. วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ในวันเดียวกัน รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เดิมทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงครองราชสมบัติ แต่ในช่วงการจัดงานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชประทับรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบชายคนเดิมนั้นในอีก 20 ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2493 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จอมพล แปลกมีแนวคิดชาตินิยมอย่างรุนแรง และประสงค์ให้ประเทศไทยเจริญเสมอนานารยประเทศ จอมพล แปลกมีนโยบาย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ และไม่สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และควบคุมการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์ผนวช ผนวช. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม–5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้น พระองค์เสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ผนวชนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกัน ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า–เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัยนอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอื่น ๆ เช่นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในวันที่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในโอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย อนึ่ง ในการทรงพระผนวชครั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และถวายฐานันดรศักดิ์ เป็น กรมหลวงขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและจอมพล แปลกมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในโอกาสฉลองพุทธศตวรรษ พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จมาทรงเป็นประธานซึ่งก็ทรงตอบรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ครั้นถึงวันงานทรงพระประชวรปัจจุบันทันด่วน ทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเป็นประธานเปิดพิธีเอง และในเดือนสิงหาคมปีดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาโจมตีรัฐบาลของจอมพล แปลกว่าละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งข่าวการระหองระแหงกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและรัฐบาลดังกล่าว ทำให้สาธารณะเริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพล แปลกได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเตือนจอมพล แปลกว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลกปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการฉบับหลังมีความว่าสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์. เมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจแล้ว รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จออกประชาชนเป็นอันมาก ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย โดยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศให้นำประเพณีหมอบกราบเข้าเฝ้า ซึ่งเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับมาใช้ใหม่ กับทั้งประกาศให้สถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้นซ้ำด้วย นอกจากนี้ นับตั้งแต่การปฏิวัติสยาม 2475 สืบมา ประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน พิธีกรรมตามโบราณประเพณีหลายอย่างของราชวงศ์จักรี เช่นพิธีกรรมพืชมงคล ก็มีประกาศให้ฟื้นฟู วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ 24 มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วยเมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม 2506 สำนักพระราชวังก็มีประกาศให้จัดการไว้ทุกข์ในพระราชวังเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวัน และศพจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับพระราชทานฉัตรห้าชั้น ซึ่งปรกติเป็นเครื่องยศของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า กางกั้นตลอดระยะเวลาไว้ศพ ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลยสมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร สมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร. หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2506 จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดมา และจอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สืบนโยบายราชานิยมของจอมพล สฤษดิ์ต่อมาอีกกว่าทศวรรษ ซึ่งเดือนตุลาคม 2516 ในการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาล และมีผู้ตายเป็นจำนวนมหาศาลอันเนื่องมาจากการปราบปรามของรัฐบาลนั้น พระองค์ได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพระทวารพระตำหนักจิตรลดารโหฐานรับผู้ชุมนุมที่หนีตายเข้ามา และพระราชทานพระราชโอกาสให้เหล่าผู้ชุมนุมเฝ้า ต่อมา ก็ทรงตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้ลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ตามลำดับ ครั้งนั้น สัญญา ธรรมศักดิ์ จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนสำเร็จเป็นครั้งแรก ทว่า ไม่ช้าไม่นานต่อมาใน พ.ศ. 2519 จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สามารถเข้าประเทศโดยบวชเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้าง วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ไม่อาจจัดการอะไรได้ จึงขอลาออก และเมื่อเวลา 21.30 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จไปวัดบวรนิเวศ ไม่นานให้หลัง เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งกองกำลังติดอาวุธสังหารหมู่ผู้ประท้วงล้มตายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์. ในความโกลาหลครั้งนั้น ฝ่ายทหารก็เข้ายึดอำนาจอีกครั้ง และเสนอนามบุคคลสามคนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกอบด้วย ประกอบ หุตะสิงห์ ประธานศาลฎีกา, ธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยความที่ธานินทร์ กรัยวิเชียร มีเกียรติคุณดีที่สุด จึงได้รับการโปรดให้เป็นนายกรัฐมนตรี พระองค์มีพระราชดำรัสในพิธีประดับยศนายทหารชั้นนายพล เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2519 ความตอนหนึ่งว่า เดือนกันยายน 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ เสด็จพระราชดำเนินปฏิบัติพระราชกรณียกิจในจังหวัดภาคใต้ ในวันที่ 22 กันยายน 2520 เวลา 15.15 น. ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ประทับบนพลับพลาที่ประทับ ซึ่งมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จฯราว 30,000 คน ก็ได้มีราษฏรที่มาเฝ้ารับเสด็จฯไปหยิบไฟแช็คดังกล่าวเป็นเหตุให้ระเบิดลูกแรกเกิดระเบิดขึ้น ราษฏรต่างพากันแตกตื่นและเหยียบกับระเบิดลูกที่สอง ทำให้ระเบิดลูกที่สองเกิดระเบิดขึ้น ระเบิดลูกแรกห่างจากพลับพลาที่ประทับ 60.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 5.20 เมตร และระเบิดลูกที่สองห่างจากพลับพลาที่ประทับ 105.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 6.00 เมตร แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 55 คน บาดเจ็บสาหัส 11 คน ขณะที่เกิดความโกลาหลนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาลูกเสือชาวบ้านได้เข้าระงับควบคุมฝูงชนอย่างฉับพลัน มีการใช้เครื่องขยายเสียงแบบมือถือที่เตรียมไว้แล้วปลอบโยนประชาชนมิให้ตื่นตระหนกและให้อยู่กับที่ ขณะเดียวกันก็มีการลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มิได้ทรงรับบาดเจ็บใด ๆ ขณะเกิดเหตุนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยืนประทับอยู่กับที่และทอดพระเนตรมองเหตุการณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยืนรายล้อมถวายการอารักษา ในขณะที่พิธีการต้องหยุดชะงักชั่วครู่ ทั้งนี้ก่อนหน้าเหตุระเบิดราวราว 20 ชั่วโมง ก็ได้มีตำรวจขับรถจักรยานยนต์ฝ่าสัญญาณไฟจราจรพุ่งชนรถยนต์พระที่นั่งจนเกิดไฟลุกท่วม ภายหลังเกิดเหตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่อไป โดยมิได้แสดงพระอาการปริวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำรัสให้ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งไม่ตื่นเต้นต่อสถานการณ์ เมื่อจบคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาฯทรงนำเหล่าราษฎรร้องเพลง “เราสู้” และภายหลังเสร็จพระราชกรณียกิจ เวลา 18.55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลจังหวัดยะลา ธานินทร์ กรัยวิเชียรมีแนวคิดขวาจัด ทำให้เหล่านักศึกษาหนีเข้าป่าไปรวมกลุ่มกับพวกคอมมิวนิสต์ รัฐบาลของธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงถูกรัฐประหารนำโดย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ใน พ.ศ. 2523 และคณะรัฐประหารก็ตั้งพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะนั้น กองกำลังที่นิยมรัฐบาลได้เข้ายึดกรุงเทพมหานคร ทว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธไม่รับรอง การก่อการครั้งนี้จึงกลายเป็นกบฏที่รู้จักในชื่อ "กบฏเมษาฮาวาย" และนำไปสู่ "กบฏทหารนอกราชการ" ในเวลาต่อมาพฤษภาทมิฬ พฤษภาทมิฬ. รัฐประหารของคณะทหารเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 นำประเทศไทยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอีกครั้ง ซึ่งหลังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปแล้ว พรรคการเมืองที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือพรรคสามัคคีธรรม จำนวนเจ็ดสิบเก้าคน ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีการเตรียมเสนอ ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนราษฎรมากที่สุดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่ามาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา ได้แถลงว่า ณรงค์เป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด พลเอก สุจินดา คราประยูร หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งเคยตกปากว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ภายหลังจากเลือกตั้งอีกเพื่อตัดข้อครหาบทบาทของทหารในรัฐบาลพลเรือน กลับยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสร้างความไม่พอใจท่ามกลางประชาชนเป็นอันมาก นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชน โดยมีร้อยตรี ฉลาด วรฉัตร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เป็นแกนนำ ซึ่งรัฐบาลของพลเอก สุจินดาได้สั่งให้ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงโดดเฉียบขาด กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดในที่สุด และมีผู้คนเสียชีวิต เมื่อฝ่ายทหารเปิดการโจมตีผู้ชุมนุม เหตุการณ์ดิ่งสู่ความรุนแรงเรื่อย ๆ เมื่อกำลังทหารและตำรวจเข้าควบคุมกรุงเทพมหานครเต็มที่ และท่ามกลางเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเข้าแทรกแซง โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติ ณ จุดสูงสุดของวิกฤติการณ์ ปรากฏภาพพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้าผู้ประท้วง เฝ้าทูลละอองพระบาทโดยหมอบกราบ และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้งทั่วไปรัฐประหาร พ.ศ. 2549 รัฐประหาร พ.ศ. 2549. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานสภาองคมนตรี และรัฐบุรุษ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ และพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายรายงานสถานการณ์ การปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อเวลา 00.19 น. วันพุธที่ 20 กันยายน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อันมีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้สึกรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนส่วนหนึ่งเคลือบแคลงสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานอิสระ ถูกการเมืองครอบงำ ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ แม้หลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ เดิม คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Council for Democratic Reform under Constitutional Monarchy (อักษรย่อ CDRM) ต่อมาได้ตัดคำว่า under Constitutional Monarchy ออก เพื่อไม่ให้สื่อต่างประเทศนำไปตีความว่า คณะปฏิรูปฯ เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น Council for Democratic Reform (อักษรย่อ CDR) โดยยังคงใช้ชื่อภาษาไทยตามเดิม นอกจากนี้ ในวันที่ 22 กันยายน โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก แพร่ภาพพิธีรับพระบรมราชโองการ แต่งตั้งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่พลเอก สนธิ ซึ่งมีข้อสังเกตว่าประกาศฉบับดังกล่าว มีพลเอก สนธิเอง ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และลงวันที่ 20 กันยายน ขณะที่พิธีรับพระบรมราชโองการนั้น จัดให้มีขึ้นต่อมาในภายหลัง หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ในวันที่ 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดย หัวหน้า คปค. ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549. การตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาติ นักวิชาการไทยคนหนึ่งว่า "การถือภาพลวงว่าพระมหากษัตริย์ได้รับการเทิดทูนถ้วนหน้ายิ่งยากขึ้นทุกที" ในเดือนเมษายน 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมวางแผนรัฐประหาร เป็นองคมนตรี ในห้วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พระองค์ทรงแต่งตั้งพลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้นำรัฐประหารปี 2549 เป็นองคมนตรี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้พระราชทานสัมภาษณ์ในรายการโดยอ้างว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสียพระทัยต่อเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ใจความตอนหนึ่งว่า อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิได้ทรงตอบรับข้ออ้างของพระธิดาต่อสาธารณชนว่าเป็นจริงหรือเท็จ นอกจากนี้ พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาส หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพระพลานามัยปลายพระชนม์ พระพลานามัยปลายพระชนม์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อไมโคพลาสมา ราวปี พ.ศ. 2530 เสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2538 นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการรักษา ต่อมาจนถึงเดิอนสิงหาคม พ.ศ. 2556 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ จนกระทั่งวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถอีกครั้ง แต่เสด็จฯไปประทับได้ไม่นาน ก็ทรงกลับมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดระยะเวลาที่ทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ดีขึ้นและทรุดลงเป็นครั้งคราว โดยพระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระองค์คือการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายคือการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559พระพลานามัยปลายพระชนม์ พระพลานามัยปลายพระชนม์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อไมโคพลาสมา ราวปี พ.ศ. 2530 เสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2538 นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการรักษา ต่อมาจนถึงเดิอนสิงหาคม พ.ศ. 2556 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ จนกระทั่งวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ ตลอดระยะเวลาที่ทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ดีขึ้นและทรุดลงเป็นครั้งคราว โดยพระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระองค์คือการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายคือการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559เสด็จสวรรคต เสด็จสวรรคต. ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระปรอทต่ำ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะ พระปับผาสะซ้ายอักเสบ มีพระโลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะเล็กน้อย คณะแพทย์จึงทำการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะ และใช้สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำเพื่อฟอกพระโลหิต แต่มีพระความดันพระโลหิตต่ำจึงใช้เครื่องช่วยหายพระทัย พระอาการไม่คงที่ ก่อนที่พระอาการจะทรุดลงไปอีก มีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา 15.52 น. รวมพระชนมายุ 88 พรรษา ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเคลื่อนพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปยังพระบรมมหาราชวัง มีพระราชพิธีถวายสรงน้ำพระบรมศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา มีการเชิญพระบรมศพลงสู่พระหีบ ประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศทองใหญ่ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา 30 วัน และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐไว้ทุกข์ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560สถานะพระมหากษัตริย์ สถานะพระมหากษัตริย์. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ จอมทัพไทย และอัครศาสนูปถัมภก และเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในรัชสมัยของพระองค์ เกิดรัฐประหาร 11 ครั้ง เหตุการณ์กบฏ 9 ครั้ง เหตุการณ์การก่อการกำเริบโดยประชาชนจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล 2 ครั้งได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลา และ พฤษภาทมิฬ รัฐธรรมนูญ 16 ฉบับ และการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี 26 คน ตามรัฐธรรมนูญไทย พระองค์ทรง "ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" แต่พระองค์เคยมีพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2548 ว่า "...แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น ...ฉะนั้น ที่บอกว่าการวิจารณ์ เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบ้อม คือ ขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญว่ายังงั้น ลงท้าย พระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก"บทบาททางการเมืองไทย บทบาททางการเมืองไทย. พระองค์ทรงมีบทบาทในการเมืองไทยหลายครั้ง ได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏยังเติร์ก ในปี พ.ศ. 2524 และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ หัวหน้าคณะยึดอำนาจนอกเหนือจากนี้มิได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ยกเว้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 บทบาททางการเมืองที่สำคัญของพระองค์ อาทิ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500 และเมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจ รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จออกประชาชนเป็นอันมาก ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย นอกจากนี้วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ 24 มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วย ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลย และยังเป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในพฤษภาทมิฬ โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติ และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้งทั่วไป ในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทำการบันทึกภาพและเสียงระหว่างการเข้าเฝ้าของพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะ ในช่วงหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 การตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาติ นอกจากนี้ พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาสอำนาจตามรัฐธรรมนูญ อำนาจตามรัฐธรรมนูญ. อำนาจตามรัฐธรรมนูญของพระองค์มักเป็นที่ถกเถียงกัน บางส่วนเพราะความเป็นที่นิยมอย่างล้นหลามของพระองค์และบางส่วนเป็นเพราะอำนาจของพระองค์มักถูกตีความขัดกันแม้จะมีนิยามอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นการแต่งตั้งจารุวรรณ เมณฑกาเป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ทว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งเธอขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาเลือกผู้ดำรงตำแหน่งแทนจารุวรรณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธเขา วุฒิสภาปฏิเสธลงคะแนนยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ สุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้จารุวรรณกลับเข้ารับตำแหน่ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการอธิบายว่ากรณีนี้เป็นความพยายามของวุฒิสภาเพื่อบีบบังคับให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทำตามความปรารถนาของพวกตน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเฉพาะว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจเงินแผ่นดินตามคำแนะนำของวุฒิสภา การพ้นจากตำแหน่งจึงต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายน้อยครั้ง พอล แฮนด์ลีย์เขียนใน เดอะคิงเนเวอร์สไมล์ ว่าในปี พ.ศ. 2519 เมื่อรัฐสภาลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อขยายการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสู่ระดับอำเภอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยกฎหมาย รัฐสภาไม่ยอมออกเสียงยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2497 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่รัฐสภาเห็นชอบสองครั้งก่อนทรงยินยอมลงพระปรมาภิไธย บางทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ยับยั้งการตรากฎหมาย เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มาตรา 107 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย แต่ก็ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งโดยตรง เพียงแต่มีพระราชกระแสท้ายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับมาตรา 107 วรรค 2 แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งขัดกับหลักที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเสมือนเป็นองค์กรทางการเมือง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญอภัยโทษอาชญากร แม้มีเกณฑ์หลายข้อสำหรับการได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งรวมอายุและโทษที่ยังเหลืออยู่ การอภัยโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราและช่างภาพเปลือยเด็กชาวออสเตรเลียผู้หนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดข้อโต้เถียงภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์. พระองค์ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "สมเด็จพระภัทรมหาราช" หมายความว่า "พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง" ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 มีการถวายใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช" และ "พระภูมิพลมหาราช" อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช" ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ว่า "ในหลวง" ซึ่งคาดว่าย่อมาจาก "ใน (พระบรมมหาราชวัง) หลวง" หรืออาจออกเสียงเพี้ยนมาจากคำว่า "นายหลวง" ซึ่งแปลว่าเจ้านายผู้เป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงออกผนวช ทรงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง และนอกจากนี้ยังเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาอย่างเสมอภาค ทรงสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้แปลพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจัดตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4400 โครงการ นอกจากนี้ยังเสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญที่สุดจนทำให้พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทย คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระองค์ได้ปฏิบัติพระองค์เองเป็นแบบอย่าง โปรดให้มีการการปลูกข้าว การเลี้ยงโคนม การเพาะพันธุ์ปลานิลขึ้นในสวนจิตรลดา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการประหยัด ตัวอย่างเช่น ทรงใช้ดินสอเดือนละ 1 แท่ง หรือการใช้ยาสีพระทนต์จดหมดหลอด นอกจากนั้นยังไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับใด ๆ เลย ยกเว้นแต่นาฬิกาข้อมือ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ โรงเรียน องค์การและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า 1000 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือการเสด็จไปประทับ ณ วังไกลกังวลและสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือคุณทองแดง สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสวยพระกระยาหารร่วมกัน ความนิยมในพระองค์ปรากฏให้หลังเหตุจลาจลในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ. 2546 เมื่อผู้ประท้วงชาวไทยหลายร้อยคนซึ่งโกรธจากข่าวลือว่าผู้ก่อจลาจลชาวกัมพูชาย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมนอกสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์จบลงอย่างสันติก็เมื่อพลตำรวจเอก สันต์ ศรุตานนท์ บอกฝูงชนว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากราชเลขานุการ อาสา สารสิน ถ่ายทอดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงขอให้สงบ ฝูงชนจึงสลาย ประเพณีหมอบกราบเบื้องหน้าพระมหากษัตริย์ซึ่งเคยเลิกไปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้รับการฟื้นฟูในรัชกาลของพระองค์ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดอยู่หน้าอาคารรัฐบาล ทางเข้าท่าอากาศยาน ธนาคารพาณิชย์ และโดยมารยาทในสำนักงานและโรงเรียนชีวิตส่วนพระองค์กีฬา ชีวิตส่วนพระองค์. กีฬา. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13ดนตรี ดนตรี. พระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คราริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพันธ์แสงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ยิ้มสู้ ค่ำแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือพรปีใหม่ เป็นต้นพระราชทรัพย์ พระราชทรัพย์. พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของที่ดินและหุ้น โดยแบ่งออกได้เป็นส่วน ๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อโครงการพระราชดำริจำนวนกว่า 4,000 โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาภายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภค และการศึกษาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์. สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการแก้ไข สองครั้งในปี พ.ศ. 2484 และ พ.ศ. 2491 ซึ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากกัน ข้ออ้างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 กำหนดให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 มี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คนแรกและอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คนสุดท้ายตามกฎหมายพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง เพื่อการนั้น จึงมีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นเรียก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น ทั้งนี้บริษัทซีบีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ที่ 32,500 ไร่ โดยในบางพื้นที่มีมูลค่าสูงกว่า 380 ล้านบาทต่อไร่ ทำให้พระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชี้แจงถึงบทความดังกล่าวว่า "มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง ทรัพย์สินที่นับมาประเมินนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์"ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระองค์. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงทุนส่วนพระองค์เอง โดยมีการแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกจากสำนักงานพระคลังข้างที่ และตั้งสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ขึ้น โดยมี “ผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดว่าการดูแลรักษาและการจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย” ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ยังหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่าง ๆ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นต้องเสียภาษีอากรตามปกติไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี มูลนิธิอานันทมหิดล กล่าวว่า พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากแก่ โครงการพระราชดำริ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ การกุศล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บิลเลียนแนส์นิวส์ไวร์ (Billionaires NewsWire) ชี้ว่าพระองค์ทรงมีทองคำและเครื่องประดับจำนวนมาก คือ ทองคำ 9,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐรถยนต์พระที่นั่งรถยนต์พระที่นั่ง. 1. มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน ร.ย.ล.1 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่ง โดยได้จัดซื้อมาใช้ แทนรถยนต์พระที่นั่ง โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ซิกซ์ (VI) ที่ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งทรงมานานถึง 30 ปี 2. มายบัค 62 สีครีม เลขทะเบียน 1ด-1992 ทรงใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งสำรอง 3. คาดิลแลค ดีทีเอส เลขทะเบียน ร.ย.ล.960 ทรงใช้ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ 4. มายบัค 62 สีน้ำเงิน ตัดด้วยสีทอง เลขทะเบียน 1ด-1991 5. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T5 TDi เลขทะเบียน 1ด-3901 6. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T5 TDi เลขทะเบียน 1ด-4901 7. โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ T4 TDi เลขทะเบียน 1ด-0968การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์. ทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เฉพาะที่ถือครองหุ้นเกิน 0.5% (มูลค่า ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558)พระพุทธรูปประจำพระองค์ พระพุทธรูปประจำพระองค์. พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ภายใต้ฉัตร 5 ชั้น หน้าตักกว้าง 7 นิ้ว ความสูงยอดพระรัศมี 9 นิ้ว ทรงพัดแฉก หล่อด้วยเงิน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2506 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ตั้งการฉลองสมโภชพระพุทธรูปประจำประชนมวาร ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อเสร็จการแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ประดิษฐานไว้กับพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร ปัจจุบันอัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระราชพิธีสงกรานต์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งเป็นปางประจำวันจันทร์พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี พระราชกรณียกิจ. ด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี. พ.ศ. 2503 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาใหม่หลังจากที่ได้เลิกร้างไปตั้งแต่ พ.ศ. 2479 และประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้รับการฟื้นฟูเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ประวัติศาสตร์ไทย สถาปัตยกรรม จิตรกรรม นาฏศิลป์ การดนตรีและศิลปะอื่น ๆ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดทำโน้ตเพลงไทยตามระบบสากลและจัดพิมพ์ขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยหาระดับเฉลี่ยมาตรฐานของเครื่องดนตรีไทย ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชนิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน เรื่อง ทองแดง เป็นพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง เป็นต้นด้านการพัฒนาชนบท ด้านการพัฒนาชนบท. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดรัชสมัยไปกับการเสด็จฯเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ทุกภูมิภาคของประเทศ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยเฉพาะในแทบที่ชนบททุรกันดาร เพื่อทรงเยี่ยมเยียน ซักถามเรื่องความเป็นอยู่และสารทุกข์สุกดิบของประชาชน นอกจากนี้พระองค์จะทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆด้วยพระองค์เองด้วยแผนที่หรือเอกสารต่างๆ ทำให้ทรงรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หลังจากนั้นพระองค์ก็จะทรงคิดค้นแนวทางพระราชดำริเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆในแต่ละพื้นที่ พระองค์จะทรงพัฒนาชนบทในรูปโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีจุดประสงค์ คือ การพัฒนาบทเพื่อให้ราษฎรในชนบทได้มีความเป็นอยู่ตลอดจนสามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงครอบครัวให้ดีขึ้น แนวพระราชดำริที่สำคัญในเรื่องการพัฒนาชนบท คือมีพระราชประสงค์ช่วยให้ชาวชนบทสามารถช่วยเหลือพึ่งตนเองได้ โดยการสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อการผลิตให้แก่ราษฎรเหล่านั้น ทรงส่งเสริมให้ชาวชนบทมีความรู้ในการประกอบอาชีพตามแต่ละท้องถิ่น นอกจากนี้ยังทรงหาทางนำเอาวิทยาการสมัยใหม่มาประยุกต์กับภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการเกษตรและชลประทาน ด้านการเกษตรและชลประทาน. ในด้านชลประทาน พระองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยทรงคิดค้นโครงการตามพระราชดำริของพระองค์ มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน เมื่อคราวเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2538 พระองค์ทรงมีพระราชดำริเรื่องแก้มลิง ควบคุมการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน ลำคลองต่าง ๆ ลงสู่อ่าวไทย พระองค์ทรงประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศ กังหันชัยพัฒนา ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่มออกซิเจน เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชใหม่ ๆ ตลอดจนการศึกษาแมลงศัตรูพืช และพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่เกษตรกรควรมีรายได้จากกิจกรรมอื่นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง พระองค์ยังทรงคิดค้นการแก้ปัญหาทรัพยากรทางการเกษตรหลายอย่างที่สำคัญ เช่น การแกล้งดิน เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวหรือดินเป็นกรด จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้ การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ พระองค์ทรงส่งเสริมการเลี้ยงปลานิล ทรงจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชและปศุสัตว์ รวมถึงการการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิตเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลด้านการแพทย์ ด้านการแพทย์. โครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในระยะแรกล้วนแต่เป็นโครงการด้านสาธารณสุข ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฏรตามท้องที่ต่าง ๆ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และล้วนเป็นอาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์พร้อมให้การรักษาพยาบาลราษฎรผู้ป่วยไข้ นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทานซึ่งเป็นพระราชดำริให้ทันตแพทย์อาสาสมัครเดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟันโดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทางไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วยด้านการศึกษา ด้านการศึกษา. พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพระราชทานทุนแก่นิสิตนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเด่นในด้านต่างๆ ให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้มีโอกาสไปศึกษาหาความรู้วิชาการชั้นสูงในต่างประเทศ และนำความรู้นั้นกลับมาใช้พัฒนาบ้านเมือง ส่วนในประเทศพระองค์ทรงให้การอุปถัมป์ในด้านต่างๆ เช่น ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียน โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการจัดการบริหารทางการศึกษา แบบให้เปล่าตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในลักษณะทั้งอยู่ประจำและไปกลับแบ่งเป็น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน 26 โรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จำนวน 14 โรงเรียน พระองค์ยังได้จัดสร้างโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเพื่อเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในวิชาการทุกสาขา ได้จัดทำหนังสือสารานุกรมไทยที่บรรจุความรู้ใน 7 สาขาวิชา โดยแต่ละเล่มได้จัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามพื้นฐานของตน นอกจากนี้ตลอดรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่เหล่านิสิตผู้สำเร็จการศึกษาด้านการต่างประเทศ ด้านการต่างประเทศ. ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 27 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยทรงเสด็จเยือนประเทศเวียดนามใต้ อย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรก ซึ่งหลังจากการเสด็จเยือนประเทศแคนาดา เมื่อปี พ.ศ. 2510 พระองค์ก็มิได้ทรงเสด็จเยือนประเทศไหนอีกเลย กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2537 ทรงเสด็จเยือนประเทศลาว ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์ ในภายหลังพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยหลายครั้ง ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทยและถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ รวมทั้งพระองค์จะมีพระราชสานส์ถึงผู้นำประเทศต่างๆทั้งการแสดงความยินดีและแสดงความเสียพระราชหฤทัยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นจากพระดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆภายในประเทศทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและแก้ไขปัญหาระยะยาวทรงเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2493 ตลอดรัชสมัยมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด 4,447 โครงการ โดยมีหน่วยงานราชการพิเศษที่ประสานงานโครงการ คือ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยแต่ละโครงการจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป โครงการเพื่อการส่งเสริมและวิจัย เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา, มูลนิธิโครงการหลวง, โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการเกี่ยวกับน้ำ เช่น โครงการแก้มลิง, โครงการฝนหลวง, กังหันชัยพัฒนา โครงการเกี่ยวกับการเกษตร เช่น โครงการแกล้งดิน โครงการอื่นๆ เช่น โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะแถบชนบท นอกจากนี้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริยังได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาสาขาสันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2531 อีกด้วยพระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศพระบรมราชอิสริยยศพระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ. พระบรมราชอิสริยยศ. - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2478) - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 — 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) - สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 — 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493) - พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร (5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559)รางวัล รางวัล. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากบุคคลและคณะบุคคลในประเทศและต่างประเทศ อันเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจและพระราชอัธยาศัยในการแสวงหาความรู้ ที่สำคัญเป็นต้นว่า- ประธานรัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรัฐสภายุโรป" (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519) - ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสันติภาพของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลสันติภาพ" (9 กันยายน พ.ศ. 2529) - สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณในการนำชนบทให้พัฒนา" (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2530) - ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองประกาศพระเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม" (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535) - ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน" (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535) - คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล (International Society of Chemical Ecology) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลเทิดพระเกียรติในการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ" (26 มกราคม พ.ศ. 2536) - หัวหน้าสาขาเกษตร ฝ่ายวิชาการภูมิภาคเอเชียของธนาคารโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลหญ้าแฝกชุบสำริด" สดุดีพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำ (30 ตุลาคม พ.ศ. 2536) - ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด" (12 ธันวาคม พ.ศ. 2537) - องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร" (6 ธันวาคม พ.ศ. 2539) - สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" จากการที่ได้ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและทรงพระวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาตลอดพระชนม์ชีพ (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549) - ในปี พ.ศ. 2550 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) แถลงข่าวการทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา" (Global Leaders Award) โดยนายฟรานซิส เกอร์รี่ ผู้อำนวยการใหญ่เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระราชวังไกลกังวล ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงมีบทบาทและผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่โดดเด่น และพระองค์ทรงเป็นผู้นำโลกคนแรกที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลดังกล่าว - วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) นำโดยอดีตเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) เป็นพระองค์แรกของโลก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นผู้ที่ได้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเป็นสถิติโลกถึง 176 ฉบับ ใน พ.ศ. 2555 โดยทรงได้รับมอบถวายจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่พระยศทหารพระยศทหาร. - พ.ศ. 2493: จอมพล, จอมพลเรือ, จอมพลอากาศพระบรมราชานุสรณ์พระราชสันตติวงศ์พงศาวลี
| พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชสมภพที่ประเทศใด | {
"answer": [
"สหรัฐ"
],
"answer_begin_position": [
2948
],
"answer_end_position": [
2953
]
} |
2,081 | 52,371 | ไทยลีก ไทยลีก (; ชื่อย่อ T1) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2539 ภายใต้การบริหารของ บริษัท ไทยลีก จำกัด มีสโมสรฟุตบอลที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 18 สโมสร ดำเนินการแข่งขัน ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมของทุกปี โดยแต่ละสโมสรจะแข่งขันแบบพบกันหมด สองนัดเหย้าเยือนรวม 34 นัดต่อสโมสรต่อฤดูกาล รวมทั้งหมด 306 นัดต่อฤดูกาล โดยนับตั้งแต่จัดตั้งลีกขึ้นมา มีทั้งหมด 41 สโมสรที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และมี 10 สโมสรที่ได้แชมป์ไทยลีก คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (6) (โดยนับรวมสมัยลงแข่งขันในนามสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ บุรีรัมย์ พีอีเอ), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (4), โปลิศ เทโร, สโมสรทหารอากาศ และ ธนาคารกรุงไทย (2), ธนาคารกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, สินธนา, ชลบุรี เอฟซี และพนักงานยาสูบ (1)ประวัติ ประวัติ. เมื่อปี พ.ศ. 2539 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีความคิดในการที่จะปรับปรุงระบบการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ จากวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นเลิศ มาเป็นรูปแบบอาชีพ โดยเริ่มก่อตั้งฟุตบอลลีกสูงสุดขึ้น โดยเดิมที การแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรระดับสูงสุดของประเทศคือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. (ถ้วยใหญ่) ซึ่งจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 จนถึงปี พ.ศ. 2538 (ในฐานะการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรระดับสูงสุดของประเทศ) โดยมีสโมสรฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขันใน ฤดูกาลแรก ทั้งหมด 18 สโมสร ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างเป็น 10 สโมสร จนถึง ฤดูกาล 2547/48การควบรวมลีก การควบรวมลีก. ในปี พ.ศ. 2549 มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ เริ่มมีการให้ สิทธิสโมสรที่จบตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศใน โปรวินเชียลลีก เข้าร่วมการแข่งขันได้ ซึ่งทำให้มีการเพิ่มจำนวนสโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็น 12 สโมสร ตั้งแต่ ฤดูกาล 2549 จนกระทั่งในปีถัดมา (พ.ศ. 2550) จึงมีการควบรวม โปรวินเชียลลีก โดยได้มีการจัดทำ บันทึกช่วยจำ การจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของประเทศไทย ระหว่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งเป็นเอกสารข้อตกลงในการรวมลีกทั้งสองเข้าเป็นลีกเดียว โดยให้สิทธิสโมสรที่จบตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศในการแข่งขัน โปรลีก ฤดูกาล 2549 เข้าแข่งขันใน ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ด้วย ซึ่งทำให้มีการเพิ่มจำนวนสโมสรที่เข้าแข่งขันเป็น 16 สโมสร พร้อมทั้งเพิ่มเงื่อนไขให้สโมสรซึ่งอยู่ใน 3 อันดับสุดท้ายเมื่อจบฤดูกาล ต้องตกชั้นไปสู่ ไทยลีกดิวิชั่น 1 โดยให้สิทธิสโมสรชนะเลิศ รองชนะเลิศ และ อันดับที่ 3 ของ ไทยลีกดิวิชั่น 1 เลื่อนชั้นมาแข่งขันเป็นการทดแทน โดยสโมสรแรกที่มาจาก โปรวินเชียลลีก แล้วสามารถชนะเลิศการแข่งขันได้คือ ชลบุรี เอฟซี ใน ฤดูกาล 2550การปรับโครงสร้างลีกสู่ลีกอาชีพ การปรับโครงสร้างลีกสู่ลีกอาชีพ. ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ออกระเบียบว่าด้วยความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นผลให้สมาคมฯ ต้องดำเนินการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อบริหารลีกและจัดการแข่งขันแทนที่ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยได้มีการจัดตั้ง บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ขึ้น โดยมี วิชิต แย้มบุญเรือง อดีตนัก ฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นประธานกรรมการคนแรก และออกระเบียบให้ผู้บริหารสโมสรฟุตบอลอาชีพ ต้องจัดตั้งในรูปนิติบุคคล (บริษัท) เพื่อดำเนินการบริหารสโมสร ส่งผลให้มีการแข่งขันเชิงรูปแบบ การบริหารจัดการให้เป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น รวมทั้งแพร่หลายออกไปยังส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ จากเดิมที่สโมสรฟุตบอลต่างๆ จะกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น จึงกลับมาเป็นที่นิยมของแฟนฟุตบอลไทยอีกครั้ง โดยใน ฤดูกาล 2554 สมาคมฯ ประกาศเพิ่มจำนวนสโมสรที่จะทำการแข่งขัน เป็น 18 สโมสรกรณีพิพาทของลีก กรณีพิพาทของลีก. ต่อมาได้มีกรณีข้อพิพาทในเรื่องสิทธิการบริหารสโมสรและสิทธิการแข่งขัน ระหว่าง อีสาน ยูไนเต็ด และ ศรีสะเกษ เอฟซี โดยทาง อีสาน ยูไนเต็ด ได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาว่า ศรีสะเกษ เอฟซี มีสิทธิทำการแข่งขันในฤดูกาล ฤดูกาล 2556 หรือไม่ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว เป็นผลให้ บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก ต้องลงมติให้พักการแข่งขันของ สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ ตามคำสั่งคุ้มครองฯของศาล โดยเมื่อศาลปกครองวินิจฉัยให้สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ มีสิทธิทำการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกได้ต่อไป สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จึงประชุมร่วมกับ บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ และสโมสรสมาชิกทั้งหมด โดยที่ประชุมลงมติให้ ฤดูกาล 2557 เพิ่มสมาชิกเป็น 20 สโมสร และกำหนดสโมสรที่จะต้องตกชั้นลงไปแข่งขันไทยลีกดิวิชั่น 1 ต้องมีถึง 5 สโมสรคือ อันดับที่ 16-20 (ขณะเดียวกัน ทั้งสองฤดูกาลดังกล่าว ยังคงให้สโมสรชนะเลิศ, รองชนะเลิศ และอันดับที่ 3 ของไทยลีกดิวิชัน 1 ขึ้นมาแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกตามเดิม) เพื่อทำให้สโมสรสมาชิก คงเหลือเพียง 18 ทีมเท่าเดิม ส่วนฤดูกาล 2556 ให้สโมสรอันดับที่ 17 ต้องตกชั้นลงไปแข่งขันในไทยลีกดิวิชัน 1 เพียงทีมเดียวการเปลื่ยนแปลงบริหาร การเปลื่ยนแปลงบริหาร. ภายหลังจากการเลือกตั้งนายก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่ง พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งได้รับเลือกจากสโมสรสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม คนใหม่ได้ประกาศว่าได้ทำการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยใช้ชื่อว่า บริษัท พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ จำกัด (PLT) และได้มีการจัดหาตัวแทนบริหารสิทธิประโยชน์ของลีก แทนที่ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการยกเลิกสัญญาไปการปรับโครงสร้างระบบลีก การปรับโครงสร้างระบบลีก. ต่อมา ได้มีการจัดตั้ง บริษัท ไทยลีก จำกัด ขึ้นมาแทน บจก.พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ ตามคำแนะนำของ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และ สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ โดยได้โอนหุ้นจำนวน 99.98% ที่ทางนายกสมาคมฯ ถือไว้ ให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต่อมา สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีนโยบายในการพัฒนาศักยภาพสโมสรฟุตบอลลีกอาชีพอย่างยั่งยืน และยกระดับลีกภายในประเทศ ให้ก้าวไปสู่ลีกชั้นนำของอาเซียนและเอเชีย เริ่มจากการตั้งและปรับเปลี่ยนชื่อลีกแต่ละระดับให้อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน เน้นความเรียบง่าย กระชับ น่าจดจำและร่วมสมัยที่สุด การแข่งขันฟุตบอลลีกภายในประเทศไทยภายใต้การจัดของ บริษัท ไทยลีก จำกัด ตั้งแต่ฤดูกาล 2560 จะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยมีชื่อเรียกหลักอย่างเป็นทางการประกอบด้วย1. ไทยลีก (Thai League) ชื่อย่อ T1 เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ ระดับสูงสุดของประเทศไทย โดยฤดูกาล 2560 สโมสรที่จบอันดับที่ 1-15 ของ ฤดูกาล 2559 และ สโมสรอันดับ 1-3 จาก ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 18 สโมสร และ ฤดูกาล 2562 จะมีการปรับลดจำนวนสโมสรที่ทำการแข่งขันเป็น 16 สโมสร เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตารางแข่งขันให้ ฟุตบอลทีมชาติไทย ได้มีเวลาเตรียมทีมแข่งขันรายการต่างๆ สามารถมีช่วงเวลาหยุดพักแข่งขันตามหลักสากล1. ไทยลีก 2 (Thai league 2) ชื่อย่อ T2 เป็นการแข่งขันฟุตบอลอาชีพระดับที่สองรองจาก ไทยลีก โดย ฤดูกาล 2560 สโมสรที่จบอันดับ 16-18 จาก ไทยลีก ฤดูกาล 2559, สโมสรที่จบอันดับ 4-15 จาก ฤดูกาล 2559 และ 3 สโมสรที่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้น จาก ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 18 สโมสร1. ไทยลีก 3 (Thai league 3) ชื่อย่อ T3 เป็นฟุตบอลลีกอาชีพระดับ 3 ซึ่งจะเริ่มแข่งขันใน ฤดูกาล 2560 เป็นฤดูกาลแรก โดยนำสโมสรที่จบอันดับ 1-4 จาก 8 โซนของ ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 และไม่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นใน รอบแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 32 สโมสร แล้วแบ่งเป็น 2 โซนๆ ละ 16 สโมสร1. ไทยลีก 4 (Thai league 4) ชื่อย่อ T4 เป็นฟุตบอลลีกอาชีพระดับ 4 โดยสโมสรที่เข้าแข่งขันมาจากสโมสรใน ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 ที่ไม่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่น ไทยลีก 3 รวมกับ ทีมสำรอง ของสโมสรใน ไทยลีก1. ไทยแลนด์ อเมเจอร์ลีก (Thailand Amateur League) ลีกสมัครเล่นรูปแบบการแข่งขัน รูปแบบการแข่งขัน. ไทยลีก มีสโมสรฟุตบอลเข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งหมด 18 สโมสร ตามปกติจะดำเนินการจัดแข่งขัน ระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมของทุกปี โดยแต่ละสโมสรจะแข่งขันแบบพบกันหมด สองนัดเหย้าเยือนรวม 34 นัดต่อสโมสรต่อฤดูกาล ซึ่งในแต่ละนัด ผู้ชนะจะได้ 3 คะแนน เสมอได้ 1 คะแนน แพ้ไม่ได้คะแนน ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล สโมสรที่ได้คะแนนรวมสูงสุด จะได้รับตำแหน่งชนะเลิศ และได้สิทธิไปแข่งขันรายการ เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ส่วนสโมสรที่ได้รองชนะเลิศจะได้ไปแข่งในรายการเดียวกัน แต่จะแข่งขันใน รอบคัดเลือก รอบสอง (กรณีสโมสรที่ชนะเลิศหรือรองชนะเลิศไทยลีก และสโมสรที่ชนะเลิศ ไทย เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นสโมสรเดียวกัน สิทธิแข่งขันจะตกเป็นของสโมสรที่ได้คะแนนอันดับที่ 3 ของลีกแทน) ส่วนสโมสรที่ได้คะแนนรองลงมา จะเรียงอันดับลดหลั่นกันตามคะแนนรวมที่ได้ โดยสโมสรที่จบฤดูกาลในสามอันดับสุดท้าย จะตกชั้นสู่ไทยลีกดิวิชั่น 1 และ สามอันดับแรก จาก ดิวิชั่น 1 จะเลื่อนชั้นมาแทน ในกรณีที่มีสโมสรมากกว่า 1 ทีมขึ้นไป ได้คะแนนรวมเท่ากันเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ให้ใช้เกณฑ์พิจารณาเรียงลำดับดังนี้1. พิจารณาจากผลการแข่งขันของทีมที่มีคะแนนเท่ากันที่เคยแข่งกันมาในฤดูกาลที่เพิ่งจบการแข่งขัน (Head To Head) 2. พิจารณาจากจำนวนครั้งที่ชนะ (Number of Wins) ของแต่ละทีมที่คะแนนเท่ากัน 3. พิจารณาจากผลต่างของประตูได้ และประตูเสีย (Goals Difference) 4. พิจารณาเฉพาะประตูได้ (Goals For) 5. แข่งขันกันใหม่ 1 นัด เพื่อหาทีมชนะ หากผลการแข่งขันเสมอกันในเวลาปกติให้ตัดสินด้วยการเตะลูกโทษ ณ จุดเตะโทษ 6. ในกรณีที่พิจารณาตามเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับแล้วและได้เกณฑ์ตัดสินตามข้อหนึ่งข้อใดแล้วให้ยุติการพิจารณาข้อต่อไป ในการจัดอันดับระหว่างการแข่งขัน เพื่อแสดงลำดับในตารางคะแนนระหว่างฤดูกาล ให้ใช้เกณฑ์พิจารณาดังต่อไปนี้1. พิจารณาจากคะแนนรวมสูงสุด 2. ถ้าคะแนนรวมเท่ากันให้พิจารณาจากผลต่างของประตูได้ ประตูเสีย 3. ถ้ายังเท่ากันอีกให้ดูเฉพาะประตูได้ 4. ถ้ายังเท่ากันอีกให้ทำการจับฉลากผู้สนับสนุนหลัก ผู้สนับสนุนหลัก. รายชื่อผู้สนับสนุนหลักแข่งขันในฤดูกาลต่างๆ- 2539-2540: จอห์นนีวอล์กเกอร์ (จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ไทยแลนด์ซอกเกอร์ลีก) - 2541-2543: คาลเท็กซ์ (คาลเท็กซ์ พรีเมียร์ลีก) - 2544-2547: จีเอสเอ็ม (จีเอสเอ็ม ไทยลีก) - 2547-2552: ไม่มีผู้สนับสนุน (ไทยลีก (2547-2548)), (ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก (2549-2551)), (ไทยพรีเมียร์ลีก (2552)) - 2553-2555: สปอนเซอร์ (สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก) - 2556-ปัจจุบัน: โตโยต้า (โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก (จนถึง 2559) แล้วเปลี่ยนเป็น โตโยต้า ไทยลีก)สโมสรที่เข้าร่วมไทยลีก (ฤดูกาล 2561) สโมสรที่เข้าร่วมไทยลีก (ฤดูกาล 2561). ทำเนียบสโมสรชนะเลิศจำนวนครั้งที่ชนะเลิศผู้ลงเล่นสูงสุด ทำเนียบสโมสรชนะเลิศ. ผู้ลงเล่นสูงสุด. ผู้เล่นที่ยังเล่นอยู่ (ตัวหนา) ผู้ทำประตูสูงสุด ผู้ทำประตูสูงสุด. ผู้เล่นที่ยังลงเล่นอยู่ (ตัวหนา)สถิติผู้เล่นสถิติผู้เล่น. - ผู้เล่นอายุน้อยที่สุด : ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) — 15 ปี 8 เดือน 22 วัน (25 เมษายน 2561, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ไทยลีก 2561) - ผู้เล่นอายุมากที่สุด : สมชาย ทรัพย์เพิ่ม (ทีโอที เอสซี) — 51 ปี 7 เดือน 25 วัน (3 พฤศจิกายน 2556, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 ทีโอที เอสซี, ไทยพรีเมียร์ลีก 2556) - ผู้เล่นที่ยิงประตูอายุน้อยที่สุด : ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) — 15 ปี 9 เดือน 25 วัน (26 พฤษภาคม 2561, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 5-0 แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล, ไทยลีก 2561) - ผู้เล่นที่ยิงประตูอายุมากที่สุด : เทิดศักดิ์ ใจมั่น (ชลบุรี เอฟซี) — 40 ปี 8 เดือน 24 วัน (2 มิถุนายน 2557 ทีโอที เอสซี 1-1 ชลบุรี เอฟซี, ไทยพรีเมียร์ลีก 2557) - ยิงประตูได้ติดต่อกันเยอะที่สุด: 10 เกม — ดิโอโก หลุยส์ ซานโต (บุรีรัมย์ ยูไนเต๋็ด) (24 กันยายน 2560 — 2 มีนาคม 2561, ไทยลีก 2560, ไทยลีก 2561) - ไม่เสียประตูติดต่อกันเยอะที่สุด : 6 เกม —- ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ไทยพรีเมียร์ลีก 2557) - กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ( เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2559) - กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ( เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2560) - ยิงประตูเยอะที่สุดต่อฤดูกาล : 38 ประตู — ดราแกน บอสโควิช (แบงค็อก ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2560) - แอสซิสต์เยอะที่สุดต่อฤดูกาล : 19 แอสซิสต์ — ธีราทร บุญมาทัน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ไทยพรีเมียร์ลีก 2558) - ได้แชมป์ไทยลีกเยอะที่สุด : 6 ครั้ง — จักรพันธ์ แก้วพรม - เล่นไทยลีกมากที่สุด : 19 ฤดูกาล — อำนาจ แก้วเขียว (2540-2557)เครือข่ายถ่ายทอดโทรทัศน์เครือข่ายถ่ายทอดโทรทัศน์. - ครั้งที่ 1-6 : ช่อง 7 สี - ครั้งที่ 7-12 : ทรูวิชันส์ / ไทยทีวีสีช่อง 3 - ครั้งที่ 13-14 : ดีทีวี / สยามกีฬาทีวี / เอ็นบีที / ทีสปอร์ต (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 40 ล้านบาท) - ครั้งที่ 15-17 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต) / สยามสปอร์ตแชนเนล (สยามกีฬาทีวี) / สทท. (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 200 ล้านบาท) - ครั้งที่ 18-20 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต) / ทรูโฟร์ยู ช่องโทรทัศน์ระบบดิจิทัลของทรูวิชันส์ (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 600 ล้านบาท) ในครั้งที่ 19 ฤดูกาล 2558 มีการแบ่งขายสิทธิการถ่ายทอดสดให้แก่ ททบ.5 และช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี เป็นบางส่วน - ครั้งที่ 21-24 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต / ทรูสปาร์กจัมพ์) / ทรูโฟร์ยู (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 1,050 ล้านบาท)รางวัลเงินรางวัลรางวัล. เงินรางวัล. - ชนะเลิศ: 10,000,000 บาท - รองชนะเลิศ: 2,000,000 บาท - อันดับสาม: 1,500,000 บาท - อันดับสี่: 800,000 บาท โดยทาง การกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล สำหรับสโมสรฟุตบอลซึ่งได้คะแนนรวมในอันดับต่างๆ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล นอกจากนี้ ยังมีเงินบำรุงสโมสรที่เข้าร่วมแข่งขัน สโมสรละ 1,000,000 บาท โล่พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท สำหรับผู้จัดการทีม/หัวหน้าผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม และผู้ทำประตูสูงสุด, โล่พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท สำหรับสโมสรที่มีมารยาทยอดเยี่ยม, นักฟุตบอลเยาวชนผู้มีผลงานโดดเด่น และผู้เล่นยอดเยี่ยมตำแหน่งต่างๆ คือผู้รักษาประตู, กองหลัง, กองกลาง และกองหน้าถ้วยรางวัลถ้วยรางวัล. - 2554 – 2558 ในปี 2010 ทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ได้จัดทำถ้วยไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นใหม่ โดยถ้วยนั้นออกแบบโดย กลูครีเอทีฟ จากประเทศอังกฤษ และผลิตที่เมือง เชฟฟีลด์ ตัวถ้วยมีความสูง 75 เซนติเมตร หนักมากกว่า 30 กิโลกรัม - 2559 (ถ้วยพระราชทานประเภท ก) หลังจากที่ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ชนะการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 สมาคมฯได้อัญเชิญ ถ้วยพระราชทานประเภท ก เป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศสำหรับแชมป์ไทยลีก หลังจากที่ถ้วยนี้ได้ใช้เป็นถ้วยชนะเลิศ ตั้งแต่ปี 2459 ถึง 2538 - 2559 (เฉพาะกิจ) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดทำถ้วยแชมป์ไทยลีก และดิวิชั่น 1 ขึ้นมาใหม่แบบเฉพาะกิจ เพื่อมอบให้กับ เอสซีจี เมืองทองฯ แชมป์ไทยลีก 2016 และไทยฮอนด้า แชมป์ดิวิชั่น 1 2016 ในวันที่ 17 และ 18 ก.พ. ตามลำดับ ท่ามกลางความสงสัยของคนวงการฟุตบอล ว่าเหตุใดถึงทำถ้วยใบใหม่ขึ้นมา และเหตุใดถึงไม่ใช้ถ้วยใบเก่า พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการสมาคมฯ และโฆษกสมาคมฯ กล่าวว่าสาเหตุที่ไม่สามารถนำถ้วยแชมป์ใบเก่ามามอบให้กับ เมืองทองฯ ได้ เนื่องจากเป็นถ้วยของ บ.ไทยพรีเมียร์ลีก หรือบริษัทเดิมที่จัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก ทว่าปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทเป็น บ.ไทยลีก จำกัด ดังนั้นจึงต้องทำถ้วยใบใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นสมบัติของ บ.ไทยลีก - 2560 – ปัจจุบัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุม 127 สนามราชมังคลากีฬาสถาน สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ บริษัท ไทยลีก จำกัด ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวการเปิดตัวถ้วยรางวัลสำหรับฟุตบอลลีกอาชีพ 4 รายการ ถ้วยรางวัลทั้งหมดถูกออกแบบ โดย จอห์น นิกซ์, ปีเตอร์ วิลสัน และ คิม เซาแธม ชาวสหราชอาณาจักรที่ผลงานระดับโลก อาทิ ออกแบบรางวัลนักเตะชายและหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า, โทรฟี่ฟุตบอลหญิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ฯ ซึ่งถ้วยรางวัลของฟุตบอลลีกอาชีพ และฟุตบอลถ้วยของไทยใบใหม่นี้ถือเป็นผลงานที่หล่อขึ้นมาใหม่ชิ้นต่อชิ้นของพวกเขา นอกจากนี้ยังสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยการใช้ลวดลายกนก โดยถ้วยรางวัลฟุตบอลลีกอาชีพทั้ง 4 ระดับนั้น จะมีลวดลายที่คล้ายคลึงกัน ต่างเพียงวัสดุที่ใช้ ทั้งนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ บ.ไทยลีก จำกัด จะจัดพิธีการมอบถ้วยรางวัลที่ออกแบบใหม่ให้กับทีมแชมป์ โตโยต้า ไทยลีก, เอ็ม-150 แชมเปียนชิพ, ยูโร่เค้ก ลีก โปร และ ยูโร่เค้ก ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2017 นี้เป็นต้นไป ผู้ทำประตูสูงสุดของฤดูกาลผู้จัดการทีม/หัวหน้าผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมผู้เล่นยอดเยี่ยมลีกเยาวชน ลีกเยาวชน. ลีกเยาวชนก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดยความร่วมมือของการกีฬาแห่งประเทศไทย ใช้ชื่อการแข่งขันว่า ไทยแลนด์ยูธลีก มีรูปแบบการแข่งขันคล้ายกับ ไทยลีก 4 และมีการแข่งขันทั้งหมด 4 รุ่นได้แก่ รุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี, 15 ปี, 17 ปี และ 19 ปี
| ระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศไทยมีชื่อเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"ไทยลีก"
],
"answer_begin_position": [
86
],
"answer_end_position": [
92
]
} |
2,082 | 52,371 | ไทยลีก ไทยลีก (; ชื่อย่อ T1) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2539 ภายใต้การบริหารของ บริษัท ไทยลีก จำกัด มีสโมสรฟุตบอลที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 18 สโมสร ดำเนินการแข่งขัน ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมของทุกปี โดยแต่ละสโมสรจะแข่งขันแบบพบกันหมด สองนัดเหย้าเยือนรวม 34 นัดต่อสโมสรต่อฤดูกาล รวมทั้งหมด 306 นัดต่อฤดูกาล โดยนับตั้งแต่จัดตั้งลีกขึ้นมา มีทั้งหมด 41 สโมสรที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และมี 10 สโมสรที่ได้แชมป์ไทยลีก คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (6) (โดยนับรวมสมัยลงแข่งขันในนามสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ บุรีรัมย์ พีอีเอ), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (4), โปลิศ เทโร, สโมสรทหารอากาศ และ ธนาคารกรุงไทย (2), ธนาคารกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, สินธนา, ชลบุรี เอฟซี และพนักงานยาสูบ (1)ประวัติ ประวัติ. เมื่อปี พ.ศ. 2539 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีความคิดในการที่จะปรับปรุงระบบการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ จากวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นเลิศ มาเป็นรูปแบบอาชีพ โดยเริ่มก่อตั้งฟุตบอลลีกสูงสุดขึ้น โดยเดิมที การแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรระดับสูงสุดของประเทศคือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. (ถ้วยใหญ่) ซึ่งจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 จนถึงปี พ.ศ. 2538 (ในฐานะการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรระดับสูงสุดของประเทศ) โดยมีสโมสรฟุตบอลเข้าร่วมแข่งขันใน ฤดูกาลแรก ทั้งหมด 18 สโมสร ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างเป็น 10 สโมสร จนถึง ฤดูกาล 2547/48การควบรวมลีก การควบรวมลีก. ในปี พ.ศ. 2549 มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ เริ่มมีการให้ สิทธิสโมสรที่จบตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศใน โปรวินเชียลลีก เข้าร่วมการแข่งขันได้ ซึ่งทำให้มีการเพิ่มจำนวนสโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็น 12 สโมสร ตั้งแต่ ฤดูกาล 2549 จนกระทั่งในปีถัดมา (พ.ศ. 2550) จึงมีการควบรวม โปรวินเชียลลีก โดยได้มีการจัดทำ บันทึกช่วยจำ การจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพของประเทศไทย ระหว่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งเป็นเอกสารข้อตกลงในการรวมลีกทั้งสองเข้าเป็นลีกเดียว โดยให้สิทธิสโมสรที่จบตำแหน่งชนะเลิศและรองชนะเลิศในการแข่งขัน โปรลีก ฤดูกาล 2549 เข้าแข่งขันใน ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ด้วย ซึ่งทำให้มีการเพิ่มจำนวนสโมสรที่เข้าแข่งขันเป็น 16 สโมสร พร้อมทั้งเพิ่มเงื่อนไขให้สโมสรซึ่งอยู่ใน 3 อันดับสุดท้ายเมื่อจบฤดูกาล ต้องตกชั้นไปสู่ ไทยลีกดิวิชั่น 1 โดยให้สิทธิสโมสรชนะเลิศ รองชนะเลิศ และ อันดับที่ 3 ของ ไทยลีกดิวิชั่น 1 เลื่อนชั้นมาแข่งขันเป็นการทดแทน โดยสโมสรแรกที่มาจาก โปรวินเชียลลีก แล้วสามารถชนะเลิศการแข่งขันได้คือ ชลบุรี เอฟซี ใน ฤดูกาล 2550การปรับโครงสร้างลีกสู่ลีกอาชีพ การปรับโครงสร้างลีกสู่ลีกอาชีพ. ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ออกระเบียบว่าด้วยความเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นผลให้สมาคมฯ ต้องดำเนินการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อบริหารลีกและจัดการแข่งขันแทนที่ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยได้มีการจัดตั้ง บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ขึ้น โดยมี วิชิต แย้มบุญเรือง อดีตนัก ฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นประธานกรรมการคนแรก และออกระเบียบให้ผู้บริหารสโมสรฟุตบอลอาชีพ ต้องจัดตั้งในรูปนิติบุคคล (บริษัท) เพื่อดำเนินการบริหารสโมสร ส่งผลให้มีการแข่งขันเชิงรูปแบบ การบริหารจัดการให้เป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น รวมทั้งแพร่หลายออกไปยังส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ จากเดิมที่สโมสรฟุตบอลต่างๆ จะกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น จึงกลับมาเป็นที่นิยมของแฟนฟุตบอลไทยอีกครั้ง โดยใน ฤดูกาล 2554 สมาคมฯ ประกาศเพิ่มจำนวนสโมสรที่จะทำการแข่งขัน เป็น 18 สโมสรกรณีพิพาทของลีก กรณีพิพาทของลีก. ต่อมาได้มีกรณีข้อพิพาทในเรื่องสิทธิการบริหารสโมสรและสิทธิการแข่งขัน ระหว่าง อีสาน ยูไนเต็ด และ ศรีสะเกษ เอฟซี โดยทาง อีสาน ยูไนเต็ด ได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาว่า ศรีสะเกษ เอฟซี มีสิทธิทำการแข่งขันในฤดูกาล ฤดูกาล 2556 หรือไม่ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว เป็นผลให้ บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก ต้องลงมติให้พักการแข่งขันของ สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ ตามคำสั่งคุ้มครองฯของศาล โดยเมื่อศาลปกครองวินิจฉัยให้สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ มีสิทธิทำการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกได้ต่อไป สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จึงประชุมร่วมกับ บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ และสโมสรสมาชิกทั้งหมด โดยที่ประชุมลงมติให้ ฤดูกาล 2557 เพิ่มสมาชิกเป็น 20 สโมสร และกำหนดสโมสรที่จะต้องตกชั้นลงไปแข่งขันไทยลีกดิวิชั่น 1 ต้องมีถึง 5 สโมสรคือ อันดับที่ 16-20 (ขณะเดียวกัน ทั้งสองฤดูกาลดังกล่าว ยังคงให้สโมสรชนะเลิศ, รองชนะเลิศ และอันดับที่ 3 ของไทยลีกดิวิชัน 1 ขึ้นมาแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกตามเดิม) เพื่อทำให้สโมสรสมาชิก คงเหลือเพียง 18 ทีมเท่าเดิม ส่วนฤดูกาล 2556 ให้สโมสรอันดับที่ 17 ต้องตกชั้นลงไปแข่งขันในไทยลีกดิวิชัน 1 เพียงทีมเดียวการเปลื่ยนแปลงบริหาร การเปลื่ยนแปลงบริหาร. ภายหลังจากการเลือกตั้งนายก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่ง พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งได้รับเลือกจากสโมสรสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม คนใหม่ได้ประกาศว่าได้ทำการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน บจก.ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยใช้ชื่อว่า บริษัท พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ จำกัด (PLT) และได้มีการจัดหาตัวแทนบริหารสิทธิประโยชน์ของลีก แทนที่ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการยกเลิกสัญญาไปการปรับโครงสร้างระบบลีก การปรับโครงสร้างระบบลีก. ต่อมา ได้มีการจัดตั้ง บริษัท ไทยลีก จำกัด ขึ้นมาแทน บจก.พรีเมียร์ลีกไทยแลนด์ ตามคำแนะนำของ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และ สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ โดยได้โอนหุ้นจำนวน 99.98% ที่ทางนายกสมาคมฯ ถือไว้ ให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต่อมา สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีนโยบายในการพัฒนาศักยภาพสโมสรฟุตบอลลีกอาชีพอย่างยั่งยืน และยกระดับลีกภายในประเทศ ให้ก้าวไปสู่ลีกชั้นนำของอาเซียนและเอเชีย เริ่มจากการตั้งและปรับเปลี่ยนชื่อลีกแต่ละระดับให้อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน เน้นความเรียบง่าย กระชับ น่าจดจำและร่วมสมัยที่สุด การแข่งขันฟุตบอลลีกภายในประเทศไทยภายใต้การจัดของ บริษัท ไทยลีก จำกัด ตั้งแต่ฤดูกาล 2560 จะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยมีชื่อเรียกหลักอย่างเป็นทางการประกอบด้วย1. ไทยลีก (Thai League) ชื่อย่อ T1 เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ ระดับสูงสุดของประเทศไทย โดยฤดูกาล 2560 สโมสรที่จบอันดับที่ 1-15 ของ ฤดูกาล 2559 และ สโมสรอันดับ 1-3 จาก ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 18 สโมสร และ ฤดูกาล 2562 จะมีการปรับลดจำนวนสโมสรที่ทำการแข่งขันเป็น 16 สโมสร เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตารางแข่งขันให้ ฟุตบอลทีมชาติไทย ได้มีเวลาเตรียมทีมแข่งขันรายการต่างๆ สามารถมีช่วงเวลาหยุดพักแข่งขันตามหลักสากล1. ไทยลีก 2 (Thai league 2) ชื่อย่อ T2 เป็นการแข่งขันฟุตบอลอาชีพระดับที่สองรองจาก ไทยลีก โดย ฤดูกาล 2560 สโมสรที่จบอันดับ 16-18 จาก ไทยลีก ฤดูกาล 2559, สโมสรที่จบอันดับ 4-15 จาก ฤดูกาล 2559 และ 3 สโมสรที่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้น จาก ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 18 สโมสร1. ไทยลีก 3 (Thai league 3) ชื่อย่อ T3 เป็นฟุตบอลลีกอาชีพระดับ 3 ซึ่งจะเริ่มแข่งขันใน ฤดูกาล 2560 เป็นฤดูกาลแรก โดยนำสโมสรที่จบอันดับ 1-4 จาก 8 โซนของ ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 และไม่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นใน รอบแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2559 รวมเป็น 32 สโมสร แล้วแบ่งเป็น 2 โซนๆ ละ 16 สโมสร1. ไทยลีก 4 (Thai league 4) ชื่อย่อ T4 เป็นฟุตบอลลีกอาชีพระดับ 4 โดยสโมสรที่เข้าแข่งขันมาจากสโมสรใน ลีกภูมิภาค ฤดูกาล 2559 ที่ไม่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่น ไทยลีก 3 รวมกับ ทีมสำรอง ของสโมสรใน ไทยลีก1. ไทยแลนด์ อเมเจอร์ลีก (Thailand Amateur League) ลีกสมัครเล่นรูปแบบการแข่งขัน รูปแบบการแข่งขัน. ไทยลีก มีสโมสรฟุตบอลเข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งหมด 18 สโมสร ตามปกติจะดำเนินการจัดแข่งขัน ระหว่างเดือนมีนาคมถึงตุลาคมของทุกปี โดยแต่ละสโมสรจะแข่งขันแบบพบกันหมด สองนัดเหย้าเยือนรวม 34 นัดต่อสโมสรต่อฤดูกาล ซึ่งในแต่ละนัด ผู้ชนะจะได้ 3 คะแนน เสมอได้ 1 คะแนน แพ้ไม่ได้คะแนน ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล สโมสรที่ได้คะแนนรวมสูงสุด จะได้รับตำแหน่งชนะเลิศ และได้สิทธิไปแข่งขันรายการ เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ส่วนสโมสรที่ได้รองชนะเลิศจะได้ไปแข่งในรายการเดียวกัน แต่จะแข่งขันใน รอบคัดเลือก รอบสอง (กรณีสโมสรที่ชนะเลิศหรือรองชนะเลิศไทยลีก และสโมสรที่ชนะเลิศ ไทย เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นสโมสรเดียวกัน สิทธิแข่งขันจะตกเป็นของสโมสรที่ได้คะแนนอันดับที่ 3 ของลีกแทน) ส่วนสโมสรที่ได้คะแนนรองลงมา จะเรียงอันดับลดหลั่นกันตามคะแนนรวมที่ได้ โดยสโมสรที่จบฤดูกาลในสามอันดับสุดท้าย จะตกชั้นสู่ไทยลีกดิวิชั่น 1 และ สามอันดับแรก จาก ดิวิชั่น 1 จะเลื่อนชั้นมาแทน ในกรณีที่มีสโมสรมากกว่า 1 ทีมขึ้นไป ได้คะแนนรวมเท่ากันเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ให้ใช้เกณฑ์พิจารณาเรียงลำดับดังนี้1. พิจารณาจากผลการแข่งขันของทีมที่มีคะแนนเท่ากันที่เคยแข่งกันมาในฤดูกาลที่เพิ่งจบการแข่งขัน (Head To Head) 2. พิจารณาจากจำนวนครั้งที่ชนะ (Number of Wins) ของแต่ละทีมที่คะแนนเท่ากัน 3. พิจารณาจากผลต่างของประตูได้ และประตูเสีย (Goals Difference) 4. พิจารณาเฉพาะประตูได้ (Goals For) 5. แข่งขันกันใหม่ 1 นัด เพื่อหาทีมชนะ หากผลการแข่งขันเสมอกันในเวลาปกติให้ตัดสินด้วยการเตะลูกโทษ ณ จุดเตะโทษ 6. ในกรณีที่พิจารณาตามเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับแล้วและได้เกณฑ์ตัดสินตามข้อหนึ่งข้อใดแล้วให้ยุติการพิจารณาข้อต่อไป ในการจัดอันดับระหว่างการแข่งขัน เพื่อแสดงลำดับในตารางคะแนนระหว่างฤดูกาล ให้ใช้เกณฑ์พิจารณาดังต่อไปนี้1. พิจารณาจากคะแนนรวมสูงสุด 2. ถ้าคะแนนรวมเท่ากันให้พิจารณาจากผลต่างของประตูได้ ประตูเสีย 3. ถ้ายังเท่ากันอีกให้ดูเฉพาะประตูได้ 4. ถ้ายังเท่ากันอีกให้ทำการจับฉลากผู้สนับสนุนหลัก ผู้สนับสนุนหลัก. รายชื่อผู้สนับสนุนหลักแข่งขันในฤดูกาลต่างๆ- 2539-2540: จอห์นนีวอล์กเกอร์ (จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ไทยแลนด์ซอกเกอร์ลีก) - 2541-2543: คาลเท็กซ์ (คาลเท็กซ์ พรีเมียร์ลีก) - 2544-2547: จีเอสเอ็ม (จีเอสเอ็ม ไทยลีก) - 2547-2552: ไม่มีผู้สนับสนุน (ไทยลีก (2547-2548)), (ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก (2549-2551)), (ไทยพรีเมียร์ลีก (2552)) - 2553-2555: สปอนเซอร์ (สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก) - 2556-ปัจจุบัน: โตโยต้า (โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก (จนถึง 2559) แล้วเปลี่ยนเป็น โตโยต้า ไทยลีก)สโมสรที่เข้าร่วมไทยลีก (ฤดูกาล 2561) สโมสรที่เข้าร่วมไทยลีก (ฤดูกาล 2561). ทำเนียบสโมสรชนะเลิศจำนวนครั้งที่ชนะเลิศผู้ลงเล่นสูงสุด ทำเนียบสโมสรชนะเลิศ. ผู้ลงเล่นสูงสุด. ผู้เล่นที่ยังเล่นอยู่ (ตัวหนา) ผู้ทำประตูสูงสุด ผู้ทำประตูสูงสุด. ผู้เล่นที่ยังลงเล่นอยู่ (ตัวหนา)สถิติผู้เล่นสถิติผู้เล่น. - ผู้เล่นอายุน้อยที่สุด : ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) — 15 ปี 8 เดือน 22 วัน (25 เมษายน 2561, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ไทยลีก 2561) - ผู้เล่นอายุมากที่สุด : สมชาย ทรัพย์เพิ่ม (ทีโอที เอสซี) — 51 ปี 7 เดือน 25 วัน (3 พฤศจิกายน 2556, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 ทีโอที เอสซี, ไทยพรีเมียร์ลีก 2556) - ผู้เล่นที่ยิงประตูอายุน้อยที่สุด : ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) — 15 ปี 9 เดือน 25 วัน (26 พฤษภาคม 2561, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 5-0 แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล, ไทยลีก 2561) - ผู้เล่นที่ยิงประตูอายุมากที่สุด : เทิดศักดิ์ ใจมั่น (ชลบุรี เอฟซี) — 40 ปี 8 เดือน 24 วัน (2 มิถุนายน 2557 ทีโอที เอสซี 1-1 ชลบุรี เอฟซี, ไทยพรีเมียร์ลีก 2557) - ยิงประตูได้ติดต่อกันเยอะที่สุด: 10 เกม — ดิโอโก หลุยส์ ซานโต (บุรีรัมย์ ยูไนเต๋็ด) (24 กันยายน 2560 — 2 มีนาคม 2561, ไทยลีก 2560, ไทยลีก 2561) - ไม่เสียประตูติดต่อกันเยอะที่สุด : 6 เกม —- ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ไทยพรีเมียร์ลีก 2557) - กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ( เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2559) - กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ( เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2560) - ยิงประตูเยอะที่สุดต่อฤดูกาล : 38 ประตู — ดราแกน บอสโควิช (แบงค็อก ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2560) - แอสซิสต์เยอะที่สุดต่อฤดูกาล : 19 แอสซิสต์ — ธีราทร บุญมาทัน (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ไทยพรีเมียร์ลีก 2558) - ได้แชมป์ไทยลีกเยอะที่สุด : 6 ครั้ง — จักรพันธ์ แก้วพรม - เล่นไทยลีกมากที่สุด : 19 ฤดูกาล — อำนาจ แก้วเขียว (2540-2557)เครือข่ายถ่ายทอดโทรทัศน์เครือข่ายถ่ายทอดโทรทัศน์. - ครั้งที่ 1-6 : ช่อง 7 สี - ครั้งที่ 7-12 : ทรูวิชันส์ / ไทยทีวีสีช่อง 3 - ครั้งที่ 13-14 : ดีทีวี / สยามกีฬาทีวี / เอ็นบีที / ทีสปอร์ต (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 40 ล้านบาท) - ครั้งที่ 15-17 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต) / สยามสปอร์ตแชนเนล (สยามกีฬาทีวี) / สทท. (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 200 ล้านบาท) - ครั้งที่ 18-20 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต) / ทรูโฟร์ยู ช่องโทรทัศน์ระบบดิจิทัลของทรูวิชันส์ (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 600 ล้านบาท) ในครั้งที่ 19 ฤดูกาล 2558 มีการแบ่งขายสิทธิการถ่ายทอดสดให้แก่ ททบ.5 และช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี เป็นบางส่วน - ครั้งที่ 21-24 : ทรูวิชันส์ (ทรูสปอร์ต / ทรูสปาร์กจัมพ์) / ทรูโฟร์ยู (มูลค่าลิขสิทธิ์ ปีละ 1,050 ล้านบาท)รางวัลเงินรางวัลรางวัล. เงินรางวัล. - ชนะเลิศ: 10,000,000 บาท - รองชนะเลิศ: 2,000,000 บาท - อันดับสาม: 1,500,000 บาท - อันดับสี่: 800,000 บาท โดยทาง การกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล สำหรับสโมสรฟุตบอลซึ่งได้คะแนนรวมในอันดับต่างๆ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล นอกจากนี้ ยังมีเงินบำรุงสโมสรที่เข้าร่วมแข่งขัน สโมสรละ 1,000,000 บาท โล่พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท สำหรับผู้จัดการทีม/หัวหน้าผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม และผู้ทำประตูสูงสุด, โล่พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท สำหรับสโมสรที่มีมารยาทยอดเยี่ยม, นักฟุตบอลเยาวชนผู้มีผลงานโดดเด่น และผู้เล่นยอดเยี่ยมตำแหน่งต่างๆ คือผู้รักษาประตู, กองหลัง, กองกลาง และกองหน้าถ้วยรางวัลถ้วยรางวัล. - 2554 – 2558 ในปี 2010 ทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ได้จัดทำถ้วยไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นใหม่ โดยถ้วยนั้นออกแบบโดย กลูครีเอทีฟ จากประเทศอังกฤษ และผลิตที่เมือง เชฟฟีลด์ ตัวถ้วยมีความสูง 75 เซนติเมตร หนักมากกว่า 30 กิโลกรัม - 2559 (ถ้วยพระราชทานประเภท ก) หลังจากที่ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ชนะการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในเดือน กุมภาพันธ์ 2559 สมาคมฯได้อัญเชิญ ถ้วยพระราชทานประเภท ก เป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศสำหรับแชมป์ไทยลีก หลังจากที่ถ้วยนี้ได้ใช้เป็นถ้วยชนะเลิศ ตั้งแต่ปี 2459 ถึง 2538 - 2559 (เฉพาะกิจ) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดทำถ้วยแชมป์ไทยลีก และดิวิชั่น 1 ขึ้นมาใหม่แบบเฉพาะกิจ เพื่อมอบให้กับ เอสซีจี เมืองทองฯ แชมป์ไทยลีก 2016 และไทยฮอนด้า แชมป์ดิวิชั่น 1 2016 ในวันที่ 17 และ 18 ก.พ. ตามลำดับ ท่ามกลางความสงสัยของคนวงการฟุตบอล ว่าเหตุใดถึงทำถ้วยใบใหม่ขึ้นมา และเหตุใดถึงไม่ใช้ถ้วยใบเก่า พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการสมาคมฯ และโฆษกสมาคมฯ กล่าวว่าสาเหตุที่ไม่สามารถนำถ้วยแชมป์ใบเก่ามามอบให้กับ เมืองทองฯ ได้ เนื่องจากเป็นถ้วยของ บ.ไทยพรีเมียร์ลีก หรือบริษัทเดิมที่จัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก ทว่าปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทเป็น บ.ไทยลีก จำกัด ดังนั้นจึงต้องทำถ้วยใบใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นสมบัติของ บ.ไทยลีก - 2560 – ปัจจุบัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุม 127 สนามราชมังคลากีฬาสถาน สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ บริษัท ไทยลีก จำกัด ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวการเปิดตัวถ้วยรางวัลสำหรับฟุตบอลลีกอาชีพ 4 รายการ ถ้วยรางวัลทั้งหมดถูกออกแบบ โดย จอห์น นิกซ์, ปีเตอร์ วิลสัน และ คิม เซาแธม ชาวสหราชอาณาจักรที่ผลงานระดับโลก อาทิ ออกแบบรางวัลนักเตะชายและหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า, โทรฟี่ฟุตบอลหญิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ฯ ซึ่งถ้วยรางวัลของฟุตบอลลีกอาชีพ และฟุตบอลถ้วยของไทยใบใหม่นี้ถือเป็นผลงานที่หล่อขึ้นมาใหม่ชิ้นต่อชิ้นของพวกเขา นอกจากนี้ยังสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยการใช้ลวดลายกนก โดยถ้วยรางวัลฟุตบอลลีกอาชีพทั้ง 4 ระดับนั้น จะมีลวดลายที่คล้ายคลึงกัน ต่างเพียงวัสดุที่ใช้ ทั้งนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ บ.ไทยลีก จำกัด จะจัดพิธีการมอบถ้วยรางวัลที่ออกแบบใหม่ให้กับทีมแชมป์ โตโยต้า ไทยลีก, เอ็ม-150 แชมเปียนชิพ, ยูโร่เค้ก ลีก โปร และ ยูโร่เค้ก ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2017 นี้เป็นต้นไป ผู้ทำประตูสูงสุดของฤดูกาลผู้จัดการทีม/หัวหน้าผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมผู้เล่นยอดเยี่ยมลีกเยาวชน ลีกเยาวชน. ลีกเยาวชนก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดยความร่วมมือของการกีฬาแห่งประเทศไทย ใช้ชื่อการแข่งขันว่า ไทยแลนด์ยูธลีก มีรูปแบบการแข่งขันคล้ายกับ ไทยลีก 4 และมีการแข่งขันทั้งหมด 4 รุ่นได้แก่ รุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี, 15 ปี, 17 ปี และ 19 ปี
| ระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในไทยชื่อว่า ไทยลีก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2539"
],
"answer_begin_position": [
178
],
"answer_end_position": [
182
]
} |
2,083 | 69,628 | รางวัลออสการ์ อะแคเดมีอะวอร์ด (; "รางวัลสถาบัน") หรืิอ ออสการ์ () เป็นรางวัลทางภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดยสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ ( หรือ ) เริ่มจัดครั้งแรกในปี ค.ศ. 1929ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมา. พีธีมอบรางวัลออสการ์ครั้งแรกจัดขึ้นแบบงานเลี้ยงอาหารค่ำเล็ก ๆ ที่โรงแรม Roosevelt ในฮอลลีวู้ด บัตรเข้าชมราคา 5$ มีผู้ร่วมงานไม่ถึง 250 คน ปีต่อมา ๆ ได้เปลี่ยนมาจัดที่โรงแรม Ambassador และโรงแรม Biltmore พีธีมอบรางวัลออสการ์ครั้งที่สองได้เริ่มมีการกระจายเสียงสดผ่านทางวิทยุ ต่อมาในปีค.ศ. 1953 จึงเปลี่ยนมาแพร่ภาพทางโทรทัศน์ขาวดำ มีผู้ชมหลายล้านคนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในปีค.ศ. 1966 พีธีมอบรางวัลได้แพร่ภาพทางโทรทัศน์สีเป็นครั้งแรก และมีการออกอากาศไปทั่วโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1969 เป็นต้นมา ในช่วงทศวรรษแรก ธรรมเนียมปฏิบัติในการประกาศรางวัลสู่สาธารณชนจะทำโดยนำผลการตัดสินให้กับหนังสือพิมพ์ในเวลา 23 นาฬิกาของคืนวันงาน จนกระทั่งปีค.ศ. 1940 หนังสือพิมพ์ลอสเองเจลลิสไทม์แอบทราบผลการตัดสินและได้นำไปตีพิมพ์สู่สาธารณชนก่อนพิธีประกาศรางวัลจะเริ่มขึ้น นับแต่นั้นมา ผลการตัดสินจึงอยู่ในซองจดหมายที่ปิดผนึก พิธีประกาศผลรางวัลออสการ์ได้จัดในหลากหลายสถานที่ ในแคลิฟอเนียร์ และได้ย้ายมาจัดที่ โกดักเธียเตอร์ ในปี ค.ศ. 2002 และเปลี่ยนชื่อเป็น ดอลบี้เธียเตอร์ จนถึงปัจจุบันรูปปั้นลักษณะ รูปปั้น. ลักษณะ. รูปปั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Academy Award of Merit เป็นรูปอัศวินถือดาบครูเสดเอาปลายแหลมลงดิน ยืนบนม้วนแผ่นฟิล์ม สูง 13 นิ้วครึ่ง (34 เซนติเมตร)หนัก 8 ปอนด์ครึ่ง (3.85 กิโลกรัม) ทำจากบริทานเนียมชุบด้วยทองคำบนฐานโลหะสีดำ ออกแบบโดย Cedric Gibbons ตรงส่วนฐานที่เป็นม้วนแผ่นฟิล์มนั่นจะเป็นที่จารึก 5 สาขาดั้งเดิมของรางวัลออสการ์ อันประกอบไปด้วย นักแสดง เขียนบท กำกับการแสดง อำนวยการสร้าง และด้านเทคนิคการออกแบบ การออกแบบ. Cedric Gibbons ซึ่งเป็นผู้กำกับศิลป์ของเอ็มจีเอ็มและเป็นหนึ่งในสมาชิกเก่าแก่ของออสการ์ เป็นผู้ออกแบบรูปปั้นรางวัลออสการ์ Cedric ได้ใช้เรือนร่างเปลือยของนักแสดงเม็กซิโกคนหนึ่งที่ Dolores del Río ผู้เป็นภรรยาของเขาได้แนะนำให้รู้จัก ชื่อว่า Emilio Fernández เป็นแบบในการทำรูปปั้น โดยมี George Stanley เป็นผู้ร่างแบบบนดินเหนียว และมี Sachin Smith เป็นผู้หล่อรูปปั้นโดยใช้ส่วนประกอบ ดีบุก 92.5% ทองแดง 7.5% และชุบด้วยทองคำ โดยในส่วนฐานของรูปปั้นได้เพิ่มเข้ามาในภายหลัง แต่เดิมฐานจะทำจากหินอ่อน ในปีค.ศ. 1945 จึงเปลี่ยนเป็นโลหะ แม่พิมพ์ต้นฉบับของรูปปั้นออสการ์ทำขึ้นในปีค.ศ. 1928 ที่ C.W. Shumway & Sons Foundry ในบาทาเวีย รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งแม่พิมพ์ของถ้วยรางวัลเอมมีและรางวัล Vince Lombardi Trophy ก็ทำขึ้นจากที่นี่เช่นเดียวกัน ในแต่ละปีรูปปั้นรางวัลออสการ์จำนวนประมาณ 40 อัน จะทำขึ้นที่ชิคาโก โดยบริษัท R.S. Owens หากมีรูปปั้นใดทำออกมาแล้วไม่มีคุณภาพ รูปปั้นนั้นจะถูกตัดเป็นสองท่อนแล้วนำไปหลอมละลาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รูปปั้นรางวัลออสการ์ที่มอบให้กับผู้รับรางวัลจะทำจากปูนปลาสเตอร์ โดยจะให้รูปปั้นที่ทำจากทองคำหลังสงครามสิ้นสุดที่มาของชื่อ ที่มาของชื่อ. ที่มาของคำว่า ออสการ์ นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ กรณีแรก ในชีวประวัติของนักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ชื่อ Bette Davis ได้อ้างว่าเธอเป็นผู้ตั้งชื่อให้กับรูปปั้นนี้ เนื่องจากด้านหลังของรูปปั้นนั้นดูคล้ายของสามีคนแรกของเธอที่ชื่อ Harmon Oscar Nelson เธอจึงใช้ชื่อกลางของเขาตั้งชื่อรูปปั้นว่า ออสการ์ ทางด้านนิตยสารไทม์ได้มีการกล่าวถึงคำว่า ออสการ์ ในบทความที่เกี่ยวกับงานประกาศผลอคาเดมีอวอร์ดสครั้งที่ 6 ในปี ค.ศ. 1934 และกล่าวถึงการรับรางวัลของ Bette Davis ในปี ค.ศ. 1936 นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงวอลต์ ดิสนีย์ ว่าเขาได้ขอบคุณอคาเดมีสำหรับรางวัลออสการ์ของเขาในต้นปี ค.ศ. 1932 กรณีที่สอง ได้มีการอ้างว่า Margaret Herrick เลขานุการผู้บริหารของอคาเดมี เป็นผู้ตั้งชื่อให้กับรูปปั้นนี้ ในปี ค.ศ. 1931 เธอเป็นคนแรกที่ได้เห็นถ้วยรางวัล เนื่องจากรูปปั้นนี้มีลักษณะคล้ายลุงของเธอ เธอจึงตั้งชื่อรูปปั้นนี้ตามชื่อลุงของเธอว่า ออสการ์ อย่างไรก็ตามทั้งคำว่า ออสการ์ และ อคาเดมีอวอร์ดส ต่างก็เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของสถาบันนี้คืนวันมอบรางวัล คืนวันมอบรางวัล. เป็นการถ่ายทอดสด โดยมากจะจัดหลังจากประกาศผู้เข้าชิงรางวัล 6 สัปดาห์ ดารานักร้องที่เข้าร่วมงานมักจะเดินบนพรมแดง แต่งชุดอย่างสวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน นอกจากมีการมอบรางวัลต่าง ๆ ยังมีการแสดงเพลงจากผู้เข้าชิงรางวัลในสาขาเพลง มีการประมาณการว่า มีผู้ชมกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก(ในปี 2546) ตัวงานได้แพร่ภาพออกทางโทรทัศน์ ในปี พ.ศ. 2496 ทางสถานี NBC จากนั้นจึงเปลี่ยนมือเป็นสถานี ABC ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519รางวัลทั่วไป รางวัลทั่วไป. ในปีค.ศ. 1949 ทางสถาบันได้เริ่มนับจำนวนรางวัลที่ได้มอบไป โดยเริ่มนับอย่างเป็นทางการที่รางวัลที่ 501 ตั้งแต่งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 1 จนถึงครั้งที่ 80 ได้มีการมอบรางวัลออสการ์ไปแล้ว 2,701 รางวัล และมีนักแสดงที่ได้รับรางวัล รวมทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศและรางวัลนักแสดงเยาวชน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 293 คนสาขารางวัลในปัจจุบัน สาขารางวัลในปัจจุบัน. รางวัลต่าง ๆ ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 24 สาขา รางวัลใหญ่มี 5 รางวัล (Big Five) ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture), รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director), รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor), รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress) และ รางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay)- ประเภทการสร้าง - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Director) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Screenplay) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ถึงปัจจุบัน - บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน- ประเภทนักแสดง - นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ถึงปัจจุบัน - นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Supporting Actress) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ถึงปัจจุบัน- ประเภทเทคนิคการถ่ายทำ - กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม (Best Art Direction) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - กำกับภาพยอดเยี่ยม (Best Cinematography) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Film Editing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ถึงปัจจุบัน- ประเภทเสียงและเทคนิคสมจริง - เทคนิคสมจริงยอดเยี่ยม (Best Visual Effects) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 ถึงปัจจุบัน - บันทึกเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Mixing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 ถึงปัจจุบัน - ลำดับเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Editing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 ถึงปัจจุบัน- ประเภทดนตรี - เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Original Song) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 ถึงปัจจุบัน - ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Original Score) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 ถึงปัจจุบัน- ประเภทเครื่องแต่งกายและแต่งหน้า - ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (Best Costume Design) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ถึงปัจจุบัน - แต่งหน้ายอดเยี่ยม (Best Makeup) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ถึงปัจจุบัน- ประเภทแอนิเมชั่น - ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม (Best Animated Feature) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ถึงปัจจุบัน - ภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นยอดเยี่ยม (Best Animated Short Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ถึงปัจจุบัน- ประเภทสารคดี - ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม (Best Documentary Feature) - ภาพยนตร์สารคดีสั้นยอดเยี่ยม (Best Documentary Short Subject)- ประเภทอื่น ๆ - ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best Foreign Language Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ถึงปัจจุบัน - ภาพยนตร์เหตุการณ์สั้น (ไลฟ์แอ๊กชั่น) (Best Live Action Short Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ถึงปัจจุบันรางวัลที่ถูกยกเลิกไปแล้วรางวัลที่ถูกยกเลิกไปแล้ว. - ผู้ช่วยผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Assistant Director) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ถึงพ.ศ. 2480 ในปีแรกของการให้รางวัล (พ.ศ. 2476) มีผู้ได้รับรางวัล 7 คน จากผู้เข้าชิง 18 คน โดยไม่มีการอ้างถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยผู้เข้าชิงนั้น ๆ แต่ในปีต่อ ๆ มาก็ได้อ้างถึงภาพยนตร์ของผู้เข้าชิงด้วย จนกระทั่งปีพ.ศ. 2480 รางวัลนี้ก็ถูกยกเลิกไป- ท่าเต้นยอดเยี่ยม (Best Dance Direction) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ถึงพ.ศ. 2480- เทคนิคทางวิศวกรรมยอดเยี่ยม (Best Engineering Effects) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 ถึงพ.ศ. 2471 รางวัลนี้มอบเพียงสองปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีการมอบรางวัลบันทึกเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Recording) แทน- ดนตรีดัดแปลงหรือดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Score—Adaptation or Treatment) - ดนตรีประกอบประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม (Best Original Musical or Comedy Score) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ถึงพ.ศ. 2546- ภาพยนตร์สั้นประเภทสียอดเยี่ยม (Best Short Film—Color) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ถึงพ.ศ. 2480- ภาพยนตร์สั้นประเภทเหตุการณ์ขนาด 2 ฟิล์มยอดเยี่ยม (Best Short Film—Live Action—2 Reels) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ถึงพ.ศ. 2499- ภาพยนตร์สั้นประเภทใหม่ (Best Short Film—Novelty) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ถึงพ.ศ. 2478- เรื่องราวดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Story) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 ถึงพ.ศ. 2499 รางวัลนี้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากเห็นว่าซ้ำซ้อนกับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมที่มีการมอบตั้งแต่พ.ศ. 2483- การสร้างที่พิเศษและมีศิลปะยอดเยี่ยม (Best Unique and Artistic Quality of Production) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 ถึงพ.ศ. 2471 รางวัลนี้มีการมอบเฉพาะในครั้งแรกเท่านั้น แล้วถูกยกเลิกในครั้งต่อมา เนื่องจากเห็นว่าซ้ำซ้อนกับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม- การเขียนบทยอดเยี่ยม (Best Title Writing) มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 ถึงพ.ศ. 2471 รางวัลนี้มอบสำหรับภาพยนตร์ใบ้ที่มีการเขียนบทได้ยอดเยี่ยม เนื่องจากในสมัยดังกล่าวภาพยนตร์ยังไม่มีเสียง การอธิบายบทสนทนาของตัวละครจึงใช้วิธีแทรกไว้ระหว่างฉากการแสดง- อื่น ๆ ในช่วงแรกของการให้รางวัล รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทภาพยนตร์ดรามาและภาพยนตร์ตลก ส่วนรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทภาพยนตร์ดรามาและภาพยนตร์เพลงหรือตลก ซึ่งปัจจุบันได้รวมเหลือรางวัลเดียว คือ รางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมรางวัลที่ไม่ผ่านการพิจารณา รางวัลที่ไม่ผ่านการพิจารณา. ในแต่ละปีคณะกรรมการออสการ์จะพิจารณารางวัลสาขาใหม่ที่เสนอเข้ามา จวบจนปัจจุบัน มีรางวัลดังต่อไปนี้ที่ไม่ผ่านการพิจารณา- คัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยม (Best Casting) – ไม่ผ่านการพิจารณาในปีพ.ศ. 2542 - ประสานงานการแสดงแทนยอดเยี่ยม (Best Stunt Coordination) – ไม่ผ่านการพิจารณาในปีพ.ศ. 2542 และพ.ศ. 2548 - ออกแบบไตเติ้ลยอดเยี่ยม (Best Title Design) – ไม่ผ่านการพิจารณาในปีพ.ศ. 2542รางวัลพิเศษรางวัลพิเศษในปัจจุบันรางวัลพิเศษ. รางวัลพิเศษในปัจจุบัน. - รางวัลเกียรติยศ (Academy Honorary Award) มอบแด่ผู้มีผลงานดีเด่นในวงการ – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึงปัจจุบัน - รางวัลความสำเร็จเกียรติยศ (Academy Special Achievement Award) มอบแด่ผู้มีผลงานดีเด่นในวงการ - รางวัลความสำเร็จทางเทคนิค และ วิทยาศาสตร์ (Academy Award, Scientific or Technical) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ถึงปัจจุบัน - รางวัลเอิร์ฟวิง จี. ธัลเบิร์ก (The Irving G. Thalberg Memorial Award) สำหรับผู้อำนวยการสร้างดีเด่น – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 ถึงปัจจุบัน - รางวัลมนุษยธรรม ฌีน เฮอร์โชลต์ (The Jean Hersholt Humanitarian Award) สำหรับผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม - รางวัลกอร์ดอน อี. ซอว์เยอร์ (Gordon E. Sawyer Award) สำหรับผู้ประสบความสำเร็จในด้านเทคนิคการถ่ายทำรางวัลพิเศษที่ถูกยกเลิกไปแล้วรางวัลพิเศษที่ถูกยกเลิกไปแล้ว. - รางวัลนักแสดงเยาวชน (Academy Juvenile Award) มอบแด่นักแสดงวัยเยาว์ผู้มีบทบาทการแสดงดีเด่น – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 ถึง 2503 - รางวัลแดม เทคโนโลยี (DAM Technology Award) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ถึง 2480
| พีธีมอบรางวัลทางภาพยนตร์ ออสการ์ เริ่มจัดครั้งแรกในปีค.ศ.ใด | {
"answer": [
"1929"
],
"answer_begin_position": [
270
],
"answer_end_position": [
274
]
} |
2,084 | 1,990 | ประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (; ) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน, วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและไต้ฝุ่น แต่ก็ทำให้มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่งเช่นกัน ฟิลิปปินส์มีเนื้อที่ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) และมีประชากรประมาณ 100 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในเอเชีย และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก นอกจากนี้ ณ ปี พ.ศ. 2556 ยังมีชาวฟิลิปปินส์อีกประมาณ 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในต่างประเทศ รวมแล้วถือเป็นกลุ่มคนพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมปรากฏให้เห็นตลอดทั้งหมู่เกาะ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะแห่งนี้คือกลุ่มชนนิกรีโต ตามมาด้วยกลุ่มชนออสโตรนีเซียนที่อพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวจีน มลายู อินเดีย และอาหรับ จากนั้นก็เกิดนครรัฐทางทะเลขึ้นมาหลายแห่งภายใต้การปกครองของดาตู, ลากัน, ราชา หรือสุลต่าน เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ได้มาขึ้นฝั่งที่เกาะโฮโมนโฮน (ใกล้กับเกาะซามาร์) ในปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1521) นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งอิทธิพลและอำนาจของสเปน ในปี พ.ศ. 2085 (ค.ศ. 1542) นักสำรวจชาวสเปนชื่อ รุย โลเปซ เด บิยาโลโบส ได้ตั้งชื่อเกาะซามาร์และเลเตรวมกันว่า "หมู่เกาะเฟลีเป" หรือ "อิสลัสฟิลิปินัส" () เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าชายเฟลีเปแห่งอัสตูเรียส (ต่อมา อิสลัสฟิลิปินัสได้กลายเป็นชื่อเรียกกลุ่มเกาะทั้งหมด) ในปี พ.ศ. 2108 (ค.ศ. 1565) มิเกล โลเปซ เด เลกัซปี ได้จัดตั้งนิคมสเปนแห่งแรกบนเกาะเซบู ฟิลิปปินส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปนเป็นเวลานานกว่า 300 ปี ส่งผลให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกลายเป็นศาสนาหลักของผู้คนในหมู่เกาะ ในช่วงเวลานี้ มะนิลามีฐานะเป็นศูนย์กลางการบริหารของจักรวรรดิสเปนในเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางทางทิศตะวันตกของการค้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมโยงเอเชียเข้ากับเมืองอากาปุลโกในอเมริกาผ่านทางเรือใบมะนิลา ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 (ปีท้าย ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 19) ความพยายามต่อต้านการปกครองของสเปนได้ปะทุขึ้นเป็นการปฏิวัติฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นแต่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสเปนได้ยกฟิลิปปินส์ให้แก่สหรัฐอเมริกาหลังจากแพ้สงครามสเปน-สหรัฐอเมริกา ความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐบาลปฏิวัติกับสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดสงครามฟิลิปปินส์-สหรัฐอเมริกาอันนองเลือด โดยกองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายมีชัย นอกเหนือจากช่วงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองแล้ว สหรัฐอเมริกาสามารถรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะนี้ไว้ได้จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฟิลิปปินส์ได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศเอกราช ตั้งแต่นั้นมา ฟิลิปปินส์ก็ประสบความวุ่นวายทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งรวมถึงการล้มล้างผู้เผด็จการโดยการปฏิวัติที่ปราศจากความรุนแรง ฟิลิปปินส์เป็นสมาชิกจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ปัจจุบันประเทศนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ (emerging market) และเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงภาคเกษตรกรรมเป็นระบบที่พึ่งพิงภาคบริการและภาคการผลิตมากขึ้นประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. หลักฐานทางโบราณคดีและโบราณชีววิทยาบ่งบอกว่ามีมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เคยอาศัยอยู่ในเกาะปาลาวันตั้งแต่ประมาณ 50,000 ปีก่อน ชนเผ่าที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียนซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะฟอร์โมซา (Formasa) หรือไต้หวันในปัจจุบันได้อพยพโดยทางเรือเข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และจัดตั้งเส้นทางเครือข่ายการค้ากับเอเชียอาคเนย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล สภาพดั่งเดิมของฟิลิปปินส์ อยู่ในสภาพของยุคหินใหม่ ยังไม่ได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีน ดังเช่นประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นชนเชื้อสายอินโดนีเซีย – มลายูซึ่งอพยพเข้ามาตั่งถิ่นฐานบริเวณเกาะต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์ การมาตั้งถิ่นฐานนั้น มาโดยเรือเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มแยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านเรีนกว่า บารังไก (Barangay) ตามชื่อเรือที่ใช้อพยพมา มีหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า ดาดู (Datu) ซึ่งเคยเป็นกัปตันเรือ การตั้งหมู่บ้านจะกระจายไปตามเกาะ ทำให้การติดต่อระหว่างกันไม่ค่อยมี ส่วนในด้านการปกครองนั้นเป็นแบบพ่อปกครองลูก โครงสร้างทางการปกครองเป็นแบบง่าย ๆ มี 4 ชนชั้นคือ ดาตู แลครอบครัว ขุนนาง อิสระชน ทาส ในส่วนของกฎหมายและกฎระเบียบการปกครองนั้นยังไม่มี สถาบันที่สำคัญคือ ศาสนา ซึ่งมีพ่อมดหมอผีเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคม จากการนับถือศาสนาเป็นแบบ นับถือภูตผี บูชาธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่ามีพระผู้สร้างโลกสูงสุด คือ บาฮารา (Bathala) และบาอารามีสาวก ฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว เรียกว่า ดิวาทาส (Diwatas) เป็นผู้กำหนดการประกอบพิธีบวงสรวง เทพฝ่ายดีและฝ่ายชั่วคือ พ่อมด หมอผี ว่าจะประกอบพิธีเมื่อไหร่ ที่ใด สถานที่ประกอบพิธีนั้นไม่มีเฉพาะ พ่อมด หมอผีจะเป็นผู้กำหนด ที่เป็นดังนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์ และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะ ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นมีภัยธรรมชาติอยู่เนือง ๆ จึงทำให้พ่อมด หมอผีมีอิทธิพลต่อประชาชนมาก และมากกว่าหรือเท่ากับดาตู อีกทั้งยังได้รับค่าประกอบพิธี เครื่องเซ่นสังเวยจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ประชาชนทำการเกษตรและการประมง ไม่มีการค้าขาย มีแต่การแลกเปลี่ยนสินค้า และไม่มีการใช้เงินตรา นาน ๆ ครั้งจะมีพ่อค้าต่างชาติแวะมาจอดเรือแลกเปลี่ยนสินค้ายุคอิสลาม ยุคอิสลาม. นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ศาสนาอิสลามได้แผ่เข้าสู่หมู่เกาะทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์หรือมานบูลาส แล้วครั้นถึงปี ค.ศ. 1380 ชาวมุสลิมก็สามารถสถาปนารัฐอิสลามขึ้นในหมู่เกาะซูลู โดยมีนักเผยแผ่ศาสนาที่ชื่อ ชันค์ ชะรีฟ กะรีม มัคดุม เข้ามาเผยแผ่อิสลามในหมู่เกาะต่างๆ ของซูลู ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ซัยยิด อบูบักร อิบนุ ชะรีฟ มุฮำหมัด อิบนิ อะลี อิบนี ซัยบิลอาบีดีน ได้เดินทางจากรัฐสุลต่านแห่งยะโฮร์ (Johor) มายังหมู่เกาะซูลูในราวปี ค.ศ. 1450 ซัยยิด อบูบักรได้มาถึงซูลูหลังจากรายา บะกินดา จากมินังกะเบา สุมาตรา ได้ลงพำนัก และเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะซูลูเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ซัยยิด อบูบักรได้สมรสกับบุตรีของรายาบะกินดา ที่มีนามว่า ประไหมสุหรี เมื่อรายาบะกินดา สิ้นชีวิต ซัยยิด อบูบักร ก็กลายเป็นผู้สืบทอดอำนาจและได้รับการขนานนามว่า สุลต่านแห่งซูลูยุคอาณานิคมสเปน ยุคอาณานิคมสเปน. เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) มีเกล โลเปซ เด เลกัซปี มาถึงฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมา หลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฏต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากชนพื้นเมืองและจากชาติอื่นที่พยายามเข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วงสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ใต้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ (New Spain) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) ถึงปี ค.ศ. 1821 (พ.ศ. 2364) และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน (Manila Galleon) จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834รัฐอารักขาของสหรัฐอเมริกาการเมืองการปกครองบริหารงานและการปกครองนิติบัญญัติตุลาการสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ฟิลิปปินส์แบ่งเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่น (local government units, LGUs) โดยที่มีจังหวัดเป็นหน่วยหลัก ปัจจุบันมี 81 จังหวัด (provinces) แบ่งออกเป็น นคร (cities) และ เทศบาล (municipalities) ซึ่งหน่วยการปกครองทั้งสองยังประกอบไปด้วย บารังไกย์ (barangay) อีกทอดหนึ่ง ถือเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่นที่เล็กที่สุด ฟิลิปปินส์แบ่งออกเป็น 17 เขต (regions) ซึ่งทุกจังหวัดได้ถูกจัดอยู่ใน 16 เขตเพื่อความสะดวกในการปกครอง ยกเว้นเขตนครหลวง (National Capital Region) ที่แบ่งออกเป็นเขตพิเศษ 4 แห่ง หน่วยงานของรัฐบาลส่วนใหญ่จะตั้งสำนักงานในแต่ละภูมิภาค เพื่อรับใช้ประชาชนในจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ ภูมิภาคไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นแยกต่างหาก ยกเว้นเขตปกครองตนเองในมินดาเนามุสลิมและเขตบริหารคอร์ดิลเลราซึ่งปกครองตนเอง ไม่ได้ให้ผู้อื่นปกครองเขตและจังหวัดภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ฟิลิปปินส์เป็นกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ มีเนื้อที่ทั้งหมด (รวมพื้นผิวแหล่งน้ำภายในแผ่นดิน) ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) ชายฝั่งทะเลยาว 36,289 กิโลเมตร (22,549 ไมล์) ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ฟิลิปปินส์มีที่ตั้งซึ่งกำหนดโดยพิกัดภูมิศาสตร์คือ ระหว่างลองจิจูด 116° 40' ตะวันออก ถึง 126° 34' ตะวันออก กับละติจูด 4° 40' เหนือ ถึง 21° 10' เหนือ มีอาณาเขตจรดทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก จรดทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก และจรดทะเลเซเลบีสทางทิศใต้ เกาะบอร์เนียว ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และไต้หวันตั้งอยู่ทางทิศเหนือโดยตรง หมู่เกาะโมลุกกะและเกาะซูลาเวซีตั้งอยู่ทางทิศใต้-ตะวันตกเฉียงใต้ และปาเลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะ เกาะต่าง ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากภูเขาไฟและถูกปกคลุมด้วยป่าดิบชื้น ภูเขาที่สูงที่สุดคือภูเขาอาโป มีความสูงถึง 2,954 เมตร (9,692 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลและตั้งอยู่ที่เกาะมินดาเนา ร่องลึกแกละทีอาในร่องลึกฟิลิปปินเป็นจุดที่ลึกที่สุดของประเทศและลึกที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ร่องลึกดังกล่าวตั้งอยู่ในทะเลฟิลิปปิน แม่น้ำที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำคากายันในภาคเหนือของเกาะลูซอน อ่าวมะนิลา (ชายฝั่งของอ่าวเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาเมืองหลวง) เชื่อมต่อกับลากูนาเดบาอี (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์) ผ่านแม่น้ำปาซิก อ่าวซูบิก อ่าวดาเบา และอ่าวโมโรเป็นอ่าวอื่น ๆ ที่สำคัญ ช่องแคบซันฮัวนีโคแยกเกาะซามาร์และเกาะเลเตออกจากกัน แต่ก็มีสะพานซันฮัวนีโคข้ามเหนือช่องแคบ เนื่องจากตั้งอยู่บนขอบตะวันตกของวงแหวนไฟแปซิฟิก ฟิลิปปินส์จึงต้องเผชิญกับกิจกรรมแผ่นดินไหวและภูเขาไฟบ่อยครั้ง เนินใต้สมุทรเบ็นนัมในทะเลฟิลิปปิน (ทางทิศตะวันออกของกลุ่มเกาะ) เป็นภูมิภาคใต้สมุทรที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในเขตมุดตัวของเปลือกโลก มีการตรวจพบแผ่นดินไหวประมาณ 20 ครั้งต่อวัน แต่การสั่นสะเทือนส่วนใหญ่เบาเกินกว่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่เกาะลูซอนเมื่อปี ค.ศ. 1990 ในฟิลิปปินส์มีภูเขาไฟที่มีพลังอยู่หลายลูก เช่น ภูเขาไฟมาโยน ภูเขาปีนาตูโบ ภูเขาไฟตาอัล เป็นต้น การปะทุของภูเขาปีนาตูโบในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 ถือเป็นการปะทุที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าภูมิลักษณ์ที่โดดเด่นทุกแห่งจะมีความรุนแรงหรือมีอำนาจทำลายล้างเสมอไป มรดกที่สงบเงียบแห่งหนึ่งจากความปั่นป่วนทางธรณีวิทยาคือแม่น้ำใต้ดินปูเวร์โตปรินเซซาซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่สำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ แหล่งมรดกโลกแห่งนี้ยังมีระบบนิเวศจากภูเขาสู่ทะเลที่สมบูรณ์และมีป่าไม้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอีกด้วย เนื่องจากธรรมชาติของเกาะต่าง ๆ เป็นภูเขาไฟ ฟิลิปปินส์จึงมีทรัพยากรแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ มีผู้ประมาณว่าประเทศนี้มีแหล่งแร่ทองคำใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากแอฟริกาใต้ และเป็นแหล่งแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยนิกเกิล โครไมต์ และสังกะสี อย่างไรก็ตาม การจัดการที่ไม่ดี ความหนาแน่นสูงของประชากร และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ยังไม่มีการนำทรัพยากรส่วนใหญ่ขึ้นมาใช้ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นผลผลิตจากกิจกรรมภูเขาไฟที่ฟิลิปปินส์สามารถควบคุมจัดการจนได้ผลสำเร็จมากกว่า โดยในปัจจุบัน ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 18 ของประเทศความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ป่าดิบชื้นและชายฝั่งทะเลที่กว้างขวางของฟิลิปปินส์ทำให้กลุ่มเกาะนี้เป็นแหล่งรวมนก พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในทะเลหลากชนิด ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) เราสามารถพบสัตว์บกที่มีกระดูกสันหลังได้ถึงประมาณ 1,100 ชนิด ซึ่งรวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด และนกกว่า 170 ชนิดที่คาดกันว่าไม่อาศัยอยู่ที่อื่น ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีอัตราการค้นพบสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีการค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใหม่ 16 ชนิดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ อัตราสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นของฟิลิปปินส์จึงเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มต่อไป ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นถิ่นฟิลิปปินส์ได้แก่ อีเห็นข้างลาย (Paradoxurus hermaphroditus), แมวดาววิซายัส (Prionailurus javanensis rabori), พะยูน (Dugong dugon) และทาร์เซียร์ฟิลิปปิน (Tarsius syrichta) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกาะโบโฮล เป็นต้น แม้ว่าบนหมู่เกาะฟิลิปปินส์จะไม่มีผู้ล่าเหยื่อเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ แต่ก็มีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่อยู่บางชนิด เช่น งูเหลือม งูเห่า รวมทั้งจระเข้น้ำเค็มขนาดยักษ์ จระเข้น้ำเค็มในที่เลี้ยงตัวใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า โลลอง ถูกจับได้ในเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ นกประจำชาติที่รู้จักกันในชื่อนกอินทรีฟิลิปปิน (Pithecophaga jefferyi) มีลำตัวยาวที่สุดในบรรดานกอินทรีชนิดใด ๆ น่านน้ำอาณาเขตของฟิลิปปินส์ครอบคลุมเนื้อที่กว้างขวางถึง 2,200,000 ตารางกิโลเมตร (849,425 ตารางไมล์) เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในท้องทะเลที่มีลักษณะเฉพาะและมีความหลากหลายอันเป็นส่วนสำคัญของสามเหลี่ยมปะการัง ประมาณกันว่ามีชนิดปะการังและปลาทะเลทั้งสิ้น 500 และ 2,400 ชนิดตามลำดับ สถิติใหม่ และการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ได้เพิ่มตัวเลขเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของทรัพยากรทางทะเลในฟิลิปปินส์ได้อย่างชัดเจน พืดหินปะการังตุบบาตาฮาในทะเลซูลูได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1993 นอกจากนี้ น่านน้ำฟิลิปปินส์ยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของปู หอยมุก และสาหร่ายทะเล ด้วยชนิดพืชประมาณ 13,500 ชนิด ซึ่ง 3,200 ชนิดในจำนวนนี้พบเฉพาะในกลุ่มเกาะนี้เท่านั้น ป่าดิบชื้นของฟิลิปปินส์จึงมีพรรณพืชหลากหลายซึ่งรวมถึงกล้วยไม้และบัวผุดหายากหลายพันธุ์ การทำลายป่าซึ่งมักเป็นผลจากการทำไม้ผิดกฎหมายถือเป็นปัญหาร้ายแรงของฟิลิปปินส์ พื้นที่ป่าลดลงจากร้อยละ 70 ของพื้นที่บนบกทั้งหมดของประเทศในปี ค.ศ. 1900 เหลือเพียงประมาณร้อยละ 18.3 ในปี ค.ศ. 1999 สิ่งมีชีวิตจำนวนมากตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ และมีนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งฟิลิปปินส์) ต้องเผชิญกับอัตราการสูญพันธุ์ที่รุนแรงถึงร้อยละ 20 เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 21ภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ฟิลิปปินส์อยู่ในเขตภูมิอากาศภาคพื้นสมุทรเขตร้อนซึ่งโดยปกติจะมีอากาศร้อนและชื้น มีฤดูกาล 3 ฤดูกาล ได้แก่ ตักอีนิต () หรือ ตักอาเรา () ซึ่งเป็นฤดูร้อนหรือฤดูที่มีอากาศแห้งร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม, ตักอูลัน () หรือฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน และ ตักลามิก () หรือฤดูที่มีอากาศแห้งเย็นตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า ฮากาบัต () และลมแห้งของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า อามีฮัน () อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในพิสัยตั้งแต่ 21 องศาเซลเซียส (70 องศาฟาเรนไฮต์) ถึง 32 องศาเซลเซียส (90 องศาฟาเรนไฮต์) แต่อาจเย็นหรือร้อนกว่านี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล เดือนที่มีอากาศเย็นที่สุดคือเดือนมกราคม ส่วนเดือนที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดคือเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ประมาณ 26.6 องศาเซลเซียส (79.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทั้งนี้ ทำเลที่ตั้งในแง่ละติจูดและลองจิจูดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอุณหภูมิ เพราะไม่ว่าจะอยู่เหนือสุด ใต้สุด ตะวันออกสุด หรือตะวันตกสุดของประเทศ อุณหภูมิที่ระดับน้ำทะเลก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ในพิสัยเดียวกัน ระดับความสูงของพื้นที่มักจะส่งผลต่ออุณหภูมิมากกว่า อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของเมืองบากีโยที่ระดับความสูง 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลคือ 18.3 องศาเซลเซียส (64.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูร้อน เนื่องจากตั้งอยู่ในแดนไต้ฝุ่น เกาะส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์จึงมีฝนตกกระหน่ำและพายุฟ้าคะนองตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ในแต่ละปีจะมีไต้ฝุ่นประมาณ 19 ลูกเข้าสู่เขตความรับผิดชอบของสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ฟิลิปปินส์ โดยมี 8-9 ลูกในจำนวนนี้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ปริมาณน้ำฝนรายปีตรวจวัดได้สูงถึง 5,000 มิลลิเมตร (200 นิ้ว) ในเขตชายฝั่งตะวันออกซึ่งมีสภาพเป็นภูเขา แต่น้อยกว่า 1,000 มิลลิเมตร (39 นิ้ว) ในหุบเขาบางแห่งที่มีที่กำบัง พายุหมุนเขตร้อนที่ทำให้ฝนตกมากที่สุดในฟิลิปปินส์เท่าที่ทราบกันคือพายุหมุนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1911 ซึ่งส่งอิทธิพลให้เกิดฝนตกหนักปริมาณถึง 1,168 มิลลิเมตร (46 นิ้ว) ภายในเวลา 24 ชั่วโมงที่เมืองบากีโย อนึ่ง บักโย () เป็นคำในภาษาฟิลิปปินส์ที่ใช้เรียกพายุหมุนเขตร้อนเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ของโลก โดยในปี ค.ศ. 2017 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด) โดยประมาณอยู่ที่ 348,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลักได้แก่ ผลิตภัณฑ์สารกึ่งตัวนำและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ บริภัณฑ์ขนส่ง เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ทองแดง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันมะพร้าว และผลไม้ คู่ค้ารายใหญ่ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง เยอรมนี ไต้หวัน และไทย หน่วยเงินตราของประเทศคือเปโซฟิลิปปินส์ ในฐานะประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ระบบเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงเกษตรกรรมไปสู่ระบบที่เน้นการบริการและการผลิตมากขึ้น จากจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมดประมาณ 40.813 ล้านคนของประเทศ ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานคิดเป็นร้อยละ 30 และสร้างมูลค่าคิดเป็นร้อยละ 14 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานร้อยละ 14 และสร้างมูลค่าร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 47 เป็นแรงงานในภาคบริการซึ่งสร้างมูลค่าร้อยละ 56 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อัตราการว่างงานของฟิลิปปินส์ ณ วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 อยู่ที่ร้อยละ 6.0 ในขณะเดียวกัน เนื่องจากสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานมีราคาถูกลง อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 มีมูลค่า 83,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราส่วนหนี้สินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสถิติสูงสุดที่ร้อยละ 78 ในปี ค.ศ. 2004 มาอยู่ที่ร้อยละ 38.1 ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าสุทธิ แต่ก็เป็นประเทศเจ้าหนี้เช่นกัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิปปินส์ได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เป็นรองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1960 สมรรถนะทางเศรษฐกิจของประเทศจึงเริ่มถูกแซง เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของประธานาธิบดีเฟร์ดีนันด์ มาร์โคส เนื่องจากระบอบมาร์โคสได้บ่มเพาะปัญหาการจัดการเศรษฐกิจที่ไม่ดีและความผันผวนทางการเมืองเอาไว้ ระบบเศรษฐกิจเติบโตทางอย่างเชื่องช้าและประสบภาวะถดถอยเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1990 จึงเริ่มฟื้นตัวตามแผนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ค.ศ. 1997 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่าเงินเปโซลดลงอย่างต่อเนื่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาหลายจุดในช่วงแรกของวิกฤตการณ์ แต่ผลกระทบที่ฟิลิปปินส์ได้รับนั้นไม่หนักเท่าในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมของรัฐบาล และบางส่วนเป็นผลมาจากการเฝ้าระวังและการควบคุมดูแลทางการเงินเป็นเวลาหลายสิบปีโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในขณะที่บรรดาประเทศเพื่อนบ้านได้ใช้เงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป็นต้นมาระบบเศรษฐกิจก็ส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเติบโตขึ้นร้อยละ 6.4 ในปี ค.ศ. 2004 และร้อยละ 7.1 ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบสามทศวรรษ อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายปีโดยเฉลี่ยต่อหัวในช่วงปี ค.ศ. 1966–2007 อยู่ที่ร้อยละ 1.45 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยร้อยละ 5.96 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกโดยรวม รายได้ต่อวันของประชากรฟิลิปปินส์ร้อยละ 45 ยังคงน้อยกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ การส่งเงินกลับของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก โดยมีมูลค่าเกินกว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในฐานะแหล่งเงินตราต่างประเทศ การส่งเงินกลับประเทศขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2010 โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ในปี ค.ศ. 2012 และในปี ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์ได้รับเงินส่งกลับจากแรงงานในต่างประเทศทั้งสิ้น 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในระดับภูมิภาคยังไม่เท่าเทียมกัน โดยมากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ยังกระจุกตัวอยู่ที่เกาะลูซอน (โดยเฉพาะเมโทรมะนิลา) จึงต้องแลกมากับโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคอื่น ๆ แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการกระจายความเจริญด้วยการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศแล้วก็ตาม ถึงจะมีข้อจำกัดต่าง ๆ แต่อุตสาหกรรมบริการ เช่น การท่องเที่ยว การจ้างคนนอกทำกระบวนการธุรกิจ ก็ได้รับการระบุว่าเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีโอกาสดีที่สุดสำหรับการเติบโตของประเทศ สถาบันการเงินโกลด์แมนซากส์ได้รวมฟิลิปปินส์อยู่ในรายชื่อ "11 ประเทศถัดไป" ที่มีศักยภาพสูงที่จะมีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่จีนและอินเดียก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกัน โกลด์แมนซากส์ยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ส่วนธนาคารเอชเอสบีซีก็คาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจของประเทศนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศสมาชิกธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมันดาลูโยง) แผนโคลัมโบ กลุ่ม 77 และกลุ่ม 24 ในบรรดากลุ่มและสถาบันความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ภาคการเดินทางและท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ โดยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ระบบเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี ค.ศ. 2013 และสร้างตำแหน่งงาน 1,226,500 ตำแหน่ง หรือร้อยละ 3.2 ของการจ้างงานทั้งหมด ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 ฟิลิปปินส์ได้ต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติทั้งหมด 2,882,737 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.43 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ค.ศ. 2016) ผู้มาเยือนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.72 ในขณะที่ผู้มาเยือนจากทวีปอเมริกาและจากทวีปยุโรปมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.52 และร้อยละ 11.26 ตามลำดับ หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์คือกระทรวงการท่องเที่ยว ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นหนึ่งในบรรดาจุดดึงดูดความสนใจหลัก ๆ ของการท่องเที่ยว โดยมีชายหาด ภูเขา ป่าดิบชื้น เกาะ และจุดดำน้ำอยู่ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากฟิลิปปินส์มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นกลุ่มของเกาะประมาณ 7,500 เกาะ จึงมีชายหาด ถ้ำ และการก่อตัวของหินรูปทรงแปลกตามากมาย โบราไคซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาดได้รับการลงคะแนนจากผู้อ่านนิตยสารแทรเวลแอนด์เลเชอร์ให้เป็นเกาะที่ดีที่สุดในโลกประจำปี ค.ศ. 2012 จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ นาขั้นบันไดบานาเวในจังหวัดอีฟูเกา นครประวัติศาสตร์วีกันในจังหวัดตีโมกอีโลโคส เนินเขาช็อกโกแลตในจังหวัดโบโฮล กางเขนของมาเจลลันในจังหวัดเซบู และพืดหินปะการังตุบบาตาฮาในจังหวัดปาลาวันโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาโครงสร้างพื้นฐาน. การศึกษา. - นโยบายทางการศึกษาในยุคที่เป็นอาณานิคมของสเปน หลังจากที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1571 ระบบการศึกษาในฟิลิปปินส์ได้รับอิทธิพลจากนโยบายของจักรวรรดิสเปน สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาในสมัยนั้น คือ ระบบการศึกษาแบบคาทอลิก โดยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาระบบการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยภายในฟิลิปปินส์ เพราะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสเปนในการเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกในฟิลิปปินส์- นโยบายการศึกษาภายหลังยุคที่เป็นอาณานิคมของสหรัฐจวบจนปัจจุบัน ภายหลังจากที่ฟิลิปปินส์มีอิสระในการกำหนดนโยบายการศึกษาแล้ว ฟิลิปปินส์ยังคงให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษในระบบการศึกษา พิจารณาได้จากรัฐธรรมนูญของประเทศฟิลิปปินส์ฉบับปี ค.ศ.1987 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ภาษาทางการที่ใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนคือภาษาฟิลิปปินส์และภาษาอังกฤษ กระทรวงศึกษาธิการของฟิลิปปินส์ได้กำหนดให้ใช้ภาษาทั้งสองในวิชาที่แตกต่างกันในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. มีปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิมในเกาะมินดาเนา ซึ่งต้องการแยกตัวเป็นอิสระ เรียกว่า "แนวปลดปล่อยแห่งชาติโมโร"ภาษา ภาษา. มีการใช้ภาษามากกว่า 170 ภาษา โดยส่วนมากเกือบทั้งหมดนั้นเป็นตระกูลภาษาย่อยมาลาโย-โปลินีเซียนตะวันตก แต่ในปี พ.ศ. 2530 รัฐธรรมนูญได้ระบุให้ภาษาฟิลิปีโนและภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้กันมากในประเทศฟิลิปปินส์มีทั้งหมด 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาสเปน ภาษาจีนฮกเกี้ยน ภาษาจีนแต้จิ๋ว ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาซินด์ ภาษาปัญจาบ ภาษาเกาหลี และภาษาอาหรับ โดยฟิลิปปินส์นั้น มีภาษาประจำชาติคือ ภาษา ตากาล็อกศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชากรนับถือ แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาคริสต์ 92.9% (นิกายโรมันคาทอลิก 82.9% นิกายโปรเตสแตนต์ 10%) ศาสนาอิสลาม 5.6% ศาสนาฮินดู 1% และศาสนาอื่น ๆ 0.5%เมืองที่มีประชากรมากที่สุดวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกก่อนจะได้มีโอกาสพัฒนาวัฒนธรรมของตัวเอง วัฒนธรรมฟิลิปปินส์จะมีส่วนคล้ายกับประเทศในละตินอเมริกา ประชาชนแบ่งออกเป็นชุมนุมชนทางเชื้อชาติและภาษาที่แตกต่างกันอาหาร อาหาร. อาโดโบ เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นที่นิยมของนักเดินทางหรือนักเดินเขา ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบหรือทอด และรับประทานกับข้าวศิลปะสื่อสารมวลชนกีฬา
| เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์มีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"มะนิลา"
],
"answer_begin_position": [
391
],
"answer_end_position": [
397
]
} |
2,088 | 1,990 | ประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (; ) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน, วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและไต้ฝุ่น แต่ก็ทำให้มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่งเช่นกัน ฟิลิปปินส์มีเนื้อที่ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) และมีประชากรประมาณ 100 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในเอเชีย และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก นอกจากนี้ ณ ปี พ.ศ. 2556 ยังมีชาวฟิลิปปินส์อีกประมาณ 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในต่างประเทศ รวมแล้วถือเป็นกลุ่มคนพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมปรากฏให้เห็นตลอดทั้งหมู่เกาะ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะแห่งนี้คือกลุ่มชนนิกรีโต ตามมาด้วยกลุ่มชนออสโตรนีเซียนที่อพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวจีน มลายู อินเดีย และอาหรับ จากนั้นก็เกิดนครรัฐทางทะเลขึ้นมาหลายแห่งภายใต้การปกครองของดาตู, ลากัน, ราชา หรือสุลต่าน เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ได้มาขึ้นฝั่งที่เกาะโฮโมนโฮน (ใกล้กับเกาะซามาร์) ในปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1521) นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งอิทธิพลและอำนาจของสเปน ในปี พ.ศ. 2085 (ค.ศ. 1542) นักสำรวจชาวสเปนชื่อ รุย โลเปซ เด บิยาโลโบส ได้ตั้งชื่อเกาะซามาร์และเลเตรวมกันว่า "หมู่เกาะเฟลีเป" หรือ "อิสลัสฟิลิปินัส" () เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าชายเฟลีเปแห่งอัสตูเรียส (ต่อมา อิสลัสฟิลิปินัสได้กลายเป็นชื่อเรียกกลุ่มเกาะทั้งหมด) ในปี พ.ศ. 2108 (ค.ศ. 1565) มิเกล โลเปซ เด เลกัซปี ได้จัดตั้งนิคมสเปนแห่งแรกบนเกาะเซบู ฟิลิปปินส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปนเป็นเวลานานกว่า 300 ปี ส่งผลให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกลายเป็นศาสนาหลักของผู้คนในหมู่เกาะ ในช่วงเวลานี้ มะนิลามีฐานะเป็นศูนย์กลางการบริหารของจักรวรรดิสเปนในเอเชีย และยังเป็นศูนย์กลางทางทิศตะวันตกของการค้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมโยงเอเชียเข้ากับเมืองอากาปุลโกในอเมริกาผ่านทางเรือใบมะนิลา ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 (ปีท้าย ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 19) ความพยายามต่อต้านการปกครองของสเปนได้ปะทุขึ้นเป็นการปฏิวัติฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นแต่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสเปนได้ยกฟิลิปปินส์ให้แก่สหรัฐอเมริกาหลังจากแพ้สงครามสเปน-สหรัฐอเมริกา ความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐบาลปฏิวัติกับสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดสงครามฟิลิปปินส์-สหรัฐอเมริกาอันนองเลือด โดยกองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายมีชัย นอกเหนือจากช่วงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองแล้ว สหรัฐอเมริกาสามารถรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะนี้ไว้ได้จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฟิลิปปินส์ได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศเอกราช ตั้งแต่นั้นมา ฟิลิปปินส์ก็ประสบความวุ่นวายทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งรวมถึงการล้มล้างผู้เผด็จการโดยการปฏิวัติที่ปราศจากความรุนแรง ฟิลิปปินส์เป็นสมาชิกจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ปัจจุบันประเทศนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ (emerging market) และเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงภาคเกษตรกรรมเป็นระบบที่พึ่งพิงภาคบริการและภาคการผลิตมากขึ้นประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. หลักฐานทางโบราณคดีและโบราณชีววิทยาบ่งบอกว่ามีมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ เคยอาศัยอยู่ในเกาะปาลาวันตั้งแต่ประมาณ 50,000 ปีก่อน ชนเผ่าที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียนซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะฟอร์โมซา (Formasa) หรือไต้หวันในปัจจุบันได้อพยพโดยทางเรือเข้ามาตั้งรกรากในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และจัดตั้งเส้นทางเครือข่ายการค้ากับเอเชียอาคเนย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล สภาพดั่งเดิมของฟิลิปปินส์ อยู่ในสภาพของยุคหินใหม่ ยังไม่ได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีน ดังเช่นประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นชนเชื้อสายอินโดนีเซีย – มลายูซึ่งอพยพเข้ามาตั่งถิ่นฐานบริเวณเกาะต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์ การมาตั้งถิ่นฐานนั้น มาโดยเรือเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มแยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านเรีนกว่า บารังไก (Barangay) ตามชื่อเรือที่ใช้อพยพมา มีหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า ดาดู (Datu) ซึ่งเคยเป็นกัปตันเรือ การตั้งหมู่บ้านจะกระจายไปตามเกาะ ทำให้การติดต่อระหว่างกันไม่ค่อยมี ส่วนในด้านการปกครองนั้นเป็นแบบพ่อปกครองลูก โครงสร้างทางการปกครองเป็นแบบง่าย ๆ มี 4 ชนชั้นคือ ดาตู แลครอบครัว ขุนนาง อิสระชน ทาส ในส่วนของกฎหมายและกฎระเบียบการปกครองนั้นยังไม่มี สถาบันที่สำคัญคือ ศาสนา ซึ่งมีพ่อมดหมอผีเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคม จากการนับถือศาสนาเป็นแบบ นับถือภูตผี บูชาธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่ามีพระผู้สร้างโลกสูงสุด คือ บาฮารา (Bathala) และบาอารามีสาวก ฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว เรียกว่า ดิวาทาส (Diwatas) เป็นผู้กำหนดการประกอบพิธีบวงสรวง เทพฝ่ายดีและฝ่ายชั่วคือ พ่อมด หมอผี ว่าจะประกอบพิธีเมื่อไหร่ ที่ใด สถานที่ประกอบพิธีนั้นไม่มีเฉพาะ พ่อมด หมอผีจะเป็นผู้กำหนด ที่เป็นดังนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์ และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะ ซึ่งฟิลิปปินส์นั้นมีภัยธรรมชาติอยู่เนือง ๆ จึงทำให้พ่อมด หมอผีมีอิทธิพลต่อประชาชนมาก และมากกว่าหรือเท่ากับดาตู อีกทั้งยังได้รับค่าประกอบพิธี เครื่องเซ่นสังเวยจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ประชาชนทำการเกษตรและการประมง ไม่มีการค้าขาย มีแต่การแลกเปลี่ยนสินค้า และไม่มีการใช้เงินตรา นาน ๆ ครั้งจะมีพ่อค้าต่างชาติแวะมาจอดเรือแลกเปลี่ยนสินค้ายุคอิสลาม ยุคอิสลาม. นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ศาสนาอิสลามได้แผ่เข้าสู่หมู่เกาะทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์หรือมานบูลาส แล้วครั้นถึงปี ค.ศ. 1380 ชาวมุสลิมก็สามารถสถาปนารัฐอิสลามขึ้นในหมู่เกาะซูลู โดยมีนักเผยแผ่ศาสนาที่ชื่อ ชันค์ ชะรีฟ กะรีม มัคดุม เข้ามาเผยแผ่อิสลามในหมู่เกาะต่างๆ ของซูลู ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่ง ซัยยิด อบูบักร อิบนุ ชะรีฟ มุฮำหมัด อิบนิ อะลี อิบนี ซัยบิลอาบีดีน ได้เดินทางจากรัฐสุลต่านแห่งยะโฮร์ (Johor) มายังหมู่เกาะซูลูในราวปี ค.ศ. 1450 ซัยยิด อบูบักรได้มาถึงซูลูหลังจากรายา บะกินดา จากมินังกะเบา สุมาตรา ได้ลงพำนัก และเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะซูลูเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ซัยยิด อบูบักรได้สมรสกับบุตรีของรายาบะกินดา ที่มีนามว่า ประไหมสุหรี เมื่อรายาบะกินดา สิ้นชีวิต ซัยยิด อบูบักร ก็กลายเป็นผู้สืบทอดอำนาจและได้รับการขนานนามว่า สุลต่านแห่งซูลูยุคอาณานิคมสเปน ยุคอาณานิคมสเปน. เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) มีเกล โลเปซ เด เลกัซปี มาถึงฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) และตั้งชุมชนชาวสเปนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตั้งอาณานิคมในเวลาต่อมา หลังจากนั้น นักบวชศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้แปรศาสนาของชาวเกาะทั้งหมดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง 300 ปีนับจากนั้น กองทัพสเปนได้ต่อสู้กับเหตุการณ์กบฏต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากชนพื้นเมืองและจากชาติอื่นที่พยายามเข้ามาครอบครองอาณานิคม ซึ่งได้แก่ อังกฤษ จีน ฮอลันดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และโปรตุเกส สเปนสูญเสียไปมากที่สุดในช่วงที่อังกฤษเข้าครอบครองเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวในช่วงสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) หมู่เกาะฟิลิปปินส์อยู่ใต้การปกครองของสเปนในฐานะอาณานิคมของสเปนใหม่ (New Spain) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1565 (พ.ศ. 2108) ถึงปี ค.ศ. 1821 (พ.ศ. 2364) และนับจากนั้นฟิลิปปินส์ก็อยู่ใต้การปกครองของสเปนโดยตรง การเดินเรือมะนิลาแกลเลียน (Manila Galleon) จากฟิลิปปินส์ไปเม็กซิโก เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และหมู่เกาะฟิลิปปินส์เปิดตัวเองเข้าสู่การค้าโลกในปี ค.ศ. 1834รัฐอารักขาของสหรัฐอเมริกาการเมืองการปกครองบริหารงานและการปกครองนิติบัญญัติตุลาการสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ฟิลิปปินส์แบ่งเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่น (local government units, LGUs) โดยที่มีจังหวัดเป็นหน่วยหลัก ปัจจุบันมี 81 จังหวัด (provinces) แบ่งออกเป็น นคร (cities) และ เทศบาล (municipalities) ซึ่งหน่วยการปกครองทั้งสองยังประกอบไปด้วย บารังไกย์ (barangay) อีกทอดหนึ่ง ถือเป็นหน่วยรัฐบาลท้องถิ่นที่เล็กที่สุด ฟิลิปปินส์แบ่งออกเป็น 17 เขต (regions) ซึ่งทุกจังหวัดได้ถูกจัดอยู่ใน 16 เขตเพื่อความสะดวกในการปกครอง ยกเว้นเขตนครหลวง (National Capital Region) ที่แบ่งออกเป็นเขตพิเศษ 4 แห่ง หน่วยงานของรัฐบาลส่วนใหญ่จะตั้งสำนักงานในแต่ละภูมิภาค เพื่อรับใช้ประชาชนในจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ ภูมิภาคไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นแยกต่างหาก ยกเว้นเขตปกครองตนเองในมินดาเนามุสลิมและเขตบริหารคอร์ดิลเลราซึ่งปกครองตนเอง ไม่ได้ให้ผู้อื่นปกครองเขตและจังหวัดภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ฟิลิปปินส์เป็นกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ มีเนื้อที่ทั้งหมด (รวมพื้นผิวแหล่งน้ำภายในแผ่นดิน) ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) ชายฝั่งทะเลยาว 36,289 กิโลเมตร (22,549 ไมล์) ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ฟิลิปปินส์มีที่ตั้งซึ่งกำหนดโดยพิกัดภูมิศาสตร์คือ ระหว่างลองจิจูด 116° 40' ตะวันออก ถึง 126° 34' ตะวันออก กับละติจูด 4° 40' เหนือ ถึง 21° 10' เหนือ มีอาณาเขตจรดทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก จรดทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก และจรดทะเลเซเลบีสทางทิศใต้ เกาะบอร์เนียว ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และไต้หวันตั้งอยู่ทางทิศเหนือโดยตรง หมู่เกาะโมลุกกะและเกาะซูลาเวซีตั้งอยู่ทางทิศใต้-ตะวันตกเฉียงใต้ และปาเลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะ เกาะต่าง ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากภูเขาไฟและถูกปกคลุมด้วยป่าดิบชื้น ภูเขาที่สูงที่สุดคือภูเขาอาโป มีความสูงถึง 2,954 เมตร (9,692 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลและตั้งอยู่ที่เกาะมินดาเนา ร่องลึกแกละทีอาในร่องลึกฟิลิปปินเป็นจุดที่ลึกที่สุดของประเทศและลึกที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ร่องลึกดังกล่าวตั้งอยู่ในทะเลฟิลิปปิน แม่น้ำที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำคากายันในภาคเหนือของเกาะลูซอน อ่าวมะนิลา (ชายฝั่งของอ่าวเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาเมืองหลวง) เชื่อมต่อกับลากูนาเดบาอี (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์) ผ่านแม่น้ำปาซิก อ่าวซูบิก อ่าวดาเบา และอ่าวโมโรเป็นอ่าวอื่น ๆ ที่สำคัญ ช่องแคบซันฮัวนีโคแยกเกาะซามาร์และเกาะเลเตออกจากกัน แต่ก็มีสะพานซันฮัวนีโคข้ามเหนือช่องแคบ เนื่องจากตั้งอยู่บนขอบตะวันตกของวงแหวนไฟแปซิฟิก ฟิลิปปินส์จึงต้องเผชิญกับกิจกรรมแผ่นดินไหวและภูเขาไฟบ่อยครั้ง เนินใต้สมุทรเบ็นนัมในทะเลฟิลิปปิน (ทางทิศตะวันออกของกลุ่มเกาะ) เป็นภูมิภาคใต้สมุทรที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในเขตมุดตัวของเปลือกโลก มีการตรวจพบแผ่นดินไหวประมาณ 20 ครั้งต่อวัน แต่การสั่นสะเทือนส่วนใหญ่เบาเกินกว่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่เกาะลูซอนเมื่อปี ค.ศ. 1990 ในฟิลิปปินส์มีภูเขาไฟที่มีพลังอยู่หลายลูก เช่น ภูเขาไฟมาโยน ภูเขาปีนาตูโบ ภูเขาไฟตาอัล เป็นต้น การปะทุของภูเขาปีนาตูโบในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 ถือเป็นการปะทุที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าภูมิลักษณ์ที่โดดเด่นทุกแห่งจะมีความรุนแรงหรือมีอำนาจทำลายล้างเสมอไป มรดกที่สงบเงียบแห่งหนึ่งจากความปั่นป่วนทางธรณีวิทยาคือแม่น้ำใต้ดินปูเวร์โตปรินเซซาซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่สำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ แหล่งมรดกโลกแห่งนี้ยังมีระบบนิเวศจากภูเขาสู่ทะเลที่สมบูรณ์และมีป่าไม้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอีกด้วย เนื่องจากธรรมชาติของเกาะต่าง ๆ เป็นภูเขาไฟ ฟิลิปปินส์จึงมีทรัพยากรแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ มีผู้ประมาณว่าประเทศนี้มีแหล่งแร่ทองคำใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากแอฟริกาใต้ และเป็นแหล่งแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยนิกเกิล โครไมต์ และสังกะสี อย่างไรก็ตาม การจัดการที่ไม่ดี ความหนาแน่นสูงของประชากร และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ยังไม่มีการนำทรัพยากรส่วนใหญ่ขึ้นมาใช้ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นผลผลิตจากกิจกรรมภูเขาไฟที่ฟิลิปปินส์สามารถควบคุมจัดการจนได้ผลสำเร็จมากกว่า โดยในปัจจุบัน ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 18 ของประเทศความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ป่าดิบชื้นและชายฝั่งทะเลที่กว้างขวางของฟิลิปปินส์ทำให้กลุ่มเกาะนี้เป็นแหล่งรวมนก พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในทะเลหลากชนิด ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) เราสามารถพบสัตว์บกที่มีกระดูกสันหลังได้ถึงประมาณ 1,100 ชนิด ซึ่งรวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด และนกกว่า 170 ชนิดที่คาดกันว่าไม่อาศัยอยู่ที่อื่น ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีอัตราการค้นพบสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีการค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใหม่ 16 ชนิดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ อัตราสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นของฟิลิปปินส์จึงเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มต่อไป ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นถิ่นฟิลิปปินส์ได้แก่ อีเห็นข้างลาย (Paradoxurus hermaphroditus), แมวดาววิซายัส (Prionailurus javanensis rabori), พะยูน (Dugong dugon) และทาร์เซียร์ฟิลิปปิน (Tarsius syrichta) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกาะโบโฮล เป็นต้น แม้ว่าบนหมู่เกาะฟิลิปปินส์จะไม่มีผู้ล่าเหยื่อเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ แต่ก็มีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่อยู่บางชนิด เช่น งูเหลือม งูเห่า รวมทั้งจระเข้น้ำเค็มขนาดยักษ์ จระเข้น้ำเค็มในที่เลี้ยงตัวใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า โลลอง ถูกจับได้ในเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ นกประจำชาติที่รู้จักกันในชื่อนกอินทรีฟิลิปปิน (Pithecophaga jefferyi) มีลำตัวยาวที่สุดในบรรดานกอินทรีชนิดใด ๆ น่านน้ำอาณาเขตของฟิลิปปินส์ครอบคลุมเนื้อที่กว้างขวางถึง 2,200,000 ตารางกิโลเมตร (849,425 ตารางไมล์) เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในท้องทะเลที่มีลักษณะเฉพาะและมีความหลากหลายอันเป็นส่วนสำคัญของสามเหลี่ยมปะการัง ประมาณกันว่ามีชนิดปะการังและปลาทะเลทั้งสิ้น 500 และ 2,400 ชนิดตามลำดับ สถิติใหม่ และการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ได้เพิ่มตัวเลขเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของทรัพยากรทางทะเลในฟิลิปปินส์ได้อย่างชัดเจน พืดหินปะการังตุบบาตาฮาในทะเลซูลูได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1993 นอกจากนี้ น่านน้ำฟิลิปปินส์ยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของปู หอยมุก และสาหร่ายทะเล ด้วยชนิดพืชประมาณ 13,500 ชนิด ซึ่ง 3,200 ชนิดในจำนวนนี้พบเฉพาะในกลุ่มเกาะนี้เท่านั้น ป่าดิบชื้นของฟิลิปปินส์จึงมีพรรณพืชหลากหลายซึ่งรวมถึงกล้วยไม้และบัวผุดหายากหลายพันธุ์ การทำลายป่าซึ่งมักเป็นผลจากการทำไม้ผิดกฎหมายถือเป็นปัญหาร้ายแรงของฟิลิปปินส์ พื้นที่ป่าลดลงจากร้อยละ 70 ของพื้นที่บนบกทั้งหมดของประเทศในปี ค.ศ. 1900 เหลือเพียงประมาณร้อยละ 18.3 ในปี ค.ศ. 1999 สิ่งมีชีวิตจำนวนมากตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ และมีนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งฟิลิปปินส์) ต้องเผชิญกับอัตราการสูญพันธุ์ที่รุนแรงถึงร้อยละ 20 เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 21ภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ฟิลิปปินส์อยู่ในเขตภูมิอากาศภาคพื้นสมุทรเขตร้อนซึ่งโดยปกติจะมีอากาศร้อนและชื้น มีฤดูกาล 3 ฤดูกาล ได้แก่ ตักอีนิต () หรือ ตักอาเรา () ซึ่งเป็นฤดูร้อนหรือฤดูที่มีอากาศแห้งร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม, ตักอูลัน () หรือฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน และ ตักลามิก () หรือฤดูที่มีอากาศแห้งเย็นตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า ฮากาบัต () และลมแห้งของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน) มีชื่อเป็นภาษาท้องถิ่นว่า อามีฮัน () อุณหภูมิโดยทั่วไปอยู่ในพิสัยตั้งแต่ 21 องศาเซลเซียส (70 องศาฟาเรนไฮต์) ถึง 32 องศาเซลเซียส (90 องศาฟาเรนไฮต์) แต่อาจเย็นหรือร้อนกว่านี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล เดือนที่มีอากาศเย็นที่สุดคือเดือนมกราคม ส่วนเดือนที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดคือเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ประมาณ 26.6 องศาเซลเซียส (79.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทั้งนี้ ทำเลที่ตั้งในแง่ละติจูดและลองจิจูดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอุณหภูมิ เพราะไม่ว่าจะอยู่เหนือสุด ใต้สุด ตะวันออกสุด หรือตะวันตกสุดของประเทศ อุณหภูมิที่ระดับน้ำทะเลก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ในพิสัยเดียวกัน ระดับความสูงของพื้นที่มักจะส่งผลต่ออุณหภูมิมากกว่า อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของเมืองบากีโยที่ระดับความสูง 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลคือ 18.3 องศาเซลเซียส (64.9 องศาฟาเรนไฮต์) ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูร้อน เนื่องจากตั้งอยู่ในแดนไต้ฝุ่น เกาะส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์จึงมีฝนตกกระหน่ำและพายุฟ้าคะนองตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ในแต่ละปีจะมีไต้ฝุ่นประมาณ 19 ลูกเข้าสู่เขตความรับผิดชอบของสำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ฟิลิปปินส์ โดยมี 8-9 ลูกในจำนวนนี้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ปริมาณน้ำฝนรายปีตรวจวัดได้สูงถึง 5,000 มิลลิเมตร (200 นิ้ว) ในเขตชายฝั่งตะวันออกซึ่งมีสภาพเป็นภูเขา แต่น้อยกว่า 1,000 มิลลิเมตร (39 นิ้ว) ในหุบเขาบางแห่งที่มีที่กำบัง พายุหมุนเขตร้อนที่ทำให้ฝนตกมากที่สุดในฟิลิปปินส์เท่าที่ทราบกันคือพายุหมุนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1911 ซึ่งส่งอิทธิพลให้เกิดฝนตกหนักปริมาณถึง 1,168 มิลลิเมตร (46 นิ้ว) ภายในเวลา 24 ชั่วโมงที่เมืองบากีโย อนึ่ง บักโย () เป็นคำในภาษาฟิลิปปินส์ที่ใช้เรียกพายุหมุนเขตร้อนเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ของโลก โดยในปี ค.ศ. 2017 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด) โดยประมาณอยู่ที่ 348,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลักได้แก่ ผลิตภัณฑ์สารกึ่งตัวนำและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ บริภัณฑ์ขนส่ง เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ทองแดง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันมะพร้าว และผลไม้ คู่ค้ารายใหญ่ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง เยอรมนี ไต้หวัน และไทย หน่วยเงินตราของประเทศคือเปโซฟิลิปปินส์ ในฐานะประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ระบบเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงเกษตรกรรมไปสู่ระบบที่เน้นการบริการและการผลิตมากขึ้น จากจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมดประมาณ 40.813 ล้านคนของประเทศ ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานคิดเป็นร้อยละ 30 และสร้างมูลค่าคิดเป็นร้อยละ 14 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานร้อยละ 14 และสร้างมูลค่าร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 47 เป็นแรงงานในภาคบริการซึ่งสร้างมูลค่าร้อยละ 56 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อัตราการว่างงานของฟิลิปปินส์ ณ วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 อยู่ที่ร้อยละ 6.0 ในขณะเดียวกัน เนื่องจากสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานมีราคาถูกลง อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 มีมูลค่า 83,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราส่วนหนี้สินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสถิติสูงสุดที่ร้อยละ 78 ในปี ค.ศ. 2004 มาอยู่ที่ร้อยละ 38.1 ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าสุทธิ แต่ก็เป็นประเทศเจ้าหนี้เช่นกัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิปปินส์ได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เป็นรองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1960 สมรรถนะทางเศรษฐกิจของประเทศจึงเริ่มถูกแซง เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของประธานาธิบดีเฟร์ดีนันด์ มาร์โคส เนื่องจากระบอบมาร์โคสได้บ่มเพาะปัญหาการจัดการเศรษฐกิจที่ไม่ดีและความผันผวนทางการเมืองเอาไว้ ระบบเศรษฐกิจเติบโตทางอย่างเชื่องช้าและประสบภาวะถดถอยเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1990 จึงเริ่มฟื้นตัวตามแผนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ค.ศ. 1997 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่าเงินเปโซลดลงอย่างต่อเนื่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาหลายจุดในช่วงแรกของวิกฤตการณ์ แต่ผลกระทบที่ฟิลิปปินส์ได้รับนั้นไม่หนักเท่าในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมของรัฐบาล และบางส่วนเป็นผลมาจากการเฝ้าระวังและการควบคุมดูแลทางการเงินเป็นเวลาหลายสิบปีโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในขณะที่บรรดาประเทศเพื่อนบ้านได้ใช้เงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป็นต้นมาระบบเศรษฐกิจก็ส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเติบโตขึ้นร้อยละ 6.4 ในปี ค.ศ. 2004 และร้อยละ 7.1 ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบสามทศวรรษ อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายปีโดยเฉลี่ยต่อหัวในช่วงปี ค.ศ. 1966–2007 อยู่ที่ร้อยละ 1.45 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยร้อยละ 5.96 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกโดยรวม รายได้ต่อวันของประชากรฟิลิปปินส์ร้อยละ 45 ยังคงน้อยกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ การส่งเงินกลับของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก โดยมีมูลค่าเกินกว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในฐานะแหล่งเงินตราต่างประเทศ การส่งเงินกลับประเทศขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2010 โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ในปี ค.ศ. 2012 และในปี ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์ได้รับเงินส่งกลับจากแรงงานในต่างประเทศทั้งสิ้น 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในระดับภูมิภาคยังไม่เท่าเทียมกัน โดยมากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ยังกระจุกตัวอยู่ที่เกาะลูซอน (โดยเฉพาะเมโทรมะนิลา) จึงต้องแลกมากับโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคอื่น ๆ แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการกระจายความเจริญด้วยการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศแล้วก็ตาม ถึงจะมีข้อจำกัดต่าง ๆ แต่อุตสาหกรรมบริการ เช่น การท่องเที่ยว การจ้างคนนอกทำกระบวนการธุรกิจ ก็ได้รับการระบุว่าเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีโอกาสดีที่สุดสำหรับการเติบโตของประเทศ สถาบันการเงินโกลด์แมนซากส์ได้รวมฟิลิปปินส์อยู่ในรายชื่อ "11 ประเทศถัดไป" ที่มีศักยภาพสูงที่จะมีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่จีนและอินเดียก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกัน โกลด์แมนซากส์ยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ส่วนธนาคารเอชเอสบีซีก็คาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจของประเทศนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศสมาชิกธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมันดาลูโยง) แผนโคลัมโบ กลุ่ม 77 และกลุ่ม 24 ในบรรดากลุ่มและสถาบันความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ภาคการเดินทางและท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ โดยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ระบบเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี ค.ศ. 2013 และสร้างตำแหน่งงาน 1,226,500 ตำแหน่ง หรือร้อยละ 3.2 ของการจ้างงานทั้งหมด ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 ฟิลิปปินส์ได้ต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติทั้งหมด 2,882,737 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.43 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ค.ศ. 2016) ผู้มาเยือนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.72 ในขณะที่ผู้มาเยือนจากทวีปอเมริกาและจากทวีปยุโรปมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.52 และร้อยละ 11.26 ตามลำดับ หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์คือกระทรวงการท่องเที่ยว ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นหนึ่งในบรรดาจุดดึงดูดความสนใจหลัก ๆ ของการท่องเที่ยว โดยมีชายหาด ภูเขา ป่าดิบชื้น เกาะ และจุดดำน้ำอยู่ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากฟิลิปปินส์มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นกลุ่มของเกาะประมาณ 7,500 เกาะ จึงมีชายหาด ถ้ำ และการก่อตัวของหินรูปทรงแปลกตามากมาย โบราไคซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาดได้รับการลงคะแนนจากผู้อ่านนิตยสารแทรเวลแอนด์เลเชอร์ให้เป็นเกาะที่ดีที่สุดในโลกประจำปี ค.ศ. 2012 จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ นาขั้นบันไดบานาเวในจังหวัดอีฟูเกา นครประวัติศาสตร์วีกันในจังหวัดตีโมกอีโลโคส เนินเขาช็อกโกแลตในจังหวัดโบโฮล กางเขนของมาเจลลันในจังหวัดเซบู และพืดหินปะการังตุบบาตาฮาในจังหวัดปาลาวันโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาโครงสร้างพื้นฐาน. การศึกษา. - นโยบายทางการศึกษาในยุคที่เป็นอาณานิคมของสเปน หลังจากที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1571 ระบบการศึกษาในฟิลิปปินส์ได้รับอิทธิพลจากนโยบายของจักรวรรดิสเปน สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาในสมัยนั้น คือ ระบบการศึกษาแบบคาทอลิก โดยศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาระบบการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยภายในฟิลิปปินส์ เพราะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสเปนในการเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกในฟิลิปปินส์- นโยบายการศึกษาภายหลังยุคที่เป็นอาณานิคมของสหรัฐจวบจนปัจจุบัน ภายหลังจากที่ฟิลิปปินส์มีอิสระในการกำหนดนโยบายการศึกษาแล้ว ฟิลิปปินส์ยังคงให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษในระบบการศึกษา พิจารณาได้จากรัฐธรรมนูญของประเทศฟิลิปปินส์ฉบับปี ค.ศ.1987 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ภาษาทางการที่ใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนคือภาษาฟิลิปปินส์และภาษาอังกฤษ กระทรวงศึกษาธิการของฟิลิปปินส์ได้กำหนดให้ใช้ภาษาทั้งสองในวิชาที่แตกต่างกันในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. มีปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิมในเกาะมินดาเนา ซึ่งต้องการแยกตัวเป็นอิสระ เรียกว่า "แนวปลดปล่อยแห่งชาติโมโร"ภาษา ภาษา. มีการใช้ภาษามากกว่า 170 ภาษา โดยส่วนมากเกือบทั้งหมดนั้นเป็นตระกูลภาษาย่อยมาลาโย-โปลินีเซียนตะวันตก แต่ในปี พ.ศ. 2530 รัฐธรรมนูญได้ระบุให้ภาษาฟิลิปีโนและภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้กันมากในประเทศฟิลิปปินส์มีทั้งหมด 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาสเปน ภาษาจีนฮกเกี้ยน ภาษาจีนแต้จิ๋ว ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาซินด์ ภาษาปัญจาบ ภาษาเกาหลี และภาษาอาหรับ โดยฟิลิปปินส์นั้น มีภาษาประจำชาติคือ ภาษา ตากาล็อกศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชากรนับถือ แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาคริสต์ 92.9% (นิกายโรมันคาทอลิก 82.9% นิกายโปรเตสแตนต์ 10%) ศาสนาอิสลาม 5.6% ศาสนาฮินดู 1% และศาสนาอื่น ๆ 0.5%เมืองที่มีประชากรมากที่สุดวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกก่อนจะได้มีโอกาสพัฒนาวัฒนธรรมของตัวเอง วัฒนธรรมฟิลิปปินส์จะมีส่วนคล้ายกับประเทศในละตินอเมริกา ประชาชนแบ่งออกเป็นชุมนุมชนทางเชื้อชาติและภาษาที่แตกต่างกันอาหาร อาหาร. อาโดโบ เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นที่นิยมของนักเดินทางหรือนักเดินเขา ทำจากหมูหรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบหรือทอด และรับประทานกับข้าวศิลปะสื่อสารมวลชนกีฬา
| ประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนภูมิภาคใด | {
"answer": [
"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
],
"answer_begin_position": [
203
],
"answer_end_position": [
225
]
} |
2,085 | 1,937 | ประเทศกัมพูชา กัมพูชา หรือ ก็อมปุเจีย () ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา หรือ ราชอาณาจักรก็อมปุเจีย () เป็นประเทศตั้งอยู่ในส่วนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนทิศตะวันตกติดต่อกับประเทศไทย ทิศเหนือติดกับประเทศไทยและลาว ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับเวียดนาม และทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดอ่าวไทย ด้วยประชากรกว่า 14.8 ล้านคน กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 66 ของโลก ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งประชากรกัมพูชานับถือประมาณ 95% ชนกลุ่มน้อยในประเทศมีชาวเวียดนาม ชาวจีน ชาวจาม และชาวเขากว่า 30 เผ่า เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด คือ พนมเปญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกัมพูชา ราชอาณาจักรกัมพูชาปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี มาจากการเลือกตั้งโดยราชสภาเพื่อราชบัลลังก์ เป็นประมุขแห่งรัฐ ประมุขรัฐบาล คือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ปกครองกัมพูชามาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปี ใน พ.ศ. 1345 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ปราบดาภิเษกตนเป็นพระมหากษัตริย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิขะแมร์ อำนาจและความมั่งคังมหาศาลของจักรวรรดิขะแมร์ที่มีพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติสืบต่อกันมานั้นได้มีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลากว่า 600 ปี กัมพูชาถูกปกครองเป็นเมืองขึ้นของประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งถูกฝรั่งเศสยึดเป็นอาณานิคมในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 กัมพูชาได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2496 สงครามเวียดนามได้ขยายเข้าสู่กัมพูชา ทำให้เขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งยึดกรุงพนมเปญได้ใน พ.ศ. 2518 กัมพูชาผงาดขึ้นอีกหลายปีให้หลังภายในเขตอิทธิพลสังคมนิยมเป็นสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชากระทั่ง พ.ศ. 2536 หลังจากหลายปีแห่งการโดดดี่ยว ชาติซึ่งเสียหายจากสงครามก็ได้รวมเข้าด้วยกันอีกครั้งภายใต้ระบอบราชาธิปไตยในปีเดียวกันนั้นเอง ในการบูรณะประเทศหลังสงครามกลางเมืองนานหลายทศวรรษ กัมพูชามีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์ ประเทศกัมพูชาได้มีหนึ่งในบันทึกเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในเอเชีย โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 6.0% เป็นเวลานาน 10 ปี ภาคสิ่งทอ เกษตรกรรม ก่อสร้าง เสื้อผ้าและการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งได้นำไปสู่การลงทุนจากต่างชาติและการค้าระหว่างประเทศ ใน พ.ศ. 2548 มีการพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติใต้น่านน้ำอาณาเขตของกัมพูชา การขุดเจาะเชิงพาณิชย์เริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2556 รายได้จากน้ำมันสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจกัมพูชาอย่างลึกซึ้งประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์ยุคแรกของกัมพูชา ประวัติศาสตร์. ประวัติศาสตร์ยุคแรกของกัมพูชา. ความรู้เกี่ยวกับยุคก่อนประวัติศาสตร์ของกัมพูชานั้นมีอยู่น้อยมาก แหล่งโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดของกัมพูชาที่ค้นพบในปัจจุบัน คือ ถ้ำ แลง สแปน (Laang Spean) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าผู้คนเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันเมื่อประมาณ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล และแหล่งโบราณคดีสำโรง เซน (Samrong Sen) ซึ่งเชื่อว่าเริ่มมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อราว 230 ถึง 500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวกัมพูชาเริ่มรู้จักการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกข้าวได้ตั้งแต่เมื่อราว 2,000 ก่อนคริสตกาล สามารถทำเครื่องมือจากเหล็กได้ตั้งแต่ราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าที่อิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียจะแผ่นเข้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ในราวปีที่ 100 ก่อนคริสตกาล หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าพื้นที่หลายส่วนของดินแดนประเทศกัมพูชาในปัจจุบันเริ่มมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อราวสหัสวรรษแรกและสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล โดยจัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินใหม่ ซึ่งผู้คนกลุ่มนี้อาจอพยพมาจากทางพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ในก่อนช่วงคริสต์ศตวรรษแรก ผู้คนในแถบได้มีวิวัฒนาการสู่การตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง มีการจัดโครงสร้างของสังคมอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาทักษะวิทยาการต่าง ๆ ได้ก้าวหน้ากว่ายุคก่อน ๆ เป็นอย่างมาก กลุ่มที่มีพัฒนาการก้าวหน้าที่สุดอาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่ง ที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง สามารถเพาะปลูกข้าวและเลี้ยงปศุสัตว์ได้ นักประวัติศาสตร์หลายคนมีความเห็นว่า ผู้คนกลุ่มนี้ได้ตั้งหลักแหล่งอาศัยก่อนหน้าผู้คนในประเทศเพื่อนบ้าน คือ เวียดนาม ไทย และลาว ผู้คนกลุ่มนี้อาจจัดอยู่ในกลุ่มออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) หรืออย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของมนุษย์กลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทั่วไปในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาะแก่งต่าง ๆ ของมหาสมุทรแปซิฟิกในปัจจุบัน ผู้คนเหล่านี้มีความรู้ในงานโลหะ เช่นเหล็กและสำริด โดยเป็นเป็นทักษะที่คิดค้นขึ้นเอง งานวิจัยในปัจจุบันได้ค้นว่า ชาวกัมพูชาในยุคนี้สามารถปรับปรุงสภาพภูมิประเทศมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ โดยปรากฏรูปแบบเป็นพื้นที่รูปวงกลมขนาดใหญ่อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรฟูนัน. อาณาจักรฟูนันเป็นรัฐที่รุ่งเรืองอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 – 6 ที่ตั้งของรัฐอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งประเทศกัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บางตอนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคใต้ของไทย ลงมาถึงแหลมมลายู ฟูนานรวมตัวกันเป็นรัฐแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรัฐชลประทานภายในแผ่นดินที่ประชาชนดำรงชีพด้วยการเกษตร โดยใช้น้ำจากระบบชลประทานที่พัฒนาเป็นอย่างดี นอกจากนั้น ฟูนานยังมีเมืองท่าสำหรับจอดเรือและค้าขายต่างประเทศ ฟูนาน จึงมีรายได้จากการค้าขาย การเดินเรืออีกด้วย เรื่องราวของรัฐฟูนาน ทราบจากบันทึกของชาวจีนที่เดินทางมาแถบนี้ ได้เขียนเล่าถึงความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ในชุมชนที่มีระเบียบ มีคุณธรรม มีการปกครองระบอบกษัตริย์ มีเมืองต่าง ๆ มาขึ้นด้วยหลายเมือง มีวัฒนธรรมแท้ ๆ ของตนเอง มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียด้วยกัน และโลกตะวันตก ชนชั้นสูงเป็นพวกมาลาโยโพลีนีเซียน ชาวจีนว่าพวกชนชั้นพื้นเมืองของฟูนันหน้าตาหน้าเกลียด ตัวเล็ก ผมหยิก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพวกเนกริโตและเมลานีเซียน ฟูนานมีประวัติความเป็นมา เริ่มจากการรวมตัวกันของผู้คน เป็นชุมชนเล็กขนาดหมู่บ้าน จากหมู่บ้านพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐ วิธีการพัฒนาจากสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐมีปัจจัยและขั้นตอนหลายประการอาณาจักรเจนละ อาณาจักรเจนละ. ในระหว่าง พ.ศ. 1170-1250 นั้นอาณาจักรขอมมีกษัตริย์ครองราชย์คือ พระเจ้าภววรมันที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โอรสของพระเจ้าภววรมันที่ 2 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบไพรกเมง ขึ้นระหว่างพ.ศ. 1180-1250สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 นั้นอาณาจักรเจนฬา (เจนละ) นั้นได้แตกแยกเป็นพวกเจนละบกคืออยู่ลุ่มน้ำโขงตอนใต้ และพวกเจนละน้ำ อยู่ในดินแดนลาวตอนกลาง พ.ศ. 1250-1350 ยุคนี้ได้มีการสร้างศิลปขอมแบบกำพงพระขึ้น อาณาจักรขอมนั้นล่มสลายมาจนถึงรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 หรือพระเจ้าปรเมศวรพ.ศ. 1345-1393 พระองค์ได้รวบรวมพวกเจนละบกและพวกเจนละน้ำเป็นอาณาจักรใหม่โดยรับเอาลัทธไศเลนทร์หรือ เทวราชาเข้ามาทำการสถานปนาอาณาจักรใหม่ขึ้น โดยทำการสร้างราชธานีขึ้นใหม่หลายแห่งและสร้างปราสาทหินหรือเทวาลัยเป็นการใหญ่ ซึ่งมีเหตุการณ์ย้ายราชธานีขึ้นหลายครั้งจนกว่าจะลงตัวที่เมืองหริหราลัยราชธานีแห่งแรกของอาณาจักรขอม ต่อมาคือ เมืองยโศธรปุระ และ เมืองนครธมในที่สุด ด้วยเหตุนี้อาณาจักรขอมสมัยนี้จึงรุ่งเรืองด้วยการสร้างราชธานีขึ้นหลายแห่งและมีปราสาทหินที่เป็นศิลปขอมเกิดขึ้นหลายแบบ กล่าวคือ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 นั้นพระองค์ได้ทำการสร้างเมืองอินทรปุระเป็นราชธานี ขึ้นที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงจาม สร้างเมืองหริหราลัยหรือร่อลวย เป็นราชธานี สร้างเมืองอมเรนทรปุระ เป็นราชธานี และสร้างเมืองมเหนทรบรรพต หรือ พนมกุเลนเป็นราชธานี ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบกุเลนขึ้นระหว่างพ.ศ. 1370-1420 เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระโอรสได้ครองราชย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 3 หรือ พระเจ้าวิษณุโลก ครองราชย์ พ.ศ. 1393-1420 พระองค์ได้กลับมาใช้เมืองหริหราลัยหรือร่อลอย เป็นราชธานี ต่อมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าอิศวรโลก ครองราชย์พ.ศ. 1420-1432 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบพระโคขึ้นในพ.ศ. 1420-1440 ในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าบรมศิวโลก พระโอรสของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ซึ่งครองราชย์เป็นกษัตริย์ขอมในพ.ศ. 1432-1443 นั้น พระองค์ได้สร้างเมืองยโศธรปุระหรือเมืองพระนครแห่งแรกขึ้นที่เขาพนมบาเค็ง เมื่อพ.ศ. 1436 ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือทะเลสาบเมืองเสียมราฐ เมืองนี้คนไทยเรียก เสียมราฐ การสร้างปราสาทหินขึ้นบนเขาพนมบาเค็งนั้น เป็นอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่แผ่อิทธิพลเข้ามายังดินแดนแถบนี้ ซึ่งถูกสมมติขึ้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อนั้น นับเป็นศิลปขอมแบบบาเค็ง เมืองยโศธรปุระ ราชธานีแห่งนี้มีกษัตริย์ครองราชย์ต่อมาคือ พระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้ารุทรโลก พระโอรสของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ. 1443-1456 และพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 หรือพระเจ้าบรมรุทรโลก พระอนุชาของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ. 1 456-1468 จึงเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแผ่นดิน ในที่สุดพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 หรือพระเจ้าบรมศิวบท ซึ่งเป็นน้องเขยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อาณาจักรขอมในพ.ศ. 1471-1485 พระองค์ได้สร้างราชธานีขึ้นที่เมืองโฉกการยกยาร์หรือเกาะแกร์ และพระเจ้าหรรษวรมันที่ 2หรือพระเจ้าพรหมโลก พระโอรสขององค์ได้ครองราชย์ต่อมาระหว่างพ.ศ. 1485-1487 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบเกาะแกร์ พ.ศ. 1465-1490 ต่อมาพระเจ้าราเชนทรวรมัน หรือพระเจ้าศิวโลก พระนัดดาของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ครองราชย์ในพ.ศ. 1487-1511 ได้ย้ายราชธานีมาที่เมืองยโศธรปุระ หรือเมืองพระนครแห่งแรก ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบแปรรูป พ.ศ. 1490-1510 เมืองยโศธรปุระ ราชธานีเก่าแห่งนี้มีกษัตริย์ครองราชย์ต่อมาหลายพระองค์ ได้แก่ - พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 หรือพระบรมวีรโลก ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเจ้าราเชนทรวรมัน ครองราชย์พ.ศ. 1511-1544 สมัยนี้สร้างศิลปขอมแบบบันทายศรี พ.ศ. 1510-1550 ขึ้น - พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 พระนัดดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ครองราชย์ พ.ศ. 1544 สร้างศิลปขอมแบบคลังขึ้นพ.ศ. 1510-1560 - พระเจ้าชัยวีรวรมัน ครองราชย์พ.ศ. 1545 (สวรรคตพ.ศ. 1553) - พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ. 1545-1593สมัยนี้พระองค์ได้ทำการสถาปนาราชวงศ์ขึ้นใหม่ และน่าจะมีการสร้างเมืองพระนครขึ้นใหม่เป็นแห่งที่สองเป็นยุคที่สร้างศิลปแบบปาบวนขึ้นใช้ในพ.ศ. 1560-1630 เมืองพระนครแห่งที่สองนี้ ยังไม่มีรายละเอียด จึงสรุปไม่ได้ว่าอยู่ที่ใด ในดินแดนพายัพนั้น เดิมหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมดเป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติลาว ครั้นเมื่อขอมมีอำนาจขยายอาณาจักรมาสู่ดินแดนพายัพ จึงตั้งเมืองละโว้ให้เจ้านครขอมคอยดูแล และพระนางจามเทวีพระธิดาของเจ้าผู้ครองเมืองละโว้ได้ขึ้นไปครองเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงของขอมละโว้ พระธิดาเจ้าผู้ครองเมืองนี้จึงได้ปกครองพวกลาวทั้งปวงในมณฑลพายัพ เมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) จึงเป็นเมืองลูกหลวงของขอมละโว้ ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ดูแลดินแดนพายัพ ต่อมาได้ตั้งเมืองนครเขลางค์ (เมืองลำปาง) ขึ้นและปกครองร่วมกันจักรวรรดิเขมร จักรวรรดิเขมร. จักรวรรดิขแมร์ หรือ อาณาจักรเขมร หรือบางแหล่งเรียกว่า อาณาจักรขอม เป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณ เริ่มต้นขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ 6 โดยเริ่มจากอาณาจักรฟูนัน มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณประเทศกัมพูชา โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ ประเทศไทย ลาว และบางส่วนของเวียดนามในปัจจุบัน นับเป็นอาณาจักรที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาได้อ่อนกำลังลงจนเสียดินแดนบางส่วนให้กับอาณาจักรสุโขทัยและแตกสลายในที่สุดเมื่อตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรขอมสืบทอดอำนาจจากอาณาจักรเจนฬา มีสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอาณาจักรข้างเคียง เช่น อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรจามปา มรดกที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรขอมคือ นครวัด และ นครธม ซึ่งเคยเป็นนครหลวงเมื่อครั้งอาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และยังมีลัทธิความเชื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ศาสนาหลักของอาณาจักรนี้ได้แก่ ศาสนาฮินดู พุทธศาสนามหายาน และพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งได้รับจากศรีลังกา เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13ยุคมืดของกัมพูชา ยุคมืดของกัมพูชา. ยุคมืดของกัมพูชา เริ่มตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาได้โจมตีอาณาจักรเขมร และ ได้เผา พระนคร เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ราบเป็นหน้ากลอง ทำให้อาณาจักรเขมรเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศตั้งแต่บัดนั้นมา เขมรเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในฐานะดินแดนประเทศราช อาณาจักรอยุธยาปกครองเขมรเป็นเวลาเกือบ 400 ปี ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์เขมรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิสยามอย่างเข้มงวด ในสมัยรัชกาลที่3 ได้เกิด สงครามอานามสยามยุทธทำให้กัมพูชาเป็นรัฐอารักขาระหว่างสยามกับญวณ ก่อนที่จะตกเป็นของฝรั่งเศสในเวลาต่อมาอาณานิคมของฝรั่งเศส อาณานิคมของฝรั่งเศส. กัมพูชาตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาอารักขาระหว่างฝรั่งเศส-กัมพูชาเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2406 ในสมัยพระนโรดม โดยสยามพยามยามคัดค้านแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ในช่วงแรก ฝรั่งเศสปกครองกัมพูชาโดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการภายในมากนัก และช่วยค้ำจุนราชบัลลังก์ของกัมพูชา โดยช่วยปราบกบฏต่าง ๆ จน พ.ศ. 2426 - 2427 หลังจากยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด โดยพยายามลิดรอนอำนาจของกษัตริย์และยกเลิกระบบไพร่ทาส ทำให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนอย่างรุนแรง จนต้องเจรจากับพระนโรดม กษัตริย์ในขณะนั้น ให้ประกาศสันติภาพ และระงับการแทรกแซงกัมพูชา จนกระทั่งพระนโรดมสวรรคต ฝรั่งเศสได้สนับสนุนให้พระสีสุวัตถ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พร้อมทั้งมอบอำนาจการปกครองทั้งหมดให้ฝรั่งเศส หลังจากฝรั่งเศสเข้าปกครองกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2406 ฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจในเวียดนาม โดยปรับปรุงการเก็บภาษี ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวกัมพูชา และยังนำชาวเวียดนามเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในระบบราชการของฝรั่งเศส และเป็นแรงงานทางด้านเกษตรกรรม ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงกลางปี พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนเข้าสู่กัมพูชาแต่ยอมให้รัฐบาลวิชีปกครองดังเดิม รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เรียกร้องดินแดนบางส่วนในลาวและกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสจนนำไปสู่กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสที่เริ่มขึ้นเมื่อ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในที่สุด ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยโดยที่ไทยได้จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐและบางส่วนของจังหวัดสตึงแตรง ยกเว้นปราสาทนครวัดยังอยู่ในเขตแดนของฝรั่งเศส พระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์กษัตริย์กัมพูชาสิ้นพระชนม์หลังกรณีพิพาทนี้ไม่นาน ฝรั่งเศสเลือกพระนโรดม สีหนุขึ้นเป็นกษัตริย์ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ ต่อมา ญี่ปุ่นได้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2488 กัมพูชาได้ประกาศเอกราชภายใต้วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาของญี่ปุ่น โดยมีพระนโรดม สีหนุเป็นประมุขรัฐ หลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาในพนมเปญ สถาปนาอำนาจของฝรั่งเศสในกัมพูชาอีก รัฐบาลฝรั่งเศสอิสระได้ตัดสินใจที่จะรวมอินโดจีนเข้ากับสหภาพฝรั่งเศส ในพนมเปญ พระนโรดม สีหนุพยายามเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อเรียกร้องเอกราชที่สมบูรณ์ ในขณะที่กลุ่มต่อต้านที่เรียกตนเองว่าเขมรอิสระ ได้ใช้การสู้รบแบบกองโจรตามแนวชายแดน โดยได้ร่วมมือกับกลุ่มฝ่ายซ้ายทั้งที่นิยมและไม่นิยมเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มเขมรเสรีซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ของเซิง งอกทัญด้วย ใน พ.ศ. 2489 ฝรั่งเศสยอมให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองในกัมพูชา และให้มีการเลือกตั้งภายในประเทศ พระนโรดม สีหนุยังคงต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กัมพูชาเป็นอิสระจากสหภาพฝรั่งเศส จนฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง จึงยอมมอบเอกราชให้แก่กัมพูชาราชอาณาจักรกัมพูชา ราชอาณาจักรกัมพูชา. หลังการประชุมเจนีวาได้มีการเลือกตั้งขึ้นในประเทศกัมพูชาใน พ.ศ. 2498 โดยมีคณะกรรมการควบคุมนานาชาติเป็นผู้สังเกตการณ์ ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2498 พระนโรดม สีหนุได้ประกาศสละราชสมบัติให้พระบิดาของพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต และทรงตั้งพรรคการเมืองขึ้นคือพรรคสังคมราษฎร์นิยมหรือระบอบสังคม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นฝ่ายขวา ซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ด้วยความรุนแรง แต่ก็มีสมาชิกฝ่ายซ้ายภายในพรรค เช่น เขียว สัมพัน ฮู ยวน เพื่อถ่วงดุลกับฝ่ายขวา การเลือกตั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2498 พรรคสังคมชนะการเลือกตั้งโดยได้ 83% ของที่นั่งทั้งหมดในสภา นอกจากนั้น พระนโรดม สีหนุ ยังดำเนินนโยบายที่จะดึงฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากลุ่มต่าง ๆ ให้เข้าร่วมกับระบอบสังคมของพระองค์ และกดดันผู้ที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นไป องค์กรที่ต่อต้านระบอบของพระนโรดม สีหนุถูกผลักดันให้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน พรรคที่เป็นเอกเทศของฝ่ายซ้าย เช่น กรมประชาชนกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี สถานีวิทยุแห่งชาติได้ออกประกาศว่ากรมประชาชนเป็นหุ่นเชิดของเวียดนาม มีการติดโปสเตอร์ต่อต้านกรมประชาชนโดยทั่วไป หนังสือพิมพ์ของฝ่ายต่อต้านพระองค์ เช่น หนังสือพิมพ์ l'Observateur และหนังสือพิมพ์อื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันถูกสั่งปิดในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2506 พระนโรดม สีหนุได้ประกาศชื่อของฝ่ายซ้ายจำนวน 34 คน ว่าเป็นพวกขี้ขลาด หลอกลวง ก่อวินาศกรรม หัวหน้ากบฏ และเป็นคนทรยศ ผลที่ตามมาทำให้ขบวนการฝ่ายซ้ายต้องออกจากเมืองหลวงไปตั้งมั่นในชนบท การดำเนินนโยบายต่างประเทศของพระนโรดม สีหนุ เป็นการดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่มีแนวโน้มเป็นปฏิปักษ์กับไทยและเวียดนามใต้ ในขณะที่เป็นมิตรกับจีนและสนับสนุนเวียดนามเหนือในสงครามเวียดนาม กัมพูชาในสมัยนี้มีกรณีพิพาทกับไทย ทั้งกรณีพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร และการกวาดล้างชาวไทยเกาะกงในจังหวัดเกาะกง การปกครองระบอบสังคมของพระองค์สิ้นสุดลงเมื่อถูกรัฐประหาร โดยลน นล เมื่อ พ.ศ. 2513 ซึ่งได้จัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรขึ้นแทน พระนโรดม สีหนุต้องลี้ภัยไปจัดตั้งรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาพลัดถิ่น ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนสาธารณรัฐเขมรและสงคราม สาธารณรัฐเขมรและสงคราม. สงครามกลางเมืองกัมพูชา เป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) และเวียดกงฝ่ายหนึ่งกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) อีกฝ่ายหนึ่ง สงครามนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นจากอิทธิพลและการกระทำของพันธมิตรคู่สงคราม การเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องของกองทัพประชาชนเวียดนาม (กองทัพเวียดนามเหนือ) เป็นไปเพื่อป้องกันฐานที่มั่นทางตะวันออกของกัมพูชา ซึ่งหากเสียไปการดำเนินความพยายามทางทหารในเวียดนามใต้จะยากขึ้น หรัฐประหาร 18 มีนาคม พ.ศ. 2513 ทำให้รัฐบาลนิยมอเมริกาและต่อต้านเวียดนามเถลิงอำนาจ และยุติความเป็นกลางในสงครามเวียดนาม กองทัพเวียดนามเหนือจึงถูกคุกคามจากทั้งรัฐบาลกัมพูชาใหม่ที่ไม่เป็นมิตรทางตะวันตก และกองกำลังสหรัฐและเวียดนามใต้ในเวียดนามทางตะวันออก หลังจากการสู้รบผ่านไป 5 ปี รัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐเขมรพ่ายแพ้เมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 และเขมรแดงได้ประกาศตั้งกัมพูชาประชาธิปไตย ความขัดแย้งนี้แม้จะเป็นการสู้รบในประเทศ แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเวียดนาม (พ.ศ. 2502 – 2518) และมีความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างราชอาณาจักรลาว เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ สงครามกลางเมืองนี้นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชากัมพูชาประชาธิปไตยและเขมรแดง กัมพูชาประชาธิปไตยและเขมรแดง. กัมพูชาประชาธิปไตย (; ; อ่านว่า ก็อมปูเจียประเจียทิปะเต็ย) คือชื่อของประเทศกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2522 ซึ่งเกิดจากการโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอลนอล และได้จัดปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์โดยพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดง ในสมัยนี้องค์กรของรัฐบาลจะถูกอ้างถึงในชื่อ "อังการ์เลอ" (; องฺคการเลี - องค์การบน หรือ หน่วยเหนือ)[1] ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชานั้น แกนนำของพรรคให้เรียกชื่อว่า "อังการ์ปะเดะวัด" (; องฺคการปฏิวัตฺติ - องค์การปฏิวัติ)[2] โดยผู้นำสูงสุดของประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคือนายพล พต ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงด้วย ในปี พ.ศ. 2522 กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาภายใต้การนำของเฮง สัมริน และกองทัพเวียดนามได้รุกเข้ามาทางชายแดนตอนใต้ของกัมพูชาและสามารถโค่นล้มรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยได้สำเร็จ พร้อมทั้งได้จัดการปกครองประเทศใหม่ในชื่อ สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา กองทัพเขมรแดงจึงได้ถอยร่นไปตั้งมั่นในทางภาคเหนือของประเทศและยังคงจัดรูปแบบการปกครองตามระบบของกัมพูชาประชาธิปไตยเดิมต่อไปสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา. สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (; PRK; สาธารณรฏฺฐปฺรชามานิตฺกมฺพูชา) เป็นรัฐบาลที่จัดตั้งในกัมพูชาโดยแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มของกัมพูชาฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มของเขมรแดง ล้มล้างรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของพล พต โดยร่วมมือกับกองทัพของเวียดนาม ทำให้เกิดการรุกรานเวียดนามของกัมพูชา เพื่อผลักดันกองทัพเขมรแดงออกไปจากพนมเปญ มีเวียดนามและสหภาพโซเวียตเป็นพันธมิตรที่สำคัญ สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาไม่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากจีน อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่นั่งในสหประชาชาติของประเทศกัมพูชาในขณะนั้นเป็นของแนวร่วมเขมรสามฝ่ายที่จัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งกลุ่มเขมรแดงของพล พตเข้าร่วมกับกลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มของนโรดม สีหนุ และซอน ซาน อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาได้ประกาศเป็นรัฐบาลของกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2522-2536 โดยมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่จำกัด สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐกัมพูชา (; ) ในช่วงสี่ปีสุดท้าย เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาติ ในขณะเดียวกันได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบจากระบบรัฐเดียวไปสู่การฟื้นฟูราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ในช่วง พ.ศ. 2522 - 2534 โดยนิยมลัทธิมากซ์-เลนินแบบสหภาพโซเวียต การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังอ่อนแอ จากการทำลายล้างของระบอบเขมรแดง และเป็นรัฐหุ่นเชิดของเวียดนามที่เข้ามาแทรกแซงทางเศรษฐกิจ จนรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเป็นรัฐที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ก็ฟื้นฟูและสร้างชาติกัมพูชาได้ใหม่กัมพูชายุคใหม่ กัมพูชายุคใหม่. หลังการล่มสลายของกัมพูชาประชาธิปไตย กัมพูชาตกอยู่ภายใต้การรุกรานของเวียดนามและรัฐบาลที่นิยมฮานอยซึ่งก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา สงครามกลางเมืองหลัง พ.ศ. 2523 เป็นการสู้รบระหว่างกองทัพประชาชนปฏิวัติกัมพูชาของรัฐบาลกับแนวร่วมเขมรสามฝ่ายซึ่งถือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นของกลุ่มต่างๆสามกลุ่มคือ พรรคฟุนซินเปกของพระนโรดม สีหนุ พรรคกัมพูชาประชาธิปไตยหรือเขมรแดง และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร มีการเจรจาสันติภาพตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และนำไปสู่การประชุมสันติภาพที่ปารีสเพื่อสงบศึกใน พ.ศ. 2534 ในที่สุดมีการจัดการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติใน พ.ศ. 2536 เพื่อเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศ พระนโรดม สีหนุกลับมาเป็นกษัตริย์อีกครั้ง มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากมีการเลือกตั้งโดยปกติใน พ.ศ. 2541 การเมืองมีความมั่นคงขึ้น หลังการล่มสลายของเขมรแดง ใน พ.ศ. 2541การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. สภาพการเมืองในกัมพูชาปัจจุบันถือว่ามีเสถียรภาพ พรรคการเมืองสองพรรคหลักซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐบาลกัมพูชา คือ พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของสมเด็จฮุน เซน และพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ สามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น ทั้งในด้านบริหารและด้านนิติบัญญัติ รวมทั้งมีท่าทีที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ในประเด็นทางการเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศ อาทิ เรื่องการนำตัวอดีตผู้นำเขมรแดงมาพิพากษาโทษ เป็นต้น กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยังไม่มีความเข้มแข็งมากพอ และคงสามารถทำได้เพียงแต่สร้างผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล โดยในทางการเมือง พรรคสม รังสี พรรคการเมืองฝ่ายค้านหนึ่งเดียวในสภาแห่งชาติกัมพูชา ได้เคลื่อนไหวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลกัมพูชาอย่างแข็งขัน พยายามชี้ให้สาธารณชนและนานาชาติ เห็นถึงการทุจริตและประพฤติมิชอบของรัฐบาล รวมทั้งการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและของพรรค อย่างไรก็ดี ในด้านความมั่นคง มีปรากฏการณ์ใหม่ คือ ได้เกิดกลุ่มติดอาวุธที่มีวัตถุประสงค์จะโค่นล้มรัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน ที่สำคัญคือ Cambodian Freedom Fighters (CFF) ซึ่งมีชาวกัมพูชาสัญชาติอเมริกันเป็นหัวหน้า กลุ่มดังกล่าวได้ก่อการร้ายขึ้นในกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 แต่รัฐบาลกัมพูชาสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และอยู่ระหว่างกระบวนการพิพากษาตัวผู้กระทำผิดการสืบราชสันตติวงศ์ การสืบราชสันตติวงศ์. ระบบกษัตริย์ของกัมพูชาไม่เหมือนกับระบบกษัตริย์ส่วนใหญ่ในประเทศอื่น ๆ ที่ราชบัลลังก์จะตกไปสู่ผู้มีลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ลำดับถัดไป (ผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดในราชวงศ์ หรือพระราชโอรสองค์โตของกษัตริย์พระองค์ก่อน เป็นต้น) และพระมหากษัตริย์ ไม่สามารถเลือกผู้ที่จะมาสืบราชสันตติวงศ์ได้ด้วยตัวเอง แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่นั้นคือ กรมปรึกษาราชบัลลังก์ (Royal Council of the Throne) ซึ่งมีสมาชิกดังนี้1. นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา 2. ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา 3. ประธานพฤฒสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา 4. รองประธานรัฐสภาคนที่หนึ่ง 5. รองประธานรัฐสภาคนที่สอง 6. รองประธานพฤฒสภาคนที่หนึ่ง 7. รองประธานพฤฒสภาคนที่สอง 8. สมเด็จพระสังฆราชในศาสนาพุทธ ฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกาย 9. สมเด็จพระสังฆราชในศาสนาพุทธ ฝ่ายคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย กรมปรึกษาราชบัลลังก์จะจัดการประชุมในสัปดาห์ที่พระมหากษัตริย์สวรรคตหรือไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ต่อไป และเลือกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จากรายชื่อผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ และเป็นสมาชิกราชวงศ์ภูมิศาสตร์ภูมิศาสตร์. - ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ประกอบด้วยที่ราบรอบทะเลสาบเขมร และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง - มีทิวเขาล้อมรอบทางเหนือ คือ เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาบรรทัด เทือกเขาอันนัม กัมพูชา มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายชามหรืออ่าง คือ ตรงกลางเป็นแอ่งทะเลสาบและลุ่มแม่น้ำโขงอันกว้างขวาง มีภูเขาล้อมรอบอยู่ 3 ด้าน ได้แก่- ด้านตะวันออกมีแนวเทือกเขาอันนัมที่เป็นพรมแดนกับประเทศเวียดนาม - ด้านเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีแนวเทือกเขาพนมดงรักที่เป็นพรมแดนกับประเทศไทย - ด้านใต้และตะวันตกใต้มีแนวเทือกเขาบรรทัดที่เป็นแนวพรมแดนกับประเทศไทย เฉพาะด้านตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงแม่น้ำและทะเลสาบแม่น้ำและทะเลสาบ. 1. แม่น้ำโขง ไหลจากลาวเข้าสู่ภาคเหนือของกัมพูชาแล้วไหลผ่านเข้าเขตเวียดนาม มีความยาวในเขตกัมพูชารวม 500 กิโลเมตร 2. แม่น้ำทะเลสาบ เชื่อมระหว่างแม่น้ำโขงกับทะเลสาบ ความยาว 130 กิโลเมตร 3. แม่น้ำบาสัก (Bassac) เชื่อมต่อกับแม่น้ำทะเลสาบที่หน้าพระมหาราชวัง กรุงพนมเปญ ความยาว 80 กิโลเมตร 4. ทะเลสาบโตนเลสาบ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญประมาณ 100 กิโลเมตร ฤดูน้ำหลากน้ำท่วมถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร ลึกถึง 10 เมตร โตนเลสาบครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กำปงธม กำปงซะนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ ในโตนเลสาบมีปลาชุกชุมกว่า 300 ชนิดภูเขา ภูเขา. ยอดเขาสูงที่สุดของกัมพูชาคือ พนมอาออรัล สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,813 เมตรทิศเหนือของกัมพูชามีเขตแดนติดกับประเทศไทยระยะทางยาว 750 กิโลเมตร ติดกับจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด โดยมีเทือกเขาพนมดงรัก และเทือกเขาบรรทัดกั้นป่าไม้ ป่าไม้. กัมพูชาเป็นประเทศที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากที่สุดหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันป่าไม้ลดลงอย่างมากหลังจากที่รัฐบาลเปิดให้สัมปทานป่ากับบริษัทเอกชนจากประเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และญี่ปุ่นส่วนในลาวนั้นก็ตกกำลังอยู่สภาวะเดียวกันภูมิอากาศภูมิอากาศ. - มีอากาศมรสุมเขตร้อนเป็นแบบร้อนชื้นแถบมรสุม ฤดูฝนเริ่มจากเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ฤดูแล้ง เริ่มจากเดือนพฤศจิกายน-เมษายน เดือนเมษายนมีอุณหภูมิสูงสุดที่สุด เดือนมกราคมมีอุณหภูมิต่ำที่สุด เดือนตุลาคมมีฝนตกชุกที่สุดการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เมืองหลวง (ราชธานี) และจังหวัด (เขต) เป็นเขตการปกครองระดับแรกสุดของประเทศกัมพูชา แบ่งเป็น 25 จังหวัด (รวมเมืองหลวง) แต่ละจังหวัดจะแบ่งเป็นเทศบาลและอำเภอ ซึ่งเป็นเขตการปกครองระดับที่สอง มีทั้งหมด 159 อำเภอ และ 26 เทศบาล แต่ละอำเภอและเทศบาลแบ่งเป็นตำบล และแต่ละตำบลแบ่งเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจเศรษฐกิจ. 1. เกษตรกรรม อยู่บริเวณที่ราบภาคกลาง รอบทะเลสาบเขมร พืชที่สำคัญคือ ข้าวเจ้า ยางพารา พริกไทย 2. การประมง บริเวณรอบทะเลสาบเขมร เป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค 3. การทำป่าไม้ บริเวณเขตภูเขาทางภาคเหนือโดยล่องมาตามแม่น้ำโขง 4. การทำเหมืองแร่ ยังไม่ค่อยสำคัญ 5. อุตสาหกรรม เป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม ส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว โรงเลื่อย รองเท้า ภาวะเศรษฐกิจของกัมพูชาหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสังคมนิยมเป็นระบอบประชาธิปไตย และหลังจากสงครามภายใน ประเทศกัมพูชาเริ่มสงบลง และเริ่มพัฒนาฟื้นฟูบูรณะประเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น จึงเปิดโอกาสให้ ประเทศทำการค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น กัมพูชาจึงกำหนดนโยบายที่มุ่งหวังการพัฒนาศักยภาพทางการเกษตร การท่องเที่ยว และส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างชาติ โดยกำหนดยุทธการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐและได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงกฎหมายด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างประเทศ การปฏิรูประบบจัดเก็บภาษีเงินได้ และเร่งรัดพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น สนามบิน ถนน ไฟฟ้า ประปา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น ภายใต้ความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย และ UNDP รวมทั้งประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชาได้เติบโตอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในช่วงปี 2540-2541 กัมพูชาต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย และความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศถอนตัวออกจากประเทศกัมพูชา ส่งผลให้การฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างล่าช้า แต่หลังจากปี 2542 สถานการณ์การเมืองกัมพูชาเริ่มมีความมั่นคงพอสมควร และนับเป็นปีแรกที่กัมพูชามีสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในหมดไป ปัจจุบัน กัมพูชากำลังพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (ตุลาคม 2543 - กันยายน 2548) ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในเกณฑ์ร้อยละ 6-7 ต่อปี ภาวะเศรษฐกิจของกัมพูชาในอดีตที่ผ่านมาสามารถสรุปได้ดังนี้ สินค้าเกษตรกรรมถือว่าเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศประมาณร้อยละ 43 ของ GDP มาจากข้าวและปศุสัตว์ ส่วนการประมงและป่าไม้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 5 สินค้าเกษตรที่ส่งออกได้แก่ข้าว ไม้ และยางพารา รองลงมาได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง สัตว์มีชีวิต ผลไม้ และปลา เป็นต้น ทั่วไปกัมพูชามีสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ไม้ ยางพารา ข้าว และปลา สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ ทอง วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและเครื่องยนต์ เศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2546 คาดการณ์โดย The Economist Intelligence Unit (EIU) มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 5.0 % และ International Monetary Fund (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจขยายตัว 4.7 % เทียบกับที่ขยายตัวราว 5.5 % ในปี 2545 ปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ได้แก่ รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ลดลง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์การก่อความไม่สงบ โดยมีการเผาสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เกิดปัญหาการระบาดของโรคทางเดินหายใจ เฉียบพลันรุนแรง (SARS) ประกอบกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในกัมพูชา (หลังการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2546 ที่ผ่านมา) ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มั่นใจในความปลอดภัยและ ปัญหาการเมืองที่ยังคงไร้เสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ถึงแม้ว่าวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 สภาแห่งชาติของกัมพูชา (The National Assembly) ได้อนุมัติการออกกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายการลงทุนฉบับลงวันที่ 5 สิงหาคม 2534 (Law on the Amendment to the Law on Investment of the Kingdom of Cambodia) เพื่อเอื้อสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติ ส่วนภาคธุรกิจก่อสร้างยังคงอยู่ในภาวะซบเซา ปี 2547 EIU และ IMF คาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 % - 5.8 % ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกัมพูชาคาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 5.5 % - 6.0 % เนื่องจากรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับเมื่อเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเพิ่มโควตานำเข้าสิ่งทอสำหรับปี 2547 ให้กัมพูชาเพิ่มขึ้นอีก 14 % ซึ่งคาดว่าจะทำให้กัมพูชามีรายได้จากการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และภาคธุรกิจก่อสร้างเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และจากการที่กัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิก ใหม่ของ WTO อย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2547 ทำให้กัมพูชามีพันธกรณีที่ต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายด้านการลงทุนให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและเข้าไปลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายฐานการผลิตเข้าไปตั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในกัมพูชาเพื่อส่งออก เนื่องจากกัมพูชายังมีอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ ทางด้านอัตราเงินเฟ้อ EIU และ IMF คาดว่าปี 2547 กัมพูชาจะมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 % - 3.5 % จากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยราว 1.3 % - 2.6 % ในปี 2546 เนื่องจากราคาอาหารในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, 2547)ประชากร ประชากร. ในปี พ.ศ. 2556 ประเทศกัมพูชามีประชากร 15,205,539 คน กว่าร้อยละ 90 มีเชื้อสายเขมรและพูดภาษาเขมรอันเป็นภาษาราชการ นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศได้แก่ชาวเวียดนาม ร้อยละ 5 และชาวจีน ร้อยละ 1 นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยเชื้อสายไทยในจังหวัดเกาะกง ชาวจามในจังหวัดกำปงจามและจังหวัดกระแจะ ชาวลาวในจังหวัดรัตนคีรีและจังหวัดสตึงแตรง และชนเผ่าทางตอนเหนือต่อชายแดนประเทศลาวที่เรียกรวม ๆ ว่า แขมรเลอ อัตราการเกิดของประชากรเท่ากับ 25.4 ต่อ 1,000 คน อัตราการเติบโตของประชากรเท่ากับ 1.7% สูงกว่าของประเทศไทย, เกาหลีใต้ และอินเดียอย่างมีนัยยะสำคัญภาษา ภาษา. ภาษาราชการของกัมพูชาคือ ภาษาเขมร อันเป็นภาษาที่จัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร อันเป็นภาษากลุ่มย่อยของตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาฝรั่งเศสในกลุ่มชาวเขมรผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นภาษาราชการหลักของอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส ปัจจุบันภาษาฝรั่งเศสยังถูกจัดอยู่ในการเรียนการสอนในโรงเรียนบางแห่ง และบางมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลฝรั่งเศสให้การสนับสนุน ซึ่งภาษาฝรั่งเศสได้ตกทอดจากยุคอาณานิคมมาถึงในยุคปัจจุบันและยังมีใช้ในรัฐบาลบางวาระโดยเฉพาะในศาล ในอดีตปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลกัมพูชาเคยประกาศห้ามมิให้บุคคลเชื้อสายไทยพูดภาษาไทย และห้ามมีหนังสือไทยไว้ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่ค้นพบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก โดยเฉพาะหากพูดภาษาไทยจะถูกปรับคำละ 25 เรียล และเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียลในปีต่อมา เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทยในคดีเขาพระวิหารศาสนา ศาสนา. ประเทศกัมพูชา มีศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ ที่มีศาสนิกชนกว่าร้อยละ 95 ถือเป็นศาสนาที่แข็งแกร่งและเป็นที่แพร่หลายในทุกจังหวัด มีอารามในพุทธศาสนา 4,392 แห่งทั่วประเทศ ชาวเขมรมีความผูกพันกับพุทธศาสนามากทั้งประเพณีและวัฒนธรรม แม้ศาสนาพุทธรวมถึงศาสนาอื่น ๆ จะถูกยกเลิกในช่วงปี ค.ศ. 1970 แต่ก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ในกลุ่มชนเชื้อสายจีน ยังมีการนับถือควบคู่กันระหว่างมหายานกับลัทธิเต๋า ศาสนาอิสลาม เป็นที่ยอมรับนับถือในชุมชนที่มีเชื้อสายจามและมลายู มีศาสนิกชนราว 300,000 คน ในจังหวัดกำปงจามมีโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามจำนวนหลายแห่ง ส่วนศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ตามด้วยนิกายโปรเตสแตนต์ มีชาวคาทอลิกราว 20,000 คนหรือร้อยละ 0.15 นอกจากนี้ยังมีนิกายอื่น ๆ เช่น แบปทิสต์ เมทอดิสต์ พยานพระยะโฮวา และมอรมอน
| ประเทศกัมพูชาตั้งอยู่ในส่วนใต้ของคาบสมุทรใด | {
"answer": [
"อินโดจีน"
],
"answer_begin_position": [
235
],
"answer_end_position": [
243
]
} |
2,086 | 1,961 | ประเทศเวียดนาม เวียดนาม ( เหฺวียดนาม) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิศตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก (, เบี๋ยน ดง) เวียดนามมีประชากรมากกว่า 89 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลกชื่อ ชื่อ. คำว่า "เวียดนาม" หรือ "เหวียดนาม" (Việt Nam, , เหวียดนาม) คืออีกชื่อหนึ่งของ "นามเหวียด" (Nam Việt นามเหวียด; ; แปลว่า "เวียดใต้") โดยเป็นชื่อที่เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจี่ยว (Nhà Triệu; 家趙, หญ่าเจี่ยว) ในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล หรือช่วงระหว่างปีพ.ศ. 344 ถึง 443 คำว่า "เหวียด" (Việt)' เดิมเป็นชื่อย่อของ บั๊กเหวียด (Bách Việt บ๊าก เหฺวียด; ; แปลว่า "ร้อยเวียด") ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่บริเวณทางใต้ของจีนและทางเหนือของเวียดนามประวัติศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนประวัติศาสตร์. เป็นอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในเวียดนามมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานคือกลองมโหระทึกสำริด และชุมชนโบราณที่ดงเซิน เขตเมืองแทงหวา ทางใต้ของปากแม่น้ำแดง สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของชาวเวียดนามโบราณผสมผสานระหว่างชนเผ่ามองโกลอยด์เหนือจากจีนและใต้ ซึ่งเป็นชาวทะเล ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวแบบนาดำและจับปลา และอยู่กันเป็นเผ่า บันทึกประวัติศาสตร์ยุคหลังของเวียดนามเรียกยุคนี้ว่าอาณาจักรวันลาง มีผู้นำปกครองสืบต่อกันหลายร้อยปีเรียกว่า กษัตริย์หุ่ง แต่ถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์. เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังจากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งเดียว โดยได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือ นามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อนกองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่า เจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่างๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงหลายครั้งเช่น:- วีรสตรีในนาม ฮายบาจึง ได้นำกองกำลังต่อต้านการปกครองของจีน แต่ปราชัยในอีก 3 ปีต่อมาและตกเป็นส่วนหนึ่งของจีน - นักโทษปัญญาชนชาวจีนนามว่า หลีโบน ร่วมมือกับปัญญาชนชาวเวียดนามร่วมทำการปฏิวัติ ก่อตั้งราชวงค์หลี ขนานนามแคว้นว่า วันซวน แต่พ่ายแพ้ในที่สุด การปกครองของจีนในเวียดนามขาดตอนเป็นระยะตามสถานการณ์ในจีนเอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาวพื้นเมืองในเวียดนามตั้งตนเป็นอิสระ ในช่วงเวลาที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ถาง พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่เวียดนาม เมืองต้าหลอหรือฮานอย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินทางของชาวจีนและอินเดีย พระสงฆ์และนักบวชในลัทธิเต๋าจากจีนเดินทางเข้ามาอาศัยในดินแดนนี้ ต่อมาราชวงศ์ถางได้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองนี้ใหม่ว่า อันหนาน (หรืออันนัม ในสำเนียงเวียดนาม) หลังปราบกบฏชาวพื้นเมืองได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จีนครอบครองดินแดนแห่งนี้- พ.ศ. 1498-1510 ราชวงศ์โง--หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถางของจีน นายพลโงเกวี่ยนผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองฮวาลือ ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแดง ขับไล่ชาวจีนได้ แล้วจึงก่อตั้งราชวงศ์โงเปลี่ยนชื่อประเทศว่า ไดเวียด หลังจากจักรพรรดิสวรรคต อาณาจักรแตกแยกออกเป็น 12 แคว้น มีผู้นำของตนไม่ขึ้นตรงต่อกัน - พ.ศ. 1511-1523 ราชวงศ์ดิงห์--ขุนศึกดิงห์โบะหลิง แม่ทัพของราชวงศ์โง สามารถรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกัน เปลียนชื่อประเทศเป็น ไดโก่เวียด เริ่มสร้างระบบการปกครองแบบจีนมากกว่ายุคก่อนหน้า และตั้งตนเป็น จักรพรรดิดิงห์เตียน หรือ ดิงห์เตียนหว่าง เสมือนจักรพรรดิจิ๋นซีผู้รวบรวมจีน ถือเป็นการเริ่มใช้ตำแหน่งจักรพรรดิหรือ หว่างเด๋ ในเวียดนามเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 1524-1552 ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก--มเหสีของจักรพรรดิดิงห์โบะหลิง ได้ขับไล่รัชทายาทราชวงศ์ดิงห์ สถาปนาพระสวามีใหม่คือขุนศึกเลหว่านเป็นจักรพรรดิเลด่ายแห่ง โดยพยายามสร้างความมั่นคงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซ่งของจีนและปราบปรามกบฏภายใน แต่ก็ไม่รอดพ้นการรัฐประหาร สมัยนี้พุทธศาสนาและลัทธิเต๋ารุ่งเรืองมากและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนชั้นสูงมากราชวงศ์ยุคใหม่ราชวงศ์ยุคใหม่. - พ.ศ. 1552-1768 ราชวงศ์หลี--หลี กง อ่วนมีอำนาจในราชสำนักฮวาลือ เมื่อขึ้นครองราชย์ ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่ ทังลอง (ฮานอย) ทรงสร้างวัดขึ้น 150 แห่ง ในปี 1070 นำระบบการสอบจอหงวนมาใช้ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวันเหมียว ให้ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีขงจื้อ เพื่อสอบเข้ารับราชการในระบบจอหงวน แต่ขุนนางยังมีจำนวนน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายผู้มีอิทธิพลในหัวเมือง ต่อมาทรงพระนามว่า หลีไถโต๋ สมัยหลีเป็นสมัยที่พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองและสังคมมาก ที่ปรึกษาราชการในบางสมัยเป็นพระสงฆ์ จักรพรรดิราชวงศ์หลีช่วงหลังสร้างวัดขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง และสละราชสมบัติออกผนวช เป็นสาเหตุให้การบริหารราชการเริ่มตกอยู่ในอำนาจของเครือญาติพระชายามาจากตระกูลที่มั่งคั่งในหัวเมือง ผู้ปกครององค์สุดท้ายเป็นเด็กหญิงที่ได้รับการตั้งเป็นจักรพรรดินี พระนามว่าหลีเจี่ยว การบริหารราชการตกอยู่ในอำนาจของญาติวงศ์พระชนนีซึ่งเป็นขุนศึกมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เช่นเจิ่นถูโดะ ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากราชวงศ์หลีในที่สุด- พ.ศ. 1768-1943 ราชวงศ์เจิ่น--เจิ่นถูโดะญาติของพระชายาจักรพรรดิก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจท่ามกลางสถานการณ์กบฏและการรุกรานจากข้าศึกต่างชาติ จากนั้นได้อภิเษกสมรสกับพระนางเจียว ฮว่าง จักรพรรดินีองศ์สุดท้ายของราชวงศ์หลีแล้วยกหลานขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์เจิ่น สมัยเจิ่นเวียดนามต้องเผชิญกับศึกสงครามโดยตลอด ที่ร้ายแรงที่สุดคือการรุกรานจากพวกมองโกลและจัมปา สมัยเจิ่นก็เริ่มให้ความสำคัญกับอารยธรรมจีนมากกว่ายุคก่อนหน้าโดยเฉพาะด้านภูมิปัญญาและอักษรศาสตร์ รวมถึงการบริหารราชการแบบจีน ในสมัยนี้มีการประมวลพงศาวดารชาติเป็นครั้งแรก ชื่อว่า ด่ายเหวียตสือกี๋ หรือ บันทึกประวัติศาสตร์มหาอาณาจักรเวียด โดยราชบัณฑิต เลวันฮึว นอกจากนี้ยังเริ่มมีการประดิษฐ์อักษรของเวียดนามที่เรียกว่า อักษรโนม ขึ้นเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 1943-1971 ราชวงศ์โห่--โห่กุ๊ยลี ญาติของพระชายาจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่น สร้างฐานอำนาจของตนด้วยการเป็นแม่ทัพทำศึกกับพวกจามทางใต้ ต่อมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่นและพยายามกำจัดเชื้อสายราชวงศ์ที่หลงเหลืออยู่ จากนั้นขึ้นครองราชย์ ตั้งทายาทของตนเป็นจักรพรรดิต่อมา ราชนิกูลราชวงศ์เจิ่นได้ขอความช่วยเหลือไปยังจีน ทำให้จีนส่งกองทัพเข้ามาล้มล้าง ราชวงศ์โห่ แต่สุดท้ายก็ไม่มอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์เจิ่น และยึดครองเวียดนามแทนที่- การกู้เอกราชและก่อตั้ง ราชวงศ์เล (ยุคหลัง) พ.ศ. 1971-2331 เล่เหล่ย ชาวเมืองแทงหวา ทางใต้ของฮานอย ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำเวียดนาม ขับไล่จีนออกจากเวียดนามได้สำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 1971 เลเหล่ยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สถาปนา ราชวงศ์เล ขึ้น มีราชธานีที่ฮานอยหรือทังลองและราชธานีอีกแห่งคือที่เมืองแทงหวา (ทันห์ว้า) หรือ ราชธานีตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของเลเหล่ยและตระกูลเล ต่อมาเลเหล่ยได้รับการถวายพระนามว่า เลไถโต๋ ราชวงศ์เลช่วงแรกเป็นช่วงสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะในสมัยเลไถโต๋หรือเลเหล่ย เช่นการสร้างระบบราชการ จัดสอบคัดเลือกขุนนาง ตรากฎหมายใหม่ แบ่งเขตการปกครองใหม่ ฟื้นฟูการเกษตร รวมถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนทำให้เวียดนามเข้าสู่ยุคสงบสุขปลอดจากสงครามอีกครั้ง หลังสมัยเลเหล่ย เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับบรรดาขุนศึกที่ร่วมทัพกับเลเหล่ยในการสู้รบกับจีน ความขัดแย้งบานปลายจนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่ข้าราชสำนัก จนเกิดการรัฐประหารครั้งแรกของราชวงศ์เลใน พ.ศ. 2002 มีการประหารพระชนนีและจักรพรรดิขณะนั้น ต่อมาบรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้ราชนิกูลอีกพระองค์หนึ่งมาเป็นจักรพรรดิแทน ต่อมาคือจักรพรรดิเลแถงตง (พ.ศ. 2003-2040) รัชกาลจักรพรรดิเลแถงตงถือว่ายาวนานและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เวียดนาม มีการปฏิรูปประเทศหลายด้านโดยยึดรูปแบบจีนมากกว่าเดิม ทั้งระบบการสอบรับราชการที่จัดสอบครบสามระดับตั้งแต่อำเภอจนถึงราชธานี จำนวนขุนนางเพิ่มขึ้นทวีคูณและทำให้ระบบราชการขยายตัวมากกว่ายุคสมัยก่อนหน้า นอกจากนั้นยังมีการประมวลกฎหมายใหม่พระองค์ทรงสร้างเวียดนามให้เป็นมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่มักขัดแย้งกับเวียดนามคือจัมปาและลาว อิทธิพลของเวียดนามรับรู้ไปจนถึงหัวเมืองเผ่าไทในจีนตอนใต้และล้านนา หลังรัชกาลนี้ราชวงศ์เลเริ่มประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ปัญหาเศรษฐกิจจนที่สุดก็ถูกรัฐประหารโดยขุนศึกหมักดังซุง ในปี พ.ศ. 2071 เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เลหลบหนีด้วยการช่วยเหลือของขุนศึกตระกูลเหวียนและจิ่ง ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาแต่แรก ราชวงศ์เลเริ่มการฟื้นฟูกอบกู้อำนาจคืนโดยมีแม่ทัพเป็นคนตระกูลเหวียนและจิ่ง ทำสงครามกับราชวงศ์หมักจนถึงปี พ.ศ. 2136 จึงสามารถยึดเมืองทังลองคืนได้และฟื้นฟูราชวงศ์เลปกครองเวียดนามต่อไปยุคแตกแยกเหนือ-ใต้ยุคแตกแยกเหนือ-ใต้. - หลังการฟื้นฟูราชวงศ์เลขึ้นได้ ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ และให้ขุนศึกตระกูลเหวียนไปปกครองเขตชายแดนใต้บริเวณเมืองด่งเหยลงไปถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็น เจ้าสืบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ในตระกูลของตนเอง ขุนศึกตระกูลเหวียนจึงประกาศไม่ยอมรับการปกครองของตระกูลจิ่งจนเกิดสงครามครั้งใหม่ต่อมาอีกหลายสิบปี เวียดนามแบ่งแยกเป็นสองส่วน ส่วนเหนือ คือ เวียดนามเหนือ อยู่ในการปกครองของราชวงศ์เลและเจ้าตระกูลจิ่ง มีศูนย์กลางที่ทังลอง ส่วนใต้ คือ เวียดนามใต้ มีตระกูลเหวียนปกครอง มีศุนย์กลางที่เมืองฝูซวนหรือเว้ในปัจจุบันตลอดมาจักรวรรดิเวียดนามจักรวรรดิเวียดนาม. - พ.ศ. 2316 เกิดกบฏนำโดยชาวนาสามพี่น้องที่หมู่บ้านเตยเซินขึ้นในเขตเมืองบิ่งดิ่ง เขตปกครองของตระกูลเหวียน และสามารถยึดเมืองฝูซวนได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋ง เชื้อสายตระกูลเหวียนหลบหนีลงใต้ออกจากเวียดนามไปจนถึงกรุงเทพฯ ก่อนกลับมารวบรวมกำลังเอาชนะพวกเตยเซินได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือเหงวียนฟุกอ๊าน (องเชียงสือ) ผู้นำตระกูลเหงวียน ซึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เหงวียน ในปี พ.ศ. 2345 สถาปนาราชธานีใหม่ที่เมืองเว้ แทนที่ทังลอง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮานอย- จักรวรรดิเวียดนาม (พ.ศ. 2345 -2488) องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างชาวฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้ และ ป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง สมัยนี้เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบของกองทัพเรือฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสได้บุกโจมตีดินแดนภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขงและยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด จักรพรรดิตึดึ๊กจึงต้องยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพทหางทหารที่เหนือกว่าได้ ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาแคว้นอันนัม ในตอนกลาง และ เขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ และเวียดนามยังมีจักรพรรดิเป็นประมุขเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ อำนาจในการบริหารการคลัง การทหาร และ การทูตเป็นของฝรั่งเศส ถือว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้นยุคอาณานิคม ยุคอาณานิคม. ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งออกไปยังฝรั่งเศสและเป็นวัตถุดิบแก่โรงงานในฝรั่งเศส ที่ดินในเวียดนามถูกยึดและตกเป็นของชาวฝรั่งเศส และเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี พ.ศ. 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบทยุคเอกราช ยุคเอกราช. พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได่และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกหลังประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนในที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี พ.ศ. 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับเอกราชของเวียดนาม แต่สหรัฐอเมริกาและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ)สงครามเวียดนาม สงครามเวียดนาม. เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ ปลดปล่อย เวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เวียดกง) ในการทำสงคราม การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให้สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี พ.ศ. 2511 ที่เมืองเว้และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง สหรัฐอเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นับแต่นั้นหน่วยงานราชการและการเมือง หน่วยงานราชการและการเมือง. 1.การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดเพียงพรรคการเมืองเดียว ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่- กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย - กลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ - กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยอดีตประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก 2.เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้เลือกตั้งอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภา และ นายกรัฐมนตรี 3.สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญๆ คือ- รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม - เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา - การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม) - การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม) และ - เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน 4.แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลังการทหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศการแบ่งเขตการปกครองภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เวียดนามเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นแนวยาว และ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือและใต้ แต่มีภูเขาที่มีป่าหนาทึบแค่ 20% โดยมีพันธุ์ไม้ 13,000 ชนิด และพันธุ์สัตว์กว่า 15,000 สายพันธุ์ลักษณะภูมิประเทศลักษณะภูมิประเทศ. - มีที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ 2 ตอน คือ ตอนเหนือเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง - มีที่ราบสูงตอนเหนือของประเทศ และยังเป็นภูมิภาคที่มีเขา ซึ่งเป็นภูเขาที่สูง 3,143 เมตร (10,312 ฟุต)ลักษณะภูมิอากาศลักษณะภูมิอากาศ. - เป็นแบบมรสุมเขตร้อน ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเปิดโล่งรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านทะเลจีนใต้ ทำให้มีโอกาสรับลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน จึงมีฝนตกชุกในฤดูหนาว สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง (ฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) - เป็นประเทศที่มีความชื้นประมาณร้อยละ 84 ตลอดปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยตั้งแต่ 5 องศาเซลเซียสชายแดน ชายแดน. ทั้งหมด 4,638 กิโลเมตร (2,883 ไมล์) โดยติดกับประเทศกัมพูชา 1,228 กิโลเมตร (763 ไมล์) ประเทศจีน 1,281 กิโลเมตร (796 ไมล์) และประเทศลาว 2,130 กิโลเมตร (1,324 ไมล์)เศรษฐกิจเกษตรกรรม เศรษฐกิจ. เกษตรกรรม. มีผลผลิตได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ชา กาแฟ ยาสูบ พริกไทย (ในปี พ.ศ. 2549 ส่งออกกว่า 116,000 ตัน) การประมง เวียดนามจับปลาได้เป็นอันดับ 4 ของสินค้าส่งออก เช่น ปลาหมึก กุ้ง ตลาดที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์อุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมทอผ้า ศูนย์กลางอยู่ที่โฮจิมินห์ซิตีและมีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้เบียนโฮ การทำเหมืองแร่ที่สำคัญ คือ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ เวียดนามเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซียสถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจ. เวียดนามมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า จึงมีการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งแต่กันยายนปี 2004 แม้ว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจจะเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญรองจากเหตุผลทางการเมืองและยุทธศาสตร์ในการที่อาเซียนรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก แต่ก็ยังคงความสำคัญในระดับหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ความสัมพันธ์ทวิภาคีทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและประกาศถอนทหารออกจากกัมพูชา และเมื่อเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีสในปี 1991เหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน. 1. การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเวียดนามมองว่าเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการปรับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และการปรับนโยบายต่างประเทศ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่างๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด 2. เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระบบเศรษฐกิจของโลก การเป็นสมาชิกของอาเซียนจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน และนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก อันจะมีผลดีและเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู้การเป็นสมาชิกของ APEC และ WTO ได้ในที่สุด 3. ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย ขณะเดียวกันในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามก็ได้ตระเตรียมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนนี้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำเข้าของเวียดนามจากอาเซียนในขณะนี้เป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมดของทั้งหมดของเวียดนาม และประมาณร้อยละ 30 ของการค้าทั้งหมดของเวียดนามที่มีกับอาเซียนนอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนามโดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม และขณะเดียวกัน นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจลพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ทั้งนี้เพราะอาเซียนก็สนใจในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 73 ล้านคน มีความสมบูรณ์ทางทรัพยาธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มเป็น 420 ล้านคน และจะมีผลผลิตมวลรวมภายในถึง 500 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ อันจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวกางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีกวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการขนส่งอากาศ การขนส่ง. อากาศ. เวียดนามมีท่าอากาศยานขนาดใหญ่ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai) ในกรุงฮานอย, ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (Tan Son Nhat) ในนครโฮจิมินห์, โครงการท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญ (Long Thanh) ในจังหวัดด่งนาย, ท่าอากาศยานจูลาย (Chu Lai) ในจังหวัดกว๋างนาม และท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Danang) ในนครดานังถนนทางรถไฟทางน้ำประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. มีจำนวน 84.23 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 253 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นชาวญวนร้อยละ 86 (บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ) ต่าย ชาวไท เหมื่อง ฮั้ว (จีน) ชาวเขมร นุง ชาวม้งภาษา ภาษา. การสื่อสารใช้ภาษาเวียดนาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2463 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัวอักษรโรมัน (Quốc ngữ) แทนตัวอักษรจีน (Chữ Nôm) ในการเขียนภาษาเวียดนามศาสนา ศาสนา. จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2557 ประเทศเวียดนามมีประชากรนับถือศาสนา 90 ล้านคน แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพื้นบ้านเวียดนามและไม่มีศาสนา 24 ล้านคน (73.2%) ศาสนาพุทธ 11 ล้านคน (12.2%) ศาสนาคริสต์ 7.6 ล้านคน (8.3%) ลัทธิเฉาได 4.4 ล้านคน (4.8%) ลัทธิฮหว่าหาว 1.3 ล้านคน (1.4%) และศาสนาอื่น ๆ (0.1%) เช่น ศาสนาอิสลาม 75,000 คน ศาสนาบาไฮ 7,000 คน ศาสนาฮินดู 1,500 คนการศึกษาประวัติการศึกษาของเวียดนาม การศึกษา. ประวัติการศึกษาของเวียดนาม. ประเทศเวียดนามได้มีการพัฒนาการศึกษาควบคู่ไปกับพัฒนาของประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะ ๆ ย่อ ๆ ในเชิงประวัติศาสตร์ดังนี้ (Pham Minh Hac,1995, 42-61) 1. ระยะที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน (Period of Chinese Imperial Domination) : 200 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 938 ในระยะนี้ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน ดังนั้นผู้บริหารของประเทศจีน จึงเป็นผู้ก่อตั้งระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามทั้งในแบบของรัฐและเอกชน ซึ่งในสมัยก่อนเน้นเฉพาะการศึกษาของบุตรชายและการฝึกอบรมบุคคลเพื่อเข้าไปรับราชการและบริหารประเทศ มีนโยบาย "Feudal Intelligentsia" ซึ่งจะคัดเลือกเฉพาะบุตรชายจากครอบครัวขุนนางไปรับราชการกับราชวงศ์จีน ระบบการศึกษาต่อเนื่องของชาวเวียดนามในบางศตวรรษพบว่า บุคคลชาวเวียดนามที่มีฐานะทางสังคมดีและมีสติปัญญาดีจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาต่อในประเทศจีน โดยมีการสอบแข่งขันหลายขั้นตอนและครั้งสุดท้ายจะสอบที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสอบผ่านจะได้วุฒิเทียบเท่า Doctor’s Degree ระบบการศึกษาดังกล่าวสืบทอดมาจนถึง ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - ค.ศ. 907) ระบบการศึกษาที่เลียนแบบมาจากประเทศจีนประกอบด้วย การศึกษาเบื้องต้น (Primary Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษาน้อยกว่า 15 ปี และการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษามากกว่า 15 ปีขึ้นไป 2. ระยะที่ประเทศมีอิสรภาพ (Period of National Independence) : ค.ศ. 938 -ค.ศ. 1859 ในปี ค.ศ. 938 Ngo Dinh ได้รบชนะจีนและก่อตั้งราชวงศ์ Ngo Dinh และราชวงศ์ Le ตอนต้น (ค.ศ. 939 - ค.ศ. 1009) การศึกษาส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการโดยเอกชนและโรงเรียนพุทธศาสนา จนกระทั่งราชวงศ์ Le (ค.ศ.1009 - ค.ศ. 1225) เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองหลวง Thang Long หรือ Ha Noi ในปัจจุบัน มีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศเวียดนามเป็นแห่งแรก ใน ค.ศ. 1076 ที่มีชื่อเรียกว่า "Quoc Tu Gian หรือ Royal College" เพื่อเป็นแหล่งการศึกษาของบุตรชายของครอบครัวที่มีฐานะดี ในยุคนี้มีการสร้างโรงเรียนของรัฐขึ้นอีกทั้งในส่วนกลางและจังหวัดต่างๆ เพื่อให้บุตรชายของสามัญชนเข้ารับการศึกษา ทำให้ระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามในยุคนี้แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ- Royal College อยู่ในเมืองหลวง อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของกษัตริย์ - โรงเรียนในระดับจังหวัดและอำเภอ เป็นโรงเรียนของรัฐซึ่งยังมีจำนวนไม่มากนัก - โรงเรียนของภาคเอกชน อาจสรุปได้ว่าการศึกษาในระยะต้น ๆ ของประเทศเวียดนามอยู่ในระบบศักดินา ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการคัดเลือกคนเข้าไปเรียนเพื่อเป็นขุนนางและข้าราชการในระดับต่างๆ 3. ระยะที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส (Period of French Colonialism): ค.ศ. 1859 - 1945 ในระยะที่ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสนี้ ระยะแรกๆ ยังคงใช้ระบบการศึกษาตามลัทธิขงจื้ออยู่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1917 จึงได้มีการเริ่มระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศส แต่ให้ความสำคัญกับการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่มีพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่น การศึกษาในเบื้องต้นมีเกรด 1-2 มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน Ecole Communale ใช้เรียกการศึกษาในทางตอนเหนือ Ecole Auxilier Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาทางตอนใต้ และ Ecole Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาในตอนกลางของประเทศ ในบางเมืองมีการศึกษาพื้นฐาน 6 ปี ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น Ha Noi, Haiphong และ Vinh มีการศึกษาที่สูงกว่า ระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นอีก 4 ปี และมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้นที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมศึกษา คือ Ha Noi, Hue และ Saigon ตอนต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนาการศึกษาวิชาชีพ (Professional Education) ขึ้น โดยมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาที่มีรูปแบบตะวันตก ในปี ค.ศ. 1902 มีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกที่กรุงฮานอย และมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลายแห่งในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาทางด้านเทคนิคและอุตสาหกรรมอีกหลายแห่ง ซึ่งมีระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี เน้นการฝึกอบรมทักษะในการทำงานกับเครื่องจักรกล สถาบันการศึกษาในระดับนี้เรียกว่า โรงเรียนฝึกวิชาชีพชั้นสอง จนกระทั่ง ค.ศ. 1919 จึงมีระบบการศึกษาแบบมหาวิทยาลัยที่มีการศึกษาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ วิชาฟิสิกส์ เคมี จนกระทั่งถึง ค.ศ. 1923 ได้เริ่มมีการจดทะเบียนผู้ที่ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย โดยทั่วไปแล้วระบบการศึกษาของประเทศเวียดนามภายใต้การปกครองของประเทศฝรั่งเศส ยังมีความจำกัดอยู่มาก โดยพบว่ามีจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนประมาณรัอยละ 2.6 ของประชากรในวัยเรียนทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่มีประชากรทั้งหมด 17,702,000 คน ในปี ค.ศ. 1931 4. ระยะหลังการปฏิวัติเดือนสิงหาคม (Period after August Revolution) : ค.ศ. 1945 - 1975 5. ระยะของการรวมประเทศ (Period of National Reunification) : ค.ศ. 1975 - ปัจจุบันการศึกษาของเวียดนามในปัจจุบัน การศึกษาของเวียดนามในปัจจุบัน. ปัจจุบันเวียดนามแบ่งลักษณะของการจัดการศึกษาไว้ 5 ลักษณะ คือ 1. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา (Pre-School Education) ประกอบด้วยการเลี้ยงดูเด็ก สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี และอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี 2. การศึกษาสามัญ (5 - 4 – 3)- ระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ 5 ปี ชั้น 1-5 - ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือชั้น 6-9 - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คือชั้น 10-12 3. การศึกษาด้านเทคนิคและอาชีพ มีเทียบเคียงทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย 4. การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็นระดับอนุปริญญา (Associate degree) และระดับปริญญา 5. การศึกษาต่อเนื่อง เป็นการศึกษาสำหรับประชาชนที่พลาดโอกาสการศึกษาในระบบสายสามัญและสายอาชีพ การศึกษาสามัญ 12 ปี (General Education) ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์ที่จะ ให้ประชาชนได้มีวิญญาณในความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีความสามารถในด้านอาชีพ ในอดีตการศึกษาสามัญของเวียดนามมีเพียง 10 ปีเท่านั้น และไม่มีอนุบาลศึกษามาก่อนจนถึงปีการศึกษา 2532 - 2533 จึงมีการศึกษาถึงชั้นปีที่ 9 ทั้งประเทศ ซึ่งได้เรียกการศึกษาสามัญ 9 ปี ดังกล่าวนี้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Basic Education) และเมื่อได้ขยายไปถึงปีที่ 12 แล้วจึงได้เรียกการศึกษาสามัญ 3 ปีสุดท้ายว่า มัธยมชั้นสูง (Upper Secondary School) ปี 2535-2536 ระบบการศึกษาสามัญในเวียดนามจึงกลายเป็นระบบ 12 ชั้นเรียนทั้งประเทศ โดยเด็กที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 6 เมื่อเวียดนามได้ใช้ระบบการศึกษาเป็น 12 ปีแล้ว จำนวนนักเรียนในทุกระดับชั้นยังมีน้อย ดังนั้นปี 2534 สภาแห่งชาติของเวียดนามจึงได้ออกกฎหมายการกระจายการศึกษาระดับประถมศึกษา (Law of Universal Primary Education) ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกว่าด้วยการศึกษาของเวียดนามวัฒนธรรมสื่อสารมวลชน วัฒนธรรม. สื่อสารมวลชน. สื่อของเวียดนามได้รับการควบคุม โดยรัฐบาลตามกฎหมายปี 2004 ในการเผยแพร่ โดยทั่วไปจะมองเห็นว่า ภาคสื่อของเวียดนามถูกควบคุม โดยรัฐบาลไปตามเส้นทางของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เสียงของเวียดนามเป็นบริการกระจายเสียงทางวิทยุแห่งชาติที่รัฐ ออกอากาศผ่านทางเอฟเอ็มโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณให้เช่าในประเทศอื่นๆ และการให้การออกอากาศจากเว็บไซต์ของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศเวียดนาม เป็นบริษัทวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี 1997 เวียดนามมีการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยใช้วิธีการทางกฎหมายและทางเทคนิค เพื่อล็อกผลจะเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "แบมบู ไฟร์วอลล์" โครงการความร่วมมือโอเพ่นเน็ตริเริ่มจัดระดับของเวียดนามการเซ็นเซอร์ทางการเมืองจะเป็นการ "แพร่หลาย" ในขณะที่ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเวียดนามพิจารณาให้เป็นหนึ่งใน 15 ของโลก "ศัตรูของอินเทอร์เน็ต" แม้ว่ารัฐบาลของเวียดนามอ้างว่าเพื่อป้องกันประเทศกับเนื้อหาลามกอนาจารหรือไม่เหมาะสมทางเพศผ่านความพยายามสกัดกั้นของหลายทางการเมืองและศาสนาเว็บไซต์ที่มีความสำคัญเป็นสิ่งต้องห้ามยังดนตรี ดนตรี. เพลงเวียดนามแบบดั้งเดิมแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ดนตรีคลาสสิกเหนือเป็นรูปแบบดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและเป็นประเพณีที่เป็นทางการมากขึ้น ต้นกำเนิดของดนตรีเวียดนามสามารถโยงไปถึงการรุกรานของมองโกลในศตวรรษที่ 13 เมื่อเวียดนามจับกุมคณะงิ้ววรรณกรรมเทศกาล เทศกาล. เวียดนามมีเทศกาลตามปฏิทินจันทรคติมากมาย เทศกาลที่สำคัญที่สุดคือการเฉลิมฉลองปีใหม่ตรุษญวน งานแต่งงานเวียดนามแบบดั้งเดิมยังคงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและมักจะมีการเฉลิมฉลองโดยชาวเวียดนามในประเทศตะวันตก- เทศกาลเต๊ต : เป็นเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด มีชื่อเต็มว่า "เต๊ตเงวียนด๊าน" หมายความว่า เทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี มีขึ้นระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื่อ และศาสนาพุทธ และเป็นการเคารพบรรพบุรุษ - เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง : ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านประกวดทำขนมเปี๊ยะโก๋ญวน (บันตรังทู) พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อดวงจันทร์การท่องเที่ยวกีฬา กีฬา. ตะกร้อเวียดนามก็เล่น เด้ออาหาร อาหาร. เฝอ เป็นอาหารยอดนิยมในเวียดนามการแต่งกาย การแต่งกาย. การแต่งกายอ๊าวส่าย (Ao dai) เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัว สวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงาน และพิธีการสำคัญของประเทศ ชุดผู้หญิงคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมมากจากผู้หญิงเวียดนามทั่วทั้งประเทศ ส่วนผู้ชายจะสวมใส่ชุดอ๊าวส่ายด๋ในพิธีแต่งงานหรือพิธีศพ
| ประเทศเวียดนามมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าอะไร | {
"answer": [
"สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม"
],
"answer_begin_position": [
148
],
"answer_end_position": [
174
]
} |
2,087 | 1,961 | ประเทศเวียดนาม เวียดนาม ( เหฺวียดนาม) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (, ก่ง ฮหว่า สา โห่ย จู๋ เหงีย เหวียต นาม) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนติดกับประเทศจีน ทางทิศเหนือ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ทางทิศตะวันตก และอ่าวตังเกี๋ย ทะเลจีนใต้ ทางทิศตะวันออกและใต้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกเฉพาะทะเลทางทิศตะวันออกว่า ทะเลตะวันออก (, เบี๋ยน ดง) เวียดนามมีประชากรมากกว่า 89 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 13 ของโลกชื่อ ชื่อ. คำว่า "เวียดนาม" หรือ "เหวียดนาม" (Việt Nam, , เหวียดนาม) คืออีกชื่อหนึ่งของ "นามเหวียด" (Nam Việt นามเหวียด; ; แปลว่า "เวียดใต้") โดยเป็นชื่อที่เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจี่ยว (Nhà Triệu; 家趙, หญ่าเจี่ยว) ในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล หรือช่วงระหว่างปีพ.ศ. 344 ถึง 443 คำว่า "เหวียด" (Việt)' เดิมเป็นชื่อย่อของ บั๊กเหวียด (Bách Việt บ๊าก เหฺวียด; ; แปลว่า "ร้อยเวียด") ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่บริเวณทางใต้ของจีนและทางเหนือของเวียดนามประวัติศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนประวัติศาสตร์. เป็นอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในเวียดนามมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานคือกลองมโหระทึกสำริด และชุมชนโบราณที่ดงเซิน เขตเมืองแทงหวา ทางใต้ของปากแม่น้ำแดง สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของชาวเวียดนามโบราณผสมผสานระหว่างชนเผ่ามองโกลอยด์เหนือจากจีนและใต้ ซึ่งเป็นชาวทะเล ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวแบบนาดำและจับปลา และอยู่กันเป็นเผ่า บันทึกประวัติศาสตร์ยุคหลังของเวียดนามเรียกยุคนี้ว่าอาณาจักรวันลาง มีผู้นำปกครองสืบต่อกันหลายร้อยปีเรียกว่า กษัตริย์หุ่ง แต่ถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์. เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังจากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งเดียว โดยได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือ นามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อนกองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่า เจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่างๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงหลายครั้งเช่น:- วีรสตรีในนาม ฮายบาจึง ได้นำกองกำลังต่อต้านการปกครองของจีน แต่ปราชัยในอีก 3 ปีต่อมาและตกเป็นส่วนหนึ่งของจีน - นักโทษปัญญาชนชาวจีนนามว่า หลีโบน ร่วมมือกับปัญญาชนชาวเวียดนามร่วมทำการปฏิวัติ ก่อตั้งราชวงค์หลี ขนานนามแคว้นว่า วันซวน แต่พ่ายแพ้ในที่สุด การปกครองของจีนในเวียดนามขาดตอนเป็นระยะตามสถานการณ์ในจีนเอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาวพื้นเมืองในเวียดนามตั้งตนเป็นอิสระ ในช่วงเวลาที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ถาง พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่เวียดนาม เมืองต้าหลอหรือฮานอย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินทางของชาวจีนและอินเดีย พระสงฆ์และนักบวชในลัทธิเต๋าจากจีนเดินทางเข้ามาอาศัยในดินแดนนี้ ต่อมาราชวงศ์ถางได้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองนี้ใหม่ว่า อันหนาน (หรืออันนัม ในสำเนียงเวียดนาม) หลังปราบกบฏชาวพื้นเมืองได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จีนครอบครองดินแดนแห่งนี้- พ.ศ. 1498-1510 ราชวงศ์โง--หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถางของจีน นายพลโงเกวี่ยนผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองฮวาลือ ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแดง ขับไล่ชาวจีนได้ แล้วจึงก่อตั้งราชวงศ์โงเปลี่ยนชื่อประเทศว่า ไดเวียด หลังจากจักรพรรดิสวรรคต อาณาจักรแตกแยกออกเป็น 12 แคว้น มีผู้นำของตนไม่ขึ้นตรงต่อกัน - พ.ศ. 1511-1523 ราชวงศ์ดิงห์--ขุนศึกดิงห์โบะหลิง แม่ทัพของราชวงศ์โง สามารถรวบรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกัน เปลียนชื่อประเทศเป็น ไดโก่เวียด เริ่มสร้างระบบการปกครองแบบจีนมากกว่ายุคก่อนหน้า และตั้งตนเป็น จักรพรรดิดิงห์เตียน หรือ ดิงห์เตียนหว่าง เสมือนจักรพรรดิจิ๋นซีผู้รวบรวมจีน ถือเป็นการเริ่มใช้ตำแหน่งจักรพรรดิหรือ หว่างเด๋ ในเวียดนามเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 1524-1552 ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก--มเหสีของจักรพรรดิดิงห์โบะหลิง ได้ขับไล่รัชทายาทราชวงศ์ดิงห์ สถาปนาพระสวามีใหม่คือขุนศึกเลหว่านเป็นจักรพรรดิเลด่ายแห่ง โดยพยายามสร้างความมั่นคงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซ่งของจีนและปราบปรามกบฏภายใน แต่ก็ไม่รอดพ้นการรัฐประหาร สมัยนี้พุทธศาสนาและลัทธิเต๋ารุ่งเรืองมากและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนชั้นสูงมากราชวงศ์ยุคใหม่ราชวงศ์ยุคใหม่. - พ.ศ. 1552-1768 ราชวงศ์หลี--หลี กง อ่วนมีอำนาจในราชสำนักฮวาลือ เมื่อขึ้นครองราชย์ ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่ ทังลอง (ฮานอย) ทรงสร้างวัดขึ้น 150 แห่ง ในปี 1070 นำระบบการสอบจอหงวนมาใช้ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวันเหมียว ให้ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีขงจื้อ เพื่อสอบเข้ารับราชการในระบบจอหงวน แต่ขุนนางยังมีจำนวนน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเชื้อสายผู้มีอิทธิพลในหัวเมือง ต่อมาทรงพระนามว่า หลีไถโต๋ สมัยหลีเป็นสมัยที่พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองและสังคมมาก ที่ปรึกษาราชการในบางสมัยเป็นพระสงฆ์ จักรพรรดิราชวงศ์หลีช่วงหลังสร้างวัดขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง และสละราชสมบัติออกผนวช เป็นสาเหตุให้การบริหารราชการเริ่มตกอยู่ในอำนาจของเครือญาติพระชายามาจากตระกูลที่มั่งคั่งในหัวเมือง ผู้ปกครององค์สุดท้ายเป็นเด็กหญิงที่ได้รับการตั้งเป็นจักรพรรดินี พระนามว่าหลีเจี่ยว การบริหารราชการตกอยู่ในอำนาจของญาติวงศ์พระชนนีซึ่งเป็นขุนศึกมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ เช่นเจิ่นถูโดะ ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากราชวงศ์หลีในที่สุด- พ.ศ. 1768-1943 ราชวงศ์เจิ่น--เจิ่นถูโดะญาติของพระชายาจักรพรรดิก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจท่ามกลางสถานการณ์กบฏและการรุกรานจากข้าศึกต่างชาติ จากนั้นได้อภิเษกสมรสกับพระนางเจียว ฮว่าง จักรพรรดินีองศ์สุดท้ายของราชวงศ์หลีแล้วยกหลานขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์เจิ่น สมัยเจิ่นเวียดนามต้องเผชิญกับศึกสงครามโดยตลอด ที่ร้ายแรงที่สุดคือการรุกรานจากพวกมองโกลและจัมปา สมัยเจิ่นก็เริ่มให้ความสำคัญกับอารยธรรมจีนมากกว่ายุคก่อนหน้าโดยเฉพาะด้านภูมิปัญญาและอักษรศาสตร์ รวมถึงการบริหารราชการแบบจีน ในสมัยนี้มีการประมวลพงศาวดารชาติเป็นครั้งแรก ชื่อว่า ด่ายเหวียตสือกี๋ หรือ บันทึกประวัติศาสตร์มหาอาณาจักรเวียด โดยราชบัณฑิต เลวันฮึว นอกจากนี้ยังเริ่มมีการประดิษฐ์อักษรของเวียดนามที่เรียกว่า อักษรโนม ขึ้นเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 1943-1971 ราชวงศ์โห่--โห่กุ๊ยลี ญาติของพระชายาจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่น สร้างฐานอำนาจของตนด้วยการเป็นแม่ทัพทำศึกกับพวกจามทางใต้ ต่อมาก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากจักรพรรดิราชวงศ์เจิ่นและพยายามกำจัดเชื้อสายราชวงศ์ที่หลงเหลืออยู่ จากนั้นขึ้นครองราชย์ ตั้งทายาทของตนเป็นจักรพรรดิต่อมา ราชนิกูลราชวงศ์เจิ่นได้ขอความช่วยเหลือไปยังจีน ทำให้จีนส่งกองทัพเข้ามาล้มล้าง ราชวงศ์โห่ แต่สุดท้ายก็ไม่มอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์เจิ่น และยึดครองเวียดนามแทนที่- การกู้เอกราชและก่อตั้ง ราชวงศ์เล (ยุคหลัง) พ.ศ. 1971-2331 เล่เหล่ย ชาวเมืองแทงหวา ทางใต้ของฮานอย ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำเวียดนาม ขับไล่จีนออกจากเวียดนามได้สำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 1971 เลเหล่ยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สถาปนา ราชวงศ์เล ขึ้น มีราชธานีที่ฮานอยหรือทังลองและราชธานีอีกแห่งคือที่เมืองแทงหวา (ทันห์ว้า) หรือ ราชธานีตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของเลเหล่ยและตระกูลเล ต่อมาเลเหล่ยได้รับการถวายพระนามว่า เลไถโต๋ ราชวงศ์เลช่วงแรกเป็นช่วงสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะในสมัยเลไถโต๋หรือเลเหล่ย เช่นการสร้างระบบราชการ จัดสอบคัดเลือกขุนนาง ตรากฎหมายใหม่ แบ่งเขตการปกครองใหม่ ฟื้นฟูการเกษตร รวมถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนทำให้เวียดนามเข้าสู่ยุคสงบสุขปลอดจากสงครามอีกครั้ง หลังสมัยเลเหล่ย เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับบรรดาขุนศึกที่ร่วมทัพกับเลเหล่ยในการสู้รบกับจีน ความขัดแย้งบานปลายจนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่ข้าราชสำนัก จนเกิดการรัฐประหารครั้งแรกของราชวงศ์เลใน พ.ศ. 2002 มีการประหารพระชนนีและจักรพรรดิขณะนั้น ต่อมาบรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้ราชนิกูลอีกพระองค์หนึ่งมาเป็นจักรพรรดิแทน ต่อมาคือจักรพรรดิเลแถงตง (พ.ศ. 2003-2040) รัชกาลจักรพรรดิเลแถงตงถือว่ายาวนานและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เวียดนาม มีการปฏิรูปประเทศหลายด้านโดยยึดรูปแบบจีนมากกว่าเดิม ทั้งระบบการสอบรับราชการที่จัดสอบครบสามระดับตั้งแต่อำเภอจนถึงราชธานี จำนวนขุนนางเพิ่มขึ้นทวีคูณและทำให้ระบบราชการขยายตัวมากกว่ายุคสมัยก่อนหน้า นอกจากนั้นยังมีการประมวลกฎหมายใหม่พระองค์ทรงสร้างเวียดนามให้เป็นมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่มักขัดแย้งกับเวียดนามคือจัมปาและลาว อิทธิพลของเวียดนามรับรู้ไปจนถึงหัวเมืองเผ่าไทในจีนตอนใต้และล้านนา หลังรัชกาลนี้ราชวงศ์เลเริ่มประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ปัญหาเศรษฐกิจจนที่สุดก็ถูกรัฐประหารโดยขุนศึกหมักดังซุง ในปี พ.ศ. 2071 เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เลหลบหนีด้วยการช่วยเหลือของขุนศึกตระกูลเหวียนและจิ่ง ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาแต่แรก ราชวงศ์เลเริ่มการฟื้นฟูกอบกู้อำนาจคืนโดยมีแม่ทัพเป็นคนตระกูลเหวียนและจิ่ง ทำสงครามกับราชวงศ์หมักจนถึงปี พ.ศ. 2136 จึงสามารถยึดเมืองทังลองคืนได้และฟื้นฟูราชวงศ์เลปกครองเวียดนามต่อไปยุคแตกแยกเหนือ-ใต้ยุคแตกแยกเหนือ-ใต้. - หลังการฟื้นฟูราชวงศ์เลขึ้นได้ ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ และให้ขุนศึกตระกูลเหวียนไปปกครองเขตชายแดนใต้บริเวณเมืองด่งเหยลงไปถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็น เจ้าสืบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ในตระกูลของตนเอง ขุนศึกตระกูลเหวียนจึงประกาศไม่ยอมรับการปกครองของตระกูลจิ่งจนเกิดสงครามครั้งใหม่ต่อมาอีกหลายสิบปี เวียดนามแบ่งแยกเป็นสองส่วน ส่วนเหนือ คือ เวียดนามเหนือ อยู่ในการปกครองของราชวงศ์เลและเจ้าตระกูลจิ่ง มีศูนย์กลางที่ทังลอง ส่วนใต้ คือ เวียดนามใต้ มีตระกูลเหวียนปกครอง มีศุนย์กลางที่เมืองฝูซวนหรือเว้ในปัจจุบันตลอดมาจักรวรรดิเวียดนามจักรวรรดิเวียดนาม. - พ.ศ. 2316 เกิดกบฏนำโดยชาวนาสามพี่น้องที่หมู่บ้านเตยเซินขึ้นในเขตเมืองบิ่งดิ่ง เขตปกครองของตระกูลเหวียน และสามารถยึดเมืองฝูซวนได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋ง เชื้อสายตระกูลเหวียนหลบหนีลงใต้ออกจากเวียดนามไปจนถึงกรุงเทพฯ ก่อนกลับมารวบรวมกำลังเอาชนะพวกเตยเซินได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือเหงวียนฟุกอ๊าน (องเชียงสือ) ผู้นำตระกูลเหงวียน ซึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เหงวียน ในปี พ.ศ. 2345 สถาปนาราชธานีใหม่ที่เมืองเว้ แทนที่ทังลอง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮานอย- จักรวรรดิเวียดนาม (พ.ศ. 2345 -2488) องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างชาวฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้ และ ป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง สมัยนี้เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบของกองทัพเรือฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสได้บุกโจมตีดินแดนภาคใต้บริเวณปากแม่น้ำโขงและยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด จักรพรรดิตึดึ๊กจึงต้องยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพทหางทหารที่เหนือกว่าได้ ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาแคว้นอันนัม ในตอนกลาง และ เขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ และเวียดนามยังมีจักรพรรดิเป็นประมุขเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ อำนาจในการบริหารการคลัง การทหาร และ การทูตเป็นของฝรั่งเศส ถือว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้นยุคอาณานิคม ยุคอาณานิคม. ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งออกไปยังฝรั่งเศสและเป็นวัตถุดิบแก่โรงงานในฝรั่งเศส ที่ดินในเวียดนามถูกยึดและตกเป็นของชาวฝรั่งเศส และเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี พ.ศ. 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบทยุคเอกราช ยุคเอกราช. พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได่และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกหลังประกาศเอกราช แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนในที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี พ.ศ. 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับเอกราชของเวียดนาม แต่สหรัฐอเมริกาและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ)สงครามเวียดนาม สงครามเวียดนาม. เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ ปลดปล่อย เวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เวียดกง) ในการทำสงคราม การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให้สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี พ.ศ. 2511 ที่เมืองเว้และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง สหรัฐอเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นับแต่นั้นหน่วยงานราชการและการเมือง หน่วยงานราชการและการเมือง. 1.การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุดเพียงพรรคการเมืองเดียว ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) ที่คานอำนาจระหว่างกลุ่มผู้นำ ได้แก่- กลุ่มปฏิรูป ที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ฟาน วัน ขาย - กลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งต่อต้านหรือชะลอการเปิดประเทศ เพราะเกรงภัยของ “วิวัฒนาการที่สันติ” peaceful evolution) อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ และ - กลุ่มที่เป็นกลาง ประนีประนอมระหว่างสองกลุ่มแรก นำโดยอดีตประธานาธิบดี เจิ่น ดึ๊ก เลือง ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องปรับแนวทางการบริหารประเทศให้ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ในย่างก้าวที่รวดเร็วนัก 2.เวียดนามได้มีการเลือกตั้งสภาแห่งชาติ สมัยที่ 11 เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 498 คน เป็นผู้เลือกตั้งอิสระเพียง 2 คน ที่เหลือเป็นผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจากพรรคคอมมิวนิสต์ สภาแห่งชาติมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่ตรากฎหมาย แต่งตั้งหรือถอดถอนประธานาธิบดี ประธานรัฐสภา และ นายกรัฐมนตรี 3.สภาแห่งชาติชุดใหม่ได้เปิดประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 โดยสภาได้มีมติสำคัญๆ คือ- รับรองผลการเลือกตั้งเมื่อ 19 พฤษภาคม - เลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ประจำสภา - การเลือกตั้งให้นายเหวียน วัน อาน ดำรงตำแหน่งประธานสภาต่อไป (เมื่อ 23 กรกฎาคม) - การเลือกตั้งให้นายเจิ่น ดึ๊ก เลือง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป (เมื่อ 24 กรกฎาคม) และ - เลือกตั้งให้นายฟาน วัน ขาย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป (เมื่อ 25 กรกฎาคม) และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 สิงหาคม 2545 โดยในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ 26 คน มีรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ หลายคนเคยดำรงรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงนั้น ๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกระทรวงใหม่ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม และกระทรวงภายใน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามที่ดำเนินไปด้วยดีในปัจจุบัน 4.แผนงานการปฏิรูประบบราชการสำหรับปี ค.ศ. 2001-2010 เน้น 4 ประเด็น ได้แก่ การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูปโครงสร้างองค์กร การยกระดับความสามารถของข้าราชการ และการปฏิรูปด้านการคลังการทหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศการแบ่งเขตการปกครองภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เวียดนามเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นแนวยาว และ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือและใต้ แต่มีภูเขาที่มีป่าหนาทึบแค่ 20% โดยมีพันธุ์ไม้ 13,000 ชนิด และพันธุ์สัตว์กว่า 15,000 สายพันธุ์ลักษณะภูมิประเทศลักษณะภูมิประเทศ. - มีที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ 2 ตอน คือ ตอนเหนือเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง - มีที่ราบสูงตอนเหนือของประเทศ และยังเป็นภูมิภาคที่มีเขา ซึ่งเป็นภูเขาที่สูง 3,143 เมตร (10,312 ฟุต)ลักษณะภูมิอากาศลักษณะภูมิอากาศ. - เป็นแบบมรสุมเขตร้อน ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเปิดโล่งรับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านทะเลจีนใต้ ทำให้มีโอกาสรับลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อน จึงมีฝนตกชุกในฤดูหนาว สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้ง (ฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) - เป็นประเทศที่มีความชื้นประมาณร้อยละ 84 ตลอดปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยตั้งแต่ 5 องศาเซลเซียสชายแดน ชายแดน. ทั้งหมด 4,638 กิโลเมตร (2,883 ไมล์) โดยติดกับประเทศกัมพูชา 1,228 กิโลเมตร (763 ไมล์) ประเทศจีน 1,281 กิโลเมตร (796 ไมล์) และประเทศลาว 2,130 กิโลเมตร (1,324 ไมล์)เศรษฐกิจเกษตรกรรม เศรษฐกิจ. เกษตรกรรม. มีผลผลิตได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ชา กาแฟ ยาสูบ พริกไทย (ในปี พ.ศ. 2549 ส่งออกกว่า 116,000 ตัน) การประมง เวียดนามจับปลาได้เป็นอันดับ 4 ของสินค้าส่งออก เช่น ปลาหมึก กุ้ง ตลาดที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์อุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมทอผ้า ศูนย์กลางอยู่ที่โฮจิมินห์ซิตีและมีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้เบียนโฮ การทำเหมืองแร่ที่สำคัญ คือ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ เวียดนามเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซียสถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจ. เวียดนามมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า จึงมีการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตั้งแต่กันยายนปี 2004 แม้ว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจจะเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญรองจากเหตุผลทางการเมืองและยุทธศาสตร์ในการที่อาเซียนรับเวียดนามเข้าเป็นสมาชิก แต่ก็ยังคงความสำคัญในระดับหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ความสัมพันธ์ทวิภาคีทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและประกาศถอนทหารออกจากกัมพูชา และเมื่อเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีสในปี 1991เหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเหตุผลการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน. 1. การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเวียดนามมองว่าเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับการปรับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และการปรับนโยบายต่างประเทศ การเข้ารวมกลุ่มอาเซียนจะทำให้เวียดนามมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศจากสมาชิกต่างๆ อันจะมีส่วนเอื้ออำนวยและเร่งการพัฒนาของตนไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการแข่งขันได้ในที่สุด 2. เวียดนามให้ความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและระบบเศรษฐกิจของโลก การเป็นสมาชิกของอาเซียนจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในเขตการค้าเสรีอาเซียน และนำเวียดนามไปสู่ความคุ้นเคยกับแนวทางปฏิบัติในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับโลก อันจะมีผลดีและเป็นปัจจัยประการหนึ่งที่จะผลักดันเวียดนามให้ก้าวไปสู้การเป็นสมาชิกของ APEC และ WTO ได้ในที่สุด 3. ในฐานะของสมาชิกอาเซียน เวียดนามหวังที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนทั้งหลาย ขณะเดียวกันในขณะที่การค้าภายในกลุ่มอาเซียนกำลังขยายตัว เวียดนามก็ได้ตระเตรียมและปรับทิศทางการส่งออกของตนที่จะไปสู่ตลาดอาเซียนนี้อย่างจริงจังมากขึ้น การนำเข้าของเวียดนามจากอาเซียนในขณะนี้เป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมดของทั้งหมดของเวียดนาม และประมาณร้อยละ 30 ของการค้าทั้งหมดของเวียดนามที่มีกับอาเซียนนอกจากนี้ เวียดนามยังหวังว่าตนจะได้รับสิทธิพิเศษ GSP อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป และเวียดนามยังจะเป็นจุดส่งออกที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ในด้านการลงทุน ทั้งเวียดนามและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากการที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้าไปลงทุนในเวียดนามโดยเวียดนามจะสามารถดูดซึมเทคนิค วิทยาการและเทคโนโลยีที่ผ่านมากับการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการร่วมทุน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตของเวียดนาม และขณะเดียวกัน นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจลพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ทั้งนี้เพราะอาเซียนก็สนใจในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 73 ล้านคน มีความสมบูรณ์ทางทรัพยาธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาถูก การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มเป็น 420 ล้านคน และจะมีผลผลิตมวลรวมภายในถึง 500 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ อันจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวกางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีกวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการขนส่งอากาศ การขนส่ง. อากาศ. เวียดนามมีท่าอากาศยานขนาดใหญ่ 6 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Noi Bai) ในกรุงฮานอย, ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (Tan Son Nhat) ในนครโฮจิมินห์, โครงการท่าอากาศยานนานาชาติล็องถั่ญ (Long Thanh) ในจังหวัดด่งนาย, ท่าอากาศยานจูลาย (Chu Lai) ในจังหวัดกว๋างนาม และท่าอากาศยานนานาชาติดานัง (Danang) ในนครดานังถนนทางรถไฟทางน้ำประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. มีจำนวน 84.23 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 253 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นชาวญวนร้อยละ 86 (บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ) ต่าย ชาวไท เหมื่อง ฮั้ว (จีน) ชาวเขมร นุง ชาวม้งภาษา ภาษา. การสื่อสารใช้ภาษาเวียดนาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2463 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัวอักษรโรมัน (Quốc ngữ) แทนตัวอักษรจีน (Chữ Nôm) ในการเขียนภาษาเวียดนามศาสนา ศาสนา. จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2557 ประเทศเวียดนามมีประชากรนับถือศาสนา 90 ล้านคน แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพื้นบ้านเวียดนามและไม่มีศาสนา 24 ล้านคน (73.2%) ศาสนาพุทธ 11 ล้านคน (12.2%) ศาสนาคริสต์ 7.6 ล้านคน (8.3%) ลัทธิเฉาได 4.4 ล้านคน (4.8%) ลัทธิฮหว่าหาว 1.3 ล้านคน (1.4%) และศาสนาอื่น ๆ (0.1%) เช่น ศาสนาอิสลาม 75,000 คน ศาสนาบาไฮ 7,000 คน ศาสนาฮินดู 1,500 คนการศึกษาประวัติการศึกษาของเวียดนาม การศึกษา. ประวัติการศึกษาของเวียดนาม. ประเทศเวียดนามได้มีการพัฒนาการศึกษาควบคู่ไปกับพัฒนาของประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะ ๆ ย่อ ๆ ในเชิงประวัติศาสตร์ดังนี้ (Pham Minh Hac,1995, 42-61) 1. ระยะที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน (Period of Chinese Imperial Domination) : 200 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 938 ในระยะนี้ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีน ดังนั้นผู้บริหารของประเทศจีน จึงเป็นผู้ก่อตั้งระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามทั้งในแบบของรัฐและเอกชน ซึ่งในสมัยก่อนเน้นเฉพาะการศึกษาของบุตรชายและการฝึกอบรมบุคคลเพื่อเข้าไปรับราชการและบริหารประเทศ มีนโยบาย "Feudal Intelligentsia" ซึ่งจะคัดเลือกเฉพาะบุตรชายจากครอบครัวขุนนางไปรับราชการกับราชวงศ์จีน ระบบการศึกษาต่อเนื่องของชาวเวียดนามในบางศตวรรษพบว่า บุคคลชาวเวียดนามที่มีฐานะทางสังคมดีและมีสติปัญญาดีจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาต่อในประเทศจีน โดยมีการสอบแข่งขันหลายขั้นตอนและครั้งสุดท้ายจะสอบที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสอบผ่านจะได้วุฒิเทียบเท่า Doctor’s Degree ระบบการศึกษาดังกล่าวสืบทอดมาจนถึง ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - ค.ศ. 907) ระบบการศึกษาที่เลียนแบบมาจากประเทศจีนประกอบด้วย การศึกษาเบื้องต้น (Primary Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษาน้อยกว่า 15 ปี และการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher Education) ที่มีระยะเวลาการศึกษามากกว่า 15 ปีขึ้นไป 2. ระยะที่ประเทศมีอิสรภาพ (Period of National Independence) : ค.ศ. 938 -ค.ศ. 1859 ในปี ค.ศ. 938 Ngo Dinh ได้รบชนะจีนและก่อตั้งราชวงศ์ Ngo Dinh และราชวงศ์ Le ตอนต้น (ค.ศ. 939 - ค.ศ. 1009) การศึกษาส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการโดยเอกชนและโรงเรียนพุทธศาสนา จนกระทั่งราชวงศ์ Le (ค.ศ.1009 - ค.ศ. 1225) เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองหลวง Thang Long หรือ Ha Noi ในปัจจุบัน มีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศเวียดนามเป็นแห่งแรก ใน ค.ศ. 1076 ที่มีชื่อเรียกว่า "Quoc Tu Gian หรือ Royal College" เพื่อเป็นแหล่งการศึกษาของบุตรชายของครอบครัวที่มีฐานะดี ในยุคนี้มีการสร้างโรงเรียนของรัฐขึ้นอีกทั้งในส่วนกลางและจังหวัดต่างๆ เพื่อให้บุตรชายของสามัญชนเข้ารับการศึกษา ทำให้ระบบการศึกษาในประเทศเวียดนามในยุคนี้แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ- Royal College อยู่ในเมืองหลวง อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของกษัตริย์ - โรงเรียนในระดับจังหวัดและอำเภอ เป็นโรงเรียนของรัฐซึ่งยังมีจำนวนไม่มากนัก - โรงเรียนของภาคเอกชน อาจสรุปได้ว่าการศึกษาในระยะต้น ๆ ของประเทศเวียดนามอยู่ในระบบศักดินา ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการคัดเลือกคนเข้าไปเรียนเพื่อเป็นขุนนางและข้าราชการในระดับต่างๆ 3. ระยะที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส (Period of French Colonialism): ค.ศ. 1859 - 1945 ในระยะที่ประเทศเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสนี้ ระยะแรกๆ ยังคงใช้ระบบการศึกษาตามลัทธิขงจื้ออยู่ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1917 จึงได้มีการเริ่มระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศส แต่ให้ความสำคัญกับการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่มีพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่น การศึกษาในเบื้องต้นมีเกรด 1-2 มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน Ecole Communale ใช้เรียกการศึกษาในทางตอนเหนือ Ecole Auxilier Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาทางตอนใต้ และ Ecole Preparatoire ใช้เรียกการศึกษาในตอนกลางของประเทศ ในบางเมืองมีการศึกษาพื้นฐาน 6 ปี ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น Ha Noi, Haiphong และ Vinh มีการศึกษาที่สูงกว่า ระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นอีก 4 ปี และมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้นที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมศึกษา คือ Ha Noi, Hue และ Saigon ตอนต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนาการศึกษาวิชาชีพ (Professional Education) ขึ้น โดยมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาที่มีรูปแบบตะวันตก ในปี ค.ศ. 1902 มีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกที่กรุงฮานอย และมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลายแห่งในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาทางด้านเทคนิคและอุตสาหกรรมอีกหลายแห่ง ซึ่งมีระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี เน้นการฝึกอบรมทักษะในการทำงานกับเครื่องจักรกล สถาบันการศึกษาในระดับนี้เรียกว่า โรงเรียนฝึกวิชาชีพชั้นสอง จนกระทั่ง ค.ศ. 1919 จึงมีระบบการศึกษาแบบมหาวิทยาลัยที่มีการศึกษาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ วิชาฟิสิกส์ เคมี จนกระทั่งถึง ค.ศ. 1923 ได้เริ่มมีการจดทะเบียนผู้ที่ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย โดยทั่วไปแล้วระบบการศึกษาของประเทศเวียดนามภายใต้การปกครองของประเทศฝรั่งเศส ยังมีความจำกัดอยู่มาก โดยพบว่ามีจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนประมาณรัอยละ 2.6 ของประชากรในวัยเรียนทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่มีประชากรทั้งหมด 17,702,000 คน ในปี ค.ศ. 1931 4. ระยะหลังการปฏิวัติเดือนสิงหาคม (Period after August Revolution) : ค.ศ. 1945 - 1975 5. ระยะของการรวมประเทศ (Period of National Reunification) : ค.ศ. 1975 - ปัจจุบันการศึกษาของเวียดนามในปัจจุบัน การศึกษาของเวียดนามในปัจจุบัน. ปัจจุบันเวียดนามแบ่งลักษณะของการจัดการศึกษาไว้ 5 ลักษณะ คือ 1. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา (Pre-School Education) ประกอบด้วยการเลี้ยงดูเด็ก สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี และอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี 2. การศึกษาสามัญ (5 - 4 – 3)- ระดับประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ 5 ปี ชั้น 1-5 - ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือชั้น 6-9 - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คือชั้น 10-12 3. การศึกษาด้านเทคนิคและอาชีพ มีเทียบเคียงทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย 4. การศึกษาระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็นระดับอนุปริญญา (Associate degree) และระดับปริญญา 5. การศึกษาต่อเนื่อง เป็นการศึกษาสำหรับประชาชนที่พลาดโอกาสการศึกษาในระบบสายสามัญและสายอาชีพ การศึกษาสามัญ 12 ปี (General Education) ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์ที่จะ ให้ประชาชนได้มีวิญญาณในความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีความสามารถในด้านอาชีพ ในอดีตการศึกษาสามัญของเวียดนามมีเพียง 10 ปีเท่านั้น และไม่มีอนุบาลศึกษามาก่อนจนถึงปีการศึกษา 2532 - 2533 จึงมีการศึกษาถึงชั้นปีที่ 9 ทั้งประเทศ ซึ่งได้เรียกการศึกษาสามัญ 9 ปี ดังกล่าวนี้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Basic Education) และเมื่อได้ขยายไปถึงปีที่ 12 แล้วจึงได้เรียกการศึกษาสามัญ 3 ปีสุดท้ายว่า มัธยมชั้นสูง (Upper Secondary School) ปี 2535-2536 ระบบการศึกษาสามัญในเวียดนามจึงกลายเป็นระบบ 12 ชั้นเรียนทั้งประเทศ โดยเด็กที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 6 เมื่อเวียดนามได้ใช้ระบบการศึกษาเป็น 12 ปีแล้ว จำนวนนักเรียนในทุกระดับชั้นยังมีน้อย ดังนั้นปี 2534 สภาแห่งชาติของเวียดนามจึงได้ออกกฎหมายการกระจายการศึกษาระดับประถมศึกษา (Law of Universal Primary Education) ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกว่าด้วยการศึกษาของเวียดนามวัฒนธรรมสื่อสารมวลชน วัฒนธรรม. สื่อสารมวลชน. สื่อของเวียดนามได้รับการควบคุม โดยรัฐบาลตามกฎหมายปี 2004 ในการเผยแพร่ โดยทั่วไปจะมองเห็นว่า ภาคสื่อของเวียดนามถูกควบคุม โดยรัฐบาลไปตามเส้นทางของพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เสียงของเวียดนามเป็นบริการกระจายเสียงทางวิทยุแห่งชาติที่รัฐ ออกอากาศผ่านทางเอฟเอ็มโดยใช้เครื่องส่งสัญญาณให้เช่าในประเทศอื่นๆ และการให้การออกอากาศจากเว็บไซต์ของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศเวียดนาม เป็นบริษัทวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี 1997 เวียดนามมีการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยใช้วิธีการทางกฎหมายและทางเทคนิค เพื่อล็อกผลจะเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "แบมบู ไฟร์วอลล์" โครงการความร่วมมือโอเพ่นเน็ตริเริ่มจัดระดับของเวียดนามการเซ็นเซอร์ทางการเมืองจะเป็นการ "แพร่หลาย" ในขณะที่ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเวียดนามพิจารณาให้เป็นหนึ่งใน 15 ของโลก "ศัตรูของอินเทอร์เน็ต" แม้ว่ารัฐบาลของเวียดนามอ้างว่าเพื่อป้องกันประเทศกับเนื้อหาลามกอนาจารหรือไม่เหมาะสมทางเพศผ่านความพยายามสกัดกั้นของหลายทางการเมืองและศาสนาเว็บไซต์ที่มีความสำคัญเป็นสิ่งต้องห้ามยังดนตรี ดนตรี. เพลงเวียดนามแบบดั้งเดิมแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ดนตรีคลาสสิกเหนือเป็นรูปแบบดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามและเป็นประเพณีที่เป็นทางการมากขึ้น ต้นกำเนิดของดนตรีเวียดนามสามารถโยงไปถึงการรุกรานของมองโกลในศตวรรษที่ 13 เมื่อเวียดนามจับกุมคณะงิ้ววรรณกรรมเทศกาล เทศกาล. เวียดนามมีเทศกาลตามปฏิทินจันทรคติมากมาย เทศกาลที่สำคัญที่สุดคือการเฉลิมฉลองปีใหม่ตรุษญวน งานแต่งงานเวียดนามแบบดั้งเดิมยังคงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและมักจะมีการเฉลิมฉลองโดยชาวเวียดนามในประเทศตะวันตก- เทศกาลเต๊ต : เป็นเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด มีชื่อเต็มว่า "เต๊ตเงวียนด๊าน" หมายความว่า เทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี มีขึ้นระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื่อ และศาสนาพุทธ และเป็นการเคารพบรรพบุรุษ - เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง : ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านประกวดทำขนมเปี๊ยะโก๋ญวน (บันตรังทู) พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อดวงจันทร์การท่องเที่ยวกีฬา กีฬา. ตะกร้อเวียดนามก็เล่น เด้ออาหาร อาหาร. เฝอ เป็นอาหารยอดนิยมในเวียดนามการแต่งกาย การแต่งกาย. การแต่งกายอ๊าวส่าย (Ao dai) เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัว สวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงาน และพิธีการสำคัญของประเทศ ชุดผู้หญิงคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมมากจากผู้หญิงเวียดนามทั่วทั้งประเทศ ส่วนผู้ชายจะสวมใส่ชุดอ๊าวส่ายด๋ในพิธีแต่งงานหรือพิธีศพ
| ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"อ๊าวส่าย"
],
"answer_begin_position": [
29015
],
"answer_end_position": [
29023
]
} |
2,091 | 2,614 | ประเทศนิวซีแลนด์ นิวซีแลนด์ (; มาวรี: Aotearoa หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" หรือ Niu Tirenio ซึ่งเป็นการทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ รวมถึงเกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนตะวันตกเฉียงใต้ - นิวซีแลนด์มีเมืองหลวงชื่อเวลลิงตัน นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ห่างไกลจากประเทศอื่น ๆ มากที่สุด ประเทศที่อยู่ใกล้ที่สุดคือประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ 2,000 กิโลเมตร โดยที่มี ทะเลแทสมันกั้นกลาง ดินแดนเดียวที่อยู่ทางใต้คือทวีปแอนตาร์กติกา และทางเหนือคือนิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา นิวซีแลนด์ได้กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยสนธิสัญญาไวตางี (Treaty of Waitangi) เมื่อปี พ.ศ. 2383 ซึ่งได้สัญญาไว้ว่าจะให้สิทธิในการเป็นผู้นำชนเผ่าอย่างเต็มรูปแบบ "complete chieftainship" (tino rangatiratanga) แก่ชาวมาวรีพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ในปัจจุบันความหมายที่แน่นอนของสนธิสัญญานี้ยังคงเป็นข้อพิพาท และยังคงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการแบ่งแยกและความไม่พอใจกันอยู่เนื่องจากมีการแปลสนธิสัญญาทั้งสองฉบับไม่ตรงกัน โดยในฉบับภาษาอังกฤษมีใจความว่าสหราชอาณาจักรจะปกครองประเทศและประชาชนของประเทศ ในขณะที่ในฉบับภาษามาวรีมีใจความว่าสหราชอาณาจักรจะเป็นฝ่ายสนับสนุนการปกครองของผู้นำที่ชาวมาวรีพึงใจให้ปกครอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2383 นิวซีแลนด์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นประเทศอิสระที่ใช้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่ภายใต้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นราชินีพระองค์เดียวกับที่ทรงปกครองประเทศอื่นในเครือจักรภพแห่งอังกฤษ เช่น ออสเตรเลีย ฟิจิ ฯลฯ นิวซีแลนด์รับผิดชอบการต่างประเทศของหมู่เกาะคุกและนีอูเอ ซึ่งเป็นพื้นที่ปกครองตนเองพิเศษโดยมีรัฐบาลราชอาณาจักรนิวซีแลนด์เป็นผู้ชี้แนะและปกครองโตเกเลาเป็นเมืองขึ้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์มีภูมิอากาศเขตอบอุ่น และภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและความสวยงามทางธรรมชาติ เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์เน้นการค้าโดยมีฐานจากการเกษตร ชาวนิวซีแลนด์โดยทั่วไปนิยมการเดินทางเดินทางและสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างประเทศและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมภายนอกเป็นกิจกรรมที่นิยมกันโดยเฉพาะกีฬาต่าง ๆ คือ รักบี้ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติ คริกเกต และ เนตบอล รวมถึง กีฬาเอกซ์ตรีมสปอร์ตและการเดินไกลการกำเนิดของนิวซีแลนด์ การกำเนิดของนิวซีแลนด์. นิวซีแลนด์ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 60 ล้านปีก่อน ห่างจากการกำเนิดประเทศต่างๆในโลกดั้งเดิมเมื่อกว่า 200 ล้านปีก่อน ดินแดนของนิวซีแลนด์และทวีปอื่นๆของโลกได้รวมตัวกันเป็นแผ่นดินใหญ่ในชื่อ กอนด์วานา ก่อนที่เมื่อ 83 ล้านปีก่อน ได้แยกตัวออกจากกันเป็นทวีปต่าง ๆ ในส่วนของนิวซีแลนด์ได้แยกตัวออกมาเป็นผืนแผ่นดินที่เป็นทวีปที่เรียกว่า ซีแลนเดีย มีขนาดเท่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อ 60 ล้านปีก่อน ซีแลนเดียได้จมลงใต้ทะเลเช่นเดียวกับทวีปแอตแลนติส จนกระทั่งเมื่อ 24 ล้านปีก่อน เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเปลือกโลกใต้พิภพผลักดันให้แผ่นดินค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากน้ำอย่างช้า ๆจนเป็นประเทศนิวซีแลนด์อย่างในปัจจุบัน ปัจจุบัน ภาพถ่ายจากดาวเทียมเผยให้เห็นส่วนของซีแลนเดียที่จมลงใต้ทะเลลึกกว่า 5,000 ฟุต แต่ยังมีความเชื่อว่าซีแลนเดียไม่ได้จมน้ำทั้งหมด เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า บางส่วนของซีแลนเดียไม่ได้จมน้ำทั้งหมดและในปัจจุบันนิวซีแลนด์มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ปัจจุบัน นิวซีแลนด์อยู่ห่างจากออสเตรเลียทางตอนใต้ราว 1,000 ไมล์ แต่ทว่าความหลากหลายทางชีวภาพมีความแตกต่างจากออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เกิดจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เดินทางมาสู่นิวซีแลนด์ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นทวีปซีแลนเดีย จนกระทั่งเมื่อราว 700 ปีก่อน มนุษย์กลุ่มแรกก็เดินทางมาถึงนิวซีแลนด์คือชาวชาวมาวรี อันเป็นชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ในปัจจุบันภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศนิวซีแลนด์แบ่งออกเป็น 2 เกาะหลัก และเกาะเล็กๆ อีกหลายเกาะตั้งอยู่กลางกระแสน้ำแบ่งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ทางเหนือและทางใต้ของเกาะถูกแบ่งโดยช่องแคบคุกซึ่งมีความกว้าง 20 กิโลเมตร และเป็นจุดที่แคบที่สุดของเกาะ ปริมาณพื้นที่ของประเทศคือ 268,680 ตารางกิโลเมตร ( 103,738 ตารางไมล์ ) มีขนาดเล็กกว่าประเทศอิตาลีและประเทศญี่ปุ่นเล็กน้อย และเล็กกว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เกาะที่มีขนาดเล็กกว่าที่มีผู้คนอาศัยอยู่และมีความสำคัญประกอบไปด้วยเกาะ Stewart Island/Rakiura; เกาะ Waiheke, เกาะ Great Barrier และเกาะ Chatham ประเทศนิวซีแลนด์มีแหล่งน้ำครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นประเทศอันดับ 7 ของโลกที่มีพื้นที่ทางน้ำซึ่งมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจครอบคลุมถึง 4 ล้านตารางกิโลเมตร ( 1.5 ล้านตารางไมล์ ) มากกว่าขนาดพื้นที่ดินถึง 15 เท่า จุดที่สูงที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์คือภูเขา Aoraki/Mount Cook ซึ่งมีความสูง 3754 เมตร ( 12,320 ฟุต ) มีจุดที่สูงที่สุด 18 แห่งที่มีความสูงเกิน 3,000 เมตร ( 10,000 ฟุต ) อยู่ทางใต้ของเกาะ ทางเหนือของเกาะมีพื้นที่ที่เป็นภูเขาน้อยกว่าทางใต้ แต่เป็นที่รู้กันว่าภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาไฟ ภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะทางเหนือคือภูเขา Mount Ruapehu ( 2,797 เมตร / 9,177 ฟุต ) และเป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ มีพื้นที่หลายแห่งที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจสภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศ. ประกอบด้วย 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากตั้งอยู่ในโซนอากาศอบอุ่น ทำให้มีอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นตลอดปี ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างเย็น ฤดูหนาวไม่หนาวจัดมาก มีฝนตกตลอดปี ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก - ลมประจำที่พัดผ่าน คือลมฝ่ายตะวันตก - กระแสน้ำอุ่นออสเตรเลียตะวันออก อากาศแตกต่างกันดังนี้ - เกาะเหนือมีอากาศอบอุ่นชื้นทั่วเกาะ - เกาะใต้ชายฝั่งตะวันตกฝนชุกกว่าชายฝั่งตะวันออก - เกาะใต้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าสู่ฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว และมีมากที่ Mt.Cookประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน ประวัติศาสตร์. การตั้งถิ่นฐาน. นิวซีแลนด์นั้นเดิมถูกปกครองโดยชาวเมารี แต่มีนักล่องเรือชาวดัตช์ ชื่อ ทวิน เจตด้า เปตโต้(Twin Jadda Phetto) ได้ล่องเรือเลียบมาทางออสเตรเลียและได้พบเกาะนิวซีแลนด์เข้า และได้พบกับชาวเมารีที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมิตรจึงได้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Nieuw Zeeland หรือ New Zealand จากนั้นชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ก็เป็นที่รู้จักกันในยุโรป เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์มาก ต่อมากัปตันเจมส์ คุก ได้ล่องเรือมาบ้าง แต่โชคดีที่มีคนบนเรือสามารถพูดภาษาไวทิงกิได้บ้าง จึงเจรจากับชาวเมารีได้ และพบว่าชาวเมารีเป็นชนเผ่าสายเลือดนับรบ จึงได้ตกลงแลกพืชพันธุ์กับอาวุธจากทางยุโรป และต่อมาเมื่อชาวเมารีมีอาวุธมากจึงสู้รบกันจนชนเผ่าเมารีลดลง ทางอังกฤษจึงได้ส่งคนมาทำสัญญา ที่มีชื่อว่า สนธิสัญญาไวตางี ขึ้น และส่งคนมาสำเร็จราชการแทนชื่อ วิลเลียม ฮอปสันการปกครองตนเองการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. นิวซีแลนด์มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐคือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และมี Governor General เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในนิวซีแลนด์ รัฐธรรมนูญของนิวซีแลนด์เป็นกฎหมายที่ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร คือไม่มีกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งที่บัญญัติถึงระบบการเมืองการปกครองแต่จะมีกฎหมายอื่นๆหลายฉบับมาประกอบกันเช่น Constitution ACT 1986 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ได้รวบรวมเอาหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กระจัดกระจายอยู่มาบัญญัติไว้ด้วยพระราชบัญญัติเลือกตั้ง เป็นต้น แต่พระราชบัญญัติเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ปัจจุบันการปกครองของรัฐบาลนิวซีแลนด์ปกครองภายใต้ระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ (ระบบเวสต์มินสเตอร์) ซึ่งเป็นระบบที่ให้อำนาจตุลาการส่วนหนึ่งของฝ่ายตุลาการแก่ฝ่ายปกครอง และใช้ระบบ MMP (Mixed Member Proportion) ซึ่งเป็นระบบที่ให้สิทธิผู้เข้าเลือกตั้งเลือกพรรคและผู้นำของแต่ละพรรคในการเลือกตั้งรัฐบาล ซึ่งในอดีตเคยมีการใช้ระบบที่เรียกว่า FPP (First Past-the-Post) หรือระบบที่ผู้มาใช้สิทธิมีเพียง1เสียงในการเลือกตั้งรัฐบาลแต่ละครั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับระบบปัจจุบันในประเทศไทย ระบบนี้ใช้จนถึงปีพ.ศ. 2537 และมีที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 120 ที่นั่ง (+1 ประธานสภา) ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศนิวซีแลนด์คือ John Key ผู้นำพรรค Nationalพรรคการเมืองปัจจุบัน พรรคการเมืองปัจจุบัน. Green Party, Labour Party - พรรคฝ่ายค้าน, Mana Party, Māori Party - พรรคเมารีที่สมาชิกจะต้องเป็นลูกหลานของชนเผ่าเมารีเท่านั้น, National Party - พรรครัฐบาล, New Zealand First และ United Futureตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เมื่อเริ่มตั้งถิ่นฐานนิวซีแลนด์ได้แบ่งเป็นจังหวัดต่าง ๆ (provinces) ซึ่งได้ยกเลิกไปใน พ.ศ. 2419 เพื่อให้จัดการปกครองแบบศูนย์กลางเนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้นิวซีแลนด์ไม่มีการแบ่งการปกครองเป็นระดับรัฐ จังหวัด หรือเขต นอกจากรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ความภูมิใจในระดับจังหวัดยังคงมีอยู่และมีการแข่งขันกันพัฒนาทั้งในทั้งด้านกีฬาและวัฒนธรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2419 รัฐบาลท้องถิ่นได้ปกครองภูมิภาคต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เนื่องจากแต่เดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัฐบาลท้องถิ่นของนิวซีแลนด์จึงได้ออกแบบตามโครงสร้างรัฐบาลท้องถิ่นของอังกฤษ โดยมีสภาท้องถิ่นระดับเมือง โบโร (borough) และเคาน์ตี (county) ตามเวลาที่เปลี่ยนไป บางสภาได้รวมกัน หรือเปลี่ยนอาณาเขตตามข้อตกลงร่วมกัน และมีการสร้างสภาแห่งใหม่บางแห่ง ใน พ.ศ. 2532 รัฐบาลได้จัดรัฐบาลท้องถิ่นใหม่ทั้งหมด เป็นแบบ 2 ระดับ ในปัจจุบัน คือ สภาภูมิภาค (regional councils) และ สภาดินแดน (territorial authorities) ปัจจุบัน นิวซีแลนด์มีสภาภูมิภาค 12 แห่ง สำหรับการปกครองเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการขนส่ง และสภาดินแดน 74 แห่ง ที่ดูแลด้านสาธารณูปโภค การสร้างถนน การระบายน้ำเสีย การอนุญาตการก่อสร้าง และเรื่องอื่น ๆ ภายในท้องถิ่น สภาดินแดนมี 74 แห่ง แบ่งออกเป็นสภานคร (city council) 16 แห่ง สภาเขต (district council) 57 แห่ง และสภาหมู่เกาะแชทัม (Chatham Islands Council) สภาดินแดน 4 แห่ง (1 นครและ 3 เขต) และสภาหมู่เกาะแชทัมทำหน้าที่เช่นเดียวกับสภาภูมิภาค จึงเรียกว่า unitary authorities เขตของดินแดนไม่จัดเป็นเขตย่อยของเขตของสภาภูมิภาค และบางดินแดนมีการคร่อมเขตของสภาภูมิภาคกองทัพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. นิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งในเขตแปซิฟิกที่มีการทำอุตสาหกรรม เช่น การต่อเรือ โรงงานเบียร์ไวท์ โรงงานปลากระป๋อง แต่ส่วนใหญ่การอุตสาหกรรมในนิวซีแลนด์มีน้อยมาก และ มีการทำอุตสาหกรรมการเกษตร เช่นการทำผลไม้กระป๋อง อุตสาหกรรมการขุดแร่ เช่น ถ่านหิน เหล็ก อุตสาหกรรมป่าไม้ และ ยังมีการเพาะปลูกที่ทำให้นิวซีแลนด์มีรายได้มากส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ ผลไม้เช่น สตรอเบอรี่ และแอปเปิล เป็นต้นการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวมักเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติที่หลากหลาย แบ่งเป็นเกาะใหญ่ 2 เกาะประชากรเมืองใหญ่เชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษและชนเผ่าพื้นเมืองเมารี, มาวรี (Maori) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 151,100 คน ซึ่งมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่ากับชาวผิวขาวทุกอย่างโดยนอกจากรัฐบาลกลางอังกฤษให้ความคุ้มครองทั่วถึงทุกคนแล้ว ยังมีการระบุสิทธิของชาวเมารีไว้ในสนธิสัญญาไวตางีด้วย นิวซีแลนด์มีประชากร4.3 ล้านคนประกอบด้วยชาวยุโรปผิวขาว 54% ชาวเมารี 7.4% ลูกครึ่งและชาวเอเชีย 9.7% (ข้อมูลปีค.ศ. 2006) ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์เป็นศาสนาประจำประเทศกีฬาฟุตบอลรักบี้ กีฬา. รักบี้. เป็นหนึ่งในกีฬาที่ชาวนิวซีแลนด์คลั่งไคล้มากที่สุด ออลแบล็ก (all black) เป็นทีมชาติรักบี้ของนิวซีแลนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก มีชื่อเสียงมากว่า 100 ปี หากวันไหนทีมออลแบล็กลงสนามแข่งขัน ชาวนิวซีแลนด์ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดต่างก็จะหยุดงานเพื่อรอชม นอกจากนี้ก่อนจะเริ่มการแข่งขันทุกครั้ง นักกีฬาในทีมจะเต้นแบบนักรบเมารีที่เรียกว่า ฮากา เพื่อข่มขวัญคู่แข่ง
| เมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์มีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"เวลลิงตัน"
],
"answer_begin_position": [
347
],
"answer_end_position": [
356
]
} |
2,092 | 2,614 | ประเทศนิวซีแลนด์ นิวซีแลนด์ (; มาวรี: Aotearoa หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" หรือ Niu Tirenio ซึ่งเป็นการทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ รวมถึงเกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนตะวันตกเฉียงใต้ - นิวซีแลนด์มีเมืองหลวงชื่อเวลลิงตัน นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ห่างไกลจากประเทศอื่น ๆ มากที่สุด ประเทศที่อยู่ใกล้ที่สุดคือประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ 2,000 กิโลเมตร โดยที่มี ทะเลแทสมันกั้นกลาง ดินแดนเดียวที่อยู่ทางใต้คือทวีปแอนตาร์กติกา และทางเหนือคือนิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา นิวซีแลนด์ได้กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยสนธิสัญญาไวตางี (Treaty of Waitangi) เมื่อปี พ.ศ. 2383 ซึ่งได้สัญญาไว้ว่าจะให้สิทธิในการเป็นผู้นำชนเผ่าอย่างเต็มรูปแบบ "complete chieftainship" (tino rangatiratanga) แก่ชาวมาวรีพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ในปัจจุบันความหมายที่แน่นอนของสนธิสัญญานี้ยังคงเป็นข้อพิพาท และยังคงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการแบ่งแยกและความไม่พอใจกันอยู่เนื่องจากมีการแปลสนธิสัญญาทั้งสองฉบับไม่ตรงกัน โดยในฉบับภาษาอังกฤษมีใจความว่าสหราชอาณาจักรจะปกครองประเทศและประชาชนของประเทศ ในขณะที่ในฉบับภาษามาวรีมีใจความว่าสหราชอาณาจักรจะเป็นฝ่ายสนับสนุนการปกครองของผู้นำที่ชาวมาวรีพึงใจให้ปกครอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2383 นิวซีแลนด์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นประเทศอิสระที่ใช้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่ภายใต้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นราชินีพระองค์เดียวกับที่ทรงปกครองประเทศอื่นในเครือจักรภพแห่งอังกฤษ เช่น ออสเตรเลีย ฟิจิ ฯลฯ นิวซีแลนด์รับผิดชอบการต่างประเทศของหมู่เกาะคุกและนีอูเอ ซึ่งเป็นพื้นที่ปกครองตนเองพิเศษโดยมีรัฐบาลราชอาณาจักรนิวซีแลนด์เป็นผู้ชี้แนะและปกครองโตเกเลาเป็นเมืองขึ้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์มีภูมิอากาศเขตอบอุ่น และภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและความสวยงามทางธรรมชาติ เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์เน้นการค้าโดยมีฐานจากการเกษตร ชาวนิวซีแลนด์โดยทั่วไปนิยมการเดินทางเดินทางและสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างประเทศและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมภายนอกเป็นกิจกรรมที่นิยมกันโดยเฉพาะกีฬาต่าง ๆ คือ รักบี้ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติ คริกเกต และ เนตบอล รวมถึง กีฬาเอกซ์ตรีมสปอร์ตและการเดินไกลการกำเนิดของนิวซีแลนด์ การกำเนิดของนิวซีแลนด์. นิวซีแลนด์ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 60 ล้านปีก่อน ห่างจากการกำเนิดประเทศต่างๆในโลกดั้งเดิมเมื่อกว่า 200 ล้านปีก่อน ดินแดนของนิวซีแลนด์และทวีปอื่นๆของโลกได้รวมตัวกันเป็นแผ่นดินใหญ่ในชื่อ กอนด์วานา ก่อนที่เมื่อ 83 ล้านปีก่อน ได้แยกตัวออกจากกันเป็นทวีปต่าง ๆ ในส่วนของนิวซีแลนด์ได้แยกตัวออกมาเป็นผืนแผ่นดินที่เป็นทวีปที่เรียกว่า ซีแลนเดีย มีขนาดเท่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อ 60 ล้านปีก่อน ซีแลนเดียได้จมลงใต้ทะเลเช่นเดียวกับทวีปแอตแลนติส จนกระทั่งเมื่อ 24 ล้านปีก่อน เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเปลือกโลกใต้พิภพผลักดันให้แผ่นดินค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากน้ำอย่างช้า ๆจนเป็นประเทศนิวซีแลนด์อย่างในปัจจุบัน ปัจจุบัน ภาพถ่ายจากดาวเทียมเผยให้เห็นส่วนของซีแลนเดียที่จมลงใต้ทะเลลึกกว่า 5,000 ฟุต แต่ยังมีความเชื่อว่าซีแลนเดียไม่ได้จมน้ำทั้งหมด เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า บางส่วนของซีแลนเดียไม่ได้จมน้ำทั้งหมดและในปัจจุบันนิวซีแลนด์มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ปัจจุบัน นิวซีแลนด์อยู่ห่างจากออสเตรเลียทางตอนใต้ราว 1,000 ไมล์ แต่ทว่าความหลากหลายทางชีวภาพมีความแตกต่างจากออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เกิดจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เดินทางมาสู่นิวซีแลนด์ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นทวีปซีแลนเดีย จนกระทั่งเมื่อราว 700 ปีก่อน มนุษย์กลุ่มแรกก็เดินทางมาถึงนิวซีแลนด์คือชาวชาวมาวรี อันเป็นชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ในปัจจุบันภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศนิวซีแลนด์แบ่งออกเป็น 2 เกาะหลัก และเกาะเล็กๆ อีกหลายเกาะตั้งอยู่กลางกระแสน้ำแบ่งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ทางเหนือและทางใต้ของเกาะถูกแบ่งโดยช่องแคบคุกซึ่งมีความกว้าง 20 กิโลเมตร และเป็นจุดที่แคบที่สุดของเกาะ ปริมาณพื้นที่ของประเทศคือ 268,680 ตารางกิโลเมตร ( 103,738 ตารางไมล์ ) มีขนาดเล็กกว่าประเทศอิตาลีและประเทศญี่ปุ่นเล็กน้อย และเล็กกว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เกาะที่มีขนาดเล็กกว่าที่มีผู้คนอาศัยอยู่และมีความสำคัญประกอบไปด้วยเกาะ Stewart Island/Rakiura; เกาะ Waiheke, เกาะ Great Barrier และเกาะ Chatham ประเทศนิวซีแลนด์มีแหล่งน้ำครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นประเทศอันดับ 7 ของโลกที่มีพื้นที่ทางน้ำซึ่งมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจครอบคลุมถึง 4 ล้านตารางกิโลเมตร ( 1.5 ล้านตารางไมล์ ) มากกว่าขนาดพื้นที่ดินถึง 15 เท่า จุดที่สูงที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์คือภูเขา Aoraki/Mount Cook ซึ่งมีความสูง 3754 เมตร ( 12,320 ฟุต ) มีจุดที่สูงที่สุด 18 แห่งที่มีความสูงเกิน 3,000 เมตร ( 10,000 ฟุต ) อยู่ทางใต้ของเกาะ ทางเหนือของเกาะมีพื้นที่ที่เป็นภูเขาน้อยกว่าทางใต้ แต่เป็นที่รู้กันว่าภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาไฟ ภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะทางเหนือคือภูเขา Mount Ruapehu ( 2,797 เมตร / 9,177 ฟุต ) และเป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ มีพื้นที่หลายแห่งที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจสภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศ. ประกอบด้วย 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากตั้งอยู่ในโซนอากาศอบอุ่น ทำให้มีอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นตลอดปี ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างเย็น ฤดูหนาวไม่หนาวจัดมาก มีฝนตกตลอดปี ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก - ลมประจำที่พัดผ่าน คือลมฝ่ายตะวันตก - กระแสน้ำอุ่นออสเตรเลียตะวันออก อากาศแตกต่างกันดังนี้ - เกาะเหนือมีอากาศอบอุ่นชื้นทั่วเกาะ - เกาะใต้ชายฝั่งตะวันตกฝนชุกกว่าชายฝั่งตะวันออก - เกาะใต้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าสู่ฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว และมีมากที่ Mt.Cookประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน ประวัติศาสตร์. การตั้งถิ่นฐาน. นิวซีแลนด์นั้นเดิมถูกปกครองโดยชาวเมารี แต่มีนักล่องเรือชาวดัตช์ ชื่อ ทวิน เจตด้า เปตโต้(Twin Jadda Phetto) ได้ล่องเรือเลียบมาทางออสเตรเลียและได้พบเกาะนิวซีแลนด์เข้า และได้พบกับชาวเมารีที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมิตรจึงได้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Nieuw Zeeland หรือ New Zealand จากนั้นชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ก็เป็นที่รู้จักกันในยุโรป เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์มาก ต่อมากัปตันเจมส์ คุก ได้ล่องเรือมาบ้าง แต่โชคดีที่มีคนบนเรือสามารถพูดภาษาไวทิงกิได้บ้าง จึงเจรจากับชาวเมารีได้ และพบว่าชาวเมารีเป็นชนเผ่าสายเลือดนับรบ จึงได้ตกลงแลกพืชพันธุ์กับอาวุธจากทางยุโรป และต่อมาเมื่อชาวเมารีมีอาวุธมากจึงสู้รบกันจนชนเผ่าเมารีลดลง ทางอังกฤษจึงได้ส่งคนมาทำสัญญา ที่มีชื่อว่า สนธิสัญญาไวตางี ขึ้น และส่งคนมาสำเร็จราชการแทนชื่อ วิลเลียม ฮอปสันการปกครองตนเองการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. นิวซีแลนด์มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐคือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และมี Governor General เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในนิวซีแลนด์ รัฐธรรมนูญของนิวซีแลนด์เป็นกฎหมายที่ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร คือไม่มีกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งที่บัญญัติถึงระบบการเมืองการปกครองแต่จะมีกฎหมายอื่นๆหลายฉบับมาประกอบกันเช่น Constitution ACT 1986 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ได้รวบรวมเอาหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กระจัดกระจายอยู่มาบัญญัติไว้ด้วยพระราชบัญญัติเลือกตั้ง เป็นต้น แต่พระราชบัญญัติเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติบริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ปัจจุบันการปกครองของรัฐบาลนิวซีแลนด์ปกครองภายใต้ระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ (ระบบเวสต์มินสเตอร์) ซึ่งเป็นระบบที่ให้อำนาจตุลาการส่วนหนึ่งของฝ่ายตุลาการแก่ฝ่ายปกครอง และใช้ระบบ MMP (Mixed Member Proportion) ซึ่งเป็นระบบที่ให้สิทธิผู้เข้าเลือกตั้งเลือกพรรคและผู้นำของแต่ละพรรคในการเลือกตั้งรัฐบาล ซึ่งในอดีตเคยมีการใช้ระบบที่เรียกว่า FPP (First Past-the-Post) หรือระบบที่ผู้มาใช้สิทธิมีเพียง1เสียงในการเลือกตั้งรัฐบาลแต่ละครั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับระบบปัจจุบันในประเทศไทย ระบบนี้ใช้จนถึงปีพ.ศ. 2537 และมีที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 120 ที่นั่ง (+1 ประธานสภา) ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศนิวซีแลนด์คือ John Key ผู้นำพรรค Nationalพรรคการเมืองปัจจุบัน พรรคการเมืองปัจจุบัน. Green Party, Labour Party - พรรคฝ่ายค้าน, Mana Party, Māori Party - พรรคเมารีที่สมาชิกจะต้องเป็นลูกหลานของชนเผ่าเมารีเท่านั้น, National Party - พรรครัฐบาล, New Zealand First และ United Futureตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เมื่อเริ่มตั้งถิ่นฐานนิวซีแลนด์ได้แบ่งเป็นจังหวัดต่าง ๆ (provinces) ซึ่งได้ยกเลิกไปใน พ.ศ. 2419 เพื่อให้จัดการปกครองแบบศูนย์กลางเนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้นิวซีแลนด์ไม่มีการแบ่งการปกครองเป็นระดับรัฐ จังหวัด หรือเขต นอกจากรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ความภูมิใจในระดับจังหวัดยังคงมีอยู่และมีการแข่งขันกันพัฒนาทั้งในทั้งด้านกีฬาและวัฒนธรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2419 รัฐบาลท้องถิ่นได้ปกครองภูมิภาคต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เนื่องจากแต่เดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัฐบาลท้องถิ่นของนิวซีแลนด์จึงได้ออกแบบตามโครงสร้างรัฐบาลท้องถิ่นของอังกฤษ โดยมีสภาท้องถิ่นระดับเมือง โบโร (borough) และเคาน์ตี (county) ตามเวลาที่เปลี่ยนไป บางสภาได้รวมกัน หรือเปลี่ยนอาณาเขตตามข้อตกลงร่วมกัน และมีการสร้างสภาแห่งใหม่บางแห่ง ใน พ.ศ. 2532 รัฐบาลได้จัดรัฐบาลท้องถิ่นใหม่ทั้งหมด เป็นแบบ 2 ระดับ ในปัจจุบัน คือ สภาภูมิภาค (regional councils) และ สภาดินแดน (territorial authorities) ปัจจุบัน นิวซีแลนด์มีสภาภูมิภาค 12 แห่ง สำหรับการปกครองเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการขนส่ง และสภาดินแดน 74 แห่ง ที่ดูแลด้านสาธารณูปโภค การสร้างถนน การระบายน้ำเสีย การอนุญาตการก่อสร้าง และเรื่องอื่น ๆ ภายในท้องถิ่น สภาดินแดนมี 74 แห่ง แบ่งออกเป็นสภานคร (city council) 16 แห่ง สภาเขต (district council) 57 แห่ง และสภาหมู่เกาะแชทัม (Chatham Islands Council) สภาดินแดน 4 แห่ง (1 นครและ 3 เขต) และสภาหมู่เกาะแชทัมทำหน้าที่เช่นเดียวกับสภาภูมิภาค จึงเรียกว่า unitary authorities เขตของดินแดนไม่จัดเป็นเขตย่อยของเขตของสภาภูมิภาค และบางดินแดนมีการคร่อมเขตของสภาภูมิภาคกองทัพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. นิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งในเขตแปซิฟิกที่มีการทำอุตสาหกรรม เช่น การต่อเรือ โรงงานเบียร์ไวท์ โรงงานปลากระป๋อง แต่ส่วนใหญ่การอุตสาหกรรมในนิวซีแลนด์มีน้อยมาก และ มีการทำอุตสาหกรรมการเกษตร เช่นการทำผลไม้กระป๋อง อุตสาหกรรมการขุดแร่ เช่น ถ่านหิน เหล็ก อุตสาหกรรมป่าไม้ และ ยังมีการเพาะปลูกที่ทำให้นิวซีแลนด์มีรายได้มากส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ ผลไม้เช่น สตรอเบอรี่ และแอปเปิล เป็นต้นการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวมักเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติที่หลากหลาย แบ่งเป็นเกาะใหญ่ 2 เกาะประชากรเมืองใหญ่เชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษและชนเผ่าพื้นเมืองเมารี, มาวรี (Maori) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 151,100 คน ซึ่งมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่ากับชาวผิวขาวทุกอย่างโดยนอกจากรัฐบาลกลางอังกฤษให้ความคุ้มครองทั่วถึงทุกคนแล้ว ยังมีการระบุสิทธิของชาวเมารีไว้ในสนธิสัญญาไวตางีด้วย นิวซีแลนด์มีประชากร4.3 ล้านคนประกอบด้วยชาวยุโรปผิวขาว 54% ชาวเมารี 7.4% ลูกครึ่งและชาวเอเชีย 9.7% (ข้อมูลปีค.ศ. 2006) ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์เป็นศาสนาประจำประเทศกีฬาฟุตบอลรักบี้ กีฬา. รักบี้. เป็นหนึ่งในกีฬาที่ชาวนิวซีแลนด์คลั่งไคล้มากที่สุด ออลแบล็ก (all black) เป็นทีมชาติรักบี้ของนิวซีแลนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก มีชื่อเสียงมากว่า 100 ปี หากวันไหนทีมออลแบล็กลงสนามแข่งขัน ชาวนิวซีแลนด์ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดต่างก็จะหยุดงานเพื่อรอชม นอกจากนี้ก่อนจะเริ่มการแข่งขันทุกครั้ง นักกีฬาในทีมจะเต้นแบบนักรบเมารีที่เรียกว่า ฮากา เพื่อข่มขวัญคู่แข่ง
| ประเทศใดอยู่ใกล้ประเทศนิวซีแลนด์มากที่สุด | {
"answer": [
"ออสเตรเลีย"
],
"answer_begin_position": [
445
],
"answer_end_position": [
455
]
} |
2,093 | 665 | ประเทศเยอรมนี ประเทศเยอรมนี (; ดอยฺชลันฺท) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (; ) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีภูมิอากาศตามฤดูกาลแบบอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีเป็นจุดหมายการเข้าเมืองยอดนิยมอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐ เมืองหลวงและมหานครใหญ่สุดของประเทศคือ กรุงเบอร์ลิน ขณะที่เขตเมืองขยายใหญ่สุด คือ รูร์ โดยมีศูนย์กลางหลักดอร์ทมุนด์และเอสเซิน นครหลักอื่นของประเทศ ได้แก่ ฮัมบวร์ค มิวนิก โคโลญ แฟรงก์เฟิร์ต ชตุทท์การ์ท ดึสเซิลดอร์ฟ ไลพ์ซิจ เบรเมิน เดรสเดิน ฮันโนเฟอร์และเนือร์นแบร์ก ประเทศนี้มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ พรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ของประเทศคือเบอร์ลิน เยอรมนีมีประชากรประมาณ 80 ล้านคนและเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรสูงสุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีคนย้ายถิ่นมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเยอรมนีเป็นปลายทางการย้ายถิ่นที่สองได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เยอรมนีเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและยังก่อตั้งสหภาพการเงินกับสมาชิกในสหภาพยุโรปอีก 17 ประเทศ โดยใช้ชื่อว่ายูโรโซน เยอรมนีเป็นสมาชิกของกลุ่ม UNO, OECD, NATO, G7 และ G20 เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆในยุโรปและเป็นประเทศที่มีความสามารถที่จะแข่งขันในระดับโลก หากวัดจากผลผลิตมวลรวมภายในประเทศแบบปกติแล้ว เยอรมนีเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก ในปี 2012 เป็นประเทศที่มีการนำเข้าส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสาม ดัชนีการพัฒนามนุษย์ถือว่าสูงมากประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ "นีแอนเดอร์ทาล" เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธและกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก "ไลออนแมน" ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบกลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843) กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843). คาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ไปจนถึงยุคเหล็กก่อนการก่อตั้งกรุงโรมนั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวียไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์และเทือกเขายูรัล ในค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุสแห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาในค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุสเขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราวค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน ภายหลังการรุกรานของชาวฮันในปี 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ปี 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่างๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815) อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815). ในค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาในปีค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:- อาณาจักรแฟรงก์กลาง – บริเวณเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตะวันออกของฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และภาคเหนือของอิตาลี - อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก – บริเวณเยอรมนี ออสเตรีย เช็กเกีย สโลวะเกีย ฮังการี สโลวีเนีย โครเอเชีย และบางส่วนของบอสเนีย - อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก – บริเวณตอนกลางและตะวันตกของฝรั่งเศส อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในปีค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กมีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรปการผงาดของราชอาณาจักรปรัสเซีย การผงาดของราชอาณาจักรปรัสเซีย. เดิมที ปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮับส์บูร์กเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดนไซลีเซียของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก เกิดเป็นสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็นสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮับส์บูร์ก ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กก็ตามสมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918) สมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918). จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ทำให้ในปีค.ศ. 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรียขึ้นมาแทน เมื่อนโปเลียนถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไปเกาะเอลบาในปี 1814 ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวมๆของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น "สมาพันธรัฐเยอรมัน" เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็นสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า "สงครามพี่น้อง" สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1866 และนำไปสู่การสถาปนา "สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ" ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนาจักรวรรดิเยอรมันอย่างเป็นทางการ จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจนจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐไวมาร์และนาซีเยอรมนี (ค.ศ. 1919–1945) สาธารณรัฐไวมาร์และนาซีเยอรมนี (ค.ศ. 1919–1945). เมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลิทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย รวมถึงการห้ามมีกองทัพจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรค ฮิตเลอร์ตัดสินใจเข้าร่วมพรรคจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น "พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรรคนาซี" ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเยอรมนีมาก ผู้คนนับล้านในเยอรมันตกงาน ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้หาเสียงและกวาดคะแนนนิยม ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 1932 พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาไรชส์ทาค ครองที่นั่ง 280 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่าแม้นาซีจะเป็นพรรคใหญ่สุดแต่ก็ยังไม่ได้ครองเสียงข้างมาก เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาคขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์กดดันให้ประธานาธิบดีฮินเดนบูร์กออกกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค และหว่านล้อมให้สภาลงมติอนุมัติรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็น "ฟือเรอร์" ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนีไปโดยปริยาย เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เขาได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเร่งฟื้นฟูแสนยานุภาพของเยอรมันเป็นการใหญ่ ฮิตเลอร์ประกาศลดภาษีรถยนต์เป็นศูนย์และเร่งรัดให้มีการสร้างทางหลวงเอาโทบานทั่วประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมันเติบโตอย่างมโหฬาร เยอรมนีผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอีกครั้งและกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลกในทุกด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การแพทย์ และการทหาร แม้ว่าความรุ่งเรืองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากการขูดรีดแรงงานในค่ายกักกันก็ตามสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่สอง. ในปี 1939 ฮิตเลอร์จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปโดยการบุกครองโปแลนด์ ตามด้วยการรุกรานประเทศอื่นๆในยุโรปและยังทำกติกาสัญญาไตรภาคีเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก "ไรช์เยอรมัน" (Deutsches Reich) เป็น "ไรช์มหาเยอรมัน" (Großdeutsches Reich) หลังความล้มเหลวในปฏิบัติการบาร์บารอสซา เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อกองทัพแดงบุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ก็ยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990) เยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990). หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ประเทศเยอรมนีตะวันตก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบอนน์ และ "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตามแผนมาร์แชลล์เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" (Economic miracle) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ในปี 1957 เยอรมนีตะวันตกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโรแห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก "กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ "หรือที่เรียกว่า "สตาซี" (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์. การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนีในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีให้หลังภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์กายภาพ. เยอรมนีเป็นประเทศที่อยู่ตรงยุโรปกลางทำให้เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของทวีปยุโรปมีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ และยังมีพนมแดนติดกับทะเลสาบโบเดินที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ3ในทวีปยุโรป ประเทศเยอรมนีมีขนาด357,021 ตารางกิโลเมตรโดยแบ่งเป็นพื้นดิน349,223 ตารางกิโลเมตรและพื้นน้ำ,798 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 62 ของโลกและด้วยพรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3,757 กิโลเมตรมีประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในทวีปยุโรป เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เอยรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ประเทศเยอรมนีไม่มีฤดูแล้งและฤดูหนาวจะมีอากาศที่เย็นถึงหนาวจัดและฤดูร้อนจะมีความอบอุ่นโดยอุณหภูมิจะไม่เกิน 30 ° Cความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน (34%) ป่าไม้ (30.1%) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8%พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช, โอ๊กและต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์, เฟิร์น, คอร์นฟลาวเวอร์, เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง, หมูป่า, แพะภูเขา, หมาจิ้งจอกแดง, แบดเจอร์ยุโรป,กระต่ายป่าและอาจมีบีเวอร์บริเวณชายแดนประเทศโปแลนด์ด้วย:ซึ่งคอร์นฟลาวเวอร์สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วยการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ (Grundgesetz) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า "กฎหมายพื้นฐาน" ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภา อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ, โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ. ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ () ในจำนวนนี้ เบอร์ลินและฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ () ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมินและเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น () ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหาร. ตำแหน่งประธานาธิบดี (Bundespräsident) เป็นตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสหพันธ์ (Bundesversammlung) ซึ่งประกอบสมาชิกของ Bundestag และตัวแทนของแต่รัฐต่างๆ ในจำนวนเท่ากัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (; ) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ อังเกลา แมร์เคิลกระทรวง กระทรวง. ประเทศเยอรมนีมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 14 กระทรวง ได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สภาผู้แทนราษฎร (Bundestag) ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ สภาผู้แทนรัฐ (Bundesrat) เป็นสภาตัวแทนรัฐทั้งสิบหกของสหพันธ์ ทำหน้าที่เป็นสภาสูง ระบบพรรคการเมืองของเยอรมนีมีเพียงสองพรรคการเมืองหลักคือพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (SPD) โดยจนถึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมาจากเพียงสองพรรคนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีพรรคที่เล็กกว่าซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างพรรคประชาธิปไตยเสรี (FDP) และกลุ่มพันธมิตร 90/กรีน (Bündnis 90/Die Grünen) ซึ่งมักเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสมฝ่ายตุลาการความสัมพันธ์กับต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป. ประเทศเยอรมนีกับประเทศฝรั่งเศส มีบทบาทเป็นผู้นำของสหภาพยุโรป และกำลังมุ่งหน้าสู่การรวมการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศสมาชิก มาขึ้นกับสหภาพยุโรปมากขึ้น หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2ในยุคนาซีเยอรมนี เยอรมนีพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการทหารของประเทศอื่นมากนัก พฤติกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2542 เมื่อเยอรมนีตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมสงครามโคโซโว เยอรมนีและฝรั่งเศสยังเป็นประเทศหลักที่คัดค้านการรุกรานประเทศอิรักของสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2546 ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังพยายามเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น อินเดีย และบราซิลความสัมพันธ์กับประเทศไทยความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - การทูต - การเมือง - เศรษฐกิจและการค้า - การท่องเที่ยวกองทัพ กองทัพ. บุนเดซเวร์เป็นชื่อของกองทัพของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกองทัพของเยอรมนี และมีการแบ่งเป็น3เหล่าคือ แฮร์ (กองทัพบกและกองทัพพิเศษ KSK) ,มารีน (กองทัพเรือ), ลูฟวอฟ์ (กองทัพอากาศ) มีงบประมาณมากเป็นอันดับ9ของโลกในปี 2015งบประมาณกองทัพของเยอรมนีอยู่ที่ 32.9 พันล้านยูโรซึ่งคิดเป็น 1.2% ของ GDP ของประเทศ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของนาโต้ 2% ในปี 2015บุนเดสแวร์มีกองกำลังทหารถึง178,000 นายและมีทหารอาสาอีก9,500 นายและในปี2001 เยอรมนียังมีการส่งทหารออกไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศด้วยซึ่งเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยทหารผู้หญิงนั้นมีประมาณ19,000คนที่ประจำการอยู่ในกองทัพ และในปี 2014 ได้มีการอ้างอิงจากSIPRIว่าประเทศเยอรมนีมีการส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศมากเป็นอันดับ4ของโลก แต่ถ้าหากไม่มีสงครรามหรือการก่อการร้ายบุนเดสแวร์จะได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ปกป้องนายกรัฐมยตรีหรือบุคคลสำคัญ บทบาทของบุนเดสแวร์ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีว่าใช้ในการปกป้องและป้องกันเท่านั้น แต่หลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลางในปี 1994 ว่าการปกป้องนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องอาณาเขตและดินแดนของประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปฏิกิริยาหรือวิกฤติความขัดแย้งจากต่างประเทศหรือที่อื่นๆบนโลกที่อาจกว้างขึ้นจนอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเยอรมนีได้ ในเดือนมกราคมปี 2015 กองทัพเยอรมันมีกองกำลังประจำการอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2,370นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความสงบระหว่างประเทศรวมถึงกองกำลังของบุนเดสแวร์เช่น ในกองทัพนาโต้ที่ปฏิบัติภารกิจในประเทศอิรัก, ประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอุซเบกิสถานจำนวน 850 นาย และทหารเยอรมันในประเทศโคโซโว 670 นาย และกองกำลังร่วมด้วย UNIFIL ในประเทศเลบานอน 120 นาย จนในปี2011 การรับราชการทหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายที่มีอายุ 18 ปีและมีหน้าที่รับราชการทหารเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นทหารสามารถเลือกเป็น Zivildienst (การบริการประชาชน) เป็นเวลา 6เดือนได้ หรืออาจเป็นทหารอาสา 6 ปี หรือการบริการฉุกเฉินเช่นแผนกดับเพลิงหรือกาชาดกองกำลังกึ่งทหาร กองกำลังกึ่งทหาร. ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ)เศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศเยอรมนีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมี ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ประวัติของอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนีได้รับการควบคุมให้ผู้ริเริ่มและผู้รับผลประโยชน์ของเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่าที่เคย เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2002 ถึง ค.ศ. 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70% ของ GDP รวมอุตสาหกรรม 29.1%, 0.9% และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. เส้นทางคมนาคม. ถนน 650,000 กิโลเมตร ราง 41,315 กิโลเมตร ลำน้ำและชายฝั่ง 7,500 กิโลเมตร ท่าอากาศยาน 58 ท่า ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 41,315 กิโลเมตร ติดระบบรถไฟฟ้า 19,857 กิโลเมตร ผู้โดยสาร 19,500 ล้านเที่ยว สินค้า 415.4 ล้านตันต่อปี รถจักร 7,734 คัน รถ DMU (ดีเซลราง) และ EMU (รถไฟฟ้าราง) 15,762 คันโทรคมนาคม โทรคมนาคม. เยอรมนีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมการขนส่งในทวีปยุโรปเนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางของทวีปเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันตกเส้นทางและเครือข่ายถนนของเยอรมนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศในกลุ่มที่มีเส้นทางคมนาคมที่หนาแน่นที่สุดในโลกมีมอเตอร์เวย์ออโตบาห์นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นที่ทราบกันดีว่าถนนเส้นนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว เยอรมนีได้มีการจัดตั้งเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ชื่ออินเตอร์ซิตี-เอกซ์เพรสซึ่งจะวิ่งผ่านเมืองสำคัญ ๆ ในเยอรมันและในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆด้วยความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางรถไฟของเยอรมันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีเงินสนับสนุนมากถึง 17 พันล้านยูโรในปี 2014. ท่าอากาศยานของประเทศเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ตและท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิกและมีสายการบินที่ใหญ่ที่สุดคือลุฟต์ฮันซาและยังมีสนามบินอื่นๆอีกด้วยเช่นท่าอากาศยานเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์และท่าอากาศยานฮัมบวร์คและยังมีท่าเรือฮัมบวร์คที่เป็นท่าเรือที่คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ17ของโลกวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี. เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และมักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของแวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก แฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์ กาเบรียล ดานีล ฟาเรนไฮต์ และวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกนผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901 นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นเนอร์ ฟอน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของโครงการอะพอลโล งานของ Heinrich Rudolf Hertz ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ Alexander von Humboldt ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์ การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2553 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95% ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11% ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5%ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2552-2553 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2553 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24% และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12%การศึกษา การศึกษา. ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษาทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6 18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้ Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11 13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5 ถึง เกรด 10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่ายสาธารณสุขรัฐสวัสดิการประชากร ประชากร. ประชากรในเยอรมนีกระจายตัวอยู่ แตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาคนั่นคือประมาณหนึ่งในสามของประชากรได้แก่ประมาณ 25 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใน 82 เมืองใหญ่ ส่วนอีก 50.5 ล้านคนอยู่ในชุมชนและเมืองที่มีประชากรระหว่าง 2,000 ถึง 100,000 คน นอกจากนั้นอีกประมาณ 6.4 ล้านคน อาศัยอยู่ในย่านที่มีประชากรไม่เกิน 2,000 คน บริเวณผู้อพยพเข้าในเบอร์ลิน ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนี มีประชากรมากกว่า 4.3 ล้านคน ในเขตอุตสาหกรรมริมแม่น้ำไรน์ และรัวร์ ที่ซึ่งเมืองต่าง ๆ มักเหลื่อมล้ำเข้าหากัน เพราะไม่มีเส้นขีดคั่นอย่างชัดเจนนั้นมีประชากรมากว่า 11 ล้านคน กล่าวคือ 1,100 คนต่อตารางกิโลเมตร ภูมิภาคอันมีประชากรหนาแน่นดังกล่าวนี้แตกต่างจากอาณาบริเวณที่มีประชากรเบาบางมาก อาทิเช่น บริเวณอันกว้างใหญ่ของรัฐมาร์ค บรันเดนบวร์ก และเมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเฟิร์น กล่าวโดยสรุปแล้ว นับได้ว่าเยอรมนีซึ่งมีประชากรหนาแน่นถึง 230 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นมากแห่งหนึ่งในยุโรป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริเวณสหพันธ์ดั้งเดิม กับบริเวณอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน กล่าวคือในรัฐใหม่ของสหพันธ์ฯ และเบอร์ลินตะวันออกมีประชากรหนาแน่นถึง 140 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่รัฐของสหพันธ์ฯ เดิม มีประชากรหนาแน่นถึง 267 คนต่อตารางกิโลเมตรเชื้อชาติเชื้อชาติ. - เยอรมัน 91.5% - ตุรกี 2.4% - อื่นๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโคเอเชีย เป็นกลุ่มใหญ่)ภาษา ภาษา. ภาษาเยอรมันศาสนา ศาสนา. คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 34% คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 34% มุสลิม 3.7% ศาสนาอื่นๆแยกกระจัดกระจายออกไปและอื่นๆ 28.3%กีฬา กีฬา. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนเยอรมันนิยมมากที่สุด โดยได้แชมป์โลกถึง 4 สมัยวัฒนธรรมวรรณกรรมสถาปัตยกรรมดนตรี วัฒนธรรม. ดนตรี. ประเทศเยอรมันมี นักดนตรี คีตกวีทางดนตรี นักประพันธ์ดนตรี ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน, โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค, โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท, โยฮันเนส บราห์ม, ริชาร์ด วากเนอร์, ฟรันซ์ ชูแบร์ท, จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล, โรแบร์ท ชูมันน์, เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น, คาร์ล ออร์ฟ เป็นต้น ปัจจุบันเยอรมัน เป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยุโรป และอันดับ 4 ของโลก ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วงสกอร์เปียนส์ กับ วงรัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวงป็อปร็อกที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้นอาหารเยอรมัน อาหารเยอรมัน. อาหารเยอรมันแตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของบาวาเรียและ Swabia ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย หมูและไก่เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค ในเยอรมนีหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด ตลอดทุกภาคเนื้อมักจะรับประทานในรูปแบบไส้กรอก มากกว่า 1500 ชนิดของไส้กรอกที่ผลิตในประเทศเยอรมนี อาหารอินทรีย์ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก พูดภาษาเยอรมันเป็นที่นิยมมีความหมาย :"รับประทานอาหารเช้าเช่นจักรพรรดิ กลางวันเช่นกษัตริย์ และอาหารเย็นเหมือนขอทาน" อาหารเช้ามักประกอบด้วยขนมปังก้อนเล็ก (Brötchen) ทาแยมหรือน้ำผึ้ง หรือทานกับเนื้อเย็นและชีส บางครั้งมีไข่ต้ม ธัญพืชหรือ Muesli กับนมหรือโยเกิร์ต กว่า 300 ชนิดของขนมปังมีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศ ผู้อพยพจากหลายประเทศมาสู่เยอรมนีได้นำอาหารนานาชาติมากมายมาเผยแพร่จนทำให้เกิดนิสัยการกินรายวัน เช่นอาหารอิตาเลียนพิซซ่าและพาสต้า อาหารตุรกีและอาหรับชอบ Döner และ Falafel โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นอกจากร้านอาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารนานาชาติแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีน กรีก อินเดีย ไทย ญี่ปุ่นและอาหารเอเชียอื่น ๆ ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าไวน์จะเป็นที่นิยมในหลายประเทศ แต่ประเทศเยอรมนีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำชาติคือเบียร์ แม้คนเยอรมันจะบริโภคเบียร์ต่อคนจะลดลง แต่ปริมาณการบริโภคเบียร์ 127 ลิตรต่อปีต่อคนในเยอรมนีก็ยังคงเป็นตัวเลขสูงที่สุดในโลก ชนิดของเบียร์ในเยอรมันได้แก่ Alt, Bock, Dunkel, Kölsch, เลเกอร์, Malzbier, Pils และ Weizenbier จากการสำรวจ 18 ประเทศตะวันตกที่บริโภคเครื่องคิดเป็นต่อหัวมากที่สุด เยอรมนีอยู่ในอันดับ 14 สำหรับเครื่องดื่มทั่วไป ในขณะที่มาเป็นอันดับสามในการบริโภคน้ำผลไม้ นอกจากนั้น น้ำแร่อัดลมและ Schorle (ผสมกับน้ำผลไม้) ก็เป็นที่นิยมเช่นกันในเยอรมนีเทศกาลสำคัญวันหยุด
| กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"กรุนด์เกเซ็ทท์"
],
"answer_begin_position": [
14636
],
"answer_end_position": [
14650
]
} |
2,094 | 665 | ประเทศเยอรมนี ประเทศเยอรมนี (; ดอยฺชลันฺท) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (; ) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีภูมิอากาศตามฤดูกาลแบบอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีเป็นจุดหมายการเข้าเมืองยอดนิยมอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐ เมืองหลวงและมหานครใหญ่สุดของประเทศคือ กรุงเบอร์ลิน ขณะที่เขตเมืองขยายใหญ่สุด คือ รูร์ โดยมีศูนย์กลางหลักดอร์ทมุนด์และเอสเซิน นครหลักอื่นของประเทศ ได้แก่ ฮัมบวร์ค มิวนิก โคโลญ แฟรงก์เฟิร์ต ชตุทท์การ์ท ดึสเซิลดอร์ฟ ไลพ์ซิจ เบรเมิน เดรสเดิน ฮันโนเฟอร์และเนือร์นแบร์ก ประเทศนี้มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ พรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ของประเทศคือเบอร์ลิน เยอรมนีมีประชากรประมาณ 80 ล้านคนและเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรสูงสุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีคนย้ายถิ่นมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเยอรมนีเป็นปลายทางการย้ายถิ่นที่สองได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เยอรมนีเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและยังก่อตั้งสหภาพการเงินกับสมาชิกในสหภาพยุโรปอีก 17 ประเทศ โดยใช้ชื่อว่ายูโรโซน เยอรมนีเป็นสมาชิกของกลุ่ม UNO, OECD, NATO, G7 และ G20 เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆในยุโรปและเป็นประเทศที่มีความสามารถที่จะแข่งขันในระดับโลก หากวัดจากผลผลิตมวลรวมภายในประเทศแบบปกติแล้ว เยอรมนีเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก ในปี 2012 เป็นประเทศที่มีการนำเข้าส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสาม ดัชนีการพัฒนามนุษย์ถือว่าสูงมากประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ "นีแอนเดอร์ทาล" เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธและกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก "ไลออนแมน" ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบกลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843) กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843). คาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ไปจนถึงยุคเหล็กก่อนการก่อตั้งกรุงโรมนั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวียไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์และเทือกเขายูรัล ในค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุสแห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาในค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุสเขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราวค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน ภายหลังการรุกรานของชาวฮันในปี 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ปี 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่างๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815) อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815). ในค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาในปีค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:- อาณาจักรแฟรงก์กลาง – บริเวณเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตะวันออกของฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และภาคเหนือของอิตาลี - อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก – บริเวณเยอรมนี ออสเตรีย เช็กเกีย สโลวะเกีย ฮังการี สโลวีเนีย โครเอเชีย และบางส่วนของบอสเนีย - อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก – บริเวณตอนกลางและตะวันตกของฝรั่งเศส อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในปีค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กมีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรปการผงาดของราชอาณาจักรปรัสเซีย การผงาดของราชอาณาจักรปรัสเซีย. เดิมที ปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮับส์บูร์กเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดนไซลีเซียของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก เกิดเป็นสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็นสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮับส์บูร์ก ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กก็ตามสมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918) สมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918). จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ทำให้ในปีค.ศ. 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรียขึ้นมาแทน เมื่อนโปเลียนถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไปเกาะเอลบาในปี 1814 ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวมๆของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น "สมาพันธรัฐเยอรมัน" เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็นสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า "สงครามพี่น้อง" สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1866 และนำไปสู่การสถาปนา "สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ" ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนาจักรวรรดิเยอรมันอย่างเป็นทางการ จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจนจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐไวมาร์และนาซีเยอรมนี (ค.ศ. 1919–1945) สาธารณรัฐไวมาร์และนาซีเยอรมนี (ค.ศ. 1919–1945). เมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลิทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย รวมถึงการห้ามมีกองทัพจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรค ฮิตเลอร์ตัดสินใจเข้าร่วมพรรคจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น "พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรรคนาซี" ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเยอรมนีมาก ผู้คนนับล้านในเยอรมันตกงาน ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้หาเสียงและกวาดคะแนนนิยม ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 1932 พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาไรชส์ทาค ครองที่นั่ง 280 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่าแม้นาซีจะเป็นพรรคใหญ่สุดแต่ก็ยังไม่ได้ครองเสียงข้างมาก เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาคขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์กดดันให้ประธานาธิบดีฮินเดนบูร์กออกกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค และหว่านล้อมให้สภาลงมติอนุมัติรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็น "ฟือเรอร์" ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนีไปโดยปริยาย เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เขาได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเร่งฟื้นฟูแสนยานุภาพของเยอรมันเป็นการใหญ่ ฮิตเลอร์ประกาศลดภาษีรถยนต์เป็นศูนย์และเร่งรัดให้มีการสร้างทางหลวงเอาโทบานทั่วประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมันเติบโตอย่างมโหฬาร เยอรมนีผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอีกครั้งและกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลกในทุกด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การแพทย์ และการทหาร แม้ว่าความรุ่งเรืองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากการขูดรีดแรงงานในค่ายกักกันก็ตามสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่สอง. ในปี 1939 ฮิตเลอร์จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปโดยการบุกครองโปแลนด์ ตามด้วยการรุกรานประเทศอื่นๆในยุโรปและยังทำกติกาสัญญาไตรภาคีเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก "ไรช์เยอรมัน" (Deutsches Reich) เป็น "ไรช์มหาเยอรมัน" (Großdeutsches Reich) หลังความล้มเหลวในปฏิบัติการบาร์บารอสซา เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อกองทัพแดงบุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ก็ยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990) เยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990). หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ประเทศเยอรมนีตะวันตก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบอนน์ และ "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตามแผนมาร์แชลล์เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" (Economic miracle) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ในปี 1957 เยอรมนีตะวันตกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโรแห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก "กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ "หรือที่เรียกว่า "สตาซี" (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์. การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนีในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีให้หลังภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์กายภาพ. เยอรมนีเป็นประเทศที่อยู่ตรงยุโรปกลางทำให้เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของทวีปยุโรปมีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ และยังมีพนมแดนติดกับทะเลสาบโบเดินที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ3ในทวีปยุโรป ประเทศเยอรมนีมีขนาด357,021 ตารางกิโลเมตรโดยแบ่งเป็นพื้นดิน349,223 ตารางกิโลเมตรและพื้นน้ำ,798 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 62 ของโลกและด้วยพรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3,757 กิโลเมตรมีประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในทวีปยุโรป เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เอยรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ประเทศเยอรมนีไม่มีฤดูแล้งและฤดูหนาวจะมีอากาศที่เย็นถึงหนาวจัดและฤดูร้อนจะมีความอบอุ่นโดยอุณหภูมิจะไม่เกิน 30 ° Cความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน (34%) ป่าไม้ (30.1%) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8%พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช, โอ๊กและต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์, เฟิร์น, คอร์นฟลาวเวอร์, เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง, หมูป่า, แพะภูเขา, หมาจิ้งจอกแดง, แบดเจอร์ยุโรป,กระต่ายป่าและอาจมีบีเวอร์บริเวณชายแดนประเทศโปแลนด์ด้วย:ซึ่งคอร์นฟลาวเวอร์สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วยการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ (Grundgesetz) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า "กฎหมายพื้นฐาน" ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภา อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ, โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ. ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ () ในจำนวนนี้ เบอร์ลินและฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ () ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมินและเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น () ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหาร. ตำแหน่งประธานาธิบดี (Bundespräsident) เป็นตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสหพันธ์ (Bundesversammlung) ซึ่งประกอบสมาชิกของ Bundestag และตัวแทนของแต่รัฐต่างๆ ในจำนวนเท่ากัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (; ) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ อังเกลา แมร์เคิลกระทรวง กระทรวง. ประเทศเยอรมนีมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 14 กระทรวง ได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สภาผู้แทนราษฎร (Bundestag) ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ สภาผู้แทนรัฐ (Bundesrat) เป็นสภาตัวแทนรัฐทั้งสิบหกของสหพันธ์ ทำหน้าที่เป็นสภาสูง ระบบพรรคการเมืองของเยอรมนีมีเพียงสองพรรคการเมืองหลักคือพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (SPD) โดยจนถึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมาจากเพียงสองพรรคนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีพรรคที่เล็กกว่าซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างพรรคประชาธิปไตยเสรี (FDP) และกลุ่มพันธมิตร 90/กรีน (Bündnis 90/Die Grünen) ซึ่งมักเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสมฝ่ายตุลาการความสัมพันธ์กับต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป. ประเทศเยอรมนีกับประเทศฝรั่งเศส มีบทบาทเป็นผู้นำของสหภาพยุโรป และกำลังมุ่งหน้าสู่การรวมการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศสมาชิก มาขึ้นกับสหภาพยุโรปมากขึ้น หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2ในยุคนาซีเยอรมนี เยอรมนีพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการทหารของประเทศอื่นมากนัก พฤติกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2542 เมื่อเยอรมนีตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมสงครามโคโซโว เยอรมนีและฝรั่งเศสยังเป็นประเทศหลักที่คัดค้านการรุกรานประเทศอิรักของสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2546 ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังพยายามเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น อินเดีย และบราซิลความสัมพันธ์กับประเทศไทยความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - การทูต - การเมือง - เศรษฐกิจและการค้า - การท่องเที่ยวกองทัพ กองทัพ. บุนเดซเวร์เป็นชื่อของกองทัพของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกองทัพของเยอรมนี และมีการแบ่งเป็น3เหล่าคือ แฮร์ (กองทัพบกและกองทัพพิเศษ KSK) ,มารีน (กองทัพเรือ), ลูฟวอฟ์ (กองทัพอากาศ) มีงบประมาณมากเป็นอันดับ9ของโลกในปี 2015งบประมาณกองทัพของเยอรมนีอยู่ที่ 32.9 พันล้านยูโรซึ่งคิดเป็น 1.2% ของ GDP ของประเทศ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของนาโต้ 2% ในปี 2015บุนเดสแวร์มีกองกำลังทหารถึง178,000 นายและมีทหารอาสาอีก9,500 นายและในปี2001 เยอรมนียังมีการส่งทหารออกไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศด้วยซึ่งเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยทหารผู้หญิงนั้นมีประมาณ19,000คนที่ประจำการอยู่ในกองทัพ และในปี 2014 ได้มีการอ้างอิงจากSIPRIว่าประเทศเยอรมนีมีการส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศมากเป็นอันดับ4ของโลก แต่ถ้าหากไม่มีสงครรามหรือการก่อการร้ายบุนเดสแวร์จะได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ปกป้องนายกรัฐมยตรีหรือบุคคลสำคัญ บทบาทของบุนเดสแวร์ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีว่าใช้ในการปกป้องและป้องกันเท่านั้น แต่หลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลางในปี 1994 ว่าการปกป้องนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องอาณาเขตและดินแดนของประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปฏิกิริยาหรือวิกฤติความขัดแย้งจากต่างประเทศหรือที่อื่นๆบนโลกที่อาจกว้างขึ้นจนอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเยอรมนีได้ ในเดือนมกราคมปี 2015 กองทัพเยอรมันมีกองกำลังประจำการอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2,370นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความสงบระหว่างประเทศรวมถึงกองกำลังของบุนเดสแวร์เช่น ในกองทัพนาโต้ที่ปฏิบัติภารกิจในประเทศอิรัก, ประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอุซเบกิสถานจำนวน 850 นาย และทหารเยอรมันในประเทศโคโซโว 670 นาย และกองกำลังร่วมด้วย UNIFIL ในประเทศเลบานอน 120 นาย จนในปี2011 การรับราชการทหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายที่มีอายุ 18 ปีและมีหน้าที่รับราชการทหารเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นทหารสามารถเลือกเป็น Zivildienst (การบริการประชาชน) เป็นเวลา 6เดือนได้ หรืออาจเป็นทหารอาสา 6 ปี หรือการบริการฉุกเฉินเช่นแผนกดับเพลิงหรือกาชาดกองกำลังกึ่งทหาร กองกำลังกึ่งทหาร. ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ)เศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศเยอรมนีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมี ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ประวัติของอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนีได้รับการควบคุมให้ผู้ริเริ่มและผู้รับผลประโยชน์ของเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่าที่เคย เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2002 ถึง ค.ศ. 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70% ของ GDP รวมอุตสาหกรรม 29.1%, 0.9% และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. เส้นทางคมนาคม. ถนน 650,000 กิโลเมตร ราง 41,315 กิโลเมตร ลำน้ำและชายฝั่ง 7,500 กิโลเมตร ท่าอากาศยาน 58 ท่า ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 41,315 กิโลเมตร ติดระบบรถไฟฟ้า 19,857 กิโลเมตร ผู้โดยสาร 19,500 ล้านเที่ยว สินค้า 415.4 ล้านตันต่อปี รถจักร 7,734 คัน รถ DMU (ดีเซลราง) และ EMU (รถไฟฟ้าราง) 15,762 คันโทรคมนาคม โทรคมนาคม. เยอรมนีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมการขนส่งในทวีปยุโรปเนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางของทวีปเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันตกเส้นทางและเครือข่ายถนนของเยอรมนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศในกลุ่มที่มีเส้นทางคมนาคมที่หนาแน่นที่สุดในโลกมีมอเตอร์เวย์ออโตบาห์นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นที่ทราบกันดีว่าถนนเส้นนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว เยอรมนีได้มีการจัดตั้งเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ชื่ออินเตอร์ซิตี-เอกซ์เพรสซึ่งจะวิ่งผ่านเมืองสำคัญ ๆ ในเยอรมันและในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆด้วยความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางรถไฟของเยอรมันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีเงินสนับสนุนมากถึง 17 พันล้านยูโรในปี 2014. ท่าอากาศยานของประเทศเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ตและท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิกและมีสายการบินที่ใหญ่ที่สุดคือลุฟต์ฮันซาและยังมีสนามบินอื่นๆอีกด้วยเช่นท่าอากาศยานเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์และท่าอากาศยานฮัมบวร์คและยังมีท่าเรือฮัมบวร์คที่เป็นท่าเรือที่คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ17ของโลกวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี. เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และมักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของแวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก แฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์ กาเบรียล ดานีล ฟาเรนไฮต์ และวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกนผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901 นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นเนอร์ ฟอน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของโครงการอะพอลโล งานของ Heinrich Rudolf Hertz ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ Alexander von Humboldt ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์ การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2553 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95% ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11% ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5%ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2552-2553 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2553 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24% และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12%การศึกษา การศึกษา. ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษาทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6 18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้ Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11 13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5 ถึง เกรด 10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่ายสาธารณสุขรัฐสวัสดิการประชากร ประชากร. ประชากรในเยอรมนีกระจายตัวอยู่ แตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาคนั่นคือประมาณหนึ่งในสามของประชากรได้แก่ประมาณ 25 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใน 82 เมืองใหญ่ ส่วนอีก 50.5 ล้านคนอยู่ในชุมชนและเมืองที่มีประชากรระหว่าง 2,000 ถึง 100,000 คน นอกจากนั้นอีกประมาณ 6.4 ล้านคน อาศัยอยู่ในย่านที่มีประชากรไม่เกิน 2,000 คน บริเวณผู้อพยพเข้าในเบอร์ลิน ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนี มีประชากรมากกว่า 4.3 ล้านคน ในเขตอุตสาหกรรมริมแม่น้ำไรน์ และรัวร์ ที่ซึ่งเมืองต่าง ๆ มักเหลื่อมล้ำเข้าหากัน เพราะไม่มีเส้นขีดคั่นอย่างชัดเจนนั้นมีประชากรมากว่า 11 ล้านคน กล่าวคือ 1,100 คนต่อตารางกิโลเมตร ภูมิภาคอันมีประชากรหนาแน่นดังกล่าวนี้แตกต่างจากอาณาบริเวณที่มีประชากรเบาบางมาก อาทิเช่น บริเวณอันกว้างใหญ่ของรัฐมาร์ค บรันเดนบวร์ก และเมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเฟิร์น กล่าวโดยสรุปแล้ว นับได้ว่าเยอรมนีซึ่งมีประชากรหนาแน่นถึง 230 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นมากแห่งหนึ่งในยุโรป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริเวณสหพันธ์ดั้งเดิม กับบริเวณอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน กล่าวคือในรัฐใหม่ของสหพันธ์ฯ และเบอร์ลินตะวันออกมีประชากรหนาแน่นถึง 140 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่รัฐของสหพันธ์ฯ เดิม มีประชากรหนาแน่นถึง 267 คนต่อตารางกิโลเมตรเชื้อชาติเชื้อชาติ. - เยอรมัน 91.5% - ตุรกี 2.4% - อื่นๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโคเอเชีย เป็นกลุ่มใหญ่)ภาษา ภาษา. ภาษาเยอรมันศาสนา ศาสนา. คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 34% คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 34% มุสลิม 3.7% ศาสนาอื่นๆแยกกระจัดกระจายออกไปและอื่นๆ 28.3%กีฬา กีฬา. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนเยอรมันนิยมมากที่สุด โดยได้แชมป์โลกถึง 4 สมัยวัฒนธรรมวรรณกรรมสถาปัตยกรรมดนตรี วัฒนธรรม. ดนตรี. ประเทศเยอรมันมี นักดนตรี คีตกวีทางดนตรี นักประพันธ์ดนตรี ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน, โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค, โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท, โยฮันเนส บราห์ม, ริชาร์ด วากเนอร์, ฟรันซ์ ชูแบร์ท, จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล, โรแบร์ท ชูมันน์, เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น, คาร์ล ออร์ฟ เป็นต้น ปัจจุบันเยอรมัน เป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยุโรป และอันดับ 4 ของโลก ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วงสกอร์เปียนส์ กับ วงรัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวงป็อปร็อกที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้นอาหารเยอรมัน อาหารเยอรมัน. อาหารเยอรมันแตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของบาวาเรียและ Swabia ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย หมูและไก่เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค ในเยอรมนีหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด ตลอดทุกภาคเนื้อมักจะรับประทานในรูปแบบไส้กรอก มากกว่า 1500 ชนิดของไส้กรอกที่ผลิตในประเทศเยอรมนี อาหารอินทรีย์ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก พูดภาษาเยอรมันเป็นที่นิยมมีความหมาย :"รับประทานอาหารเช้าเช่นจักรพรรดิ กลางวันเช่นกษัตริย์ และอาหารเย็นเหมือนขอทาน" อาหารเช้ามักประกอบด้วยขนมปังก้อนเล็ก (Brötchen) ทาแยมหรือน้ำผึ้ง หรือทานกับเนื้อเย็นและชีส บางครั้งมีไข่ต้ม ธัญพืชหรือ Muesli กับนมหรือโยเกิร์ต กว่า 300 ชนิดของขนมปังมีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศ ผู้อพยพจากหลายประเทศมาสู่เยอรมนีได้นำอาหารนานาชาติมากมายมาเผยแพร่จนทำให้เกิดนิสัยการกินรายวัน เช่นอาหารอิตาเลียนพิซซ่าและพาสต้า อาหารตุรกีและอาหรับชอบ Döner และ Falafel โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นอกจากร้านอาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารนานาชาติแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีน กรีก อินเดีย ไทย ญี่ปุ่นและอาหารเอเชียอื่น ๆ ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าไวน์จะเป็นที่นิยมในหลายประเทศ แต่ประเทศเยอรมนีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำชาติคือเบียร์ แม้คนเยอรมันจะบริโภคเบียร์ต่อคนจะลดลง แต่ปริมาณการบริโภคเบียร์ 127 ลิตรต่อปีต่อคนในเยอรมนีก็ยังคงเป็นตัวเลขสูงที่สุดในโลก ชนิดของเบียร์ในเยอรมันได้แก่ Alt, Bock, Dunkel, Kölsch, เลเกอร์, Malzbier, Pils และ Weizenbier จากการสำรวจ 18 ประเทศตะวันตกที่บริโภคเครื่องคิดเป็นต่อหัวมากที่สุด เยอรมนีอยู่ในอันดับ 14 สำหรับเครื่องดื่มทั่วไป ในขณะที่มาเป็นอันดับสามในการบริโภคน้ำผลไม้ นอกจากนั้น น้ำแร่อัดลมและ Schorle (ผสมกับน้ำผลไม้) ก็เป็นที่นิยมเช่นกันในเยอรมนีเทศกาลสำคัญวันหยุด
| เมืองหลวงของประเทศเยอรมนีมีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"เบอร์ลิน"
],
"answer_begin_position": [
507
],
"answer_end_position": [
515
]
} |
2,095 | 261,455 | หอเอนเมืองปิซา หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa; อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตรการสร้าง การสร้าง. เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย จีโอแวนนี่ ดี สิโมน สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมาประวัติ ประวัติ. กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้ ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย
| หอเอนเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่ประเทศใด | {
"answer": [
"อิตาลี"
],
"answer_begin_position": [
120
],
"answer_end_position": [
126
]
} |
2,096 | 395,544 | พระครูพิศาลธรรมประยุต (เกิด ปฺณณปญฺโญ) หลวงพ่อเกิด วัดสะพาน (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2499) เหรียญของท่านเสมือนอัญมณีชิ้นเอกของเมืองนครนายกวัตถุมงคลของท่านช่วยคุ้มครองป้องกันภัยนานาประการ และดลบันดาลแต่สิ่งที่เป็นมงคลศิษย์เอกขงอท่านที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านคือ หลวงพ่อภู่ วัดช้าง อำเภอบ้านนาประวัติ ประวัติ. หลวงพ่อเกิด ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุตรของนายฉุย และนางพุ่ม สมพงษ์ เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน อุปสมบทเมื่อมีอายุ 21 ปีตรงกับวันที่23 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 โดยมีหลวงพ่อวัตร วัดพิกุลแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อดี วัดกุฏิเตี้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเพ็ง วัดพระโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า ปุณณปัญโญ ได้อยู่ศึกษากับหลวงพ่อดี ผู้มีความชำนาญด้านรุกขมูล วิปัสสนากรรมฐาน และแพทย์แผนโบราณ มีวิทยาคมอันแก่กล้ารูปหนึ่งในสมัยนั้น จากนั้นท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสะพานตลอดมา ท่านได้ธุดงค์ไปยังเมืองเขมรและมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนวิชาจากอาจารย์ต่างๆ อีกหลายรูปความเมตตา ความเมตตา. ท่านมีใจเมตตากรุณาโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีบุตรบุญธรรมมากมาย ท่านเป็นคนมองการณ์ไกลเกี่ยวกับการศึกษา ได้สร้างโรงเรียนขึ้นเพื่อประสิทธิ์ประสานวิชาให้กับกุลบุตรและกุลธิดาในละแวกนั้น ใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ท่านจะสงเคราะห์รักษาให้ และยังได้ปรุงยาแก้ลมไว้แจกให้กับลูกศิษย์ของท่านอีกด้วย และท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูพิศาลธรรมประยุต ในปี พ.ศ. 2494 จาก พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของประเทศไทย และมีวัตถุมงคลของท่านอีกมากมาย ทั้งตะกรุด ตะกรุดโทน เหรียญรุ่นต่างๆ ตะกรุด คลอดลูกง่าย ผ้ายันต์ ผ้าประเจียด สำหรับผ้ายันต์สีขาวลงยันต์สี่ด้วยหมึกสีแดงคล้ายชาดและเขียนชื่อกำกับไว้ ลายมือของท่านสวยงามมาก ส่วนเหรียญรุ่นแรกของท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2479 เหรียญรุ่นที่ 2สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2484 เหรียญรุ่นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2492 และเหรียญรุ่นสุดท้ายสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 ท่านถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2499
| เหรียญรุ่นแรกของพระครูพิศาลธรรมประยุต หรือหลวงพ่อเกิด วัดสะพาน สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2479"
],
"answer_begin_position": [
1726
],
"answer_end_position": [
1730
]
} |
2,098 | 395,544 | พระครูพิศาลธรรมประยุต (เกิด ปฺณณปญฺโญ) หลวงพ่อเกิด วัดสะพาน (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2499) เหรียญของท่านเสมือนอัญมณีชิ้นเอกของเมืองนครนายกวัตถุมงคลของท่านช่วยคุ้มครองป้องกันภัยนานาประการ และดลบันดาลแต่สิ่งที่เป็นมงคลศิษย์เอกขงอท่านที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านคือ หลวงพ่อภู่ วัดช้าง อำเภอบ้านนาประวัติ ประวัติ. หลวงพ่อเกิด ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุตรของนายฉุย และนางพุ่ม สมพงษ์ เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน อุปสมบทเมื่อมีอายุ 21 ปีตรงกับวันที่23 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 โดยมีหลวงพ่อวัตร วัดพิกุลแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อดี วัดกุฏิเตี้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเพ็ง วัดพระโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า ปุณณปัญโญ ได้อยู่ศึกษากับหลวงพ่อดี ผู้มีความชำนาญด้านรุกขมูล วิปัสสนากรรมฐาน และแพทย์แผนโบราณ มีวิทยาคมอันแก่กล้ารูปหนึ่งในสมัยนั้น จากนั้นท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสะพานตลอดมา ท่านได้ธุดงค์ไปยังเมืองเขมรและมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนวิชาจากอาจารย์ต่างๆ อีกหลายรูปความเมตตา ความเมตตา. ท่านมีใจเมตตากรุณาโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีบุตรบุญธรรมมากมาย ท่านเป็นคนมองการณ์ไกลเกี่ยวกับการศึกษา ได้สร้างโรงเรียนขึ้นเพื่อประสิทธิ์ประสานวิชาให้กับกุลบุตรและกุลธิดาในละแวกนั้น ใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ท่านจะสงเคราะห์รักษาให้ และยังได้ปรุงยาแก้ลมไว้แจกให้กับลูกศิษย์ของท่านอีกด้วย และท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูพิศาลธรรมประยุต ในปี พ.ศ. 2494 จาก พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของประเทศไทย และมีวัตถุมงคลของท่านอีกมากมาย ทั้งตะกรุด ตะกรุดโทน เหรียญรุ่นต่างๆ ตะกรุด คลอดลูกง่าย ผ้ายันต์ ผ้าประเจียด สำหรับผ้ายันต์สีขาวลงยันต์สี่ด้วยหมึกสีแดงคล้ายชาดและเขียนชื่อกำกับไว้ ลายมือของท่านสวยงามมาก ส่วนเหรียญรุ่นแรกของท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2479 เหรียญรุ่นที่ 2สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2484 เหรียญรุ่นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2492 และเหรียญรุ่นสุดท้ายสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 ท่านถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2499
| หลวงพ่อเกิด วัดสะพาน อุปสมบทเมื่อมีอายุเท่าไร | {
"answer": [
"21"
],
"answer_begin_position": [
618
],
"answer_end_position": [
620
]
} |
2,097 | 17,788 | อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 (ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะพวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่กล้าหาญลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรสำเร็จจนเป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศสจึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ ในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุสาวรีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คน ตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยประวัติ ประวัติ. โครงการได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) โดยประชาชนชาวฝรั่งเศสซึ่งประสงค์จะมอบของขวัญให้แก่ประชาชนชาวสหรัฐฯเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนความทรงจำรำลึกถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสหรัฐฯและฝรั่งเศสในระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการคณะหนึ่งมีนาย เอดดูวาด เดอลาบูลาเย เป็นประธานประติมากรหนุ่มชื่อ เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ (Frederic Bartholdi) ซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อศึกษาความต้องการในการก่อสร้างอนุสรณ์สถานและบาร์ทอลดิเกิดความคิดที่จะสร้างของขวัญเป็นอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นโดยคณะกรรมการฟรองโกอเมริกันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ฝ่ายอเมริกันรับผิดชอบส่วนที่เป็นรากฐาน และได้วางแผนจะขอรับบริจาคเงินค่าใช้จ่ายจากเอกชนประมาณสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์อเมริกา (คิดเป็นเงินไทยประมาณห้าล้านบาทในขณะนั้น) บาร์ทอลดิ เริ่มงานก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2417 (ค.ศ.1874) โดยใช้มารดาของเขาเป็นนางแบบ เริ่มแรกทำรูปจำลองด้วยปูนปลาสเตอร์สูง 9 ฟุต 1 รูป และสูง 36 ฟุต อีก 1 รูป ในที่สุดก็สามารถกำหนดสัดส่วนของเทพีแห่งเสรีภาพได้ แล้วก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะผสมทองแดงกับเหล็กเพื่อความแข็งแกร่ง การวางแผนดำเนินการโครงการนี้ อยู่ในความอำนวยการของนายกุสตาฟไอเฟล ซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศสผู้ก่อสร้างหอไอเฟล ในการนี้ต้องตีแผ่นทองแดงมากกว่า 300 แผ่น น้ำหนักรวม 90 ตัน ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอเมริกันก็เริ่มงานสร้างฐานไปพร้อมกันโดยได้เลือกสถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์นี้ที่เกาะเบดโล ซึ่งชื่อเกาะนี้ตั้งตามชื่อของเจ้าของดั้งเดิมคือ ไอแซค เบดโล และได้เริ่มงานสร้างรากฐานเมื่อ พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) เมื่องานก่อสร้างเริ่มขึ้นแล้ว โครงการต้องหยุดชะงักไประยะหนึ่ง เพราะขาดเงินสนับสนุน แต่ต่อมา นายโจเซฟ ฟูลิตเซอร์ บรรณาธิการผู้มีชื่อเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเวิลด์ ได้รณรงค์หาทุนให้โดยขอรับบริจาคจากมหาชนใน พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) ทำให้งานก่อสร้างรากฐานสำเร็จลุล่วงในปลายปีเดียวกันนั้น ส่วนของอนุสรณ์รูปเทพีได้เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) โดยจัดเป็นชิ้นๆบรรจุในหีบใหญ่ถึง 214 หีบ เมื่อมาถึงแล้วจึงนำชิ้นส่วนมาต่อกันและติดตั้งเป็นรูปร่างที่บนป้อมเก่า อยู่ทางปลายสุดของเกาะลิเบอร์ตี้ เดิมชื่อเกาะเบดโล รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า ท่วงท่าสง่างาม ศีรษะสวมมงกุฎ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ มือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพ ตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงกลางคืน ไฟจากคบเพลิงของเทพีเสรีภาพนี้จะเปล่งแสงสว่างผู้ที่ไปเยือนเพียงยืนอยู่ที่ฐานของอนุสรณ์สถานก็จะรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของอนุสาวรีย์แห่งนี้ อนุสาวรีย์มีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนที่เป็นแท่นฐาน และที่ทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกข้อความเป็นคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา ลาซารัส เมื่อ พ.ศ. 2416 (ค.ศ.1883) เมื่อเดินเข้าไปในตัวเทพี จะมีบันไดเลื่อนพาสูงขึ้นไป 10 ชั้นแรก หรือเทียบเท่าบันได 167 ขั้น ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นบันไดเวียน 12 ชั้น รวม 168 ขั้น ซึ่งจะขึ้นไปได้จนถึงศีรษะและมงกุฎของเทพีแห่งเสรีภาพ มีลานซึ่งจุคนได้ครั้งละ 20-30 คน จากลานนี้สามารถชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามกว้างไกลของอ่าวนิวยอร์กตลอดไปทางเหนือ ซึ่งจะมองเห็นเมืองแมนฮัตตันและเขตธุรกิจการเงินและทิวทัศน์ทางใต้จะเห็นสะพานแคนเวอราซาโน เทพีแห่งเสรีภาพนี้สูง 93.3 เมตร (306 ฟุต 8 นิ้ว) นับจากส่วนล่างถึงยอดคบไฟ เฉพาะตัวเทพีสูง 46.4 เมตร (152 ฟุต 2 นิ้ว) แขนขวายาว 12.8 เมตร (42 ฟุต) มือยาว 5.03 เมตร (16 ฟุต 5 นิ้ว) หนังสือในมือซ้ายของเทพีหนา 2 ฟุต ยาว 23 ฟุตครึ่ง จารึกว่า "July 4, 1776" ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม 2319 อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาด ซึ่งแสดงความหมายของการประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพ นายบาร์ทอลติ และ เฟอดินัน เดอ เลสเซน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดงานจาก นายเอดดูวาร์ด เดอ ลาบูลาเย มาร่วมงานด้วย และในพิธีเปิดครั้งนั้นได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือ ขณะที่วุฒิสมาชิกกำลังอ่านคำปราศัยได้มีการให้สัญญาณเปิดผ้าคลุมออกก่อนกำหนดเวลา มีการยิงปืนใหญ่ ชาวเรือในอ่าวต่างตะโกนกู่ก้อง และฝูงชนที่มาชุมนุมร่วมพิธีเปิดต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีกันอึงคะนึง ขณะที่ผ้าคลุมเทพีเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าวุฒิสมาชิกยังคงอ่านคำปราศัยต่อไปข้อมูลจำเพาะเทพีเสรีภาพทั่วโลก เทพีเสรีภาพทั่วโลก. ในปัจจุบัน มีการลอกเลียนแบบสร้างเทพีเสรีภาพทั่วโลกกว่า 100 แห่ง โดยเทพีที่โดดเด่นที่สุดคือที่ตั้งอยู่ที่ปารีส ซึ่งมีความสูง 11.5 เมตร สร้างมานานกว่า 100 ปีแล้ว นอกจากนั้นยังมีให้เห็นเช่นในโตเกียว และลาสเวกัส เป็นต้น
| อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในประเทศสหรัฐอเมริกาชูคบเพลิงด้วยมือข้างใด | {
"answer": [
"ขวา"
],
"answer_begin_position": [
631
],
"answer_end_position": [
634
]
} |
2,099 | 17,788 | อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 (ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะพวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่กล้าหาญลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรสำเร็จจนเป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศสจึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ ในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุสาวรีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คน ตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยประวัติ ประวัติ. โครงการได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) โดยประชาชนชาวฝรั่งเศสซึ่งประสงค์จะมอบของขวัญให้แก่ประชาชนชาวสหรัฐฯเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนความทรงจำรำลึกถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสหรัฐฯและฝรั่งเศสในระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการคณะหนึ่งมีนาย เอดดูวาด เดอลาบูลาเย เป็นประธานประติมากรหนุ่มชื่อ เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ (Frederic Bartholdi) ซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อศึกษาความต้องการในการก่อสร้างอนุสรณ์สถานและบาร์ทอลดิเกิดความคิดที่จะสร้างของขวัญเป็นอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นโดยคณะกรรมการฟรองโกอเมริกันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ฝ่ายอเมริกันรับผิดชอบส่วนที่เป็นรากฐาน และได้วางแผนจะขอรับบริจาคเงินค่าใช้จ่ายจากเอกชนประมาณสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์อเมริกา (คิดเป็นเงินไทยประมาณห้าล้านบาทในขณะนั้น) บาร์ทอลดิ เริ่มงานก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2417 (ค.ศ.1874) โดยใช้มารดาของเขาเป็นนางแบบ เริ่มแรกทำรูปจำลองด้วยปูนปลาสเตอร์สูง 9 ฟุต 1 รูป และสูง 36 ฟุต อีก 1 รูป ในที่สุดก็สามารถกำหนดสัดส่วนของเทพีแห่งเสรีภาพได้ แล้วก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะผสมทองแดงกับเหล็กเพื่อความแข็งแกร่ง การวางแผนดำเนินการโครงการนี้ อยู่ในความอำนวยการของนายกุสตาฟไอเฟล ซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศสผู้ก่อสร้างหอไอเฟล ในการนี้ต้องตีแผ่นทองแดงมากกว่า 300 แผ่น น้ำหนักรวม 90 ตัน ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอเมริกันก็เริ่มงานสร้างฐานไปพร้อมกันโดยได้เลือกสถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์นี้ที่เกาะเบดโล ซึ่งชื่อเกาะนี้ตั้งตามชื่อของเจ้าของดั้งเดิมคือ ไอแซค เบดโล และได้เริ่มงานสร้างรากฐานเมื่อ พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) เมื่องานก่อสร้างเริ่มขึ้นแล้ว โครงการต้องหยุดชะงักไประยะหนึ่ง เพราะขาดเงินสนับสนุน แต่ต่อมา นายโจเซฟ ฟูลิตเซอร์ บรรณาธิการผู้มีชื่อเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเวิลด์ ได้รณรงค์หาทุนให้โดยขอรับบริจาคจากมหาชนใน พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) ทำให้งานก่อสร้างรากฐานสำเร็จลุล่วงในปลายปีเดียวกันนั้น ส่วนของอนุสรณ์รูปเทพีได้เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) โดยจัดเป็นชิ้นๆบรรจุในหีบใหญ่ถึง 214 หีบ เมื่อมาถึงแล้วจึงนำชิ้นส่วนมาต่อกันและติดตั้งเป็นรูปร่างที่บนป้อมเก่า อยู่ทางปลายสุดของเกาะลิเบอร์ตี้ เดิมชื่อเกาะเบดโล รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า ท่วงท่าสง่างาม ศีรษะสวมมงกุฎ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ มือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพ ตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงกลางคืน ไฟจากคบเพลิงของเทพีเสรีภาพนี้จะเปล่งแสงสว่างผู้ที่ไปเยือนเพียงยืนอยู่ที่ฐานของอนุสรณ์สถานก็จะรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของอนุสาวรีย์แห่งนี้ อนุสาวรีย์มีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนที่เป็นแท่นฐาน และที่ทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกข้อความเป็นคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา ลาซารัส เมื่อ พ.ศ. 2416 (ค.ศ.1883) เมื่อเดินเข้าไปในตัวเทพี จะมีบันไดเลื่อนพาสูงขึ้นไป 10 ชั้นแรก หรือเทียบเท่าบันได 167 ขั้น ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นบันไดเวียน 12 ชั้น รวม 168 ขั้น ซึ่งจะขึ้นไปได้จนถึงศีรษะและมงกุฎของเทพีแห่งเสรีภาพ มีลานซึ่งจุคนได้ครั้งละ 20-30 คน จากลานนี้สามารถชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามกว้างไกลของอ่าวนิวยอร์กตลอดไปทางเหนือ ซึ่งจะมองเห็นเมืองแมนฮัตตันและเขตธุรกิจการเงินและทิวทัศน์ทางใต้จะเห็นสะพานแคนเวอราซาโน เทพีแห่งเสรีภาพนี้สูง 93.3 เมตร (306 ฟุต 8 นิ้ว) นับจากส่วนล่างถึงยอดคบไฟ เฉพาะตัวเทพีสูง 46.4 เมตร (152 ฟุต 2 นิ้ว) แขนขวายาว 12.8 เมตร (42 ฟุต) มือยาว 5.03 เมตร (16 ฟุต 5 นิ้ว) หนังสือในมือซ้ายของเทพีหนา 2 ฟุต ยาว 23 ฟุตครึ่ง จารึกว่า "July 4, 1776" ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม 2319 อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาด ซึ่งแสดงความหมายของการประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพ นายบาร์ทอลติ และ เฟอดินัน เดอ เลสเซน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดงานจาก นายเอดดูวาร์ด เดอ ลาบูลาเย มาร่วมงานด้วย และในพิธีเปิดครั้งนั้นได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือ ขณะที่วุฒิสมาชิกกำลังอ่านคำปราศัยได้มีการให้สัญญาณเปิดผ้าคลุมออกก่อนกำหนดเวลา มีการยิงปืนใหญ่ ชาวเรือในอ่าวต่างตะโกนกู่ก้อง และฝูงชนที่มาชุมนุมร่วมพิธีเปิดต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีกันอึงคะนึง ขณะที่ผ้าคลุมเทพีเปิดออกเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าวุฒิสมาชิกยังคงอ่านคำปราศัยต่อไปข้อมูลจำเพาะเทพีเสรีภาพทั่วโลก เทพีเสรีภาพทั่วโลก. ในปัจจุบัน มีการลอกเลียนแบบสร้างเทพีเสรีภาพทั่วโลกกว่า 100 แห่ง โดยเทพีที่โดดเด่นที่สุดคือที่ตั้งอยู่ที่ปารีส ซึ่งมีความสูง 11.5 เมตร สร้างมานานกว่า 100 ปีแล้ว นอกจากนั้นยังมีให้เห็นเช่นในโตเกียว และลาสเวกัส เป็นต้น
| มงกุฎของเทพีเสรีภาพในประเทศสหรัฐอเมริกามีทั้งหมดกี่แฉก | {
"answer": [
"7"
],
"answer_begin_position": [
836
],
"answer_end_position": [
837
]
} |
2,100 | 11,116 | หัวใจ หัวใจ เป็นอวัยวะกล้ามเนื้อซึ่งสูบเลือดทั่วหลอดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยการหดตัวเป็นจังหวะซ้ำ ๆ พบในสัตว์ทุกชนิดที่มีระบบไหลเวียน ซึ่งรวมสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย หัวใจสัตว์มีกระดูกสันหลังนั้นประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเป็นหลัก กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อลายที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ พบเฉพาะที่หัวใจ และทำให้หัวใจสามารถสูบเลือดได้ หัวใจมนุษย์ปกติเต้น 72 ครั้งต่อนาที ซึ่งจะเต้นประมาณ 2,500 ล้านครั้งในช่วงอายุเฉลี่ย 66 ปี และสูบเลือดประมาณ 4.7-5.7 ลิตรต่อนาที หนักประมาณ 250 ถึง 300 กรัมในหญิง และ 300 ถึง 350 กรัมในชาย คำคุณศัพท์ cardiac มาจาก kardia ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงหัวใจ หทัยวิทยาเป็นแขนงแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคและความผิดปกติของหัวใจโครงสร้าง โครงสร้าง. ในมนุษย์ หัวใจอยู่ในช่องอกเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจมีน้ำหนักประมาณ 250-350 กรัม และมีขนาดประมาณสามในสี่ของกำปั้น บนผิวของหัวใจมีร่องหัวใจ (cardiac groove) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการวางตัวของหลอดเลือดหัวใจ ร่องหัวใจที่สำคัญได้แก่- ร่องโคโรนารี (Coronary grooves) หรือร่องเอตริโอเวนตริคิวลาร์ (atrioventricular groove) เป็นร่องที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องบน (atria) และหัวใจห้องล่าง (ventricle) ร่องนี้จะเป็นที่วางตัวของแอ่งเลือดโคโรนารี (coronary sinus) ทางพื้นผิวด้านหลังของหัวใจ - ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหน้า (Anterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งระหว่างหัวใจห้องซ้ายและหัวใจห้องขวาทางด้านหน้า และจะมีแขนงใหญ่ของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านซ้าย (left coronary artery) วางอยู่ - ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหลัง (Posterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งหัวใจระหว่างห้องซ้ายและห้องขวาทางด้านหลัง ส่วนใหญ่จะพบว่ามีแขนงของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านขวา (right coronary artery) วางอยู่ผนังหัวใจ ผนังหัวใจ. ผนังของหัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามชั้น ได้แก่- เยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน (Epicardium) เป็นชั้นที่ติดกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านที่ติดกับหัวใจ (Visceral layer of pericardium) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เหนียวและแข็งแรง - กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) เป็นชั้นที่หนาที่สุด ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจเกือบทั้งหมด - เยื่อบุหัวใจ (Endocardium) เป็นชั้นบาง ๆ ที่เจริญมาจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดห้องหัวใจ ห้องหัวใจ. หัวใจจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้อง (heart chambers) และทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องจะถูกควบคุมโดยลิ้นหัวใจ (cardiac valves) ทำให้เลือดไม่ไหลย้อนเมื่อมีการบีบตัวและคลายตัว ในที่นี้จะกล่าวถึงห้องของหัวใจตามลำดับของการไหลของเลือดภายในหัวใจหัวใจห้องบนขวา หัวใจห้องบนขวา. หัวใจห้องบนขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากท่อเลือดดำบน (superior vena cava) ซึ่งรับเลือดมาจากร่างกายส่วนบน และท่อเลือดดำล่าง (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง ผนังของหัวใจห้องนี้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะทางด้านที่ติดกับหัวใจห้องบนซ้าย จะมีรอยบุ๋มที่เรียกว่า ฟอซซา โอวาเล () ซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนสองห้องระหว่างที่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)หัวใจห้องล่างขวา หัวใจห้องล่างขวา. หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ และพื้นผิวทางด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะติดกับกะบังลม หัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี (pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary arteries) ที่ผนังของหัวใจห้องที่จะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อกัน และมีเอ็นเล็ก ๆ ที่ควบคุมลิ้นหัวใจไทรคัสปิด ซึ่งเรียกว่า คอร์ดี เท็นดินี (chordae tendinae) ซึ่งทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบนขวาระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับหัวใจห้องบนซ้าย หัวใจห้องบนซ้าย. หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัวอยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดดำปอด (pulmonary veins) และจึงส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทาง"ลิ้นหัวใจไมทรัล (Mitral valve)หัวใจห้องล่างซ้าย หัวใจห้องล่างซ้าย. หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)สรีรวิทยาการไหลเวียนเลือด สรีรวิทยา. การไหลเวียนเลือด. หน้าที่หลักของหัวใจคือการสูบฉีดเลือดผ่านระบบไหลเวียนเพื่อไปเลี้ยงร่างกายทั้งร่าง การไหลเวียนนี้แบ่งออกเป็นการไหลเวียนเลี้ยงกายที่ส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายและรับเลือดที่ใช้แล้วกลับ และการไหลเวียนผ่านปอด ซึ่งส่งเลือดไปฟอกที่ปอดและรับเลือดกลับจากปอดมาหัวใจเพื่อเตรียมสูบฉีดต่อไปยังร่างกาย ขณะที่เลือดไหลเวียนผ่านปอดจะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซ รับเอาออกซิเจนเข้ามาในเลือด และส่งคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปยังปอดผ่านการหายใจ หลังจากนั้นระบบไหลเวียนกายจะส่งเลือดแดงที่มีออกซิเจนมากไปยังร่างกาย และรับเลือดดำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์มากและมีออกซิเจนน้อยกลับมายังปอดรอบหัวใจเต้น รอบหัวใจเต้น. รอบหัวใจเต้น (cardiac cycle) หมายถึงรอบที่สมบูรณ์ของการเต้นของหัวใจ ทั้งการบีบตัว การคลายตัว และการหยุดพักปริมาตรเลือดส่งออก ปริมาตรเลือดส่งออก. ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output)การนำไฟฟ้าอัตราหัวใจเต้นสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราหัวใจเต้นเสียงหัวใจรอบหัวใจเต้น รอบหัวใจเต้น. รอบหัวใจเต้น (cardiac cycle) หมายถึงรอบที่สมบูรณ์ของการเต้นของหัวใจ ทั้งการบีบตัว การคลายตัว และการหยุดพักปริมาตรเลือดส่งออก ปริมาตรเลือดส่งออก. ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output)การนำไฟฟ้าอัตราหัวใจเต้นสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราหัวใจเต้นเสียงหัวใจหน้าที่ หน้าที่. คุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่- ไซโนเอเตรียลโนด (Sinaoatrial node) หรือเอสเอโนด (SA node) เป็นกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่มีการเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์ของระบบนำไฟฟ้า โดยอยู่ในผนังของหัวใจห้องบนขวา เอสเอโนดทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นในการส่งกระแสไฟฟ้าไปตามกล้ามเนื้อหัวใจห้องบน ด้วยความถี่ประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที - เอตริโอเวนตริคิวลาร์โนด (Atrioventricular node) หรือเอวีโนด (AV node) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง โดยจะรับกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามหัวใจห้องบน แล้วจึงนำกระแสไฟฟ้าส่งลงไปยังหัวใจห้องล่างผ่านทางเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ในผนังกั้นหัวใจห้องล่างขวาและล่างซ้าย ซึ่งเรียกว่า บันเดิล ออฟ ฮิส (Bundle of His) และนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างทางเส้นใยปัวคินเจ (Purkinje fiber) นอกจากนี้ในกรณีที่เอสเอโนดไม่สามารถกระตุ้นหัวใจได้ เอวีโนดจะทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นแทน
| หัวใจแบ่งออกเป็นทั้งหมดกี่ห้อง | {
"answer": [
"สี่"
],
"answer_begin_position": [
2119
],
"answer_end_position": [
2122
]
} |
2,102 | 11,116 | หัวใจ หัวใจ เป็นอวัยวะกล้ามเนื้อซึ่งสูบเลือดทั่วหลอดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยการหดตัวเป็นจังหวะซ้ำ ๆ พบในสัตว์ทุกชนิดที่มีระบบไหลเวียน ซึ่งรวมสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย หัวใจสัตว์มีกระดูกสันหลังนั้นประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเป็นหลัก กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อลายที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ พบเฉพาะที่หัวใจ และทำให้หัวใจสามารถสูบเลือดได้ หัวใจมนุษย์ปกติเต้น 72 ครั้งต่อนาที ซึ่งจะเต้นประมาณ 2,500 ล้านครั้งในช่วงอายุเฉลี่ย 66 ปี และสูบเลือดประมาณ 4.7-5.7 ลิตรต่อนาที หนักประมาณ 250 ถึง 300 กรัมในหญิง และ 300 ถึง 350 กรัมในชาย คำคุณศัพท์ cardiac มาจาก kardia ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงหัวใจ หทัยวิทยาเป็นแขนงแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคและความผิดปกติของหัวใจโครงสร้าง โครงสร้าง. ในมนุษย์ หัวใจอยู่ในช่องอกเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจมีน้ำหนักประมาณ 250-350 กรัม และมีขนาดประมาณสามในสี่ของกำปั้น บนผิวของหัวใจมีร่องหัวใจ (cardiac groove) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการวางตัวของหลอดเลือดหัวใจ ร่องหัวใจที่สำคัญได้แก่- ร่องโคโรนารี (Coronary grooves) หรือร่องเอตริโอเวนตริคิวลาร์ (atrioventricular groove) เป็นร่องที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องบน (atria) และหัวใจห้องล่าง (ventricle) ร่องนี้จะเป็นที่วางตัวของแอ่งเลือดโคโรนารี (coronary sinus) ทางพื้นผิวด้านหลังของหัวใจ - ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหน้า (Anterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งระหว่างหัวใจห้องซ้ายและหัวใจห้องขวาทางด้านหน้า และจะมีแขนงใหญ่ของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านซ้าย (left coronary artery) วางอยู่ - ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหลัง (Posterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งหัวใจระหว่างห้องซ้ายและห้องขวาทางด้านหลัง ส่วนใหญ่จะพบว่ามีแขนงของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านขวา (right coronary artery) วางอยู่ผนังหัวใจ ผนังหัวใจ. ผนังของหัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามชั้น ได้แก่- เยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน (Epicardium) เป็นชั้นที่ติดกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านที่ติดกับหัวใจ (Visceral layer of pericardium) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เหนียวและแข็งแรง - กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) เป็นชั้นที่หนาที่สุด ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจเกือบทั้งหมด - เยื่อบุหัวใจ (Endocardium) เป็นชั้นบาง ๆ ที่เจริญมาจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดห้องหัวใจ ห้องหัวใจ. หัวใจจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้อง (heart chambers) และทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องจะถูกควบคุมโดยลิ้นหัวใจ (cardiac valves) ทำให้เลือดไม่ไหลย้อนเมื่อมีการบีบตัวและคลายตัว ในที่นี้จะกล่าวถึงห้องของหัวใจตามลำดับของการไหลของเลือดภายในหัวใจหัวใจห้องบนขวา หัวใจห้องบนขวา. หัวใจห้องบนขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากท่อเลือดดำบน (superior vena cava) ซึ่งรับเลือดมาจากร่างกายส่วนบน และท่อเลือดดำล่าง (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง ผนังของหัวใจห้องนี้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะทางด้านที่ติดกับหัวใจห้องบนซ้าย จะมีรอยบุ๋มที่เรียกว่า ฟอซซา โอวาเล () ซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนสองห้องระหว่างที่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)หัวใจห้องล่างขวา หัวใจห้องล่างขวา. หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ และพื้นผิวทางด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะติดกับกะบังลม หัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี (pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary arteries) ที่ผนังของหัวใจห้องที่จะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อกัน และมีเอ็นเล็ก ๆ ที่ควบคุมลิ้นหัวใจไทรคัสปิด ซึ่งเรียกว่า คอร์ดี เท็นดินี (chordae tendinae) ซึ่งทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบนขวาระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับหัวใจห้องบนซ้าย หัวใจห้องบนซ้าย. หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัวอยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดดำปอด (pulmonary veins) และจึงส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทาง"ลิ้นหัวใจไมทรัล (Mitral valve)หัวใจห้องล่างซ้าย หัวใจห้องล่างซ้าย. หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)สรีรวิทยาการไหลเวียนเลือด สรีรวิทยา. การไหลเวียนเลือด. หน้าที่หลักของหัวใจคือการสูบฉีดเลือดผ่านระบบไหลเวียนเพื่อไปเลี้ยงร่างกายทั้งร่าง การไหลเวียนนี้แบ่งออกเป็นการไหลเวียนเลี้ยงกายที่ส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายและรับเลือดที่ใช้แล้วกลับ และการไหลเวียนผ่านปอด ซึ่งส่งเลือดไปฟอกที่ปอดและรับเลือดกลับจากปอดมาหัวใจเพื่อเตรียมสูบฉีดต่อไปยังร่างกาย ขณะที่เลือดไหลเวียนผ่านปอดจะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซ รับเอาออกซิเจนเข้ามาในเลือด และส่งคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปยังปอดผ่านการหายใจ หลังจากนั้นระบบไหลเวียนกายจะส่งเลือดแดงที่มีออกซิเจนมากไปยังร่างกาย และรับเลือดดำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์มากและมีออกซิเจนน้อยกลับมายังปอดรอบหัวใจเต้น รอบหัวใจเต้น. รอบหัวใจเต้น (cardiac cycle) หมายถึงรอบที่สมบูรณ์ของการเต้นของหัวใจ ทั้งการบีบตัว การคลายตัว และการหยุดพักปริมาตรเลือดส่งออก ปริมาตรเลือดส่งออก. ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output)การนำไฟฟ้าอัตราหัวใจเต้นสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราหัวใจเต้นเสียงหัวใจรอบหัวใจเต้น รอบหัวใจเต้น. รอบหัวใจเต้น (cardiac cycle) หมายถึงรอบที่สมบูรณ์ของการเต้นของหัวใจ ทั้งการบีบตัว การคลายตัว และการหยุดพักปริมาตรเลือดส่งออก ปริมาตรเลือดส่งออก. ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output)การนำไฟฟ้าอัตราหัวใจเต้นสิ่งที่ส่งผลต่ออัตราหัวใจเต้นเสียงหัวใจหน้าที่ หน้าที่. คุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่- ไซโนเอเตรียลโนด (Sinaoatrial node) หรือเอสเอโนด (SA node) เป็นกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่มีการเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์ของระบบนำไฟฟ้า โดยอยู่ในผนังของหัวใจห้องบนขวา เอสเอโนดทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นในการส่งกระแสไฟฟ้าไปตามกล้ามเนื้อหัวใจห้องบน ด้วยความถี่ประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที - เอตริโอเวนตริคิวลาร์โนด (Atrioventricular node) หรือเอวีโนด (AV node) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง โดยจะรับกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามหัวใจห้องบน แล้วจึงนำกระแสไฟฟ้าส่งลงไปยังหัวใจห้องล่างผ่านทางเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ในผนังกั้นหัวใจห้องล่างขวาและล่างซ้าย ซึ่งเรียกว่า บันเดิล ออฟ ฮิส (Bundle of His) และนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างทางเส้นใยปัวคินเจ (Purkinje fiber) นอกจากนี้ในกรณีที่เอสเอโนดไม่สามารถกระตุ้นหัวใจได้ เอวีโนดจะทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นแทน
| ทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องของหัวใจถูกควบคุมโดยสิ่งใด | {
"answer": [
"ลิ้นหัวใจ"
],
"answer_begin_position": [
2197
],
"answer_end_position": [
2206
]
} |
2,101 | 335,794 | สมเด็จพระราชินีโกมลแห่งเนปาล สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาล (कोमल राज्य लक्ष्मी देवी - Komala Rājya Lakṣmī Devī, ประสูติ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ เมืองพาคมตี ประเทศเนปาล —) พระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ พระองค์เป็นสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเนปาล ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008พระราชประวัติ พระราชประวัติ. สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาล ประสูติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ เมืองพาคมตี ประเทศเนปาล เป็นพระธิดาในศรีเกนทรศุมเศร์ จังพหาทุระราณา (1927-1982) กับศรีราชยลักษมีเทวี (1928-2005) สมเด็จพระราชินีโกมลมีพระพี่น้องทั้งหมด 3 พระองค์ กับอีก 1 คน ได้แก่1. สมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 — 1 มิถุนายน ค.ศ. 2001) 2. สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 —) 3. เจ้าหญิงพฤกษยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 1952 — 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001) 4. ศรีสุราชศุมเศร์ จังพหาทุระ ราณาอภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. เจ้าชายชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ทำให้พระองค์มีพระอิสริยยศขั้นต้นที่ เจ้าหญิงแห่งเนปาล ทั้งสองพระองค์ได้มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 2 พระองค์ ได้แก่1. เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล (30 ธันวาคม ค.ศ. 1971 —) ดำรงตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเนปาล ปัจจุบันทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงหิมาณีราชยลักษมีเทวีศาหะ มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ 2. เจ้าหญิงเปรรณาราชยลักษมีเทวีศาหะ (20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 —) เสกสมรสกับกุมาร ราชพหาทุระ สิงห์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2546 มีโอรสด้วยกัน 1 คนเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล เหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล. โดยมกุฎราชกุมารทิเปนทรวีรพิกรมศาหเทวะ ได้ก่อเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์ภายในพระราชวังนารายันหิติ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นเหตุให้สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ และสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ และเป็นพระพี่นางของสมเด็จพระราชินีโกมล ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บุคคลในพระราชวงศ์เนปาลสิ้นพระชนม์ไปถึง 10 พระองค์ มกุฎราชกุมารได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรม และถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล ส่วนเจ้าหญิงโกมล (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ก็ได้ถูกพระแสงปืนเข้าที่พระองค์ด้วย ทำให้ต้องนอนพักรักษาพระวรกายอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ถึง 4 สัปดาห์ตำแหน่งราชินี ตำแหน่งราชินี. ภายหลังการจากการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ จึงได้มีการยกมกุฎราชกุมารทิเปนทรวีรพิกรมศาหเทวะขึ้นครองราชย์สมบัติขณะที่มีพระอาการวิกฤตซึ่งประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล และเสด็จสวรรคตหลังจากการครองราชย์ 3 วัน ดังนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะจึงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนปาล เจ้าหญิงโกมล จึงได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งเนปาล แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีบุคคลบางส่วนเชื่อว่ามกุฎราชกุมารไม่ได้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่ดังกล่าว แต่เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองก็ได้สร้างตื่นตระหนก และความโศกเศร้าเสียใจแก่ประชาชนชาวเนปาลเป็นอย่างมากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง. หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศเนปาล พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ถูกลดพระยศเป็นสามัญชน พระองค์ถูกลดพระอิสริยยศเป็น นางโกมล ศาหะ พระบรมวงศานุวงศ์ต้องเสด็จออกจากจากที่ประทับในพระราชวังนารายันหิติซึ่งจะมีการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนทรและพระองค์ ได้เสด็จออกจากพระราชวังนารายันหิติก่อนหน้าเส้นตาย 1 วัน โดยได้อาศัยอยู่ในพระราชวังฤดูร้อนนาคารชุนะ (Nagarjuna) ซึ่งอยู่ชานเมือง ส่วนมกุฎราชกุมารแห่งเนปาลได้อาศัยอยู่ในบ้านส่วนพระองค์กลางกรุงของสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทร แต่รัฐบาลเนปาลก็อนุญาตให้ราชินีรัตนาในสมเด็จพระราชาธิบดีมเหนทร ให้พำนักในพระตำหนักมเหนทรมันซิล ที่มีพื้นที่เพียง 30 เฮกตาร์ และนางสาราลา โกร์คาลี หรือ นางสาราลา ตามัง (Sarala Tamang) วัยกว่า 94 ปี อดีตนางสนมในสมเด็จพระราชาธิบดีตริภุวน ให้พำนักภายในเรือนหลังเล็กภายในพระราชวังนารายันหิติได้ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าทรงชราภาพแล้วพระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - โกมลราชยลักษมีเทวีราณา (ค.ศ. 1951-1970) - เจ้าหญิงโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 1970-2001) - สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 2001-2008)
| ใครคือสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเนปาล | {
"answer": [
"สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาล"
],
"answer_begin_position": [
132
],
"answer_end_position": [
177
]
} |
2,104 | 335,794 | สมเด็จพระราชินีโกมลแห่งเนปาล สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาล (कोमल राज्य लक्ष्मी देवी - Komala Rājya Lakṣmī Devī, ประสูติ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ เมืองพาคมตี ประเทศเนปาล —) พระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ พระองค์เป็นสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเนปาล ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008พระราชประวัติ พระราชประวัติ. สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาล ประสูติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ณ เมืองพาคมตี ประเทศเนปาล เป็นพระธิดาในศรีเกนทรศุมเศร์ จังพหาทุระราณา (1927-1982) กับศรีราชยลักษมีเทวี (1928-2005) สมเด็จพระราชินีโกมลมีพระพี่น้องทั้งหมด 3 พระองค์ กับอีก 1 คน ได้แก่1. สมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 — 1 มิถุนายน ค.ศ. 2001) 2. สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 —) 3. เจ้าหญิงพฤกษยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 1952 — 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001) 4. ศรีสุราชศุมเศร์ จังพหาทุระ ราณาอภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. เจ้าชายชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ทำให้พระองค์มีพระอิสริยยศขั้นต้นที่ เจ้าหญิงแห่งเนปาล ทั้งสองพระองค์ได้มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 2 พระองค์ ได้แก่1. เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล (30 ธันวาคม ค.ศ. 1971 —) ดำรงตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเนปาล ปัจจุบันทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงหิมาณีราชยลักษมีเทวีศาหะ มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ 2. เจ้าหญิงเปรรณาราชยลักษมีเทวีศาหะ (20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 —) เสกสมรสกับกุมาร ราชพหาทุระ สิงห์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2546 มีโอรสด้วยกัน 1 คนเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล เหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์เนปาล. โดยมกุฎราชกุมารทิเปนทรวีรพิกรมศาหเทวะ ได้ก่อเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์ภายในพระราชวังนารายันหิติ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นเหตุให้สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ และสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ และเป็นพระพี่นางของสมเด็จพระราชินีโกมล ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บุคคลในพระราชวงศ์เนปาลสิ้นพระชนม์ไปถึง 10 พระองค์ มกุฎราชกุมารได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรม และถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล ส่วนเจ้าหญิงโกมล (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ก็ได้ถูกพระแสงปืนเข้าที่พระองค์ด้วย ทำให้ต้องนอนพักรักษาพระวรกายอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ถึง 4 สัปดาห์ตำแหน่งราชินี ตำแหน่งราชินี. ภายหลังการจากการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทรวีรพิกรมศาหเทวะ จึงได้มีการยกมกุฎราชกุมารทิเปนทรวีรพิกรมศาหเทวะขึ้นครองราชย์สมบัติขณะที่มีพระอาการวิกฤตซึ่งประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล และเสด็จสวรรคตหลังจากการครองราชย์ 3 วัน ดังนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะจึงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนปาล เจ้าหญิงโกมล จึงได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งเนปาล แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีบุคคลบางส่วนเชื่อว่ามกุฎราชกุมารไม่ได้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่ดังกล่าว แต่เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองก็ได้สร้างตื่นตระหนก และความโศกเศร้าเสียใจแก่ประชาชนชาวเนปาลเป็นอย่างมากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง. หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศเนปาล พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ถูกลดพระยศเป็นสามัญชน พระองค์ถูกลดพระอิสริยยศเป็น นางโกมล ศาหะ พระบรมวงศานุวงศ์ต้องเสด็จออกจากจากที่ประทับในพระราชวังนารายันหิติซึ่งจะมีการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนทรและพระองค์ ได้เสด็จออกจากพระราชวังนารายันหิติก่อนหน้าเส้นตาย 1 วัน โดยได้อาศัยอยู่ในพระราชวังฤดูร้อนนาคารชุนะ (Nagarjuna) ซึ่งอยู่ชานเมือง ส่วนมกุฎราชกุมารแห่งเนปาลได้อาศัยอยู่ในบ้านส่วนพระองค์กลางกรุงของสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทร แต่รัฐบาลเนปาลก็อนุญาตให้ราชินีรัตนาในสมเด็จพระราชาธิบดีมเหนทร ให้พำนักในพระตำหนักมเหนทรมันซิล ที่มีพื้นที่เพียง 30 เฮกตาร์ และนางสาราลา โกร์คาลี หรือ นางสาราลา ตามัง (Sarala Tamang) วัยกว่า 94 ปี อดีตนางสนมในสมเด็จพระราชาธิบดีตริภุวน ให้พำนักภายในเรือนหลังเล็กภายในพระราชวังนารายันหิติได้ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าทรงชราภาพแล้วพระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - โกมลราชยลักษมีเทวีราณา (ค.ศ. 1951-1970) - เจ้าหญิงโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 1970-2001) - สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะ (ค.ศ. 2001-2008)
| สมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหแห่งเนปาลมีบุตรกี่พระองค์ | {
"answer": [
"2"
],
"answer_begin_position": [
1267
],
"answer_end_position": [
1268
]
} |
2,103 | 28,270 | ปอด "ปอด คำว่าปอดในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า lung ในทางการแพทย์สิ่งที่เกี่ยวกับปอดใช้คำว่า Pulmonary นำหน้าสิ่งนั้น ๆ ในมนุษย์นั้นมีปอดอยู่ในทรวงอก มีสองข้าง คือขวาและซ้าย ปอดมีลักษณะนิ่ม ร่างกายจึงมีกระดูกซี่โครงคอยปกป้องปอดไว้อีกชั้นหนึ่ง ปอดแต่ละข้างจะมีถุงบาง ๆ 2 ชั้นหุ้มอยู่ เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มปอดที่เป็นถุงบาง ๆ 2 ชั้นนี้เรียกว่า เยื่อหุ้มปอดชั้นในและ เยื่อหุ้มปอดชั้นนอก เยื่อหุ้มปอดชั้นในจะแนบติดไปกับผิวของปอด ส่วนเยื่อหุ้มปอดชั้นนอกจะแนบติดไปกับช่องทรวงอก ระหว่างเยื่อหุ้มปอด 2 ชั้นบางๆนี้จะมีช่องว่าง เรียกว่า ช่องเยื่อหุ้มปอด ในช่องเยื่อหุ้มปอดจะมีของเหลวคอยหล่อลื่นอยู่ เรียกว่า ของเหลวเยื่อหุ้มปอด ของเหลวนี้จะช่วยให้เยื่อหุ้มปอดแต่ละชั้นสไลด์ไปมาระหว่างกันได้โดยไม่เสียดสีกัน และของเหลวเยื่อหุ้มปอดก็ยังช่วยยึดเยื่อหุ้มปอดทั้งสองชั้นไว้ไม่ให้แยกจากกันโดยง่าย ปอดข้างซ้ายนั้นมีขนาดเล็กกว่าปอดข้างขวา เพราะปอดข้างซ้ายต้องเว้นที่เอาไว้ให้หัวใจอยู่ในทรวงอกด้วยกันด้วยวิธีการทำงาน วิธีการทำงาน. การแลกเปลี่ยนก๊าซและการใช้ออกซิเจน เมื่อเราหายใจเข้า อากาศภายนอกเข้าสู่อวัยวะ ของระบบหายใจไปยังถุงลมในปอดที่ผนังของถุงลมมีหลอดเลือดฝอยติดอยู่ ดังนั้นเมื่ออากาศผ่านเข้ามาถึงถุงลมจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับเม็ดเลือดแดงซึ่งไหลมาพร้อมกับเลือดภายในหลอดเลือดฝอยมากขึ้น จากนั้นออกชิเจนในอากาศซึ่งมีประมาณมากกว่าประมาณออกซิเจนในเลือด ก็จะซึมผ่านผนังถุงลมและผนังหลอดเลือดฝอยนี้เข้าสู่เม็ดเลือดแดง และพร้อมกันนั้น คาร์บอนไดออกไชด์ที่เหลือจากกระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และส่งมากับเม็ดเลือดแดงก็จะออกจากเม็ดเลือดผ่านผนังออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศมีออกชิเจนร้อยละ 20 แต่อากาศที่เราหายใจมีออกซิเจนร้อยละ 13กำจัดของเสียทางปอด กำจัดของเสียทางปอด. การกำจัดของเสียทางปอด กำจัดออกมาในรูปของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นผลที่ได้จากกระบวนการหายใจ โดยน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แพร่ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดและเลือดจะทำหน้าที่ลำเลียงไปยังปอด แล้วแพร่เข้าสู่ถุงลมที่ปอด หลังจากนั้นจึงเคลื่อนผ่านหลอดลมแล้วออกจากร่างกายทางจมูก ซึ่งเรียกว่ากระบวนการ [Metabolismหน้าที่ของปอดหน้าที่ของปอด. - หน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ - หน้าที่อื่น ๆ นอกจากการหายใจ- การควบคุมและขับสารต่าง ๆ เช่น ยา, แอลกอฮอล์ ออกจากระบบเลือด - การควบคุมสมดุลของความเป็นกรด-ด่างในเลือด ซึ่งมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ และอวัยวะต่าง ๆ - กรองลิ่มเลือดเล็ก ๆ ที่ตกตะกอนออกจากเส้นเลือดดำ - ปกป้องและรับแรงกระแทกที่จะทำอันตรายต่อหัวใจซึ่งอยู่ตรงกลางช่องทรวงอก
| มนุษย์มีปอดกี่ข้าง | {
"answer": [
"สอง"
],
"answer_begin_position": [
220
],
"answer_end_position": [
223
]
} |
2,105 | 14,811 | เกอิชา เกอิชา () เป็นอาชีพหนึ่งของสตรีญี่ปุ่นในสมัยก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชำนาญทางศิลปะและให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นเสมือนผู้คอยต้อนรับและปรนนิบัติแขก เกอิชามีอยู่แพร่หลายอย่างมากในญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ19 เมื่อ ค.ศ. 1920 มีจำนวนเกอิชาถึง 80,000 คน ส่วนในปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีอาชีพเกอิชา แต่จำนวนค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับเกอิชาฝึกหัดจะเรียกว่า ไมโกะ () คำว่า "เกอิชา" นั้น ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า "เกชะ" ในแถบคันไซเรียกว่า เกงิ (芸妓, げいぎ) ส่วนเกอิชาฝึกงานหรือ "เกโกะ" (芸子, げいこ) มีใช้มาตั้งแต่สมัยเมจิ ส่วนคำว่า "กีชา" ที่เรียกว่า "สาวเกอิชา" นั้น นิยมเรียกในช่วงปฏิบัติการร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา หมายถึง หญิงขายบริการ แต่เรียกตัวเองว่า "เกอิชา" อาชีพของเกอิชานั้นพัฒนาขึ้นมาจาก ไทโคะโมะชิ หรือ โฮกัง ซึ่งคล้ายกับพวกตลกหลวงในราชสำนัก เกอิชาในสมัยแรกนั้นล้วนเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันนั้นจะเรียกกันว่า "อนนะ เกชะ" (女芸者) หรือเกอิชาหญิง แต่ในปัจจุบันเกอิชาเป็นหญิงเท่านั้น เดิมนั้นหญิงที่จะทำอาชีพเกอิชาจะได้รับการฝึกอบรมตั้งแต่เด็ก สำนักเกอิชามักจะซื้อตัวเด็กหญิงมาจากครอบครัวที่ยากจน แล้วนำมาฝึกฝนเลี้ยงดูโดยตลอด ในช่วงวัยเด็ก พวกเขาจะทำงานเป็นหญิงรับใช้ เพราะผู้ช่วยเกอิชารุ่นพี่ในสำนักถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนด้วยเช่นกัน และเพื่อชดใช้กับค่าเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอน การสอนและฝึกฝนอาชีพที่ยาวนานเช่นนี้ นักเรียนจะอาศัยอยู่ในบ้านของครูผู้ฝึก ช่วยทำงานบ้าน สังเกต และช่วยครู และเมื่อชำนาญเป็นเกอิชาแล้ว สุดท้ายก็จะเลื่อนขึ้นไปสู่ตำแหน่งครูผู้ฝึกอบรมต่อไป การฝึกอบรมนี้จะต้องใช้เวลานานหลายปีทีเดียว ในเบื้องต้นนั้นเด็กสาวจะได้เรียนศิลปะหลายแขนง ได้แก่ การเล่นดนตรี (โดยเฉพาะชะมิเซ็ง รูปร่างคล้ายกีตาร์) การขับร้อง การเต้นรำ การชงชา การจัดดอกไม้ (อิเกะบะนะ) รวมถึงเรื่องบทกวีและวรรณคดี การได้คอยเป็นผู้ช่วยและได้เห็นเกอิชารุ่นพี่ทำงาน พวกเขาก็จะมีความชำนาญมากขึ้นและเรียนรู้ศิลปะที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การแต่งชุดกิโมโน รวมถึงการพนันหลายแบบ รู้จักการสนทนา และการโต้ตอบกับลูกค้า เมื่อหญิงสาวได้เข้ามารับการฝึกฝนเป็นไมโกะหรือเกอิชาฝึกหัด ก็จะเริ่มติดตามเกอิชารุ่นพี่ไปยังโรงน้ำชา งานเลี้ยง และการสังสรรค์ต่าง ๆ ที่เป็นสภาพแวดล้อมการทำงานจริงของเกอิชา ทำให้ได้ประสบการณ์ทำงานจริงและมีความชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ เกอิชาไม่ใช่โสเภณี แม้ว่าในอดีตจะมีการขายพรหมจารีอย่างถูกต้อง และเกอิชาก็ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อเพื่อการนี้ก็ตาม เกอิชากับโสเภณีมีความแตกต่างพอสมควร โดยสังเกตอย่างง่ายจากการแต่งตัว โดยที่โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้า เพื่อความสะดวกในถอดชุดออกออก เครื่องประดับของเหล่าหญิงโสเภณีมีความงดงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า ในขณะที่เกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังตามชุดกิโมโนทั่วไป เครื่องประดับนั้นจะเรียบง่ายแต่แสดงออกถึงความสวยงามตามธรรมชาติ ในรูปแบบของศิลปะได้อย่างดีทีเดียว เกอิชาสมัยใหม่จะไม่ถูกซื้อตัวหรือพามายังสำนักเกอิชาตั้งแต่เด็กเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว การเป็นเกอิชาในสมัยใหม่นั้นเป็นไปโดยสมัครใจทั้งสิ้น และการฝึกฝนอาชีพนั้นจะเริ่มต้นที่หญิงสาว ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ไม่ใช่เด็กหญิงอย่างแต่ก่อน และจะใช้เวลาที่ยาวนานและยุ่งยากมาก เพราะฝึกเมื่ออายุมาก ปัจจุบันเกอิชายังคงอาศัยอยู่มากในสำนักเกอิชาในบริเวณพื้นที่ซึ่งเรียกว่า ฮะนะมะชิ (花街 "เมืองดอกไม้") หรือ คะเรียวไก (花柳界 "โลกของดอกไม้และต้นหลิว") ซึ่งคล้ายกับย่านโพนโทะโช ในเกียวโต เกอิชานั้นมักได้รับการว่าจ้างให้ปรนนิบัติหมู่คณะ และมักทำงานร่วมกันในโรงน้ำชา (茶屋 ชะยะ) หรือร้านอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยเวลาใช้บริการนั้นจะใช้ธูปจุดเป็นเกณฑ์วัด เรียกว่า "เซนโกได" (線香代 "ค่าธูป") หรือ เคียวกุได (玉代 "ค่าเพชร") ลูกค้าจะติดต่อโดยผ่านสำนักติดต่อเกอิชาหรือ "เค็นบัน" (検番) ซึ่งจะมีตารางนัดของเกอิชาแต่ละคน และทำการนัดหมาย ทั้งเพื่อการทำงานและการฝึกฝนอาชีพ เมื่อหญิงที่ทำงานเป็นเกอิชาแต่งงานก็จะเลิกจากอาชีพนี้ หากไม่แต่งงาน เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเลิกอาชีพนี้เช่นกัน แต่อาจทำงานเป็นเจ้าของร้านอาหาร ครูสอนดนตรี เต้นรำ หรือครูสอนเกอิชาต่อไปก็ได้เกอิชาสมัยใหม่ เกอิชาสมัยใหม่. ซายูกิ (ฟิโอนา เกรอัม เกิดที่เมลเบิร์น) เป็นชาวออสเตรเลีย ที่ทำงานเป็นเกอิชาในประเทศญี่ปุ่น เธอยังเป็นนักมานุษยวิทยา ผู้ผลิตและผู้กำกับภาพยนตร์สารดคี รวมทั้งทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็น NHK National Geographic Channel 4 และ BBC หลังจากที่ได้รับการฝึกอบรมในสำนักเกอิชาเป็นเวลาหนึ่งปี ในปี ค.ศ. 2007 ซายูกิก็ได้กลายเป็นเกอิชาเต็มตัว ณ ย่านอาซาคุซะ กรุงโตเกียว และเป็นเกอิชาชาวตะวันตกคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซายูกิได้รับการฝึกฝนศิลปะหลายแขนง ได้แก่ การเล่นดนตรี การขับร้อง การเต้นรำ การชงชา รวมทั้งเรื่องบทกวีและวรรณคดี สิ่งที่ซายูกิชำนาญมากที่สุดก็คือ ขลุ่ยญี่ปุ่นที่ชื่อว่าโยะโกะบุเอะ (Yokobue) ซายูกิจบการศึกษาปริญญาตรีสาขามนุษย์วิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซายูกิยังเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเคโอ หนึ่งในมหาลัยที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และยังเคยทำงานในบริษัทญี่ปุ่น เช่น Tokyo’s night world กับที่นักกีฬาญี่ปุ่น รวมทั้งแอนิเมชัน หนังสือของซายูกิ “Inside the flower and willow world” โดยสำนักพิมพ์ Pan Macmillan ประเทศออสเตรเลีย หนังสือสารคดีเกี่ยวกับโลกของเกอิชา
| เกอิชาเป็นอาชีพหนึ่งของสตรีในประเทศใด | {
"answer": [
"ญี่ปุ่น"
],
"answer_begin_position": [
117
],
"answer_end_position": [
124
]
} |
3,064 | 14,811 | เกอิชา เกอิชา () เป็นอาชีพหนึ่งของสตรีญี่ปุ่นในสมัยก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชำนาญทางศิลปะและให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นเสมือนผู้คอยต้อนรับและปรนนิบัติแขก เกอิชามีอยู่แพร่หลายอย่างมากในญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ19 เมื่อ ค.ศ. 1920 มีจำนวนเกอิชาถึง 80,000 คน ส่วนในปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีอาชีพเกอิชา แต่จำนวนค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับเกอิชาฝึกหัดจะเรียกว่า ไมโกะ () คำว่า "เกอิชา" นั้น ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า "เกชะ" ในแถบคันไซเรียกว่า เกงิ (芸妓, げいぎ) ส่วนเกอิชาฝึกงานหรือ "เกโกะ" (芸子, げいこ) มีใช้มาตั้งแต่สมัยเมจิ ส่วนคำว่า "กีชา" ที่เรียกว่า "สาวเกอิชา" นั้น นิยมเรียกในช่วงปฏิบัติการร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา หมายถึง หญิงขายบริการ แต่เรียกตัวเองว่า "เกอิชา" อาชีพของเกอิชานั้นพัฒนาขึ้นมาจาก ไทโคะโมะชิ หรือ โฮกัง ซึ่งคล้ายกับพวกตลกหลวงในราชสำนัก เกอิชาในสมัยแรกนั้นล้วนเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันนั้นจะเรียกกันว่า "อนนะ เกชะ" (女芸者) หรือเกอิชาหญิง แต่ในปัจจุบันเกอิชาเป็นหญิงเท่านั้น เดิมนั้นหญิงที่จะทำอาชีพเกอิชาจะได้รับการฝึกอบรมตั้งแต่เด็ก สำนักเกอิชามักจะซื้อตัวเด็กหญิงมาจากครอบครัวที่ยากจน แล้วนำมาฝึกฝนเลี้ยงดูโดยตลอด ในช่วงวัยเด็ก พวกเขาจะทำงานเป็นหญิงรับใช้ เพราะผู้ช่วยเกอิชารุ่นพี่ในสำนักถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนด้วยเช่นกัน และเพื่อชดใช้กับค่าเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอน การสอนและฝึกฝนอาชีพที่ยาวนานเช่นนี้ นักเรียนจะอาศัยอยู่ในบ้านของครูผู้ฝึก ช่วยทำงานบ้าน สังเกต และช่วยครู และเมื่อชำนาญเป็นเกอิชาแล้ว สุดท้ายก็จะเลื่อนขึ้นไปสู่ตำแหน่งครูผู้ฝึกอบรมต่อไป การฝึกอบรมนี้จะต้องใช้เวลานานหลายปีทีเดียว ในเบื้องต้นนั้นเด็กสาวจะได้เรียนศิลปะหลายแขนง ได้แก่ การเล่นดนตรี (โดยเฉพาะชะมิเซ็ง รูปร่างคล้ายกีตาร์) การขับร้อง การเต้นรำ การชงชา การจัดดอกไม้ (อิเกะบะนะ) รวมถึงเรื่องบทกวีและวรรณคดี การได้คอยเป็นผู้ช่วยและได้เห็นเกอิชารุ่นพี่ทำงาน พวกเขาก็จะมีความชำนาญมากขึ้นและเรียนรู้ศิลปะที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การแต่งชุดกิโมโน รวมถึงการพนันหลายแบบ รู้จักการสนทนา และการโต้ตอบกับลูกค้า เมื่อหญิงสาวได้เข้ามารับการฝึกฝนเป็นไมโกะหรือเกอิชาฝึกหัด ก็จะเริ่มติดตามเกอิชารุ่นพี่ไปยังโรงน้ำชา งานเลี้ยง และการสังสรรค์ต่าง ๆ ที่เป็นสภาพแวดล้อมการทำงานจริงของเกอิชา ทำให้ได้ประสบการณ์ทำงานจริงและมีความชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ เกอิชาไม่ใช่โสเภณี แม้ว่าในอดีตจะมีการขายพรหมจารีอย่างถูกต้อง และเกอิชาก็ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อเพื่อการนี้ก็ตาม เกอิชากับโสเภณีมีความแตกต่างพอสมควร โดยสังเกตอย่างง่ายจากการแต่งตัว โดยที่โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้า เพื่อความสะดวกในถอดชุดออกออก เครื่องประดับของเหล่าหญิงโสเภณีมีความงดงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า ในขณะที่เกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังตามชุดกิโมโนทั่วไป เครื่องประดับนั้นจะเรียบง่ายแต่แสดงออกถึงความสวยงามตามธรรมชาติ ในรูปแบบของศิลปะได้อย่างดีทีเดียว เกอิชาสมัยใหม่จะไม่ถูกซื้อตัวหรือพามายังสำนักเกอิชาตั้งแต่เด็กเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว การเป็นเกอิชาในสมัยใหม่นั้นเป็นไปโดยสมัครใจทั้งสิ้น และการฝึกฝนอาชีพนั้นจะเริ่มต้นที่หญิงสาว ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ไม่ใช่เด็กหญิงอย่างแต่ก่อน และจะใช้เวลาที่ยาวนานและยุ่งยากมาก เพราะฝึกเมื่ออายุมาก ปัจจุบันเกอิชายังคงอาศัยอยู่มากในสำนักเกอิชาในบริเวณพื้นที่ซึ่งเรียกว่า ฮะนะมะชิ (花街 "เมืองดอกไม้") หรือ คะเรียวไก (花柳界 "โลกของดอกไม้และต้นหลิว") ซึ่งคล้ายกับย่านโพนโทะโช ในเกียวโต เกอิชานั้นมักได้รับการว่าจ้างให้ปรนนิบัติหมู่คณะ และมักทำงานร่วมกันในโรงน้ำชา (茶屋 ชะยะ) หรือร้านอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยเวลาใช้บริการนั้นจะใช้ธูปจุดเป็นเกณฑ์วัด เรียกว่า "เซนโกได" (線香代 "ค่าธูป") หรือ เคียวกุได (玉代 "ค่าเพชร") ลูกค้าจะติดต่อโดยผ่านสำนักติดต่อเกอิชาหรือ "เค็นบัน" (検番) ซึ่งจะมีตารางนัดของเกอิชาแต่ละคน และทำการนัดหมาย ทั้งเพื่อการทำงานและการฝึกฝนอาชีพ เมื่อหญิงที่ทำงานเป็นเกอิชาแต่งงานก็จะเลิกจากอาชีพนี้ หากไม่แต่งงาน เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเลิกอาชีพนี้เช่นกัน แต่อาจทำงานเป็นเจ้าของร้านอาหาร ครูสอนดนตรี เต้นรำ หรือครูสอนเกอิชาต่อไปก็ได้เกอิชาสมัยใหม่ เกอิชาสมัยใหม่. ซายูกิ (ฟิโอนา เกรอัม เกิดที่เมลเบิร์น) เป็นชาวออสเตรเลีย ที่ทำงานเป็นเกอิชาในประเทศญี่ปุ่น เธอยังเป็นนักมานุษยวิทยา ผู้ผลิตและผู้กำกับภาพยนตร์สารดคี รวมทั้งทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็น NHK National Geographic Channel 4 และ BBC หลังจากที่ได้รับการฝึกอบรมในสำนักเกอิชาเป็นเวลาหนึ่งปี ในปี ค.ศ. 2007 ซายูกิก็ได้กลายเป็นเกอิชาเต็มตัว ณ ย่านอาซาคุซะ กรุงโตเกียว และเป็นเกอิชาชาวตะวันตกคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซายูกิได้รับการฝึกฝนศิลปะหลายแขนง ได้แก่ การเล่นดนตรี การขับร้อง การเต้นรำ การชงชา รวมทั้งเรื่องบทกวีและวรรณคดี สิ่งที่ซายูกิชำนาญมากที่สุดก็คือ ขลุ่ยญี่ปุ่นที่ชื่อว่าโยะโกะบุเอะ (Yokobue) ซายูกิจบการศึกษาปริญญาตรีสาขามนุษย์วิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซายูกิยังเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเคโอ หนึ่งในมหาลัยที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และยังเคยทำงานในบริษัทญี่ปุ่น เช่น Tokyo’s night world กับที่นักกีฬาญี่ปุ่น รวมทั้งแอนิเมชัน หนังสือของซายูกิ “Inside the flower and willow world” โดยสำนักพิมพ์ Pan Macmillan ประเทศออสเตรเลีย หนังสือสารคดีเกี่ยวกับโลกของเกอิชา
| ใครคือเกอิชาชาวตะวันตกคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น | {
"answer": [
"ฟิโอนา เกรอัม"
],
"answer_begin_position": [
3698
],
"answer_end_position": [
3711
]
} |
2,106 | 297,310 | โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน (อังกฤษ:Deebukphangnga Wittayayon School)ให้การศึกษาในระดับ มัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการประวัติ ประวัติ. โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายนเมื่อแรกก่อตั้งใช้ชื่อว่า โรงเรียนบริรักษ์บำรุง ตามชื่อของพระบริรักษ์บำรุง ผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้นซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน และเป็นผู้ทำพิธีเปิดอาคารเรียนโรงไม้ชั้นเดียวหลังคามุงจาก ไม้ไผ่ขัดแตะ ไม่กั้นเป็นห้อง จัดชั้นเรียน ป.1-ป.3 มีนายช่วง ปาลิภัฎเป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียน ต่อมา พ.ศ. 2471 โรงเรียนถูกย้ายมายังที่ตั้งอยู่ปัจจุบัน และได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่นายก้ามงิ้นเชี้ยว ดีบุก ผู้บริจาคเงินสมทบในการปลูกสร้างโรงเรียนเป็นเงิน 13,500 บาท โดยทำการเปิดสอนนักเรียนชั้น ป.1-ป.3 เช่นเดิม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2483 ชั้นเรียนชั้นประถมทั้งหมดถูกยุบและเปิดเป็นมัธยมศึกษา โดยเปิดสอนนักเรียนชั้น ม.1- ม.6 แบบสหศึกษา ก่อนที่จะมีการแยกนักเรียนหญิงไปอยู่โรงเรียนสตรีพังงา แยกนักเรียนหญิงออกไปอยู่โรงเรียนสตรีพังงา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อรับนักเรียนหญิงโดยเฉพาะ อยู่ห่างจากโรงเรียนเดิม 300 เมตร เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2499 ในปัจจุบันทางโรงเรียนได้เปิดรับนักเรียนหญิง โดยเปิดเป็นแบบสหศึกษาตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.6 อีกครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายนสัญลักษณ์ตราประจำโรงเรียนสัญลักษณ์. ตราประจำโรงเรียน. - ตราโรงเรียนเป็นรูป “เพชร” ซึ่งมีความหมาย 3 ประการ คือ - “จงคมเหมือนเพชร” หมายถึง มีสติปัญญาเฉียบแหลม - “จงแข็งเหมือนเพชร” หมายถึง มีสุขภาพแข็งแรง - “จงมีค่าเหมือนเพชร” หมายถึง เป็นผู้มีคุณภาพในสังคมปรัชญาโรงเรียนปรัชญาโรงเรียน. - “ปญฺญา นรานํ รตนํ” หมายถึง ปัญญาเป็นแก้วอันประเสริฐของนรชนที่ตั้งโรงเรียนที่ตั้งโรงเรียน. - โรงเรียนตั้งอยู่ในตัวเมืองพังงา เลขที่ 132 ถนนเพชรเกษม ต.ท้ายช้าง อ.เมืองพังงา จ.พังงา - ทิศเหนือ « จดโรงแรมเมืองทองและถนนสาธารณะ - ทิศใต้ « จดสุเหร่าและทางสาธารณะ - ทิศตะวันออก « จดถนนเพชรเกษมและสำนักงานเทศบาลเมืองพังงา - ทิศตะวันตก « จดที่ดินเอกชน
| ตราประจำโรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน ในจังหวัดพังงา มีรูปร่างเป็นวัตถุชนิดใด | {
"answer": [
"เพชร"
],
"answer_begin_position": [
1482
],
"answer_end_position": [
1486
]
} |
2,107 | 1,974 | ประเทศบรูไน บรูไน () หรือ เนอการาบรูไนดารุซซาลาม () เป็นรัฐเอกราชบนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวะก์ของมาเลเซียตะวันออก บรูไนเป็นประเทศเดียวที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนเกาะบอร์เนียว ส่วนพื้นที่ ๆ เหลือของเกาะถูกแบ่งเป็นของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประทศบรูไนมีประชากรประมาณ 423,196 คนใน พ.ศ. 2559 ประเทศบรูไนเจริญถึงขีดสุดในสมัยสุลต่านโบลเกียห์ที่ปกครองจักรวรรดิบรูไนช่วง พ.ศ. 2028-พ.ศ. 2071 โดยกล่าวกันว่าสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวได้ อาทิพื้นที่ในปัจจุบันของรัฐซาราวัก รัฐซาบะฮ์ กลุ่มเกาะซูลูทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว มะนิลาและหมู่เกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ต่อมาใน ค.ศ. 1521 เฟอร์ดินานด์ มาเจลลันมาพบกับบรูไน และใน ค.ศ. 1578 บรูไนต่อสู้กับสเปนในสงครามกัสติเลียน ในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มเสื่อมอำนาจ สุลต่านยอมยกซาราวัก (กูชิง) ให้เจมส์ บรูกและแต่ตั้งให้เป็นรายาแห่งซาราวะก์จากนั้นซาราวักก้ตกเป็นของบริษัทบริษัทเอ็นบีซีซีของอังกฤษ ใน พ.ศ. 2431 บรูไนได้กลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษและได้รับมอบหมายให้เป็นพลเมืองอังกฤษในฐานะผู้บริหารรอาณานิคมใน พ.ศ. 2449 หลังจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดครองบรูไน พ.ศ. 2502 มีการเขียนกฎหมายสูงสุดฉบับใหม่ขึ้น และใน พ.ศ. 2505 การประท้วงขนาดเล็กที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์สิ้นสุดลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ บรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาเรล/วัน)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. บรูไนประกอบด้วย 2 ส่วนที่ไม่ติดกันคือด้านตะวันตกและตะวันออกโดยที่ประชากรร้อยละ 97 อาศัยอยู่ในส่วนด้านตะวันตก และมีประชากรเพียงประมาณ 10,000 คนที่อาศัยอยู่ในด้านตะวันออก ซึ่งมีภูเขาเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ตั้งของเขตเติมบูรง เมืองหลัก ๆ ของบรูไนคือเมืองหลวงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน เมืองท่ามัวรา และเซอเรีย ภูมิอากาศในบรูไนเป็นภูมิอากาศเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง และ ฝนตกมากประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูร พริกไทย และทองคำ หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามา จนถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอา ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่าน แต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกูรข่าที่กองทัพบกอังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รัฐธรรมนูญปัจจุบันซึ่งแก้ไขล่าสุดเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมลายูโดยกำเนิด และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายซุนนี่ย์ นอกจากนี้ บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน นโยบายหลักของบรูไน ได้แก่การสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ และดำรงความเป็นอิสระของประเทศ ทั้งนี้ บรูไนมีที่ตั้งที่ถูกโอบล้อมโดยมาเลเซีย และมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อยู่ทางใต้ บรูไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันหลายประการ อาทิ เป็นประเทศเล็ก และมีอาณาเขตติดกับประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ นับจากการพยายามยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกส่งผลให้ไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งบทบาทพรรคการเมืองได้ถูกจำกัดอย่างมาก จนปัจจุบันพรรคการเมือง ได้แก่ Parti Perpaduan Kebangsaan Brunei (PPKB) และ Parti Kesedaran Rakyat (PAKAR) ไม่มีบทบาทมากนัก เนื่องจากรัฐบาลควบคุมด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ (Internal Security Act (ISA)) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง และสามารถถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองได้ ตลอดจนห้ามข้าราชการ (ซึ่งมีเป็นจำนวนกว่าครึ่งของประชากรบรูไนทั้งหมด) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือจากข้าราชการของสุลต่านได้อยู่แล้ว เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ได้มีการจัดการประชุมของสภาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่บรูไนประกาศเอกราชบริหารนิติบัญัติตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศบรูไนแบ่งการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 4 เขต () ดังนี้1. เขตบรูไน-มัวรา (Brunei-Muara) 2. เขตเบอไลต์ (Belait) 3. เขตตูตง (Tutong) 4. เขตเติมบูรง (Temburong)เมืองใหญ่สุดสิทธืมนุษยชนการต่างประเทศการทหาร การทหาร. กองทัพบรูไน (Royal Brunei Armed Forces หรือ RBAF) มีกำลังพลเพียง 7,000 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย โดยแบ่งเป็นกองทัพบก 4,900 นาย กองทัพเรือ 1,000 นาย และกองทัพอากาศ 1,200 นาย อย่างไรก็ดี สุลต่านยังมีกองทหารกูรข่าของพระองค์เอง เรียกว่า Gurkha Reserve Unit (GRU) จำนวน 2,500 นาย และกองทหารกูรข่าของอังกฤษ (British Gurkha) รวมกำลังพล 1,000 คน ประจำอยู่ที่เมืองเซอเรีย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ให้แก่บ่อน้ำมัน และกิจการผลิตน้ำมันของ กองทัพบรูไนBrunei Shell Petroleum โดยรัฐบาลบรูไนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลตานบรูในได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้ง่ความหวังว่าอุตสหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เล่าเรียนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษานอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว กล้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ การผลิตอาหาร และปลากระป๋องแนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ. ปัจจุบัน บรูไนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว (proven reserve) ของบรูไนจะหมดลงในราวปี พ.ศ. 2558 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเอเชีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ทำให้บรูไนเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่1. จัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ นำโดยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบรูไน) ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมภาคเอกชน ให้มีบทบาทมากขึ้น ในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ 2. ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เน้นนโยบายให้สวัสดิการ มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ขยายฐานการจัดเก็บภาษี 3. ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศของ BIA โดยหันมาลงทุนในธุรกิจด้านใหม่ ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทคมนาคม หรือธุรกิจสายการบินต่าง ๆ 4. แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 8 (The Eighth National Development Plan: 8th NDP) ที่ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี - GDP) ที่ร้อยละ 5–6 โดยตั้งวงเงินงบประมาณ สำหรับการดำเนินตามแผนฯ ไว้ 7.3 พันล้านดอลลาร์บรูไน ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ทางการพัฒนาใหม่นี้ จะช่วยให้รัฐบาลสร้างสมดุลของงบประมาณได้ดีขึ้น สามารถกำหนดมาตรการในการพัฒนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งและการขยายตัวให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและย่อม การขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจบางกิจการ และสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินและการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนยังยึดแนวคิดของวิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รวมทั้งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน 5. ส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ และมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้า และสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียน และนานาประเทศ 6. พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์บริการการค้าและการท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism -SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของโครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei Indonesia Malaysia Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA) 7. สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเอื้ออำนวยต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ จากการที่บรูไนได้กำหนดแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติ (Brunei International Financial Center : BIFC) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประเทศ ในด้านการบริการการเงินในระดับนานาชาติ กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชนการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ในปี ค.ศ. 2007 ประเทศบรูไนมีประชากรประมาณ 374,577 คน เป็นเชื้อชาติมลายู 250,967 คน (67%) จีน 56,187 คน (15%) และอื่น 67,424 คน (18%) อัตราการเพิ่มประชากรเฉลี่ยปีละ 3.5 %ศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2011 ประเทศบรูไนมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลามนิกายซุนนี 67% ศาสนาพุทธนิกายมหายาน 13% ศาสนาคริสต์ 10% ศาสนาอื่น ๆ และไม่มีศาสนา 10%ภาษา ภาษา. ประเทศบรูไนใช้ภาษามลายู (Bahasa Melayu) เป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษารองที่ใช้สื่อสารกันแพร่หลายวัฒนธรรมเทศกาล วัฒนธรรม. เทศกาล. ชาวบรูไนก็ยังคงเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะเทศกาลรอมฏอน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของการถือศีลอดอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนจะไปเยี่ยมเพื่อนหรือครอบครัวและรับประทานอาหารฉลองร่วมกันอาหารสือสารมวลชนกีฬาวันหยุดเชิงอรรถ และ อ้างอิงเชิงอรรถ และ อ้างอิง. - เชิงอรรถ - อ้างอิง - ประเทศบรูไนดารุสซาลาม จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
| ประเทศบรูไนตั้งอยู่บนเกาะใด | {
"answer": [
"บอร์เนียว"
],
"answer_begin_position": [
153
],
"answer_end_position": [
162
]
} |
2,108 | 1,974 | ประเทศบรูไน บรูไน () หรือ เนอการาบรูไนดารุซซาลาม () เป็นรัฐเอกราชบนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวะก์ของมาเลเซียตะวันออก บรูไนเป็นประเทศเดียวที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนเกาะบอร์เนียว ส่วนพื้นที่ ๆ เหลือของเกาะถูกแบ่งเป็นของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประทศบรูไนมีประชากรประมาณ 423,196 คนใน พ.ศ. 2559 ประเทศบรูไนเจริญถึงขีดสุดในสมัยสุลต่านโบลเกียห์ที่ปกครองจักรวรรดิบรูไนช่วง พ.ศ. 2028-พ.ศ. 2071 โดยกล่าวกันว่าสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวได้ อาทิพื้นที่ในปัจจุบันของรัฐซาราวัก รัฐซาบะฮ์ กลุ่มเกาะซูลูทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว มะนิลาและหมู่เกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ต่อมาใน ค.ศ. 1521 เฟอร์ดินานด์ มาเจลลันมาพบกับบรูไน และใน ค.ศ. 1578 บรูไนต่อสู้กับสเปนในสงครามกัสติเลียน ในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มเสื่อมอำนาจ สุลต่านยอมยกซาราวัก (กูชิง) ให้เจมส์ บรูกและแต่ตั้งให้เป็นรายาแห่งซาราวะก์จากนั้นซาราวักก้ตกเป็นของบริษัทบริษัทเอ็นบีซีซีของอังกฤษ ใน พ.ศ. 2431 บรูไนได้กลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษและได้รับมอบหมายให้เป็นพลเมืองอังกฤษในฐานะผู้บริหารรอาณานิคมใน พ.ศ. 2449 หลังจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดครองบรูไน พ.ศ. 2502 มีการเขียนกฎหมายสูงสุดฉบับใหม่ขึ้น และใน พ.ศ. 2505 การประท้วงขนาดเล็กที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์สิ้นสุดลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ บรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาเรล/วัน)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. บรูไนประกอบด้วย 2 ส่วนที่ไม่ติดกันคือด้านตะวันตกและตะวันออกโดยที่ประชากรร้อยละ 97 อาศัยอยู่ในส่วนด้านตะวันตก และมีประชากรเพียงประมาณ 10,000 คนที่อาศัยอยู่ในด้านตะวันออก ซึ่งมีภูเขาเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ตั้งของเขตเติมบูรง เมืองหลัก ๆ ของบรูไนคือเมืองหลวงบันดาร์เซอรีเบอกาวัน เมืองท่ามัวรา และเซอเรีย ภูมิอากาศในบรูไนเป็นภูมิอากาศเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง และ ฝนตกมากประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูร พริกไทย และทองคำ หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามา จนถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอา ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่าน แต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกูรข่าที่กองทัพบกอังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รัฐธรรมนูญปัจจุบันซึ่งแก้ไขล่าสุดเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมลายูโดยกำเนิด และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายซุนนี่ย์ นอกจากนี้ บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน นโยบายหลักของบรูไน ได้แก่การสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ และดำรงความเป็นอิสระของประเทศ ทั้งนี้ บรูไนมีที่ตั้งที่ถูกโอบล้อมโดยมาเลเซีย และมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อยู่ทางใต้ บรูไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันหลายประการ อาทิ เป็นประเทศเล็ก และมีอาณาเขตติดกับประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ นับจากการพยายามยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกส่งผลให้ไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งบทบาทพรรคการเมืองได้ถูกจำกัดอย่างมาก จนปัจจุบันพรรคการเมือง ได้แก่ Parti Perpaduan Kebangsaan Brunei (PPKB) และ Parti Kesedaran Rakyat (PAKAR) ไม่มีบทบาทมากนัก เนื่องจากรัฐบาลควบคุมด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ (Internal Security Act (ISA)) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง และสามารถถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองได้ ตลอดจนห้ามข้าราชการ (ซึ่งมีเป็นจำนวนกว่าครึ่งของประชากรบรูไนทั้งหมด) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือจากข้าราชการของสุลต่านได้อยู่แล้ว เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ได้มีการจัดการประชุมของสภาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่บรูไนประกาศเอกราชบริหารนิติบัญัติตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศบรูไนแบ่งการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 4 เขต () ดังนี้1. เขตบรูไน-มัวรา (Brunei-Muara) 2. เขตเบอไลต์ (Belait) 3. เขตตูตง (Tutong) 4. เขตเติมบูรง (Temburong)เมืองใหญ่สุดสิทธืมนุษยชนการต่างประเทศการทหาร การทหาร. กองทัพบรูไน (Royal Brunei Armed Forces หรือ RBAF) มีกำลังพลเพียง 7,000 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย โดยแบ่งเป็นกองทัพบก 4,900 นาย กองทัพเรือ 1,000 นาย และกองทัพอากาศ 1,200 นาย อย่างไรก็ดี สุลต่านยังมีกองทหารกูรข่าของพระองค์เอง เรียกว่า Gurkha Reserve Unit (GRU) จำนวน 2,500 นาย และกองทหารกูรข่าของอังกฤษ (British Gurkha) รวมกำลังพล 1,000 คน ประจำอยู่ที่เมืองเซอเรีย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ให้แก่บ่อน้ำมัน และกิจการผลิตน้ำมันของ กองทัพบรูไนBrunei Shell Petroleum โดยรัฐบาลบรูไนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลตานบรูในได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้ง่ความหวังว่าอุตสหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เล่าเรียนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษานอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว กล้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ การผลิตอาหาร และปลากระป๋องแนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ. ปัจจุบัน บรูไนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว (proven reserve) ของบรูไนจะหมดลงในราวปี พ.ศ. 2558 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเอเชีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ทำให้บรูไนเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่1. จัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ นำโดยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบรูไน) ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมภาคเอกชน ให้มีบทบาทมากขึ้น ในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ 2. ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เน้นนโยบายให้สวัสดิการ มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ขยายฐานการจัดเก็บภาษี 3. ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศของ BIA โดยหันมาลงทุนในธุรกิจด้านใหม่ ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทคมนาคม หรือธุรกิจสายการบินต่าง ๆ 4. แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 8 (The Eighth National Development Plan: 8th NDP) ที่ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี - GDP) ที่ร้อยละ 5–6 โดยตั้งวงเงินงบประมาณ สำหรับการดำเนินตามแผนฯ ไว้ 7.3 พันล้านดอลลาร์บรูไน ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ทางการพัฒนาใหม่นี้ จะช่วยให้รัฐบาลสร้างสมดุลของงบประมาณได้ดีขึ้น สามารถกำหนดมาตรการในการพัฒนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งและการขยายตัวให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและย่อม การขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจบางกิจการ และสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินและการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนยังยึดแนวคิดของวิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รวมทั้งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน 5. ส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ และมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้า และสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียน และนานาประเทศ 6. พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์บริการการค้าและการท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism -SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของโครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei Indonesia Malaysia Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA) 7. สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเอื้ออำนวยต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ จากการที่บรูไนได้กำหนดแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติ (Brunei International Financial Center : BIFC) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประเทศ ในด้านการบริการการเงินในระดับนานาชาติ กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชนการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ในปี ค.ศ. 2007 ประเทศบรูไนมีประชากรประมาณ 374,577 คน เป็นเชื้อชาติมลายู 250,967 คน (67%) จีน 56,187 คน (15%) และอื่น 67,424 คน (18%) อัตราการเพิ่มประชากรเฉลี่ยปีละ 3.5 %ศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2011 ประเทศบรูไนมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลามนิกายซุนนี 67% ศาสนาพุทธนิกายมหายาน 13% ศาสนาคริสต์ 10% ศาสนาอื่น ๆ และไม่มีศาสนา 10%ภาษา ภาษา. ประเทศบรูไนใช้ภาษามลายู (Bahasa Melayu) เป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษารองที่ใช้สื่อสารกันแพร่หลายวัฒนธรรมเทศกาล วัฒนธรรม. เทศกาล. ชาวบรูไนก็ยังคงเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะเทศกาลรอมฏอน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของการถือศีลอดอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนจะไปเยี่ยมเพื่อนหรือครอบครัวและรับประทานอาหารฉลองร่วมกันอาหารสือสารมวลชนกีฬาวันหยุดเชิงอรรถ และ อ้างอิงเชิงอรรถ และ อ้างอิง. - เชิงอรรถ - อ้างอิง - ประเทศบรูไนดารุสซาลาม จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
| ภาษาราชการของประเทศบรูไนคือภาษาใด | {
"answer": [
"มลายู"
],
"answer_begin_position": [
10066
],
"answer_end_position": [
10071
]
} |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.