question_id
int32
1
4k
article_id
int32
665
954k
context
stringlengths
75
87.2k
question
stringlengths
11
135
answers
dict
2,109
626,057
ม้าเหล็ก ม้าเหล็ก คืออัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 ของอำพล ลำพูน วางแผงเมื่อปี พ.ศ. 2536ทีมงานทีมงาน. - วางจำหน่าย : ธันวาคม พ.ศ. 2536- Producer : กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา , Executive Producer : เรวัติ พุทธินันท์ , Production Co-Ordinator : นิติพงษ์ ห่อนาค- Co-Producer : ประชา พงษ์สุพัฒน์ , บันทึกเสียง : ButterflyStudio ก.ย. - พ.ย. 2536- ควบคุมเสียง : พงษ์ศักดิ์ เกาหอม / วราวุธ เปี่ยมมงคล- ผสมเสียง : โยธิน ชิรานนท์ / ต่อพงษ์ สายศิลป์- นักดนตรีและนักร้องรับเชิญ : กบ (ไมโคร) / เพชร มาร์ / อ้วน (ไมโคร) / บอย (ไมโคร) / วีระ โชติวิเชียร- อภิไชย เย็นพูนสุข / ลัดสปัญ สมสุวรรณ / พงษ์ศักดิ์ ภูววีรานนท์ / กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนารายชื่อเพลงรายชื่อเพลง. - ม้าเหล็ก (เพลงที่ยาวที่สุดของอำพล) - เอากะเขาหน่อย - ลองเชิงลองใจ - ไม่อยากทำใคร - จะไปเหลืออะไรล่ะ - ขอเวลาหายใจ - รู้ได้ยังไง - ไว้ใจ - ไม่ต้องเกรงใจกันบ้าง - เครื่องจักรน้อยๆ
ม้าเหล็ก เป็นผลงานเพลงชุดที่เท่าไรของอำพล ลำพูน
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 124 ], "answer_end_position": [ 125 ] }
2,110
1,989
ประเทศสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นนครรัฐสมัยใหม่และประเทศเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่นอกปลายทิศใต้ของคาบสมุทรมลายูและอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร 137 กิโลเมตร ดินแดนของประเทศประกอบด้วยเกาะหลักรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งมักเรียกว่าเกาะสิงคโปร์ในภาษาอังกฤษ และเกาะอูจง (Pulau Ujong) ในภาษามลายู และเกาะที่เล็กกว่ามากอีกกว่า 60 เกาะ ประเทศสิงคโปร์แยกจากคาบสมุทรมลายูโดยช่องแคบยะฮอร์ทางทิศเหนือ และจากหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซียโดยช่องแคบสิงคโปร์ทางทิศใต้ ประเทศมีลักษณะแบบเมืองอย่างสูง และคงเหลือพืชพรรณดั้งเดิมเล็กน้อย ดินแดนของประเทศขยายอย่างต่อเนื่องโดยการแปรสภาพที่ดิน หมู่เกาะมีการตั้งถิ่นฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 2 และต่อมาเป็นของจักรวรรดิท้องถิ่นต่าง ๆ สิงคโปร์สมัยใหม่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1819 โดยเซอร์สแตมฟอร์ด รัฟเฟิลส์ (Stamford Raffles) เป็นสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกโดยการอนุญาตจากรัฐสุลต่านยะฮอร์ อังกฤษได้อธิปไตยเหนือเกาะใน ค.ศ. 1824 และสิงคโปร์กลายเป็นหนึ่งในนิคมช่องแคบอังกฤษใน ค.ศ. 1826 หลังถูกญี่ปุ่นยึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1963 และเข้าร่วมกับอดีตดินแดนของอังกฤษอื่นเพื่อตั้งประเทศมาเลเซีย แต่ถูกขับอีกสองปีต่อมาผ่านพระราชบัญญัติโดยเอกฉันท์ นับแต่นั้น ประเทศสิงคโปร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการรับรองว่าเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชีย ประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางพาณิชย์สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยเป็นศูนย์กลางการเงินใหญ่สุดเป็นอันดับสี่และเป็นหนึ่งในห้าท่าที่วุ่นวายที่สุด เศรษฐกิจซึ่งเป็นโลกาภิวัฒน์และมีความหลากหลายอาศัยการค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิต ซึ่งคิดเป็นประมาณ 30% ของจีดีพีของสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2556 ในแง่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ประเทศสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสามของโลกแต่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้รุนแรงที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงในแง่การศึกษา สาธารณสุขและความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 มีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เกือบ 5.5 ล้านคน ซึ่งกว่า 2 ล้านคนมีสัญชาติต่างชาติ แม้สิงคโปร์จะมีความหลากหลาย แต่เชื้อชาติเอเชียมีมากที่สุด 75% ของประชากรเป็นชาวจีน โดยมีชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ เช่น ชาวมลายู ชาวอินเดียและชาวยูเรเชีย มีภาษาราชการสี่ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนกลาง และภาษาทมิฬ และประเทศสนับสนุนพหุวัฒนธรรมนิยมผ่านนโยบายทางการต่าง ๆอีกด้วย ประเทศสิงคโปร์เป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภา รัฐเดี่ยว และใช้ระบบหลายพรรคการเมือง โดยมีการปกครองสภาเดี่ยวระบบเวสต์มินสเตอร์ พรรคกิจประชาชนชนะการเลือกตั้งทุกครั้งนับแต่เริ่มการปกครองตนเองในปี พ.ศ. 2502 ภาวะครอบงำของพรรคกิจประชาชน ประกอบกับระดับเสรีภาพสื่อต่ำและการปราบปรามเสรีภาพพลเมืองและสิทธิการเมืองนำให้ประเทศสิงคโปร์ถูกจัดเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ (flawed democracy) ประเทศสิงคโปร์เป็นหนึ่งในห้าสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังเป็นที่ตั้งของสำนักเลขาธิการความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และสมาชิกการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเครือจักรภพแห่งประชาชาติ การพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศสิงคโปร์นำให้มันมีอิทธิพลอย่างสำคัญในกิจการโลก นำให้นักวิเคราะห์บางส่วนระบุว่าเป็นอำนาจปานกลาง (middle power)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเนินเขา ซึ่งเนินเขาทางภาคกลางเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของสิงคโปร์ และภาคตะวันออกเป็นที่ราบต่ำ ชายฝั่งทะเลมักจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ต้องมีการถมทะเลภูมิอากาศประวัติศาสตร์ช่วงต้น ประวัติศาสตร์. ช่วงต้น. ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ก่อนศตวรรษที่ 14 มิได้ถูกบันทึกอย่างชัดเจนและแน่นอนนัก ในช่วงศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมัชฌาปาหิตแห่งชวา ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 15 ก็อยู่ภายใต้การยึดครองของอาณาจักรสยาม จนถูกประมุขแห่งมะละกาเข้ามาแย่งชิงไป และเมื่อโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา สิงคโปร์ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสในราวปี ค.ศ. 1498 และต่อมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอลันดาในช่วงศตวรรษที่ 17 สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมาลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละก้ายุคแห่งการล่าอาณานิคม ยุคแห่งการล่าอาณานิคม. ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มาแย่งไป เมื่ออังกฤษขยายอิทธิพลเข้ามาบริเวณแหลมมลายูในกลางศตวรรษที่ 18 แต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์ปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านฮุสเซียน ชาห์ว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้และก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1819 โดยอังกฤษได้ขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากจักรวรรดิ์ยะโฮร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฮอลันดา ในปี ค.ศ. 1824 อังกฤษมีสิทธิครอบครองสิงคโปร์ตามข้อตกลงที่ทำกับฮอลันดา ต่อมาในปี ค.ศ. 1826 สิงคโปร์ถูกปกครองภายใต้ระบบสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ (Straits Settlement) ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษควบคุมดูแลสิงคโปร์ รวมทั้งปีนังและมะละกาด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1857 รัฐบาลอังกฤษได้เข้ามาดูแลระบบนี้เอง ในปี ค.ศ. 1867 สิงคโปร์กลายเป็นอาณานิคม (Crown Colony) อย่างสมบูรณ์จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นจึงได้ขับไล่อังกฤษออกจากสิงคโปร์และเข้าไปยึดครองแทนอาณานิคมแบบเอกเทศ อาณานิคมแบบเอกเทศ. ค.ศ. 1946 จึงได้รับการยกฐานะให้เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศ (Separate Crown colony) เมื่ออังกฤษกลับมาควบคุมสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1942-1946)การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย. เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมลายูกลายเป็นสหภาพมลายาทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติกัน ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมาในชื่อ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. ในฐานะที่เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศนั้น สิงคโปร์มีอำนาจปกครองกิจการภายในของตนเองแต่ไม่มีอำนาจดูแลกิจการทหารและการต่างประเทศ และยังมีผู้ว่าราชการจากส่วนกลางมาปกครองอยู่ ในสภานิติบัญญัติ (Legislative Council) นั้น อังกฤษเริ่มเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกบางส่วน (6 คน จาก 22 คน) ได้ ซึ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาบางส่วนนี้ในปี 1948 พรรคก้าวหน้า (Progressive Party) ของสิงคโปร์ได้ที่นั่งมากที่สุด ต่อมาในปี ค.ศ. 1951 สมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งถูกเพิ่มเป็น 9 คน ในจำนวน 25 คน และในปี ค.ศ. 1955 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งมีจำนวน 25 คน ในจำนวน 32 คน ต่อมาอังกฤษให้ชาวสิงคโปร์มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากขึ้นในช่วง 10 ปี ก่อนที่สิงคโปร์จะประกาศเป็นสาธารณรัฐนั้น สิงคโปร์จึงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล 3 ชุด คือ (1) รัฐบาลของนายเดวิด มาร์แชล (David Marshall) จากปี 1955-1956 (2) รัฐบาลของนายลิม ยิว ฮ๊อค (Lim Yew Hock) จากปี ค.ศ. 1956-1959 และ (3) รัฐบาลของนาย ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) ซึ่งภายใต้รัฐบาลนี้สิงคโปร์มีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว และนายลี กวน ยูได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ต่อมาในช่วงปี 1963-1965 รัฐบาลชุดนี้ก็ได้ตัดสินใจเข้าไปรวมอยู่ในสหพันธรัฐมาลายา และอยู่ได้เพียง 2 ปี นับจากปี ค.ศ. 1965 เมืองสิงคโปร์ประกาศตนเป็นประเทศเอกราช มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง โดยปกครองในรูปของสาธารณรัฐ หลังจากนั้นสิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 25 ปี ซึ่งก็คือ นาย ลี กวน ยู ทั้งนี้เป็นเพราะพรรคกิจประชา (PAP: People’ Action Party) ซึ่งนาย ลี เป็นผู้ก่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 นั้นมีชัยชนะในการเลือกตั้งเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งซ่อม ทศวรรษ 1990 เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนการปกครองสิงคโปร์จากผู้นำกลุ่มเก่า (Old Guards) เป็นผู้นำรุ่นใหม่ (New Guards) นายโก๊ะ จ๊กตง (Goh Chok Tong) ได้รับการคัดเลือกจากพรรคกิจประชาและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1990 นาย ลี กวน ยู ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลชุดใหม่โดยเป็นรัฐมนตรีอาวุโส และในปี ค.ศ. 1993 สิงคโปร์เริ่มใช้ระบบประธานาธิบดีแบบใหม่ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ปัจจุบันปี ค.ศ. 2006 ประเทศสิงคโปร์ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกผู้นำคนใหม่และทีม เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี พรรคกิจประชาก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเหมือนอย่างเดิม โดยพรรค PAP ได้รับที่นั่งในฝ่ายรัฐบาล 82 ที่นั่งจาก 84 ที่นั่ง ซึ่งเท่ากับสมัยนายโก๊ะ จ๊กตงได้รับในปี พ.ศ. 2544 แต่ได้คะแนนเสียงลดลงจากสมัยแรกที่ได้ 75.3 เป็น66.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของนาย ลี เซียน ลุง สมัยที่สองซึ่งรัฐบาลจะมีนโยบายผลักดันในเรื่องปัญหาคนยากไร้ ผู้สูงอายุและคนว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นาย ลี เซียน ลุงจะได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้นั้น เขาได้เน้นโยบายแบ่งปันรายได้ผนวกกับความอ่อนแอและแตกแยกของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรค PAP ได้ครองอำนาจสืบทอดมาเป็นเวลา 4 ทศวรรษบริหาร บริหาร. ระบอบการปกครองของสิงคโปร์ คือ ระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายโทนี ตัน เค็ง ยัม เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554 ส่วนนายกรัฐมนตรีคือ นายลี เซียน ลุง ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากนายโก๊ะ จ๊กตง และนายลี กวน ยูซึ่งมีฐานะเป็นบิดาของนาย ลี เซียน ลุง สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขทางพิธีการ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขทางด้านบริหาร สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพราะนับแต่ตั้งประเทศเป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวและเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีการควบคุมสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนและประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างค่อนข้างเข้มงวดนิติบัญญัติตุลาการ ตุลาการ. สถาบันตุลาการของสิงคโปร์อยู่ภายใต้ระบบสาธารณรัฐ อำนาจตุลาการนั้นเป็นอิสระมาก ปราศจากการควบคุมและแทรกแซงจากฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีการแบ่งศาลเป็น 2 ระดับ คือ ศาลชั้นต้น กับศาลสูงสุด ระบบกฎหมายของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ใช้แบบคอมมอนลอว์เนื่องจากGAyนอาณานิคมของ สหราชอาณาจักรมากก่อนจึงได้รับอิทธิพลด้านกฎหมายมาด้วยสิทธิมนุษยชนกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. กิจกรรมที่สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจในสิงคโปร์1. การเพาะปลูก ปลูกยางพารา มะพร้าว ผัก ผลไม้ แต่พื้นที่มีจำกัด 2. อาศัยวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน มีอุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตยางพารา ขนมปัง เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมหนัก เช่น อู่ต่อเรือ ทำเหล็กกล้า ยางรถยนต์ มีกิจการกลั่นน้ำมันซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้สร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ด้วย 3. การค้าขาย เป็นท่าเรือปลอดภาษี ประเทศต่าง ๆ ส่งสินค้าต่าง ๆ มายังสิงคโปร์เพื่อส่งออก และสิงคโปร์ยังรับสินค้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้าน มีท่าเรือน้ำลึก เหมาะในการจอดเรือส่งสินค้าสถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจ. สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากเหมือนประเทศอื่น แต่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี เพราะสิงคโปร์พัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้า โดยเป็นประเทศพ่อค้าคนกลางในการขายสินค้าเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าปลอดภาษี ทำให้สินค้าที่ผ่านทางสิงคโปร์มีราคาถูก ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และยังได้เข้าไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชาและพม่า สิงคโปร์มีประชากรน้อยจึงต้องพึงพาแรงงานจากต่างชาติในทุกระดับ สิงค์โปร์เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินที่มั่งคั่งที่สุดประเทศนึงในโลกการท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. สถานที่ท่องเที่ยว. หากแบ่งตามภูมิศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศสิงคโปร์ มีดังนี้- ภาคตะวันออก - Katong, Pasir Ris, Changi/Pulau Ubin - ภาคตะวันตก - Kent Ridge, Mount Faber, Bukit Timah - ภาคเหนือ - Thomson, Lim Chu Kang/Tengah - ภาคกลาง - Balestier, Chinatown, แม่น้ำสิงคโปร์ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมักอยู่ในตอนกลาง ได้แก่ พื้นที่บริเวณ Marina Bay, ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลออน (Merlion) , อาคารโรงละคร Esplanade ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่, สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำ บริเวณพื้นที่ริมน้ำ ได้แก่ Clarke Quay, Boat Quay, ย่านไชน่าทาวน์ (China Town) , ย่าน Little India, ย่านชอปปิ้ง บนถนน Orchard ส่วนบริเวณเมืองรอบนอกนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวกระจายอยู่โดยรอบ สามารถเข้าถึงได้โดยรถไฟ MRT และ รถประจำทาง ได้แก่ เกาะเซนโตซา (Sentosa Island) บริเวณ Harbour Front, สวนสัตว์กลางคืน (Night Safari) , สวนนกจูร่ง (Jurong Birdpark) เป็นต้นโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. เส้นทางคมนาคม. ที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นเส้นทางระหว่างทวีปยุโรป และเอเซียตะวันตก กับภาคพื้นตะวันออกไกล รวมทั้งภาคพื้นแปซิฟิค ทำให้สิงคโปร์เป็นชุมทางของเส้นทางเดินเรือ และสายการบินระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งชุมนุมการค้าขาย ปัจจุบันสิงคโปร์ มีท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเซีย รองจากโยโกฮามาของญี่ปุ่น และเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามาก เป็นอันดับสามของโลก การขนส่งทางบก สิงคโปร์มีพื้นที่ไม่มาก ประมาณ 900 ตารางกิโลเมตร แต่ถนนที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ประมาณ 1,300 กิโลเมตร นอกจากถนนแล้ว ยังมีทางรถไฟอยู่สองสาย มีความยาวประมาณ 45 กิโลเมตร ได้มีการสร้างทางรถไฟสายสิงคโปร์ - กรันจิ เมื่อปี พ.ศ. 2446 สมัยรัฐบาลสเตรตส์เซตเทิลเมนต์โดยมีการเดินรถจากสถานีแทงค์โรค ไปยังวู๊ดแลนด์ และมีบริการแพขนานยนต์ ข้ามฟากไปเชื่อมต่อกับทางรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 การรถไฟแห่งสหพันธ์มลายู ได้รับซื้อกิจการนี้แล้วปรับปรุง ให้เริ่มจากสถานีบูกิตบันยัง ถึงสถานีตันหยงปาการ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ได้มีการเริ่มสร้างถนนข้ามช่องยะโฮร์ เพื่อให้ทางรถไฟติดต่อถึงกัน ทางรถไฟสายหลัก ข้ามถนนข้ามช่องยะโฮร์มาเลเซีย ตัดกลางประเทศ ลงสู่ใต้ถึงสถานีปลายทาง ที่ใกล้ท่าเรือเคปเปล โดยมีทางแยกเลยเข้าไปในท่าเรือเคปเปลด้วย ทางรถไฟอีกสายหนึ่ง แยกจากสายแรกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รถไฟสายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลมาเลเซีย การเดินทางไปในสถานีรถไฟ เพื่อโดยสารถือว่าเป็นการเดินทางผ่านประเทศ ต้องมีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือเอกสารอย่างอื่นทำนองเดียวกัน การขนส่งทางน้ำ มีการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ ทางน้ำชายฝั่งและทางน้ำระหว่างประเทศ ทางน้ำภายในประเทศ มีใช้อยู่ในวงจำกัด และไม่ค่อยสะดวก เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ และมีแนวชายฝั่งสั้น ภายในเกาะเองก็มีแม่น้ำสายสั้น ๆ และไม่ติดต่อถึงกัน รวมทั้งยังตื้นเขินมาก จึงต้องจำกัดเวลา ในการใช้คือ ในช่วงเวลาน้ำขึ้นเท่านั้น ทางน้ำชายฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศ แต่มีลักษณะเฉพาะของตนเองคือ ใช้เรือเล็ก ท่าเรือเล็ก ๆ ที่มีจำนวนมากมาย เส้นทางเดินเรือสั้น การให้บริการไม่เป็นประจำ เรือที่เดินตามบริเวณชายฝั่ง มีหลายบริษัท และมีบริษัทที่ให้บริการเป็นประจำไปยังท่าเรืออินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออก และตะวันตก และไทย ทางน้ำระหว่างประเทศ รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนเรือของสิงคโปร์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2509 และได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาตให้มีการจดทะเบียนเรือ ซึ่งเจ้าของอยู่ในต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยมีความมุ่งหมายจะชักจูงเรือสินค้าต่างชาติ ที่ไปจดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติไซบีเรีย และปานามา ให้สนใจโอนสัญชาติเป็นเรือสิงคโปร์ได้ ท่าเรือแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ได้มีการปรัปปรุงท่าเรือสิงคโปร์ ให้สามารถรับเรือคอนเทนเนอร์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ และสามารถอำนวยความสะดวก ให้กับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดสองแสนตัน หรือมากกว่า ท่าเรือ แต่เดิมใช้ท่าเรือเคปเปล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์ และมีเกาะเซนโตซา กับเกาะบรานี เป็นที่กำบังลม ต่อมาบริเวณของการท่าเรือ ได้ขยายออกไปจนเกินอาณาบริเวณ ทั้งพื้นที่บนฝั่ง และในทะเลรวม 538 ตารางกิโลเมตร ท่าเรือสิงคโปร์ มีทั้งท่าเรือน้ำลึกตรงที่ท่าเรือเคปเปล มาจนถึงตันจงปาการ์ ท่าเรือสิงคโปร์เริ่มตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของเกาะ เลียมริมฝั่งตะวันตก เรื่อยไปจนถึงฝั่งตะวันออกของเกาะทีซันไจ มาตา อิกาน บีคอน เขตการค้าเสรี ทางการสิงคโปร์ ได้ประกาศเขตการค้าเสรี เมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามบริเวณท่าเรือ ตั้งแต่เตล๊อก อาเยอร์เบซิน จนถึงจาร์ดินสเตปส์ กับจูร่ง ในบริเวณนี้ทางการได้จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ สายการเดินเรือแห่งชาติ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 บริษัทนี้เป็นสมาชิกของชมรมเดินเรือแห่งตะวันออกไกล เมื่อปี พ.ศ. 2512 การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ เริ่มมีสายการบินทำการค้าสายแรก เมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นของบริษัทดัทช์อิสท์อินเดีย และในปี พ.ศ. 2478 สายการบินแควนตัส ได้เปิดการบินระหว่างสิงคโปร์ กับออสเตรเลีย ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ท่าอากาศยานสากล เดิมอยู่ที่ปายาเลบาร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางวิ่งยาวประมาณ 4,000 เมตร สามารถรับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทุกขนาดและทุกแบบ ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าอากาศยานนานานชาติ ที่จัดส่งทันสมัยมากคือ ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี มีขีดความสามารถในการรับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ และการให้บริการพร้อม ๆ กันถึง 45 เครื่อง มีการสร้างทางวิ่งที่สองบนพื้นที่ ที่ได้จากการถมทะเล สายการบินแห่งชาติ เดิมสิงคโปร์ มีสายการบินร่วมกับมาเลเซียใช้ชื่อว่า มาเลเซีย - สิงคโปร์ แอร์ไลนส์ (Malasia - Singapore Airlines) ต่อมาเมื่อได้แยกประเทศกันแล้ว ก็ได้แยกสายการบินออกจากกันด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2515 สายการบินของสิงคโปร์ใช้ชื่อว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines SIA)โทรคมนาคมการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่านักเรียนแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความสนใจแตกต่างกันไปในแบบฉบับของตนเอง ดังนั้นเราจึงจัดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ การศึกษาก่อนวัยเรียน การศึกษาก่อนวัยเรียน ได้แก่ การศึกษาในชั้นอนุบาลและการดูแลเด็กโดยศูนย์ดูแลเด็กเล็ก โดยจะรับนักเรียนอายุ 3-6 ปี โรงเรียนอนุบาลในสิงคโปร์จะมีกระทรวงศึกษาธิการควบคุม และมีมูลนิธิของชุมชน หน่วยงานทางศาสนา และองค์กรทางธุรกิจและสังคมทำหน้าที่บริหาร โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะทำการเรียนการสอน 5 วันต่อสัปดาห์ และแบ่งการเรียนเป็นสองช่วงในแต่ละวัน ช่วงหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึง 4 ชั่วโมง โดยทั่วไปจะสอนโดยใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาที่สอง ยกเว้นในโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนของชาวต่างชาติที่เข้ามาเปิดสอนในสิงคโปร์ การรับสมัครเรียนโรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กเล็กในสิงคโปร์แต่ละแห่งจะมีระยะเวลาต่างกันไปไม่แน่นอน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเปิดรับสมัครนักเรียนตลอดทั้งปี ผู้ปกครองจึงควรติดต่อทางโรงเรียนโดยตรงเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับ การรับสมัคร หลักสูตรการเรียนการสอน และเรื่องอื่น ๆ ประถมศึกษา เด็กทุกคนในสิงคโปร์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปีในระดับประถมศึกษา ประกอบด้วยการเรียนชั้นประถมต้น (foundation stage) 4 ปี ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 และชั้นประถมปลาย (orientation stage) อีก 2 ปี ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน วิชาหลักที่ได้เรียนคือ วิชาภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่น (Mother Tongue อันได้แก่ ภาษาจีน มลายู หรือทมิฬ ตามเชื้อชาติของตนเอง) คณิตศาสตร์ และวิชาเสริม อันได้แก่ ดนตรี ศิลปะหัตถกรรม สุขศึกษา และสังคมศึกษา ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์จะเริ่มเรียนกันตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป และเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในตัวนักเรียนและทดสอบความถนัดของนักเรียนให้ตรงกับแผนการเรียนในระดับมัธยม ทุกคนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องทำข้อสอบ Primary School Leaving Examination (PSLE) ให้ผ่านเพื่อจบการศึกษาระดับประถม หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ได้รับการยอมรับและนำไปเป็นตัวอย่างการเรียนการสอนจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคณิตศาสตร์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน มัธยมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์มีหลายรูปแบบ ทั้งที่ให้ทุนทั้งหมดโดยรัฐบาล หรือเพียงส่วนเดียว หรือนักเรียนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด นักเรียนในแผนการเรียนพิเศษ (Special และ Express) จะใช้เวลาเรียนเพียง 4 ปี ขณะที่นักเรียนในแผนการเรียนปกติ (Normal) จะใช้เวลาเรียน 5 ปี โดยนักเรียนในแผนการเรียนพิเศษจะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Ordinary’ (GCE ‘O’ Level) เมื่อเรียนครบ 4 ปี ส่วนนักเรียนหลักสูตรปกติที่ใช้เวลาเรียน 5 ปีนั้น จะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Normal’ (GCE ‘N’ Level) เมื่อถึงปีที่ 4 ก่อน แล้วจึงจะสามารถสอบ GCE ‘O’ Level เมื่อเรียนจบปีที่ 5 หลักสูตรวิชาในระดับชั้นมัธยมศึกษาจะประกอบด้วย วิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาแม่ (จีน มลายู หรือทมิฬ) วิทยาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนทางสายศิลป์ วิทยาศาสตร์ ธุรกิจการค้าหรือสายวิชาชีพ หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในสิงคโปร์ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่า ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์และมีความคิดสร้างสรรค์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน จูเนียร์ คอลเลจ/ เตรียมอุดมศึกษา เมื่อนักเรียนสอบ GCE ‘O’ Level ได้สำเร็จแล้ว นักเรียนสามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับจูเนียร์ คอลเลจเป็นเวลา 2 ปี หรือศึกษาที่สถาบันกลางการศึกษา (centralised institute) เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเตรียมศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย จูเนียร์ คอลเลจ และ สถาบันกลางการศึกษาจะสอนทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวให้นักเรียนเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยได้ หลักสูตรหลักแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ วิชาความรู้ทั่วไป (General Paper) และภาษาแม่ เมื่อเรียนจบจูเนียร์ คอลเลจ นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Advanced’ (GCE ‘A’ Level) โดยเลือกวิชาสอบสูงสุดได้ 4 วิชา จากวิชาในหมวดศิลปะ วิทยาศาสตร์และธุรกิจการค้า การรับนักเรียนต่างชาติก็ขึ้นอยู่กับที่นั่งว่างในโรงเรียนเช่นกัน โพลีเทคนิค โพลีเทคนิคสร้างขึ้นเพื่ออบรมหลักสูตรที่หลากหลายให้แก่นักศึกษาที่ต้องการฝึกปรือฝีมือในระดับประกาศนียบัตร และอนุปริญญา ในขณะนี้มีโพลีเทคนิค 5 แห่งในสิงคโปร์ ได้แก่ Nanyang Polytechnic, Ngee Ann Polytechnic, Republic Polytechnic, Singapore Polytechnic, Temasek Polytechnic สถาบันเหล่านี้มีหลักสูตรการสอนมากมายที่มุ่งเน้นให้สามารถไปประกอบอาชีพในอนาคต เช่น วิศวกรรม บริหารธุรกิจ การสื่อสารมวลชน การออกแบบดีไซน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และหลักสูตรเฉพาะทางอย่างเช่น การวัดสายตา วิศวกรรมทางทะเล การศึกษาเกี่ยวกับการเดินเรือ พยาบาล การเลี้ยงดูเด็กอ่อน และการทำภาพยนตร์ นักเรียนที่จบการศึกษาในจากโพลีเทคนิคเป็นที่นิยมของบริษัทต่าง ๆ เพราะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งเศรษฐกิจใหม่ สถาบันเทคนิคศึกษา สถาบันเทคนิคการศึกษา (Institute of Technical Education – ITE) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาและต้องการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและความรู้ทางอุตสาหกรรมแขนงต่าง ๆ นอกจากโปรแกรมฝึกอบรมเต็มเวลาสำหรับนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาแล้ว และยังมีโปรแกรมสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ของตนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอีกด้วย มหาวิทยาลัย (Universities) ในสิงคโปร์มี 4 แห่ง ได้แก่ National University of Singapore (NUS) Nanyang Technological University (NTU) Singapore Management University (SMU) Singapore University of Technology and Design (SUTD) มหาวิทยาลัยทั้งสามแห่งได้ผลิตนักศึกษาปริญญาที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับมากมาย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยทั้งหมดยังให้โอกาสแก่นักศึกษาที่มีความรู้แต่ขาดทุนทรัพย์ โดยการให้ทุนเพื่อศึกษาและการวิจัยในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ก่อตั้งในปีค.ศ. 1905 เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมานาน เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี กฎหมาย ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (NTU) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1981 เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอนและการวิจัยด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ต่อมาได้ร่วมกับวิทยาลัยครู (National Institute Education – NIE) เพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนในสาขาการบัญชี บริหารธุรกิจและสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ (SMU) ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแต่บริหารจัดการแบบเอกชน เน้นการเรียนการสอนด้านธุรกิจการจัดการ Singapore University of Technology and Design (SUTD) ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 มหาวิทยาลัยนานาชาติในสิงคโปร์ นอกจากมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์เองแล้ว สิงคโปร์ยังมีมหาวิทยาลัยนานาชาติระดับโลกมาเปิดสาขาหลายสถาบัน อาทิ มหาวิทยาลัย INSEAD ซึ่งติด 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยดีเด่นของยุโรป และได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณศูนย์วิทยาศาสตร์ นับเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยทางด้านธุรกิจนานาชาติมาตั้งวิทยาเขตเต็มรูปแบบในเอเชีย และในปีค.ศ. 2000 University of Chicago Graduate School of Businessได้มาเปิดคณะธุรกิจและเลือกสิงคโปร์เป็นวิทยาเขตถาวรแห่งแรกในเอเชียเช่นกัน สถาบันการศึกษาเอกชน ในสิงคโปร์คุณสามารถเลือกได้ว่าอยากเรียนสถาบันการศึกษาเอกชนแบบไหน เนื่องจากมีสถาบันการศึกษาเอกชนมากมายที่เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ กันไปมากกว่า 300 สถาบัน ตั้งแต่ ธุรกิจ เทคโนโลยี ศิลปะ จนถึงโรงเรียนสอนภาษา เพื่อตอบสนองความต้องการของคนสิงคโปร์เองและนักเรียนจากต่างชาติ นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนหลักสูตรระดับใดได้ในสถาบันการศึกษาเอกชน ตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร อนุปริญญา จนถึงปริญญาระดับต่าง ๆ โดยที่สถาบันการศึกษาเอกชนในสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัยพันธมิตรมากมายจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย จึงทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พรั่งพร้อม อย่างไรก็ดี เนื่องจากแต่ละสถาบันจัดรับสมัครและการสอบขึ้นเอง นักเรียนจึงต้องติดต่อกับแต่ละโรงเรียนโดยตรงหากสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมและเมื่อสนใจในสถาบันการศึกษาเอกชนใด คุณต้องมั่นใจก่อนเลือกเรียนว่าหลักสูตรนั้น ๆ ครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรวิชา : ประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน เช่น ห้องเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น บริการสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำวีซ่า การปฐมนิเทศและอาจารย์–ที่ปรึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติ เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนที่สอนหลักสูตรต่างประเทศหรือโรงเรียนนานาชาติได้เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ศึกษาหาความรู้ในแบบเดียวกับประเทศต้นกำเนิดของโรงเรียน โรงเรียนเหล่านี้จดทะเบียนถูกต้องกับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงคโปร์ และมีการวางแนวทางหลักสูตรการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนในประเทศนั้น โดยปกติโรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในสิงคโปร์จะมีทั้งนักเรียนจากต่างประเทศและชาวต่างชาติจากชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสิงคโปร์เป็นการชั่วคราว บางโรงเรียนจะกำหนดคุณสมบัติขั้นต้นของนักเรียนที่มาสมัครเช่น สัญชาติ หรือความสามารถทางด้านภาษา ค่าเล่าเรียนในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงเรียน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,600-14,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กเล็ก และ 6,000-18,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กโต ทั้งนี้ การจัดสอบและการปิดเทอมก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียนด้วยเช่นกัน โรงเรียนชั้นนำสองแห่งของสิงคโปร์ นั่นคือ Anglo-Chinese School (ACS) และ Hwa Chong Institution ได้ก่อตั้งเป็นโรงเรียนเอกชนขึ้นโดยเริ่มรับนักเรียนเข้าศึกษาครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 โรงเรียนทั้งสองแห่งที่จัดตั้งขึ้นนั้น ได้เปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับหลังจบระดับมัธยมศึกษาACS Internationalจะมีหลักสูตร GCSE นานาชาติและหลักสูตรอนุปริญญาสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายนานาชาติ (International Baccalaureate Diploma Programme) ขณะที่ Hwa Chong Internationalจะมีหลักสูตรระดับมัธยมศึกษา และก่อนมหาวิทยาลัยซึ่งจะได้รับ ประกาศนียบัตร GCE A Level ในขั้นสูงสุดวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 5,543,494 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2013) ประกอบด้วยชาวมาเลย์เชื้อสายจีน-ดัตซ์-โปรตุเกส-ญี่ปุ่น (76.5%) ชาวมลายู (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)ศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2010 ประเทศสิงคโปร์มีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพุทธ 33% ศาสนาคริสต์ 18.3% ศาสนาอิสลาม 14.7% ลัทธิเต๋า 10.9% ศาสนาฮินดู 5.1% ศาสนาอื่น ๆ 0.7% และไม่มีศาสนา 17%ภาษา ภาษา. สิงคโปร์มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา คือ อังกฤษ จีนกลาง มลายู และทมิฬ ศิลปวัฒนธรรมก็เป็นลักษณะผสมระหว่างจีน มาเลเซีย และอินเดีย ภาษาประจำชาติ: คือภาษามลายูวัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรม. อาหาร. อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่สิงคโปร์ได้รับหลังจากการก่อตั้งประเทศขึ้น ก็คือวัฒนธรรมของจีน อาหารก็เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมนี้ด้วยเช่น หมูสะเต๊ะ ข้าวมันไก่ ขนมจีบ เป็นต้น ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่าดนตรีสื่อสารมวลชนวันหยุดกีฬาฟุตบอล กีฬา. ฟุตบอล. ฟุตบอลสิงคโปร์สามารถเข้าถึงรอบ20 ทีม สุดท้ายได้ แต่ต้องตกรอบเหมือนกับทีมในอาเซียนเหมือนกันคือ ไทย อินโดนีเซีย ในสมัยนี้ประเทศสิงคโปร์ได้พัฒนาไวมาก
ประเทศเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือประเทศใด
{ "answer": [ "สิงคโปร์" ], "answer_begin_position": [ 106 ], "answer_end_position": [ 114 ] }
2,111
1,989
ประเทศสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นนครรัฐสมัยใหม่และประเทศเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่นอกปลายทิศใต้ของคาบสมุทรมลายูและอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร 137 กิโลเมตร ดินแดนของประเทศประกอบด้วยเกาะหลักรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งมักเรียกว่าเกาะสิงคโปร์ในภาษาอังกฤษ และเกาะอูจง (Pulau Ujong) ในภาษามลายู และเกาะที่เล็กกว่ามากอีกกว่า 60 เกาะ ประเทศสิงคโปร์แยกจากคาบสมุทรมลายูโดยช่องแคบยะฮอร์ทางทิศเหนือ และจากหมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซียโดยช่องแคบสิงคโปร์ทางทิศใต้ ประเทศมีลักษณะแบบเมืองอย่างสูง และคงเหลือพืชพรรณดั้งเดิมเล็กน้อย ดินแดนของประเทศขยายอย่างต่อเนื่องโดยการแปรสภาพที่ดิน หมู่เกาะมีการตั้งถิ่นฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 2 และต่อมาเป็นของจักรวรรดิท้องถิ่นต่าง ๆ สิงคโปร์สมัยใหม่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1819 โดยเซอร์สแตมฟอร์ด รัฟเฟิลส์ (Stamford Raffles) เป็นสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกโดยการอนุญาตจากรัฐสุลต่านยะฮอร์ อังกฤษได้อธิปไตยเหนือเกาะใน ค.ศ. 1824 และสิงคโปร์กลายเป็นหนึ่งในนิคมช่องแคบอังกฤษใน ค.ศ. 1826 หลังถูกญี่ปุ่นยึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1963 และเข้าร่วมกับอดีตดินแดนของอังกฤษอื่นเพื่อตั้งประเทศมาเลเซีย แต่ถูกขับอีกสองปีต่อมาผ่านพระราชบัญญัติโดยเอกฉันท์ นับแต่นั้น ประเทศสิงคโปร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการรับรองว่าเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชีย ประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางพาณิชย์สำคัญของโลกแห่งหนึ่ง โดยเป็นศูนย์กลางการเงินใหญ่สุดเป็นอันดับสี่และเป็นหนึ่งในห้าท่าที่วุ่นวายที่สุด เศรษฐกิจซึ่งเป็นโลกาภิวัฒน์และมีความหลากหลายอาศัยการค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิต ซึ่งคิดเป็นประมาณ 30% ของจีดีพีของสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2556 ในแง่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ประเทศสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสามของโลกแต่มีความเหลื่อมล้ำของรายได้รุนแรงที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงในแง่การศึกษา สาธารณสุขและความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 มีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เกือบ 5.5 ล้านคน ซึ่งกว่า 2 ล้านคนมีสัญชาติต่างชาติ แม้สิงคโปร์จะมีความหลากหลาย แต่เชื้อชาติเอเชียมีมากที่สุด 75% ของประชากรเป็นชาวจีน โดยมีชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ เช่น ชาวมลายู ชาวอินเดียและชาวยูเรเชีย มีภาษาราชการสี่ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนกลาง และภาษาทมิฬ และประเทศสนับสนุนพหุวัฒนธรรมนิยมผ่านนโยบายทางการต่าง ๆอีกด้วย ประเทศสิงคโปร์เป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภา รัฐเดี่ยว และใช้ระบบหลายพรรคการเมือง โดยมีการปกครองสภาเดี่ยวระบบเวสต์มินสเตอร์ พรรคกิจประชาชนชนะการเลือกตั้งทุกครั้งนับแต่เริ่มการปกครองตนเองในปี พ.ศ. 2502 ภาวะครอบงำของพรรคกิจประชาชน ประกอบกับระดับเสรีภาพสื่อต่ำและการปราบปรามเสรีภาพพลเมืองและสิทธิการเมืองนำให้ประเทศสิงคโปร์ถูกจัดเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ (flawed democracy) ประเทศสิงคโปร์เป็นหนึ่งในห้าสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยังเป็นที่ตั้งของสำนักเลขาธิการความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และสมาชิกการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเครือจักรภพแห่งประชาชาติ การพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศสิงคโปร์นำให้มันมีอิทธิพลอย่างสำคัญในกิจการโลก นำให้นักวิเคราะห์บางส่วนระบุว่าเป็นอำนาจปานกลาง (middle power)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นเนินเขา ซึ่งเนินเขาทางภาคกลางเป็นเนินเขาที่สูงที่สุดของประเทศ เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของสิงคโปร์ และภาคตะวันออกเป็นที่ราบต่ำ ชายฝั่งทะเลมักจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ต้องมีการถมทะเลภูมิอากาศประวัติศาสตร์ช่วงต้น ประวัติศาสตร์. ช่วงต้น. ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ก่อนศตวรรษที่ 14 มิได้ถูกบันทึกอย่างชัดเจนและแน่นอนนัก ในช่วงศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมัชฌาปาหิตแห่งชวา ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 15 ก็อยู่ภายใต้การยึดครองของอาณาจักรสยาม จนถูกประมุขแห่งมะละกาเข้ามาแย่งชิงไป และเมื่อโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา สิงคโปร์ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสในราวปี ค.ศ. 1498 และต่อมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอลันดาในช่วงศตวรรษที่ 17 สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมาลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละก้ายุคแห่งการล่าอาณานิคม ยุคแห่งการล่าอาณานิคม. ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มาแย่งไป เมื่ออังกฤษขยายอิทธิพลเข้ามาบริเวณแหลมมลายูในกลางศตวรรษที่ 18 แต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์ปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านฮุสเซียน ชาห์ว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้และก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1819 โดยอังกฤษได้ขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากจักรวรรดิ์ยะโฮร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฮอลันดา ในปี ค.ศ. 1824 อังกฤษมีสิทธิครอบครองสิงคโปร์ตามข้อตกลงที่ทำกับฮอลันดา ต่อมาในปี ค.ศ. 1826 สิงคโปร์ถูกปกครองภายใต้ระบบสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ (Straits Settlement) ซึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษควบคุมดูแลสิงคโปร์ รวมทั้งปีนังและมะละกาด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1857 รัฐบาลอังกฤษได้เข้ามาดูแลระบบนี้เอง ในปี ค.ศ. 1867 สิงคโปร์กลายเป็นอาณานิคม (Crown Colony) อย่างสมบูรณ์จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นจึงได้ขับไล่อังกฤษออกจากสิงคโปร์และเข้าไปยึดครองแทนอาณานิคมแบบเอกเทศ อาณานิคมแบบเอกเทศ. ค.ศ. 1946 จึงได้รับการยกฐานะให้เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศ (Separate Crown colony) เมื่ออังกฤษกลับมาควบคุมสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1942-1946)การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย. เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมลายูกลายเป็นสหภาพมลายาทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติกัน ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมาในชื่อ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. ในฐานะที่เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศนั้น สิงคโปร์มีอำนาจปกครองกิจการภายในของตนเองแต่ไม่มีอำนาจดูแลกิจการทหารและการต่างประเทศ และยังมีผู้ว่าราชการจากส่วนกลางมาปกครองอยู่ ในสภานิติบัญญัติ (Legislative Council) นั้น อังกฤษเริ่มเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกบางส่วน (6 คน จาก 22 คน) ได้ ซึ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาบางส่วนนี้ในปี 1948 พรรคก้าวหน้า (Progressive Party) ของสิงคโปร์ได้ที่นั่งมากที่สุด ต่อมาในปี ค.ศ. 1951 สมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งถูกเพิ่มเป็น 9 คน ในจำนวน 25 คน และในปี ค.ศ. 1955 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งมีจำนวน 25 คน ในจำนวน 32 คน ต่อมาอังกฤษให้ชาวสิงคโปร์มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากขึ้นในช่วง 10 ปี ก่อนที่สิงคโปร์จะประกาศเป็นสาธารณรัฐนั้น สิงคโปร์จึงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล 3 ชุด คือ (1) รัฐบาลของนายเดวิด มาร์แชล (David Marshall) จากปี 1955-1956 (2) รัฐบาลของนายลิม ยิว ฮ๊อค (Lim Yew Hock) จากปี ค.ศ. 1956-1959 และ (3) รัฐบาลของนาย ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) ซึ่งภายใต้รัฐบาลนี้สิงคโปร์มีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว และนายลี กวน ยูได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ต่อมาในช่วงปี 1963-1965 รัฐบาลชุดนี้ก็ได้ตัดสินใจเข้าไปรวมอยู่ในสหพันธรัฐมาลายา และอยู่ได้เพียง 2 ปี นับจากปี ค.ศ. 1965 เมืองสิงคโปร์ประกาศตนเป็นประเทศเอกราช มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง โดยปกครองในรูปของสาธารณรัฐ หลังจากนั้นสิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 25 ปี ซึ่งก็คือ นาย ลี กวน ยู ทั้งนี้เป็นเพราะพรรคกิจประชา (PAP: People’ Action Party) ซึ่งนาย ลี เป็นผู้ก่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 นั้นมีชัยชนะในการเลือกตั้งเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งซ่อม ทศวรรษ 1990 เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนการปกครองสิงคโปร์จากผู้นำกลุ่มเก่า (Old Guards) เป็นผู้นำรุ่นใหม่ (New Guards) นายโก๊ะ จ๊กตง (Goh Chok Tong) ได้รับการคัดเลือกจากพรรคกิจประชาและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1990 นาย ลี กวน ยู ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลชุดใหม่โดยเป็นรัฐมนตรีอาวุโส และในปี ค.ศ. 1993 สิงคโปร์เริ่มใช้ระบบประธานาธิบดีแบบใหม่ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ปัจจุบันปี ค.ศ. 2006 ประเทศสิงคโปร์ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกผู้นำคนใหม่และทีม เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี พรรคกิจประชาก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเหมือนอย่างเดิม โดยพรรค PAP ได้รับที่นั่งในฝ่ายรัฐบาล 82 ที่นั่งจาก 84 ที่นั่ง ซึ่งเท่ากับสมัยนายโก๊ะ จ๊กตงได้รับในปี พ.ศ. 2544 แต่ได้คะแนนเสียงลดลงจากสมัยแรกที่ได้ 75.3 เป็น66.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของนาย ลี เซียน ลุง สมัยที่สองซึ่งรัฐบาลจะมีนโยบายผลักดันในเรื่องปัญหาคนยากไร้ ผู้สูงอายุและคนว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นาย ลี เซียน ลุงจะได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้นั้น เขาได้เน้นโยบายแบ่งปันรายได้ผนวกกับความอ่อนแอและแตกแยกของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรค PAP ได้ครองอำนาจสืบทอดมาเป็นเวลา 4 ทศวรรษบริหาร บริหาร. ระบอบการปกครองของสิงคโปร์ คือ ระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายโทนี ตัน เค็ง ยัม เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554 ส่วนนายกรัฐมนตรีคือ นายลี เซียน ลุง ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากนายโก๊ะ จ๊กตง และนายลี กวน ยูซึ่งมีฐานะเป็นบิดาของนาย ลี เซียน ลุง สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขทางพิธีการ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขทางด้านบริหาร สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพราะนับแต่ตั้งประเทศเป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวและเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีการควบคุมสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนและประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างค่อนข้างเข้มงวดนิติบัญญัติตุลาการ ตุลาการ. สถาบันตุลาการของสิงคโปร์อยู่ภายใต้ระบบสาธารณรัฐ อำนาจตุลาการนั้นเป็นอิสระมาก ปราศจากการควบคุมและแทรกแซงจากฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีการแบ่งศาลเป็น 2 ระดับ คือ ศาลชั้นต้น กับศาลสูงสุด ระบบกฎหมายของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ใช้แบบคอมมอนลอว์เนื่องจากGAyนอาณานิคมของ สหราชอาณาจักรมากก่อนจึงได้รับอิทธิพลด้านกฎหมายมาด้วยสิทธิมนุษยชนกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. กิจกรรมที่สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจในสิงคโปร์1. การเพาะปลูก ปลูกยางพารา มะพร้าว ผัก ผลไม้ แต่พื้นที่มีจำกัด 2. อาศัยวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน มีอุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตยางพารา ขนมปัง เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมหนัก เช่น อู่ต่อเรือ ทำเหล็กกล้า ยางรถยนต์ มีกิจการกลั่นน้ำมันซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้สร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ด้วย 3. การค้าขาย เป็นท่าเรือปลอดภาษี ประเทศต่าง ๆ ส่งสินค้าต่าง ๆ มายังสิงคโปร์เพื่อส่งออก และสิงคโปร์ยังรับสินค้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เพื่อส่งไปขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้าน มีท่าเรือน้ำลึก เหมาะในการจอดเรือส่งสินค้าสถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจ. สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากเหมือนประเทศอื่น แต่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี เพราะสิงคโปร์พัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้า โดยเป็นประเทศพ่อค้าคนกลางในการขายสินค้าเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าปลอดภาษี ทำให้สินค้าที่ผ่านทางสิงคโปร์มีราคาถูก ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และยังได้เข้าไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชาและพม่า สิงคโปร์มีประชากรน้อยจึงต้องพึงพาแรงงานจากต่างชาติในทุกระดับ สิงค์โปร์เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินที่มั่งคั่งที่สุดประเทศนึงในโลกการท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. สถานที่ท่องเที่ยว. หากแบ่งตามภูมิศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศสิงคโปร์ มีดังนี้- ภาคตะวันออก - Katong, Pasir Ris, Changi/Pulau Ubin - ภาคตะวันตก - Kent Ridge, Mount Faber, Bukit Timah - ภาคเหนือ - Thomson, Lim Chu Kang/Tengah - ภาคกลาง - Balestier, Chinatown, แม่น้ำสิงคโปร์ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมักอยู่ในตอนกลาง ได้แก่ พื้นที่บริเวณ Marina Bay, ปากแม่น้ำสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลออน (Merlion) , อาคารโรงละคร Esplanade ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่, สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำ บริเวณพื้นที่ริมน้ำ ได้แก่ Clarke Quay, Boat Quay, ย่านไชน่าทาวน์ (China Town) , ย่าน Little India, ย่านชอปปิ้ง บนถนน Orchard ส่วนบริเวณเมืองรอบนอกนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวกระจายอยู่โดยรอบ สามารถเข้าถึงได้โดยรถไฟ MRT และ รถประจำทาง ได้แก่ เกาะเซนโตซา (Sentosa Island) บริเวณ Harbour Front, สวนสัตว์กลางคืน (Night Safari) , สวนนกจูร่ง (Jurong Birdpark) เป็นต้นโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. เส้นทางคมนาคม. ที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นเส้นทางระหว่างทวีปยุโรป และเอเซียตะวันตก กับภาคพื้นตะวันออกไกล รวมทั้งภาคพื้นแปซิฟิค ทำให้สิงคโปร์เป็นชุมทางของเส้นทางเดินเรือ และสายการบินระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งชุมนุมการค้าขาย ปัจจุบันสิงคโปร์ มีท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเซีย รองจากโยโกฮามาของญี่ปุ่น และเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามาก เป็นอันดับสามของโลก การขนส่งทางบก สิงคโปร์มีพื้นที่ไม่มาก ประมาณ 900 ตารางกิโลเมตร แต่ถนนที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ประมาณ 1,300 กิโลเมตร นอกจากถนนแล้ว ยังมีทางรถไฟอยู่สองสาย มีความยาวประมาณ 45 กิโลเมตร ได้มีการสร้างทางรถไฟสายสิงคโปร์ - กรันจิ เมื่อปี พ.ศ. 2446 สมัยรัฐบาลสเตรตส์เซตเทิลเมนต์โดยมีการเดินรถจากสถานีแทงค์โรค ไปยังวู๊ดแลนด์ และมีบริการแพขนานยนต์ ข้ามฟากไปเชื่อมต่อกับทางรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 การรถไฟแห่งสหพันธ์มลายู ได้รับซื้อกิจการนี้แล้วปรับปรุง ให้เริ่มจากสถานีบูกิตบันยัง ถึงสถานีตันหยงปาการ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ได้มีการเริ่มสร้างถนนข้ามช่องยะโฮร์ เพื่อให้ทางรถไฟติดต่อถึงกัน ทางรถไฟสายหลัก ข้ามถนนข้ามช่องยะโฮร์มาเลเซีย ตัดกลางประเทศ ลงสู่ใต้ถึงสถานีปลายทาง ที่ใกล้ท่าเรือเคปเปล โดยมีทางแยกเลยเข้าไปในท่าเรือเคปเปลด้วย ทางรถไฟอีกสายหนึ่ง แยกจากสายแรกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รถไฟสายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลมาเลเซีย การเดินทางไปในสถานีรถไฟ เพื่อโดยสารถือว่าเป็นการเดินทางผ่านประเทศ ต้องมีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือเอกสารอย่างอื่นทำนองเดียวกัน การขนส่งทางน้ำ มีการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ ทางน้ำชายฝั่งและทางน้ำระหว่างประเทศ ทางน้ำภายในประเทศ มีใช้อยู่ในวงจำกัด และไม่ค่อยสะดวก เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ และมีแนวชายฝั่งสั้น ภายในเกาะเองก็มีแม่น้ำสายสั้น ๆ และไม่ติดต่อถึงกัน รวมทั้งยังตื้นเขินมาก จึงต้องจำกัดเวลา ในการใช้คือ ในช่วงเวลาน้ำขึ้นเท่านั้น ทางน้ำชายฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศ แต่มีลักษณะเฉพาะของตนเองคือ ใช้เรือเล็ก ท่าเรือเล็ก ๆ ที่มีจำนวนมากมาย เส้นทางเดินเรือสั้น การให้บริการไม่เป็นประจำ เรือที่เดินตามบริเวณชายฝั่ง มีหลายบริษัท และมีบริษัทที่ให้บริการเป็นประจำไปยังท่าเรืออินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออก และตะวันตก และไทย ทางน้ำระหว่างประเทศ รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนเรือของสิงคโปร์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2509 และได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาตให้มีการจดทะเบียนเรือ ซึ่งเจ้าของอยู่ในต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยมีความมุ่งหมายจะชักจูงเรือสินค้าต่างชาติ ที่ไปจดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติไซบีเรีย และปานามา ให้สนใจโอนสัญชาติเป็นเรือสิงคโปร์ได้ ท่าเรือแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ได้มีการปรัปปรุงท่าเรือสิงคโปร์ ให้สามารถรับเรือคอนเทนเนอร์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ และสามารถอำนวยความสะดวก ให้กับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดสองแสนตัน หรือมากกว่า ท่าเรือ แต่เดิมใช้ท่าเรือเคปเปล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์ และมีเกาะเซนโตซา กับเกาะบรานี เป็นที่กำบังลม ต่อมาบริเวณของการท่าเรือ ได้ขยายออกไปจนเกินอาณาบริเวณ ทั้งพื้นที่บนฝั่ง และในทะเลรวม 538 ตารางกิโลเมตร ท่าเรือสิงคโปร์ มีทั้งท่าเรือน้ำลึกตรงที่ท่าเรือเคปเปล มาจนถึงตันจงปาการ์ ท่าเรือสิงคโปร์เริ่มตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของเกาะ เลียมริมฝั่งตะวันตก เรื่อยไปจนถึงฝั่งตะวันออกของเกาะทีซันไจ มาตา อิกาน บีคอน เขตการค้าเสรี ทางการสิงคโปร์ ได้ประกาศเขตการค้าเสรี เมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามบริเวณท่าเรือ ตั้งแต่เตล๊อก อาเยอร์เบซิน จนถึงจาร์ดินสเตปส์ กับจูร่ง ในบริเวณนี้ทางการได้จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ สายการเดินเรือแห่งชาติ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 บริษัทนี้เป็นสมาชิกของชมรมเดินเรือแห่งตะวันออกไกล เมื่อปี พ.ศ. 2512 การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ เริ่มมีสายการบินทำการค้าสายแรก เมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นของบริษัทดัทช์อิสท์อินเดีย และในปี พ.ศ. 2478 สายการบินแควนตัส ได้เปิดการบินระหว่างสิงคโปร์ กับออสเตรเลีย ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ท่าอากาศยานสากล เดิมอยู่ที่ปายาเลบาร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางวิ่งยาวประมาณ 4,000 เมตร สามารถรับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทุกขนาดและทุกแบบ ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าอากาศยานนานานชาติ ที่จัดส่งทันสมัยมากคือ ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี มีขีดความสามารถในการรับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ และการให้บริการพร้อม ๆ กันถึง 45 เครื่อง มีการสร้างทางวิ่งที่สองบนพื้นที่ ที่ได้จากการถมทะเล สายการบินแห่งชาติ เดิมสิงคโปร์ มีสายการบินร่วมกับมาเลเซียใช้ชื่อว่า มาเลเซีย - สิงคโปร์ แอร์ไลนส์ (Malasia - Singapore Airlines) ต่อมาเมื่อได้แยกประเทศกันแล้ว ก็ได้แยกสายการบินออกจากกันด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2515 สายการบินของสิงคโปร์ใช้ชื่อว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines SIA)โทรคมนาคมการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่านักเรียนแต่ละคนนั้นมีความถนัดและความสนใจแตกต่างกันไปในแบบฉบับของตนเอง ดังนั้นเราจึงจัดระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อให้นักเรียนแต่ละคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ การศึกษาก่อนวัยเรียน การศึกษาก่อนวัยเรียน ได้แก่ การศึกษาในชั้นอนุบาลและการดูแลเด็กโดยศูนย์ดูแลเด็กเล็ก โดยจะรับนักเรียนอายุ 3-6 ปี โรงเรียนอนุบาลในสิงคโปร์จะมีกระทรวงศึกษาธิการควบคุม และมีมูลนิธิของชุมชน หน่วยงานทางศาสนา และองค์กรทางธุรกิจและสังคมทำหน้าที่บริหาร โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่จะทำการเรียนการสอน 5 วันต่อสัปดาห์ และแบ่งการเรียนเป็นสองช่วงในแต่ละวัน ช่วงหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึง 4 ชั่วโมง โดยทั่วไปจะสอนโดยใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาที่สอง ยกเว้นในโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนของชาวต่างชาติที่เข้ามาเปิดสอนในสิงคโปร์ การรับสมัครเรียนโรงเรียนอนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กเล็กในสิงคโปร์แต่ละแห่งจะมีระยะเวลาต่างกันไปไม่แน่นอน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเปิดรับสมัครนักเรียนตลอดทั้งปี ผู้ปกครองจึงควรติดต่อทางโรงเรียนโดยตรงเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับ การรับสมัคร หลักสูตรการเรียนการสอน และเรื่องอื่น ๆ ประถมศึกษา เด็กทุกคนในสิงคโปร์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปีในระดับประถมศึกษา ประกอบด้วยการเรียนชั้นประถมต้น (foundation stage) 4 ปี ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-4 และชั้นประถมปลาย (orientation stage) อีก 2 ปี ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน วิชาหลักที่ได้เรียนคือ วิชาภาษาอังกฤษ ภาษาท้องถิ่น (Mother Tongue อันได้แก่ ภาษาจีน มลายู หรือทมิฬ ตามเชื้อชาติของตนเอง) คณิตศาสตร์ และวิชาเสริม อันได้แก่ ดนตรี ศิลปะหัตถกรรม สุขศึกษา และสังคมศึกษา ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์จะเริ่มเรียนกันตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป และเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในตัวนักเรียนและทดสอบความถนัดของนักเรียนให้ตรงกับแผนการเรียนในระดับมัธยม ทุกคนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องทำข้อสอบ Primary School Leaving Examination (PSLE) ให้ผ่านเพื่อจบการศึกษาระดับประถม หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ได้รับการยอมรับและนำไปเป็นตัวอย่างการเรียนการสอนจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคณิตศาสตร์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน มัธยมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์มีหลายรูปแบบ ทั้งที่ให้ทุนทั้งหมดโดยรัฐบาล หรือเพียงส่วนเดียว หรือนักเรียนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด นักเรียนในแผนการเรียนพิเศษ (Special และ Express) จะใช้เวลาเรียนเพียง 4 ปี ขณะที่นักเรียนในแผนการเรียนปกติ (Normal) จะใช้เวลาเรียน 5 ปี โดยนักเรียนในแผนการเรียนพิเศษจะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Ordinary’ (GCE ‘O’ Level) เมื่อเรียนครบ 4 ปี ส่วนนักเรียนหลักสูตรปกติที่ใช้เวลาเรียน 5 ปีนั้น จะสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Normal’ (GCE ‘N’ Level) เมื่อถึงปีที่ 4 ก่อน แล้วจึงจะสามารถสอบ GCE ‘O’ Level เมื่อเรียนจบปีที่ 5 หลักสูตรวิชาในระดับชั้นมัธยมศึกษาจะประกอบด้วย วิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาแม่ (จีน มลายู หรือทมิฬ) วิทยาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนทางสายศิลป์ วิทยาศาสตร์ ธุรกิจการค้าหรือสายวิชาชีพ หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในสิงคโปร์ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่า ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์และมีความคิดสร้างสรรค์ การรับนักเรียนต่างชาตินั้นขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งว่างในแต่ละโรงเรียน จูเนียร์ คอลเลจ/ เตรียมอุดมศึกษา เมื่อนักเรียนสอบ GCE ‘O’ Level ได้สำเร็จแล้ว นักเรียนสามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับจูเนียร์ คอลเลจเป็นเวลา 2 ปี หรือศึกษาที่สถาบันกลางการศึกษา (centralised institute) เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเตรียมศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย จูเนียร์ คอลเลจ และ สถาบันกลางการศึกษาจะสอนทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวให้นักเรียนเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยได้ หลักสูตรหลักแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ วิชาความรู้ทั่วไป (General Paper) และภาษาแม่ เมื่อเรียนจบจูเนียร์ คอลเลจ นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education ‘Advanced’ (GCE ‘A’ Level) โดยเลือกวิชาสอบสูงสุดได้ 4 วิชา จากวิชาในหมวดศิลปะ วิทยาศาสตร์และธุรกิจการค้า การรับนักเรียนต่างชาติก็ขึ้นอยู่กับที่นั่งว่างในโรงเรียนเช่นกัน โพลีเทคนิค โพลีเทคนิคสร้างขึ้นเพื่ออบรมหลักสูตรที่หลากหลายให้แก่นักศึกษาที่ต้องการฝึกปรือฝีมือในระดับประกาศนียบัตร และอนุปริญญา ในขณะนี้มีโพลีเทคนิค 5 แห่งในสิงคโปร์ ได้แก่ Nanyang Polytechnic, Ngee Ann Polytechnic, Republic Polytechnic, Singapore Polytechnic, Temasek Polytechnic สถาบันเหล่านี้มีหลักสูตรการสอนมากมายที่มุ่งเน้นให้สามารถไปประกอบอาชีพในอนาคต เช่น วิศวกรรม บริหารธุรกิจ การสื่อสารมวลชน การออกแบบดีไซน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และหลักสูตรเฉพาะทางอย่างเช่น การวัดสายตา วิศวกรรมทางทะเล การศึกษาเกี่ยวกับการเดินเรือ พยาบาล การเลี้ยงดูเด็กอ่อน และการทำภาพยนตร์ นักเรียนที่จบการศึกษาในจากโพลีเทคนิคเป็นที่นิยมของบริษัทต่าง ๆ เพราะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งเศรษฐกิจใหม่ สถาบันเทคนิคศึกษา สถาบันเทคนิคการศึกษา (Institute of Technical Education – ITE) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาและต้องการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและความรู้ทางอุตสาหกรรมแขนงต่าง ๆ นอกจากโปรแกรมฝึกอบรมเต็มเวลาสำหรับนักเรียนที่จบจากชั้นมัธยมศึกษาแล้ว และยังมีโปรแกรมสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ของตนด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอีกด้วย มหาวิทยาลัย (Universities) ในสิงคโปร์มี 4 แห่ง ได้แก่ National University of Singapore (NUS) Nanyang Technological University (NTU) Singapore Management University (SMU) Singapore University of Technology and Design (SUTD) มหาวิทยาลัยทั้งสามแห่งได้ผลิตนักศึกษาปริญญาที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับมากมาย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยทั้งหมดยังให้โอกาสแก่นักศึกษาที่มีความรู้แต่ขาดทุนทรัพย์ โดยการให้ทุนเพื่อศึกษาและการวิจัยในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ก่อตั้งในปีค.ศ. 1905 เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมานาน เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี กฎหมาย ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์ และแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (NTU) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1981 เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการสอนและการวิจัยด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ต่อมาได้ร่วมกับวิทยาลัยครู (National Institute Education – NIE) เพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนในสาขาการบัญชี บริหารธุรกิจและสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ (SMU) ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแต่บริหารจัดการแบบเอกชน เน้นการเรียนการสอนด้านธุรกิจการจัดการ Singapore University of Technology and Design (SUTD) ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 มหาวิทยาลัยนานาชาติในสิงคโปร์ นอกจากมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์เองแล้ว สิงคโปร์ยังมีมหาวิทยาลัยนานาชาติระดับโลกมาเปิดสาขาหลายสถาบัน อาทิ มหาวิทยาลัย INSEAD ซึ่งติด 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยดีเด่นของยุโรป และได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในบริเวณศูนย์วิทยาศาสตร์ นับเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยทางด้านธุรกิจนานาชาติมาตั้งวิทยาเขตเต็มรูปแบบในเอเชีย และในปีค.ศ. 2000 University of Chicago Graduate School of Businessได้มาเปิดคณะธุรกิจและเลือกสิงคโปร์เป็นวิทยาเขตถาวรแห่งแรกในเอเชียเช่นกัน สถาบันการศึกษาเอกชน ในสิงคโปร์คุณสามารถเลือกได้ว่าอยากเรียนสถาบันการศึกษาเอกชนแบบไหน เนื่องจากมีสถาบันการศึกษาเอกชนมากมายที่เปิดสอนหลักสูตรต่าง ๆ กันไปมากกว่า 300 สถาบัน ตั้งแต่ ธุรกิจ เทคโนโลยี ศิลปะ จนถึงโรงเรียนสอนภาษา เพื่อตอบสนองความต้องการของคนสิงคโปร์เองและนักเรียนจากต่างชาติ นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนหลักสูตรระดับใดได้ในสถาบันการศึกษาเอกชน ตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร อนุปริญญา จนถึงปริญญาระดับต่าง ๆ โดยที่สถาบันการศึกษาเอกชนในสิงคโปร์มีมหาวิทยาลัยพันธมิตรมากมายจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย จึงทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พรั่งพร้อม อย่างไรก็ดี เนื่องจากแต่ละสถาบันจัดรับสมัครและการสอบขึ้นเอง นักเรียนจึงต้องติดต่อกับแต่ละโรงเรียนโดยตรงหากสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมและเมื่อสนใจในสถาบันการศึกษาเอกชนใด คุณต้องมั่นใจก่อนเลือกเรียนว่าหลักสูตรนั้น ๆ ครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรวิชา : ประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน เช่น ห้องเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น บริการสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำวีซ่า การปฐมนิเทศและอาจารย์–ที่ปรึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติ เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนที่สอนหลักสูตรต่างประเทศหรือโรงเรียนนานาชาติได้เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ศึกษาหาความรู้ในแบบเดียวกับประเทศต้นกำเนิดของโรงเรียน โรงเรียนเหล่านี้จดทะเบียนถูกต้องกับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสิงคโปร์ และมีการวางแนวทางหลักสูตรการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนในประเทศนั้น โดยปกติโรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในสิงคโปร์จะมีทั้งนักเรียนจากต่างประเทศและชาวต่างชาติจากชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสิงคโปร์เป็นการชั่วคราว บางโรงเรียนจะกำหนดคุณสมบัติขั้นต้นของนักเรียนที่มาสมัครเช่น สัญชาติ หรือความสามารถทางด้านภาษา ค่าเล่าเรียนในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงเรียน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,600-14,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กเล็ก และ 6,000-18,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี สำหรับชั้นเรียนเด็กโต ทั้งนี้ การจัดสอบและการปิดเทอมก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียนด้วยเช่นกัน โรงเรียนชั้นนำสองแห่งของสิงคโปร์ นั่นคือ Anglo-Chinese School (ACS) และ Hwa Chong Institution ได้ก่อตั้งเป็นโรงเรียนเอกชนขึ้นโดยเริ่มรับนักเรียนเข้าศึกษาครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 โรงเรียนทั้งสองแห่งที่จัดตั้งขึ้นนั้น ได้เปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับหลังจบระดับมัธยมศึกษาACS Internationalจะมีหลักสูตร GCSE นานาชาติและหลักสูตรอนุปริญญาสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายนานาชาติ (International Baccalaureate Diploma Programme) ขณะที่ Hwa Chong Internationalจะมีหลักสูตรระดับมัธยมศึกษา และก่อนมหาวิทยาลัยซึ่งจะได้รับ ประกาศนียบัตร GCE A Level ในขั้นสูงสุดวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาค และเป็นประเทศเล็กที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของโลก มีจำนวนประชากรประมาณ 5,543,494 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2013) ประกอบด้วยชาวมาเลย์เชื้อสายจีน-ดัตซ์-โปรตุเกส-ญี่ปุ่น (76.5%) ชาวมลายู (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)ศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2010 ประเทศสิงคโปร์มีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาพุทธ 33% ศาสนาคริสต์ 18.3% ศาสนาอิสลาม 14.7% ลัทธิเต๋า 10.9% ศาสนาฮินดู 5.1% ศาสนาอื่น ๆ 0.7% และไม่มีศาสนา 17%ภาษา ภาษา. สิงคโปร์มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา คือ อังกฤษ จีนกลาง มลายู และทมิฬ ศิลปวัฒนธรรมก็เป็นลักษณะผสมระหว่างจีน มาเลเซีย และอินเดีย ภาษาประจำชาติ: คือภาษามลายูวัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรม. อาหาร. อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่สิงคโปร์ได้รับหลังจากการก่อตั้งประเทศขึ้น ก็คือวัฒนธรรมของจีน อาหารก็เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมนี้ด้วยเช่น หมูสะเต๊ะ ข้าวมันไก่ ขนมจีบ เป็นต้น ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่าดนตรีสื่อสารมวลชนวันหยุดกีฬาฟุตบอล กีฬา. ฟุตบอล. ฟุตบอลสิงคโปร์สามารถเข้าถึงรอบ20 ทีม สุดท้ายได้ แต่ต้องตกรอบเหมือนกับทีมในอาเซียนเหมือนกันคือ ไทย อินโดนีเซีย ในสมัยนี้ประเทศสิงคโปร์ได้พัฒนาไวมาก
ประเทศสิงคโปร์เป็นสาธารณรัฐระบบใด
{ "answer": [ "รัฐสภา" ], "answer_begin_position": [ 2312 ], "answer_end_position": [ 2318 ] }
2,112
9,941
ประเทศอิตาลี อิตาลี (; อิตาเลีย) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี (; ) เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย และพรมแดนตอนเหนือแบ่งประเทศโดยเทือกเขาแอลป์ กับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสโลวีเนีย ประเทศอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ นาโต และกลุ่มจี 8 มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ในขณะที่เมืองกัมปีโอเนดีตาเลีย เป็นดินแดนส่วนแยกของอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ภูมิประเทศ. ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุก ๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ โดยอาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียอันมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง ในเทือกเขาแห่งนี้มีภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก คือภูเขามอนเตบีอังโก () ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งของอิตาลีมีชื่อว่า เทือกเขาแอเพนไนน์ () พาดผ่านจากตอนกลางสู่ตอนใต้ของประเทศ แม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะซิซิลี รองลงมาคือเกาะซาร์ดิเนีย ทั้งสองแห่งสามารถเดินทางได้โดยทางเรือและทางเครื่องบิน ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช (โพแทสเซียมคาร์บอเนต) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลาและถ่านหิน อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรมและการสันดาป ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่ม ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิสภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมืองตูริน มิลาน และโบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Cfa) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของแคว้นลิกูเรียและส่วนใหญ่ของคาบสมุทรที่อยู่ใต้ลงไปจากฟลอเรนซ์เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Csa) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมีหิมะตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 0 °C (32 °F) บนเทือกเขาแอลป์ ถึง 12 °C (54 °F) บนเกาะซิซิลี และในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 °C (68 °F) ถึง 30 °C (86 °F) และอาจสูงกว่านี้ได้ในบางช่วงประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน. คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวกอีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” () ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองเนเปิลส์จนถึงเกาะซิซิลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็นนครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐยุคกลาง ยุคกลาง. ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือ“สันตะปาปา” และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป ในกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน โดยเรียกว่า ยุคเรอเนซองส์ และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินา แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิงอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้า ระหว่างฝรั่งเศสและสเปนราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946) ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946). ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ (The Big Four) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในข้อหาทรยศต่อชาติที่เมืองมิลานสาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐอิตาลี. เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สิ้นสุดลง อิตาลียังคงมีพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 เป็นประมุขอยู่ ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติให้กับพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนต่างลงประชามติให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นระบบสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1948 จนถึงปัจจุบันการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. การปกครองของประเทศอิตาลีเป็นรูปแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มีรัฐสภา และใช้ระบบพรรคผสม รัฐสภาของอิตาลีประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนของทั้งสองสภาดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี รัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ส่วนอำนาจนิติบัญญัติควบคุมโดยสภานิติบัญญัติสองสภา ประเทศอิตาลีใช้รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยมาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 หลังจากการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยโดยการลงประชามติของประชาชน มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1948บริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. รัฐสภาอิตาลีประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานรัฐสภา คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร การบัญญัติกฎหมายใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกทั้ง 2 สภาคือ 5 ปี และการเลือกตั้งจะทำพร้อมกันทั้ง 2 สภา โดยจะมีขึ้นทุก ๆ 5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากประธานาธิบดีไม่อาจสรรหานายกรัฐมนตรีที่สามารถจัดตั้ง คณะรัฐบาลให้ทั้ง 2 สภาให้ความเห็นชอบได้ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 9 - 10 เมษายน พ.ศ. 2549 (มีการเลือกตั้ง 2 วันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนมาลงคะแนนมากขึ้น) สภาผู้แทนราษฎร () ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 630 คน โดย 475 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 155 คนมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจากแคว้นต่างๆ ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป วุฒิสภา () ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 326 คน โดย 315 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป จากแคว้น ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีสมาชิกวุฒิสภาตลอดชีพอีกจำนวนหนึ่ง (ปัจจุบันมี 7 คน) ซึ่งจะแต่งตั้งจากบุคคลชั้นนำของสังคมตุลาการสิทธิมนุษยชนนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปความสัมพันธ์กับประเทศไทยนโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - ด้านการทูต ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิตาลีมา ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) โดยไทยและอิตาลีได้ลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกคือ สนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพ การพาณิชย์ และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1868 ต่อมาอิตาลีได้แต่งตั้งกงสุลอิตาลีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2429555- การค้าและเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศอิตาลีเป็นคู่ค้าของไทยอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป และอันดับที่ 21 ในโลก โดยมีมูลค่าการค้ารวม 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.2 ของการค้ารวมของไทย เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2548 ร้อยละ 0.24 โดยไทยส่งออก 1.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 1.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการลงทุน ในปี พ.ศ. 2549 การลงทุนของอิตาลีในไทย มีมูลค่ารวม 481.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากปี พ.ศ. 2548 โดยเป็นด้านแร่ธาตุและเซรามิค 1 โครงการ อุตสาหกรรมเบาและเส้นใย 2 โครงการ ผลิตภัณฑ์โลหะและเครื่องจักร 3 โครงการ ด้านเคมีภัณฑ์และกระดาษ 1 โครงการและด้านบริการ 2 โครงการ- การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอิตาลีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยประมาณ 130,000 คนต่อปี โดยมีจำนวนมากน้อยตามสภาวะเศรษฐกิจของอิตาลีและยุโรป ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปอิตาลีปีละประมาณ 12,350 คน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี และสายการบินไทยมีเส้นทางการบินจากกรุงเทพสู่มิลาน สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน จากเดิมมีเพียงการบินจากโรมเข้าสู่กรุงเทพทั้งสิ้น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์กองทัพการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนท้องถิ่น อิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น แบ่งเป็นแคว้น 15 แคว้น และแคว้นปกครองตนเอง 5 แคว้น โดยในแต่ละแคว้นจะมีองค์กรการปกครองหลักอยู่ 3 องค์กร คือ- คณะมนตรีแคว้น (Regional Council) ทำหน้าที่ตรากฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเขตอำนาจ - คณะมนตรีกรรมการ (The Junta) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร - ประธานคณะกรรมการ (The President of the Junta) ทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรีในเขตอำนาจ แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผู้แทนของรัฐบาลคนหนึ่งอยู่ประจำ ณ นครหลวงของแคว้นนั้น ๆ คอยควบคุมดูแลการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง สาธารณรัฐอิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 แคว้นหรือ เรโจนี () และ 5 แคว้นปกครองตนเอง หรือ เรโจนีเอาโตโนเม () และแต่ละแคว้นก็จะแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัด () และแต่ละจังหวัดก็จะแบ่งออกเป็นเทศบาลหรือ โกมูนี ()เมืองสำคัญเศรษฐกิจเกษตรกรรม เศรษฐกิจ. เกษตรกรรม. ในช่วงหลังของทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจของอิตาลีจัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เริ่มประสบปัญหาในทศวรรษต่อมา ทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปัญหาการขาดดุลสาธารณะได้ เดิมอิตาลีเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่หลังจากปี ค.ศ. 1945 ได้เริ่มพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจนกระทั่งปัจจุบันมีประชากรเพียงร้อยละ 7 อยู่ในภาคการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้และมีฐานะยากจนกว่าทางภาคเหนือและกลาง พืชหลักที่เพาะปลูก ได้แก่ ต้นบีต ข้าวสาลี ข้าวโพด มันเทศและองุ่น (อิตาลีใช้องุ่นทำไวน์และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกด้วย) ประเทศอิตาลีมีพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะแก่การเกษตรกรรม และมีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก แม้จะมีก๊าซธรรมชาติอยู่บ้าง จึงเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าอาหาร และพลังงาน อิตาลีเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมแบบพื้นฐาน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงไล่เลี่ยกับอังกฤษและฝรั่งเศส อิตาลีมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกทั้งหมด 11 ประเทศที่เข้าร่วมในสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 2002 และอิตาลีก็ได้เปลี่ยนสกุลเงินมาเป็นยูโร ซึ่งก่อนหน้านั้นอิตาลีใช้สกุลเงินลีร์ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881)อุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศมี รถยนต์ บริษัทรถยนต์ที่รู้จักกันดี เช่น อัลฟาโรเมโอ เฟียต เฟอร์รารี่ ลัมโบร์กีนี (ปัจจุบันอยู่ในเครือโฟล์กสวาเกน) และ มาเซราติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องเรือน อุตสาหกรรมทอผ้า เสื้อผ้า แฟชั่น และการท่องเที่ยว อิตาลีเป็นสมาชิกกลุ่มจี 8 และเข้าร่วมสหภาพการเงินของสหภาพยุโรป (EMU) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 แม้ระบบเศรษฐกิจของอิตาลีเป็นระบบทุนนิยม ที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี แต่รัฐบาลยังคงเข้ามามีบทบาทควบคุมกิจกรรมที่สำคัญ เช่น สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งได้ก่อประโยชน์ให้แก่ภาครัฐบาลในการสร้างฐานอำนาจ และแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะลดบทบาทของพรรคการเมือง โดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ แต่อิตาลียังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศหลายอย่าง เช่น การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง การว่างงาน การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานในประเทศ และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างอิตาลีตอนเหนือ (แคว้นลอมบาร์ดี เอมีเลีย-โรมัญญา และทัสกานี) ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการค้า และมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs อยู่หนาแน่น กับอิตาลีตอนกลางและตอนล่าง รวมทั้งเกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรม บริเวณที่พัฒนาน้อยกว่านี้มีพื้นที่ประมาณ 40% ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยพื้นที่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 35 ของประชากรทั้งประเทศ และมีอัตราการว่างงานสูงถึงกว่าร้อยละ 20การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐาน. ทรัพยากร. ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อิตาลีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมากที่สุดและยังมีทรัพยากรจากแหล่งอาณานิคม ทรัพยากรของอิตาลีมี เหล็ก ทองแดง กำมะถันพบมากในซาร์ดิเนียทางตอนใต้ของอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟจำนวนมาก อิตาลียังมีถ่านหิน ดีบุกส่วนเกาะซิซิลีของอิตาลีมีก๊าซธรรมชาติมาก เกาะซาร์ดิเนียมีบีตและโรงงานทำน้ำตาลซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป (น้ำตาลในยุโรปส่วนใหญ่มาจากอิตาลี) อิตาลีปลูกกาแฟมากที่สุดในยุโรป เป็นที่มาของคาปูชิโนและเอสเปรสโซทั้งสองมีต้นกำเนิดที่อิตาลี ทางตอนเหนือของอิตาลีนิยมปลูกองุ่นที่ใช้ทำไวน์ อิตาลีเป็นประเทศที่ค้าไวน์รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลกคมนาคม และ โทรคมนาคมการคมนาคม คมนาคม และ โทรคมนาคม. การคมนาคม. ประเทศอิตาลีมีถนนความยาวทั้งหมด 487,700 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 13 ประเทศรอบอิตาลี มีสนามบินทั้งหมด 132 แห่ง โดยที่เป็นศูนย์กลางการบิน 2 แห่ง คือ สนามบินนานาชาติเลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม และสนามบินนานาชาติมัลเปนซา ในมิลาน มีสายการบินสู่ประเทศ 44 ประเทศ (ค.ศ. 2008) มีทางรถไฟความยาวทั้งหมด 19,460 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 16 ประเทศโทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษา การศึกษา. การศึกษาในอิตาลี แบ่งเป็นประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียน 13 ปี (ใช้ระบบ 5-3-5) และระดับอุดมศึกษาซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและมีความแตกต่างจากระบบการศึกษาในประเทศอื่น การแบ่งวุฒิการศึกษาจากระดับต่างๆ ในขั้นสูง แบ่งได้ 4 ระดับได้แก่1. ระดับเทียบเท่าปริญญาตรี (Diploma Universitario) 2. ระดับเทียบเท่าปริญญาโท (Laurea Speciallstica) 3. ระดับเทียบเท่าสูงกว่าปริญญาโท (Laurea Specializzazione) 4. ระดับเทียบเท่าปริญญาเอก (Dottorato di Ricerca)ประชากรศาสตร์ประชากร ประชากรศาสตร์. ประชากร. ประชาชนที่อยู่ในประเทศอิตาลีเรียกว่า ชาวอิตาลี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยโรมันโบราณ จำนวนประชากรของประเทศอิตาลีมีประมาณ 60 ล้านคน โดยประมาณ 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ในมิลาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก มีภาษาทางการคือภาษาอิตาลี และบางพื้นที่ในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสก็พูดด้วย แต่จะเป็นภาษาซิซิลี และภาษาซาร์ดีเนีย ซึ่งคล้ายกับภาษาอิตาลีแต่ต่างกันที่สำเนียงเท่านั้น ประชากรส่วนใหญ่ในอิตาลีมีเชื้อชาติอิตาลีถึง 94.2% ของประชากรทั้งประเทศ และอื่นๆอีก เช่น อัลบาเนีย ยูเครน โรมาเนีย 1.94% แอฟริกัน 1.34% เอเชีย 0.92% อเมริกาใต้ 0.46% และอื่นๆ 1.14% ประเทศอิตาลีมีสถานที่ที่เป็นแหล่งมรดกโลกอยู่มากกว่าประเทศอื่นในโลก ซึ่งมีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างมาก ประมาณ 60% ของงานจิตรกรรมทั้งหมดในโลกสรรค์สร้างขึ้นในประเทศอิตาลี และประเทศนี้ยังผลิตไวน์ที่มากกว่าประเทศอื่นอีกด้วยศาสนา ศาสนา. ศาสนาที่ผู้คนส่วนใหญ่ในอิตาลีนับถือคือ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวอิตาลีถึง 87.8% เป็นโรมันคาทอลิกโดยพฤตินัย แม้ว่ามีเพียงประมาณหนึ่งในสามที่มีเหตุผลในการเลือกนับถือศาสนาคริสต์ (36.8%) ส่วนนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์มีผู้นับถือมากกว่า 700,000 คน ประกอบด้วยกรีกออร์ทอดอกซ์ 180,000 คนและอีก 550,000 คนนับถือเพนเทคอสตัลและอิแวนจิลิคัล (0.8%) ส่วนสมาชิกของอะเซมบลีส์ออฟกอดมีประมาณ 400,000 คน กลุ่มพยานพระยะโฮวา 235,685 คน (0.4%) นิกายวัลเดนเชียน 30,000 คน เซเวนธ์-เดย์แอดเวนทิสต์ มีประมาณ 22,000 คน นิกายมอรมอน 22,000 คน แบปทิสต์ 15,000 คน ลูเทอแรน 7,000 คน และเมทอดิสต์ 4,000 คน ส่วนศาสนิกชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่ที่สุดคือศาสนายูดาห์ มีคนนับถือ 45,000 คน ประเทศอิตาลีมีกลุ่มศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ไม่ค่อยมากนัก เช่นการอพยพเข้ามาของประชากรจากส่วนอื่นๆ ของโลก เป็นผลทำให้อิตาลีมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ 825,000 คน (1.4% ของประชากรทั้งประเทศ) แต่เป็นพลเมืองอิตาลีเพียง 50,000 คน นอกจากนี้ อิตาลีมีชาวพุทธ 50,000 คน โดยที่ศาสนาพุทธ รัฐบาลอิตาลี ได้รับรองสถานะของสมาคมชาวพุทธในอิตาลี เมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2543 และมีวัดไทยสำคัญคือ วัดสันตจิตตาราม อยู่ห่างจากกรุงโรม 52 กิโลเมตร ซิกข์ 70,000 คน และชาวฮินดู 70,000 คนกีฬาฟุตบอลวอลเลย์บอลมวยสากลวัฒนธรรมเทศกาลสำคัญวัฒนธรรม. เทศกาลสำคัญ. - เทศกาลคาร์นิวัล จัดในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จัดตามเมืองต่างๆ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่เมืองเวนิส แคว้นเวเนโต มีลักษณะของงานคือเน้นการแต่งการแฟนซีและสวมหน้ากาก - เทศกาลทางศาสนา เช่น เทศกาลอีสเตอร์ ประกอบด้วยการเดินขบวนกู๊ดฟรายเดย์หรือเรียกว่าวันอาทิตย์อีสเตอร์ จัดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ภายในเทศกาลจะมีการเฉลิมฉลอง พระสันตะปาปาจะมีกระแสรับสั่งถึงคริสต์ศาสนิกชนในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งจัดขึ้นที่นครรัฐวาติกัน - เทศกาลศิลปะและดนตรี () จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี - เทศกาลโอเปร่า ที่เมืองเวโรนา แคว้นเวเนโต - เทศกาลลดราคาสินค้าประจำปี จัดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนต่อมาก็จะเป็นช่วงแห่งการพักร้อน ร้านค้าและกิจการในเมืองจะปิด และผู้คนจะไปพักร้อนตามทะเล - เทศกาลฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์ - เทศกาลภาพยนตร์ จัดที่เมืองฟลอเรนซ์ ในเดือนพฤศจิกายน - พิธีมิสซา (ศีลมหาสนิท) ตามโบสถ์ต่างๆ และในคืนวันที่ 24 ธันวาคม สมเด็จพระสันตะปาปาจะเสด็จออกจากบนพระระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกันวันหยุดวันหยุด. - 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่ - 6 มกราคม วัน Epiphany - วันอาทิตย์และจันทร์ปลายเดิอนมีนา หรือต้นเดือนเมษายน วันGood Friday และEaster Monday - 25 เมษายน วันฉลองอิสรภาพ (Liberation Day) - 1 พฤษภาคม วันแรงงาน - 2 มิถุนายน วันสถาปนาสาธารณรัฐ - 15 สิงหาคม วันแฟร์รากอสโต้ หรือวันพระแม่มาเรียขึ้นสวรรค์ (Farragosto) - 1 พฤศจิกายน วันนักบุญ - 8 ธันวาคม วันพระแม่มารีพ้นมลทิน - 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส - 26 ธันวาคม วันนักบัญเซนต์สตีเฟ่นสื่อสารมวลชนสถาปัตยกรรมอาหาร
ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บนทวีปใด
{ "answer": [ "ยุโรป" ], "answer_begin_position": [ 178 ], "answer_end_position": [ 183 ] }
2,113
9,941
ประเทศอิตาลี อิตาลี (; อิตาเลีย) มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี (; ) เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต และมีเกาะ 2 เกาะใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ เกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย และพรมแดนตอนเหนือแบ่งประเทศโดยเทือกเขาแอลป์ กับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และสโลวีเนีย ประเทศอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ นาโต และกลุ่มจี 8 มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ในขณะที่เมืองกัมปีโอเนดีตาเลีย เป็นดินแดนส่วนแยกของอิตาลีที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ภูมิประเทศ. ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุก ๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ โดยอาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียอันมีเทือกเขาแอลป์กั้นแบ่ง ในเทือกเขาแห่งนี้มีภูเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก คือภูเขามอนเตบีอังโก () ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งของอิตาลีมีชื่อว่า เทือกเขาแอเพนไนน์ () พาดผ่านจากตอนกลางสู่ตอนใต้ของประเทศ แม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือแม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำไทเบอร์ที่ไหลผ่านกรุงโรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะซิซิลี รองลงมาคือเกาะซาร์ดิเนีย ทั้งสองแห่งสามารถเดินทางได้โดยทางเรือและทางเครื่องบิน ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุงโรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และเวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโนและนครรัฐวาติกัน ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช (โพแทสเซียมคาร์บอเนต) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลาและถ่านหิน อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรมและการสันดาป ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่ม ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิสภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมืองตูริน มิลาน และโบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Cfa) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของแคว้นลิกูเรียและส่วนใหญ่ของคาบสมุทรที่อยู่ใต้ลงไปจากฟลอเรนซ์เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน: Csa) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมีหิมะตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 0 °C (32 °F) บนเทือกเขาแอลป์ ถึง 12 °C (54 °F) บนเกาะซิซิลี และในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 °C (68 °F) ถึง 30 °C (86 °F) และอาจสูงกว่านี้ได้ในบางช่วงประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคจักรวรรดิโรมัน. คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวกอีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” () ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองเนเปิลส์จนถึงเกาะซิซิลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็นนครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐยุคกลาง ยุคกลาง. ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือ“สันตะปาปา” และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป ในกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน โดยเรียกว่า ยุคเรอเนซองส์ และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินา แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิงอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้า ระหว่างฝรั่งเศสและสเปนราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946) ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946). ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของพระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ (The Big Four) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับนาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในข้อหาทรยศต่อชาติที่เมืองมิลานสาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐอิตาลี. เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สิ้นสุดลง อิตาลียังคงมีพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 เป็นประมุขอยู่ ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติให้กับพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนต่างลงประชามติให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นระบบสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1948 จนถึงปัจจุบันการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. การปกครองของประเทศอิตาลีเป็นรูปแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มีรัฐสภา และใช้ระบบพรรคผสม รัฐสภาของอิตาลีประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนของทั้งสองสภาดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี รัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ส่วนอำนาจนิติบัญญัติควบคุมโดยสภานิติบัญญัติสองสภา ประเทศอิตาลีใช้รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยมาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 หลังจากการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยโดยการลงประชามติของประชาชน มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1948บริหารนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. รัฐสภาอิตาลีประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานรัฐสภา คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร การบัญญัติกฎหมายใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกทั้ง 2 สภาคือ 5 ปี และการเลือกตั้งจะทำพร้อมกันทั้ง 2 สภา โดยจะมีขึ้นทุก ๆ 5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากประธานาธิบดีไม่อาจสรรหานายกรัฐมนตรีที่สามารถจัดตั้ง คณะรัฐบาลให้ทั้ง 2 สภาให้ความเห็นชอบได้ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 9 - 10 เมษายน พ.ศ. 2549 (มีการเลือกตั้ง 2 วันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนมาลงคะแนนมากขึ้น) สภาผู้แทนราษฎร () ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 630 คน โดย 475 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 155 คนมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจากแคว้นต่างๆ ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป วุฒิสภา () ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 326 คน โดย 315 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป จากแคว้น ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีสมาชิกวุฒิสภาตลอดชีพอีกจำนวนหนึ่ง (ปัจจุบันมี 7 คน) ซึ่งจะแต่งตั้งจากบุคคลชั้นนำของสังคมตุลาการสิทธิมนุษยชนนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปความสัมพันธ์กับประเทศไทยนโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - ด้านการทูต ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิตาลีมา ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) โดยไทยและอิตาลีได้ลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกคือ สนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพ การพาณิชย์ และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and Navigation) ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1868 ต่อมาอิตาลีได้แต่งตั้งกงสุลอิตาลีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2429555- การค้าและเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศอิตาลีเป็นคู่ค้าของไทยอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป และอันดับที่ 21 ในโลก โดยมีมูลค่าการค้ารวม 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.2 ของการค้ารวมของไทย เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2548 ร้อยละ 0.24 โดยไทยส่งออก 1.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 1.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการลงทุน ในปี พ.ศ. 2549 การลงทุนของอิตาลีในไทย มีมูลค่ารวม 481.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากปี พ.ศ. 2548 โดยเป็นด้านแร่ธาตุและเซรามิค 1 โครงการ อุตสาหกรรมเบาและเส้นใย 2 โครงการ ผลิตภัณฑ์โลหะและเครื่องจักร 3 โครงการ ด้านเคมีภัณฑ์และกระดาษ 1 โครงการและด้านบริการ 2 โครงการ- การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอิตาลีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยประมาณ 130,000 คนต่อปี โดยมีจำนวนมากน้อยตามสภาวะเศรษฐกิจของอิตาลีและยุโรป ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปอิตาลีปีละประมาณ 12,350 คน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี และสายการบินไทยมีเส้นทางการบินจากกรุงเทพสู่มิลาน สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน จากเดิมมีเพียงการบินจากโรมเข้าสู่กรุงเทพทั้งสิ้น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์กองทัพการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนท้องถิ่น อิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น แบ่งเป็นแคว้น 15 แคว้น และแคว้นปกครองตนเอง 5 แคว้น โดยในแต่ละแคว้นจะมีองค์กรการปกครองหลักอยู่ 3 องค์กร คือ- คณะมนตรีแคว้น (Regional Council) ทำหน้าที่ตรากฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเขตอำนาจ - คณะมนตรีกรรมการ (The Junta) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร - ประธานคณะกรรมการ (The President of the Junta) ทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรีในเขตอำนาจ แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผู้แทนของรัฐบาลคนหนึ่งอยู่ประจำ ณ นครหลวงของแคว้นนั้น ๆ คอยควบคุมดูแลการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง สาธารณรัฐอิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 แคว้นหรือ เรโจนี () และ 5 แคว้นปกครองตนเอง หรือ เรโจนีเอาโตโนเม () และแต่ละแคว้นก็จะแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัด () และแต่ละจังหวัดก็จะแบ่งออกเป็นเทศบาลหรือ โกมูนี ()เมืองสำคัญเศรษฐกิจเกษตรกรรม เศรษฐกิจ. เกษตรกรรม. ในช่วงหลังของทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจของอิตาลีจัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เริ่มประสบปัญหาในทศวรรษต่อมา ทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปัญหาการขาดดุลสาธารณะได้ เดิมอิตาลีเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่หลังจากปี ค.ศ. 1945 ได้เริ่มพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจนกระทั่งปัจจุบันมีประชากรเพียงร้อยละ 7 อยู่ในภาคการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้และมีฐานะยากจนกว่าทางภาคเหนือและกลาง พืชหลักที่เพาะปลูก ได้แก่ ต้นบีต ข้าวสาลี ข้าวโพด มันเทศและองุ่น (อิตาลีใช้องุ่นทำไวน์และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกด้วย) ประเทศอิตาลีมีพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะแก่การเกษตรกรรม และมีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก แม้จะมีก๊าซธรรมชาติอยู่บ้าง จึงเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าอาหาร และพลังงาน อิตาลีเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมแบบพื้นฐาน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงไล่เลี่ยกับอังกฤษและฝรั่งเศส อิตาลีมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกทั้งหมด 11 ประเทศที่เข้าร่วมในสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 2002 และอิตาลีก็ได้เปลี่ยนสกุลเงินมาเป็นยูโร ซึ่งก่อนหน้านั้นอิตาลีใช้สกุลเงินลีร์ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881)อุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศมี รถยนต์ บริษัทรถยนต์ที่รู้จักกันดี เช่น อัลฟาโรเมโอ เฟียต เฟอร์รารี่ ลัมโบร์กีนี (ปัจจุบันอยู่ในเครือโฟล์กสวาเกน) และ มาเซราติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องเรือน อุตสาหกรรมทอผ้า เสื้อผ้า แฟชั่น และการท่องเที่ยว อิตาลีเป็นสมาชิกกลุ่มจี 8 และเข้าร่วมสหภาพการเงินของสหภาพยุโรป (EMU) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 แม้ระบบเศรษฐกิจของอิตาลีเป็นระบบทุนนิยม ที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี แต่รัฐบาลยังคงเข้ามามีบทบาทควบคุมกิจกรรมที่สำคัญ เช่น สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งได้ก่อประโยชน์ให้แก่ภาครัฐบาลในการสร้างฐานอำนาจ และแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะลดบทบาทของพรรคการเมือง โดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ แต่อิตาลียังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศหลายอย่าง เช่น การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง การว่างงาน การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานในประเทศ และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างอิตาลีตอนเหนือ (แคว้นลอมบาร์ดี เอมีเลีย-โรมัญญา และทัสกานี) ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการค้า และมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs อยู่หนาแน่น กับอิตาลีตอนกลางและตอนล่าง รวมทั้งเกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรม บริเวณที่พัฒนาน้อยกว่านี้มีพื้นที่ประมาณ 40% ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยพื้นที่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 35 ของประชากรทั้งประเทศ และมีอัตราการว่างงานสูงถึงกว่าร้อยละ 20การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐาน. ทรัพยากร. ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อิตาลีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมากที่สุดและยังมีทรัพยากรจากแหล่งอาณานิคม ทรัพยากรของอิตาลีมี เหล็ก ทองแดง กำมะถันพบมากในซาร์ดิเนียทางตอนใต้ของอิตาลีมีทะเลสาบปล่องภูเขาไฟจำนวนมาก อิตาลียังมีถ่านหิน ดีบุกส่วนเกาะซิซิลีของอิตาลีมีก๊าซธรรมชาติมาก เกาะซาร์ดิเนียมีบีตและโรงงานทำน้ำตาลซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป (น้ำตาลในยุโรปส่วนใหญ่มาจากอิตาลี) อิตาลีปลูกกาแฟมากที่สุดในยุโรป เป็นที่มาของคาปูชิโนและเอสเปรสโซทั้งสองมีต้นกำเนิดที่อิตาลี ทางตอนเหนือของอิตาลีนิยมปลูกองุ่นที่ใช้ทำไวน์ อิตาลีเป็นประเทศที่ค้าไวน์รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลกคมนาคม และ โทรคมนาคมการคมนาคม คมนาคม และ โทรคมนาคม. การคมนาคม. ประเทศอิตาลีมีถนนความยาวทั้งหมด 487,700 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 13 ประเทศรอบอิตาลี มีสนามบินทั้งหมด 132 แห่ง โดยที่เป็นศูนย์กลางการบิน 2 แห่ง คือ สนามบินนานาชาติเลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม และสนามบินนานาชาติมัลเปนซา ในมิลาน มีสายการบินสู่ประเทศ 44 ประเทศ (ค.ศ. 2008) มีทางรถไฟความยาวทั้งหมด 19,460 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 16 ประเทศโทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษา การศึกษา. การศึกษาในอิตาลี แบ่งเป็นประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียน 13 ปี (ใช้ระบบ 5-3-5) และระดับอุดมศึกษาซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและมีความแตกต่างจากระบบการศึกษาในประเทศอื่น การแบ่งวุฒิการศึกษาจากระดับต่างๆ ในขั้นสูง แบ่งได้ 4 ระดับได้แก่1. ระดับเทียบเท่าปริญญาตรี (Diploma Universitario) 2. ระดับเทียบเท่าปริญญาโท (Laurea Speciallstica) 3. ระดับเทียบเท่าสูงกว่าปริญญาโท (Laurea Specializzazione) 4. ระดับเทียบเท่าปริญญาเอก (Dottorato di Ricerca)ประชากรศาสตร์ประชากร ประชากรศาสตร์. ประชากร. ประชาชนที่อยู่ในประเทศอิตาลีเรียกว่า ชาวอิตาลี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยโรมันโบราณ จำนวนประชากรของประเทศอิตาลีมีประมาณ 60 ล้านคน โดยประมาณ 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ในมิลาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก มีภาษาทางการคือภาษาอิตาลี และบางพื้นที่ในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสก็พูดด้วย แต่จะเป็นภาษาซิซิลี และภาษาซาร์ดีเนีย ซึ่งคล้ายกับภาษาอิตาลีแต่ต่างกันที่สำเนียงเท่านั้น ประชากรส่วนใหญ่ในอิตาลีมีเชื้อชาติอิตาลีถึง 94.2% ของประชากรทั้งประเทศ และอื่นๆอีก เช่น อัลบาเนีย ยูเครน โรมาเนีย 1.94% แอฟริกัน 1.34% เอเชีย 0.92% อเมริกาใต้ 0.46% และอื่นๆ 1.14% ประเทศอิตาลีมีสถานที่ที่เป็นแหล่งมรดกโลกอยู่มากกว่าประเทศอื่นในโลก ซึ่งมีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างมาก ประมาณ 60% ของงานจิตรกรรมทั้งหมดในโลกสรรค์สร้างขึ้นในประเทศอิตาลี และประเทศนี้ยังผลิตไวน์ที่มากกว่าประเทศอื่นอีกด้วยศาสนา ศาสนา. ศาสนาที่ผู้คนส่วนใหญ่ในอิตาลีนับถือคือ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวอิตาลีถึง 87.8% เป็นโรมันคาทอลิกโดยพฤตินัย แม้ว่ามีเพียงประมาณหนึ่งในสามที่มีเหตุผลในการเลือกนับถือศาสนาคริสต์ (36.8%) ส่วนนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์มีผู้นับถือมากกว่า 700,000 คน ประกอบด้วยกรีกออร์ทอดอกซ์ 180,000 คนและอีก 550,000 คนนับถือเพนเทคอสตัลและอิแวนจิลิคัล (0.8%) ส่วนสมาชิกของอะเซมบลีส์ออฟกอดมีประมาณ 400,000 คน กลุ่มพยานพระยะโฮวา 235,685 คน (0.4%) นิกายวัลเดนเชียน 30,000 คน เซเวนธ์-เดย์แอดเวนทิสต์ มีประมาณ 22,000 คน นิกายมอรมอน 22,000 คน แบปทิสต์ 15,000 คน ลูเทอแรน 7,000 คน และเมทอดิสต์ 4,000 คน ส่วนศาสนิกชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่ที่สุดคือศาสนายูดาห์ มีคนนับถือ 45,000 คน ประเทศอิตาลีมีกลุ่มศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ไม่ค่อยมากนัก เช่นการอพยพเข้ามาของประชากรจากส่วนอื่นๆ ของโลก เป็นผลทำให้อิตาลีมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ 825,000 คน (1.4% ของประชากรทั้งประเทศ) แต่เป็นพลเมืองอิตาลีเพียง 50,000 คน นอกจากนี้ อิตาลีมีชาวพุทธ 50,000 คน โดยที่ศาสนาพุทธ รัฐบาลอิตาลี ได้รับรองสถานะของสมาคมชาวพุทธในอิตาลี เมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2543 และมีวัดไทยสำคัญคือ วัดสันตจิตตาราม อยู่ห่างจากกรุงโรม 52 กิโลเมตร ซิกข์ 70,000 คน และชาวฮินดู 70,000 คนกีฬาฟุตบอลวอลเลย์บอลมวยสากลวัฒนธรรมเทศกาลสำคัญวัฒนธรรม. เทศกาลสำคัญ. - เทศกาลคาร์นิวัล จัดในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จัดตามเมืองต่างๆ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ที่เมืองเวนิส แคว้นเวเนโต มีลักษณะของงานคือเน้นการแต่งการแฟนซีและสวมหน้ากาก - เทศกาลทางศาสนา เช่น เทศกาลอีสเตอร์ ประกอบด้วยการเดินขบวนกู๊ดฟรายเดย์หรือเรียกว่าวันอาทิตย์อีสเตอร์ จัดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ภายในเทศกาลจะมีการเฉลิมฉลอง พระสันตะปาปาจะมีกระแสรับสั่งถึงคริสต์ศาสนิกชนในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งจัดขึ้นที่นครรัฐวาติกัน - เทศกาลศิลปะและดนตรี () จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี - เทศกาลโอเปร่า ที่เมืองเวโรนา แคว้นเวเนโต - เทศกาลลดราคาสินค้าประจำปี จัดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนต่อมาก็จะเป็นช่วงแห่งการพักร้อน ร้านค้าและกิจการในเมืองจะปิด และผู้คนจะไปพักร้อนตามทะเล - เทศกาลฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์ - เทศกาลภาพยนตร์ จัดที่เมืองฟลอเรนซ์ ในเดือนพฤศจิกายน - พิธีมิสซา (ศีลมหาสนิท) ตามโบสถ์ต่างๆ และในคืนวันที่ 24 ธันวาคม สมเด็จพระสันตะปาปาจะเสด็จออกจากบนพระระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกันวันหยุดวันหยุด. - 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่ - 6 มกราคม วัน Epiphany - วันอาทิตย์และจันทร์ปลายเดิอนมีนา หรือต้นเดือนเมษายน วันGood Friday และEaster Monday - 25 เมษายน วันฉลองอิสรภาพ (Liberation Day) - 1 พฤษภาคม วันแรงงาน - 2 มิถุนายน วันสถาปนาสาธารณรัฐ - 15 สิงหาคม วันแฟร์รากอสโต้ หรือวันพระแม่มาเรียขึ้นสวรรค์ (Farragosto) - 1 พฤศจิกายน วันนักบุญ - 8 ธันวาคม วันพระแม่มารีพ้นมลทิน - 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส - 26 ธันวาคม วันนักบัญเซนต์สตีเฟ่นสื่อสารมวลชนสถาปัตยกรรมอาหาร
ประเทศอิตาลีมีรูปทรงคล้ายรองเท้าประเภทใด
{ "answer": [ "บูต" ], "answer_begin_position": [ 246 ], "answer_end_position": [ 249 ] }
2,114
464,050
ซีหวังหมู่ ซีหวังหมู่ (; "พระพันปีตะวันตก") เป็นเทวีตามความเชื่อจีนซึ่งปรากฏมาแต่โบราณกาล บันทึกแรกสุดเกี่ยวกับนางปรากฏบนกระดูกเสี่ยงทายอายุราวหนึ่งร้อยห้าสิบปีก่อนคริสต์ศักราชซึ่งมีเนื้อหาเป็นการสังเวย "นางพระยาตะวันตก" แต่แม้บันทึกเหล่านี้มีขึ้นก่อนลัทธิเต๋า นางก็มักได้รับการจัดเข้าอยู่ในลัทธิเต๋า ชื่อของนางเองบ่งบอกว่านางเป็นสตรี เป็นราชนิกุล และสัมพันธ์กับภาคตะวันตก นางเริ่มได้รับความนิยมและเริ่มเชื่อถือกันว่าเป็นผู้ประทานอายุ โภคะ และสุขะตั้งแต่ช่วงสองร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชในคราวที่ภาคตะวันตกและภาคเหนือของจีนสามารถติดต่อกันได้ดีขึ้นเพราะมีการเปิดเส้นทางสายไหม ชื่ออย่างเป็นทางการของนางตามฝ่ายเต๋าคือ "เหยาฉือจินหมู่" (; "สุวรรณเทวีแห่งนทีอันรุ่งเรือง") ส่วนในปัจจุบัน นางเป็นที่รู้จักในชื่อ "หวังหมู่เหนียงเนียง" ตามสำเนียงกลาง หรือ "อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย" ตามสำเนียงฮกเกี้ยน (; "พระนางหวังหมู่")
เทวีตามความเชื่อของชาวจีน ซีหวังหมู่ มีชื่ออย่างเป็นทางการตามฝ่ายเต๋าคืออะไร
{ "answer": [ "เหยาฉือจินหมู่" ], "answer_begin_position": [ 697 ], "answer_end_position": [ 711 ] }
2,115
176,475
บาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคติดเชื้ออย่างหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการเด่นคืออาการกล้ามเนื้อเกร็ง ส่วนใหญ่การเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามเนื้อกราม จากนั้นจึงลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ การเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ การเกร็งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้กระดูกหักได้ อาการอื่นที่อาจพบร่วมได้แก่ ไข้ เหงื่อออก ปวดศีรษะ กลืนลำบาก ความดันเลือดสูง และหัวใจเต้นเร็ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการหลังจากติดเชื้อเป็นเวลา 3-21 วัน การรักษาอาจใช้เวลาหลายเดือน ผู้ป่วยประมาณ 10% จะเสียชีวิต บาดทะยักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งพบได้ในดิน น้ำลาย ฝุ่น และปุ๋ยมูลสัตว์ เชื้อมักเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลเช่นแผลบาดหรือแผลตำที่เกิดจากวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อเหล่านี้ผลิตสารพิษที่รบกวนกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการดังกล่าวข้างต้น การวินิจฉัยทำได้โดยการดูจากอาการและอาการแสดง โรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน การป้องกันการติดเชื้อทำได้โดยการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการให้วัคซีนบาดทะยัก ผู้ที่มีบาดแผลที่เข้าข่ายจะติดเชื้อและได้รับวัคซีนมาไม่ถึง 3 ครั้ง ควรได้รับทั้งวัคซีนบาดทะยักและภูมิคุ้มกันบาดทะยักในรูปแบบของอิมมูโนกลอบูลิน ควรได้รับการล้างแผลและนำเอาเนื้อตายออก ผู้ป่วยที่มีอาการควรได้รับการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบาดทะยักแบบอิมมูโนกลอบูลิน หรืออาจรักษาด้วยอิมมูโนกลอบูลินแบบรวมได้ ยาคลายกล้ามเนื้ออาจช่วยควบคุมอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และหากผู้ป่วยมีปัญหาของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจร่วมด้วยอาจต้องใช้การช่วยหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจ บาดทะยักเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลกแต่มักพบบ่อยในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นซึ่งมีดินและสารอินทรีย์อยู่มาก ในปี พ.ศ. 2558 มีรายงานว่ามีผู้ป่วยบาดทะยักประมาณ 209,000 คนและเสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก ซึ่งลดลงเป็นอย่างมากจากจำนวนผู้เสียชีวิต 356,000 คน ในปี พ.ศ. 2533 มีการบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยแพทย์กรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล สาเหตุของโรคถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle และ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2467 = ความเกี่ยวข้องกับสนิมเหล็ก = มักเป็นที่เชื่อกันว่าบาดทะยักกับสนิมเหล็กมีความเกี่ยวข้องกัน นี้เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก โดยทั่วไปแล้ววัตถุที่มีสนิมมักพบอยู่นอกบ้านหรือในบริเวณที่พบแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจนอยู่แล้ว แต่ตัวสนิมเองไม่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก รวมถึงไม่ได้มีแบคทีเรีย C. tetani มากกว่าที่อื่น พื้นผิวที่ขรุขระของเหล็กขึ้นสนิมนั้นอาจเป็นแหล่งอาศัยของ endospore ของ C. tetani ได้ และตะปูเหล็กก็มักทิ่มผิวหนังเป็นแผลลึกเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจน จึงทำให้สนิมเหล็กถูกมองว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคบาดทะยัก ซึ่งไม่เป็นจริงแต่อย่างใด
อาการใดที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจจะเป็นบาดทะยัก
{ "answer": [ "กล้ามเนื้อเกร็ง" ], "answer_begin_position": [ 154 ], "answer_end_position": [ 169 ] }
2,116
176,475
บาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคติดเชื้ออย่างหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการเด่นคืออาการกล้ามเนื้อเกร็ง ส่วนใหญ่การเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามเนื้อกราม จากนั้นจึงลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ การเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ การเกร็งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้กระดูกหักได้ อาการอื่นที่อาจพบร่วมได้แก่ ไข้ เหงื่อออก ปวดศีรษะ กลืนลำบาก ความดันเลือดสูง และหัวใจเต้นเร็ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการหลังจากติดเชื้อเป็นเวลา 3-21 วัน การรักษาอาจใช้เวลาหลายเดือน ผู้ป่วยประมาณ 10% จะเสียชีวิต บาดทะยักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งพบได้ในดิน น้ำลาย ฝุ่น และปุ๋ยมูลสัตว์ เชื้อมักเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลเช่นแผลบาดหรือแผลตำที่เกิดจากวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อเหล่านี้ผลิตสารพิษที่รบกวนกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการดังกล่าวข้างต้น การวินิจฉัยทำได้โดยการดูจากอาการและอาการแสดง โรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน การป้องกันการติดเชื้อทำได้โดยการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการให้วัคซีนบาดทะยัก ผู้ที่มีบาดแผลที่เข้าข่ายจะติดเชื้อและได้รับวัคซีนมาไม่ถึง 3 ครั้ง ควรได้รับทั้งวัคซีนบาดทะยักและภูมิคุ้มกันบาดทะยักในรูปแบบของอิมมูโนกลอบูลิน ควรได้รับการล้างแผลและนำเอาเนื้อตายออก ผู้ป่วยที่มีอาการควรได้รับการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบาดทะยักแบบอิมมูโนกลอบูลิน หรืออาจรักษาด้วยอิมมูโนกลอบูลินแบบรวมได้ ยาคลายกล้ามเนื้ออาจช่วยควบคุมอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และหากผู้ป่วยมีปัญหาของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจร่วมด้วยอาจต้องใช้การช่วยหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจ บาดทะยักเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลกแต่มักพบบ่อยในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นซึ่งมีดินและสารอินทรีย์อยู่มาก ในปี พ.ศ. 2558 มีรายงานว่ามีผู้ป่วยบาดทะยักประมาณ 209,000 คนและเสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก ซึ่งลดลงเป็นอย่างมากจากจำนวนผู้เสียชีวิต 356,000 คน ในปี พ.ศ. 2533 มีการบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยแพทย์กรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล สาเหตุของโรคถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle และ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2467 = ความเกี่ยวข้องกับสนิมเหล็ก = มักเป็นที่เชื่อกันว่าบาดทะยักกับสนิมเหล็กมีความเกี่ยวข้องกัน นี้เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก โดยทั่วไปแล้ววัตถุที่มีสนิมมักพบอยู่นอกบ้านหรือในบริเวณที่พบแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจนอยู่แล้ว แต่ตัวสนิมเองไม่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก รวมถึงไม่ได้มีแบคทีเรีย C. tetani มากกว่าที่อื่น พื้นผิวที่ขรุขระของเหล็กขึ้นสนิมนั้นอาจเป็นแหล่งอาศัยของ endospore ของ C. tetani ได้ และตะปูเหล็กก็มักทิ่มผิวหนังเป็นแผลลึกเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้ออกซิเจน จึงทำให้สนิมเหล็กถูกมองว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคบาดทะยัก ซึ่งไม่เป็นจริงแต่อย่างใด
วัคซีนบาดทะยักถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2467" ], "answer_begin_position": [ 1951 ], "answer_end_position": [ 1955 ] }
2,117
719,515
เจ้าชายนีโคลัส ดยุกแห่งโอเงร์มันลันด์ เจ้าชายนีโคลัส พอล กุสตาฟ ดยุกแห่งโอเงร์มันลันด์ (; ประสูติ: 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558) พระโอรสในเจ้าหญิงมาเดอลีน ดัชเชสแห่งเฮลซิงลันด์และเยสตริคลันด์ กับคริสโตเฟอร์ โอนีล และอยู่ในลำดับที่เก้าแห่งการสืบราชบัลลังก์พระประวัติ พระประวัติ. พระองค์เป็นพระโอรสในเจ้าหญิงมาเดอลีน ดัชเชสแห่งเฮลซิงลันด์และเยสตริคลันด์ กับคริสโตเฟอร์ โอนีล ประสูติเมื่อเวลา 13.45 น. ณ โรงพยาบาลดันเดอรีด กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน หลังการประสูติได้มีการยิงสลุต 21 นัด ถวายสดุดี โดยพระองค์จะได้รับการพระราชทานพระนามจากสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ พระอัยกา พระองค์มีพระเชษฐภคินีคือเจ้าหญิงเลโอนอร์ ดัชเชสแห่งกอตลันด์ และพระขนิษฐาคือเจ้าหญิงอาเดรียน ดัชเชสแห่งเบลคิงแง
ใครคือพระบิดาของเจ้าชายนีโคลัส พอล กุสตาฟ ดยุกแห่งโอเงร์มันลันด์
{ "answer": [ "คริสโตเฟอร์ โอนีล" ], "answer_begin_position": [ 300 ], "answer_end_position": [ 317 ] }
2,118
101,715
ทะเลอาหรับ ทะเลอาหรับ (, ) เป็นบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศอินเดีย ทิศเหนือติดประเทศปากีสถานและประเทศอิหร่าน ทิศตะวันตกติดกับคาบสมุทรอาหรับ ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลอาหรับลึก 4,652 เมตร ส่วนที่ยาวที่สุดยาว 2,400 กิโลเมตร แม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดที่ไหลลงทะเลอาหรับคือแม่น้ำสินธุ
ทะเลอาหรับเป็นทะเลที่อยู่ในมหาสมุทรใด
{ "answer": [ "มหาสมุทรอินเดีย" ], "answer_begin_position": [ 130 ], "answer_end_position": [ 145 ] }
2,119
101,715
ทะเลอาหรับ ทะเลอาหรับ (, ) เป็นบริเวณหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศอินเดีย ทิศเหนือติดประเทศปากีสถานและประเทศอิหร่าน ทิศตะวันตกติดกับคาบสมุทรอาหรับ ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลอาหรับลึก 4,652 เมตร ส่วนที่ยาวที่สุดยาว 2,400 กิโลเมตร แม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดที่ไหลลงทะเลอาหรับคือแม่น้ำสินธุ
ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลอาหรับมีความลึกกี่เมตร
{ "answer": [ "4,652" ], "answer_begin_position": [ 283 ], "answer_end_position": [ 288 ] }
2,120
52,773
วัดสวนหลวงสบสวรรค์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ ตั้งอยู่ในเกาะเมืองด้านทิศตะวันตก อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (บริเวณกรมทหารเก่า) สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดให้จัดพระราชพิธี ทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระอัครมเหสี พระสุริโยทัย ที่ในสวนหลวง ภายในวัดสบสวรรค์ แล้วโปรดให้สร้างพระอารามขึ้นตรงพระเมรุ มีเจดีย์สูงใหญ่สี่เหลี่ยม ทรงย่อไม้มุมสิบสอง บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระสุริโยทัย พระอารามที่โปรดให้สร้างขึ้นที่สวนหลวง กับวัดสบสวรรค์ จึงรวมเรียกว่า " วัดสวนหลวงสบสวรรค์ " ปัจจุบันยังมีพระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่เป็นสำคัญ เรียกว่า เจดีย์พระศรีสุริโยทัย ปัจจุบัน วัดสวนหลวงสบสวรรค์ เป็นวัดร้าง มีสภาพเป็นพื้นดินว่างเปล่าประวัติประวัติ. - พ.ศ. 2081 พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ช้างของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ชื่อ ช้างต้นพลายมงคลทวีปสูงถึงเจ็ดศอก ได้ยกทัพเข้ามารุกรานอาณาจักรไทย - พ.ศ. 2091 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นเสวยราชสมบัติ หลังจากขึ้นครองราชย์ได้เพียง 7 เดือน ช้างทรงของพระมหาจักรพรรดิคือ พลายแก้วจักรพรรดิ สูงหกศอกคืบห้านิ้ว- พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ได้บรรยายการต่อสู้ครั้งนั้นไว้โดยพิสดารว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็ขับพระคชาธารเข้าชนช้างกองหน้าพระเจ้าหงสาวดี พระคชาธารเสียทีให้หลังข้าศึกเอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปร (ช้างของพระเจ้าแปร คือพลายเทวนาคพินายสูงหกศอกคืบเจ็ดนิ้ว) ได้ท้ายข้าศึกเช่นนั้นก็ขับพระคชาธารตามไล่ช้างพระมหาจักรพรรดิ พระสุริโยไทเห็นพระราชสามีเสียทีไม่พ้นมือข้าศึก ทรงพระกตัญญูภาพ ก็ขับพระคชาธารพลายทรงสุริยกษัตริย์สะอึกออกรับพระคชาธารพระเจ้าแปรได้ล่างแบกถนัด พระคชาธารพระสุริโยไทแหงนหงายเสียทีพระเจ้าแปรจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวต้องพระอังสะพระสุริโยไทขาดกระทั่งถึงราวพระถันประเทศ พระราเมศวร (ช้างทรงพระราเมศวร ชื่อพลายมงคลจักรพาฬ สูงห้าศอกคืบสิบนิ้ว) กับพระมหินทราธิราช (ช้างทรงพระมหินทราธิราช ชื่อพลายพิมานจักรพรรดิ สูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว) ก็ขับพระคชาธารถลันเข้าแก้พระราชมารดาได้ทันที พอพระชนนีสิ้นพระชนม์กับคอช้าง พระพี่น้องทั้งสองพระองค์ถอยรอรับข้าศึก กันพระศพสมเด็จพระราชมารดาเข้าพระนครได้ โยธาชาวพระนครแตกพ่ายข้าศึกรี้พลตายเป็นอันมาก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าจึงให้เชิญพระศพพระสุริโยไท ผู้เป็นพระอัครมเหสีมาไว้สวนหลวง"ความสำคัญความสำคัญ. - วัดสวนหลวงสบสวรรค์เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพ พระสุริโยไท ซึ่งเป็นอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
วัดใดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสุริโยทัย
{ "answer": [ "วัดสวนหลวงสบสวรรค์" ], "answer_begin_position": [ 2062 ], "answer_end_position": [ 2080 ] }
2,121
8,514
จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เรืออากาศโท จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช () เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 43 บุชสังกัดพรรครีพับลิกัน และเกิดในตระกูลบุชซึ่งเป็นตระกูลนักการเมืองตระกูลใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาคือ จอร์จ บุช ประธานาธิบดีคนที่ 41 และน้องชายเขา เจบ บุช เป็นอดีตผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดา ก่อนเริ่มเล่นการเมือง จอร์จ ดับเบิลยู บุชเป็นนักธุรกิจบ่อน้ำมัน และเป็นเจ้าของทีมเบสบอล เทกซัส เรนเจอร์ (Texas Rangers) เขาเริ่มเล่นการเมืองระดับท้องถิ่นโดยเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัสคนที่ 46 ชนะการเสนอชื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และชนะการเลือกตั้งต่อรองประธานาธิบดี อัล กอร์ใน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) และได้รับการเลือกตั้งสมัยที่สองเมื่อ พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) โดยเอาชนะวุฒิสมาชิก จอห์น เคร์รี ของ พรรคเดโมแครตการศึกษา การรับราชการทหาร และชีวิตส่วนตัวในช่วงแรก การศึกษา การรับราชการทหาร และชีวิตส่วนตัวในช่วงแรก. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นบุตรชายคนโต ของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช และนางบาบารา บุช(นามสกุลเดิม เพียร์ซ) ภริยา จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช เกิดที่เมืองนิว ฮาเวน รัฐคอนเน็กติกัต เขาบอกว่าตนเองเป็นชาวเทกซัสขนานแท้ เนื่องจากครอบครัวได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่รัฐเทกซัสเมื่อเขาอายุได้สองขวบ และเติบโตขึ้นในเมืองมิดแลนด์ และนครฮิวสตัน รัฐเทกซัส พร้อมกับนายเจบ บุช นีล บุช มาร์วิน บุช น้องชาย และ โดโรธี บุช คอช น้องสาว หลังจบการศึกษาจาก ฟีลิปป์ อคาเดมี ที่เมืองอานโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเสต เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) บุชเดินทางกลับมายังคอนเน็กติกัต และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยล สำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ บุชเป็นสมาชิกสมาคมสกัลแอนด์โบนส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) ระหว่างสงครามเวียดนาม เขาได้เข้าประจำการกองกำลังป้องกันประเทศทางอากาศ แห่งรัฐเทกซัส เขาเข้ารับการฝึกฝนในกองกำลังเป็นเวลาสองปี และก็ได้เรียนขับเครื่องบินในช่วงนั้นเอง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเรืออากาศเอก เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) จากการสนับสนุนของนาวาอากาศโทเจอรี บี. คิลเลน ผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้น บุชรับราชการเป็นนักบินเครื่องเอฟ-102 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เขาได้รับอนุญาตให้สิ้นสุดวาระรับราชการทหาร หกเดือนก่อนกำหนด เพื่อเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเขาก็ได้รับปริญญาโทสาขาการบริหารธุรกิจ (MBA) ในปี พ.ศ. 2518 {ค.ศ. 1975} ทำให้บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่จบ MBA ภายหลังจบการศึกษา เขาได้กลับไปยังรัฐเทกซัสเพื่อเข้าสู่ธุรกิจน้ำมัน สองปีต่อมา เขาได้เข้าพิธีสมรสกับนางสาวลอรา เวลช์ บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน ผู้มีพื้นเพมาจากมิดแลนด์ รัฐเทกซัส พวกเขามีบุตรสาวฝาแฝด บาบารา และเจนนา บุช เมื่อปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีบุตรฝาแฝดข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการรับราชการทหาร ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการรับราชการทหาร. การรับราชการทหารของบุชกลายเป็นข้อถกเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเมื่อปี พ.ศ. 2547 ผู้วิจารณ์บุชอ้างว่า เขาได้ลัดคิวเพื่อให้ได้เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศ ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2516 และถูกห้ามบิน หลังไม่เข้ารับการตรวจร่างกายและการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ประเด็นเหล่านี้ได้ปรากฏต่อสาธารณชนตลอดการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี พ.ศ. 2547 อันเกิดจากความพยายามของกลุ่ม "เท็กซัน ฟอร์ ทรูธ" ผู้สนับสนุนบุชอ้างว่าเอกสารหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ เกี่ยวกับการรับราชการทหารของบุชให้กองกำลังป้องกันประเทศ รวมถึงบันทึกการจ่ายเงินเดือน และเอกสารปลดประจำการอย่างเป็นทางการ ต่างระบุว่าบุชได้รับราชการอย่างสมเกียรติ ผู้ที่ตั้งข้อกังขายินดีอย่างยิ่งที่หาเอกสารอย่างเป็นทางการไม่พบ และเหตุการณ์นี้จะคลุมเครืออยู่ต่อไป แต่การพบเอกสารเพิ่มเติมที่ไม่ได้เป็นทั้งหลักฐานที่มัดตัว หรือช่วยให้พ้นข้อกล่าวหา ทำให้ข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างชัดในเร็ววันนี้ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการเสพสุราเกินขนาด ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการเสพสุราเกินขนาด. เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ใกล้ๆ กับบ้านพักฤดูร้อนของพ่อแม่ของบุชที่เมืองเคนเนอบังค์พอร์ต รัฐเมน ตำรวจได้จับกุมตัวจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในข้อหาขับขี่รถยนต์ขณะเมาสุรา เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกปรับเป็นเงิน 150 ดอลลาร์สหรัฐ และถูกพักใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ในรัฐเมนเป็นเวลา 30 วัน ได้มีการตีพิมพ์ข่าวการจับกุมห้าวันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) บุชได้เล่าถึงชีวิตก่อนที่เขาจะหันมานับถือศาสนาเมื่อย่างเข้าปีที่ 40 ของชีวิตว่า เป็นช่วงเวลา "ร่อนเร่พเนจร" ของ "วัยเยาว์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ" และยอมรับว่าดื่ม "มากเกินไป" ในตลอดช่วงปีดังกล่าว เขากล่าวว่าได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเป็นแบบสมถะ หลังจากตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมาค้างในวันเกิดปีที่ 40 ของเขา และยังอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งมาจากการได้พบปะกับบาทหลวงบิลลี เกรแฮม เมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ายังดื่มสุราต่อมาจนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ก็ตาม บุชยืนยันว่าเขาไม่ได้ใช้สารเสพติดที่ผิดกฎหมายอีกเลยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ได้มีบทความสนับสนุนว่าเขาหยุดใช้ยาเสพติดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) จากบทความดังกล่าว การสนทนาทางโทรศัพท์ทำให้เราทราบว่าเคยสูบกัญชา และดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธการเสพโคเคน เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายเจมส์ ฮาตฟิล์ด นักเขียนที่เขียนไว้ว่าเขาได้ใช้อิทธิพลของครอบครัวเพื่อลบประวัติการถูกจับกุมข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครองเมื่อปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) แต่ขอไม่พูดถึงว่าเขาใช้ยาเสพติดก่อนปี พ.ศ. 2517 หรือไม่ความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ ความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ. หลังจากได้พบปะกับสาธุคุณบิลลี เกรแฮม จากโบสต์นิกายเอแวนเจลิสต์ บุชได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และการปฏิบัติของศาสนาคริสต์มากขึ้น ตลอดระยะเวลานี้ เขาได้ออกจากโบสต์เอปิสโปคัล ที่ครอบครัวบุชนับถือ เพื่อมาเข้าร่วมโบสต์ยูไนเต็ด เมธอดิสต์ ที่ภรรยานับถืออยู่ ซึ่งเป็นการแสดงถึงแนวคิดทางสังคมที่อนุรักษนิยมมากกว่าเดิม บุชมักจะถูกอ้างถึงว่าเป็นชาวคริสต์ที่ได้เกิดอีกครั้งจากการหันมานับถือศาสนาอย่างจริงจัง ในการโต้วาทีทางโทรทัศน์ครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2543 ของนักการเมืองดังพรรครีพับลิกัน ผู้ร่วมรายการต่างถูกถามว่าใครเป็นนักปราชญ์คนโปรดของพวกเขา บุชตอบว่า "พระเยซู" โดยอ้างว่าพระเยซูเจ้าเป็นนักปราชญ์ผู้ที่ได้ "เปลี่ยนชีวิตของเขา"อาชีพการงานอาชีพนักธุรกิจ อาชีพการงาน. อาชีพนักธุรกิจ. บุชเริ่มอาชีพนักธุรกิจค้าน้ำมันในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ซึ่งเป็นปีที่เขาก่อตั้ง "อาร์บุสโต แอร์เนอจี" บริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซขึ้น ด้วยเงินส่วนที่เหลือจากกองทุนเพื่อการศึกษาของเขา กับเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุน รวมถึงโดโรธี บุช ลิววิส เลห์แมน วิลเลียม เฮนรี เดรปเปอร์ ที่สาม บิล แกมเมล และเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งเป็นตัวแทนของซาลิม บิน ลาเดน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) บุชได้ขายกิจการไปเนื่องจากเจ็บตัวจากช่วงแรกเริ่มของวิกฤตการณ์น้ำมันปี พ.ศ. 2522 และได้เปลี่ยนชื่อ "บุช เอ็กพลอเรชัน คอมพานี" เป็น "สเป็กตรัม เซเวน" ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซอีกแห่งที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในรัฐเทกซัส ภายใต้เงื่อนไขของการขายกิจการ บุชได้กลายเป็นซีอีโอ ของบริษัท ต่อมา "สเป็กตรัม เซเวน" มีรายได้ลดลง จึงถูกรวมเข้ากับ"ฮาร์เกน แอร์เนอจี คอร์ปอเรชัน" ในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) โดยมีบุชเป็นผู้อำนวยการ หลังจากที่ได้ช่วยงานบิดาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) จนประสบความสำเร็จ บุชได้ทราบจากนายวิลเลียม เดวิท จูเนียร์ เพื่อนที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยลว่า นายเอ็ดดี ชีลส์ เพื่อนของครอบครัวเขาต้องการขายเฟรนไชส์ของทีมเทกซัส เรนเจอร์ ซึ่งเป็นทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) บุชได้รวบรวมนักลงทุนได้กลุ่มหนึ่ง จากบรรดาเพื่อนสนิทของบิดา รวมทั้งนายโรแลนด์ ดับเบิลยู. เบ็ทส์ เพื่อนรักของพ่อ กลุ่มนักลงทุนนี้ได้ซื้อหุ้น 86 % ของทีมเรนเจอร์ มาด้วยมูลค่าราว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บุชได้รับส่วนแบ่งหุ้น 2% ด้วยการลงทุนเป็นเงิน 606,302 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ในจำนวนนั้น มีเงิน 500,000 ดอลลาร์ที่ได้มาจากการกู้ธนาคาร บุชจ่ายเงินกู้ด้วยการขายหุ้นของฮาร์เกน แอร์เนอร์จีไปรวมมูลค่า 848,000 ดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่ปรึกษา ฮาร์เกนสูญเสียรายได้อย่างมากหลังจากการขายหุ้นของบุช ทำให้บุชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คณะกรรมาธิการความมั่นคงและการแลกเปลี่ยนของสหรัฐ สรุปว่าบุชได้มี "แผนการที่วางไว้ล่วงหน้า" ว่าจะขายหุ้น และบุช "มีบทบาทเพียงน้อยนิดในการบริหารฮาร์เกน" ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าบุชขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในฐานะหุ้นส่วนร่วมบริหารของทีมเรนเจอร์ บุชได้ช่วยในด้านการประสานงานกับสื่อและการก่อสร้างสเตเดียมแห่งใหม่ บทบาทของเขาต่อสาธารณชนได้ทำให้เกิดแรงสนับสนุนของอาสาสมัครที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง และทำให้ชื่อของบุชเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐเทกซัส แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักแล้วก็ตาม จากการมีพ่อที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดช่วงเวลาดังกล่าวอาชีพนักการเมือง อาชีพนักการเมือง. บุชเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองของเขาด้วยการช่วยการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของบิดาในปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) และ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง หลังจากถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งในกองกำลังป้องกันประเทศสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) เขาก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐแอละแบมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) บุชสมัครต้องการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเข้าชิงที่นั่งส.ส.รัฐเทกซัส แต่ก็พ่ายต่อนายเคนท์ แฮนซ์ ที่เป็นวุฒิสมาชิกรัฐเทกซัส โรนัลด์ เรแกนได้แต่งตั้งคู่แข่งของบุชเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งในการเลือกรายชื่อผู้สมัครขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) บุชได้สมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส แข่งกับแอน ริชาร์ด เจ้าของธุรกิจผู้ได้รับความนิยมสูงจากพรรคเดโมแครต โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 เขาสามารถเอาชนะริชาร์ดไปได้ด้วยคะแนนเสียง 53 % ต่อ 46 % ในปีเดียวกันนี้เอง เขากํบหุ้นส่วนได้ขายทีมเทกซัส เรนเจอร์ อันทำให้บุชได้กำไรไปกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะผู้ว่าการรัฐ บุชได้เข้าเป็นแนวร่วมทางการเมืองกับบ็อบ บุลล็อก รองผู้ว่าการรัฐเทกซัสผู้มีอิทธิพล และอยู่กับพรรคเดโมแครตสมานาน ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) บุชได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอีกครั้ง อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงเกือบๆ 69 % และได้กลายเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัสคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยแต่ละสมัยมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ก่อนปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) วาระดำรงตำแหน่งคือสองปี) ตลอดระยะเวลาที่บุชดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เขาได้ดำเนินการแก้กฎหมายสำคัญๆหลายข้อ ที่ว่าด้วยระบบความยุติธรรมทางอาญา กฎหมายละเมิด และการให้เงินสนับสนุนโรงเรียน บุชได้เลือกแนวทางที่ยากลำบากเมื่อเขาสนับสนุนการประหารชีวิต และได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากทนายความที่ต้องการให้ยกเลิกโทษประหาร และจากผู้ที่โต้แย้งว่ากฎหมายของรัฐเทกซัสมีจุดบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด จนต้องนำโทษประหารมาใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การนำของบุช อัตราการจำคุกของรัฐเทกซัส อยู่ที่นักโทษ 1014 คน ต่อประชากร 100,000 คนในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับสองจากการสำรวจทั่วสหรัฐ อันเนื่องมาจากการขยายเวลารับโทษจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2542 บุชได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเจตจำนงของผู้ป่วยที่ระบุไว้ล่วงหน้า ซึ่งอนุญาตให้หน่วยงานสาธารณสุขเอาเครื่องช่วยชีวิตออก โดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมก็ได้ เป็นเวลาสิบวันหลังจากได้รับถ้อยแถลงจากผู้ป่วย โครงการปฏิรูปต่างๆของบุช รวมทั้งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทำให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการเมืองในระดับประเทศการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีการรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2543 การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี. การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2543. คณะที่ปรึกษาได้ให้ความเชื่อมั่นกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่า ปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) จะเป็นปีที่เหมาะสมสำหรับเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี บุชมีเงินเหลือเฟือ และพรรครีพับลิกันก็ขาดผู้สมัครคู่แข่งที่น่ากลัว ก่อนที่บุชจะสมัครเข้าชิงตำแหน่งนั้น ผลการสำรวจหยั่งเสียงระบุอย่างเด่นชัดว่าเขาเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของบุชในปี พ.ศ. 2543 บุชได้ประกาศตนเป็น "นักการเมืองอนุรักษนิยมที่มีอัธยาศัยดี" ซึ่งเป็นคำที่ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ มาร์วิน โอลาสกี แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ในการเลือกตั้งทั่วไป การรณรงค์ทางการเมืองของบุชได้ชูประเด็นสัญญาว่าจะ "ฟื้นฟูเกียรติยศและความภาคภูมิของทำเนียบขาว" และสัญญาว่าจะลดภาษีครั้งใหญ่เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือจากการร่างงบประมาณจำนวนมากมาคืนให้แก่ผู้เสียภาษี และในบรรดาประเด็นต่างๆที่ถูกหยิบยกมาหาเสียง เขายังสนับสนุนให้องค์กรทางศาสนามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินในโครงการต่างๆของรัฐบาลกลาง อุดหนุนการใช้คูปองเพื่อการศึกษา สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันในเขตสงวนพันธุ์สัตว์แห่งชาติในแถบอาร์กติก รักษางบดุลของงบประมาณกลางสหรัฐ และปรับโครงสร้างกองทัพสหรัฐ บุชได้พ่ายแพ้ต่อวุฒิสมาชิก จอห์น แมคเคน แห่งรัฐอริโซนา ในการสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐนิวแฮมเชียร์ (รัฐแรกที่มีการลงคะแนน) แต่ก็ตีตื้นขึ้นมาชนะ 9 ใน 13 รัฐ จากการลงคะแนน "ซูเปอร์ทิวสเดย์" (การลงคะแนนที่จัดพร้อมๆกันหลายรัฐในวันอังคารต้นเดือนมีนาคม) ซึ่งทำให้เขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันในที่สุด จากนั้น บุชก็ได้เลือกนายดิก เชนนี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของสหรัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐในสมัยที่บิดาของเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ให้เป็นรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีหากเขาได้รับเลือก หลังการรณรงค์หาเสียงเป็นนานเวลาหลายเดือน การเลือกตั้งที่มีขึ้นในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ได้ให้ผลดีเกินคาด เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ได้รายงานว่าอัล กอร์นำ จากนั้นก็บอกว่าบุชนำ และท้ายสุด บอกว่าสูสีกันมากจนไม่อาจวัดได้ อัล กอร์ ผู้ซึ่งโทรศัพท์ไปหาบุชเพื่ออ้างว่าตนได้รับชัยชนะนั้น ได้โทรไปขอถอนคำพูดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง บุชได้รับการประกาศว่าสามารถเอาชนะอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตไปได้ และได้ไป 271 คะแนน โดยที่กอร์ได้ 266 คะแนน ชนะการเลือกตั้งแบบเอเลคตอรัลโวตใน 30 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ กอร์ได้รับการคาดการณ์ว่าจะชนะการลงคะแนนแบบป็อบปูลาร์โวตจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมดราว 105,000,000 เสียง โดยที่บุชได้ไป 50,456,002 เสียง (47.9%) และกอร์ได้ 50,999,897 เสียง (48.4 %) แต่คะแนนนี้ก็ไม่อาจเป็นเครื่องตัดสินว่าใครจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้ คะแนนส่วนที่เหลือถูกแบ่งปันกันระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระ รวมทั้งนายราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครจากพรรคกรีน (2,695,696 คะแนน/2.7%) นายแพต บูชานา จากพรรครีฟอร์ม (449,895 คะแนน/0.4%) และนายแฮร์รี บราวน์เนอร์ จากพรรคลิเบอร์ทาเรียน (386,024 คะแนน/0.4%) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี พ.ศ. 2543 เป็นครั้งล่าสุดนับตั้งแต่เบนจามิน แฮริสัน ได้เป็นประธานาธิบดี (พ.ศ. 2431) ที่ผู้ชนะไม่ได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งแบบป็อบปูลาร์โวต ซึ่งมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่รัทเธอร์ฟอร์ด เฮย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐ การนับคะแนนเสียงในรัฐฟลอริดา ที่เคยให้บุชชนะในการลงคะแนนสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ถูกคัดค้านและกล่าวหาว่ามีความผิดปกติในการลงคะแนนและนับคะแนน อาทิเช่น เกิดการสับสนในการลงคะแนน เครื่องลงคะแนนบกพร่อง มีผู้ลงคะแนนปลอมในหมู่ทหาร และการจัดสรรผู้ลงคะแนนแบบผิดกฎหมายจำนวนมากทำให้กระบวนการเป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน ได้เกิดการฟ้องศาลตามมาหลายครั้งว่าด้วยความชอบธรรมทางกฎหมายในการนับคะแนนซ้ำระดับเคาท์ตี และระดับรัฐ หลังการนับคะแนนซ้ำด้วยมือและด้วยเครื่องในสี่เคาท์ตี และบุชยังอยู่ในศาลฎีการัฐฟลอริดาเพื่อขอให้มีการนับคะแนนใหม่อีกครั้งทั่วทุกเคาท์ตี ศาลฎีกาสหรัฐ ภายใต้การรณรงค์หาเสียง "บุช ปะทะ กอร์" ได้ล้มล้างคำตัดสินและยับยั้งการนับคะแนนที่จะมีขึ้นใหม่ทั้งหมด หลังจากนำอยู่ระยะหนึ่ง กอร์ก็เป็นฝ่ายยอมประนีประนอม หลายเดือนต่อมา การนับคะแนนใหม่ด้วยเมืองทั่วทั้งรัฐฟลอริดาได้สิ้นสุดลงโดยกลุ่มของนักหนังสือพิมพ์ ผลถูกระบุว่าอัล กอร์เอาชนะบุชไปได้ในรัฐฟลอริดาด้วยมาตรฐานสี่แบบ และพ่ายต่อบุชในการนับแบบมาตรฐานอีกสี่แบบ ในเมื่อศาลสูงสุดรัฐฟลอริดาไม่ได้กำหนดวิธีการนับคะแนนแบบมาตรฐานในการนับคะแนนใหม่ด้วยมือทั่วทุกเคาท์ตีในรัฐ จึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรัฐฟลอริดา หากว่าศาลฎีกาไม่ได้ยับยั้งการนับคะแนน ในการนับคะแนนครั้งสุดท้าย บุชมีชัยในรัฐฟลอริดาด้วยคะแนนเสียงเพียง 537 คะแนน (บุช 2,912,790 คะแนน/กอร์ 2,912,253 คะแนน) ทำให้เขาได้เอเล็คตอรัลโวตจากรัฐนี้ไป 25 แต้ม และได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐในที่สุด บุชเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2547 การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2547. ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) บุชได้รับชัยชนะใน 31 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ ทำให้ได้คะแนนเอเล็คตอรัลโวตไปทั้งสิ้น 286 คะแนน ผู้ลงคะแนนได้ออกมาเลือกบุชอย่างถล่มทลาย ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้ป็อบปูลาโวต มากกว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนไหนๆในประวัติศาสตร์ (62,040,610 โวต/50.7 %) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ที่ประธานาธิบดีได้รับเสียงประชานิยมข้างมาก ทางด้านวุฒิสมาชิกจอห์น แครี ผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ชนะไป 19 รัฐรวมทั้งในวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ได้เอเล็คตอรัลโวตไป 251 คะแนน (59,028,111 โวต/48.3 %) โดยที่ผู้ลงคะแนนแบบเอเล็คตอรัลโวตคนหนึ่ง ที่ควรจะลงคะแนนให้จอห์น แครี่ ได้เปลี่ยนใจไปลงคะแนนให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด คู่สมัครชิงประธานาธิบดีของแครี่จากพรรคเดโมแครตแทน ทำให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด มีเอเล็คตอรัลโวต 1 คะแนน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เอเล็คตอรัลโวตอีก ผู้สมัครที่ไม่ใช่เดโมแครตหรือ รีพับลิกันที่เด่นๆ เป็นต้นว่า ราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครอิสระ (463,653 คะแนน/ 0.4 %) และ ไมเคิล แบดแนริก จากพรรคลิเบอร์แทเรียน (397,265 คะแนน/0.3 %) สภาคองเกรสได้เปิดการโต้วาทีเกี่ยวกับความผิดปกติในการลงคะแนนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งข้อกล่าวหาว่าเกิดความผิดปกติขึ้นที่รัฐโอไฮโอ และการปลอมแปลงเครื่องลงคะแนนอิเล็คทรอนิกส์ บุชได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2548 ผู้เป็นประธานในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งได้แก่ นายวิลเลียม เรนควิสต์ ประธานกรรมการตุลาการสหรัฐในขณะนั้น คำปราศรัยของบุชเน้นไปที่อิสรภาพและประชาธิปไตยที่แผ่ขยายออกไปทั่วโลกคนสำคัญในชีวิตและอาชีพของบุช คนสำคัญในชีวิตและอาชีพของบุช. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นสมาชิกครอบครัวบุช อันเป็นครอบครัวการเมืองที่มีอำนาจมากของสหรัฐ นายจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช บิดาของเขา เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหนึ่งสมัย และเป็นรองประธานาธิบดีของนายโรนัลด์ เรแกน สองสมัย นายเจบ บุช น้องชายเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ส่วนนายเพรสสก็อต บุช ปู่ของเขา เคยเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐ บุชยังมีน้องชายอีกสองคนที่เป็นนักธุรกิจ ได้แก่นายมาร์วิน บุช และนีล บุช ในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐทั้งหมดแล้ว มีเพียงจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กับ จอห์น ควินซี แอดัมส์เท่านั้น ที่เป็นบุตรชายของอดีตประธานาธิบดีและได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีตามรอยเท้าของบิดา บุชใช้ชีวิตใกล้ชิตกับนางลอรา บุช ผู้เป็นภริยามาก รวมทั้งยังสนิทกับ จอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นบิดา และบาบารา บุช ผู้เป็นมารดาอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว เขายังใกล้ชิดกับโดโรธี บุช คอช พี่สาว และมาร์วิน บุช น้องชาย ความซื่อสัตย์ต่อครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญต่อบุชเป็นอย่างมาก และแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนโยบายหรือแนวความคิดอยู่บ้าง อีกทั้งยังดำรงชีวิตเป็นเอกเทศต่อกัน แต่บุช กับนายเจบ บุช น้องชาย ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือกันและกันในอาชีพการเมือง ในการประกอบอาชีพแล้ว บุชยึดมั่นต่อความจงรักภักดีและการทดแทนบุญคุณเป็นหลัก เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับที่ปรึกษาหลายต่อหลายคน ที่ยังคงจงรักภักดีต่อเขา และในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สอง บุชได้มอบตำแหน่งสำคัญๆในคณะรัฐบาลให้บรรดาที่ปรึกษาส่วนตัวเหล่านั้น ที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุช และได้รับความไว้วางใจที่สุดหลายคนเป็นสตรี คอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นผู้ที่บุชไว้วางใจมากที่สุดในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อบุชมาก ทางด้านมากาเร็ต สเปลลิงส์ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านกิจการภายในประเทศเมื่อครั้งที่บุชเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัส และขณะนี้ นางเป็นผู้บริหารสำนักการศึกษาสหรัฐ นอกจาากนี้ยังมีคาเรน ฮิวส์ เป็นหนึ่งในบรรดาที่ปรึกษาที่บุชให้ความไว้วางใจมากที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์หาเสียงของเขาระหว่างปี พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2547 เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวเป็นระยะเวลาสั้นๆ และขณะนี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการทูต รับผิดชอบด้านการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสหรัฐในสายตาชองชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศมุสลิม แฮเรียต ไมเยอร์ เธอเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบุชและผู้จงรักภักดีจากรัฐเทกซัส และตั้งแต่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองเธอก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาว บุชได้เสนอชื่อไมเยอร์ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนแซนดรา โอคอนเนอร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐที่กำลังจะเกษียณอายุ แต่ไมเยอร์เองก็ขอถอนตัวออกไปเองในอีก 24 วันต่อมา หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนหัวอนุรักษนิยมของบุชเอง ว่าเธอไม่เคยมีเอกสารแสดงความคิดเห็นทางกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่ประสบการณ์ด้านการยุติธรรมแต่อย่างใดเลย คาร์ล โรฟ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิต และหน้าที่การงานของบุชมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ทั้งคู่พบกันเมื่อปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) โรฟได้สร้างกลไกในการรณรงค์หาเสียงให้บุชเมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัสในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และได้กลายเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุชมากที่สุด เมื่อบุชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) บุชได้ขอให้โรฟเลิกทำธุรกิจไปรษณีย์และมาร่วมงานกับเขาอย่างเต็มตัวที่กรุงวอชิงตัน โดยได้มอบตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการให้ โรฟยังได้ออกแบบกลยุทธทางการเมือง เพื่อให้บุชได้นำไปใช้ในการออกกฎหมายวาระต่างๆ และยังให้คำแนะนำทางการเมืองในประเด็นสำคัญๆของชาติ ทั้งในส่วนของทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกัน เพื่อให้บุชได้รับเลือกอีกครั้งในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปีพ.ศ. 2547 หลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย บุชได้ยกย่องโรฟว่าเป็น "สถาปนิก" ของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และให้โรฟดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดี ในส่วนของการเมืองในประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ โรฟยังมีส่วนสำคัญต่อการขึ้นสู่อำนาจของสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ภักดีต่อบุช เป็นต้นว่าเคน เมห์ลแมน ผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงของบุช ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการพรรครีพับลิกัน อัลเบอร์โต กอนซาเลส เคยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้ว่าการรัฐเทกซัส และหัวหน้าอัยการ เขาได้มาร่วมงานกับบุชที่กรุงวอชิงตันในปีพ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐ นับเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนคนแรกที่เข้ามาเป็นผู้บริหารในกระทรวงสหรัฐการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐการดำรงตำแหน่งสมัยแรก การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ. การดำรงตำแหน่งสมัยแรก. ช่วงหนึ่งร้อยวันแรกหลังจากที่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ถือว่าเป็นช่วงที่ไม่ได้มีความปรองดองระหว่างสองพรรคใหญ่มากเท่าที่บุชได้อ้างไว้ระหว่างการรณรงค์หาเสียง บุชถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด จากการแต่งตั้งนายจอห์น แอชครอฟต์ เป็นหัวหน้าอัยการ พรรคเดโมแครตต่อต้านแอชครอฟต์เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเขามีหัวอนุรักษนิยมขวาจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการทำแท้งและโทษประหารชีวิต แม้ว่าแอชคอรฟต์จะได้รับการยอมรับในเวลาต่อมาก็ตาม ในวันแรกที่บุชเข้าทำงานในทำเนียบขาว เขาก็ได้ยับยั้งการให้เงินช่วยของรัฐบาลกลางที่ให้แก่กลุ่มองค์กรต่างชาติ ที่ให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือใดๆแก่สตรีให้มีการทำแท้ง หลายวันต่อมา เขาก็ได้ประกาศพันธกิจที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือของรัฐบาลกลางให้แก่องค์กรที่อ้างอิงความเชื่อทางศาสนา จนทำให้นักวิจารณ์หวั่นเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้ง ต่อการแยกกันเป็นอิสระระหว่างโบสถ์และรัฐ ตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา พรรครีพับลิกันสูญเสียอำนาจควบคุมวุฒิสภาสหรัฐ ในเดือนมิถุนายน เมื่อวุฒิสมาชิกเจมส์ เจฟฟอร์ด จากรัฐเวอร์มอนต์ ลาออกจากพรรครีพับลิกันเพื่อมาเป็นนักการเมืองอิสระ แต่การลาออกเกิดก่อนหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตห้าคน จะแหกคอกออกมายกมือสนับสนุนโครงการตัดลดภาษีมูลค่า 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของบุช อย่างไรก็ดี อีกไม่ถึงสามเดือนต่อมา หน่วยงานราชการได้ออกร่างงบประมาณที่แสดงให้เห็นว่าเงินคงคลังที่ได้มาจากการเก็บภาษีเงินได้จะลดลงจนไม่เหลือเลยในอีกหลายปีต่อมาอุดมคติทางการเมือง อุดมคติทางการเมือง. ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 บุชได้เริ่มใช้ประโยคว่า "นักอนุรักษนิยมผู้มีความเมตตาปราณี" เพื่ออธิบายอุดมคติความเชื่อของเขา นักอนุรักษนิยมบางคนได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับพันธกิจของบุช ที่มีต่ออุดมคติแนวอนุรักษนิยม เนื่องด้วยบุชยินยอมให้เกิดการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก จากการใช้จ่ายในเรื่องสำคัญๆมากขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอิสระอ้างว่า การใช้คำว่า "อนุรักษนิยม" ตามด้วยคำว่า "เมตตาปราณี" ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอุดมคติที่แปลกใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นการทำให้แนวทางอนุรักษนิยมได้รับการยอมรับมากขึ้นจากกลุ่มผู้ลงคะแนนเลือกตั้งอิสระและกลุ่มที่ไม่ได้ปักใจลงคะแนนกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างเด็ดขาด ในการกล่าวปราศรัยในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของบุช เมื่อปี พ.ศ. 2548 บุชได้เน้นถึงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายการต่างประเทศของเขา และอ้างถึงแผนการที่จะสนับสนุนการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ตามที่ระบุไว้ใน องค์ประกอบสำคัญในการเป็นประธานาธิบดีของบุช เห็นจะได้แก่การเน้นความสำคัญของอำนาจและสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง ตามความเห็นของบุชและผู้ที่สนับสนุนเขาแล้ว การทำสงครามกับการก่อการร้ายจะเป็นที่จะต้องใช้บริหารระดับสูงที่เข้มแข็ง และมีความสามารถที่จะใช้กลวิธีต่างๆที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อต่อกรกับผู้ก่อการร้าย เป็นต้นว่า ครั้งหนึ่ง บุชได้โต้แย้งซ้ำๆหลายครั้งว่าข้อจำกัดของกฎหมายการเฝ้าระวังการข่าวกรองของต่างชาตินั้น เป็นกรอบที่เข้มงวดจนเกินไปต่อความสามารถในการเฝ้าระแวดระวังผู้ก่อการร้ายผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และบุชได้ผลักดันให้มีการยกเว้นข้อจำกัดต่างๆเหล่านั้นชั่วคราว รวมทั้งบางส่วนของกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสหรัฐปี พ.ศ. 2544 (USA PATRIOT ACT ย่อมาจาก Uniting and Strengthening America by Providing Appropriate Tools Required to Intercept and Obstruct Terrorism ACT of 2001 แปลตรงตัวว่า กฎหมายเพื่อการรวมกำลังและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอเมริกา ด้วยการให้เครื่องมือที่เหมาะสมซึ่งจำเป็นต่อการดักจับและขัดขวางการก่อการร้าย บัญญัติเมื่อปี พ.ศ. 2544) คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุช ได้ข่มขู่ว่าจะวีโต้เอกสารระบุกลวิธีป้องกันประเทศสองฉบับ ที่รวมข้อความที่ถูกแก้ไขโดยวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน เพื่อจำกัดอำนาจของผู้บริหารระดับสูงในอันที่จะอนุญาตให้มีการกระทำทารุณกรรมต่อมนุษย์ บุชกับพวกได้โต้แย้งว่า การกระทำรุนแรงต่อผู้ถูกจับกุมและเชื่อว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น จำเป็นต่อการได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย ทนายความในคณะรัฐบาลของบุช เป็นต้นว่าจอห์น ยู ได้โต้แย้งว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการนำประเทศเข้าสู่สงครามอยู่แล้วหากเห็นว่าเหมาะสม แม้ว่าจะมีข้อกฎหมายมาจำกัดอำนาจนั้นก็ตาม นายจอห์น จี. โรเบิร์ต ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงควรมีขอบเขตอำนาจกว้างขวางเช่นกัน ในกรณีฮัมแดน ปะทะ รัมสเฟลด์ เขาได้เขียนระบุไว้ว่า มาตราทั่วไปที่ 3 ของสนธิสัญญาเจนีวา ไม่ได้ครอบคลุมถึงผู้ถูกจับกุมตัวจากสงครามการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้น บุชจึงสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งศาลทหารลับเพื่อพิจารณาคดีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้ หากเขาต้องการ คณะรัฐบาลของบุชได้สั่งให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะได้ไว้เป็นความลับ และได้ร่างคำสั่งของผู้บริหารระดับสูงขึ้นเพื่อใช้ยับยั้งคำร้องขอข้อมูลที่อ้างอิงกฎหมายอิสรภาพทางสารสนเทศ อีกทั้งให้เก็บรักษาข้อมูลเก่าที่เป็นความลับต่อไปเกินกว่าวันหมดอายุความลับเดิม ผู้วิพากษ์วิจารณ์บุชได้โต้แย้งว่า อำนาจของผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองนั้นเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดวัตถุประสงค์ทางการเมือง และละเมิดต่ออิสรภาพของพลเรือน อีกทั้งยังบอกว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไร้จริยธรรม และมีแนวโน้มก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน ดังที่เคยเกิดกระแสต่อต้านของชาวโลกต่อกรณีการทำทารุณกรรมต่อนักโทษในเรือนจำอาบู กราอิบมาแล้ว ส่วนผู้สนับสนุนบุชได้แย้งว่า ขอบข่ายอำนาจที่กว้างขวางในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการจู่โจมสหรัฐครั้งสำคัญๆ และประธานาธิบดีก็มิได้ใช้อำนาจนั้นเกินความจำเป็นแต่อย่างใดการบริหารงานแผ่นดิน การบริหารงานแผ่นดิน. บุชได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความจงรักภักดีส่วนบุคคล อันส่งผลให้คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชสามารถสื่อสารแนวความคิดทางการเมืองของบุชแก่ประชาชนได้โดยไม่ไขว้เขว เขายังคงรักษารูปแบบการทำงานแบบ วางมือให้ทีมดำเนินการไป เนื่องจากเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้เขาถูกขัดขวางด้วยกระบวนการตัดสินใจอันสลับซับซ้อน บุชกล่าวกับไดแอน ซอวเยอร์ ในรายการของเอบีซี ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2546 ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจในรูปแบบการบริหารงานของตน ข้าพเจ้ามีต้วแทนในการดำเนินงานต่างๆเนื่องจากข้าพเจ้าไว้ใจผู้ที่ข้าพเจ้าขอให้มาร่วมทีม ข้าพเจ้ายินดีที่จะแต่งตั้งตัวแทน และนั่นทำให้การเป็นประธานาธิบดีนั้นง่ายขึ้น" อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์ได้กล่าวหาว่าบุชต้องการมองข้ามข้อผิดพลาด ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาก่อขึ้น และตัวบุชเองก็แวดล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอ ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบุชนั้น เป็นช่วงที่มีการปกป้องสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูงอยู่มาก นักวิจารณ์หลายคนได้อ้างว่า บุชได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง เมื่อเขาเสนอชื่อบุคคลสามคนให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกาสหรัฐ และการเสนอชื่อนายจอห์น อาร์. โบลตัน ดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ บุชยังได้บริหารงานแผ่นดินในตำแหน่งประธานาธิบดีหลายอย่าง ในขณะที่พำนักในบ้านไร่เมืองครอวฟอร์ด รัฐเทกซัส ที่ถูกขนานนามว่า "ทำเนียบขาวบ้านไร่" ดังเช่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2548 บุชได้ไปเยือนบ้านไร่ถึง 49 ครั้งขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมเป็นเวลาที่เขาจากทำเนียบขาวไปทั้งสิ้น 319 วัน จนเกือบจะเท่ากับสถิติที่โรนัลด์ เรแกน เคยทำไว้ คือ 335 วัน ภายใน 5 ปีครึ่ง คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุชได้สนับสนุนแนวทางนี้ โดยกล่าวว่าการไปเยือนบ้านไร่ ช่วยให้ประธานาธิบดีได้มีมุมมองที่แตกต่างจากในวงจรการเมืองน้ำเน่าของแวดวงรัฐบาลกลาง ซึ่งแม้จะอยู่บ้านไร่ ประธานาธิบดีก็ยังคงปฏิบัติภารกิจตามปกติ (คณะผู้บริหารงานแผ่นดินได้บันทึกไว้ว่า การเยือนบ้านไร่ครอวฟอร์ด ครั้งที่ยาวนานที่สุดของบุช คือเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ใช้เวลาพักผ่อนรวมเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากระยะเวลาเยือนรวมทั้งสิ้น 5 สัปดาห์) รายชื่อคณะรัฐมนตรีของบุชได้ถูกรวบรวมไว้ใน (จากวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ)นโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง นโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง. ระหว่างการเยือนยุโรปครั้งแรกของบุชในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ผู้นำชาติยุโรปได้วิพากษ์วิจารณ์บุชเกี่ยวกับการที่เขาปฏิเสธพิธีสารโตเกียว เพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิของโลก ในปี พ.ศ. 2545 บุชได้ปฏิเสธสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกล่าวว่า "แนวทางของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นทางออก ไม่ใช่ปัญหา" คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชยังโต้แย้งเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นที่มาของสนธิสัญญาฉบับนี้ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 รัสเซียได้ลงนามยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้มันมีผลบังคับใช้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการลงนามเห็นชอบของสหรัฐอเมริกา นโยบายต่างประเทศของบุชได้รณรงค์สนับสนุนการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองกับกลุ่มประเทศในแถบละตินอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็กซิโก และลดการเข้าแทรกแซง "การสร้างชาติ" และการแทรกแซงทางการทหารเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (9/11) กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นความสำคัญไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางการก่อการร้าย การก่อการร้าย. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 สหรัฐอเมริกาภายใต้การสนับสนุนจากนานาชาติ ได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลตาลีบัน ของอัฟกานิสถาน ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่นายโอซามา บิน ลาเดน ผลพวงของความพยายามสร้างชาติอัฟกันร่วมกับสหประชาชาติ และประธานาธิบดีฮามิด การ์ไซ ส่งผลทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในปี พ.ศ. 2548 สหรัฐก็ยังหาตัว บิน ลาเดน ไม่พบ การเลือกตั้งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2547 แม้ว่าผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติจะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นไปอย่าง "ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย" และ "ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก" ตามที่ศูนย์สำรวจคะแนนนิยมกลางระบุ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 15 จากทั้งหมด 18 คน ก็ถูกข่มขู่ให้ถอนตัว โดยถูกกล่าวหาว่าการลงทะเบียนเป็นมลทิน และไม่มีสภาพเป็นผู้สมัครอย่างถูกต้อง หลายวันหลังจากที่บุชกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ประกาศว่า "ผมจะเดินหน้าแผนระบบต่อต้านขีปนาวุธ" และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว บุชได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ว่าเขาประสงค์จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ของปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) และใช้ระบบต่อต้านขีปนาวุธที่สามารถกำบังการจู่โจมจากประเทศที่เป็นภัยคุกคามได้ สมาคมฟิสิกส์แห่งสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ โดยตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ บุชได้โต้แย้งว่ามีความสมเหตุสมผลดีแล้ว เนื่องจากสงครามเย็นอันเป็นผลพวงของสนธิสัญญาดังกล่าวได้หมดยุคลงแล้ว เอกสารที่สหรัฐขอถอนตัวจากสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างเป็นทางการได้ถูกประกาศเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2544 โดยกล่าวถึงความจะเป็นในการต่อต้านการก่อการร้าย แม้จะเคยมีปรากฏว่าประธานาธิบดีเป็นผู้ขอยกเลิกสนธิสัญญา แต่กรณีส่วนใหญ่แล้วจะมีการขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสอิรัก อิรัก. ไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้เริ่มรณรงค์แผนการตอบโต้เร่งด่วนต่ออิรัก โดยระบุว่าประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ได้กลับมาใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอีกครั้ง แม้ว่าซัดดัมจะอ้างว่าเขาได้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพที่เขาเคยมีเมื่อก่อนปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ทั้งหมด (ซัดดัมเคยใช้มันสังหารชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัก เมื่อปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) โดยที่โครงการอาวุธดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและอังกฤษ) ทฤษฎีที่ว่าซัดดัมได้ทำลายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงได้ถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้งโดยนายสก็อต ริตเตอร์ อดีตผู้ตรวจอาวุธ และนายฮานส์ บลิกซ์ อดีตหัวหน้าผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติ บุชยังกล่าวว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ และทำให้ขาดเสถียรภาพในตะวันออกกลาง ก่อให้เกิดกรณีพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อีกทั้งได้ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อการร้าย รายงานของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐหรือ ซีไอเอ ได้ระบุว่าการที่ซัดดัม ฮุสเซนพยายามจะมีวัตถุนิวเคลียร์ในครอบครองนั้น ไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพที่ฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ และขีปนาวุธของอิรักบางส่วนนั้น มีวิถีไกลเกินกว่าที่มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติอนุญาต แต่ถ้าจะว่ากันไปแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) เป็นต้นมา ประธานาธิบดีสหรัฐมีนโยบายจะโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน ด้วยการใช้กฎหมายปลดปล่อยอิรัก ที่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติ และวุฒิสภา อีกทั้งผ่านการลงนามโดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน จากการที่ประกาศออกไปว่าซัดดัม ฮุสเซน สามารถส่งมอบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงให้แก่ผู้ก่อการร้ายได้ บุชก็ได้เตือนสหประชาชาติให้บังคับใช้อาณัติปลดอาวุธอิรัก โดยอ้างความเร่งด่วนของวิกฤตการณ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ภายใต้ข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ นายฮานส์ บลิกซ์ และนายโมฮัมเม็ด เอลบาราดาย ได้นำคณะผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติไปยังอิรัก การที่อิรักไม่ให้ความร่วมมือ ได้ก่อให้เกิดการโต้วาทีอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการตรวจการณ์ ส่งผลให้คณะผู้ตรวจอาวุธได้เดินทางออกจากอิรักภายใต้คำแนะนำของสหรัฐ สี่วันก่อนกำหนดการเดิม นายโคลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้เตือนผู้ร่วมงานในคณะบริหารงานแผ่นดินของประธานาธิบดีบุช ให้หลีกเลี่ยงการก่อสงครามที่ไม่ได้รับความเห็นชอบอย่างเด่นชัดจากสหประชาชาติ คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้พยายามผลักดันข้อมติอนุมัติการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหาร ตามบทบัญญัติที่ 7 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ก็ต้องเผชิญกับกระแสคัดค้านจากชาติมหาอำนาจหลายชาติ รวมทั้งการข่มขู่ของนานาชาติจากการที่ฝรั่งเศสเสียหน้าในการใช้สิทธิ์ยับยั้ง ทำให้สหประชาชาติไม่อนุมัติ โดยมีเพียงไม่กี่ชาติ ที่ได้รับสมญาว่าเป็น "กลุ่มแนวร่วมฝักใฝ่"เห็นชอบกับสหรัฐ และเตรียมพร้อมเข้าร่วมสงคราม ปฏิบัติการณ์ทางทหารได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2546 เพื่อพิสูจน์ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง และโค่นอำนาจของซัดดัม การเตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะสงครามของสหรัฐมีขึ้น พร้อมๆกับการที่ซัดดัมยื้อการตรวจอาวุธให้ยืดเยื้อไปอีก การกล่าวหาว่ามีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุชในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) การฝ่าฝืนสัญญาหยุดยิงในปีนี้ และการฝ่าฝืนข้อมติต่างๆของสหประชาชาติ โดยมีนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และผู้นำชาติมหาอำนาจหลายประเทศได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับความชอบธรรมของสงครามดังกล่าว และแม้ว่าบุชประกาศจะประกาศชัยชนะไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 แต่ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐยังคงดำเนินต่อไปถึงปี พ.ศ. 2548 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบในอิรัก แม้ว่าจะสามารถจับกุมตัวซัดดัม ฮุสเซนได้แล้วก็ตาม เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547 รายงานผลสุดท้ายของ คณะสำรวจอิรักของสหรัฐ ได้สรุปว่า "คณะผู้ตรวจสอบอาวุธไม่พบหลักฐานว่า ซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในปี พ.ศ. 2546 แต่หลักฐานที่พบจากการตรวจสอบ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ถูกกักขัง และการตรวจสอบเอกสาร ต่าง»แสดงให้เห็นว่า อาจเป็นไปได้ที่มีอาวุธดังกล่าวอยู่ในอิรัก แม้ว่าจะไม่มีนัยยะสำคัญทางการทหารก็ตาม" รายงานของคณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ก็ไม่พบหลักฐานที่อาจเชื่อถือได้ว่าซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง แม้รายงานจะสรุปว่ารัฐบาลของซัดดัมจะพยายามอย่างหนัก ให้มีเทคโนโลยีที่ทำให้อิรักสามารถผลิตอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ทันทีที่มีการยกเลิกการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ นอกจากนี้ คณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ยังพบว่า แม้อิรักจะมีการติดต่อกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) แต่ก็ "ไม่มีการประสานความร่วมมือกัน" ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 9/11 แต่อย่างใดการอพยพเข้าเมือง การอพยพเข้าเมือง. บุชได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายผู้อพยพเข้าเมือง ที่จะทำให้เกิดการใช้วีซ่าแรงงานต่างชาติอย่างกว้างขวาง ข้อเสนอของเขาสนองตอบต่อความต้องการของนายจ้าง ที่มีแรงงานต่างชาติทำงานให้ไม่เกินหกปี อย่างไรก็ดี ผู้ใช้แรงงานจะไม่มีสิทธิ์ได้รับบัตรพำนักถาวร (หรือ กรีนการ์ด) หรือแม้กระทั่งสัญชาติสหรัฐ ร่างแก้ไขข้อกฎหมายดังกล่าวถูกคัดค้านโดยวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตกลุ่มหนึ่ง รวมถึง บาบารา บ็อกเซอร์ และ เท็ด เคเนดี บุชยังได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ต้องการเพิ่มความเข้มงวดของการรักษาความปลอดภัย ตามแนวพรมแดนสหรัฐ - เม็กซิโก อีกทั้งต้องการเร่งรัดกระบวนการขับผู้อพยพกลับประเทศ การสร้างที่คุมขังเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน บุชยังเห็นชอบต่อการ "เพิ่มจำนวนกรีนการ์ดประจำปี ที่จะก่อให้เกิดการขอสัญชาติเพิ่มขึ้น" แต่ก็มิได้สนับสนุนการให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เข้าประเทศโดยผิดกฎหมายอยู่แต่ก่อนแล้ว โดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวมีแต่จะสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นการสาธารณสุข การสาธารณสุข. ใน การแถลงนโยบายประจำปี เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) บุชได้กำหนดยุทธวิธีห้าปี เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ระดับสากล โดยเขาได้เรียกร้องงบประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการนี้ และข้อเสนอดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส ความพยายามบรรเทาการระบาดของโรคเอดส์อย่างเร่งด่วน มีนายแรนดาล แอล. โทเบียส ผู้ประสานงานโรคเอดส์สากล ประจำสำนักการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าโครงการ โดยในเงินงบประมาณก้อนนี้ ได้มีการจัดสรร 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อโครงการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์ใน 15 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเอช.ไอ.วี. มากที่สุด อีก 5 พันล้านดอลลาร์จะนำไปสนับสนุนการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์อย่างต่อเนื่อง ในอีก 100 ประเทศที่สหรัฐได้เคยจัดตั้งโครงการควบคู่ไว้แล้ว และอีกหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐจะนำไปสนับสนุนกองทุนรวมเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย เงินงบประมาณนี้นับเป็นมูลค่ามากกว่าเงินบริจาคเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ จากทุกประเทศรวมกันเสียอีกการพาณิชย์ การพาณิชย์. การที่บุชบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าเหล็ก และไม้เนื้ออ่อนแปรรูปของแคนาดา ทำให้เกิดการถกเถียงในประเด็นที่เขาให้การสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี กับสินค้าตัวอื่นๆ และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งจากเพื่อนแนวร่วมอนุรักษนิยม และจากชาติที่ได้รับผลกระทบ อัตราภาษีเหล็กนำเข้าได้ถูกเพิกถอนในเวลาต่อมาภายใต้แรงกดดันจากองค์กรการค้าโลก กรณีพิพาทไม้เนื้ออ่อนแปรรูประหว่างแคนาดากับสหรัฐ ยังคงดำเนินอยู่การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา. สำนักงานการต่างประเทศสหรัฐ และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (หรือ ยูเสด) ได้ตีพิมพ์แผนยุทธวิธีสำหรับช่วงปีพ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2552 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของยุทธวิธีดังกล่าว ได้ยึดเอาแนวทางที่ถูกระบุไว้ในยุทธวิธีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบุช สามประการด้วยกัน อันได้แก่ การทูต การพัฒนา และการป้องกันประเทศ นโยบายใหม่ของบุชจะทำให้มีการให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 แก่ประเทศที่ช่วยเหลือตัวเองในการพัฒนา "ด้วยการปกครองอย่างถูกต้อง ลงทุนอย่างชาญฉลาดในทรัพยากรมนุษย์ของตน และสนับสนุนให้เกิดอิสรภาพทางเศรษฐกิจ" การช่วยเหลือการพัฒนาจะต้องควบคู่ไปกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ นั่นหมายความว่า ยูเสด จะให้การสนับสนุนเพื่อการพัฒนาแก่ "ประเทศที่ยึดมั่นต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจแบบเปิด และมีการลงทุนอย่างชาญฉลาดในด้านการศึกษา การสาธารณสุจ และศักยภาพของประชาชน"นโยบายภายในประเทศแนวคิดริเริ่มที่อิงคติความเชื่อทางศาสนา นโยบายภายในประเทศ. แนวคิดริเริ่มที่อิงคติความเชื่อทางศาสนา. ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) บุชได้ทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกัน และพรรคสังคมอนุรักษนิยมในสภาคองเกรส เพื่อผ่านร่างกฎหมายสำหรับแก้ไขวิธีการที่รัฐบาลกลางใช้ในการกำหนดควบคุม เก็บภาษี และให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรการกุศล และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่ดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนา แม้ว่าก่อนหน้าที่จะมีร่างกฎหมายดังกล่าว องค์กรเหล่านี้ก็สามารถรับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางได้ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ได้กำจัดข้อกำหนดที่ระบุว่าองค์กรจะต้องแยกการดำเนินงานเพื่อการกุศล ออกจากการดำเนินงานทางศาสนา บุชยังได้สร้าง "สำนักงานประจำทำเนียบขาว เพื่อโครงการริเริ่มที่อิงความเชื่อทางศาสนาและชุมชน" องค์การหลายแห่งด้วยกัน เป็นต้นว่า สหภาพเพื่ออิสภาพของพลเรือนอเมริกันได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการริเริ่มของบุชที่อิงความเชื่อทางศาสนา โดยโต้แย้งว่า ทำให้รัฐต้องไปพัวพันกับศาสนา และให้การสนับสนุนศาสนา ซึ่งขัดต่อประโยคพื้นฐานในบทบัญญัติแรกของรัฐธรรมนูณของสหรัฐ ที่ว่า "สภาคองเกรสจะต้องไม่บัญญัติกฎหมายที่เอื้อต่อการมีอำนาจทางการเมืองของศาสนจักร"ความหลากหลายของเชื้อชาติและสิทธิพลเมือง ความหลากหลายของเชื้อชาติและสิทธิพลเมือง. บุชคัดค้านการยอมรับกฎหมายสมรสระหว่างเพศเดียวกัน แต่สนับสนุนการอยู่ด้วยกันของหญิงชายโดยไม่จดทะเบียนสมรส ("กระผมคิดว่า เราไม่ควรปฏิเสธสิทธิของพลเรือนที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ที่มีการจัดการทางกฎหมายอย่างถูกต้อง" ข่าวจากสถานีโทรทัศน์เอบีซี 16 ตุลาคม พ.ศ. 2547) เขาได้ลงนามรับรองร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสมรสของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นการเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ที่ให้เพิ่มคำจำกัดความของการสมรสว่า "คือการอยู่ร่วมกันระหว่างหนึ่งหญิงและหนึ่งชาย" บุชได้ตอกย้ำว่าไม่เห็นด้วยกับแม่แบบทางการเมืองของพรรครีพับลิกัน ที่คัดค้านการอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส และกล่าวว่าประเด็นดังกล่าวควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละรัฐ ในการแถลงนโยบายประจำปีวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) เขาได้ย้ำแนวคิดของเขาที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บุชเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันที่ได้แต่งตั้งให้เกย์เป็นหนึ่งในคณะบริหารงานแผ่นดินของเขาอย่างเปิดเผย (สก็อต เอเวิร์ตซ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมนโยบายโรคเอดส์แห่งชาติ) และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประสบความสำเร็จจากการแต่งตั้งนายไมเคิล อี. เกสต์ ที่เป็นเกย์ให้เป็นเอคอัครราชทูตสหรัฐประจำโรมาเนียอย่างเปิดเผย บุชอ้างว่าเขาสนับสนุนแนวนโยบายของผู้บริหารระดับสูง ที่ออกบังคับใช้โดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่ห้ามการจ้างงานที่คัดสรรบุคคลโดยการเหยียดรสนิยมทางเพศ แต่สก็อต บลอช ผู้ที่บุชได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในปี พ.ศ. 2546 รู้สึกว่าเขาไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการบังคับใช้แนวนโยบายดังกล่าว ระหว่างการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในปี พ.ศ. 2543 เขาได้พบกับกลุ่มล็อกเคบินของพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนแรกที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับล็อกเคบิน องค์กรนี้ได้สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2543 แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนต่อเนื่องมาถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2547 คะแนนเสียงสนับสนุนบุชจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆได้รับในช่วงที่เขารณรงค์หาเสียง แม้ว่าเขาจะได้คะแนนเสียงจากคนผิวดำเพียง 9% ในปี พ.ศ. 2543 แต่ก็กลับเพิ่มขึ้นเป็น 12 % ในปี พ.ศ. 2547 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนจากคนผิวดำที่เพิ่มขึ้นในรัฐโอไฮโอ ทำให้บุชมีชัยเหนือจอห์น แครี ในที่สุด แม้ว่าบุชจะแสดงความเห็นชอบต่อการที่ศาลฎีกาสหรัฐสนับสนุนให้สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา ได้คัดเลือกนักศึกษาเพื่อความหลากหลายทางเชื้อชาติ คณะบริหารราชการแผ่นดินของเขากลับคัดค้านแนวคิดดังกล่าว บุชยังได้กล่าวว่าเขาคัดค้านการแทรกแซงของรัฐที่บังคับโควตานักศึกษาและการลำเอียงเชื้อชาติ แต่เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรให้โอกาสแก่ชนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ รายงานของคณะกรรมาธิการสหรัฐว่าด้วยสิทธิพลเมือง เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ระบุว่า "รัฐบาลล้มเหลวที่จะรักษาความเป็นกลางทางเชื้อชาติอย่างจริงจัง ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ" นายเจอรัลด์ เอ. เรย์โนลด์ ประธานคณะกรรมาธิการ อธิบายว่า "หน่วยงานของรัฐบาลกลางไม่ได้ประเมิน ทำวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล หรือทบทวนโครงการต่างๆอย่างสม่ำเสมอและเป็นเอกเทศ เพื่อที่จะตัดสินว่ายุทธวิธีเป็นกลางทางเชื้อชาติจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับโครงการรณรงค์ให้เกิดความตระหนักทางเชื้อชาติ" กลุ่มรณรงค์สิทธิพลเมืองได้แสดงความห่วงใยว่ารายงานฉบับนี้ เป็นการโจมตีการสนับสนุนให้เกิดความหลากหลายทางเชื้อชาติที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาสหรัฐในคดีกรัทเทอร์ ปะทะ โบลลินเจอร์ ในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก เขาได้แต่งตั้งโคลิน พาวเวลล์ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พาวเวลล์เป็นชาวสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ซึ่งก็ตามมาด้วยดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ ที่เป็นสตรีสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ในปี พ.ศ. 2548 เขาได้แต่งตั้งนายอัลแบร์โต กอนซาเลส ให้เป็นอัยการกลางสหรัฐ ทำให้เขาเป็นชาวสหรัฐเชื้อสายสเปนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ โดยรวมแล้ว บุชได้แต่งตั้งสตรีและชนกลุ่มน้อยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง มากกว่าประธาธิบดีสหรัฐทุกคนที่ผ่านมาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ระหว่างช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก บุชได้ดำเนินความพยายามและประสบผลสำเร็จในการเรียกร้องให้สภาคองเกรสรับรองการลดภาษีสำคัญๆสามอย่างด้วยกัน อันได้แก่การเก็บภาษีเงินได้ทั่วไปสำหรับคู่สมรสน้อยลง ยกเลิกภาษีมรดก และลดอัตราภาษีหน่วยสุดท้าย การลดอัตราภาษีดังกล่าวกำหนดให้มีอันสิ้นสุดภายหลังบังคับใช้เป็นเวลา 10 ปี ซึ่งบุชก็ได้ขอให้สภาคองเกรสอนุมัติการลดอัตราภาษีเป็นการถาวร จากรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 หรือระหว่างเดือนมีนาคม จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) รัฐบาลกลางใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพิ่มขึ้น 26% ตลอดช่วงสี่ปีครึ่งแรกภายใต้การบริหารของบุช อีกทั้งเงินงบประมาณที่ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 18% การลดอัตราภาษี ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปลดคนงานเพิ่มขึ้น ต่างมีส่วนทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การขาดดุลประจำปีเพิ่มสูงขึ้นจาก 374,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2003 เป็น 413,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2004 หนี้สินแห่งชาติ ซึ่งเป็นยอดที่สะสมจากการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปี เพิ่มขึ้นจาก 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ (58 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เป็น (68% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ภายใต้การนำของบุช ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับหนี้สิน 2.7 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเรแกนพ้นจากตำแหน่ง หรือเท่ากับ 52% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จากการคาดคะเน"ข้อมูลฐาน" รายรับรายจ่ายของรัฐบาลกลางโดยสำนักงบประมาณสภาคองเกรส (การคาดคะเนงบประมาณเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ระบุว่า อัตราการขาดดุลงบประมาณจะลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการขาดดุลจะลดลงเหลือ 368,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2005 เป็น 261,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2007 และ 207,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2009 จนกระทั่งเกินดุลเล็กน้อยในปีค.ศ. 2012 สำนักงานงบประมาณกลางยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ดี "การประมาณการครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงงบประมาณรายจ่ายจำนวนมหาศาลในปีนั้นๆ สำหรับปฏิบัติการทางทหารในอิรัก และอัฟกานิสถาน และปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก" ประมาณการดังกล่าวยังยึดข้อมูลที่ว่าการตัดลดอัตราภาษีของบุช "จะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2010 เป็นต้นไป" และถ้าหากว่ามีการขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีต่อไปอีก ตามที่บุชเรียกร้อง ประมาณการงบประมาณสำหรับปีค.ศ. 2015 จะเปลี่ยนจากเกินดุลอยู่ 141,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ไปเป็นขาดดุล 282,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในทันที" อัตราเงินเฟ้อภายใต้การนำของบุช นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหลือเพียงแค่ปีละ 2-3% เท่านั้น เศรษฐกิจถดถอยและราคาสินค้าที่ลดลงนั้น มีผลสืบเนื่องมาจากการชะลอตัวของราคา ตั้งแต่ช่วงกลางปีค.ศ. 2001 ถึง ค.ศ. 2003 เมื่อไม่นานมานี้ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อ การจ้างงานภาคเอกชน (ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) ได้ลดลงอย่างมากภายใต้การบริหารราชการของบุช จากอัตราจ้างงาน 111,680,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 เหลือเพียง 108,250,000 ตำแหน่งในช่วงกลางปีค.ศ. 2003 นับว่าการจ้างงานนั้นได้ลดลงมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1981 - ค.ศ. 1983 แต่จากนั้นมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ได้เพิ่มงานในภาคเอกชนตลอดช่วง 25 เดือนต่อมา (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005) แต่อัตราการจ้างงานภาคเอกชนยังคงต่ำกว่าอัตราก่อนที่บุชจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 ที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 111,828,000 ตำแหน่ง เมื่อเราคำนึงถึงอัตราการเพิ่มของประชากรด้วยแล้ว ก็นับได้ว่า อัตราการจ้างงานได้ลดลงถึง 4.6% ตั้งแต่บุชเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คณะผู้บริหารงานราชการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้แสดงความเห็นว่า อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภายหลังนั้น เป็นผลมาจากกฎหมายประนีประนอมการจ้างงานและการลดอัตราภาษี (Jobs and Growth Tax Relief Reconciliation Act - JGTRRA) ที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2003 การสำรวจความยากจนทั่วประเทศครั้งล่าสุด (หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การสำรวจครัวเรือน) เป็นการวัดร้อยละของประชากรที่มีงานทำกับไม่มีงานทำโดยการสุ่มตัวอย่าง ผลการสำรวจจะถูกคูณด้วยจำนวนประชากรเพื่อหาค่าประมาณการของอัตราการจ้างงาน การสำรวจแบบนี้ได้เปรียบกว่าการสำรวจการจ่ายเงินค่าจ้าง เนื่องจากรวมการจ่ายเงินค่าจ้างให้ตัวเองไว้ด้วย แต่ก็ให้ผลรวมที่แม่นยำน้อยกว่า (เนื่องจากต้องมีการประมาณการจำนวนประชากร) และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างประชากรทั่วประเทศจำนวนน้อยมาก (60,000 ครัวเรือน รวมกับอีก 400,000 บริษัทเอกชน) ไม่ว่าจะดีหรือแย่กว่าก็ตาม การสำรวจครัวเรือนนับจำนวนงานหลายๆงานที่ประชากรคนหนึ่งทำว่าเป็นเพียงงานเดียว อันรวมถึงงานในภาครัฐ ภาคเกษตรกรรม การทำงานในครอบครัวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง และคนทำงานที่ลาหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง การสำรวจครัวเรือนระบุว่าอัตราร้อยละของประชากรที่มีงานทำ ลดลงจาก 64.4% ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2000 และเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 เป็น 62.1% ในเดือนสิงหาคม และกันยายน ค.ศ. 2003 และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 62.9% เท่านั้น ตัวเลขต่างๆระบุว่าอัตราการมีงานทำลดลงนั้นสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่ลดลง หนึ่งล้านหกแสนตำแหน่ง และได้เพิ่มขึ้นอีก สี่ล้านเจ็ดแสนตำแหน่งภายใต้การบริหารประเทศของบุช ภายใต้การบริหารประเทศของบุช อัตราการว่างงานที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตามผลการสำรวจครัวเรือนเริ่มต้นที่ 4.7% ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 และได้เพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 จนกระทั่งลดลงเหลือ 4.9% ในเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2005 จากการสำรวจการจ่ายค่าจ้างในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ของภาคเอกชน คิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์คงที่ ได้ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 แม้ว่าพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ก็ลดลงตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา สรุปได้ว่า ตลอดช่วงปีค.ศ. 2002-ค.ศ. 2004 หรือก่อนที่บุชเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ประชากรสหรัฐมีรายรับมากกว่านี้เล็กน้อย การเพิ่มขึ้นของผลผลิตมวลรวมประชาชาตินับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้รับแรงส่งจากผลผลิตภาคแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการปลดคนงานที่ไม่ได้ถูกใช้งานเต็มที่ ปัญหาระยะยาวส่วนหนึ่งที่บุชต้องแก้ไขได้แก่การขาดแคลนการลงทุนทางสาธารณูปโภคทางเศรษฐกิจ อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและเงินบำนาญของประชากรผู้สูงอายุ การขาดดุลการค้าและงบประมาณ และการชะลอตัวของรายรับต่อครัวเรือนในหมู่ประชากรผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่บางกลุ่มอ้างว่าการฟื้นตัวของผลิตผลมวลรวมประชาชาติในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น นั้นได้อานิสงค์จากรัฐบาลชุดก่อนๆ รายงานจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐกลับระบุว่าปัญหาความยากจนเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ร้อยละของประชากรที่อยู่ใต้ขีดความยากจนเพิ่มขึ้นในช่วงสี่ปีแรกที่บุชเข้ามาบริหารประเทศ ในขณะที่อัตราดังกล่าวลดลงตลอดเจ็ดปีก่อนหน้านั้น โดยต่ำสุดในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนอัตราประชากรที่ยากจนจะเพิ่มขึ้น เราจำเป็นต้องเน้นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปีค.ศ. 2000-ค.ศ. 2002นั้น กลับต่ำกว่าระหว่างช่วงปีค.ศ. 1992-ค.ศ. 1997เสียอีก (โดยที่อัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 39.3% ในปีค.ศ. 1993 ในปีค.ศ. 2002 อัตราของประชากรที่ยากจนอยู่ที่ 34.6% ซึ่งก็เกือบเท่ากับอัตราในปีค.ศ. 1998 ที่ 34.5% ส่วนในปีค.ศ. 2004 นั้นอัตราความยากจนอยู่ที่ 12.7%ประกันสังคม ประกันสังคม. บุชเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องประกันสังคม ตั้งแต่ช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 เขาระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับการคาดการณ์หนี้สินของระบบที่ไม่มีงบประมาณพอจ่ายเป็นอันดับแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน ค.ศ. 2005 เขาได้ออกเดินสายทั่วประเทศ และหยุดแวะในเมืองสำคัญๆ ถึง 50 เมือง เพื่อเตือนให้ประชาชนตระหนักถึง"วิกฤตการณ์"ที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยแรกเริ่มเดิมที ประธานาธิบดีบุชได้ย้ำถึงข้อเสนอของเขาให้มีบัญชีส่วนบุคคล ที่จะส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานแต่ละคนสามารถเอาเงินภาษีประกันสังคม (FICA) ส่วนหนึ่ง มาลงทุนได้อย่างมีหลักประกัน ข้อดีประการสำคัญของบัญชีส่วนบุคคลในการประกันสังคมนั้น อนุญาตให้ผู้ใช้แรงงานเป็นเจ้าของเงินที่ตนเองได้จ่ายไปเพื่อการเกษียณอายุ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พรรคฝ่ายซ้ายได้ตอบโต้นโยบายดังกล่าว โดยระบุว่าแนวทางนี้อาจจะทำให้การเสียสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินแย่ขึ้นไปกว่าเดิม โดยที่บุชได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนได้คัดค้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเห็นว่าบุชเปลี่ยนการประกันสังคมให้เป็นโครงการสังคมสงเคราะห์ ซึ่งค่อนข้างสุ่มเสี่ยงในทางการเมือง ส่วนหนึ่งของกฎหมายที่บุชผลักดันให้บริษัทเอกชนได้รับยกเว้นการจ่ายเงินประกันสังคมได้รับการร้องเรียนว่า แผนการของบุชนั้นเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน และได้เปลี่ยนแนวคิดของการประกันสังคมให้กลายเป็นโครงการประกันแบบทั่วๆ ไปการสาธารณสุข การสาธารณสุข. ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ระงับเงินทุนจากสหรัฐที่ให้แก่กองทุนเพื่อกิจกรรมประชากรแห่งสหประชาติ โดยเขาอ้างว่ากองทุนดังกล่าวได้สนับสนุนการบังคับทำแท้งและการผ่าตัดทำหมันในสาธารณรัฐประชาชนจีน บุชได้ลงนามในกฎหมายปรับปรุงและพัฒนาการจ่ายยารักษาโรคให้ทันสมัย สำหรับปีค.ศ. 2003 ซึ่งได้เพิ่มรายการยาที่จะสามารถเบิกกับเมดิแคร์ของสหรัฐ ให้เงินสนับสนุนบริษัทผู้ผลิตยา และห้ามรัฐบาลกลางเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยา บุชกล่าวว่ากฎหมายดังกล่าว ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณถึง 400,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีแรก จะทำให้ผู้สูงอายุ "มีทางเลือกมากขึ้น และสามารถควบคุมการดูแลรักษาสุขภาพของตนได้มากขึ้น" ผู้สูงอายุสามารถซื้อบัตรลดราคายาที่ผ่านการรับรองของเมดิแคร์ ได้ในราคา 30 ดอลลาร์หรือน้อยกว่านั้นเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากราคายาที่สูงขึ้น กฎหมายดังกล่าวยังเพิ่มการเบิกยาในโปรแกรมการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุของรัฐบาลกลาง นับตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 เป็นต้นมา และกฎหมายยังสนับสนุนให้บริษัทประกันเสนอแผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลให้แก่ผู้สูงอายุชาวอเมริกันหลายล้านคน ที่ขณะนี้ได้รับผลประโยชน์ทางด้านสาธารณสุขภายใต้ข้อตกลงที่รัฐบาลกำหนด อันเป็นแนวคิดที่ถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักจากสมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคน บุชได้ลงนามในกฎหมายต่อต้านการทำแท้งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ เมื่อปีค.ศ. 2003 โดยประกาศว่าเขามีวัตถุประสงค์เพื่อ "สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมแห่งชีวิต" แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่เคยนำมาบังคับใช้ เนื่องจากศาลแขวงสามแห่งได้วินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอุธรณ์เก้าแห่งได้รับรองกฎหมายหนึ่งบท กฎหมายของรัฐบาลกลางสามารถที่จะห้ามกระบวนการทำให้มดลูก"ขยับและหดตัวโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย" ซึ่งผู้ทำแท้งทำให้ตัวอ่อนมนุษย์หลุดออกมาก่อนจะฆ่าทิ้ง ผู้สนับสนุนฝ่ายเสรีและฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนมองว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว เราสามารถฆ่าตัวอ่อนตั้งแต่อยู่ในมดลูกแล้วนำออกมาภายหลังได้การศึกษา การศึกษา. ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน โดยมีวุฒิสมาชิกเท็ด เคเนดี เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ ที่ต้องการลดช่องว่าในการประสบความสำเร็จของเด็ก วัดประสิทธิภาพในการทำงาน ให้ทางเลือกแก่พ่อแม่ที่มีลูกเรียนด้อย และให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นแก่โรงเรียนที่มีรายได้น้อย ผู้วิพากษ์วิจารณ์ (ซึ่งรวมถึงจอห์น แครี และสมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ) ได้แสดงความเห็นว่าโรงเรียนไม่ได้รับทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาใหม่ แม้ว่าคำวิจารณ์ดังกล่าวจะอ้างอิงกับข้อมูลที่สัณนิษฐานเอาว่า บุคคลระดับผู้บริหารได้ให้คำมั่นสัญญาไว้มากกว่าให้งบประมาณ รัฐบาลประจำรัฐบาลแห่งได้ปฏิเสธที่จะใช้เงินตามที่ระบุไว้ในกฎหมายตราบใดที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนอย่างเพียงพอ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 หนังสือพิมพ์ยู.เอส.เอ. ทูเดย์ ได้รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐได้จ่ายเงิน 240,000 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ นายอาร์มสตรอง วิลเลียมส์ นักวิจารณ์การเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟริกันหัวอนุรักษนิยม "เพื่อให้เขาประชาสัมพันธ์กฎหมายใหม่ในรายการของสหภาพโทรทัศน์อเมริกัน และให้เขาบอกให้นักข่าวผิวดำทำอย่างเดียวกัน คณะกรรมาธิการการศึกษาและแรงงานสหรัฐได้ระบุไว้ว่า "สืบเนื่องจากกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน ที่ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2002 รัฐบาลกลางสหรัฐได้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา (ภาคบังคับ 12 ปี) มากกว่าช่วงไหนๆในประวัติศาสตร์สหรัฐ". ความต้องการเงินทุนสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบระดับรัฐ เช่นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากใช้กฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจในแง่ลบที่ส่งผลต่องบประมาณเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง อันได้แก่กฎหมายเอ็ช. อาร์. 4664 ว่าด้วยการให้งบประมาณสนับสนุนสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ (NSF) เพิ่มขึ้นสองเท่าในอีกห้าปีข้างหน้า และให้ริเริ่มโครงการเพื่อการศึกษาทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ทั้งในระดับเตรียมอุดมศึกษาและระดับปริญญาตรี ในช่วงสามปีแรกของวาระห้าปี จะมีการเพิ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาขึ้น 14% (พีดีเอฟไฟล์) บุชคัดค้านงานวิจัยใหม่ๆ และได้ให้ทุนสนับสนุนจำนวนจำกัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพื่อการวิจัยดังกล่าว ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1999 แต่จะไม่มีการจ่ายเงินใดๆจนกว่าจะมีการตีพิมพ์กรอบแนวทางการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย กรอบแนวทางได้ถูกเผยแพร่ภายใต้รัฐบาลคลินตันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2000 โดยอนุญาตให้นำเอมบรีโอแช่แข็งที่ไม่ได้ถูกใช้งานมาใช้ได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2001 ก่อนที่จะมีการให้ทุนสนับสนุนใดๆภายใต้กรอบนี้ บุชได้ประกาศเปลี่ยนแปลงกรอบแนวทาง โดยอนุญาตให้ใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น ในขณะที่บุชอ้างว่ามีเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนของมนุษย์อยู่แล้วถึง 60 สายพันธุ์ที่ ได้มาจากทุนวิจัยของภาคเอกชน ในปีค.ศ. 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้อ้างว่า มีเพียง 11 สายพันธุ์เท่านั้นที่ใช้งานได้ และต่อมาในปีค.ศ. 2005 ได้ระบุว่าทุกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองเพื่อรับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางนั้น ติดเชื้อและใช้การไม่ได้ อย่างไรก็ดี ไม่มีการกำหนดข้อจำกัดในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายมนุษย์ที่โตแล้ว โดยงานวิจัยดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนที่เป็นกอบเป็นกำมากกว่าจากประธานาธิบดีบุช เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2004 บุชได้ประกาศการปรับเปลี่ยนแนวทางครั้งสำคัญเกี่ยวกับการบริหารองค์การอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ที่รู้จักกันในนามของวิสัยทัศน์สำหรับการสำรวจอวกาศ โดยโครงการดังกล่าวเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสถานีอวกาศนานาชาติ ขึ้นภายในปีค.ศ. 2010 และให้ยกเลิกการใช้กระสวยอวกาศ ในขณะที่หันมาพัฒนายานอวกาศ ที่เรียกว่า ยานสำรวจของลูกเรือ ภายใต้โครงการคอนสเตลเลชัน จะมีการใช้ยานสำรวจของลูกเรือส่งนักบินอกาศอเมริกัน กลับไปยังดวงจันทร์ภายในปีค.ศ. 2018 โดยมีวัตถุประสงค์จะจัดตั้งฐานปฏิบัติการบนดวงจันทร์เป็นการถาวร และยังมีแผนจะส่งมนุษย์ไปปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารในอนาคต แม้ว่าแผนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับอย่างเย็นชา งบประมาณกลับผ่านการอนุมัติไปด้วยดี และถูกแก้ไขน้อยมากภายหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ทำเนียบขาวได้เผยเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายการคมนาคมอวกาศใหม่ (พีดีเอฟไฟล์) ที่ได้วางกรอบการบริหารนโยบายอวกาศแห่งชาติในวงกว้าง และได้ผูกนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถทางการคมนาคมในอวกาศ เข้ากับข้อกำหนดด้านความมั่นคงของประเทศ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 กลุ่มจับตาดูการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อว่าสหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ได้เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า การผนวกวิทยาศาสตร์เข้ากับการวางนโยบาย ในรายงานดังกล่าวใช้คำพูดว่า "คัดค้านการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของคณะบริหารงานแผ่นดินของบุช" โดยได้กล่าวหาว่า "คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ละเลยคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ในการวางนโยบายที่สำคัญยิ่งต่อความอยู่ดีกินดีของพวกเรา" และได้ "ลบหรือบิดเบือนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ของหน่วยงานรัฐบาลกลางเพื่อให้ผลการวิเคราะห์สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะบริหารงานแผ่นดิน" ถึงขั้นที่เรียกว่า "อย่างไม่เคยมีมาก่อน" รายงานดังกล่าวได้รับการลงนามโดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 7,000 คน รวมถึงผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล 49 คน ผู้ที่ได้รับเหรียญรางวัลทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 63 คน และ สมาชิกสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 154 คน ทำเนียบขาวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับรายงานที่เชื่อมโยงกิจกรรมของมนุษย์กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก นอกจากนั้น นายฟิลิป คูนนีย์ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและอดีตทนายความในบริษัทน้ำมัน ได้แก้ไขข้อความในรายงานวิจัยสภาวะอากาศที่ผ่านการรับรองแล้วจากนักวิทยาศาสตร์ของรัฐ แต่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธว่านายคูนีย์ไม่ได้แก้ไขรายงานฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 รายงานของกระทรวงได้แสดงว่า คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ขอบคุณผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกซอน ที่ได้มี"บทบาทอย่างจริงจัง" ในการช่วยคาดการณ์นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ รวมถึงอนุสัญญาเกียวโต ข้อมูลที่ได้จากสมาพันธ์ภูมิอากาศโลก กลุ่มลอบบีทางธุรกิจก็เป็นหนึ่งในปัจจัยในการคาดการณ์ วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) บุชได้เสนอโครงการที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก ว่าด้วยการให้มีการสอนเรื่อง การออกแบบปัญญา (ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงถูกสร้างขึ้น) ควบคู่ไปกับการสอนเรื่องวิวัฒนาการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าคิดว่า ส่วนหนึ่งของการศึกษาได้แก่การให้ประชาชนได้มองเห็นแนวทางต่างๆที่หลากหลาย และไม่ใช่การชี้นำแต่อย่างใด ถ้าท่านถามข้าพเจ้าว่าประชาชนควรได้รับรู้ถึงแนวคิดต่างๆที่มีอยู่หรือไม่ คำตอบก็คือใช่" สถาบันการศึกษาหลายแห่ง เป็นต้นว่า มองการสอนการออกแบบปัญญาว่าเป็นความผิดพลาดทางการศึกษาสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. บุชได้ลงนามในกฎหมาย มรดกแห่งทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลกลางเริ่มการเก็บกวาดมลภาวะและโคลนตมที่ติดเชื้อ ในทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า รวมถึงกฎหมายบราวน์ฟิลด์ในปี พ.ศ. 2545 ที่เร่งรัดการเก็บกวาดขยะอุตสาหกรรมในแถบบราวน์ฟิลด์ บันทึกสิ่งแวดล้อมของบุชได้ถูกโจมตีโดยนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ ที่โจมตีว่านโยบายของบุชหนุนหลังพวกอุตสาหกรรม และทำให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมแย่ลง กลุ่มรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้อ้างว่า นอกจากบุชและเชนนีแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารงานแผ่นดินของบุชอีกหลายคนที่มีส่วนพัวพันกับธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจยานยนต์ และกลุ่มอื่นๆที่ได้ต่อสู้กับนักรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ให้ดำเนินการเสริมสิ่งของสนับสนุนโครงการริเริ่มเพื่อป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของเขา กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแงดล้อมได้โจมตีว่า โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเอื้อประโยชน์ให้บริษัททำไม้ อีกประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันได้แก่แนวคิดริเริ่มทำความสะอาดท้องฟ้าของบุช ที่ต้องการลดมลภาวะในอากาศผ่านโครงการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่ก่อมลภาวะน้อยลง ผลกระทบบางส่วนจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บุชคัดค้านการเข้าไปขุดเจาะในเขตสงวนน้ำมัน ที่เป็นเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติในแถบอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตเปราะบางทางนิเวศวิทยาอย่างยิ่งเนื่องด้วยมันตั้งอยู่ในแถบอาร์กติก (พีดีเอฟไฟล์) คนบางกลุ่มอ้างว่าที่แห่งนี้เป็นธรรมชาติแห่งสุดท้ายในสหรัฐที่ยังไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำมือมนุษย์ และน้ำมันส่วนใหญ่ที่ขุดเจาะได้จากแหล่งนี้จะถูกนำไปขายในต่างประเทศ เช่นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันท้องถิ่นทำกำไรได้มาก บุชยังได้คัดค้านพิธีสารเกียวโต โดยอ้างว่าจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ บุชยังกล่าวว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะมาตั้งข้อกำหนดกับสหรัฐ ในขณะที่ผ่อนปรนอย่างไม่สมเหตุสมผลกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดีย บุชยังระบุว่า "ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลกได้แก่จีน แต่ประเทศจีนก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำตามข้อกำหนดในพิธีสารเกียวโต" เขายังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้น โดยย้ำว่าจะต้องมีการทำวิจัยมากกว่านี้จึงจะสามารถบอกได้ว่าทฤษฎีดังกล่าวใช้การได้ จุดยืนของบุชว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโลก ได้เปลี่ยนไป โดยเขาค่อยๆยอมรับว่าปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้นนั้นเป็นปัญหาซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ สหรัฐอเมริกาได้ลงนามเป็นพันธมิตรเอเชียแปซิฟิกเพื่อการพัฒนาและภูมิอากาศที่สะอาด กติกาสัญญาดังกล่าวได้อนุญาตให้ประเทศในกลุ่มตั้งเป้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง โดยไม่มีกลไกใดๆมาบังคับ ผู้สนับสนุนกติกาสัญญาได้มองว่านี่คือการนำพิธีสารเกียวโตมาบังคับใช้ ในแบบที่ยืดหยุ่นกว่า แต่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ก็บอกว่ากติกาสัญญาดังกล่าวจะไม่ได้ผลหากไม่มีการบังคับใช้มาตรการ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน ร่วมกับผู้ว่าราชการและนายกเทศมนตรีจาก 187 เมืองใหญ่และเล็กทั่วสหรัฐ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับอนุสัญญาเกียวโตมาใช้ให้ถูกต้องตามกฎหมายโทษประหาร โทษประหาร. บุชเป็นผู้สนับสนุนตัวยงในการทำโทษประหารมาใช้ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส มีผู้ถูกประหารชีวิตในรัฐนี้ถึง 152 คน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นำหน้ารัฐอื่นๆ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เขาได้สนับสนุนโทษประหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นประธานในการประหารนายทิโมธี แมคเวห์ ผู้ก่อการร้ายที่ถูกรัฐบาลกลางตัดสินประหารชีวิตเป็นรายแรกในรอบทศวรรษคณะรัฐบาล คณะรัฐบาล. การเสนอชื่อประธานศาลสูงสุด การเสนอชื่อประธานศาลสูงสุด. บุชได้เสนอรายชื่อบุคคลต่อไปนี้ให้ดำรงตำแหน่งต่างๆใน ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา:- จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — รองประธานศาลสูงสุด ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาได้ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548 - จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — หัวหน้าผู้พิพากษาที่ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548 ได้รับการรับรองโดยวุฒิสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2548 - แฮร์เรียต อี. ไมเยอร์ส — รองหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาไมเยอร์ของถอนตัวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2548 - ซามูเอล อัลลีโต — ผู้ช่วยหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เรื่องเข้าสู่วุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 โดยมีกำหนดการลงคะแนนเสียงรับรองในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548การลงนามในกฎหมายหลักๆการลงนามในกฎหมายหลักๆ. - พ.ศ. 2544- พ.ศ. 2545- พ.ศ. 2546- พ.ศ. 2547
จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "43" ], "answer_begin_position": [ 234 ], "answer_end_position": [ 236 ] }
2,122
8,514
จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เรืออากาศโท จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช () เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 43 บุชสังกัดพรรครีพับลิกัน และเกิดในตระกูลบุชซึ่งเป็นตระกูลนักการเมืองตระกูลใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาคือ จอร์จ บุช ประธานาธิบดีคนที่ 41 และน้องชายเขา เจบ บุช เป็นอดีตผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดา ก่อนเริ่มเล่นการเมือง จอร์จ ดับเบิลยู บุชเป็นนักธุรกิจบ่อน้ำมัน และเป็นเจ้าของทีมเบสบอล เทกซัส เรนเจอร์ (Texas Rangers) เขาเริ่มเล่นการเมืองระดับท้องถิ่นโดยเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัสคนที่ 46 ชนะการเสนอชื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และชนะการเลือกตั้งต่อรองประธานาธิบดี อัล กอร์ใน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) และได้รับการเลือกตั้งสมัยที่สองเมื่อ พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) โดยเอาชนะวุฒิสมาชิก จอห์น เคร์รี ของ พรรคเดโมแครตการศึกษา การรับราชการทหาร และชีวิตส่วนตัวในช่วงแรก การศึกษา การรับราชการทหาร และชีวิตส่วนตัวในช่วงแรก. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นบุตรชายคนโต ของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช และนางบาบารา บุช(นามสกุลเดิม เพียร์ซ) ภริยา จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช เกิดที่เมืองนิว ฮาเวน รัฐคอนเน็กติกัต เขาบอกว่าตนเองเป็นชาวเทกซัสขนานแท้ เนื่องจากครอบครัวได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่รัฐเทกซัสเมื่อเขาอายุได้สองขวบ และเติบโตขึ้นในเมืองมิดแลนด์ และนครฮิวสตัน รัฐเทกซัส พร้อมกับนายเจบ บุช นีล บุช มาร์วิน บุช น้องชาย และ โดโรธี บุช คอช น้องสาว หลังจบการศึกษาจาก ฟีลิปป์ อคาเดมี ที่เมืองอานโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเสต เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) บุชเดินทางกลับมายังคอนเน็กติกัต และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยล สำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ บุชเป็นสมาชิกสมาคมสกัลแอนด์โบนส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) ระหว่างสงครามเวียดนาม เขาได้เข้าประจำการกองกำลังป้องกันประเทศทางอากาศ แห่งรัฐเทกซัส เขาเข้ารับการฝึกฝนในกองกำลังเป็นเวลาสองปี และก็ได้เรียนขับเครื่องบินในช่วงนั้นเอง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเรืออากาศเอก เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) จากการสนับสนุนของนาวาอากาศโทเจอรี บี. คิลเลน ผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้น บุชรับราชการเป็นนักบินเครื่องเอฟ-102 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เขาได้รับอนุญาตให้สิ้นสุดวาระรับราชการทหาร หกเดือนก่อนกำหนด เพื่อเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเขาก็ได้รับปริญญาโทสาขาการบริหารธุรกิจ (MBA) ในปี พ.ศ. 2518 {ค.ศ. 1975} ทำให้บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่จบ MBA ภายหลังจบการศึกษา เขาได้กลับไปยังรัฐเทกซัสเพื่อเข้าสู่ธุรกิจน้ำมัน สองปีต่อมา เขาได้เข้าพิธีสมรสกับนางสาวลอรา เวลช์ บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน ผู้มีพื้นเพมาจากมิดแลนด์ รัฐเทกซัส พวกเขามีบุตรสาวฝาแฝด บาบารา และเจนนา บุช เมื่อปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) บุชเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีบุตรฝาแฝดข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการรับราชการทหาร ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการรับราชการทหาร. การรับราชการทหารของบุชกลายเป็นข้อถกเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเมื่อปี พ.ศ. 2547 ผู้วิจารณ์บุชอ้างว่า เขาได้ลัดคิวเพื่อให้ได้เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศ ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2516 และถูกห้ามบิน หลังไม่เข้ารับการตรวจร่างกายและการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ประเด็นเหล่านี้ได้ปรากฏต่อสาธารณชนตลอดการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี พ.ศ. 2547 อันเกิดจากความพยายามของกลุ่ม "เท็กซัน ฟอร์ ทรูธ" ผู้สนับสนุนบุชอ้างว่าเอกสารหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ เกี่ยวกับการรับราชการทหารของบุชให้กองกำลังป้องกันประเทศ รวมถึงบันทึกการจ่ายเงินเดือน และเอกสารปลดประจำการอย่างเป็นทางการ ต่างระบุว่าบุชได้รับราชการอย่างสมเกียรติ ผู้ที่ตั้งข้อกังขายินดีอย่างยิ่งที่หาเอกสารอย่างเป็นทางการไม่พบ และเหตุการณ์นี้จะคลุมเครืออยู่ต่อไป แต่การพบเอกสารเพิ่มเติมที่ไม่ได้เป็นทั้งหลักฐานที่มัดตัว หรือช่วยให้พ้นข้อกล่าวหา ทำให้ข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่างชัดในเร็ววันนี้ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการเสพสุราเกินขนาด ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับการเสพสุราเกินขนาด. เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ใกล้ๆ กับบ้านพักฤดูร้อนของพ่อแม่ของบุชที่เมืองเคนเนอบังค์พอร์ต รัฐเมน ตำรวจได้จับกุมตัวจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในข้อหาขับขี่รถยนต์ขณะเมาสุรา เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกปรับเป็นเงิน 150 ดอลลาร์สหรัฐ และถูกพักใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ในรัฐเมนเป็นเวลา 30 วัน ได้มีการตีพิมพ์ข่าวการจับกุมห้าวันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) บุชได้เล่าถึงชีวิตก่อนที่เขาจะหันมานับถือศาสนาเมื่อย่างเข้าปีที่ 40 ของชีวิตว่า เป็นช่วงเวลา "ร่อนเร่พเนจร" ของ "วัยเยาว์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ" และยอมรับว่าดื่ม "มากเกินไป" ในตลอดช่วงปีดังกล่าว เขากล่าวว่าได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเป็นแบบสมถะ หลังจากตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมาค้างในวันเกิดปีที่ 40 ของเขา และยังอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งมาจากการได้พบปะกับบาทหลวงบิลลี เกรแฮม เมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ายังดื่มสุราต่อมาจนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ก็ตาม บุชยืนยันว่าเขาไม่ได้ใช้สารเสพติดที่ผิดกฎหมายอีกเลยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ได้มีบทความสนับสนุนว่าเขาหยุดใช้ยาเสพติดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) จากบทความดังกล่าว การสนทนาทางโทรศัพท์ทำให้เราทราบว่าเคยสูบกัญชา และดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธการเสพโคเคน เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายเจมส์ ฮาตฟิล์ด นักเขียนที่เขียนไว้ว่าเขาได้ใช้อิทธิพลของครอบครัวเพื่อลบประวัติการถูกจับกุมข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครองเมื่อปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) แต่ขอไม่พูดถึงว่าเขาใช้ยาเสพติดก่อนปี พ.ศ. 2517 หรือไม่ความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ ความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ. หลังจากได้พบปะกับสาธุคุณบิลลี เกรแฮม จากโบสต์นิกายเอแวนเจลิสต์ บุชได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และการปฏิบัติของศาสนาคริสต์มากขึ้น ตลอดระยะเวลานี้ เขาได้ออกจากโบสต์เอปิสโปคัล ที่ครอบครัวบุชนับถือ เพื่อมาเข้าร่วมโบสต์ยูไนเต็ด เมธอดิสต์ ที่ภรรยานับถืออยู่ ซึ่งเป็นการแสดงถึงแนวคิดทางสังคมที่อนุรักษนิยมมากกว่าเดิม บุชมักจะถูกอ้างถึงว่าเป็นชาวคริสต์ที่ได้เกิดอีกครั้งจากการหันมานับถือศาสนาอย่างจริงจัง ในการโต้วาทีทางโทรทัศน์ครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2543 ของนักการเมืองดังพรรครีพับลิกัน ผู้ร่วมรายการต่างถูกถามว่าใครเป็นนักปราชญ์คนโปรดของพวกเขา บุชตอบว่า "พระเยซู" โดยอ้างว่าพระเยซูเจ้าเป็นนักปราชญ์ผู้ที่ได้ "เปลี่ยนชีวิตของเขา"อาชีพการงานอาชีพนักธุรกิจ อาชีพการงาน. อาชีพนักธุรกิจ. บุชเริ่มอาชีพนักธุรกิจค้าน้ำมันในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ซึ่งเป็นปีที่เขาก่อตั้ง "อาร์บุสโต แอร์เนอจี" บริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซขึ้น ด้วยเงินส่วนที่เหลือจากกองทุนเพื่อการศึกษาของเขา กับเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมลงทุน รวมถึงโดโรธี บุช ลิววิส เลห์แมน วิลเลียม เฮนรี เดรปเปอร์ ที่สาม บิล แกมเมล และเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งเป็นตัวแทนของซาลิม บิน ลาเดน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) บุชได้ขายกิจการไปเนื่องจากเจ็บตัวจากช่วงแรกเริ่มของวิกฤตการณ์น้ำมันปี พ.ศ. 2522 และได้เปลี่ยนชื่อ "บุช เอ็กพลอเรชัน คอมพานี" เป็น "สเป็กตรัม เซเวน" ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจหาน้ำมันและก๊าซอีกแห่งที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในรัฐเทกซัส ภายใต้เงื่อนไขของการขายกิจการ บุชได้กลายเป็นซีอีโอ ของบริษัท ต่อมา "สเป็กตรัม เซเวน" มีรายได้ลดลง จึงถูกรวมเข้ากับ"ฮาร์เกน แอร์เนอจี คอร์ปอเรชัน" ในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) โดยมีบุชเป็นผู้อำนวยการ หลังจากที่ได้ช่วยงานบิดาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) จนประสบความสำเร็จ บุชได้ทราบจากนายวิลเลียม เดวิท จูเนียร์ เพื่อนที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยลว่า นายเอ็ดดี ชีลส์ เพื่อนของครอบครัวเขาต้องการขายเฟรนไชส์ของทีมเทกซัส เรนเจอร์ ซึ่งเป็นทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) บุชได้รวบรวมนักลงทุนได้กลุ่มหนึ่ง จากบรรดาเพื่อนสนิทของบิดา รวมทั้งนายโรแลนด์ ดับเบิลยู. เบ็ทส์ เพื่อนรักของพ่อ กลุ่มนักลงทุนนี้ได้ซื้อหุ้น 86 % ของทีมเรนเจอร์ มาด้วยมูลค่าราว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บุชได้รับส่วนแบ่งหุ้น 2% ด้วยการลงทุนเป็นเงิน 606,302 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ในจำนวนนั้น มีเงิน 500,000 ดอลลาร์ที่ได้มาจากการกู้ธนาคาร บุชจ่ายเงินกู้ด้วยการขายหุ้นของฮาร์เกน แอร์เนอร์จีไปรวมมูลค่า 848,000 ดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของที่ปรึกษา ฮาร์เกนสูญเสียรายได้อย่างมากหลังจากการขายหุ้นของบุช ทำให้บุชถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คณะกรรมาธิการความมั่นคงและการแลกเปลี่ยนของสหรัฐ สรุปว่าบุชได้มี "แผนการที่วางไว้ล่วงหน้า" ว่าจะขายหุ้น และบุช "มีบทบาทเพียงน้อยนิดในการบริหารฮาร์เกน" ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าบุชขายหุ้นเนื่องจากทราบข้อมูลภายใน ในฐานะหุ้นส่วนร่วมบริหารของทีมเรนเจอร์ บุชได้ช่วยในด้านการประสานงานกับสื่อและการก่อสร้างสเตเดียมแห่งใหม่ บทบาทของเขาต่อสาธารณชนได้ทำให้เกิดแรงสนับสนุนของอาสาสมัครที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง และทำให้ชื่อของบุชเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐเทกซัส แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักแล้วก็ตาม จากการมีพ่อที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตลอดช่วงเวลาดังกล่าวอาชีพนักการเมือง อาชีพนักการเมือง. บุชเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองของเขาด้วยการช่วยการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของบิดาในปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) และ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง หลังจากถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งในกองกำลังป้องกันประเทศสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) เขาก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐแอละแบมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) บุชสมัครต้องการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเข้าชิงที่นั่งส.ส.รัฐเทกซัส แต่ก็พ่ายต่อนายเคนท์ แฮนซ์ ที่เป็นวุฒิสมาชิกรัฐเทกซัส โรนัลด์ เรแกนได้แต่งตั้งคู่แข่งของบุชเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งในการเลือกรายชื่อผู้สมัครขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) บุชได้สมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส แข่งกับแอน ริชาร์ด เจ้าของธุรกิจผู้ได้รับความนิยมสูงจากพรรคเดโมแครต โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 เขาสามารถเอาชนะริชาร์ดไปได้ด้วยคะแนนเสียง 53 % ต่อ 46 % ในปีเดียวกันนี้เอง เขากํบหุ้นส่วนได้ขายทีมเทกซัส เรนเจอร์ อันทำให้บุชได้กำไรไปกว่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะผู้ว่าการรัฐ บุชได้เข้าเป็นแนวร่วมทางการเมืองกับบ็อบ บุลล็อก รองผู้ว่าการรัฐเทกซัสผู้มีอิทธิพล และอยู่กับพรรคเดโมแครตสมานาน ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) บุชได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอีกครั้ง อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงเกือบๆ 69 % และได้กลายเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัสคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยแต่ละสมัยมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี (ก่อนปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) วาระดำรงตำแหน่งคือสองปี) ตลอดระยะเวลาที่บุชดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เขาได้ดำเนินการแก้กฎหมายสำคัญๆหลายข้อ ที่ว่าด้วยระบบความยุติธรรมทางอาญา กฎหมายละเมิด และการให้เงินสนับสนุนโรงเรียน บุชได้เลือกแนวทางที่ยากลำบากเมื่อเขาสนับสนุนการประหารชีวิต และได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากทนายความที่ต้องการให้ยกเลิกโทษประหาร และจากผู้ที่โต้แย้งว่ากฎหมายของรัฐเทกซัสมีจุดบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด จนต้องนำโทษประหารมาใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การนำของบุช อัตราการจำคุกของรัฐเทกซัส อยู่ที่นักโทษ 1014 คน ต่อประชากร 100,000 คนในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับสองจากการสำรวจทั่วสหรัฐ อันเนื่องมาจากการขยายเวลารับโทษจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2542 บุชได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเจตจำนงของผู้ป่วยที่ระบุไว้ล่วงหน้า ซึ่งอนุญาตให้หน่วยงานสาธารณสุขเอาเครื่องช่วยชีวิตออก โดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมก็ได้ เป็นเวลาสิบวันหลังจากได้รับถ้อยแถลงจากผู้ป่วย โครงการปฏิรูปต่างๆของบุช รวมทั้งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทำให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการเมืองในระดับประเทศการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีการรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2543 การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี. การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2543. คณะที่ปรึกษาได้ให้ความเชื่อมั่นกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่า ปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) จะเป็นปีที่เหมาะสมสำหรับเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี บุชมีเงินเหลือเฟือ และพรรครีพับลิกันก็ขาดผู้สมัครคู่แข่งที่น่ากลัว ก่อนที่บุชจะสมัครเข้าชิงตำแหน่งนั้น ผลการสำรวจหยั่งเสียงระบุอย่างเด่นชัดว่าเขาเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของบุชในปี พ.ศ. 2543 บุชได้ประกาศตนเป็น "นักการเมืองอนุรักษนิยมที่มีอัธยาศัยดี" ซึ่งเป็นคำที่ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ มาร์วิน โอลาสกี แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ในการเลือกตั้งทั่วไป การรณรงค์ทางการเมืองของบุชได้ชูประเด็นสัญญาว่าจะ "ฟื้นฟูเกียรติยศและความภาคภูมิของทำเนียบขาว" และสัญญาว่าจะลดภาษีครั้งใหญ่เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือจากการร่างงบประมาณจำนวนมากมาคืนให้แก่ผู้เสียภาษี และในบรรดาประเด็นต่างๆที่ถูกหยิบยกมาหาเสียง เขายังสนับสนุนให้องค์กรทางศาสนามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินในโครงการต่างๆของรัฐบาลกลาง อุดหนุนการใช้คูปองเพื่อการศึกษา สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันในเขตสงวนพันธุ์สัตว์แห่งชาติในแถบอาร์กติก รักษางบดุลของงบประมาณกลางสหรัฐ และปรับโครงสร้างกองทัพสหรัฐ บุชได้พ่ายแพ้ต่อวุฒิสมาชิก จอห์น แมคเคน แห่งรัฐอริโซนา ในการสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐนิวแฮมเชียร์ (รัฐแรกที่มีการลงคะแนน) แต่ก็ตีตื้นขึ้นมาชนะ 9 ใน 13 รัฐ จากการลงคะแนน "ซูเปอร์ทิวสเดย์" (การลงคะแนนที่จัดพร้อมๆกันหลายรัฐในวันอังคารต้นเดือนมีนาคม) ซึ่งทำให้เขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันในที่สุด จากนั้น บุชก็ได้เลือกนายดิก เชนนี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของสหรัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐในสมัยที่บิดาของเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ให้เป็นรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีหากเขาได้รับเลือก หลังการรณรงค์หาเสียงเป็นนานเวลาหลายเดือน การเลือกตั้งที่มีขึ้นในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ได้ให้ผลดีเกินคาด เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ได้รายงานว่าอัล กอร์นำ จากนั้นก็บอกว่าบุชนำ และท้ายสุด บอกว่าสูสีกันมากจนไม่อาจวัดได้ อัล กอร์ ผู้ซึ่งโทรศัพท์ไปหาบุชเพื่ออ้างว่าตนได้รับชัยชนะนั้น ได้โทรไปขอถอนคำพูดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง บุชได้รับการประกาศว่าสามารถเอาชนะอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตไปได้ และได้ไป 271 คะแนน โดยที่กอร์ได้ 266 คะแนน ชนะการเลือกตั้งแบบเอเลคตอรัลโวตใน 30 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ กอร์ได้รับการคาดการณ์ว่าจะชนะการลงคะแนนแบบป็อบปูลาร์โวตจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมดราว 105,000,000 เสียง โดยที่บุชได้ไป 50,456,002 เสียง (47.9%) และกอร์ได้ 50,999,897 เสียง (48.4 %) แต่คะแนนนี้ก็ไม่อาจเป็นเครื่องตัดสินว่าใครจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้ คะแนนส่วนที่เหลือถูกแบ่งปันกันระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระ รวมทั้งนายราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครจากพรรคกรีน (2,695,696 คะแนน/2.7%) นายแพต บูชานา จากพรรครีฟอร์ม (449,895 คะแนน/0.4%) และนายแฮร์รี บราวน์เนอร์ จากพรรคลิเบอร์ทาเรียน (386,024 คะแนน/0.4%) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี พ.ศ. 2543 เป็นครั้งล่าสุดนับตั้งแต่เบนจามิน แฮริสัน ได้เป็นประธานาธิบดี (พ.ศ. 2431) ที่ผู้ชนะไม่ได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งแบบป็อบปูลาร์โวต ซึ่งมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่รัทเธอร์ฟอร์ด เฮย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐ การนับคะแนนเสียงในรัฐฟลอริดา ที่เคยให้บุชชนะในการลงคะแนนสรรหาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ถูกคัดค้านและกล่าวหาว่ามีความผิดปกติในการลงคะแนนและนับคะแนน อาทิเช่น เกิดการสับสนในการลงคะแนน เครื่องลงคะแนนบกพร่อง มีผู้ลงคะแนนปลอมในหมู่ทหาร และการจัดสรรผู้ลงคะแนนแบบผิดกฎหมายจำนวนมากทำให้กระบวนการเป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน ได้เกิดการฟ้องศาลตามมาหลายครั้งว่าด้วยความชอบธรรมทางกฎหมายในการนับคะแนนซ้ำระดับเคาท์ตี และระดับรัฐ หลังการนับคะแนนซ้ำด้วยมือและด้วยเครื่องในสี่เคาท์ตี และบุชยังอยู่ในศาลฎีการัฐฟลอริดาเพื่อขอให้มีการนับคะแนนใหม่อีกครั้งทั่วทุกเคาท์ตี ศาลฎีกาสหรัฐ ภายใต้การรณรงค์หาเสียง "บุช ปะทะ กอร์" ได้ล้มล้างคำตัดสินและยับยั้งการนับคะแนนที่จะมีขึ้นใหม่ทั้งหมด หลังจากนำอยู่ระยะหนึ่ง กอร์ก็เป็นฝ่ายยอมประนีประนอม หลายเดือนต่อมา การนับคะแนนใหม่ด้วยเมืองทั่วทั้งรัฐฟลอริดาได้สิ้นสุดลงโดยกลุ่มของนักหนังสือพิมพ์ ผลถูกระบุว่าอัล กอร์เอาชนะบุชไปได้ในรัฐฟลอริดาด้วยมาตรฐานสี่แบบ และพ่ายต่อบุชในการนับแบบมาตรฐานอีกสี่แบบ ในเมื่อศาลสูงสุดรัฐฟลอริดาไม่ได้กำหนดวิธีการนับคะแนนแบบมาตรฐานในการนับคะแนนใหม่ด้วยมือทั่วทุกเคาท์ตีในรัฐ จึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรัฐฟลอริดา หากว่าศาลฎีกาไม่ได้ยับยั้งการนับคะแนน ในการนับคะแนนครั้งสุดท้าย บุชมีชัยในรัฐฟลอริดาด้วยคะแนนเสียงเพียง 537 คะแนน (บุช 2,912,790 คะแนน/กอร์ 2,912,253 คะแนน) ทำให้เขาได้เอเล็คตอรัลโวตจากรัฐนี้ไป 25 แต้ม และได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐในที่สุด บุชเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2547 การรณรงค์หาเสียงปี พ.ศ. 2547. ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) บุชได้รับชัยชนะใน 31 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ ทำให้ได้คะแนนเอเล็คตอรัลโวตไปทั้งสิ้น 286 คะแนน ผู้ลงคะแนนได้ออกมาเลือกบุชอย่างถล่มทลาย ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ได้ป็อบปูลาโวต มากกว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนไหนๆในประวัติศาสตร์ (62,040,610 โวต/50.7 %) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ที่ประธานาธิบดีได้รับเสียงประชานิยมข้างมาก ทางด้านวุฒิสมาชิกจอห์น แครี ผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ชนะไป 19 รัฐรวมทั้งในวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้ได้เอเล็คตอรัลโวตไป 251 คะแนน (59,028,111 โวต/48.3 %) โดยที่ผู้ลงคะแนนแบบเอเล็คตอรัลโวตคนหนึ่ง ที่ควรจะลงคะแนนให้จอห์น แครี่ ได้เปลี่ยนใจไปลงคะแนนให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด คู่สมัครชิงประธานาธิบดีของแครี่จากพรรคเดโมแครตแทน ทำให้จอห์น เอ็ดเวิร์ด มีเอเล็คตอรัลโวต 1 คะแนน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้เอเล็คตอรัลโวตอีก ผู้สมัครที่ไม่ใช่เดโมแครตหรือ รีพับลิกันที่เด่นๆ เป็นต้นว่า ราล์ฟ เนเดอร์ ผู้สมัครอิสระ (463,653 คะแนน/ 0.4 %) และ ไมเคิล แบดแนริก จากพรรคลิเบอร์แทเรียน (397,265 คะแนน/0.3 %) สภาคองเกรสได้เปิดการโต้วาทีเกี่ยวกับความผิดปกติในการลงคะแนนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งข้อกล่าวหาว่าเกิดความผิดปกติขึ้นที่รัฐโอไฮโอ และการปลอมแปลงเครื่องลงคะแนนอิเล็คทรอนิกส์ บุชได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2548 ผู้เป็นประธานในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งได้แก่ นายวิลเลียม เรนควิสต์ ประธานกรรมการตุลาการสหรัฐในขณะนั้น คำปราศรัยของบุชเน้นไปที่อิสรภาพและประชาธิปไตยที่แผ่ขยายออกไปทั่วโลกคนสำคัญในชีวิตและอาชีพของบุช คนสำคัญในชีวิตและอาชีพของบุช. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นสมาชิกครอบครัวบุช อันเป็นครอบครัวการเมืองที่มีอำนาจมากของสหรัฐ นายจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช บิดาของเขา เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหนึ่งสมัย และเป็นรองประธานาธิบดีของนายโรนัลด์ เรแกน สองสมัย นายเจบ บุช น้องชายเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ส่วนนายเพรสสก็อต บุช ปู่ของเขา เคยเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐ บุชยังมีน้องชายอีกสองคนที่เป็นนักธุรกิจ ได้แก่นายมาร์วิน บุช และนีล บุช ในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐทั้งหมดแล้ว มีเพียงจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กับ จอห์น ควินซี แอดัมส์เท่านั้น ที่เป็นบุตรชายของอดีตประธานาธิบดีและได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีตามรอยเท้าของบิดา บุชใช้ชีวิตใกล้ชิตกับนางลอรา บุช ผู้เป็นภริยามาก รวมทั้งยังสนิทกับ จอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช ผู้เป็นบิดา และบาบารา บุช ผู้เป็นมารดาอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว เขายังใกล้ชิดกับโดโรธี บุช คอช พี่สาว และมาร์วิน บุช น้องชาย ความซื่อสัตย์ต่อครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญต่อบุชเป็นอย่างมาก และแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องนโยบายหรือแนวความคิดอยู่บ้าง อีกทั้งยังดำรงชีวิตเป็นเอกเทศต่อกัน แต่บุช กับนายเจบ บุช น้องชาย ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือกันและกันในอาชีพการเมือง ในการประกอบอาชีพแล้ว บุชยึดมั่นต่อความจงรักภักดีและการทดแทนบุญคุณเป็นหลัก เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับที่ปรึกษาหลายต่อหลายคน ที่ยังคงจงรักภักดีต่อเขา และในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สอง บุชได้มอบตำแหน่งสำคัญๆในคณะรัฐบาลให้บรรดาที่ปรึกษาส่วนตัวเหล่านั้น ที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุช และได้รับความไว้วางใจที่สุดหลายคนเป็นสตรี คอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นผู้ที่บุชไว้วางใจมากที่สุดในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อบุชมาก ทางด้านมากาเร็ต สเปลลิงส์ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านกิจการภายในประเทศเมื่อครั้งที่บุชเป็นผู้ว่าการรัฐเทกซัส และขณะนี้ นางเป็นผู้บริหารสำนักการศึกษาสหรัฐ นอกจาากนี้ยังมีคาเรน ฮิวส์ เป็นหนึ่งในบรรดาที่ปรึกษาที่บุชให้ความไว้วางใจมากที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์หาเสียงของเขาระหว่างปี พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2547 เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวเป็นระยะเวลาสั้นๆ และขณะนี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการทูต รับผิดชอบด้านการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสหรัฐในสายตาชองชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศมุสลิม แฮเรียต ไมเยอร์ เธอเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบุชและผู้จงรักภักดีจากรัฐเทกซัส และตั้งแต่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองเธอก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาว บุชได้เสนอชื่อไมเยอร์ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนแซนดรา โอคอนเนอร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐที่กำลังจะเกษียณอายุ แต่ไมเยอร์เองก็ขอถอนตัวออกไปเองในอีก 24 วันต่อมา หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนหัวอนุรักษนิยมของบุชเอง ว่าเธอไม่เคยมีเอกสารแสดงความคิดเห็นทางกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่ประสบการณ์ด้านการยุติธรรมแต่อย่างใดเลย คาร์ล โรฟ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิต และหน้าที่การงานของบุชมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ทั้งคู่พบกันเมื่อปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) โรฟได้สร้างกลไกในการรณรงค์หาเสียงให้บุชเมื่อเขาตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัสในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และได้กลายเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับบุชมากที่สุด เมื่อบุชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) บุชได้ขอให้โรฟเลิกทำธุรกิจไปรษณีย์และมาร่วมงานกับเขาอย่างเต็มตัวที่กรุงวอชิงตัน โดยได้มอบตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการให้ โรฟยังได้ออกแบบกลยุทธทางการเมือง เพื่อให้บุชได้นำไปใช้ในการออกกฎหมายวาระต่างๆ และยังให้คำแนะนำทางการเมืองในประเด็นสำคัญๆของชาติ ทั้งในส่วนของทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกัน เพื่อให้บุชได้รับเลือกอีกครั้งในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปีพ.ศ. 2547 หลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย บุชได้ยกย่องโรฟว่าเป็น "สถาปนิก" ของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และให้โรฟดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดี ในส่วนของการเมืองในประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ โรฟยังมีส่วนสำคัญต่อการขึ้นสู่อำนาจของสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ภักดีต่อบุช เป็นต้นว่าเคน เมห์ลแมน ผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงของบุช ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการพรรครีพับลิกัน อัลเบอร์โต กอนซาเลส เคยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้ว่าการรัฐเทกซัส และหัวหน้าอัยการ เขาได้มาร่วมงานกับบุชที่กรุงวอชิงตันในปีพ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐ นับเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนคนแรกที่เข้ามาเป็นผู้บริหารในกระทรวงสหรัฐการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐการดำรงตำแหน่งสมัยแรก การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ. การดำรงตำแหน่งสมัยแรก. ช่วงหนึ่งร้อยวันแรกหลังจากที่บุชเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ถือว่าเป็นช่วงที่ไม่ได้มีความปรองดองระหว่างสองพรรคใหญ่มากเท่าที่บุชได้อ้างไว้ระหว่างการรณรงค์หาเสียง บุชถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด จากการแต่งตั้งนายจอห์น แอชครอฟต์ เป็นหัวหน้าอัยการ พรรคเดโมแครตต่อต้านแอชครอฟต์เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเขามีหัวอนุรักษนิยมขวาจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการทำแท้งและโทษประหารชีวิต แม้ว่าแอชคอรฟต์จะได้รับการยอมรับในเวลาต่อมาก็ตาม ในวันแรกที่บุชเข้าทำงานในทำเนียบขาว เขาก็ได้ยับยั้งการให้เงินช่วยของรัฐบาลกลางที่ให้แก่กลุ่มองค์กรต่างชาติ ที่ให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือใดๆแก่สตรีให้มีการทำแท้ง หลายวันต่อมา เขาก็ได้ประกาศพันธกิจที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือของรัฐบาลกลางให้แก่องค์กรที่อ้างอิงความเชื่อทางศาสนา จนทำให้นักวิจารณ์หวั่นเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้ง ต่อการแยกกันเป็นอิสระระหว่างโบสถ์และรัฐ ตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา พรรครีพับลิกันสูญเสียอำนาจควบคุมวุฒิสภาสหรัฐ ในเดือนมิถุนายน เมื่อวุฒิสมาชิกเจมส์ เจฟฟอร์ด จากรัฐเวอร์มอนต์ ลาออกจากพรรครีพับลิกันเพื่อมาเป็นนักการเมืองอิสระ แต่การลาออกเกิดก่อนหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตห้าคน จะแหกคอกออกมายกมือสนับสนุนโครงการตัดลดภาษีมูลค่า 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของบุช อย่างไรก็ดี อีกไม่ถึงสามเดือนต่อมา หน่วยงานราชการได้ออกร่างงบประมาณที่แสดงให้เห็นว่าเงินคงคลังที่ได้มาจากการเก็บภาษีเงินได้จะลดลงจนไม่เหลือเลยในอีกหลายปีต่อมาอุดมคติทางการเมือง อุดมคติทางการเมือง. ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 บุชได้เริ่มใช้ประโยคว่า "นักอนุรักษนิยมผู้มีความเมตตาปราณี" เพื่ออธิบายอุดมคติความเชื่อของเขา นักอนุรักษนิยมบางคนได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับพันธกิจของบุช ที่มีต่ออุดมคติแนวอนุรักษนิยม เนื่องด้วยบุชยินยอมให้เกิดการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก จากการใช้จ่ายในเรื่องสำคัญๆมากขึ้น สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอิสระอ้างว่า การใช้คำว่า "อนุรักษนิยม" ตามด้วยคำว่า "เมตตาปราณี" ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอุดมคติที่แปลกใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นการทำให้แนวทางอนุรักษนิยมได้รับการยอมรับมากขึ้นจากกลุ่มผู้ลงคะแนนเลือกตั้งอิสระและกลุ่มที่ไม่ได้ปักใจลงคะแนนกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างเด็ดขาด ในการกล่าวปราศรัยในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของบุช เมื่อปี พ.ศ. 2548 บุชได้เน้นถึงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายการต่างประเทศของเขา และอ้างถึงแผนการที่จะสนับสนุนการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ตามที่ระบุไว้ใน องค์ประกอบสำคัญในการเป็นประธานาธิบดีของบุช เห็นจะได้แก่การเน้นความสำคัญของอำนาจและสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง ตามความเห็นของบุชและผู้ที่สนับสนุนเขาแล้ว การทำสงครามกับการก่อการร้ายจะเป็นที่จะต้องใช้บริหารระดับสูงที่เข้มแข็ง และมีความสามารถที่จะใช้กลวิธีต่างๆที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อต่อกรกับผู้ก่อการร้าย เป็นต้นว่า ครั้งหนึ่ง บุชได้โต้แย้งซ้ำๆหลายครั้งว่าข้อจำกัดของกฎหมายการเฝ้าระวังการข่าวกรองของต่างชาตินั้น เป็นกรอบที่เข้มงวดจนเกินไปต่อความสามารถในการเฝ้าระแวดระวังผู้ก่อการร้ายผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และบุชได้ผลักดันให้มีการยกเว้นข้อจำกัดต่างๆเหล่านั้นชั่วคราว รวมทั้งบางส่วนของกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสหรัฐปี พ.ศ. 2544 (USA PATRIOT ACT ย่อมาจาก Uniting and Strengthening America by Providing Appropriate Tools Required to Intercept and Obstruct Terrorism ACT of 2001 แปลตรงตัวว่า กฎหมายเพื่อการรวมกำลังและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอเมริกา ด้วยการให้เครื่องมือที่เหมาะสมซึ่งจำเป็นต่อการดักจับและขัดขวางการก่อการร้าย บัญญัติเมื่อปี พ.ศ. 2544) คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุช ได้ข่มขู่ว่าจะวีโต้เอกสารระบุกลวิธีป้องกันประเทศสองฉบับ ที่รวมข้อความที่ถูกแก้ไขโดยวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน เพื่อจำกัดอำนาจของผู้บริหารระดับสูงในอันที่จะอนุญาตให้มีการกระทำทารุณกรรมต่อมนุษย์ บุชกับพวกได้โต้แย้งว่า การกระทำรุนแรงต่อผู้ถูกจับกุมและเชื่อว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น จำเป็นต่อการได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย ทนายความในคณะรัฐบาลของบุช เป็นต้นว่าจอห์น ยู ได้โต้แย้งว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการนำประเทศเข้าสู่สงครามอยู่แล้วหากเห็นว่าเหมาะสม แม้ว่าจะมีข้อกฎหมายมาจำกัดอำนาจนั้นก็ตาม นายจอห์น จี. โรเบิร์ต ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงควรมีขอบเขตอำนาจกว้างขวางเช่นกัน ในกรณีฮัมแดน ปะทะ รัมสเฟลด์ เขาได้เขียนระบุไว้ว่า มาตราทั่วไปที่ 3 ของสนธิสัญญาเจนีวา ไม่ได้ครอบคลุมถึงผู้ถูกจับกุมตัวจากสงครามการต่อต้านการก่อการร้าย ดังนั้น บุชจึงสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งศาลทหารลับเพื่อพิจารณาคดีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้ หากเขาต้องการ คณะรัฐบาลของบุชได้สั่งให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะได้ไว้เป็นความลับ และได้ร่างคำสั่งของผู้บริหารระดับสูงขึ้นเพื่อใช้ยับยั้งคำร้องขอข้อมูลที่อ้างอิงกฎหมายอิสรภาพทางสารสนเทศ อีกทั้งให้เก็บรักษาข้อมูลเก่าที่เป็นความลับต่อไปเกินกว่าวันหมดอายุความลับเดิม ผู้วิพากษ์วิจารณ์บุชได้โต้แย้งว่า อำนาจของผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองนั้นเสี่ยงต่อการล่วงละเมิดวัตถุประสงค์ทางการเมือง และละเมิดต่ออิสรภาพของพลเรือน อีกทั้งยังบอกว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไร้จริยธรรม และมีแนวโน้มก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน ดังที่เคยเกิดกระแสต่อต้านของชาวโลกต่อกรณีการทำทารุณกรรมต่อนักโทษในเรือนจำอาบู กราอิบมาแล้ว ส่วนผู้สนับสนุนบุชได้แย้งว่า ขอบข่ายอำนาจที่กว้างขวางในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการจู่โจมสหรัฐครั้งสำคัญๆ และประธานาธิบดีก็มิได้ใช้อำนาจนั้นเกินความจำเป็นแต่อย่างใดการบริหารงานแผ่นดิน การบริหารงานแผ่นดิน. บุชได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความจงรักภักดีส่วนบุคคล อันส่งผลให้คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชสามารถสื่อสารแนวความคิดทางการเมืองของบุชแก่ประชาชนได้โดยไม่ไขว้เขว เขายังคงรักษารูปแบบการทำงานแบบ วางมือให้ทีมดำเนินการไป เนื่องจากเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้เขาถูกขัดขวางด้วยกระบวนการตัดสินใจอันสลับซับซ้อน บุชกล่าวกับไดแอน ซอวเยอร์ ในรายการของเอบีซี ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2546 ว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจในรูปแบบการบริหารงานของตน ข้าพเจ้ามีต้วแทนในการดำเนินงานต่างๆเนื่องจากข้าพเจ้าไว้ใจผู้ที่ข้าพเจ้าขอให้มาร่วมทีม ข้าพเจ้ายินดีที่จะแต่งตั้งตัวแทน และนั่นทำให้การเป็นประธานาธิบดีนั้นง่ายขึ้น" อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์ได้กล่าวหาว่าบุชต้องการมองข้ามข้อผิดพลาด ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาก่อขึ้น และตัวบุชเองก็แวดล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอ ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบุชนั้น เป็นช่วงที่มีการปกป้องสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูงอยู่มาก นักวิจารณ์หลายคนได้อ้างว่า บุชได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิพิเศษของผู้บริหารระดับสูง เมื่อเขาเสนอชื่อบุคคลสามคนให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกาสหรัฐ และการเสนอชื่อนายจอห์น อาร์. โบลตัน ดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ บุชยังได้บริหารงานแผ่นดินในตำแหน่งประธานาธิบดีหลายอย่าง ในขณะที่พำนักในบ้านไร่เมืองครอวฟอร์ด รัฐเทกซัส ที่ถูกขนานนามว่า "ทำเนียบขาวบ้านไร่" ดังเช่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2548 บุชได้ไปเยือนบ้านไร่ถึง 49 ครั้งขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รวมเป็นเวลาที่เขาจากทำเนียบขาวไปทั้งสิ้น 319 วัน จนเกือบจะเท่ากับสถิติที่โรนัลด์ เรแกน เคยทำไว้ คือ 335 วัน ภายใน 5 ปีครึ่ง คณะผู้บริหารงานแผ่นดินของบุชได้สนับสนุนแนวทางนี้ โดยกล่าวว่าการไปเยือนบ้านไร่ ช่วยให้ประธานาธิบดีได้มีมุมมองที่แตกต่างจากในวงจรการเมืองน้ำเน่าของแวดวงรัฐบาลกลาง ซึ่งแม้จะอยู่บ้านไร่ ประธานาธิบดีก็ยังคงปฏิบัติภารกิจตามปกติ (คณะผู้บริหารงานแผ่นดินได้บันทึกไว้ว่า การเยือนบ้านไร่ครอวฟอร์ด ครั้งที่ยาวนานที่สุดของบุช คือเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ใช้เวลาพักผ่อนรวมเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากระยะเวลาเยือนรวมทั้งสิ้น 5 สัปดาห์) รายชื่อคณะรัฐมนตรีของบุชได้ถูกรวบรวมไว้ใน (จากวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ)นโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง นโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง. ระหว่างการเยือนยุโรปครั้งแรกของบุชในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ผู้นำชาติยุโรปได้วิพากษ์วิจารณ์บุชเกี่ยวกับการที่เขาปฏิเสธพิธีสารโตเกียว เพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิของโลก ในปี พ.ศ. 2545 บุชได้ปฏิเสธสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกล่าวว่า "แนวทางของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นทางออก ไม่ใช่ปัญหา" คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชยังโต้แย้งเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นที่มาของสนธิสัญญาฉบับนี้ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 รัสเซียได้ลงนามยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้มันมีผลบังคับใช้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการลงนามเห็นชอบของสหรัฐอเมริกา นโยบายต่างประเทศของบุชได้รณรงค์สนับสนุนการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองกับกลุ่มประเทศในแถบละตินอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็กซิโก และลดการเข้าแทรกแซง "การสร้างชาติ" และการแทรกแซงทางการทหารเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (9/11) กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นความสำคัญไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางการก่อการร้าย การก่อการร้าย. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 สหรัฐอเมริกาภายใต้การสนับสนุนจากนานาชาติ ได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลตาลีบัน ของอัฟกานิสถาน ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่นายโอซามา บิน ลาเดน ผลพวงของความพยายามสร้างชาติอัฟกันร่วมกับสหประชาชาติ และประธานาธิบดีฮามิด การ์ไซ ส่งผลทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในปี พ.ศ. 2548 สหรัฐก็ยังหาตัว บิน ลาเดน ไม่พบ การเลือกตั้งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2547 แม้ว่าผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติจะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นไปอย่าง "ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย" และ "ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก" ตามที่ศูนย์สำรวจคะแนนนิยมกลางระบุ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 15 จากทั้งหมด 18 คน ก็ถูกข่มขู่ให้ถอนตัว โดยถูกกล่าวหาว่าการลงทะเบียนเป็นมลทิน และไม่มีสภาพเป็นผู้สมัครอย่างถูกต้อง หลายวันหลังจากที่บุชกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ประกาศว่า "ผมจะเดินหน้าแผนระบบต่อต้านขีปนาวุธ" และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว บุชได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ว่าเขาประสงค์จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ของปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) และใช้ระบบต่อต้านขีปนาวุธที่สามารถกำบังการจู่โจมจากประเทศที่เป็นภัยคุกคามได้ สมาคมฟิสิกส์แห่งสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ โดยตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบ บุชได้โต้แย้งว่ามีความสมเหตุสมผลดีแล้ว เนื่องจากสงครามเย็นอันเป็นผลพวงของสนธิสัญญาดังกล่าวได้หมดยุคลงแล้ว เอกสารที่สหรัฐขอถอนตัวจากสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างเป็นทางการได้ถูกประกาศเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2544 โดยกล่าวถึงความจะเป็นในการต่อต้านการก่อการร้าย แม้จะเคยมีปรากฏว่าประธานาธิบดีเป็นผู้ขอยกเลิกสนธิสัญญา แต่กรณีส่วนใหญ่แล้วจะมีการขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสอิรัก อิรัก. ไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้เริ่มรณรงค์แผนการตอบโต้เร่งด่วนต่ออิรัก โดยระบุว่าประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ได้กลับมาใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอีกครั้ง แม้ว่าซัดดัมจะอ้างว่าเขาได้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพที่เขาเคยมีเมื่อก่อนปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ทั้งหมด (ซัดดัมเคยใช้มันสังหารชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัก เมื่อปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) โดยที่โครงการอาวุธดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและอังกฤษ) ทฤษฎีที่ว่าซัดดัมได้ทำลายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงได้ถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้งโดยนายสก็อต ริตเตอร์ อดีตผู้ตรวจอาวุธ และนายฮานส์ บลิกซ์ อดีตหัวหน้าผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติ บุชยังกล่าวว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ และทำให้ขาดเสถียรภาพในตะวันออกกลาง ก่อให้เกิดกรณีพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อีกทั้งได้ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อการร้าย รายงานของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐหรือ ซีไอเอ ได้ระบุว่าการที่ซัดดัม ฮุสเซนพยายามจะมีวัตถุนิวเคลียร์ในครอบครองนั้น ไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพที่ฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ และขีปนาวุธของอิรักบางส่วนนั้น มีวิถีไกลเกินกว่าที่มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติอนุญาต แต่ถ้าจะว่ากันไปแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) เป็นต้นมา ประธานาธิบดีสหรัฐมีนโยบายจะโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน ด้วยการใช้กฎหมายปลดปล่อยอิรัก ที่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติ และวุฒิสภา อีกทั้งผ่านการลงนามโดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน จากการที่ประกาศออกไปว่าซัดดัม ฮุสเซน สามารถส่งมอบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงให้แก่ผู้ก่อการร้ายได้ บุชก็ได้เตือนสหประชาชาติให้บังคับใช้อาณัติปลดอาวุธอิรัก โดยอ้างความเร่งด่วนของวิกฤตการณ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ภายใต้ข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ นายฮานส์ บลิกซ์ และนายโมฮัมเม็ด เอลบาราดาย ได้นำคณะผู้ตรวจอาวุธของสหประชาชาติไปยังอิรัก การที่อิรักไม่ให้ความร่วมมือ ได้ก่อให้เกิดการโต้วาทีอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการตรวจการณ์ ส่งผลให้คณะผู้ตรวจอาวุธได้เดินทางออกจากอิรักภายใต้คำแนะนำของสหรัฐ สี่วันก่อนกำหนดการเดิม นายโคลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้เตือนผู้ร่วมงานในคณะบริหารงานแผ่นดินของประธานาธิบดีบุช ให้หลีกเลี่ยงการก่อสงครามที่ไม่ได้รับความเห็นชอบอย่างเด่นชัดจากสหประชาชาติ คณะบริหารงานแผ่นดินของบุชได้พยายามผลักดันข้อมติอนุมัติการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหาร ตามบทบัญญัติที่ 7 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ก็ต้องเผชิญกับกระแสคัดค้านจากชาติมหาอำนาจหลายชาติ รวมทั้งการข่มขู่ของนานาชาติจากการที่ฝรั่งเศสเสียหน้าในการใช้สิทธิ์ยับยั้ง ทำให้สหประชาชาติไม่อนุมัติ โดยมีเพียงไม่กี่ชาติ ที่ได้รับสมญาว่าเป็น "กลุ่มแนวร่วมฝักใฝ่"เห็นชอบกับสหรัฐ และเตรียมพร้อมเข้าร่วมสงคราม ปฏิบัติการณ์ทางทหารได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2546 เพื่อพิสูจน์ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง และโค่นอำนาจของซัดดัม การเตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะสงครามของสหรัฐมีขึ้น พร้อมๆกับการที่ซัดดัมยื้อการตรวจอาวุธให้ยืดเยื้อไปอีก การกล่าวหาว่ามีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุชในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) การฝ่าฝืนสัญญาหยุดยิงในปีนี้ และการฝ่าฝืนข้อมติต่างๆของสหประชาชาติ โดยมีนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และผู้นำชาติมหาอำนาจหลายประเทศได้ตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับความชอบธรรมของสงครามดังกล่าว และแม้ว่าบุชประกาศจะประกาศชัยชนะไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 แต่ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐยังคงดำเนินต่อไปถึงปี พ.ศ. 2548 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบในอิรัก แม้ว่าจะสามารถจับกุมตัวซัดดัม ฮุสเซนได้แล้วก็ตาม เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547 รายงานผลสุดท้ายของ คณะสำรวจอิรักของสหรัฐ ได้สรุปว่า "คณะผู้ตรวจสอบอาวุธไม่พบหลักฐานว่า ซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ในปี พ.ศ. 2546 แต่หลักฐานที่พบจากการตรวจสอบ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ถูกกักขัง และการตรวจสอบเอกสาร ต่าง»แสดงให้เห็นว่า อาจเป็นไปได้ที่มีอาวุธดังกล่าวอยู่ในอิรัก แม้ว่าจะไม่มีนัยยะสำคัญทางการทหารก็ตาม" รายงานของคณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ก็ไม่พบหลักฐานที่อาจเชื่อถือได้ว่าซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง แม้รายงานจะสรุปว่ารัฐบาลของซัดดัมจะพยายามอย่างหนัก ให้มีเทคโนโลยีที่ทำให้อิรักสามารถผลิตอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ทันทีที่มีการยกเลิกการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ นอกจากนี้ คณะผู้สอบสวนกรณี 9/11 ยังพบว่า แม้อิรักจะมีการติดต่อกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) แต่ก็ "ไม่มีการประสานความร่วมมือกัน" ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 9/11 แต่อย่างใดการอพยพเข้าเมือง การอพยพเข้าเมือง. บุชได้เสนอให้แก้ไขกฎหมายผู้อพยพเข้าเมือง ที่จะทำให้เกิดการใช้วีซ่าแรงงานต่างชาติอย่างกว้างขวาง ข้อเสนอของเขาสนองตอบต่อความต้องการของนายจ้าง ที่มีแรงงานต่างชาติทำงานให้ไม่เกินหกปี อย่างไรก็ดี ผู้ใช้แรงงานจะไม่มีสิทธิ์ได้รับบัตรพำนักถาวร (หรือ กรีนการ์ด) หรือแม้กระทั่งสัญชาติสหรัฐ ร่างแก้ไขข้อกฎหมายดังกล่าวถูกคัดค้านโดยวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตกลุ่มหนึ่ง รวมถึง บาบารา บ็อกเซอร์ และ เท็ด เคเนดี บุชยังได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ต้องการเพิ่มความเข้มงวดของการรักษาความปลอดภัย ตามแนวพรมแดนสหรัฐ - เม็กซิโก อีกทั้งต้องการเร่งรัดกระบวนการขับผู้อพยพกลับประเทศ การสร้างที่คุมขังเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน บุชยังเห็นชอบต่อการ "เพิ่มจำนวนกรีนการ์ดประจำปี ที่จะก่อให้เกิดการขอสัญชาติเพิ่มขึ้น" แต่ก็มิได้สนับสนุนการให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่เข้าประเทศโดยผิดกฎหมายอยู่แต่ก่อนแล้ว โดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวมีแต่จะสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นการสาธารณสุข การสาธารณสุข. ใน การแถลงนโยบายประจำปี เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) บุชได้กำหนดยุทธวิธีห้าปี เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ระดับสากล โดยเขาได้เรียกร้องงบประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการนี้ และข้อเสนอดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส ความพยายามบรรเทาการระบาดของโรคเอดส์อย่างเร่งด่วน มีนายแรนดาล แอล. โทเบียส ผู้ประสานงานโรคเอดส์สากล ประจำสำนักการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าโครงการ โดยในเงินงบประมาณก้อนนี้ ได้มีการจัดสรร 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อโครงการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์ใน 15 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเอช.ไอ.วี. มากที่สุด อีก 5 พันล้านดอลลาร์จะนำไปสนับสนุนการบรรเทาการแพร่ระบาดของเอดส์อย่างต่อเนื่อง ในอีก 100 ประเทศที่สหรัฐได้เคยจัดตั้งโครงการควบคู่ไว้แล้ว และอีกหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐจะนำไปสนับสนุนกองทุนรวมเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย เงินงบประมาณนี้นับเป็นมูลค่ามากกว่าเงินบริจาคเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ จากทุกประเทศรวมกันเสียอีกการพาณิชย์ การพาณิชย์. การที่บุชบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าเหล็ก และไม้เนื้ออ่อนแปรรูปของแคนาดา ทำให้เกิดการถกเถียงในประเด็นที่เขาให้การสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี กับสินค้าตัวอื่นๆ และทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งจากเพื่อนแนวร่วมอนุรักษนิยม และจากชาติที่ได้รับผลกระทบ อัตราภาษีเหล็กนำเข้าได้ถูกเพิกถอนในเวลาต่อมาภายใต้แรงกดดันจากองค์กรการค้าโลก กรณีพิพาทไม้เนื้ออ่อนแปรรูประหว่างแคนาดากับสหรัฐ ยังคงดำเนินอยู่การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา. สำนักงานการต่างประเทศสหรัฐ และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (หรือ ยูเสด) ได้ตีพิมพ์แผนยุทธวิธีสำหรับช่วงปีพ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2552 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของยุทธวิธีดังกล่าว ได้ยึดเอาแนวทางที่ถูกระบุไว้ในยุทธวิธีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบุช สามประการด้วยกัน อันได้แก่ การทูต การพัฒนา และการป้องกันประเทศ นโยบายใหม่ของบุชจะทำให้มีการให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 แก่ประเทศที่ช่วยเหลือตัวเองในการพัฒนา "ด้วยการปกครองอย่างถูกต้อง ลงทุนอย่างชาญฉลาดในทรัพยากรมนุษย์ของตน และสนับสนุนให้เกิดอิสรภาพทางเศรษฐกิจ" การช่วยเหลือการพัฒนาจะต้องควบคู่ไปกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ นั่นหมายความว่า ยูเสด จะให้การสนับสนุนเพื่อการพัฒนาแก่ "ประเทศที่ยึดมั่นต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจแบบเปิด และมีการลงทุนอย่างชาญฉลาดในด้านการศึกษา การสาธารณสุจ และศักยภาพของประชาชน"นโยบายภายในประเทศแนวคิดริเริ่มที่อิงคติความเชื่อทางศาสนา นโยบายภายในประเทศ. แนวคิดริเริ่มที่อิงคติความเชื่อทางศาสนา. ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) บุชได้ทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกัน และพรรคสังคมอนุรักษนิยมในสภาคองเกรส เพื่อผ่านร่างกฎหมายสำหรับแก้ไขวิธีการที่รัฐบาลกลางใช้ในการกำหนดควบคุม เก็บภาษี และให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรการกุศล และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่ดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนา แม้ว่าก่อนหน้าที่จะมีร่างกฎหมายดังกล่าว องค์กรเหล่านี้ก็สามารถรับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางได้ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ได้กำจัดข้อกำหนดที่ระบุว่าองค์กรจะต้องแยกการดำเนินงานเพื่อการกุศล ออกจากการดำเนินงานทางศาสนา บุชยังได้สร้าง "สำนักงานประจำทำเนียบขาว เพื่อโครงการริเริ่มที่อิงความเชื่อทางศาสนาและชุมชน" องค์การหลายแห่งด้วยกัน เป็นต้นว่า สหภาพเพื่ออิสภาพของพลเรือนอเมริกันได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการริเริ่มของบุชที่อิงความเชื่อทางศาสนา โดยโต้แย้งว่า ทำให้รัฐต้องไปพัวพันกับศาสนา และให้การสนับสนุนศาสนา ซึ่งขัดต่อประโยคพื้นฐานในบทบัญญัติแรกของรัฐธรรมนูณของสหรัฐ ที่ว่า "สภาคองเกรสจะต้องไม่บัญญัติกฎหมายที่เอื้อต่อการมีอำนาจทางการเมืองของศาสนจักร"ความหลากหลายของเชื้อชาติและสิทธิพลเมือง ความหลากหลายของเชื้อชาติและสิทธิพลเมือง. บุชคัดค้านการยอมรับกฎหมายสมรสระหว่างเพศเดียวกัน แต่สนับสนุนการอยู่ด้วยกันของหญิงชายโดยไม่จดทะเบียนสมรส ("กระผมคิดว่า เราไม่ควรปฏิเสธสิทธิของพลเรือนที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ที่มีการจัดการทางกฎหมายอย่างถูกต้อง" ข่าวจากสถานีโทรทัศน์เอบีซี 16 ตุลาคม พ.ศ. 2547) เขาได้ลงนามรับรองร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสมรสของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นการเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ที่ให้เพิ่มคำจำกัดความของการสมรสว่า "คือการอยู่ร่วมกันระหว่างหนึ่งหญิงและหนึ่งชาย" บุชได้ตอกย้ำว่าไม่เห็นด้วยกับแม่แบบทางการเมืองของพรรครีพับลิกัน ที่คัดค้านการอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส และกล่าวว่าประเด็นดังกล่าวควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละรัฐ ในการแถลงนโยบายประจำปีวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) เขาได้ย้ำแนวคิดของเขาที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บุชเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันที่ได้แต่งตั้งให้เกย์เป็นหนึ่งในคณะบริหารงานแผ่นดินของเขาอย่างเปิดเผย (สก็อต เอเวิร์ตซ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมนโยบายโรคเอดส์แห่งชาติ) และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประสบความสำเร็จจากการแต่งตั้งนายไมเคิล อี. เกสต์ ที่เป็นเกย์ให้เป็นเอคอัครราชทูตสหรัฐประจำโรมาเนียอย่างเปิดเผย บุชอ้างว่าเขาสนับสนุนแนวนโยบายของผู้บริหารระดับสูง ที่ออกบังคับใช้โดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่ห้ามการจ้างงานที่คัดสรรบุคคลโดยการเหยียดรสนิยมทางเพศ แต่สก็อต บลอช ผู้ที่บุชได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในปี พ.ศ. 2546 รู้สึกว่าเขาไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการบังคับใช้แนวนโยบายดังกล่าว ระหว่างการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในปี พ.ศ. 2543 เขาได้พบกับกลุ่มล็อกเคบินของพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนแรกที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับล็อกเคบิน องค์กรนี้ได้สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2543 แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนต่อเนื่องมาถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2547 คะแนนเสียงสนับสนุนบุชจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆได้รับในช่วงที่เขารณรงค์หาเสียง แม้ว่าเขาจะได้คะแนนเสียงจากคนผิวดำเพียง 9% ในปี พ.ศ. 2543 แต่ก็กลับเพิ่มขึ้นเป็น 12 % ในปี พ.ศ. 2547 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนจากคนผิวดำที่เพิ่มขึ้นในรัฐโอไฮโอ ทำให้บุชมีชัยเหนือจอห์น แครี ในที่สุด แม้ว่าบุชจะแสดงความเห็นชอบต่อการที่ศาลฎีกาสหรัฐสนับสนุนให้สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา ได้คัดเลือกนักศึกษาเพื่อความหลากหลายทางเชื้อชาติ คณะบริหารราชการแผ่นดินของเขากลับคัดค้านแนวคิดดังกล่าว บุชยังได้กล่าวว่าเขาคัดค้านการแทรกแซงของรัฐที่บังคับโควตานักศึกษาและการลำเอียงเชื้อชาติ แต่เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรให้โอกาสแก่ชนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ รายงานของคณะกรรมาธิการสหรัฐว่าด้วยสิทธิพลเมือง เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 ระบุว่า "รัฐบาลล้มเหลวที่จะรักษาความเป็นกลางทางเชื้อชาติอย่างจริงจัง ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ" นายเจอรัลด์ เอ. เรย์โนลด์ ประธานคณะกรรมาธิการ อธิบายว่า "หน่วยงานของรัฐบาลกลางไม่ได้ประเมิน ทำวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล หรือทบทวนโครงการต่างๆอย่างสม่ำเสมอและเป็นเอกเทศ เพื่อที่จะตัดสินว่ายุทธวิธีเป็นกลางทางเชื้อชาติจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับโครงการรณรงค์ให้เกิดความตระหนักทางเชื้อชาติ" กลุ่มรณรงค์สิทธิพลเมืองได้แสดงความห่วงใยว่ารายงานฉบับนี้ เป็นการโจมตีการสนับสนุนให้เกิดความหลากหลายทางเชื้อชาติที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาสหรัฐในคดีกรัทเทอร์ ปะทะ โบลลินเจอร์ ในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก เขาได้แต่งตั้งโคลิน พาวเวลล์ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พาวเวลล์เป็นชาวสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ซึ่งก็ตามมาด้วยดร.คอนโดลีซซา ไรซ์ ที่เป็นสตรีสหรัฐเชื้อสายอัฟริกาคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ ในปี พ.ศ. 2548 เขาได้แต่งตั้งนายอัลแบร์โต กอนซาเลส ให้เป็นอัยการกลางสหรัฐ ทำให้เขาเป็นชาวสหรัฐเชื้อสายสเปนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ โดยรวมแล้ว บุชได้แต่งตั้งสตรีและชนกลุ่มน้อยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง มากกว่าประธาธิบดีสหรัฐทุกคนที่ผ่านมาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ระหว่างช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก บุชได้ดำเนินความพยายามและประสบผลสำเร็จในการเรียกร้องให้สภาคองเกรสรับรองการลดภาษีสำคัญๆสามอย่างด้วยกัน อันได้แก่การเก็บภาษีเงินได้ทั่วไปสำหรับคู่สมรสน้อยลง ยกเลิกภาษีมรดก และลดอัตราภาษีหน่วยสุดท้าย การลดอัตราภาษีดังกล่าวกำหนดให้มีอันสิ้นสุดภายหลังบังคับใช้เป็นเวลา 10 ปี ซึ่งบุชก็ได้ขอให้สภาคองเกรสอนุมัติการลดอัตราภาษีเป็นการถาวร จากรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ เศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 หรือระหว่างเดือนมีนาคม จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) รัฐบาลกลางใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพิ่มขึ้น 26% ตลอดช่วงสี่ปีครึ่งแรกภายใต้การบริหารของบุช อีกทั้งเงินงบประมาณที่ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 18% การลดอัตราภาษี ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปลดคนงานเพิ่มขึ้น ต่างมีส่วนทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การขาดดุลประจำปีเพิ่มสูงขึ้นจาก 374,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2003 เป็น 413,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2004 หนี้สินแห่งชาติ ซึ่งเป็นยอดที่สะสมจากการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปี เพิ่มขึ้นจาก 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ (58 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เป็น (68% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ภายใต้การนำของบุช ซึ่งนับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับหนี้สิน 2.7 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเรแกนพ้นจากตำแหน่ง หรือเท่ากับ 52% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จากการคาดคะเน"ข้อมูลฐาน" รายรับรายจ่ายของรัฐบาลกลางโดยสำนักงบประมาณสภาคองเกรส (การคาดคะเนงบประมาณเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ระบุว่า อัตราการขาดดุลงบประมาณจะลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการขาดดุลจะลดลงเหลือ 368,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2005 เป็น 261,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2007 และ 207,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปีค.ศ. 2009 จนกระทั่งเกินดุลเล็กน้อยในปีค.ศ. 2012 สำนักงานงบประมาณกลางยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ดี "การประมาณการครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงงบประมาณรายจ่ายจำนวนมหาศาลในปีนั้นๆ สำหรับปฏิบัติการทางทหารในอิรัก และอัฟกานิสถาน และปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก" ประมาณการดังกล่าวยังยึดข้อมูลที่ว่าการตัดลดอัตราภาษีของบุช "จะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2010 เป็นต้นไป" และถ้าหากว่ามีการขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีต่อไปอีก ตามที่บุชเรียกร้อง ประมาณการงบประมาณสำหรับปีค.ศ. 2015 จะเปลี่ยนจากเกินดุลอยู่ 141,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ไปเป็นขาดดุล 282,000,000,000 (ดอลลาร์สหรัฐ) ในทันที" อัตราเงินเฟ้อภายใต้การนำของบุช นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหลือเพียงแค่ปีละ 2-3% เท่านั้น เศรษฐกิจถดถอยและราคาสินค้าที่ลดลงนั้น มีผลสืบเนื่องมาจากการชะลอตัวของราคา ตั้งแต่ช่วงกลางปีค.ศ. 2001 ถึง ค.ศ. 2003 เมื่อไม่นานมานี้ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อ การจ้างงานภาคเอกชน (ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล) ได้ลดลงอย่างมากภายใต้การบริหารราชการของบุช จากอัตราจ้างงาน 111,680,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 เหลือเพียง 108,250,000 ตำแหน่งในช่วงกลางปีค.ศ. 2003 นับว่าการจ้างงานนั้นได้ลดลงมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1981 - ค.ศ. 1983 แต่จากนั้นมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ได้เพิ่มงานในภาคเอกชนตลอดช่วง 25 เดือนต่อมา (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005) แต่อัตราการจ้างงานภาคเอกชนยังคงต่ำกว่าอัตราก่อนที่บุชจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 ที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็น 111,828,000 ตำแหน่ง เมื่อเราคำนึงถึงอัตราการเพิ่มของประชากรด้วยแล้ว ก็นับได้ว่า อัตราการจ้างงานได้ลดลงถึง 4.6% ตั้งแต่บุชเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คณะผู้บริหารงานราชการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้แสดงความเห็นว่า อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภายหลังนั้น เป็นผลมาจากกฎหมายประนีประนอมการจ้างงานและการลดอัตราภาษี (Jobs and Growth Tax Relief Reconciliation Act - JGTRRA) ที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2003 การสำรวจความยากจนทั่วประเทศครั้งล่าสุด (หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การสำรวจครัวเรือน) เป็นการวัดร้อยละของประชากรที่มีงานทำกับไม่มีงานทำโดยการสุ่มตัวอย่าง ผลการสำรวจจะถูกคูณด้วยจำนวนประชากรเพื่อหาค่าประมาณการของอัตราการจ้างงาน การสำรวจแบบนี้ได้เปรียบกว่าการสำรวจการจ่ายเงินค่าจ้าง เนื่องจากรวมการจ่ายเงินค่าจ้างให้ตัวเองไว้ด้วย แต่ก็ให้ผลรวมที่แม่นยำน้อยกว่า (เนื่องจากต้องมีการประมาณการจำนวนประชากร) และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างประชากรทั่วประเทศจำนวนน้อยมาก (60,000 ครัวเรือน รวมกับอีก 400,000 บริษัทเอกชน) ไม่ว่าจะดีหรือแย่กว่าก็ตาม การสำรวจครัวเรือนนับจำนวนงานหลายๆงานที่ประชากรคนหนึ่งทำว่าเป็นเพียงงานเดียว อันรวมถึงงานในภาครัฐ ภาคเกษตรกรรม การทำงานในครอบครัวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง และคนทำงานที่ลาหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้าง การสำรวจครัวเรือนระบุว่าอัตราร้อยละของประชากรที่มีงานทำ ลดลงจาก 64.4% ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2000 และเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 เป็น 62.1% ในเดือนสิงหาคม และกันยายน ค.ศ. 2003 และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 62.9% เท่านั้น ตัวเลขต่างๆระบุว่าอัตราการมีงานทำลดลงนั้นสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่ลดลง หนึ่งล้านหกแสนตำแหน่ง และได้เพิ่มขึ้นอีก สี่ล้านเจ็ดแสนตำแหน่งภายใต้การบริหารประเทศของบุช ภายใต้การบริหารประเทศของบุช อัตราการว่างงานที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตามผลการสำรวจครัวเรือนเริ่มต้นที่ 4.7% ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 และได้เพิ่มขึ้นเป็น 6.2% ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 จนกระทั่งลดลงเหลือ 4.9% ในเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2005 จากการสำรวจการจ่ายค่าจ้างในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ของภาคเอกชน คิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์คงที่ ได้ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 แม้ว่าพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยรวมรายสัปดาห์ก็ลดลงตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา สรุปได้ว่า ตลอดช่วงปีค.ศ. 2002-ค.ศ. 2004 หรือก่อนที่บุชเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ประชากรสหรัฐมีรายรับมากกว่านี้เล็กน้อย การเพิ่มขึ้นของผลผลิตมวลรวมประชาชาตินับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้รับแรงส่งจากผลผลิตภาคแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการปลดคนงานที่ไม่ได้ถูกใช้งานเต็มที่ ปัญหาระยะยาวส่วนหนึ่งที่บุชต้องแก้ไขได้แก่การขาดแคลนการลงทุนทางสาธารณูปโภคทางเศรษฐกิจ อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและเงินบำนาญของประชากรผู้สูงอายุ การขาดดุลการค้าและงบประมาณ และการชะลอตัวของรายรับต่อครัวเรือนในหมู่ประชากรผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่บางกลุ่มอ้างว่าการฟื้นตัวของผลิตผลมวลรวมประชาชาติในช่วงที่บุชดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น นั้นได้อานิสงค์จากรัฐบาลชุดก่อนๆ รายงานจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐกลับระบุว่าปัญหาความยากจนเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ร้อยละของประชากรที่อยู่ใต้ขีดความยากจนเพิ่มขึ้นในช่วงสี่ปีแรกที่บุชเข้ามาบริหารประเทศ ในขณะที่อัตราดังกล่าวลดลงตลอดเจ็ดปีก่อนหน้านั้น โดยต่ำสุดในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจำนวนอัตราประชากรที่ยากจนจะเพิ่มขึ้น เราจำเป็นต้องเน้นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปีค.ศ. 2000-ค.ศ. 2002นั้น กลับต่ำกว่าระหว่างช่วงปีค.ศ. 1992-ค.ศ. 1997เสียอีก (โดยที่อัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 39.3% ในปีค.ศ. 1993 ในปีค.ศ. 2002 อัตราของประชากรที่ยากจนอยู่ที่ 34.6% ซึ่งก็เกือบเท่ากับอัตราในปีค.ศ. 1998 ที่ 34.5% ส่วนในปีค.ศ. 2004 นั้นอัตราความยากจนอยู่ที่ 12.7%ประกันสังคม ประกันสังคม. บุชเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องประกันสังคม ตั้งแต่ช่วงต้นของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 เขาระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับการคาดการณ์หนี้สินของระบบที่ไม่มีงบประมาณพอจ่ายเป็นอันดับแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน ค.ศ. 2005 เขาได้ออกเดินสายทั่วประเทศ และหยุดแวะในเมืองสำคัญๆ ถึง 50 เมือง เพื่อเตือนให้ประชาชนตระหนักถึง"วิกฤตการณ์"ที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยแรกเริ่มเดิมที ประธานาธิบดีบุชได้ย้ำถึงข้อเสนอของเขาให้มีบัญชีส่วนบุคคล ที่จะส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานแต่ละคนสามารถเอาเงินภาษีประกันสังคม (FICA) ส่วนหนึ่ง มาลงทุนได้อย่างมีหลักประกัน ข้อดีประการสำคัญของบัญชีส่วนบุคคลในการประกันสังคมนั้น อนุญาตให้ผู้ใช้แรงงานเป็นเจ้าของเงินที่ตนเองได้จ่ายไปเพื่อการเกษียณอายุ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พรรคฝ่ายซ้ายได้ตอบโต้นโยบายดังกล่าว โดยระบุว่าแนวทางนี้อาจจะทำให้การเสียสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินแย่ขึ้นไปกว่าเดิม โดยที่บุชได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนได้คัดค้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเห็นว่าบุชเปลี่ยนการประกันสังคมให้เป็นโครงการสังคมสงเคราะห์ ซึ่งค่อนข้างสุ่มเสี่ยงในทางการเมือง ส่วนหนึ่งของกฎหมายที่บุชผลักดันให้บริษัทเอกชนได้รับยกเว้นการจ่ายเงินประกันสังคมได้รับการร้องเรียนว่า แผนการของบุชนั้นเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน และได้เปลี่ยนแนวคิดของการประกันสังคมให้กลายเป็นโครงการประกันแบบทั่วๆ ไปการสาธารณสุข การสาธารณสุข. ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ระงับเงินทุนจากสหรัฐที่ให้แก่กองทุนเพื่อกิจกรรมประชากรแห่งสหประชาติ โดยเขาอ้างว่ากองทุนดังกล่าวได้สนับสนุนการบังคับทำแท้งและการผ่าตัดทำหมันในสาธารณรัฐประชาชนจีน บุชได้ลงนามในกฎหมายปรับปรุงและพัฒนาการจ่ายยารักษาโรคให้ทันสมัย สำหรับปีค.ศ. 2003 ซึ่งได้เพิ่มรายการยาที่จะสามารถเบิกกับเมดิแคร์ของสหรัฐ ให้เงินสนับสนุนบริษัทผู้ผลิตยา และห้ามรัฐบาลกลางเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยา บุชกล่าวว่ากฎหมายดังกล่าว ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณถึง 400,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีแรก จะทำให้ผู้สูงอายุ "มีทางเลือกมากขึ้น และสามารถควบคุมการดูแลรักษาสุขภาพของตนได้มากขึ้น" ผู้สูงอายุสามารถซื้อบัตรลดราคายาที่ผ่านการรับรองของเมดิแคร์ ได้ในราคา 30 ดอลลาร์หรือน้อยกว่านั้นเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากราคายาที่สูงขึ้น กฎหมายดังกล่าวยังเพิ่มการเบิกยาในโปรแกรมการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุของรัฐบาลกลาง นับตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 เป็นต้นมา และกฎหมายยังสนับสนุนให้บริษัทประกันเสนอแผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลให้แก่ผู้สูงอายุชาวอเมริกันหลายล้านคน ที่ขณะนี้ได้รับผลประโยชน์ทางด้านสาธารณสุขภายใต้ข้อตกลงที่รัฐบาลกำหนด อันเป็นแนวคิดที่ถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักจากสมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคน บุชได้ลงนามในกฎหมายต่อต้านการทำแท้งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ เมื่อปีค.ศ. 2003 โดยประกาศว่าเขามีวัตถุประสงค์เพื่อ "สนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมแห่งชีวิต" แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่เคยนำมาบังคับใช้ เนื่องจากศาลแขวงสามแห่งได้วินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอุธรณ์เก้าแห่งได้รับรองกฎหมายหนึ่งบท กฎหมายของรัฐบาลกลางสามารถที่จะห้ามกระบวนการทำให้มดลูก"ขยับและหดตัวโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย" ซึ่งผู้ทำแท้งทำให้ตัวอ่อนมนุษย์หลุดออกมาก่อนจะฆ่าทิ้ง ผู้สนับสนุนฝ่ายเสรีและฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนมองว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว เราสามารถฆ่าตัวอ่อนตั้งแต่อยู่ในมดลูกแล้วนำออกมาภายหลังได้การศึกษา การศึกษา. ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน โดยมีวุฒิสมาชิกเท็ด เคเนดี เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ ที่ต้องการลดช่องว่าในการประสบความสำเร็จของเด็ก วัดประสิทธิภาพในการทำงาน ให้ทางเลือกแก่พ่อแม่ที่มีลูกเรียนด้อย และให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นแก่โรงเรียนที่มีรายได้น้อย ผู้วิพากษ์วิจารณ์ (ซึ่งรวมถึงจอห์น แครี และสมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ) ได้แสดงความเห็นว่าโรงเรียนไม่ได้รับทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาใหม่ แม้ว่าคำวิจารณ์ดังกล่าวจะอ้างอิงกับข้อมูลที่สัณนิษฐานเอาว่า บุคคลระดับผู้บริหารได้ให้คำมั่นสัญญาไว้มากกว่าให้งบประมาณ รัฐบาลประจำรัฐบาลแห่งได้ปฏิเสธที่จะใช้เงินตามที่ระบุไว้ในกฎหมายตราบใดที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนอย่างเพียงพอ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 หนังสือพิมพ์ยู.เอส.เอ. ทูเดย์ ได้รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐได้จ่ายเงิน 240,000 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ นายอาร์มสตรอง วิลเลียมส์ นักวิจารณ์การเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟริกันหัวอนุรักษนิยม "เพื่อให้เขาประชาสัมพันธ์กฎหมายใหม่ในรายการของสหภาพโทรทัศน์อเมริกัน และให้เขาบอกให้นักข่าวผิวดำทำอย่างเดียวกัน คณะกรรมาธิการการศึกษาและแรงงานสหรัฐได้ระบุไว้ว่า "สืบเนื่องจากกฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน ที่ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2002 รัฐบาลกลางสหรัฐได้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษา (ภาคบังคับ 12 ปี) มากกว่าช่วงไหนๆในประวัติศาสตร์สหรัฐ". ความต้องการเงินทุนสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบระดับรัฐ เช่นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากใช้กฎหมายดูแลเอาใจใส่เด็กและเยาวชน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจในแง่ลบที่ส่งผลต่องบประมาณเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2002 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง อันได้แก่กฎหมายเอ็ช. อาร์. 4664 ว่าด้วยการให้งบประมาณสนับสนุนสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ (NSF) เพิ่มขึ้นสองเท่าในอีกห้าปีข้างหน้า และให้ริเริ่มโครงการเพื่อการศึกษาทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ทั้งในระดับเตรียมอุดมศึกษาและระดับปริญญาตรี ในช่วงสามปีแรกของวาระห้าปี จะมีการเพิ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาขึ้น 14% (พีดีเอฟไฟล์) บุชคัดค้านงานวิจัยใหม่ๆ และได้ให้ทุนสนับสนุนจำนวนจำกัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเพื่อการวิจัยดังกล่าว ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1999 แต่จะไม่มีการจ่ายเงินใดๆจนกว่าจะมีการตีพิมพ์กรอบแนวทางการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย กรอบแนวทางได้ถูกเผยแพร่ภายใต้รัฐบาลคลินตันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2000 โดยอนุญาตให้นำเอมบรีโอแช่แข็งที่ไม่ได้ถูกใช้งานมาใช้ได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2001 ก่อนที่จะมีการให้ทุนสนับสนุนใดๆภายใต้กรอบนี้ บุชได้ประกาศเปลี่ยนแปลงกรอบแนวทาง โดยอนุญาตให้ใช้งานเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น ในขณะที่บุชอ้างว่ามีเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนของมนุษย์อยู่แล้วถึง 60 สายพันธุ์ที่ ได้มาจากทุนวิจัยของภาคเอกชน ในปีค.ศ. 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้อ้างว่า มีเพียง 11 สายพันธุ์เท่านั้นที่ใช้งานได้ และต่อมาในปีค.ศ. 2005 ได้ระบุว่าทุกสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองเพื่อรับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางนั้น ติดเชื้อและใช้การไม่ได้ อย่างไรก็ดี ไม่มีการกำหนดข้อจำกัดในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายมนุษย์ที่โตแล้ว โดยงานวิจัยดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนที่เป็นกอบเป็นกำมากกว่าจากประธานาธิบดีบุช เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2004 บุชได้ประกาศการปรับเปลี่ยนแนวทางครั้งสำคัญเกี่ยวกับการบริหารองค์การอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซา ที่รู้จักกันในนามของวิสัยทัศน์สำหรับการสำรวจอวกาศ โดยโครงการดังกล่าวเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสถานีอวกาศนานาชาติ ขึ้นภายในปีค.ศ. 2010 และให้ยกเลิกการใช้กระสวยอวกาศ ในขณะที่หันมาพัฒนายานอวกาศ ที่เรียกว่า ยานสำรวจของลูกเรือ ภายใต้โครงการคอนสเตลเลชัน จะมีการใช้ยานสำรวจของลูกเรือส่งนักบินอกาศอเมริกัน กลับไปยังดวงจันทร์ภายในปีค.ศ. 2018 โดยมีวัตถุประสงค์จะจัดตั้งฐานปฏิบัติการบนดวงจันทร์เป็นการถาวร และยังมีแผนจะส่งมนุษย์ไปปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารในอนาคต แม้ว่าแผนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับอย่างเย็นชา งบประมาณกลับผ่านการอนุมัติไปด้วยดี และถูกแก้ไขน้อยมากภายหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ทำเนียบขาวได้เผยเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายการคมนาคมอวกาศใหม่ (พีดีเอฟไฟล์) ที่ได้วางกรอบการบริหารนโยบายอวกาศแห่งชาติในวงกว้าง และได้ผูกนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถทางการคมนาคมในอวกาศ เข้ากับข้อกำหนดด้านความมั่นคงของประเทศ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 กลุ่มจับตาดูการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อว่าสหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ได้เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า การผนวกวิทยาศาสตร์เข้ากับการวางนโยบาย ในรายงานดังกล่าวใช้คำพูดว่า "คัดค้านการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของคณะบริหารงานแผ่นดินของบุช" โดยได้กล่าวหาว่า "คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ละเลยคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ในการวางนโยบายที่สำคัญยิ่งต่อความอยู่ดีกินดีของพวกเรา" และได้ "ลบหรือบิดเบือนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ของหน่วยงานรัฐบาลกลางเพื่อให้ผลการวิเคราะห์สอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะบริหารงานแผ่นดิน" ถึงขั้นที่เรียกว่า "อย่างไม่เคยมีมาก่อน" รายงานดังกล่าวได้รับการลงนามโดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 7,000 คน รวมถึงผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล 49 คน ผู้ที่ได้รับเหรียญรางวัลทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 63 คน และ สมาชิกสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 154 คน ทำเนียบขาวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับรายงานที่เชื่อมโยงกิจกรรมของมนุษย์กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก นอกจากนั้น นายฟิลิป คูนนีย์ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและอดีตทนายความในบริษัทน้ำมัน ได้แก้ไขข้อความในรายงานวิจัยสภาวะอากาศที่ผ่านการรับรองแล้วจากนักวิทยาศาสตร์ของรัฐ แต่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธว่านายคูนีย์ไม่ได้แก้ไขรายงานฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 รายงานของกระทรวงได้แสดงว่า คณะบริหารราชการแผ่นดินของบุช ได้ขอบคุณผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกซอน ที่ได้มี"บทบาทอย่างจริงจัง" ในการช่วยคาดการณ์นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ รวมถึงอนุสัญญาเกียวโต ข้อมูลที่ได้จากสมาพันธ์ภูมิอากาศโลก กลุ่มลอบบีทางธุรกิจก็เป็นหนึ่งในปัจจัยในการคาดการณ์ วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) บุชได้เสนอโครงการที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก ว่าด้วยการให้มีการสอนเรื่อง การออกแบบปัญญา (ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงถูกสร้างขึ้น) ควบคู่ไปกับการสอนเรื่องวิวัฒนาการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าคิดว่า ส่วนหนึ่งของการศึกษาได้แก่การให้ประชาชนได้มองเห็นแนวทางต่างๆที่หลากหลาย และไม่ใช่การชี้นำแต่อย่างใด ถ้าท่านถามข้าพเจ้าว่าประชาชนควรได้รับรู้ถึงแนวคิดต่างๆที่มีอยู่หรือไม่ คำตอบก็คือใช่" สถาบันการศึกษาหลายแห่ง เป็นต้นว่า มองการสอนการออกแบบปัญญาว่าเป็นความผิดพลาดทางการศึกษาสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม. บุชได้ลงนามในกฎหมาย มรดกแห่งทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลกลางเริ่มการเก็บกวาดมลภาวะและโคลนตมที่ติดเชื้อ ในทะเลสาบใหญ่ทั้งห้า รวมถึงกฎหมายบราวน์ฟิลด์ในปี พ.ศ. 2545 ที่เร่งรัดการเก็บกวาดขยะอุตสาหกรรมในแถบบราวน์ฟิลด์ บันทึกสิ่งแวดล้อมของบุชได้ถูกโจมตีโดยนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ ที่โจมตีว่านโยบายของบุชหนุนหลังพวกอุตสาหกรรม และทำให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมแย่ลง กลุ่มรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้อ้างว่า นอกจากบุชและเชนนีแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารงานแผ่นดินของบุชอีกหลายคนที่มีส่วนพัวพันกับธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจยานยนต์ และกลุ่มอื่นๆที่ได้ต่อสู้กับนักรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 บุชได้ลงนามในกฎหมายที่ให้ดำเนินการเสริมสิ่งของสนับสนุนโครงการริเริ่มเพื่อป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของเขา กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแงดล้อมได้โจมตีว่า โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเอื้อประโยชน์ให้บริษัททำไม้ อีกประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันได้แก่แนวคิดริเริ่มทำความสะอาดท้องฟ้าของบุช ที่ต้องการลดมลภาวะในอากาศผ่านโครงการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่ก่อมลภาวะน้อยลง ผลกระทบบางส่วนจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บุชคัดค้านการเข้าไปขุดเจาะในเขตสงวนน้ำมัน ที่เป็นเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติในแถบอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตเปราะบางทางนิเวศวิทยาอย่างยิ่งเนื่องด้วยมันตั้งอยู่ในแถบอาร์กติก (พีดีเอฟไฟล์) คนบางกลุ่มอ้างว่าที่แห่งนี้เป็นธรรมชาติแห่งสุดท้ายในสหรัฐที่ยังไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำมือมนุษย์ และน้ำมันส่วนใหญ่ที่ขุดเจาะได้จากแหล่งนี้จะถูกนำไปขายในต่างประเทศ เช่นที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันท้องถิ่นทำกำไรได้มาก บุชยังได้คัดค้านพิธีสารเกียวโต โดยอ้างว่าจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ บุชยังกล่าวว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะมาตั้งข้อกำหนดกับสหรัฐ ในขณะที่ผ่อนปรนอย่างไม่สมเหตุสมผลกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดีย บุชยังระบุว่า "ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลกได้แก่จีน แต่ประเทศจีนก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำตามข้อกำหนดในพิธีสารเกียวโต" เขายังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้น โดยย้ำว่าจะต้องมีการทำวิจัยมากกว่านี้จึงจะสามารถบอกได้ว่าทฤษฎีดังกล่าวใช้การได้ จุดยืนของบุชว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโลก ได้เปลี่ยนไป โดยเขาค่อยๆยอมรับว่าปรากฏการณ์โลกร้อนขึ้นนั้นเป็นปัญหาซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ สหรัฐอเมริกาได้ลงนามเป็นพันธมิตรเอเชียแปซิฟิกเพื่อการพัฒนาและภูมิอากาศที่สะอาด กติกาสัญญาดังกล่าวได้อนุญาตให้ประเทศในกลุ่มตั้งเป้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง โดยไม่มีกลไกใดๆมาบังคับ ผู้สนับสนุนกติกาสัญญาได้มองว่านี่คือการนำพิธีสารเกียวโตมาบังคับใช้ ในแบบที่ยืดหยุ่นกว่า แต่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ก็บอกว่ากติกาสัญญาดังกล่าวจะไม่ได้ผลหากไม่มีการบังคับใช้มาตรการ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน ร่วมกับผู้ว่าราชการและนายกเทศมนตรีจาก 187 เมืองใหญ่และเล็กทั่วสหรัฐ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับอนุสัญญาเกียวโตมาใช้ให้ถูกต้องตามกฎหมายโทษประหาร โทษประหาร. บุชเป็นผู้สนับสนุนตัวยงในการทำโทษประหารมาใช้ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส มีผู้ถูกประหารชีวิตในรัฐนี้ถึง 152 คน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นำหน้ารัฐอื่นๆ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เขาได้สนับสนุนโทษประหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นประธานในการประหารนายทิโมธี แมคเวห์ ผู้ก่อการร้ายที่ถูกรัฐบาลกลางตัดสินประหารชีวิตเป็นรายแรกในรอบทศวรรษคณะรัฐบาล คณะรัฐบาล. การเสนอชื่อประธานศาลสูงสุด การเสนอชื่อประธานศาลสูงสุด. บุชได้เสนอรายชื่อบุคคลต่อไปนี้ให้ดำรงตำแหน่งต่างๆใน ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา:- จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — รองประธานศาลสูงสุด ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาได้ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้พิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548 - จอห์น จี. โรเบิร์ตส จูเนียร์ — หัวหน้าผู้พิพากษาที่ได้รับการเสนอชื่อเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548 ได้รับการรับรองโดยวุฒิสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2548 - แฮร์เรียต อี. ไมเยอร์ส — รองหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาไมเยอร์ของถอนตัวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2548 - ซามูเอล อัลลีโต — ผู้ช่วยหัวหน้าผู้พิพากษา ถูกเสนอชื่อเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เรื่องเข้าสู่วุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 โดยมีกำหนดการลงคะแนนเสียงรับรองในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548การลงนามในกฎหมายหลักๆการลงนามในกฎหมายหลักๆ. - พ.ศ. 2544- พ.ศ. 2545- พ.ศ. 2546- พ.ศ. 2547
อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา จอร์จ ดับเบิลยู บุช อยู่สังกัดพรรคการเมืองใด
{ "answer": [ "รีพับลิกัน" ], "answer_begin_position": [ 250 ], "answer_end_position": [ 260 ] }
2,123
110,625
บารัก โอบามา บารัก ฮูเซน โอบามา ที่ 2 (; เกิด 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 ตั้งแต่ ค.ศ. 2009–2017 เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่เป็นชาวแอฟริกันอเมริกันและเกิดนอกสหรัฐแผ่นดินใหญ่ ก่อนหน้านั้น เขาเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐรัฐอิลลินอยส์ตั้งแต่ ค.ศ. 2005–2008 และสมาชิกวุฒิสภาอิลลินอยส์ตั้งแต่ ค.ศ. 1997–2004 โอบามาเกิด ณ โฮโนลูลู รัฐฮาวาย เวลานั้น ฮาวายเพิ่งผนวกเข้าสหรัฐในฐานะรัฐที่ 50 ได้ 2 ปี โอบามาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในฮาวาย แต่วัยเด็กไปอยู่รัฐวอชิงตัน 1 ปี และอินโดนีเซียอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียใน ค.ศ. 1983 โอบามาทำงานเป็นนักจัดระเบียบชุมชน (community organizer) อยู่ในชิคาโก ครั้น ค.ศ. 1988 เขาเข้าศึกษา ณ สำนักกฎหมายฮาวาร์ด และได้เป็นบรรณาธิการนิตยสาร ฮาวาร์ดลอว์รีวิว คนแรกที่เป็นผิวดำ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เขาทำงานเป็นทนายความและอาจารย์กฎหมายด้านสิทธิพลเมือง สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่สำนักกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก ตั้งแต่ ค.ศ. 1992–2004 เขายังเป็นสมาชิกวุฒิสภาอิลลินอยส์ เขต 13 ถึง 3 สมัย ตั้งแต่ ค.ศ. 1997–2004 ใน ค.ศ. 2004 นั้นเอง เขาลงรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาระดับชาติ เขาได้รับความสนใจและมีชัยอย่างมิได้คาดหมายในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 สุนทรพจน์หลัก (keynote address) ของเขาในการประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติ (Democratic National Convention) ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี ตามมาด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งรอบสุดท้ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 เขาจึงได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จนกระทั่ง ค.ศ. 2008 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี หลังหาเสียงมาได้ 1 ปี และพรรคเดโมแครตลงคะแนนให้เสนอชื่อเขามากกว่าฮิลลารี คลินตันอย่างฉิวเฉียด ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาพิชิตคู่แข่งอย่างจอห์น แมกเคน จากพรรคริพับลิกัน และกลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของประเทศ จนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 และ 9 เดือนให้หลัง เขาได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ ในช่วง 2 ปีแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามาลงนามในกฎหมายสำคัญเป็นจำนวนมากกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ จากพรรคเดโมแครตนับแต่โครงการมหาสังคม (Great Society) ของลินดอน บี. จอห์นสัน เป็นต้นมา กฎหมายปฏิรูปหลัก ได้แก่ รัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ (Patient Protection and Affordable Care Act) หรือโอบามาแคร์ (Obamacare), รัฐบัญญัติปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคดอดด์–แฟรงก์ (Dodd–Frank Wall Street Reform and Consumer Protection Act), และรัฐบัญญัติยกเลิกกฎหมายห้ามถามห้ามบอก ค.ศ. 2010 (Don't Ask, Don't Tell Repeal Act of 2010) อนึ่ง ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) รัฐบัญญัติการฟื้นตัวและการลงทุนใหม่ของอเมริกา ค.ศ. 2009 (American Recovery and Reinvestment Act of 2009) กับรัฐบัญญัติผ่อนปรนภาษี อนุมัติการประกันผู้ว่างงานใหม่ และสร้างงาน ค.ศ. 2010 (Tax Relief, Unemployment Insurance Reauthorization, and Job Creation Act of 2010) ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หลังการเลือกตั้งใน ค.ศ. 2011 พรรคริพับลิกันกุมอำนาจในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง มีการอภิปรายกันอย่างยืดยาวเรื่องจำกัดวงหนี้ โอบามาจึงลงนามในรัฐบัญญัติควบคุมงบประมาณ ค.ศ. 2011 (Budget Control Act of 2011) และรัฐบัญญัติผ่อนปรนชาวอเมริกันผู้เสียภาษี ค.ศ. 2012 (American Taxpayer Relief Act of 2012) ส่วนนโยบายต่างประเทศนั้น โอบามาเพิ่งกำลังทหารสหรัฐสำหรับสงครามอัฟกานิสถาน ลดอาวุดนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญานิวสตาร์ต (New START) ระหว่างสหรัฐกับประเทศรัสเซีย ทั้งยุติบทบาททางทหารในสงครามอิรัก แต่เขาให้ส่งทหารเข้าปราบปรามมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย และให้ปฏิบัติการทางทหารจนอุซามะฮ์ บิน ลาดิน นักเคลื่อนไหวอิสลาม เสียชีวิต ใน ค.ศ. 2012 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ โอบามามีชัยเหนือมิตต์ รอมนีย์ จากพรรคริพับลิกัน จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 ในสมัยที่ 2 นี้ โอบามาส่งเสริมประโยชน์ครอบคลุมชาวอเมริกันผู้หลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลของเขาฟ้องคดีหลายเรื่องอันเป็นเหตุให้ศาลสูงสุดวินิจฉัยความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการห้ามสมรสเพศเดียวกัน โอบามายังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องควบคุมปืนหลังเกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนประถมแซนดีฮุกเมื่อ ค.ศ. 2012 และเขาออกคำสั่งทางปกครองหลายรายการที่ครอบคลุมกว้างขวางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการเข้าเมือง ส่วนนโยบายต่างประเทศในสมัยที่ 2 โอบามาให้ทหารเข้าแทรกแซงในอิรัก หลังจากที่สหรัฐถอนทหารออกไปใน ค.ศ. 2011 แล้ว กลุ่มไอซิลก็เข้าก่อความไม่สงบ แต่โอบามาให้ดำเนินกระบวนการยุติปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถานต่อไป และส่งเสริมการพูดคุยอันนำไปสู่ความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ค.ศ. 2015 ทั้งก่อให้เกิดการคว่ำบาตรรัสเซียที่ส่งทหารเข้าแทรกแซงในยูเครน รวมถึงชี้ช่องให้เกิดข้อตกลงแลกประโยชน์นิวเคลียร์กับอิหร่าน ตลอดจนฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสหรัฐกับคิวบา โอบามาพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 ปัจจุบัน พำนักอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. และจะมีการสร้างหอสมุดประธานาธิบดีของเขาในชิคาโกชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน ชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน. โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ สก๊อตแลนด์ เวลส เยอรมนี และสวิสเซอร์แลนด์ โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ และได้แต่งงานกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล ซูโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตาจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาในปี 1979 หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ลอสแอนเจลิสที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล (Occidental College) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก สาขารัฐศาสตร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ระดับไฮสคูลนั้น เขายอมรับว่าเคยเสพกัญชา, โคเคน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเขาเปิดเผยที่เวทีประชุมพลเมืองสำหรับประธานาธิบดีปี 2008 ถือว่าเป็นความล้มเหลวเกี่ยวกับศีลธรรมความดีงาม โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเหมืองแร่ในปี 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก หลังจาก 4 ปีที่อยู่ในนิวยอร์ก โอบามาย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก เขาได้รับการจ้างเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนริเริ่มตั้งจากศาสนา ซึ่งประกอบด้วย 8 โบสถ์คาทอลิก ในโลสแลนด์ พูลแมนตะวันตก และ ริเวอร์เดล ในด้านใต้ของเมืองชิคาโก และเขาได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 จนถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988 ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ 3 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ผู้ร่วมงานได้เพิ่มขึ้นจาก 1 คน เป็น 13 คน และงบประมาณประจำปี เพิ่มขึ้นจากปีละ 7 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการช่วยเหลือเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกอบรม, การกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย และ องค์กรสิทธิของผู้เช่าที่ดินในแอลเจลด์การ์เดนส์ (Altgeld Gardens) โอบามายังได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้สอนในมูลนิธิกามาลีล (Gamaliel Foundation) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งเกี่ยวกับองค์กรชุมชน ในกลาง ค.ศ. 1988 เขาได้เดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 3 สัปดาห์และไปเคนยา 5 สัปดาห์ ซึ่งเขาได้พบญาติ ๆ ชาวเคนยาหลายคนเป็นครั้งแรกด้วย จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดใน ค.ศ. 1988 สิ้นปีแรกเขาได้รับคัดเลือกจากการแข่งขันในการเขียนและเกรดของการเรียนให้เข้ามาเป็นบรรณาธิการคนหนึ่งของวารสาร Harvard Law Review พอขึ้นปีที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 เขาได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการ(อาสาสมัครเต็มเวลา) และกำกับควบคุมนักเขียนถึง 80 คน โอบามาเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Law Review ข่าวการคัดเลือกได้มีการรายงานในวงกว้าง ตามด้วยประวัติส่วนตัวที่ละเอียดในสื่อระดับประเทศ ระหว่างฤดูร้อน เขาได้กลับไปชิคาโก ซึ่งเขาทำงานเป็นทนายความฝึกงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ที่สำนักงานกฎหมายของ Sidley & Austin ใน ค.ศ. 1989 และ Hopkins & Sutter ใน ค.ศ. 1990 หลังจากจบปริญญากฎหมาย Juris Doctor จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโก และเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995 ช่วงปี 1993 และ 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิคาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้แก่ประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก ต่อมาในปี 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอร์ส ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4 ปี (1992-1996) และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอาวุโสถึง 8 ปี (1996-2004) และเขายังได้ร่วมกับ เดวิด ไมเนอร์ บาร์นฮิลล์ และกัลแลนด์ ที่เป็นบริษัททนายความมีเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้คดีในชั้นศาล และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน โอบามาเป็นสมาชิก 3 ปี (1993-1996) จึงลาออก โอบามา เคยเป็นสมาชิกสรรหาของบอร์ดบริหารแห่งพันธมิตรสาธารณะใน ค.ศ. 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้น ค.ศ. 1993 และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น สภาทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก, ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าน, ศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป (Lugenia Burns Hope Center)ประวัติทางการเมืองสมาชิกสภานิติบัญญัติ, 1997-2004 ประวัติทางการเมือง. สมาชิกสภานิติบัญญัติ, 1997-2004. โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ใน ค.ศ. 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ กราบเดโช จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้แก่แรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และเพิ่มเงินสมทบสำหรับการดูแลเด็กเล็ก ใน ค.ศ. 2001 เป็นประธานร่วมในเรื่องของกฎหมายว่าด้วยการปกครอง เขาสนับสนุนกฎระเบียบที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐ Ryan เพื่อควบคุมเงินกู้ใช้จ่ายระหว่างเงิน และการให้จำนองที่เอาเปรียบ เพื่อลดปัญหาบ้านถูกยึด ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์อีกครั้งใน ค.ศ. 1998 และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2002 ส่วนใน ค.ศ. 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกสหรัฐนั้น ตัวจากแทนตำรวจได้ให้เครดิตกับโอบามาอย่างมาก ในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จนกระทั่งในปี 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004 เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004. กลาง ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ หลังจากที่เลือก เดวิด คอปเปอร์ฟีล มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้แก่ผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์ ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบครั้งแรกจากพรรคริพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004 เดือนกรกฎาคม ปี 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี 2004 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2มาในฐานะทหารผ่านศึก และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก เคหะแห่งชาติ (New Deal's FHA) โครงการสำหรับทหารผ่านศึก (G.I. Bill) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐ เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ถือพวกอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า "ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษนิยม มีเพียงประเทศสหรัฐ" ("There is not a liberal America and a conservative America; there's the United States of America.) สุนทรพจน์ส่วนนี้ ได้มีการเผยแพร่ทาง PBS, CNN, MSNBC, Fox News และ C-SPAN แก่ผู้ชม 9.1 ล้านคน ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอบามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐครั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง คีนู ลีฟ์ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้ คีส์นั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ในรัฐแมริแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในรัฐอิลลินอยส์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่คีส์ได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความต่างของคะแนนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียวสมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008 สมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008. โอบามาได้สาบานตนในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005 เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่น ๆ ต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศในปี 2005-2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่"มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด" จากการโหวตในปี 2007 แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง"อนุรักษนิยม"กับ"เสรีนิยม" เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให้ผลโหวตออกมาไม่ตรงตามความจริงเท่าใดนัก บารัก โอบามา ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะเริ่มทำงานประธานาธิบดี เนื่องจากโอบามาดำรงวุฒิสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว แต่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกตำแหน่ง ทำให้ไม่มีเวลาในการประชุมรัฐสภาสหรัฐ เพื่อเป็นการไม่ให้เวลาการทำงานของตำแหน่งทั้งสองคาบเส้นกัน จึงต้องลาออกจากวุฒิสมาชิก ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยมีมาแล้วในสมัยประธานาธิบดีวาเรน ฮาร์ดิงด้านนิติบัญญัติ ด้านนิติบัญญัติ. โอบามาลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนโยบายพลังงาน ค.ศ. 2005 เนื่องจากสอดคล้องกับความสนใจของเขา โอบามารับหน้าที่สำคัญในการผลักดันให้สมาชิกวุฒิสภา พัฒนาความปลอดภัยตามแนวชายแดนและการปฏิรูปการอพยพข้ามประเทศ ใน ค.ศ. 2005 นั้นเขาสนับสนุน "กฎหมายความปลอดภัยของอเมริกาและการอพยพอย่างมีระเบียบ" ที่ร่างขึ้นโดย จอห์น แมคเคน สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนรัฐแอริโซนา จากพรรคริพับลิกัน ต่อมาเขาได้เพิ่มข้อแก้ไขสามจุดลงใน "กฎหมายปฏิรูปการอพยพทั่วไป" ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนกันยายน ปี 2006 นั้น โอบามาสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายป้องกันความปลอดภัย ซึ่งมีโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและพัฒนาความปลอดภัยอื่น ๆ ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามรับรองยกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2006 โดยกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นก้าวกระโดดสำคัญในการปฏิรูปการอพยพข้ามแดนเข้าสู่สหรัฐ ต่อมา โอบามาได้จับมือกับ ริชาร์ด ลูการ์ วุฒิสมาชิกแห่งรัฐอินเดียนาจากพรรคริพับลิกัน และ ทอม โคเบิร์น จากโอกลาโฮมา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ลูการ์-โอบามา" ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการลดอาวุธสงคราม และกฎหมาย "โคเบิร์น-โอบามา"ที่นำมาซึ่งการก่อตั้งเว็บไซต์ www.USAspending.gov ซึ่งเป็นเว็บที่เปิดในเดือนธันวาคม ปี 2007 และควบคุมโดยสำนักงานบริหารและงบประมาณ หลังจากที่ชาวอิลลินอยส์เริ่มไม่พอใจน้ำเสียที่เป็นผลมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในบริเวณใกล้เคียง โอบามาจึงได้สนับสนุนให้มีการตรากฎหมายบังคับให้เจ้าของโรงงานแจ้งให้แก่ทางรัฐและทางการของท้องถิ่นทันทีที่มีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี แต่ร่างกฎหมายที่ผ่อนปรนแล้วกลับถูกต่อต้านอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาก็ได้มีการนำกฎหมายนี้มาพิจารณาอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม ปี 2006 ประธานาธิบดีบุชได้นำกฎหมายนี้ไปปรับใช้เป็น "กฎหมายเพื่อสงเคราะห์ ความปลอดภัย และส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งคองโก" นับว่าเป็นผลงานด้านนิติบัญญัติชิ้นแรกของโอบามาที่มีบทบาทในระดับประเทศ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 โอบามาและวุฒิสมาชิก Feingold เสนอ"กฎหมายเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเป็นบริษัทการผลิตเครื่องบินไอพ่น (jet)" เป็นกฎหมายที่เปิดเผยและน่าเชื่อถือ โดยลงนามเป็นกฎหมายเมื่อเดือน[[กันยายน 2007 โอบามาเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการหลอกลวง, การป้องกันการข่มขู่ผู้ไปลงคะแนนเสียง งบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลกลาง เขายังเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการลดการทำ[[สงครามอิรัก]] ต่อมาปลาย ค.ศ. 2007 โอบามาสนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจในการป้องกันประเทศ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลที่มีชื่อเสียงเมื่อเกิดเหตุจลาจล ซึ่งกฎหมายนี้ได้ผ่านการอนุมัตจากวุฒิสภาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2008 เขาได้สนับสนุนกฎหมายในการให้อำนาจต่อต้าน[[อิหร่าน]] โดยได้รับการสนับสนุนจากการลดกองทุนบำนาญของรัฐ จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของอิหร่าน และร่วมสนับสนุนการออกกฎหมายลดการเสี่ยงภัยจาก[[การก่อการร้าย]]ด้วย[[นิวเคลียร์]] โอบามายังได้สนับสนุนวุฒิสภาในการแก้ไขโปรแกรมของรัฐในการประกันสุขภาพของเด็ก โดยให้งานทำ 1 ปี สำหรับสมาชิกของครอบครัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บจาก[[สงคราม]]คณะกรรมการด้านต่าง ๆ คณะกรรมการด้านต่าง ๆ. บารัก โอบามาได้รับมอบหมายให้เป็น คณะกรรมการวุฒิสภาเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สิ่งแวดล้อม, งานสาธารณะ, วิเทรัน ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2006 ต่อมาเดือนมกราคม ปี 2007 เขาได้ออกจากการเป็นคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมและงานสาธารณะ แล้วได้เป็นกรรมการดูแลเกี่ยวกับ[[สาธารณสุข]], การศึกษา, แรงงาน และเงินสงเคราะห์ผู้ที่ไม่มีบ้าน และสวัสดิการของรัฐ เขายังกลายเป็นประธานคณะกรรมการวุฒิสภายุโรปอีกด้วย ในงานนี้ โอบามาได้ปฏิบัติภารกิจในการไปดูงานที่ ทวีป[[ยุโรป]]ตะวันออก, ตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง และ[[แอฟริกา]] โอบามายังได้พบกับ[[มาห์มุด อับบาส]] ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดี[[ปาเลสไตน์]] และยังได้ประณามการทุจริตของรัฐบาล[[เคนยา]] ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่[[มหาวิทยาลัยไนโรบี]] [[ประเทศเคนยา]]การหาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งประธานาธิบดี การหาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งประธานาธิบดี. [[ไฟล์:Flickr Obama Springfield 01.jpg|thumb|240px|left|โอบามาขณะอยู่บนเวทีพร้อมลูกสาวทั้งสอง ก่อนจะประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ณ เมืองสปริงฟีลด์ [[รัฐอิลลินอยส์]]]] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โอบามาได้ประกาศบนเวทีหน้าอาคาร Old State Capitol ในนครสปริงฟิลด์ รัฐ[[อิลลินอยส์]]ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐใน[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008 โอบามาเลือกสถานที่นี้เพราะเป็นที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี[[อับราฮัม ลินคอล์น]]กล่าวปราศรัย House Divided เมื่อ ค.ศ. 1858 และอ้างถึงคำปราศรัยของลินคอล์นในการที่จะรวมประเทศที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อนหน้าที่โอบามาจะประกาศต่อหน้าสาธารณชนหนึ่งสัปดาห์นั้น โอบามาได้เรียกร้องให้ยุติการหาเสียงแบบโจมตีคู่แข่ง (negative campaigning) โอบามาได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการยุติ[[สงครามอิรัก]] [[นโยบายพลังงานสหรัฐ|พลังงาน]] และ[[การประกันชีวิต]]แบบสากล ซึ่งเขาได้นำมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงชิงชัยตำแหน่งตัวแทนพรรคครั้งนี้ ปรากฏว่า เขาได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ หลังจากการเลือกตั้งครั้งแรกเสร็จสิ้นลง ระหว่างการเลือกตั้งครั้งแรกกับการเลือกตั้งทั่วไป โอบามาได้จัดเตรียมบันทึกเอาไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณการบริจาค. ในวันที่ 19 มิถุนายน โอบามากลายเป็นคนแรกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกที่ปฏิเสธในเรื่องของการคลังสาธารณะ ในการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ระบบสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1976 [[ไฟล์:obama08acceptance.jpg|thumb|right|upright|โอบามากล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะของเขา]] ช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ในการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปนั้น โอบามาต้องเจอคู่แข่งคนสำคัญคือ [[ฮิลลารี คลินตัน]] ซึ่งช่วงแรกต่างคนก็ต่างเอาชนะกันในแต่ละรัฐ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ทางคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ(DNC) ได้พิจารณาคะแนนโหวตที่[[รัฐมิชิแกน]]และ[[ฟลอริดา]]ที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตามผลการโหวตครั้งสุดท้ายปรากฏว่าโอบามามีคะแนนนำ ในวันที่ 3 มิถุนายน โอบามาจึงได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันเดียวกันนั้น เขาได้แถลงการณ์ถึงชัยชนะที่เซนท์ พอล [[รัฐมินนิโซตา]] หลังจากนั้น ฮิลลารี คลินตัน จึงได้ยุติบทบาทในการหาเสียงทั้งหมด แล้วหันมาสนับสนุนโอบามาในวันที่ 7 กรกฎาคม เพื่อที่จะได้ไปเจอกับ[[จอห์น แมคเคน]] ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก[[พรรคริพับลิกัน]]ต่อไป วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2008 โอบามาได้เลือก[[โจ ไบเดิน]] จากรัฐ[[เดลาแวร์]] ให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต ที่ศูนย์ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต [[ฮิลลารี คลินตัน]] อดีตคู่แข่งภายในพรรคของโอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนโอบามา ให้เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับพรรคริพับลิกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม โอบามากล่าวสุนทรพจน์ท่ามกลางผู้สนับสนุนราว 84,000 คน และผู้ที่ดูทางโทรทัศน์อีก 38 ล้านคน และในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นั้น โอบามาได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และยังนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของเขาต่อไป ภายหลังจาก[[การโต้วาที]] โอบามาได้รับชัยชนะจากโพลต่าง ๆ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ยายของเขา แมดาลีน ดันแฮม เสียชีวิตจาก[[โรคมะเร็ง]]ในอายุ 86 ปี แต่เขาเพิ่งทราบข่าวในวันถัดมาคือวันที่ 3 พฤศจิกายน ก่อนการเลือกตั้งเพียงวันเดียว ระหว่างที่[[จอห์น แมคเคน]]เป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันสมัครชิงตำแหน่งประานาธิบดี มีการโต้วาทีกันถึง 3 ครั้งระหว่างโอบามากับแมคเคนในเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม ปี 2008 สำหรับผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น เขาชนะการเลือกตั้งแบบป็อปปูลาร์โหวต 53% และ ชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กโทรรอลโหวตอย่างท้วมท้น ต่อมาก็มีการจัดเฉลิมฉลองตามท้องถนนในหลายเมืองของสหรัฐและทั่วโลกภายหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งทันทีชัยชนะ ชัยชนะ. [[ไฟล์:President George W. Bush and Barack Obama meet in Oval Office.jpg|thumb|[[บารัก โอบามา]] พบปะกับ[[จอร์จ ดับเบิลยู บุช]] ใน[[ห้องทำงานรูปไข่]] เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551]] ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 บารัก โอบามาชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอรัลโหวต 365 คะแนน ซึ่ง[[จอห์น แมคเคน]]ได้เพียงแค่ 173 คะแนน และกลายเป็นชาว[[แอฟริกันอเมริกัน]]คนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เขาได้ประกาศชัยชนะต่อประชาชนหลายแสนคน ที่สนับสนุนให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่แกรนด์ปาร์ค [[ชิคาโก]]ว่า "การเปลี่ยนแปลงได้มาถึงอเมริกาแล้ว" ("change has come to America") ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2009 ในการประชุมร่วมกันของสมาชิกจากสองสภาของ[[รัฐสภาสหรัฐ]] ได้รับรองผลอิเล็กทอรัลโหวต ใน[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008]] โดยใช้การนับจำนวนคะแนนเสียงที่โหวตให้ บารัก โอบามาได้รับการประกาศให้เป็นประธานาธิบดีโดยมี[[โจ ไบเดิน]] เป็นรองประธานาธิบดีการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี. [[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช]] ส่งพระราชสาส์นแสดงความยินดีกับโอบามา ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย โดยทรงได้อำนวยพรให้ประสบความสำเร็จเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประชาชน และความเจริญยิ่งขึ้นของสหรัฐวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง. โอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 [[โจ ไบเดิน]] เป็นรองประธานาธิบดี หลังจากที่ทำงานได้เพียงไม่กี่วัน เขาได้ออกคำสั่ง (Executive Order) และออกเอกสารบันทึกความเข้าใจประธานาธิบดี (Presidential Memorandum) บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ โดยตรงเพื่อพัฒนาแผนการถอนกำลังทหารออกจาก[[สงครามอิรัก|อิรัก]], และออกคำสั่งให้ปิดค่ายกักขังนักโทษกวนตานาโมทันทีและให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 ยิ่งไปกว่านั้น โอบามายังได้ปรับปรุงการเก็บรักษาข้อมูลลับของประธานาธิบดี และปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอข่าวสารที่สามารถเปิดเผยได้ ภายใต้รัฐบัญญัติข้อมูลข่าวสารสหรัฐ (Freedom of Information Act). และดำเนินนโยบายสนับสนุนการทำแท้งนโยบายในประเทศ นโยบายในประเทศ. วันที่ 29 มกราคม 2009 โอบามาลงนามในกฎหมาย “ลิลลี เลดเบทเทอร์ แฟร์ เพย์” (The Lilly Ledbetter Fair Pay Act) ซึ่งยกเลิกคำตัดสินของศาลในคดีที่ ลิลลี เลดเบทเทอร์ ฟ้อง บริษัท กู้ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ โค. (Goodyear Tire & Rubber Co.) และช่วยให้การเก็บเอกสารแยกแยะคดีฟ้องร้องในเรื่องการจ้างงานให้สะดวกยิ่งขึ้น 5 วันต่อมา เขาลงนามในระเบียบวาระประกันสุขภาพเด็ก (SCHIP) ทำให้เด็กอีกจำนวน 4 ล้านคนในปัจจุบันได้รับการประกันสุขภาพโดยทั่วถึงกัน ในเดือนมีนาคม 2009 โอบามายกเลิกนโยบายสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่กีดขวางไม่ให้งบจากรัฐบาลกลางมาใช้เป็นทุนสำหรับงานวิจัย[[สเต็มเซลล์]] แม้ว่าจะมีผู้วิจัยบางคนออกมาโต้แย้งในเรื่องนี้ เขาแถลงออกไปว่า "เรื่องวิทยาศาสตร์กับเรื่องศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกัน...เรามีมนุษยธรรมและคุณธรรมที่จะติดตามงานวิจัยนี้โดยรับผิดชอบ" และให้คำมั่นสัญญาว่าจะพัฒนานโยบายนี้ให้สมบูรณ์ วันที่ 26 พฤษภาคม 2009 โอบามาเสนอชื่อ โซเนีย โซโตเมเยอร์ เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐแทนที่ เดวิด ซูเตอร์ ที่ลาออกไป โซโตเมเยอร์ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2009 ด้วยจำนวนเสียง 68-31 เธอกลายเป็นชาวสเปนคนแรกที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เธอเข้าร่วมกับ รุธ เบเดอร์ จินส์เบิร์ก หนึ่งในจำนวนผู้หญิง 2 คนและเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่เป็นผู้พิพากษาตลอดมา วันที่ 30 กันยายน 2009 รัฐบาลโอบามาประกาศข้อบังคับเรื่องพลังงานพืช, โรงงานและโรงกลั่นน้ำมันให้จำกัดมลภาวะเรือนกระจกเพื่อช่วยลด[[ปรากฏการณ์โลกร้อน]]การจัดการเศรษฐกิจ การจัดการเศรษฐกิจ. วันที่ 17 มกราคม 2009 โอบามาลงนามในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ 787 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นกฎหมาย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมถึงการใช่จ่ายจากส่วนกลางสำหรับประกันสุขภาพ, สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน, การศึกษา, ภาษีต่าง ๆ และสิ่งชักจูงอื่น ๆ และช่วยเหลือไปที่ปัจเจกบุคคลโดยตรง ซึ่งกำลังกระจายไปตลอดหลายปี ในเดือนมีนาคม ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่งในการจัดการกับวิกฤติการณ์การเงิน รวมไปถึงการนำเสนอกองทุนการร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชน หรือ Public-Private Investment Program (PPIP) เพื่อซื้อคืนหนี้เสีย (Legacy. Assets) จากสถาบันการเงิน วันที่ 23 มีนาคม หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ บันทึกไว้ว่า "ผู้ลงทุนมีปฏิกิริยาที่ปีติยินดีอย่างเหลือล้นกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ถีบตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดเปิด" โอบามาเข้าแทรกแซงวิกฤตการณ์อุตสารหกรรมยานยนต์ ในเดิอนมีนาคม ต่อสัญญาเงินกู้ให้แก่บริษัท[[เจเนรัลมอเตอร์]] และ [[ไครสเลอร์ คอปอเรชัน]] เพื่อให้ดำเนินกิจการเป็นไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่มีการวางนโยบายใหม่ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำเนียบขาวจัดให้ทั้งสองบริษัทอยู่ในสถานะล้มละลาย รวมไปถึงการขายกิจการของไครสเลอร์ให้แก่[[เฟียท]] และการปรับปรุงของบริษัทเจเนรัลมอเตอร์เป็นการให้ผลประโยชน์ชั่วคราวที่ยุติธรรมต่อรัฐบาลสหรัฐ 60% รัฐบาลแคนาดารับภาระ 12% ในเดือนมิถุนายน 2009 ความก้าวหน้าของตัวกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่พียงพอ โอบามาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบเร่งลงทุน เขาลงนามเป็นกฎหมายใน Cash For Clunkers หรือที่รู้จักกันในชื่อ CARS-Car Allowance Rebate System มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายสมบูรณ์ เป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์สหรัฐ และเพิ่มความสนใจให้แก่คนอเมริกันในการหันมาเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ซึ่งมีอัตรา ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง และมีระดับการสร้างมลพิษในอากาศน้อยกว่ารถยนต์รุ่นเก่า ๆ และแคมเปญนี้เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2009ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ. [[ไฟล์:Obama signs health care-20100323.jpg|right|thumb|โอบามาลงนามในกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010]] โอบามาเรียกร้องให้รัฐรัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นสัญญารณรงค์เรื่องหลักและเป็นเป้าหมายสูงสุดของนิติบัญญัติ เขาได้เสนอการขยายการดูแลประกันสุขภาพซึ่งจะครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ด้วย ข้อเสนอของเขานี้จะใช้งบ 900 พันล้านดอลลาร์ครอบคลุมถึง 10 ปีและรวมไปถึงแผนประกันภัยของรัฐบาลเพื่อที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน มันอาจจะทำให้เกิดสิ่งผิดกฎหมายกับผู้ที่ทำประกันภัย ทำให้เกิดการปฏิเสธการรักษาของพวกที่ไม่สบายก่อนหน้านี้ และต้องการให้ครอบคลุมถึงสุขภาพของชาวอเมริกันทุกคน แผนการนี้ยังได้รวมถึงการตัดค่าจ่ายใช้จ่ายทางการแพทย์ และภาษีของบริษัทประกันภัยซึ่งเสนอแผนการต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง วันที่ 14 กรกฎาคม 2009 ผู้นำรัฐสภาจากพรรคเดโมแครต นำเสนอแผนการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพสหรัฐจำนวน 1,017 หน้าซึ่งโอบามาต้องการให้รัฐรัฐสภาสหรัฐอนุมัติภายในสิ้นปี 2009 หลังจากที่มีการอภิปรายทางสาธารณะอย่างมากในระหว่างการประชุมรัฐสภาช่วงฤดูร้อนปี 2009 โอบามาประกาศแถลงการณ์ของ[[สภาคู่]]เมื่อวันที่ 9 กันยายน เขาพูดในสภาว่ากังวลในเรื่องของข้อเสนอของรัฐบาลของเขา วันที่ 7 พฤศจิกายน 2009 [[สภาล่าง]]ผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพ ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2009 [[สภาสูง]]ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วยคะแนนโหวต 60-39 วันที่ 21 มีนาคม 2010 ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงในเดือนธันวาคม และจากสภาล่างด้วยคะแนนโหวต 219 ถึง 212 โอบามาลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010ตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งทางการเมือง. แบบแผนหรือทฤษฎีของนักการเมืองใช้สำหรับการวัดความคิดที่เป็นไปได้ คือการเปรียบเทียบคะแนนนิยมประจำปีของ องค์กรวัดคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันผู้นิยมประชาธิปไตย (ADA) กับ สมาพันธ์ชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มอนุรักษนิยม หรือพวกที่ชอบประเพณีเก่า ๆ ล้าสมัย (ACU) การอยู่ในรัฐสภาสหรัฐหลายปี โอบามาได้มีค่าเฉลี่ยคะแนนนิยมอยู่ที่ 7.67% (สำรวจโดย ACU) และจากการสำรวจโดย ADA เขาได้คะแนนนิยม 90% บารัก โอบามา มีนโยบายที่ตรงข้ามกับนโยบายของประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]]เกี่ยวกับอิรัก ซึ่งในวันที่ 2 ตุลาคม 2002 ประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]] และ[[รัฐรัฐสภาสหรัฐสหรัฐ]] ได้ลงมติเห็นชอบร่วมกันในการทำ[[สงครามอิรัก]] โอบามาได้พูดรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรักที่ Federal Plaza ใน[[ชิคาโก]]เป็นครั้งแรก และเขายังได้กล่าวปราศรัยต่อต้านในเรื่องนี้มาโดยตลอดโอบามาอ่านแถลงการณ์ครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ในเรื่องของการประท้วงต่อต้านการทำ[[สงครามอิรัก]] ที่ Kluczynski Federal Building, Chicago เขาพูดโจมตีอย่างรุนแรง ในวันที่ 16 มีนาคม 2003 ประธานาธิบดีบุชได้ยื่นคำขาดให้[[ซัดดัม ฮุสเซน]]ออกจากอิรักภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนที่[[สงครามอิรัก|สหรัฐจะรุกรานอิรัก]] โอบามากล่าวถึงการรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรัก และได้บอกสื่อมวลชนว่า "ยังไม่สายเกินไปที่จะยุติสงคราม" ถึงแม้ว่าเขาได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาจะถอดกำลังทหารออกจากอิรักทั้งหมดภายในเวลา 16 เดือนหลังจากที่เขาเป็นประธานาธิบดี หลังจากที่เขาชนะในครั้งแรกนั้น เขากล่าวว่าเขาอาจจะทำตามที่สัญญาไว้ โอบามาได้แจ้งว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 352,900 ล้านบาท เพื่อหยุดการลงทุนซื้ออาวุธที่พิสูจน์ไม่ได้ ในระบบการป้องกันประเทศ, ลดการพัฒนาระบบการรบหรือการต่อสู้ลง และมุ่งทำงานเพื่อกำจัด[[อาวุธนิวเคลียร์]]ทั้งหมด โดยเริ่มจากการลดการสั่งสมนิวเคลียร์ในปัจจุบันของสหรัฐลง ออกกฎหมายห้ามไปทั่วโลกในการผลิตวัตถุดิบในการผลิตอาวุธ และหาทางเจรจาตกลงกับ[[รัสเซีย]]ที่จะขจัด ICBMs ออกไปจากสถานะเตือนภัยหรือต้องระวังสูงสุด [[ไฟล์:ObamaSouthCarolina.jpg|thumb|left|upright|โอบามาพูดในที่ชุมนุมที่คอนเวย์ [[รัฐเซาท์แคโรไลนา]]]] ในเดือน[[พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ขอให้เปลี่ยนแนวรบโดยการถอนกองทัพสหรัฐออกจากอิรัก และเปิดการเจรจาทางการทูตกับ[[ซีเรีย]]และ[[อิหร่าน]] ต่อมาเดือน[[มีนาคม 2007 ได้มีการพูดในคณะกรรมการความสัมพันธ์สาธารณะอเมริกัน-อิสราเอล (AIPAC) โดยเห็นด้วยกับการลอบบี้ของ[[อิสราเอล]] เขาได้กล่าวว่า วิธีเบื้องต้นที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็คือ การพูดเจรจาและใช้วิธีทางการทูตกับอิหร่านโดยปราศจากเงื่อนไขก่อน รายละเอียดของกลยุทธ์ของเขาเพื่อต่อสู้กับ[[การก่อการร้าย]]สากล ในเดือน[[สิงหาคม 2007 โอบามาพูดว่า "เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมากที่รบล้มเหลว" ซึ่งขัดกับการพบกับผู้นำอัลเคด้า ในปี 2005 ที่หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐได้ยืนยันที่จะกระทำขึ้น ในพื้นที่รัฐบาลกลางของปากีสถาน เขากล่าวว่า ถ้าเป็นประธานาธิบดี เขาจะไม่สูญเสียโอกาสเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปากีสถานก็ตาม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2005 คอลัมน์ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ The Washington Post และที่รวมพลังพิทักษ์ดาฟูร์ในเดือนเมษายน 2006 โอบามายังเรียกร้องให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อต่อต้าน[[การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์]] ดินแดนทางทางตะวันตกของ[[ประเทศซูดาน]] เขายังได้ถอนเงิน 180,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6,352,200 ล้านบาท ออกจากการยึดถือเงินส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเทศซูดาน และได้ถอนการทำธุรกิจบริษัทต่าง ๆ ออกจาก[[ประเทศอิหร่าน]] ในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2007 เรื่องนโยบายเกี่ยวกับงานด้านการต่างประเทศ โอบามาได้เรียกร้องให้มองนโยบายที่ส่งทหารไปประจำการใน[[สงครามอิรัก]]ออกไปข้างนอก และจัดตั้งกองทัพสหรัฐขึ้นมาใหม่ การทูต และจริยธรรมของผู้นำในโลก การกล่าวว่า "เราไม่สามารถล่าถอยจากโลกและพยายามข่มขู่ข้าศึกเพื่อให้ยอมจำนน" โอบามาได้ปราศรัยต่อหน้าประชาชนอเมริกันว่า "นำโลกโดยการกระทำเป็นตัวอย่าง" เดือนเมษายน ค.ศ. 2005 ในงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขาได้พูดสนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมเพื่อการค้าใหม่ ของประธานาธิบดี[[แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์]] และคัดค้านข้อเสนอจากทาง[[พรรคริพับลิกัน]] ที่จะจัดตั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อสวัสดิการสังคม ภายหลังจากควันหลง[[พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา]] โอบามาพูดต่อต้านรัฐบาลว่า ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งแยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยังเรียกร้องไปยังพรรคการเมือง ให้มีการรื้อฟื้นเครือข่ายความปลอดภัยเพื่อคนจน ก่อนที่จะมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาได้กล่าวไว้ว่าเขาสนับสนุนการดูแลสุขภาพในสหรัฐ เขาได้เสนอการให้รางวัลแก่ครูจากการสอนหนังสือ ตามระบบที่มีการให้สิ่งตอบแทนที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณี สร้างความมั่นใจให้แก่สหภาพครูว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในกระบวนการข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับค่าจ้างชั่วโมงทำงาน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 โอบามากล่าวโทษกลุ่มที่มีผลประโยชน์ที่หลบเลี่ยงการจัดเก็บภาษี ในแผนการของโอบามาจะไม่มีการเก็บภาษีจากพลเมืองอาวุโส ที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,764,500 บาท ต่อปี แต่เพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,822,500 บาท ต่อปี เฉกเช่นเงินทุนที่ได้มาและเงินปันผลจากการตัดภาษี จัดการบริษัทที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเกี่ยวกับภาษีในการโกงภาษี ยกเลิกรายได้ที่ต่อยอดมาจากภาษีที่ใช้รักษาความปลอดภัยในสังคม ควบคุมภาษีของบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และการเพิ่มภาษีรายได้ให้เด่นชัด ซึ่งได้ส่งกลับไปก่อนที่จะมีการเพิ่มค่าจ้าง และข้อมูลทางธนาคาร แล้วจึงจะรวบรวมโดยหน่วยงานบริการรายได้ภายใน (IRS) การประกาศนโยบายวางแผนพลังงานในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน[[ตุลาคม ค.ศ. 2007 โอบามาเสนอขีดจำกัดเกี่ยวกับระบบการขายทอดตลาดเพื่อที่จะจำกัดการแพร่กระจายของคาร์บอน และโปรแกรมการลงทุน 10 ปี ในแหล่งพลังงานใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันของสหรัฐฯ โอบามาเสนอว่าสินเชื่อมลภาวะจะต้องขายทอดตลาด ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทน้ำมันและแก๊ส และการใช้จ่ายภาษีอากรตลอดจนไปถึงเรื่องของการพัฒนาและค่าใช้จ่ายการขนส่งทางเศรษฐกิจ โอบามาได้กระตุ้นพรรคเดโมแครตให้เข้าถึงกลุ่ม[[นิกายโปรแตสแตนต์]] และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ให้ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 เขาได้ร่วมกับวุฒิสมาชิก แซม บราวน์แบล็ก ในองค์กรช่วยเหลือ[[โรคเอดส์]]โลก (Global Summit on AIDS and the Church) ซึ่งก่อตั้งโดย Kay and Rick Warren ในช่วงที่เขาทำงานอยู่กับ Warren และ บราวน์แบล็กนั้น โอบามาได้ทดสอบเกี่ยวกับเชื้อเอดส์ ตามที่เขาได้ทำใน[[ประเทศเคนยา]]อย่างน้อย 4 เดือน ก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นในสาธารณชนอื่น ๆ ทำเช่นเดียวกันและไม่ใช่เรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด ก่อนการประชุมได้มีกลุ่มต่อต้าน[[การทำแท้ง]] 18 คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับสิ่งที่โอบามาสนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ในจดหมายมีเนื้อหาว่า "เราต่อต้าน Rick Warren อย่างรุนแรงในการตัดสินใจที่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับจุดยืนของการตายอย่างชัดเจนของวุฒิสมาชิกโอบามา และเชิญเขามาที่โบสถ์ Saddle Back" ในการกล่าวกับสมาชิกของนิกายคริสต์กว่า 8,000 คนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 โอบามาขึ้นชื่อว่าเป็น"ผู้นำของชาวคริสเตียนที่จะกระตือรือร้นเป็นผู้แบ่งแยกเรา"ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว. โอบามา ได้พบกับ [[มิเชล โอบามา|มิเชล โรบินสัน]] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1989 ขณะที่เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ในช่วงซัมเมอร์ที่บริษัทกฎหมาย Sidley Austin ในเมืองชิคาโก หลังจากนั้นโรบินสันก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้ในตำแหน่งที่ปรึกษาของโอบามาเป็นระยะเวลา 3 เดือน โรบินสันได้คบหาสมาคมแบบกลุ่มกับโอบามา แต่กลับปฏิเสธการขอเดทครั้งแรกจากโอบามา ต่อมา พวกเขาออกเดทกันในซัมเมอร์นั้น และเป็นแฟนกันใน ค.ศ. 1991 จนกระทั่งแต่งงานในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1992 ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คนคือ [[มาเลีย แอน โอบามา|มาเลีย แอน]] (เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1998) และ [[นาตาชา โอบามา|นาตาชา]] ("ซาชา", เกิดปี 2001) ในชิคาโก ครอบครัวโอบามาได้ส่งลูกสาวทั้ง 2 คนไปเรียนที่ University of Chicago Laboratory Schools และเริ่มต้นใช้ชีวิตที่[[วอชิงตัน ดี.ซี.]] หลังจากนั้นก็ส่งไปเรียนต่อที่ Sidwell Friends School ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อนร่วมสถาบันแทนที่จะเรียกชื่อของเขาว่าบารัก แต่กลับตั้งฉายาให้เขาใหม่ว่า "แบรี่" (Barry) ที่แปลว่าคนผิวดำ ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกพอสมควร [[ไฟล์:Barack_and_michelle.jpg|thumb|right|[[บารัก โอบามา]] กับ [[มิเชล โอบามา]]]] ประโยชน์จากการขายหนังสือทำให้ครอบครัวของโอบามาย้ายจาก Hyde Park ไปยังคอนโดมิเนียมในชิคาโก ย่านเคนวูด (Kenwood) มูลค่า 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายบ้านให้โอบามานี้เกิดขึ้นโดยภรรยาผู้บุกเบิกและเพื่อนของเขาคือ Tony Rezko ได้ดึงดูดความสนใจจากสื่อ เนื่องจากคำฟ้องร้องของ Rezko และตัดสินว่ามีความผิด ในเรื่องของข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางการเมืองว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอบามา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิตยสาร Money ได้ประเมินทรัพย์สินของครอบครัวโอบามาที่ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45.87 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) ภาษีของพวกเขาใน ค.ศ. 2007 ชี้ให้เห็นว่ารายได้ของครอบครัวนี้อยู่ที่ 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 148.21 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน ค.ศ. 2006 และ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 56.45 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) ในปี 2005 รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการขายหนังสือของเขา [[ไฟล์:BarackObama-Basketball.JPEG|left|thumb|upright|โอบามากำลังเล่นบาสเกตบอลกับทหารอเมริกันที่[[ประเทศจิบูตี]] ในปี 2006]] ใน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ให้สัมภาษณ์โดยเน้นจุดเด่นของความแตกต่างกันของครอบครัวขนาดใหญ่ของเขาว่า "มิเชล จะบอกคุณว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกันในวันคริสต์มาส หรือ วันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเสมือนเป็นสหประชาชาติขนาดเล็ก ๆ " เขาพูดว่า "ผมมีญาติซึ่งเหมือน [[เบอร์นี แมค]] และผมมีญาติซึ่งเหมือน [[มาร์กาเรต แทตเชอร์]]" โอบามามีญาติทางพ่อเขาซึ่งเป็นชาวเคนยา 7 คน โดย 6 คนยังมีชีวิตอยู่ และน้องสาวของต่างบิดาของเขา มายา ซูโตโร ซึ่งเกิดกับแม่ของโอบามาและสามีคนที่สองที่เป็นชาว[[อินโดนีเซีย]] แม่ของโอบามามีมารดาเป็นชาวแคนซัส ชื่อ เมดาลีน ดันแฮมจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะมี[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008]] เพียง 2 วัน ในหนังสือ Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance หรือในชื่อภาษาไทย บารัก โอบามา ผมลิขิตชีวิตตัวเอง อัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความคิด และมุมมองที่มีต่อเรื่องสีผิว โอบามามักจะบอกว่าเขาไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพราะเป็นคนเด่นดัง แต่ต้องการบันทึกเรื่องราวของเชื้อชาติ และมรดกทางปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาตัวตน โอบามามีครอบครัวทางมารดาเชื้อชาติอเมริกันและเป็นญาติห่าง ๆ กับเจฟเฟอร์สัน เดวิส ซึ่งเป็นประธานสมาพันธ์ภาคใต้ในระหว่าง[[สงครามกลางเมืองอเมริกา]] ปู่ทวดและตาทวดของโอบามาต่อสู้ใน[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] พี่ชายของปู่ย่าตายายของโอบามาสังกัดกองพลที่ 89 ที่บุกไปยังค่าย Ohrdruf ซึ่งเป็นค่ายนาซีค่ายแรกที่ถูกทำลายโดยกองทัพสหรัฐฯ โอบามาเล่น[[บาสเกตบอล]] เป็นสมาชิกในทีมนักบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้เขายังมีความพยายามในการเลิกสูบบุหรี่เป็นเวลาหลายครั้ง รวมไปถึงการเป็นแบบอย่างของสาธารณชนที่ดี และพยายามอย่างต่อนเองก่อนที่จะหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และประกาศว่าจะไม่สูบบุหรี่ใน[[ทำเนียบขาว]]เป็นอันขาด โอบามาเป็นชาว[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสต์]]ซึ่งเป็นศาสนาที่เขานับถือเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ในหนังสือ The Audacity of Hope หรือในชื่อภาษาไทย กล้าหวัง กล้าเปลี่ยน รวบรวมสุนทรพจน์และปาฐกถา และสะท้อนแนวคิดทางการเมืองที่จะนำอเมริกาไปสู่ความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมุมมองในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ทั้งความเหลื่อมล้ำในสังคม คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็งในเวทีโลกให้แก่อเมริกา โอบามาได้เขียนว่า ไม่ได้ยกเลิกการนับถือศาสนาในครอบครัว เขาอธิบายเกี่ยวกับมารดาของเขาว่าเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามทั้งนิกาย[[เมทอดิสต์]] และนิกาย[[แบปทิสต์]] ซึ่งยังไม่ได้ถอนตัวออกจากศาสนาเสียทีเดียว ในหลาย ๆ วิธีที่บุคคลที่ตื่นตัวแล้วส่วนมากที่นิยมไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาอธิบายเกี่ยวกับบิดาชาวเคนยาของเขาว่า ไม่เป็น[[มุสลิม]] แต่เป็นผู้ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพ่อและแม่ของเขาเชื่อในขณะนั้น และพ่อเลี้ยงชาวอินโดนีเซียของเขาเป็นผู้เห็นว่าศาสนาไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในหนังสือนี้โอบามาได้อธิบายวิธีทำงานร่วมกับคนผิวดำในโบสถ์ต่าง ๆ ในองค์กรชุมชน ในช่วงที่เขามีอายุประมาณ 20 ปี เขาได้เข้าใจเกี่ยวกับพลังอำนาจของศาสนา [[แอฟริกันอเมริกัน]] ที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เขาได้รับชื่อใน[[พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน]]ที่ สหคริสตจักรตรีเอกานุภาพแห่งพระคริสต์ (Trinity United Church of Christ) ใน ค.ศ. 1988 นอกเหนือจาก[[ภาษาอังกฤษ]]แล้ว โอบามายังพูด[[ภาษาอินโดนีเซีย]]ได้อีก แต่พูดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในสมัยที่เขาย้ายไปเรียนที่[[จาการ์ตา]]ตอนอายุ 4 ขวบ หลังจากการประชุมลับสุดยอด[[เอเปค]]ที่[[ประเทศเปรู]] ในปี 2008 ประธานาธิบดี[[ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน]] แห่ง[[อินโดนีเซีย]]ต่อสายสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไปยังโอบามา โดยออกอากาศสดทางสื่อต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย โอบามาพูดกับซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน ว่าเขาคิดถึงอาหารอินโดนีเซียอย่างเช่น นาสิ โกเล็ง, บาคโซ และ เงาะภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทางการเมือง ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทางการเมือง. [[ไฟล์:Five Presidents 2009.jpg|thumb|[[บารัก โอบามา]]กับอดีตประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]], [[จิมมี คาร์เตอร์]], [[จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช]], และ[[บิล คลินตัน]] ใน[[ห้องทำงานรูปไข่]]เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2009]] โอบามามีพ่อเป็นชาว[[เคนยา]] แม่เป็นชาว[[อเมริกัน]]ผิวขาว เขาได้รับการอบรมสั่งสอนในวัยเด็กที่[[โฮโนลูลู]] และ[[จาการ์ตา]] จบจาก[[ไอวีลีก]] ประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยเริ่มต้นของโอบามาแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากนักการเมืองอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเหล่านั้น ผู้ซึ่งดำเนินวิถีทางของพวกเขาเอง ใน ค.ศ. 1960 พวกเขามีแนวคิดในการมีส่วนร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง การแสดงความงุนงงให้เห็นเกี่ยวกับคำถามที่ว่าเขาดำพอแล้วหรือยัง โอบามากล่าวในการประชุมที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์ของคนผิวดำแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 ว่าการอภิปรายไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย หรือนโยบายของเขาที่จดบันทึก ที่เป็นห่วงถึงผู้ออกเสียงที่เป็นคนผิวดำ โอบามากล่าวว่า "เรายังคงติดแน่นอยู่กับความรู้สึกนี้ที่ว่าถ้าคุณไปอ้อนวอนแต่พวกผิวขาวก็เหมือนกับว่าคุณกำลังทำอะไรผิด" [[ไฟล์:20090124 WeeklyAddress.ogv|thumb|left|โอบามาแถลงการณ์ประธานาธิบดีฉบับแรก ชี้แจงถึงรัฐบัญญัติฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุนปี 2009]] เสียงสะท้อนจากคำแถลงการณ์ ในการเข้ารับตำแหน่ง[[ประธานาธิบดี]]อย่างเป็นทางการของ [[จอห์น เอฟ. เคนเนดี]] โอบามายอมรับความจริงเกี่ยวกับภาพพจน์ของเขาในตอนแรกเริ่ม ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ว่า "ข้าพเจ้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกเป็นอันขาด ถ้าหากว่าตะเกียงยังไม่ได้จุดขึ้นมาใหม่" และมีสำนวนที่กินใจอยู่สำนวนหนึ่งคือ "Rosa sat so Martin could walk; Martin walked so Obama could run." โอบามายังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราศรัยต่อสาธารณชน เมื่อเทียบกับนักพูดที่มีชื่อเสียงในอดีต อย่าง[[มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์]] คำกล่าวของเขาที่มีชื่อเสียง เช่น "Yes We Can" ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในดนตรีที่สร้างขึ้นมาโดย [[วิล.ไอ.แอม]] มีประชาชนทั่วโลกกว่า 10 ล้านคนดู[[วิดีโอ]]นี้ทางเว็บ[[ยูทูบ]] (YouTube.com) เพียงแค่ 7 เดือนแรกเท่านั้น และยังได้รับ[[รางวัลเอ็มมี]]อีกด้วย ศาสตราจารย์ Jonathan Haidt แห่ง [[มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย]] ได้วิจัยประสิทธิผลจากการพูดของโอบามาในที่สาธารณะ และมีเหตุผลที่สรุปได้ว่ามีประสิทธิผลมาก เพราะนักการเมืองมักมีความช่ำชองในการพูดปลุกเร้าอารมณ์ และปรารถนาที่จะประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลธรรมต่อผู้อื่น ส่วนการชี้แจงถึงนโยบายต่าง ๆ และการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น โอบามามีแผนที่จะจัดรายการโทรทัศน์เพื่อพบปะกับประชาชน เหมือนกับรายการ "ไฟล์ไซต์ แชท" ที่โด่งดังของประธานาธิบดี[[แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์]] นักวิเคราะห์หลายคนได้อ้างถึงการเป็นที่สนใจของต่างชาติของโอบามา เป็นการให้คำจำกัดความสำหรับภาพพจน์ของเขา ไม่เพียงแต่โพลจากหลายสำนัก ที่แสดงพลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ แต่โอบามายังได้สร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น [[โทนี แบลร์]] อดีต[[นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร]] ซึ่งพบกันใน ค.ศ. 2005, วอลเตอร์ เวลโทนี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของอิตาลี ที่มาเยี่ยมเยียนยังสำนักงานวุฒิสภาของโอบามาใน ค.ศ. 2005 และ[[นีกอลา ซาร์กอซี]] [[ประธานาธิบดีฝรั่งเศส]] ซึ่งเคยมาเยี่ยมเยียนโอบามาใน ค.ศ. 2006 ที่[[วอชิงตัน ดี.ซี.]] โอบามาชนะ[[รางวัลแกรมมี]]ในหมวดหมู่รางวัล Best Spoken Word Album จากการตัดต่อคำพูดลงในเทปบันทึกของหนังสือ "Dreams from My Father" ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 และ "The Audacity of Hope" ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 [[นิตยสารไทม์]]เลือกบารัก โอบามาให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]] ประจำปี 2008 วันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ให้บารัก โอบามา ได้รับ[[รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ]]โดยข้อความที่ได้รับรางวัล คือ "สำหรับความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่การทูตระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างผู้คนทั่วโลก"งานเขียนงานเขียน. - The Audacity of Hope: Thoughts on Reclaiming the American Dream,(2006). Crown Publishers, Division of Random House, NY - Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance, (1995). Time Books an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY - Change We Can Believe In: Barack Obama's Plan to Renew America's Promise, (2008). Three Rivers Press, an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY
บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "44" ], "answer_begin_position": [ 219 ], "answer_end_position": [ 221 ] }
2,125
110,625
บารัก โอบามา บารัก ฮูเซน โอบามา ที่ 2 (; เกิด 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 44 ตั้งแต่ ค.ศ. 2009–2017 เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่เป็นชาวแอฟริกันอเมริกันและเกิดนอกสหรัฐแผ่นดินใหญ่ ก่อนหน้านั้น เขาเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐรัฐอิลลินอยส์ตั้งแต่ ค.ศ. 2005–2008 และสมาชิกวุฒิสภาอิลลินอยส์ตั้งแต่ ค.ศ. 1997–2004 โอบามาเกิด ณ โฮโนลูลู รัฐฮาวาย เวลานั้น ฮาวายเพิ่งผนวกเข้าสหรัฐในฐานะรัฐที่ 50 ได้ 2 ปี โอบามาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในฮาวาย แต่วัยเด็กไปอยู่รัฐวอชิงตัน 1 ปี และอินโดนีเซียอีก 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียใน ค.ศ. 1983 โอบามาทำงานเป็นนักจัดระเบียบชุมชน (community organizer) อยู่ในชิคาโก ครั้น ค.ศ. 1988 เขาเข้าศึกษา ณ สำนักกฎหมายฮาวาร์ด และได้เป็นบรรณาธิการนิตยสาร ฮาวาร์ดลอว์รีวิว คนแรกที่เป็นผิวดำ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เขาทำงานเป็นทนายความและอาจารย์กฎหมายด้านสิทธิพลเมือง สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่สำนักกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก ตั้งแต่ ค.ศ. 1992–2004 เขายังเป็นสมาชิกวุฒิสภาอิลลินอยส์ เขต 13 ถึง 3 สมัย ตั้งแต่ ค.ศ. 1997–2004 ใน ค.ศ. 2004 นั้นเอง เขาลงรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาระดับชาติ เขาได้รับความสนใจและมีชัยอย่างมิได้คาดหมายในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 สุนทรพจน์หลัก (keynote address) ของเขาในการประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติ (Democratic National Convention) ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี ตามมาด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งรอบสุดท้ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 เขาจึงได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จนกระทั่ง ค.ศ. 2008 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี หลังหาเสียงมาได้ 1 ปี และพรรคเดโมแครตลงคะแนนให้เสนอชื่อเขามากกว่าฮิลลารี คลินตันอย่างฉิวเฉียด ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาพิชิตคู่แข่งอย่างจอห์น แมกเคน จากพรรคริพับลิกัน และกลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของประเทศ จนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 และ 9 เดือนให้หลัง เขาได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ ในช่วง 2 ปีแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามาลงนามในกฎหมายสำคัญเป็นจำนวนมากกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ จากพรรคเดโมแครตนับแต่โครงการมหาสังคม (Great Society) ของลินดอน บี. จอห์นสัน เป็นต้นมา กฎหมายปฏิรูปหลัก ได้แก่ รัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ (Patient Protection and Affordable Care Act) หรือโอบามาแคร์ (Obamacare), รัฐบัญญัติปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคดอดด์–แฟรงก์ (Dodd–Frank Wall Street Reform and Consumer Protection Act), และรัฐบัญญัติยกเลิกกฎหมายห้ามถามห้ามบอก ค.ศ. 2010 (Don't Ask, Don't Tell Repeal Act of 2010) อนึ่ง ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) รัฐบัญญัติการฟื้นตัวและการลงทุนใหม่ของอเมริกา ค.ศ. 2009 (American Recovery and Reinvestment Act of 2009) กับรัฐบัญญัติผ่อนปรนภาษี อนุมัติการประกันผู้ว่างงานใหม่ และสร้างงาน ค.ศ. 2010 (Tax Relief, Unemployment Insurance Reauthorization, and Job Creation Act of 2010) ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หลังการเลือกตั้งใน ค.ศ. 2011 พรรคริพับลิกันกุมอำนาจในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง มีการอภิปรายกันอย่างยืดยาวเรื่องจำกัดวงหนี้ โอบามาจึงลงนามในรัฐบัญญัติควบคุมงบประมาณ ค.ศ. 2011 (Budget Control Act of 2011) และรัฐบัญญัติผ่อนปรนชาวอเมริกันผู้เสียภาษี ค.ศ. 2012 (American Taxpayer Relief Act of 2012) ส่วนนโยบายต่างประเทศนั้น โอบามาเพิ่งกำลังทหารสหรัฐสำหรับสงครามอัฟกานิสถาน ลดอาวุดนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญานิวสตาร์ต (New START) ระหว่างสหรัฐกับประเทศรัสเซีย ทั้งยุติบทบาททางทหารในสงครามอิรัก แต่เขาให้ส่งทหารเข้าปราบปรามมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย และให้ปฏิบัติการทางทหารจนอุซามะฮ์ บิน ลาดิน นักเคลื่อนไหวอิสลาม เสียชีวิต ใน ค.ศ. 2012 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ โอบามามีชัยเหนือมิตต์ รอมนีย์ จากพรรคริพับลิกัน จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 ในสมัยที่ 2 นี้ โอบามาส่งเสริมประโยชน์ครอบคลุมชาวอเมริกันผู้หลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลของเขาฟ้องคดีหลายเรื่องอันเป็นเหตุให้ศาลสูงสุดวินิจฉัยความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการห้ามสมรสเพศเดียวกัน โอบามายังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องควบคุมปืนหลังเกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนประถมแซนดีฮุกเมื่อ ค.ศ. 2012 และเขาออกคำสั่งทางปกครองหลายรายการที่ครอบคลุมกว้างขวางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการเข้าเมือง ส่วนนโยบายต่างประเทศในสมัยที่ 2 โอบามาให้ทหารเข้าแทรกแซงในอิรัก หลังจากที่สหรัฐถอนทหารออกไปใน ค.ศ. 2011 แล้ว กลุ่มไอซิลก็เข้าก่อความไม่สงบ แต่โอบามาให้ดำเนินกระบวนการยุติปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถานต่อไป และส่งเสริมการพูดคุยอันนำไปสู่ความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ค.ศ. 2015 ทั้งก่อให้เกิดการคว่ำบาตรรัสเซียที่ส่งทหารเข้าแทรกแซงในยูเครน รวมถึงชี้ช่องให้เกิดข้อตกลงแลกประโยชน์นิวเคลียร์กับอิหร่าน ตลอดจนฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสหรัฐกับคิวบา โอบามาพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 ปัจจุบัน พำนักอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. และจะมีการสร้างหอสมุดประธานาธิบดีของเขาในชิคาโกชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน ชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน. โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961 ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ สก๊อตแลนด์ เวลส เยอรมนี และสวิสเซอร์แลนด์ โดยทั้งคู่พบรักกันขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวายที่มานัว ซึ่งพ่อของเขาได้เข้าศึกษาในฐานะนักเรียนต่างชาติ และได้แต่งงานกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกัน หลังจากนั้น ดันแฮม แม่ของโอบามาก็ได้แต่งงานใหม่กับโลโล ซูโตโร และได้พาครอบครัวไปอยู่ที่บ้านเกิดของสามีใหม่ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 1967 โอบามาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในท้องถิ่นของกรุงจาการ์ตาจนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ โอบามาจึงได้ย้ายกลับโฮโนลูลูบ้านเกิดกับครอบครัวของแม่และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนปูนาฮัวตั้งแต่เกรด 5 จนสำเร็จการศึกษาในปี 1979 หลังจากจบไฮสกูล โอบามาก็ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ลอสแอนเจลิสที่วิทยาลัยออกซิเดนทอล (Occidental College) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก สาขารัฐศาสตร์ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ระดับไฮสคูลนั้น เขายอมรับว่าเคยเสพกัญชา, โคเคน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเขาเปิดเผยที่เวทีประชุมพลเมืองสำหรับประธานาธิบดีปี 2008 ถือว่าเป็นความล้มเหลวเกี่ยวกับศีลธรรมความดีงาม โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเหมืองแร่ในปี 1983 และได้เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศและกลุ่มวิจัยสาธารณประโยชน์แห่งนิวยอร์ก หลังจาก 4 ปีที่อยู่ในนิวยอร์ก โอบามาย้ายไปอยู่ที่ชิคาโก เขาได้รับการจ้างเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนริเริ่มตั้งจากศาสนา ซึ่งประกอบด้วย 8 โบสถ์คาทอลิก ในโลสแลนด์ พูลแมนตะวันตก และ ริเวอร์เดล ในด้านใต้ของเมืองชิคาโก และเขาได้ทำงานที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 จนถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1988 ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ 3 ปีในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชุมชน (DCP) ผู้ร่วมงานได้เพิ่มขึ้นจาก 1 คน เป็น 13 คน และงบประมาณประจำปี เพิ่มขึ้นจากปีละ 7 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการช่วยเหลือเกี่ยวกับโปรแกรมการฝึกอบรม, การกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย และ องค์กรสิทธิของผู้เช่าที่ดินในแอลเจลด์การ์เดนส์ (Altgeld Gardens) โอบามายังได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้สอนในมูลนิธิกามาลีล (Gamaliel Foundation) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งเกี่ยวกับองค์กรชุมชน ในกลาง ค.ศ. 1988 เขาได้เดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 3 สัปดาห์และไปเคนยา 5 สัปดาห์ ซึ่งเขาได้พบญาติ ๆ ชาวเคนยาหลายคนเป็นครั้งแรกด้วย จากนั้น เขาจึงเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดใน ค.ศ. 1988 สิ้นปีแรกเขาได้รับคัดเลือกจากการแข่งขันในการเขียนและเกรดของการเรียนให้เข้ามาเป็นบรรณาธิการคนหนึ่งของวารสาร Harvard Law Review พอขึ้นปีที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 เขาได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review ในตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการ(อาสาสมัครเต็มเวลา) และกำกับควบคุมนักเขียนถึง 80 คน โอบามาเป็นชาวผิวดำคนแรกที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานของ Law Review ข่าวการคัดเลือกได้มีการรายงานในวงกว้าง ตามด้วยประวัติส่วนตัวที่ละเอียดในสื่อระดับประเทศ ระหว่างฤดูร้อน เขาได้กลับไปชิคาโก ซึ่งเขาทำงานเป็นทนายความฝึกงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน ที่สำนักงานกฎหมายของ Sidley & Austin ใน ค.ศ. 1989 และ Hopkins & Sutter ใน ค.ศ. 1990 หลังจากจบปริญญากฎหมาย Juris Doctor จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดในปี 1991 จากนั้นเขาก็ย้ายกลับไปชิคาโก และเริ่มเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ Dreams from My Father ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1995 ช่วงปี 1993 และ 2002 โอบามาเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยในคณะกรรมการบริหารกองทุนไม้แห่งชิคาโก องค์กรที่ช่วยจัดสรรเงินทุนให้แก่ประชาชนและชุมชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบเปรียบในชิคาโก ต่อมาในปี 1999 ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารด้วยความช่วยเหลือของบิล อาเยอร์ส ต่อมาเขาก็รับงานสอนนอกเวลาที่วิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิคาโก โอบามาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมเวลา 12 ปี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 4 ปี (1992-1996) และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอาวุโสถึง 8 ปี (1996-2004) และเขายังได้ร่วมกับ เดวิด ไมเนอร์ บาร์นฮิลล์ และกัลแลนด์ ที่เป็นบริษัททนายความมีเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้คดีในชั้นศาล และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน โอบามาเป็นสมาชิก 3 ปี (1993-1996) จึงลาออก โอบามา เคยเป็นสมาชิกสรรหาของบอร์ดบริหารแห่งพันธมิตรสาธารณะใน ค.ศ. 1992 และได้ลาออกไปก่อนที่ มิเชล ภรรยาของเขาจะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณะแห่งชิคาโกในต้น ค.ศ. 1993 และยังเป็นสมาชิกของบอร์ดบริหารหลายที่ เช่น สภาทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมายแห่งชิคาโก, ศูนย์กลางเพื่อเทคโนโลยีเพื่อนบ้าน, ศูนย์ลูจีเนียเบิร์นโฮป (Lugenia Burns Hope Center)ประวัติทางการเมืองสมาชิกสภานิติบัญญัติ, 1997-2004 ประวัติทางการเมือง. สมาชิกสภานิติบัญญัติ, 1997-2004. โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ใน ค.ศ. 1996 แทนที่ตำแหน่งของวุฒิสมาชิก อลิซ กราบเดโช จากเขตปกครองที่ 13 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว โอบามาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคใหญ่ให้มีการปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมและสุขภาพ เขาสนับสนุนกฎหมายบรรจุเรื่องการเพิ่มเครดิตภาษีให้แก่แรงงานผู้มีรายได้ต่ำ เจรจาเรื่องการปฏิรูปสังคมสงเคราะห์ และเพิ่มเงินสมทบสำหรับการดูแลเด็กเล็ก ใน ค.ศ. 2001 เป็นประธานร่วมในเรื่องของกฎหมายว่าด้วยการปกครอง เขาสนับสนุนกฎระเบียบที่เสนอโดยผู้ว่าการรัฐ Ryan เพื่อควบคุมเงินกู้ใช้จ่ายระหว่างเงิน และการให้จำนองที่เอาเปรียบ เพื่อลดปัญหาบ้านถูกยึด ต่อมา โอบามาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์อีกครั้งใน ค.ศ. 1998 และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2002 ส่วนใน ค.ศ. 2000 นั้น เขาแพ้การเลือกตั้งแบบไพรแมรีเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐต่อ บอบบี รัช เจ้าของตำแหน่งคนเก่าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2 ต่อ 1 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 โอบามาได้เป็นประธานคณะกรรมการบริการสุขภาพและมนุษย์แห่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งตอนนั้น พรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง หลังจากต้องตกเป็นรองอยู่นานนับทศวรรษ ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. 2004 เพื่อหาวุฒิสมาชิกสหรัฐนั้น ตัวจากแทนตำรวจได้ให้เครดิตกับโอบามาอย่างมาก ในกรณีที่เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปกฎหมายการประหารชีวิต โอบามาจึงลาออกจากสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 และได้เริ่มหาเสียงเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จนกระทั่งในปี 2004 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004 เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2004. กลาง ค.ศ. 2002 โอบามาเริ่มคิดถึงเรื่องการเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ หลังจากที่เลือก เดวิด คอปเปอร์ฟีล มาเป็นที่ปรึกษาวางกลยุทธทางการเมือง โอบามาจึงได้ประกาศเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2003 ก็เป็นการเปิดโอกาสกว้างให้แก่ผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันได้เข้ามาหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนี้ซึ่งมีผู้สมัครรวม 15 คน การเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งของโอบามาได้รับแรงสนับสนุนจากแอกเซลรอดอย่างมากที่ช่วยหาเสียง ช่วยประชาสัมพันธ์โดยใช้ภาพจาก ฮาโรลด์ วอชิงตัน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนการรับรองจากลูกสาวของพอล ซิมอน นักการเมืองคนสำคัญของอเมริกาและอดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ ตัวแทนรัฐอิลลานอยส์ ทำให้โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 52 ในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 และยังนำคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วยกันเองถึงร้อยละ 29 เลยทีเดียว จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อชิงชัยตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ แต่ต่อมา คู่แข่งคนสำคัญของโอบามาคือ แจ็ค ไรอัน ผู้ชนะการเลือกตั้งแบบครั้งแรกจากพรรคริพับลิกัน ได้ประกาศถอนตัวจากการแข่งขันเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2004 เดือนกรกฎาคม ปี 2004 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการประชุมพรรคเดโมแครตระดับชาติประจำปี 2004 ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โอบามาเล่าถึงประสบการณ์ของผู้เป็นตาของเขาได้ผ่านประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2มาในฐานะทหารผ่านศึก และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก เคหะแห่งชาติ (New Deal's FHA) โครงการสำหรับทหารผ่านศึก (G.I. Bill) จากนั้นเขาได้กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลสหรัฐ เขาได้ตั้งคำถามถึงการบริหารงานในช่วงสงครามอิรักของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเน้นในประเด็นหน้าที่ของอเมริกาที่พึงมีต่อทหารของประเทศ โอบามาได้ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์อเมริกา ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ถือพวกอย่างหนัก และได้ขอร้องให้อเมริกันชนหันมาฝักใฝ่ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย โดยได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ว่า "ประเทศนี้ไม่มีอเมริกาเสรีนิยมกับอเมริกาอนุรักษนิยม มีเพียงประเทศสหรัฐ" ("There is not a liberal America and a conservative America; there's the United States of America.) สุนทรพจน์ส่วนนี้ ได้มีการเผยแพร่ทาง PBS, CNN, MSNBC, Fox News และ C-SPAN แก่ผู้ชม 9.1 ล้านคน ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ทางการเมืองของโอบามาดีขึ้นมาก ทำให้เขาได้รับความนิยมขึ้นอย่างล้นหลาม ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐครั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนจะถึงวันเลือกตั้ง คีนู ลีฟ์ ได้เข้ามาเป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันในการชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ แทนที่ ไรอัน ที่ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้ คีส์นั้นแต่เดิมมีบ้านอยู่ในรัฐแมริแลนด์ แต่เขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในรัฐอิลลินอยส์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โอบามาได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 70 ขณะที่คีส์ได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ชัยชนะอันท่วมท้นของโอบามาครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความต่างของคะแนนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของรัฐอิลลินอยส์เลยทีเดียวสมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008 สมาชิกวุฒิสภา, 2005-2008. โอบามาได้สาบานตนในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2005 เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาทำงานที่วอชิงตัน เขาจึงได้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความสามารถสูงมาช่วยเหลือการทำงาน ซึ่งจำนวนสมาชิกในคณะที่ปรึกษาของเขานี้มีมากกว่าที่สมาชิกวุฒิสภาคนอื่น ๆ ต้องการเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ในสมัยแรก เขาว่าจ้างให้ พีท เราซ์ ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองระดับชาติวัย 30 ปี และยังว่าจ้าง ทอม แดสเชิล อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานวุฒิสภาแห่งพรรคเดโมแครตเข้ามาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นก็ว่าจ้าง คาเรน คอร์นบลูห์ นักเศรษฐศาสตร์, โรเบิร์ต รูบิน อดีตรักษาการหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย โอบามาได้ให้ ซาแมนตา พาวเวอร์ ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และแอนโทนี เลค กับ ซูซาน ไรซ์ อดีตเจ้าหน้าที่บริหารสมัยประธานาธิบดีคลินตัน ให้เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของเขาด้วย ชื่อของโอบามาต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ เพราะเขาเป็นอเมริกันผิวสีคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐ และเป็นคนที่ 3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกของ Congressional Black Caucus นิตยสาร CQ Weekly นิตยสารที่เป็นกลางของสหรัฐได้ยกย่องโอบามาว่าเป็น "นักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์" จากผลการวิเคราะห์การโหวตให้คะแนนเสียงสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศในปี 2005-2007 และนิตยสาร National Journal ก็จัดว่าเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่"มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุด" จากการโหวตในปี 2007 แต่โอบามากลับรู้สึกสงสัยในวิธีการสำรวจเพื่อให้ได้ผลโหวตนี้ โดยตำหนิว่าการแบ่งการเมืองออกเป็นสองข้างระหว่าง"อนุรักษนิยม"กับ"เสรีนิยม" เป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้เกิดความลำเอียงในผลการสำรวจ ซึ่งก็ทำให้ผลโหวตออกมาไม่ตรงตามความจริงเท่าใดนัก บารัก โอบามา ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะเริ่มทำงานประธานาธิบดี เนื่องจากโอบามาดำรงวุฒิสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว แต่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกตำแหน่ง ทำให้ไม่มีเวลาในการประชุมรัฐสภาสหรัฐ เพื่อเป็นการไม่ให้เวลาการทำงานของตำแหน่งทั้งสองคาบเส้นกัน จึงต้องลาออกจากวุฒิสมาชิก ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยมีมาแล้วในสมัยประธานาธิบดีวาเรน ฮาร์ดิงด้านนิติบัญญัติ ด้านนิติบัญญัติ. โอบามาลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายนโยบายพลังงาน ค.ศ. 2005 เนื่องจากสอดคล้องกับความสนใจของเขา โอบามารับหน้าที่สำคัญในการผลักดันให้สมาชิกวุฒิสภา พัฒนาความปลอดภัยตามแนวชายแดนและการปฏิรูปการอพยพข้ามประเทศ ใน ค.ศ. 2005 นั้นเขาสนับสนุน "กฎหมายความปลอดภัยของอเมริกาและการอพยพอย่างมีระเบียบ" ที่ร่างขึ้นโดย จอห์น แมคเคน สมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนรัฐแอริโซนา จากพรรคริพับลิกัน ต่อมาเขาได้เพิ่มข้อแก้ไขสามจุดลงใน "กฎหมายปฏิรูปการอพยพทั่วไป" ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนกันยายน ปี 2006 นั้น โอบามาสนับสนุนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายป้องกันความปลอดภัย ซึ่งมีโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและพัฒนาความปลอดภัยอื่น ๆ ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ประธานาธิบดีบุชได้ลงนามรับรองยกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2006 โดยกล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นก้าวกระโดดสำคัญในการปฏิรูปการอพยพข้ามแดนเข้าสู่สหรัฐ ต่อมา โอบามาได้จับมือกับ ริชาร์ด ลูการ์ วุฒิสมาชิกแห่งรัฐอินเดียนาจากพรรคริพับลิกัน และ ทอม โคเบิร์น จากโอกลาโฮมา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ลูการ์-โอบามา" ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการลดอาวุธสงคราม และกฎหมาย "โคเบิร์น-โอบามา"ที่นำมาซึ่งการก่อตั้งเว็บไซต์ www.USAspending.gov ซึ่งเป็นเว็บที่เปิดในเดือนธันวาคม ปี 2007 และควบคุมโดยสำนักงานบริหารและงบประมาณ หลังจากที่ชาวอิลลินอยส์เริ่มไม่พอใจน้ำเสียที่เป็นผลมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในบริเวณใกล้เคียง โอบามาจึงได้สนับสนุนให้มีการตรากฎหมายบังคับให้เจ้าของโรงงานแจ้งให้แก่ทางรัฐและทางการของท้องถิ่นทันทีที่มีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี แต่ร่างกฎหมายที่ผ่อนปรนแล้วกลับถูกต่อต้านอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาก็ได้มีการนำกฎหมายนี้มาพิจารณาอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม ปี 2006 ประธานาธิบดีบุชได้นำกฎหมายนี้ไปปรับใช้เป็น "กฎหมายเพื่อสงเคราะห์ ความปลอดภัย และส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งคองโก" นับว่าเป็นผลงานด้านนิติบัญญัติชิ้นแรกของโอบามาที่มีบทบาทในระดับประเทศ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 โอบามาและวุฒิสมาชิก Feingold เสนอ"กฎหมายเกี่ยวกับการรวมกลุ่มเป็นบริษัทการผลิตเครื่องบินไอพ่น (jet)" เป็นกฎหมายที่เปิดเผยและน่าเชื่อถือ โดยลงนามเป็นกฎหมายเมื่อเดือน[[กันยายน 2007 โอบามาเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการหลอกลวง, การป้องกันการข่มขู่ผู้ไปลงคะแนนเสียง งบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลกลาง เขายังเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการลดการทำ[[สงครามอิรัก]] ต่อมาปลาย ค.ศ. 2007 โอบามาสนับสนุนให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจในการป้องกันประเทศ โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่บุคคลที่มีชื่อเสียงเมื่อเกิดเหตุจลาจล ซึ่งกฎหมายนี้ได้ผ่านการอนุมัตจากวุฒิสภาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2008 เขาได้สนับสนุนกฎหมายในการให้อำนาจต่อต้าน[[อิหร่าน]] โดยได้รับการสนับสนุนจากการลดกองทุนบำนาญของรัฐ จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของอิหร่าน และร่วมสนับสนุนการออกกฎหมายลดการเสี่ยงภัยจาก[[การก่อการร้าย]]ด้วย[[นิวเคลียร์]] โอบามายังได้สนับสนุนวุฒิสภาในการแก้ไขโปรแกรมของรัฐในการประกันสุขภาพของเด็ก โดยให้งานทำ 1 ปี สำหรับสมาชิกของครอบครัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บจาก[[สงคราม]]คณะกรรมการด้านต่าง ๆ คณะกรรมการด้านต่าง ๆ. บารัก โอบามาได้รับมอบหมายให้เป็น คณะกรรมการวุฒิสภาเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สิ่งแวดล้อม, งานสาธารณะ, วิเทรัน ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2006 ต่อมาเดือนมกราคม ปี 2007 เขาได้ออกจากการเป็นคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมและงานสาธารณะ แล้วได้เป็นกรรมการดูแลเกี่ยวกับ[[สาธารณสุข]], การศึกษา, แรงงาน และเงินสงเคราะห์ผู้ที่ไม่มีบ้าน และสวัสดิการของรัฐ เขายังกลายเป็นประธานคณะกรรมการวุฒิสภายุโรปอีกด้วย ในงานนี้ โอบามาได้ปฏิบัติภารกิจในการไปดูงานที่ ทวีป[[ยุโรป]]ตะวันออก, ตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง และ[[แอฟริกา]] โอบามายังได้พบกับ[[มาห์มุด อับบาส]] ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดี[[ปาเลสไตน์]] และยังได้ประณามการทุจริตของรัฐบาล[[เคนยา]] ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่[[มหาวิทยาลัยไนโรบี]] [[ประเทศเคนยา]]การหาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งประธานาธิบดี การหาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งประธานาธิบดี. [[ไฟล์:Flickr Obama Springfield 01.jpg|thumb|240px|left|โอบามาขณะอยู่บนเวทีพร้อมลูกสาวทั้งสอง ก่อนจะประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ณ เมืองสปริงฟีลด์ [[รัฐอิลลินอยส์]]]] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 โอบามาได้ประกาศบนเวทีหน้าอาคาร Old State Capitol ในนครสปริงฟิลด์ รัฐ[[อิลลินอยส์]]ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐใน[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008 โอบามาเลือกสถานที่นี้เพราะเป็นที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี[[อับราฮัม ลินคอล์น]]กล่าวปราศรัย House Divided เมื่อ ค.ศ. 1858 และอ้างถึงคำปราศรัยของลินคอล์นในการที่จะรวมประเทศที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งเดียว ก่อนหน้าที่โอบามาจะประกาศต่อหน้าสาธารณชนหนึ่งสัปดาห์นั้น โอบามาได้เรียกร้องให้ยุติการหาเสียงแบบโจมตีคู่แข่ง (negative campaigning) โอบามาได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการยุติ[[สงครามอิรัก]] [[นโยบายพลังงานสหรัฐ|พลังงาน]] และ[[การประกันชีวิต]]แบบสากล ซึ่งเขาได้นำมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงชิงชัยตำแหน่งตัวแทนพรรคครั้งนี้ ปรากฏว่า เขาได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ หลังจากการเลือกตั้งครั้งแรกเสร็จสิ้นลง ระหว่างการเลือกตั้งครั้งแรกกับการเลือกตั้งทั่วไป โอบามาได้จัดเตรียมบันทึกเอาไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณการบริจาค. ในวันที่ 19 มิถุนายน โอบามากลายเป็นคนแรกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกที่ปฏิเสธในเรื่องของการคลังสาธารณะ ในการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ระบบสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1976 [[ไฟล์:obama08acceptance.jpg|thumb|right|upright|โอบามากล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะของเขา]] ช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ในการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปนั้น โอบามาต้องเจอคู่แข่งคนสำคัญคือ [[ฮิลลารี คลินตัน]] ซึ่งช่วงแรกต่างคนก็ต่างเอาชนะกันในแต่ละรัฐ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ทางคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ(DNC) ได้พิจารณาคะแนนโหวตที่[[รัฐมิชิแกน]]และ[[ฟลอริดา]]ที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตามผลการโหวตครั้งสุดท้ายปรากฏว่าโอบามามีคะแนนนำ ในวันที่ 3 มิถุนายน โอบามาจึงได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันเดียวกันนั้น เขาได้แถลงการณ์ถึงชัยชนะที่เซนท์ พอล [[รัฐมินนิโซตา]] หลังจากนั้น ฮิลลารี คลินตัน จึงได้ยุติบทบาทในการหาเสียงทั้งหมด แล้วหันมาสนับสนุนโอบามาในวันที่ 7 กรกฎาคม เพื่อที่จะได้ไปเจอกับ[[จอห์น แมคเคน]] ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก[[พรรคริพับลิกัน]]ต่อไป วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2008 โอบามาได้เลือก[[โจ ไบเดิน]] จากรัฐ[[เดลาแวร์]] ให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต ที่ศูนย์ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต [[ฮิลลารี คลินตัน]] อดีตคู่แข่งภายในพรรคของโอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนโอบามา ให้เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เพื่อไปต่อสู้กับพรรคริพับลิกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม โอบามากล่าวสุนทรพจน์ท่ามกลางผู้สนับสนุนราว 84,000 คน และผู้ที่ดูทางโทรทัศน์อีก 38 ล้านคน และในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นั้น โอบามาได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ และยังนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของเขาต่อไป ภายหลังจาก[[การโต้วาที]] โอบามาได้รับชัยชนะจากโพลต่าง ๆ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ยายของเขา แมดาลีน ดันแฮม เสียชีวิตจาก[[โรคมะเร็ง]]ในอายุ 86 ปี แต่เขาเพิ่งทราบข่าวในวันถัดมาคือวันที่ 3 พฤศจิกายน ก่อนการเลือกตั้งเพียงวันเดียว ระหว่างที่[[จอห์น แมคเคน]]เป็นตัวแทนจากพรรคริพับลิกันสมัครชิงตำแหน่งประานาธิบดี มีการโต้วาทีกันถึง 3 ครั้งระหว่างโอบามากับแมคเคนในเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม ปี 2008 สำหรับผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น เขาชนะการเลือกตั้งแบบป็อปปูลาร์โหวต 53% และ ชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กโทรรอลโหวตอย่างท้วมท้น ต่อมาก็มีการจัดเฉลิมฉลองตามท้องถนนในหลายเมืองของสหรัฐและทั่วโลกภายหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งทันทีชัยชนะ ชัยชนะ. [[ไฟล์:President George W. Bush and Barack Obama meet in Oval Office.jpg|thumb|[[บารัก โอบามา]] พบปะกับ[[จอร์จ ดับเบิลยู บุช]] ใน[[ห้องทำงานรูปไข่]] เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551]] ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 บารัก โอบามาชนะเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอรัลโหวต 365 คะแนน ซึ่ง[[จอห์น แมคเคน]]ได้เพียงแค่ 173 คะแนน และกลายเป็นชาว[[แอฟริกันอเมริกัน]]คนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เขาได้ประกาศชัยชนะต่อประชาชนหลายแสนคน ที่สนับสนุนให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่แกรนด์ปาร์ค [[ชิคาโก]]ว่า "การเปลี่ยนแปลงได้มาถึงอเมริกาแล้ว" ("change has come to America") ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2009 ในการประชุมร่วมกันของสมาชิกจากสองสภาของ[[รัฐสภาสหรัฐ]] ได้รับรองผลอิเล็กทอรัลโหวต ใน[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008]] โดยใช้การนับจำนวนคะแนนเสียงที่โหวตให้ บารัก โอบามาได้รับการประกาศให้เป็นประธานาธิบดีโดยมี[[โจ ไบเดิน]] เป็นรองประธานาธิบดีการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี. [[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช]] ส่งพระราชสาส์นแสดงความยินดีกับโอบามา ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย โดยทรงได้อำนวยพรให้ประสบความสำเร็จเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประชาชน และความเจริญยิ่งขึ้นของสหรัฐวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง. โอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 [[โจ ไบเดิน]] เป็นรองประธานาธิบดี หลังจากที่ทำงานได้เพียงไม่กี่วัน เขาได้ออกคำสั่ง (Executive Order) และออกเอกสารบันทึกความเข้าใจประธานาธิบดี (Presidential Memorandum) บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ โดยตรงเพื่อพัฒนาแผนการถอนกำลังทหารออกจาก[[สงครามอิรัก|อิรัก]], และออกคำสั่งให้ปิดค่ายกักขังนักโทษกวนตานาโมทันทีและให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 ยิ่งไปกว่านั้น โอบามายังได้ปรับปรุงการเก็บรักษาข้อมูลลับของประธานาธิบดี และปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอข่าวสารที่สามารถเปิดเผยได้ ภายใต้รัฐบัญญัติข้อมูลข่าวสารสหรัฐ (Freedom of Information Act). และดำเนินนโยบายสนับสนุนการทำแท้งนโยบายในประเทศ นโยบายในประเทศ. วันที่ 29 มกราคม 2009 โอบามาลงนามในกฎหมาย “ลิลลี เลดเบทเทอร์ แฟร์ เพย์” (The Lilly Ledbetter Fair Pay Act) ซึ่งยกเลิกคำตัดสินของศาลในคดีที่ ลิลลี เลดเบทเทอร์ ฟ้อง บริษัท กู้ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ โค. (Goodyear Tire & Rubber Co.) และช่วยให้การเก็บเอกสารแยกแยะคดีฟ้องร้องในเรื่องการจ้างงานให้สะดวกยิ่งขึ้น 5 วันต่อมา เขาลงนามในระเบียบวาระประกันสุขภาพเด็ก (SCHIP) ทำให้เด็กอีกจำนวน 4 ล้านคนในปัจจุบันได้รับการประกันสุขภาพโดยทั่วถึงกัน ในเดือนมีนาคม 2009 โอบามายกเลิกนโยบายสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่กีดขวางไม่ให้งบจากรัฐบาลกลางมาใช้เป็นทุนสำหรับงานวิจัย[[สเต็มเซลล์]] แม้ว่าจะมีผู้วิจัยบางคนออกมาโต้แย้งในเรื่องนี้ เขาแถลงออกไปว่า "เรื่องวิทยาศาสตร์กับเรื่องศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกัน...เรามีมนุษยธรรมและคุณธรรมที่จะติดตามงานวิจัยนี้โดยรับผิดชอบ" และให้คำมั่นสัญญาว่าจะพัฒนานโยบายนี้ให้สมบูรณ์ วันที่ 26 พฤษภาคม 2009 โอบามาเสนอชื่อ โซเนีย โซโตเมเยอร์ เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐแทนที่ เดวิด ซูเตอร์ ที่ลาออกไป โซโตเมเยอร์ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2009 ด้วยจำนวนเสียง 68-31 เธอกลายเป็นชาวสเปนคนแรกที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เธอเข้าร่วมกับ รุธ เบเดอร์ จินส์เบิร์ก หนึ่งในจำนวนผู้หญิง 2 คนและเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่เป็นผู้พิพากษาตลอดมา วันที่ 30 กันยายน 2009 รัฐบาลโอบามาประกาศข้อบังคับเรื่องพลังงานพืช, โรงงานและโรงกลั่นน้ำมันให้จำกัดมลภาวะเรือนกระจกเพื่อช่วยลด[[ปรากฏการณ์โลกร้อน]]การจัดการเศรษฐกิจ การจัดการเศรษฐกิจ. วันที่ 17 มกราคม 2009 โอบามาลงนามในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ 787 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นกฎหมาย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมถึงการใช่จ่ายจากส่วนกลางสำหรับประกันสุขภาพ, สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน, การศึกษา, ภาษีต่าง ๆ และสิ่งชักจูงอื่น ๆ และช่วยเหลือไปที่ปัจเจกบุคคลโดยตรง ซึ่งกำลังกระจายไปตลอดหลายปี ในเดือนมีนาคม ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่งในการจัดการกับวิกฤติการณ์การเงิน รวมไปถึงการนำเสนอกองทุนการร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชน หรือ Public-Private Investment Program (PPIP) เพื่อซื้อคืนหนี้เสีย (Legacy. Assets) จากสถาบันการเงิน วันที่ 23 มีนาคม หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ บันทึกไว้ว่า "ผู้ลงทุนมีปฏิกิริยาที่ปีติยินดีอย่างเหลือล้นกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ถีบตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับตลาดเปิด" โอบามาเข้าแทรกแซงวิกฤตการณ์อุตสารหกรรมยานยนต์ ในเดิอนมีนาคม ต่อสัญญาเงินกู้ให้แก่บริษัท[[เจเนรัลมอเตอร์]] และ [[ไครสเลอร์ คอปอเรชัน]] เพื่อให้ดำเนินกิจการเป็นไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่มีการวางนโยบายใหม่ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำเนียบขาวจัดให้ทั้งสองบริษัทอยู่ในสถานะล้มละลาย รวมไปถึงการขายกิจการของไครสเลอร์ให้แก่[[เฟียท]] และการปรับปรุงของบริษัทเจเนรัลมอเตอร์เป็นการให้ผลประโยชน์ชั่วคราวที่ยุติธรรมต่อรัฐบาลสหรัฐ 60% รัฐบาลแคนาดารับภาระ 12% ในเดือนมิถุนายน 2009 ความก้าวหน้าของตัวกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่พียงพอ โอบามาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบเร่งลงทุน เขาลงนามเป็นกฎหมายใน Cash For Clunkers หรือที่รู้จักกันในชื่อ CARS-Car Allowance Rebate System มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายสมบูรณ์ เป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์สหรัฐ และเพิ่มความสนใจให้แก่คนอเมริกันในการหันมาเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ซึ่งมีอัตรา ความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง และมีระดับการสร้างมลพิษในอากาศน้อยกว่ารถยนต์รุ่นเก่า ๆ และแคมเปญนี้เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2009ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ. [[ไฟล์:Obama signs health care-20100323.jpg|right|thumb|โอบามาลงนามในกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010]] โอบามาเรียกร้องให้รัฐรัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นสัญญารณรงค์เรื่องหลักและเป็นเป้าหมายสูงสุดของนิติบัญญัติ เขาได้เสนอการขยายการดูแลประกันสุขภาพซึ่งจะครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ด้วย ข้อเสนอของเขานี้จะใช้งบ 900 พันล้านดอลลาร์ครอบคลุมถึง 10 ปีและรวมไปถึงแผนประกันภัยของรัฐบาลเพื่อที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน มันอาจจะทำให้เกิดสิ่งผิดกฎหมายกับผู้ที่ทำประกันภัย ทำให้เกิดการปฏิเสธการรักษาของพวกที่ไม่สบายก่อนหน้านี้ และต้องการให้ครอบคลุมถึงสุขภาพของชาวอเมริกันทุกคน แผนการนี้ยังได้รวมถึงการตัดค่าจ่ายใช้จ่ายทางการแพทย์ และภาษีของบริษัทประกันภัยซึ่งเสนอแผนการต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง วันที่ 14 กรกฎาคม 2009 ผู้นำรัฐสภาจากพรรคเดโมแครต นำเสนอแผนการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพสหรัฐจำนวน 1,017 หน้าซึ่งโอบามาต้องการให้รัฐรัฐสภาสหรัฐอนุมัติภายในสิ้นปี 2009 หลังจากที่มีการอภิปรายทางสาธารณะอย่างมากในระหว่างการประชุมรัฐสภาช่วงฤดูร้อนปี 2009 โอบามาประกาศแถลงการณ์ของ[[สภาคู่]]เมื่อวันที่ 9 กันยายน เขาพูดในสภาว่ากังวลในเรื่องของข้อเสนอของรัฐบาลของเขา วันที่ 7 พฤศจิกายน 2009 [[สภาล่าง]]ผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพ ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2009 [[สภาสูง]]ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วยคะแนนโหวต 60-39 วันที่ 21 มีนาคม 2010 ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงในเดือนธันวาคม และจากสภาล่างด้วยคะแนนโหวต 219 ถึง 212 โอบามาลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010ตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งทางการเมือง. แบบแผนหรือทฤษฎีของนักการเมืองใช้สำหรับการวัดความคิดที่เป็นไปได้ คือการเปรียบเทียบคะแนนนิยมประจำปีของ องค์กรวัดคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันผู้นิยมประชาธิปไตย (ADA) กับ สมาพันธ์ชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มอนุรักษนิยม หรือพวกที่ชอบประเพณีเก่า ๆ ล้าสมัย (ACU) การอยู่ในรัฐสภาสหรัฐหลายปี โอบามาได้มีค่าเฉลี่ยคะแนนนิยมอยู่ที่ 7.67% (สำรวจโดย ACU) และจากการสำรวจโดย ADA เขาได้คะแนนนิยม 90% บารัก โอบามา มีนโยบายที่ตรงข้ามกับนโยบายของประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]]เกี่ยวกับอิรัก ซึ่งในวันที่ 2 ตุลาคม 2002 ประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]] และ[[รัฐรัฐสภาสหรัฐสหรัฐ]] ได้ลงมติเห็นชอบร่วมกันในการทำ[[สงครามอิรัก]] โอบามาได้พูดรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรักที่ Federal Plaza ใน[[ชิคาโก]]เป็นครั้งแรก และเขายังได้กล่าวปราศรัยต่อต้านในเรื่องนี้มาโดยตลอดโอบามาอ่านแถลงการณ์ครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ในเรื่องของการประท้วงต่อต้านการทำ[[สงครามอิรัก]] ที่ Kluczynski Federal Building, Chicago เขาพูดโจมตีอย่างรุนแรง ในวันที่ 16 มีนาคม 2003 ประธานาธิบดีบุชได้ยื่นคำขาดให้[[ซัดดัม ฮุสเซน]]ออกจากอิรักภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนที่[[สงครามอิรัก|สหรัฐจะรุกรานอิรัก]] โอบามากล่าวถึงการรณรงค์ต่อต้านการทำสงครามอิรัก และได้บอกสื่อมวลชนว่า "ยังไม่สายเกินไปที่จะยุติสงคราม" ถึงแม้ว่าเขาได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาจะถอดกำลังทหารออกจากอิรักทั้งหมดภายในเวลา 16 เดือนหลังจากที่เขาเป็นประธานาธิบดี หลังจากที่เขาชนะในครั้งแรกนั้น เขากล่าวว่าเขาอาจจะทำตามที่สัญญาไว้ โอบามาได้แจ้งว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 352,900 ล้านบาท เพื่อหยุดการลงทุนซื้ออาวุธที่พิสูจน์ไม่ได้ ในระบบการป้องกันประเทศ, ลดการพัฒนาระบบการรบหรือการต่อสู้ลง และมุ่งทำงานเพื่อกำจัด[[อาวุธนิวเคลียร์]]ทั้งหมด โดยเริ่มจากการลดการสั่งสมนิวเคลียร์ในปัจจุบันของสหรัฐลง ออกกฎหมายห้ามไปทั่วโลกในการผลิตวัตถุดิบในการผลิตอาวุธ และหาทางเจรจาตกลงกับ[[รัสเซีย]]ที่จะขจัด ICBMs ออกไปจากสถานะเตือนภัยหรือต้องระวังสูงสุด [[ไฟล์:ObamaSouthCarolina.jpg|thumb|left|upright|โอบามาพูดในที่ชุมนุมที่คอนเวย์ [[รัฐเซาท์แคโรไลนา]]]] ในเดือน[[พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ขอให้เปลี่ยนแนวรบโดยการถอนกองทัพสหรัฐออกจากอิรัก และเปิดการเจรจาทางการทูตกับ[[ซีเรีย]]และ[[อิหร่าน]] ต่อมาเดือน[[มีนาคม 2007 ได้มีการพูดในคณะกรรมการความสัมพันธ์สาธารณะอเมริกัน-อิสราเอล (AIPAC) โดยเห็นด้วยกับการลอบบี้ของ[[อิสราเอล]] เขาได้กล่าวว่า วิธีเบื้องต้นที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็คือ การพูดเจรจาและใช้วิธีทางการทูตกับอิหร่านโดยปราศจากเงื่อนไขก่อน รายละเอียดของกลยุทธ์ของเขาเพื่อต่อสู้กับ[[การก่อการร้าย]]สากล ในเดือน[[สิงหาคม 2007 โอบามาพูดว่า "เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมากที่รบล้มเหลว" ซึ่งขัดกับการพบกับผู้นำอัลเคด้า ในปี 2005 ที่หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐได้ยืนยันที่จะกระทำขึ้น ในพื้นที่รัฐบาลกลางของปากีสถาน เขากล่าวว่า ถ้าเป็นประธานาธิบดี เขาจะไม่สูญเสียโอกาสเช่นนั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปากีสถานก็ตาม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2005 คอลัมน์ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ The Washington Post และที่รวมพลังพิทักษ์ดาฟูร์ในเดือนเมษายน 2006 โอบามายังเรียกร้องให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อต่อต้าน[[การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาร์ฟูร์]] ดินแดนทางทางตะวันตกของ[[ประเทศซูดาน]] เขายังได้ถอนเงิน 180,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6,352,200 ล้านบาท ออกจากการยึดถือเงินส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเทศซูดาน และได้ถอนการทำธุรกิจบริษัทต่าง ๆ ออกจาก[[ประเทศอิหร่าน]] ในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2007 เรื่องนโยบายเกี่ยวกับงานด้านการต่างประเทศ โอบามาได้เรียกร้องให้มองนโยบายที่ส่งทหารไปประจำการใน[[สงครามอิรัก]]ออกไปข้างนอก และจัดตั้งกองทัพสหรัฐขึ้นมาใหม่ การทูต และจริยธรรมของผู้นำในโลก การกล่าวว่า "เราไม่สามารถล่าถอยจากโลกและพยายามข่มขู่ข้าศึกเพื่อให้ยอมจำนน" โอบามาได้ปราศรัยต่อหน้าประชาชนอเมริกันว่า "นำโลกโดยการกระทำเป็นตัวอย่าง" เดือนเมษายน ค.ศ. 2005 ในงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขาได้พูดสนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมเพื่อการค้าใหม่ ของประธานาธิบดี[[แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์]] และคัดค้านข้อเสนอจากทาง[[พรรคริพับลิกัน]] ที่จะจัดตั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อสวัสดิการสังคม ภายหลังจากควันหลง[[พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา]] โอบามาพูดต่อต้านรัฐบาลว่า ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งแยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยังเรียกร้องไปยังพรรคการเมือง ให้มีการรื้อฟื้นเครือข่ายความปลอดภัยเพื่อคนจน ก่อนที่จะมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้น เขาได้กล่าวไว้ว่าเขาสนับสนุนการดูแลสุขภาพในสหรัฐ เขาได้เสนอการให้รางวัลแก่ครูจากการสอนหนังสือ ตามระบบที่มีการให้สิ่งตอบแทนที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณี สร้างความมั่นใจให้แก่สหภาพครูว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในกระบวนการข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับค่าจ้างชั่วโมงทำงาน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 โอบามากล่าวโทษกลุ่มที่มีผลประโยชน์ที่หลบเลี่ยงการจัดเก็บภาษี ในแผนการของโอบามาจะไม่มีการเก็บภาษีจากพลเมืองอาวุโส ที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,764,500 บาท ต่อปี แต่เพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,822,500 บาท ต่อปี เฉกเช่นเงินทุนที่ได้มาและเงินปันผลจากการตัดภาษี จัดการบริษัทที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเกี่ยวกับภาษีในการโกงภาษี ยกเลิกรายได้ที่ต่อยอดมาจากภาษีที่ใช้รักษาความปลอดภัยในสังคม ควบคุมภาษีของบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และการเพิ่มภาษีรายได้ให้เด่นชัด ซึ่งได้ส่งกลับไปก่อนที่จะมีการเพิ่มค่าจ้าง และข้อมูลทางธนาคาร แล้วจึงจะรวบรวมโดยหน่วยงานบริการรายได้ภายใน (IRS) การประกาศนโยบายวางแผนพลังงานในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน[[ตุลาคม ค.ศ. 2007 โอบามาเสนอขีดจำกัดเกี่ยวกับระบบการขายทอดตลาดเพื่อที่จะจำกัดการแพร่กระจายของคาร์บอน และโปรแกรมการลงทุน 10 ปี ในแหล่งพลังงานใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันของสหรัฐฯ โอบามาเสนอว่าสินเชื่อมลภาวะจะต้องขายทอดตลาด ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทน้ำมันและแก๊ส และการใช้จ่ายภาษีอากรตลอดจนไปถึงเรื่องของการพัฒนาและค่าใช้จ่ายการขนส่งทางเศรษฐกิจ โอบามาได้กระตุ้นพรรคเดโมแครตให้เข้าถึงกลุ่ม[[นิกายโปรแตสแตนต์]] และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ให้ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 เขาได้ร่วมกับวุฒิสมาชิก แซม บราวน์แบล็ก ในองค์กรช่วยเหลือ[[โรคเอดส์]]โลก (Global Summit on AIDS and the Church) ซึ่งก่อตั้งโดย Kay and Rick Warren ในช่วงที่เขาทำงานอยู่กับ Warren และ บราวน์แบล็กนั้น โอบามาได้ทดสอบเกี่ยวกับเชื้อเอดส์ ตามที่เขาได้ทำใน[[ประเทศเคนยา]]อย่างน้อย 4 เดือน ก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นในสาธารณชนอื่น ๆ ทำเช่นเดียวกันและไม่ใช่เรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด ก่อนการประชุมได้มีกลุ่มต่อต้าน[[การทำแท้ง]] 18 คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับสิ่งที่โอบามาสนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ในจดหมายมีเนื้อหาว่า "เราต่อต้าน Rick Warren อย่างรุนแรงในการตัดสินใจที่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับจุดยืนของการตายอย่างชัดเจนของวุฒิสมาชิกโอบามา และเชิญเขามาที่โบสถ์ Saddle Back" ในการกล่าวกับสมาชิกของนิกายคริสต์กว่า 8,000 คนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 โอบามาขึ้นชื่อว่าเป็น"ผู้นำของชาวคริสเตียนที่จะกระตือรือร้นเป็นผู้แบ่งแยกเรา"ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว. โอบามา ได้พบกับ [[มิเชล โอบามา|มิเชล โรบินสัน]] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1989 ขณะที่เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ในช่วงซัมเมอร์ที่บริษัทกฎหมาย Sidley Austin ในเมืองชิคาโก หลังจากนั้นโรบินสันก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทนี้ในตำแหน่งที่ปรึกษาของโอบามาเป็นระยะเวลา 3 เดือน โรบินสันได้คบหาสมาคมแบบกลุ่มกับโอบามา แต่กลับปฏิเสธการขอเดทครั้งแรกจากโอบามา ต่อมา พวกเขาออกเดทกันในซัมเมอร์นั้น และเป็นแฟนกันใน ค.ศ. 1991 จนกระทั่งแต่งงานในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1992 ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คนคือ [[มาเลีย แอน โอบามา|มาเลีย แอน]] (เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1998) และ [[นาตาชา โอบามา|นาตาชา]] ("ซาชา", เกิดปี 2001) ในชิคาโก ครอบครัวโอบามาได้ส่งลูกสาวทั้ง 2 คนไปเรียนที่ University of Chicago Laboratory Schools และเริ่มต้นใช้ชีวิตที่[[วอชิงตัน ดี.ซี.]] หลังจากนั้นก็ส่งไปเรียนต่อที่ Sidwell Friends School ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อนร่วมสถาบันแทนที่จะเรียกชื่อของเขาว่าบารัก แต่กลับตั้งฉายาให้เขาใหม่ว่า "แบรี่" (Barry) ที่แปลว่าคนผิวดำ ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกพอสมควร [[ไฟล์:Barack_and_michelle.jpg|thumb|right|[[บารัก โอบามา]] กับ [[มิเชล โอบามา]]]] ประโยชน์จากการขายหนังสือทำให้ครอบครัวของโอบามาย้ายจาก Hyde Park ไปยังคอนโดมิเนียมในชิคาโก ย่านเคนวูด (Kenwood) มูลค่า 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายบ้านให้โอบามานี้เกิดขึ้นโดยภรรยาผู้บุกเบิกและเพื่อนของเขาคือ Tony Rezko ได้ดึงดูดความสนใจจากสื่อ เนื่องจากคำฟ้องร้องของ Rezko และตัดสินว่ามีความผิด ในเรื่องของข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางการเมืองว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอบามา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิตยสาร Money ได้ประเมินทรัพย์สินของครอบครัวโอบามาที่ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45.87 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) ภาษีของพวกเขาใน ค.ศ. 2007 ชี้ให้เห็นว่ารายได้ของครอบครัวนี้อยู่ที่ 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 148.21 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน ค.ศ. 2006 และ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 56.45 ล้านบาท (การเทียบเงินในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551) ในปี 2005 รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการขายหนังสือของเขา [[ไฟล์:BarackObama-Basketball.JPEG|left|thumb|upright|โอบามากำลังเล่นบาสเกตบอลกับทหารอเมริกันที่[[ประเทศจิบูตี]] ในปี 2006]] ใน ค.ศ. 2006 โอบามาได้ให้สัมภาษณ์โดยเน้นจุดเด่นของความแตกต่างกันของครอบครัวขนาดใหญ่ของเขาว่า "มิเชล จะบอกคุณว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกันในวันคริสต์มาส หรือ วันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเสมือนเป็นสหประชาชาติขนาดเล็ก ๆ " เขาพูดว่า "ผมมีญาติซึ่งเหมือน [[เบอร์นี แมค]] และผมมีญาติซึ่งเหมือน [[มาร์กาเรต แทตเชอร์]]" โอบามามีญาติทางพ่อเขาซึ่งเป็นชาวเคนยา 7 คน โดย 6 คนยังมีชีวิตอยู่ และน้องสาวของต่างบิดาของเขา มายา ซูโตโร ซึ่งเกิดกับแม่ของโอบามาและสามีคนที่สองที่เป็นชาว[[อินโดนีเซีย]] แม่ของโอบามามีมารดาเป็นชาวแคนซัส ชื่อ เมดาลีน ดันแฮมจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ก่อนที่จะมี[[การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2008]] เพียง 2 วัน ในหนังสือ Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance หรือในชื่อภาษาไทย บารัก โอบามา ผมลิขิตชีวิตตัวเอง อัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความคิด และมุมมองที่มีต่อเรื่องสีผิว โอบามามักจะบอกว่าเขาไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพราะเป็นคนเด่นดัง แต่ต้องการบันทึกเรื่องราวของเชื้อชาติ และมรดกทางปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาตัวตน โอบามามีครอบครัวทางมารดาเชื้อชาติอเมริกันและเป็นญาติห่าง ๆ กับเจฟเฟอร์สัน เดวิส ซึ่งเป็นประธานสมาพันธ์ภาคใต้ในระหว่าง[[สงครามกลางเมืองอเมริกา]] ปู่ทวดและตาทวดของโอบามาต่อสู้ใน[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] พี่ชายของปู่ย่าตายายของโอบามาสังกัดกองพลที่ 89 ที่บุกไปยังค่าย Ohrdruf ซึ่งเป็นค่ายนาซีค่ายแรกที่ถูกทำลายโดยกองทัพสหรัฐฯ โอบามาเล่น[[บาสเกตบอล]] เป็นสมาชิกในทีมนักบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้เขายังมีความพยายามในการเลิกสูบบุหรี่เป็นเวลาหลายครั้ง รวมไปถึงการเป็นแบบอย่างของสาธารณชนที่ดี และพยายามอย่างต่อนเองก่อนที่จะหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และประกาศว่าจะไม่สูบบุหรี่ใน[[ทำเนียบขาว]]เป็นอันขาด โอบามาเป็นชาว[[คริสต์ศาสนิกชน|คริสต์]]ซึ่งเป็นศาสนาที่เขานับถือเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ในหนังสือ The Audacity of Hope หรือในชื่อภาษาไทย กล้าหวัง กล้าเปลี่ยน รวบรวมสุนทรพจน์และปาฐกถา และสะท้อนแนวคิดทางการเมืองที่จะนำอเมริกาไปสู่ความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมุมมองในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ทั้งความเหลื่อมล้ำในสังคม คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็งในเวทีโลกให้แก่อเมริกา โอบามาได้เขียนว่า ไม่ได้ยกเลิกการนับถือศาสนาในครอบครัว เขาอธิบายเกี่ยวกับมารดาของเขาว่าเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามทั้งนิกาย[[เมทอดิสต์]] และนิกาย[[แบปทิสต์]] ซึ่งยังไม่ได้ถอนตัวออกจากศาสนาเสียทีเดียว ในหลาย ๆ วิธีที่บุคคลที่ตื่นตัวแล้วส่วนมากที่นิยมไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาอธิบายเกี่ยวกับบิดาชาวเคนยาของเขาว่า ไม่เป็น[[มุสลิม]] แต่เป็นผู้ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพ่อและแม่ของเขาเชื่อในขณะนั้น และพ่อเลี้ยงชาวอินโดนีเซียของเขาเป็นผู้เห็นว่าศาสนาไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในหนังสือนี้โอบามาได้อธิบายวิธีทำงานร่วมกับคนผิวดำในโบสถ์ต่าง ๆ ในองค์กรชุมชน ในช่วงที่เขามีอายุประมาณ 20 ปี เขาได้เข้าใจเกี่ยวกับพลังอำนาจของศาสนา [[แอฟริกันอเมริกัน]] ที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เขาได้รับชื่อใน[[พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน]]ที่ สหคริสตจักรตรีเอกานุภาพแห่งพระคริสต์ (Trinity United Church of Christ) ใน ค.ศ. 1988 นอกเหนือจาก[[ภาษาอังกฤษ]]แล้ว โอบามายังพูด[[ภาษาอินโดนีเซีย]]ได้อีก แต่พูดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในสมัยที่เขาย้ายไปเรียนที่[[จาการ์ตา]]ตอนอายุ 4 ขวบ หลังจากการประชุมลับสุดยอด[[เอเปค]]ที่[[ประเทศเปรู]] ในปี 2008 ประธานาธิบดี[[ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน]] แห่ง[[อินโดนีเซีย]]ต่อสายสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไปยังโอบามา โดยออกอากาศสดทางสื่อต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย โอบามาพูดกับซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน ว่าเขาคิดถึงอาหารอินโดนีเซียอย่างเช่น นาสิ โกเล็ง, บาคโซ และ เงาะภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทางการเมือง ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทางการเมือง. [[ไฟล์:Five Presidents 2009.jpg|thumb|[[บารัก โอบามา]]กับอดีตประธานาธิบดี[[จอร์จ ดับเบิลยู. บุช]], [[จิมมี คาร์เตอร์]], [[จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช]], และ[[บิล คลินตัน]] ใน[[ห้องทำงานรูปไข่]]เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2009]] โอบามามีพ่อเป็นชาว[[เคนยา]] แม่เป็นชาว[[อเมริกัน]]ผิวขาว เขาได้รับการอบรมสั่งสอนในวัยเด็กที่[[โฮโนลูลู]] และ[[จาการ์ตา]] จบจาก[[ไอวีลีก]] ประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยเริ่มต้นของโอบามาแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากนักการเมืองอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเหล่านั้น ผู้ซึ่งดำเนินวิถีทางของพวกเขาเอง ใน ค.ศ. 1960 พวกเขามีแนวคิดในการมีส่วนร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง การแสดงความงุนงงให้เห็นเกี่ยวกับคำถามที่ว่าเขาดำพอแล้วหรือยัง โอบามากล่าวในการประชุมที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์ของคนผิวดำแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 ว่าการอภิปรายไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย หรือนโยบายของเขาที่จดบันทึก ที่เป็นห่วงถึงผู้ออกเสียงที่เป็นคนผิวดำ โอบามากล่าวว่า "เรายังคงติดแน่นอยู่กับความรู้สึกนี้ที่ว่าถ้าคุณไปอ้อนวอนแต่พวกผิวขาวก็เหมือนกับว่าคุณกำลังทำอะไรผิด" [[ไฟล์:20090124 WeeklyAddress.ogv|thumb|left|โอบามาแถลงการณ์ประธานาธิบดีฉบับแรก ชี้แจงถึงรัฐบัญญัติฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุนปี 2009]] เสียงสะท้อนจากคำแถลงการณ์ ในการเข้ารับตำแหน่ง[[ประธานาธิบดี]]อย่างเป็นทางการของ [[จอห์น เอฟ. เคนเนดี]] โอบามายอมรับความจริงเกี่ยวกับภาพพจน์ของเขาในตอนแรกเริ่ม ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ว่า "ข้าพเจ้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกเป็นอันขาด ถ้าหากว่าตะเกียงยังไม่ได้จุดขึ้นมาใหม่" และมีสำนวนที่กินใจอยู่สำนวนหนึ่งคือ "Rosa sat so Martin could walk; Martin walked so Obama could run." โอบามายังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราศรัยต่อสาธารณชน เมื่อเทียบกับนักพูดที่มีชื่อเสียงในอดีต อย่าง[[มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์]] คำกล่าวของเขาที่มีชื่อเสียง เช่น "Yes We Can" ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในดนตรีที่สร้างขึ้นมาโดย [[วิล.ไอ.แอม]] มีประชาชนทั่วโลกกว่า 10 ล้านคนดู[[วิดีโอ]]นี้ทางเว็บ[[ยูทูบ]] (YouTube.com) เพียงแค่ 7 เดือนแรกเท่านั้น และยังได้รับ[[รางวัลเอ็มมี]]อีกด้วย ศาสตราจารย์ Jonathan Haidt แห่ง [[มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย]] ได้วิจัยประสิทธิผลจากการพูดของโอบามาในที่สาธารณะ และมีเหตุผลที่สรุปได้ว่ามีประสิทธิผลมาก เพราะนักการเมืองมักมีความช่ำชองในการพูดปลุกเร้าอารมณ์ และปรารถนาที่จะประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลธรรมต่อผู้อื่น ส่วนการชี้แจงถึงนโยบายต่าง ๆ และการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น โอบามามีแผนที่จะจัดรายการโทรทัศน์เพื่อพบปะกับประชาชน เหมือนกับรายการ "ไฟล์ไซต์ แชท" ที่โด่งดังของประธานาธิบดี[[แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์]] นักวิเคราะห์หลายคนได้อ้างถึงการเป็นที่สนใจของต่างชาติของโอบามา เป็นการให้คำจำกัดความสำหรับภาพพจน์ของเขา ไม่เพียงแต่โพลจากหลายสำนัก ที่แสดงพลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ แต่โอบามายังได้สร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับนักการเมืองที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น [[โทนี แบลร์]] อดีต[[นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร]] ซึ่งพบกันใน ค.ศ. 2005, วอลเตอร์ เวลโทนี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของอิตาลี ที่มาเยี่ยมเยียนยังสำนักงานวุฒิสภาของโอบามาใน ค.ศ. 2005 และ[[นีกอลา ซาร์กอซี]] [[ประธานาธิบดีฝรั่งเศส]] ซึ่งเคยมาเยี่ยมเยียนโอบามาใน ค.ศ. 2006 ที่[[วอชิงตัน ดี.ซี.]] โอบามาชนะ[[รางวัลแกรมมี]]ในหมวดหมู่รางวัล Best Spoken Word Album จากการตัดต่อคำพูดลงในเทปบันทึกของหนังสือ "Dreams from My Father" ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 และ "The Audacity of Hope" ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 [[นิตยสารไทม์]]เลือกบารัก โอบามาให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]] ประจำปี 2008 วันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ให้บารัก โอบามา ได้รับ[[รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ]]โดยข้อความที่ได้รับรางวัล คือ "สำหรับความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่การทูตระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างผู้คนทั่วโลก"งานเขียนงานเขียน. - The Audacity of Hope: Thoughts on Reclaiming the American Dream,(2006). Crown Publishers, Division of Random House, NY - Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance, (1995). Time Books an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY - Change We Can Believe In: Barack Obama's Plan to Renew America's Promise, (2008). Three Rivers Press, an imprint of Crown Publishers, Division of Random House, NY
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรกที่เป็นชาวแอฟริกันอเมริกันคือใคร
{ "answer": [ "บารัก โอบามา" ], "answer_begin_position": [ 87 ], "answer_end_position": [ 99 ] }
2,124
20,259
เดชา บุญค้ำ ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ (เกิด 13 ตุลาคม พ.ศ. 2482 - ) ราชบัณฑิต ประเภทวิชาสถาปัตยศิลป์ สาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม สำนักศิลปกรรมศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภูมิสถาปัตยกรรม) ประจำปี 2549 ภูมิสถาปนิกคนสำคัญของเมืองไทย ผู้บุกเบิกด้านการศึกษาและวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรมของประเทศไทย ได้ออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์เขตต่างๆ, สวนหลวง ร.๙, อุทยานเบญจสิริ, สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ และอื่นๆ รวมทั้งงานภูมิทัศน์วัดโสธรวรารามวรวิหาร ผังแม่บทภูมิทัศน์เดิมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (พ.ศ. 2537) เป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2520 และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นประธานสภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทยคนแรก รองประธาน คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการผังเมือง และประธานคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษานโยบาย กฎหมาย และโครงสร้างหน่วยงานการตั้งถิ่นฐานและการผังเมือง และเป็นเจ้าของสำนักงานภูมิสถาปนิกแห่งแรกของประเทศไทย ชื่อบริษัทสำนักงานภูมิสถาปนิก ดี เอส บี แอสโซสิเอส (DSB Associates) ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา ยังได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็น 1 ใน 12 คณะวุฒยาจารย์ (คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการ หรือ กพว.เดิม) โดยสภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติผลการสรรหาและแต่งตั้งแล้ว ตาม ม. 23 ของ พรบ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2551ประวัติ ประวัติ. ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ เกิดที่จังหวัดเชียงราย จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงรายเมื่อ พ.ศ. 2498 เตรียมอุดมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2500 และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสถาปัตยกรรมบัณฑิต รุ่นเดียวกับ ผศ.ปราโมทย์ แตงเที่ยง, รศ.ดร.เกียรติ จิวะกุล, ผศ.อัศวิน พิชญโยธิน และ รศ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2506 เดชา ได้เริ่มทำงานในตำแหน่งสถาปนิกโทกองแบบแผน กรมโยธาเทศบาล หรือกรมโยธาธิการและผังเมืองในปัจจุบัน เป็นเวลา 5 ปี จึงได้ลาไปศึกษาต่อปริญญาโทสาขาภูมิสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสหรัฐอเมริกา ได้รับปริญญา Master of Landscape Architecture เมื่อปี พ.ศ. 2513 หลังจากกลับมารับราชการต่อที่กรมโยธาเทศบาล (ปัจจุบันคือกรมโยธาธิการและผังเมือง) ได้ 2 ปีจึงได้โอนไปดำรงตำแหน่งวิทยากรโท สำนักนโยบายและแผน ฝ่ายสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ปี พ.ศ. 2517 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ขอรับโอนศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำมาดำรงตำแหน่งอาจารย์โทในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยมอบหมายให้เป็นผู้ร่างหลักสูตรภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ระดับปริญญาตรี พร้อมทั้งได้ดำเนินการร่างหลักสูตรเมื่อ พ.ศ. 2518 และจัดตั้งภาค(แผนก)วิชาภูมิสถาปัตยกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2520 และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาคนแรกเป็นเวลา 6 ปี ต่อจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายวิชาการและตำแหน่งคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ต่อเนื่องมาเป็นลำดับ ได้ร่วมก่อตั้งสภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 ได้รับการโปรดเกล้าเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรมและเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ. 2543 ปี พ.ศ. 2544 ได้รับพระราชทานกิตติบัตรเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และต่อมาได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยาประจำปี พ.ศ. 2546 สาขาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำเป็นภาคีสมาชิกสำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน สาขาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา ได้รับการคัดเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2549 ในสาขาทัศนศิลป์ (ภูมิสถาปัตยกรรม) จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.)และได้เข้ารับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และในปีเดียวกันก็ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ วันที่ 12 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ประจำปีการศึกษา 2556 ปี พ.ศ. 2558เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำ สมรสกับ นางสาวิตรี มีบุตรธิดารวม 3 คนผลงาน ผลงาน. ผลงานสำคัญของศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำรวมทั้งการบุกเบิกวิชาชีพและการวางรากฐานการศึกษาภูมิสถาปัตยกรรมของประเทศไทย ได้เปิดสำนักงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมแห่งแรกของประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2530 ได้ก่อตั้งสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทยขึ้น และดำรงตำแหน่งนายกสมาคม 1 วาระ ทางด้านการพัฒนาวิชาชีพภูมิสถาปนิก ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา ยังเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาสถาปนิก เพื่อร่างกฎหมาย ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิชาชีพ หลักสูตร แนวทางในการพัฒนาวิชาชีพในสาขาภูมิสถาปัตยกรรมและสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง และปัจจุบันได้รับการคัดสรรเป็นผู้ตรวจสภาสถาปนิก ตัวอย่างผลงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ได้แก่ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 4-5 แห่ง รวมทั้งที่จังหวัดศรีสะเกษ, สวนหลวง ร.๙ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อุทยานเบญจสิริ ภูมิทัศน์พระตำหนักสิริยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมโรงแรม คอนโดมิเนียม และอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากผลงานหนังสือและสิ่งพิมพ์ผลงานหนังสือและสิ่งพิมพ์. - การปฏิบัติวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรม ISBN 974-6-328-115 - การวางผังบริเวณและงานบริเวณ ISBN 978-9-740-33233-6 - ต้นไม้ใหญ่ในงานก่อสร้างและพัฒนาเมือง ISBN 974-3-332-901 - หนังสือแปล ปรับความคิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ใน 25 วัน : 25 Days to Better Thinking & Better Living ISBN 978-6-160-82158-7 - เมืองขวางน้ำ การพัฒนาของเมืองไทยในอนาคต อุปสร รรคกับทางออกเชิงนโยบาย ISBN 978-6-164-21008-0 ผลงานเขียนชิ้นหลักคือ ตำราการปฏิบัติวิชาชีพภูมิสถาปัตยกรรม และหนังสือชื่อ 'ต้นไม้ใหญ่ในงานก่อสร้างและพัฒนาเมือง' ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ งานรุกขกรรม อาชีพรุกขกร และการศัลยกรรมต้นไม้ นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี) ได้เขียนคำนิยมหนังสือเล่มนี้ไว้ว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
ใครเป็นผู้ออกแบบสวนหลวง ร.๙
{ "answer": [ "ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ" ], "answer_begin_position": [ 96 ], "answer_end_position": [ 127 ] }
2,126
4,249
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จพระราชสมภพในวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัย รัชกาลที่ 1 ณ นิวาสสถานพระราชวังพระราชนิเวศน์ พระราชวังเดิม ด้านใต้ของวัดอรุณราชวราราม เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 43 และเป็นลำดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติในวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ยังเป็นโทศก พ.ศ. 2394 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 16 ปี 6 เดือน และมีพระราชโอรส - พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 82 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง เวลาทุ่มเศษ ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 สิริพระชนม์มายุ 64 พรรษา วัดประจำรัชกาลคือวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารพระราชประวัติขณะทรงพระเยาว์ พระราชประวัติ. ขณะทรงพระเยาว์. พระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ฉศก จุลศักราช 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โดยพระนามก่อนการมีพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่" พระองค์มีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑามณี (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่มีพระชนม์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จขึ้นครองสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้ามาอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2355 พระองค์มีพระชนมายุได้ 9 พรรษา จึงได้จัดการพระราชพิธีลงสรงเพื่อเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ พระราชพิธีในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้าครั้งกรุงศรีอยุธยายังหาได้ทำเป็นแบบอย่างลงไม่ รวมทั้ง ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นพระราชพิธีดังกล่าวก็แก่ชราเกือบจะหมดตัวแล้ว เกรงว่าแบบแผนพระราชพิธีจะสูญไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรีและเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้อำนวยการพระราชพิธีลงสรงในครั้งนี้เพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธีลงสรงสำหรับครั้งต่อไป พระราชพิธีในครั้งนี้จึงนับเป็นพระราชพิธีลงสรงครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ได้รับการเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงษ์ พงษ์อิศรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร" ในปี พ.ศ. 2359 พระองค์มีพระชนมายุครบ 13 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำรัสจัดให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบอย่างพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าที่มีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยได้สร้างเขาไกรลาสจำลองไว้บริเวณหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับ ณ พระราชวังเดิม นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาวิชาคชกรรมกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช รวมทั้ง ทรงฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ ด้วยผนวช ผนวช. เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงออกผนวชเป็นสามเณร โดยมีการสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วแห่ไปผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์และสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผนวชจนออกพรรษาแล้วจึงทรงลาผนวช รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 7 เดือน เมื่อพระองค์ทรงพระเจริญวัยขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้พระองค์เสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษา จึงจะผนวชเป็นพระภิกษุ แต่ในระหว่างนั้นช้างสำคัญของบ้านเมือง ได้แก่ พระยาเศวตไอยราและพระยาเศวตคชลักษณ์เกิดล้มลง รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพวดี สิ้นพระชนม์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่สำราญพระราชหฤทัย จึงไม่ได้จัดพิธีผนวชอย่างใหญ่โต โปรดให้มีเพียงพิธีอย่างย่อเท่านั้น โดยให้ผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ได้รับพระนามฉายาว่า "วชิรญาโณ" หรือ "วชิรญาณภิกขุ" แล้วเสด็จไปประทับแรมที่วัดมหาธาตุ 3 วัน หลังจากนั้น จึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเคยประทับอยู่เมื่อผนวช ในขณะที่ผนวชอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะดำรงสมณเพศต่อไป ในระหว่างที่ผนวชอยู่นั้นได้เสด็จออกธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะวิริยะเรียนภาษาอังกฤษจนทรงเขียนได้ ตรัสได้ ทรงเป็นนักปราชญ์รอบรู้ ทำให้พระองค์ทรงมีความรอบรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกตะวันตกเป็นอย่างดี พระองค์ทรงผนวชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367 จนถึงลาผนวชเพื่อรับการขึ้นครองราชย์ เป็นเวลารวมที่บวชเป็นภิกษุทั้งสิ้น 27 พรรษา (ขณะนั้นพระชนมายุ 48 พรรษา) หมายเหตุ; เวลาที่ผนวชเป็นสามเณร 7 เดือน คณะธรรมยุติกนิกาย หลังจากการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะได้พระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ และมีผู้นำที่เข้มแข็งคือ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นผู้ครองบังคับบัญชาคณะธรรมยุติกนิกายครองราชย์ ครองราชย์. เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่พระมงกุฎ วชิรญาณะ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าพระมงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร แต่พระองค์ยังไม่ทรงลาผนวชและตรัสว่าต้องอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่ควบคุมกำลังทหารเป็นอันมากได้ พระองค์ทรงลาผนวชเมื่อวันที่ 6 เมษายน ซึ่งตรงกับวันจักรี และทรงรับการบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาของปีนั้น และทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยย่อว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระนามเต็มตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว " พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในฝ่ายสมณศักดิ์นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส โดยทรงตั้งพิธีมหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นสวรรคต สวรรคต. เมื่อ พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงคำนวณว่าจะสามารถเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ในประเทศสยาม ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงโปรดให้ตั้งพลับพลาเพื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงดังที่ทรงได้คำนวณไว้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่หว้ากอเป็นระยะเวลาประมาณ 9 วัน จึงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ภายหลังการเสด็จกลับมายังพระนคร พระองค์เริ่มมีพระอาการประชวรจับไข้และทรงทราบว่าพระอาการประชวรของพระองค์ในครั้งนี้คงจะไม่หาย วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2411 พระองค์มีพระบรมราชโองการให้หา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระชนมายุมากกว่าพระองค์อื่น ๆ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในราชการ และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อัครเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม หัวหน้าข้าราชการทั้งปวง เข้าเฝ้าพร้อมกันที่พระแท่นบรรทม โดยพระองค์มีพระบรมราชโองการมอบพระราชกิจในการดูแลพระนครแก่ทั้ง 3 ท่าน หลังจากนั้น ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายก เข้าเฝ้าฯ และมีพระราชดำรัสว่า พระองค์ตรัสขอให้ผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่านได้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป ให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เอาธุระรับฎีกาของราษฎรผู้มีทุกข์ร้อนดังที่พระองค์เคยปฏิบัติมา โดยไม่ทรงเอ่ยว่าจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งว่าเมื่อพระองค์ผนวชอยู่นั้น ทรงออกอุทานวาจาว่าวันใดเป็นวันพระราชสมภพก็อยากสวรรคตในวันนั้น โดยพระองค์พระราชสมภพในวันเพ็ญเดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณา เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ขอให้สวรรคตท่ามกลางสงฆ์ขณะที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณา ในเวลา 20.06 นาฬิกา พระองค์ทรงภาวนาอรหังสัมมาสัมพุทโธแล้วผ่อนอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) เป็นครั้งคราว จนกระทั่ง เวลา 21.05 นาฬิกา เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ภายในพระบรมมหาราชวัง สิริพระชนมพรรษา 64 พรรษาพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดาพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดา. - พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม . - พระราชโอรสและพระราชธิดาพระราชกรณียกิจด้านกฎหมาย พระราชกรณียกิจ. ด้านกฎหมาย. ในรัชสมัยของพระองค์ มีการลดภาษีอากร ลดหย่อนค่านา ยกเลิกการเก็บอากรตลาด เปลี่ยนเป็นเก็บภาษีโรงร้านเรือนแพจากผู้ค้าขายรายใหม่ ประกาศมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา ออกพระราชบัญญัติกำหนดใช้ค่าที่ดินให้ราษฎรเมื่อมีการเวนคืน ออกประกาศเตือนราษฎรให้รอบคอบในการทำนิติกรรม ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ คือกำหนดลักษณะของผู้ที่จะถูกขายเป็นทาสให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ สิทธิบิดา มารดา และสามีในการขายบุตรและภรรยา และตราพระราชบัญญัติใหม่ให้การซื้อขายทาส เป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวที่จะถูกขายเป็นทาสเท่านั้นด้านวรรณคดีพุทธศาสนา ด้านวรรณคดีพุทธศาสนา. พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยแก้ว บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่- ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และตำรา - ตำนานเรื่อง พระแก้วมรกต เรื่องปฐมวงศ์ - ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทยด้านพระพุทธศาสนา ด้านพระพุทธศาสนา. พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง โดยทรงตั้งธรรมยุตติกาวงศ์ขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน ด้านพระพุทธศาสนาด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ. ด้วยเหตุที่ทรงสนพระทัยในวิทยาการตะวันตกมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ จึงทรงคุ้นเคยกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเป็นอย่างมาก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเสนาบดีสกุลบุนนาคเช่นพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นก็เป็นผู้สนิทสนมและนิยมอังกฤษ เช่นนี้ในรัชสมัยของพระองค์จึงเปิดความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง มีการทำสัญญากับต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย "ผ่อนสั้น ผ่อนยาว" มาใช้กับประเทศมหาอำนาจเป็นพระองค์แรกในสมัยรัตนโกสินทร์ อันทำให้ไทยสามารถดำรงเอกราชอยู่ได้จนทุกวันนี้ พระองค์ได้ส่งคณะทูตไทยโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศ์เป็นราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพ็ชภักดีเป็นอุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูต นำพระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษนับเป็นความคิดริเริ่มให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแต่เดิมกฎหมายห้ามมิให้ เจ้านาย พระราชวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่เดินทางออกจากพระนคร เว้นเสียแต่ไปในการสงครามกับกองทัพ พระองค์โปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็นกงสุลไทย เช่น เซอร์ จอห์น เบาริง อัครราชทูตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ เข้ามาทำสนธิสัญญากับประเทศไทยเป็นชาติแรก เมื่อ พ.ศ. 2398 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ" เป็นกงสุลไทยประจำกรุงลอนดอนการรุกรานอินโดจีนของฝรั่งเศส การรุกรานอินโดจีนของฝรั่งเศส. เมื่อราชสำนักเวียดนามตั้งตัวเป็นศัตรูต่อศาสนาคริสต์ ทำให้ฝรั่งเศสมีเหตุผลที่จะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแรงเวียดนามด้วยกำลังอาวุธ ท้ายที่สุดเวียดนามก็เสียภาคใต้แก่ฝรั่งเศสในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2402 รัฐบาลสยามค่อนข้างยินดีที่ฝรั่งเศสทำให้ภัยคุกคามต่อสยามจากเวียดนามกำลังจะหมดไป และปรารถนาที่กระชับไมตรีกับฝรั่งเศสในทันทีที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนามทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ราชสำนักเวียดนามในกรุงฮานอยได้ส่งราชทูตลับมายังกรุงเทพ เพื่อเสนอยกบางส่วนของไซ่ง่อนให้สยาม แลกกับการที่สยามจะต้องให้เวียดนามเดินทัพผ่านเขมร(ซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม)เพื่ออ้อมไปโจมตีฝรั่งเศส แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากพวกขุนนางสยามสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวทำให้พระองค์ต้องยอมตาม ดังนั้นสยามจึงยกทัพเข้าประจำชายแดนด้านตะวันออกติดกับเวียดนาม และยื่นคำขาดว่า หากเวียดนามกระทำการใดที่เป็นการรุกรานเขมรแล้ว สยามจะบุกเวียดนามทันที รัฐบาลฝรั่งเศสมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็น "นโยบายเหยียบเรือสองแคม" ของสยาม คือวางตัวเป็นกลางระหว่างเวียดนามและฝรั่งเศส ส่วนกงสุลฝรั่งเศสก็เรียกร้องต่อรัฐบาลสยามเพื่อขอทำสนธิสัญญากับเขมรโดยตรง เนื่องจากเขมรมีพรมแดนร่วมกับไซ่ง่อนซึ่งอยู่ในบังคับของฝรั่งเศสแล้ว ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและอังกฤษก็พยายามยุแยงให้สยามไม่ไว้วางใจฝรั่งเศส การที่รัฐบาลสยามเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีความเห็นว่าฝรั่งเศสควรจะแสดงบทบาทเป็นผู้อารักขาอินโดจีนเสียเลย ดังนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสจึงมีโทรเลขถึงรัฐบาลสยาม เรียกร้องสิทธิของฝรั่งเศสเหนือเขมรและเรียกร้องขอทำสนธิสัญญาโดยตรงกับเขมร โดยอ้างชัยชนะของตนในเวียดนามใต้ รัฐบาลสยามปฏิเสธในทันที เรียกร้องให้มีการเจรจากันที่กรุงเทพ ในระหว่างนี้สยามได้ชิงตัดหน้าฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับเขมรอย่างลับๆในพ.ศ. 2406 มีเนื้อหาระบุว่าเขมรยอมรับอธิปไตยของสยามเหนือเมขร ในปีพ.ศ. 2410 รัฐบาลสยามทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยสยามยกดินแดน 123,050 ตร.กม.พร้อมเกาะ 6 เกาะให้เป็นดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็รับรองว่าดินเขมรส่วนใน อันประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เป็นดินแดนในอธิปไตยของสยามด้านการศึกษาศิลปวิทยา ด้านการศึกษาศิลปวิทยา. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปี และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วย วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และอนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทรงใส่พระทัยกวดขันคนไทยให้ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทรงสนับสนุนโรงเรียนของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ภาษา อรรถคดี และวิทยาการของชาติตะวันตก ทรงพระกรุณาส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่จำเป็น สำหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จัดตั้งโรงอักษรพิมพการขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ผลิตข่าวสารของทางราชการเผยแพร่ให้ราษฎรได้ทราบทั่วถึงกัน ใช้ชื่อว่า ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งยังคงพิมพ์มาจนถึงปัจจุบันด้านโหราศาสตร์ ด้านโหราศาสตร์. นอกจากนี้แล้ว ยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย ทรงแต่งตำราทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า "เศษพระจอมเกล้า" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำ และทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย"เหตุการณ์สำคัญในสมัยเหตุการณ์สำคัญในสมัย. - พ.ศ. 2394 โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสำหรับพระราชวงศ์ เสนาบดี ทหารและพลเรือนทั้งหลายต่างดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทั่วทุกคน พระองค์มิได้มีพระราชประสงค์ให้ข้าราชบริพารซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์ฝ่ายเดียว แต่ทรงพระราชดำริว่าจะต้องทรงให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนของพระองค์ด้วยพระองค์จึงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่เสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา- พ.ศ. 2395 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า - ร้อยเอกอิมเปญ์ เข้ามาฝึกทหารแบบยุโรป - คณะมิชชันนารี สอนภาษาอังกฤษ ในพระบรมมหาราชวัง - ร้อยเอกโทมัส ยอร์ช น็อกซ์ เข้ามาเป็นครูฝึกทหารวังหน้า - คณะมิชชันนารีอเมริกา เข้ามาสอนภาษา - กองทัพไทยไปตีเมืองเชียงตุง - พ.ศ. 2396 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ “หมาย” แทนเงินตรา - ไทยรบพม่าที่เมืองเชียงตุง ( เป็นสงครามครั้งสุดท้ายระหว่าง ไทย - พม่า )- พ.ศ. 2398 เซอร์ จอห์น เบาริง ขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี ทำสนธิสัญญาใหม่กับอังกฤษ- พ.ศ. 2399 ทำสนธิสัญญาการทูตกับอเมริกาและฝรั่งเศส- พ.ศ. 2400 มีเหตุการณ์สำคัญดั่งนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศอังกฤษ - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นบำเหน็จความดีความชอบ - เริ่มสร้างกำปั่นเรือกลไฟ- พ.ศ. 2401 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในวัง เรียกว่า "โรงราชกิจจานุเบกษา" เพื่อออกราชกิจจานุเบกษาเสนอข่าวราชการเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 2402 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ และ พระราชวังนครคีรี- พ.ศ. 2403 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง เพื่อผลิตเหรียญเงินราคาต่างๆ เพื่อใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงินอย่างเก่าคือพดด้วง พระราชทานนามว่า "โรงกษาปณ์สิทธิการ" นับเป็นโรงกษาปณ์แห่งแรกในประเทศไทย- พ.ศ. 2404 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส - แรกมีตำรวจพระนครบาล - โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนและขุดคลองให้เป็นทางสัญจรอย่างใหม่ สำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศเหมือนกับประเทศที่เจริญแล้วทางยุโรป เช่น การสร้างถนนเจริญกรุงเป็นสายแรก ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และ ถนนสีลม ส่วนคลองได้แก่ คลองผดุงกรุงเกษม คลองภาษีเจริญ คลองหัวลำโพง คลองมหาสวัสดิ์ และคลองดำเนินสะดวก เป็นต้น- พ.ศ. 2405 นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ เข้ามารับราชการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในพระราชสำนัก- พ.ศ. 2407 สร้างวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม- พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต- พ.ศ. 2411 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมเรือกลไฟ - ทรงคำนวณว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ - เสด็จสวรรคตพระราชอิสริยยศและพระเกียรติยศพระราชอิสริยยศพระราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ. พระราชอิสริยยศ. - สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ พงศ์อิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชกุมาร - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระราชลัญจกรประจำพระองค์. พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว ได้แก่ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งการสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "มงกุฎ" นั่นเอง โดยพระราชลัญจกรจะเป็นตรางา ลักษณะกลมรี ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2 ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา ซึ่งแสดงถึงทรงมีความเชี่ยวชาญทางด้านอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ ส่วนทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์ เพชร ซึ่งมาจากพระฉายาเมื่อพระองค์ผนวชว่า "วชิรญาณ" พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยังได้ใช้เป็นแม่แบบของพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยเครื่องราชอิสริยาภรณ์. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ - ดาราไอยราพต (เครื่องต้น) - ดาราไอยราพต (องค์รอง)เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ. - : เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นประถมาภรณ์ (พ.ศ. 2406)พงศาวลี
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่เท่าไร
{ "answer": [ "4" ], "answer_begin_position": [ 282 ], "answer_end_position": [ 283 ] }
2,129
4,249
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ" เสด็จพระราชสมภพในวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ในรัชสมัย รัชกาลที่ 1 ณ นิวาสสถานพระราชวังพระราชนิเวศน์ พระราชวังเดิม ด้านใต้ของวัดอรุณราชวราราม เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 43 และเป็นลำดับที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติในวันพุธ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ยังเป็นโทศก พ.ศ. 2394 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 16 ปี 6 เดือน และมีพระราชโอรส - พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 82 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง เวลาทุ่มเศษ ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 สิริพระชนม์มายุ 64 พรรษา วัดประจำรัชกาลคือวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารพระราชประวัติขณะทรงพระเยาว์ พระราชประวัติ. ขณะทรงพระเยาว์. พระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ฉศก จุลศักราช 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ณ พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โดยพระนามก่อนการมีพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่" พระองค์มีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑามณี (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่มีพระชนม์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จขึ้นครองสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้ามาอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2355 พระองค์มีพระชนมายุได้ 9 พรรษา จึงได้จัดการพระราชพิธีลงสรงเพื่อเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ พระราชพิธีในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้าครั้งกรุงศรีอยุธยายังหาได้ทำเป็นแบบอย่างลงไม่ รวมทั้ง ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นพระราชพิธีดังกล่าวก็แก่ชราเกือบจะหมดตัวแล้ว เกรงว่าแบบแผนพระราชพิธีจะสูญไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรีและเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้อำนวยการพระราชพิธีลงสรงในครั้งนี้เพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธีลงสรงสำหรับครั้งต่อไป พระราชพิธีในครั้งนี้จึงนับเป็นพระราชพิธีลงสรงครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ได้รับการเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงษ์ พงษ์อิศรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร" ในปี พ.ศ. 2359 พระองค์มีพระชนมายุครบ 13 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำรัสจัดให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบอย่างพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าที่มีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยได้สร้างเขาไกรลาสจำลองไว้บริเวณหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับ ณ พระราชวังเดิม นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาวิชาคชกรรมกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช รวมทั้ง ทรงฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ ด้วยผนวช ผนวช. เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงออกผนวชเป็นสามเณร โดยมีการสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วแห่ไปผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์และสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผนวชจนออกพรรษาแล้วจึงทรงลาผนวช รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 7 เดือน เมื่อพระองค์ทรงพระเจริญวัยขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้พระองค์เสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษา จึงจะผนวชเป็นพระภิกษุ แต่ในระหว่างนั้นช้างสำคัญของบ้านเมือง ได้แก่ พระยาเศวตไอยราและพระยาเศวตคชลักษณ์เกิดล้มลง รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพวดี สิ้นพระชนม์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่สำราญพระราชหฤทัย จึงไม่ได้จัดพิธีผนวชอย่างใหญ่โต โปรดให้มีเพียงพิธีอย่างย่อเท่านั้น โดยให้ผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ได้รับพระนามฉายาว่า "วชิรญาโณ" หรือ "วชิรญาณภิกขุ" แล้วเสด็จไปประทับแรมที่วัดมหาธาตุ 3 วัน หลังจากนั้น จึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเคยประทับอยู่เมื่อผนวช ในขณะที่ผนวชอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะดำรงสมณเพศต่อไป ในระหว่างที่ผนวชอยู่นั้นได้เสด็จออกธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะวิริยะเรียนภาษาอังกฤษจนทรงเขียนได้ ตรัสได้ ทรงเป็นนักปราชญ์รอบรู้ ทำให้พระองค์ทรงมีความรอบรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกตะวันตกเป็นอย่างดี พระองค์ทรงผนวชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367 จนถึงลาผนวชเพื่อรับการขึ้นครองราชย์ เป็นเวลารวมที่บวชเป็นภิกษุทั้งสิ้น 27 พรรษา (ขณะนั้นพระชนมายุ 48 พรรษา) หมายเหตุ; เวลาที่ผนวชเป็นสามเณร 7 เดือน คณะธรรมยุติกนิกาย หลังจากการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะได้พระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ และมีผู้นำที่เข้มแข็งคือ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นผู้ครองบังคับบัญชาคณะธรรมยุติกนิกายครองราชย์ ครองราชย์. เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่พระมงกุฎ วชิรญาณะ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าพระมงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร แต่พระองค์ยังไม่ทรงลาผนวชและตรัสว่าต้องอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่ควบคุมกำลังทหารเป็นอันมากได้ พระองค์ทรงลาผนวชเมื่อวันที่ 6 เมษายน ซึ่งตรงกับวันจักรี และทรงรับการบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาของปีนั้น และทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยย่อว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระนามเต็มตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว " พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในฝ่ายสมณศักดิ์นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส โดยทรงตั้งพิธีมหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นสวรรคต สวรรคต. เมื่อ พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงคำนวณว่าจะสามารถเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ในประเทศสยาม ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงโปรดให้ตั้งพลับพลาเพื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงดังที่ทรงได้คำนวณไว้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ที่หว้ากอเป็นระยะเวลาประมาณ 9 วัน จึงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ภายหลังการเสด็จกลับมายังพระนคร พระองค์เริ่มมีพระอาการประชวรจับไข้และทรงทราบว่าพระอาการประชวรของพระองค์ในครั้งนี้คงจะไม่หาย วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2411 พระองค์มีพระบรมราชโองการให้หา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระชนมายุมากกว่าพระองค์อื่น ๆ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ในราชการ และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อัครเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม หัวหน้าข้าราชการทั้งปวง เข้าเฝ้าพร้อมกันที่พระแท่นบรรทม โดยพระองค์มีพระบรมราชโองการมอบพระราชกิจในการดูแลพระนครแก่ทั้ง 3 ท่าน หลังจากนั้น ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ที่สมุหนายก เข้าเฝ้าฯ และมีพระราชดำรัสว่า พระองค์ตรัสขอให้ผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่านได้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป ให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เอาธุระรับฎีกาของราษฎรผู้มีทุกข์ร้อนดังที่พระองค์เคยปฏิบัติมา โดยไม่ทรงเอ่ยว่าจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งว่าเมื่อพระองค์ผนวชอยู่นั้น ทรงออกอุทานวาจาว่าวันใดเป็นวันพระราชสมภพก็อยากสวรรคตในวันนั้น โดยพระองค์พระราชสมภพในวันเพ็ญเดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณา เมื่อพระองค์จะสวรรคตก็ขอให้สวรรคตท่ามกลางสงฆ์ขณะที่พระสงฆ์กระทำวินัยกรรมมหาปวารณา ในเวลา 20.06 นาฬิกา พระองค์ทรงภาวนาอรหังสัมมาสัมพุทโธแล้วผ่อนอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) เป็นครั้งคราว จนกระทั่ง เวลา 21.05 นาฬิกา เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ภายในพระบรมมหาราชวัง สิริพระชนมพรรษา 64 พรรษาพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดาพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส และ พระราชธิดา. - พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม . - พระราชโอรสและพระราชธิดาพระราชกรณียกิจด้านกฎหมาย พระราชกรณียกิจ. ด้านกฎหมาย. ในรัชสมัยของพระองค์ มีการลดภาษีอากร ลดหย่อนค่านา ยกเลิกการเก็บอากรตลาด เปลี่ยนเป็นเก็บภาษีโรงร้านเรือนแพจากผู้ค้าขายรายใหม่ ประกาศมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา ออกพระราชบัญญัติกำหนดใช้ค่าที่ดินให้ราษฎรเมื่อมีการเวนคืน ออกประกาศเตือนราษฎรให้รอบคอบในการทำนิติกรรม ยังมีการออกกฎหมายสำคัญ คือกำหนดลักษณะของผู้ที่จะถูกขายเป็นทาสให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ สิทธิบิดา มารดา และสามีในการขายบุตรและภรรยา และตราพระราชบัญญัติใหม่ให้การซื้อขายทาส เป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวที่จะถูกขายเป็นทาสเท่านั้นด้านวรรณคดีพุทธศาสนา ด้านวรรณคดีพุทธศาสนา. พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยแก้ว บทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่- ชุมนุมพระบรมราโชบาย 4 หมวด คือ หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และตำรา - ตำนานเรื่อง พระแก้วมรกต เรื่องปฐมวงศ์ - ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทยด้านพระพุทธศาสนา ด้านพระพุทธศาสนา. พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง โดยทรงตั้งธรรมยุตติกาวงศ์ขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน ด้านพระพุทธศาสนาด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ. ด้วยเหตุที่ทรงสนพระทัยในวิทยาการตะวันตกมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ จึงทรงคุ้นเคยกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเป็นอย่างมาก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเสนาบดีสกุลบุนนาคเช่นพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นก็เป็นผู้สนิทสนมและนิยมอังกฤษ เช่นนี้ในรัชสมัยของพระองค์จึงเปิดความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง มีการทำสัญญากับต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย "ผ่อนสั้น ผ่อนยาว" มาใช้กับประเทศมหาอำนาจเป็นพระองค์แรกในสมัยรัตนโกสินทร์ อันทำให้ไทยสามารถดำรงเอกราชอยู่ได้จนทุกวันนี้ พระองค์ได้ส่งคณะทูตไทยโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศ์เป็นราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพ็ชภักดีเป็นอุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูต นำพระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษนับเป็นความคิดริเริ่มให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแต่เดิมกฎหมายห้ามมิให้ เจ้านาย พระราชวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่เดินทางออกจากพระนคร เว้นเสียแต่ไปในการสงครามกับกองทัพ พระองค์โปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็นกงสุลไทย เช่น เซอร์ จอห์น เบาริง อัครราชทูตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ เข้ามาทำสนธิสัญญากับประเทศไทยเป็นชาติแรก เมื่อ พ.ศ. 2398 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ" เป็นกงสุลไทยประจำกรุงลอนดอนการรุกรานอินโดจีนของฝรั่งเศส การรุกรานอินโดจีนของฝรั่งเศส. เมื่อราชสำนักเวียดนามตั้งตัวเป็นศัตรูต่อศาสนาคริสต์ ทำให้ฝรั่งเศสมีเหตุผลที่จะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแรงเวียดนามด้วยกำลังอาวุธ ท้ายที่สุดเวียดนามก็เสียภาคใต้แก่ฝรั่งเศสในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2402 รัฐบาลสยามค่อนข้างยินดีที่ฝรั่งเศสทำให้ภัยคุกคามต่อสยามจากเวียดนามกำลังจะหมดไป และปรารถนาที่กระชับไมตรีกับฝรั่งเศสในทันทีที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนามทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ราชสำนักเวียดนามในกรุงฮานอยได้ส่งราชทูตลับมายังกรุงเทพ เพื่อเสนอยกบางส่วนของไซ่ง่อนให้สยาม แลกกับการที่สยามจะต้องให้เวียดนามเดินทัพผ่านเขมร(ซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม)เพื่ออ้อมไปโจมตีฝรั่งเศส แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากพวกขุนนางสยามสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวทำให้พระองค์ต้องยอมตาม ดังนั้นสยามจึงยกทัพเข้าประจำชายแดนด้านตะวันออกติดกับเวียดนาม และยื่นคำขาดว่า หากเวียดนามกระทำการใดที่เป็นการรุกรานเขมรแล้ว สยามจะบุกเวียดนามทันที รัฐบาลฝรั่งเศสมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็น "นโยบายเหยียบเรือสองแคม" ของสยาม คือวางตัวเป็นกลางระหว่างเวียดนามและฝรั่งเศส ส่วนกงสุลฝรั่งเศสก็เรียกร้องต่อรัฐบาลสยามเพื่อขอทำสนธิสัญญากับเขมรโดยตรง เนื่องจากเขมรมีพรมแดนร่วมกับไซ่ง่อนซึ่งอยู่ในบังคับของฝรั่งเศสแล้ว ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและอังกฤษก็พยายามยุแยงให้สยามไม่ไว้วางใจฝรั่งเศส การที่รัฐบาลสยามเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีความเห็นว่าฝรั่งเศสควรจะแสดงบทบาทเป็นผู้อารักขาอินโดจีนเสียเลย ดังนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสจึงมีโทรเลขถึงรัฐบาลสยาม เรียกร้องสิทธิของฝรั่งเศสเหนือเขมรและเรียกร้องขอทำสนธิสัญญาโดยตรงกับเขมร โดยอ้างชัยชนะของตนในเวียดนามใต้ รัฐบาลสยามปฏิเสธในทันที เรียกร้องให้มีการเจรจากันที่กรุงเทพ ในระหว่างนี้สยามได้ชิงตัดหน้าฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับเขมรอย่างลับๆในพ.ศ. 2406 มีเนื้อหาระบุว่าเขมรยอมรับอธิปไตยของสยามเหนือเมขร ในปีพ.ศ. 2410 รัฐบาลสยามทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยสยามยกดินแดน 123,050 ตร.กม.พร้อมเกาะ 6 เกาะให้เป็นดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็รับรองว่าดินเขมรส่วนใน อันประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เป็นดินแดนในอธิปไตยของสยามด้านการศึกษาศิลปวิทยา ด้านการศึกษาศิลปวิทยา. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปี และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วย วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และอนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทรงใส่พระทัยกวดขันคนไทยให้ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ทรงสนับสนุนโรงเรียนของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ภาษา อรรถคดี และวิทยาการของชาติตะวันตก ทรงพระกรุณาส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่จำเป็น สำหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จัดตั้งโรงอักษรพิมพการขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ผลิตข่าวสารของทางราชการเผยแพร่ให้ราษฎรได้ทราบทั่วถึงกัน ใช้ชื่อว่า ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งยังคงพิมพ์มาจนถึงปัจจุบันด้านโหราศาสตร์ ด้านโหราศาสตร์. นอกจากนี้แล้ว ยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย ทรงแต่งตำราทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า "เศษพระจอมเกล้า" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำ และทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย"เหตุการณ์สำคัญในสมัยเหตุการณ์สำคัญในสมัย. - พ.ศ. 2394 โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสำหรับพระราชวงศ์ เสนาบดี ทหารและพลเรือนทั้งหลายต่างดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทั่วทุกคน พระองค์มิได้มีพระราชประสงค์ให้ข้าราชบริพารซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์ฝ่ายเดียว แต่ทรงพระราชดำริว่าจะต้องทรงให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนของพระองค์ด้วยพระองค์จึงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่เสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยา- พ.ศ. 2395 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า - ร้อยเอกอิมเปญ์ เข้ามาฝึกทหารแบบยุโรป - คณะมิชชันนารี สอนภาษาอังกฤษ ในพระบรมมหาราชวัง - ร้อยเอกโทมัส ยอร์ช น็อกซ์ เข้ามาเป็นครูฝึกทหารวังหน้า - คณะมิชชันนารีอเมริกา เข้ามาสอนภาษา - กองทัพไทยไปตีเมืองเชียงตุง - พ.ศ. 2396 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ “หมาย” แทนเงินตรา - ไทยรบพม่าที่เมืองเชียงตุง ( เป็นสงครามครั้งสุดท้ายระหว่าง ไทย - พม่า )- พ.ศ. 2398 เซอร์ จอห์น เบาริง ขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี ทำสนธิสัญญาใหม่กับอังกฤษ- พ.ศ. 2399 ทำสนธิสัญญาการทูตกับอเมริกาและฝรั่งเศส- พ.ศ. 2400 มีเหตุการณ์สำคัญดั่งนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศอังกฤษ - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นบำเหน็จความดีความชอบ - เริ่มสร้างกำปั่นเรือกลไฟ- พ.ศ. 2401 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพิมพ์หลวงขึ้นในวัง เรียกว่า "โรงราชกิจจานุเบกษา" เพื่อออกราชกิจจานุเบกษาเสนอข่าวราชการเป็นครั้งแรก- พ.ศ. 2402 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ และ พระราชวังนครคีรี- พ.ศ. 2403 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง เพื่อผลิตเหรียญเงินราคาต่างๆ เพื่อใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงินอย่างเก่าคือพดด้วง พระราชทานนามว่า "โรงกษาปณ์สิทธิการ" นับเป็นโรงกษาปณ์แห่งแรกในประเทศไทย- พ.ศ. 2404 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส - แรกมีตำรวจพระนครบาล - โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนและขุดคลองให้เป็นทางสัญจรอย่างใหม่ สำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศเหมือนกับประเทศที่เจริญแล้วทางยุโรป เช่น การสร้างถนนเจริญกรุงเป็นสายแรก ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และ ถนนสีลม ส่วนคลองได้แก่ คลองผดุงกรุงเกษม คลองภาษีเจริญ คลองหัวลำโพง คลองมหาสวัสดิ์ และคลองดำเนินสะดวก เป็นต้น- พ.ศ. 2405 นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ เข้ามารับราชการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในพระราชสำนัก- พ.ศ. 2407 สร้างวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม- พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต- พ.ศ. 2411 มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้- โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมเรือกลไฟ - ทรงคำนวณว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ - เสด็จสวรรคตพระราชอิสริยยศและพระเกียรติยศพระราชอิสริยยศพระราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ. พระราชอิสริยยศ. - สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ พงศ์อิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชกุมาร - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามกุฎสมมติวงศ์ พระวชิรญาณมหาเถร - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระราชลัญจกรประจำพระองค์. พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว ได้แก่ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งการสร้างพระลัญจกรประจำพระองค์นั้น จะใช้แนวคิดมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "มงกุฎ" นั่นเอง โดยพระราชลัญจกรจะเป็นตรางา ลักษณะกลมรี ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2 ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา ซึ่งแสดงถึงทรงมีความเชี่ยวชาญทางด้านอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ ส่วนทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์ เพชร ซึ่งมาจากพระฉายาเมื่อพระองค์ผนวชว่า "วชิรญาณ" พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยังได้ใช้เป็นแม่แบบของพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยเครื่องราชอิสริยาภรณ์. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ - ดาราไอยราพต (เครื่องต้น) - ดาราไอยราพต (องค์รอง)เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ. - : เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นประถมาภรณ์ (พ.ศ. 2406)พงศาวลี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้นกี่พระองค์
{ "answer": [ "82" ], "answer_begin_position": [ 811 ], "answer_end_position": [ 813 ] }
2,127
432,318
คดีวอเตอร์เกต คดีวอเตอร์เกต () คือเหตุอื้อฉาวทางการเมืองระหว่างช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ในสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุการณ์สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ลักลอบโจรกรรมสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ณ อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1972 ในขณะที่คณะทำงานของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน พยายามปกปิดหลักฐานถึงการข้องเกี่ยวในเหตุโจรกรรมดังกล่าว จนในที่สุดเรื่องอื้อฉาวนี้นำไปสู่การลาออกของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวของประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์อเมริกัน เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่การฟ้องร้อง, การไต่สวน, การลงโทษ และการจำคุกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 43 คน รวมไปถึงคณะทำงานระดับสูงของรัฐบาลนิกสันอีกหลายสิบคน เหตุอื้อฉาวเริ่มต้นขึ้นด้วยการจับกุมชายห้าคนในคดีลักลอบโจรกรรมข้อมูลในที่ทำการใหญ่พรรคเดโมแครต ณ อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1972 โดยสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) เชื่อมโยงเส้นทางการเงินของคนร้ายทั้งห้าคนจนสาวไปถึงกองทุนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มระดมทุนสำหรับการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนิกสัน ขณะที่หลักฐานทั้งหมดพุ่งชี้ไปยังคณะทำงานของประธานาธิบดี รวมไปถึงพนักงานเบิกความฟ้องในคณะทำงานสืบสวนคดีวอเตอร์เกตซึ่งตั้งโดยวุฒิสภา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1973 คณะสอบสวนเปิดเผยว่าภายในห้องทำงานของประธานาธิบดีนิกสันมีระบบบันทึกเสียงอยู่ และได้บันทึกการสนทนาต่างๆ เอาไว้มากมาย ใจความจากเทปบันทึกเสียงเหล่านั้นชี้ให้เห็นว่าประธานาธิบดีนิกสันเคยพยายามที่จะปกปิดถึงการมีส่วนรู้เห็นในการโจรกรรมข้อมูล ณ ที่ทำการพรรคเดโมแครต หลังจากมีการต่อสู้ฟ้องร้องคดีความจำนวนมากมายหลายรอบในชั้นศาล ศาลฎีกาสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกามีคำตัดสินให้ประธานาธิบดีต้องส่งมอบเทปบันทึกเสียงทั้งหมดแก่พนักงานสืบสวนของรัฐ นิกสันจึงต้องจำยอมส่งมอบเทปตามคำตัดสิน หลังจากเผชิญแรงกดดันจากสังคม, การฟ้องร้องในสภาผู้แทนราษฎร และมีความเป็นไปได้สูงว่าวุฒิสภาจะมีมติลงโทษประธานาธิบดี นิกสันจึงลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ณ วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งประธานาธิบดีคนต่อมา เจอรัลด์ ฟอร์ด ได้ทำการนิรโทษกรรมให้แก่นิกสัน คดีดังกล่าวนี้ถูกสอบสวนโดยผลมาจากการที่เดอะวอชิงตันโพสต์ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของอเมริกา คอยผลักดันและติดตามข่าวสารโดยตลอด ทำให้สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ จำเป็นต้องทำการสืบสวนและผลักดันตนเองให้พ้นจากอำนาจของนิกสัน
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรกที่ลาออกจากตำแหน่งคือใคร
{ "answer": [ "ริชาร์ด นิกสัน" ], "answer_begin_position": [ 379 ], "answer_end_position": [ 393 ] }
2,128
11,177
จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช () เป็นประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2532-พ.ศ. 2536) และเป็นบิดาของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีคนที่ 43 จอร์จ บุช เป็นรองประธานาธิบดีให้กับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน จากพรรคริพับลิกัน และลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากหมดสมัยของเรแกน เหตุการณ์สำคัญในสมัยของเขาคือสงครามอ่าวเปอร์เซีย จอร์จ บุช จบจากมหาวิทยาลัยเยล เคยเป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ เคยเป็นผู้อำนวยการใหญ่ซีไอเอช่วงแรกของชีวิต ช่วงแรกของชีวิต. จอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช เกิดที่ 173 อดัมส์ สตรีทในมิลตัน, รัฐแมสซาซูเชตส์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2468 เขาเป็นลูกคนที่ 2 ของเพรสคอตต์ เชลดอน บุชกับโดโรธี วอล์กเกอร์ บุช ครอบครัวของเขาได้ย้ายจากมิลตันไปยังกรีนิช, รัฐคอนเนตทิคัต หลังจากที่เขาเกิดไม่นาน บุช เริ่มเรียนที่โรงเรียนกรีนิชคอนทรีเดย์ ในกรีนิช ต้นปี พ.ศ. 2479 เขาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยฟิลลิปส์ ในแอนโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2. จากการโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 บุชได้ตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหลังจากที่บุชเรียนที่วิทยาลัยฟิลลิปส์จบแล้ว เขาก็ได้เป็นนักบินทหารเรือ เมื่อเขาอายุ 18 ปี หลังจากที่จบหลักสูตร 10 เดือน เขาก็ได้ไปประจำการที่คอร์ปุส คริสติ รัฐเทกซัส โดยเป็นทหารเรือสำรอง ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2486 ซึ่งเป็นก่อน 3 วันที่จะถึงวันเกิดของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 19การแต่งงาน การแต่งงาน. จอร์จ บุชแต่งงานกับบาร์บารา เพียซ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2488 หลังจากที่เขากลับจากการบินในมหาสมุทรแปซิฟิกเพียง 1 สัปดาห์ จอร์จและบาร์บารา บุช ได้อาศัยในเทรนทัน รัฐมิชิแกน หลังจากที่พวกเขาแต่งงานแล้ว พวกเขามีลูกด้วยกัน 6 คน ได้แก่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (เกิด พ.ศ. 2489) พอลีน โรบินสัน บุช (เกิด พ.ศ. 2492 เสียชีวิต พ.ศ. 2496) เจบ บุช (เกิด พ.ศ. 2496) นีล แมลลัน บุช (เกิด พ.ศ. 2498) มาร์วิน เพียซ บุช (เกิด พ.ศ. 2499) และโดโรธี บุช (เกิด พ.ศ. 2502)ชีวิตขณะเป็นนักธุรกิจ ชีวิตขณะเป็นนักธุรกิจ. หลังจากที่บุชจบจากการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยลแล้ว เขาและครอบครัวได้ย้ายไปที่เวสต์เทกซัส พ่อของเขาได้ทำธุรกิจบ่อน้ำมันที่นั้น ในช่วงแรกเขาเริ่มทำงานเป็นพนักงานในอุตสาหกรรมการแต่งตัวซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งของบราวน์บราเทอร์แฮริแมน พ่อของเขาเป็นคณะกรรมการอยู่ 22 ปี ขณะที่เขาทำงานในโรงงานนั้น เขาก็ได้ย้ายเป็นอาศัยอยู่ที่อื่นตามครอบครัวของเขา ได้แก่ โอเดสซา เทกซัส, เวนทูรา เบเกอส์ฟิลด์ และคอมป์ตัน แคลิฟอร์เนีย บุชได้เริ่มบริษัทบุช-โอเวอร์เบย์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ในปีพ.ศ. 2494 ในช่วงเวลานี้ทำให้บุชเป็นเศรษฐีชีวิตการเมือง (2507-2523)ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (2532-2536) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (2532-2536). บุชได้รับเลือกตังให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 41 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2532 เขาดำรงตำแหน่งต่อจากโรนัลด์ เรแกน เขาก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง เช่น การทำลายของกำแพงเบอร์ลิน การล่มสลายของสหภาพโซเวียต เขาได้สั่งให้ทหารเริ่มเคลื่อนไหวในประเทศปานามาและอ่าวเปอร์เซีย และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็ทำให้เศรษฐกิจในประเทศย่ำแย่ลง และทำให้ต้องยกเลิกคำพูดที่ให้ไว้ว่าจะไม่มีภาษีใหม่ และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2535บรรพบุรุษ
จอร์จ บุช เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "41" ], "answer_begin_position": [ 182 ], "answer_end_position": [ 184 ] }
2,130
11,177
จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช () เป็นประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2532-พ.ศ. 2536) และเป็นบิดาของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีคนที่ 43 จอร์จ บุช เป็นรองประธานาธิบดีให้กับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน จากพรรคริพับลิกัน และลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากหมดสมัยของเรแกน เหตุการณ์สำคัญในสมัยของเขาคือสงครามอ่าวเปอร์เซีย จอร์จ บุช จบจากมหาวิทยาลัยเยล เคยเป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ เคยเป็นผู้อำนวยการใหญ่ซีไอเอช่วงแรกของชีวิต ช่วงแรกของชีวิต. จอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช เกิดที่ 173 อดัมส์ สตรีทในมิลตัน, รัฐแมสซาซูเชตส์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2468 เขาเป็นลูกคนที่ 2 ของเพรสคอตต์ เชลดอน บุชกับโดโรธี วอล์กเกอร์ บุช ครอบครัวของเขาได้ย้ายจากมิลตันไปยังกรีนิช, รัฐคอนเนตทิคัต หลังจากที่เขาเกิดไม่นาน บุช เริ่มเรียนที่โรงเรียนกรีนิชคอนทรีเดย์ ในกรีนิช ต้นปี พ.ศ. 2479 เขาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยฟิลลิปส์ ในแอนโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2. จากการโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 บุชได้ตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหลังจากที่บุชเรียนที่วิทยาลัยฟิลลิปส์จบแล้ว เขาก็ได้เป็นนักบินทหารเรือ เมื่อเขาอายุ 18 ปี หลังจากที่จบหลักสูตร 10 เดือน เขาก็ได้ไปประจำการที่คอร์ปุส คริสติ รัฐเทกซัส โดยเป็นทหารเรือสำรอง ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2486 ซึ่งเป็นก่อน 3 วันที่จะถึงวันเกิดของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 19การแต่งงาน การแต่งงาน. จอร์จ บุชแต่งงานกับบาร์บารา เพียซ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2488 หลังจากที่เขากลับจากการบินในมหาสมุทรแปซิฟิกเพียง 1 สัปดาห์ จอร์จและบาร์บารา บุช ได้อาศัยในเทรนทัน รัฐมิชิแกน หลังจากที่พวกเขาแต่งงานแล้ว พวกเขามีลูกด้วยกัน 6 คน ได้แก่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (เกิด พ.ศ. 2489) พอลีน โรบินสัน บุช (เกิด พ.ศ. 2492 เสียชีวิต พ.ศ. 2496) เจบ บุช (เกิด พ.ศ. 2496) นีล แมลลัน บุช (เกิด พ.ศ. 2498) มาร์วิน เพียซ บุช (เกิด พ.ศ. 2499) และโดโรธี บุช (เกิด พ.ศ. 2502)ชีวิตขณะเป็นนักธุรกิจ ชีวิตขณะเป็นนักธุรกิจ. หลังจากที่บุชจบจากการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยลแล้ว เขาและครอบครัวได้ย้ายไปที่เวสต์เทกซัส พ่อของเขาได้ทำธุรกิจบ่อน้ำมันที่นั้น ในช่วงแรกเขาเริ่มทำงานเป็นพนักงานในอุตสาหกรรมการแต่งตัวซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งของบราวน์บราเทอร์แฮริแมน พ่อของเขาเป็นคณะกรรมการอยู่ 22 ปี ขณะที่เขาทำงานในโรงงานนั้น เขาก็ได้ย้ายเป็นอาศัยอยู่ที่อื่นตามครอบครัวของเขา ได้แก่ โอเดสซา เทกซัส, เวนทูรา เบเกอส์ฟิลด์ และคอมป์ตัน แคลิฟอร์เนีย บุชได้เริ่มบริษัทบุช-โอเวอร์เบย์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ในปีพ.ศ. 2494 ในช่วงเวลานี้ทำให้บุชเป็นเศรษฐีชีวิตการเมือง (2507-2523)ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (2532-2536) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (2532-2536). บุชได้รับเลือกตังให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 41 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2532 เขาดำรงตำแหน่งต่อจากโรนัลด์ เรแกน เขาก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง เช่น การทำลายของกำแพงเบอร์ลิน การล่มสลายของสหภาพโซเวียต เขาได้สั่งให้ทหารเริ่มเคลื่อนไหวในประเทศปานามาและอ่าวเปอร์เซีย และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็ทำให้เศรษฐกิจในประเทศย่ำแย่ลง และทำให้ต้องยกเลิกคำพูดที่ให้ไว้ว่าจะไม่มีภาษีใหม่ และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2535บรรพบุรุษ
จอร์จ บุช เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาต่อจากใคร
{ "answer": [ "โรนัลด์ เรแกน" ], "answer_begin_position": [ 326 ], "answer_end_position": [ 339 ] }
2,131
12,458
โรนัลด์ เรแกน โรนัลด์ วิลสัน เรแกน (; 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 – 5 มิถุนายน พ.ศ. 2547) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 40 (พ.ศ. 2524–2532) สังกัดพรรครีพับลิกัน นอกจากนี้เรแกนยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย คนที่ 33 (พ.ศ. 2510-พ.ศ. 2518) ก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นผู้ประกาศข่าวและนักแสดงมาก่อน เรแกนเกิดในเมือง ตัมปีโก, รัฐอิลลินอยส์ เติบโตมาในดิกซัน แรแกนได้ศึกษาเข้าที่มหาวิทยาลัย Eureka โดยได้หารายได้จากศิลปศาสตรบัณฑิต ปริญญาในสาขาเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา หลังจากสำเร็จการศึกษา เรแกนได้ย้ายไปยัง รัฐไอโอวา โดยทำหน้าที่เป็นผู้กระจายเสียงทางวิทยุ หลังจากในปี พ.ศ. 2480 เรแกนได้ไปยังเมือง ลอสแอนเจลิส เมื่อเรแกนเริ่มทำงานโดยการเป็นนักแสดง โดยเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์และครั้งสุดท้ายในวิทยุ หนึ่งในภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเขามีดังนี้ Knute Rockne, All American (2483), Kings Row (2485), and Bedtime for Bonzo (2494) เรแกนทำหน้าที่เป็นประธานของสมาคมนักแสดงหน้าจอและต่อมาเป็นโฆษกสำหรับ General Electric (GE) จุดเริ่มต้นของแรแกนในทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานของเขาสำหรับจีอี แต่เดิมเขาเป็นสมาชิกของพรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา) แต่เนื่องจากฝ่ายขยับแพลตฟอร์มในระหว่างปี พ.ศ. 2493 เปลี่ยนไปอยู่ในพรรคริพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา) ใน พ.ศ. 2505 หลังจากการส่งมอบคำพูดที่เร้าใจในการสนับสนุนของผู้สมัครประธานาธิบดี แบรี่ โกรวอทเธอร์ ในปี พ.ศ. 2507 , เขาถูกชักชวนให้ไปหาผู้ว่าจ้างแคลิฟอเนีย , เขาชนะสองปีและอีกครั้งในปี พ.ศ. 2513 เขาก็พ่ายแพ้ในระยะของเขาสำหรับพรรคริพับลิกันเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2511 และในปี พ.ศ. 2519ประวัติ ประวัติ. โรนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 40 สังกัดพรรครีพับลิกัน เคยเป็นนักแสดงหนังแอ็คชัน คาวบอย ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียคนที่ 33 และประธานาธิบดีคนที่ 40 ของสหรัฐฯ เรแกนเป็นอดีตประธานาธิบดีที่มีอายุยืนที่สุด เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดเมื่อได้รับเลือก (69 ปี 349 วัน) เป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่เคยหย่าร้างเมื่อได้รับเลือก และเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่แต่งงานกับหญิงมีครรภ์ ผลงานระหว่างที่เป็นประธานาธิบดีนั้น เรแกนมีส่วนให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศมหาอำนาจจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่ภาพลักษณ์ประเทศตกต่ำไปหลายปีภายใต้การบริหารประเทศของ ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และมีส่วนในการยุติสงครามเย็นและการล่มสลายโลกคอมมัวนิสต์อีกด้วยผลงานแวดวงภาพยนตร์ ผลงานแวดวงภาพยนตร์. แรแกนเริ่มงานในวงการบันเทิงโดยรับบทพระรอง และก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2480 เรื่อง Love is On the Air ภายในระยะเวลา 2 ปี เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ทั้งหมด 19 เรื่อง ปี พ.ศ. 2483 เรแกนได้รับบทจอร์จ เดอะกิปเปอร์ กิปป์ ในภาพยนตร์เรื่อง Knute Rockne All American ทำให้เขาถูกขนานนามว่า "เดอะกิปเปอร์" นับตั้งแต่นั้น เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด และได้รับเกียรติให้มีดาวประจำตัวอยู่ที่ ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม ที่เลขที่ 6374 ฮอลลีวูด บูลเลอวาร์ด ช่วงปลายทศวรรษ พ.ศ. 2493 เขาผันตัวเองมาทำงานด้านโทรทัศน์ และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ดำเนินรายการ
โรนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "40" ], "answer_begin_position": [ 209 ], "answer_end_position": [ 211 ] }
2,132
12,458
โรนัลด์ เรแกน โรนัลด์ วิลสัน เรแกน (; 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 – 5 มิถุนายน พ.ศ. 2547) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 40 (พ.ศ. 2524–2532) สังกัดพรรครีพับลิกัน นอกจากนี้เรแกนยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย คนที่ 33 (พ.ศ. 2510-พ.ศ. 2518) ก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นผู้ประกาศข่าวและนักแสดงมาก่อน เรแกนเกิดในเมือง ตัมปีโก, รัฐอิลลินอยส์ เติบโตมาในดิกซัน แรแกนได้ศึกษาเข้าที่มหาวิทยาลัย Eureka โดยได้หารายได้จากศิลปศาสตรบัณฑิต ปริญญาในสาขาเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา หลังจากสำเร็จการศึกษา เรแกนได้ย้ายไปยัง รัฐไอโอวา โดยทำหน้าที่เป็นผู้กระจายเสียงทางวิทยุ หลังจากในปี พ.ศ. 2480 เรแกนได้ไปยังเมือง ลอสแอนเจลิส เมื่อเรแกนเริ่มทำงานโดยการเป็นนักแสดง โดยเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์และครั้งสุดท้ายในวิทยุ หนึ่งในภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเขามีดังนี้ Knute Rockne, All American (2483), Kings Row (2485), and Bedtime for Bonzo (2494) เรแกนทำหน้าที่เป็นประธานของสมาคมนักแสดงหน้าจอและต่อมาเป็นโฆษกสำหรับ General Electric (GE) จุดเริ่มต้นของแรแกนในทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานของเขาสำหรับจีอี แต่เดิมเขาเป็นสมาชิกของพรรคเดโมแครต (สหรัฐอเมริกา) แต่เนื่องจากฝ่ายขยับแพลตฟอร์มในระหว่างปี พ.ศ. 2493 เปลี่ยนไปอยู่ในพรรคริพับลิกัน (สหรัฐอเมริกา) ใน พ.ศ. 2505 หลังจากการส่งมอบคำพูดที่เร้าใจในการสนับสนุนของผู้สมัครประธานาธิบดี แบรี่ โกรวอทเธอร์ ในปี พ.ศ. 2507 , เขาถูกชักชวนให้ไปหาผู้ว่าจ้างแคลิฟอเนีย , เขาชนะสองปีและอีกครั้งในปี พ.ศ. 2513 เขาก็พ่ายแพ้ในระยะของเขาสำหรับพรรคริพับลิกันเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2511 และในปี พ.ศ. 2519ประวัติ ประวัติ. โรนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 40 สังกัดพรรครีพับลิกัน เคยเป็นนักแสดงหนังแอ็คชัน คาวบอย ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียคนที่ 33 และประธานาธิบดีคนที่ 40 ของสหรัฐฯ เรแกนเป็นอดีตประธานาธิบดีที่มีอายุยืนที่สุด เป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดเมื่อได้รับเลือก (69 ปี 349 วัน) เป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่เคยหย่าร้างเมื่อได้รับเลือก และเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่แต่งงานกับหญิงมีครรภ์ ผลงานระหว่างที่เป็นประธานาธิบดีนั้น เรแกนมีส่วนให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศมหาอำนาจจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่ภาพลักษณ์ประเทศตกต่ำไปหลายปีภายใต้การบริหารประเทศของ ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และมีส่วนในการยุติสงครามเย็นและการล่มสลายโลกคอมมัวนิสต์อีกด้วยผลงานแวดวงภาพยนตร์ ผลงานแวดวงภาพยนตร์. แรแกนเริ่มงานในวงการบันเทิงโดยรับบทพระรอง และก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2480 เรื่อง Love is On the Air ภายในระยะเวลา 2 ปี เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ทั้งหมด 19 เรื่อง ปี พ.ศ. 2483 เรแกนได้รับบทจอร์จ เดอะกิปเปอร์ กิปป์ ในภาพยนตร์เรื่อง Knute Rockne All American ทำให้เขาถูกขนานนามว่า "เดอะกิปเปอร์" นับตั้งแต่นั้น เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด และได้รับเกียรติให้มีดาวประจำตัวอยู่ที่ ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม ที่เลขที่ 6374 ฮอลลีวูด บูลเลอวาร์ด ช่วงปลายทศวรรษ พ.ศ. 2493 เขาผันตัวเองมาทำงานด้านโทรทัศน์ และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ดำเนินรายการ
โรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐของรัฐใด
{ "answer": [ "แคลิฟอร์เนีย" ], "answer_begin_position": [ 290 ], "answer_end_position": [ 302 ] }
2,133
112,499
ฮิลลารี คลินตัน ฮิลลารี ไดแอน ร็อดแดม คลินตัน () เกิดวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1947 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 67 ในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา อดีตสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์กในระหว่างปี ค.ศ. 2001 - 2009 ฮิลลารีเป็นภริยาบิล คลินตัน ประธานาธิบดีคนที่ 42 แห่งสหรัฐอเมริกา เธอจึงเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. 1993 - 2001 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 เธอเคยลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย แต่พ่ายแพ้ให้บารัก โอบามา ในครั้งนั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2016 เธอได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับดอนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจจากรัฐนิวยอร์ก นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประวัติชีวิตวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตวัยเด็ก. ฮิลลารีเกิดวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1947 ที่โรงพยาบาลเอดจ์วอเตอร์ (Edgewater Hospital) ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ก่อนจะย้ายไปพำนักที่เมืองปาร์ก ริดจ์ในรัฐเดียวกันนั่นเอง เมื่อนางฮิลลารีมีอายุได้ 3 ปี ฮิลลารีเป็นบุตรสาวคนโตของ ฮิวจ์ เอลส์เวิร์ท ร็อดแฮม และโดโรธี เอ็มม่า โฮเวลล์ บิดาของฮิลลารีเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งทอขนาดเล็ก ส่วนมารดานั้นเป็นแม่บ้าน เธอมีน้องอีก 2 คนคือ ฮิวจ์และโทนี่การศึกษา การศึกษา. ฮิลลารีสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์จากวิทยาลัยสตรีเวลเลสลีย์ โดยเธอได้รับเกียรตินิยม จากนั้นศึกษาต่อด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยล และรู้จักกับบิล คลินตัน ซึ่งขณะนั้นก็เรียนด้านกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยลเช่นกัน ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1975 โดยมีบุตรี 1 คนคือ เชลซี คลินตันสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา. หลังจากที่บิล คลินตัน สามีของเธอได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1993 ฮิลลารีจึงเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ฮิลลารีนับเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต และมีอาชีพเป็นทางการก่อนได้รับตำแหน่ง เธอยังเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีสำนักงานของตัวเองอยู่ในปีกฝั่งตะวันตกของทำเนียบขาว ซึ่งก่อนหน้าที่ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะดูแลปีกฝั่งตะวันออกเท่านั้น โดยเธอยังเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นหนึ่งในสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดเคียงคู่กันกับ เอลินอร์ รูสเวลท์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในสมัยประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ถึงแม้ว่า ฮิลลารีจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการที่เธอเข้ามามีบทบาทในการทำงานของคณะรัฐบาล แต่ฝ่ายที่สนับสนุนก็ออกมาโต้แย้งว่า ประชาชนที่เลือกบิล คลินตันให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีย่อมรู้ถึงข้อนี้ดีประวัติทางการเมืองสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์ก ประวัติทางการเมือง. สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์ก. หลังจากที่อดีตสมาชิกวุฒิสภารัฐนิวยอร์ก แดเนียล แพทริค มอยนิแฮนประกาศเกษียณ ได้มีสมาชิกในพรรคเดโมแครตหลายคน รวมไปถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชาร์ลส บี แรนเกล สนับสนุนให้ฮิลลารีลงสมัครรับเลือกในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2000 หลังจากที่ฮิลลารีตัดสินใจลงสมัคร เธอและบิลได้ซื้อบ้านในชานเมืองนิวยอร์ก ฮิลลารีนับเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่ลงรับเลือกตั้ง และได้รับเลือกถึง 2 สมัยด้วยกัน แต่ในสมัยที่ 2 ดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระ เนื่องจากเธอเข้ารับรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี ค.ศ. 2009 และในปี ค.ศ. 2016 เธอถูกโจมตีจากนายดอนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ว่าในขณะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา เธอสนับสนุนสงครามอิรัก ในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยเธอยอมรับว่าในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และกล่าวขอโทษการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 การชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008. เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2007 นางฮิลลารีได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ว่า เธอตัดสินใจจะลงสมัครรับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2008 โดยฮิลลารีเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ลงสมัครเป็นตัวแทนของพรรคระดับชาติ โดยในช่วงครึ่งปีแรก ฮิลลารีมีคะแนนนำในการสำรวจคะแนนนิยม โดยคู่แข่งของเธอคือ บารัก โอบามา (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 แห่งสหรัฐอเมริกา)สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจอห์น เอ็ดเวิดส์จากรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยสโลแกนของเธอคือ "ประสบการณ์(Experience)" ฮิลลารี และโอบามา นับได้ว่า มีคะแนนคู่คี่สูสีกันมาโดยตลอด โดยต่างกันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในการเลือกตั้งตามรัฐต่างๆ แต่หลังจากการเลือกตั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โอบามามีคะแนนเสียงเพียงพอ และได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ฮิลลารีได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้และประกาศสนับสนุนบารัก โอบามาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016. ฮิลลารี เอาชนะเบอร์นี แซนเดอร์ส สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเวอร์มอนต์ และกลายเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2016 ซึ่งเธอเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และช่วงชิงตำแหน่งกับนายดอนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 โดยนายดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะ ได้คะแนน 306 นางฮิลลารีได้คะแนน 232 หลังจากผลการเลือกตั้งประกาศ เธอได้โทรศัพท์ไปหาดอนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับความพ่ายแพ้และแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ และนายดอนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวชื่นชมฮิลลารีว่า ทำงานหนักอย่างยิ่งเพื่อสหรัฐอเมริการัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ. ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 หลังได้รับเลือก ประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้มาพูดคุยกับฮิลลารี โดยเขาได้ขอให้นางฮิลลารีรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเธอก็ยอมรับตำแหน่ง และดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2009 - 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ฮิลลารี คลินตัน เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนใด
{ "answer": [ "บารัก โอบามา" ], "answer_begin_position": [ 254 ], "answer_end_position": [ 266 ] }
2,134
112,499
ฮิลลารี คลินตัน ฮิลลารี ไดแอน ร็อดแดม คลินตัน () เกิดวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1947 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา คนที่ 67 ในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา อดีตสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์กในระหว่างปี ค.ศ. 2001 - 2009 ฮิลลารีเป็นภริยาบิล คลินตัน ประธานาธิบดีคนที่ 42 แห่งสหรัฐอเมริกา เธอจึงเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี ค.ศ. 1993 - 2001 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 เธอเคยลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย แต่พ่ายแพ้ให้บารัก โอบามา ในครั้งนั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2016 เธอได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับดอนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจจากรัฐนิวยอร์ก นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประวัติชีวิตวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตวัยเด็ก. ฮิลลารีเกิดวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1947 ที่โรงพยาบาลเอดจ์วอเตอร์ (Edgewater Hospital) ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ก่อนจะย้ายไปพำนักที่เมืองปาร์ก ริดจ์ในรัฐเดียวกันนั่นเอง เมื่อนางฮิลลารีมีอายุได้ 3 ปี ฮิลลารีเป็นบุตรสาวคนโตของ ฮิวจ์ เอลส์เวิร์ท ร็อดแฮม และโดโรธี เอ็มม่า โฮเวลล์ บิดาของฮิลลารีเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งทอขนาดเล็ก ส่วนมารดานั้นเป็นแม่บ้าน เธอมีน้องอีก 2 คนคือ ฮิวจ์และโทนี่การศึกษา การศึกษา. ฮิลลารีสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์จากวิทยาลัยสตรีเวลเลสลีย์ โดยเธอได้รับเกียรตินิยม จากนั้นศึกษาต่อด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยล และรู้จักกับบิล คลินตัน ซึ่งขณะนั้นก็เรียนด้านกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยลเช่นกัน ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1975 โดยมีบุตรี 1 คนคือ เชลซี คลินตันสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา. หลังจากที่บิล คลินตัน สามีของเธอได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1993 ฮิลลารีจึงเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ฮิลลารีนับเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต และมีอาชีพเป็นทางการก่อนได้รับตำแหน่ง เธอยังเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีสำนักงานของตัวเองอยู่ในปีกฝั่งตะวันตกของทำเนียบขาว ซึ่งก่อนหน้าที่ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะดูแลปีกฝั่งตะวันออกเท่านั้น โดยเธอยังเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นหนึ่งในสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดเคียงคู่กันกับ เอลินอร์ รูสเวลท์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในสมัยประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ถึงแม้ว่า ฮิลลารีจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการที่เธอเข้ามามีบทบาทในการทำงานของคณะรัฐบาล แต่ฝ่ายที่สนับสนุนก็ออกมาโต้แย้งว่า ประชาชนที่เลือกบิล คลินตันให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีย่อมรู้ถึงข้อนี้ดีประวัติทางการเมืองสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์ก ประวัติทางการเมือง. สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนิวยอร์ก. หลังจากที่อดีตสมาชิกวุฒิสภารัฐนิวยอร์ก แดเนียล แพทริค มอยนิแฮนประกาศเกษียณ ได้มีสมาชิกในพรรคเดโมแครตหลายคน รวมไปถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชาร์ลส บี แรนเกล สนับสนุนให้ฮิลลารีลงสมัครรับเลือกในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2000 หลังจากที่ฮิลลารีตัดสินใจลงสมัคร เธอและบิลได้ซื้อบ้านในชานเมืองนิวยอร์ก ฮิลลารีนับเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่ลงรับเลือกตั้ง และได้รับเลือกถึง 2 สมัยด้วยกัน แต่ในสมัยที่ 2 ดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระ เนื่องจากเธอเข้ารับรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี ค.ศ. 2009 และในปี ค.ศ. 2016 เธอถูกโจมตีจากนายดอนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ว่าในขณะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา เธอสนับสนุนสงครามอิรัก ในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยเธอยอมรับว่าในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และกล่าวขอโทษการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 การชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008. เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2007 นางฮิลลารีได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ว่า เธอตัดสินใจจะลงสมัครรับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2008 โดยฮิลลารีเป็นสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ลงสมัครเป็นตัวแทนของพรรคระดับชาติ โดยในช่วงครึ่งปีแรก ฮิลลารีมีคะแนนนำในการสำรวจคะแนนนิยม โดยคู่แข่งของเธอคือ บารัก โอบามา (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 แห่งสหรัฐอเมริกา)สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจอห์น เอ็ดเวิดส์จากรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยสโลแกนของเธอคือ "ประสบการณ์(Experience)" ฮิลลารี และโอบามา นับได้ว่า มีคะแนนคู่คี่สูสีกันมาโดยตลอด โดยต่างกันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในการเลือกตั้งตามรัฐต่างๆ แต่หลังจากการเลือกตั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โอบามามีคะแนนเสียงเพียงพอ และได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ฮิลลารีได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้และประกาศสนับสนุนบารัก โอบามาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016. ฮิลลารี เอาชนะเบอร์นี แซนเดอร์ส สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเวอร์มอนต์ และกลายเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2016 ซึ่งเธอเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และช่วงชิงตำแหน่งกับนายดอนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 โดยนายดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะ ได้คะแนน 306 นางฮิลลารีได้คะแนน 232 หลังจากผลการเลือกตั้งประกาศ เธอได้โทรศัพท์ไปหาดอนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับความพ่ายแพ้และแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ และนายดอนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวชื่นชมฮิลลารีว่า ทำงานหนักอย่างยิ่งเพื่อสหรัฐอเมริการัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ. ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 หลังได้รับเลือก ประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้มาพูดคุยกับฮิลลารี โดยเขาได้ขอให้นางฮิลลารีรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเธอก็ยอมรับตำแหน่ง และดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2009 - 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคือใคร
{ "answer": [ "ฮิลลารี คลินตัน" ], "answer_begin_position": [ 90 ], "answer_end_position": [ 105 ] }
2,135
11,034
บิล คลินตัน วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน () หรือรู้จักในชื่อ บิล คลินตัน (Bill Clinton) เกิดวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1946 เป็นประธานาธิบดีคนที่ 42 ของสหรัฐอเมริกา ระหว่างค.ศ. 1993 - ค.ศ. 2001 ก่อนหน้านั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ เขาแต่งงานกับนางฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ทั้งคู่มีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ เชลซี และลงเล่นการเมืองสังกัดพรรคเดโมแครตประวัติชีวิตในวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตในวัยเด็ก. บิล คลินตันเกิดในเมืองโฮป รัฐอาร์คันซอ โดยมีชื่อว่า วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ ที่ 3 (William Jefferson Blythe III) ซึ่งตั้งตามชื่อพ่อของเขาเอง คือ วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ จูเนียร์ (William Jefferson Blythe Jr., 1918-1946) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ก่อนคลินตันเกิดเพียง 3 เดือน หลังจากนั้นนางเวอร์จิเนีย เดลล์ แซสซิดี (Virginia Dell Cassidy, 1923-1994) ผู้เป็นมารดา ได้แต่งงานใหม่กับนายโรเจอร์ คลินตัน (Roger Clinton, 1908-1967) ซึ่งบิลได้เปลี่ยนนามสกุลตามอย่างเป็นทางการเมื่ออายุ 14 ปีผู้ว่าการรัฐ ผู้ว่าการรัฐ. บิล คลินตันจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ จากนั้นได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดทางด้านการเมืองการปกครอง หลังกลับมาจากอ็อกซ์ฟอ์ด คลินตันเข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัยเยล จบการศึกษาในปี 1973 ที่เยลเขาได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่กลายมาเป็นภรรยาในอนาคต คือ นางฮิลลารี ร็อดแฮม (Hillary Rodham Clinton) คลินตันสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอเมื่อ ค.ศ. 1978 และยังเป็นผู้ว่าการรัฐที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น หลังจากการเป็นผู้ว่าการรัฐสมัยแรก คลินตันแพ้ให้กับนาย แฟรงก์ ดี. ไวต์ จากพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1980 แต่เขาสามารถกลับมาได้รับเลือกตั้งได้อีก 4 สมัยติดกัน ในช่วงปี ค.ศ. 1982-ค.ศ. 1992การดำรงตำแหน่งวาระแรก การดำรงตำแหน่งวาระแรก. คลินตันเลือกวุฒิสมาชิกอัล กอร์ร่วมทีมรองประธานาธิบดี เอาชนะการเลือกตั้งต่อประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เมื่อ ค.ศ. 1992 โดยอาศัยจุดขายด้านเศรษฐกิจในประเทศที่ตกต่ำหลังจากประธานาธิบดีบุช ไปเน้นกิจการต่างประเทศอย่างเช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย ในการเลือกตั้งทั่วไประหว่างสมัยของคลินตันใน ค.ศ. 1994 พรรคเดโมแครตได้เสียที่นั่งข้างมากในรัฐสภาเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ทำให้เกิดสภาวะที่ประธานาธิบดีกับเสียงข้างมากของสภามาจากคนละพรรคกัน คลินตันมีสัมพันธ์อันดีกับนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ แห่งสหราชอาณาจักร เขามีบทบาทในกิจการต่างประเทศที่สำคัญ เช่น การส่งทหารเข้าไปในประเทศโซมาเลีย การโจมตีกรุงโคโซโวของอดีตประเทศยูโกสลาเวียเดิม สันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ และกรณีของประเทศอิสราเอลกับปาเลสไตน์การดำรงตำแหน่งวาระที่สอง การดำรงตำแหน่งวาระที่สอง. คลินตันได้ชัยชนะอีกครั้งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1996 ต่อสมาชิกวุฒิสภาบ็อบ โดล จากพรรครีพับลิกัน เหตุการณ์สำคัญในการดำรงตำแหน่งวาระที่สอง คือ คลินตันถูกอิมพีชเมนต์ ในฐานะประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1998 โดยวุฒิสภา (House of Senate) ในหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ทางเพศกับ โมนิก้า ลูวินสกี้ นักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่สองที่ถูกอิมพีชเมนต์ต่อจากประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน ผู้นำในการสืบสวนคืออัยการอิสระ นายเคนเนธ สตาร์ (Kenneth Starr) การไต่สวนของวุฒิสภาดำเนินไปใน ค.ศ. 1999 ซึ่งต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ในการถอดถอนประธานาธิบดี ซึ่งเสียงโหวตของวุฒิสภาไม่ถึงที่กำหนด ก่อนจะหมดวาระประธานาธิบดีสมัยที่สอง คลินตันได้ตกลงกับศาลในการยุติการสืบสวน ซึ่งแลกกับการถอนใบอนุญาตทางกฎหมายเป็นเวลา 5 ปี
บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "42" ], "answer_begin_position": [ 226 ], "answer_end_position": [ 228 ] }
2,136
11,034
บิล คลินตัน วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน () หรือรู้จักในชื่อ บิล คลินตัน (Bill Clinton) เกิดวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1946 เป็นประธานาธิบดีคนที่ 42 ของสหรัฐอเมริกา ระหว่างค.ศ. 1993 - ค.ศ. 2001 ก่อนหน้านั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ เขาแต่งงานกับนางฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ทั้งคู่มีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ เชลซี และลงเล่นการเมืองสังกัดพรรคเดโมแครตประวัติชีวิตในวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตในวัยเด็ก. บิล คลินตันเกิดในเมืองโฮป รัฐอาร์คันซอ โดยมีชื่อว่า วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ ที่ 3 (William Jefferson Blythe III) ซึ่งตั้งตามชื่อพ่อของเขาเอง คือ วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน ไบลท์ จูเนียร์ (William Jefferson Blythe Jr., 1918-1946) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ก่อนคลินตันเกิดเพียง 3 เดือน หลังจากนั้นนางเวอร์จิเนีย เดลล์ แซสซิดี (Virginia Dell Cassidy, 1923-1994) ผู้เป็นมารดา ได้แต่งงานใหม่กับนายโรเจอร์ คลินตัน (Roger Clinton, 1908-1967) ซึ่งบิลได้เปลี่ยนนามสกุลตามอย่างเป็นทางการเมื่ออายุ 14 ปีผู้ว่าการรัฐ ผู้ว่าการรัฐ. บิล คลินตันจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ จากนั้นได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดทางด้านการเมืองการปกครอง หลังกลับมาจากอ็อกซ์ฟอ์ด คลินตันเข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัยเยล จบการศึกษาในปี 1973 ที่เยลเขาได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่กลายมาเป็นภรรยาในอนาคต คือ นางฮิลลารี ร็อดแฮม (Hillary Rodham Clinton) คลินตันสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอเมื่อ ค.ศ. 1978 และยังเป็นผู้ว่าการรัฐที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น หลังจากการเป็นผู้ว่าการรัฐสมัยแรก คลินตันแพ้ให้กับนาย แฟรงก์ ดี. ไวต์ จากพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1980 แต่เขาสามารถกลับมาได้รับเลือกตั้งได้อีก 4 สมัยติดกัน ในช่วงปี ค.ศ. 1982-ค.ศ. 1992การดำรงตำแหน่งวาระแรก การดำรงตำแหน่งวาระแรก. คลินตันเลือกวุฒิสมาชิกอัล กอร์ร่วมทีมรองประธานาธิบดี เอาชนะการเลือกตั้งต่อประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เมื่อ ค.ศ. 1992 โดยอาศัยจุดขายด้านเศรษฐกิจในประเทศที่ตกต่ำหลังจากประธานาธิบดีบุช ไปเน้นกิจการต่างประเทศอย่างเช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย ในการเลือกตั้งทั่วไประหว่างสมัยของคลินตันใน ค.ศ. 1994 พรรคเดโมแครตได้เสียที่นั่งข้างมากในรัฐสภาเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ทำให้เกิดสภาวะที่ประธานาธิบดีกับเสียงข้างมากของสภามาจากคนละพรรคกัน คลินตันมีสัมพันธ์อันดีกับนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ แห่งสหราชอาณาจักร เขามีบทบาทในกิจการต่างประเทศที่สำคัญ เช่น การส่งทหารเข้าไปในประเทศโซมาเลีย การโจมตีกรุงโคโซโวของอดีตประเทศยูโกสลาเวียเดิม สันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ และกรณีของประเทศอิสราเอลกับปาเลสไตน์การดำรงตำแหน่งวาระที่สอง การดำรงตำแหน่งวาระที่สอง. คลินตันได้ชัยชนะอีกครั้งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1996 ต่อสมาชิกวุฒิสภาบ็อบ โดล จากพรรครีพับลิกัน เหตุการณ์สำคัญในการดำรงตำแหน่งวาระที่สอง คือ คลินตันถูกอิมพีชเมนต์ ในฐานะประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1998 โดยวุฒิสภา (House of Senate) ในหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ทางเพศกับ โมนิก้า ลูวินสกี้ นักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่สองที่ถูกอิมพีชเมนต์ต่อจากประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน ผู้นำในการสืบสวนคืออัยการอิสระ นายเคนเนธ สตาร์ (Kenneth Starr) การไต่สวนของวุฒิสภาดำเนินไปใน ค.ศ. 1999 ซึ่งต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ในการถอดถอนประธานาธิบดี ซึ่งเสียงโหวตของวุฒิสภาไม่ถึงที่กำหนด ก่อนจะหมดวาระประธานาธิบดีสมัยที่สอง คลินตันได้ตกลงกับศาลในการยุติการสืบสวน ซึ่งแลกกับการถอนใบอนุญาตทางกฎหมายเป็นเวลา 5 ปี
อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน จบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยใด
{ "answer": [ "จอร์จทาวน์" ], "answer_begin_position": [ 1084 ], "answer_end_position": [ 1094 ] }
2,138
146,703
เบนจามิน แฟรงคลิน เบนจามิน แฟรงคลิน () (– 17 เมษายน ค.ศ. 1790) เป็นหนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็น ช่างพิมพ์ คนเรียงพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปฏิรูป และนักการทูต คนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เขามีผลงานหลายอย่างในด้านฟิสิกส์ ผลงานที่สำคัญคือคิดค้นสายล่อฟ้า และผลงานอื่นเช่นแว่นไบโฟคอล เตาแฟรงคลิน และฮาร์โมนิกาแก้ว เขาเป็นผู้เริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา และก่อตั้งสถานีดับเพลิงแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนีย ผลงานในฐานะนักการเมืองเขาเป็นนักเขียนและผู้นำการเคลื่อนไหวคนสำคัญไปสู่การแยกตัวออกจากอาณานิคมและร่วมก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักการทูต เขาได้เป็นทูตคนสำคัญในช่วงปฏิวัติอเมริกาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของประเทศจากอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด แฟรงคลินเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นนักเรียงพิมพ์ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากหนังสือ Poor Richard's Almanack และหนังสือพิมพ์เพนน์ซิลเวเนียแกเซตต์ (Pennsylvania Gazette) แฟรงคลินมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกคนหนึ่ง นอกจากนี้เขาได้เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และวิทยาลัยแฟรงคลินแอนด์มาร์แชลล์ เขายังได้รับเลือกให้เป็นประธานคนแรกของสมาคมปรัชญาอเมริกา จากผลงานของแฟรงคลินทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และการเมือง เขาได้ถูกยกย่องและกล่าวถึงในหลายด้าน เขาปรากฏในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา (100 ดอลลาร์สหรัฐ) ชื่อของเขายังปรากฏเป็นชื่อ เมือง เคาน์ตี สถานศึกษา และผลงานอีกหลายด้านยังมีการกล่าวถึงตราบจนปัจจุบันประวัติวัยเยาว์ ประวัติวัยเยาว์. เบนจามิน แฟรงคลินเกิดที่เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1706ที่บ้านตรงถนนมิลค์ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และได้รับการแบปติสต์ที่โอลด์เซาธ์มีตตีงเฮาส์ เบนเป็นลูกคนที่ 15 ของบ้านจาก 17 คน พ่อของเบนชื่อ โยซีอาห์ แฟรงคลิน (Josiah Franklin) พ่อค้าขายเทียนและสบู่ในเมืองบอสตัน แม่ของเขาชื่อ อาบีอาห์ โฟรเยอร์ (Abiah Folger) ภรรยาคนที่สองของบ้าน เขาได้รับการศึกษาในเมืองที่โรงเรียนบอสตันลาติน แต่เนื่องจากสภาวะการเงินของทางบ้านไม่ดี จึงได้ออกจากโรงเรียนและมาช่วยกิจการที่บ้านเมื่ออายุได้ 10 ปี สองปีต่อมาเขาได้เข้าฝึกงานกับพี่ชายในฐานะช่างพิมพ์ จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้พยายามส่งงานเขียนของเขาไปที่สำนักพิมพ์หลายแห่ง แต่ได้ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาได้เขียนงานและใช้นามแฝงในชื่อ นางไซเลนซ์ ดูกู๊ด (Mrs. Silence Dogood) ซึ่งงานเขียนของเขาได้เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานทั่วเมือง แต่ในที่สุดก็โดนจับได้จากพี่ชาย ส่งผลให้เบ็นได้ออกจากบ้านที่บอสตัน และเดินทางมายังฟิลาเดลเฟีย
บิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกาคนใดปรากฏอยู่บนธนบัตร 100 ดอลลาร์สหรัฐ
{ "answer": [ "เบนจามิน แฟรงคลิน" ], "answer_begin_position": [ 92 ], "answer_end_position": [ 109 ] }
2,139
146,703
เบนจามิน แฟรงคลิน เบนจามิน แฟรงคลิน () (– 17 เมษายน ค.ศ. 1790) เป็นหนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็น ช่างพิมพ์ คนเรียงพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปฏิรูป และนักการทูต คนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เขามีผลงานหลายอย่างในด้านฟิสิกส์ ผลงานที่สำคัญคือคิดค้นสายล่อฟ้า และผลงานอื่นเช่นแว่นไบโฟคอล เตาแฟรงคลิน และฮาร์โมนิกาแก้ว เขาเป็นผู้เริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา และก่อตั้งสถานีดับเพลิงแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนีย ผลงานในฐานะนักการเมืองเขาเป็นนักเขียนและผู้นำการเคลื่อนไหวคนสำคัญไปสู่การแยกตัวออกจากอาณานิคมและร่วมก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักการทูต เขาได้เป็นทูตคนสำคัญในช่วงปฏิวัติอเมริกาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของประเทศจากอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด แฟรงคลินเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นนักเรียงพิมพ์ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากหนังสือ Poor Richard's Almanack และหนังสือพิมพ์เพนน์ซิลเวเนียแกเซตต์ (Pennsylvania Gazette) แฟรงคลินมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกคนหนึ่ง นอกจากนี้เขาได้เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และวิทยาลัยแฟรงคลินแอนด์มาร์แชลล์ เขายังได้รับเลือกให้เป็นประธานคนแรกของสมาคมปรัชญาอเมริกา จากผลงานของแฟรงคลินทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และการเมือง เขาได้ถูกยกย่องและกล่าวถึงในหลายด้าน เขาปรากฏในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา (100 ดอลลาร์สหรัฐ) ชื่อของเขายังปรากฏเป็นชื่อ เมือง เคาน์ตี สถานศึกษา และผลงานอีกหลายด้านยังมีการกล่าวถึงตราบจนปัจจุบันประวัติวัยเยาว์ ประวัติวัยเยาว์. เบนจามิน แฟรงคลินเกิดที่เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1706ที่บ้านตรงถนนมิลค์ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และได้รับการแบปติสต์ที่โอลด์เซาธ์มีตตีงเฮาส์ เบนเป็นลูกคนที่ 15 ของบ้านจาก 17 คน พ่อของเบนชื่อ โยซีอาห์ แฟรงคลิน (Josiah Franklin) พ่อค้าขายเทียนและสบู่ในเมืองบอสตัน แม่ของเขาชื่อ อาบีอาห์ โฟรเยอร์ (Abiah Folger) ภรรยาคนที่สองของบ้าน เขาได้รับการศึกษาในเมืองที่โรงเรียนบอสตันลาติน แต่เนื่องจากสภาวะการเงินของทางบ้านไม่ดี จึงได้ออกจากโรงเรียนและมาช่วยกิจการที่บ้านเมื่ออายุได้ 10 ปี สองปีต่อมาเขาได้เข้าฝึกงานกับพี่ชายในฐานะช่างพิมพ์ จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้พยายามส่งงานเขียนของเขาไปที่สำนักพิมพ์หลายแห่ง แต่ได้ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาได้เขียนงานและใช้นามแฝงในชื่อ นางไซเลนซ์ ดูกู๊ด (Mrs. Silence Dogood) ซึ่งงานเขียนของเขาได้เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานทั่วเมือง แต่ในที่สุดก็โดนจับได้จากพี่ชาย ส่งผลให้เบ็นได้ออกจากบ้านที่บอสตัน และเดินทางมายังฟิลาเดลเฟีย
เบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกามีนามแฝงว่าอะไร
{ "answer": [ "นางไซเลนซ์ ดูกู๊ด" ], "answer_begin_position": [ 2288 ], "answer_end_position": [ 2305 ] }
2,140
215,411
อับราฮัม ลินคอล์น อับราฮัม ลินคอล์น () เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.1861 จนกระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลินคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ลินคอล์นจึงสามารถรักษาความเป็นสหภาพของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ได้ นอกจากนี้เขายังนำทางไปสู่การเลิกทาส, สร้างความมั่งคงแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลกลาง ตลอดจนส่งเสริมการเศรษฐกิจและการเงินให้ทันสมัย ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจน ณ เมืองฮ็อดเจนวิลล์ รัฐเคนทักกี ซึ่งสมัยนั้นเป็นพรมแดนทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพทนายความในอิลินอยส์ใน ปี 1836 เขากลายเป็นผู้นำพรรควิก และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างค.ศ. 1834 - 1842 และต่อมาถูกเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาในปี 1846 โดยดำรงตำแหน่งอยู่หนึ่งสมัย ลินคอล์นเน้นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และต่อต้านสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังหมดวาระลินคอล์นกลับไปประกอบวิชาชีพกฎหมายจนประสบความสำเร็จ เมื่อกลับมาสู่เวทีการเมืองอีกครั้งใน ปี ค.ศ. 1854 ลินคอล์นกลายเป็นผู้นำก่อตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคริพับลิกัน ในระหว่างกับตัวแทนพรรคเดโมแครต สตีเฟน เอ. ดักลัส ใน ค.ศ. 1858 ลินคอล์นแสดงจุดยืนทางการเมืองที่คัดค้านการขยายตัวของสถาบันทาส แต่ก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่ดักลัส คู่แข่งผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดไม่แทรกแทรงการมีอยู่ของสถาบันทาส โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรมีสิทธิกำหนดเอง ลินคอล์นกลายเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งของพรรคริพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปึ ค.ศ. 1860 ในฐานะนักการเมืองผู้มีทัศนะทางการเมืองเป็นกลาง (moderate) และมาจากรัฐที่คะแนนเสียงไม่แน่นอน (swing state) แต่แม้จะแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลินคอล์นก็กวาดคะแนนเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1860 ชัยชนะการเลือกตั้งของลินคอล์นกระตุ้นให้เจ็ดรัฐทาสทางใต้ตัดสินใจประกาศแยกตัวออกจากสหภาพ และก่อตั้งสมาพันธรัฐทันทีโดยไม่รอให้มีพิธีเข้ารับตำแหน่งเสียก่อน การถอนตัวของนักการเมืองฝ่ายใต้ ทำให้พรรคของลินคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้อย่างเด็ดขาด แต่ความพยายามที่จะประนีประนอมต่างจบลงด้วยความล้มเหลว และเหลือเพียงสงครามเป็นทางเลือกสุดท้าย สงครามกลางเมืองเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองกำลังของนายพลโบริการ์ด แห่งฝ่ายสมาพันธรัฐเปิดการยิงโจมตีฟอร์ตซัมเทอร์ รัฐฝ่ายเหนือให้การตอบรับการเรียกระดมพลอย่างแข็งขัน ลินคอล์นดำเนินกลยุทธการเมืองอย่างชาญฉลาด และเขายังเป็นนักปราศัยที่มีทักษะการพูดที่ทรงพลัง สมารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้ สุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์กของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปอ้างอิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และเป็นคำนิยมอันอุโฆษ ต่ออุดมคติแห่งหลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพ และประชาธิปไตย ลินคอล์นให้ความสนใจต่อมิติทางการทหาร และกิจการในยามสงครามอย่างใกล้ชิด เป้าหมายของเขาคือการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว สมัยประธานาธิบดีของลินคอล์นมีจุดเด่นที่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี (presidential power) อย่างกว้างขวางและเฉียบขาด เมื่อรัฐทางใต้ประกาศตนเป็นกบฏต่อสหภาพ ลินคอล์นจึงใช้อำนาจของตนยับยั้งการใช้ เฮบีอัส คอร์ปัส (habeas corpus) หรือ หมายสั่งเรียกไต่สวนเหตุผลในการคุมขัง ในสถานการณ์นั้น ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่มีการไต่สวน; ในด้านการทูต ลินคอล์นสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการทหารกับอังกฤษ โดยสามารถจัดการกับกรณีเรือ เทรนต์ (Trent affair) ในช่วงปลาย ค.ศ. 1861 ได้อย่างเฉียบขาด ลินคอล์นบริหารการสงครามด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง ดังเช่นการเลือก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ เข้ามาเป็นผู้บัญชาการสั่งการกองทัพแทนที่ นายพลจอร์จ มี้ด ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปกองทัพ ทำให้ฝ่ายสหภาพสามารถทำสงครามได้หลายภูมิภาคการรบ หรือเขตสงคราม (theater) พร้อมๆกัน ลินคอล์นให้การสนับสนุน นายพลแกรนต์ ทำสงครามที่ทั้งยืดเยื้อ นองเลือดและเบ็ดเสร็จ ฝ่ายสมาพันธรัฐแม้จะได้เปรียบจากการเป็นฝ่ายตั้งรับ ก็อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ โดยการโจมตีของฝ่ายสหภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนสนามรบ แต่ยังรวมถึงการปิดกั้น และทำลายทางคมนาคนขนส่ง ทั้งทางแม่น้ำและทางรถไฟ รวมไปถึงฐานทางเศรษฐกิจของฝ่ายสมาพันธรัฐ จนในที่สุดแกรนต์สามารถเข้าเดินทัพเข้ายึดริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐได้ ในเดือนเมษายน ปี 1865 ในส่วนภาระกิจด้านการเลิกทาส ลินคอล์นไม่เพียงแต่ใช้สงครามเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังดำเนินกิจกรรมทางนโยบายอื่นๆ เช่น การออกการประกาศเลิกทาสใน ค.ศ. 1863 (หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่แอนตีแทม), การเกลี้ยกล่อมให้รัฐชายแดนประกาศให้สถาบันทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย, การออกกฎหมาย Confiscation Act เพื่อยึดและปลดปล่อยทาสจากผู้ที่ถูกศาลพิพากษาว่าให้การสนับสนุนฝ่ายสมาพันธรัฐ และช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่สิบสามจนผ่านสภาคองเกรส ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ซึ่งห้ามการมีและซื้อขายทาสตลอดไป ในทุกๆพื้นที่ที่อยู่ใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลม มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสถานการณ์อำนาจในแต่ละมลรัฐ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตสายสงครามซึ่งต้องการให้มีการประนีประนอมในประเด็นเรื่องสถาบันทาส และสมาชิกริพับลิกันหัวก้าวร้าว ซึ่งต้องการกำจัดกบฏฝ่ายใต้และสถาบันทาสให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบริหารแคมเปญจ์การลงเลือกตั้งใหม่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ด้วยตนเอง ช่วงปลายสงคราม ลินคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) แบบผ่อนผัน โดยแสวงการรวมและบูรณะประเทศอย่างรวดเร็ว ผ่านนโยบายการปรองดองที่ไม่มีเงื่อนไขยุ่งยาก ในสภาวะที่ความแตกแยกอย่างขมขื่นยังไม่ลดลงไป อย่างไรก็ดี เพียงห้าวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการกองทัพของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลินคอล์นถูกลอบยิงในโรงละคร โดยนักแสดงผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ (John Wilkes Booth) และเสียชีวิตในวันต่อมา การลอบสังหารลินคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุการณ์ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในความโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณชนชาวอเมริกันจัดให้ลินคอล์นเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจวบจนปัจจุบันอับราฮัม ลินคอล์นในช่วง ค.ศ. 1809-1854ชิวิตตอนต้น อับราฮัม ลินคอล์นในช่วง ค.ศ. 1809-1854. ชิวิตตอนต้น. อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลินคอล์นและแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน รัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลินคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก รัฐเพนซิลเวเนีย ไปยัง รัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา บางครั้งโธมัส ลินคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลินคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน รัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด $200 นำไปใช้หนี้ ครอบครัวของลินคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลินคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลินคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ รัฐอินดีแอนา จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส เมื่อลินคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำนมจากแม่โคที่กินอาหารสัตว์ ที่เป็นพิษ เมื่ออายุ 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลินคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลินคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เมคอน รัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลินคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ รัฐอิลลินอยส์ ลินคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนขาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลินคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วยชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว. ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 อับราฮัม ลินคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่นๆเสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1862 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโกชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง ชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง. ปี 1832 ขณะอายุได้ 23 ปี ลินคอล์นเข้าหุ้นส่วนซื้อร้านเล็กๆด้วยสินเชื่อ ในนิวซาเล็ม รัฐอิลินอยส์ ขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็ว แต่ธุรกิจของลินคอล์นกลับต้องดิ้นรน และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายหุ้นส่วนที่ตนถือ ในเดือนมีนาคมปีนั้นเอง ลินคอล์นก็เริ่มอาชีพทางการเมืองการเมืองพรรคริพับลิกันระหว่างปี 1854-1860การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860 การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบูแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี เดร็ด สก๊อต ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบูแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี เพื่อให้ศาลสามารถออกคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางได้อย่างเด็ดขาด ในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การเข้ากดดันตุลาการในคดี เดร็ด สก็อตต์ ของ ปธน. บูแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรคริพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม ปี 1858 และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ ปี 1860ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต. ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 ของพรรคริพับลิกันซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครตเอง โดยช่วงปลายเดือนเมษายน 1860 พรรคเดโมแครตมารวมตัวประชุมที่ เมืองชาลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะนั้น ชาลส์ตัน เป็นเมืองที่แตกแยกทางความคิดมาก มีนักปราศัยเรียกร้องการแยกตัวจากสหภาพ (ซึ่งถูกเรียกว่า พวกกินไฟ หรือ fire-eaters) เดินอยู่เต็มถนน และเปิดฉากล้อเลียน สว. สตีเฟน เอ. ดักลัส กับผู้สนับสนุนชาวเหนือของดักลัสอยู่เนืองๆ แม้ในระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตเอง ก็แตกกันออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยตัวแทนพรรคฝ่ายใต้ สนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส () ในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สมาชิกพรรคจากทางเหนือคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียสติ เพราะมีแต่จะทำให้เสียเสียงสนับสนุนในรัฐทางเหนือ เมื่อการประชุมดำเนินต่อไป เสียงส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานสนับสนุน หลักการอำนาจอธิปไตยปวงชนของดักลัส ที่ต้องการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐ ออกเสียงกำหนดกันเอาเองในเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การตัดสินใจนี้ทำให้ตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ พากัน "วอล์กเอ้าท์" จาก หลังจากล้มเหลวในการโหวตเพื่อลงมติถึง 57 ครั้ง การประชุม DNC ก็ถูกเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน 1860 ที่บัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ แต่พวกฝ่ายใต้หัวแข็งกร้าวก็ขัดขวางการลงมติอีก และจบลงที่การเดินออกจากที่ประชุมอีกครั้ง ฝ่ายเดโมแครตที่เหลือจึงเสนอชื่อ สตีเฟน ดักลัส ให้เป็นตัวแทนลงสมัครลงชิงตำแหน่ง ส่วนสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดีเดร็ด สก็อตต์ กลับมาหารือกันใหม่ที่ริชมอนด์ เวอร์จิเนีย แล้วเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้การหาเสียง การหาเสียง. กลางเดือนพฤษภาคม นักการเมืองพรรครีพับลิกันมารวมตัวกันที่ชิคาโก ในตึกการประชุม "The Wigwam" ที่เพิ่งสร้างใหม่ ในขณะนั้นพรรรีพับลิกันมั่นใจแล้วว่าการเลือกตั้งคราวนี้ฝ่ายตนน่าจะชนะ ทางพรรคประชุมและมีมติร่วมกันว่าจะไม่คุกคามสถาบันทาสในภาคใต้ แต่ก็ไม่อยากให้สถาบันทาสขยายตัวต่อไปในดินแดนที่กำลังได้รับการบุกเบิกทางทิศตะวันตก ผู้เสนอชื่อเข้าแข่งขันต่างสนับสนุนนโยบายการขยายตัวของประเทศ โดยสัญญาว่าจะผ่าน Holmstead Act เพื่อสร้างกระท่อมที่อยู่อาศัยให้ฟรี สำหรับผู้ที่จะบุกเบิกไปตั้งถิ่นฐานในทิศตะวันตก และจะให้มีการระดมทุนเพื่อสร้างทางรถไฟข้ามทวีปอเมริกาเหนือด้วย พรรครีพับลิกันตกลงเลือกลินคอล์นเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค เพราะเห็นว่าท่านเป็นนักการเมืองสายกลางที่ไม่แข็งกร้าวไปทางใดทางหนึ่ง และน่าจะได้เปรียบในพื้นที่เพนซิลเวเนีย กับรัฐทางมิดเวสต์ ตัวลินคอล์นเองก็ไม่ใช่นักเลิกทาส (abolitionist) แต่เขาสามารถสะท้อนความรู้สึกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาวรัฐตอนเหนือว่า สถาบันทาสเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพและอนาคตของประเทศ ในส่วนพรรครัฐธรรมนูญสหภาพ (Constitutional Union Party) นั้นประกอบไปด้วย นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมจากพรรควิกส์ (whigs) เดิม และพวกที่มาจากรัฐ"ชายแดน" (คือ รัฐที่ประกอบเป็นรัฐกันชนตามแนวชายแดนระหว่างฝ่ายหนือและฝ่ายใต้) ที่ต่อต้านการสลายตัวของสหภาพแต่ก็เห็นอกเห็นใจรัฐทาสทางใต้ และเนื่องจากพวกนี้ไม่นิยมพูดถึงประเด็นเรื่องทาส จึงได้รับความนิยมจากผู้อาศัยในรัฐทางใต้บางรัฐ ได้แก่เทนเนสซี, เวอร์จิเนีย, และเคนทักกี นายจอห์น เบลล์ ตัวแทนลงสมัครฯของพรรคจากรัฐเทนเนสซี สัญญาที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ (รวมถึงสิทธิของรัฐที่จะปกครองตนเอง และสิทธิในการถือครองทาสเป็นทรัพย์สิน) และความคงอยู่ของสหภาพ แต่ประชาชนทางเหนือส่วนใหญ่ มองพรรคนี้ว่าเป็นพวก "คนแก่" ที่ไม่ทันกับการเมืองของยุคสมัย พรรคเดโมแครตมี สว.สตีเฟน เอ. ดักลัส (ผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา) เป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามเดโมแครตฝ่ายเหนือ ดักลัสสนับสนุนแนวคิดว่าด้วยการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐ) ดักลาสเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเตือนถึงภัยของการสูญเสียสหภาพ แต่ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลินคอล์นไม่ได้ ส่วน เบรกคิริดจ์ ตัวแทนผู้ลงสมัครของเดโมแครตฝ่ายใต้ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนทรยศ" และ เป็นพวก "บ่อนทำลายสหภาพ" จึงมีคะแนนนิยมจำกัดอยู่แต่ในภาคใต้ โดยภาพรวมการเลือกตั้งปี 1860 เป็นการแข่งขันที่แยกเป็นสองภาคส่วน ฝ่ายลินคอล์นนั้น แทบไม่ได้รับความนิยมในทางใต้เลย โดยไม่ชนะในรัฐทางใต้แม้แต่รัฐเดียว นอกจากนี้รัฐจำนวน 10 จาก 15 รัฐทางใต้ไม่ยอมใส่ชื่อลินคอล์นลงไปในบัตรเลือกตั้งด้วยซ้ำ การหาเสียงของลินคอล์นจึงเป็นการแสวงหาชัยชนะเด็ดขาดทางเหนือ ซึ่งมีดักลาสเป็นคู่แข่ง ในขณะที่ เบรกคินริดจ์ กับ เบลล์ ก็ไปแบ่งคะแนนเสียงกันทางใต้ ลินคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ปี 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40% กลายเป็นผู้สมัครพรรคริพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคำสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง คำสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง. อับราฮัม ลินคอล์น เข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 เขากล่าวในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ความพยายามแยกรัฐออกเป็นอิสระย่อมเป็นโมฆะ แต่ก็ให้คำยืนยันว่ารัฐบาลของตนจะไม่เริ่มต้นสงครามกลางเมือง โดยกล่าวต่อ "รัฐทางใต้" ว่า "ข้าพเจ้าไม่มีจุดมุ่งหมายโดยตรงหรือโดยอ้อมที่จะแทรกแทรงสถาบันการครองทาสที่ยังมีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะทำเช่นนั้น" ลินคอล์นทำอย่างดีที่สุดที่จะใช้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งในการหว่านล้อมเพื่อนร่วมชาติ ให้หันมาปรองดองกัน ให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวอเมริกันครอบครัวเดียวกัน ดังพูดคำปิดท้ายสุนทรพจน์ แต่หลังจากกองกำลังสมาพันธรัฐ เคลื่องทัพเข้ายึดครองป้อมและทรัพย์สินของรัฐบาลกลางหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ความพยายามที่จะประนีประนอมก็พังทลายลง ลินคอล์นปฏิเสธไม่รับค่าชดเชยราคาทรัพย์สินที่เสียหาย หรือถูกทำลายโดยกองกำลังสมาพันธรัฐ โดยอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เจรจา หรือเข้าทำสัญญากับองค์กรที่ไม่มีความชอบธรรมตามกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายจึงหันมาเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "16" ], "answer_begin_position": [ 153 ], "answer_end_position": [ 155 ] }
2,141
215,411
อับราฮัม ลินคอล์น อับราฮัม ลินคอล์น () เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.1861 จนกระทั่งถูกลอบสังหารเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ลินคอล์นประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ ทางทหารและศีลธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ลินคอล์นจึงสามารถรักษาความเป็นสหภาพของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ได้ นอกจากนี้เขายังนำทางไปสู่การเลิกทาส, สร้างความมั่งคงแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลกลาง ตลอดจนส่งเสริมการเศรษฐกิจและการเงินให้ทันสมัย ลินคอล์นเกิดในครอบครัวยากจน ณ เมืองฮ็อดเจนวิลล์ รัฐเคนทักกี ซึ่งสมัยนั้นเป็นพรมแดนทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ลินคอล์นศึกษาด้วยตนเอง และได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพทนายความในอิลินอยส์ใน ปี 1836 เขากลายเป็นผู้นำพรรควิก และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐอิลลินอยส์ระหว่างค.ศ. 1834 - 1842 และต่อมาถูกเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาในปี 1846 โดยดำรงตำแหน่งอยู่หนึ่งสมัย ลินคอล์นเน้นการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และต่อต้านสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังหมดวาระลินคอล์นกลับไปประกอบวิชาชีพกฎหมายจนประสบความสำเร็จ เมื่อกลับมาสู่เวทีการเมืองอีกครั้งใน ปี ค.ศ. 1854 ลินคอล์นกลายเป็นผู้นำก่อตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคริพับลิกัน ในระหว่างกับตัวแทนพรรคเดโมแครต สตีเฟน เอ. ดักลัส ใน ค.ศ. 1858 ลินคอล์นแสดงจุดยืนทางการเมืองที่คัดค้านการขยายตัวของสถาบันทาส แต่ก็แพ้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแก่ดักลัส คู่แข่งผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดไม่แทรกแทรงการมีอยู่ของสถาบันทาส โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรมีสิทธิกำหนดเอง ลินคอล์นกลายเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งของพรรคริพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปึ ค.ศ. 1860 ในฐานะนักการเมืองผู้มีทัศนะทางการเมืองเป็นกลาง (moderate) และมาจากรัฐที่คะแนนเสียงไม่แน่นอน (swing state) แต่แม้จะแทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเลยในทางใต้ ลินคอล์นก็กวาดคะแนนเสียงในทางเหนือและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1860 ชัยชนะการเลือกตั้งของลินคอล์นกระตุ้นให้เจ็ดรัฐทาสทางใต้ตัดสินใจประกาศแยกตัวออกจากสหภาพ และก่อตั้งสมาพันธรัฐทันทีโดยไม่รอให้มีพิธีเข้ารับตำแหน่งเสียก่อน การถอนตัวของนักการเมืองฝ่ายใต้ ทำให้พรรคของลินคอล์นกุมที่นั่งในรัฐสภาคองเกรสได้อย่างเด็ดขาด แต่ความพยายามที่จะประนีประนอมต่างจบลงด้วยความล้มเหลว และเหลือเพียงสงครามเป็นทางเลือกสุดท้าย สงครามกลางเมืองเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองกำลังของนายพลโบริการ์ด แห่งฝ่ายสมาพันธรัฐเปิดการยิงโจมตีฟอร์ตซัมเทอร์ รัฐฝ่ายเหนือให้การตอบรับการเรียกระดมพลอย่างแข็งขัน ลินคอล์นดำเนินกลยุทธการเมืองอย่างชาญฉลาด และเขายังเป็นนักปราศัยที่มีทักษะการพูดที่ทรงพลัง สมารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้ สุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์กของเขาใน ค.ศ. 1863 เป็นสุนทรพจน์ที่มีการยกคำพูดไปอ้างอิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และเป็นคำนิยมอันอุโฆษ ต่ออุดมคติแห่งหลักการชาตินิยม สาธารณรัฐนิยม สิทธิเท่าเทียม เสรีภาพ และประชาธิปไตย ลินคอล์นให้ความสนใจต่อมิติทางการทหาร และกิจการในยามสงครามอย่างใกล้ชิด เป้าหมายของเขาคือการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว สมัยประธานาธิบดีของลินคอล์นมีจุดเด่นที่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี (presidential power) อย่างกว้างขวางและเฉียบขาด เมื่อรัฐทางใต้ประกาศตนเป็นกบฏต่อสหภาพ ลินคอล์นจึงใช้อำนาจของตนยับยั้งการใช้ เฮบีอัส คอร์ปัส (habeas corpus) หรือ หมายสั่งเรียกไต่สวนเหตุผลในการคุมขัง ในสถานการณ์นั้น ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและกักขังผู้ต้องสงสัยว่าสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหลายพันคนโดยไม่มีการไต่สวน; ในด้านการทูต ลินคอล์นสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการทหารกับอังกฤษ โดยสามารถจัดการกับกรณีเรือ เทรนต์ (Trent affair) ในช่วงปลาย ค.ศ. 1861 ได้อย่างเฉียบขาด ลินคอล์นบริหารการสงครามด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง ดังเช่นการเลือก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ เข้ามาเป็นผู้บัญชาการสั่งการกองทัพแทนที่ นายพลจอร์จ มี้ด ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปกองทัพ ทำให้ฝ่ายสหภาพสามารถทำสงครามได้หลายภูมิภาคการรบ หรือเขตสงคราม (theater) พร้อมๆกัน ลินคอล์นให้การสนับสนุน นายพลแกรนต์ ทำสงครามที่ทั้งยืดเยื้อ นองเลือดและเบ็ดเสร็จ ฝ่ายสมาพันธรัฐแม้จะได้เปรียบจากการเป็นฝ่ายตั้งรับ ก็อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ โดยการโจมตีของฝ่ายสหภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนสนามรบ แต่ยังรวมถึงการปิดกั้น และทำลายทางคมนาคนขนส่ง ทั้งทางแม่น้ำและทางรถไฟ รวมไปถึงฐานทางเศรษฐกิจของฝ่ายสมาพันธรัฐ จนในที่สุดแกรนต์สามารถเข้าเดินทัพเข้ายึดริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐได้ ในเดือนเมษายน ปี 1865 ในส่วนภาระกิจด้านการเลิกทาส ลินคอล์นไม่เพียงแต่ใช้สงครามเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังดำเนินกิจกรรมทางนโยบายอื่นๆ เช่น การออกการประกาศเลิกทาสใน ค.ศ. 1863 (หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่แอนตีแทม), การเกลี้ยกล่อมให้รัฐชายแดนประกาศให้สถาบันทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย, การออกกฎหมาย Confiscation Act เพื่อยึดและปลดปล่อยทาสจากผู้ที่ถูกศาลพิพากษาว่าให้การสนับสนุนฝ่ายสมาพันธรัฐ และช่วยผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาครั้งที่สิบสามจนผ่านสภาคองเกรส ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1865 ซึ่งห้ามการมีและซื้อขายทาสตลอดไป ในทุกๆพื้นที่ที่อยู่ใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลม มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสถานการณ์อำนาจในแต่ละมลรัฐ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตสายสงครามซึ่งต้องการให้มีการประนีประนอมในประเด็นเรื่องสถาบันทาส และสมาชิกริพับลิกันหัวก้าวร้าว ซึ่งต้องการกำจัดกบฏฝ่ายใต้และสถาบันทาสให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบริหารแคมเปญจ์การลงเลือกตั้งใหม่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1864 ด้วยตนเอง ช่วงปลายสงคราม ลินคอล์นถือมุมมองการฟื้นฟูบูรณะ (Reconstruction) แบบผ่อนผัน โดยแสวงการรวมและบูรณะประเทศอย่างรวดเร็ว ผ่านนโยบายการปรองดองที่ไม่มีเงื่อนไขยุ่งยาก ในสภาวะที่ความแตกแยกอย่างขมขื่นยังไม่ลดลงไป อย่างไรก็ดี เพียงห้าวันหลังการยอมจำนนของโรเบิร์ต อี. ลี ผู้บัญชาการกองทัพของฝ่ายสมาพันธรัฐ ลินคอล์นถูกลอบยิงในโรงละคร โดยนักแสดงผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐ จอห์น วิลค์ส บูธ (John Wilkes Booth) และเสียชีวิตในวันต่อมา การลอบสังหารลินคอล์นเป็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุการณ์ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในความโศกเศร้า นักวิชาการและสาธารณชนชาวอเมริกันจัดให้ลินคอล์นเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาจวบจนปัจจุบันอับราฮัม ลินคอล์นในช่วง ค.ศ. 1809-1854ชิวิตตอนต้น อับราฮัม ลินคอล์นในช่วง ค.ศ. 1809-1854. ชิวิตตอนต้น. อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลินคอล์นและแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน รัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลินคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก รัฐเพนซิลเวเนีย ไปยัง รัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา บางครั้งโธมัส ลินคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลินคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน รัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด $200 นำไปใช้หนี้ ครอบครัวของลินคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลินคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลินคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ รัฐอินดีแอนา จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส เมื่อลินคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำนมจากแม่โคที่กินอาหารสัตว์ ที่เป็นพิษ เมื่ออายุ 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลินคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลินคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เมคอน รัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลินคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ รัฐอิลลินอยส์ ลินคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนขาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลินคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วยชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว. ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 อับราฮัม ลินคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่นๆเสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1862 ที่ วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโกชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง ชีวิตการทำงานและบทบาททางการเมือง. ปี 1832 ขณะอายุได้ 23 ปี ลินคอล์นเข้าหุ้นส่วนซื้อร้านเล็กๆด้วยสินเชื่อ ในนิวซาเล็ม รัฐอิลินอยส์ ขณะนั้นสภาพเศรษฐกิจกำลังขยายตัวเร็ว แต่ธุรกิจของลินคอล์นกลับต้องดิ้นรน และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายหุ้นส่วนที่ตนถือ ในเดือนมีนาคมปีนั้นเอง ลินคอล์นก็เริ่มอาชีพทางการเมืองการเมืองพรรคริพับลิกันระหว่างปี 1854-1860การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860 การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบูแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี เดร็ด สก๊อต ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบูแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี เพื่อให้ศาลสามารถออกคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางได้อย่างเด็ดขาด ในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การเข้ากดดันตุลาการในคดี เดร็ด สก็อตต์ ของ ปธน. บูแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรคริพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม ปี 1858 และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ ปี 1860ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต ความแตกแยกในพรรคเดโมแครต. ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 ของพรรคริพับลิกันซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครตเอง โดยช่วงปลายเดือนเมษายน 1860 พรรคเดโมแครตมารวมตัวประชุมที่ เมืองชาลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เพื่อคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะนั้น ชาลส์ตัน เป็นเมืองที่แตกแยกทางความคิดมาก มีนักปราศัยเรียกร้องการแยกตัวจากสหภาพ (ซึ่งถูกเรียกว่า พวกกินไฟ หรือ fire-eaters) เดินอยู่เต็มถนน และเปิดฉากล้อเลียน สว. สตีเฟน เอ. ดักลัส กับผู้สนับสนุนชาวเหนือของดักลัสอยู่เนืองๆ แม้ในระหว่างสมาชิกพรรคเดโมแครตเอง ก็แตกกันออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยตัวแทนพรรคฝ่ายใต้ สนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส () ในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สมาชิกพรรคจากทางเหนือคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียสติ เพราะมีแต่จะทำให้เสียเสียงสนับสนุนในรัฐทางเหนือ เมื่อการประชุมดำเนินต่อไป เสียงส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานสนับสนุน หลักการอำนาจอธิปไตยปวงชนของดักลัส ที่ต้องการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐ ออกเสียงกำหนดกันเอาเองในเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาส การตัดสินใจนี้ทำให้ตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ พากัน "วอล์กเอ้าท์" จาก หลังจากล้มเหลวในการโหวตเพื่อลงมติถึง 57 ครั้ง การประชุม DNC ก็ถูกเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน 1860 ที่บัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ แต่พวกฝ่ายใต้หัวแข็งกร้าวก็ขัดขวางการลงมติอีก และจบลงที่การเดินออกจากที่ประชุมอีกครั้ง ฝ่ายเดโมแครตที่เหลือจึงเสนอชื่อ สตีเฟน ดักลัส ให้เป็นตัวแทนลงสมัครลงชิงตำแหน่ง ส่วนสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดีเดร็ด สก็อตต์ กลับมาหารือกันใหม่ที่ริชมอนด์ เวอร์จิเนีย แล้วเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้การหาเสียง การหาเสียง. กลางเดือนพฤษภาคม นักการเมืองพรรครีพับลิกันมารวมตัวกันที่ชิคาโก ในตึกการประชุม "The Wigwam" ที่เพิ่งสร้างใหม่ ในขณะนั้นพรรรีพับลิกันมั่นใจแล้วว่าการเลือกตั้งคราวนี้ฝ่ายตนน่าจะชนะ ทางพรรคประชุมและมีมติร่วมกันว่าจะไม่คุกคามสถาบันทาสในภาคใต้ แต่ก็ไม่อยากให้สถาบันทาสขยายตัวต่อไปในดินแดนที่กำลังได้รับการบุกเบิกทางทิศตะวันตก ผู้เสนอชื่อเข้าแข่งขันต่างสนับสนุนนโยบายการขยายตัวของประเทศ โดยสัญญาว่าจะผ่าน Holmstead Act เพื่อสร้างกระท่อมที่อยู่อาศัยให้ฟรี สำหรับผู้ที่จะบุกเบิกไปตั้งถิ่นฐานในทิศตะวันตก และจะให้มีการระดมทุนเพื่อสร้างทางรถไฟข้ามทวีปอเมริกาเหนือด้วย พรรครีพับลิกันตกลงเลือกลินคอล์นเป็นตัวแทนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค เพราะเห็นว่าท่านเป็นนักการเมืองสายกลางที่ไม่แข็งกร้าวไปทางใดทางหนึ่ง และน่าจะได้เปรียบในพื้นที่เพนซิลเวเนีย กับรัฐทางมิดเวสต์ ตัวลินคอล์นเองก็ไม่ใช่นักเลิกทาส (abolitionist) แต่เขาสามารถสะท้อนความรู้สึกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาวรัฐตอนเหนือว่า สถาบันทาสเป็นภัยคุกคามต่อสหภาพและอนาคตของประเทศ ในส่วนพรรครัฐธรรมนูญสหภาพ (Constitutional Union Party) นั้นประกอบไปด้วย นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมจากพรรควิกส์ (whigs) เดิม และพวกที่มาจากรัฐ"ชายแดน" (คือ รัฐที่ประกอบเป็นรัฐกันชนตามแนวชายแดนระหว่างฝ่ายหนือและฝ่ายใต้) ที่ต่อต้านการสลายตัวของสหภาพแต่ก็เห็นอกเห็นใจรัฐทาสทางใต้ และเนื่องจากพวกนี้ไม่นิยมพูดถึงประเด็นเรื่องทาส จึงได้รับความนิยมจากผู้อาศัยในรัฐทางใต้บางรัฐ ได้แก่เทนเนสซี, เวอร์จิเนีย, และเคนทักกี นายจอห์น เบลล์ ตัวแทนลงสมัครฯของพรรคจากรัฐเทนเนสซี สัญญาที่จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิของทุกฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ (รวมถึงสิทธิของรัฐที่จะปกครองตนเอง และสิทธิในการถือครองทาสเป็นทรัพย์สิน) และความคงอยู่ของสหภาพ แต่ประชาชนทางเหนือส่วนใหญ่ มองพรรคนี้ว่าเป็นพวก "คนแก่" ที่ไม่ทันกับการเมืองของยุคสมัย พรรคเดโมแครตมี สว.สตีเฟน เอ. ดักลัส (ผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา) เป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามเดโมแครตฝ่ายเหนือ ดักลัสสนับสนุนแนวคิดว่าด้วยการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐ) ดักลาสเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเตือนถึงภัยของการสูญเสียสหภาพ แต่ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลินคอล์นไม่ได้ ส่วน เบรกคิริดจ์ ตัวแทนผู้ลงสมัครของเดโมแครตฝ่ายใต้ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนทรยศ" และ เป็นพวก "บ่อนทำลายสหภาพ" จึงมีคะแนนนิยมจำกัดอยู่แต่ในภาคใต้ โดยภาพรวมการเลือกตั้งปี 1860 เป็นการแข่งขันที่แยกเป็นสองภาคส่วน ฝ่ายลินคอล์นนั้น แทบไม่ได้รับความนิยมในทางใต้เลย โดยไม่ชนะในรัฐทางใต้แม้แต่รัฐเดียว นอกจากนี้รัฐจำนวน 10 จาก 15 รัฐทางใต้ไม่ยอมใส่ชื่อลินคอล์นลงไปในบัตรเลือกตั้งด้วยซ้ำ การหาเสียงของลินคอล์นจึงเป็นการแสวงหาชัยชนะเด็ดขาดทางเหนือ ซึ่งมีดักลาสเป็นคู่แข่ง ในขณะที่ เบรกคินริดจ์ กับ เบลล์ ก็ไปแบ่งคะแนนเสียงกันทางใต้ ลินคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ปี 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40% กลายเป็นผู้สมัครพรรคริพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคำสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง คำสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง. อับราฮัม ลินคอล์น เข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 เขากล่าวในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ความพยายามแยกรัฐออกเป็นอิสระย่อมเป็นโมฆะ แต่ก็ให้คำยืนยันว่ารัฐบาลของตนจะไม่เริ่มต้นสงครามกลางเมือง โดยกล่าวต่อ "รัฐทางใต้" ว่า "ข้าพเจ้าไม่มีจุดมุ่งหมายโดยตรงหรือโดยอ้อมที่จะแทรกแทรงสถาบันการครองทาสที่ยังมีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะทำเช่นนั้น" ลินคอล์นทำอย่างดีที่สุดที่จะใช้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งในการหว่านล้อมเพื่อนร่วมชาติ ให้หันมาปรองดองกัน ให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวอเมริกันครอบครัวเดียวกัน ดังพูดคำปิดท้ายสุนทรพจน์ แต่หลังจากกองกำลังสมาพันธรัฐ เคลื่องทัพเข้ายึดครองป้อมและทรัพย์สินของรัฐบาลกลางหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ความพยายามที่จะประนีประนอมก็พังทลายลง ลินคอล์นปฏิเสธไม่รับค่าชดเชยราคาทรัพย์สินที่เสียหาย หรือถูกทำลายโดยกองกำลังสมาพันธรัฐ โดยอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เจรจา หรือเข้าทำสัญญากับองค์กรที่ไม่มีความชอบธรรมตามกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายจึงหันมาเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
ใครคือผู้ลอบสังหาร อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
{ "answer": [ "จอห์น วิลค์ส บูธ" ], "answer_begin_position": [ 5403 ], "answer_end_position": [ 5419 ] }
2,142
36,887
ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ทอมัส เจฟเฟอร์สัน () (เกิดวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1743[วันที่แบบเก่า: 2 เมษายน ค.ศ. 1743] - วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1826) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 (ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 - วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1809) และผู้ประพันธ์ "คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา" (Declaration of Independence) ของสหรัฐอเมริกา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ความสนใจของเขาไม่มีขอบเขตและการประสบความสำเร็จของเขายิ่งใหญ่และหลากหลาย เขาคือนักปราชญ์ นักการศึกษา นักธรรมชาตินิยม นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก ช่างประดิษฐ์ ผู้บุกเบิกในกสิกรรม วิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักเขียน และเขาคือโฆษกชั้นแนวหน้าในการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในยุคของเขา ในฐานะประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สันทำให้อำนาจของรัฐบาลเข้มแข็ง เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และใช้อำนาจผ่านพรรคการเมืองในการควบคุมรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญนิกเกิล (5 เซนต์) 4 กรกฎาคม 1826 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปี ของการประกาศอิสรภาพและเป็นวันที่ เจฟเฟอร์สัน ถึงแก่อสัญกรรม สองศตวรรษหลังจากเขาเกิด มีการสร้างที่ระลึกถึงเจฟเฟอร์สันในวอชิงตัน ดี.ซี. เขาได้อยู่ร่วมกับ วอชิงตัน และลินคอล์น ท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาการทำงาน การทำงาน. เจฟเฟอร์สันอายุเกือบ 58 ปีแล้วเมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ 2 วาระ เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งได้รับการแนะนำในวอชิงตัน ดี.ซี. เขาศรัทธาในประชาชนและนับถือความปรารถนาของพวกเขา เขาลดภาษีต่างๆ ยกเลิกสำนักงานซึ่งเขาคิดว่าไม่จำเป็นและพยายามจะปล่อยให้ทุกคนมีเสรีภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งเป็นผู้นำพรรคการเมือง เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่น่าจดจำต่อการเป็นประธานาธิบดีของเจฟเฟอร์สัน คือ การที่เขาซื้อเขตแดนหลุยเซียน่าจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1803 ทำให้อเมริกามีขนาดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เจฟเฟอร์สันเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นผู้เขียนคำประกาศเอกราชและเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของอเมริกา เขายังเป็นนักการทูต สถาปนิก นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์ เป็นทนาย ผู้บุกเบิกโรงเรียนของรัฐ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในปี 1819 และเป็นผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องการเรียนรู้และอักษรศาสตร์ เขามีชื่อเสียงมากในฐานะผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตยในยุคของเขา และมีชื่อเสียงมากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดผู้เผด็จการมากมายหลายคนในโลก
ทอมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่เท่าใด
{ "answer": [ "3" ], "answer_begin_position": [ 264 ], "answer_end_position": [ 265 ] }
2,143
36,887
ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ทอมัส เจฟเฟอร์สัน () (เกิดวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1743[วันที่แบบเก่า: 2 เมษายน ค.ศ. 1743] - วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1826) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 (ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 - วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1809) และผู้ประพันธ์ "คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา" (Declaration of Independence) ของสหรัฐอเมริกา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ความสนใจของเขาไม่มีขอบเขตและการประสบความสำเร็จของเขายิ่งใหญ่และหลากหลาย เขาคือนักปราชญ์ นักการศึกษา นักธรรมชาตินิยม นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก ช่างประดิษฐ์ ผู้บุกเบิกในกสิกรรม วิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักเขียน และเขาคือโฆษกชั้นแนวหน้าในการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในยุคของเขา ในฐานะประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สันทำให้อำนาจของรัฐบาลเข้มแข็ง เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และใช้อำนาจผ่านพรรคการเมืองในการควบคุมรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญนิกเกิล (5 เซนต์) 4 กรกฎาคม 1826 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปี ของการประกาศอิสรภาพและเป็นวันที่ เจฟเฟอร์สัน ถึงแก่อสัญกรรม สองศตวรรษหลังจากเขาเกิด มีการสร้างที่ระลึกถึงเจฟเฟอร์สันในวอชิงตัน ดี.ซี. เขาได้อยู่ร่วมกับ วอชิงตัน และลินคอล์น ท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาการทำงาน การทำงาน. เจฟเฟอร์สันอายุเกือบ 58 ปีแล้วเมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ 2 วาระ เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งได้รับการแนะนำในวอชิงตัน ดี.ซี. เขาศรัทธาในประชาชนและนับถือความปรารถนาของพวกเขา เขาลดภาษีต่างๆ ยกเลิกสำนักงานซึ่งเขาคิดว่าไม่จำเป็นและพยายามจะปล่อยให้ทุกคนมีเสรีภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งเป็นผู้นำพรรคการเมือง เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่น่าจดจำต่อการเป็นประธานาธิบดีของเจฟเฟอร์สัน คือ การที่เขาซื้อเขตแดนหลุยเซียน่าจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1803 ทำให้อเมริกามีขนาดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เจฟเฟอร์สันเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นผู้เขียนคำประกาศเอกราชและเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของอเมริกา เขายังเป็นนักการทูต สถาปนิก นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์ เป็นทนาย ผู้บุกเบิกโรงเรียนของรัฐ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในปี 1819 และเป็นผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องการเรียนรู้และอักษรศาสตร์ เขามีชื่อเสียงมากในฐานะผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตยในยุคของเขา และมีชื่อเสียงมากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดผู้เผด็จการมากมายหลายคนในโลก
ใบหน้าของทอมัส เจฟเฟอร์สัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาปรากฏบนธนบัตรมูลค่ากี่ดอลลาร์สหรัฐ
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 1090 ], "answer_end_position": [ 1091 ] }
2,144
72,090
แม่น้ำเซาฟรังซีสกู แม่น้ำเซาฟรังซีสกู (São Francisco River) ต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ในรัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล เป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในภาคตะวันออกของบราซิล มีความยาวประมาณ 2,880 กิโลเมตร พื้นที่ลุ่มน้ำมีอาณาเขตกว่า 600,000 ตารางกิโลเมตร
แม่น้ำเซาฟรังซีสกูในประเทศบราซิลมีความยาวกี่กิโลเมตร
{ "answer": [ "2,880" ], "answer_begin_position": [ 265 ], "answer_end_position": [ 270 ] }
2,145
36,033
แม่น้ำมิสซิสซิปปี แม่น้ำมิสซิสซิปปี () อยู่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา เป็นเครือข่ายสาขาแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ(เครือข่ายแม่น้ำมิสซิสซิปปี-มิสซูรี) มีความยาวทั้งสิ้น 3,334 กม. ระบบแม่น้ำมิสซิสซิปปี-มิสซูรียาวเป็นอันดับที่ 4 ของโลก แม่น้ำมิสซิสซิปปีเริ่มต้นจากในรัฐมินนิโซตา และออกสู่ปากอ่าวเม็กซิโกที่ รัฐลุยเซียนา เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ โดยเฉพาะ ข้าวโพด ถั่วเหลือง ยาสูบ เป็นจุดที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองในช่วงแรกของการสำรวจทวีปอเมริกาเหนือเมืองที่มีชื่อเสียงที่อยู่ริมแม่น้ำมิสซิสซิปปีเมืองที่มีชื่อเสียงที่อยู่ริมแม่น้ำมิสซิสซิปปี. - มินนีอาโพลิส (รัฐมินนิโซตา) - เซนต์พอล (รัฐมินนิโซตา) - ลาครอสส์ (รัฐวิสคอนซิน) - ดูบิวก์ (รัฐไอโอวา) - ดาเวนพอร์ต (รัฐไอโอวา) - ร็อกไอแลนด์ (รัฐอิลลินอยส์) - โมลีน (รัฐอิลลินอยส์) - ฮันนิบอล (รัฐมิสซูรี) - เซนต์หลุยส์ (รัฐมิสซูรี) - เมมฟิส (รัฐเทนเนสซี) - กรีนวิลล์ (รัฐมิสซิสซิปปี) - วิกส์เบิร์ก (รัฐมิสซิสซิปปี) - นิวออร์ลีนส์ (รัฐลุยเซียนา)
แม่น้ำมิสซิสซิปปีในประเทศสหรัฐอเมริกามีจุดเริ่มต้นอยู่ที่รัฐใด
{ "answer": [ "รัฐมินนิโซตา" ], "answer_begin_position": [ 360 ], "answer_end_position": [ 372 ] }
2,146
81,146
อาชญานิติเวชกีฏวิทยา"อาชญานิติเวชกีฏวิทยา (Medicrocriminal Forensic Entomology)" "อาชญานิติเวชกีฏวิทยา (Medicrocriminal Forensic Entomology)". เป็นสาขาหนึ่งของการทำงานทางด้านกีฏวิทยาที่เพิงจะได้รับความสนใจจากนักกีฏวิทยาและนักวิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนิติอาชญากรรม หรือผู้ที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านพิสูจน์ศพ ที่พบหรือหลังจากถึงแก่ความตาย ในระยะเวลาหนึ่ง นิติเวชกีฏวิทยาจึงได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับคดีความทางกฎหมายด้วยเช่นกัน งานศึกษาทางนิติเวชกีฏวิทยาเป็นการศึกษาถึงชนิดของแมลงที่ตรวจพบในซากศพ ซึ่งชนิดของแมลงที่พบจากซากศพนั้นจะเป็นข้อบ่งชี้กับระยะเวลาที่เกิดการตายของศพนั้นๆ สำหรับงานการศึกษาทางด้านนิติเวชกีฏวิทยาในประเทศไทยนี้ ยังไม่มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามในขณะนี้หน่วยงานบางแห่ง เช่น สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทและมีนักกีฏวิทยารุ่นใหม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จึงนับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ในอนาคตสาขานิติเวชกีฏวิทยาในประเทศไทยจะได้รับการสนใจและเข้าไปมีบทบาทในงานด้านนิติอาชญากรรมมากขึ้น การใช้แมลงในการสืบสวนคดีอาชญากรรมนี้อาจเรียกอย่างหนึ่งว่า "นิติเวชกีฏวิทยา(Forensic Entomology)" การสืบหาระยะเวลาหลังการตาย (Post Mortem Interval หรือ PMI) หรือข้อมูลต่างๆ นั้นต้องเก็บหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งอาจเป็นไข่ของแมลง ตัวอ่อน หนอน ดักแด้ หรือตัวเต็มวัยของแมลงก็ได้ จากนั้นนำมาแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 นำมาใช้ประมาณ PMI โดยดูจากอายุของแมลงที่พบบริเวณศพที่มีอายุมากที่สุด ส่วนที่ 2 นำไปเลี้ยงจนเป็นตัวเต็มวัยเพื่อให้แน่ใจว่าจำแนกชนิดถูกต้อง ส่วนที่ 3 นำไปตรวจวิเคราะห์ DNA เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น การสำรวจศพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณรอยเปิดของบาดแผลบนผิวหนัง หรือ ทางเปิดของอวัยวะ เช่น ตา ปาก จมูก ซึ่งเป็นจุดแรกๆที่แมลงจะเข้าไป ทั้งนี้การเก็บตัวอย่างแมลงจากที่เกิดเหตุนั้นจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญ รอบคอบ และช่างสังเกต ไม่มองข้ามจุดเล็กๆ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อรูปคดีมากที่สุด หากพบตัวอ่อนแมลง (ตัวหนอน) ที่อยู่บนซากศพ ให้เลือกดูตัวหนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แล้วคาดคะเนว่าน่าจะเป็นตัวหนอนที่มีอายุมากที่สุด แล้วนำไปเปรียบเทียบกับวงจรชีวิตของแมลงวันว่าขนาดของตัวอ่อนเท่านี้จะมีอายุมาแล้วกี่วัน เมื่อทราบอายุของตัวหนอนแล้วจะทำให้คาดคะเนได้ว่าศพที่เจอนั้นเสียชีวิตมาแล้วกี่วัน ซึ่งเป็นการหาระยะเวลาหลังการตายของสิ่งมีชีวิต (PMI) ถึงอย่างไรก็ตาม การคาดคะเนระยะเวลาหลังการตายด้วยอายุของหนอนแมลงต้องทำควบคู่ไปกับลักษณะของการย่อยซากศพที่เจอด้วย ซึ่งการย่อยสลายของซากศพจะมีอยู่ 5 ระยะด้วยกัน 1. Initial stage เริ่มจาก 0-1 วัน ลักษณะของซากศพยังใหม่และสดอยู่ แมลงที่พบ ได้ในระยะนี้จะเป็นพวกมด และพวกแมลงวันหลังลาย และแมลงวันบ้าน 2. Bloated phast เริ่มจากวันที่ 2-6 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ศพจะมีการบวมจากการผลิตก๊าซของแบคทีเรียและมีกลิ่นเน่าเหม็น แมลงที่พบได้จะเป็นแมลงวันหัวเขียว 3. Black putrefaction เริ่มจากวันที่ 7-12 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เป็นระยะที่มีการแตกพังของเนื้อเยื่อ กลิ่นของศพมีความรุนแรงมากขึ้น เริ่มพบระยะไข่และตัวอ่อนของแมลงวันหัวเขียว 4. Butyric fermentation เริ่มจากวันที่ 13-51 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ภายนอกของศพเริ่ม แห้ง แต่บางส่วนภายในศพยังไม่แห้ง ผิวที่อยู่ด้านล่างของศพเริ่มเน่าเละ จากกระบวนการ fermentation สามารถพบแมลงในกลุ่ม Muscidae, Piophilidae, Scarabaeidae, Cleridae, Dermestidae, Histeridae, Silphidae และ Staphylinidae 5. Dry phast เริ่มจากวันที่ 52 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เป็นระยะที่ซากศพเกือบแห้งทั้งหมด อัตราการย่อยสลายช้าลง แมลงที่พบมากได้ในระยะนี้คือ แมลงในกลุ่ม Dermestidae, Forficulidae, Sarcophagidae, Cleridae ดังนั้นงานนิติเวชกีฏวิทยาเป็นงานที่น่าสนใจที่ควรจะมีการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างลำบากและละเอียดอ่อนในการที่จะศึกษาแมลงที่เกี่ยวข้องกับศพมนุษย์โดยตรง เพราะอาจเกิดความขลาดกลัว ขยะแขยง ต่อสิ่งที่พบเห็นและโอกาสในการที่จะได้ศพมนุษย์จริงๆมาศึกษาก็คงเป็นไปไม่ได้ สำหรับงานวิจัยด้านนี้ได้มีการศึกษาทดลองเพื่อหาปัจจัยพื้นฐานด้านต่างๆโดย นายยุกตนันท์ จำปาเทศ และอาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วีรวรรณ อมรศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ศึกษารูปแบบจำลองงานทางด้านนิติเวชกีฏวิทยา โดยใช้ซากลูกสุกร ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมาเป็นแบบจำลองแทนศพมนุษย์ ใช้ในการทดลอง ซึ่งจะได้มาถึงข้อมูลเบื้องต้นของแมลงชนิดต่างๆที่จะพบจากซากลูกสุกร
นิติเวชกีฏวิทยาคืออะไร
{ "answer": [ "การใช้แมลงในการสืบสวนคดีอาชญากรรม" ], "answer_begin_position": [ 1100 ], "answer_end_position": [ 1133 ] }
2,147
206,187
คิม ซุงจุน คิม ซุงจุน (Sung Jun Kim; ภาษาเกาหลี,ฮันกึล: 김성준, ฮันจา: 金性俊) นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เสียชีวิตเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 รวมอายุได้ 36 ปี สถิติการชก 48 ครั้ง ชนะ 28 (น็อค 13) เสมอ 6 แพ้ 14ประวัติ ประวัติ. คิมขึ้นชกมวยสากลครั้งแรกเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2514 แพ้คะแนน ลิม อินซู ที่กาหลีใต้ จากนั้น ขึ้นชกชนะเป็นส่วนใหญ่ จนได้ครองแชมป์เกาหลีใต้รุ่นไลท์ฟลายวทเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ชนะคะแนน มูน มยุงอัน และชกป้องกันตำแหน่งไว้ได้ 4 ครั้ง และเคยชกชนะน็อค สุริยา ปทุมวดี นักชกไทย ยก 5 ที่เกาหลีใต้ด้วยเมื่อ พ.ศ. 2519 ต่อมา คิมขึ้นชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวทเมื่อ 29 มกราคม พ.ศ. 2521 ชนะคะแนน ชุง ซังอิล ได้แชมป์มาครอง คิมชกป้องกันตำแหน่งได้สองครั้งก็ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC ชนะน็อค เนตรน้อย ศ.วรสิงห์ไปอย่างพลิกความคาดหมายในยกที่ 3 ได้แชมป์ไปครอง คิมชกป้องกันแชมป์โลกรุ่นนี้ไว้ได้ถึง 3 ครั้ง ก่อนจะเสียแชมป์โลกในการป้องกันแชมป์ครั้งที่ 4 ที่ ญี่ปุ่น แพ้คะแนน ชิเกโอะ นากาจิม่า เมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2523 หลังจากเสียแชมป์ไป คิมขึ้นชกชิงแชมป์คืนอีกครั้งเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ที่ ญี่ปุ่น ซึ่งคิมเป็นฝ่ายแพ้คะแนน โชจิ โอกูม่า ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ หลังจากนั้น คิมไม่มีโอกาสได้ชิงแชมป์โลกอีกเลย และยังชกแพ้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งคิมแพ้คะแนน แบ ซกชุล เมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 ก็แขวนนวมไป หลังจากแขวนนวม เขามีอาการทางประสาทที่เนื่องจากการชกมวยและประสบปัญหาทางการเงิน ในที่สุดเขาจึงกระโดดตึกฆ่าตัวตายเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532เกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์เกาหลีใต้รุ่นไลท์ฟลายเวท (2518 – 2520) - แชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวท- ชิง 29 มกราคม 2521 ชนะคะแนน ชุง ซางอิล ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 27 มีนาคม 2521 ชนะน็อค กาซูโนริ เท็นเรียว ยก 3 ที่ เกาหลีใต้ - เสียแชมป์ 9 กรกฎาคม 2521 แพ้คะแนน ชุง ซางอิล ที่ เกาหลีใต้ - แชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC- ชิง 30 กันยายน 2521 ชนะน็อคเนตรน้อย ศ.วรสิงห์ ยก 3 ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 30 มีนาคม 2522 เสมอกับ เฮกเตอร์ เมเลนเดซ ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2, 28 กรกฎาคม 2522 ชนะคะแนน ซิโอนี การูโป ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3, 21 ตุลาคม 2522 ชนะคะแนน เฮกเตอร์ เมเลนเดซ ที่ เกาหลีใต้ - เสียแชมป์ 3 มกราคม 2523 แพ้คะแนน ชิเกโอะ นากาจิม่า ที่ ญี่ปุ่น - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท WBC เมื่อ 28 กรกฎาคม 2523 แพ้คะแนน โชจิ โอกูม่า ที่ ญี่ปุ่น
คิม ซุงจุน นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ มีสถิติการชกชนะกี่ครั้ง
{ "answer": [ "28" ], "answer_begin_position": [ 315 ], "answer_end_position": [ 317 ] }
2,148
206,187
คิม ซุงจุน คิม ซุงจุน (Sung Jun Kim; ภาษาเกาหลี,ฮันกึล: 김성준, ฮันจา: 金性俊) นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เสียชีวิตเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 รวมอายุได้ 36 ปี สถิติการชก 48 ครั้ง ชนะ 28 (น็อค 13) เสมอ 6 แพ้ 14ประวัติ ประวัติ. คิมขึ้นชกมวยสากลครั้งแรกเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2514 แพ้คะแนน ลิม อินซู ที่กาหลีใต้ จากนั้น ขึ้นชกชนะเป็นส่วนใหญ่ จนได้ครองแชมป์เกาหลีใต้รุ่นไลท์ฟลายวทเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ชนะคะแนน มูน มยุงอัน และชกป้องกันตำแหน่งไว้ได้ 4 ครั้ง และเคยชกชนะน็อค สุริยา ปทุมวดี นักชกไทย ยก 5 ที่เกาหลีใต้ด้วยเมื่อ พ.ศ. 2519 ต่อมา คิมขึ้นชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวทเมื่อ 29 มกราคม พ.ศ. 2521 ชนะคะแนน ชุง ซังอิล ได้แชมป์มาครอง คิมชกป้องกันตำแหน่งได้สองครั้งก็ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC ชนะน็อค เนตรน้อย ศ.วรสิงห์ไปอย่างพลิกความคาดหมายในยกที่ 3 ได้แชมป์ไปครอง คิมชกป้องกันแชมป์โลกรุ่นนี้ไว้ได้ถึง 3 ครั้ง ก่อนจะเสียแชมป์โลกในการป้องกันแชมป์ครั้งที่ 4 ที่ ญี่ปุ่น แพ้คะแนน ชิเกโอะ นากาจิม่า เมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2523 หลังจากเสียแชมป์ไป คิมขึ้นชกชิงแชมป์คืนอีกครั้งเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ที่ ญี่ปุ่น ซึ่งคิมเป็นฝ่ายแพ้คะแนน โชจิ โอกูม่า ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ หลังจากนั้น คิมไม่มีโอกาสได้ชิงแชมป์โลกอีกเลย และยังชกแพ้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งคิมแพ้คะแนน แบ ซกชุล เมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 ก็แขวนนวมไป หลังจากแขวนนวม เขามีอาการทางประสาทที่เนื่องจากการชกมวยและประสบปัญหาทางการเงิน ในที่สุดเขาจึงกระโดดตึกฆ่าตัวตายเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532เกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์เกาหลีใต้รุ่นไลท์ฟลายเวท (2518 – 2520) - แชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวท- ชิง 29 มกราคม 2521 ชนะคะแนน ชุง ซางอิล ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 27 มีนาคม 2521 ชนะน็อค กาซูโนริ เท็นเรียว ยก 3 ที่ เกาหลีใต้ - เสียแชมป์ 9 กรกฎาคม 2521 แพ้คะแนน ชุง ซางอิล ที่ เกาหลีใต้ - แชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC- ชิง 30 กันยายน 2521 ชนะน็อคเนตรน้อย ศ.วรสิงห์ ยก 3 ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 30 มีนาคม 2522 เสมอกับ เฮกเตอร์ เมเลนเดซ ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2, 28 กรกฎาคม 2522 ชนะคะแนน ซิโอนี การูโป ที่ เกาหลีใต้ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3, 21 ตุลาคม 2522 ชนะคะแนน เฮกเตอร์ เมเลนเดซ ที่ เกาหลีใต้ - เสียแชมป์ 3 มกราคม 2523 แพ้คะแนน ชิเกโอะ นากาจิม่า ที่ ญี่ปุ่น - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท WBC เมื่อ 28 กรกฎาคม 2523 แพ้คะแนน โชจิ โอกูม่า ที่ ญี่ปุ่น
คิม ซุงจุน นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด
{ "answer": [ "ฆ่าตัวตาย" ], "answer_begin_position": [ 1448 ], "answer_end_position": [ 1457 ] }
2,149
5,513
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (; พระราชสมภพ 21 เมษายน พ.ศ. 2469) เป็นพระประมุขของ 16 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและพระมหากษัตริย์แห่งเจ็ดรัฐเครือจักรภพเจ็ดรัฐ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ปากีสถานและซีลอน พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในปีถัดมาเป็นพิธีราชาภิเษกครั้งแรกที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ระหว่าง พ.ศ. 2499 ถึง 2535 จำนวนราชอาณาจักรของพระองค์แปรผันเมื่อดินแดนต่าง ๆ ได้รับเอกราชและบ้างกลายเป็นสาธารณรัฐ ปัจจุบัน นอกจากสี่ประเทศแรกที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ยังเป็นพระราชินีนาถแห่งจาเมกา บาร์เบโดส หมู่เกาะบาฮามาส เกรนาดา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตูวาลู เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ แอนติกาและบาร์บูดา เบลิซ และเซนต์คิตส์และเนวิส พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระชนมายุมากที่สุดของบริเตน เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกของดยุกและดัชเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ) พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระราชโอรสองค์โตทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักร เมื่อครั้งทรงพระเยาว์พระองค์ประทับ ณ กรุงลอนดอน บริเวณพิคคาเดลลี ไวท์ลอดจ์ ริชมอนด์ พาร์ค และพระตำหนักในชนบทของพระอัยยิกา เมื่อพระองค์ทรงพระชนมายุได้ 6 พรรษา พระบิดาได้พระราชทานพระตำหนักในวินด์เซอร์เกรทพาร์คให้เป็นที่ประทับนอกเมือง พระองค์ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้น ณ ที่ประทับ และเมื่อพระบิดาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงต้องทรงศึกษา ทางด้านประวัติศาสตร์ และกฎหมาย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ในอนาคต นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงศึกษาทางด้านศิลปะ ดนตรี และเรียนการขี่ม้า ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกีฬาที่ทรงโปรดปราน พระองค์ทรงมีพระสหายชื่อ โรสเลเวน่า มิโนลาช พระองค์ทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงพระราชดำรัสออกอากาศ ในรายการสำหรับเด็กในประเทศอังกฤษ และเครือจักรภพของบีบีซี ตั้งแต่พระชนมายุได้ 16 พรรษา และทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจครั้งแรก เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ในฐานะนายทหารยศพันเอกแห่งกองทหารราบรักษาพระองค์ โดยทรงตรวจพลสวนสนามและยังทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนอีกมากมาย หลังจากที่ครบรอบพระชนมายุ 18 พรรษาได้ไม่นาน พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐบาล และได้เริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจแห่งองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารนอกประจำการ พระราชกรณียกิจของพระองค์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเสด็จประพาสภายในและนอกประเทศ พระราชกรณียกิจในระหว่างการเยือนนี้ เป็นช่วงที่ครบรอบวันประสูติปีที่ 21 ซึ่งพระองค์ได้ทรงแถลงการณ์ออกอากาศ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะอุทิศพระองค์ เพื่อภารกิจของประเทศในเครือจักรภพ และในปีเดียวกันนี้เอง ที่พระองค์ทรงประกาศหมั้นกับ "เรือโทฟิลลิปส์ เมาท์แบทเท็น" (ต่อมาคือเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ) โดยพระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 พระองค์ทรงแถลงการณ์ซ้ำอีกครั้งถึงเจตนารมณ์ ที่จะอุทิศพระองค์เพื่อภารกิจของประเทศในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์กำลังประทับอยู่ที่ประเทศเคนยา ซึ่งเป็นประเทศแรกตามหมายกำหนดการเยือนประเทศในเครือจักรภพของพระองค์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก พระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าชายแห่งเวลส์" ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2491 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าหญิงพระราชกุมารี" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2493 พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งยอร์ก" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2503 และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น "เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์" ซึ่งประสูติในปี พ.ศ. 2507พระชนม์ชีพช่วงต้น พระชนม์ชีพช่วงต้น. เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2469 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอน ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมานิกายแองกลิคันจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม และได้รับพระนาม เอลิซาเบธ ตามพระราชมารดา, อะเล็กซานดรา ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ แมรี ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า) เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี พ.ศ. 2472 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น พระองค์มีพระขนิษฐาพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งมีพระชันษาน้อยกว่าอยู่ 4 พรรษา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการศึกษา ณ พระตำหนักที่ประทับภายใต้การควบคุมดูแลของพระราชมารดาและ แมเรียน คราวฟอร์ด พระอาจารย์ส่วนพระองค์ ซึ่งได้รับการเรียกขานในบางโอกาสว่า "คราวฟี" บทเรียนที่ทรงศึกษาเน้นหนักไปที่ประวัติศาสตร์, ภาษา, วรรณกรรม และดนตรี ในปี พ.ศ. 2493 แมเรียนออกหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตในช่วยวัยเยาว์ชื่อว่า The Little Princesses (เจ้าหญิงองค์น้อย) ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่พระราชวงศ์อังกฤษ หนังสือได้อธิบายว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธโปรดม้าและสุนัข, ความเป็นระเบียบ และทัศนคติต่อความรับผิดชอบของพระองค์ ด้านวินสตัน เชอร์ชิลล์ กล่าวถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 2 พรรษาว่า "ด้านพระจริยวัตร ทรงมีห้วงอากาศแห่งพระราชอำนาจและความไตร่ตรองอย่างน่าอัศจรรย์ภายในตัวพระองค์" ส่วนพระญาตินามว่า มาร์กาเรต โรดส์ กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "เด็กหญิงตัวเล็กผู้ร่าเริง แต่มีความมีเหตุผลพื้นฐานและความประพฤติที่ดี" เมื่อทรงพระเยาว์พระประยูรญาติสนิททรงเรียกพระองค์ว่า "ลิลิเบ็ต" เมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ทรงได้พบกับนักเทศน์คนหนึ่งที่ปราสาทกลามิส เมื่อเขาลากลับ เขาได้สัญญาที่จะส่งมาหนังสือมาให้พระองค์เล่มหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสตอบว่า "ไม่เอาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้านะ เรารู้เรื่องพระองค์หมดแล้ว"รัชทายาทโดยสันนิษฐาน รัชทายาทโดยสันนิษฐาน. ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก และอยู่ลำดับที่สามในลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ตามหลังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระปิตุลาในลำดับแรก และเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับที่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ก็ไม่มีใครคาดหมายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเวลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระโอรส-ธิดาของพระองค์เอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 เมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราชบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเดียวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงสละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่หม้ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้น พระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานด้วยพระอิสริยยศ เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งถ้าหากพระองค์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงได้รับการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญจาก เฮนรี มาร์เตน รองอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยอีตัน และทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสจากพระอาจารย์ที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หลายคน ต่อมากองเนตรนารีที่หนึ่งแห่งพระราชวังบักกิงแฮมได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถมีพระปฏิสันถารกับเด็กหญิงวัยเดียวกัน ซึ่งภายหลังทรงดำรงตำแหน่งเป็น แรนเจอร์ทะเล (sea ranger) ในปี พ.ศ. 2470 เมื่อครั้งพระราชบิดา-มารดาของพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากพระราชบิดาทรงเกรงว่าเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์เกินกว่าที่จะสามารถตามเสด็จในที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482 เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นเดิม เจ้าหญิงทรงดูเหมือนว่าจะทรงร้องไห้เมื่อพระราชบิดา-มารดาทรงออกเดินทาง ทั้งสองฝ่ายทรงติดต่อกันเป็นประจำ และในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ได้ทรงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์สาย ทรานส์แอตแลนติก เป็นครั้งแรกสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่สอง. ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองที่ดำเนินไปจนถึงปี พ.ศ. 2488 ในระยะเวลาช่วงนี้เองที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนัก เด็กชาวลอนดอนจำนวนมากถูกอพยพไปอยู่ตามชนบท มีคำแนะนำจากนักการเมืองอาวุโสนามว่า ดักลาส ฮอกก์ วิสเคาท์ที่หนึ่งแห่งเฮลเชม (ลอร์ดเฮลเชม) เสนอให้เชิญพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ แคนาดา แต่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและทรงประกาศว่า "เด็ก ๆ จะไม่เสด็จไปโดยปราศจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เสด็จไปโดยปราศจากพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จไปไหนทั้งนั้น" เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลในสกอตตแลนด์จนถึงช่วงคริสต์มาสปี พ.ศ. 2482 เมื่อเสด็จไปประทับที่พระตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟอล์กแทน และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 เสด็จไปประทับที่รอยัลลอดจ์ในวินด์เซอร์ จนในที่สุดเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งใช้เวลาส่วนมากของอีกห้าปีถัดมาประทับอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ที่วินด์เซอร์ เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงแสดงละครใบ้ในงานคริสต์มาสเพื่อช่วยหาเงินเข้ากองทุนขนแกะของสมเด็จพระราชินี ซึ่งใช้ในการจัดหาเส้นด้ายในการทอเสื้อผ้าทหาร ในปี พ.ศ. 2483 เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งมีพระชันษาได้ 14 พรรษา ได้ทรงจัดรายการทางวิทยุของบีบีซีเป็นครั้งแรกในรายการ Children's Hour (ชั่วโมงของเด็ก) และทรงกล่าว ต่อเด็ก ๆ ที่อพยพออกจากลอนดอนว่า: เราพยายามทุกวิถีทางในการช่วยเหลือเหล่าลูกเรือ, ทหาร และนักบินผู้กล้าหาญของพวกเรา และเราพยายามแบกรับเอาความเศร้าโศกและอันตรายที่มีร่วมกันไว้ด้วยเช่นกัน เราทราบดีว่าท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะปลอดภัย ในปี พ.ศ. 2486 ในขณะที่มีพระชันษา 16 พรรษา เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรกในการตรวจแถวสวนสนามของกองทัพบก ที่ซึ่งทรงได้รับการพระราชทานตำแหน่งผู้บัญชาการยศพันเอกหญิงในปีก่อนหน้า เมื่อทรงเจริญพระชันษาย่างเข้า 18 พรรษา กฎหมายเปลี่ยนให้ทรงมีฐานะเสมือนเป็นหนึ่งในองคมนตรีแห่งรัฐ (Counsellors of State) ทั้งห้าท่าน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจทดแทนยามที่พระราชบิดาทรงติดขัดหรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ เช่น ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปอิตาลีในปี พ.ศ. 2487 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ทรงเข้าร่วมหน่วยบริการภาคพื้นดินในฐานะผู้บังคับหมวดที่สอง ซึ่งมีหมายเลขประจำพระองค์คือ 230873 ทรงได้รับการฝึกเป็นพนักงานขับรถและช่างยนต์และทรงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการระดับอาวุโสในอีก 5 เดือนถัดมา ในวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปซึ่งเป็นวันที่สงครามโลกครั้งที่สองภาคทวีปยุโรปสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงแฝงพระองค์ร่วมเฉลิมฉลองกับประชาชนบนท้องถนนของกรุงลอนดอน ต่อมาได้พระราชทานสัมภาษณ์ว่า "เราสองคนขอพระราชบิดา-มารดาเพื่อที่จะออกไปดูด้วยตัวของเราเอง จำได้ว่าเรากลัวที่จะมีคนจดจำเราได้ ... มีแถวของผู้คนมากหน้าหลายตาจับมือแล้วร่วมเดินไปด้วยกันบนถนนไวต์ฮอล พวกเราทั้งหมดได้รับการกวาดไปตามกระแสธารแห่งความสุขและความโล่งใจ" ช่วงระหว่างสงคราม แผนการของรัฐบาลมากมายได้รับการคิดขึ้นเพื่อระงับกระแสชาตินิยมในเวลส์ ด้วยการผูกมัดเจ้าหญิงเอลิซาเบธให้มีความใกล้ชิดกับเวลส์มากขึ้น อาทิ สถาปนาเจ้าหญิงให้ทรงเป็นผู้ดูแลปราสาทคายร์นาร์วอน ซึ่งในขณะนั้นตำแหน่งผู้ดูแลเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ ด้านเลขาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน มีอีกแผนการหนึ่งคือให้เจ้าหญิงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ (the Welsh League of Youth) ส่วนนักการเมืองชาวเวลส์เสนอให้ถวายตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 18 ของพระองค์ อย่างไรก็ตามทุกข้อเสนอล้วนถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความกลัวที่ว่าจะนำพระองค์ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารโดยมโนสำนึกในสันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ ซึ่งในช่วงที่สหราชอาณาจักรอยู่ในภาวะสงครามถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลเสื่อมเสีย ในปี พ.ศ. 2489 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะและประทับบนบัลลังก์แห่งบาร์ดส์ (Gorsedd of Bards) ในงานเทศกาลไอส์เตดด์วอดแห่งชาติเวลส์ (National Eisteddfod of Wales) ในปี พ.ศ. 2490 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จเยือนต่างประเทศพร้อมกับพระราชบิดา-มารดาเป็นครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของทวีปแฟริกา ในช่วงการเสด็จเยือน ทรงออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษไปยังประเทศเครือจักรภพเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติปีที่ 21 ว่า: คำแปล:อภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. พระองค์ทรงพบกับเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี พ.ศ. 2477 และ พ.ศ. 2480 ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกันผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นที่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพบปะกันอีกครั้งที่วิทยาลัยราชนาวีอังกฤษในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษาและทรงยอมรับว่ามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพระองค์จึงทรงมีจดหมายและหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 การหมั้นในครั้งนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเนื่องจากเจ้าชายฟิลิปทรงไม่มีฐานะทางการเงินที่แน่นอน ทั้งยังประสูติจากต่างแดน (แม้จะอยู่ใต้บังคับของทางการสหราชอาณาจักรและรับใช้ในราชนาวีอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) รวมถึงการที่พระเชษฐภคินีของเจ้าชายฟิลิปเสกสมรสกับขุนนางชาวเยอรมันผู้มีสายสัมพันธ์กับพรรคนาซี แมเรียน คราวฟอร์ดเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า "ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 บางคนคิดว่าเจ้าชายทรงไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เป็นเจ้าชายไร้ถิ่นฐาน และหนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังโจมตีอย่างโจ่งแจ้งในประเด็นที่ว่าทรงมีต้นกำเนิดในต่างแดน" ในหนังสือพระราชประวัติช่วงหลัง ๆ กล่าวว่าพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงต่อต้านการเสกสมรสในตอนแรก ถึงขนาดที่ทรงเรียกเจ้าชายฟิลิปว่าเป็นพวกเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายพระชนม์ชีพ พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานสัมภาษณ์กับนักอัตชีวประวัติ ทิม ฮีลด์ ถึงเจ้าชายฟิลิปไว้ว่าทรงเป็น "สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ" ก่อนการอภิเษกสมรสจะมีขึ้น เจ้าชายฟิลิปสละบรรดาศักดิ์ของกรีซและเดนมาร์ก ทรงเปลี่ยนจากนิกายกรีกออร์โธด็อกซ์มาเข้ารีตนิกายแองกลิคัน และใช้พระยศเป็น "ร้อยเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน" ซึ่งนามสกุลเมาท์แบตเตนเป็นของบรรพบุรุษฝ่ายอังกฤษของพระมารดา ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะมีขึ้นไม่นาน ก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระชั้น "รอยัลไฮเนส" (เจ้าฟ้า) ทั้งสองพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และทรงได้รับของขวัญวันอภิเษกสมรสจำนวน 2500 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก และเนื่องจากอังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงคราม เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงต้องใช้บัตรปันส่วนในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับตัดฉลองพระองค์ที่จะใช้ในวันอภิเษกซึ่งออกแบบโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ นอกจากนี้สายสัมพันธ์กับชาวเยอรมันของเจ้าชายฟิลิปไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนชาวอังกฤษ ผู้ที่เพิ่งจะผ่านพ้นความทุกข์ยากของสงครามมา จึงทำให้พระเชษฐภคินีทั้งสามพระองค์ของเจ้าชายไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในขณะที่ดยุกและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็ไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเช่นกัน ทรงให้กำเนิดพระโอรสองค์แรก เจ้าชายชาลส์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 จะทรงมีจดหมายพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โอรสและธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธทุกพระองค์สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ ซึ่งหากมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าฟ้าชาย-เจ้าฟ้าหญิงอังกฤษ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายฟิลิปได้สละบรรดาศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดไปหมดแล้วและมีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงดยุกเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระธิดาองค์แรกก็มีพระประสูติกาลโดยมีพระนามว่า เจ้าหญิงแอนน์ ภายหลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงเช่าพระตำหนักวินเดิลแชมมัวร์เป็นที่ประทับซึ่งใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ไปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 จากนั้นทรงใช้พระตำหนักแคลเรนซ์เป็นที่ประทับหลายครั้งระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2492 - พ.ศ. 2494 ในขณะนั้นดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามี ทรงประจำการอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ณ มอลตาซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และประทับอยู่ด้วยกันเป็นช่วง ๆ หลายเดือน ณ วิลลาในหมู่บ้านกวาร์ดามังเจียของมอลตา ซึ่งเป็นบ้านพักของลอร์ดเมาท์แบตเตน พระปิตุลาในดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระโอรส-ธิดายังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรพระราชโอรส-ธิดา พระราชโอรส-ธิดา. มีพระราชโอรส-ธิดากับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระรวมทั้งสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้:ครองราชย์พิธีราชาภิเษก ครองราชย์. พิธีราชาภิเษก. ช่วงปี พ.ศ 2494 พระพลานามัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้าหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มาร์ติน คาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำรัสในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2495 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์โดยเสด็จเยือนเคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทับที่โรงแรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินบะระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่ มาร์ติน คาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองค์ทรงเลือก "เอลิซาเบธ" เช่นเดิมแน่นอน พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระ ด้วยการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปเป็น ราชวงศ์เมาท์แบตเตน ตามนามสกุลของดยุกแห่งเอดินบะระ และให้เจ้าหญิงทรงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพระราชสวามี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ เห็นชอบที่จะให้มีการใช้ชื่อราชวงศ์เดิมต่อไป ดังนั้นราชวงศ์วินด์เซอร์จึงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบ่นว่า "เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในประเทศที่ไม่สามารถให้นามสกุลแก่โอรส-ธิดาของพระองค์ได้" ในปี พ.ศ. 2503 หลังจากที่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2496 และวินสตัน เชอร์ชิลล์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2498 นามสกุล เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์ จึงใช้แก่ดยุกฟิลิปและกับรัชทายาทบุรุษฝ่ายพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ไม่ได้ถือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ท่ามกลางการตระเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรตกราบทูลพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่าประสงค์ที่จะเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ พ่อหม้ายลูกติดสองคนซึ่งมีอายุมากกว่าพระองค์ 16 ปี พระราชินีนาถจึงทูลขอให้ทรงรอเป็นเวลาหนึ่งปี ตามคำกล่าวของมาร์ติน คาร์เตริสที่กล่าวว่า "พระราชินีนาถทรงมีความเห็นใจต่อเจ้าหญิงมาร์กาเรต แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงหวังไว้ว่าเวลาจะช่วยทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปในที่สุด" ด้านนักการเมืองอาวุโสต่างต่อต้านแนวคิดการเสกสมรสครั้งนี้และคริสตจักรแห่งอังกฤษก็ไม่อนุญาตให้มีการสมรสหลังจากที่หย่าร้างไปแล้ว ซึ่งหากเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงเข้าพิธีสมรสแบบทางราชการ (การสมรสโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนา) ก็เป็นที่คาดหมายให้สละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของพระองค์ จนในท้ายที่สุดก็ทรงล้มเลิกแผนการเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ ในปี พ.ศ. 2503 เจ้าหญิงมาร์กาเรตเสกสมรสกับแอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ ผู้ซึ่งในปีถัดมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ทั้งสองหย่าร้างกันในปี พ.ศ. 2521 และเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็มิเสกสมรสกับบุคคลใดอีกเลย ทั้งที่สมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม แต่แผนการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ยังคงดำเนินต่อไปตามที่ทรงร้องขอไว้ก่อนเสด็จสวรรคต โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ โดยยกเว้นการถ่ายทอดพิธีเจิมและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ ฉลองพระองค์ในพระราชพิธีได้รับการออกแบบและตัดเย็บโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ ซึ่งประดับด้วยลายพรรณพืชของประเทศในเครือจักรภพตามคำแนะนำของพระราชินีนาถ อันประกอบไปด้วย กุหลาบทิวดอร์แห่งอังกฤษ ดอกทริสเติลแห่งสกอตแลนด์ กระเทียมต้นแห่งเวลส์ ดอกแฌมร็อคแห่งไอร์แลนด์ ดอกแวทเทิลแห่งออสเตรเลีย ใบเมเปิลแห่งแคนาดา ใบเฟิร์นสีเงินแห่งนิวซีแลนด์ ดอกโพรทีแห่งแอฟริกาใต้ ดอกบัวหลวงแห่งอินเดียและศรีลังกา รวมไปถึงข้าวสาลี ฝ้าย และปอกระเจาแห่งปากีสถานพระราชินีนาถกับเครือจักรภพ พระราชินีนาถกับเครือจักรภพ. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งประชาชาติตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2495 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรัฐก็สถาปนาขึ้นไว้แล้ว ซึ่งตลอดช่วงปี พ.ศ. 2496 - 2497 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวลาหกเดือน และยังเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและพระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงครองราชย์อยู่ ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2499 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กี มอแล และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ แอนโทนี อีเดน ร่วมหารือถึงความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศสจะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการปฏิเสธและในปีถัดมาฝรั่งเศสก็ร่วมลงนามในสนธิสัญญาโรมจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งจะนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพยุโรปในภายหลัง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเข้ารุกรานอียิปต์ในความพยายามทางการทหารที่ล้มเหลวในการยึดคลองสุเอซ ลอร์ดเมาท์แบตเตนกล่าวว่าพระราชินีนาถทรงต่อต้านการรุกรานครั้งนั้น ซึ่งเซอร์ แอนโทนีปฏิเสธคำพูดดังกล่าวและลาออกในอีกสองเดือนถัดมา กลไกในการเลือกผู้นำคนใหม่ของพรรคอนุรักษนิยมที่หยุดชะงักลง หมายความว่าหลังการลาออกของเซอร์ แอนโทนี เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่จะต้องทรงเลือกว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เซอร์ แอนโทนีได้ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ให้ทรงปรึกษากับลอร์ดซอลส์บรี ประธานสภาองคมนตรี ลอร์ดซอลส์บรีและลอร์ดคิลเมียร์ (ขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ก็ได้ไปปรึกษากับคณะรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ และคณะกรรมธิการ 1922 (1922 Committee) จนในที่สุดก็ได้จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เฮโรลด์ แมคมิลแลน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการถวายคำแนะนำมา วิกฤตการณ์คลองสุเอซและการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งของเซอร์ แอนโทนีนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระราชินีนาถครั้งใหญ่ครั้งแรก ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาว่าพระองค์ทรง "กู่ไม่กลับ" ในนิตยสารที่เขาเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการเอง ต่อมาเขาจึงถูกประณามโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกทำร้ายร่างกายโดยสาธารณชนผู้ตกตะลึงกับคำกล่าวของเขา หกปีถัดมาในปี พ.ศ. 2506 เฮโรลด์ แมคมิลแลน ลาออกและถวายการแนะนำให้ทรงเลือกเซอร์ อเลค ดักลาส-ฮูม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำตามคำแนะนำ ทำให้พระองค์ถูกวิจารณ์อีกครั้งว่าทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2508 พรรคอนุรักษนิยมจึงกลับมาใช้กลไกลเลือกตั้งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ จึงช่วยลดพระราชภาระอันข้องเกี่ยวกับทางการเมืองของพระราชินีนาถลง ในปี พ.ศ. 2500 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ที่ซึ่งทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนามของเครือจักรภพแห่งชาติ ในครั้งนั้นยังได้เสด็จฯ ไปเปิดการประชุมรัฐสภาแคนาดาสมัยที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งแคนาดาเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดการประชุมของรัฐสภา สองปีถัดมา เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาผู้เดียวในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาอีกครั้ง ที่ซึ่งทรงทราบจากการลงจอดของเครื่องบินที่ประทับ ณ สนามบินเซนต์จอห์นนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ว่าทรงพระครรภ์รัชทายาทองค์ที่สามอยู่ ในปี พ.ศ. 2504 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไซปรัส, อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล และอิหร่าน ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกานาในปีเดียวกัน ทรงเพิกเฉยต่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ หลังจากที่ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ก็คือประธานาธิบดีกวาเม อึนกรูมา ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนประมุขแห่งรัฐของกานาจากพระราชินีนาถมาเป็นตัวเขาเอง เฮโรลด์ แมคมิลแลน เขียนไว้ว่า "สมเด็จพระราชินีนาถทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ... ทรงอดทนต่อทัศนคติที่มีต่อพระองค์ ที่ปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับว่าเป็น ... ดาราภาพยนตร์ ... ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ประดุจเป็นดังชายชาติบุรุษ ... ทรงรักในพระราชกรณียกิจของพระองค์และทรงเจตนาที่จะเป็นพระราชินีนาถอย่างแน่วแน่" ต่อมาก่อนการเสด็จฯ เยือนควิเบกในปี พ.ศ. 2507 สื่อรายงานข่าวว่าขบวนการแบ่งแยกควิเบกหัวรุนแรงวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่มีรายงานออกมา มีเพียงการก่อจลาจลระหว่างเสด็จฯ เยือนมอนทรีออล; ครั้งนั้น "ความสุขุมและความกล้าเผชิญหน้ากับความรุนแรง" ของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำ ในช่วงที่ทรงพระครรภ์เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี พ.ศ. 2502 และ พ.ศ. 2506 เป็นช่วงที่ยังมิได้เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภาสหราชอาณาจักรด้วยพระองค์เป็นครั้งแรกในรัชกาลของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มระเบียบประเพณีใหม่ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพบปะกับประชาชนที่มาเฝ้ารอเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในช่วงของการเสด็จฯ เยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ พ.ศ. 2513 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เป็นช่วงที่สหราชอาณาจักรมอบเอกราชให้แก่ประเทศแถบทวีปแอฟริกาและแถบทะเลแคริบเบียน มากกว่า 20 ประเทศได้รับเอกราชอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเอง อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2508 นายกรัฐมนตรีแห่งโรดีเซีย เอียน สมิธ ต่อต้านการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักรฝ่ายเดียวในขณะที่ยังคงแสดง "ความจงรักภักดีและความอุทิศตน" ต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าพระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อคำประกาศนี้ในทางสาธารณะก็ตาม ซึ่งปฏิกิริยาจากประชาคมระดับนานาชาติก็คือการคว่ำบาตรต่อโรดีเซีย แม้กระนั้นการบริหารประเทศของเอียน สมิธ ก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้เกือบทศวรรษ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เอ็ดวาร์ด ฮีธ ทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลีย ทำให้ทรงต้องเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักร ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ พรรคอนุรักษนิยมของฮีธไม่ได้รับเลือกให้มีเสียงมากที่สุดในสภา แต่ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ ซึ่งฮีธเลือกที่จะลาออกหลังจากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงมีกระแสรับสั่งให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา พรรคแรงงานของนายเฮโรลด์ วิลสัน จัดตั้งรัฐบาล ในปีถัดมาในช่วงตึงเครียดที่สุดของวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย พ.ศ. 2518 กอฟ วิทแลม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถูกผู้สำเร็จราชการ เซอร์ จอห์น เคอร์ ปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่วุฒิสภาออสเตรเลียซึ่งฝ่ายค้านมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ผ่านร่างงบประมาณที่เสนอโดยวิทแลม และเนื่องจากวิทแลมมีเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร กอร์ดอน สโคลส์ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ทรงเพิกถอนคำสั่งปลดของเซอร์ จอห์น เคอร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธฎีกาดังกล่าว โดยตรัสว่าจะมิทรงเข้าแทรกแซงอำนาจการตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการแห่งออสเตรเลียซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งออสเตรเลีย วิกฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในออสเตรเลียรัชดาภิเษก รัชดาภิเษก. ในปี พ.ศ. 2520 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชดาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2521 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นิโคไล เชาเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา เชาเชสกู ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก "มือเปื้อนเลือด" ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์: เหตุการณ์แรกคือการเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้กลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คือการลอบสังหารหลุยส์ เมาท์แบตเตน เอิร์ลเมาท์แบตเตนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA) ตามคำกล่าวอ้างของพอล มาร์ติน ซีเนียร์. ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 พระราชินีนาถทรงกังวลว่าสถาบันกษัตริย์ "มีความหมายเพียงน้อยนิด" สำหรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา ปีแยร์ ตรูโด โทนี เบนน์ กล่าวว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ปีแยร์ ตรูโด "ค่อนข้างน่าผิดหวัง" ซึ่งแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของปีแยร์เป็นที่แน่ชัดขึ้นจากท่าทีแสดงการล้อเลียนของเขา เช่น การลื่นไถลตัวเขาเองไปตามราวบันใดในพระราชวังบักกิงแฮม และการเต้นบัลเลต์ท่าหมุนรอบตัวเองอยู่ด้านหลังของพระราชินีนาถในปี พ.ศ. 2520 รวมไปถึงการที่เขาถอดถอนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แคนาดาหลายประการตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในปี พ.ศ. 2523 นักการเมืองแคนาดาหลายคนได้รับการส่งไปกรุงลอนดอนในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดา พวกเขาพบว่าพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง "มีความรู้ความเข้าใจ ... มากกว่านักการเมืองหรือข้าราชการชาวอังกฤษเป็นไหน ๆ " ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยกับการแก้ไขครั้งนี้โดยเฉพาะหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติซี-60 (Bill C-60) ไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอาจมีผลต่อพระราชสถานะประมุขแห่งรัฐของพระองค์ การแก้ไขดังกล่าวเพิกถอนบทบาทของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดาแต่ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแยร์กล่าวว่าในความทรงจำของเขาพระราชินีนาถทรงเห็นชอบกับความพยายามของเขาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเขาประทับใจใน "พระจริยวัตรอันสง่างามที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน" และ "พระอัจฉริยะภาพอันปราดเปรื่องที่ทรงแสดงเป็นการส่วนพระองค์"คริสต์ทศวรรษ 1980 คริสต์ทศวรรษ 1980. ในช่วงของพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นเวลาเพียงหกสัปดาห์ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายแห่งเวลส์กับเลดีไดอานา สเปนเซอร์ มีเสียงปืนดังขึ้นหกนัด โดยปืนเล็งไปที่สมเด็จพระราชินีนาถในระยะประชิดขณะทรงม้าไปตามถนนเดอะมอลล์บนม้าทรงชื่อเบอร์มีส ภายหลังตำรวจสืบทราบว่าปืนกระบอกดังกล่าวบรรจุกระสุนเปล่า ผู้ก่อเกตุเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีนามว่า มาร์คัส ซาร์เจนต์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกห้าปีและได้รับการปล่อยตัวหลังเวลาผ่านไปสามปี นอกจากนี้ความสงบและทักษะด้านการควบคุมม้าทรงของพระองค์ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวสรรเสริญไปทั่ว ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. 2525 ทรงกระวนกระวายพระราชหฤทัย แต่ก็ทรงภูมิใจ ที่พระราชโอรส เจ้าชายแอนดรูว์ทรงรับใช้ชาติในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามฟอล์กแลนด์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรงตื่นจากพระบรรทมในพระราชวังบักกิงแฮมและพบว่าไมเคิล เฟแกน บุกรุกเข้ามาในห้องพระบรรทม ทรงมีท่าทีสงบและทรงโทรเรียกตำรวจพระราชวังผ่านทางแผงไฟถึงสองครั้ง ทรงพูดคุยกับไมเคิลผู้ซึ่งนั่งอยู่ปลายแท่นพระบรรทมอยู่นานเจ็ดนาทีก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง แม้ว่าจะทรงให้การต้อนรับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ในปี พ.ศ. 2525 และเคยเสด็จฯ ไปเยือนบ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี พ.ศ. 2526 แต่ก็ทรงกริ้วอย่างมากเมื่อคณะทำงานของประธานาธิบดีเรแกนมีคำสั่งบุกเกรนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเครือจักรภพโดยไม่ได้มีการแจ้งให้พระองค์ทราบ ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดความสนใจอย่างแรงกล้าของสื่อมวลชนในพระราชอัธยาศัยและพระราชกิจวัตรประจำวันของพระบรมวงศานุวงศ์ นำไปสู่การเผยแพร่เรื่องราวเหลือเชื่อมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่นที่เคลวิน แมคเคนซี บรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์ เดอะซัน กล่าวกับลูกน้องของเขาว่า "เอาข่าวสาดโคลนเกี่ยวกับราชวงศ์สำหรับตีพิมพ์วันจันทร์มาให้ฉันทีสิ ไม่ต้องห่วงถ้าข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง ตราบใดที่ช่วงหลังมานี้ยังคงไม่มีข่าวซุบซิบราชวงศ์ออกมา" ด้านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โดนัลด์ เทรลฟอร์ดเขียนในหนังสือพิมพ์ ดิออบเซิร์ฟเวอร์ ฉบับวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2529 ว่า "ละครน้ำเน่าเกี่ยวกับพระราชวงศ์บัดนี้ได้มาถึงจุดที่เส้นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับนิยายถูกเลือนหาย ... ไม่ใช่เพียงแค่บางหนังสือพิมพ์ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรับฟังข้อโต้แย้ง แต่พวกเขายังไม่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่อีกด้วย" ในหนังสือพิมพ์ เดอะซันเดย์ไทมส์ ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 มีรายงานข่าวอันโด่งดังว่าพระราชินีนาถกังวลพระราชหฤทัยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมตรีหญิง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ว่าจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่างเช่น อัตราการว่างงานที่สูง การก่อจลาจลหลายระลอก ความรุนแรงจากกลุ่มคนงานเหมืองที่ประท้วงนัดหยุดงาน รวมไปถึงการที่มาร์กาเรตปฏิเสธการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ โดยข่าวลือนี้มีที่มาจากเสนาธิการประจำราชสำนัก ไมเคิล ชีอา และผู้สำเร็จราชการประจำเครือจักรภพ ไชร์ดาท แรมพัล แต่ไมเคิลอ้างว่าคำกล่าวของเขาผิดเพี้ยนไปจากบริบทและถูกเสริมแต่งจากการคาดการณ์ส่วนตัว ต่อมาคำกล่าวของมาร์กาเรตก็เป็นที่โจทก์ขานกันไปทั่วเมื่อเธอกล่าวว่า "สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของเธอ นักชีวประวัติของมาร์กาเรต แทตเชอร์ จอห์น แคมป์เบล อ้างว่า "รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเสื่อมเสียจากการสื่อสารมวลชน" ซึ่งเกิดจากการที่สื่อรายงานผิดเพี้ยนจากความจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์จึงแสดงความชื่นชมของเธอที่มีต่อพระราชินีนาถออกมา และหลังจากที่มาร์กาเรต แทตเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีจอห์น เมเจอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมริตและเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แด่มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นของขวัญพระราชทาน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ไบรอัน มัลรอนีย์ กล่าวว่าพระองค์เป็น "พลังขับเคลื่อนเบื่องหลัง" ในการยุติการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2530 ในแคนาดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสว่าทรงสนับสนุนข้อตกลงมีชเลค (Meech Lake Accord) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สร้างความแตกแยกทางการเมือง เป็นข้อตกลงที่โน้มน้าวให้รัฐควิเบกยอมรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2525 และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแคนาดาต่อไป ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีปีแยร์ ตรูโด ในปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของฟิจิถูกรัฐประหารโดยกองทัพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ฟิจิ ให้การสนับสนุนผู้สำเร็จราชการแห่งฟิจิ เพเนเอีย กานิเลา ในการพยายามเจรจาประนีประนอมและยันยันถึงสิทธิ์อันชอบธรรมของรัฐบาล แต่ผู้นำการปฏิวัติ ซิติเวนี ราบูกา กลับเนรเทศผู้สำเร็จราชการและประกาศให้ฟิจิเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาในช่วงต้นของปี พ.ศ. 2534 แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจากรายงานตัวเลขคาดการณ์พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถซึ่งถูกโต้แย้งโดยสำนักพระราชวัง รวมไปถึงข่าวชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ นอกจากนี้ความเกี่ยวข้องกับเกมโชว์การกุศล อิตส์รอยัลน็อคเอาต์ ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ได้รับการเย้ยหยัน และสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงตกเป็นเป้าของการเสียดสีล้อเลียนคริสต์ศตวรรษ 1990 คริสต์ศตวรรษ 1990. ในปี พ.ศ. 2534 ช่วงที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาอีกครั้งและเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่ได้มีพระราชดำรัสแก่ที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในพระราชดำรัสวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เนื่องในวโรกาสครองราชสมบัติครบ 40 ปี ทรงกล่าวว่าปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เป็น แอนนัสฮอริบิลิส (; ปีแห่งความเลวร้าย) ของพระองค์เนื่องจากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ดังนี้: ในเดือนมีนาคม พระราชโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแอนดรูว์ทรงหย่าร้างกับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ต่อมาในเดือนเมษายน เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ก็ทรงหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ก ฟิลลิปส์; ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเยอรมนีในเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงผู้โกรธแค้นในเดรสเดินปาไข่ไก่ใส่พระองค์ สาเหตุมาจากปมการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดรสเดินช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 25,000 คน; ในเดือนพฤศจิกายน พระราชวังวินด์เซอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอัคคีภัย ด้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับเสียงวิพากษวิจารณ์และการจับจ้องจากสาธารณชนมากขึ้น ในพระราชดำรัสส่วนพระองค์ซึ่งค่อนข้างจากผิดแปลกไปจากปกติ ทรงกล่าวว่าทุก ๆ สถาบันล้วนแล้วแต่ต้องได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เว้นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรกระทำขึ้นบนพื้นฐานของ "อารมณ์ขัน, ความนุ่มนวล และความเข้าอกเข้าใจ" สองวันถัดมา นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ ประกาศแผนปฏิรูปการเงินของพระราชวงศ์ซึ่งตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ในแผนดังกล่าวประกอบด้วยการปฏิรูปต่าง ๆ เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถจะต้องทรงชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นไป และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับพระมหากษัตริย์ (Civil list) ในเดือนธันวาคม เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแยกกันอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันท้าย ๆ ของปี พ.ศ. 2535 สมเด็จพระราชินีนาถทรงฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ เดอะซัน ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ร่างกระแสพระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสองวันก่อนการออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ศาลตัดสินให้หนังสือพิมพ์จ่ายเงินชดเชยแก่พระองค์ตามกฎหมายและบริจาคเงินให้การกุศลกว่า 200,000 ปอนด์ ในปีถัดมาการเปิดเผยเรื่องราวของเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาต่อสาธารณชนยังคงดำเนินต่อไป ด้านการเมืองแม้ว่ากระแสสาธารณรัฐนิยมจะมีมากกว่าช่วงใด ๆ ในความทรงจำของพระองค์ แต่ประชาชนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของสังคม อีกทั้งการยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถของสังคมก็ยังคงมีอยู่สูง การวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนจากการจับจ้องแต่เพียงพระราชจริยวัตรและพระราชอัธยาศัยของพระราชินีนาถมาเป็นการจับจ้องสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในภาพรวม ในปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 หลังจากทรงปรึกษากับนายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์, อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี จอร์จ เครีย์, ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ส และเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามี จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาว่าโปรดจะให้มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการ หนึ่งปีหลังจากการหย่าร้างซึ่งมีขึ้นในปี พ.ศ. 2539 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งพระราชินีนาถทรงอยู่ระหว่างการพักร้อนที่ปราสาทบาลมอรัลกับพระราชโอรสและพระราชนัดดา ในขณะนั้นพระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงไดอานาโปรดที่จะเสด็จไปยังโบสถ์ ดังนั้นพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปจึงนำเสด็จฯ ไปยังโบสถ์ในตอนเช้า หลังจากการปรากฏพระองค์ในครั้งนั้น ห้าวันต่อมาพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปก็ทรงปิดกั้นพระนัดดาทั้งสองจากสื่อที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้อย่างล้นหลาม โดยประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลที่ซึ่งจะได้ใช้เวลาแห่งความโศกเศร้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่การปิดกั้นตัวเองจากสาธารณชนของพระบรมวงศานุวงศ์และการที่พระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ลดธงลงครึ่งเสาสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอย่างมาก ต่อมาหลังจากที่ทรงรับทราบกระแสความไม่พอใจ พระราชินีนาถจึงเสด็จฯ กลับลอนดอนและมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนซึ่งแพร่ภาพสดไปทั่วโลกในวันที่ 5 กันยายน หนึ่งวันก่อนพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอานาจะมีขึ้น ในกระแสพระราชดำรัสทรงกล่าวชื่นชมเจ้าหญิงไดอานาและความรู้สึกในฐานะ "พระอัยยิกา" ของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เป็นผลให้กระแสความไม่พอใจของสาธารณชนที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์คลี่คลายลงกาญจนาภิเษก กาญจนาภิเษก. ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระขนิษฐา สิ้นพระชนม์ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในเดือนมีนาคม ทำให้สื่อตั้งคำถามว่าพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปีนี้จะประสบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว และเป็นอีกครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเครือจักรภพ โดยเริ่มต้นขึ้นที่จาเมกาในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ซึ่งตรัสเรียกการเสด็จฯ ครั้งนั้นว่า "เป็นที่จดจำ" หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องจนมืดสนิทไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงส่งเสด็จฯ ณ พระตำหนักคิงส์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของผู้สำเร็จราชการแห่งจาเมกา ในงานเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 50 ปีในครั้งนี้ มีการเฉลิมฉลองและงานเลี้ยงสังสรรค์บนท้องถนนมากมายเช่นเดียวกับครั้งที่เฉลิมฉลองพระราชพิธีรัชดาภิเษกในปี พ.ศ. 2520 มีอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการเฉลิมฉลองในครั้งนี้มากมาย และประชาชนกว่าล้านคนออกมาเฉลิมฉลองในงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการสามวันของกรุงลอนดอน ซึ่งความสนใจของประชาชนต่อพระราชินีนาถและพระราชพิธีนี้มีมากกว่าที่สื่อส่วนมากคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอดช่วงพระชนม์ชีพ แต่ในปี พ.ศ. 2546 ทรงเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องบริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้าง ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ก็มิได้เสด็จฯ ไปในงานเปิดสนามเอมิเรตส์สเตเดียมด้วยเพราะทรงมีอาการกล้ามพระปฤษฎางค์ (กล้ามเนื้อหลัง) รัดแน่น ซึ่งทรงมีอาการดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน สองเดือนต่อมา เสด็จฯ ออกปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนโดยมีแถบปิดแผลที่บริเวณพระหัตถ์ขวา ทำให้สื่อคาดการณ์กันถึงพระพลานามัยที่เสื่อมลง ต่อมาก็ทรงถูกกัดโดยหนึ่งในสุนัขพันธุ์คอร์กีที่ทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงพยายามแยกสุนัขทรงเลี้ยงทั้งสองขณะกำลังกัดกันออกจากกัน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 หนังสือพิมพ์ เดอะเดลีย์เทเลกราฟ รายงานอ้างจากแหล่งข่าวผู้ประสงค์จะไม่ออกนามว่าพระราชินีนาถทรง "ขุ่นเคืองและผิดหวัง" จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ และกังวลพระทัยจากการที่กองทัพสหราชอาณาจักรเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถานมากเกินไป อีกทั้งยังกังวลพระทัยจากประเด็นปัญหาในแถบชนบทและทุรกันดารกับโทนี แบลร์ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทรงชื่นชมโทนี แบลร์ ในความพยายามแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือของเขา ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551 ณ มหาวิหารเซนต์แทริค อาร์มาจ์ ของคริสจักรแห่งไอร์แลนด์ ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ (Royal Maundy) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกอังกฤษและเวลส์ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีแมรี แมคอาลีส์ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2553 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น "เสาหลักสำหรับยุคของเรา" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "การเสด็จฯ เยือนอำลา" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้วพัชราภิเษกและปัจจุบัน พัชราภิเษกและปัจจุบัน. ในปี พ.ศ. 2555 เป็นปีที่ทรงเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (พระราชพิธีพัชราภิเษกแบบอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นในทุกประเทศเครือจักรภพ ในกระแสพระราชดำรัสที่เผยแพร่ในวันคล้ายวันเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงกล่าวว่า: "ในปีแห่งความพิเศษนี้ ขณะที่ข้าพเจ้าอุทิศตัวเองรับใช้พวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะยังคงระลึกถึงพลานุภาพของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และการรวบรวมพละกำลังของครอบครัว, มิตรภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ... ข้าพเจ้าหวังว่าในปีพัชราภิเษกนี้จะเป็นปีสำหรับการมอบคำขอบคุณสำหรับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2495 และมองไปยังอนาคตด้วยหัวสมองอันปลอดโปร่งและหัวใจอันอบอุ่น" พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนไปทั่วสหราชอาณาจักร ในขณะที่พระราชโอรส-ธิดาและพระราชนัดดาหลายพระองค์ เสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ในพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถ ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน ดวงประทีปแห่งการเฉลิมฉลองก็จุดขึ้นทั่วโลก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ ในวันที่ 18 ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรีในสภาวะไร้สงครามนับตั้งแต่การเสด็จฯ ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี พ.ศ. 2324 ต่อมาไม่นานรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร วิลเลียม เฮก ก็ประกาศให้ดินแดนตอนใต้ของดินแดนแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเป็น เอลิซาเบธแลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถ ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเพื่อการเฝ้าประเมินอย่างใกล้ชิด หลังจากการกำเริบของพระอาการประชวรด้วยโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในวันถัดมา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรใหม่ของเครือจักรภพ เนื่องจากพระชนมพรรษาที่มากขึ้นทำให้ต้องจำกัดการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในปีนั้นเอง พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จฯร่วมการประชุมรัฐบาลของเครือจักรภพเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าชายชาลส์ เสด็จฯแทนพระองค์ในการประชุมที่ศรีลังกา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ ทรงเป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ "ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงเป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติ แม้ว่าสัดส่วนของพระราชกรณียกิจสาธารณะของเจ้าชายชาลส์ ผู้ทรงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 91 พรรษาและปฏิบัติพระราชกรณียกิจสาธารณะแทนพระองค์เพิ่มขึ้น ขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถลดพระราชกรณียกิจสาธารณะของพระองค์ลง แผนสำหรับวันสวรรคตและงานพระศพของพระองค์ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างแพร่หลายจากรัฐบาลอังกฤษและองค์กรสื่อมุมมองจากสาธารณชน มุมมองจากสาธารณชน. เนื่องจากพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์น้อยครั้งทำให้สาธารณชนทราบถึงพระราชอัธยาสัยส่วนพระองค์ได้น้อยมาก และในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะทางการเมืองส่วนพระองค์ในที่สาธารณะได้ ทรงมีพันธกิจด้านศาสนาและสังคมที่หยั่งรากลึกในพระราชหฤทัย อีกทั้งยังทรงกล่าวพระราชดำรัสสาบานพระองค์ในวันขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติอย่างจริงจัง นอกเหนือจากการที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์ยังทรงเลื่อมใสในคริสตจักรแห่งอังกฤษและคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย และยังทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อศาสนาอื่น ๆ ด้วยการพบปะกับผู้นำนิกายและศาสนาต่าง ๆ เช่น การที่ทรงพบปะกับพระสันตะปาปาถึงสามพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 และสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาของพระองค์ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในพระราชดำรัสผ่านทางโทรทัศน์เนื่องในวันคริสต์มาสต์ซึ่งถ่ายทอดไปยังประเทศเครือจักรภพเป็นประจำทุกปี เช่นในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ที่มีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของคริสต์สหัสวรรษที่ 2 อันเป็นปีที่การประสูติของพระเยซูครบรอบ 2000 ปี ดังนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรและมูลนิธิต่างๆ มากกว่า 600 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยโดยหลัก ๆ ได้แก่ การขี่ม้าและสุนัขทรงเลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์เพ็มโบรคเวลช์คอร์กี ความสนพระราชหฤทัยในสุนัขพันธุ์คอร์กีนี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2476 กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ "ดูกี" ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์คอร์กีตัวแรกที่พระราชวงศ์ของพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ทรงตระเตรียมพระกระยาหารด้วยกันและทรงล้างจานด้วยกันหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการกล่าวขานราวกับเป็น "ราชินีในเทพนิยาย" ภายหลังความชอกช้ำจากสงครามโลก อังกฤษก็เข้าสู่ยุคแห่งความหวัง เป็นช่วงสมัยของการพัฒนาและความสำเร็จที่ได้รับการขนานนามว่า "สมัยเอลิซาเบธใหม่" ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาพระราชดำรัสของพระองค์ในปี พ.ศ. 2500 ว่าฟังเหมือนกับเสียงของ "เด็กนักเรียนหญิงผู้โอ้อวด" ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบได้น้อยครั้งมาก ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 มีความพยายามมากขึ้นในการสร้างภาพราชวงศ์ยุคใหม่ในสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "รอยัลแฟมิลี" ซึ่งอำพรางเจ้าชายชาลส์ด้วยพระนาม "เจ้าชายแห่งเวลส์" พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ในที่สาธารณะด้วยฉลองพระองค์ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเดียวพร้อมด้วยพระมาลา (หมวก) ประดับลูกไม้ ทำให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นพระองค์ได้โดยง่าย ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก พ.ศ. 2520 ฝูงชนและการเฉลิมฉลองนับว่ามีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง แต่ถัดมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เสียงวิพากษ์วิจารณ์พระราชวงศ์เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตการทรงงานของบรรดาพระราชโอรส-พระราชธิดาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของสื่อ ความนิยมของประชาชนต่อสมเด็จพระราชินีนาถตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และด้วยแรงกดดันจากความคิดเห็นของสาธารณชน พระองค์จึงทรงเริ่มชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบักกิงแฮมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม ความไม่พอใจต่อระบอบกษัตริย์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเมื่อไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ แม้กระนั้นก็ตาม ความนิยมในสมเด็จพระราชินีนาถและแรงสนับสนุนในระบอบกษัตริย์ก็ฟื้นคืนกลับมาหลังพระองค์มีพระราชดำรัสถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ 5 วัน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 มีการลงประชามติในออสเตรเลียว่าด้วยอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ผลที่ออกมาได้บ่งบอกถึงความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งประมุขของประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากการสำรวจความคิดเห็นในสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2550 พบว่ายังคงมีแรงสนับสนุนในสมเด็จพระราชินีนาถอยู่มาก ส่วนผลการลงประชามติในตูวาลู พ.ศ. 2551 และการลงประชามติในเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ พ.ศ. 2552 ยืนยันถึงความต้องการของทั้งสองประเทศที่ปฏิเสธการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐการเงิน การเงิน. การติดตามพระราชทรัพย์ส่วพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินมาหลายปี นิตยสารฟอร์บประเมินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี พ.ศ. 2553 ว่ามีมูลค่าสุทธิราว 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แถลงการณ์สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในปี พ.ศ. 2536 กล่าวว่าการประเมินพระราชทรัพย์ไว้ที่ 100 ล้านปอนด์นั้นเป็น "การกล่าวเกินจริงอย่างมากมาย" จ็อค โคลวิลล์ อดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์และอดีตผู้อำนวยการธนาคารส่วนพระองค์ คุตส์ (Coutts) ประเมินทรัพย์สินส่วนพระองค๋ในปี พ.ศ. 2514 ไว้ที่ 2 ล้านปอนด์ (เทียบเท่าประมาณ 21 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน) องค์สมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้ทรงครอบครองงานสะสมศิลปะหลวง (ซึ่งรวมถึงงานศิลปะและเครื่องราชกกุธภัณฑ์) แต่มีการถือครองตามกฎหมายทรัสต์ ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประทับอย่างพระราชวังบักกิงแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์ และดัชชีแลงแคสเตอร์ มีมูลค่าในปี พ.ศ. 2554 ที่ 383 ล้านปอนด์ ส่วนพระตำหนักซานดริงแฮมและปราสาทแบลมอรัลองค์สมเด็จพระราชินีนาถทรงถือครองเป็นการส่วนพระองค์ พระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (The British Crown Estate) ซึ่งมีมูลค่าในปี พ.ศ. 2554 รวมกันทั้งสิ้น 7.3 พันล้านปอนด์ ได้รับการถือครองไว้ในกฎหมายทรัสต์ไว้เป็นสมบัติของชาติ สมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่สามารถจำหน่ายพระราชทรัพย์เหล่านี้ได้เป็นการส่วนพระองค์พระราชอิสริยยศและตราอาร์มพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศและตราอาร์ม. พระราชอิสริยยศ. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศและตำแหน่งทางการทหารในประเทศเครือจักรภพมากมาย เป็นผู้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศของพระองค์ ทรงได้รับการถวายพระเกียรติและรางวัลมากมายจากทั่วโลก และมีพระราชอิสริยยศเป็นการเฉพาะในแต่ละประเทศ เช่น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งจาเมกา, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นต้น ทรงดำรงตำแหน่งลอร์ดแห่งแมนในเกาะแมน และดยุกแห่งนอร์ม็องดีในหมู่เกาะแชนเนล ซึ่งทั้งสองเป็นดินแดนปกครองตนเองของสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่น อัครศาสนูปถัมภก และดยุกแห่งแลงแคสเตอร์ เมื่อพระราชินีนาถมีพระราชปฏิสันธานกับเรา ควรเริ่มเอ่ยถึงพระองค์ด้วยคำว่า "ฝ่าพระบาท" (Your Majesty) หลังจากนั้นจึงค่อยใช้คำว่า "ท่าน" (Ma'am) ในการกล่าวถึงพระองค์ ลำดับบรรณดาศักดิ์ที่ทรงได้รับตลอดช่วงพระชนม์ชีพมีดังต่อไปนี้ :- 21 เมษายน พ.ศ. 2469 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก (Her Royal Highness Princess Elizabeth of York) - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth) - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth, Duchess of Edinburgh) - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495: สมเด็จพระราชินีนาถ (Her Majesty The Queen)ตราอาร์ม ตราอาร์ม. ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2487 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียนสีเงินสามพู่ พู่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ส่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแห่งเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตราอาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบครองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เพื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆพระราชวงศ์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร จัดขึ้นที่วิหารใด
{ "answer": [ "เวสมินสเตอร์" ], "answer_begin_position": [ 3753 ], "answer_end_position": [ 3765 ] }
2,151
5,513
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (; พระราชสมภพ 21 เมษายน พ.ศ. 2469) เป็นพระประมุขของ 16 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและพระมหากษัตริย์แห่งเจ็ดรัฐเครือจักรภพเจ็ดรัฐ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ปากีสถานและซีลอน พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในปีถัดมาเป็นพิธีราชาภิเษกครั้งแรกที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ระหว่าง พ.ศ. 2499 ถึง 2535 จำนวนราชอาณาจักรของพระองค์แปรผันเมื่อดินแดนต่าง ๆ ได้รับเอกราชและบ้างกลายเป็นสาธารณรัฐ ปัจจุบัน นอกจากสี่ประเทศแรกที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ยังเป็นพระราชินีนาถแห่งจาเมกา บาร์เบโดส หมู่เกาะบาฮามาส เกรนาดา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตูวาลู เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ แอนติกาและบาร์บูดา เบลิซ และเซนต์คิตส์และเนวิส พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระชนมายุมากที่สุดของบริเตน เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกของดยุกและดัชเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ) พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระราชโอรสองค์โตทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักร เมื่อครั้งทรงพระเยาว์พระองค์ประทับ ณ กรุงลอนดอน บริเวณพิคคาเดลลี ไวท์ลอดจ์ ริชมอนด์ พาร์ค และพระตำหนักในชนบทของพระอัยยิกา เมื่อพระองค์ทรงพระชนมายุได้ 6 พรรษา พระบิดาได้พระราชทานพระตำหนักในวินด์เซอร์เกรทพาร์คให้เป็นที่ประทับนอกเมือง พระองค์ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้น ณ ที่ประทับ และเมื่อพระบิดาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงต้องทรงศึกษา ทางด้านประวัติศาสตร์ และกฎหมาย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ในอนาคต นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงศึกษาทางด้านศิลปะ ดนตรี และเรียนการขี่ม้า ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกีฬาที่ทรงโปรดปราน พระองค์ทรงมีพระสหายชื่อ โรสเลเวน่า มิโนลาช พระองค์ทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงพระราชดำรัสออกอากาศ ในรายการสำหรับเด็กในประเทศอังกฤษ และเครือจักรภพของบีบีซี ตั้งแต่พระชนมายุได้ 16 พรรษา และทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจครั้งแรก เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ในฐานะนายทหารยศพันเอกแห่งกองทหารราบรักษาพระองค์ โดยทรงตรวจพลสวนสนามและยังทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนอีกมากมาย หลังจากที่ครบรอบพระชนมายุ 18 พรรษาได้ไม่นาน พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐบาล และได้เริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจแห่งองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารนอกประจำการ พระราชกรณียกิจของพระองค์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเสด็จประพาสภายในและนอกประเทศ พระราชกรณียกิจในระหว่างการเยือนนี้ เป็นช่วงที่ครบรอบวันประสูติปีที่ 21 ซึ่งพระองค์ได้ทรงแถลงการณ์ออกอากาศ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะอุทิศพระองค์ เพื่อภารกิจของประเทศในเครือจักรภพ และในปีเดียวกันนี้เอง ที่พระองค์ทรงประกาศหมั้นกับ "เรือโทฟิลลิปส์ เมาท์แบทเท็น" (ต่อมาคือเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ) โดยพระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 พระองค์ทรงแถลงการณ์ซ้ำอีกครั้งถึงเจตนารมณ์ ที่จะอุทิศพระองค์เพื่อภารกิจของประเทศในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์กำลังประทับอยู่ที่ประเทศเคนยา ซึ่งเป็นประเทศแรกตามหมายกำหนดการเยือนประเทศในเครือจักรภพของพระองค์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก พระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าชายชาลส์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าชายแห่งเวลส์" ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2491 พระองค์ที่สองเป็นพระราชธิดา มีพระนามว่าเจ้าหญิงแอนน์ ซึ่งปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าหญิงพระราชกุมารี" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2493 พระราชโอรสพระองค์ที่สามคือเจ้าชายแอนดรูว์ ปัจจุบันทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "ดยุกแห่งยอร์ก" ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2503 และพระราชโอรสพระองค์เล็กคือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ปัจจุบันดำรงพระอิสริยยศเป็น "เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์" ซึ่งประสูติในปี พ.ศ. 2507พระชนม์ชีพช่วงต้น พระชนม์ชีพช่วงต้น. เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชธิดาองค์แรกในเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (ภายหลังขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6) กับเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งยอร์ก พระราชบิดาของพระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชมารดาของพระองค์เป็นธิดาคนสุดท้ายของขุนนางชาวสกอตแลนด์นามว่า โคลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น เจ้าหญิงเอลิซาเบธประสูติโดยการคลอดแบบผ่าท้องเมื่อเวลา 2.40 น. (ตามเวลากรีนิช) ของวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2469 ณ บ้านเลขที่ 17 ถนนบรูตัน เมย์แฟร์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นของพระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา (ตา) ในกรุงลอนดอน ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมานิกายแองกลิคันจากคอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปแห่งยอร์ก ณ โบสถ์ส่วนพระองค์ภายในพระราชวังบักกิงแฮม และได้รับพระนาม เอลิซาเบธ ตามพระราชมารดา, อะเล็กซานดรา ตามสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระปัยยิกา (ย่าทวด) ซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนการประสูติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ 6 เดือน และ แมรี ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา (ย่า) เจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นพระราชนัดดาหัวแก้วหัวแหวนของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี พ.ศ. 2472 ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงมีกำลังพระทัยและพระอาการดีขึ้น พระองค์มีพระขนิษฐาพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งมีพระชันษาน้อยกว่าอยู่ 4 พรรษา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการศึกษา ณ พระตำหนักที่ประทับภายใต้การควบคุมดูแลของพระราชมารดาและ แมเรียน คราวฟอร์ด พระอาจารย์ส่วนพระองค์ ซึ่งได้รับการเรียกขานในบางโอกาสว่า "คราวฟี" บทเรียนที่ทรงศึกษาเน้นหนักไปที่ประวัติศาสตร์, ภาษา, วรรณกรรม และดนตรี ในปี พ.ศ. 2493 แมเรียนออกหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตในช่วยวัยเยาว์ชื่อว่า The Little Princesses (เจ้าหญิงองค์น้อย) ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่พระราชวงศ์อังกฤษ หนังสือได้อธิบายว่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธโปรดม้าและสุนัข, ความเป็นระเบียบ และทัศนคติต่อความรับผิดชอบของพระองค์ ด้านวินสตัน เชอร์ชิลล์ กล่าวถึงเจ้าหญิงเอลิซาเบธขณะมีพระชนมายุ 2 พรรษาว่า "ด้านพระจริยวัตร ทรงมีห้วงอากาศแห่งพระราชอำนาจและความไตร่ตรองอย่างน่าอัศจรรย์ภายในตัวพระองค์" ส่วนพระญาตินามว่า มาร์กาเรต โรดส์ กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "เด็กหญิงตัวเล็กผู้ร่าเริง แต่มีความมีเหตุผลพื้นฐานและความประพฤติที่ดี" เมื่อทรงพระเยาว์พระประยูรญาติสนิททรงเรียกพระองค์ว่า "ลิลิเบ็ต" เมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระองค์ทรงได้พบกับนักเทศน์คนหนึ่งที่ปราสาทกลามิส เมื่อเขาลากลับ เขาได้สัญญาที่จะส่งมาหนังสือมาให้พระองค์เล่มหนึ่ง เจ้าหญิงตรัสตอบว่า "ไม่เอาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้านะ เรารู้เรื่องพระองค์หมดแล้ว"รัชทายาทโดยสันนิษฐาน รัชทายาทโดยสันนิษฐาน. ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นบุรุษ มีพระนามเต็มว่า เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก และอยู่ลำดับที่สามในลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ ตามหลังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระปิตุลาในลำดับแรก และเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชบิดาในลำดับที่สอง แม้ว่าการประสูติของพระองค์จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ก็ไม่มีใครคาดหมายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายแห่งเวลส์ (พระปิตุลา) ยังมีพระชนมายุไม่มาก ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะอภิเษกสมรสและมีพระโอรส-ธิดาของพระองค์เอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 เมื่อพระอัยกาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคต และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระปิตุลา เถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเลื่อนขึ้นมาลำดับที่สองในลำดับการสืบราชบัลลังก์ตามหลังพระราชบิดาในลำดับที่หนึ่ง ภายหลังในปีเดียวกันนี้เองที่พระปิตุลาทรงสละราชสมบัติเพื่อไปสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่หม้ายชาวอเมริกันผู้หย่าร้างมาแล้วสามรอบ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้น พระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์และพระองค์ก็ทรงกลายมาเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานด้วยพระอิสริยยศ เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งถ้าหากพระองค์มีพระเชษฐาหรือพระอนุชาร่วมบิดา-มารดา พระองค์ก็จะทรงสูญเสียสถานะรัชทายาทโดยสันนิษฐานและอยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ที่ต่ำกว่า เพราะตามกฏสืบราชสมบัติอังกฤษจะให้สิทธิ์แก่รัชทายาทบุรุษเป็นรัชทายาทโดยนิตินัย เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงได้รับการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญจาก เฮนรี มาร์เตน รองอาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยอีตัน และทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสจากพระอาจารย์ที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่หลายคน ต่อมากองเนตรนารีที่หนึ่งแห่งพระราชวังบักกิงแฮมได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถมีพระปฏิสันถารกับเด็กหญิงวัยเดียวกัน ซึ่งภายหลังทรงดำรงตำแหน่งเป็น แรนเจอร์ทะเล (sea ranger) ในปี พ.ศ. 2470 เมื่อครั้งพระราชบิดา-มารดาของพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากพระราชบิดาทรงเกรงว่าเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์เกินกว่าที่จะสามารถตามเสด็จในที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482 เจ้าหญิงก็ยังประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นเดิม เจ้าหญิงทรงดูเหมือนว่าจะทรงร้องไห้เมื่อพระราชบิดา-มารดาทรงออกเดินทาง ทั้งสองฝ่ายทรงติดต่อกันเป็นประจำ และในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ได้ทรงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์สาย ทรานส์แอตแลนติก เป็นครั้งแรกสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่สอง. ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองที่ดำเนินไปจนถึงปี พ.ศ. 2488 ในระยะเวลาช่วงนี้เองที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดทางอากาศอย่างหนัก เด็กชาวลอนดอนจำนวนมากถูกอพยพไปอยู่ตามชนบท มีคำแนะนำจากนักการเมืองอาวุโสนามว่า ดักลาส ฮอกก์ วิสเคาท์ที่หนึ่งแห่งเฮลเชม (ลอร์ดเฮลเชม) เสนอให้เชิญพระราชธิดาทั้งสองพระองค์เสด็จลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ แคนาดา แต่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและทรงประกาศว่า "เด็ก ๆ จะไม่เสด็จไปโดยปราศจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เสด็จไปโดยปราศจากพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จไปไหนทั้งนั้น" เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลในสกอตตแลนด์จนถึงช่วงคริสต์มาสปี พ.ศ. 2482 เมื่อเสด็จไปประทับที่พระตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟอล์กแทน และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 เสด็จไปประทับที่รอยัลลอดจ์ในวินด์เซอร์ จนในที่สุดเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ที่ซึ่งใช้เวลาส่วนมากของอีกห้าปีถัดมาประทับอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ที่วินด์เซอร์ เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงแสดงละครใบ้ในงานคริสต์มาสเพื่อช่วยหาเงินเข้ากองทุนขนแกะของสมเด็จพระราชินี ซึ่งใช้ในการจัดหาเส้นด้ายในการทอเสื้อผ้าทหาร ในปี พ.ศ. 2483 เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งมีพระชันษาได้ 14 พรรษา ได้ทรงจัดรายการทางวิทยุของบีบีซีเป็นครั้งแรกในรายการ Children's Hour (ชั่วโมงของเด็ก) และทรงกล่าว ต่อเด็ก ๆ ที่อพยพออกจากลอนดอนว่า: เราพยายามทุกวิถีทางในการช่วยเหลือเหล่าลูกเรือ, ทหาร และนักบินผู้กล้าหาญของพวกเรา และเราพยายามแบกรับเอาความเศร้าโศกและอันตรายที่มีร่วมกันไว้ด้วยเช่นกัน เราทราบดีว่าท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะปลอดภัย ในปี พ.ศ. 2486 ในขณะที่มีพระชันษา 16 พรรษา เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรกในการตรวจแถวสวนสนามของกองทัพบก ที่ซึ่งทรงได้รับการพระราชทานตำแหน่งผู้บัญชาการยศพันเอกหญิงในปีก่อนหน้า เมื่อทรงเจริญพระชันษาย่างเข้า 18 พรรษา กฎหมายเปลี่ยนให้ทรงมีฐานะเสมือนเป็นหนึ่งในองคมนตรีแห่งรัฐ (Counsellors of State) ทั้งห้าท่าน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจทดแทนยามที่พระราชบิดาทรงติดขัดหรือเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ เช่น ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปอิตาลีในปี พ.ศ. 2487 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ทรงเข้าร่วมหน่วยบริการภาคพื้นดินในฐานะผู้บังคับหมวดที่สอง ซึ่งมีหมายเลขประจำพระองค์คือ 230873 ทรงได้รับการฝึกเป็นพนักงานขับรถและช่างยนต์และทรงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการระดับอาวุโสในอีก 5 เดือนถัดมา ในวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรปซึ่งเป็นวันที่สงครามโลกครั้งที่สองภาคทวีปยุโรปสิ้นสุดลง เจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงแฝงพระองค์ร่วมเฉลิมฉลองกับประชาชนบนท้องถนนของกรุงลอนดอน ต่อมาได้พระราชทานสัมภาษณ์ว่า "เราสองคนขอพระราชบิดา-มารดาเพื่อที่จะออกไปดูด้วยตัวของเราเอง จำได้ว่าเรากลัวที่จะมีคนจดจำเราได้ ... มีแถวของผู้คนมากหน้าหลายตาจับมือแล้วร่วมเดินไปด้วยกันบนถนนไวต์ฮอล พวกเราทั้งหมดได้รับการกวาดไปตามกระแสธารแห่งความสุขและความโล่งใจ" ช่วงระหว่างสงคราม แผนการของรัฐบาลมากมายได้รับการคิดขึ้นเพื่อระงับกระแสชาตินิยมในเวลส์ ด้วยการผูกมัดเจ้าหญิงเอลิซาเบธให้มีความใกล้ชิดกับเวลส์มากขึ้น อาทิ สถาปนาเจ้าหญิงให้ทรงเป็นผู้ดูแลปราสาทคายร์นาร์วอน ซึ่งในขณะนั้นตำแหน่งผู้ดูแลเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ ด้านเลขาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน มีอีกแผนการหนึ่งคือให้เจ้าหญิงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ (the Welsh League of Youth) ส่วนนักการเมืองชาวเวลส์เสนอให้ถวายตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในวันคล้ายวันประสูติปีที่ 18 ของพระองค์ อย่างไรก็ตามทุกข้อเสนอล้วนถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความกลัวที่ว่าจะนำพระองค์ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารโดยมโนสำนึกในสันนิบาตเยาวชนแห่งเวลส์ ซึ่งในช่วงที่สหราชอาณาจักรอยู่ในภาวะสงครามถูกมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลเสื่อมเสีย ในปี พ.ศ. 2489 ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ชนะและประทับบนบัลลังก์แห่งบาร์ดส์ (Gorsedd of Bards) ในงานเทศกาลไอส์เตดด์วอดแห่งชาติเวลส์ (National Eisteddfod of Wales) ในปี พ.ศ. 2490 เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จเยือนต่างประเทศพร้อมกับพระราชบิดา-มารดาเป็นครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของทวีปแฟริกา ในช่วงการเสด็จเยือน ทรงออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษไปยังประเทศเครือจักรภพเนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติปีที่ 21 ว่า: คำแปล:อภิเษกสมรส อภิเษกสมรส. พระองค์ทรงพบกับเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก พระสวามีในอนาคต เมื่อปี พ.ศ. 2477 และ พ.ศ. 2480 ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกันผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และเป็นพระญาติชั้นที่สามผ่านทางสายพระโลหิตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จากนั้นทรงพบปะกันอีกครั้งที่วิทยาลัยราชนาวีอังกฤษในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 13 พรรษาและทรงยอมรับว่ามีพระเสน่หากับเจ้าชายฟิลิป ทั้งสองพระองค์จึงทรงมีจดหมายและหัตถเลขาถึงกันและกันแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาพิธีหมั้นจึงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 การหมั้นในครั้งนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเนื่องจากเจ้าชายฟิลิปทรงไม่มีฐานะทางการเงินที่แน่นอน ทั้งยังประสูติจากต่างแดน (แม้จะอยู่ใต้บังคับของทางการสหราชอาณาจักรและรับใช้ในราชนาวีอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) รวมถึงการที่พระเชษฐภคินีของเจ้าชายฟิลิปเสกสมรสกับขุนนางชาวเยอรมันผู้มีสายสัมพันธ์กับพรรคนาซี แมเรียน คราวฟอร์ดเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า "ที่ปรึกษาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 บางคนคิดว่าเจ้าชายทรงไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง เป็นเจ้าชายไร้ถิ่นฐาน และหนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังโจมตีอย่างโจ่งแจ้งในประเด็นที่ว่าทรงมีต้นกำเนิดในต่างแดน" ในหนังสือพระราชประวัติช่วงหลัง ๆ กล่าวว่าพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชมารดา ทรงต่อต้านการเสกสมรสในตอนแรก ถึงขนาดที่ทรงเรียกเจ้าชายฟิลิปว่าเป็นพวกเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายพระชนม์ชีพ พระราชินีเอลิซาเบธได้พระราชทานสัมภาษณ์กับนักอัตชีวประวัติ ทิม ฮีลด์ ถึงเจ้าชายฟิลิปไว้ว่าทรงเป็น "สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ" ก่อนการอภิเษกสมรสจะมีขึ้น เจ้าชายฟิลิปสละบรรดาศักดิ์ของกรีซและเดนมาร์ก ทรงเปลี่ยนจากนิกายกรีกออร์โธด็อกซ์มาเข้ารีตนิกายแองกลิคัน และใช้พระยศเป็น "ร้อยเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน" ซึ่งนามสกุลเมาท์แบตเตนเป็นของบรรพบุรุษฝ่ายอังกฤษของพระมารดา ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะมีขึ้นไม่นาน ก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งเอดินบะระชั้น "รอยัลไฮเนส" (เจ้าฟ้า) ทั้งสองพระองค์อภิเษกกันในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และทรงได้รับของขวัญวันอภิเษกสมรสจำนวน 2500 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก และเนื่องจากอังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงคราม เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังคงต้องใช้บัตรปันส่วนในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับตัดฉลองพระองค์ที่จะใช้ในวันอภิเษกซึ่งออกแบบโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ นอกจากนี้สายสัมพันธ์กับชาวเยอรมันของเจ้าชายฟิลิปไม่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนชาวอังกฤษ ผู้ที่เพิ่งจะผ่านพ้นความทุกข์ยากของสงครามมา จึงทำให้พระเชษฐภคินีทั้งสามพระองค์ของเจ้าชายไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในขณะที่ดยุกและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็ไม่ได้รับเชิญให้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีเช่นกัน ทรงให้กำเนิดพระโอรสองค์แรก เจ้าชายชาลส์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 จะทรงมีจดหมายพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โอรสและธิดาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธทุกพระองค์สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ ซึ่งหากมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถใช้บรรดาศักดิ์เป็นเจ้าฟ้าชาย-เจ้าฟ้าหญิงอังกฤษ เพราะในขณะนั้นเจ้าชายฟิลิปได้สละบรรดาศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดไปหมดแล้วและมีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงดยุกเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระธิดาองค์แรกก็มีพระประสูติกาลโดยมีพระนามว่า เจ้าหญิงแอนน์ ภายหลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงเช่าพระตำหนักวินเดิลแชมมัวร์เป็นที่ประทับซึ่งใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ไปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 จากนั้นทรงใช้พระตำหนักแคลเรนซ์เป็นที่ประทับหลายครั้งระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2492 - พ.ศ. 2494 ในขณะนั้นดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามี ทรงประจำการอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ณ มอลตาซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และประทับอยู่ด้วยกันเป็นช่วง ๆ หลายเดือน ณ วิลลาในหมู่บ้านกวาร์ดามังเจียของมอลตา ซึ่งเป็นบ้านพักของลอร์ดเมาท์แบตเตน พระปิตุลาในดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระโอรส-ธิดายังคงประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรพระราชโอรส-ธิดา พระราชโอรส-ธิดา. มีพระราชโอรส-ธิดากับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระรวมทั้งสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้:ครองราชย์พิธีราชาภิเษก ครองราชย์. พิธีราชาภิเษก. ช่วงปี พ.ศ 2494 พระพลานามัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสื่อมถอยลงและบ่อยครั้งที่เจ้าหญิงต้องเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในครั้งที่เสด็จเยือนแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ขณะนั้นทรงพบปะกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มาร์ติน คาร์เตริส ก็ได้จัดทำร่างพระราชดำรัสในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเผื่อกรณีที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตขณะเจ้าหญิงทรงอยู่ต่างประเทศ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2495 เตรียมเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์โดยเสด็จเยือนเคนยาก่อน ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เมื่อเพิ่งเสด็จถึงบ้านพักที่ประทับซากานาลอดจ์ในเคนยา หลังจากที่คืนก่อนหน้าเสด็จไปประทับที่โรงแรมทรีท็อปส์ ข่าวการสวรรคตของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็มาถึงและดยุกแห่งเอดินบะระก็ได้ทรงแจ้งข่าวนี้แก่พระราชินีพระองค์ใหม่ มาร์ติน คาร์เตริส ได้ทูลถามถึงพระปรมาภิไธยที่จะทรงใช้ พระองค์ทรงเลือก "เอลิซาเบธ" เช่นเดิมแน่นอน พระองค์ทรงประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่ทรงเร่งรีบเสด็จกลับสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงเสด็จย้ายเข้าไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมพร้อมกับดยุกแห่งเอดินบะระ ด้วยการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปเป็น ราชวงศ์เมาท์แบตเตน ตามนามสกุลของดยุกแห่งเอดินบะระ และให้เจ้าหญิงทรงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพระราชสวามี อย่างไรก็ตามสมเด็จพระราชินีแมรี พระอัยยิกา และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ เห็นชอบที่จะให้มีการใช้ชื่อราชวงศ์เดิมต่อไป ดังนั้นราชวงศ์วินด์เซอร์จึงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดยุกแห่งเอดินบะระทรงบ่นว่า "เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในประเทศที่ไม่สามารถให้นามสกุลแก่โอรส-ธิดาของพระองค์ได้" ในปี พ.ศ. 2503 หลังจากที่พระราชินีแมรีสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2496 และวินสตัน เชอร์ชิลล์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2498 นามสกุล เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์ จึงใช้แก่ดยุกฟิลิปและกับรัชทายาทบุรุษฝ่ายพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ไม่ได้ถือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ท่ามกลางการตระเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรตกราบทูลพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่าประสงค์ที่จะเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ พ่อหม้ายลูกติดสองคนซึ่งมีอายุมากกว่าพระองค์ 16 ปี พระราชินีนาถจึงทูลขอให้ทรงรอเป็นเวลาหนึ่งปี ตามคำกล่าวของมาร์ติน คาร์เตริสที่กล่าวว่า "พระราชินีนาถทรงมีความเห็นใจต่อเจ้าหญิงมาร์กาเรต แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงหวังไว้ว่าเวลาจะช่วยทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปในที่สุด" ด้านนักการเมืองอาวุโสต่างต่อต้านแนวคิดการเสกสมรสครั้งนี้และคริสตจักรแห่งอังกฤษก็ไม่อนุญาตให้มีการสมรสหลังจากที่หย่าร้างไปแล้ว ซึ่งหากเจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงเข้าพิธีสมรสแบบทางราชการ (การสมรสโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนา) ก็เป็นที่คาดหมายให้สละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติของพระองค์ จนในท้ายที่สุดก็ทรงล้มเลิกแผนการเสกสมรสกับปีเตอร์ ทาวเซินด์ ในปี พ.ศ. 2503 เจ้าหญิงมาร์กาเรตเสกสมรสกับแอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ ผู้ซึ่งในปีถัดมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสโนว์ดอน ทั้งสองหย่าร้างกันในปี พ.ศ. 2521 และเจ้าหญิงมาร์กาเรตก็มิเสกสมรสกับบุคคลใดอีกเลย ทั้งที่สมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม แต่แผนการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ยังคงดำเนินต่อไปตามที่ทรงร้องขอไว้ก่อนเสด็จสวรรคต โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ โดยยกเว้นการถ่ายทอดพิธีเจิมและพิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ ฉลองพระองค์ในพระราชพิธีได้รับการออกแบบและตัดเย็บโดยนอร์มัน ฮาร์ตเนลล์ ซึ่งประดับด้วยลายพรรณพืชของประเทศในเครือจักรภพตามคำแนะนำของพระราชินีนาถ อันประกอบไปด้วย กุหลาบทิวดอร์แห่งอังกฤษ ดอกทริสเติลแห่งสกอตแลนด์ กระเทียมต้นแห่งเวลส์ ดอกแฌมร็อคแห่งไอร์แลนด์ ดอกแวทเทิลแห่งออสเตรเลีย ใบเมเปิลแห่งแคนาดา ใบเฟิร์นสีเงินแห่งนิวซีแลนด์ ดอกโพรทีแห่งแอฟริกาใต้ ดอกบัวหลวงแห่งอินเดียและศรีลังกา รวมไปถึงข้าวสาลี ฝ้าย และปอกระเจาแห่งปากีสถานพระราชินีนาถกับเครือจักรภพ พระราชินีนาถกับเครือจักรภพ. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งประชาชาติตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2495 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรัฐก็สถาปนาขึ้นไว้แล้ว ซึ่งตลอดช่วงปี พ.ศ. 2496 - 2497 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวลาหกเดือน และยังเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและพระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงครองราชย์อยู่ ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2499 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กี มอแล และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์ แอนโทนี อีเดน ร่วมหารือถึงความเป็นไปได้ที่ฝรั่งเศสจะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกเครือจักรภพ แนวคิดดังกล่าวได้รับการปฏิเสธและในปีถัดมาฝรั่งเศสก็ร่วมลงนามในสนธิสัญญาโรมจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งจะนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพยุโรปในภายหลัง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเข้ารุกรานอียิปต์ในความพยายามทางการทหารที่ล้มเหลวในการยึดคลองสุเอซ ลอร์ดเมาท์แบตเตนกล่าวว่าพระราชินีนาถทรงต่อต้านการรุกรานครั้งนั้น ซึ่งเซอร์ แอนโทนีปฏิเสธคำพูดดังกล่าวและลาออกในอีกสองเดือนถัดมา กลไกในการเลือกผู้นำคนใหม่ของพรรคอนุรักษนิยมที่หยุดชะงักลง หมายความว่าหลังการลาออกของเซอร์ แอนโทนี เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่จะต้องทรงเลือกว่าใครควรที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เซอร์ แอนโทนีได้ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ให้ทรงปรึกษากับลอร์ดซอลส์บรี ประธานสภาองคมนตรี ลอร์ดซอลส์บรีและลอร์ดคิลเมียร์ (ขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ก็ได้ไปปรึกษากับคณะรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ และคณะกรรมธิการ 1922 (1922 Committee) จนในที่สุดก็ได้จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เฮโรลด์ แมคมิลแลน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการถวายคำแนะนำมา วิกฤตการณ์คลองสุเอซและการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งของเซอร์ แอนโทนีนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระราชินีนาถครั้งใหญ่ครั้งแรก ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาว่าพระองค์ทรง "กู่ไม่กลับ" ในนิตยสารที่เขาเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการเอง ต่อมาเขาจึงถูกประณามโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงและถูกทำร้ายร่างกายโดยสาธารณชนผู้ตกตะลึงกับคำกล่าวของเขา หกปีถัดมาในปี พ.ศ. 2506 เฮโรลด์ แมคมิลแลน ลาออกและถวายการแนะนำให้ทรงเลือกเซอร์ อเลค ดักลาส-ฮูม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ซึ่งพระองค์ก็ทรงทำตามคำแนะนำ ทำให้พระองค์ถูกวิจารณ์อีกครั้งว่าทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนหรือเพียงคนเดียวเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2508 พรรคอนุรักษนิยมจึงกลับมาใช้กลไกลเลือกตั้งผู้นำพรรคอย่างเป็นทางการ จึงช่วยลดพระราชภาระอันข้องเกี่ยวกับทางการเมืองของพระราชินีนาถลง ในปี พ.ศ. 2500 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ที่ซึ่งทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในนามของเครือจักรภพแห่งชาติ ในครั้งนั้นยังได้เสด็จฯ ไปเปิดการประชุมรัฐสภาแคนาดาสมัยที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งแคนาดาเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดการประชุมของรัฐสภา สองปีถัดมา เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาผู้เดียวในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาอีกครั้ง ที่ซึ่งทรงทราบจากการลงจอดของเครื่องบินที่ประทับ ณ สนามบินเซนต์จอห์นนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ว่าทรงพระครรภ์รัชทายาทองค์ที่สามอยู่ ในปี พ.ศ. 2504 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไซปรัส, อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล และอิหร่าน ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกานาในปีเดียวกัน ทรงเพิกเฉยต่อความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ หลังจากที่ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ก็คือประธานาธิบดีกวาเม อึนกรูมา ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ซึ่งเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนประมุขแห่งรัฐของกานาจากพระราชินีนาถมาเป็นตัวเขาเอง เฮโรลด์ แมคมิลแลน เขียนไว้ว่า "สมเด็จพระราชินีนาถทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ... ทรงอดทนต่อทัศนคติที่มีต่อพระองค์ ที่ปฏิบัติต่อพระองค์ราวกับว่าเป็น ... ดาราภาพยนตร์ ... ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระองค์ประดุจเป็นดังชายชาติบุรุษ ... ทรงรักในพระราชกรณียกิจของพระองค์และทรงเจตนาที่จะเป็นพระราชินีนาถอย่างแน่วแน่" ต่อมาก่อนการเสด็จฯ เยือนควิเบกในปี พ.ศ. 2507 สื่อรายงานข่าวว่าขบวนการแบ่งแยกควิเบกหัวรุนแรงวางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังกล่าวตามที่มีรายงานออกมา มีเพียงการก่อจลาจลระหว่างเสด็จฯ เยือนมอนทรีออล; ครั้งนั้น "ความสุขุมและความกล้าเผชิญหน้ากับความรุนแรง" ของพระองค์ยังคงเป็นที่จดจำ ในช่วงที่ทรงพระครรภ์เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี พ.ศ. 2502 และ พ.ศ. 2506 เป็นช่วงที่ยังมิได้เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภาสหราชอาณาจักรด้วยพระองค์เป็นครั้งแรกในรัชกาลของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มระเบียบประเพณีใหม่ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินพบปะกับประชาชนที่มาเฝ้ารอเสด็จฯ อย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในช่วงของการเสด็จฯ เยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ พ.ศ. 2513 ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เป็นช่วงที่สหราชอาณาจักรมอบเอกราชให้แก่ประเทศแถบทวีปแอฟริกาและแถบทะเลแคริบเบียน มากกว่า 20 ประเทศได้รับเอกราชอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเอง อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2508 นายกรัฐมนตรีแห่งโรดีเซีย เอียน สมิธ ต่อต้านการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักรฝ่ายเดียวในขณะที่ยังคงแสดง "ความจงรักภักดีและความอุทิศตน" ต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แม้ว่าพระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อคำประกาศนี้ในทางสาธารณะก็ตาม ซึ่งปฏิกิริยาจากประชาคมระดับนานาชาติก็คือการคว่ำบาตรต่อโรดีเซีย แม้กระนั้นการบริหารประเทศของเอียน สมิธ ก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้เกือบทศวรรษ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เอ็ดวาร์ด ฮีธ ทูลเกล้าให้ทรงยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลีย ทำให้ทรงต้องเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักร ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ พรรคอนุรักษนิยมของฮีธไม่ได้รับเลือกให้มีเสียงมากที่สุดในสภา แต่ยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ ซึ่งฮีธเลือกที่จะลาออกหลังจากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงมีกระแสรับสั่งให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภา พรรคแรงงานของนายเฮโรลด์ วิลสัน จัดตั้งรัฐบาล ในปีถัดมาในช่วงตึงเครียดที่สุดของวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญออสเตรเลีย พ.ศ. 2518 กอฟ วิทแลม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถูกผู้สำเร็จราชการ เซอร์ จอห์น เคอร์ ปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่วุฒิสภาออสเตรเลียซึ่งฝ่ายค้านมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ผ่านร่างงบประมาณที่เสนอโดยวิทแลม และเนื่องจากวิทแลมมีเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย โฆษกประจำสภาผู้แทนราษฎร กอร์ดอน สโคลส์ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ทรงเพิกถอนคำสั่งปลดของเซอร์ จอห์น เคอร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธฎีกาดังกล่าว โดยตรัสว่าจะมิทรงเข้าแทรกแซงอำนาจการตัดสินใจของผู้สำเร็จราชการแห่งออสเตรเลียซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งออสเตรเลีย วิกฤตการณ์ในครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในออสเตรเลียรัชดาภิเษก รัชดาภิเษก. ในปี พ.ศ. 2520 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชดาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2521 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นิโคไล เชาเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา เชาเชสกู ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก "มือเปื้อนเลือด" ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์: เหตุการณ์แรกคือการเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้กลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คือการลอบสังหารหลุยส์ เมาท์แบตเตน เอิร์ลเมาท์แบตเตนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA) ตามคำกล่าวอ้างของพอล มาร์ติน ซีเนียร์. ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 พระราชินีนาถทรงกังวลว่าสถาบันกษัตริย์ "มีความหมายเพียงน้อยนิด" สำหรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา ปีแยร์ ตรูโด โทนี เบนน์ กล่าวว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ปีแยร์ ตรูโด "ค่อนข้างน่าผิดหวัง" ซึ่งแนวคิดสาธารณรัฐนิยมของปีแยร์เป็นที่แน่ชัดขึ้นจากท่าทีแสดงการล้อเลียนของเขา เช่น การลื่นไถลตัวเขาเองไปตามราวบันใดในพระราชวังบักกิงแฮม และการเต้นบัลเลต์ท่าหมุนรอบตัวเองอยู่ด้านหลังของพระราชินีนาถในปี พ.ศ. 2520 รวมไปถึงการที่เขาถอดถอนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แคนาดาหลายประการตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในปี พ.ศ. 2523 นักการเมืองแคนาดาหลายคนได้รับการส่งไปกรุงลอนดอนในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดา พวกเขาพบว่าพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรง "มีความรู้ความเข้าใจ ... มากกว่านักการเมืองหรือข้าราชการชาวอังกฤษเป็นไหน ๆ " ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยกับการแก้ไขครั้งนี้โดยเฉพาะหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติซี-60 (Bill C-60) ไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอาจมีผลต่อพระราชสถานะประมุขแห่งรัฐของพระองค์ การแก้ไขดังกล่าวเพิกถอนบทบาทของรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคนาดาแต่ยังคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแยร์กล่าวว่าในความทรงจำของเขาพระราชินีนาถทรงเห็นชอบกับความพยายามของเขาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเขาประทับใจใน "พระจริยวัตรอันสง่างามที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน" และ "พระอัจฉริยะภาพอันปราดเปรื่องที่ทรงแสดงเป็นการส่วนพระองค์"คริสต์ทศวรรษ 1980 คริสต์ทศวรรษ 1980. ในช่วงของพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นเวลาเพียงหกสัปดาห์ก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายแห่งเวลส์กับเลดีไดอานา สเปนเซอร์ มีเสียงปืนดังขึ้นหกนัด โดยปืนเล็งไปที่สมเด็จพระราชินีนาถในระยะประชิดขณะทรงม้าไปตามถนนเดอะมอลล์บนม้าทรงชื่อเบอร์มีส ภายหลังตำรวจสืบทราบว่าปืนกระบอกดังกล่าวบรรจุกระสุนเปล่า ผู้ก่อเกตุเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีนามว่า มาร์คัส ซาร์เจนต์ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกห้าปีและได้รับการปล่อยตัวหลังเวลาผ่านไปสามปี นอกจากนี้ความสงบและทักษะด้านการควบคุมม้าทรงของพระองค์ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวสรรเสริญไปทั่ว ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. 2525 ทรงกระวนกระวายพระราชหฤทัย แต่ก็ทรงภูมิใจ ที่พระราชโอรส เจ้าชายแอนดรูว์ทรงรับใช้ชาติในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามฟอล์กแลนด์ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรงตื่นจากพระบรรทมในพระราชวังบักกิงแฮมและพบว่าไมเคิล เฟแกน บุกรุกเข้ามาในห้องพระบรรทม ทรงมีท่าทีสงบและทรงโทรเรียกตำรวจพระราชวังผ่านทางแผงไฟถึงสองครั้ง ทรงพูดคุยกับไมเคิลผู้ซึ่งนั่งอยู่ปลายแท่นพระบรรทมอยู่นานเจ็ดนาทีก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง แม้ว่าจะทรงให้การต้อนรับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ในปี พ.ศ. 2525 และเคยเสด็จฯ ไปเยือนบ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี พ.ศ. 2526 แต่ก็ทรงกริ้วอย่างมากเมื่อคณะทำงานของประธานาธิบดีเรแกนมีคำสั่งบุกเกรนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเครือจักรภพโดยไม่ได้มีการแจ้งให้พระองค์ทราบ ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดความสนใจอย่างแรงกล้าของสื่อมวลชนในพระราชอัธยาศัยและพระราชกิจวัตรประจำวันของพระบรมวงศานุวงศ์ นำไปสู่การเผยแพร่เรื่องราวเหลือเชื่อมากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่นที่เคลวิน แมคเคนซี บรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์ เดอะซัน กล่าวกับลูกน้องของเขาว่า "เอาข่าวสาดโคลนเกี่ยวกับราชวงศ์สำหรับตีพิมพ์วันจันทร์มาให้ฉันทีสิ ไม่ต้องห่วงถ้าข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง ตราบใดที่ช่วงหลังมานี้ยังคงไม่มีข่าวซุบซิบราชวงศ์ออกมา" ด้านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โดนัลด์ เทรลฟอร์ดเขียนในหนังสือพิมพ์ ดิออบเซิร์ฟเวอร์ ฉบับวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2529 ว่า "ละครน้ำเน่าเกี่ยวกับพระราชวงศ์บัดนี้ได้มาถึงจุดที่เส้นแบ่งระหว่างข้อเท็จจริงกับนิยายถูกเลือนหาย ... ไม่ใช่เพียงแค่บางหนังสือพิมพ์ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือรับฟังข้อโต้แย้ง แต่พวกเขายังไม่สนใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่อีกด้วย" ในหนังสือพิมพ์ เดอะซันเดย์ไทมส์ ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 มีรายงานข่าวอันโด่งดังว่าพระราชินีนาถกังวลพระราชหฤทัยในนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมตรีหญิง มาร์กาเรต แทตเชอร์ ว่าจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่างเช่น อัตราการว่างงานที่สูง การก่อจลาจลหลายระลอก ความรุนแรงจากกลุ่มคนงานเหมืองที่ประท้วงนัดหยุดงาน รวมไปถึงการที่มาร์กาเรตปฏิเสธการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ โดยข่าวลือนี้มีที่มาจากเสนาธิการประจำราชสำนัก ไมเคิล ชีอา และผู้สำเร็จราชการประจำเครือจักรภพ ไชร์ดาท แรมพัล แต่ไมเคิลอ้างว่าคำกล่าวของเขาผิดเพี้ยนไปจากบริบทและถูกเสริมแต่งจากการคาดการณ์ส่วนตัว ต่อมาคำกล่าวของมาร์กาเรตก็เป็นที่โจทก์ขานกันไปทั่วเมื่อเธอกล่าวว่า "สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งของเธอ นักชีวประวัติของมาร์กาเรต แทตเชอร์ จอห์น แคมป์เบล อ้างว่า "รายงานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเสื่อมเสียจากการสื่อสารมวลชน" ซึ่งเกิดจากการที่สื่อรายงานผิดเพี้ยนจากความจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์จึงแสดงความชื่นชมของเธอที่มีต่อพระราชินีนาถออกมา และหลังจากที่มาร์กาเรต แทตเชอร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีจอห์น เมเจอร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมริตและเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แด่มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นของขวัญพระราชทาน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ไบรอัน มัลรอนีย์ กล่าวว่าพระองค์เป็น "พลังขับเคลื่อนเบื่องหลัง" ในการยุติการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2530 ในแคนาดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสว่าทรงสนับสนุนข้อตกลงมีชเลค (Meech Lake Accord) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สร้างความแตกแยกทางการเมือง เป็นข้อตกลงที่โน้มน้าวให้รัฐควิเบกยอมรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2525 และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแคนาดาต่อไป ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีปีแยร์ ตรูโด ในปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของฟิจิถูกรัฐประหารโดยกองทัพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ฟิจิ ให้การสนับสนุนผู้สำเร็จราชการแห่งฟิจิ เพเนเอีย กานิเลา ในการพยายามเจรจาประนีประนอมและยันยันถึงสิทธิ์อันชอบธรรมของรัฐบาล แต่ผู้นำการปฏิวัติ ซิติเวนี ราบูกา กลับเนรเทศผู้สำเร็จราชการและประกาศให้ฟิจิเป็นสาธารณรัฐ ต่อมาในช่วงต้นของปี พ.ศ. 2534 แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจากรายงานตัวเลขคาดการณ์พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถซึ่งถูกโต้แย้งโดยสำนักพระราชวัง รวมไปถึงข่าวชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ นอกจากนี้ความเกี่ยวข้องกับเกมโชว์การกุศล อิตส์รอยัลน็อคเอาต์ ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ได้รับการเย้ยหยัน และสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงตกเป็นเป้าของการเสียดสีล้อเลียนคริสต์ศตวรรษ 1990 คริสต์ศตวรรษ 1990. ในปี พ.ศ. 2534 ช่วงที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาอีกครั้งและเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่ได้มีพระราชดำรัสแก่ที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในพระราชดำรัสวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เนื่องในวโรกาสครองราชสมบัติครบ 40 ปี ทรงกล่าวว่าปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เป็น แอนนัสฮอริบิลิส (; ปีแห่งความเลวร้าย) ของพระองค์เนื่องจากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ดังนี้: ในเดือนมีนาคม พระราชโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแอนดรูว์ทรงหย่าร้างกับซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก ต่อมาในเดือนเมษายน เจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี ก็ทรงหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ก ฟิลลิปส์; ในช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเยอรมนีในเดือนตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงผู้โกรธแค้นในเดรสเดินปาไข่ไก่ใส่พระองค์ สาเหตุมาจากปมการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดรสเดินช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 25,000 คน; ในเดือนพฤศจิกายน พระราชวังวินด์เซอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากเหตุอัคคีภัย ด้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับเสียงวิพากษวิจารณ์และการจับจ้องจากสาธารณชนมากขึ้น ในพระราชดำรัสส่วนพระองค์ซึ่งค่อนข้างจากผิดแปลกไปจากปกติ ทรงกล่าวว่าทุก ๆ สถาบันล้วนแล้วแต่ต้องได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เว้นแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรกระทำขึ้นบนพื้นฐานของ "อารมณ์ขัน, ความนุ่มนวล และความเข้าอกเข้าใจ" สองวันถัดมา นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ ประกาศแผนปฏิรูปการเงินของพระราชวงศ์ซึ่งตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ในแผนดังกล่าวประกอบด้วยการปฏิรูปต่าง ๆ เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถจะต้องทรงชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นไป และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับพระมหากษัตริย์ (Civil list) ในเดือนธันวาคม เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ และไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแยกกันอย่างเป็นทางการ ในช่วงวันท้าย ๆ ของปี พ.ศ. 2535 สมเด็จพระราชินีนาถทรงฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ เดอะซัน ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ร่างกระแสพระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสองวันก่อนการออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ศาลตัดสินให้หนังสือพิมพ์จ่ายเงินชดเชยแก่พระองค์ตามกฎหมายและบริจาคเงินให้การกุศลกว่า 200,000 ปอนด์ ในปีถัดมาการเปิดเผยเรื่องราวของเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาต่อสาธารณชนยังคงดำเนินต่อไป ด้านการเมืองแม้ว่ากระแสสาธารณรัฐนิยมจะมีมากกว่าช่วงใด ๆ ในความทรงจำของพระองค์ แต่ประชาชนที่มีแนวคิดเช่นนี้ก็ยังคงเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของสังคม อีกทั้งการยอมรับสมเด็จพระราชินีนาถของสังคมก็ยังคงมีอยู่สูง การวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนจากการจับจ้องแต่เพียงพระราชจริยวัตรและพระราชอัธยาศัยของพระราชินีนาถมาเป็นการจับจ้องสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในภาพรวม ในปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 หลังจากทรงปรึกษากับนายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์, อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี จอร์จ เครีย์, ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ส และเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามี จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาว่าโปรดจะให้มีการหย่าร้างอย่างเป็นทางการ หนึ่งปีหลังจากการหย่าร้างซึ่งมีขึ้นในปี พ.ศ. 2539 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งพระราชินีนาถทรงอยู่ระหว่างการพักร้อนที่ปราสาทบาลมอรัลกับพระราชโอรสและพระราชนัดดา ในขณะนั้นพระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงไดอานาโปรดที่จะเสด็จไปยังโบสถ์ ดังนั้นพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปจึงนำเสด็จฯ ไปยังโบสถ์ในตอนเช้า หลังจากการปรากฏพระองค์ในครั้งนั้น ห้าวันต่อมาพระราชินีนาถและเจ้าชายฟิลิปก็ทรงปิดกั้นพระนัดดาทั้งสองจากสื่อที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์นี้อย่างล้นหลาม โดยประทับ ณ ปราสาทบาลมอรัลที่ซึ่งจะได้ใช้เวลาแห่งความโศกเศร้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่การปิดกั้นตัวเองจากสาธารณชนของพระบรมวงศานุวงศ์และการที่พระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ลดธงลงครึ่งเสาสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอย่างมาก ต่อมาหลังจากที่ทรงรับทราบกระแสความไม่พอใจ พระราชินีนาถจึงเสด็จฯ กลับลอนดอนและมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนซึ่งแพร่ภาพสดไปทั่วโลกในวันที่ 5 กันยายน หนึ่งวันก่อนพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอานาจะมีขึ้น ในกระแสพระราชดำรัสทรงกล่าวชื่นชมเจ้าหญิงไดอานาและความรู้สึกในฐานะ "พระอัยยิกา" ของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เป็นผลให้กระแสความไม่พอใจของสาธารณชนที่มีต่อพระบรมวงศานุวงศ์คลี่คลายลงกาญจนาภิเษก กาญจนาภิเษก. ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน พระขนิษฐา สิ้นพระชนม์ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในเดือนมีนาคม ทำให้สื่อตั้งคำถามว่าพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปีนี้จะประสบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว และเป็นอีกครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเครือจักรภพ โดยเริ่มต้นขึ้นที่จาเมกาในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ซึ่งตรัสเรียกการเสด็จฯ ครั้งนั้นว่า "เป็นที่จดจำ" หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องจนมืดสนิทไปทั่วบริเวณงานเลี้ยงส่งเสด็จฯ ณ พระตำหนักคิงส์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของผู้สำเร็จราชการแห่งจาเมกา ในงานเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 50 ปีในครั้งนี้ มีการเฉลิมฉลองและงานเลี้ยงสังสรรค์บนท้องถนนมากมายเช่นเดียวกับครั้งที่เฉลิมฉลองพระราชพิธีรัชดาภิเษกในปี พ.ศ. 2520 มีอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการเฉลิมฉลองในครั้งนี้มากมาย และประชาชนกว่าล้านคนออกมาเฉลิมฉลองในงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการสามวันของกรุงลอนดอน ซึ่งความสนใจของประชาชนต่อพระราชินีนาถและพระราชพิธีนี้มีมากกว่าที่สื่อส่วนมากคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอดช่วงพระชนม์ชีพ แต่ในปี พ.ศ. 2546 ทรงเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องบริเวณพระชานุ (เข่า) ทั้งสองข้าง ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ก็มิได้เสด็จฯ ไปในงานเปิดสนามเอมิเรตส์สเตเดียมด้วยเพราะทรงมีอาการกล้ามพระปฤษฎางค์ (กล้ามเนื้อหลัง) รัดแน่น ซึ่งทรงมีอาการดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน สองเดือนต่อมา เสด็จฯ ออกปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนโดยมีแถบปิดแผลที่บริเวณพระหัตถ์ขวา ทำให้สื่อคาดการณ์กันถึงพระพลานามัยที่เสื่อมลง ต่อมาก็ทรงถูกกัดโดยหนึ่งในสุนัขพันธุ์คอร์กีที่ทรงเลี้ยงไว้เพราะทรงพยายามแยกสุนัขทรงเลี้ยงทั้งสองขณะกำลังกัดกันออกจากกัน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 หนังสือพิมพ์ เดอะเดลีย์เทเลกราฟ รายงานอ้างจากแหล่งข่าวผู้ประสงค์จะไม่ออกนามว่าพระราชินีนาถทรง "ขุ่นเคืองและผิดหวัง" จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ และกังวลพระทัยจากการที่กองทัพสหราชอาณาจักรเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถานมากเกินไป อีกทั้งยังกังวลพระทัยจากประเด็นปัญหาในแถบชนบทและทุรกันดารกับโทนี แบลร์ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทรงชื่นชมโทนี แบลร์ ในความพยายามแสวงหาสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือของเขา ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551 ณ มหาวิหารเซนต์แทริค อาร์มาจ์ ของคริสจักรแห่งไอร์แลนด์ ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ (Royal Maundy) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกอังกฤษและเวลส์ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 เสด็จพระราชดำเนินเยือนไอร์แลนด์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีแมรี แมคอาลีส์ ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2553 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น "เสาหลักสำหรับยุคของเรา" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "การเสด็จฯ เยือนอำลา" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้วพัชราภิเษกและปัจจุบัน พัชราภิเษกและปัจจุบัน. ในปี พ.ศ. 2555 เป็นปีที่ทรงเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (พระราชพิธีพัชราภิเษกแบบอังกฤษ) ซึ่งจัดขึ้นในทุกประเทศเครือจักรภพ ในกระแสพระราชดำรัสที่เผยแพร่ในวันคล้ายวันเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงกล่าวว่า: "ในปีแห่งความพิเศษนี้ ขณะที่ข้าพเจ้าอุทิศตัวเองรับใช้พวกท่านทั้งหลายอีกครั้ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะยังคงระลึกถึงพลานุภาพของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และการรวบรวมพละกำลังของครอบครัว, มิตรภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ... ข้าพเจ้าหวังว่าในปีพัชราภิเษกนี้จะเป็นปีสำหรับการมอบคำขอบคุณสำหรับความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2495 และมองไปยังอนาคตด้วยหัวสมองอันปลอดโปร่งและหัวใจอันอบอุ่น" พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนไปทั่วสหราชอาณาจักร ในขณะที่พระราชโอรส-ธิดาและพระราชนัดดาหลายพระองค์ เสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ในพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถ ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน ดวงประทีปแห่งการเฉลิมฉลองก็จุดขึ้นทั่วโลก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 27 กรกฎาคม และพาราลิมปิกฤดูร้อน 2012 ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงร่วมแสดงคู่กับแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์สั้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ด้านพระราชบิดา สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงเคยเปิดการแข่งกันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 ส่วนพระปัยกา (ปู่ทวด) สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงเคยเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1976 ที่นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดามาแล้วครั้งหนึ่ง ด้านพระราชสวามี เจ้าชายฟิลิป ก็เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียด้วยเช่นกัน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระประมุขแห่งรัฐพระองค์แรกที่ได้ทรงเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้งใน 2 ประเทศ ในวันที่ 18 ธันวาคม เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปร่วมการประชุมของคณะรัฐมนตรีในสภาวะไร้สงครามนับตั้งแต่การเสด็จฯ ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในปี พ.ศ. 2324 ต่อมาไม่นานรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร วิลเลียม เฮก ก็ประกาศให้ดินแดนตอนใต้ของดินแดนแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเป็น เอลิซาเบธแลนด์ เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถ ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 เสด็จฯ ไปประทับในโรงพยาบาลเพื่อการเฝ้าประเมินอย่างใกล้ชิด หลังจากการกำเริบของพระอาการประชวรด้วยโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังบักกิงแฮมในวันถัดมา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎบัตรใหม่ของเครือจักรภพ เนื่องจากพระชนมพรรษาที่มากขึ้นทำให้ต้องจำกัดการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในปีนั้นเอง พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จฯร่วมการประชุมรัฐบาลของเครือจักรภพเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยทรงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าชายชาลส์ เสด็จฯแทนพระองค์ในการประชุมที่ศรีลังกา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ ทรงเป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ "ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงเป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี พระองค์ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติ แม้ว่าสัดส่วนของพระราชกรณียกิจสาธารณะของเจ้าชายชาลส์ ผู้ทรงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 91 พรรษาและปฏิบัติพระราชกรณียกิจสาธารณะแทนพระองค์เพิ่มขึ้น ขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถลดพระราชกรณียกิจสาธารณะของพระองค์ลง แผนสำหรับวันสวรรคตและงานพระศพของพระองค์ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างแพร่หลายจากรัฐบาลอังกฤษและองค์กรสื่อมุมมองจากสาธารณชน มุมมองจากสาธารณชน. เนื่องจากพระองค์พระราชทานสัมภาษณ์น้อยครั้งทำให้สาธารณชนทราบถึงพระราชอัธยาสัยส่วนพระองค์ได้น้อยมาก และในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถแสดงทัศนะทางการเมืองส่วนพระองค์ในที่สาธารณะได้ ทรงมีพันธกิจด้านศาสนาและสังคมที่หยั่งรากลึกในพระราชหฤทัย อีกทั้งยังทรงกล่าวพระราชดำรัสสาบานพระองค์ในวันขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติอย่างจริงจัง นอกเหนือจากการที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์ยังทรงเลื่อมใสในคริสตจักรแห่งอังกฤษและคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย และยังทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อศาสนาอื่น ๆ ด้วยการพบปะกับผู้นำนิกายและศาสนาต่าง ๆ เช่น การที่ทรงพบปะกับพระสันตะปาปาถึงสามพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 และสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาของพระองค์ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในพระราชดำรัสผ่านทางโทรทัศน์เนื่องในวันคริสต์มาสต์ซึ่งถ่ายทอดไปยังประเทศเครือจักรภพเป็นประจำทุกปี เช่นในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ที่มีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของคริสต์สหัสวรรษที่ 2 อันเป็นปีที่การประสูติของพระเยซูครบรอบ 2000 ปี ดังนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์กรและมูลนิธิต่างๆ มากกว่า 600 แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยโดยหลัก ๆ ได้แก่ การขี่ม้าและสุนัขทรงเลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์เพ็มโบรคเวลช์คอร์กี ความสนพระราชหฤทัยในสุนัขพันธุ์คอร์กีนี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2476 กับสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ "ดูกี" ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์คอร์กีตัวแรกที่พระราชวงศ์ของพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ทรงตระเตรียมพระกระยาหารด้วยกันและทรงล้างจานด้วยกันหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการกล่าวขานราวกับเป็น "ราชินีในเทพนิยาย" ภายหลังความชอกช้ำจากสงครามโลก อังกฤษก็เข้าสู่ยุคแห่งความหวัง เป็นช่วงสมัยของการพัฒนาและความสำเร็จที่ได้รับการขนานนามว่า "สมัยเอลิซาเบธใหม่" ลอร์ดอัลตรินแชมกล่าวหาพระราชดำรัสของพระองค์ในปี พ.ศ. 2500 ว่าฟังเหมือนกับเสียงของ "เด็กนักเรียนหญิงผู้โอ้อวด" ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่พบได้น้อยครั้งมาก ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1960 มีความพยายามมากขึ้นในการสร้างภาพราชวงศ์ยุคใหม่ในสารคดีโทรทัศน์เรื่อง "รอยัลแฟมิลี" ซึ่งอำพรางเจ้าชายชาลส์ด้วยพระนาม "เจ้าชายแห่งเวลส์" พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงฉลองพระองค์ในที่สาธารณะด้วยฉลองพระองค์ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเดียวพร้อมด้วยพระมาลา (หมวก) ประดับลูกไม้ ทำให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นพระองค์ได้โดยง่าย ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก พ.ศ. 2520 ฝูงชนและการเฉลิมฉลองนับว่ามีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง แต่ถัดมาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เสียงวิพากษ์วิจารณ์พระราชวงศ์เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตการทรงงานของบรรดาพระราชโอรส-พระราชธิดาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของสื่อ ความนิยมของประชาชนต่อสมเด็จพระราชินีนาถตกต่ำถึงขีดสุดในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และด้วยแรงกดดันจากความคิดเห็นของสาธารณชน พระองค์จึงทรงเริ่มชำระภาษีเงินได้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่พระราชวังบักกิงแฮมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม ความไม่พอใจต่อระบอบกษัตริย์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเมื่อไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ แม้กระนั้นก็ตาม ความนิยมในสมเด็จพระราชินีนาถและแรงสนับสนุนในระบอบกษัตริย์ก็ฟื้นคืนกลับมาหลังพระองค์มีพระราชดำรัสถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ 5 วัน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 มีการลงประชามติในออสเตรเลียว่าด้วยอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ผลที่ออกมาได้บ่งบอกถึงความต้องการที่จะรักษาไว้ซึ่งประมุขของประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากการสำรวจความคิดเห็นในสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2550 พบว่ายังคงมีแรงสนับสนุนในสมเด็จพระราชินีนาถอยู่มาก ส่วนผลการลงประชามติในตูวาลู พ.ศ. 2551 และการลงประชามติในเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ พ.ศ. 2552 ยืนยันถึงความต้องการของทั้งสองประเทศที่ปฏิเสธการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐการเงิน การเงิน. การติดตามพระราชทรัพย์ส่วพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ดำเนินมาหลายปี นิตยสารฟอร์บประเมินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี พ.ศ. 2553 ว่ามีมูลค่าสุทธิราว 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แถลงการณ์สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในปี พ.ศ. 2536 กล่าวว่าการประเมินพระราชทรัพย์ไว้ที่ 100 ล้านปอนด์นั้นเป็น "การกล่าวเกินจริงอย่างมากมาย" จ็อค โคลวิลล์ อดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์และอดีตผู้อำนวยการธนาคารส่วนพระองค์ คุตส์ (Coutts) ประเมินทรัพย์สินส่วนพระองค๋ในปี พ.ศ. 2514 ไว้ที่ 2 ล้านปอนด์ (เทียบเท่าประมาณ 21 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน) องค์สมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้ทรงครอบครองงานสะสมศิลปะหลวง (ซึ่งรวมถึงงานศิลปะและเครื่องราชกกุธภัณฑ์) แต่มีการถือครองตามกฎหมายทรัสต์ ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประทับอย่างพระราชวังบักกิงแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์ และดัชชีแลงแคสเตอร์ มีมูลค่าในปี พ.ศ. 2554 ที่ 383 ล้านปอนด์ ส่วนพระตำหนักซานดริงแฮมและปราสาทแบลมอรัลองค์สมเด็จพระราชินีนาถทรงถือครองเป็นการส่วนพระองค์ พระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (The British Crown Estate) ซึ่งมีมูลค่าในปี พ.ศ. 2554 รวมกันทั้งสิ้น 7.3 พันล้านปอนด์ ได้รับการถือครองไว้ในกฎหมายทรัสต์ไว้เป็นสมบัติของชาติ สมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่สามารถจำหน่ายพระราชทรัพย์เหล่านี้ได้เป็นการส่วนพระองค์พระราชอิสริยยศและตราอาร์มพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศและตราอาร์ม. พระราชอิสริยยศ. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศและตำแหน่งทางการทหารในประเทศเครือจักรภพมากมาย เป็นผู้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในประเทศของพระองค์ ทรงได้รับการถวายพระเกียรติและรางวัลมากมายจากทั่วโลก และมีพระราชอิสริยยศเป็นการเฉพาะในแต่ละประเทศ เช่น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งจาเมกา, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลีย ฯลฯ เป็นต้น ทรงดำรงตำแหน่งลอร์ดแห่งแมนในเกาะแมน และดยุกแห่งนอร์ม็องดีในหมู่เกาะแชนเนล ซึ่งทั้งสองเป็นดินแดนปกครองตนเองของสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังทรงดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่น อัครศาสนูปถัมภก และดยุกแห่งแลงแคสเตอร์ เมื่อพระราชินีนาถมีพระราชปฏิสันธานกับเรา ควรเริ่มเอ่ยถึงพระองค์ด้วยคำว่า "ฝ่าพระบาท" (Your Majesty) หลังจากนั้นจึงค่อยใช้คำว่า "ท่าน" (Ma'am) ในการกล่าวถึงพระองค์ ลำดับบรรณดาศักดิ์ที่ทรงได้รับตลอดช่วงพระชนม์ชีพมีดังต่อไปนี้ :- 21 เมษายน พ.ศ. 2469 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก (Her Royal Highness Princess Elizabeth of York) - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth) - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ดัชเชสแห่งเอดินบะระ (Her Royal Highness The Princess Elizabeth, Duchess of Edinburgh) - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495: สมเด็จพระราชินีนาถ (Her Majesty The Queen)ตราอาร์ม ตราอาร์ม. ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2487 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียนสีเงินสามพู่ พู่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ส่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแห่งเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตราอาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบครองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เพื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆพระราชวงศ์
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้นกี่พระองค์
{ "answer": [ "4" ], "answer_begin_position": [ 16429 ], "answer_end_position": [ 16430 ] }
2,150
70,915
มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (Princess Mother's Medical Volunteer - PMMV) ชื่อย่อ พอ.สว. เป็นกิจการแพทย์ที่ตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ได้ทรงพบเห็นความยากลำบากของราษฎร ในด้านการสาธารณสุข ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน ตามจังหวัดชายแดน ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 ในอดีต ราษฎรที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์เท่าที่ควร เนื่องการเดินทางยากลำบาก บางครั้งต้องรอจนอาการหนัก จึงเดินทางมารักษาในโรงพยาบาลจังหวัด บางครั้ง อาการก็หนักเกินกว่าจะรักษา หรือโรคที่ไม่ได้เจ็บป่วยมากมาย กลับเรื้อรังจนต้องพิการทุพพลภาพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงตั้งกิจการแพทย์อาสาเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ขณะทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยในเบื้องต้น ประกอบด้วยแพทย์และพยาบาล อาสาสมัครจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิค และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หน่วยแพทย์อาสาออกปฏิบัติการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ และไปเช้าเย็นกลับในวันเดียวกัน โดยใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นยานพาหนะหลัก ในแต่ละหน่วยประกอบด้วย แพทย์ 2 คน ทันตแพทย์ 1 คน เภสัชกรหรือพยาบาลที่มีความรู้เรื่องยา 1 คน พยาบาล 3 คน และอาสาสมัครสมทบ 1 คน ทั้งหมดนี้ อาสาทำงานโดยไม่มีรายได้ตอบแทน มีภูมิลำเนาหรือรับราชการอยู่ในจังหวัดนั้นๆ อาสาสมัคร พอ.สว. ทุกคนจะสวมเสื้อสีเทา กระเป๋าเสื้อสีเขียว มีเครื่องหมายของหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประชาชนจะเรียกขานอาสาสมัครเหล่านี้ว่า หมอกระเป๋าเขียว แม้แต่ผู้ที่มีอุดมการณ์ต่างกันในบางพื้นที่ ยังยกเวันการทำร้าย "หมอกระเป๋าเขียว" ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา หน่วยแพทย์อาสา พอ.สว. แบ่งออกเป็น 2 หน่วย คือ- หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2512 ทำหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่นทุรกันดาร โดยได้รับการสนับสนุนด้านพาหนะจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ หรือกรมตำรวจ ในแต่ละพื้นที่นั้น - หน่วยแพทย์ทางวิทยุ พอ.สว. จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 มีทั้งสิ้นใน 24 จังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สำนักงานกลาง วังสระปทุม จังหวัดที่มีกิจการแพทย์อาสา เรียกว่า จังหวัดแพทย์อาสา ทรงวางกฎเกณฑ์ไว้ว่า จังหวัดที่ต้องการตั้งหน่วยแพทย์อาสา ควรจะเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกับชายแดน หรือการคมนาคมไม่สะดวก มีที่ทุรกันดาร หรือจำเป็นต้องอาศัยกิจการแพทย์อาสา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมด้วยคณะแพทย์ของจังหวัดนั้นๆ ขอพระราชทานตั้งจังหวัดของตนเป็นจังหวัดแพทย์อาสาเสียก่อน เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม จึงจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นจังหวัดแพทย์อาสา จังหวัดแรกที่มีกิจการแพทย์อาสา คือ จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน มีจังหวัดแพทย์อาสา ทั้งสิ้น 45 จังหวัด กำหนดวางแผนการทำงานโดย คณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะกรรมการ พอ.สว. ประจำจังหวัดโดยตำแหน่ง การติดต่อ ประสานงานในการปฏิบัติการทุกครั้ง ควบคุมโดย สำนักงานกลาง พอ.สว. ตั้งอยู่ที่วังสระปทุม ภายใต้การควบคุมของ คณะกรรมการกลาง ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นองค์ประธานด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรับเป็นองค์ประธาน มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อสืบต่อพระราชภารกิจของพระชนนี โดยมี นายแพทย์ประมุข จันทวิมล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ พลเรือเอก หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช เป็นประธานมูลนิธิ ในปัจจุบัน หลังจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในการบำบัดทุกบำรุงสุขแก่ราษฎรด้านการแพทย์และสาธารณสุขสืบต่อไป โดยเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดแรก ระหว่างวันที่ 26 - 28 กันยายน พ.ศ. 2552
มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีชื่อย่อว่าอะไร
{ "answer": [ "พอ.สว." ], "answer_begin_position": [ 266 ], "answer_end_position": [ 272 ] }
2,152
70,915
มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (Princess Mother's Medical Volunteer - PMMV) ชื่อย่อ พอ.สว. เป็นกิจการแพทย์ที่ตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ได้ทรงพบเห็นความยากลำบากของราษฎร ในด้านการสาธารณสุข ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน ตามจังหวัดชายแดน ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 ในอดีต ราษฎรที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์เท่าที่ควร เนื่องการเดินทางยากลำบาก บางครั้งต้องรอจนอาการหนัก จึงเดินทางมารักษาในโรงพยาบาลจังหวัด บางครั้ง อาการก็หนักเกินกว่าจะรักษา หรือโรคที่ไม่ได้เจ็บป่วยมากมาย กลับเรื้อรังจนต้องพิการทุพพลภาพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงตั้งกิจการแพทย์อาสาเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ขณะทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยในเบื้องต้น ประกอบด้วยแพทย์และพยาบาล อาสาสมัครจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิค และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หน่วยแพทย์อาสาออกปฏิบัติการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ และไปเช้าเย็นกลับในวันเดียวกัน โดยใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นยานพาหนะหลัก ในแต่ละหน่วยประกอบด้วย แพทย์ 2 คน ทันตแพทย์ 1 คน เภสัชกรหรือพยาบาลที่มีความรู้เรื่องยา 1 คน พยาบาล 3 คน และอาสาสมัครสมทบ 1 คน ทั้งหมดนี้ อาสาทำงานโดยไม่มีรายได้ตอบแทน มีภูมิลำเนาหรือรับราชการอยู่ในจังหวัดนั้นๆ อาสาสมัคร พอ.สว. ทุกคนจะสวมเสื้อสีเทา กระเป๋าเสื้อสีเขียว มีเครื่องหมายของหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประชาชนจะเรียกขานอาสาสมัครเหล่านี้ว่า หมอกระเป๋าเขียว แม้แต่ผู้ที่มีอุดมการณ์ต่างกันในบางพื้นที่ ยังยกเวันการทำร้าย "หมอกระเป๋าเขียว" ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา หน่วยแพทย์อาสา พอ.สว. แบ่งออกเป็น 2 หน่วย คือ- หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2512 ทำหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนที่ด้อยโอกาสในท้องถิ่นทุรกันดาร โดยได้รับการสนับสนุนด้านพาหนะจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ หรือกรมตำรวจ ในแต่ละพื้นที่นั้น - หน่วยแพทย์ทางวิทยุ พอ.สว. จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 มีทั้งสิ้นใน 24 จังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สำนักงานกลาง วังสระปทุม จังหวัดที่มีกิจการแพทย์อาสา เรียกว่า จังหวัดแพทย์อาสา ทรงวางกฎเกณฑ์ไว้ว่า จังหวัดที่ต้องการตั้งหน่วยแพทย์อาสา ควรจะเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกับชายแดน หรือการคมนาคมไม่สะดวก มีที่ทุรกันดาร หรือจำเป็นต้องอาศัยกิจการแพทย์อาสา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมด้วยคณะแพทย์ของจังหวัดนั้นๆ ขอพระราชทานตั้งจังหวัดของตนเป็นจังหวัดแพทย์อาสาเสียก่อน เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม จึงจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นจังหวัดแพทย์อาสา จังหวัดแรกที่มีกิจการแพทย์อาสา คือ จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงปัจจุบัน มีจังหวัดแพทย์อาสา ทั้งสิ้น 45 จังหวัด กำหนดวางแผนการทำงานโดย คณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะกรรมการ พอ.สว. ประจำจังหวัดโดยตำแหน่ง การติดต่อ ประสานงานในการปฏิบัติการทุกครั้ง ควบคุมโดย สำนักงานกลาง พอ.สว. ตั้งอยู่ที่วังสระปทุม ภายใต้การควบคุมของ คณะกรรมการกลาง ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นองค์ประธานด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรับเป็นองค์ประธาน มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อสืบต่อพระราชภารกิจของพระชนนี โดยมี นายแพทย์ประมุข จันทวิมล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ พลเรือเอก หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช เป็นประธานมูลนิธิ ในปัจจุบัน หลังจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในการบำบัดทุกบำรุงสุขแก่ราษฎรด้านการแพทย์และสาธารณสุขสืบต่อไป โดยเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดแรก ระหว่างวันที่ 26 - 28 กันยายน พ.ศ. 2552
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2512" ], "answer_begin_position": [ 1733 ], "answer_end_position": [ 1737 ] }
2,153
155,491
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร พระเจ้าจอร์จที่ 6 (; 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 — 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์วินด์เซอร์ และเครือจักรภพอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1936 ถึงปี ค.ศ. 1952 เป็นจักรพรรดิอินเดียพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1947) และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไอร์แลนด์พระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1949) สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ณ ตำหนักซานดริงแฮม นอร์โฟลกในอังกฤษ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และครองราชย์ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 ที่พระราชวังวินด์เซอร์ บาร์คเชอร์ สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 มิได้เป็นที่หวังว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินและทรงใช้เวลาสมัยแรกอยู่เบื้องหลังสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 พระเชษฐา ทรงรับราชการในราชนาวีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังสงครามแล้วก็ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่าง ๆ ในสังคม ต่อมาเสกสมรสกับเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออนในปี ค.ศ. 1923 และมีพระราชธิดาสองพระองค์คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1936 พระเชษฐาก็ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แต่ไม่ทันถึงปีพระเจ้าเอดเวิร์ดก็มีพระประสงค์ที่จะแต่งงานกับนางวอลลิส ซิมพ์สัน สตรีหม้ายชาวอเมริกัน แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางศาสนาสแตนลีย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรถวายคำแนะนำว่าการที่จะอภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สันแล้วยังเป็นพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 จึงทรงสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน เจ้าชายอัลเบิร์ตซึ่งเป็นดยุกแห่งยอร์กในขณะนั้นจึงทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สามในราชวงศ์วินด์เซอร์ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ต่อจากพระเชษฐาซึ่งนักวิชาการได้สันนิษฐานว่าการใช้พระนามจอร์จนั้นเป็นกุศโลบายเพื่อให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนักในการเสวยราชสมบัติของพระองค์ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากทรงขึ้นครองราชย์รัฐสภาเสรีรัฐไอร์แลนด์ก็ผ่าน “รัฐบัญญัติความสัมพันธ์ภายนอก” (External Relations Act 1936) ซึ่งยกเลิกอำนาจพระมหากษัตริย์ในไอร์แลนด์ เหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์ได้แก่: 3 ปึหลังจากทรงขึ้นครองราชย์ราชอาณาจักรของพระองค์นอกจากไอร์แลนด์เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อต้านนาซีเยอรมนี สองปีต่อมาก็เข้าสงครามต่อต้านราชอาณาจักรอิตาลีและหลังจากนั้นจักรวรรดิญี่ปุ่น ผลจากสงครามคือการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิบริติชโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนที่ ในปี ค.ศ. 1947 ขบวนการแยกตัวเพื่ออิสรภาพของอินเดียและปากีสถานก็เริ่มมีความแข็งแกร่งขึ้น สาธารณรัฐไอร์แลนด์ประกาศตัวเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1949 ในรัชสมัยของพระองค์เป็นสมัยของการสลายตัวของจักรวรรดิอังกฤษไปเป็นเครือจักรภพชีวิตในวัยเยาว์ ชีวิตในวัยเยาว์. พระเจ้าจอร์จที่ 6 ประสูติที่นิวยอร์กคอทเทจ ในตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟลอค์ ในรัชสมัยของพระปัยยิกาคือสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชบิดาของพระองค์คือเจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งยอร์ก (ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่ 5) เป็นพระโอรสองค์ที่สองของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ (ต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระมารดาของพระองค์คือดัสเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือสมเด็จพระราชินีแมรี พระธิดาพระองค์ใหญ่และพระองค์เดียวของดยุกและดัสเชสแห่งเท็ค วันประสูติของพระองค์คือวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2438 ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของพระปัยกา เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ครบ 34 ปี ซึ่งเป็นที่มาของพระนามของพระองค์ ซึ่งคือ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก โดยพระองค์มีชื่อเล่นที่เรียกกันในพระราชวงศ์ว่า "เบอร์ตี้" (Bertie) ในขณะนั้นทรงอยู่ในลำดับที่ 4 ของการสืบราชสันตติวงศ์ โดยต่อจากพระอัยกา พระบิดา และพระเชษฐา สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เสด็จสวรรคตเมื่อ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 และเจ้าชายแห่งเวลส์ได้สืบราชบัลลังก์ต่อโดยมีพระนามว่า พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้พระองค์เลื่อนขึ้นมาอยู่ในลำดับที่สามของการสืบราชสันตติวงศ์ในขณะนั้นพระราชอิสสริยยศพระราชอิสสริยยศ. - 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 – 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898: ฮิสไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก (His Highness Prince Albert of York) - 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 – 22 มกราคม ค.ศ. 1901: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก (His Royal Highness Prince Albert of York) - 22 มกราคม ค.ศ. 1901 – 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งคอร์นวอลล์และยอร์ก (His Royal Highness Prince Albert of Cornwall and York) - 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901 – 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1910: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince Albert of Wales) - 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1910 – 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ต (His Royal Highness The Prince Albert) - 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 – 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (His Royal Highness The Duke of York) - 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952: สมเด็จพระราชาธิบดี (His Majesty The King)- ในบริติชอินเดีย ระหว่าง 11 ธันวาคม ค.ศ. 193614 สิงหาคม ค.ศ. 1947: จักรพรรดิแห่งอินเดียเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ฝ่ายหน้า (ม.จ.ก.) (ประเทศไทย)
ผู้ใดเป็นจักพรรดิอินเดียพระองค์สุดท้าย
{ "answer": [ "สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร" ], "answer_begin_position": [ 116 ], "answer_end_position": [ 157 ] }
2,154
155,491
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร พระเจ้าจอร์จที่ 6 (; 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 — 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์วินด์เซอร์ และเครือจักรภพอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1936 ถึงปี ค.ศ. 1952 เป็นจักรพรรดิอินเดียพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1947) และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไอร์แลนด์พระองค์สุดท้าย (จนกระทั่งปี ค.ศ. 1949) สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ณ ตำหนักซานดริงแฮม นอร์โฟลกในอังกฤษ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และครองราชย์ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 ที่พระราชวังวินด์เซอร์ บาร์คเชอร์ สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 มิได้เป็นที่หวังว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินและทรงใช้เวลาสมัยแรกอยู่เบื้องหลังสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 พระเชษฐา ทรงรับราชการในราชนาวีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังสงครามแล้วก็ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่าง ๆ ในสังคม ต่อมาเสกสมรสกับเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออนในปี ค.ศ. 1923 และมีพระราชธิดาสองพระองค์คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1936 พระเชษฐาก็ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แต่ไม่ทันถึงปีพระเจ้าเอดเวิร์ดก็มีพระประสงค์ที่จะแต่งงานกับนางวอลลิส ซิมพ์สัน สตรีหม้ายชาวอเมริกัน แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางศาสนาสแตนลีย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรถวายคำแนะนำว่าการที่จะอภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สันแล้วยังเป็นพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 จึงทรงสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน เจ้าชายอัลเบิร์ตซึ่งเป็นดยุกแห่งยอร์กในขณะนั้นจึงทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สามในราชวงศ์วินด์เซอร์ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ต่อจากพระเชษฐาซึ่งนักวิชาการได้สันนิษฐานว่าการใช้พระนามจอร์จนั้นเป็นกุศโลบายเพื่อให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนักในการเสวยราชสมบัติของพระองค์ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากทรงขึ้นครองราชย์รัฐสภาเสรีรัฐไอร์แลนด์ก็ผ่าน “รัฐบัญญัติความสัมพันธ์ภายนอก” (External Relations Act 1936) ซึ่งยกเลิกอำนาจพระมหากษัตริย์ในไอร์แลนด์ เหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์ได้แก่: 3 ปึหลังจากทรงขึ้นครองราชย์ราชอาณาจักรของพระองค์นอกจากไอร์แลนด์เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อต้านนาซีเยอรมนี สองปีต่อมาก็เข้าสงครามต่อต้านราชอาณาจักรอิตาลีและหลังจากนั้นจักรวรรดิญี่ปุ่น ผลจากสงครามคือการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิบริติชโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนที่ ในปี ค.ศ. 1947 ขบวนการแยกตัวเพื่ออิสรภาพของอินเดียและปากีสถานก็เริ่มมีความแข็งแกร่งขึ้น สาธารณรัฐไอร์แลนด์ประกาศตัวเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1949 ในรัชสมัยของพระองค์เป็นสมัยของการสลายตัวของจักรวรรดิอังกฤษไปเป็นเครือจักรภพชีวิตในวัยเยาว์ ชีวิตในวัยเยาว์. พระเจ้าจอร์จที่ 6 ประสูติที่นิวยอร์กคอทเทจ ในตำหนักซานดริงแฮมในนอร์ฟลอค์ ในรัชสมัยของพระปัยยิกาคือสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชบิดาของพระองค์คือเจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งยอร์ก (ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่ 5) เป็นพระโอรสองค์ที่สองของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ (ต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา พระมารดาของพระองค์คือดัสเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือสมเด็จพระราชินีแมรี พระธิดาพระองค์ใหญ่และพระองค์เดียวของดยุกและดัสเชสแห่งเท็ค วันประสูติของพระองค์คือวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2438 ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของพระปัยกา เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี ครบ 34 ปี ซึ่งเป็นที่มาของพระนามของพระองค์ ซึ่งคือ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก โดยพระองค์มีชื่อเล่นที่เรียกกันในพระราชวงศ์ว่า "เบอร์ตี้" (Bertie) ในขณะนั้นทรงอยู่ในลำดับที่ 4 ของการสืบราชสันตติวงศ์ โดยต่อจากพระอัยกา พระบิดา และพระเชษฐา สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เสด็จสวรรคตเมื่อ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 และเจ้าชายแห่งเวลส์ได้สืบราชบัลลังก์ต่อโดยมีพระนามว่า พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้พระองค์เลื่อนขึ้นมาอยู่ในลำดับที่สามของการสืบราชสันตติวงศ์ในขณะนั้นพระราชอิสสริยยศพระราชอิสสริยยศ. - 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 – 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898: ฮิสไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก (His Highness Prince Albert of York) - 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1898 – 22 มกราคม ค.ศ. 1901: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งยอร์ก (His Royal Highness Prince Albert of York) - 22 มกราคม ค.ศ. 1901 – 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งคอร์นวอลล์และยอร์ก (His Royal Highness Prince Albert of Cornwall and York) - 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901 – 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1910: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince Albert of Wales) - 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1910 – 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ต (His Royal Highness The Prince Albert) - 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 – 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก (His Royal Highness The Duke of York) - 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952: สมเด็จพระราชาธิบดี (His Majesty The King)- ในบริติชอินเดีย ระหว่าง 11 ธันวาคม ค.ศ. 193614 สิงหาคม ค.ศ. 1947: จักรพรรดิแห่งอินเดียเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ฝ่ายหน้า (ม.จ.ก.) (ประเทศไทย)
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร มีชื่อเล่นที่เรียกกันในพระราชวงศ์ว่าอะไร
{ "answer": [ "เบอร์ตี้" ], "answer_begin_position": [ 3422 ], "answer_end_position": [ 3430 ] }
2,155
721,890
เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี () เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน เป็นภาคเสริมของเซนต์เซย์ย่า ซึ่งแต่งและวาดขึ้นโดยมาซามิ คุรุมาดะ โดยได้แต่งออกมาเป็นภาพ4สี เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงเมื่อ240ปีก่อนในช่วงสงครามศักดิ์สิทธ์ มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดสในช่วงศตวรรษที่18 ปัจจุบันภาคนี้ในญี่ปุ่นตีพิมพ์ออกมาแล้ว 9 เล่มด้วยกัน ส่วนในประเทศไทยได้ตีพิมพ์ในภาพ4สีเช่นกับญี่ปุ่น ปัจจุบันตีพิมพ์ทั้งหมด5เล่มเรื่องย่อ เรื่องย่อ. เนื้อเรื่องได้กล่าวถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ240ปีก่อน สงครามระหว่างเทพีอเธน่าและเจ้านรกฮาเดส เคียวโกได้แต่งตั้งบรอนซ์เซนต์ 2 คน ได้เป็นโกลด์เซนต์ผู้มีนามว่าไลบร้า โดโกและอาริเอส ชิออน ให้ไปตรวจสอบบริเวณที่มีพลังของฮาเดสและได้พบกับเด็กหนุ่มทั้ง 2 เพกาซัส เท็มมะและอาโรน แต่เทนมะก็ได้รู้ว่าอาโรนเพื่อนรักของตัวเองได้กลายเป็นฮาเดสไปแล้ว จึงได้ร่วมมือกับพวกโดโกช่วยเข้าร่วมสงครามด้วยกัน เนื้อเรื่องจึงได้เป็นสงครามที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส อีกด้านหนึ่งหลังจากจบสงครามที่เอลิเชี่ยน เซย์ย่าได้ถูกคำสาปดาบของฮาเดสที่ถูกแทงที่อก นั้นทำให้เซย์ย่าโคม่ากับใกล้ตยจนเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 3 วัน คิโด ซาโอริ และแอนโดรเมด้า ชุน จึงไปที่สตาร์ฮิลเพื่อเดินทางไปโอลิมปัส เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับโโครนอส พอไปหาโครนอส โครนอสแนะนำว่าให้ย้อนอดีตกับมีเวลาเพียงแค่ 3 วัน ที่จะกลับมาปัจจุบันได้ ทั้งคู่ได้ข้ามมิติไปยังเมื่อ 240 ปีก่อน เพื่อแก้ไขอนาคตก่อนที่เซย์ย่าจะตายไป ทางชิออน โดโก เทมมะ ทั้ง 3 ที่รอดมาได้จากเหตุการณ์นั้นก็พบว่า ซุยเคียวที่เป็นคนรู้จักของทั้ง 3 กลายเป็น 1 ใน 3 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลก กับทำภารกิจฆ่าร่างสถิตฮาเดสล้มเหลว ทั้ง 3 ถูกต่อว่ากับทำโทษ พอทั้ง 3 เข้าใจกับเตรียมที่จะฝึก แต่ทันใดนั้นอาธีน่าก็มาจุติ (ซาโอริที่เดินทางย้อนอดีตมาถูกโครนอสสาปให้อายุในตัวปั่นป่วนจนกลายเป็นเด็กทารก) ทางโกลด์เซนต์ที่ไปถึงพอเคียวโสั่งให้ไปประจำการตามเดิม แต่มีเพียงเวอร์โก้ ชิจิม่าที่สงสัยจึงกลับมาพบเคียวโกพยายามสังหารอาธีน่า กับช่วยอาธีน่าทัน ทางพิสซิส คาดิน่าเร่ก็เข้ามากับทำร้ายชิจิม่า แต่ชิจิม่าพาอาธีน่าหนีไปกับพยายามโทรจิตเพื่อส่งให้เหล่าโกลด์เซนต์คนอื่นทราบว่าเคียวโกกับชิจิม่าทรยศ มีเพียงชิออนที่รู้ ชิออนจึงสั่งให้เททมะกับชุนไป 12 ปราสาทเพื่อเตือนโกลด์เซนต์ที่เหลือทั้งช่วยอาธีน่า แต่พวกสเป็คเตอร์ที่นำโดยซุยเคียวก็ตามมาไล่ล่า อาธีน่า ชิออนก็พยายามกำจัดแต่ซุยเคียวเหนือว่า แล้วอิคคิที่ย้อนอดีตมาสู้กับซุยเคียวใช้หมัดมายา ทำให้ซุยเคียวแค่ฝันร้ายกับเดินหน้าต่อ ทางชุนกับเทมมะไปเตือนอ๊อกที่ปราสาททอรัสแต่ อ๊อกไม่เชื่อ พอสเป็คเตอร์ตามทันก็เชื่อจึงยอมให้ทั้งคู่ผ่านไป จนอ๊อกจัดการพวกสเป็คเตอร์หมดเหลือซุยเคียว ทั้งคู่สู้กันผลออกมาอ๊อกเสียชีวิตกับตายทั้งยืน แล้วซุยเคียวเดินไปต่อ พอถึงปราสาทเจมินี่ชุนกับเทมมะก็ติดในเขาวงกต แล้วซุยเคียวช่วยให้ทั้งคู่ไปต่อ แต่ซุยเคียวสู้กับเจมินี่ เคน กับอาเบล โดยผลออกมาถูกอาเบลทำให้ถูกหมัดมายา พอถึงปราสาทแคนเซอร์ เจอกับแคนเซอร์ เดสเทอร์ โดยเดสเทอร์ไม่สนทั้ที่รู้จึงทำตามหน้าที่ ทั้งคุถูกส่งไปยมโลก ซุยเคียวที่ตามมากับถูกเทมมะเตือนสติรอดจากหมัดมายาได้ แล้วเดสเทอร์ถูกขังในโอเมอร์ทา ซุยเคียวไปถึงปราสาทเลโอกับถูกจัดการ ทั้งคู่ที่ตามมาเห็นกับขอให้เลโอ ไคเซอร์ปล่อยตัวละครตัวละคร. - เพกาซัส เท็มมะ () - อาโรน () - อาริเอส ชิออน () - ไลบร้า โดโก () - เครตีส ซุยเคียว () - คิโด ซาโอริ () - ดราก้อน ชิริว (
ใครเป็นผู้วาดหนังสือการ์ตูนเรื่อง เซนต์เซย์ย่า Next Dimension ศึกถล่มอเวจี
{ "answer": [ "มาซามิ คุรุมาดะ" ], "answer_begin_position": [ 275 ], "answer_end_position": [ 290 ] }
2,156
73,393
สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เจ้าชายเอดเวิร์ด ดยุกแห่งวินเซอร์ หรืออดีต สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 (เอดเวิร์ด อัลเบิร์ต คริสเตียน จอร์จ แอนดรูว์ แพทริค เดวิด; 23 มิถุนายน พ.ศ. 2437 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2515) เป็นอดีตพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ รวมถึงดินแดนของอังกฤษในโพ้นทะเลต่าง ๆ และสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดีย ตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระราชบิดา เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2479 จนกระทั่งการสละราชสมบัติของพระองค์ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479 พระองค์เป็นพระประมุของค์ที่สองในราชวงศ์วินด์เซอร์ ซึ่งพระราชบิดาทรงเปลี่ยนชื่อมาจากราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา เมื่อปี พ.ศ. 2460 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายเอดเวิร์ดแห่งยอร์ก เจ้าชายเอดเวิร์ดแห่งยอร์กและคอร์นวอลล์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ดยุกแห่งโรธเซย์ และเจ้าชายแห่งเวลส์ (ในชั้นรอยัลไฮเนส) ขณะทรงเป็นชายแรกรุ่น พระองค์ทรงปฏิบัติราชการในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยการเสด็จเยือนต่างประเทศแทนพระองค์พระราชบิดาและทรงข้องเกี่ยวกับหญิงสาวสูงวัยที่แต่งงานแล้วมากมาย ช่วงเวลาหลายเดือนในรัชกาล พระองค์ทรงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ในรัฐธรรมนูญ ได้ชื่อว่าวิกฤตการณ์สละราชสมบัติด้วยการขออภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายหย่าร้างชาวอเมริกัน แม้ว่าทางกฎหมายแล้วพระองค์จะอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันและคงเป็นกษัตริย์อยู่ได้ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์ได้คัดค้านการอภิเษกสมรสโดยโต้แย้งว่าประชาชนจะไม่ยอมรับเธอเป็นพระราชินีได้เลย พระองค์ทรงทราบดีว่ารัฐบาลของสแตนเลย์ บาลด์วิน นายกรัฐมนตรีจะลาออกถ้าการอภิเษกสมรสยังคงดำเนินต่อไป อันจะทำให้ลากพระองค์ไปสู่การเลือกทั่วไปซึ่งจะเป็นการทำลายสถานะของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ทรงเป็นกลางทางการเมืองของพระองค์อย่างไม่สามารถแก้ไขได้ แทนที่จะเลิกกับนางซิมป์สัน แต่พระองค์กลับทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เป็นพระประมุของค์เดียวของสหราชอาณาจักรที่ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสมัครใจ นอกจากนี้ยังเป็นพระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติสั้นที่สุดพระองค์ในประวัติศาสตร์อังกฤษ และมิได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเลย หลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ทรงเปลี่ยนกลับไปใช้พระอิสริยยศของพระราชโอรสในพระมหากษัตริย์คือ เจ้าชายเอดเวิร์ด และทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2480 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ทรงได้รับมอบหมายให้ประจำการในกองกำลังทหารอังกฤษในประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจากข้อกล่าวหาลับต่างๆ ที่ว่าพระองค์ทรงเข้าข้างฝ่ายนาซีเยอรมัน ก็ทรงถูกย้ายไปยังบาฮามาสในฐานะข้าหลวงใหญ่ และ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังจากสิ้นสุดสงคราม พระองค์ก็ไม่ทรงได้รับการแต่งตั้งทางราชการอื่นใดอีกและทรงใช้เวลาที่เหลือในพระชนม์ชีพด้วยความสันโดษ
เจ้าชายเอดเวิร์ด ดยุกแห่งวินเซอร์ หรืออดีตสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เสกสมรสกับผู้ใด
{ "answer": [ "วอลลิส ซิมป์สัน" ], "answer_begin_position": [ 1204 ], "answer_end_position": [ 1219 ] }
2,157
73,393
สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เจ้าชายเอดเวิร์ด ดยุกแห่งวินเซอร์ หรืออดีต สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 (เอดเวิร์ด อัลเบิร์ต คริสเตียน จอร์จ แอนดรูว์ แพทริค เดวิด; 23 มิถุนายน พ.ศ. 2437 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2515) เป็นอดีตพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ รวมถึงดินแดนของอังกฤษในโพ้นทะเลต่าง ๆ และสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดีย ตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระราชบิดา เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2479 จนกระทั่งการสละราชสมบัติของพระองค์ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2479 พระองค์เป็นพระประมุของค์ที่สองในราชวงศ์วินด์เซอร์ ซึ่งพระราชบิดาทรงเปลี่ยนชื่อมาจากราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา เมื่อปี พ.ศ. 2460 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายเอดเวิร์ดแห่งยอร์ก เจ้าชายเอดเวิร์ดแห่งยอร์กและคอร์นวอลล์ ดยุกแห่งคอร์นวอลล์ ดยุกแห่งโรธเซย์ และเจ้าชายแห่งเวลส์ (ในชั้นรอยัลไฮเนส) ขณะทรงเป็นชายแรกรุ่น พระองค์ทรงปฏิบัติราชการในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยการเสด็จเยือนต่างประเทศแทนพระองค์พระราชบิดาและทรงข้องเกี่ยวกับหญิงสาวสูงวัยที่แต่งงานแล้วมากมาย ช่วงเวลาหลายเดือนในรัชกาล พระองค์ทรงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ในรัฐธรรมนูญ ได้ชื่อว่าวิกฤตการณ์สละราชสมบัติด้วยการขออภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายหย่าร้างชาวอเมริกัน แม้ว่าทางกฎหมายแล้วพระองค์จะอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันและคงเป็นกษัตริย์อยู่ได้ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์ได้คัดค้านการอภิเษกสมรสโดยโต้แย้งว่าประชาชนจะไม่ยอมรับเธอเป็นพระราชินีได้เลย พระองค์ทรงทราบดีว่ารัฐบาลของสแตนเลย์ บาลด์วิน นายกรัฐมนตรีจะลาออกถ้าการอภิเษกสมรสยังคงดำเนินต่อไป อันจะทำให้ลากพระองค์ไปสู่การเลือกทั่วไปซึ่งจะเป็นการทำลายสถานะของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ทรงเป็นกลางทางการเมืองของพระองค์อย่างไม่สามารถแก้ไขได้ แทนที่จะเลิกกับนางซิมป์สัน แต่พระองค์กลับทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 เป็นพระประมุของค์เดียวของสหราชอาณาจักรที่ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสมัครใจ นอกจากนี้ยังเป็นพระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติสั้นที่สุดพระองค์ในประวัติศาสตร์อังกฤษ และมิได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเลย หลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ทรงเปลี่ยนกลับไปใช้พระอิสริยยศของพระราชโอรสในพระมหากษัตริย์คือ เจ้าชายเอดเวิร์ด และทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2480 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ทรงได้รับมอบหมายให้ประจำการในกองกำลังทหารอังกฤษในประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจากข้อกล่าวหาลับต่างๆ ที่ว่าพระองค์ทรงเข้าข้างฝ่ายนาซีเยอรมัน ก็ทรงถูกย้ายไปยังบาฮามาสในฐานะข้าหลวงใหญ่ และ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังจากสิ้นสุดสงคราม พระองค์ก็ไม่ทรงได้รับการแต่งตั้งทางราชการอื่นใดอีกและทรงใช้เวลาที่เหลือในพระชนม์ชีพด้วยความสันโดษ
พระประมุของค์ใดของสหราชอาณาจักรที่ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสมัครใจ
{ "answer": [ "สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8" ], "answer_begin_position": [ 1743 ], "answer_end_position": [ 1770 ] }
2,158
641,410
โอลาฟ (ดิสนีย์) โอลาฟ () เป็นตุ๊กตาหิมะจากภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 53 ของวอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชัน สตูดิโอ เรื่อง ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ (Frozen) ซึ่งฉายในปี 2013การพัฒนาต้นนกำเนิดและแนวคิด การพัฒนา. ต้นนกำเนิดและแนวคิด. ดิสนีย์สตูดิโอมีความพยายามที่จะนำเทพนิยาย ราชินีหิมะ ของ Hans Christian Andersen มาสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1943 เมื่อวอลต์ ดิสนีย์คิดจะสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ Andersen อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องและตัวละครนั้นเป็นนามธรรมมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ ให้กับดิสนีย์และทีมผู้สร้างภาพเคลื่อนไหว ภายหลังจากนั้น ผู้บริหารของดิสนีย์ก็ยังมีความพยายามที่จะนำเรื่องราวจากบทประพันธ์มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ความพยายามเหล่านี้ก็ต้องถูกชงักไว้เพราะปัญหาแบบเดียวกัน ในปี 2008 Chris Buck ได้เสนอเรื่องราวของราชินีหิมะในรูปแบบของเขาเองกับดิสนีย์ ชื่อ Anna and the Snow Queen ซึ่งได้มีการวางแผนให้สร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป แต่เรื่องราวนี้แตกต่างจาก ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ อย่างสิ้นเชิง โดยที่บทประพันธ์นี้มีความใกล้เคียงกับเรื่องราชินีหิมะมากกว่า และมีตัวละครโอลาฟที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามในต้นปี 2010 โครงการนี้ก็ได้หยุดไปอีกครั้ง ในวันที่ 22 ธันวาคม 2011 ดิสนีย์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ ซึ่งในเวลาต่อมาจะได้ออกฉายในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 และยังได้เปลี่ยนทีมสร้างภาพยนตร์ใหม่อีกด้วย บทอันใหม่นั้นมีแนวคิดเหมือนเดิม แต่มีการเขียนใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานของบทประพันธ์ของ Andersen โดยถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละคร แอนนา และ เอลซ่า ในฐานะพี่น้องการให้เสียง การให้เสียง. Josh Gad ซึ่งเป็นนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีและมีชื่อเสียงในการแสดงบรอดเวย์เรื่อง The Book of Mormon ได้เข้ารับเลือกในการพากย์เสียงของโอลาฟ เขาได้กล่าวในภายหลังว่า การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ดิสนีย์นั้นเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับเขา เนื่องจากเขาเองมีความคลั่งไคล้ในภาพยนตร์และการผลิตภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์อยู่แล้ว เขากล่าวว่า เขาเติบโตมาในยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์ครั้งที่สอง ในช่วงที่มีภาพยนตร์ทั้งหมดออกมายอดเยี่ยมหมดเลย ได้แก่ เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid) โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (Beauty and the Beast) อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ (Aladdin) เดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ความประทับใจในตัวละครที่มีลักษณะนิสัยตลกอย่างทีโมนและพุมบ้าในเรื่อง เดอะ ไลอ้อน คิง หรือ จีนี่ในเรื่องอะลาดินกับตะเกียงวิเศษทำให้เขาอยากเล่นบทบาทประเภทนี้ตั้งแต่ช่วงหนุ่ม ๆ เขาจำได้ว่า เขาเคยพูดไว้ว่าอยากจะเล่นบทแบบนี้จริง ๆ สักวันการออกแบบตัวละคร การออกแบบตัวละคร. จากการที่เป็นมนุษย์หิมะที่แอนนาและเอลซ่าได้ปั้นขึ้นมาด้วยกันในวัยเด็ก โอลาฟแสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์และความสุขที่ทั้งสองพี่น้องเคยมีในวัยเยาว์ก่อนที่พวกเข้าจะแยกจากกัน โอลาฟไม่ได้เป็นตัวละครที่ตลกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนความรักบริสุทธิ์ในความกลัวที่แฝงด้วยความรัก [16] ตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก จนกระทั่งมันมีความหมายกับสองพี่น้องคู่นี้ โอลาฟถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะผสานความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่หายไป ในวัยเด็กของแอนนาและเอลซ่า ก่อนที่พลังของเอลซ่าจะทำร้ายแอนนา สองพี่น้องคู่นี้เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน และมีการปั้นมนุษย์หิมะขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า โอลาฟ และ โอลาฟก็ชอบอ้อมกอดที่อบอุ่น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นลักษณะของโอลาฟขึ้นมา และในช่วงของภาพพยนต์ที่เอลซ่าได้ร้องเพลง “Let it Go” ก็เป็นช่วงที่ทำให้เอลซ่าได้นึกถึงช่วงเวลาครั้งสุดท้ายที่ตัวเองมีความสุข และมันก็คือช่วงเวลาที่เอลซ่าได้ปั้นมนุษย์หิมะกับน้องสาวนั้นเอง และโอลาฟก็เป็นตัวแทนของความรักที่แสดงออกระหว่างความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่ นี้นั่นเอง โอลาฟจะมีลักษณะนิสัยของแอนนาในวัยเด็กเนื่องจากที่โอลาฟมีชีวิตขึ้นมาได้ นั้นเป็นเพราะในขณะที่เอลซ่าใช้พลังสร้างโอลาฟขึ้นมา เธอได้นึกถึงคนที่เธอรักที่สุด นั่นก็คือแอนนานั่นเอง ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตภาพยนตร์ โอลาฟถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อให้เป็นหนึ่งในคนคุ้มกันปราสาทของเอลซ่า เพราะในเวลานั้น ยังมีแนวคิดที่จะให้เอลซ่ามีกองกำลังทหารมนุษย์หิมะที่กราดเกรี้ยวอยู่ในเรื่องอยู่ Buck ได้กล่าวถึงเอลซ่าไว้ว่า เธอพยายามที่จะเรียนรู้พลังของตัวเองซึ่งเขาได้เปรียบเทียบกับแพนเค้ก เมื่อแพนเค้กมีการไหม้เกิดขึ้นข้างล่างจนไม่สามารถทานได้ เราจึงต้องทิ้งมัน โอลาฟก็เปรียบเสมือนแพนเค้กชิ้นแรกของเอลซ่า และเพื่อไม่เป็นการสร้างความซับซ้อนให้กับตัวละครนี้ ผู้กำกับจึงอยากให้ตัวละครตัวนี้คงความเป็นเด็กบริสุทธิ์ไว้ Jennifer Lee ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวไว้ว่า เมื่อคุณเป็นเด็กรูปร่างแปลกๆต่างๆที่นำมาปั้นเป็นมนษย์หิมะจะไม่มีทางเพ อร์เฟค และนั่นจึงเป็นที่มาของความคิดที่ว่าเด็กๆจะนึกถึงมนุษย์หิมะในหน้าตาแบบไหน Gad เองก็ได้มีการปรับลักษณะของตัวละครโอลาฟเองในระหว่างทำการอัดเสียง และผู้กำกับเองก็พยายามที่จะระมัดระวังไม่ให้ตัวละครนี้ทำหน้าเป็นตัวละคร หลักในการดำเนินเรื่องมากเกินไป [18] โอลาฟถูกสร้างขึ้นมาในระดับนึงจนกระทั่งได้ Josh Gad มาพากษย์เสียงให้ และเสียงของ Gad แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษบางอย่างรวมถึงการมองโลกของเขา การแสดงในห้องอัดเสียงของ Gad ถูกบันทึกเป็นวีดิโอและผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวได้นำเอาสีหน้า ท่าทางของเขาไปสร้างเป็นตัวละครเคลื่อนไหวขึ้นมา" "It was a lot funnier than I expected, thanks largely to Josh Gad's surprisingly well-written deluded snowman character" (Del Vecho). Gad's studio performance was videotaped, and animators used his facial expressions and physical moves as a reference for animating the character. ผู้สร้างภาพยนตร์ ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า Spaces เพื่อที่จะสร้างโอลาฟขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหว Buck กล่าวว่า ความสนุกของตัวละครนี้คือการค้นพบว่าโอลาฟสามารถถูกแยกชิ้นส่วนของตัวเองออก มาได้และนั่นคือจุดเด่นของตัวละครนี้ โอลาฟเป็นตัวละครที่ผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวมีความสนุกในขณะที่กำลังสร้าง Del Vecho ให้ความเห็นว่า โอลาฟเป็นตัวละครที่สามารถโยนลงเขาในขณะที่ตัวแยกเป็นชิ้นๆในระหว่างที่ร่วง ลงมาแต่ยังสามารถมีชีวิตรอดและมีความสุขได้ สิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวโอลาฟคือการเป็นมนุษย์หิมะที่มีความคิดในการรักฤดูร้อน
ใครเป็นผู้พากย์เสียงภาษาอังกฤษตัวละครโอลาฟ จากเรื่องผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
{ "answer": [ "Josh Gad" ], "answer_begin_position": [ 1570 ], "answer_end_position": [ 1578 ] }
2,159
540,135
เอมเมลี เด ฟอเรสต์ เอมเมลี ชาร์ลอตต์-วิกตอเรีย เด ฟอเรสต์ (Emmelie Charlotte-Victoria de Forest) เกิดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 เป็นนักร้องชาวเดนมาร์ก เป็นตัวแทนของประเทศเดนมาร์กในการประกวดยูโรวิชัน 2013 ที่เมืองมัลเมอ ประเทศสวีเดน โดยเธอเป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้กับเพลง "Only Teardrops" เธอเซ็นสัญญากับค่ายยูนิเวอร์ซัลมิวสิคกรุ๊ป เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2013 มีผลงานอัลบั้มแรกชื่อ Only Teardrops ออกวางขายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013
ผลงานเพลงชุดแรกของเอมเมลี เด ฟอเรสต์ นักร้องชาวเดนมาร์ก ออกวางขายในปี ค.ศ. อะไร
{ "answer": [ "2013" ], "answer_begin_position": [ 527 ], "answer_end_position": [ 531 ] }
2,160
596,037
วิลาศ น้อมเจริญ พันจ่าอากาศตรี วิลาศ น้อมเจริญ (ชื่อเล่น: ลาศ; 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 — 7 มกราคม พ.ศ. 2557) เป็นอดีตผู้รักษาประตูฟุตบอลทีมชาติไทย และเคยเป็นผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตูให้แก่สโมสรราชประชา, สโมสรฟุตบอลจังหวัดตราด และฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย รวมถึงเคยทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูให้แก่สโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทยอยู่หลายทศวรรษประวัติ ประวัติ. วิลาศ น้อมเจริญ เป็นชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซึ่งก่อนจะมาเล่นฟุตบอลนั้น วิลาศเคยเป็นนักวอลเลย์บอลมาก่อน เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อครั้งที่แข่งกีฬาแห่งชาติให้แก่จังหวัดตราด กระทั่งได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ และในช่วงประมาณ พ.ศ. 2531 ได้ร่วมทำหน้าที่ให้แก่สโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย วิลาศ เคยร่วมกับฟุตซอลทีมชาติไทยเข้าแข่งฟุตซอลชิงแชมป์โลก 2000 ที่ประเทศกัวเตมาลา ตลอดจนเคยร่วมสร้างผลงานให้แก่ฟุตบอลชายหาดทีมชาติไทยในการคว้าอันดับ 4 ของการแข่งขันฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์โลก 2002 ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557 วิลาศเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้านชีวิตส่วนตัว วิลาศมีภรรยาชื่อ สุภาวดี วิเชียรสรรค์ และมีลูกชาย 1 คนเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - บุคคล: รางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของโลก - ฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์โลก 2002 ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล - ทีม: อันดับ 4 - ฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์โลก 2002 ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล
วิลาศ น้อมเจริญเคยเป็นนักกีฬาชนิดใดก่อนจะมาเป็นนักฟุตบอล
{ "answer": [ "วอลเลย์บอล" ], "answer_begin_position": [ 545 ], "answer_end_position": [ 555 ] }
2,161
602,597
วราภรณ์ บุญสิงห์ วราภรณ์ บุญสิงห์ เป็นผู้รักษาประตูฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ที่ได้รับการยกให้เป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่ง และได้รับการยอมรับจากบุคคลในวงการฟุตบอลหญิง ในฐานะผู้รักษาประตูที่มีทักษะด้านต่าง ๆ แบบครบเครื่องประวัติ ประวัติ. วราภรณ์ บุญสิงห์ มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เนื่องด้วยคิดว่าเป็นสิ่งท้าทาย และในวัยเพียง 12 ปี เธอก็สามารถเป็นตัวแทนเยาวชนของจังหวัดศรีสะเกษเข้าแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ที่จังหวัดสุโขทัย และได้รับรางวัลเหรียญเงิน โดยในช่วงแรกเธอไม่ได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้รักษาประตู หากแต่ทำหน้าที่เป็นผู้เล่นทั่วไป ก่อนที่จะเข้ามารับการคัดเลือกศึกษาต่อที่โรงเรียนกีฬา จังหวัดขอนแก่น ครั้นเมื่อทางโรงเรียนขาดผู้ทำหน้าที่รักษาประตู เธอจึงลองทำหน้าที่ดังกล่าว และสามารถทำได้ดี ก่อนที่จะเกิดความชอบและจริงจังกับตำแหน่งนี้มาโดยตลอด ครั้นเมื่ออายุ 14 ปี เธอก็ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมชุดเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีทีมชาติไทย เพื่อเข้าร่วมการแข่งฟุตบอลเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศเกาหลีใต้ จากนั้นเธอก็ได้ทำหน้าที่ให้แก่ทีมชาติไทยเรื่อยมา ทั้งในชุด 17 ปี, 19 ปี, ปรีโอลิมปิก จนถึงฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยชุดใหญ่ โดยเธอได้รับเหรียญทอง ทั้งจากการแข่งกีฬาเยาวชนแห่งชาติ และกีฬาแห่งชาติ รวมถึงซีเกมส์ ที่ซึ่งเธอได้รับทั้งเหรียญทอง, เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง เดือนมกราคม พ.ศ. 2552 วราภรณ์ บุญสิงห์ ได้เป็นหนึ่งในนักกีฬาฟุตซอลหญิงจากวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย เข้าร่วมแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 36 ที่จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556 วราภรณ์ บุญสิงห์ ได้ทำหน้าที่ในการรักษาประตู ในการแข่งเอเอฟเอฟวีเมนส์แชมเปียนชิพ 2013 ที่จัดขึ้น ณ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยได้พบกับทีมชาติเวียดนาม ซึ่งในนัดดังกล่าว ทั้งสองทีมได้เป็นฝ่ายเสมอกันที่ 0-0 ประตู และในวันที่ 15 กันยายน ทีมของเธอได้พบกับทีมชาติออสเตรเลียรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี โดยทีมชาติไทยเป็นฝ่ายแพ้ที่ 2-3 ประตู ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 วราภรณ์ได้ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูให้แก่ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ในการแข่งฟุตบอลในซีเกมส์ 2013 ที่มัณฑะเลย์ ประเทศพม่า โดยในรอบรองชนะเลิศ ทีมของเธอได้พบกับทีมชาติพม่า ซึ่งได้มีการยิงจุดโทษเพื่อหาทีมผู้ชนะ โดยทีมของเธอเป็นฝ่ายชนะที่ 11-10 ประตู รวมถึงในรอบชิงชนะเลิศ ที่ทีมของเธอเป็นฝ่ายชนะทีมชาติเวียดนามซึ่งเป็นแชมป์เก่า และสามารถรับรางวัลเหรียญทองได้สำเร็จเกียรติประวัติฟุตบอลเกียรติประวัติ. ฟุตบอล. - ทีมชาติไทย - เหรียญทอง ฟุตบอลในซีเกมส์ 2013 ที่มัณฑะเลย์ ประเทศพม่าฟุตซอลฟุตซอล. - ทีมจังหวัดขอนแก่น - เหรียญทองแดง กีฬาฟุตซอลในกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 41 ที่จังหวัดเชียงใหม่
ผู้รักษาประตูฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย วราภรณ์ บุญสิงห์ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุเท่าไร
{ "answer": [ "12" ], "answer_begin_position": [ 447 ], "answer_end_position": [ 449 ] }
2,162
36,832
รหัสลับดาวินชี รหัสลับดาวินชี () เป็นนวนิยายแนวลึกลับ-สืบสวนของแดน บราวน์ วางจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. 2546 ปัจจุบันมีฉบับแปล 44 ภาษา และมียอดขายทั่วโลกรวมกันมากกว่า 80 ล้านเล่ม (ข้อมูลปี พ.ศ. 2552) รหัสลับดาวินชีเป็นผลงานลำดับที่สองในชุดที่มีโรเบิร์ต แลงดอน เป็นตัวเอก สำหรับหนังสือฉบับภาษาไทยนั้น จัดพิมพ์โดยแพรวสำนักพิมพ์ แปลโดยอรดี สุวรรณโกมล เนื้อเรื่องของรหัสลับดาวินชีเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดของคริสตจักร ในการปกปิดประวัติที่แท้จริงของพระเยซู รวมไปถึงปริศนาของจอกศักดิ์สิทธิ์ และบทบาทของมารีย์ชาวมักดาลา ในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ การนำเสนอประเด็นเหล่านี้ในนิยายทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากถึงความเหมาะสม และความถูกต้องของข้อมูล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์และนิกายโอปุสเดอี นิยายเรื่องนี้ได้มีการอ้างถึงงานศิลปะและวรรณกรรมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินชาวอิตาลีตามชื่อเรื่อง ผลงานของดาวินชีที่นำมาอ้างถึงได้แก่ โมนาลิซา และภาพเขียน อาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) เป็นต้น บริษัทโคลัมเบียพิคเจอร์สได้สร้างภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่องนี้ ออกฉายเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยทอม แฮงส์ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ รับบทเป็นโรเบิร์ต แลงดอน ชื่อที่ใช้ฉายในประเทศไทยคือ รหัสลับระทึกโลกเรื่องย่อ เรื่องย่อ. ฌาคส์ โซนิแยร์ ภัณฑารักษ์แห่งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และประมุขแห่งสมาคมไพรเออรีออฟไซออน ถูกซิลาส นักบวชผิวเผือกผู้ทำงานให้กับบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า "ท่านอาจารย์" ยิงเสียชีวิต มีคนพบร่างเขาในสภาพนอนกางแขนขาคล้ายภาพ "วิทรูเวียนแมน" และมีรูปดาวห้าแฉกอยู่บนตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกโรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งในขณะนั้นมาบรรยายที่กรุงปารีสมาช่วยไขปริศนา เจ้าหน้าที่ถอดรหัสของกรมตำรวจฝรั่งเศส โซฟี เนอเวอ ได้ลอบบอกแลงดอนว่าโซนิแยร์เป็นคุณตาของเธอเองและพวกตำรวจเชื่อว่าแลงดอนเป็นคนร้าย เนื่องจากหนึ่งในหลักฐานที่พบคือ ข้อความ "ตามหาโรเบิร์ต แลงดอน" แต่ถูกลบออกก่อนหน้านี้ แลงดอนและโซฟีตัดสินใจหนีออกจากพิพิธภัณฑ์และไปที่ธนาคารรับฝากทรัพย์สินซูริก สาขาปารีส แล้วใช้ลำดับเลขฟีโบนัชชีที่โซนิแยร์ทิ้งไว้เป็นรหัสผ่าน ทั้งคู่พบรหัสลิขิต ซึ่งเป็นกระบอกใส่ข้อความ จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อถอดรหัส 5 ตัวให้ถูกต้อง หากพยายามจะเปิดด้วยวิธีอื่น กระบอกน้ำส้มสายชูที่อยู่ภายในจะแตกและจะทำลายข้อความซึ่งเขียนบนกระดาษพาไพรัส ต่อมา แลงดอนและโซฟีได้เดินทางไปพบเซอร์ ลีห์ ทีบบิง ผู้เชี่ยวชาญด้านจอกศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนของแลงดอน เขาอธิบายว่าโฮลี่เกรลไม่ได้หมายถึง "จอก" จริง ๆ แต่หมายถึงหลุมศพของแมรี แม็กดาเลน ทั้งสามจึงเดินทางตามหาหลุมศพดังกล่าวโดยใช้เครื่องบินส่วนตัวของทีบบิงบินออกนอกประเทศ พวกเขาสามารถเปิดรหัสลิขิตได้ แต่พบรหัสลิขิตอีกอันกับบทกวีปริศนาที่พาพวกเขาไปที่หลุมฝังศพของเซอร์ ไอแซก นิวตันในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เมื่อทั้งหมดไปถึง ทีบบิงก็เผยตัวตนว่าเขาเป็น "ท่านอาจารย์" ซึ่งต้องการโฮลี่เกรลในการทำลายศรัทธาของนครรัฐวาติกัน เขาจับโซฟีเป็นตัวประกันแล้วบังคับให้แลงดอนเปิดรหัสลิขิตชิ้นสุดท้าย ซึ่งแลงดอนทำได้สำเร็จและแกล้งทำลายรหัสลิขิตทิ้งต่อหน้าทีบบิง ต่อมาทีบบิงถูกจับโดยตำรวจจากกรมตำรวจฝรั่งเศสที่ติดตามแลงดอนมา ขณะเดียวกันตำรวจก็ติดตามซิลาสไปที่ศูนย์โอปุสเดอีและเกิดการยิงต่อสู้กัน ซิลาสยิงพลาดไปถูกบิชอปอาริงกาโรซ่า ประมุขแห่งโอปุสเดอีและผู้อุปถัมภ์เขาแต่เขารอดชีวิต ส่วนซิลาสถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ข้อความในรหัสลิขิตชิ้นสุดท้าย พาแลงดอนและโซฟีไปที่วิหารโรสลินในสกอตแลนด์ ที่ซึ่งโซฟีได้พบกับพี่ชายและคุณยายที่ไม่ได้พบกันนาน คุณยายของเธอ มาเรีย โชเวล แซงต์-แคลร์ เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของไพรเออรีออฟไซออน ทำหน้าที่ปกป้องเชื้อสายของพระเยซูและแมรี แมกดาเลน หลังเกิดอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตบิดาและมารดาของโซฟี เธอได้ส่งตัวโซฟีไปอยู่กับโซนิแยร์และดูแลพี่ชายของโซฟี หลังเรื่องทุกอย่างยุติ แลงดอนได้เดินทางกลับปารีส เขาหวนนึกถึงข้อความสุดท้ายในบทกวี และพบว่าแท้จริงแล้ว "เกรล" อยู่ใต้พีระมิดขนาดเล็ก ใต้พีระมิดแก้วที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ตัวละครตัวละคร. - โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด - โซฟี เนอเวอ นักถอดรหัสของกรมตำรวจฝรั่งเศส หลานสาวของโซนิแยร์ - เซอร์ ลีห์ ทีบบิง นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจอกศักดิ์สิทธิ์ - เบซู ฟาช สารวัตรของกรมตำรวจฝรั่งเศส - ซิลาส นักบวชนิกายโอปุสเดอี - บิชอป มานูเอล อาริงกาโรซ่า ประมุขนิกายโอปุสเดอี - ฌาคส์ โซนิแยร์ ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และประมุขสมาคมไพรเออรีออฟไซออน
นวนิยายแนวลึกลับและสืบสวนชื่อเรื่องว่า รหัสลับดาวินชี ประพันธ​์โดยใคร
{ "answer": [ "แดน บราวน์" ], "answer_begin_position": [ 150 ], "answer_end_position": [ 160 ] }
2,228
36,832
รหัสลับดาวินชี รหัสลับดาวินชี () เป็นนวนิยายแนวลึกลับ-สืบสวนของแดน บราวน์ วางจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. 2546 ปัจจุบันมีฉบับแปล 44 ภาษา และมียอดขายทั่วโลกรวมกันมากกว่า 80 ล้านเล่ม (ข้อมูลปี พ.ศ. 2552) รหัสลับดาวินชีเป็นผลงานลำดับที่สองในชุดที่มีโรเบิร์ต แลงดอน เป็นตัวเอก สำหรับหนังสือฉบับภาษาไทยนั้น จัดพิมพ์โดยแพรวสำนักพิมพ์ แปลโดยอรดี สุวรรณโกมล เนื้อเรื่องของรหัสลับดาวินชีเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดของคริสตจักร ในการปกปิดประวัติที่แท้จริงของพระเยซู รวมไปถึงปริศนาของจอกศักดิ์สิทธิ์ และบทบาทของมารีย์ชาวมักดาลา ในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ การนำเสนอประเด็นเหล่านี้ในนิยายทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากถึงความเหมาะสม และความถูกต้องของข้อมูล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์และนิกายโอปุสเดอี นิยายเรื่องนี้ได้มีการอ้างถึงงานศิลปะและวรรณกรรมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินชาวอิตาลีตามชื่อเรื่อง ผลงานของดาวินชีที่นำมาอ้างถึงได้แก่ โมนาลิซา และภาพเขียน อาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) เป็นต้น บริษัทโคลัมเบียพิคเจอร์สได้สร้างภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่องนี้ ออกฉายเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยทอม แฮงส์ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ รับบทเป็นโรเบิร์ต แลงดอน ชื่อที่ใช้ฉายในประเทศไทยคือ รหัสลับระทึกโลกเรื่องย่อ เรื่องย่อ. ฌาคส์ โซนิแยร์ ภัณฑารักษ์แห่งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และประมุขแห่งสมาคมไพรเออรีออฟไซออน ถูกซิลาส นักบวชผิวเผือกผู้ทำงานให้กับบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า "ท่านอาจารย์" ยิงเสียชีวิต มีคนพบร่างเขาในสภาพนอนกางแขนขาคล้ายภาพ "วิทรูเวียนแมน" และมีรูปดาวห้าแฉกอยู่บนตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกโรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งในขณะนั้นมาบรรยายที่กรุงปารีสมาช่วยไขปริศนา เจ้าหน้าที่ถอดรหัสของกรมตำรวจฝรั่งเศส โซฟี เนอเวอ ได้ลอบบอกแลงดอนว่าโซนิแยร์เป็นคุณตาของเธอเองและพวกตำรวจเชื่อว่าแลงดอนเป็นคนร้าย เนื่องจากหนึ่งในหลักฐานที่พบคือ ข้อความ "ตามหาโรเบิร์ต แลงดอน" แต่ถูกลบออกก่อนหน้านี้ แลงดอนและโซฟีตัดสินใจหนีออกจากพิพิธภัณฑ์และไปที่ธนาคารรับฝากทรัพย์สินซูริก สาขาปารีส แล้วใช้ลำดับเลขฟีโบนัชชีที่โซนิแยร์ทิ้งไว้เป็นรหัสผ่าน ทั้งคู่พบรหัสลิขิต ซึ่งเป็นกระบอกใส่ข้อความ จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อถอดรหัส 5 ตัวให้ถูกต้อง หากพยายามจะเปิดด้วยวิธีอื่น กระบอกน้ำส้มสายชูที่อยู่ภายในจะแตกและจะทำลายข้อความซึ่งเขียนบนกระดาษพาไพรัส ต่อมา แลงดอนและโซฟีได้เดินทางไปพบเซอร์ ลีห์ ทีบบิง ผู้เชี่ยวชาญด้านจอกศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนของแลงดอน เขาอธิบายว่าโฮลี่เกรลไม่ได้หมายถึง "จอก" จริง ๆ แต่หมายถึงหลุมศพของแมรี แม็กดาเลน ทั้งสามจึงเดินทางตามหาหลุมศพดังกล่าวโดยใช้เครื่องบินส่วนตัวของทีบบิงบินออกนอกประเทศ พวกเขาสามารถเปิดรหัสลิขิตได้ แต่พบรหัสลิขิตอีกอันกับบทกวีปริศนาที่พาพวกเขาไปที่หลุมฝังศพของเซอร์ ไอแซก นิวตันในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เมื่อทั้งหมดไปถึง ทีบบิงก็เผยตัวตนว่าเขาเป็น "ท่านอาจารย์" ซึ่งต้องการโฮลี่เกรลในการทำลายศรัทธาของนครรัฐวาติกัน เขาจับโซฟีเป็นตัวประกันแล้วบังคับให้แลงดอนเปิดรหัสลิขิตชิ้นสุดท้าย ซึ่งแลงดอนทำได้สำเร็จและแกล้งทำลายรหัสลิขิตทิ้งต่อหน้าทีบบิง ต่อมาทีบบิงถูกจับโดยตำรวจจากกรมตำรวจฝรั่งเศสที่ติดตามแลงดอนมา ขณะเดียวกันตำรวจก็ติดตามซิลาสไปที่ศูนย์โอปุสเดอีและเกิดการยิงต่อสู้กัน ซิลาสยิงพลาดไปถูกบิชอปอาริงกาโรซ่า ประมุขแห่งโอปุสเดอีและผู้อุปถัมภ์เขาแต่เขารอดชีวิต ส่วนซิลาสถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ข้อความในรหัสลิขิตชิ้นสุดท้าย พาแลงดอนและโซฟีไปที่วิหารโรสลินในสกอตแลนด์ ที่ซึ่งโซฟีได้พบกับพี่ชายและคุณยายที่ไม่ได้พบกันนาน คุณยายของเธอ มาเรีย โชเวล แซงต์-แคลร์ เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของไพรเออรีออฟไซออน ทำหน้าที่ปกป้องเชื้อสายของพระเยซูและแมรี แมกดาเลน หลังเกิดอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตบิดาและมารดาของโซฟี เธอได้ส่งตัวโซฟีไปอยู่กับโซนิแยร์และดูแลพี่ชายของโซฟี หลังเรื่องทุกอย่างยุติ แลงดอนได้เดินทางกลับปารีส เขาหวนนึกถึงข้อความสุดท้ายในบทกวี และพบว่าแท้จริงแล้ว "เกรล" อยู่ใต้พีระมิดขนาดเล็ก ใต้พีระมิดแก้วที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ตัวละครตัวละคร. - โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด - โซฟี เนอเวอ นักถอดรหัสของกรมตำรวจฝรั่งเศส หลานสาวของโซนิแยร์ - เซอร์ ลีห์ ทีบบิง นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจอกศักดิ์สิทธิ์ - เบซู ฟาช สารวัตรของกรมตำรวจฝรั่งเศส - ซิลาส นักบวชนิกายโอปุสเดอี - บิชอป มานูเอล อาริงกาโรซ่า ประมุขนิกายโอปุสเดอี - ฌาคส์ โซนิแยร์ ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และประมุขสมาคมไพรเออรีออฟไซออน
สำนักพิมพ์ใดจัดพิมพ์หนังสือฉบับภาษาไทยของนวนิยายแนวลึกลับและสืบสวนเรื่อง รหัสลับดาวินชี
{ "answer": [ "แพรวสำนักพิมพ์" ], "answer_begin_position": [ 389 ], "answer_end_position": [ 403 ] }
2,163
7,998
เลโอนาร์โด ดา วินชี เลโอนาร์โด ดา วินชี () เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาคศาสตร์ นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นบุคคลแรกที่วางรากฐานด้านการบิน รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง เลโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการหลายคนต่างยกย่องเลโอนาร์โดเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมและเป็นผู้รู้รอบด้าน หรือ "ชายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา" (Renaissance Man) บุคคลที่มี "ความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่มีข้อกังขา" และ "จินตนาการที่สร้างสรรค์ขึ้นเรื่อย ๆ"ประวัติ ประวัติ. เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยที่ที่เขาเกิดอยู่ห่างจากหมู่บ้านวินชี ในประเทศอิตาลี ไปราวสองกิโลเมตร บิดาชื่อนายแซร์ ปีเอโร ดา วินชี เป็นเจ้าพนักงานรับรองเอกสารของรัฐ มารดาชื่อคาตารีนา เป็นสาวชาวนา เคยมีคนอ้างว่านางคาตารีนาเป็นทาสสาวจากประเทศแถบตะวันออกในครอบครองของปีเอโร แต่ก็ไม่มีหลักฐานเด่นชัด ในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐานการเรียกชื่อและนามสกุลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป ทำให้ชื่อและนามสกุลของดา วินชี ที่แท้จริงคือ เลโอนาร์โด ดิ แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ซึ่งหมายความว่า เลโอนาร์โด บุตรชายของปีเอโร แห่ง วินชี แต่เลโอนาร์โดเองก็มักจะลงลายเซ็นในงานของเขาอย่างง่าย ๆ ว่า เลโอนาร์โด หรือไม่ก็ ข้าเอง เลโอนาร์โด เอกสารสำคัญส่วนใหญ่ระบุว่าผลงานของเขาเป็นของ เลโอนาร์โด โดยไม่มี ดา วินชี พ่วงท้าย ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดาเนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรสนั่นเองความสัมพันธ์และแรงบันดาลใจ ความสัมพันธ์และแรงบันดาลใจ. "ความอดทนและอดกลั้น ต่ออุปสรรคและการดูถูกเหยียดหยาม เป็นเสมือนเสื้อกันความหนาวให้กับเรา อากาศยึ่งเย็นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกป้องตัวเองมากยึ่งขึ้นเท่านั้น..."ภาพวาดภาพวาด. - การประกาศของเทพ - หอศิลป์อุฟฟิซิ, ฟลอเรนซ์, ประเทศอิตาลี (ค.ศ. 1473) - พระแม่มารีแห่งภูผา (Virgin of the Rocks) - พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1483) - พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) - Convent of Santa Maria delle Grazie (Refectory), Milan (ค.ศ. 1495-1498) - โมนาลิซ่า หรือ Mona Lisa พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1503-1507) - ชุดภาพเหมือนล้อเลียน (ค.ศ. 1490-1505) - ยุทธการอันเกียริ (The Battle of Anghiari)- พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส วาดจากต้นฉบับของ รูเบ็นส์ และจิตรกรนิรนามแกลเลอรีผลงานในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ตำนานเลโอนาร์โด
ใครคือผู้วาดภาพวาดสีน้ำมันชื่อว่า โมนาลิซ่า
{ "answer": [ "เลโอนาร์โด ดา วินชี" ], "answer_begin_position": [ 110 ], "answer_end_position": [ 129 ] }
2,164
11,195
สงครามกลางเมืองอเมริกา สงครามกลางเมืองอเมริกา () เป็นสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐระหว่างปี 1861 ถึง 1865 สืบเนื่องจากข้อโต้แย้งยืดเยื้อเกี่ยวกับทาส ระหว่างฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมสหภาพซึ่งประกาศความภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐ กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนสมาพันธรัฐซึ่งสนับสนุนสิทธของรัฐในการขยายทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในบรรดา 34 รัฐของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ 1861 เจ็ดรัฐทาสในภาคใต้ประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐเพื่อตั้งเป็นสมาพันธรัฐอเมริกา หรือ "ฝ่ายใต้" สมาพันธรัฐเติบโตจนมี 11 รัฐทาส รัฐบาลสหรัฐไม่เคยรับรองทางการทูตซึ่งสมาพันธรัฐ เช่นเดียวกับประเทศอื่นทุกประเทศ (แม้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสจะให้สถานภาพคู่สงคราม) รัฐที่ยังภักดีต่อสหรัฐ (รวมทั้งรัฐชายแดนซึ่งทาสชอบด้วยกฎหมาย) เรียก "สหภาพ" หรือ "ฝ่ายเหนือ" สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐโจมตีที่ตั้งทหารสหรัฐที่ฟอร์ตซัมเทอร์ในเซาท์แคโรไลนา ลินคอล์นตอบสนองโดยเรียกระดมพลอาสาสมัครจากแต่ละรัฐ เกิดกระแสความเป็นชาตินิยมในภาคเหนือขึ้นในช่วงข้ามคืน การเปิดฉากสงครามแบ่งแยกดินแดน กระตุ้นให้รัฐอีกสี่รัฐใกล้ชายแดน ได้แก่ เวอร์จิเนีย เทนเนสซี อาร์คันซอ และนอร์ทแคโรไลนา ประกาศแยกตัวเพิ่ม ฝ่ายสหภาพควบคุมพื้นที่รัฐชายแดนในช่วงต้นสงครามและเริ่มยุทธวิธีปิดล้อมทางทะเล การสู้รบส่อเค้ายืดเยื้อเมื่อทัพของสหภาพเพลี่ยงพล้ำในยุทธการที่บูลรัน การสู้รบในเขตสงครามตะวันออกเปิดฉากด้วยความได้เปรียบของฝ่ายสมาพันธรัฐ ซึ่งสามารถสกัดกั้นความพยายามของสหภาพในการยึดริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย เมืองหลวงของสมาพันธรัฐได้หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายใต้ฮึกเหิม และตัดสินใจบุกขึ้นเหนือในปลายหน้าร้อนปี 1862 แต่หลังจากการทัพคาบสมุทร (Peninsula Campaign) สิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน 1862 ฝ่ายสหภาพก็ตั้งตัวติด และสามารถหยุดการรุกคืบของสมาพันธรัฐได้ในยุทธการที่แอนตีทึม (Antietam) ซึ่งทำให้สหราชอาณาจักรเปลี่ยนใจไม่เข้าแทรกแซงในสงคราม หลังจากชัยทางยุทธวิธีที่แอนตีทึมไม่กี่วัน ลินคอล์นก็ประกาศเลิกทาส และกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ในปี 1863 การบุกขึ้นเหนือครั้งที่สองของนายพลสมาพันธรัฐ โรเบิร์ต อี. ลี ยุติลงด้วยความปราชัยที่ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก ส่วนในแนวรบด้านตะวันตก ฝ่ายสหภาพเข้าควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปีได้ หลังยุทธการที่ไชโลห์ (Shiloh) และการล้อมวิคสเบิร์ก (Vicksburg) ซึ่งเป็นผลให้สมาพันธรัฐถูกแบ่งออกตรงกลางและกองทัพถูกทำลายไปเป็นอันมาก ด้วยความสำเร็จในเขตสงครามตะวันตก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์จึงได้รับอำนาจบังคับบัญชากองทัพทั้งหมดของฝ่ายสหภาพในปี 1864 แกรนท์เข้าจัดโครงสร้างกองทัพและยุทธวิธีการรบเพื่อให้กองทัพของวิลเลียม เทคุมเซห์ เชอร์แมน, ฟิลิป เชอริแดน, และแม่ทัพคนอื่น ๆ สามารถโจมตีสมาพันธรัฐจากทุกทิศทาง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเข้มงวดในการปิดล้อมทางทะเล; แกรนท์นำการทัพภาคพื้นดินเพื่อเข้ายึดริชมอนด์ โดยพยายามตรึงลีเอาไว้ป้องกันเมืองหลวง แต่แล้วเปลี่ยนทางเดินทัพเพื่อไปปิดล้อมปีเตอร์สเบิร์ก และทำลายกองกำลังสมาพันธรัฐที่เหลือของลีเกือบทั้งหมด แกรนท์มอบอำนาจให้เชอร์แมนเข้ายึดแอตแลนตาและเคลื่อนทัพไปทะเลโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายสาธารณูปโภคของสมาพันธรัฐ การสู้รบที่สำคัญครั้งสุดท้าย คือ การล้อมปีเตอร์สเบิร์ก กองทัพของลีตัดสินใจทิ้งปีเตอร์สเบิร์กในปลายเดือนมีนาคม 1865 และไม่สามารถฟื้นตัวอีก ส่งผลให้ลียอมจำนนต่อแกรนท์ที่อาคารศาลแอพโพแมตท็อกซ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 1865 การสิ้นสุดของสงครามนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 ซึ่งรับรองสิทธิของพลเมืองที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคทั่วทั้งสหรัฐ สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นสงครามอุตสาหกรรมที่แท้จริงครั้งแรก ๆ ของโลก มีการใช้ทางรถไฟ โทรเลข เรือกลไฟ และอาวุธซึ่งผลิตเป็นจำนวนมากอย่างกว้างขวาง แบบของสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งนายพลเชอร์แมนพัฒนาขึ้นในรัฐจอร์เจีย และการสงครามสนามเพลาะรอบปีเตอร์สเบิร์กเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในทวีปยุโรป สงครามครั้งนี้ยังเป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ทหารเสียชีวิตกว่า 620,000 นาย และพลเรือนเสียชีวิตไม่ทราบจำนวน นักประวัติศาสตร์ จอห์น ฮัดเดิลสตัน ประเมินยอดผู้เสียชีวิตว่า ชายรัฐฝ่ายเหนืออายุระหว่าง 20–45 ปีเสียชีวิตไป 10% และชายรัฐฝ่ายใต้อายุระหว่าง 18–40 ปีเสียชีวิตไป 30% ชัยของฝ่ายเหนือหมายถึงจุดจบของสมาพันธรัฐและทาสในสหรัฐ และเสริมอำนาจแก่รัฐบาลกลาง ปัญหาทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจและเชื้อชาติของสงครามมีอิทธิพลต่อยุคบูรณะ ซึ่งดำเนินไปจนถึงปี 1877สาเหตุของความขัดแย้ง และชนวนสงคราม สาเหตุของความขัดแย้ง และชนวนสงคราม. สาเหตุของสงครามเกิดจากความแตกต่างระหว่างรัฐแต่ละรัฐในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีรูปแบบและวิถีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ รัฐทางใต้มีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการใช้แรงงานทาสในการเกษตรกรรมขนาดใหญ่ และมีพลเมืองส่วนมากเป็นคนชาติพันธ์แองโกล-แซกซอน ที่นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ และพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก นอกจากนี้การเมืองและระบบเศรษฐกิจภายในรัฐยังถูกควบคุมโดยคนรวยที่ถือครองทาส ระบบความคิดจึงเป็นไปในทางอนุรักษ์นิยม และนิยมเชื้อชาติ โดยยึดมั่นในอัตลักษณ์ความเป็น "ชาวใต้" (Southerner) มากกว่าความเป็นอเมริกัน ในทางกลับกัน รัฐทางตอนเหนือเป็นรัฐอุตสาหกรรมที่มีระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด ไม่พึ่งพาแรงงานทาสมากนัก และมีประชากรจากหลายเชื้อชาติในยุโรปอพยพเข้ามาใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นสังคมหลากเชื้อชาติและวัฒนธรรม มีระบบความคิดมีความก้าวหน้ามากกว่า เมื่ออับราฮัม ลินคอล์นซึ่งมีแนวคิดไม่ประนีประนอมกับสถาบันทาสอย่างชัดเจน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาแบบท่วมท้น ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1860 ทำให้ประชากรผิวขาวใน 11 รัฐทางตอนใต้ไม่พอใจอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าการแยกตัวเป็นอิสระเป็นทางเลือกเดียวที่จะรักษาสถาบันทาสไว้ได้ เนื่องจากเห็นว่าพวกตนไม่มีผู้แทนอยู่เลยในสภาคองเกรส จนในที่สุดก็รวมกันแยกตัวออกไปจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในนามว่าสมาพันธรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861การกดขี่และใช้แรงงานทาส การกดขี่และใช้แรงงานทาส. ความขัดแย้งในประเด็นเรื่องการมีและใช้แรงงานทาส ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1850 เป็นสาเหตุใหญ่ประการหนึ่ง ที่ทำให้อเมริกาถูกแยกออกเป็นสองประเทศ แต่เดิมทีนั้นคนอเมริกันที่อาศัยในรัฐทางตอนเหนือช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่ก็มิได้มีความรู้สึกเป็นอคติต่อการมีทาส และในมุมมองของพวกที่ต่อต้านสถาบันทาสเอง ประเด็นเรื่องการมีทาสก็ถูกจำกัดอยู่ในบริบทที่ว่ามันเป็นความชั่วร้ายที่ล้าสมัย และขัดแย้งกับหลักการของสาธารณรัฐนิยมเท่านั้น แม้ในส่วนของรัฐบาลกลางเอง รัฐธรรมนูญสหรัฐในขณะนั้นก็มีบทบัญญัติรับรองชัดเจนว่าทาสที่หลบหนีจะต้องถูกส่งคืนเจ้าของ และคองเกรสก็ออกกฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนี (Fugitive Slave Act) เพื่อยืนยันสิทธิดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 1793 โดยกำหนดโทษจำคุกสำหรับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ทาสที่หลบหนี ยุทธวิธีหลักที่พวกต่อต้านสถาบันทาสใช้จึงเน้นที่การกักกันสถาบันทาสให้อยู่แต่ในภาคใต้ โดยออกกฎหมายในระดับมลรัฐลงโทษการกระทำอันเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือติดตามทาสที่หลบหนี เพื่อไม่ให้มีการจับทาสที่หนีมาได้กลับไปเป็นทาสอีก เช่น ที่แก้ไขในปี 1826 - วัตถุประสงค์ก็เพื่อหยุดการขยายตัวของวงจรค้าทาส และปล่อยให้ค่อยๆล้าสมัยจนสูญพันธ์ไปเอง แต่รัฐทางใต้ที่ยังใช้แรงงานทาสเห็นว่าวิธีการนี้ละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน และเป็นการมุ่งทำลายเศรษฐกิจของรัฐทางใต้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากฝ้ายจากอเมริกาในภาคพื้นยุโรปที่มีสูงมาก รัฐภาคใต้มองว่าหากไม่มีแรงงานทาส ตนก็ไม่อาจแข่งขันกับอุตสาหกรรมสิ่งทอผ้าฝ้ายที่กำลังเติบโดอย่างรวดเร็วในรัฐทางตอนเหนือ และในยุโรปได้ นายทาสจากรัฐทางใต้จึงพยายามใช้วิธีทั้งทางการเมืองและกฎหมาย เข้าขัดขวางนโยบายควบคุมสถาบันทาสของรัฐทางเหนือ ในปี ค.ศ. 1837 ทาสหญิงผิวดำที่เจ้าของเพิ่งเสียชีวิตไป ชื่อ มาร์กาเร็ต มอร์แกน ย้ายภูมิลำเนาจากรัฐแมรีแลนด์ไปยังเพนซิลวาเนีย และถูกจับโดยนักล่าทาส (slavecatcher) ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ปริกก์ (Edward Prigg) นายปริกก์ถูกจับกุมฐานละเมิดกฎหมายของรัฐเพนซิลวาเนีย และถูกพิพากษาว่ามีความผิด จำเลยจึงอุทธรณ์ไปยังศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา ในประเด็นที่ว่ากฎหมายแก้ไข ปี ค.ศ. 1826 ของรัฐเพนซิลวาเนียขัดต่อ "" ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ มาตรา 4 ข้อที่ 2 วรรคสาม และขัดหรือแย้งต่อกฎหมายในระดับสหพันธรัฐที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า ศาลสูงสุดสหรัฐพิพากษา ในคดี "ปริกก์ กับ มลรัฐเพนซิลวาเนีย" () ปี ค.ศ. 1842 ว่ากฎหมายของเพนซิลวาเนียขัดต่อรัฐธรรมนูญตามทีผู้ร้องอ้าง เนื่องจากปฏิเสธสิทธิของนายทาสตามกฎหมายไล่ล่าทาสที่หลบหนีที่จะติดตามเอาทาสของตนคืน บรรดามลรัฐปลอดแรงงานทาส ตอบโต้คำพิพากษาคดี ปริกก์ ด้วยการออกกฎหมายเสรีภาพส่วนบุคคล (personal liberty laws) ประเภทต่างๆขึ้น เพื่อห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย กระทำการใดๆที่เป็นการริดรอนเสรีภาพส่วนบุคคล เช่น การขัดขวางการหลบหนีของทาส หรือการเลือกปฏิบัติกับนิโกรไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไม่ แต่รัฐทางใต้ก็โต้ว่ากฎหมายเสรีภาพส่วนบุคคลพวกนี้ เป็นการใช้อำนาจของรัฐเพื่อริดรอนสิทธิใน "ทรัพย์สิน" ของเอกชนปัญหาการผนวกดินแดน และการประนีประนอม ปี 1850 ปัญหาการผนวกดินแดน และการประนีประนอม ปี 1850. การขยายตัวอย่างรวดเร็วมากของดินแดนในอาณัติของสหรัฐ ระหว่างการประกาศอิสรภาพจนถึงช่วงสงครามกลางเมือง เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างคตินิยมที่สนับสนุนสถาบันทาส และคตินิยมที่สนับสนุนแผ่นดินที่ปลอดทาส (free soil) ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งการซื้อ การเจรจา และการสงคราม เริ่มจากการได้รับโอนพื้นที่ลุยเซียนามาจากนโปเลียนในปี ค.ศ. 1803 ต่อมาการออกเสียงให้ผนวกเอาเท็กซัส (ซึ่งประกาศตัวเป็นอิสรภาพจากเม็กซิโกใน ปี 1836) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาใน ปี ค.ศ. 1845 กลายป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามเม็กซิโก-อเมริกา ในระหว่างปี ค.ศ. 1846-1848 ชัยชนะของอเมริกาในสงครามดังกล่าว เป็นผลให้สหรัฐได้ผนวกดินแดนใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก แต่การขยายดินแดนอย่างต่อเนื่องก็ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งไม่รู้จบ ในเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของการมีทาสในดินแดนที่ถูกผนวกเข้ามา ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางทางเศรษฐกิจในพื้นที่ใหม่ โดยก่อนหน้านี้ การประนีประนอมมิสซูรี ปี ค.ศ. 1820 (Missouri Compromise) ตกลงห้ามการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ตอนเหนือของพื้นที่รับโอนหลุยส์เซียนาที่ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นเขตปกครอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยอมให้มีการสถาปนามิสซูรีขึ้นเป็นรัฐที่การมีทาสเป็นสิ่งถูกกฎหมาย สำหรับกรณีพิพาทในพื้นที่รับมาใหม่หลังสงครามเม็กซิโก-อเมริกา มีการเสนอ เงื่อนไขวิลม็อท () ขึ้น โดยเงื่อนไขนี้ต้องการให้ดินแดนใหม่ที่ผนวกเข้ามาใหม่เป็นดินแดนที่ปลอดจากสถาบันทาส แต่ในขณะนั้นนักการเมืองจากฝ่ายใต้ครองที่นั่งมากกว่าในวุฒิสภา เงื่อนไขวิลม็อทจึงถูกบล็อกและได้รับการโหวตให้ตกไป เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1850 โดยมีการแก้ไข พ.ร.บ.ไล่ล่าทาสหลบหนี ให้เข้มงวดขึ้นไปอีก เพื่อชดเชยกับการยอมให้รัฐแคลิฟอร์เนียที่รับเข้ามาใหม่เป็นรัฐปลอดทาส มีการกำหนดโทษกับผู้รักษากฎหมายในมลรัฐใดๆที่ไม่ยอมปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายนี้ ดังนั้นสำหรับรัฐทางฝ่ายเหนือแล้ว กฎหมายไล่ล่าทาสหลบหนีฉบับแก้ไขปี 1850 จึงมีนัยว่าประชาชนอเมริกันทั่วๆไปก็มีหน้าที่ต้องให้ความช่วยเหลือนักล่าทาสหลบหนีจากทางใต้ ความรู้สึกต่อต้านสถาบันทาสในจิตใจคนอเมริกันจึงเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง มีผู้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในเครือข่ายของขบวนการเลิกทาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในทางวรรณกรรมเอง งานประพันธ์อย่าง "กระท่อมน้อยของลุงทอม" (Uncle Tom's Cabin) ของแฮเรียต บีเชอร์ สโตว์ก็มุ่งโจมตีพลวัตอันชั่วร้ายของสถาบันทาสที่คอยแยกสมาชิกในครอบครัวออกจากกัน กระท่อมน้อยของลุงทอม กลายเป็นหนังสือขายดีมากเป็นประวัติการณ์ มีตีพิมพ์ทั่วโลกกว่า 1.5 ล้านเล่ม แต่ความสำเร็จอย่างล้นหลามนี้ถูกมองว่าเป็นการโจมตีเกียรติยศของชาวรัฐทางใต้ ทำให้เกิดกระแสตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนจากฝ่ายที่สนับสนุนสถาบันทาส จนถึงขนาดว่ามีวรรณกรรมแนว "แอนตี้-ทอม" หรือแนวสนับสนุนสถาบันทาส ออกมาแข่งกฎหมายแคนซัส-เนบราสกา กฎหมายแคนซัส-เนบราสกา. แม้ประชากรส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาศัยกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือ จะไม่เห็นด้วยกับการคงไว้ซึ่งสถาบันทาส แต่การแทรกแทรงโดยตรงจากรัฐสภาให้มีการยกเลิกหรือเพียงแต่จำกัดการขยายตัวของสถาบันทาสไม่ว่าในพื้นที่ใดของสหรัฐ ก็ยังเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เนื่องจากแนวคิดทางกฎหมายรัฐธรรมนูญในขณะนั้นยังไม่มีบทคุ้มครองห้ามเลือกปฏิบัติต่อประชาชนอเมริกันด้วยเหตุผลทางสีผิว หรือศาสนา และยังคงถือว่าแต่ละรัฐมีอำนาจจะกำหนดสิทธิหน้าที่ (ซึ่งรวมถึงสิทธิเลือกตั้ง) ของพลเมืองในรัฐอย่างไรก็ได้ แนวคิดหนึ่งที่ยอมรับอย่างกว้างขวางคือ การถือว่าประเด็นเรื่องสถาบันทาสเป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตยของปวงชน (popular sovereignty) มากกว่าที่จะเป็นการเมืองในรัฐสภา และคนท้องถิ่นย่อมมีสิทธิจะโหวตเสียงกำหนดเอาเองในพื้นที่ที่ตนอาศัยหรือที่ตนเข้าไปบุกเบิก แนวคิดเรื่องอธิปไตยปวงชนนี้ถูกสอดเข้าไปในนโยบายของรัฐบาลกลาง ที่สนับสนุนการขยายการตั้งรกรากของประชากรเข้าในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกในทิศตะวันตก ตัวอย่างที่สำคัญ คือ กฎหมายแคนซัส-เนบราสกา (Kansas-Nebraska) ปี 1854 ซึ่งร่างโดย วุฒิสมาชิก สตีเฟน เอ. ดักลาส กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์จะให้คนเข้าไปจับจองพื้นที่ทำกินตามแนวทางรถไฟข้ามประเทศที่กำลังก่อสร้าง โดยผนวกเอาแนวคิดเรื่องอธิปไตยของปวงชนไว้ แต่กลับเป็นว่านำไปสู่การนองเลือดที่รู้จักกันในชื่อ "แคนซัสหลั่งเลือด" (Bleeding Kansas) เมื่อนักบุกเบิกอุดมการณ์ "แผ่นดินเสรี" (free soilers) เข้าปะทะกับนักบุกเบิกที่สนับสนุนสถาบันทาสจากรัฐมิสซูรีใกล้เคียง ซึ่งแห่กันเข้ามาในแคนซัสเพียงเพื่อที่จะออกเสียงลงมติรับรัฐธรรมนูญของรัฐ การใช้ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่นานหลายปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกสิบคน และอาจถึงสองร้อยคนภายในแค่สามเดือนแรกศาลสูงสุดเข้าแทรกแทรง: คำพิพากษาคดี เดร็ด สก็อตต์ ศาลสูงสุดเข้าแทรกแทรง: คำพิพากษาคดี เดร็ด สก็อตต์. แนวคิดเรื่องการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชนได้รับการปฏิเสธจากฝ่ายตุลาการสูงสุด ในปี ค.ศ. 1857 ในคำพิพากษาคดี เดร็ด สก็อตต์ กับ แซนด์ฟอร์ด () ตุลาการหัวหน้าศาล โรเจอร์ บี. ทอนีย์ (Roger B. Taney) พิพากษาว่า ไม่มีบทบัญญัติหรือหลักกฎหมายในในสหรัฐ ที่จะห้ามมิให้นาสทาสพาหรือติดตามทาสของตน เข้าไปในดินแดนบุกเบิกใหม่ของประเทศ โดยตุลาการทอนีย์เห็นว่า "คนนิโกรที่บรรพบุรุษถูกซื้อขายเข้ามาในประเทศนี้ในฐานะทาส" ไม่ว่าจะยังป็นทาสอยู่ หรือได้รับอิสระแล้วก็ดี ไม่อาจมีฐานะเป็นประชาชนอเมริกันได้ และย่อมไม่มีอำนาจที่จะเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ ในศาลสหพันธรัฐ และรัฐบาลสหพันธรัฐย่อมไม่มีอำนาจใดๆที่จะออกกฎหมายควบคุมการมีทาสในดินแดนของสหพันธรัฐ ที่ได้รับมาหลังการก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา" นอกจากนี้เนื้อหาในตอนหนึ่งของคำพิพากษาประกาศว่า คำพิพากาษาคดี เดร็ด สก็อตต์ (Dred Scott) ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ทั้งโดยสื่อ และนักการเมืองฝ่ายเหนือซึ่งถือว่าคำพิพากษานี้ขัดต่อหลักเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ อับราฮัม ลินคอล์น ตอบโต้คำพิพากษานี้ในคำปราศัย "ครัว​เรือน​ไหน​แตก​แยก​กัน​เอง ครัว​เรือน​นั้น​​จะ​ตั้ง​อยู่​ไม่​ได้" ("") ของตนที่รัฐอิลินอยส์ ในปีเดียวกัน โดยเตือนถึงภัยของคำพิพากษา Dred Scott ที่จะเปลี่ยนอเมริกาทั้งประเทศให้กลายเป็นดินแดนที่การมีทาสเป็นเรื่องชอบด้วยกฎหมาย และท่านยังทำนายว่าอเมริกาจะไม่แบ่งแยกตลอดไป แต่มีชะตากรรมที่จะต้องเปลี่ยนไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งหากไม่ใช่ว่าการมีทาสจะกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายทั้งประเทศ ก็ต้องเป็นว่าการมีทาสจะต้องไม่มีอยู่อีกต่อไป นอกจากนี้คำพิพากษาเดรด สก็อต ยังมีส่วนผลักดันให้ขบวนการนักเลิกทาสปฏิบัติการก้าวร้าวขึ้นไปอีก อย่างเช่น กรณีนักเลิกทาส จอห์น บราวน์ ที่พยายามติดอาวุธให้กับทาสผิวดำเพื่อให้ก่อจลาจลที่ ฮาร์เปอร์ส เฟอร์รี่ (Harper's Ferry) เวอร์จิเนีย ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1859การเลือกตั้งประธานาธิบดี กับวิกฤติการแยกดินแดน การเลือกตั้งประธานาธิบดี กับวิกฤติการแยกดินแดน. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันประเทศอเมริกาเข้าสู่สงครามกลางเมือง ประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น เป็นชาวอเมริกันทางตอนเหนือที่มีความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใต้ ประธานาธิบดีบูแคนันมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำให้เนื้อคำพิพากษาคดี เดร็ด สก๊อต ออกมากว้างในลักษณะเป็นคุณกับนายทาสเช่นนั้น โดยบูแคนันเป็นคนเขียนจดหมายชักจูงให้ตุลาการสมทบแห่งศาลสูงสุดสหรัฐ โรเบิร์ต เกรีย (Robert Grier) โหวตร่วมกับฝ่ายเสียงข้างมากในคณะศาลให้ สก็อตต์ ทาสผิวดำแพ้คดี เพื่อให้ศาลเขียนคำพิพากษาปฏิเสธอำนาจของรัฐบาลกลางในประเด็นที่เกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสแบบเด็ดขาด การเข้ากดดันตุลาการในคดี เดร็ด สก็อตต์ ของ ปธน. บูแคนันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และก่อเกิดผลสะท้อนกลับเชิงลบทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างยิ่ง ความไม่พอใจในคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ ของชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือ ช่วยให้พรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะได้ที่นั่งสภาผู้แทนเพิ่มในการเลือกตั้งกลางเทอม ปี 1858 และเข้าควบคุมได้ทั้งสภาคองเกรสในการเลือกตั้งใหญ่ ปี 1860 ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี ค.ศ. 1860 ของพรรครีพับลิกันซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผลมาจากความระส่ำระสายภายในของพรรคเดโมแครต เนื่องจากตัวแทนจากรัฐทางตอนใต้ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสถาบันทาส และคำพิพากษา เดร็ด สก็อตต์ พากัน "วอล์กเอ้าท์" จาก เพื่อประท้วงการที่ที่ประชุมปฏิเสธไม่รับมติสนับสนุนนโยบายขยายสถาบันทาส โดยการใช้กฎหมายทาส () ในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา สมาชิกของพรรคเดโมแครตจึงแตกออกเป็นฝ่ายเหนือและใต้ โดยสมาชิกพรรคฝ่ายใต้เป็นพวกสนับสนุนคำพิพากษาคดีเดร็ด สก็อตต์ ฝ่ายนี้จึงแยกตัวออกมาเลือก นายจอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ (John C. Breckinridge) ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี มาเป็นผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้ ในขณะที่ นายสตีเฟน เอ. ดักลาส ตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งเดโมแครตฝ่ายเหนือ และเป็นผู้ร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบรากา ที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการกำหนดความชอบด้วยกฎหมายของสถาบันทาสโดยทางอธิปไตยปวงชน (กล่าวคือประสงค์จะให้สภาคองเกรสทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแทรงไม่ว่าจะเพื่อจำกัด หรือสนับสนุนการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐ) ก็ได้รับความนิยมทางตอนเหนือสู้ลินคอล์นไม่ได้ ลินคอล์นจึงกวาดคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) ไปแบบท่วมท้น และเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ปี 1860 แม้ว่าจะได้รับคะแนนนิยมทั่วประเทศเพียงแค่ 40% กลายเป็นผู้สมัครพรรครีพับลิกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีรัฐทางใต้ทยอยแยกตัว รัฐทางใต้ทยอยแยกตัว. การเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 1860 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการครองอำนาจทางการเมืองในอเมริกาของฝ่ายใต้ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของจำนวนประธานาธิบดีทั้งหมดล้วนมาจากภาคใต้ นับแต่ จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกเป็น ปธน. คนแรกในปี ค.ศ. 1789 ความพ่ายแพ้นี้ทำให้รัฐฝ่ายใต้รู้สึกถูกบีบคั้นอย่างมาก และกลายเป็นจุดแตกหักทางการเมือง โดยเพียงสองเดือนหลังชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศของลินคอล์น มลรัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีที่สำคัญที่สุดในการผลักดันประเด็นเรื่องสิทธิของมลรัฐที่จะปกครองและกำหนดตนเอง (state rights) ก็ประกาศแยกตัวออกเป็นรัฐแรก ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1860 มลรัฐเกษตรกรรมไร่ฝ้ายอีกหกมลรัฐ ได้แก่ มิสซิสซิปปี, ฟลอริดา, แอละแบมา, จอร์เจีย, หลุยส์เซียนา และเท็กซัส ทยอยประกาศแยกตัวออกตามในอีกสองเดือนถัดมา คือระหว่างเดือน มกราคม และกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1861 หกรัฐแรกที่ประกาศแยกตัวมีสัดส่วนของทาสต่อประชากรที่สูงถึงร้อยละ 49 แสดงถึงความพึ่งพาแรงงานทาสในอุตสาหกรรมการเกษตรในระดับที่สูงมาก และรัฐเหล่านี้เชื่อว่าการครองทาสเป็น บรรดารัฐที่แยกตัวออกนี้ได้ร่วมกันจัดตั้งเป็น สมาพันธรัฐอเมริกา (Confederacy) ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1861 หลังจากจัดตั้งแล้วกองกำลังสมาพัธรัฐก็เริ่มโจมตีทรัพย์สินและป้อมค่ายของรัฐบาลกลางโดยแทบไม่พบการต่อต้านเลย เนื่องจากประธานาธิบดี เจมส์ บูแคนัน แห่งพรรคเดโมแครตกำลังจะหมดวาระ และบูแคนันอ้างว่า "อำนาจที่จะใช้กำลังอาวุธ เพื่อบังคับให้มลรัฐคงอยู่ในสหภาพต่อไปนั้น ไม่ได้อยู่อำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้สภาคองเกรส" อย่างไรก็ดี ทั้งรัฐบาลเดโมแครตของ ปธน.บูแคนัน และฝ่ายพรรครีพับลิกันที่กำลังจะเข้ามาบริหาร ต่างก็ประณามการแบ่งแยกดินแดนว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ก็พยายามจะประนีประนอมในประเด็นเรื่องการมีทาสอยู่ การประนีประนอมคริตเตนเดนถูกเสนอขึ้นโดยวุฒิสมาชิก จอห์น เจ. คริตเตนเดน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1860 เพื่อแก้ปัญหาการขอแยกดินแดน โดยเสนอให้รื้อฟื้นเอาเส้นพรมแดนระหว่างรัฐเสรี-รัฐทาส ตามการประนีประนอมมิสซูรี ปี 1820 กลับมาใช้ใหม่โดยให้ขยายออกไปทางฝั่งตะวันตก ทั้งยอมให้รัฐทางใต้สามารถคงระบอบทาสไว้ได้แบบถาวร และให้สามารถป้องกันทาสหลบหนีได้ด้วย ข้อเสนอนี้เป็นที่พอใจของฝ่ายใต้ แต่ในที่สุดก็ถูกปัดให้ตกไปทั้งโดยสภาผู้แทนฯสหรัฐ และวุฒิสภาสหรัฐฯ เนื่องจากพรรครีพับลิกันมองว่าเป็นข้อเสนอที่รับไม่ได้เพราะเท่ากับว่ายอมให้มีการขยายตัวของสถาบันทาสไปในพื้นที่ใหม่ๆของสหรัฐได้ ความหวังสุดท้ายที่จะรักษาสหภาพไว้จึงหมดลงไปลินคอล์นให้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง ลินคอล์นให้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง. อับราฮัม ลินคอล์น เข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 ท่านกล่าวในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ความพยายามแยกรัฐออกเป็นอิสระย่อมเป็นโมฆะ แต่ก็ให้คำยืนยันว่ารัฐบาลของตนจะไม่เริ่มต้นสงครามกลางเมือง โดยกล่าวต่อ "รัฐทางใต้" ว่า "ข้าพเจ้าไม่มีจุดมุ่งหมายโดยตรงหรือโดยอ้อมที่จะแทรกแทรงสถาบันการครองทาสที่ยังมีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะทำเช่นนั้น" ลินคอล์นทำอย่างดีที่สุดที่จะใช้สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งในการหว่านล้อมเพื่อนร่วมชาติ ให้หันมาปรองดองกัน ให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวอเมริกันครอบครัวเดียวกัน ดังพูดคำปิดท้ายสุนทรพจน์ แต่หลังจากกองกำลังสมาพันธรัฐ เคลื่องทัพเข้ายึดครองป้อมและทรัพย์สินของรัฐบาลกลางหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ความพยายามที่จะประนีประนอมก็พังทลายลง ลินคอล์นปฏิเสธไม่รับค่าชดเชยราคาทรัพย์สินที่เสียหาย หรือถูกทำลายโดยกองกำลังสมาพันธรัฐ โดยอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เจรจา หรือเข้าทำสัญญากับองค์กรที่ไม่มีความชอบธรรมตามกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายจึงหันมาเตรียมพร้อมสำหรับสงครามการจัดตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา การจัดตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา. สมาพันธรัฐอเมริกาถูกจัดตั้งขึ้นในระหว่าง การประชุมมอนต์กอเมอรี ณ รัฐแอละแบมา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 - หนึ่งเดือนก่อนที่ลินคอล์นจะเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ในระยะแรกมีรัฐเข้าร่วมจัดตั้ง ​6 รัฐ ได้แก่ เซาท์แคโรไลนา, มิสซิสซิปปี, ฟลอริดา, แอละแบมา, จอร์เจีย และลุยเซียนา โดยมีเท็กซัสเป็นรัฐเข้าร่วมสังเกตการณ์ (ก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมาพันธรัฐ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1861) และมีนาย เจฟเฟอร์สัน เดวิส เป็นประธานาธิบดี เมืองหลวงในระยะแรกอยู่ที่เมืองมอนต์กอเมอรี รัฐแอละแบมา ต่อมามีมลรัฐเข้าร่วมเพิ่มอีก 4 มลรัฐ รวมทั้งสิ้น 11 มลรัฐ และย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย ในวันที่ 30 พฤษภาคม ในปีเดียวกันเปิดฉากการสู้รบ: ยุทธการที่ฟอร์ทซัมเทอร์ เปิดฉากการสู้รบ: ยุทธการที่ฟอร์ทซัมเทอร์. ป้อมซัมเทอร์ หรือ ฟอร์ทซัมเทอร์ เป็นป้อมปราการของรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งอยู่กลางท่าเรือเมืองชาล์สตัล มลรัฐเซาท์แคโรไลนา ในขณะที่กองกำลังสมาพันธรัฐยกพลมาถึงนั้น กองกำลังของรัฐบาลกลางได้ถูกถอนออกไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปะทะกับพลเรือนติดอาวุธ (militia) ในพื้นที่ แต่เดิมรัฐบาลของ ปธน.บิวแคนัน ต้องการให้ทางป้อมถอนกำลังออกไป แต่รัฐบาลใหม่ของลินคอล์นออกคำสั่งให้ทหารรักษาป้อมไว้ก่อน จนกว่าจะถูกยิงใส่ ดังนั้นเมื่อ พันตรีโรเบิร์ต แอนเดอร์สัน นายทหารบัญชาการของฝ่ายสหภาพไม่ปฏิบัติตามคำเรียกร้องให้ยอมจำนนของทางฝ่ายสมาพันธรัฐ เจฟเฟอร์สัน เดวิส จึงสั่งให้ นายพลจัตวา พี. จี. ที. โบรีการ์ด ยิงโจมตีป้อมก่อนที่กองหนุนจะมาถึง กองกำลังของโบรีการ์ดจึงเริ่มยิงโจมตีป้อม เมื่อวันที่ 12 เมษายน 1861 ยิงอยู่สองวันป้อมก็แตก โบรีการ์ดเคยเป็นนักเรียนภายใต้การฝึกสอนของพันตรีแอนเดอร์สันมาก่อนสมัยยังเรียนอยู่ที่เวสต์พอยน์ การโจมตีฟอร์ทซัมเทอร์ เป็นการปลุกกระแสชาตินิยมอเมริกันให้แพร่กระจายไปทั่วทางตอนเหนือ พันตรีแอนเดอร์สันกลายเป็นวีรบุรุษของชาติไปในชั่วข้ามคืน ฝ่ายเหนือเริ่มระดมกำลังตอบโต้ มีการนัดพบ พูดคุยปราศัย ฝ่ายเอกชนก็ช่วยระดมเงิน ส่วนในท้องที่ต่างๆก็มีการระดมกำลังพล ทั้งฝ่ายผู้ว่าการรัฐและฝ่ายนิติบัญญัติก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะตอบโต้ อย่างไรก็ดี ความกระตือรือร้นที่จะสู้กลับในภาคเหนือ สะท้อนว่าฝ่ายสหภาพยังประมาทและยังประเมินสเกล หรือขนาดของสงครามที่จะตามมาต่ำเกินไป เพราะขณะนั้นคนส่วนใหญ่ยังคิดว่ามีเพียงรัฐไม่กี่รัฐทางตอนใต้ที่คิดแยกตัวออกจากสหภาพ ปธน. ลินคอล์น เรียกร้องให้ทุกมลรัฐส่งกำลังทหารไปยึดเอาป้อมซัมเทอร์ และทรัพย์สินอื่นๆของรัฐบาลกลางคืน โดยในเบื้องต้นลินคอล์นขอกำลังอาสาสมัครเพียง 75,000 นาย สำหรับประจำการเพียง 90 วันเท่านั้น ผู้ว่ารัฐแมสซาชูเซตส์ส่งหน่วยรบของรัฐลงใต้โดยทางรถไฟในวันถัดไป ส่วนในทางตอนใต้รัฐมิสซูรี พวกหนุนแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ได้เข้ายึดคลังแสงลิเบอร์ตี้ (Lierty Arsenal) ปธน.ลินคอล์นต้องประกาศขออาสาสมัครเพิ่มอีก 42,000 คน ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1861 ในระยะนี้มีรัฐพรมแดน เหนือ-ใต้ ประกาศแยกตัวเพิ่มอีก 4 รัฐ คือ เวอร์จิเนีย, เทนเนสซี, อาร์คันซัส และ นอร์ทแคโรไลนา โดยแต่เดิมรัฐเหล่านี้วางท่าที ไม่ยอมถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกับรัฐทางเหนือที่เป็นเพื่อนบ้าน การแยกตัวออกของรัฐเวอร์จิเนียทำให้ นายพลโรเบิร์ต อี. ลี ถอนตัวจากกองทัพฝ่ายสหภาพ โดยอ้างว่าไม่สามารถจับอาวุธขึ้นสู้กับบ้านเกิดของตนได้ ทางฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกาตอบแทนรัฐเวอร์จิเนีย โดยการย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่ริชมอนด์ เมืองหลวงของเวอร์จิเนียการสู้รบ การสู้รบ. ประเทศอเมริกาสู้รบกันในสงครามกลางเมืองระหว่างวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 จนถึง 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1865 โดยมีการสู้รบกันใน 23 มลรัฐ และในพื้นที่ที่ขณะนั้นยังไม่มีสถานะเป็นมลรัฐ รวมไปถึงพื้นที่ทางน้ำ สงครามกลางเมืองอเมริกาสู้รบกันในพื้นที่นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ วาลเวอร์ด, รัฐนิวเม็กซิโก และ ตุลลาโฮมา, รัฐเทนเนสซี ไปจนถึง เซนต์อัลแบนส์, รัฐเวอร์มอนท์ และเฟอร์นานดินา ณ ชายฝั่งรัฐฟลอริดา สมรภูมิที่มีชื่อบันทึกอย่างเป็นทางการมีถึง 237 สมรภูมิ คนอเมริกันมากกว่าสามล้านคนเข้าร่วมสู้รบในสงครามกลางเมือง และมีคนกว่าหกแสนคนล้มตายในสงครามนี้ หรือคิดเป็นร้อยละสอง ของประชากรอเมริกันทั้งหมดแผนยุทธศาสตร์ แผนยุทธศาสตร์. เมื่อเริ่มต้นสงคราม ต่างฝ่ายต่างคิดว่าการรบจะจบลงโดยเร็ว แต่หลังจากยุทธการที่บูลรัน (Battle of Bull Run) ก็เป็นที่แน่ว่านี่จะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ เนื่องจากฝ่ายสมาพันธรัฐทราบดีว่าทั้งกำลังพล เทคโนโลยี และขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมของฝ่ายตนเป็นรองมาก แผนยุทธศาสตร์ของฝ่ายสมาพันธรัฐจึงเน้นที่การยืนระยะสงครามให้นานที่สุด เพื่อให้ฝ่ายสหภาพตระหนักถึงราคามหาศาลที่ต้องจ่ายในสงคราม และถอดใจเลิกคิดรวมชาติด้วยกำลังทหารไปเอง ส่วนเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของทางสหภาพ คือ ต้องการกำหราบฝ่ายกบฏแยกดินแดนลงให้ราบคาบ และป้องกันไม่ให้มีรัฐถอนตัวเพิ่ม ฝ่ายสหภาพจึงกำหนดยุทธศาสตร์ขึ้น 4 ประการ:1. ประการแรก คือ ทำการเจรจากับรัฐชายแดนบริเวณเหนือเส้นเมสัน-ดิกสัน () เช่น มลรัฐแมรีแลนด์ให้คงอยู่ในสหภาพ 2. ประการที่สอง คือ ทำการปิดล้อมท่าเรือของเมืองใหญ่ๆ ฝ่ายสมาพันธรัฐ เพื่อตัดการค้าและการส่งกำลังบำรุงจากยุโรป หรือจากหมู่เกาะบาฮามัส ซึ่งอยู่ในควบคุมของจักรวรรดิอังกฤษ 3. ประการที่สาม คือ เข้ายึดครองพื้นที่สำคัญตามแนวลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี เพื่อตัดขาดรัฐทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ จากรัฐฝั่งตะวันออกของสมาพันธรัฐ 4. ประการสุดท้าย คือ เดินทัพเข้าสู่ดินแดนใจกลางของสมาพันธรัฐ และเข้ายึดครองเมืองหลวงริชมอนด์การระดมกำลังพล การระดมกำลังพล. ในขณะที่ฝ่ายสมาพันธรัฐกำลังก่อตัวโดยรัฐร่วมจัดตั้ง 7 รัฐ ที่การประชุมเมืองมอนกอเมอร์รี กำลังพลทั้งหมดของกองทัพสหรัฐมีจำนวนราว 16,000 นาย แต่เหล่าผู้ว่าการรัฐทางเหนือก็เริ่มที่จะระดมกำลังพลเรือนติดอาวุธแล้ว สภาคองเกรสของสหพันธรัฐให้อำนาจประเทศที่ตั้งใหม่นี้มีกำลังทหารได้ไม่เกิน 100,000 นาย ซึ่งทางผู้ว่าการรัฐทางใต้ก็ทะยอยส่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอถึงเดือนพฤษภา ปธน.เจฟเฟอร์สัน เดวิสก็กำลังเร่งจะได้ได้กำลังพลถึง 100,000 นาย และสภาคองเกรสสหรัฐก็เร่งระดมพลตอบโต้ ในปีแรกของสงคราม ทั้งสองฝ่ายมีจำนวนอาสาสมัครเกินกว่าที่ตนจะสามารถฝึกและติดอาวุธให้ได้ แต่ความกระตือรือร้นของประชาชนก็มีอยู่ไม่นาน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันไปพึ่งพาการเกณฑ์ทหาร เพื่อเสริมกำลังของอาสาสมัคร ฝ่ายสมาพันธรัฐออกกฎหมายเรียกเกณฑ์ทหารในเดือนเมษายน ปี 1862 สำหรับชายหนุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปี ถึง 35 ปี โดยยกเว้นการเกณฑ์ทหารให้กับผู้คุมทาส เจ้าหน้าที่รัฐบาล และนักเทศน์ สภาคองเกรสของสหรัฐก็ออกกฎหมายอนุญาตให้มีการเรียกเกณฑ์พลเรือนติดอาวุธในมลรัฐ หากว่าจำนวนอาสาสมัครมีไม่ถึงตามที่โควต้ากำหนด ประชากรอพยพชาวยุโรปเข้าร่วมกองทัพฝ่ายสหภาพเป็นจำนวนมาก ทหารอย่างน้อย 177,000 นายเกิดในประเทศเยอรมนี และ 144,000 นายเกิดในไอร์แลนด์ การเรียกเกณฑ์ทหารไม่ได้รับความนิยมทั้งในทางเหนือ และทางใต้ มีการจลาจลต่อต้านการเกณฑ์ทหารครั้งใหญ่ที่เมืองนิวยอร์กในเดือนกรกฎาคม ปี 1863 ในภาคเหนือประมาณว่ามีคนหนีเกณฑ์ทหารถึง 120,000 คน โดยมีจำนวนไม่น้อยหนีขึ้นไปทางแคนาดา นอกจากนี้ยังมีทหารหนีทัพระหว่างสงครามอีกถึง 280,000 นาย ส่วนภาคใต้ก็มีทหารอย่างน้อย 1000,000 นายที่หนีทัพ คิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ 10 แต่บางส่วนเป็นการทิ้งหน้าที่ไปโดยไม่ได้รับอนุมัติ เพื่อไปดูและพ่อแม่หรือคนในครอบครัวอื่นๆ แต่ก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยของตนในภายหลัง ในทางเหนือมีพวกฉวยโอกาส ที่อาสาสมัครเข้าร่วมรบเพียงเพื่อจะเอาโบนัส แล้วก็เปลี่ยนชื่อตัวเพื่อที่จะไปสมัครเข้าประจำการ และรับโบนัสในหน่วยอื่นอีก มีคน 141 คนที่ถูกจับได้ และถูกประหารชีวิตการสู้รบทางยุทธนาวี การสู้รบทางยุทธนาวี. กองทัพเรือขนาดเล็กของสหรัฐขยายตังอย่างรวดเร็วในช่วงความขัดแย้ง จากที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการเพียง 6,000 นาย ในปี ค.ศ. 1861 ก็เพิ่มจำนวนเป็น 45,000 นายในปี ค.ศ. 1865 มีเรือ 671 ลำ รวมระวางขับน้ำทั้งสิ้น 510,396 ตัน ภารกิจหลักของทัพเรือคือการปิดล้อมท่าเรือของฝ่ายสมาพันธรัฐ เข้าควบคุมระบบแม่น้ำ ต่อต้านหน่วยจู่โจมของฝ่ายสมาพันธรัฐในทะเล และเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศึกที่มีความเป็นไปได้กับราชนาวีอังกฤษ เนื่องจากความตึงเครียดทางการทูตในกรณีเรือเทรนต์ () และด้วยความที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษมีพื้นฐานอยู่ที่สิ่งทอ (textile) ประเทศอังกฤษจึงเสียผลประโยชน์จากการปิดล้อมทางทะเลโดยฝ่ายสหภาพอยู่มาก ทำให้มีแรงกดดันจากอุตสาหกรรมสิ่งทอให้เข้าแทรกแทรงความขัดแย้งนี้ อังกฤษจึงมีบทบาทสำคัญในการขนส่งกำลังบำรุงและยุทโธปรณ์ให้กับฝ่ายใต้ ยุทธนาวีที่สำคัญๆส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันตก เพราะการเข้าควบคุมลำน้ำสายใหญ่ๆในแถบนั้นมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือสหรัฐ ที่ต้องการรุกเข้าไปสู่พื้นที่ใจกลางของสมาพันธรัฐ ในภาคตะวันออกกองทัพเรือทำหน้าที่ส่งกำลังบำรุงและเคลื่อนกำลังพลไปในพื้นที่ต่างๆ และในบางกรณีก็ใช้ยิงบอมบาร์ดฐานหรือป้อมปราการของฝ่ายสมาพันธรัฐยุทธวิธีปิดล้อมทางน้ำของฝ่ายสหภาพ ยุทธวิธีปิดล้อมทางน้ำของฝ่ายสหภาพ. นายพล วินฟิลด์ สก็อตต์ ได้คิดแผนงูอนาคอนดาขึ้นในราวต้นปี 1861 เพื่อให้ชนะสงครามโดยเสียเลือดเนื้อให้น้อยที่สุด ความคิดเห็นสาธารณะต้องการให้กองทัพสหภาพปฏิบัติการโจมตีทันที เพื่อให้ยึด ริชมอนด์ เมืองหลวงของข้าศึกให้เร็วที่สุด แต่สก็อตต์เป็นเพียงนายทหารอาวุโสเพียงไม่กี่คน ที่ตระหนักว่านี่จะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ และเชื่อว่าการโจมตีเศรษฐกิจของฝ่ายสหพันธรัฐโดยการปิดล้อมทางน้ำเป็นวิธีที่ดีกว่า ลินคอล์นนำแผนของสก็อตต์มาปฏิบัติส่วนหนึ่ง แต่ไม่ฟังคำทัดทานของสก็อตต์เกี่ยวกับระยะเวลาประจำการที่สั้นเพียง 90 วัน ของอาสาสมัคร ในวันที่ 19 เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1861 ลินคอล์นประกาศเริ่มยุทธวิธีปิดล้อมทางน้ำ ซึ่งต้องใช้กำลังทัพเรือตรวจตราชายฝั่งแอตแลนติก และอ่าวเม็กซิโกยาว 3,500 ไมล์ (5,600 กิโลเมตร) ครอบคลุมท่าเรือหลัก 12 ท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองท่าที่คับคั่งอย่างนิวออร์ลีนส์ และโมบิล รัฐแอละแบมา นับว่าเป็นความพยายามปิดล้อมชายฝั่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงขณะนั้น ในระยะเริ่มต้น กองทัพเรือสหรัฐมีเรือรบประจำการ 42 ลำ แต่ส่วนใหญ่ล้าสมัย และมีเพียง 3 ลำที่เหมาะสมสำหรับภารกิจปิดล้อมทางทะเล เลขาธิการกองทัพเรือ กิเดียน เวลส์ (Gideon Welles) เดินหน้าขยายจำนวนเรือรบอย่างรวดเร็ว และเริ่มโปรเจกต่อเรือขนาดใหญ่ขึ้นทันที มีการขอซื้อเรือพาณิชย์และเรือขนส่งผู้โดยสารของพลเรือน กองทัพเรือได้เรือกำปั่นไฟ เกือบ 80 ลำ และเรือกำปั่นใบ 60 ลำ เพิ่มขึ้นมาในช่วงสิ้นปีแรกของสงคราม พอถึงเดือนพฤศจิกายนปีถัดไป จำนวนเรือกำปั่นไฟของกองทัพเรือสหรัฐก็เพิ่มเป็น 282 ลำ กับเรือกำปั่นใบอีก 102 ลำ และในตอนท้ายของสงครามฝ่ายสหภาพมีเรือประจำการอยู่ทั้งหมดถึง ๖๗๑ ลำการดิ้นรนของทัพเรือฝ่ายสมาพันธรัฐ การดิ้นรนของทัพเรือฝ่ายสมาพันธรัฐ. เมื่อสงครามกลางเมืองเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน 1861 ฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกาแทบไม่มีเรือรบอยู่ในประจำการเลย ความช่วยเหลือส่วนใหญ่ในการส่งกำลังบำรุง และการต่อเรือรบ ล้วนมาจากบริเตนใหญ่ นอกจากนี้ฝ่ายสมาพันธรัฐก็ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ ปธน.เจฟเฟอร์สัน เดวิส จึงหันไปหาความช่วยเหลือของเอกชน โดยเสนอออกใบสัมปทานสงคราม หรือ (Letter of Marque) ซึ่งอนุญาตให้เอกชนที่ยอมเอาเรือมาใช้ในภาระกิจหลวงให้ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเรือข้าศึกที่จับได้ ทางกองทัพเรือของสมาพันธรัฐจึงประกอบไปด้วยเรือไปรเวทเทียร์ () เป็นจำนวนมาก แต่ลินคอล์นไม่ยอมรับว่าฝ่ายสมาพันธรัฐมีความชอบธรรม หรืออำนาจใดๆที่จะให้สัมปทานสงครามกับเอกชน และขู่ที่จะปฏิบัติต่อปฏิบัติการของเอกชนในลักษณะนี้ อย่างการกระทำอันเป็นโจรสลัด แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมลงนามใน ปี 1856 ว่าด้วยกฎหมายพาณิชนาวี ซึ่งห้ามไม่ให้มีไปรเวทเทียร์ ทางรัฐบาลอังกฤษจึงปฏิเสธไม่ยอมรับประกาศของลินคอล์นว่ามีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ในระยะแรกของสงคราม การปิดล้อมทางทะเลของฝ่ายสหภาพไม่ค่อยได้ผล เพราะกำลังทางเรือมีไม่พอจะไปปิดล้อมชายฝั่งยาวเป็นพันๆไมล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางฝ่ายใต้จึงสามารถใช้เรือกลไฟที่มีความเร็ว หรือ แล่นฝ่าการปิดล้อมไปได้ง่ายๆ ลูกเรือของไปรเวทเทียร์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ ซึ่งมีทั้งที่เป็นทหารเรือจากราชนาวีอังกฤษ และที่เป็นพลเรือน ทั้งนี้เป็นเพราะทางฝ่ายสมาพันธรัฐมีจำนวนทหารเรือ กะลาสี หรือต้นหนที่ได้รับการฝึกแล้วไม่เพียงพอจะปฏิบัติการส่งบำรุงเอง ในระยะแรกฝ่ายสมาพันธรัฐจึงพึ่งพาธุรกิจเอกชนทั้งในภาคใต้เองและในอังกฤษเป็นผู้จัดส่งกำลังบำรุง กับทรัพยากรที่ขาดแคลนเกือบทั้งหมด แต่ต่อมากองทัพเรือสมาพันธรัฐเริ่มติดต่อประเทศในยุโรป เพื่อหาเรือเข้าประจำการเอง เมื่อเรือเร็วหนีการปิดล้อม (blockade runners) ถูกจับได้ ทั้งตัวเรือและสินค้าที่บรรทุกจะถูกศาลสั่งให้เป็นรางวัลอของสงคราม (prize of war) และขายเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับลูกเรือของฝ่ายสหภาพ ส่วนลูกเรือที่เป็นคนบริติชก็มักจะถูกปล่อยตัว อย่างไรก็ดีเมื่อขนาดของกองทัพเรือฝ่ายเหนือใหญ่ขึ้นในปีหลังๆของสงคราม การแล่นฝ่าการปิดล้อมก็ทำได้ยากขึ้น เรือใหญ่ๆหมดสิทธิที่จะแล่นฝ่าด่านปิดล้อมไปได้ ต้องอาศัยเรือที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วโดยเฉพาะเท่านั้น และโอกาสที่จะถูกฝ่ายข้าศึกจับได้เพิ่มเป็นถึง 1 ใน 3 เมื่อสงครามเข้าสู่ปีที่ 1864การพัฒนาการของกองทัพเรือสมัยใหม่ การพัฒนาการของกองทัพเรือสมัยใหม่. ถึงแม้จะด้อยกว่ามากในด้านกำลังทางนาวี แต่กองทัพเรือสมาพันธรัฐก็เข็นเอานวัตกรรมด้านการรบทางน้ำออกมาหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งการสร้างและดัดแปลงเรือตอปิโดเสากระโดง (Spar Torpedo) และเรือดำนำที่ขับเคลื่อนด้วยมือ ซึ่งออกปฏิบัติการได้สำเร็จแต่กลับมาไม่ถึงฝั่ง เลขาธิการกองทัพเรือสมาพันธรัฐ สตีเฟน มัลลอรี (Stephen Mallory) ตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ของเรือรบหุ้มเกราะ ไอรอนแคลด เรือรบหุ้มเกราะลำแรกของสงคราม เป็นการเอาเรือเจาะน้ำแข็ง อีน็อค (Enoch) ที่ถูกไปรเวทเทียร์ วี.เอช.ไอวี (V.H. Ivy) ยึดมาได้มาปรับปรุงและดัดแปลงติดตั้งเกราะ แล้วเอาเข้าประจำการในชื่อ ซีเอสเอส. มานาสซัส (CSS Manassas) แต่ลำที่ฝ่ายสมาพันธรัฐสร้างขึ้นเองลำแรก คือ ซีเอสเอส เวอร์จิเนีย (CSS Virginia) โดย สตีเฟน มัลลอรี สร้างขึ้นด้วยการไปกู้เอาเครื่องจักรมาจากเรือ ยูเอสเอส เมอรริแม็ค (USS Merrimack) ที่ถูกจม แล้วตั้งชื่อใหม่ให้ว่า ซีเอสเอส เวอร์จิเนีย มันปฏิบัติหน้าที่วันแรกเมื่อ 8 มีนาคม ปี 1862 เรือ เวอร์จิเนีย สามารถจมเรือฝ่ายสหภาพที่เป็นเรือไม้ได้หลายลำในการรบวันแรก ในยุทธนาวีแฮมพ์ตันโรดส์ แต่ในวันถัดมาก็เจอคู่ปรับสายพันธ์เดียวกัน ได้แก่ เรือ ยูเอสเอส มอนิเตอร์ (USS Monitor) เรือรบหุ้มเกราะฝ่ายสหภาพที่สร้างตามนวัตกรรมการออกแบบของ จอห์น เอริคสัน การปะทะกันครั้งแรกของเรือรบหุ้มเกราะในอ่าว เชสะพีค (Chesapeake) กินเวลาสามชั่วโมงและจบลงโดยไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการมาถึงของเทคโนโลยีของยุทธนาวีในยุคต่อไป เทคโนโลยีเรือรบหุ้มเกราะเป็นความก้าวหน้าสำคัญในเทคโนโลยีการสงครามทางน้ำ สงครามกลางเมืองสหรัฐพิสูจน์ว่าเรือ ไอรอนแคลด ได้เข้ามาแทนที่ เรือรบแนวเส้นประจัญบาน หรือ ship of the line (of battle) ซึ่งครองความเป็นใหญ่ในสงครามทางทะเลมาตลอดสามศตวรรษ เรือที่ถูกสร้างขึ้นในสงครามกลางเมืองสหรัฐ ยังส่งผลกระทบต่อการสงครามในอีกซีกโลกด้วย ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือ ซีเอสเอส สโตนวอลล์ (CSS Stonewall) ซึ่งต่อขึ้นที่ บอร์โด ประเทศฝรั่งเศส โดยภายหลังถูกขายต่อและส่งมอบให้กับรัฐบาลเมจิของญี่ปุ่น ในชื่อเรือโคเทะสึ และมีบทบาทสำคัญในการยุติสงครามโบะชิงในญี่ปุ่นผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ. การปิดล้อมทางทะเลโดยฝ่ายเหนือมีประสิทธิภาพมากขึ้นๆเมื่อเวลาล่วงไป ผลจากการปิดล้อม ทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์จากฝ้ายของฝ่ายใต้แทบเป็นอัมพาต ระดับการส่งออกตกลงถึง 95% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสงคราม นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเพราะความที่ขาดแคลนสินค้า การขาดแคลนขนมปังทำให้มีการก่อจลาจลโดยประชากรผู้หญิง ในเมืองริชมอนด์ เมืองหลวงของสมาพันธรัฐ นอกจากนี้ การปิดกั้นแม่น้ำมิสซิสซิปปีโดยฝ่ายสหภาพ ยังทำให้การขนส่งม้า และปศุสัตว์ใหญ่ๆ จากเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ อย่างเท็กซัส และอาร์คันซัส ไปยังเมืองฝั่งตะวันออกของสมาพันธรัฐเป็นไปแทบไม่ได้ จึงกล่าวได้ว่าการปิดล้อมทางน้ำเป็นผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐแพ้สงคราม สงครามกลางเมืองสหรัฐเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ จักรวรรดิอังกฤษกำลังเป็นผู้นำการค้าเสรีโลก นักการทูตอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ได้รับความสำเร็จในการเจรจาเปิดการค้าในประเทศตะวันออกไกล เช่น สยาม และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ริชาร์ด ค็อบเดน (Richard Cobden) นักธุรกิจ และศาสดาแห่งการค้าเสรีชาวอังกฤษ ก็เป็นผู้ริเริ่มเผยแพร่ปรัชญาในการสร้างสันติระหว่างประเทศโดยการค้าเสรี ดังนั้นเมื่อสงครามกลางเมืองสหรัฐระเบิดขึ้น และนำไปสู่การปิดล้อมทางทะเลที่ตัดเส้นทางการค้าระหว่างอังกฤษ กับฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา จึงทำให้คอบเดนหนักใจมากในตอนต้น (แต่ภายหลังก็มาหนุนหลังฝ่ายสหภาพ เมื่อแน่ใจว่าเป้าหมายของสงครามคือการเลิกทาส) หลังสงครามจบลงฝ่ายสหรัฐเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรจ่ายค่าเสียหาย โดยกล่าวหาว่าแถมยังแทรกแทรงความขัดแย้งทางการเมืองภายในของตน ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษยอมจ่ายค่าเสียหายให้ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ และค็อบเดนเป็นปากเสียงสำคัญที่สนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษชดใช้ค่าเสียหายเขตสงครามตะวันออก เขตสงครามตะวันออก. เขตสงครามตะวันออก เป็นเวทีรบของการทัพสำคัญๆ (major campaigns) ของ กองทัพโพโทแม็ค - กองทัพใหญ่ฝ่ายสหภาพ โดยเป้าหมายประสงค์หลักของสหภาพ คือ การยึดให้ได้เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย อันเป็นเมืองหลวงฝ่ายสมาพันธรัฐ การทัพเหล่านี้เต็มไปด้วยการล้มลุกคลุกคลาน เพราะต้องเผชิญกับการต่อต้านโดยกองทัพเวอร์จิเนีย์เหนือของฝ่ายสมาพันธรัฐ ซึ่งมีนายพลโรเบิร์ต อี. ลี เป็นผู้บัญชาการ, ประธานาธิบดีลินคอล์นพยายามเสาะหานายพลที่กล้าและสามารถเทียบเคียงกับลีได้ โดยลินคอล์นแต่งตั้งและสับเปลี่ยนเอานายพล เออร์วิน แม็คโดเวล, จอร์จ บี. แม็คเคลแลน, จอห์น โป๊ป, แอมโบรส เบิร์นไซด์, โจเซฟ ฮุกเกอร์, และจอร์จ จี. มี้ด มาเป็นเป็นผู้บัญชาการกองกำลังหลักๆในภาคตะวันออก กองทัพของฝ่ายสมาพันธรัฐประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในช่วงต้นๆของสงคราม โดยสามารถผลักกองกำลังฝ่ายสหภาพภายใต้การนำทัพของ พลตรี เออร์วิน แม็คโดเวล ให้ถอยร่นได้ในยุทธการบูลรัน ณ เมืองมานาสซัส ที่อยู่ห่างจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไปเพียง 25 ไมล์ ลินคอล์นเรียกตัว พลตรี จอร์จ บี. แม็คเคลแลน มารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ (general-in-chief) ของกองทัพสหภาพทั้งหมด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1861 แต่เป็นแค่ในช่วงสั้นๆ ก็ถูกถอดให้มาเป็นผู้บัญชาการกองทัพโพโทแม็คของสหภาพเพียงอย่างเดียว แมคเคลแลนเป็นนายพลหนุ่มอายุเพียง 34 ปี มีทักษะที่ยอดเยี่ยมในการฝึกทหาร จัดระเบียบ และเตรียมกองทัพ แต่ว่าเป็นผู้บัญชาการทหารที่สุขุมเกินเหตุ และไม่ชอบตัดสินใจทำอะไรเสี่ยง สงครามเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี 1862 ปธน.ลินคอล์นต้องการให้เริ่มปฏิบัติการเชิงรุกโดยเร็วที่สุด แม็คเคลแลนตอบสนองโดยการนำกองทัพแห่งโพโทแม็คเข้าโจมตีเวอร์จิเนีย ในการทัพคาบสมุทร (Peninsula Campaign) ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1862 โดยทางคาบสมุทรเวอร์จิเนีย ระหว่างแม่น้ำยอร์ก กับแม่น้ำเจมส์ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของริชมอนด์ กองทัพของแม็คเคลแลนไล่ตามกองทัพของโจเซฟ อี. จอห์นสโตน มาจนถึงปากทางเข้าเวอร์จิเนีย แต่ถูกทัพของจอห์นสโตนตรึงสกัดไว้ได้ ในยุทธการเซเว่นไพน์ (Battle of Seven Pines) จากนั้นนายพล โรเบิร์ต อี. ลี และนายทหารคนสำคัญ - เจมส์ ลองสตรีท กับ สโตนวอลล์ แจ็คสัน - เอาชนะกองทัพของแม็คเคลแลนได้ใน ยุทธการเจ็ดวัน บังคับให้ฝ่ายสหภาพถอยทัพไปได้ การทัพเวอร์จิเนียเหนือ จบลงในปลายฤดูร้อนด้วยชัยชนะของฝ่ายสมาพันธรัฐในยุทธการบูลรันครั้งที่สอง แม็คเคลแลนแข็งขืนคำสั่งของผู้บัญชาการทัพใหญ่ เฮนรี ฮัลเล็ค ไม่ยอมส่งกองหนุนไปช่วยกองทัพเวอร์จิเนียของจอห์น โป๊ป ทำให้ฝ่ายสหภาพแพ้กองทัพของลี แม้ว่าจะมีกำลังรบรวมกันมากกว่าฝ่ายสมาพันธรัฐถึงสองเท่า ผลของความพ่ายแพ้ทำให้ นายพลจอห์น โป๊ป ถูกถอดจากการบังคับบัญชา และกองทัพเวอร์จิเนียถูกยุบไปรวมกับทัพใหญ่ ชัยชนะในศึกบูลรันครั้งที่สอง ทำให้ฝ่ายสมาพันธรัฐฮึกเหิมมาก และเตรียมทัพเพื่อขึ้นโจมตีทางเหนือครั้งแรกทันที โดยในวันที่ 5 กันยายน นายพลลีนำกองทัพเวอร์จิเนียเหนือ มีกำลังพล 45,000 นาย ข้ามแม่น้ำโพโทแม็คเข้าสู่แมรีแลนด์ ทางฝ่ายแม็คเคลแลนเมื่อได้คืนกำลังพลมาจากกองทัพของโป๊ปแล้ว ก็ยกทัพใหญ่ของสหภาพ - กองทัพโพโทแม็ค - เข้าสู้รบกับนายพลลี ในศึกแอนตีแทม ใกล้กับเมืองชาร์ปสเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์ โดยเป็นการรบกันวันเดียวที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกามาตราบจนทุกวันนี้; แม้แม็คเคลแลนจะพลาดโอกาสที่จะรุกไล่ติดตามเพื่อทำลายกองทัพของลี ศึกแอนตีแทม ก็ถือเป็นชัยชนะของฝ่ายสหภาพ เพราะเป็นยุทธการที่สามารถยับยั้งแผนการบุกขึ้นเหนือของลีเอาไว้ได้ การถอยทัพของลีเปิดโอกาสให้ ปธน. ลินคอล์นประกาศเลิกทาส และถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม แม้จะทำให้ลีถอยทัพไปได้ แม็คเคลแลนก็ถูกปลดจากตำแหน่งบัญชาการ เพราะลินคอล์นมองว่าเขาสุขุมเกินไป ทำให้พลาดโอกาสทำลายข้าศึก พลตรี แอมโบรส เบิร์นไซด์ เข้ารับตำแหน่งบัญชาการกองทัพโพโทแม็คแทนที่ แต่เบิร์นไซด์ก็เพลี่ยงพล้ำในฤดูหนาวปีนั้นเอง เมื่อทหารของกองทัพสหภาพกว่า 12,000 คน ถูกฆ่า หรือได้รับบาดเจ็บ ในยุทธการที่เฟรดริกสเบิร์ก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม จากความพยายามโจมตีโดยเปล่าประโยชน์จากทางด้านหน้าซ้ำๆ ต่อฐานที่มั่นบนเนิน Marye's Heights ของกองทัพฝ่ายใต้ เบิร์นไซด์ถูกปลดและ พลตรี โจเซฟ ฮุกเกอร์ ถูกแต่งตั้งเข้าแทนที่ นายพลฮุกเกอร์บัญชาการกองทัพโพโทแม็คที่มีกำลังรบมากกว่า กองทัพเวอร์จิเนียเหนือถึงกว่าสองเท่า แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพของลีได้ ฮุกเกอร์พ่ายแพ้อย่างยับเยินในยุทธการที่แชนเซเลอร์สวิลล์ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1863 แต่นายพลลีก็ต้องเสียนายพล สโตนวอลล์ แจ็กสัน ทหารคู่ใจ ซึ่งถูกยิงที่แขน และเสียชีวิตเพราะอาการแทรกซ้อนในเวลาต่อมา ลินคอล์นรับจดหมายขอถอนตัวจากหน้าที่ของฮุกเกอร์ และแทนที่เขาด้วย นายพลจอร์จ มี้ด ในเดือนมิถุนายน; ฝ่ายสมาพันธรัฐตัดสินใจยกทัพบุกขึ้นเหนืออีกครั้ง แต่คราวนี้กองทัพโพโทแม็คของมี้ด สามารถเอาชนะลีได้ในยุทธการเกตตีสเบิร์ก การรบที่เกตตีสเบิร์กเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 มิถุนายน 1863 โดยกินเวลา 3 วันเต็มๆ และเป็นศึกที่เสียเลือดเนื้อกันมากที่สุดในสงคราม โดยกองทัพของลีมีทหารบาดเจ็บล้มตาย 28,000 นาย (ในขณะที่กองทัพแห่งโพโทแม็คมีจำนวนความสูญเสียอยู่ที่ 23,000) เกตตีสเบิร์กถือเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามกลางเมืองอเมริกา การเข้าชาร์จของพิกเก็ตต์ในวันที่ 3 กรกฎาคม แสดงถึงจุดพีคของศักยภาพของกำลังการรบฝ่ายใต้ ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่อาจกลับมามีแนวโน้มที่จะชนะสงครามได้อีก อย่างไรก็ดี นายพลจอร์จ มี้ด ล้มเหลวในการสกัดกั้นการถอยทัพของลี ปล่อยให้ลีหนีไปได้อีกครั้ง ซึ่งทำให้การทัพในฤดูใบไม่ร่วงยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ และทำให้ลินคอล์นไม่พอใจ ลินคอล์นเสาะหาผู้นำทัพคนใหม่ ในแนวรบด้านตะวนตกขณะนั้น กองกำลังป้องกันที่มั่นของฝ่ายใต้ที่ วิคสเบิร์ก ยอมจำนนต่อกองทัพปิดล้อมฝ่ายสหภาพ ทำให้ฝ่ายสหภาพสามารถเข้าควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปีได้ในที่สุด ส่งผลให้ฝ่ายสมาพันธรัฐฝั่งตะวันตกถูกโดดเดี่ยว และให้กำเนิดผู้นำทัพคนใหม่ที่ลินคอล์นต้องการ: นายพลยูลิสซิส เอส. แกรนต์เขตสงครามตะวันตก เขตสงครามตะวันตก. กองกำลังฝ่ายสมาพันธรัฐในเขตสงครามตะวันตกประสบความปราชัยบ่อยครั้ง กองกำลังป้องกันมิสซูรี (Missouri State Guard) ถูกกองทัพฝ่ายเหนือของนายพล ซามูเอล เคอร์ติส ขับออกจากมิสซูรีในยุทธการที่พีริดจ์ตั้งแต่ช่วงต้นสงคราม การโจมตีเมืองโคลัมบัส (รัฐเคนทักกี) ของแม่ทัพฝ่ายสมาพันธรัฐ, เลออนิดัส พอล์ค, ทำให้เคนทักกีเลิกคงทีท่าความเป็นกลาง และกลายเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายใต้ เมืองแนชวิลล์และศูนย์กลางรัฐเคนทักกีตกเป็นของฝ่ายสหภาพตั้งแต่ช่วงต้นปี 1862 ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนอาหาร และปศุสัตว์ และความโกลาหล ฝ่ายสหภาพสามารถเปิดใช้แม่น้ำมิสซิสซิปปีสัญจรลงไปถึงทางใต้ของเทนเนสซี ด้วยการยึดเข้าไอส์แลนด์ No.10 และเมืองนิวแมดริด มลรัฐมิสซูรี, และจากนั้นก็ยึดเมืองเมมฟิสต์ รัฐเทนเนสซี ตามลำดับ กองทัพเรือสหภาพสามารถยึดนิวออร์ลีนส์ได้ในเดือนเมษายน 1862 ซึ่งทำให้กองกำลังฝ่ายสหภาพครองมิสซิสซิปปีได้เกือบทั้งหมด มีเพียงเมืองป้อมปราการวิคสเบิร์กของรัฐมิสซิสซิปปีเท่านั้นที่ป้องกันมิให้ฝ่ายเหนือเข้าควบคุมแม่น้ำได้ทั้งสาย นายพลแบร็กซ์ตัน แบร็กก์ นำฝ่ายสมาพันธรัฐเข้ารุกรานรัฐเคนทักกีครั้งที่สอง แต่จบลงด้วยชัยชนะที่ไม่มีความหมายในยุทธการเพอร์รีวิลล์ โดยแบร็กก์ต้องหยุดการรุกรานเคนทักกีและถอนกำลัง เพราะไม่มีแรงสนับสนุนจากทางสมาพันธรัฐ การทัพสโตนส์ริเวอร์สิ้นสุดลง เมื่อกองทัพของแบร็กก์พ่ายให้กับ พลตรีวิลเลียม โรสครานส์ในยุทธการสโตนส์ริเวอร์รัฐเทนเนสซี ฝ่ายสมาพันธรัฐได้ชัยชนะเหนือสหภาพแบบชัดเจน ก็เฉพาะที่ยุทธการชิคกะเมากาเท่านั้น; กองทัพของนายพลแบร็กก์ ที่ได้รับกำลังเสริมจากเวอร์จิเนียภายใต้การนำของพลโทเจมล์ ลองสตรีท สามารถเอาชนะโรสครานส์ และบังคับให้โรสครานส์ถอยทัพไปชัตตานูกาได้ นักยุทธศาสตร์คนสำคัญของสหภาพในแนวรบตะวันตก คือ ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ ผู้ได้รับชัยชนะในหลายสมรภูมิ ทั้งยุทธการที่ฟอร์ทเฮนรี, ยุทธการที่ฟอร์ทโดเนลสัน (เป็นผลให้ฝ่ายสหภาพเข้าควบคุมแม่น้ำเทนเนสซี และแม่น้ำคัมเบอร์แลนด์ได้), ยุทธการไชโลห์, และยุทธการวิคสเบิร์ก ซึ่งเพิ่มความแข็งแกร่งของอำนาจควบคุมแม่น้ำมิซิสซิปปีของฝ่ายสหภาพ แกรนต์เดินทัพเข้ากู้สถานการณ์ของโรสแครนส์ และพิชิตแบร็กก์ลงได้ในศึกชัตตานูกาครั้งที่สาม ขับไล่กองกำลังสมาพันธรัฐออกจากเทนเนสซี และเปิดเส้นทางไปสู่แอตแลนตากับใจกลางของฝ่ายสมาพันธรัฐเขตสงครามทรานส์-มิสซิสซิปปี เขตสงครามทรานส์-มิสซิสซิปปี. การรบแบบกองโจรในวงกว้าง เป็นลักษณะทั่วไปของพื้นที่ทรานส์-มิสซิสซิปปี เนื่องจากฝ่ายสมาพันธรัฐมีความขาดแคลนกำลังพลและลอจิสติกส์ที่มีความจำเป็นต่อการมีกองกำลังถาวรไว้ต่อสู้กับฝ่ายสหภาพ กองโจรเคลื่อนที่อย่าง ควอนทริลส เรดเดอร์ส (Qualtrill's Raiders) สร้างความพรั่นพรึงในชนบท โดยโจมตีทั้งที่มั่นทหารและที่อยู่อาศัยพลเรือน กลุ่มติดอาวุธ "Sons of Liberty" และ "Order of the American Knights" เข้าทำร้ายประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายสหภาพ และทหารที่ไม่มีอาวุธ ปฏิบัติการทางทหารขนาดเล็กมีขึ้นเป็นหย่อมๆ ทางใต้และทางตะวันตกของมิสซูรี โดยฝ่ายสหภาพซึ่งต้องการจะเข้าควบคุม "อาณาเขตอินเดียน" (Indian Territory) และ "อาณาเขตนิวเม็กซิโก" กองกำลังฝ่ายสหภาพขับไล่การเคลื่อนที่เข้าสู่นิวเม็กซิโกของฝ่ายสมาพันธรัฐในปี 1862 รัฐบาลพลัดถิ่นของแอริโซนาถอนตัวเข้ามาอยู่ในเท็กซัส สงครามระหว่างเผ่าชนพื้นเมืองระเบิดขึ้นในอาณาเขตอินเดียน นักรบประมาณ 12,000 คนจากเผ่าอินเดียนต่างๆ เข้าร่วมกับฝ่ายสมาพันธรัฐ ส่วนที่เข้าร่วมกับทางสหภาพมีจำนวนน้อยกว่า นักรบเชโรกีที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ นายพลจัตวาสแตน วาตี (Stand Watie) นายพลคนสุดท้ายที่ยอมจำนนในสงครามนี้ นายพลเอ็ดมันด์ เคอร์บี สมิธ ได้รับมอบหมายให้บัญชาการแผนกทรานส์-มิสซิสซิปปี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่วงกว้าง (ทั้ง อาร์คันซัส, ลุยเซียนาตะวันตก และเท็กซัส) แต่มีกำลังทหารในบังคับบัญชาแค่ประมาณ 30,000 นาย หลังยุทธการปิดล้อมวิคสเบิร์ก และพอร์ตฮัดสันจบลงในเดือนกรกฎาคม ปี 1863 ฝ่ายสหภาพเข้ายึดวิคสเบิร์กและท่าเรือฮัดสันได้ ทำให้หน่วยของนายพลเคอร์บี สมิธ ถูกตัดขาดจากเมืองหลวงที่ริชมอนด์ ต่อมาสมิธได้รับหนังสือแจ้งจาก เจฟเฟอร์สัน เดวิส ว่า จะไม่มีความช่วยเหลือใดๆมาจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีอีก แต่แม้จะขัดสนทรัพยากร เคอร์บี สมิธ ก็สะสมอาวุธไว้พอสมควรในคลังแสงที่ไทเลอร์ (Tyler) และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบขุนศึก (fiefdom) หาเลี้ยงกองทัพในเท็กซัส ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เคอร์บี สมิธดอม" (Kirby Smithdom) ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1864 นายพลริชาร์ด เทย์เลอร์ ผู้ใต้บังคับบัญชาของสมิธ นำทัพเอาชนะกองทัพสหภาพได้ในการทัพที่เรดริเวอร์ (Red River Campaign) และทำให้เท็กซัสอยู่ในความควบคุมของฝ่ายสมาพันธรัฐไปจนตลอดสงครามจุดจบของสงครามการเข้ายึดเวอร์จิเนีย จุดจบของสงคราม. การเข้ายึดเวอร์จิเนีย. พอเข้าปี ค.ศ. 1864 ลินคอล์นก็มอบอำนาจสั่งการกองทัพทั้งหมดให้กับ จอมพล ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ โดยแกรนต์ใช้กองทัพโพโทแม็ค (Army of the Potomac) เป็นกองบัญชาการ และให้อำนาจบัญชาการกองกำลังทางแนวรบตะวันตกเกือบทั้งหมดแก่ พลตรี วิลเลียม ที. เชอร์แมน จอมพลแกรนต์มีความเข้าใจคอนเซปต์ของสงครามเบ็ดเสร็จ ทั้งยังเห็นตรงกับลินคอล์น และเชอร์แมนว่า วิธีเดียวที่จะพิชิตฝ่ายสมาพันธรัฐและยุติสงครามได้ ก็คือการทำลายทั้งกองกำลัง และฐานทางเศรษฐกิจของฝ่ายข้าศึกโดยสิ้นเชิง แต่เน้นย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่พลเรือนของฝ่ายตรงข้าม หากแต่เป็นการเข้ายึดเสบียงอาหาร และทำลายบ้าน เรือกสวนไร่นา และทางคมนาคมทางรถไฟ ซึ่งมิฉะนั้นทรัพยากรเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทางการสงครามโดยฝ่ายกบฏ แกรนต์สร้างยุทธศาสตร์แบบครบวงจรขึ้นเพื่อโจมตีฝ่ายข้าศึกจากหลายทิศทาง นายพลจอร์จ มี้ด กับเบนจามิน บัทเลอร์ ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนพลเข้าประชิด นายพลลี ไม่ไกลจากริชมอนด์, นายพลฟรานซ์ ซีเกล (และต่อมาฟิลิป เชอริแดน) ให้เข้าโจมตี เชเนินโดอา วัลเลย์ (Shenandoah Valley), นายพลเชอร์แมนได้รับคำสั่งให้ลงใต้เพื่อเข้ายึดแอตแลนตา และเดินทัพต่อไปจนถึงแอตแลนติก, ส่วนนายพลจอร์จ ครุก กับวิลเลียม แอเวอเรล มีหน้าที่ปฏิบัติการณ์โจมตีเส้นทางรถไฟลำเลียงในเวสต์เวอร์จิเนีย, และสุดท้ายให้พลตรีเนธานเนียล พี. แบงค์ส เข้ายึดเมืองโมบิลรัฐแอละแบมา กองทัพของแกรนต์เริ่มการทัพโอเวอร์แลนด์ โดยมีเป้าประสงค์ที่จะดึงนายพลลีมาป้องกันริชมอนด์ เพื่อที่จะตรึงทัพใหญ่ของลีเอาไว้และทำลายเสีย โดยเบื้องต้นกองกำลังสหภาพพยายามเดินทัพผ่านลีไปให้ได้ แล้วเข้าสู้รบในหลายยุทธการ ยุทธการที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ยุทธการที่วิลเดอร์เนส, ยุทธการที่สป็อตซิลเวเนีย และ ยุทธการที่โคลด์ฮาร์เบอร์ การสู้รบในสมรภูมิเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องสูญเสียอย่างหนัก และบังคับให้กองทัพสมาพัธรัฐของนายพลลี ต้องถอยร่นหลายครั้ง นายพลเบนจามิน บัทเลอร์พยายามโอบปีกกองทัพของลีจากทางใต้ เพื่อเข้าตีเมืองหลวง แต่เดินทัพชักช้าทำให้ล้มเหลว ถูกกองทัพหนุนของนายพลโบรีการ์ดตรึงสกัดไว้ที่คุ้งน้ำบริเวณหมู่บ้านเบอมิวดาฮันเดร็ด ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับภายใต้การนำของผู้บัญชาการคนก่อนๆ แต่แกรนต์ต่างออกไปเพราะเดินหน้าสู้ต่อไปแทนที่จะหนี ความมุ่งมั่นของแกรนต์สามารถกดดันกองทัพเวอร์จิเนียเหนือของลี ให้ถอยกลับไปเมืองหลวงริชอมนด์ได้ และในระหว่างที่ลีกำลังเตรียมการป้องกันริชมอนด์ แกรนต์ก็เปลี่ยนเส้นทางลงใต้แบบไม่มีใครคาดคิด ข้ามแม่น้ำเจมส์ และเริ่มยุทธการล้อมเมืองปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งต้องสู้รบกันแบบสงครามสนามเพลาะ เป็นเวลานานกว่าเก้าเดือน แกรนต์พบทหารคู่ใจ คือ นายพลฟิลิป เชอริแดน (Phillip Sheridan) ผู้ที่ก้าวร้าวเฉียบขาดพอที่จะได้ชัยในการทัพที่หุบเขาเชนันโดอาห์ (Valley Campaigns of 1864) เชอริดันในทีแรกถูกรุกต้องถอยร่นในยุทธการที่นิวมาร์เก็ต ภายใต้การคุมทัพของนายพล จอห์น ซี. เบรกคินริดจ์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในรัฐบาลของเจมส์ บูแคนัน ยุทธการที่นิวมาร์เก็ตเป็นชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายสมาพันธรัฐในสงครามนี้ เชอริดันใช้ความอุตสาหะเพิ่ม และสามารถเอาชนะพลตรีจูบัล เออลี ได้ในหลายสมรภูมิ ซึ่งรวมถึงการรบครั้งตัดสินในยุทธการที่ซีเดอร์ครีก (Battle of Cedar Creek) จากนั้นเชอริดันก็เข้าทำลายฐานผลิตทางการเกษตรใน เชนันโดอา วัลเลย์ อันเป็นยุทธวิธีแยยเดียวกับที่นายพลเขอร์แมนใช้ในจอร์เจีย ทางฝ่ายนายพลเชอร์แมนก็เคลื่อนทัพจาก ชัตตานูกา (Chattanooga) ในเทนเนสซีลงสู่แอตแลนตา ระหว่างทางก็ตีทัพสมาพันธรัฐของนายพลโจเซฟ อี. จอห์นสัน กับจอห์น เบลล์ ฮู้ด แตกกระเจิงไป เมืองแอตแลนตาแตกในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1864 (ซึ่งเป็นการรับประกันว่าลินคอล์นจะได้รับเลือกเป็น ปธน. อีกสมัย) ทัพของจอห์น ฮู้ดออกจากพื้นที่แอตแลนตาแล้วเข้าคุกคามเส้นทางส่งกำลังบำรุงของเชอร์แมน จากนั้นก็รุกเข้าเทนเนสซีเพื่อตลบหลังในการทัพแฟรงคลิน-แนชวิลล์ ผู้บัญชาการทัพสหภาพ พลตรีจอห์น แม็คอัลลิสเตอร์ สโคฟิลด์ตีทัพของฮู้ดแตกพ่าย จนหมดขีดความสามารถในการรบ ในยุทธการที่แนชวิลล์ ทัพของเชอร์แมนเคลื่อนออกจากแอตแลนตาโดยไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด ทำลายไร่ฟาร์มในจอร์เจียไปถึง 1 ใน 5 ในการ "เดินทัพไปสู่ทะเล" (March to the Sea) ที่เลื่องชื่อในเรื่องความโหดร้าย เชอร์แมนมาถึงฝั่งแอตแลนติกที่ ซาวันนาห์ มลรัฐจอร์เจีย ในเดือนธันวาคมปี 1864 กองทัพของเชอร์แมนพ่วงเอาทาสที่ได้รับอิสรภาพแล้วเป็นพันๆคน ไม่มีการสู้รบอย่างสลักสำคัญในระหว่างการเดินทัพ เชอร์แมนเปลี่ยนทางขึ้นสู่เหนือผ่านเซาท์แคโรไลนา และนอร์ทแคโรไลนา จนไปบรรจบกับแนวทัพของสมาพันธรัฐที่เวอร์จิเนีย กองทัพของลีมีกำลังรบเบาบางลงไปมาก ทั้งจากความสูญเสียในการรบ และการหนีทัพ ความพยายามของฝ่ายสมาพันธรัฐครั้งสุดท้ายที่จะขับไล่กองกำลังของฝ่ายสหภาพที่ ปีเตอร์สเบิร์ก ล้มเหลวในยุทธการที่ไฟว์ฟอร์คส เมื่อวันที่ 1 เมษายน ทำให้ฝ่ายสหภาพเข้าล้อมพื้นที่รอบ ริชมอนด์-ปีเตอร์สเบิร์ก ไว้ได้โดยรอบ ตัดขาดเมืองหลวงริชมอนด์ออกจากสมาพันธรัฐอย่างสิ้นเชิง นายพลลีเห็นว่าเมืองหลวงจะเสียแก่ข้าศึกเสียแล้ว ก็ตัดสินใจส่งจดหมายไปแจ้ง ปธน. เจฟเฟอร์สัน เดวิส ให้อพยพคนออกจากเมือง มีการจลาจลเผาทรัพย์สินต่างๆในเมืองริชมอนด์ เมื่อกองพลที่ 25 ของสหภาพเดินทางมาถึงไฟก็ไหม้อาคารต่างๆเสียหายเป็นอันมาก ส่วนหน่วยรบที่เหลือของสมาพันธรัฐก็ถูกตีแตกในยุทธการที่เซย์เลอร์สครีก (Battle of Sayler's Creek)ฝ่ายสมาพันธรัฐยอมจำนน ฝ่ายสมาพันธรัฐยอมจำนน. นายพลโรเบิร์ต อี. ลี ได้รับสารจากนายพลแกรนต์ขอให้ยอมจำนนเสีย ลียังพยายามสู้ต่อ และพยายามจะฝ่ากองกำลังของเชอริแดนที่ปิดถนนใกล้กับ แอพโพแมตท็อกซ์ คอร์ทเฮ้าส์ไว้ แต่เมื่อพบว่าทางเลือกเดียวที่เหลือคือต้องรบแบบกองโจรในป่า ลีจึงตัดสินใจยอมวางอาวุธ แล้วส่งสารถึงแกรนต์ว่ากองทัพเวอร์จิเนียเหนือขอยอมจำนน สงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1865 ณ บ้านของ วิลเมอร์ แม็คลีน (McLean House) กองกำลังสมาพันธรัฐที่ยังไม่ยอมทิ้งอาวุธ ก็ทยอยกันยอมจำนนเมื่อข่าวการยอมแพ้ของนายพลลีทราบไปถึง ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 ประธานาธิบดีลินคอล์น ถูกนาย จอห์น วิลค์ส บูธ นักแสดงที่ฝักใฝ่ฝ่ายสมาพันธรัฐลอบยิง ลินคอล์นเสียชีวิตในรุ่งเช้าวันถัดไป และ แอนดรูว์ จอห์นสัน กลายเป็นประธานาธิบดีแทนที่ ต่อมาในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1865 นายพล โจเซฟ อี. จอห์นสตัน ยอมจำนนต่อนายพลเชอร์แมน พร้อมทหารกองทัพเทนเนสซีเกือบ 90,000 นาย ที่เบนเนตเพลส ใกล้กับเดอรัม (Durham) นอร์ทแคโรไลนา ประธานาธิบดีจอห์นสันออกแถลงการณ์ ประกาศจุดสิ้นสุดของการก่อความไม่สงบ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1865 ประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สัน เดวิส ถูกจับกุมในวันถัดมา กำลังรบในแผนกทรานส-มิสซิสซิปปี (Trans-Mississippi) ของเคอร์บี สมิธ ยอมจำนนในวันที่ 2 มิถุนายน และ ในวันที่ 23 มิถุนายน ผู้นำชาโรกีอินเดียน แสตนด์ วาตี (Stand Watie) กลายเป็นนายพลฝ่ายสมาพันธรัฐคนสุดท้ายที่ยอมจำนนพร้อมกองกำลังของตนชัยชนะของฝ่ายสหภาพ และผลพวงของสงคราม ชัยชนะของฝ่ายสหภาพ และผลพวงของสงคราม. ผลกระทบในด้านต่างๆของสงครามกลางเมืองอเมริกายังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่ผลทางเศรษฐกิจนั้นค่อนข้างชัด เกษตรกรรมฝ้ายของรัฐทางใต้พังพินาศ ภาคใต้ของสหรัฐกลายเป็นพื้นที่ยากจนไปอีกเกือบร้อยปี จากที่เคยร่ำรวยมาก่อน ในขณะที่ภาคเหนือและตะวันตกร่ำรวยขึ้น อำนาจทางการเมืองของนายทาส และเศรษฐีจากภาคใต้ยุติลง อาจจะกล่าวได้ว่า สหรัฐอเมริกาในช่วงก่อนสงคราม เป็นประเทศที่ฝ่ายเหนือและใต้แข่งขันกันเอาวิสัยทัศน์ และความเชื่อของตนเข้ากำหนดทิศทางของประเทศ แต่ผลของสงครามกลางเมืองทำให้การแข่งขันในทางวิสัยทัศน์ยุติลง นักประวัติศาสตร์ เจมส์ แม็คเฟอร์สันกล่าวว่า "ชัยชนะของสหภาพทำลายวิสัยทัศน์ชาวใต้เกี่ยวกับอเมริกา และเป็นการรับประกันว่าวิสัยทัศน์ของฝ่ายเหนือ จะกลายมาเป็นวิสัยทัศน์ของคนอเมริกัน [ทั้งประเทศ]" ด้วยเหตุนี้จึงไม่เป็นการเกินไปที่จะกล่าวว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันเป็นผลผลิตของสงครามกลางเมือง นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าชัยชนะของลินคอล์นในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 1864 เหนือแม็คเคลแลน (อดีตนายพลแห่งกองทัพโพโทแม็ค ซึ่งถูกถอดออกจากหน้าที่หลังยุทธการที่แอนตีแทม แล้วหันมาเล่นการเมือง) เป็นเหตุการณ์ที่ยุติความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝ่ายสหภาพ และดับความหวังของฝ่ายใต้ที่คิดว่าจะได้เอกราชหากลินคอล์นไม่ได้เป็น ปธน. สมัยที่สอง ณ จุดนั้นลินคอล์นได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากทั้งฝ่ายรีพับลิกัน, ฝ่ายเดโมแครตสายสงคราม, รัฐแนวตะเข็บชายแดน, ทาสที่ได้รับการปลดปล่อย และ การไม่เข้าแทรกแทรงของฝ่ายบริเตน และฝรั่งเศส นักประวัติศาสตร์อีกฝ่ายโต้เถียงว่าฝ่ายใต้ไม่มีหวังจะชนะมาตั้งแต่ต้น เพราะศักยภาพในการทำสงครามต่างกันมาก โดยเฉพาะความได้เปรียบของฝ่ายเหนือในระยะยาว กล่าวคือยิ่งสงครามยิ่งยืดเยื้อ ความได้เปรียบของฝ่ายเหนือยิ่งแสดงออกมาชัด นักประวัติศาสตร์สงคราม เชลบี ฟุท (Shelby Foote) เปรียบเทียบว่า ฝ่ายเหนือเหมือนคนที่สู้โดยเอามือหนึ่งไพล่หลังไว้ และจะเอาจริงเมื่อไหร่ก็ได้ หากถูกฝ่ายสมาพันธรัฐกดดันจนถึงจุดหนึ่ง (ซึ่งอยู่อีกไกลมาก) และตลอดสงครามนี้ ฝ่ายใต้ไม่เคยบังคับให้ฝ่ายเหนือเอาจริงได้ด้วยซ้ำ ตนจึงแน่ใจว่าฝ่ายใต้ไม่เคยมีโอกาสที่จะชนะในสงครามนี้ราคาของสงคราม ราคาของสงคราม. สงครามกลางเมืองทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่น้อยกว่า 1,030,000 ราย (คิดเป็นร้อยละสามของประชากรทั้งหมด) รวมเป็นทหารที่เสียชีวิต 620,000 นาย โดยสองในสามเป็นเพราะโรคระบาดและการติดเชื้อ และมีพลเรือย 50,000 คนเสียชีวิต นักประวัติศาสตร์บางรายเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป และความเป็นจริงยอดทหารเสียชีวิตอาจสูงถึง 750,000 - 850,000 นาย หรือกว่าสองเท่าของทหารอเมริกันที่ตายในสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามกลางเมืองจึงนับว่าพร่าชีวิตคนอเมริกันไปมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งอื่นๆรวมกัน การสำรวจสำมะโนครัวปี 1860 พบว่าร้อยละ 6 ของชายอเมริกันผิวขาวในรัฐทางเหนือ อายุระหว่าง 13 - 43 ปี ตายในสงคราม ในภาคใต้อัตรานี้สูงถึงร้อยละ 18 ทหารประมาณ 56,000 คนตายในค่ายนักโทษระหว่างสงคราม และผู้ที่พิการสูญเสียแขนขามีประมาณ 60,000 คน จากการสำรวจบันทึกโดย นักประวัติศาสตร์ ฟ็อกซ์ วิลเลียม ฝ่ายเหนือมีทหารตายรวม 359,528 นาย คิดเป็นร้อยละ 15 ของทหารกว่า 2 ล้านนายที่เข้ารับใช้ชาติ โดยในจำนวนนี้:- 110,070 ตายในสนามรบ (67,000) หรือเนื่อจากพิษบาดแผล (43,000) - 199,790 ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ (ร้อยละ 75 เกี่ยวข้องกับสงคราม) - 24,866 ตายในค่ายกักกันนักโทษของฝ่ายสมาพันธรัฐ - 15,741 ตายเพราะสาเหตุอื่นๆ อย่างไรก็ดีนี่เป็นจำนวนที่ต่ำกว่าจำนวนผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตอย่างเป็นทางการที่ประเมินโดย United States Nation Park Service: สหภาพ: 853,838- 110,100 ตายในสนามรบ - 224,580 ตายเพราะโรค - 275,154 บาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่ - 211,411 ถูกจับ (รวมถึง 30,192 นาย ที่ตายในฐานะเชลยสงคราม) สมาพันธรัฐอเมริกา: 914,660- 94,000 ตายในสนามรบ - 164,000 ตายเพราะโรค - 194,026 บาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่ - 462,634 ถูกจับ (รวมถึง 31,000 นาย ที่ตายในฐานะเชลยสงคราม)การเลิกทาสการบูรณะหลังสงครามผลกระทบทางเทคโนโลยีของสงครามอนุสรณ์ และการรำลึกถึงการอ้างถึงในงานทางศิลปะและวัฒนธรรม
สงครามกลางเมืองอเมริกาสิ้นสุดลงเมื่อปีค.ศ.ใด
{ "answer": [ "1865" ], "answer_begin_position": [ 201 ], "answer_end_position": [ 205 ] }
2,165
2,091
เพลงชาติไทย เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482ประวัติกำเนิดของเพลงชาติไทย ประวัติ. กำเนิดของเพลงชาติไทย. ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงถวายความเคารพองค์พระมหากษัตริย์ตามธรรมเนียมสากล แม้เพลงดังกล่าวไม่ใช่เพลงชาติของประเทศสยามอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถืออนุโลมว่าเป็นเพลงชาติโดยพฤตินัยตามหลักดังกล่าว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่มาของทำนองเพลงชาติปัจจุบันนั้น จากบันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ ได้เล่าไว้ว่า ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นเพลงหนึ่ง ในลักษณะของเพลงลามาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธ เพราะถือว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว ทั้งการจะให้แต่งเพลงนี้ก็ยังไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย แม้ภายหลังหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงนี้อีกหลายครั้งก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติอย่างหนาหูด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปได้ประมาณ 5 วันแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลังว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และแต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้กำหนดนัดหมายวันแต่งเพลงชาติไว้ ขณะที่นั่งบนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน จากนั้นจึงได้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทำนองคล้ายคลึงกับเพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกีแยกอและมอบโน้ตเพลงนี้ให้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงตนตรีประจำสัปดาห์ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้แต่งเพลงเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ศรีกรุงก็ได้ลงข่าวเรื่องการประพันธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิดเผยว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ ทำให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง ตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จะได้ชี้แจงว่าท่านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คิดการแต่งเพลงนี้ และเพลงนี้ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นเพลงชาติเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ได้รับคำสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบี้ยบำนาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปี และหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย เนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราประพันธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการ และ เป็นฉบับต้องห้าม ก่อนที่จะมีการแก้ไขเมื่อมีการประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดังนี้ (โปรดเทียบกับเนื้อร้องฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ในหัวข้อ เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477)เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477 เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477. ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆ ดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์, พระเจนดุริยางค์, หลวงชำนาญนิติเกษตร, จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท การประกวดเพลงชาติในครั้งนั้นได้ดำเนินการประกวดเพลงชาติ 2 แบบ คือ เพลงชาติแบบไทย (ประพันธ์ขึ้นโดยดัดแปลงจากดนตรีไทยเดิม) และเพลงชาติแบบสากล ซึ่งผลการประกวดมีดังนี้- 1. เพลงชาติแบบไทย คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติได้ตัดสินให้ผลงานเพลง "มหานิมิตร" ซึ่งประพันธ์โดย จางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นผลงานชนะเลิศ เพลงมหานิมิตรนี้จางวางทั่วได้ประพันธ์ดัดแปลงมาจากเพลงหน้าพ­าทย์สำคัญของไทยที่มีชื่อว่า "ตระนิมิตร" ให้สามารถบรรเลงเป็นทางสากล ซึ่งเพลงตระนิมิตรนี้ เป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงครู นักดนตรีจะใช้บรรเลงในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานไหว้ครู บรรเลงเป็นการอัญเชิญครูบาอาจารย์ เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีความหมายอันควรแก่การเคารพนับ­ถือเป็นสิริมงคล เหมาะสมที่จะใช้เป็นเพลงชาติไทยได้ รัฐบาลได้ทดลองบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติจะเสนอผลการประกวดให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองนั้น คณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันและมีความเห็นว่า เพลงชาติมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความ­ศักดิ์สิทธิ์ หากมีการใช้อยู่ 2 เพลง จะทำให้คลายความศักดิ์สิทธิ์ลง จึงได้ตัดสินใจไม่เสนอเพลงชาติแบบไทยที่ได้คัดเลือกไว้ให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเป็นเพลงชาติในที่สุด- 2. เพลงชาติแบบสากล คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติมีความเห็นให้ใช้ทำนองเพลงซึ่งประพันธ์โดยพระเจนดุริยางค์เป็นทำนองเพลงชาติแบบสากล สำหรับบทร้องนั้นได้คัดเลือกบทร้องของขุนวิจิตรมาตราซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมเป็นบทร้องชนะเลิศ และได้เพิ่มบทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นบทร้องที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศเข้าอีกชุดหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ประกาศรับรองให้เป็นบทร้องเพลงชาติฉบับราชการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477 บทร้องทั้งของขุนวิจิตรมาตราและนายฉันท์ ประพันธ์ในรูปฉันทลักษณ์แบบกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ความยาว 4 บท แต่ละบทมี 4 วรรค ผลงานของแต่ละคนจึงมีความยาวของบทร้องเป็น 16 วรรค เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงทำให้บทร้องเพลงชาติทั้งหมดมีความยาวถึง 32 วรรค ซึ่งนับว่ายาวมาก หากจะร้องเพลงชาติให้ครบทั้งสี่บทจะต้องใช้เวลาร้องถึง 3 นาที 52 วินาที (เฉลี่ยแต่ละท่อนรวมดนตรีนำด้วยทั้งเพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมัยนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้องแต่เฉพาะบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา และต่อมาภายหลังจึงไม่มีการขับร้อง คงเหลือแต่เพียงทำนองเพลงบรรเลงเท่านั้นเพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478 เพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478. ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน) ระเบียบดังกล่าวนี้ได้มีการกำหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติออกเป็น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็มเพลง) และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาตินั้น ได้กำหนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบับสังเขปในการพิธีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีปกติ ส่วนการบรรเลงแบบเต็มเพลงนั้นให้ใช้ในงานพิธีใหญ่เท่านั้น ท่อนของเพลงชาติที่ตัดมาใช้บรรเลงแบบสังเขปนั้น คือท่อนขึ้นต้น (Introduction) ของเพลงชาติ (เทียบกับเนื้อร้องเพลงชาติฉบับปัจจุบันก็คือตั้งแต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี จนจบเพลง) ความยาวประมาณ 10 วินาที ไม่มีการขับร้องใดๆ ประกอบเพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน. ในปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เนื้อร้องของหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกไทยก่อนแก้ไขเป็นฉบับทางการมีดังนี้ (สำหรับเนื้อร้องฉบับประกาศใช้จริง ดูได้ในหัวข้อ เนื้อเพลง) การประกวดเพลงชาติครั้งนี้ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีกวีและผู้มีชื่อเสียงในทางการประพันธ์เพลงหลายท่าน เช่น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แก้ว อัจฉริยะกุล ชิต บุรทัต เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ประพันธ์เนื้อเพลงชาติสองฉบับแรก (ขุนวิจิตรมาตรา และฉันท์ ขำวิไล) ได้ส่งเนื้อร้องของตนเองเข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตัดสินครั้งนั้น เฉพาะเนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่นั้น ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า "ไทย" ถึง 12 ครั้งบทร้องฉบับปัจจุบันบทร้อง. ฉบับปัจจุบัน. - ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) - คำร้อง: พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ในนามกองทัพบกฉบับ พ.ศ. 2477 ฉบับ พ.ศ. 2477. ประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ใช้เป็นเพลงชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 (ในลักษณะไม่เป็นทางการ) โดยช่วงแรกใช้คำร้องที่ประพันธ์โดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติ และประกาศรับรองเนื้อร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยขุนวิจิตรมาตรา และเนื้อร้องที่แต่งโดยนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นฉบับที่ชนะการประกวด เป็นเนื้อร้องเพลงชาติฉบับทางราชการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477การบรรเลง การบรรเลง. ในข้อบังคับทหารว่าด้วยการเคารพ มาตรา 3 การบรรเลงเพลงเคารพ ได้ระบุถึงการบรรเลงเพลงเคารพในส่วนของเพลงชาติไว้ว่า เพลงชาติจัดเป็นเพลงเคารพด้วยแตรวง ใช้บรรเลงแสดงความเคารพต่อธงประจำกองทหาร ธงประจำกองยุวชนทหาร ธงชาติประจำสำนักงานของรัฐบาล ในขณะขึ้นลง และธงราชนาวีประจำเรือใหญ่ในขณะทำพิธีธงขึ้นลง แนวปฏิบัติสำหรับธงชาติไทยโดยทั่วไป ซึ่งบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศ ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529 ได้ระบุไว้เช่นกันว่า เพลงชาตินับเนื่องเป็นหนึ่งอาณัติสัญญาณในการเคารพธงชาติ กล่าวคือ แนวปฏิบัติดังกล่าวนี้ ได้ริเริ่มให้มีขึ้นครั้งแรก จากการบรรเลงเพลงชาติ ตามสัญญาณจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในเวลา 08.00 น. โดยบัญชาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ราวปี พ.ศ. 2485 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปัจจุบัน นอกจากการบรรเลงเพลงชาติ ในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น. ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการแพร่ภาพวีดิทัศน์ประกอบเพลงชาติ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องต่างๆ อีกด้วย ซึ่งเดิมแต่ละสถานีฯ จะเป็นผู้จัดทำวีดิทัศน์ประกอบขึ้นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลไทยมีนโยบายให้สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำวีดิทัศน์กลางขึ้น เพื่อเผยแพร่โดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยทุกแห่ง ในรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ โดยเริ่มใช้วีดิทัศน์ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องต่างๆ อีกด้วย ซึ่งแต่ละสถานี จะเป็นผู้จัดทำวิดีทัศน์ขึ้นเองทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลในประเทศไทย ตามประกาศคณะการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2556 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ใช้คลื่นความถี่ให้บริการทั่วไปต้องจัดให้ออกอากาศเพลงชาติไทยทุกวันในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น.แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนเพลงชาติไทยกรณีเพลงชาติฉบับแกรมมี่ พ.ศ. 2548 แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนเพลงชาติไทย. กรณีเพลงชาติฉบับแกรมมี่ พ.ศ. 2548. ในปี พ.ศ. 2548 กระทรวงวัฒนธรรมเปิดเผยเพลงชาติฉบับใหม่ ซึ่งกระทรวงกลาโหมมอบหมายให้ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เรียบเรียง และจัดทำใหม่ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น สำหรับใช้ในหลายโอกาส ตามแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ต้องการส่งเสริมความเป็นชาตินิยมในหมู่คนไทย ซึ่งเพลงชาติฉบับดังกล่าว มีการจัดทำออกมาถึง 6 รูปแบบ ทั้งนี้ สื่อมวลชนให้คำนิยามสำหรับเรียกชื่อเพลงชาติแบบต่างๆ ที่ได้มีการเรียงเรียงใหม่ไว้ดังนี้1. แบบเป็นทางการ เสียงร้องหนักแน่นฮึกเหิม เหมาะสำหรับเปิดในสถานที่ราชการ ในงานราชการ งานทหาร หรือกิจกรรมที่ผู้จัดต้องการปลุกเร้าพลังรักชาติ 2. แบบไม่เป็นทางการ เสียงร้องนุ่มนวลขึ้นกว่าฉบับแรก เหมาะสำหรับเปิดในงานทางการของภาคเอกชน งานมหรสพ หรืองานกึ่งทางการกึ่งลำลอง 3. แบบแกรมมี่ซาวด์ เอาใจวัยรุ่น ขับร้องโดยนักร้องรุ่นเก่า ช่วงท้ายสร้างคีย์และเมโลดี้ใหม่ 4. แบบแกรมมี่ซาวด์ เอาใจวัยรุ่น ขับร้องโดยนักร้องรุ่นใหม่ ช่วงท้ายสร้างคีย์และเมโลดี้ใหม่ 5. แบบเอาใจเด็กเล็ก ใช้คณะเยาวชนร้องประสานเสียง เหมาะสำหรับเปิดในโรงเรียนอนุบาลและประถม 6. แบบเอาใจผู้สูงอายุ ใช้เครื่องดนตรีไทยบรรเลง แต่ด้วยกระแสเสียงคัดค้านจากสังคมเป็นจำนวนมาก ทำให้เพลงชาติที่มีการเรียบเรียงใหม่ทั้ง 6 แบบข้างต้น ไม่มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการในที่สุด ทั้งนี้ เพลงชาติที่เป็นทางราชการของไทยในปัจจุบัน เป็นฉบับซึ่งจัดทำและเผยแพร่โดย คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับเพลงสำคัญของแผ่นดิน ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และได้เริ่มใช้มา นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 โดยมีการเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ในประเทศ
เพลงชาติไทย ประพันธ์ทำนองโดยใคร
{ "answer": [ "พระเจนดุริยางค์" ], "answer_begin_position": [ 159 ], "answer_end_position": [ 174 ] }
2,166
2,091
เพลงชาติไทย เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482ประวัติกำเนิดของเพลงชาติไทย ประวัติ. กำเนิดของเพลงชาติไทย. ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงถวายความเคารพองค์พระมหากษัตริย์ตามธรรมเนียมสากล แม้เพลงดังกล่าวไม่ใช่เพลงชาติของประเทศสยามอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถืออนุโลมว่าเป็นเพลงชาติโดยพฤตินัยตามหลักดังกล่าว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่มาของทำนองเพลงชาติปัจจุบันนั้น จากบันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ ได้เล่าไว้ว่า ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นเพลงหนึ่ง ในลักษณะของเพลงลามาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธ เพราะถือว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว ทั้งการจะให้แต่งเพลงนี้ก็ยังไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย แม้ภายหลังหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงนี้อีกหลายครั้งก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติอย่างหนาหูด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปได้ประมาณ 5 วันแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลังว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และแต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้กำหนดนัดหมายวันแต่งเพลงชาติไว้ ขณะที่นั่งบนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน จากนั้นจึงได้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทำนองคล้ายคลึงกับเพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกีแยกอและมอบโน้ตเพลงนี้ให้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงตนตรีประจำสัปดาห์ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้แต่งเพลงเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ศรีกรุงก็ได้ลงข่าวเรื่องการประพันธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิดเผยว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ ทำให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง ตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จะได้ชี้แจงว่าท่านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คิดการแต่งเพลงนี้ และเพลงนี้ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นเพลงชาติเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ได้รับคำสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบี้ยบำนาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปี และหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย เนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราประพันธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการ และ เป็นฉบับต้องห้าม ก่อนที่จะมีการแก้ไขเมื่อมีการประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดังนี้ (โปรดเทียบกับเนื้อร้องฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ในหัวข้อ เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477)เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477 เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477. ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆ ดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์, พระเจนดุริยางค์, หลวงชำนาญนิติเกษตร, จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท การประกวดเพลงชาติในครั้งนั้นได้ดำเนินการประกวดเพลงชาติ 2 แบบ คือ เพลงชาติแบบไทย (ประพันธ์ขึ้นโดยดัดแปลงจากดนตรีไทยเดิม) และเพลงชาติแบบสากล ซึ่งผลการประกวดมีดังนี้- 1. เพลงชาติแบบไทย คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติได้ตัดสินให้ผลงานเพลง "มหานิมิตร" ซึ่งประพันธ์โดย จางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นผลงานชนะเลิศ เพลงมหานิมิตรนี้จางวางทั่วได้ประพันธ์ดัดแปลงมาจากเพลงหน้าพ­าทย์สำคัญของไทยที่มีชื่อว่า "ตระนิมิตร" ให้สามารถบรรเลงเป็นทางสากล ซึ่งเพลงตระนิมิตรนี้ เป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงครู นักดนตรีจะใช้บรรเลงในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานไหว้ครู บรรเลงเป็นการอัญเชิญครูบาอาจารย์ เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีความหมายอันควรแก่การเคารพนับ­ถือเป็นสิริมงคล เหมาะสมที่จะใช้เป็นเพลงชาติไทยได้ รัฐบาลได้ทดลองบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติจะเสนอผลการประกวดให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองนั้น คณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันและมีความเห็นว่า เพลงชาติมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความ­ศักดิ์สิทธิ์ หากมีการใช้อยู่ 2 เพลง จะทำให้คลายความศักดิ์สิทธิ์ลง จึงได้ตัดสินใจไม่เสนอเพลงชาติแบบไทยที่ได้คัดเลือกไว้ให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเป็นเพลงชาติในที่สุด- 2. เพลงชาติแบบสากล คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติมีความเห็นให้ใช้ทำนองเพลงซึ่งประพันธ์โดยพระเจนดุริยางค์เป็นทำนองเพลงชาติแบบสากล สำหรับบทร้องนั้นได้คัดเลือกบทร้องของขุนวิจิตรมาตราซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมเป็นบทร้องชนะเลิศ และได้เพิ่มบทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นบทร้องที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศเข้าอีกชุดหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ประกาศรับรองให้เป็นบทร้องเพลงชาติฉบับราชการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477 บทร้องทั้งของขุนวิจิตรมาตราและนายฉันท์ ประพันธ์ในรูปฉันทลักษณ์แบบกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ความยาว 4 บท แต่ละบทมี 4 วรรค ผลงานของแต่ละคนจึงมีความยาวของบทร้องเป็น 16 วรรค เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงทำให้บทร้องเพลงชาติทั้งหมดมีความยาวถึง 32 วรรค ซึ่งนับว่ายาวมาก หากจะร้องเพลงชาติให้ครบทั้งสี่บทจะต้องใช้เวลาร้องถึง 3 นาที 52 วินาที (เฉลี่ยแต่ละท่อนรวมดนตรีนำด้วยทั้งเพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมัยนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้องแต่เฉพาะบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา และต่อมาภายหลังจึงไม่มีการขับร้อง คงเหลือแต่เพียงทำนองเพลงบรรเลงเท่านั้นเพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478 เพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478. ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน) ระเบียบดังกล่าวนี้ได้มีการกำหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติออกเป็น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็มเพลง) และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาตินั้น ได้กำหนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบับสังเขปในการพิธีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีปกติ ส่วนการบรรเลงแบบเต็มเพลงนั้นให้ใช้ในงานพิธีใหญ่เท่านั้น ท่อนของเพลงชาติที่ตัดมาใช้บรรเลงแบบสังเขปนั้น คือท่อนขึ้นต้น (Introduction) ของเพลงชาติ (เทียบกับเนื้อร้องเพลงชาติฉบับปัจจุบันก็คือตั้งแต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี จนจบเพลง) ความยาวประมาณ 10 วินาที ไม่มีการขับร้องใดๆ ประกอบเพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน. ในปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เนื้อร้องของหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกไทยก่อนแก้ไขเป็นฉบับทางการมีดังนี้ (สำหรับเนื้อร้องฉบับประกาศใช้จริง ดูได้ในหัวข้อ เนื้อเพลง) การประกวดเพลงชาติครั้งนี้ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีกวีและผู้มีชื่อเสียงในทางการประพันธ์เพลงหลายท่าน เช่น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แก้ว อัจฉริยะกุล ชิต บุรทัต เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ประพันธ์เนื้อเพลงชาติสองฉบับแรก (ขุนวิจิตรมาตรา และฉันท์ ขำวิไล) ได้ส่งเนื้อร้องของตนเองเข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตัดสินครั้งนั้น เฉพาะเนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่นั้น ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า "ไทย" ถึง 12 ครั้งบทร้องฉบับปัจจุบันบทร้อง. ฉบับปัจจุบัน. - ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) - คำร้อง: พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ในนามกองทัพบกฉบับ พ.ศ. 2477 ฉบับ พ.ศ. 2477. ประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ใช้เป็นเพลงชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 (ในลักษณะไม่เป็นทางการ) โดยช่วงแรกใช้คำร้องที่ประพันธ์โดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติ และประกาศรับรองเนื้อร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยขุนวิจิตรมาตรา และเนื้อร้องที่แต่งโดยนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นฉบับที่ชนะการประกวด เป็นเนื้อร้องเพลงชาติฉบับทางราชการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477การบรรเลง การบรรเลง. ในข้อบังคับทหารว่าด้วยการเคารพ มาตรา 3 การบรรเลงเพลงเคารพ ได้ระบุถึงการบรรเลงเพลงเคารพในส่วนของเพลงชาติไว้ว่า เพลงชาติจัดเป็นเพลงเคารพด้วยแตรวง ใช้บรรเลงแสดงความเคารพต่อธงประจำกองทหาร ธงประจำกองยุวชนทหาร ธงชาติประจำสำนักงานของรัฐบาล ในขณะขึ้นลง และธงราชนาวีประจำเรือใหญ่ในขณะทำพิธีธงขึ้นลง แนวปฏิบัติสำหรับธงชาติไทยโดยทั่วไป ซึ่งบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศ ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529 ได้ระบุไว้เช่นกันว่า เพลงชาตินับเนื่องเป็นหนึ่งอาณัติสัญญาณในการเคารพธงชาติ กล่าวคือ แนวปฏิบัติดังกล่าวนี้ ได้ริเริ่มให้มีขึ้นครั้งแรก จากการบรรเลงเพลงชาติ ตามสัญญาณจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในเวลา 08.00 น. โดยบัญชาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ราวปี พ.ศ. 2485 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปัจจุบัน นอกจากการบรรเลงเพลงชาติ ในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น. ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการแพร่ภาพวีดิทัศน์ประกอบเพลงชาติ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องต่างๆ อีกด้วย ซึ่งเดิมแต่ละสถานีฯ จะเป็นผู้จัดทำวีดิทัศน์ประกอบขึ้นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลไทยมีนโยบายให้สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำวีดิทัศน์กลางขึ้น เพื่อเผยแพร่โดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยทุกแห่ง ในรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ โดยเริ่มใช้วีดิทัศน์ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยช่องต่างๆ อีกด้วย ซึ่งแต่ละสถานี จะเป็นผู้จัดทำวิดีทัศน์ขึ้นเองทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลในประเทศไทย ตามประกาศคณะการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2556 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ใช้คลื่นความถี่ให้บริการทั่วไปต้องจัดให้ออกอากาศเพลงชาติไทยทุกวันในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น.แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนเพลงชาติไทยกรณีเพลงชาติฉบับแกรมมี่ พ.ศ. 2548 แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนเพลงชาติไทย. กรณีเพลงชาติฉบับแกรมมี่ พ.ศ. 2548. ในปี พ.ศ. 2548 กระทรวงวัฒนธรรมเปิดเผยเพลงชาติฉบับใหม่ ซึ่งกระทรวงกลาโหมมอบหมายให้ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เรียบเรียง และจัดทำใหม่ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น สำหรับใช้ในหลายโอกาส ตามแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ต้องการส่งเสริมความเป็นชาตินิยมในหมู่คนไทย ซึ่งเพลงชาติฉบับดังกล่าว มีการจัดทำออกมาถึง 6 รูปแบบ ทั้งนี้ สื่อมวลชนให้คำนิยามสำหรับเรียกชื่อเพลงชาติแบบต่างๆ ที่ได้มีการเรียงเรียงใหม่ไว้ดังนี้1. แบบเป็นทางการ เสียงร้องหนักแน่นฮึกเหิม เหมาะสำหรับเปิดในสถานที่ราชการ ในงานราชการ งานทหาร หรือกิจกรรมที่ผู้จัดต้องการปลุกเร้าพลังรักชาติ 2. แบบไม่เป็นทางการ เสียงร้องนุ่มนวลขึ้นกว่าฉบับแรก เหมาะสำหรับเปิดในงานทางการของภาคเอกชน งานมหรสพ หรืองานกึ่งทางการกึ่งลำลอง 3. แบบแกรมมี่ซาวด์ เอาใจวัยรุ่น ขับร้องโดยนักร้องรุ่นเก่า ช่วงท้ายสร้างคีย์และเมโลดี้ใหม่ 4. แบบแกรมมี่ซาวด์ เอาใจวัยรุ่น ขับร้องโดยนักร้องรุ่นใหม่ ช่วงท้ายสร้างคีย์และเมโลดี้ใหม่ 5. แบบเอาใจเด็กเล็ก ใช้คณะเยาวชนร้องประสานเสียง เหมาะสำหรับเปิดในโรงเรียนอนุบาลและประถม 6. แบบเอาใจผู้สูงอายุ ใช้เครื่องดนตรีไทยบรรเลง แต่ด้วยกระแสเสียงคัดค้านจากสังคมเป็นจำนวนมาก ทำให้เพลงชาติที่มีการเรียบเรียงใหม่ทั้ง 6 แบบข้างต้น ไม่มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการในที่สุด ทั้งนี้ เพลงชาติที่เป็นทางราชการของไทยในปัจจุบัน เป็นฉบับซึ่งจัดทำและเผยแพร่โดย คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับเพลงสำคัญของแผ่นดิน ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และได้เริ่มใช้มา นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 โดยมีการเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ในประเทศ
เนื้อร้องฉบับแรกของเพลงชาติไทย ประพันธ์โดยใคร
{ "answer": [ "ขุนวิจิตรมาตรา" ], "answer_begin_position": [ 246 ], "answer_end_position": [ 260 ] }
2,167
101,497
เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์ "เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์" ( แปลว่า ธงอันแพรวพราวด้วยดารา) เป็นเพลงชาติประจำสหรัฐ โดยเนื้อเพลงมาจากกวีนิพนธ์ชื่อว่า "การต่อสู้พิทักษ์ป้อมแม็กเฮ็นรี่ (Defence of Fort M'Henry)" ซึ่งประพันธ์ขึ้นในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2357 โดยทนายและกวีสมัครเล่น "ฟรานซิส สก็อตต์ คีย์" หลังจากเห็นการยิงถล่มป้อมแม็กเฮ็นรี่โดยราชนาวีอังกฤษ ณ อ่าวบอลทิมอร์ในยุทธการบอลทิมอร์ระหว่างสงคราม ค.ศ. 1812 (พ.ศ. 2355) นายคีย์ได้แรงบันดาลใจจากธงชาติสหรัฐ ที่เขาตั้งชื่อว่า ธงอันแพรวพราวด้วยดารา (Star-Spangled Banner) ที่พลิ้วสะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ต่อมา บทกวีนี้ได้ประกอบให้เข้ากับเพลงสมัยนิยมแต่งโดยนักดนตรีชาวอังกฤษ จอห์น สแตฟฟอร์ด สมิธ เพื่อสโมสรชาย Anacreontic Society ในนครลอนดอน ซึ่งเป็นเพลงนิยมเดิม (To Anacreon in Heaven) อยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ประกอบเข้ากับกวีนิพนธ์ของคีย์แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "The Star-Spangled Banner" จึงกลายเป็นเพลงรักชาติที่รู้จักกันดีเพลงหนึ่ง แต่ด้วยทำนองที่มีพิสัยกว้างถึง 1 1/5 อ็อกเทฟ จึงเป็นเพลงที่ร้องยาก แม้บทกวีจะมีถึง 4 บท แต่ปัจจุบันนิยมร้องเพียงแค่บทเดียว กองทัพเรือสหรัฐได้ใช้เป็นเพลงทางการเริ่มในปี พ.ศ. 2432 ส่วนประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เริ่มให้ใช้เป็นเพลงทางการเมื่อปี 2459 (ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) และรัฐสภาสหรัฐได้กำหนดเป็นเพลงชาติทางการตามกฎหมายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2474 ซึ่งประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์เป็นผู้เซ็นอนุมัติ แต่ว่าก่อนปี 2474 ก็ยังมีเพลงอื่น ๆ ที่ใช้เป็นทางการด้วย เช่น เพลง "Hail, Columbia" ได้ใช้เป็นเพลงชาติในกิจของรัฐบาลในคริสต์ทศวรรษที่ 19 โดยมาก แม้แต่เพลง "My Country, 'Tis of Thee" ซึ่งมีทำนองเพลงเหมือนกับ "ก็อดเซฟเดอะควีน" ซึ่งเป็นเพลงชาติอังกฤษ ก็ใช้เป็นเพลงชาติอีกเพลงหนึ่ง หลังจากสงคราม ค.ศ. 1812 และต่อ ๆ มา ก็มีเพลงอื่น ๆ ที่ออกแข่งความนิยมในงานสาธารณชนต่าง ๆ รวมทั้ง "The Star-Spangled Banner" และ "อเมริกาเดอะบิวติฟูล"ประวัติยุคต้นเนื้อเพลง ประวัติยุคต้น. เนื้อเพลง. ในวันที่ 3 กันยายน 2357 หลังจากการเผานครวอชิงตัน ดี.ซี. และการโจมตีเมืองอะเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย นายฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ และนายจอห์น สจวร์ต สกินเนอร์ ออกเรือ HMS Minden จากเมืองบอลทิมอร์ โดยยกธงขาวในภารกิจพิเศษที่ประธานาธิบดีเจมส์ แมดิสัน ได้อนุมัติแล้ว และมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึก รวมทั้ง นพ. วิลเลียม บีนส์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นเพื่อนของนายคีย์ที่ถูกฝ่ายอังกฤษจับไป ในข้อหาช่วยจับทหารอังกฤษ หลังจากที่ขึ้นเรือธง HMS Tonnant ของอังกฤษเมื่อวันที่ 7 กันยายนเพื่อเจรจากับพลตรีรอเบิร์ต รอส และพลเรือโทอะเล็กซานเดอร์ คอเครน ซึ่งเป็นเวลาที่นายทหารทั้งสองปรึกษาแผนการยุทธ์ในระหว่างอาหารเย็น ตอนแรก นายทหารทั้งสองจะไม่ยอมปล่อยหมอ แต่ก็ยินยอมหลังจากที่คีย์และสกินเนอร์แสดงจดหมายเขียนโดยเชลยศึกชาวอังกฤษที่สรรเสริญหมอและคนอเมริกันอื่น ๆ เนื่องจากได้รับการปฏิบัติที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา แต่เพราะว่า คีย์และสกินเนอร์ได้ยินแผนการโจมตีเมืองบอลทิมอร์ ก็เลยถูกจับเอาไว้จนกระทั่งสุดการโจมตี ตอนแรกบนเรือ HMS Surprise และต่อมา บนเรือ HMS Minden อีก หลังจากการระดมยิง มีเรือปืนอังกฤษที่พยายามรอดผ่านป้อมแม็กเฮ็นรี่แล้วยกทหารขึ้นบกที่อ่าวเล็ก ๆ ทางตะวันตก แต่ก็ถูกส่งกลับด้วยการยิงสนับสนุนจากป้อมโควิงตันใกล้ ๆ ที่เป็นด่านป้องกันสุดท้ายของเมือง ในช่วงกลางคืนที่มึดครึ้มไปด้วยฝน คีย์ได้เห็นธงแบบ "storm flag" ที่เล็กกว่ายังคงพริ้วสะพัดเหนือป้อม แต่หลังจากที่ราชนาวีอังกฤษหยุดโจมตีป้อมด้วยปืนใหญ่และจรวด เขาก็มองไม่เห็นว่าการสู้รบเป็นอย่างไรจนอรุณรุ่ง ในรุ่งเช้าของวันที่ 14 ป้อมก็ได้ลดธงเก่าลงและชักธงที่ใหญ่กว่าขึ้น ในช่วงการโจมตี HMS Terror และ HMS Meteor เป็นเรือที่ยิง "ระเบิดที่ปะทุกระจายกลางนภากาศ" คีย์ได้รับแรงดลใจของชัยชนะฝ่ายอเมริกันและการเห็นธงชัยใหญ่ที่โบกสะพัดเหนือป้อม ธงผืนนี้ต่อมาจึงได้ชื่อเป็น Star-Spangled Banner (ธงอันแพรวพราวไปด้วยดารา) และปัจจุบันเปิดให้ชมในพิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ ซึ่งเป็นส่วนของสถาบันสมิธโซเนียน โดยมีการบูรณะธงผืนนี้ในปี 2457 และปี 2541 เพื่อรักษาธงไว้ ในขณะที่ยังอยู่บนเรือ คีย์ได้ประพันธ์กวีนิพนธ์บนหลังกระดาษจดหมายที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อมาเวลาเย็นวันที่ 16 กันยายน เขาและสกินเนอร์จึงได้อนุญาตให้กลับไปที่บอลทิมอร์ เขาจึงเขียนบทกวีให้เสร็จในโรงแรมที่เขาอยู่ แล้วตั้งชื่อว่า "Defence of Fort M'Henry (การต่อสู้พิทักษ์ป้อมแม็กเฮ็นรี่)" ไอเดียโดยมากในบทกวี รวมทั้งจินตภาพของธงและคำบางคำ มาจากเพลง ("When the Warrior Returns") ที่คีย์ได้เขียนประกอบกับเพลง "The Anacreontic Song" เช่นกันมาก่อน เพราะคีย์ไม่ได้อธิบายบทกวีของเขาก่อนเสียชีวิตในปี 2386 จึงมีคนที่ได้เดาถึงความหมายของวลีในบทต่าง ๆ ตามนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง คำว่า "the hireling and slave" (พวกรับจ้างและทาส) หมายถึงทาสเก่าเป็นพัน ๆ ในหมู่ทหารคนอังกฤษที่จัดเป็นกองนาวิกโยธินชาวอาณานิคม (Corps of Colonial Marines) ที่ได้รับการปลดปล่อยจากทหารอังกฤษและเรียกร้องให้ส่งไปกองหน้า "ที่ตนอาจจะเจอเจ้านายเก่า" (แม้ว่า ประเทศอังกฤษเองในขณะนั้นก็ยังมีทาสอยู่) นี่เป็นกลยุทธ์ที่ภายหลังประธานาธิบดีลินคอล์นก็ได้ใช้เมื่อปล่อยทาสที่อยู่ในการดูแลของฝ่ายรัฐกบฏแต่ไม่ใช่ในรัฐของพวกตน ส่วนศาสตราจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งอ้างว่า คำทั้งสองใช้เพื่อดูถูกศัตรูอังกฤษในสงครามปี ค.ศ. 1812 ไม่ใช่เพื่อยกย่องการมีทาส โดยอ้างว่า คำที่ใช้หมายถึง ทหารอาชีพชาวอังกฤษ (พวกรับจ้าง) และกองนาวิกโยธินชาวอาณานิคม (ทาส) ที่คีย์มองว่าเป็น คนพาลและเป็นคนทรยศผู้ก่อกบฏ ซึ่งทำให้สหรัฐไม่ร้องเพลงส่วนนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพราะอังกฤษเป็นพันธมิตร มีคนอื่นอีกที่อ้างว่า วลีนี้หมายถึงความจงรักภักดีที่ไม่สม่ำเสมอ คือ พวกรับจ้าง หมายถึงทหารรับจ้างที่สนใจเรื่องเงินทองไม่ใช่รักประเทศชาติ และหมายถึงคนอเมริกันที่ประเทศอังกฤษโอ้อวดว่า "สมัครเป็นทหาร" แต่ความจริง "ตกเป็นทาส" ด้วยกระบวนการเกณฑ์ทหารโดยบังคับของอังกฤษ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อสิ้นปี 2357 รัฐบาลสหรัฐก็เรียกร้องให้อังกฤษคืนทรัพย์สินคนอเมริกัน ซึ่งเมื่อตอนนั้น หมายถึงทาส 6,000 คน ที่ได้อิสรภาพ แต่อังกฤษปฏิเสธ ต่อมาคน 6,000 คนโดยมากในที่สุดก็ตั้งถิ่นฐานในแคนาดา โดยมีบางส่วนที่ไปยังเกาะตรินิแดดเพลงที่เขียนโดยจอห์น สแตฟฟอร์ด สมิธเพลงชาติ เพลงชาติ. เพลงเพิ่มความนิยมเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยวงศ์ดุริยางค์มักจะเล่นเพลงนี้ในงานต่าง ๆ เช่นวันชาติ (Independence Day) ส่วนป้ายอนุสรณ์ที่ Fort Meade รัฐเซาท์ดาโคตา อ้างว่า ไอเดียเพื่อใช้เพลงเป็นเพลงชาติเริ่มที่สนามเดินขบวนของค่ายทหารเริ่มในปี 2435 โดยมีพันเอกคาเล็บ คาร์ลตัน ผู้บัญชาการของค่าย เป็นผู้ตั้งประเพณีให้เล่นเพลงนี้เมื่อ "ลดธงและเมื่อจบการเดินสวนสนามหรือคอนเสิร์ต" เมื่อเขาอธิบายให้กับผู้ว่าราชการรัฐคือนายเช็ลดอน ผู้ว่าการก็ "สัญญาว่าเขาจะพยายามตั้งเป็นประเพณีแก่กองกำลังอาสาสมัครของรัฐ" และเมื่อธิบายให้กับเลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ คือ นายแดเนียล อี. ลาม็อนต์ เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ "เล่นเพลงทุกเย็นเมื่อลดธงในค่ายทหารทุกค่าย" เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2432 เลขาธิการของกองทัพเรือสหรัฐเบ็นจามิน เอ็ฟ. เทรซีย์ เซ็นคำสั่งให้ใช้เพลงเป็นเพลงทางการเมื่อยกธงชาติ ต่อมาในปี 2459 ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันจึงออกคำสั่งให้เล่นเพลงในงานทหารและงานที่เหมาะสมอื่น ๆ การเล่นเพลงอีกสองปีต่อมาในช่วงพักเกมเบสบอล (seventh-inning stretch) ของ 1918 World Series และต่อจากนั้นระหว่างเกม บ่อยครั้งอ้างว่าเป็นเหตุการณ์แรกที่ให้เล่นเพลงชาติในเกมเบสบอล แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงว่า การเล่นเพลงอาจเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2440 ของงานเปิดเกมวันแรกในเมืองฟิลาเดลเฟีย และเล่นเป็นประจำในสนามกีฬา Polo Grounds ในนครนิวยอร์กเริ่มตั้งแต่ปี 2441 อย่างไรก็ดี ประเพณีของการเล่นเพลงชาติก่อนเกมเบสบอลทุกเกมเริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ในวันที่ 10 เมษายน 2461 สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งได้เสนอกฎหมายยอมรับให้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการ แต่ว่ากฎหมายไม่ผ่านรัฐสภา แม้จนกระทั่งถึงวันที่ 15 เมษายน 2472 สมาชิกรัฐสภาคนเดิมก็ได้เสนอกฎหมายเป็นครั้งที่ 6 จนกระทั่งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2472 คอลัมนิสต์การ์ตูน (Robert Ripley) ได้เขียนการ์ตูนกล่าวว่า "จะเชื่อหรือไม่ อเมริกาไม่มีเพลงชาติ" ในปี 2473 กลุ่มทหารผ่านศึก (Veterans of Foreign Wars) จึงได้ยื่นฎีการ้องให้สหรัฐอเมริกายอมรับให้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการ โดยมีคน 5 ล้านคนเซ็นคำร้องร่วม ซึ่งต่อมายกขึ้นสู่คณะกรรมการฝ่ายตุลาการของรัฐสภาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2473 ในวันเดียวกัน หญิงสองคน (Elsie Jorss-Reilley และ Grace Evelyn Boudlin) ได้ร้องเพลงนี้ให้คณะกรรมการฟังเพื่อพิสูจน์ว่า เพลงไม่ได้มีเสียงสูงเกินไปสำหรับคนทั่วไปจะร้อง คณะกรรมการจึงออกเสียงให้ส่งเสนอกฎหมายเพื่อลงคะแนนต่อไปในรัฐสภา ซึ่งต่อมาผ่านกฎหมายในปีเดียวกัน โดยวุฒิสภาก็ผ่านกฎหมายในวันที่ 3 มีนาคม 2474 ในวันที่ 4 มีนาคม 2474 ประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ จึงได้เซ็นผ่านกฎหมายยอมรับ "The Star-Spangled Banner" เป็นเพลงชาติทางการของสหรัฐอเมริกาเนื้อเพลงพร้อมคำแปลร้อยแก้วบางส่วน เนื้อเพลงพร้อมคำแปลร้อยแก้วบางส่วน. ให้สังเกตว่าคำแปลเป็นร้อยแก้วตามคำ ไม่ได้แปลเป็นร้อยกรองให้ร้องตามเพลงได้เนื้อเพลงเสริมในช่วงสงครามกลางเมือง เนื้อเพลงเสริมในช่วงสงครามกลางเมือง. เพราะความเดือดดาลที่เกิดเพราะสงครามกลางเมืองอเมริกา จึงมีนักกวีที่เพิ่มเนื้อเพลง เป็นบทที่ 5 ในปี 2404 ซึ่งปรากฏในหนังสือเพลงในยุคนั้น When our land is illumined with Liberty's smile, If a foe from within strike a blow at her glory, Down, down with the traitor that dares to defile The flag of her stars and the page of her story! By the millions unchained who our birthright have gained, We will keep her bright blazon forever unstained! And the Star-Spangled Banner in triumph shall wave While the land of the free is the home of the brave. เนื้อเพลงอื่น เนื้อเพลงอื่น. ในกวีนิพนธ์ที่นายฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ เขียนด้วยมือในปี 2383 บรรทัดที่สามอ่านว่า "Whose bright stars and broad stripes, through the clouds of the fight (ที่มีริ้วอันกว้าง มีดาราอันกระจ่าง มองเห็นผ่านควันประจัญบาน)"ประวัติการร้อง ประวัติ. การร้อง. เพลงร้องยากมากสำหรับคนไม่ใช่มืออาชีพเพราะมีเสียงสูงต่ำต่างกันมาก นักเขียนตลกคนหนึ่งได้กล่าวถึงความยากของเพลงในหนังสือของเขาว่า ทั้งนักร้องมืออาชีพมือสมัครเล่นล้วนแต่เคยลืมเนื้อเพลงมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่มักจะอัดเสียงเพลงก่อนแล้วมาตีหน้าร้องตามที่หลัง บางครั้ง ก็หลีกเลี่ยงปัญหาโดยให้เล่นเสียงดุริยางค์แทนการร้อง การอัดเพลงชาติล่วงหน้าก่อนจะแสร้งร้อง ต่อมาได้กลายเป็นประเพณีทั่วไปในเกมเบสบอล เพลงจะเล่นก่อนการแข่งกีฬาหรือก่อนคอนเสิร์ตออร์เคสตราในที่โล่งในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนการประชุมของสาธารณชนอื่น ๆ ทั้ง National Hockey League และเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ บังคับให้การแข่งขันทั้งในสหรัฐอเมริกาเล่นเพลงชาติทั้งแคนาดาและสหรัฐอเมริกาที่ผู้แข่งขันมาจากทั้งสองประเทศ โดยจะเล่นเพลงประเทศของทีมมาเยี่ยมก่อน นอกจากนั้นแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะเล่นเพลงชาติทั้งอเมริกันและแคนาดา (โดยทำแบบเดียวกับ NHL และ MLS) ก่อนการแข่งกีฬาของเมเจอร์ลีกเบสบอลและเอ็นบีเอที่มีทีม Toronto Blue Jays หรือโทรอนโตแร็ปเตอส์ตามลำดับร่วมด้วย ซึ่งเป็นทีมแคนาดาเดียวในลีกกีฬาหลักของสหรัฐ และใน All Star Games ของ MLB, NBA, และ NHL ส่วนทีม Buffalo Sabres ของ NHL ซึ่งอยู่ในเมืองชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกา-แคนาดา และมีแฟนเป็นคนแคนาดาเป็นจำนวนมาก จะเล่นเพลงชาติทั้งสองไม่ว่าทีมไหนจะมาแข่งด้วย มีการร้องเพลงชาติ 2 ครั้งที่ฉีกแนวมากหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 คือในวันที่ 12 กันยายน 2544 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรทรงทำลายพระประเพณีของมหาราชวังแล้วทรงอนุญาตให้วงศ์ดุริยางค์ Band of the Coldstream Guards เล่นเพลงชาติสหรัฐ ณ พระราชวังบักกิงแฮมแห่งนครลอนดอนในพิธีเปลี่ยนเวรทหารรักษาพระองค์ เพื่อแสดงน้ำพระหฤทัยสนับสนุนพันธมิตรของอังกฤษ ในวันต่อมาในพิธีอนุสรณ์ต่อผู้เสียชีวิตที่มหาวิหารเซนต์พอล พระองค์ก็ทรงร่วมร้องเพลงชาติสหรัฐ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนงานประจำชาติครบรอบ 200 ปีการดัดแปลง การดัดแปลง. การเล่นเป็นเพลงสมัยนิยมครั้งแรกต่อคนสาธารณชนในอเมริกาเริ่มโดยนักร้องและนักกีตาร์ชาวเปอร์โตริโกโฮเซ เฟลีเซียโน ซึ่งสร้างความโกลาหลทั่วประเทศเมื่อเขาดีดกีตาร์เสียงเพลงอย่างช้า ๆ ในรูปแบบดนตรีบลูส์ ที่สนามกีฬาไทเกอร์แห่งนครดีทรอยต์ก่อนเกมที่ 5 ของ 1968 World Series ระหว่าง Detroit Tigers กับ St. Louis Cardinals เป็นตัวการเริ่มข้อถกเถียงเรื่อง "ธงอันแพรวพราวด้วยดารา" สมัยปัจจุบัน โดยได้รับการตอบสนองในเชิงลบจากคนอเมริกันโดยทั่วไปท่ามกลางบรรยากาศแห่งสงครามเวียดนาม ถึงอย่างไรก็ดี การเล่นเพลงของเฟลีเซียโนได้เปิดประตูให้ตีความเพลงในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมากต่อ ๆ มา อาทิตย์หนึ่งหลังการเล่นของเฟลีเซียโน เพลงชาติก็สร้างข่าวอีกเมื่อนักกีฬาโอลิมปิกชาวอเมริกันทอมมี่ สมิธ และจอห์น คาร์ลอส ยกกำปั้นขึ้นเมื่อเล่นเพลง ต่อมา นักร้องมาร์วิน เกย์ได้ร้องเพลงผสมสไตล์โซลในการเปิดการแข่งกีฬา 1983 (ปี 2526) NBA All-Star Game และนักร้องวิตนีย์ ฮิวสตันร้องเพลงในสไตล์เดียวกันก่อนงานซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 25 ในปี 2534 และต่อมาออกแผ่นเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดอันดับ 20 ในบิลบอร์ดฮอต 100 ในปี 2534 และอันดับที่ 6 ในปี 2544 ซึ่งร่วมกับโฮเซ เฟลีเซียโน เป็นช่วง ๆ เดียวที่เพลงชาติติดบิลบอร์ด ต่อมาปี 2536 วงดนตรีคิสออกเพลงแบบร็อกเฉพาะเสียงดนตรีเป็นแถร็กสุดท้ายของอัลบัม Alive III การตีความเล่นเป็นเพลงดุริยางค์ที่รู้จักกันดีอีกรุ่นหนึ่งก็คือของนักกีตาร์จิมิ เฮนดริกซ์ ซึ่งเขาเล่นอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ฤดูใบไม้ตกปี 2511 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2513 รวมทั้งการเล่นที่มีชื่อเสียงที่เทศกาลวูดสต็อกในปี 2512 โดยใช้เสียงพิเศษเพื่อเน้น "แสงเจิดจ้าแห่งจรวด" และ "ระเบิดที่ปะทุกระจายกลางนภากาศ" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ต่อมานักตลกโรแซนน์ บาร์ร ร้องเพลงชาติที่ก่อปัญหาก่อนเกมเบสบอลของทีม San Diego Padres ที่สนามกีฬาแจ็คเมอร์ฟีย์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2533 โดยร้องเป็นเสียงดังแสบแก้วหู แล้วภายหลังพยายามทำท่าเหมือนกับนักกีฬาโดยถุยน้ำลายแล้วจับที่เป้ากางเกงของเธอเหมือนกับขยับอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้คนบางพวก รวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นคือนายจอรจ์ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช (บิดาของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช) นักร้องซูฟยาน สตีเวนส์เล่นเพลงชาติในการแสดงสดของเขา แต่จะเปลี่ยนบาทสุดท้ายที่มองโลกในแง่ดีในบทแรก ด้วยบาทที่แสดงสภาพแตกแยกของประเทศทุกวันนี้ นักร้องเดวิด ลี รอธ ทั้งอิงบางส่วนของเพลงชาติ และทั้งเล่นเพลงในสไตล์ฮาร์ดร็อกในเพลง "Yankee Rose" ในอัลบัมเดี่ยวปี 2529 ที่มีชื่อว่า Eat 'Em and Smile ส่วนนักร้องสตีเฟ่น ไทเลอร์สร้างความขัดแย้งในปี 2544 (ในการแข่งรถ Indianapolis 500 ซึ่งภายหลังเขาขอโทษ) และในปี 2555 (ที่การแข่งกอล์ฟ AFC Championship Game) โดยร้องเปลี่ยนเนื้อในสไตล์อะแคปเปลลา นักดนตรีโจ เพร์รี และแบร็ด วิตฟอร์ด แห่งวงแอโรสมิธ เล่นบางส่วนของเพลงท้ายเพลง "Train Kept A-Rollin'" ในอัลบัม Rockin' the Joint วงบอสตันเล่นเพลงแค่เสียงดนตรีในอัลบัม Greatest Hits และวง Crush 40 เล่นเพลงในแถร็กเริ่มต้นของอัลบัม Thrill of the Feel (2543) ในเดือนมีนาคม 2548 โปรแกรมที่สนับสนุนโดยรัฐบาลคือโปรเจ็กต์เพลงชาติ (National Anthem Project) ก็เริ่มขึ้นหลังจากโพลแสดงว่า ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ทั้งเนื้อร้องหรือประวัติของเพลงภาพยนตร์ ทีวี และวรรณกรรมประเพณี ประเพณี. กฎหมายสหรัฐอเมริกา กำหนดว่า เมื่อกำลังเล่นเพลงชาติ และมีการแสดงธง ให้ทุกคนยกเว้นผู้อยู่ในเครื่องแบบยืนตัวตรงหันหน้าไปทางธงโดยวางมือขวาไว้ที่หัวใจ ส่วนทหารและอดีตทหารที่อยู่ที่นั่นและไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบสามารถแสดงวันทยหัตถ์แบบทหาร ชายที่ไม่อยู่ในเครื่องแบบและมีหมวกพึงถอดหมวกด้วยมือขวา วางหมวกที่ไหล่ซ้าย โดยมีมือขวาวางที่หัวใจ ส่วนบุคคลที่อยู่ในเครื่องแบบพึงแสดงวันทยหัตถ์แบบทหารเมื่อได้ยินเสียงเพลงชาติและให้ดำรงอยู่ในท่านั้นจนจบ และถ้าไม่มีธงแสดง ให้ทุกคนหันหน้าไปทางเสียงดนตรีและประพฤติเช่นเดียวกับเหมือนมีธง กฎหมายทหารกำหนดให้รถทุกคันในค่ายหยุดเมื่อเล่นเพลง และทุกคนข้างนอกยืนตรงและหันหน้าไปทางเสียงดนตรี และแสดงวันทยหัตถ์ถ้าอยู่ในเครื่องแบบ หรือวางมือที่หัวใจถ้าไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ กฎหมายปี 2551 อนุญาตให้ทหารเก่าแสดงวันทยหัตถ์เมื่อไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบด้วย แต่ว่า กฎหมายเหล่านี้ไม่มีบทลงโทษเมื่อไม่ทำตามที่แนะนำ โดยข้อแนะนำตกอยู่ภายใต้การตีความการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญข้อแรกแห่งสหรัฐอเมริกา (ซึ่งป้องกันเสรีภาพการนับถือศาสนา เสรีภาพการพูด เสรีภาพในการพิมพ์หนังสือ เสรีภาพในการประชุมอย่างสันติภาพ หรือเสรีภาพในการร้องทุกข์ต่อรัฐบาล) เช่นกับคำแสดงความจงรักภักดี (Pledge of Allegiance) ต่อธงชาติ และต่อการปกครองแบบสาธารณรัฐของชาติ ยกตัวอย่างเช่น คนที่นับถือศาสนานิกายพยานพระยะโฮวาจะไม่ร้องเพลงชาติ แม้จะสอนว่าการยืนเป็นการตัดสินใจทางจริยธรรมที่ศาสนิกชนสามารถทำตามความรู้สึกผิดชอบของตัวเองการประท้วงคำแปล คำแปล. เพราะการย้ายถิ่นเข้าประเทศของคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษชนชาติต่าง ๆ เนื้อเพลงได้แปลเป็นร้อยกรองเพื่อให้ร้องได้เป็นหลายภาษาแล้ว ในปี 2404 มีการแปลเป็นภาษาเยอรมัน หอสมุดรัฐสภาสหรัฐยังมีการแปลเป็นภาษาสเปนในปี 2462 มีการแปลเป็นภาษาฮีบรู และภาษายิดดิชโดยผู้ย้ายถิ่นฐานชาวยิว มีอีกรุ่นหนึ่งในภาษาสเปนละตินอเมริกันที่สร้างความนิยมในการประท้วงปี 2549 มีรุ่นหนึ่งที่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสอะคาเดียที่ใช้ในรัฐลุยเซียนา ภาษาซามัว และภาษาไอริช บทที่สามของเพลงยังได้แปลเป็นภาษาละตินแล้วอีกด้วยสื่อเชิงอรรถและอ้างอิง
เนื้อเพลงชาติประจำสหรัฐอเมริกามีที่มาจากกวีนิพนธ์ชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "การต่อสู้พิทักษ์ป้อมแม็กเฮ็นรี่" ], "answer_begin_position": [ 250 ], "answer_end_position": [ 281 ] }
2,168
101,497
เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์ "เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์" ( แปลว่า ธงอันแพรวพราวด้วยดารา) เป็นเพลงชาติประจำสหรัฐ โดยเนื้อเพลงมาจากกวีนิพนธ์ชื่อว่า "การต่อสู้พิทักษ์ป้อมแม็กเฮ็นรี่ (Defence of Fort M'Henry)" ซึ่งประพันธ์ขึ้นในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2357 โดยทนายและกวีสมัครเล่น "ฟรานซิส สก็อตต์ คีย์" หลังจากเห็นการยิงถล่มป้อมแม็กเฮ็นรี่โดยราชนาวีอังกฤษ ณ อ่าวบอลทิมอร์ในยุทธการบอลทิมอร์ระหว่างสงคราม ค.ศ. 1812 (พ.ศ. 2355) นายคีย์ได้แรงบันดาลใจจากธงชาติสหรัฐ ที่เขาตั้งชื่อว่า ธงอันแพรวพราวด้วยดารา (Star-Spangled Banner) ที่พลิ้วสะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ต่อมา บทกวีนี้ได้ประกอบให้เข้ากับเพลงสมัยนิยมแต่งโดยนักดนตรีชาวอังกฤษ จอห์น สแตฟฟอร์ด สมิธ เพื่อสโมสรชาย Anacreontic Society ในนครลอนดอน ซึ่งเป็นเพลงนิยมเดิม (To Anacreon in Heaven) อยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ประกอบเข้ากับกวีนิพนธ์ของคีย์แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "The Star-Spangled Banner" จึงกลายเป็นเพลงรักชาติที่รู้จักกันดีเพลงหนึ่ง แต่ด้วยทำนองที่มีพิสัยกว้างถึง 1 1/5 อ็อกเทฟ จึงเป็นเพลงที่ร้องยาก แม้บทกวีจะมีถึง 4 บท แต่ปัจจุบันนิยมร้องเพียงแค่บทเดียว กองทัพเรือสหรัฐได้ใช้เป็นเพลงทางการเริ่มในปี พ.ศ. 2432 ส่วนประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เริ่มให้ใช้เป็นเพลงทางการเมื่อปี 2459 (ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) และรัฐสภาสหรัฐได้กำหนดเป็นเพลงชาติทางการตามกฎหมายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2474 ซึ่งประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์เป็นผู้เซ็นอนุมัติ แต่ว่าก่อนปี 2474 ก็ยังมีเพลงอื่น ๆ ที่ใช้เป็นทางการด้วย เช่น เพลง "Hail, Columbia" ได้ใช้เป็นเพลงชาติในกิจของรัฐบาลในคริสต์ทศวรรษที่ 19 โดยมาก แม้แต่เพลง "My Country, 'Tis of Thee" ซึ่งมีทำนองเพลงเหมือนกับ "ก็อดเซฟเดอะควีน" ซึ่งเป็นเพลงชาติอังกฤษ ก็ใช้เป็นเพลงชาติอีกเพลงหนึ่ง หลังจากสงคราม ค.ศ. 1812 และต่อ ๆ มา ก็มีเพลงอื่น ๆ ที่ออกแข่งความนิยมในงานสาธารณชนต่าง ๆ รวมทั้ง "The Star-Spangled Banner" และ "อเมริกาเดอะบิวติฟูล"ประวัติยุคต้นเนื้อเพลง ประวัติยุคต้น. เนื้อเพลง. ในวันที่ 3 กันยายน 2357 หลังจากการเผานครวอชิงตัน ดี.ซี. และการโจมตีเมืองอะเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย นายฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ และนายจอห์น สจวร์ต สกินเนอร์ ออกเรือ HMS Minden จากเมืองบอลทิมอร์ โดยยกธงขาวในภารกิจพิเศษที่ประธานาธิบดีเจมส์ แมดิสัน ได้อนุมัติแล้ว และมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยศึก รวมทั้ง นพ. วิลเลียม บีนส์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นเพื่อนของนายคีย์ที่ถูกฝ่ายอังกฤษจับไป ในข้อหาช่วยจับทหารอังกฤษ หลังจากที่ขึ้นเรือธง HMS Tonnant ของอังกฤษเมื่อวันที่ 7 กันยายนเพื่อเจรจากับพลตรีรอเบิร์ต รอส และพลเรือโทอะเล็กซานเดอร์ คอเครน ซึ่งเป็นเวลาที่นายทหารทั้งสองปรึกษาแผนการยุทธ์ในระหว่างอาหารเย็น ตอนแรก นายทหารทั้งสองจะไม่ยอมปล่อยหมอ แต่ก็ยินยอมหลังจากที่คีย์และสกินเนอร์แสดงจดหมายเขียนโดยเชลยศึกชาวอังกฤษที่สรรเสริญหมอและคนอเมริกันอื่น ๆ เนื่องจากได้รับการปฏิบัติที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา แต่เพราะว่า คีย์และสกินเนอร์ได้ยินแผนการโจมตีเมืองบอลทิมอร์ ก็เลยถูกจับเอาไว้จนกระทั่งสุดการโจมตี ตอนแรกบนเรือ HMS Surprise และต่อมา บนเรือ HMS Minden อีก หลังจากการระดมยิง มีเรือปืนอังกฤษที่พยายามรอดผ่านป้อมแม็กเฮ็นรี่แล้วยกทหารขึ้นบกที่อ่าวเล็ก ๆ ทางตะวันตก แต่ก็ถูกส่งกลับด้วยการยิงสนับสนุนจากป้อมโควิงตันใกล้ ๆ ที่เป็นด่านป้องกันสุดท้ายของเมือง ในช่วงกลางคืนที่มึดครึ้มไปด้วยฝน คีย์ได้เห็นธงแบบ "storm flag" ที่เล็กกว่ายังคงพริ้วสะพัดเหนือป้อม แต่หลังจากที่ราชนาวีอังกฤษหยุดโจมตีป้อมด้วยปืนใหญ่และจรวด เขาก็มองไม่เห็นว่าการสู้รบเป็นอย่างไรจนอรุณรุ่ง ในรุ่งเช้าของวันที่ 14 ป้อมก็ได้ลดธงเก่าลงและชักธงที่ใหญ่กว่าขึ้น ในช่วงการโจมตี HMS Terror และ HMS Meteor เป็นเรือที่ยิง "ระเบิดที่ปะทุกระจายกลางนภากาศ" คีย์ได้รับแรงดลใจของชัยชนะฝ่ายอเมริกันและการเห็นธงชัยใหญ่ที่โบกสะพัดเหนือป้อม ธงผืนนี้ต่อมาจึงได้ชื่อเป็น Star-Spangled Banner (ธงอันแพรวพราวไปด้วยดารา) และปัจจุบันเปิดให้ชมในพิพิธภัณฑสถานประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ ซึ่งเป็นส่วนของสถาบันสมิธโซเนียน โดยมีการบูรณะธงผืนนี้ในปี 2457 และปี 2541 เพื่อรักษาธงไว้ ในขณะที่ยังอยู่บนเรือ คีย์ได้ประพันธ์กวีนิพนธ์บนหลังกระดาษจดหมายที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อมาเวลาเย็นวันที่ 16 กันยายน เขาและสกินเนอร์จึงได้อนุญาตให้กลับไปที่บอลทิมอร์ เขาจึงเขียนบทกวีให้เสร็จในโรงแรมที่เขาอยู่ แล้วตั้งชื่อว่า "Defence of Fort M'Henry (การต่อสู้พิทักษ์ป้อมแม็กเฮ็นรี่)" ไอเดียโดยมากในบทกวี รวมทั้งจินตภาพของธงและคำบางคำ มาจากเพลง ("When the Warrior Returns") ที่คีย์ได้เขียนประกอบกับเพลง "The Anacreontic Song" เช่นกันมาก่อน เพราะคีย์ไม่ได้อธิบายบทกวีของเขาก่อนเสียชีวิตในปี 2386 จึงมีคนที่ได้เดาถึงความหมายของวลีในบทต่าง ๆ ตามนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง คำว่า "the hireling and slave" (พวกรับจ้างและทาส) หมายถึงทาสเก่าเป็นพัน ๆ ในหมู่ทหารคนอังกฤษที่จัดเป็นกองนาวิกโยธินชาวอาณานิคม (Corps of Colonial Marines) ที่ได้รับการปลดปล่อยจากทหารอังกฤษและเรียกร้องให้ส่งไปกองหน้า "ที่ตนอาจจะเจอเจ้านายเก่า" (แม้ว่า ประเทศอังกฤษเองในขณะนั้นก็ยังมีทาสอยู่) นี่เป็นกลยุทธ์ที่ภายหลังประธานาธิบดีลินคอล์นก็ได้ใช้เมื่อปล่อยทาสที่อยู่ในการดูแลของฝ่ายรัฐกบฏแต่ไม่ใช่ในรัฐของพวกตน ส่วนศาสตราจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งอ้างว่า คำทั้งสองใช้เพื่อดูถูกศัตรูอังกฤษในสงครามปี ค.ศ. 1812 ไม่ใช่เพื่อยกย่องการมีทาส โดยอ้างว่า คำที่ใช้หมายถึง ทหารอาชีพชาวอังกฤษ (พวกรับจ้าง) และกองนาวิกโยธินชาวอาณานิคม (ทาส) ที่คีย์มองว่าเป็น คนพาลและเป็นคนทรยศผู้ก่อกบฏ ซึ่งทำให้สหรัฐไม่ร้องเพลงส่วนนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพราะอังกฤษเป็นพันธมิตร มีคนอื่นอีกที่อ้างว่า วลีนี้หมายถึงความจงรักภักดีที่ไม่สม่ำเสมอ คือ พวกรับจ้าง หมายถึงทหารรับจ้างที่สนใจเรื่องเงินทองไม่ใช่รักประเทศชาติ และหมายถึงคนอเมริกันที่ประเทศอังกฤษโอ้อวดว่า "สมัครเป็นทหาร" แต่ความจริง "ตกเป็นทาส" ด้วยกระบวนการเกณฑ์ทหารโดยบังคับของอังกฤษ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อสิ้นปี 2357 รัฐบาลสหรัฐก็เรียกร้องให้อังกฤษคืนทรัพย์สินคนอเมริกัน ซึ่งเมื่อตอนนั้น หมายถึงทาส 6,000 คน ที่ได้อิสรภาพ แต่อังกฤษปฏิเสธ ต่อมาคน 6,000 คนโดยมากในที่สุดก็ตั้งถิ่นฐานในแคนาดา โดยมีบางส่วนที่ไปยังเกาะตรินิแดดเพลงที่เขียนโดยจอห์น สแตฟฟอร์ด สมิธเพลงชาติ เพลงชาติ. เพลงเพิ่มความนิยมเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยวงศ์ดุริยางค์มักจะเล่นเพลงนี้ในงานต่าง ๆ เช่นวันชาติ (Independence Day) ส่วนป้ายอนุสรณ์ที่ Fort Meade รัฐเซาท์ดาโคตา อ้างว่า ไอเดียเพื่อใช้เพลงเป็นเพลงชาติเริ่มที่สนามเดินขบวนของค่ายทหารเริ่มในปี 2435 โดยมีพันเอกคาเล็บ คาร์ลตัน ผู้บัญชาการของค่าย เป็นผู้ตั้งประเพณีให้เล่นเพลงนี้เมื่อ "ลดธงและเมื่อจบการเดินสวนสนามหรือคอนเสิร์ต" เมื่อเขาอธิบายให้กับผู้ว่าราชการรัฐคือนายเช็ลดอน ผู้ว่าการก็ "สัญญาว่าเขาจะพยายามตั้งเป็นประเพณีแก่กองกำลังอาสาสมัครของรัฐ" และเมื่อธิบายให้กับเลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ คือ นายแดเนียล อี. ลาม็อนต์ เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ "เล่นเพลงทุกเย็นเมื่อลดธงในค่ายทหารทุกค่าย" เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2432 เลขาธิการของกองทัพเรือสหรัฐเบ็นจามิน เอ็ฟ. เทรซีย์ เซ็นคำสั่งให้ใช้เพลงเป็นเพลงทางการเมื่อยกธงชาติ ต่อมาในปี 2459 ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันจึงออกคำสั่งให้เล่นเพลงในงานทหารและงานที่เหมาะสมอื่น ๆ การเล่นเพลงอีกสองปีต่อมาในช่วงพักเกมเบสบอล (seventh-inning stretch) ของ 1918 World Series และต่อจากนั้นระหว่างเกม บ่อยครั้งอ้างว่าเป็นเหตุการณ์แรกที่ให้เล่นเพลงชาติในเกมเบสบอล แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงว่า การเล่นเพลงอาจเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2440 ของงานเปิดเกมวันแรกในเมืองฟิลาเดลเฟีย และเล่นเป็นประจำในสนามกีฬา Polo Grounds ในนครนิวยอร์กเริ่มตั้งแต่ปี 2441 อย่างไรก็ดี ประเพณีของการเล่นเพลงชาติก่อนเกมเบสบอลทุกเกมเริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ในวันที่ 10 เมษายน 2461 สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งได้เสนอกฎหมายยอมรับให้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการ แต่ว่ากฎหมายไม่ผ่านรัฐสภา แม้จนกระทั่งถึงวันที่ 15 เมษายน 2472 สมาชิกรัฐสภาคนเดิมก็ได้เสนอกฎหมายเป็นครั้งที่ 6 จนกระทั่งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2472 คอลัมนิสต์การ์ตูน (Robert Ripley) ได้เขียนการ์ตูนกล่าวว่า "จะเชื่อหรือไม่ อเมริกาไม่มีเพลงชาติ" ในปี 2473 กลุ่มทหารผ่านศึก (Veterans of Foreign Wars) จึงได้ยื่นฎีการ้องให้สหรัฐอเมริกายอมรับให้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการ โดยมีคน 5 ล้านคนเซ็นคำร้องร่วม ซึ่งต่อมายกขึ้นสู่คณะกรรมการฝ่ายตุลาการของรัฐสภาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2473 ในวันเดียวกัน หญิงสองคน (Elsie Jorss-Reilley และ Grace Evelyn Boudlin) ได้ร้องเพลงนี้ให้คณะกรรมการฟังเพื่อพิสูจน์ว่า เพลงไม่ได้มีเสียงสูงเกินไปสำหรับคนทั่วไปจะร้อง คณะกรรมการจึงออกเสียงให้ส่งเสนอกฎหมายเพื่อลงคะแนนต่อไปในรัฐสภา ซึ่งต่อมาผ่านกฎหมายในปีเดียวกัน โดยวุฒิสภาก็ผ่านกฎหมายในวันที่ 3 มีนาคม 2474 ในวันที่ 4 มีนาคม 2474 ประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ จึงได้เซ็นผ่านกฎหมายยอมรับ "The Star-Spangled Banner" เป็นเพลงชาติทางการของสหรัฐอเมริกาเนื้อเพลงพร้อมคำแปลร้อยแก้วบางส่วน เนื้อเพลงพร้อมคำแปลร้อยแก้วบางส่วน. ให้สังเกตว่าคำแปลเป็นร้อยแก้วตามคำ ไม่ได้แปลเป็นร้อยกรองให้ร้องตามเพลงได้เนื้อเพลงเสริมในช่วงสงครามกลางเมือง เนื้อเพลงเสริมในช่วงสงครามกลางเมือง. เพราะความเดือดดาลที่เกิดเพราะสงครามกลางเมืองอเมริกา จึงมีนักกวีที่เพิ่มเนื้อเพลง เป็นบทที่ 5 ในปี 2404 ซึ่งปรากฏในหนังสือเพลงในยุคนั้น When our land is illumined with Liberty's smile, If a foe from within strike a blow at her glory, Down, down with the traitor that dares to defile The flag of her stars and the page of her story! By the millions unchained who our birthright have gained, We will keep her bright blazon forever unstained! And the Star-Spangled Banner in triumph shall wave While the land of the free is the home of the brave. เนื้อเพลงอื่น เนื้อเพลงอื่น. ในกวีนิพนธ์ที่นายฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ เขียนด้วยมือในปี 2383 บรรทัดที่สามอ่านว่า "Whose bright stars and broad stripes, through the clouds of the fight (ที่มีริ้วอันกว้าง มีดาราอันกระจ่าง มองเห็นผ่านควันประจัญบาน)"ประวัติการร้อง ประวัติ. การร้อง. เพลงร้องยากมากสำหรับคนไม่ใช่มืออาชีพเพราะมีเสียงสูงต่ำต่างกันมาก นักเขียนตลกคนหนึ่งได้กล่าวถึงความยากของเพลงในหนังสือของเขาว่า ทั้งนักร้องมืออาชีพมือสมัครเล่นล้วนแต่เคยลืมเนื้อเพลงมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่มักจะอัดเสียงเพลงก่อนแล้วมาตีหน้าร้องตามที่หลัง บางครั้ง ก็หลีกเลี่ยงปัญหาโดยให้เล่นเสียงดุริยางค์แทนการร้อง การอัดเพลงชาติล่วงหน้าก่อนจะแสร้งร้อง ต่อมาได้กลายเป็นประเพณีทั่วไปในเกมเบสบอล เพลงจะเล่นก่อนการแข่งกีฬาหรือก่อนคอนเสิร์ตออร์เคสตราในที่โล่งในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนการประชุมของสาธารณชนอื่น ๆ ทั้ง National Hockey League และเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ บังคับให้การแข่งขันทั้งในสหรัฐอเมริกาเล่นเพลงชาติทั้งแคนาดาและสหรัฐอเมริกาที่ผู้แข่งขันมาจากทั้งสองประเทศ โดยจะเล่นเพลงประเทศของทีมมาเยี่ยมก่อน นอกจากนั้นแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะเล่นเพลงชาติทั้งอเมริกันและแคนาดา (โดยทำแบบเดียวกับ NHL และ MLS) ก่อนการแข่งกีฬาของเมเจอร์ลีกเบสบอลและเอ็นบีเอที่มีทีม Toronto Blue Jays หรือโทรอนโตแร็ปเตอส์ตามลำดับร่วมด้วย ซึ่งเป็นทีมแคนาดาเดียวในลีกกีฬาหลักของสหรัฐ และใน All Star Games ของ MLB, NBA, และ NHL ส่วนทีม Buffalo Sabres ของ NHL ซึ่งอยู่ในเมืองชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกา-แคนาดา และมีแฟนเป็นคนแคนาดาเป็นจำนวนมาก จะเล่นเพลงชาติทั้งสองไม่ว่าทีมไหนจะมาแข่งด้วย มีการร้องเพลงชาติ 2 ครั้งที่ฉีกแนวมากหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 คือในวันที่ 12 กันยายน 2544 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรทรงทำลายพระประเพณีของมหาราชวังแล้วทรงอนุญาตให้วงศ์ดุริยางค์ Band of the Coldstream Guards เล่นเพลงชาติสหรัฐ ณ พระราชวังบักกิงแฮมแห่งนครลอนดอนในพิธีเปลี่ยนเวรทหารรักษาพระองค์ เพื่อแสดงน้ำพระหฤทัยสนับสนุนพันธมิตรของอังกฤษ ในวันต่อมาในพิธีอนุสรณ์ต่อผู้เสียชีวิตที่มหาวิหารเซนต์พอล พระองค์ก็ทรงร่วมร้องเพลงชาติสหรัฐ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนงานประจำชาติครบรอบ 200 ปีการดัดแปลง การดัดแปลง. การเล่นเป็นเพลงสมัยนิยมครั้งแรกต่อคนสาธารณชนในอเมริกาเริ่มโดยนักร้องและนักกีตาร์ชาวเปอร์โตริโกโฮเซ เฟลีเซียโน ซึ่งสร้างความโกลาหลทั่วประเทศเมื่อเขาดีดกีตาร์เสียงเพลงอย่างช้า ๆ ในรูปแบบดนตรีบลูส์ ที่สนามกีฬาไทเกอร์แห่งนครดีทรอยต์ก่อนเกมที่ 5 ของ 1968 World Series ระหว่าง Detroit Tigers กับ St. Louis Cardinals เป็นตัวการเริ่มข้อถกเถียงเรื่อง "ธงอันแพรวพราวด้วยดารา" สมัยปัจจุบัน โดยได้รับการตอบสนองในเชิงลบจากคนอเมริกันโดยทั่วไปท่ามกลางบรรยากาศแห่งสงครามเวียดนาม ถึงอย่างไรก็ดี การเล่นเพลงของเฟลีเซียโนได้เปิดประตูให้ตีความเพลงในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมากต่อ ๆ มา อาทิตย์หนึ่งหลังการเล่นของเฟลีเซียโน เพลงชาติก็สร้างข่าวอีกเมื่อนักกีฬาโอลิมปิกชาวอเมริกันทอมมี่ สมิธ และจอห์น คาร์ลอส ยกกำปั้นขึ้นเมื่อเล่นเพลง ต่อมา นักร้องมาร์วิน เกย์ได้ร้องเพลงผสมสไตล์โซลในการเปิดการแข่งกีฬา 1983 (ปี 2526) NBA All-Star Game และนักร้องวิตนีย์ ฮิวสตันร้องเพลงในสไตล์เดียวกันก่อนงานซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 25 ในปี 2534 และต่อมาออกแผ่นเป็นเพลงเดี่ยวที่ติดอันดับ 20 ในบิลบอร์ดฮอต 100 ในปี 2534 และอันดับที่ 6 ในปี 2544 ซึ่งร่วมกับโฮเซ เฟลีเซียโน เป็นช่วง ๆ เดียวที่เพลงชาติติดบิลบอร์ด ต่อมาปี 2536 วงดนตรีคิสออกเพลงแบบร็อกเฉพาะเสียงดนตรีเป็นแถร็กสุดท้ายของอัลบัม Alive III การตีความเล่นเป็นเพลงดุริยางค์ที่รู้จักกันดีอีกรุ่นหนึ่งก็คือของนักกีตาร์จิมิ เฮนดริกซ์ ซึ่งเขาเล่นอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ฤดูใบไม้ตกปี 2511 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2513 รวมทั้งการเล่นที่มีชื่อเสียงที่เทศกาลวูดสต็อกในปี 2512 โดยใช้เสียงพิเศษเพื่อเน้น "แสงเจิดจ้าแห่งจรวด" และ "ระเบิดที่ปะทุกระจายกลางนภากาศ" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ต่อมานักตลกโรแซนน์ บาร์ร ร้องเพลงชาติที่ก่อปัญหาก่อนเกมเบสบอลของทีม San Diego Padres ที่สนามกีฬาแจ็คเมอร์ฟีย์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2533 โดยร้องเป็นเสียงดังแสบแก้วหู แล้วภายหลังพยายามทำท่าเหมือนกับนักกีฬาโดยถุยน้ำลายแล้วจับที่เป้ากางเกงของเธอเหมือนกับขยับอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้คนบางพวก รวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นคือนายจอรจ์ เอ็ช. ดับเบิลยู. บุช (บิดาของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช) นักร้องซูฟยาน สตีเวนส์เล่นเพลงชาติในการแสดงสดของเขา แต่จะเปลี่ยนบาทสุดท้ายที่มองโลกในแง่ดีในบทแรก ด้วยบาทที่แสดงสภาพแตกแยกของประเทศทุกวันนี้ นักร้องเดวิด ลี รอธ ทั้งอิงบางส่วนของเพลงชาติ และทั้งเล่นเพลงในสไตล์ฮาร์ดร็อกในเพลง "Yankee Rose" ในอัลบัมเดี่ยวปี 2529 ที่มีชื่อว่า Eat 'Em and Smile ส่วนนักร้องสตีเฟ่น ไทเลอร์สร้างความขัดแย้งในปี 2544 (ในการแข่งรถ Indianapolis 500 ซึ่งภายหลังเขาขอโทษ) และในปี 2555 (ที่การแข่งกอล์ฟ AFC Championship Game) โดยร้องเปลี่ยนเนื้อในสไตล์อะแคปเปลลา นักดนตรีโจ เพร์รี และแบร็ด วิตฟอร์ด แห่งวงแอโรสมิธ เล่นบางส่วนของเพลงท้ายเพลง "Train Kept A-Rollin'" ในอัลบัม Rockin' the Joint วงบอสตันเล่นเพลงแค่เสียงดนตรีในอัลบัม Greatest Hits และวง Crush 40 เล่นเพลงในแถร็กเริ่มต้นของอัลบัม Thrill of the Feel (2543) ในเดือนมีนาคม 2548 โปรแกรมที่สนับสนุนโดยรัฐบาลคือโปรเจ็กต์เพลงชาติ (National Anthem Project) ก็เริ่มขึ้นหลังจากโพลแสดงว่า ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ทั้งเนื้อร้องหรือประวัติของเพลงภาพยนตร์ ทีวี และวรรณกรรมประเพณี ประเพณี. กฎหมายสหรัฐอเมริกา กำหนดว่า เมื่อกำลังเล่นเพลงชาติ และมีการแสดงธง ให้ทุกคนยกเว้นผู้อยู่ในเครื่องแบบยืนตัวตรงหันหน้าไปทางธงโดยวางมือขวาไว้ที่หัวใจ ส่วนทหารและอดีตทหารที่อยู่ที่นั่นและไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบสามารถแสดงวันทยหัตถ์แบบทหาร ชายที่ไม่อยู่ในเครื่องแบบและมีหมวกพึงถอดหมวกด้วยมือขวา วางหมวกที่ไหล่ซ้าย โดยมีมือขวาวางที่หัวใจ ส่วนบุคคลที่อยู่ในเครื่องแบบพึงแสดงวันทยหัตถ์แบบทหารเมื่อได้ยินเสียงเพลงชาติและให้ดำรงอยู่ในท่านั้นจนจบ และถ้าไม่มีธงแสดง ให้ทุกคนหันหน้าไปทางเสียงดนตรีและประพฤติเช่นเดียวกับเหมือนมีธง กฎหมายทหารกำหนดให้รถทุกคันในค่ายหยุดเมื่อเล่นเพลง และทุกคนข้างนอกยืนตรงและหันหน้าไปทางเสียงดนตรี และแสดงวันทยหัตถ์ถ้าอยู่ในเครื่องแบบ หรือวางมือที่หัวใจถ้าไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ กฎหมายปี 2551 อนุญาตให้ทหารเก่าแสดงวันทยหัตถ์เมื่อไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบด้วย แต่ว่า กฎหมายเหล่านี้ไม่มีบทลงโทษเมื่อไม่ทำตามที่แนะนำ โดยข้อแนะนำตกอยู่ภายใต้การตีความการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญข้อแรกแห่งสหรัฐอเมริกา (ซึ่งป้องกันเสรีภาพการนับถือศาสนา เสรีภาพการพูด เสรีภาพในการพิมพ์หนังสือ เสรีภาพในการประชุมอย่างสันติภาพ หรือเสรีภาพในการร้องทุกข์ต่อรัฐบาล) เช่นกับคำแสดงความจงรักภักดี (Pledge of Allegiance) ต่อธงชาติ และต่อการปกครองแบบสาธารณรัฐของชาติ ยกตัวอย่างเช่น คนที่นับถือศาสนานิกายพยานพระยะโฮวาจะไม่ร้องเพลงชาติ แม้จะสอนว่าการยืนเป็นการตัดสินใจทางจริยธรรมที่ศาสนิกชนสามารถทำตามความรู้สึกผิดชอบของตัวเองการประท้วงคำแปล คำแปล. เพราะการย้ายถิ่นเข้าประเทศของคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษชนชาติต่าง ๆ เนื้อเพลงได้แปลเป็นร้อยกรองเพื่อให้ร้องได้เป็นหลายภาษาแล้ว ในปี 2404 มีการแปลเป็นภาษาเยอรมัน หอสมุดรัฐสภาสหรัฐยังมีการแปลเป็นภาษาสเปนในปี 2462 มีการแปลเป็นภาษาฮีบรู และภาษายิดดิชโดยผู้ย้ายถิ่นฐานชาวยิว มีอีกรุ่นหนึ่งในภาษาสเปนละตินอเมริกันที่สร้างความนิยมในการประท้วงปี 2549 มีรุ่นหนึ่งที่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสอะคาเดียที่ใช้ในรัฐลุยเซียนา ภาษาซามัว และภาษาไอริช บทที่สามของเพลงยังได้แปลเป็นภาษาละตินแล้วอีกด้วยสื่อเชิงอรรถและอ้างอิง
เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์ ถูกกำหนดให้เป็นเพลงชาติของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการตามกฎหมายเมื่อปีพ.ศ.ใด
{ "answer": [ "2474" ], "answer_begin_position": [ 1357 ], "answer_end_position": [ 1361 ] }
2,169
10,967
แฮร์รี เอส. ทรูแมน พันเอก แฮร์รี เอส ทรูแมน (อังกฤษ: Harry S Truman) เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1884 เสียชีวิตวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1972 เป็นรองประธานาธิบดีคนที่ 34 (ค.ศ. 1945) และประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา โดยรับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ที่เสียชีวิตขณะยังดำรงตำแหน่ง ในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรูแมนเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญมากมาย เขารับตำแหน่งในขณะที่สหรัฐและพันธมิตรเริ่มได้เปรียบในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นคนอนุมัติให้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ประเทศญี่ปุ่น เริ่มแผนมาร์แชลล์ในการฟื้นฟูทวีปยุโรป ช่วงเริ่มแรกของสงครามเย็น การก่อตั้งสหประชาชาติ และสงครามเกาหลีหมายเหตุเรื่องชื่อ หมายเหตุเรื่องชื่อ. ชื่อกลางของ แฮร์รี เอส. ทรูแมน หรือตัว เอส ที่เราเห็นนั้นไม่ใช่อักษรย่อแต่เป็นเพียงแค่ตัว เอส เท่านั่น ทรูแมนเคยกล่าวเล่น ๆ ว่าตัว เอส นั้นเป็นคำ ไม่ใช่อักษรย่อ ดังนั้นจึงไม่สมควรมีจุดด้านหลัง แต่สิ่งพิมพ์อย่างเป็นทางการต่าง ๆ นั้นใช้จุดลงท้ายตัวเอสแทบทั้งสิ้น ถึงกระนั้นการใช้จุดลงท้ายนั้นไม่ได้มีการใช้โดยทั่วไป ในปัจจุบันบางสิ่งพิมพ์ยังคงไม่เติมจุดหลังตัว เอส
ประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกาคือใคร
{ "answer": [ "แฮร์รี เอส ทรูแมน" ], "answer_begin_position": [ 117 ], "answer_end_position": [ 134 ] }
2,170
3,736
จอห์น เอฟ. เคนเนดี เรือเอก จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เจเอฟเค (JFK ย่อจากชื่อภาษาอังกฤษ) (29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 — 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของวาทะเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมือง: "จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ" เกิดเมื่อ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ที่เมืองบรู๊คลาย รัฐแมสซาชูเซตส์ อยู่ที่นั่นถึง 10 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายเข้านิวยอร์ก เป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก ลูกคนที่ 2 ในจำนวน 9 คนของโจเซฟ แพทริก เคนเนดี คหบดีใหญ่อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหราชอาณาจักร จากโรงเรียนมัธยมในรัฐคอนเนตทิคัต เรียนต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าหน่วยกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เป็นผู้บังคับการเรือ ตอร์ปิโด Patrol Torpedo boat 59 รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมช่วยเพื่อนทหารให้รอดชีวิตจากเหตุเรืออับปางด้วยข้าศึกโจมตี เขาว่ายน้ำพยุงร่างเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บไปโดยไม่ทอดทิ้ง ลงสนามการเมืองได้เป็นวุฒิสมาชิกรัฐบ้านเกิด จากนั้นเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1960 สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีที่หนุ่มที่สุดเพียง 43 ปี และเป็นคริสต์คนแรกที่ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่นี้ เจเอฟเคบริหารประเทศด้วยพลังหนุ่ม (เป็นคำหนึ่งที่เขาชอบมาก) และมองโลกในแง่ดี เคเนดี้เป็นผู้จัดตั้ง องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือยูเสด เพื่อให้การสนับสนุนประเทศประชาธิปไตยในการป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์ วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1961 เขาแถลงต่อสภาคองเกรสว่าอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ไม่ธรรมดา ให้สภาอนุมัติงบประมาณเพื่อจุดมุ่งหมายของชาติคือ การส่งมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์ และเดินทางกลับอย่างปลอดภัย ด้านการต่างประเทศ เคนเนดียุติวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทางการเมืองด้วยการยื่นคำขาดให้สหภาพโซเวียตถอนฐานยิงขีปนาวุธในประเทศคิวบา ความสำเร็จอีกประการหนึ่งคือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศในการห้ามทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามนโยบายที่ผิดพลาดก็มีเช่นกัน การให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้ เป็นจุดเริ่มต้นสงครามเวียดนามที่โหดร้ายรุนแรง แรกทีเดียวประธานาธิบดีเชื่อข้อมูลฝ่ายทหารและนักค้าอาวุธสงคราม ว่าสหรัฐจะสามารถชนะกองกำลังคอมมิวนิสต์ในเวียดนามได้ไม่ยาก เพราะแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่า เฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก แต่นั่นไม่จริง สงครามเวียดนามยืดเยื้อ ทหารอเมริกันเข้าสมรภูมิเป็นจำนวนมหาศาล ความสูญเสียเกินบรรยาย ช่วงเวลาที่จะหมดวาระ เตรียมชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 2 เขาตัดสินใจใช้การเจรจาทางการทูตยุติสงคราม แต่จากนั้นไม่นานเคนเนดีก็ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองแดลลัส รัฐเทกซัส ในเหตุการณ์การลอบสังหารฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประวัติศาสตร์บันทึกถึงประธานาธิบดีผู้มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ผู้มีผลงานโดดเด่นมากมายท่ามกลางวิกฤตการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รอยต่อของยุคก้าวสู่สงครามเย็น เพื่อเป็นการให้เกียรติของท่าน รัฐบาลจึงนำชื่อของท่านมาตั้งเป็น ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดีในนครนิวยอร์ก ของ สหรัฐอเมริกา อีกด้วย
จอห์น เอฟ เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองใดในรัฐเท็กซัส
{ "answer": [ "แดลลัส" ], "answer_begin_position": [ 2420 ], "answer_end_position": [ 2426 ] }
2,171
3,736
จอห์น เอฟ. เคนเนดี เรือเอก จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เจเอฟเค (JFK ย่อจากชื่อภาษาอังกฤษ) (29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 — 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของวาทะเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมือง: "จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ" เกิดเมื่อ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ที่เมืองบรู๊คลาย รัฐแมสซาชูเซตส์ อยู่ที่นั่นถึง 10 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายเข้านิวยอร์ก เป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก ลูกคนที่ 2 ในจำนวน 9 คนของโจเซฟ แพทริก เคนเนดี คหบดีใหญ่อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหราชอาณาจักร จากโรงเรียนมัธยมในรัฐคอนเนตทิคัต เรียนต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าหน่วยกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เป็นผู้บังคับการเรือ ตอร์ปิโด Patrol Torpedo boat 59 รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมช่วยเพื่อนทหารให้รอดชีวิตจากเหตุเรืออับปางด้วยข้าศึกโจมตี เขาว่ายน้ำพยุงร่างเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บไปโดยไม่ทอดทิ้ง ลงสนามการเมืองได้เป็นวุฒิสมาชิกรัฐบ้านเกิด จากนั้นเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1960 สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีที่หนุ่มที่สุดเพียง 43 ปี และเป็นคริสต์คนแรกที่ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่นี้ เจเอฟเคบริหารประเทศด้วยพลังหนุ่ม (เป็นคำหนึ่งที่เขาชอบมาก) และมองโลกในแง่ดี เคเนดี้เป็นผู้จัดตั้ง องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือยูเสด เพื่อให้การสนับสนุนประเทศประชาธิปไตยในการป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์ วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1961 เขาแถลงต่อสภาคองเกรสว่าอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ไม่ธรรมดา ให้สภาอนุมัติงบประมาณเพื่อจุดมุ่งหมายของชาติคือ การส่งมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์ และเดินทางกลับอย่างปลอดภัย ด้านการต่างประเทศ เคนเนดียุติวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทางการเมืองด้วยการยื่นคำขาดให้สหภาพโซเวียตถอนฐานยิงขีปนาวุธในประเทศคิวบา ความสำเร็จอีกประการหนึ่งคือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศในการห้ามทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามนโยบายที่ผิดพลาดก็มีเช่นกัน การให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้ เป็นจุดเริ่มต้นสงครามเวียดนามที่โหดร้ายรุนแรง แรกทีเดียวประธานาธิบดีเชื่อข้อมูลฝ่ายทหารและนักค้าอาวุธสงคราม ว่าสหรัฐจะสามารถชนะกองกำลังคอมมิวนิสต์ในเวียดนามได้ไม่ยาก เพราะแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่า เฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก แต่นั่นไม่จริง สงครามเวียดนามยืดเยื้อ ทหารอเมริกันเข้าสมรภูมิเป็นจำนวนมหาศาล ความสูญเสียเกินบรรยาย ช่วงเวลาที่จะหมดวาระ เตรียมชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 2 เขาตัดสินใจใช้การเจรจาทางการทูตยุติสงคราม แต่จากนั้นไม่นานเคนเนดีก็ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองแดลลัส รัฐเทกซัส ในเหตุการณ์การลอบสังหารฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประวัติศาสตร์บันทึกถึงประธานาธิบดีผู้มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ผู้มีผลงานโดดเด่นมากมายท่ามกลางวิกฤตการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รอยต่อของยุคก้าวสู่สงครามเย็น เพื่อเป็นการให้เกียรติของท่าน รัฐบาลจึงนำชื่อของท่านมาตั้งเป็น ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดีในนครนิวยอร์ก ของ สหรัฐอเมริกา อีกด้วย
จอห์น เอฟ เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเกิดเมื่อปีค.ศ.ใด
{ "answer": [ "1917" ], "answer_begin_position": [ 247 ], "answer_end_position": [ 251 ] }
2,172
48,633
มาริลิน มอนโร มาริลิน มอนโร () หรือชื่อเกิด นอร์มา จีน มอร์เทนสัน () เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1926 – 5 สิงหาคม ค.ศ. 1962) เป็นอดีตนักแสดง นักร้อง นางแบบชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงจากบทบาท "dumb blonde" เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ทางเพศที่ได้รับความนิยมในคริสต์ทศวรรษ 1950 เป็นสัญลักษณ์ของทัศนคติที่มีต่อเพศแห่งยุค แม้ว่าเธอได้เป็นนักแสดงระดับต้น ๆ เพียงแค่หนึ่งทศวรรษ ภาพยนตร์ของเธอทำรายได้ได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนที่เธอจะเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดใน ค.ศ. 1962 เธอยังถือว่าเป็นสัญรูปของวัฒนธรรมสมัยนิยมหลัก ๆ นับแต่นั้นมา มอนโรเกิดและเติบโตในลอสแอนเจลิส วัยเด็กเธออาศัยอยู่ในบ้านรับเลี้ยงเด็ก และสถานเด็กกำพร้า และสมรสครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี ขณะทำงานในโรงงานเป็นส่วนหนึ่งของกำลังสงคราม ใน ค.ศ. 1944 เธอพบกับช่างภาพคนหนึ่ง และเริ่มทำอาชีพนางแบบ งานของเธอทำให้เธอได้เซ็นสัญญากับภาพยนตร์ขนาดสั้น 2 เรื่องกับค่ายทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ (1946-1947) และโคลัมเบียพิกเจอส์ (1948) หลังจากรับบทย่อยในภาพยนตร์จำนวนหนึ่ง เธอเซ็นสัญญาใหม่กับฟอกซ์ใน ค.ศ. 1951 เธอกลายเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยบทบาทตลกขบขันหลายบทบาท เช่นในเรื่อง แอสยังแอสยูฟีล (1951) และมังกีบิสเนส (1952) และในภาพยนตร์ดรามาเรื่อง แคลชบายไนต์ (1952) และ โดนต์บาเดอร์ทูน็อก (1952) มอนโรเผชิญหน้ากับข่าวลือหลังจากมีการเปิดเผยว่าเธอเคยถ่ายแบบเปลือยก่อนมาเป็นนักแสดง แต่แทนที่จะทำลายอาชีพเธอ มันกลับทำรายได้ให้กับบอกซ์ออฟฟิศ ก่อน ค.ศ. 1953 มอนโรเป็นหนึ่งในดาราฮอลลิวูดที่มีบทบาทนำในภาพยนตร์ 3 เรื่อง ได้แก่ ฟิล์มนัวร์ เรื่อง ไนแอการา ซึ่งมุ่งจุดสนใจที่เสน่ห์ทางเพศของเธอ และภาพยนตร์ตลกเรื่อง เจนเทิลเม็นพรีเฟอร์บลอนส์ และ ฮาวทูแมร์รีอะมิลเลียนแนร์ ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ให้เธอเป็น "dumb blonde" แม้ว่าเธอจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างและจัดการภาพลักษณ์สาธารณะของเธอตลอดอาชีพการทำงาน เธอรู้สึกผิดหวังต่อสตูดิโอที่ไทป์แคสต์ และการให้ค่าตัวเธอต่ำไป เธอถูกพักงานเป็นช่วงสั้น ๆ ในต้นปี ค.ศ. 1954 เนื่องจากเธอปฏิเสธโครงการทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แต่กลับมาเป็นดาราในภาพยนตร์เรื่องที่ประสบความสำเร็จที่สุดเรื่องหนึ่งคือ เดอะเซเวนเยียร์อิตช์ (1955) เมื่อสตูดิโอยังลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงสัญญาของเธอ มอนโรก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ใน ค.ศ. 1954 ชื่อ มาริลิน มอนโร โพรดักชันส์ (MMP) ขณะก่อสร้างบริษัท เธอเริ่มศึกษาการแสดงที่แอกเตอส์สตูดิโอ ในปลายปี ค.ศ. 1955 ฟอกซ์มอบฉันทะให้เธอควบคุมและให้เงินเดือนสูงขึ้น หลังจากได้รับคำสรรเสริญจากการแสดงในเรื่อง บัสสต็อป (1956) และการแสดงในภาพยนตร์อิสระเรื่องแรกของบริษัท MMP เรื่อง เดอะพรินซ์แอนด์เดอะโชว์เกิร์ล (1957) เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากเรื่อง ซัมไลก์อิตฮอต (1959) ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเธอที่ถ่ายทำจนเสร็จคือเรื่อง เดอะมิสฟิตส์ (1961)ประวัติ ประวัติ. มาริลิน มอนโร คำว่ามาริลีนมาจากชื่อของดาราละครเพลงยุค 20 คือ มาริลีน มิลเลอร์ ส่วนมอนโร มาจากนามสกุลเดิมของคุณยายของเธอ จีน นอร์แมน คือชื่อที่มาริลีน ใช้ขณะเป็นนางแบบ มาริลิน มีมารดาเป็นโรคทางประสาท บิดาสาบสูญ เป็นเหตุให้ชีวิตช่วงวัยเด็กต้องอาศัยอยู่ตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อตอนอายุ 12 ปีเธอค้นพบว่าต้วเองมีแรงดึงดูดทางเพศอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่เธอสวมสเวตเตอร์พร้อมกับทาลิปสติกเป็นครั้งแรกไปโรงเรียน เธอเล่าว่าเมื่อเธอเดินเข้าไปในโรงเรียน นักเรียนชายต่างก็มองเธอเป็นตาเดียว บางคนก็ผิวปาก และบางคนก็เข้ามาหาเธอก็มี ในขณะที่นักเรียนหญิงต่างก็มองเธอด้วยความสนใจ และอิจฉาเธอ เมื่ออายุ 16 ปี จึงเริ่มอาชีพนางแบบ ต่อมาก็เริ่มแสดงภาพยนตร์ซึ่งล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes (1953) เธอได้ค่าตัวอาทิตย์ละ 500 เหรียญ ในขณะที่ เจน รัสเซล ดารานำอีกคนได้ 200,000 เหรียญสำหรับภาพยนตร์ 1 เรื่อง แต่ตัวหนังทำเงินถล่มถลายและมาริลีนกลายเป็นดาราดังไปในทันที ในฉากที่เธอร้องเพลง Diamonds Are A Girls's Bestfriend ที่ต่อมาถูกมาดอนน่านำมาทำเลียนแบบในมิวสิกวิดีโอเพลง Material Girl ก็นำมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่อง The Seven Year Itch (1955) มีฉากที่เป็นอมตะของเธอที่ถูกลมพัดจนกระโปรงขึ้นมา จากฉากนี้เป็นเรื่องราวทำให้เธอหย่ากับสามี (โจ ดิแมกจิโอ นักเบสบอลชื่อดัง)ผลงานเพลง ผลงานเพลง. นอกจากบทบาทการแสดงแล้วในภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีฉากที่ มาริลีน ร้องเพลงอยู่ด้วยเสมอ และเธอมักจะถูกพูดถึงเสมอในฉากร้องเพลง มาริลีนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่สุดในการแสดงอย่างใดๆ ก็แล้วแต่ การร้องเพลงและการแสดงประกอบเป็นสิ่งที่เธอถนัดที่สุด เธอได้โชว์เสียงเป็นครั้งแรกกับเพลง Every Baby Needs A Da Da Daddy และ Anyone Can Tell I Love You ในภาพยนตร์เรื่อง La-dies Of The Chorus (พ.ศ. 2491) และในปี พ.ศ. 2493 กับ Oh,What A Forward Young Man You Are ในภาพยนตร์เรื่อง A Ticket To Tomahawk ซึ่งมาริลีนแสดงเป็นแค่ตัวประกอบ 1 ใน 3 สาวคอรัส ส่วนฉากที่เรียกได้ว่าทำให้ มาริลีน เริ่มกลายเป็น Sex symbol ส่วนนึงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Niagara (1953) ต่อมาเธอได้ร้องเพลง Two Littles Girls From Little Rock, Bye Bye Baby และ When Love Goes Wrong (Nothing Goes Right) ในภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes และต่อมาเพลงที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบไปใน Diamonds Are A Girls's Bestfriend และฉากที่ไม่มีใครลืมเธอเมื่อมาริลีน ร้องเพลง River Of No return กับเปียโนกับชื่อหนังเรื่องเดียวกันในปี 1954 และผลงานนอกจอคือการที่เธอไปร้องเพลง Happy Birthday To You ให้กับประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี ที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด็น เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนเสียชีวิต เสียชีวิต. มาริลิน มอนโร เสียชีวิตที่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา โดยแม่บ้านของมอนโรชื่อ ยูนิส มูร์เรย์ เป็นผู้พบเห็นมาริลินนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงในห้องของเธอ มาริลินเสียชีวิตเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาด จากนั้นเธอปรากฏตัวบ่อยๆที่ห้อง 229 โรงแรมฮอลลีวู้ดรูสเวลต์อิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง อิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง. มาริลีน มอนโรมีอิทธิพลกับดาราและศิลปินมากมาย นอกจากมาดอนนาแล้ว เอลตัน จอห์น เคยร้องเพลงอุทิศให้กับเธอมาแล้วกับ Candle In The Wind ในปี 1973 แต่งเนื้อโดย Bernie Taupin เนื้อหาก็เปรียบชีวิตของมาริลีน เหมือนเปลวเทียนและอุปสรรค ความเหงา โดดเดี่ยว ก็เหมือนสายลมที่เป่าจนเทียนดับลงไปผลงานภาพยนตร์ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำไม่เสร็จโทรทัศน์ ผลงานภาพยนตร์. โทรทัศน์. รับบทเป็นตนเอง
มาริลิน มอนโร นักแสดงหญิงชาวอเมริกันเสียชีวิตเมื่อปีค.ศ.ใด
{ "answer": [ "1962" ], "answer_begin_position": [ 539 ], "answer_end_position": [ 543 ] }
2,173
151,420
บุนทิว บุนทิว ตามสำเนียงกลาง ( ; ) เป็นแม่ทัพของอ้วนเสี้ยว เป็นหนึ่งในสองขุนพลของอ้วนเสี้ยวทีมีฝีมือเลื่องชื่อ แต่ก่อนได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งทวนเพราะใช้ทวนเก่งมาก (ขุนพลของอ้วนเสี้ยวอีกคนคือ งันเหลียง) เคยประมือกับจูล่งถึง 60 เพลงก่อนหนีกลับค่ายไป และเมื่อรู้ว่างันเหลียงถูกฆ่าตายในสนามรบก็คิดจะออกไปแก้แค้น บุนทิวถูกฆ่าตายในการศึกกับทัพของโจโฉ เมื่อ ค.ศ. 200 ในสามก๊กของหลอกว้านจง เล่าว่าบุนทิวถูกกวนอูสังหาร แต่บางตำรากล่าวว่าบุนทิวถูกอาวุธของเตียวเลี้ยวขณะทำการรบติดพันจนเสียชีวิต
บุนทิวในเรื่องสามก๊กถูกฆ่าตายในการศึกกับทัพของผู้ใด
{ "answer": [ "โจโฉ" ], "answer_begin_position": [ 419 ], "answer_end_position": [ 423 ] }
2,174
150,616
ปลาฉนากเขียว ปลาฉนากเขียว () ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristis zijsron ในวงศ์ปลาฉนาก (Pristidae) มีรูปร่างคล้ายปลาฉนากจะงอยปากกว้าง หรือ ปลาฉนากน้ำจืด (P. microdon) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีจะงอยปากที่ยาวเป็น 1/3 ของความยาวลำตัวและหาง มีซี่ฟันทั้งหมด 24-34 คู่ ครีบหลังอันแรกคู่หลังครีบอก ครีบหางท่อนบนมีขนาดใหญ่ ขนาดโตเต็มที่ได้ 7.3 เมตร พบกระจายพันธุ์บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย, แอฟริกาตะวันออก, มหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ ,ทะเลจีนใต้, ปาปัวนิวกินี และตอนเหนือและรัฐนิวเซาท์เวลส์ของประเทศออสเตรเลีย ในบริเวณน้ำขุ่นหรือดินเลน เป็นปลาฉนากอีกชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อย หรือน้ำจืดสนิทได้ ลูกปลาวัยอ่อนซี่ฟันจะไม่แข็งเหมือนปลาวัยโต และจะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย
ปลาฉนากเขียวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไร
{ "answer": [ "Pristis zijsron" ], "answer_begin_position": [ 159 ], "answer_end_position": [ 174 ] }
2,175
23,130
ทะเกะฮิโกะ อิโนะอุเอะ ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ () เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2510 ที่ จังหวัดคาโกชิม่า ประเทศญี่ปุ่น เขาเริ่มเป็นนักวาดการ์ตูนและได้รับรางวัล "Tezuka Prize" จากผลงานเรื่อง "Kaede Purple" ในปี 1988 จากนั้นในปี 1989 "คาเมเลียนเจล" ผลงานเรื่องยาวเรื่องแรกซึ่งเป็นแนวสืบสวนเบาสมองของเขาก็ได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นรายสัปดาห์ ทว่าตีพิมพ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ก็ถูกตัดจบ ผลงานที่ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักจนเริ่มโด่งดังคือการ์ตูนเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลเรื่อง "สแลมดังก์" ที่จำหน่ายได้กว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก ต่อมาจึงออกผลงานชิ้นเอกตามมาอีกคือ "วากาบอนด์" เป็นเรื่องราวชีวิตของซามูไรผู้เลื่องชื่อระดับตำนานของญี่ปุ่น มิยาโมโตะ มุซาชิ และ ซาซากิ โคจิโร่ และการ์ตูนเกี่ยวกับบาสเกตบอลอีกเรื่องของเขา "เรียล" แต่เรื่องนี้ไม่ใช่บาสเกตบอลธรรมดาแต่เป็นเรื่องของ วีลแชร์บาสเกตบอล ซึ่งจะเป็นการ์ตูนออกไปแนวชีวิตที่ค่อนข้างหนักสักหน่อย เพราะตัวเอก 3 คน ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการกีฬาวีลแชร์บาสเกตบอลนั้น 2 ใน 3 เป็นคน พิการ แต่ไม่ได้เป็นความพิการที่มีมาแต่กำเนิด คนหนึ่งพิการเพราะโรคร้ายแต่อีกคนหนึ่งพิการจากอุบัติเหตุ ซึ่งต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่าจะยอมรับสภาพของตนได้ ส่วนตัวเอกอีกคนถึงแม้จะไม่ได้พิการแต่ก็เป็นสาเหตุให้คนใกล้ตัวต้องพิการจนเกือบจะไม่สามารถอภัยให้ตัวเองได้ โดยทั้ง 2 เรื่องหลังนี้ปัจจุบันยังเขียนไม่จบ ทำให้แฟนๆ ที่ติดตามผลงานของเขายังคงเฝ้ารอตอนต่อไปที่จะยังคงตามออกมารวมถึงผลงานเรื่องต่อไปของเขาด้วยผลงานผลงาน. - คาเมเลียนเจล - สแลมดังก์ - Buzzer Beater - วากาบอนด์ - เรียล
ใครเป็นผู้วาดการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องสแลมดังก์
{ "answer": [ "ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ" ], "answer_begin_position": [ 116 ], "answer_end_position": [ 135 ] }
2,176
763,203
พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สุจี กตสาโร) พระมหาโพธิวงศาจารย์ นามเดิม สุจี ขรวงค์ ฉายา กตสาโร หรือ ตุ๊ปู่จี๋ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 อดีตประธานสภาวิทยาเขตแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร พระนักการศึกษาแห่งแผ่นดินล้านนาประวัติ ประวัติ. พระมหาโพธิวงศาจารย์ หรือที่ชาวจังหวัดแพร่เรียก ตุ๊ปู่จี๋ หรือ ครูบาจี๋ นามเดิม สุจี ขรวงค์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2460 ขึ้น 14 ค่ำ ปีมะเส็ง ณ บ้านทุ่งอ่วน หมู่ที่ 6 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นบุตรของ นายลาด กับ นางผัน ขรวงค์ ได้สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดนาจักร จนสำเร็จชั้นประถมปีที่ 5 อันเป็นชั้นสูงสุด แล้วบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 15 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 ณ วัดกาญจนาราม ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระอุปัชฌาย์คือพระครูมหาญาณสิทธิ์ วัดมิ่งเมือง (ปัจจุบันวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร) อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และอุปสมบทวันที่ 14 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2481 ณ วัดกาญจนาราม ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระอุปัชฌาย์คือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) (ในขณะดำรงสมนศักดิ์ที่ พระปริยัติวงศาจารย์) วัดพระบาท (ปัจจุบันวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร) ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สุจี กตสาโร) มรณภาพลงเมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริอายุ ปี พรรษา 75 ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่วิทยฐานะวิทยฐานะ. - พ.ศ. 2484 สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2486 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2529 ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาครุศาสตร์) จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ - พ.ศ. 2536 ได้รับปริญญาครุศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาการบริหารการศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง - พ.ศ. 2551 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาบริหารศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ความชำนาญพิเศษ เทศนาภาษาไทยถิ่นเหนือ อ่านและเขียนอักษรธรรมล้านนาได้การทำงานด้านงานปกครองสงฆ์การทำงาน. ด้านงานปกครองสงฆ์. - พ.ศ. 2501 เป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงปัจจุบัน - พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง - พ.ศ. 2509 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2510 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2518 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง - พ.ศ. 2522 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 6 - พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฝ่ายปกครอง ของมหาเถรสมาคม - พ.ศ. 2541 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6ด้านงานการศึกษาด้านงานการศึกษา. - พ.ศ. 2484 เป็นครูสอนนักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นตรีสนามหลวง - พ.ศ. 2495 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นโทสนามหลวง - พ.ศ. 2500 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบาลีมัธยมธรรมราชวิทยา - พ.ศ. 2506 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ - พ.ศ. 2513 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่พุทธโกศัยวิทยา (ปัจจุบันโรงเรียนพุทธโกศัยวิทยา จังหวัดแพร่) - พ.ศ. 2514 เป็นกรรมการนำประโยคข้อสอบธรรมไปเปิดสอบ ณ ประเทศมาเลเซีย - พ.ศ. 2530 เป็นรองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตแพร่ - พ.ศ. 2541 เป็นประธานสภา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา. - พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการส่งเสริมศีลธรรมแพร่ - พ.ศ. 2490 เป็นผู้แทนนำพระไตรปิฎกไปประดิษฐานที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2497 เป็นอนุกรรมการ ก.ป.ช. จังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2508 เป็นประธานนำครู-อาจารย์โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์อกกอบรม ศีลธรรมแก่ประชาชนตามอำเภอต่างๆ ในเทศกาลเข้าพรรษาจนถึงปัจจุบัน - พ.ศ. 2514 เป็นผู้ร่วมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ประเทศอินโดนีเซีย - พ.ศ. 2535 ได้ร่วมกับคณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปเผยแผ่ ณ ประเทศจีน - พ.ศ. 2539 ได้แสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดแพร่ ชื่อ รายการ “ธรรมะสู่ประชาชน” เป็นประจำทุกวัน เวลา 05.15 น. - ได้เชิญชวนพระภิกษุสามเณรและคณะศรัทธาญาติโยมผู้ใจบุญได้กระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา ตลอดจนวันสำคัญที่เกี่ยวกับบ้านเมือง - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่นักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ , โรงเรียนพุทธโกศัยวิทยาและพระนิสิตมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ในบางโอกาส - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ผู้ใขบุญในวันธัมมัสวนะที่วัดทุกวัน - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ประชาชนตามโครงการต่างๆ ของคณะสงฆ์ และหน่วยงานราชการ - ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการใช้สถานที่วัดจัดประชุมสัมมนาสอบบรรจุและบำเพ็ญสาธารณกุศลอื่นๆกิจกรรมภายในวัดกิจกรรมภายในวัด. - มีการทำอุโบสถกรรม (สวดปาฏิโมกข์) ตลอดปี และมีภิกษุที่สวดปาฏิโมกข์ได้ 1 รูป - มีการทำวัตรสวดมนต์เช้า – เย็น เป็นประจำตลอดปี - มีระเบียบการปกครองของวัด เป็นไปตามกฎระเบียบมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัยและอาณัติสงฆ์ในเขตหนเหนือ จนถึงปัจจุบัน - มีกติกาของวัด โดยใช้กติกาของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหารสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ. 2484 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระใบฎีกา ฐานานุกรมของพระปริยัติวงศาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) - พ.ศ. 2493 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูปลัด ฐานานุกรมของพระเทพมุนี (ฟู อตฺตสิโว) - พ.ศ. 2495 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษที่ พระครูธรรมสารสุจิต - พ.ศ. 2500 รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญในราชทินนามที่ พระภัทรสารมุนี - พ.ศ. 2514 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชรัตนมุนี ศรีโกไสยคุณาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2526 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิริยาภรณ์ สุนทรกิจโกศล วิมลธรรมานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2535 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมรัตนากร สุนทรพรหมปฏิบัติ สมณวัตรโกศล วิมลปิฎกธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2540 รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระมหาโพธิวงศาจารย์ ญาณจริยสมบัติ พุทธบริษัทปสาทนียคุณ วิบูลพัฒนวโรปการ ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พระมหาโพธิวงศาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 มีนามเดิมว่าอะไร
{ "answer": [ "สุจี ขรวงค์" ], "answer_begin_position": [ 170 ], "answer_end_position": [ 181 ] }
2,177
763,203
พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สุจี กตสาโร) พระมหาโพธิวงศาจารย์ นามเดิม สุจี ขรวงค์ ฉายา กตสาโร หรือ ตุ๊ปู่จี๋ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 อดีตประธานสภาวิทยาเขตแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร พระนักการศึกษาแห่งแผ่นดินล้านนาประวัติ ประวัติ. พระมหาโพธิวงศาจารย์ หรือที่ชาวจังหวัดแพร่เรียก ตุ๊ปู่จี๋ หรือ ครูบาจี๋ นามเดิม สุจี ขรวงค์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2460 ขึ้น 14 ค่ำ ปีมะเส็ง ณ บ้านทุ่งอ่วน หมู่ที่ 6 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นบุตรของ นายลาด กับ นางผัน ขรวงค์ ได้สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดนาจักร จนสำเร็จชั้นประถมปีที่ 5 อันเป็นชั้นสูงสุด แล้วบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 15 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 ณ วัดกาญจนาราม ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระอุปัชฌาย์คือพระครูมหาญาณสิทธิ์ วัดมิ่งเมือง (ปัจจุบันวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร) อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และอุปสมบทวันที่ 14 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2481 ณ วัดกาญจนาราม ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระอุปัชฌาย์คือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) (ในขณะดำรงสมนศักดิ์ที่ พระปริยัติวงศาจารย์) วัดพระบาท (ปัจจุบันวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร) ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (สุจี กตสาโร) มรณภาพลงเมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริอายุ ปี พรรษา 75 ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่วิทยฐานะวิทยฐานะ. - พ.ศ. 2484 สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2486 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2529 ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาครุศาสตร์) จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ - พ.ศ. 2536 ได้รับปริญญาครุศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาการบริหารการศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง - พ.ศ. 2551 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาบริหารศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ความชำนาญพิเศษ เทศนาภาษาไทยถิ่นเหนือ อ่านและเขียนอักษรธรรมล้านนาได้การทำงานด้านงานปกครองสงฆ์การทำงาน. ด้านงานปกครองสงฆ์. - พ.ศ. 2501 เป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงปัจจุบัน - พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง - พ.ศ. 2509 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2510 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2518 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง - พ.ศ. 2522 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 6 - พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฝ่ายปกครอง ของมหาเถรสมาคม - พ.ศ. 2541 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6ด้านงานการศึกษาด้านงานการศึกษา. - พ.ศ. 2484 เป็นครูสอนนักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร - พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นตรีสนามหลวง - พ.ศ. 2495 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นโทสนามหลวง - พ.ศ. 2500 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบาลีมัธยมธรรมราชวิทยา - พ.ศ. 2506 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ - พ.ศ. 2513 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่พุทธโกศัยวิทยา (ปัจจุบันโรงเรียนพุทธโกศัยวิทยา จังหวัดแพร่) - พ.ศ. 2514 เป็นกรรมการนำประโยคข้อสอบธรรมไปเปิดสอบ ณ ประเทศมาเลเซีย - พ.ศ. 2530 เป็นรองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตแพร่ - พ.ศ. 2541 เป็นประธานสภา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา. - พ.ศ. 2486 เป็นกรรมการส่งเสริมศีลธรรมแพร่ - พ.ศ. 2490 เป็นผู้แทนนำพระไตรปิฎกไปประดิษฐานที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2497 เป็นอนุกรรมการ ก.ป.ช. จังหวัดแพร่ - พ.ศ. 2508 เป็นประธานนำครู-อาจารย์โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์อกกอบรม ศีลธรรมแก่ประชาชนตามอำเภอต่างๆ ในเทศกาลเข้าพรรษาจนถึงปัจจุบัน - พ.ศ. 2514 เป็นผู้ร่วมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ประเทศอินโดนีเซีย - พ.ศ. 2535 ได้ร่วมกับคณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปเผยแผ่ ณ ประเทศจีน - พ.ศ. 2539 ได้แสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดแพร่ ชื่อ รายการ “ธรรมะสู่ประชาชน” เป็นประจำทุกวัน เวลา 05.15 น. - ได้เชิญชวนพระภิกษุสามเณรและคณะศรัทธาญาติโยมผู้ใจบุญได้กระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา ตลอดจนวันสำคัญที่เกี่ยวกับบ้านเมือง - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่นักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ , โรงเรียนพุทธโกศัยวิทยาและพระนิสิตมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ในบางโอกาส - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ผู้ใขบุญในวันธัมมัสวนะที่วัดทุกวัน - ได้ให้การอบรมศีลธรรมแก่ประชาชนตามโครงการต่างๆ ของคณะสงฆ์ และหน่วยงานราชการ - ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการใช้สถานที่วัดจัดประชุมสัมมนาสอบบรรจุและบำเพ็ญสาธารณกุศลอื่นๆกิจกรรมภายในวัดกิจกรรมภายในวัด. - มีการทำอุโบสถกรรม (สวดปาฏิโมกข์) ตลอดปี และมีภิกษุที่สวดปาฏิโมกข์ได้ 1 รูป - มีการทำวัตรสวดมนต์เช้า – เย็น เป็นประจำตลอดปี - มีระเบียบการปกครองของวัด เป็นไปตามกฎระเบียบมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัยและอาณัติสงฆ์ในเขตหนเหนือ จนถึงปัจจุบัน - มีกติกาของวัด โดยใช้กติกาของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหารสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ. 2484 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระใบฎีกา ฐานานุกรมของพระปริยัติวงศาจารย์ (ฟู อตฺตสิโว) - พ.ศ. 2493 ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูปลัด ฐานานุกรมของพระเทพมุนี (ฟู อตฺตสิโว) - พ.ศ. 2495 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษที่ พระครูธรรมสารสุจิต - พ.ศ. 2500 รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญในราชทินนามที่ พระภัทรสารมุนี - พ.ศ. 2514 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชรัตนมุนี ศรีโกไสยคุณาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2526 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิริยาภรณ์ สุนทรกิจโกศล วิมลธรรมานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2535 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมรัตนากร สุนทรพรหมปฏิบัติ สมณวัตรโกศล วิมลปิฎกธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี - พ.ศ. 2540 รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระมหาโพธิวงศาจารย์ ญาณจริยสมบัติ พุทธบริษัทปสาทนียคุณ วิบูลพัฒนวโรปการ ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พระมหาโพธิวงศาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 มรณภาพเมื่อใด
{ "answer": [ "2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554" ], "answer_begin_position": [ 1303 ], "answer_end_position": [ 1324 ] }
2,178
279,494
ทาทายัง (อัลบั้ม) "ทาทายัง" เป็นอัลบั้มของทาทา ยัง ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2544 เป็นอัลบั้มเพลงแรกที่อยู่ในภายใต้สังกัดของค่ายโซนี่ มิวสิก บีอีซี เทโรรายชื่อเพลงรายชื่อเพลง. - รายชื่อเพลงแต่งและร้องทั้งหมดโดย ทาทายัง1. ช็อต 2. เก็บฉันไว้ยืนข้างเธอทำไม 3. ง.งู 4. คิดให้ดีแล้วกัน 5. อย่าเกลียดกันก็พอ 6. อา โบ เด เบ 7. หวานใจ 8. กลับไปก็ไม่รักเธอเหมือนเดิม 9. ตัวแสบ 10. เด็กน้อย ดอกไม้ สายรุ้ง
ผลงานเพลงชุดแรกของทาทายังออกจำหน่ายในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2544" ], "answer_begin_position": [ 163 ], "answer_end_position": [ 167 ] }
2,179
537,471
แจร์ดัน ชาชีรี แจร์ดัน ชาชีรี () เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1991 เป็นนักฟุตบอลชาวสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันได้ลงเล่นให้กับสโตกซิตี ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ โดยเคยเล่นให้กับบาเยิร์นมิวนิก ในบุนเดสลีกา และอินเตอร์มิลาน ในเซเรียอา มาก่อน ตั้งแต่ที่ได้ขึ้นมาอยู่ในสโมสรชุดใหญ่ของบาเซิล ชาชีรีมีทั้งความเร็ว, การเล่นบอลที่ดี โดยชาชีรีนั้นถนัดเท้าซ้าย จนได้รับฉายาว่า "แอลไพน์เมสซี" หรือ "คนแคระมหัศจรรย์" ในฤดูกาล 2015–16 หลังเปิดฤดูกาลมาได้เพียงนัดเดียว ชาชีรีได้ย้ายมายังสโตกซิตี ในพรีเมียร์ลีก ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 600 ล้านบาท) นับเป็นผู้เล่นรายที่ 5 ที่ย้ายเข้าสโมสรในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นชาชีรีได้เดินทางมายังบริแทนเนียสเตเดียม เพื่อชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดแรกระหว่าง สโตกซิตี กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งสโตกซิตีแพ้ไป 0-1 ประตู และเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
นักฟุตบอลชาวสวิตเซอร์แลนด์ แจร์ดัน ชาชีรี ย้ายมายังสโมสรฟุตบอลสโตกซิตี้ด้วยค่าตัวกี่ปอนด์
{ "answer": [ "12 ล้านปอนด์" ], "answer_begin_position": [ 615 ], "answer_end_position": [ 627 ] }
2,180
306,094
เอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 1996 การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 1996 เป็นมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 3 จัดขึ้นที่เมืองฮาร์บิน ประเทศจีน การแข่งขันครั้งนี้เป็นการจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ฤดูหนาวครั้งแรกของประเทศจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 มีประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน 17 ประเทศ นักกีฬา 453 คน ใน 8 ชนิดกีฬาประเทศที่เข้าร่วมในการแข่งขันประเทศที่เข้าร่วมในการแข่งขัน. - (เจ้าภาพ)สรุปเหรียญการแข่งขัน สรุปเหรียญการแข่งขัน. ประเทศที่ไม่ได้รับเหรียญรางวัล ได้แก่- จีนไทเป
ประเทศใดเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาวปีค.ศ. 1996
{ "answer": [ "จีน" ], "answer_begin_position": [ 237 ], "answer_end_position": [ 240 ] }
2,181
56,123
ยืนยง โอภากุล ยืนยง โอภากุล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหัวหน้าวงคาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตและเป็นตำนานเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556ประวัติประวัติตอนต้น ประวัติ. ประวัติตอนต้น. แอ๊ด คาราบาว เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ที่ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายฝาแฝดคนสุดท้องของ นายมนัส โอภากุล (แซ่โอ๊ว) และ นางจงจินต์ แซ่อึ๊ง (ปัจจุบันบิดาและมารดาเสียชีวิตแล้ว มารดาไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตเพราะสาเหตุใด แต่บิดาเสียชีวิตจากโรคชรา) มีจิตใจรักเสียงเพลงและดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ จากการที่เป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด จึงได้ซึมซ่าบการละเล่นพื้นบ้านของภาคกลาง เช่น ลำตัด, เพลงฉ่อย, เพลงอีแซว รวมถึงรำวง และเพลงลูกทุ่ง จากการที่พ่อ คือ นายมนัส เป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อวงดนตรี "ชสพ." เมื่อปี พ.ศ. 2480 ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวตะวันตกจึงหันมาเล่นเครื่องดนตรีตะวันตกต่าง ๆ เช่น กีตาร์ ซึ่งเหล่านี้ได้เป็นอิทธิพลในการเป็นนักดนตรีในเวลาต่อมา แอ๊ดเริ่มเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป โดยขอติดมากับรถขนส่งไปรษณีย์ เข้าเรียนต่อใน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี (ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดนตรีไทยสมัยนิยม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง) ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แอ๊ดได้พบกับเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนหนังสือที่นั้น คือไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา และเขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลด เซพเพลิน, จอห์น เดนเวอร์, ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จากแผ่นเสียงที่ไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า คาราบาว เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของสถาบัน โดยเล่นดนตรีแนวโฟล์ค พายุภา อาหล่ามกุล เมื่อแอ๊ด คาราบาว สำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานประจำเป็นสถาปนิกในสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเมื่อไข่และเขียวกลับมาจากประเทศฟิลิปปินส์ ทั้ง 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้งโดยเล่นในห้องอาหารที่โรงแรมวินเซอร์ ซอยสุขุมวิท 20 และต่อมาย้ายไปเล่นที่โรงแรมแมนดาลิน สามย่าน โดยขึ้นเล่นในวันศุกร์และเสาร์ แต่ทางวงถูกไล่ออกเพราะขาดงานหลายวันโดยไม่บอกกล่าว เมื่อวงถูกไล่ออก ไข่จึงได้ขอลาออกจากวงและแยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ. 2523 แอ๊ด คาราบาว ได้ทำงานเป็นสถาปนิก ประจำสำนักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วนเขียวทำงานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของประเทศฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย และทั้งคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจำที่ดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิทมีชื่อเสียง มีชื่อเสียง. จุดเปลี่ยนของชีวิต แอ๊ด คาราบาว อยู่ที่การรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522 ในชุด บินหลา โดยแอ๊ด คาราบาว ยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย โดยอัลบั้มชุดนี้ทำให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม ปักษ์ใต้บ้านเรา ซึ่งอัลบั้มชุดดังกล่าวทำให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก และได้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของพนม นพพร ในเรื่องหมามุ่ย ในปี พ.ศ. 2524 หลังจากนั้นตัวของ แอ๊ด คาราบาว ก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวง คาราบาว ในชื่อชุด ขี้เมา ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค็อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปีถัดมา คาราบาว ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คน คือเล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์จากวง เพรสซิเดนท์ (เล็กเป็นเพื่อนเก่าของแอ๊ดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ช่างก่อสร้างอุเทนถวายด้วยกัน) มาร่วมงานในชุดที่ 2 คือชุด แป๊ะขายขวด ชุดที่ 3 ชุด "วณิพก" ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี คาราบาว มาประสบความสำเร็จถึงขีดสุดในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือชุด เมด อิน ไทยแลนด์ ที่วางจำหน่ายในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5,000,000 ตลับ/ก๊อปปี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออกผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ที่เจ้าตัวจะเป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเรื่องการกระทำของตัวยืนยงเองบทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์ บทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์. แอ๊ด คาราบาว ไม่จำกัดตัวเองแต่ในบทบาทของศิลปินเพลงเท่านั้น แต่ยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และมีผลงานเขียนหนังสือและแสดงละคร ภาพยนตร์ต่าง ๆ ด้วย อาทิ เช่น เรื่องพรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) ละครเรื่อง เขี้ยวเสือไฟ ทางช่อง 9 (พ.ศ. 2544) ลูกผู้ชายหัวใจเพชร ทางช่อง 7 (พ.ศ. 2546) เป็นต้น รวมถึงการทำงานภาคสังคมและมูลนิธิต่าง ๆ และยังได้แต่งเพลงประกอบโฆษณาหรือโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละโอกาสด้วย ในปลายปี พ.ศ. 2545 แอ๊ด คาราบาว ได้เปลี่ยนบทบาทของตัวเองอย่างสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ คาราบาวแดง โดยใช้ชื่อวงดนตรีของตัวเองมาเป็นจุดขาย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างในสังคมว่า สมควรหรือไม่ กับผู้ที่เคยสู้เพื่ออุดมการณ์มาตลอด มาเป็นนายทุนเสียเอง ในปัจจุบันประชาชนหลายคนก็ยังเคลือบแคลงในจุดยืนของแอ๊ด อย่างไรก็ตาม แอ๊ด คาราบาว ถือได้ว่าเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่มีความสามารถแต่งเพลงสอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เช่น มะโหนก (ถึกควายทุย ภาค ๖) จากกบฏทหารนอกราชการ ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528, ราชดำเนิน, ใครฆ่าประชาชน, ล้างบาง, กระบี่มื้อเดียว, ทะเลใจ จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535, ขวานไทยใจหนึ่งเดียว จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2547, ซับน้ำตาอันดามัน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิถล่มในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 , เว้นวรรค จากเหตุการณ์การขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ. 2549, ทหารพระราชา จากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549, ทรงพระเจริญ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550, ลดธงครึ่งเสา จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551, ผู้ปิดทองหลังพระ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554, น้ำใจไทย จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในภาคกลางของไทย พ.ศ. 2554, นาวารัฐบุรุษ จากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557, เทพเจ้าด่านขุนทด จากการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ในปี พ.ศ. 2558 เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2556 แอ๊ด คาราบาว ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ชีวิตส่วนตัว แอ๊ด คาราบาว มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า "หูฉุนฉาง" (胡存長) แปลว่า "คนแซ่หูผู้มีฐานะมั่นคงชีวิตยืนยง" ชอบเลี้ยงไก่ชนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีฟาร์มไก่ชนเป็นของตัวเอง รวมถึงยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย นอกจากคาราบาวแดงแล้ว ยังมีกิจการทางดนตรีอีก คือ มีห้องอัดเสียงที่บ้านของตัวเอง ชื่อ เซ็นเตอร์สเตจ สตูดิโอ (มองโกล สตูดิโอ) ซึ่งเป็นสตูดิโอระดับชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งของเมืองไทย และมีบริษัทเพลงชื่อ มองโกล เรคคอร์ดส สมรสกับนางลินจง โอภากุล หญิงชาวบุรีรัมย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นหญิง 2 คน คือ ณิชา โอภากุล และนัชชา โอภากุล และชาย 1 คน คือ ร.ต.ท.วรมันต์ โอภากุล อุปสมบทเมื่อปี 2528 ที่วัดสุวรรณภูมิวัดที่ โยมแม่ทำบุญประจำ เนื่องจาก ตอนที่บวช กุฏิไม่เพียงพอให้จำวัด พระแอ๊ด จึงต้องจำวัดในโบสถ์ ถือเป็นพระรูปเดียวของวัดสุววรภูมิ ที่ได้จำวัดในโบสถ์ เมื่อบวชได้ 10 วัน ก็ลาสิกขา จึงออกเทปชุด เมดอินไทยแลนด์ อันโด่งดัง แอ๊ด คาราบาว มีพี่ชายฝาแฝดอีก 1 คน เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน คือ อี๊ด - ยิ่งยง โอภากุล และเคยออกอัลบั้มร่วมกัน 1 อัลบั้ม คือ อัลบั้ม พฤษภา ในปี พ.ศ. 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในกลางปี พ.ศ. 2556 ในภาพยนตร์เรื่อง ยังบาว อันเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของวงคาราบาว ผู้ที่รับบทเป็นแอ๊ด คือ ธนา เอี่ยมนิยม จากเดิมที่วางตัวไว้ คือ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ที่คิวคอนเสิร์ตไม่ตรงกับเวลาถ่ายทำผลงานอัลบั้มเดี่ยวผลงานในนามศิลปินรับเชิญผลงาน. ผลงานในนามศิลปินรับเชิญ. - แต่งเพลง คนกับหมา - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ อัลบั้ม เดี่ยว (พ.ศ. 2528) - ร่วมร้องเพลง ไม่เป็นไร , น้ำเอย น้ำใจ , วันนี้ วันดี วันที่เป็นไท - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม บ้าหอบฟาง (พ.ศ. 2529) - ร่วมแต่งเพลง เสี่ยวรำพึง - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม ผักชีโรยหน้า (พ.ศ. 2530) - ร่วมแต่งเพลง บังเอิญติดดิน - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม กระดี่ได้น้ำ (พ.ศ. 2531) - ร่วมแต่งเพลง หัวใจสะออน - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม ฟักทอง (พ.ศ. 2532) - ร่วมร้องเพลง พงพนา - คาราวาน อัลบั้ม อานนท์ (พ.ศ. 2531) - ร่วมร้องเพลง อับดุลเลาะห์ - ซูซู อัลบั้ม สู่ความหวังใหม่ (พ.ศ. 2532) - แต่งเพลง เกี่ยวก้อย - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม สับปะรด (พ.ศ. 2533) - ร่วมร้องเพลง คนไทย - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม เราคนไทย (พ.ศ. 2534) - ร้องเพลง ตัวเปล่า - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม ภูผาหมอก (พ.ศ. 2535) - พูดนำในเพลง ก่อนจะสาย - หิน เหล็ก ไฟ อัลบั้ม หิน เหล็ก ไฟ (พ.ศ. 2536) - ร่วมร้องเพลง ฉันเป็นดอกไม้ - หงา คาราวาน อัลบั้ม รักเมื่อเดือนเมษา (พ.ศ. 2540) - ร่วมร้องเพลง อย่า (Please Don't) - โจอี้ บอย อัลบั้ม Fun Fun Fun 1,000,000 (พ.ศ. 2540) - ร่วมร้องเพลง คนขายฝัน - ร่วมกับ อัสนี-วสันต์ , เสก โลโซ , ธงไชย แมคอินไตย์ , ใหม่ เจริญปุระ , แอม เสาวลักษณ์ , มาช่า วัฒนพานิช (พ.ศ. 2545) - ร่วมร้องเพลง ความเชื่อ - บอดี้แสลม อัลบั้ม Believe (พ.ศ. 2548) - ร่วมร้องเพลง โลกขาดรัก - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม โลกใบนี้ (พ.ศ. 2552) - ร่วมร้องเพลง สุดขอบฟ้า - ไทยเทเนี่ยม อัลบั้ม Still Resisting (พ.ศ. 2553) - แต่งเพลง ช่างมันเถอะเหงา - บอดี้แสลม อัลบั้ม dharmajāti (พ.ศ. 2557) - ร่วมร้องเพลง UP & DOWN - ของวง CORESONG ร่วมกับ อัสนี โชติกุล เพลงประกอบรายการ CORESONG (พ.ศ. 2558) - ร่วมร้องและแต่งเพลง สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ - ร่วมกับ อัสนี โชติกุล , พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ (พ.ศ. 2559)ผลงานเพลงพิเศษผลงานเพลงพิเศษ. - สหายพันตา - อัลบั้ม สุรชัยกึ่งศตวรรษ (พ.ศ. 2539) - ข้องจิต - อัลบั้ม คนมันส์ (พ.ศ. 2541) - หัวใจสะออน - อัลบั้ม เหมันต์สะออน (พ.ศ. 2541) - Cover เพลงของ อัสนี-วสันต์ - แม่ไม้มวยไทย - เพลงประกอบภาพยนตร์ องค์บาก (พ.ศ. 2546) - โอมเพี้ยง - อัลบั้ม ประวัติศาสตร์ 12 ขุนพล ฅ.เพื่อชีวิต (พ.ศ. 2546) - น้ำตาอันดามัน - อัลบั้ม ซับน้ำตาอันดามัน (พ.ศ. 2548) - ผู้ชนะสิบทิศ , บุเรงนองลั่นกลองรบ - อัลบั้ม ผู้ชนะสิบทิศ (พ.ศ. 2549) - บางระจัน 2 - เพลงประกอบภาพยนตร์ บางระจัน 2 (พ.ศ. 2553) - ร่วมกับ บ่าววี - คลื่นแห่งศรัทธา - แต่งให้กับ กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ (พ.ศ. 2556) - เทพเจ้าด่านขุนทด - เพื่อถวายความอาลัยแด่การจากไป ของ หลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ (พ.ศ. 2558) - สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ (ชื่อเดิม - Bring it On) เพลงพิเศษจากคอนเสิร์ต สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ (พ.ศ. 2559) - ร่วมกับ อัสนี โชติกุล , พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ - นายทองดีฟันขาว - เพลงประกอบภาพยนตร์ ทองดี ฟันขาว (พ.ศ. 2560) - พาหุยุทธ์ - เพลงประกอบโชว์ ONGBAK LIVE องค์บากไลฟ์ (พ.ศ. 2560)ผลงานเพลงเทิดพระเกียรติผลงานเพลงเทิดพระเกียรติ. - ทรงพระเจริญ ร่วมขับร้องกับ อัสนี โชติกุล เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550- พ่อภูมิพล เพื่อถวายความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (เผยแพร่เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559)คอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - คอนเสิร์ตเดี่ยว- คอนเสิร์ตรับเชิญผลงานละครผลงานละคร. - นายขนมต้ม - เขี้ยวเสือไฟ - ส่วย - ลูกผู้ชายหัวใจเพชร - กษัตริยา - มหาราชกู้แผ่นดิน - เพื่อนรักเพื่อนร้าย - หงส์ฟ้าผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - สวรรค์บ้านนา (พ.ศ. 2526) - ปล. ผมรักคุณ (พ.ศ. 2527) - เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ (พ.ศ. 2528) - คนเลี้ยงช้าง (พ.ศ. 2533) - พรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) - ว้อ หมาบ้ามหาสนุก (ดารารับเชิญ) (พ.ศ. 2551) - สาระแน ห้าวเป้ง!! (พ.ศ. 2552) - คนไททิ้งแผ่นดิน (พ.ศ. 2553) - หลวงพี่เท่ง 3 รุ่นฮาเขย่าโลก (พ.ศ. 2553) - ยังบาว (พ.ศ. 2556) - ส่มภัคเสี่ยน (พ.ศ. 2560)พิธีกรพิธีกร. - สำรวจธรรมชาติ On The World (ช่อง 5)เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2557 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์
แอ๊ด คาราบาวมีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "ยืนยง โอภากุล" ], "answer_begin_position": [ 100 ], "answer_end_position": [ 113 ] }
2,182
56,123
ยืนยง โอภากุล ยืนยง โอภากุล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหัวหน้าวงคาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตและเป็นตำนานเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556ประวัติประวัติตอนต้น ประวัติ. ประวัติตอนต้น. แอ๊ด คาราบาว เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ที่ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายฝาแฝดคนสุดท้องของ นายมนัส โอภากุล (แซ่โอ๊ว) และ นางจงจินต์ แซ่อึ๊ง (ปัจจุบันบิดาและมารดาเสียชีวิตแล้ว มารดาไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตเพราะสาเหตุใด แต่บิดาเสียชีวิตจากโรคชรา) มีจิตใจรักเสียงเพลงและดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ จากการที่เป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด จึงได้ซึมซ่าบการละเล่นพื้นบ้านของภาคกลาง เช่น ลำตัด, เพลงฉ่อย, เพลงอีแซว รวมถึงรำวง และเพลงลูกทุ่ง จากการที่พ่อ คือ นายมนัส เป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อวงดนตรี "ชสพ." เมื่อปี พ.ศ. 2480 ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวตะวันตกจึงหันมาเล่นเครื่องดนตรีตะวันตกต่าง ๆ เช่น กีตาร์ ซึ่งเหล่านี้ได้เป็นอิทธิพลในการเป็นนักดนตรีในเวลาต่อมา แอ๊ดเริ่มเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป โดยขอติดมากับรถขนส่งไปรษณีย์ เข้าเรียนต่อใน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี (ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดนตรีไทยสมัยนิยม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง) ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แอ๊ดได้พบกับเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนหนังสือที่นั้น คือไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา และเขียว - กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลด เซพเพลิน, จอห์น เดนเวอร์, ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จากแผ่นเสียงที่ไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า คาราบาว เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของสถาบัน โดยเล่นดนตรีแนวโฟล์ค พายุภา อาหล่ามกุล เมื่อแอ๊ด คาราบาว สำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานประจำเป็นสถาปนิกในสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเมื่อไข่และเขียวกลับมาจากประเทศฟิลิปปินส์ ทั้ง 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้งโดยเล่นในห้องอาหารที่โรงแรมวินเซอร์ ซอยสุขุมวิท 20 และต่อมาย้ายไปเล่นที่โรงแรมแมนดาลิน สามย่าน โดยขึ้นเล่นในวันศุกร์และเสาร์ แต่ทางวงถูกไล่ออกเพราะขาดงานหลายวันโดยไม่บอกกล่าว เมื่อวงถูกไล่ออก ไข่จึงได้ขอลาออกจากวงและแยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ. 2523 แอ๊ด คาราบาว ได้ทำงานเป็นสถาปนิก ประจำสำนักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วนเขียวทำงานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของประเทศฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย และทั้งคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจำที่ดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิทมีชื่อเสียง มีชื่อเสียง. จุดเปลี่ยนของชีวิต แอ๊ด คาราบาว อยู่ที่การรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522 ในชุด บินหลา โดยแอ๊ด คาราบาว ยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย โดยอัลบั้มชุดนี้ทำให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม ปักษ์ใต้บ้านเรา ซึ่งอัลบั้มชุดดังกล่าวทำให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก และได้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของพนม นพพร ในเรื่องหมามุ่ย ในปี พ.ศ. 2524 หลังจากนั้นตัวของ แอ๊ด คาราบาว ก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวง คาราบาว ในชื่อชุด ขี้เมา ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค็อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปีถัดมา คาราบาว ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คน คือเล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์จากวง เพรสซิเดนท์ (เล็กเป็นเพื่อนเก่าของแอ๊ดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ช่างก่อสร้างอุเทนถวายด้วยกัน) มาร่วมงานในชุดที่ 2 คือชุด แป๊ะขายขวด ชุดที่ 3 ชุด "วณิพก" ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี คาราบาว มาประสบความสำเร็จถึงขีดสุดในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือชุด เมด อิน ไทยแลนด์ ที่วางจำหน่ายในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5,000,000 ตลับ/ก๊อปปี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประเทศไทย และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออกผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ที่เจ้าตัวจะเป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเรื่องการกระทำของตัวยืนยงเองบทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์ บทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์. แอ๊ด คาราบาว ไม่จำกัดตัวเองแต่ในบทบาทของศิลปินเพลงเท่านั้น แต่ยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และมีผลงานเขียนหนังสือและแสดงละคร ภาพยนตร์ต่าง ๆ ด้วย อาทิ เช่น เรื่องพรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) ละครเรื่อง เขี้ยวเสือไฟ ทางช่อง 9 (พ.ศ. 2544) ลูกผู้ชายหัวใจเพชร ทางช่อง 7 (พ.ศ. 2546) เป็นต้น รวมถึงการทำงานภาคสังคมและมูลนิธิต่าง ๆ และยังได้แต่งเพลงประกอบโฆษณาหรือโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละโอกาสด้วย ในปลายปี พ.ศ. 2545 แอ๊ด คาราบาว ได้เปลี่ยนบทบาทของตัวเองอย่างสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ คาราบาวแดง โดยใช้ชื่อวงดนตรีของตัวเองมาเป็นจุดขาย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างในสังคมว่า สมควรหรือไม่ กับผู้ที่เคยสู้เพื่ออุดมการณ์มาตลอด มาเป็นนายทุนเสียเอง ในปัจจุบันประชาชนหลายคนก็ยังเคลือบแคลงในจุดยืนของแอ๊ด อย่างไรก็ตาม แอ๊ด คาราบาว ถือได้ว่าเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่มีความสามารถแต่งเพลงสอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เช่น มะโหนก (ถึกควายทุย ภาค ๖) จากกบฏทหารนอกราชการ ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528, ราชดำเนิน, ใครฆ่าประชาชน, ล้างบาง, กระบี่มื้อเดียว, ทะเลใจ จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535, ขวานไทยใจหนึ่งเดียว จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2547, ซับน้ำตาอันดามัน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิถล่มในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 , เว้นวรรค จากเหตุการณ์การขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ. 2549, ทหารพระราชา จากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549, ทรงพระเจริญ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550, ลดธงครึ่งเสา จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551, ผู้ปิดทองหลังพระ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554, น้ำใจไทย จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในภาคกลางของไทย พ.ศ. 2554, นาวารัฐบุรุษ จากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557, เทพเจ้าด่านขุนทด จากการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ในปี พ.ศ. 2558 เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2556 แอ๊ด คาราบาว ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ชีวิตส่วนตัว แอ๊ด คาราบาว มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า "หูฉุนฉาง" (胡存長) แปลว่า "คนแซ่หูผู้มีฐานะมั่นคงชีวิตยืนยง" ชอบเลี้ยงไก่ชนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีฟาร์มไก่ชนเป็นของตัวเอง รวมถึงยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย นอกจากคาราบาวแดงแล้ว ยังมีกิจการทางดนตรีอีก คือ มีห้องอัดเสียงที่บ้านของตัวเอง ชื่อ เซ็นเตอร์สเตจ สตูดิโอ (มองโกล สตูดิโอ) ซึ่งเป็นสตูดิโอระดับชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งของเมืองไทย และมีบริษัทเพลงชื่อ มองโกล เรคคอร์ดส สมรสกับนางลินจง โอภากุล หญิงชาวบุรีรัมย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นหญิง 2 คน คือ ณิชา โอภากุล และนัชชา โอภากุล และชาย 1 คน คือ ร.ต.ท.วรมันต์ โอภากุล อุปสมบทเมื่อปี 2528 ที่วัดสุวรรณภูมิวัดที่ โยมแม่ทำบุญประจำ เนื่องจาก ตอนที่บวช กุฏิไม่เพียงพอให้จำวัด พระแอ๊ด จึงต้องจำวัดในโบสถ์ ถือเป็นพระรูปเดียวของวัดสุววรภูมิ ที่ได้จำวัดในโบสถ์ เมื่อบวชได้ 10 วัน ก็ลาสิกขา จึงออกเทปชุด เมดอินไทยแลนด์ อันโด่งดัง แอ๊ด คาราบาว มีพี่ชายฝาแฝดอีก 1 คน เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน คือ อี๊ด - ยิ่งยง โอภากุล และเคยออกอัลบั้มร่วมกัน 1 อัลบั้ม คือ อัลบั้ม พฤษภา ในปี พ.ศ. 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในกลางปี พ.ศ. 2556 ในภาพยนตร์เรื่อง ยังบาว อันเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของวงคาราบาว ผู้ที่รับบทเป็นแอ๊ด คือ ธนา เอี่ยมนิยม จากเดิมที่วางตัวไว้ คือ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ที่คิวคอนเสิร์ตไม่ตรงกับเวลาถ่ายทำผลงานอัลบั้มเดี่ยวผลงานในนามศิลปินรับเชิญผลงาน. ผลงานในนามศิลปินรับเชิญ. - แต่งเพลง คนกับหมา - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ อัลบั้ม เดี่ยว (พ.ศ. 2528) - ร่วมร้องเพลง ไม่เป็นไร , น้ำเอย น้ำใจ , วันนี้ วันดี วันที่เป็นไท - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม บ้าหอบฟาง (พ.ศ. 2529) - ร่วมแต่งเพลง เสี่ยวรำพึง - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม ผักชีโรยหน้า (พ.ศ. 2530) - ร่วมแต่งเพลง บังเอิญติดดิน - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม กระดี่ได้น้ำ (พ.ศ. 2531) - ร่วมแต่งเพลง หัวใจสะออน - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม ฟักทอง (พ.ศ. 2532) - ร่วมร้องเพลง พงพนา - คาราวาน อัลบั้ม อานนท์ (พ.ศ. 2531) - ร่วมร้องเพลง อับดุลเลาะห์ - ซูซู อัลบั้ม สู่ความหวังใหม่ (พ.ศ. 2532) - แต่งเพลง เกี่ยวก้อย - อัสนี-วสันต์ อัลบั้ม สับปะรด (พ.ศ. 2533) - ร่วมร้องเพลง คนไทย - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม เราคนไทย (พ.ศ. 2534) - ร้องเพลง ตัวเปล่า - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม ภูผาหมอก (พ.ศ. 2535) - พูดนำในเพลง ก่อนจะสาย - หิน เหล็ก ไฟ อัลบั้ม หิน เหล็ก ไฟ (พ.ศ. 2536) - ร่วมร้องเพลง ฉันเป็นดอกไม้ - หงา คาราวาน อัลบั้ม รักเมื่อเดือนเมษา (พ.ศ. 2540) - ร่วมร้องเพลง อย่า (Please Don't) - โจอี้ บอย อัลบั้ม Fun Fun Fun 1,000,000 (พ.ศ. 2540) - ร่วมร้องเพลง คนขายฝัน - ร่วมกับ อัสนี-วสันต์ , เสก โลโซ , ธงไชย แมคอินไตย์ , ใหม่ เจริญปุระ , แอม เสาวลักษณ์ , มาช่า วัฒนพานิช (พ.ศ. 2545) - ร่วมร้องเพลง ความเชื่อ - บอดี้แสลม อัลบั้ม Believe (พ.ศ. 2548) - ร่วมร้องเพลง โลกขาดรัก - เล็ก คาราบาว อัลบั้ม โลกใบนี้ (พ.ศ. 2552) - ร่วมร้องเพลง สุดขอบฟ้า - ไทยเทเนี่ยม อัลบั้ม Still Resisting (พ.ศ. 2553) - แต่งเพลง ช่างมันเถอะเหงา - บอดี้แสลม อัลบั้ม dharmajāti (พ.ศ. 2557) - ร่วมร้องเพลง UP & DOWN - ของวง CORESONG ร่วมกับ อัสนี โชติกุล เพลงประกอบรายการ CORESONG (พ.ศ. 2558) - ร่วมร้องและแต่งเพลง สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ - ร่วมกับ อัสนี โชติกุล , พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ (พ.ศ. 2559)ผลงานเพลงพิเศษผลงานเพลงพิเศษ. - สหายพันตา - อัลบั้ม สุรชัยกึ่งศตวรรษ (พ.ศ. 2539) - ข้องจิต - อัลบั้ม คนมันส์ (พ.ศ. 2541) - หัวใจสะออน - อัลบั้ม เหมันต์สะออน (พ.ศ. 2541) - Cover เพลงของ อัสนี-วสันต์ - แม่ไม้มวยไทย - เพลงประกอบภาพยนตร์ องค์บาก (พ.ศ. 2546) - โอมเพี้ยง - อัลบั้ม ประวัติศาสตร์ 12 ขุนพล ฅ.เพื่อชีวิต (พ.ศ. 2546) - น้ำตาอันดามัน - อัลบั้ม ซับน้ำตาอันดามัน (พ.ศ. 2548) - ผู้ชนะสิบทิศ , บุเรงนองลั่นกลองรบ - อัลบั้ม ผู้ชนะสิบทิศ (พ.ศ. 2549) - บางระจัน 2 - เพลงประกอบภาพยนตร์ บางระจัน 2 (พ.ศ. 2553) - ร่วมกับ บ่าววี - คลื่นแห่งศรัทธา - แต่งให้กับ กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ (พ.ศ. 2556) - เทพเจ้าด่านขุนทด - เพื่อถวายความอาลัยแด่การจากไป ของ หลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ (พ.ศ. 2558) - สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ (ชื่อเดิม - Bring it On) เพลงพิเศษจากคอนเสิร์ต สิงห์ใหญ่ หัวใจสิงห์ (พ.ศ. 2559) - ร่วมกับ อัสนี โชติกุล , พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ - นายทองดีฟันขาว - เพลงประกอบภาพยนตร์ ทองดี ฟันขาว (พ.ศ. 2560) - พาหุยุทธ์ - เพลงประกอบโชว์ ONGBAK LIVE องค์บากไลฟ์ (พ.ศ. 2560)ผลงานเพลงเทิดพระเกียรติผลงานเพลงเทิดพระเกียรติ. - ทรงพระเจริญ ร่วมขับร้องกับ อัสนี โชติกุล เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550- พ่อภูมิพล เพื่อถวายความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (เผยแพร่เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559)คอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - คอนเสิร์ตเดี่ยว- คอนเสิร์ตรับเชิญผลงานละครผลงานละคร. - นายขนมต้ม - เขี้ยวเสือไฟ - ส่วย - ลูกผู้ชายหัวใจเพชร - กษัตริยา - มหาราชกู้แผ่นดิน - เพื่อนรักเพื่อนร้าย - หงส์ฟ้าผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - สวรรค์บ้านนา (พ.ศ. 2526) - ปล. ผมรักคุณ (พ.ศ. 2527) - เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ (พ.ศ. 2528) - คนเลี้ยงช้าง (พ.ศ. 2533) - พรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) - ว้อ หมาบ้ามหาสนุก (ดารารับเชิญ) (พ.ศ. 2551) - สาระแน ห้าวเป้ง!! (พ.ศ. 2552) - คนไททิ้งแผ่นดิน (พ.ศ. 2553) - หลวงพี่เท่ง 3 รุ่นฮาเขย่าโลก (พ.ศ. 2553) - ยังบาว (พ.ศ. 2556) - ส่มภัคเสี่ยน (พ.ศ. 2560)พิธีกรพิธีกร. - สำรวจธรรมชาติ On The World (ช่อง 5)เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2557 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์
แอ๊ด คาราบาวเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับวงดนตรีใดในปี พ.ศ. 2522
{ "answer": [ "แฮมเมอร์" ], "answer_begin_position": [ 3010 ], "answer_end_position": [ 3018 ] }
2,183
757,002
ศุนทัร ปิจไช ปิจไช ศุนทรราชัน (; เกิด 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1972) หรือรู้จักกันในชื่อ ศุนทัร ปิจไช () เป็นบุคคลเชื้อสายอินเดีย ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหารของบริษัทกูเกิล ต่อจากแลร์รี่ เพจ ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับปิจไชมากที่สุด เดิมปิจไชเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกูเกิลและเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Chrome ปิจไชได้เข้ามาร่วมงานในกูเกิลตั้งแต่ปี 2004ประวัติ ประวัติ. ปิจไชเกิดในรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีจาก Indian Institute of Technology Kharagpur หลังจากนั้น ปิจไชศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และ Wharton School ในเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้รับทุนการศึกษา Siebel Scholar และทุน Palmer Scholar ปี 2004 ปิจไชเริ่มงานกับ Google ในตำแหน่ง Vice President of Product Management ดูแลทีมงานพัฒนา Google Chrome และระบบปฏิบัติการ ด้วยระยะเวลาไม่นานนัก ปิจไชก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบหลาย Project มากขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับบริการใน Google search ตั้งแต่ Firefox, Google Toolbar, Desktop Search, และ Gadget ต่างๆ ของ Google เดือนกันยายนปี 2008 ปิจไชเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดตัวที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จของ Chrome และในปี 2012 เขาก็รับหน้าที่เป็นผู้ดูแล Google Apps หลังจาก Dave Girouard แยกตัวออกไปตั้งบริษัทของตัวเอง และหลังจากนั้นไม่นาน ปิจไชก็ได้เข้ามาดูแล Android หลังจากผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอแอนดี รูบินก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2013 โดย Chris Beckmann อดีต Product Manager ของ Google กล่าวชื่นชมความสามารถของปิจไชว่าเขามีศักยภาพในการเป็นผู้นำทีมที่แข็งแกร่งไปพิชิต Project ที่ยากๆ ได้โดยไม่ย่อท้อ ปิจไชะเลือกคนเข้ามาในทีมเอง เป็นคนสอนงานและยังเป็นคนที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมด้วย โดยสรุปแล้ว ชื่อเสียงใน Google ของปิจไช เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดทั้งในด้านการจัดการบริการต่างๆ ของ Google และ Software engineering เพื่อสร้างคุณภาพให้กับการ Search ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ Google และนอกจากนี้ Beckman ยังบอกอีกว่าปิจไชมักหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้งในออฟฟิศ และเขาจะทำให้ประเด็นความขัดแย้งเหล่านั้นมาเป็นตัวผลักดันให้งานของเขาประสบความสำเร็จ
ศุนทัร ปิจไช เข้ามาร่วมงานกับกูเกิลตั้งแต่ปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "2004" ], "answer_begin_position": [ 444 ], "answer_end_position": [ 448 ] }
2,184
136,084
ปลากระเบนธง ปลากระเบนธง () เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกปลากระเบนจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับย่อย Myliobatoidei ในอันดับ Myliobatiformes ประกอบไปด้วย 8 วงศ์ ได้แก่ Hexatrygonidae (ปลากระเบนหกเหงือก), Plesiobatidae (ปลากระเบนน้ำลึก), Urolophidae (ปลากระเบนกลม), Urotrygonidae (ปลากระเบนกลมอเมริกัน), Dasyatidae (ปลากระเบนธง), Potamotrygonidae (ปลากระเบนแม่น้ำ หรือ ปลากระเบนหางสั้น), Gymnuridae (ปลากระเบนผีเสื้อ) และ Myliobatidae (ปลากระเบนนก หรือ ปลากระเบนยี่สน) ลักษณะเด่นของปลากระเบนในกลุ่มนี้ คือ ที่บริเวณโคนหรือกึ่งกลางหางจะมีเงี่ยงแหลมยาว 1-2 ชิ้น ที่ใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงศัตรูที่มารังควาญได้ โดยอาจมีความยาวได้ถึง 35 เซนติเมตร (14 นิ้ว) และมีสารเคมีที่มีความเป็นพิษเคลือบอยู่ ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารโปรตีน ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้ผู้ที่โดนแทงเกิดความเจ็บปวด ในปลากระเบนขนาดใหญ่จะออกฤทธิ์คล้ายพิษของงูกะปะ ซึ่งหากโดนแทงเข้าอย่างจังหรือโดนจุดสำคัญ อาจทำให้เสียชีวิตได้ เงี่ยงแหลมดังกล่าวจะมีในปลากระเบนทุกสกุล ทุกชนิด ยกเว้นปลากระเบนแมนตา และปลากระเบนขนุน เท่านั้นที่ไม่มีเงี่ยงแหลมดังกล่าว ซึ่งเงี่ยงอันนี้สามารถที่จะหลุดไปได้ เมื่อปลามีอายุเพิ่มมากขึ้นหรือจากสาเหตุอื่น ๆ แต่ก็สามารถงอกใหม่ทดแทนได้ ปลากระเบนธงพบกระจายพันธุ์อยู่ในน่านน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก พบได้ทั้งในทะเล, มหาสมุทร, น้ำกร่อย และน้ำจืด โดยกินปลาขนาดเล็ก, หอย ทั้งหอยฝาเดียวและหอยสองฝา รวมถึงกุ้งเป็นอาหาร
เงี่ยงของปลากระเบนธงมีอะไรเคลือบอยู่
{ "answer": [ "สารเคมีที่มีความเป็นพิษ" ], "answer_begin_position": [ 722 ], "answer_end_position": [ 745 ] }
2,185
336,140
ซิมโฟนีหมายเลข 1 (ชูมันน์) ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ () ผลงานประพันธ์ซิมโฟนีชิ้นแรกของโรเบิร์ต ชูมันน์ เขาเริ่มร่างซิมโฟนีเป็นครั้งแรกโดยการสนับสนุนจากคลารา ชูมันน์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1840 ขณะนั้นคนทั้งคู่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขหลังจากได้รับอนุญาตให้แต่งงานกันใหม่ๆ ก่อนหน้านั้นความรักของทั้งสองถูกขัดขวางจากฟรีดิช วิค บิดาของเธอมาโดยตลอด ชูมันน์เริ่มร่างซิมโฟนีบทนี้ช่วงต้นปี ค.ศ. 1841 ราววันที่ 23 ถึง 26 มกราคม และใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการเรียบเรียงสำหรับวงออร์เคสตรา ผลงานชิ้นนี้ออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1841 ที่เมืองไลพ์ซิจ โดยวงออเคสตร้าเกวานเฮ้าส์ อำนวยเพลงโดยเฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น ผลงานชิ้นนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า "ซิมโฟนีแห่งฤดูใบไม้ผลิ" จากบันทึกของคลารา ชูมันน์ ที่ระบุว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวีฤดูใบไม้ผลิของ Adolph Boettger ในขณะที่ตัวชูมันน์เคยกล่าวไว้ว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทเพลงนี้จาก Liebesfrühling (ฤดูใบไม้ผลิแห่งรัก) ของตัวเขาเอง ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ ประกอบด้วย 3 มูฟเมนต์ ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 29 ถึง 32 นาที- I. Andante un poco maestoso – Allegro molto vivace (B flat major) - II. Larghetto (E flat major) - III. Scherzo: Molto vivace – Trio I: Molto piu vivace – Trio II (G minor) - IV. Allegro animato e grazioso (B flat major)
ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ เป็นผลงานประพันธ์ของผู้ใด
{ "answer": [ "โรเบิร์ต ชูมันน์" ], "answer_begin_position": [ 207 ], "answer_end_position": [ 223 ] }
2,186
336,140
ซิมโฟนีหมายเลข 1 (ชูมันน์) ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ () ผลงานประพันธ์ซิมโฟนีชิ้นแรกของโรเบิร์ต ชูมันน์ เขาเริ่มร่างซิมโฟนีเป็นครั้งแรกโดยการสนับสนุนจากคลารา ชูมันน์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1840 ขณะนั้นคนทั้งคู่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขหลังจากได้รับอนุญาตให้แต่งงานกันใหม่ๆ ก่อนหน้านั้นความรักของทั้งสองถูกขัดขวางจากฟรีดิช วิค บิดาของเธอมาโดยตลอด ชูมันน์เริ่มร่างซิมโฟนีบทนี้ช่วงต้นปี ค.ศ. 1841 ราววันที่ 23 ถึง 26 มกราคม และใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการเรียบเรียงสำหรับวงออร์เคสตรา ผลงานชิ้นนี้ออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1841 ที่เมืองไลพ์ซิจ โดยวงออเคสตร้าเกวานเฮ้าส์ อำนวยเพลงโดยเฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น ผลงานชิ้นนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า "ซิมโฟนีแห่งฤดูใบไม้ผลิ" จากบันทึกของคลารา ชูมันน์ ที่ระบุว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทกวีฤดูใบไม้ผลิของ Adolph Boettger ในขณะที่ตัวชูมันน์เคยกล่าวไว้ว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทเพลงนี้จาก Liebesfrühling (ฤดูใบไม้ผลิแห่งรัก) ของตัวเขาเอง ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ ประกอบด้วย 3 มูฟเมนต์ ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 29 ถึง 32 นาที- I. Andante un poco maestoso – Allegro molto vivace (B flat major) - II. Larghetto (E flat major) - III. Scherzo: Molto vivace – Trio I: Molto piu vivace – Trio II (G minor) - IV. Allegro animato e grazioso (B flat major)
ซิมโฟนีหมายเลข 1 ในบันไดเสียง บี แฟลต เมเจอร์ ของโรเบิร์ต ชูมันน์ ออกแสดงครั้งแรกเมื่อใด
{ "answer": [ "31 มีนาคม ค.ศ. 1841" ], "answer_begin_position": [ 646 ], "answer_end_position": [ 665 ] }
2,187
73,830
เหี่ยวฟ้า เหี่ยวฟ้า มีชื่อจริงว่า พรมมา สระทองแก้ว (พ.ศ. 2478 — 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550) หรือบางครั้งในคณะตลกอาจเรียกว่า อีเหี่ยว เป็นศิลปินตลกอาวุโส และเป็นหัวหน้าคณะตลกวง "เหี่ยวฟ้า" เสียชีวิตเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 รวมอายุ 72 ปี หลังจากล้มป่วยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ด้วยโรคมะเร็งปอด เส้นเลือดในสมองตีบและอัมพฤกษ์ เหี่ยวฟ้า เริ่มชีวิตงานแสดงโดยเป็นสมาชิกของคณะเด๋อ ดู๋ ดี๋ ก่อนจะแยกมาตั้งคณะเหี่ยวฟ้า เป็นของตัวเอง นอกจากนี้แล้วเหี่ยวฟ้ายังเคยตั้งค่ายมวยไทยร่วมกับเพื่อนนักแสดงตลก ดอน จมูกบาน ในชื่อ "ซูเปอร์ดอน" ประมาณ พ.ศ. 2527ผลงานแสดงภาพยนตร์ผลงานแสดง. ภาพยนตร์. - [2528] หอใหม่ - [2528] โจ๊กใส่ไข่ - [2528] เพลงสุดท้าย - [2528] กิ้งก่ากายสิทธิ์ - [2529] ไอ้งอดยอดทหาร - [2530] แม่นาค 30 - [2530] โลงแตก - [2544] มือปืน โลก/พระ/จัน - [2545] ผู้หญิงห้าบาป - [2546] บุปผาราตรี ภาค 1 รับบทเป็น บาทหลวง และ พันธุ์ร็อกหน้าย่น - [2547] ผี..ไม่อยากให้คนเห็น - [2547] โกร๋น ก๊วน กวน ผี - [2547] บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม รับบทเป็น ทนายภาคภูมิ - [2547] สายล่อฟ้า รับบทเป็น เฮียกระทิง - [2548] โคตรเพชรฆาต - [2549] เพลงสุดท้ายละครละคร. - [2537] แม่นาคพระโขนง ช่อง 5 - [2541] นางบาป ช่อง 7 - [2546] เปรตวัดสุทัศน์ ช่อง 7
เหี่ยวฟ้า ศิลปินตลกอาวุโส มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "พรมมา สระทองแก้ว" ], "answer_begin_position": [ 116 ], "answer_end_position": [ 132 ] }
2,188
73,830
เหี่ยวฟ้า เหี่ยวฟ้า มีชื่อจริงว่า พรมมา สระทองแก้ว (พ.ศ. 2478 — 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550) หรือบางครั้งในคณะตลกอาจเรียกว่า อีเหี่ยว เป็นศิลปินตลกอาวุโส และเป็นหัวหน้าคณะตลกวง "เหี่ยวฟ้า" เสียชีวิตเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 รวมอายุ 72 ปี หลังจากล้มป่วยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ด้วยโรคมะเร็งปอด เส้นเลือดในสมองตีบและอัมพฤกษ์ เหี่ยวฟ้า เริ่มชีวิตงานแสดงโดยเป็นสมาชิกของคณะเด๋อ ดู๋ ดี๋ ก่อนจะแยกมาตั้งคณะเหี่ยวฟ้า เป็นของตัวเอง นอกจากนี้แล้วเหี่ยวฟ้ายังเคยตั้งค่ายมวยไทยร่วมกับเพื่อนนักแสดงตลก ดอน จมูกบาน ในชื่อ "ซูเปอร์ดอน" ประมาณ พ.ศ. 2527ผลงานแสดงภาพยนตร์ผลงานแสดง. ภาพยนตร์. - [2528] หอใหม่ - [2528] โจ๊กใส่ไข่ - [2528] เพลงสุดท้าย - [2528] กิ้งก่ากายสิทธิ์ - [2529] ไอ้งอดยอดทหาร - [2530] แม่นาค 30 - [2530] โลงแตก - [2544] มือปืน โลก/พระ/จัน - [2545] ผู้หญิงห้าบาป - [2546] บุปผาราตรี ภาค 1 รับบทเป็น บาทหลวง และ พันธุ์ร็อกหน้าย่น - [2547] ผี..ไม่อยากให้คนเห็น - [2547] โกร๋น ก๊วน กวน ผี - [2547] บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม รับบทเป็น ทนายภาคภูมิ - [2547] สายล่อฟ้า รับบทเป็น เฮียกระทิง - [2548] โคตรเพชรฆาต - [2549] เพลงสุดท้ายละครละคร. - [2537] แม่นาคพระโขนง ช่อง 5 - [2541] นางบาป ช่อง 7 - [2546] เปรตวัดสุทัศน์ ช่อง 7
เหี่ยวฟ้า ศิลปินตลกอาวุโส เสียชีวิตในปี พ.ศ. อะไร
{ "answer": [ "2550" ], "answer_begin_position": [ 301 ], "answer_end_position": [ 305 ] }
3,003
73,830
เหี่ยวฟ้า เหี่ยวฟ้า มีชื่อจริงว่า พรมมา สระทองแก้ว (พ.ศ. 2478 — 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550) หรือบางครั้งในคณะตลกอาจเรียกว่า อีเหี่ยว เป็นศิลปินตลกอาวุโส และเป็นหัวหน้าคณะตลกวง "เหี่ยวฟ้า" เสียชีวิตเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 รวมอายุ 72 ปี หลังจากล้มป่วยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ด้วยโรคมะเร็งปอด เส้นเลือดในสมองตีบและอัมพฤกษ์ เหี่ยวฟ้า เริ่มชีวิตงานแสดงโดยเป็นสมาชิกของคณะเด๋อ ดู๋ ดี๋ ก่อนจะแยกมาตั้งคณะเหี่ยวฟ้า เป็นของตัวเอง นอกจากนี้แล้วเหี่ยวฟ้ายังเคยตั้งค่ายมวยไทยร่วมกับเพื่อนนักแสดงตลก ดอน จมูกบาน ในชื่อ "ซูเปอร์ดอน" ประมาณ พ.ศ. 2527ผลงานแสดงภาพยนตร์ผลงานแสดง. ภาพยนตร์. - [2528] หอใหม่ - [2528] โจ๊กใส่ไข่ - [2528] เพลงสุดท้าย - [2528] กิ้งก่ากายสิทธิ์ - [2529] ไอ้งอดยอดทหาร - [2530] แม่นาค 30 - [2530] โลงแตก - [2544] มือปืน โลก/พระ/จัน - [2545] ผู้หญิงห้าบาป - [2546] บุปผาราตรี ภาค 1 รับบทเป็น บาทหลวง และ พันธุ์ร็อกหน้าย่น - [2547] ผี..ไม่อยากให้คนเห็น - [2547] โกร๋น ก๊วน กวน ผี - [2547] บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม รับบทเป็น ทนายภาคภูมิ - [2547] สายล่อฟ้า รับบทเป็น เฮียกระทิง - [2548] โคตรเพชรฆาต - [2549] เพลงสุดท้ายละครละคร. - [2537] แม่นาคพระโขนง ช่อง 5 - [2541] นางบาป ช่อง 7 - [2546] เปรตวัดสุทัศน์ ช่อง 7
ศิลปินตลกอาวุโสของไทยชื่อว่า เหี่ยวฟ้า เคยเป็นหัวหน้าคณะตลกวงใด
{ "answer": [ "เหี่ยวฟ้า" ], "answer_begin_position": [ 256 ], "answer_end_position": [ 265 ] }
3,004
73,830
เหี่ยวฟ้า เหี่ยวฟ้า มีชื่อจริงว่า พรมมา สระทองแก้ว (พ.ศ. 2478 — 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550) หรือบางครั้งในคณะตลกอาจเรียกว่า อีเหี่ยว เป็นศิลปินตลกอาวุโส และเป็นหัวหน้าคณะตลกวง "เหี่ยวฟ้า" เสียชีวิตเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 รวมอายุ 72 ปี หลังจากล้มป่วยมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ด้วยโรคมะเร็งปอด เส้นเลือดในสมองตีบและอัมพฤกษ์ เหี่ยวฟ้า เริ่มชีวิตงานแสดงโดยเป็นสมาชิกของคณะเด๋อ ดู๋ ดี๋ ก่อนจะแยกมาตั้งคณะเหี่ยวฟ้า เป็นของตัวเอง นอกจากนี้แล้วเหี่ยวฟ้ายังเคยตั้งค่ายมวยไทยร่วมกับเพื่อนนักแสดงตลก ดอน จมูกบาน ในชื่อ "ซูเปอร์ดอน" ประมาณ พ.ศ. 2527ผลงานแสดงภาพยนตร์ผลงานแสดง. ภาพยนตร์. - [2528] หอใหม่ - [2528] โจ๊กใส่ไข่ - [2528] เพลงสุดท้าย - [2528] กิ้งก่ากายสิทธิ์ - [2529] ไอ้งอดยอดทหาร - [2530] แม่นาค 30 - [2530] โลงแตก - [2544] มือปืน โลก/พระ/จัน - [2545] ผู้หญิงห้าบาป - [2546] บุปผาราตรี ภาค 1 รับบทเป็น บาทหลวง และ พันธุ์ร็อกหน้าย่น - [2547] ผี..ไม่อยากให้คนเห็น - [2547] โกร๋น ก๊วน กวน ผี - [2547] บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม รับบทเป็น ทนายภาคภูมิ - [2547] สายล่อฟ้า รับบทเป็น เฮียกระทิง - [2548] โคตรเพชรฆาต - [2549] เพลงสุดท้ายละครละคร. - [2537] แม่นาคพระโขนง ช่อง 5 - [2541] นางบาป ช่อง 7 - [2546] เปรตวัดสุทัศน์ ช่อง 7
เหี่ยวฟ้าเป็นศิลปินตลกอาวุโสของไทย มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "พรมมา สระทองแก้ว" ], "answer_begin_position": [ 116 ], "answer_end_position": [ 132 ] }
2,189
32,658
มะยุมิ โช มายูมิ โช (คันจิ:荘真由美; ฮิรางานะ:しょう まゆみ; คำอ่าน: โช มะยุมิ) เป็นนักพากย์หญิงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยหลังจากที่แต่งงานกับ เคอิจิ นัมบะ ที่เป็นนักพากย์เหมือนกัน เธอก็ลาวงการไปพักใหญ่ๆ แต่ปัจจุบันได้กลับมารับงานพากย์เหมือนเดิมแล้วประวัติประวัติ. - วันเกิด : 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 - บ้านเกิด : โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น - สังกัด : เคคเคคอร์เปอเรชันผลงานแอนิเมชันผลงาน. แอนิเมชัน. - อิคโกกุ บ้านพักหรรษา (Maison Ikkoku) รับบทเป็น โอโตนาชิ อิคุโกะ - ดราก้อนบอล รับบทเป็น จีจี้ - เออิชิสมองกล รับบทเป็น โนโนกะ มิโยโกะ - เซตากันดั้ม รับบทเป็น ฮาโล่, คิกกะ โคบายาชิ, คุม - กันดั้มดับเบิลเซตา รับบทเป็น คุม - ทาทาคาเอะ! อิคเซอร์ 1 รับบทเป็น คาโน่ นางิสะ - เซนต์เซย่า ภาคแอปเปิ้ลทองคำ รับบทเป็น เอลี่ - รับบทเป็น เชมิ่ง โนอา - ฮาจาไทเซ ดันไกโอ (Dangaioh) รับบทเป็น มีอา อลิซ - โปรเจกต์ เซโอไรเมอร์ (Hades Project Zeorymer) รับบทเป็น ยูราเท - เมก้าโซน 23 (Megazone 23) รับบทเป็น ยูเมงาโน่ ไม - คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา รับบทเป็น โทริมารุ นาโอโกะ (คดีฆาตกรรมเหรียญเงินฝรั่งเศส) - แม่มดน้อยโดเรมี รับบทเป็น มาจอลูก้า - กัชเบล รับบทเป็น แม่ของเชอร์รี่ - มหัศจรรย์สาวน้อยพริตตี้เคียว รับบทเป็น มิสุมิ ริเอะ (แม่ของนางิสะ)เกมเกม. - อีส (YS) 1, 2 รับบทเป็น เรอา - ซูเปอร์เรียลมาจองกราฟฟิตี้ รับบทเป็น เซริซาวะ มิไร - NEUES รับบทเป็น เคตี้ อัลเดีย - ซูเปอร์โรบ็อตไทเซ็น (Super Robot Wars) รับบทเป็น มีอา อลิซ
มายูมิ โช นักพากย์หญิงชาวญี่ปุ่น มีสามีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เคอิจิ นัมบะ" ], "answer_begin_position": [ 230 ], "answer_end_position": [ 242 ] }
2,190
11,317
ประเทศกัวเตมาลา กัวเตมาลา () หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐกัวเตมาลา () เป็นประเทศในภูมิภาคอเมริกากลาง ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีชายฝั่งติดกับทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียน พรมแดนด้านตะวันตกจรดเม็กซิโก ตะวันออกเฉียงเหนือจรดเบลีซ และตะวันออกเฉียงใต้จรดฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์ภูมิศาสตร์ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ลักษณะภูมิประเทศ. เกือบทั้งประเทศเป็นภูเขามีที่ราบต่ำชายฝั่งและที่ราบหินปูนลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศ. ร้อนชื้นในบริเวณที่ราบต่ำและอากาศเย็นในบริเวณที่สูงประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ประวัติชนพื้นเมืองโบราณที่สำคัญของประเทศกัวเตมาลาคือ ชนเผ่ามายาการเมืองพรรคการเมืองสำคัญการเมือง. พรรคการเมืองสำคัญ. - Grand National Alliance (พรรครัฐบาล) - Democratic Alliance - Guatemalan Republic Front - National Liberal Movement - National Guatemalan Revolutionary Unityการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศกัวเตมาลาแบ่งออกเป็น 22 จังหวัด (departments) ได้แก่1. อัลตาเบราปัซ (Alta Verapaz) 2. บาฮาเบราปัซ (Baja Verapaz) 3. ชีมัลเตนังโก (Chimaltenango) 4. ชีกีมูลา (Chiquimula) 5. เอลเปเตง (El Petén) 6. เอลโปรเกโซ (El Progreso) 7. เอลกีเช (El Quiché) 8. เอสกวินตลา (Escuintla) 9. กัวเตมาลา (Guatemala) 10. เวเวเตนังโก (Huehuetenango) 11. อีซาบัล (Izabal) 12. คาลาปา (Jalapa) 13. คูเตียปา (Jutiapa) 14. เกตซัลเตนังโก (Quetzaltenango) 15. เรตาลูเลว (Retalhuleu) 16. ซากาเตเปเกซ (Sacatepéquez) 17. ซันมาร์โกส (San Marcos) 18. ซันตาโรซา (Santa Rosa) 19. โซโลลา (Sololá) 20. ซูชีเตเปเกซ (Suchitepequez) 21. โตโตนีกาปัง (Totonicapán) 22. ซากาปา (Zacapa)ต่างประเทศความสัมพันธ์กับประเทศไทยด้านการทูตการค้าและเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกองทัพกองทัพบกกองทัพอากาศกองทัพเรือกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจเกษตรกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยววิทยศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณูปโภคคมนาคม และ โทรคมนาคมสาธารณสุขพลังงานประชากรการศึกษาวัฒนธรรมศิลปะดนตรีอาหารกีฬา
ประเทศกัวเตมาลาตั้งอยู่ในภูมิภาคใด
{ "answer": [ "อเมริกากลาง" ], "answer_begin_position": [ 176 ], "answer_end_position": [ 187 ] }
2,191
11,317
ประเทศกัวเตมาลา กัวเตมาลา () หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐกัวเตมาลา () เป็นประเทศในภูมิภาคอเมริกากลาง ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีชายฝั่งติดกับทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียน พรมแดนด้านตะวันตกจรดเม็กซิโก ตะวันออกเฉียงเหนือจรดเบลีซ และตะวันออกเฉียงใต้จรดฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์ภูมิศาสตร์ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ลักษณะภูมิประเทศ. เกือบทั้งประเทศเป็นภูเขามีที่ราบต่ำชายฝั่งและที่ราบหินปูนลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิอากาศ. ร้อนชื้นในบริเวณที่ราบต่ำและอากาศเย็นในบริเวณที่สูงประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ประวัติชนพื้นเมืองโบราณที่สำคัญของประเทศกัวเตมาลาคือ ชนเผ่ามายาการเมืองพรรคการเมืองสำคัญการเมือง. พรรคการเมืองสำคัญ. - Grand National Alliance (พรรครัฐบาล) - Democratic Alliance - Guatemalan Republic Front - National Liberal Movement - National Guatemalan Revolutionary Unityการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศกัวเตมาลาแบ่งออกเป็น 22 จังหวัด (departments) ได้แก่1. อัลตาเบราปัซ (Alta Verapaz) 2. บาฮาเบราปัซ (Baja Verapaz) 3. ชีมัลเตนังโก (Chimaltenango) 4. ชีกีมูลา (Chiquimula) 5. เอลเปเตง (El Petén) 6. เอลโปรเกโซ (El Progreso) 7. เอลกีเช (El Quiché) 8. เอสกวินตลา (Escuintla) 9. กัวเตมาลา (Guatemala) 10. เวเวเตนังโก (Huehuetenango) 11. อีซาบัล (Izabal) 12. คาลาปา (Jalapa) 13. คูเตียปา (Jutiapa) 14. เกตซัลเตนังโก (Quetzaltenango) 15. เรตาลูเลว (Retalhuleu) 16. ซากาเตเปเกซ (Sacatepéquez) 17. ซันมาร์โกส (San Marcos) 18. ซันตาโรซา (Santa Rosa) 19. โซโลลา (Sololá) 20. ซูชีเตเปเกซ (Suchitepequez) 21. โตโตนีกาปัง (Totonicapán) 22. ซากาปา (Zacapa)ต่างประเทศความสัมพันธ์กับประเทศไทยด้านการทูตการค้าและเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกองทัพกองทัพบกกองทัพอากาศกองทัพเรือกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจเกษตรกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยววิทยศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณูปโภคคมนาคม และ โทรคมนาคมสาธารณสุขพลังงานประชากรการศึกษาวัฒนธรรมศิลปะดนตรีอาหารกีฬา
ชนพื้นเมืองโบราณที่สำคัญของประเทศกัวเตมาลาคือชนเผ่าใด
{ "answer": [ "มายา" ], "answer_begin_position": [ 664 ], "answer_end_position": [ 668 ] }
2,192
53,172
กุหลาบ กุหลาบ () คือดอกไม้ในสกุล Rosa ในวงศ์ Rosaceae ที่ได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกที่มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชีย ผู้คนนิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ตกแต่งสวน, ประดับตกแต่งบ้าน, ประดับสถานที่, ปลูกเพื่อการพาณิชย์ อาทิ เพื่อนำไปสกัดน้ำหอม นำไปทำเป็นส่วนประกอบของสปา เป็นต้นความสำคัญทางเศรษฐกิจ ความสำคัญทางเศรษฐกิจ. กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น- ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่มากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันประมาณว่ามีพื้นที่การผลิตถึง 3,000 ไร่ เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน และค่าจ้างแรงงานต่ำ (แรงงานต่างชาติ) การผลิตกุหลาบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การผลิตกุหลาบในเชิงปริมาณ และการผลิตกุหลาบเชิงคุณภาพ การผลิตกุหลาบเชิงปริมาณ หมายถึงการปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือปลูกในพื้นที่ราบ ซึ่งจะให้ผลผลิตมีปริมาณมาก แต่ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เช่น ดอกและก้านมีขนาดเล็ก มีตำหนิจากโรคและแมลง หรือการขนส่ง อายุการปักแจกันสั้น ทำให้ราคาต่ำ การผลิตชนิดนี้ต้องอาศัยการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ส่วนการผลิตกุหลาบในเชิงคุณภาพ นิยมปลูกในเขตภาคเหนือ และบนที่สูง โดยปลูกกุหลาบภายใต้โรงเรือนพลาสติก ในพื้นที่จำกัด มีการจัดการการผลิตและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ดี ใช้แรงงานที่ชำนาญ ทำให้กุหลาบที่ได้มีคุณภาพดี และปักแจกันได้นาน ตลาดของกุหลาบคุณภาพปานกลางถึงต่ำ (ตลาดล่าง) ในปัจจุบันถึงขั้นอิ่มตัว เกษตรกรขายได้ราคาต่ำมาก ส่วนตลาดของกุหลาบที่มีคุณภาพสูง (ตลาดบน) ผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ยังต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย เป็นต้น ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกุหลาบคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากแต่จะต้องผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสม คือพื้นที่สูงมากกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หากปลูกในที่ราบจะได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ดังนั้นการผลิตกุหลาบมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่การผลิตบนที่สูงมากขึ้นประเภท ประเภท. กุหลาบสามารถจำแนกได้หลายแบบ เช่น จำแนกตามลักษณะการเจริญเติบโต ขนาดดอก สีดอก ความสูงต้น และจำแนก ตามลักษณะของดอก เป็นต้น ในที่นี้ได้จำแนกกุหลาบเฉพาะกุหลาบตัดดอกตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ทางการค้าในตลาดโลกเป็น 5 ประเภทดังนี้- กุหลาบดอกใหญ่ หรือ กุหลาบก้านยาว (large flowered or long stemmed roses) กุหลาบประเภทนี้เป็นกุหลาบไฮบริดที (Hybrid Tea: HT) ที่มีดอกใหญ่ แต่การดูแลรักษายาก ผลผลิตต่ำ (100-150 ดอก/ตร.ม./ปี) และอายุการปักแจกันสั้นกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกุหลาบ Floribunda มักมีก้านยาวระหว่าง 50-120 เซนติเมตร กุหลาบดอกใหญ่ได้รับความนิยมมากใน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เม็กซิโก ญี่ปุ่น ซิมบับเว โมร๊อกโก ฝรั่งเศส และ อิตาลี พันธุ์กุหลาบดอกใหญ่ที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศได้แก่ พันธุ์ เวก้า (Vega: แดง) , มาดาม เดลบา (Madam Delbard) , วีซ่า (Visa: แดง) , โรเท โรเซ (Rote Rose: แดง) , คารล์ เรด (Carl Red: แดง) , โซเนีย (Sonia: ชมพูส้ม) , เฟิร์สเรด (First Red: แดง) , โพรฟิตา (Prophyta: ปูนแห้ง) , บิอังกา (Bianca: ขาว) , โนเบลส (Noblesse: ชมพูส้ม) และ แกรนด์ กาลา (Grand Gala: แดง) เป็นต้น- กุหลาบดอกกลาง หรือ กุหลาบก้านขนาดกลาง (medium flowered or medium stemmed roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่ ซึ่งมีลักษณะระหว่างกุหลาบดอกใหญ่ และเล็ก เป็นกุหลาบ Hybrid Tea ให้ผลผลิตสูง (150-220 ดอก/ตร.ม./ปี) อายุการปักแจกันยาว และทนการขนส่งได้ดี ความยาวก้านระหว่าง 40-60 ซม. แหล่งผลิตที่สำคัญได้แก่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลี อิสราเอล ซิมบับเว เคนยา พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ ซาช่า (Sacha: แดง) , เมอร์ซิเดส (Mercedes: แดง) , เกเบรียล (Gabrielle: แดงสด) , คิสส์ (Kiss: ชมพู) , โกลเด้นทาม (Goldentime: เหลือง) , ซาฟารี (Safari: ส้ม) และ ซูวีเนีย (Souvenir: ม่วงขาว) เป็นต้น- กุหลาบดอกเล็ก หรือ กุหลาบก้านสั้น (small flowered or short stemmed roses) เป็นกุหลาบที่ได้รับความนิยมปลูก และบริโภคกันมากในยุโรป โดยเฉพาะ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ กุหลาบก้านสั้นนี้เป็นกุหลาบ Floribunda ที่ให้ผลผลิตสูง (220-350 ดอก/ตร.ม./ปี) อายุการปักแจกันยาว และทนต่อการขนส่งดีกว่ากุหลาบดอกใหญ่ มักมีความยาวก้านระหว่าง 30-50 เซนติเมตร แหล่งผลิตกุหลาบดอกเล็กได้แก่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิสราเอล และเคนยา พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ ฟริสโก (Frisco:เหลือง) , เอสกิโม (Escimo: ขาว) , โมเทรีย (Motrea: แดง) , เซอไพรซ์ (Surprise: ชมพู) , และ แลมบาด้า (Lambada: แสด) เป็นต้น- กุหลาบดอกช่อ (spray roses) เป็นกุหลาบชนิดใหม่ ให้ผลผลิตต่ำต่อพื้นที่ (120-160 ดอกต่อตารางเมตรต่อปี) ความยาวก้านระหว่าง 40-70 ซม. มักมี 4-5 ดอกในหนึ่งช่อ และยังมีตลาดจำกัดอยู่ เช่นพันธุ์ เอวีลีน (Evelien: ชมพู) เดียดีม (Diadeem: ชมพู) และ นิกิต้า (Nikita: แดง) เป็นต้น- กุหลาบหนู (miniature roses) มีขนาดเล็กหรือแคระโดยธรรมชาติ ความสูงของทรงพุ่มไม่เกิน 1 ฟุตให้ผลผลิตสูง 450-550 ดอก/ตร.ม./ปี มีความยาวก้านดอกระหว่าง 20-30 ซม. ยังมีตลาดจำกัดอยู่ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ และอิตาลีการคัดเลือกสายพันธุ์ การคัดเลือกสายพันธุ์. การคัดเลือกพันธุ์กุหลาบในปัจจุบันจะคำนึงถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับ มากกว่าการที่ดอกสวยสะดุดตาแต่เมื่อซื้อไปก็เหี่ยวทันที ดังนั้นการคัดเลือกพันธุ์กุหลาบในปัจจุบันมักมีข้อพิจารณาดังนี้1. มีผลผลิตสูง ปัจจุบันกุหลาบดอกเล็กให้ผลผลิตสูงถึง 300 ดอก/ตร.ม./ปี 2. อายุการปักแจกันนาน พันธุ์กุหลาบในสมัยทศวรรษที่แล้วจะบานได้เพียง 5-6 วัน ปัจจุบันกุหลาบพันธุ์ใหม่ ๆ สามารถบานได้ทนถึง 16 วัน 3. กุหลาบที่สามารถดูดน้ำได้ดี 4. กุหลาบที่ไม่มีหนามหรือหนามน้อยเพื่อความสะดวกในการจัดการ 5. สี สีแดงยังคงครองตลาดอยู่ รองลงมาคือสีชมพู สีอ่อนเย็นตา และสองสีในดอกเดียวกัน 6. กลิ่น เป็นที่เสียดายที่กุหลาบกลิ่นหอมมักไม่ทน แต่ก็มีการผสมพันธุ์กุหลาบตัดดอกกลิ่นหอมบ้าง สำหรับตลาดท้องถิ่น 7. มีความต้านทานโรค และทนความเสียหายจากการจัดการสูงการขยายพันธุ์กุหลาบ การขยายพันธุ์กุหลาบ. กุหลาบเป็นพืชไม้ดอกที่ขยายพันธุ์ได้ง่ายกว่าไม้ดอกอื่น ๆ หลายชนิด คือ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด  การตัดชำทั้งด้วยกิ่งและด้วยราก การตอนกิ่ง การติดตา การต่อกิ่ง  ตลอดจนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 1. การเพาะเมล็ดกุหลาบ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้  มุ่งที่จะได้พันธุ์ใหม่ ๆ แปลก ๆ เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากกุหลาบที่ปลูกอยู่ทุก ๆวันนี้เป็นลูกผสมทั้งหมด  การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดจึงทำให้ได้ทันที  ไม่เหมือนพ่อแม่และไม่เหมือนกันเลยระหว่างลูกด้วยกัน  จึงไม่เหมาะที่จะใช้โดยทั่วๆ ไป  แต่เหมาะสำหรับนักผสมพันธุ์เพื่อที่จะหาพันธุ์ใหม่  ที่มีลักษณะดีเด่นกว่าต้นพ่อต้นแม่ ก.  การทำให้เมล็ดพ้นจากสภาพการฟักตัว  อาจทำได้ 2 วิธีคือ 1. นำฝักกุหลาบที่แก่เต็มที่ไปฝังไว้ในกระบะที่บรรจุทรายชื้น เก็บไว้ในอุณหภูมิ 41 องศาฟาเรนไฮน์  เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว จึงเอาฝักกุหลาบมาแกะเอาเมล็ดเพาะ 2.  เมื่อตัดฝักกุหลาบมาจากต้น นำมาผ่าครึ่งด้วยมีด ใช้หัวแม่มือและนิ้วชี้เขี่ยเอาเมล็ดออกมา  เมล็ดกุหลาบมีลักษณะคล้ายเมล็ดแอปเปิ้ล ขนาดใกล้เคียงกัน (ขนาดของเมล็ดขึ้นอยู่กับพันธุ์)ฝักหนึ่ง ๆ อาจจะมีถึง 70 เมล็ด(5-70) ข.  การเพาะเมล็ด  หลังจากเมล็ดงอกรากออกมาแล้ว  นำเอาไปเพาะในกระถาง หรือกระบะเพาะต่อไป ในต่างประเทศใช้ส่วนผสมสูตรของ จอห์น  อินเนส(John Innes) โดยมีส่วนผสมดังนี้ 1)  ดินร่วน 2 ส่วน 2)  พีทมอส 2 ส่วย 3)  ทรายหยาบ 1  ส่วน 2. การตอนแบบทับกิ่ง  เป็นการขยายพันธุ์กุหลาบเลื้อยที่ทำกันมานานแล้ว  ปัจจุบันยังมีทำกันอยู่บ้าง  ด้วยเหตุที่ให้ผลดีและแน่นอน  มีข้อเสียอย่างเดียวคือได้จำนวนน้อยและเสียเวลา กิ่งที่ใช้ตอน  ควรจะเป็นกิ่งที่เคยให้ดอกมาแล้ว (ไม่อ่อนเกินไป) เป็นกิ่งอวบสมบูรณ์  ควั่นกิ่งให้ห่างจากยอดประมาณ 6-8 นิ้ว ความยาวของรอยควั่นประมาณครึ่งนิ้ว ลอกเอาเปลือกออก  ขูดเอาเยื่อเจริญออกให้หมด  ทาด้วยฮอร์โมนเร่งราก เอ็น .เอ็น.เอ.  ผสมกับ ไอ.บี.เอ. ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 ความเข้มข้น 4,500 ส่วนต่อล้าน (ppm) ทิ้งไว้ให้แห้ง  หุ้มด้วยขุยมะพร้าวเปียก  หรือกาบมะพร้าวที่ทุบให้นุ่ม  แล้วแช่น้ำทิ้งไว้หนึ่งคืนในต่างประเทศใช้สแพกนั่มมอสชื้น ๆ ห่อด้วยแผ่นพลาสติก  มัดหัวท้ายให้แน่นประมาณ 10-12 วันจะมีรากงอกออกมา  สามารถตัดไปปลูกได้ 3. การขยายพันธุ์กุหลาบด้วยวิธีการต่อกิ่งและการติดตา การต่อกิ่ง (grafting) การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้  นิยมทำกับกุหลาบที่ปลูกในกระถาง  ไม่นิยมทั่วไป  เพราะเสียเวลาและไม่มีความแน่อน  อีกทั้งต้องใช้ฝีมือพอสมควร การติดตา (budding) การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้  ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมมากที่สุด  ทั้งนี้เพราะสามารถขยายพันธุ์ดีได้เร็วกว่า คนที่มีความชำนาญในการติดตา  จะสามารถทำการติดตาได้มากกว่า 1,000 ต้นต่อวัน ต่อสองคน อีกทั้งยังสามารถคัดเลือกต้นตอทีเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละท้องถิ่น  และแต่ละพันธุ์ของกุหลาบพันธุ์ดีที่จะนำมาติด นอกจากนี้  ถ้าตาพันธุ์ดีที่นำมาติดสามารถเข้ากันได้ดีกับต้นตอ  จะช่วยส่งเสริมความดีเด่นในลักษณะต่าง ๆ ของกุหลาบพันธุ์ดีที่นำมาติดด้วย  ยิ่งไปกว่านั้นกุหลาบที่ใช้เป็นต้นตอส่วนมากจะมีระบบรากที่แข็งแรงกว่ากุหลาบพันธุ์ดี  ทำให้การปลูกกุหลาบแต่ละครั้งมีอายุให้ผลยาวนานและผลผลิตสูงกว่าการปลูกกุหลาบจากการตอนกิ่ง  หรือการตัดชำ กุหลาบที่ใช้ทำเป็นต้นตอ ส่วนมากเป็นกุหลาบป่า (Wild species) หรือกุหลาบเลื้อยบางพันธุ์  กุหลาบแต่ละชนิด แต่ละพันธุ์ ใช่ว่าจะเป็นต้นตอที่ดีที่สุดของกุหลาบพันธุ์ดีทุกพันธุ์เสมอไปสภาพที่เหมาะสมในการปลูก สภาพที่เหมาะสมในการปลูก. พื้นที่ปลูก ควรปลูกในที่ที่ระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดเล็กน้อย พีเอ็ช ประมาณ 6-6.5 และได้แสงอย่างน้อย 6 ชั่วโมง อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญของกุหลาบคือ กลางคืน 15-18 องศาเซลเซียส และกลางวัน 20-25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่จะทำให้ได้ดอกที่มีคุณภาพดี และให้ผลผลิตสูง หากอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส การเจริญเติบโตและการออกดอกจะช้าอย่างมาก หากอุณหภูมิสูงกว่า 28 องศาเซลเซียส ควรให้มีความชื้นในอากาศสูงเพื่อชลอการคายน้ำ ความชื้น ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมกับการเจริญของกุหลาบคือร้อยละ 70-80 แสง กุหลาบจะให้ผลผลิตสูง และดอกมีคุณภาพดี ถ้าความเข้มของแสงมาก และช่วงวันยาวการดูแลการให้น้ำ การดูแล. การให้น้ำ. ให้น้ำระบบน้ำหยด หรือใช้หัวพ่นน้ำระหว่างแถวปลูก อัตรา 6-7 ลิตร/ตร.ม./ วัน หรือ 49 ลิตร/ตร.ม./สัปดาห์ อาจให้ทุกวัน วันเว้นวัน หรือ 2-3 วันต่อครั้ง แล้วแต่สภาพการอุ้มน้ำของดิน อย่ารดน้ำให้ดินแฉะตลอดเวลา ควรให้ดินมีโอกาสระบายน้ำ และมีอากาศเข้าไปแทนที่บ้าง ดังนั้นใน 1 สัปดาห์ หากปลูกในโรงเรือนจะต้องใช้น้ำประมาณ 78,400 ลิตร หรือ 78.4 คิวบิคเมตร ต่อไร่ น้ำที่ใช้ควรมีคุณภาพดี มี pH 5.8-6.5การให้ปุ๋ยก่อนปลูก การให้ปุ๋ยก่อนปลูก. ปุ๋ยก่อนปลูกคือปุ๋ยที่ผสมกับเครื่องปลูกก่อนการปลูกพืช ซึ่งให้ประโยชน์ 2 ประการคือ1. ให้ธาตุอาหารที่พืชต้องการอย่างเพียงพอตั้งแต่เริ่มปลูก 2. ให้ธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมากและเพียงพอสำหรับการปลูกพืชตลอดฤดู ซึ่งทำให้สามารถงดหรือลดการให้ปุ๋ยนั้น ๆ ได้ ระหว่างการปลูกพืชการให้ธาตุอาหารทุกชนิดแก่พืชในขณะปลูก ทำได้ลำบากเนื่องจากมีถึง 14 ธาตุ ธาตุบางชนิดจะมีอยู่ในดินอยู่แล้วการให้ปุ๋ยระหว่างปลูกปริมาณ และสัดส่วนของธาตุอาหาร การให้ปุ๋ยระหว่างปลูก. ปริมาณ และสัดส่วนของธาตุอาหาร. การให้ปุ๋ยระหว่างปลูกพืช เนื่องจากธาตุอาหารส่วนใหญ่จะมีอยู่ในดินแล้วเมื่อปลูกพืชจึงยังคงเหลือธาตุ ไนโตรเจน และโปแตสเซืยม ซึ่งจะถูกชะล้างได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องให้ปุ๋ย ทั้งสองในระหว่างที่พืชเจริญเติบโต ซึ่งการให้ปุ๋ยอาจทำได้โดยการให้พร้อมกับการให้น้ำ (fertigation) การให้ปุ๋ยพร้อมกับน้ำสำหรับกุหลาบ หากให้ทุกวันจะให้ในอัตราความเข้มข้นของไนโตรเจน 160 มก./ลิตร (ppm) และหากให้ปุ๋ยทุกสัปดาห์ควรให้ในอัตราความเข้มข้นของไนโตรเจน 480 มก./ลิตร สัดส่วนของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (PO) และโปแตสเซียม (KO) สำหรับกุหลาบในระยะต่าง ๆ คือ1. ระยะสร้างทรงพุ่ม สัดส่วน 1 : 0.58 : 0.83 2. ระยะให้ดอก สัดส่วน 1 : 0.5 : 0.78 3. ระยะตัดแต่งกิ่ง สัดส่วน 1: 0.8 : 0.9การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่ง. การดูแลกุหลาบระยะแรกหลังปลูกเมื่อตากุหลาบเริ่มแตก ควรส่งเสริมให้มีการเจริญทางใบ เพื่อการสะสมอาหาร และสร้างกิ่งกระโดง เพื่อให้ได้ดอกที่มีขนาดใหญ่ และก้านยาว ซึ่งทำได้ด้วยการเด็ดยอดเป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน โดยเด็ดส่วนเหนือใบสมบูรณ์ (5 ใบย่อย) ใบที่สองจากยอด เมื่อดอกมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วลันเตา จากนั้นกิ่งกระโดงจะเริ่มแทงออก ซึ่งกิ่งกระโดงนี้จะเป็นโครงสร้างหลักให้ต้นกุหลาบ ที่ให้ดอกมีคุณภาพดี การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งกุหลาบปฏิบัติได้หลายวิธี แต่ละวิธีจะใช้หลักการที่คล้ายกัน คือตัดแต่งเพื่อให้ได้กิ่งที่สมบูรณ์เพื่อการตัดดอก และเพื่อให้ได้กิ่งกระโดง (water sprout หรือ bottom break) มากขึ้น และจะรักษาใบไว้กับต้นให้มากที่สุด เพื่อให้ได้กิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ควรรักษาให้พุ่มกุหลาบโปร่ง และไม่สูงมากเกินไปนัก เพื่อสะดวกต่อการดูแลรักษา และแสงที่กระทบโคนต้นกุหลาบจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิ่งกระโดงอีกด้วย การตัดแต่งกิ่งที่นิยมในปัจจุบันได้แก่การตัดแต่งกิ่งแบบ ตัดสูงและต่ำ การตัดแต่งแบบ ตัดสูงและต่ำ (สูงและต่ำจากจุดกำเนิดของกิ่งสุดท้าย) เป็นการตัดแต่งเพื่อให้มีการผลิตดอกสม่ำเสมอทั้งปีโรค โรค. กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกชนิดหนึ่งที่มีศัตรูมากพืชหนึ่ง ดังนั้นการป้องกันและกำจัดศัตรูกุหลาบให้มีประสิทธิภาพ ผู้ปลูกควรทราบลักษณะสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และวงจรชีวิตของศัตรูนั้น ๆ รวมทั้งการป้องกันกำจัด และการใช้สารเคมีให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายแก่ตัวเองและผู้อื่น และควรฝึกเจ้าหน้าที่ให้หมั่นตรวจแปลง และสังเกตต้นกุหลาบทุกวันจะช่วยให้พบโรคหรือแมลงในระยะเริ่มแรก ทำให้สามารถกำจัดได้ง่าย ในการฉีดพ่นสารเคมีควรใช้สารเคมีชนิดเดียวกันติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 ครั้งเพื่อให้สารนั้น ๆ แสดงประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ จากนั้นนั้นควรสับเปลี่ยนกลุ่มของสารเคมีเพื่อลดการดื้อยา- โรคราน้ำค้าง (Downey mildew) เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Peronospora spasa ลักษณะการทำลาย อาการจะแสดงบน ใบ กิ่ง คอดอก กลีบเลี้ยง และกลีบดอก การเข้าทำลายจะจำกัดที่ส่วนอ่อน หรือส่วนยอด - โรคราแป้ง (Powdery mildew) เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Sphaerotheca pannosa ลักษณะการทำลาย อาการเริ่มแรกผิวใบด้านบนจะมีลักษณะนูน อวบน้ำเล็กน้อย และบริเวณนั้นมักมีสีแดง และจะสังเกตเห็นเส้นใย และอัปสปอร์ สีขาวเด่นชัดบนผิวของใบอ่อน ใบจะบิดเบี้ยว และจะถูกปกคลุมด้วยเส้นใยสีขาว ใบแก่อาจไม่เสียรูปแต่จะมีราแป้งเป็นวงกลม หรือรูปทรงไม่แน่นอน - โรคใบจุดสีดำ (black spot: Diplocarpon rosae) เป็นโรคที่พบเสมอ ๆ ในกุหลาบที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่ ๆ หรือปลูกประดับอาคารบ้านเรือนเพียง 2-3 ต้น โดยมากจะเกิดกับใบล่าง ๆ อาการเริ่มแรกเป็นจุดกลมสีดำขนาดเล็กด้านบนของใบ และจะขยายใหญ่ขึ้นหากอากาศมีความชื้นสูง และผิวใบเปียก หากเป็นติดต่อกันนาน จะทำให้ใบร่วงก่อนกำหนด ต้นโทรม ใบและดอกมีขนาดเล็กลง - โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ลักษณะอาการแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส เช่น ใบด่างซีดเหลือง หรือด่างเป็นซิกแซก - โรคราสีเทา (botrytis: Botryotinia fuckeliana syn. Botrytis cinerea) มักพบในสภาพอุณหภูมิต่ำ ความชื้นสัมพัทธ์สูง และการระบายอากาศไม่ดีพอ ดอกตูมจะเป็นจุดสีน้ำตาล และลามขยายใหญ่และเน่าแห้ง การป้องกันกำจัด เพื่อไม่ให้ดอกกุหลาบถูกฝนควรปลูกกุหลาบในโรงเรือนพลาสติก การป้องกันควรฉีดพ่นสารเคมีด้านข้างและด้านบนดอกด้วย คอปเปอร์ ไฮดร๊อกไซด์ แมนโคเซ็บ หรือ คอปเปอร์ อ๊อกซี่คลอไรด์ - โรคกิ่งแห้งตาย (die back) เกิดจากตัดกิ่งเหนือตามากเกินไปทำให้เชื้อราเข้าทำลายกิ่งเหนือตาจนเป็นสีดำ และอาจลามลงมาทั้งกิ่งได้ ดังนั้นจึงควรตัดกิ่งเหนือตาประมาณ 1/4 นิ้ว ทำมุม 45 องศาเฉียงลงแมลงและไรศัตรูแมลงและไรศัตรู. 1. ไรแดง (Spider mite) 2. เพลี้ยไฟ (Thrips) 3. หนอนเจาะสมอฝ้าย (Heliothis armigera) 4. หนอนกระทู้หอมหรือหนอนหนังเหนียว (onion cutworm: Spodoptera exigua) 5. ด้วงกุหลาบ (rose beetle: Adoretus compressus) 6. เพลี้ยหอย (scale insect: Aulucaspis rosae) 7. เพลี้ยอ่อน (aphids: Macrosiphum rosae และ Myzaphis rosarum)การเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยว. ระยะที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวกุหลาบ คือ ตัดเมื่อดอกกำลังตูมอยู่หรือเห็นกลีบดอกเริ่มแย้ม (ยกเว้นบางสายพันธุ์) หากตัดดอกอ่อนเกินไปดอกจะไม่บาน ในฤดูร้อนควรตัดในระยะที่ยังตูมมากกว่าการตัดในฤดูหนาวเพราะดอกจะบานเร็วกว่า ตดตดตดตดตดตเจเตเนน
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปใด
{ "answer": [ "เอเชีย" ], "answer_begin_position": [ 199 ], "answer_end_position": [ 205 ] }
2,193
2,069
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ () หรือ อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย อาเซียนมีพื้นที่ราว 4,479,210 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 625 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2553 จีดีพีของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลกเรียงตามจีดีพี อาเซียนมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน ปฏิญญากรุงเทพฯ อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558ประวัติสมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพ ประวัติ. สมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพ. สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (ASA, Association of South East Asia) ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย จนเมื่อทั้งสองประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อาดัม มาลิกแห่งอินโดนีเซีย, นาร์ซิโซ รามอสแห่งฟิลิปปินส์, อับดุล ราซัคแห่งมาเลเซีย, เอส. ราชารัตนัมแห่งสิงคโปร์ และถนัด คอมันตร์แห่งไทย ซึ่งถือว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งองค์กร ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ ความกังวลต่อการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ร่วมกัน ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกที่เสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างจากสหภาพยุโรป เพราะกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยมการขยายตัว การขยายตัว. ในปี พ.ศ. 2519 ปาปัวนิวกินีได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์ และตลอดช่วงพุทธทศวรรษ 2510 กลุ่มประเทศสมาชิกได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง หลังจากผลของการประชุมที่จังหวัดบาหลี ในปี พ.ศ. 2519 แต่ว่าความร่วมมือดังกล่าวได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักในช่วงพุทธทศวรรษ 2520 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากไทยเสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีขึ้น ต่อมา บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่หก เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 หลังบรูไนประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม เพียงสัปดาห์เดียว ต่อมา เวียดนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่เจ็ด ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ไม่นานหลังจากนั้น ลาวและพม่าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่แปดและเก้าตามลำดับ ในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ส่วนกัมพูชาประสงค์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ถูกเลื่อนออกไปจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ จนกระทั่งในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2542 กัมพูชาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่สิบ หลังจากรัฐบาลกัมพูชามีความมั่นคงแล้ว ในช่วงพุทธทศวรรษ 2530 สมาชิกอาเซียนได้มีประสบการณ์ทั้งในด้านการมีประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความพยายามในการรวบรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวไปอีกขึ้นหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2533 มาเลเซียได้เสนอให้มีความร่วมมือทางเขตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยมีเจตนาเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่มพูนมากขึ้นในความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และภูมิภาคเอเชียโดยรวม แต่ว่าข้อเสนอดังกล่าวถูกยกเลิกไป เพราะได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะประสบความล้มเหลวในด้านดังกล่าว แต่กลุ่มสมาชิกก็ยังสามารถดำเนินการในการรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันต่อไปได้ ใน พ.ศ. 2535 มีการลงนามใช้แผนอัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นโครงร่างสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ในปี พ.ศ. 2540 ข้อเสนอของมาเลเซียถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า การริเริ่มเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มระหว่างกลุ่มสมาคมอาเซียนและประเทศในเอเชียอีกสามประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ นอกเหนือจากความร่วมมือช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกแล้ว อาเซียนยังมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มีการลงนามสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภทในภูมิภาค หลังจากปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่สอง () ในปี พ.ศ. 2546 กลุ่มประเทศอาเซียนได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่า ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีความเชื่อว่ากระบวนการตามหลักการประชาธิปไตยจะทำให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค นอกจากนั้น ประเทศอื่นที่มิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างก็เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ควรใฝ่หา ผู้นำของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาเธร์ โมฮัมหมัดแห่งมาเลเซีย ตระหนักถึงความจำเป็นในการรวมกลุ่มประเทศกันอย่างจริงจัง โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2540 อาเซียนได้เริ่มตั้งก่อตั้งองค์การหลายแห่งในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อาเซียนบวกสามเป็นองค์การแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามด้วยการประชุมเอเชียตะวันออก ซึ่งมีอีกสามประเทศที่เข้าร่วมด้วย คือ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลุ่มดังกล่าวมีแผนการที่เป็นรากฐานของประชาคมเอเชียตะวันออกในอนาคต ซึ่งร่างขึ้นตามอย่างของประชาคมยุโรปซึ่งปัจจุบันสิ้นสภาพไปแล้ว หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิอาเซียนขึ้น เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบของนโยบายดังกล่าว รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการร่างกฎบัตรอาเซียนในอนาคต ในปี พ.ศ. 2549 กลุ่มอาเซียนได้รับสถานภาพผู้สังเกตการณ์สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งกลุ่มอาเซียนได้มอบสถานภาพ "หุ้นส่วนการอภิปราย" ให้แก่สหประชาชาติเป็นการตอบแทน นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 23 กรกฎาคมปีนั้นเอง ฌูแซ รามุช-ออร์ตา นายกรัฐมนตรีแห่งติมอร์-เลสเต ได้ลงนามในความต้องการในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียนอย่างเป็นทางการ และคาดหวังว่าการได้รับสถานภาพผู้สังเกตการณ์เป็นเวลาห้าปีก่อนที่จะได้รับสถานภาพเป็นประเทศสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนได้เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งกลุ่มอาเซียน และครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ภายในปี พ.ศ. 2556 ไปพร้อมกับการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน และยกระดับกลุ่มอาเซียนให้เป็นองค์การระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 นับเป็นเขตการค้าเสรีที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีมูลค่าจีดีพีคิดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มีการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ กับนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย มีการประเมินว่าความตกลงการค้าเสรีนี้จะเพิ่มจีดีพีใน 12 ประเทศขึ้นมากกว่า 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2543-2563 ต้นปี พ.ศ. 2554 ติมอร์-เลสเตวางแผนจะยื่นจดหมายขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนในอินโดนีเซีย เป็นประเทศสมาชิกลำดับที่สิบเอ็ดของอาเซียนระหว่างการประชุมสุดยอดในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียแสดงท่าทีต้อนรับติมอร์-เลสเตอย่างอบอุ่นภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ในปัจจุบัน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยประเทศสมาชิกจำนวน 10 ประเทศ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 560 ล้านคน (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2549) ยอดเขาที่สูงสุดในภูมิภาค คือ ยอดเขาคากาโบราซีในพม่า ซึ่งมีความสูง 5,881 เมตร และมีอาณาเขตติดต่อกับจีน อินเดีย บังกลาเทศ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 27-36 °C พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าฝนเขตร้อน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าสน ป่าหาดทรายชายทะเล ป่าไม้ปลูก มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง สับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และพริกไทยวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์. จากสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการสรุปแนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้จำนวนหกข้อ ดังนี้1. ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติสมาชิกทั้งหมด 2. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐมีสิทธิที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุกรานดินแดนและการบังคับขู่เข็ญ 3. จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐสมาชิกอื่น ๆ 4. ยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน หรือแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ 5. ประณามหรือไม่ยอมรับการคุกคามหรือการใช้กำลัง 6. ให้ความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพการเมืองประธานอาเซียน การเมือง. ประธานอาเซียน. กฎบัตรอาเซียน ข้อ 31 ระบุว่า ตำแหน่งประธานอาเซียนจะเวียนกันทุกปีตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษของชื่อรัฐสมาชิก รัฐสมาชิกที่เป็นประธานจะเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาประสานงานอาเซียน สภาประชาคมอาเซียนสามสภา องค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขาและข้าราชการอาวุโส และคณะกรรมาธิการผู้แทนถาวร ประเทศพม่าเป็นประธานในปี 2557สำนักเลขาธิการ สำนักเลขาธิการ. สำนักเลขาธิการอาเซียนก่อตั้งขึ้นโดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2519 ในตอนนั้นตั้งอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย สำนักเลขาธิการอาเซียนแห่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ 70A Jalan Sisingamangaraja กรุงจาการ์ตา ซึ่งซูฮาร์โต ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขณะนั้น ก่อตั้งในปี 2524 หน้าที่หลักของสำนักเลขาธิการอาเซียนคือเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานขององค์กรอาเซียน และให้การนำโครงการและกิจกรรมของอาเซียนไปปฏิบัติมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเลขาธิการ เลขาธิการ. เลขาธิการอาเซียนได้รับแต่งตั้งโดยการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นระยะเวลาดำรงตำแหน่งห้าปี สมัยเดียว โดยเลือกมาจากผู้มีสัญชาติรัฐสมาชิกอาเซียนตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษ เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน คือ เล เลือง มิญ ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2556–2561ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมเศรษฐกิจ. กลุ่มอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในภูมิภาค อันประกอบด้วย "หลักสามประการ" ของความมั่นคง สังคมวัฒนธรรมและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ การรวมกลุ่มกันในภูมิภาคได้ทำให้การรวมตัวทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จในการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558 ประชาคมเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีประชากรรวมกัน 560 ล้านคน และมูลค่าการค้ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเขตการค้าเสรี เขตการค้าเสรี. รากฐานของการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเริ่มต้นมาจากเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งเป็นการลดอัตราภาษีศุลกากรเพื่อให้สินค้าภายในอาเซียนเกิดการหมุนเวียน เขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นข้อตกลงโดยสมาชิกกลุ่มอาเซียนซึ่งกังวลต่อผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นของตน ได้รับการลงนามในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 10 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย เวียดนาม (เข้าร่วมในปี 2538) ลาว พม่า (เข้าร่วมในปี 2540) และกัมพูชา (เข้าร่วมในปี 2542)เขตการลงทุนร่วม เขตการลงทุนร่วม. เขตการลงทุนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนภายในอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยหลักการดังต่อไปนี้:- เปิดให้อุตสาหกรรมทุกรูปแบบเกิดการลงทุนและลดขั้นตอนตามกำหนดการ - ทำสัญญากับผู้ลงทุนในกลุ่มอาเซียนที่เขามาลงทุนในทันที - กำจัดการกีดขวางทางการลงทุน - ปรับปรุงกระบวนการและระเบียบการลงทุนให้เกิดความคล่องตัว - สร้างความโปร่งใส - ดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกในการลงทุน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากเขตการลงทุนร่วมจะเป็นการกำจัดการกีดกันในกิจการเกษตรกรรม การประมง การป่าไม้และการทำเหมืองแร่ ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2553 สำหรับประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนเป็นส่วนใหญ่ และคาดว่าจะสำเร็จในปี พ.ศ. 2558 สำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนามการแลกเปลี่ยนบริการ การแลกเปลี่ยนบริการ. ข้อตกลงการวางกรอบเรื่องการแลกเปลี่ยนบริการเริ่มต้นขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพมหานครในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าว รัฐสมาชิกของกลุ่มอาเซียนจะสามารถประสบความสำเร็จในการเจรจาอย่างเสรีในด้านการแลกเปลี่ยนบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมากขึ้น ผลของการเจรจาการแลกเปลี่ยนบริการซึ่งได้เริ่มดำเนินการตามหมายกำหนดการเป็นรายเฉพาะจะถูกรวมเข้ากับกรอบข้อตกลง ซึ่งหมายกำหนดการดังกล่าวมักจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการ ในปัจจุบัน พบว่ามีกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการจำนวนเจ็ดกลุ่มภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าวตลาดการบินเดียว ตลาดการบินเดียว. แนวคิดเรื่องตลาดการบินเดียวเป็นความคิดเห็นที่เสนอโดยกลุ่มงานขนส่งทางอากาศอาเซียน ได้รับการสนับสนุนในการประชุมการขนส่งอย่างเป็นทางการของอาเซียน และได้รับการอนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมของรัฐสมาชิก ซึ่งจะนำไปสู่การจัดระเบียบน่านฟ้าเปิดในภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2558 โดยตลาดการบินเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการคมนาคมทางอากาศระหว่างรัฐสมาชิกเป็นไปอย่างเสรี ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มอาเซียนจากการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปัจจุบัน และยังเป็นการเพิ่มการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนและการบริการให้กับรัฐสมาชิกทั้งหมด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ข้อจำกัดเสรีภาพทางอากาศที่สามและที่สี่ระหว่างเมืองหลวงของรัฐสมาชิกสำหรับบริการสายการบินจะถูกยกเลิก ในขณะที่หลังจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 จะมีเสรีภาพบริการการบินในภูมิภาค และภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 จะมีการเปิดเสรีเสรีภาพทางอากาศข้อที่ห้าระหว่างเมืองหลวงทั้งหมดข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน. อาเซียนได้เปิดการค้าเสรีกับประเทศภายนอกหลายประเทศ ทั้งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และล่าสุด อินเดีย ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศจีนได้สร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ในปัจจุบัน อาเซียนนั้นกำลังเจรจากับสหภาพยุโรปในการที่จะทำการค้าเสรีด้วยกัน ผลดีของข้อตกลงนั้น คือการเปิดโอกาสการค้าของอาเซียน ให้มีศักยภาพและขยายตัวมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนจากต่างชาติด้วย ไต้หวันยังแสดงความสนใจที่จะทำข้อตกลงกับอาเซียน แต่ได้รับการคัดค้านทางการทูตจากประเทศจีนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม. เมื่อก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ประเด็นปัญหาเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกลุ่มประเทศสมาชิกได้เริ่มเจรจากันถึงข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง การลงนามในความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ในปี พ.ศ. 2545 ในความพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของมลภาวะฟ้าหลัวในเขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทว่าในพื้นที่ก็ยังเกิดปัญหาฟ้าหลัวในประเทศมาเลเซีย ในปี พ.ศ. 2548 และปัญหาฟ้าหลัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2549 ส่วนสนธิสัญญาฉบับอื่นที่ได้รับการลงนามโดยสมาชิกอาเซียนได้แก่ ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก เครือข่ายกำกับดูแลสัตว์ป่าอาเซียนในปี พ.ศ. 2549 และ หุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการพัฒนาความสะอาดและสภาพอากาศ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อปรากฏการณ์โลกร้อน และผลกระทบทางด้านลบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ใน พ.ศ. 2550 ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก ซึ่งลงนามในกลุ่มอาเซียน ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยการหาพลังงานทางเลือกเพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ความร่วมมือทางวัฒนธรรม ความร่วมมือทางวัฒนธรรม. ความร่วมมือทางวัฒนธรรมนั้น มีจุดประสงค์เพื่อที่จะช่วยสร้างภาพรวมในด้านต่าง ๆให้ดีขึ้น โดยการให้การสนับสนุน ทั้งการกีฬา การศึกษา และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ความร่วมมือต่าง ๆ ดังนี้รางวัลซีไรต์ รางวัลซีไรต์. ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เพื่อมอบรางวัลแก่นักประพันธ์หรือนักเขียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้สร้างผลงานที่ดีมีชื่อเสียง ที่ประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตของนักเขียนนั้น ๆ ผลงานนั้นเป็นผลงานเขียนทุกประเภท ทั้งวรรณกรรมต่าง ๆ เรื่องสั้น กลอน รวมไปถึงผลงานทางศาสนา ซึ่งจะมีการจัดงานที่กรุงเทพมหานคร โดยมีเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ไทยเป็นผู้พระราชทานรางวัลสถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงแห่งอาเซียน สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงแห่งอาเซียน. เป็นองค์การเอกชนที่จัดตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2499 เพื่อที่จะพัฒนาระดับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ทั้งสถาบันการศึกษาระดับสูง การสอน การบริการสาธารณะที่ดีได้มาตรฐานที่สูงขึ้น โดยสอดคล้องไปกับวัฒนธรรมและพื้นที่นั้น ๆอุทยานมรดก อุทยานมรดก. ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 และเริ่มใหม่อีกรอบในปี พ.ศ. 2547 เป็นการรวมรายชื่อของอุทยานแห่งชาติทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมป่าไม้ ปัจจุบันมีรวมทั้งหมด 35 แห่งการประชุมการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุม. การประชุมสุดยอดอาเซียน. ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้จัดการประชุมขึ้น เรียกว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลแต่ละประเทศสมาชิกจะมาอภิปรายและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการประชุมร่วมกับประเทศนอกกลุ่มสมาชิกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2519 จากผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่สาม ณ กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2530 สรุปว่าผู้นำประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนควรจะจัดการประชุมขึ้นทุกห้าปี อย่างไรก็ตาม ผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งต่อมาที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2535 ได้เสนอให้จัดการประชุมให้บ่อยขึ้น และได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดการประชุมสุดยอดขึ้นทุกสามปีแทน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2544 ผู้นำสมาชิกประเทศกลุ่มอาเซียนได้เสนอให้จัดการประชุมขึ้นทุกปีเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาด่วนที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ ประเทศสมาชิกจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดขึ้นเรียงตามตัวอักษร ยกเว้นประเทศพม่า ซึ่งถูกยกเลิกการเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 การประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการมีกำหนดการสามวัน ดังนี้- ผู้นำของรัฐสมาชิกจะจัดการประชุมภายใน - ผู้นำของรัฐสมาชิกจะหารือร่วมกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมกลุ่มอาเซียน - การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียนบวกสาม" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยจัดขึ้นพร้อมกับการประชุมสุดยอดอาเซียน - การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียน-เซอร์" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำออสเตรเลียและนิวซีแลนด์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก. การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเป็นการจัดการประชุมทั่วเอเชียซึ่งจัดขึ้นทุกปีโดยผู้นำเอเชียตะวันออก 16 ประเทศ หัวข้อการประชุมนั้นเกี่ยวกับการค้า พลังงานและความมั่นคง และการประชุมสุดยอดดังกล่าวยังมีบทบาทในการสร้างประชาคมภูมิภาค ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ชาติอาเซียน 10 ประเทศร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีประชากรรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 รัสเซียและสหรัฐอมริกาได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดใน พ.ศ. 2554 การประชุมสุดยอดครั้งแรกจัดขึ้นในกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และการประชุมครั้งต่อ ๆ มาถูกจัดขึ้นหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนประจำปีการประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี. การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นการประชุมระหว่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างชาติอาเซียน ถูกจัดตั้งขึ้นเนื่องในวาระครบรอบการก่อตั้งความสัมพันธ์ทางการทูต ประเทศนอกกลุ่มอาเซียนจะเป็นผู้เชิญชวนผู้นำชาติอาเซียนเพื่อประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีและความร่วมมือในอนาคตที่ประชุมกลุ่มอาเซียน ที่ประชุมกลุ่มอาเซียน. ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนเป็นการประชุมหลายฝ่ายอย่างเป็นทางการในภาคพื้นแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ประชุมดังกล่าวประกอบด้วย ประเทศสมาชิก 27 ประเทศ; ออสเตรเลีย บังกลาเทศ แคนาดา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี รัสเซีย ติมอร์-เลสเต สหรัฐอเมริกา และศรีลังกา จุดประสงค์ของที่ประชุมเพื่อการปรึกษาหารือ นำเสนอความไว้วางใจและธำรงความสัมพันธ์ทางการทูตในกลุ่มสมาชิก ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมครั้งแรกในปี 2537การประชุมอื่น การประชุมอื่น. นอกเหนือจากการประชุมที่กล่าวมาข้างต้น อาเซียนยังได้มีการจัดการประชุมอื่นขึ้นอีก ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนประจำปี รวมไปถึงคณะกรรมการย่อย อย่างเช่น ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมดังกล่าวมักจะมีหัวข้อการประชุมที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่น ความมั่นคงระหว่างประเทศ สิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมประชุมจะเป็นรัฐมนตรีแทนที่จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลทั้งหมดการประชุมอาเซียนบวกสาม การประชุมอาเซียนบวกสาม. ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลักดันให้จัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เกาหลีใต้ก็ได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออก ด้วยการผนึกสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เข้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนที่เรียกชื่อว่า "อาเซียนบวกสาม" (APT) แต่สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินหน้าจัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน โดยกีดกันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยความจงใจ แม้ว่าตามข้อตกลงในการจัดซื้อเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน จะมีแผนที่จะผนวกเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้ามาในภายหลังเพื่อเป็นอาเซียนบวกสาม แต่มิได้กำหนดเงื่อนเวลาอันแน่นอน อันทำให้เขตการค้าเสรีอาเซียนบวกสามการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป. การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปเป็นกระบวนการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ มีขึ้นครั้งแรกในปี 2538 เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกของสหภาพยุโรปและอาเซียน โดยกลุ่มอาเซียนจะส่งเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมร่วมกับผู้แทนอีก 45 คน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะผู้บริหารของมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือกันทางด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างเอเชียกับยุโรปการประชุมอาเซียน-รัสเซีย การประชุมอาเซียน-รัสเซีย. เป็นการประชุมประจำปีระหว่างผู้นำของประเทศกลุ่มอาเซียนร่วมกับประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซียการประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน. การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน () เป็นกิจกรรมทางทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2544 โดยกองทัพเรือไทยเป็นเจ้าภาพ ใช้ชื่อว่า ASEAN Navy Interaction (ANI) หลังการประชุมครั้งที่ 3 ได้เว้นช่วงไประยะหนึ่ง จึงดำเนินการจัดการประชุมต่อในครั้งที่ 4 ที่อินโดนีเซีย และในการประชุมครั้งที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อการประชุมเป็น ASEAN Navy Chiefs' Meetingหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบันของประเทศสมาชิก
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนมีรัฐสมาชิกเริ่มต้นกี่ประเทศ
{ "answer": [ "5" ], "answer_begin_position": [ 827 ], "answer_end_position": [ 828 ] }
2,194
2,069
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ () หรือ อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย อาเซียนมีพื้นที่ราว 4,479,210 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 625 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2553 จีดีพีของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลกเรียงตามจีดีพี อาเซียนมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน ปฏิญญากรุงเทพฯ อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558ประวัติสมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพ ประวัติ. สมาคมอาสาและปฏิญญากรุงเทพ. สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (ASA, Association of South East Asia) ขึ้นเพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย จนเมื่อทั้งสองประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" และถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อาดัม มาลิกแห่งอินโดนีเซีย, นาร์ซิโซ รามอสแห่งฟิลิปปินส์, อับดุล ราซัคแห่งมาเลเซีย, เอส. ราชารัตนัมแห่งสิงคโปร์ และถนัด คอมันตร์แห่งไทย ซึ่งถือว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งองค์กร ความประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มอาเซียนขึ้นมาเกิดจากความต้องการสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อที่ผู้ปกครองของประเทศสมาชิกจะสามารถมุ่งความสนใจไปที่การสร้างประเทศ ความกังวลต่อการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ร่วมกัน ความศรัทธาหรือความเชื่อถือต่อมหาอำนาจภายนอกที่เสื่อมถอยลงในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 รวมไปถึงความต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การจัดตั้งกลุ่มอาเซียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างจากสหภาพยุโรป เพราะกลุ่มอาเซียนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชาตินิยมการขยายตัว การขยายตัว. ในปี พ.ศ. 2519 ปาปัวนิวกินีได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์ และตลอดช่วงพุทธทศวรรษ 2510 กลุ่มประเทศสมาชิกได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง หลังจากผลของการประชุมที่จังหวัดบาหลี ในปี พ.ศ. 2519 แต่ว่าความร่วมมือดังกล่าวได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักในช่วงพุทธทศวรรษ 2520 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากไทยเสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีขึ้น ต่อมา บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่หก เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 หลังบรูไนประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม เพียงสัปดาห์เดียว ต่อมา เวียดนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่เจ็ด ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ไม่นานหลังจากนั้น ลาวและพม่าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่แปดและเก้าตามลำดับ ในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ส่วนกัมพูชาประสงค์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ถูกเลื่อนออกไปจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ จนกระทั่งในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2542 กัมพูชาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่สิบ หลังจากรัฐบาลกัมพูชามีความมั่นคงแล้ว ในช่วงพุทธทศวรรษ 2530 สมาชิกอาเซียนได้มีประสบการณ์ทั้งในด้านการมีประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความพยายามในการรวบรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวไปอีกขึ้นหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2533 มาเลเซียได้เสนอให้มีความร่วมมือทางเขตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยมีเจตนาเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่มพูนมากขึ้นในความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และภูมิภาคเอเชียโดยรวม แต่ว่าข้อเสนอดังกล่าวถูกยกเลิกไป เพราะได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะประสบความล้มเหลวในด้านดังกล่าว แต่กลุ่มสมาชิกก็ยังสามารถดำเนินการในการรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันต่อไปได้ ใน พ.ศ. 2535 มีการลงนามใช้แผนอัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นโครงร่างสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ในปี พ.ศ. 2540 ข้อเสนอของมาเลเซียถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า การริเริ่มเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มระหว่างกลุ่มสมาคมอาเซียนและประเทศในเอเชียอีกสามประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ นอกเหนือจากความร่วมมือช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกแล้ว อาเซียนยังมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มีการลงนามสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภทในภูมิภาค หลังจากปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่สอง () ในปี พ.ศ. 2546 กลุ่มประเทศอาเซียนได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่า ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีความเชื่อว่ากระบวนการตามหลักการประชาธิปไตยจะทำให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค นอกจากนั้น ประเทศอื่นที่มิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างก็เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ควรใฝ่หา ผู้นำของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาเธร์ โมฮัมหมัดแห่งมาเลเซีย ตระหนักถึงความจำเป็นในการรวมกลุ่มประเทศกันอย่างจริงจัง โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2540 อาเซียนได้เริ่มตั้งก่อตั้งองค์การหลายแห่งในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อาเซียนบวกสามเป็นองค์การแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามด้วยการประชุมเอเชียตะวันออก ซึ่งมีอีกสามประเทศที่เข้าร่วมด้วย คือ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กลุ่มดังกล่าวมีแผนการที่เป็นรากฐานของประชาคมเอเชียตะวันออกในอนาคต ซึ่งร่างขึ้นตามอย่างของประชาคมยุโรปซึ่งปัจจุบันสิ้นสภาพไปแล้ว หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิอาเซียนขึ้น เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบของนโยบายดังกล่าว รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการร่างกฎบัตรอาเซียนในอนาคต ในปี พ.ศ. 2549 กลุ่มอาเซียนได้รับสถานภาพผู้สังเกตการณ์สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งกลุ่มอาเซียนได้มอบสถานภาพ "หุ้นส่วนการอภิปราย" ให้แก่สหประชาชาติเป็นการตอบแทน นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 23 กรกฎาคมปีนั้นเอง ฌูแซ รามุช-ออร์ตา นายกรัฐมนตรีแห่งติมอร์-เลสเต ได้ลงนามในความต้องการในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียนอย่างเป็นทางการ และคาดหวังว่าการได้รับสถานภาพผู้สังเกตการณ์เป็นเวลาห้าปีก่อนที่จะได้รับสถานภาพเป็นประเทศสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนได้เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งกลุ่มอาเซียน และครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ภายในปี พ.ศ. 2556 ไปพร้อมกับการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน และยกระดับกลุ่มอาเซียนให้เป็นองค์การระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 นับเป็นเขตการค้าเสรีที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีมูลค่าจีดีพีคิดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มีการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ กับนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย มีการประเมินว่าความตกลงการค้าเสรีนี้จะเพิ่มจีดีพีใน 12 ประเทศขึ้นมากกว่า 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2543-2563 ต้นปี พ.ศ. 2554 ติมอร์-เลสเตวางแผนจะยื่นจดหมายขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนในอินโดนีเซีย เป็นประเทศสมาชิกลำดับที่สิบเอ็ดของอาเซียนระหว่างการประชุมสุดยอดในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียแสดงท่าทีต้อนรับติมอร์-เลสเตอย่างอบอุ่นภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ในปัจจุบัน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยประเทศสมาชิกจำนวน 10 ประเทศ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 560 ล้านคน (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2549) ยอดเขาที่สูงสุดในภูมิภาค คือ ยอดเขาคากาโบราซีในพม่า ซึ่งมีความสูง 5,881 เมตร และมีอาณาเขตติดต่อกับจีน อินเดีย บังกลาเทศ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 27-36 °C พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าฝนเขตร้อน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าสน ป่าหาดทรายชายทะเล ป่าไม้ปลูก มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง สับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และพริกไทยวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์. จากสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการสรุปแนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้จำนวนหกข้อ ดังนี้1. ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติสมาชิกทั้งหมด 2. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐมีสิทธิที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุกรานดินแดนและการบังคับขู่เข็ญ 3. จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐสมาชิกอื่น ๆ 4. ยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน หรือแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ 5. ประณามหรือไม่ยอมรับการคุกคามหรือการใช้กำลัง 6. ให้ความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพการเมืองประธานอาเซียน การเมือง. ประธานอาเซียน. กฎบัตรอาเซียน ข้อ 31 ระบุว่า ตำแหน่งประธานอาเซียนจะเวียนกันทุกปีตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษของชื่อรัฐสมาชิก รัฐสมาชิกที่เป็นประธานจะเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาประสานงานอาเซียน สภาประชาคมอาเซียนสามสภา องค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขาและข้าราชการอาวุโส และคณะกรรมาธิการผู้แทนถาวร ประเทศพม่าเป็นประธานในปี 2557สำนักเลขาธิการ สำนักเลขาธิการ. สำนักเลขาธิการอาเซียนก่อตั้งขึ้นโดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2519 ในตอนนั้นตั้งอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย สำนักเลขาธิการอาเซียนแห่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ 70A Jalan Sisingamangaraja กรุงจาการ์ตา ซึ่งซูฮาร์โต ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขณะนั้น ก่อตั้งในปี 2524 หน้าที่หลักของสำนักเลขาธิการอาเซียนคือเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานขององค์กรอาเซียน และให้การนำโครงการและกิจกรรมของอาเซียนไปปฏิบัติมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเลขาธิการ เลขาธิการ. เลขาธิการอาเซียนได้รับแต่งตั้งโดยการประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นระยะเวลาดำรงตำแหน่งห้าปี สมัยเดียว โดยเลือกมาจากผู้มีสัญชาติรัฐสมาชิกอาเซียนตามลำดับพยัญชนะภาษาอังกฤษ เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน คือ เล เลือง มิญ ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2556–2561ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมเศรษฐกิจ. กลุ่มอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในภูมิภาค อันประกอบด้วย "หลักสามประการ" ของความมั่นคง สังคมวัฒนธรรมและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ การรวมกลุ่มกันในภูมิภาคได้ทำให้การรวมตัวทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จในการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558 ประชาคมเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีประชากรรวมกัน 560 ล้านคน และมูลค่าการค้ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเขตการค้าเสรี เขตการค้าเสรี. รากฐานของการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเริ่มต้นมาจากเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งเป็นการลดอัตราภาษีศุลกากรเพื่อให้สินค้าภายในอาเซียนเกิดการหมุนเวียน เขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นข้อตกลงโดยสมาชิกกลุ่มอาเซียนซึ่งกังวลต่อผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นของตน ได้รับการลงนามในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 10 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย เวียดนาม (เข้าร่วมในปี 2538) ลาว พม่า (เข้าร่วมในปี 2540) และกัมพูชา (เข้าร่วมในปี 2542)เขตการลงทุนร่วม เขตการลงทุนร่วม. เขตการลงทุนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนภายในอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยหลักการดังต่อไปนี้:- เปิดให้อุตสาหกรรมทุกรูปแบบเกิดการลงทุนและลดขั้นตอนตามกำหนดการ - ทำสัญญากับผู้ลงทุนในกลุ่มอาเซียนที่เขามาลงทุนในทันที - กำจัดการกีดขวางทางการลงทุน - ปรับปรุงกระบวนการและระเบียบการลงทุนให้เกิดความคล่องตัว - สร้างความโปร่งใส - ดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกในการลงทุน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากเขตการลงทุนร่วมจะเป็นการกำจัดการกีดกันในกิจการเกษตรกรรม การประมง การป่าไม้และการทำเหมืองแร่ ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2553 สำหรับประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนเป็นส่วนใหญ่ และคาดว่าจะสำเร็จในปี พ.ศ. 2558 สำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนามการแลกเปลี่ยนบริการ การแลกเปลี่ยนบริการ. ข้อตกลงการวางกรอบเรื่องการแลกเปลี่ยนบริการเริ่มต้นขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพมหานครในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าว รัฐสมาชิกของกลุ่มอาเซียนจะสามารถประสบความสำเร็จในการเจรจาอย่างเสรีในด้านการแลกเปลี่ยนบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมากขึ้น ผลของการเจรจาการแลกเปลี่ยนบริการซึ่งได้เริ่มดำเนินการตามหมายกำหนดการเป็นรายเฉพาะจะถูกรวมเข้ากับกรอบข้อตกลง ซึ่งหมายกำหนดการดังกล่าวมักจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการ ในปัจจุบัน พบว่ามีกลุ่มการแลกเปลี่ยนบริการจำนวนเจ็ดกลุ่มภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าวตลาดการบินเดียว ตลาดการบินเดียว. แนวคิดเรื่องตลาดการบินเดียวเป็นความคิดเห็นที่เสนอโดยกลุ่มงานขนส่งทางอากาศอาเซียน ได้รับการสนับสนุนในการประชุมการขนส่งอย่างเป็นทางการของอาเซียน และได้รับการอนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคมของรัฐสมาชิก ซึ่งจะนำไปสู่การจัดระเบียบน่านฟ้าเปิดในภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2558 โดยตลาดการบินเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการคมนาคมทางอากาศระหว่างรัฐสมาชิกเป็นไปอย่างเสรี ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มอาเซียนจากการเติบโตของการเดินทางทางอากาศในปัจจุบัน และยังเป็นการเพิ่มการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนและการบริการให้กับรัฐสมาชิกทั้งหมด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ข้อจำกัดเสรีภาพทางอากาศที่สามและที่สี่ระหว่างเมืองหลวงของรัฐสมาชิกสำหรับบริการสายการบินจะถูกยกเลิก ในขณะที่หลังจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 จะมีเสรีภาพบริการการบินในภูมิภาค และภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 จะมีการเปิดเสรีเสรีภาพทางอากาศข้อที่ห้าระหว่างเมืองหลวงทั้งหมดข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน. อาเซียนได้เปิดการค้าเสรีกับประเทศภายนอกหลายประเทศ ทั้งจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และล่าสุด อินเดีย ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศจีนได้สร้างเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ในปัจจุบัน อาเซียนนั้นกำลังเจรจากับสหภาพยุโรปในการที่จะทำการค้าเสรีด้วยกัน ผลดีของข้อตกลงนั้น คือการเปิดโอกาสการค้าของอาเซียน ให้มีศักยภาพและขยายตัวมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนจากต่างชาติด้วย ไต้หวันยังแสดงความสนใจที่จะทำข้อตกลงกับอาเซียน แต่ได้รับการคัดค้านทางการทูตจากประเทศจีนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม. เมื่อก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ประเด็นปัญหาเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยกลุ่มประเทศสมาชิกได้เริ่มเจรจากันถึงข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง การลงนามในความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ในปี พ.ศ. 2545 ในความพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของมลภาวะฟ้าหลัวในเขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทว่าในพื้นที่ก็ยังเกิดปัญหาฟ้าหลัวในประเทศมาเลเซีย ในปี พ.ศ. 2548 และปัญหาฟ้าหลัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2549 ส่วนสนธิสัญญาฉบับอื่นที่ได้รับการลงนามโดยสมาชิกอาเซียนได้แก่ ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก เครือข่ายกำกับดูแลสัตว์ป่าอาเซียนในปี พ.ศ. 2549 และ หุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการพัฒนาความสะอาดและสภาพอากาศ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อปรากฏการณ์โลกร้อน และผลกระทบทางด้านลบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ใน พ.ศ. 2550 ปฏิญญาเซบูว่าด้วยความมั่นคงทางพลังงานเอเชียตะวันออก ซึ่งลงนามในกลุ่มอาเซียน ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยการหาพลังงานทางเลือกเพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ความร่วมมือทางวัฒนธรรม ความร่วมมือทางวัฒนธรรม. ความร่วมมือทางวัฒนธรรมนั้น มีจุดประสงค์เพื่อที่จะช่วยสร้างภาพรวมในด้านต่าง ๆให้ดีขึ้น โดยการให้การสนับสนุน ทั้งการกีฬา การศึกษา และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ความร่วมมือต่าง ๆ ดังนี้รางวัลซีไรต์ รางวัลซีไรต์. ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เพื่อมอบรางวัลแก่นักประพันธ์หรือนักเขียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้สร้างผลงานที่ดีมีชื่อเสียง ที่ประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตของนักเขียนนั้น ๆ ผลงานนั้นเป็นผลงานเขียนทุกประเภท ทั้งวรรณกรรมต่าง ๆ เรื่องสั้น กลอน รวมไปถึงผลงานทางศาสนา ซึ่งจะมีการจัดงานที่กรุงเทพมหานคร โดยมีเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ไทยเป็นผู้พระราชทานรางวัลสถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงแห่งอาเซียน สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงแห่งอาเซียน. เป็นองค์การเอกชนที่จัดตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2499 เพื่อที่จะพัฒนาระดับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ทั้งสถาบันการศึกษาระดับสูง การสอน การบริการสาธารณะที่ดีได้มาตรฐานที่สูงขึ้น โดยสอดคล้องไปกับวัฒนธรรมและพื้นที่นั้น ๆอุทยานมรดก อุทยานมรดก. ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 และเริ่มใหม่อีกรอบในปี พ.ศ. 2547 เป็นการรวมรายชื่อของอุทยานแห่งชาติทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมป่าไม้ ปัจจุบันมีรวมทั้งหมด 35 แห่งการประชุมการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุม. การประชุมสุดยอดอาเซียน. ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนได้จัดการประชุมขึ้น เรียกว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลแต่ละประเทศสมาชิกจะมาอภิปรายและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการประชุมร่วมกับประเทศนอกกลุ่มสมาชิกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2519 จากผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่สาม ณ กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2530 สรุปว่าผู้นำประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนควรจะจัดการประชุมขึ้นทุกห้าปี อย่างไรก็ตาม ผลของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งต่อมาที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี พ.ศ. 2535 ได้เสนอให้จัดการประชุมให้บ่อยขึ้น และได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดการประชุมสุดยอดขึ้นทุกสามปีแทน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2544 ผู้นำสมาชิกประเทศกลุ่มอาเซียนได้เสนอให้จัดการประชุมขึ้นทุกปีเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาด่วนที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ ประเทศสมาชิกจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดขึ้นเรียงตามตัวอักษร ยกเว้นประเทศพม่า ซึ่งถูกยกเลิกการเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 การประชุมอาเซียนอย่างเป็นทางการมีกำหนดการสามวัน ดังนี้- ผู้นำของรัฐสมาชิกจะจัดการประชุมภายใน - ผู้นำของรัฐสมาชิกจะหารือร่วมกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมกลุ่มอาเซียน - การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียนบวกสาม" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยจัดขึ้นพร้อมกับการประชุมสุดยอดอาเซียน - การประชุมที่เรียกว่า "อาเซียน-เซอร์" ผู้นำรัฐสมาชิกจะประชุมร่วมกับผู้นำออสเตรเลียและนิวซีแลนด์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก. การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเป็นการจัดการประชุมทั่วเอเชียซึ่งจัดขึ้นทุกปีโดยผู้นำเอเชียตะวันออก 16 ประเทศ หัวข้อการประชุมนั้นเกี่ยวกับการค้า พลังงานและความมั่นคง และการประชุมสุดยอดดังกล่าวยังมีบทบาทในการสร้างประชาคมภูมิภาค ประเทศผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ชาติอาเซียน 10 ประเทศร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีประชากรรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 รัสเซียและสหรัฐอมริกาได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดใน พ.ศ. 2554 การประชุมสุดยอดครั้งแรกจัดขึ้นในกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และการประชุมครั้งต่อ ๆ มาถูกจัดขึ้นหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนประจำปีการประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี. การประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นการประชุมระหว่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างชาติอาเซียน ถูกจัดตั้งขึ้นเนื่องในวาระครบรอบการก่อตั้งความสัมพันธ์ทางการทูต ประเทศนอกกลุ่มอาเซียนจะเป็นผู้เชิญชวนผู้นำชาติอาเซียนเพื่อประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรีและความร่วมมือในอนาคตที่ประชุมกลุ่มอาเซียน ที่ประชุมกลุ่มอาเซียน. ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนเป็นการประชุมหลายฝ่ายอย่างเป็นทางการในภาคพื้นแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ประชุมดังกล่าวประกอบด้วย ประเทศสมาชิก 27 ประเทศ; ออสเตรเลีย บังกลาเทศ แคนาดา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี รัสเซีย ติมอร์-เลสเต สหรัฐอเมริกา และศรีลังกา จุดประสงค์ของที่ประชุมเพื่อการปรึกษาหารือ นำเสนอความไว้วางใจและธำรงความสัมพันธ์ทางการทูตในกลุ่มสมาชิก ที่ประชุมกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมครั้งแรกในปี 2537การประชุมอื่น การประชุมอื่น. นอกเหนือจากการประชุมที่กล่าวมาข้างต้น อาเซียนยังได้มีการจัดการประชุมอื่นขึ้นอีก ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนประจำปี รวมไปถึงคณะกรรมการย่อย อย่างเช่น ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมดังกล่าวมักจะมีหัวข้อการประชุมที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่น ความมั่นคงระหว่างประเทศ สิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมประชุมจะเป็นรัฐมนตรีแทนที่จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลทั้งหมดการประชุมอาเซียนบวกสาม การประชุมอาเซียนบวกสาม. ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลักดันให้จัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เกาหลีใต้ก็ได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออก ด้วยการผนึกสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เข้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนที่เรียกชื่อว่า "อาเซียนบวกสาม" (APT) แต่สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินหน้าจัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน โดยกีดกันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยความจงใจ แม้ว่าตามข้อตกลงในการจัดซื้อเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน จะมีแผนที่จะผนวกเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้ามาในภายหลังเพื่อเป็นอาเซียนบวกสาม แต่มิได้กำหนดเงื่อนเวลาอันแน่นอน อันทำให้เขตการค้าเสรีอาเซียนบวกสามการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป. การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปเป็นกระบวนการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ มีขึ้นครั้งแรกในปี 2538 เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกของสหภาพยุโรปและอาเซียน โดยกลุ่มอาเซียนจะส่งเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมร่วมกับผู้แทนอีก 45 คน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะผู้บริหารของมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือกันทางด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างเอเชียกับยุโรปการประชุมอาเซียน-รัสเซีย การประชุมอาเซียน-รัสเซีย. เป็นการประชุมประจำปีระหว่างผู้นำของประเทศกลุ่มอาเซียนร่วมกับประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซียการประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน. การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน () เป็นกิจกรรมทางทหารของประเทศสมาชิกอาเซียน เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2544 โดยกองทัพเรือไทยเป็นเจ้าภาพ ใช้ชื่อว่า ASEAN Navy Interaction (ANI) หลังการประชุมครั้งที่ 3 ได้เว้นช่วงไประยะหนึ่ง จึงดำเนินการจัดการประชุมต่อในครั้งที่ 4 ที่อินโดนีเซีย และในการประชุมครั้งที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อการประชุมเป็น ASEAN Navy Chiefs' Meetingหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบันของประเทศสมาชิก
ภาษาทางการของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนคือภาษาใด
{ "answer": [ "อังกฤษ" ], "answer_begin_position": [ 603 ], "answer_end_position": [ 609 ] }
2,195
3,897
ทวีปเอเชีย เอเชีย (; อาเซีย) เป็นทวีปใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลก พื้นที่ส่วนมากตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและตะวันออก ทวีปเอเชียตั้งอยู่ในทวีปยูเรเชียรวมกับทวีปยุโรป และอยู่ในทวีปแอฟโฟร-ยูเรเชียร่วมกับยุโรปและแอฟริกา ทวีปเอเชียมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 44,579,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 30% ของแผ่นดินทั่วโลกหรือคิดเป็น 8.7% ของผิวโลกทั้งหมด ทวีปเอเชียเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มานานและเป็นแหล่งกำเนินอารยธรรมแรก ๆ ของโลกหลายแห่ง เอเชียไม่ได้เพียงแค่มีขนานใหญ่และมีประชากรเยอะแต่ยังมีสถานที่ ๆ ตั้งถิ่นฐานหนาแน่นและมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับที่ยังมีบริเวณที่ประชากรตั้งถิ่นฐานเบาบางด้วย ทั้งนี้ทวีปเอเชียมีประชากรราว 4.5 พันล้านคน คิดเป็น 60% ของประชากรโลก โดยทั้วไปทางตะวันออกของทวีปติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทางใต้ติดมหาสมุทรอินเดียและทางเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก บริเวณชายแดนระหว่างเอเชียและยุโรปมีประวัติศาสตร์และโครงสร้างวัฒนธรรมมากมายเพราะไม่มีการแยกกันด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน จึงมีการโยกย้ายติดต่อกันในช่วงสมัยคลาสสิก ทำให้บริเวณนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ภาษา ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของตะวันออกกับตะวันตกและแบ่งจากกันอย่างเด่นชัดกว่าการขีดเส้นแบ่ง เขตแดนที่เด่นชัดของเอเชียคือตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของคลองสุเอซ, แม่น้ำยูรัล, เทือกเขายูรัล, ช่องแคบตุรกี, ทางใต้ของเทือกเขาคอเคซัส, ทะเลดำและทะเลแคสเปียน จีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 1 ถึง 1800 จีนเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญและดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้ไปทางตะวันออก และตำนาน ความมั่งคั่งและความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมโบราณของอินเดียกลายเป็นสัญลักษณ์ของเอเชีย สิ่งเหล่านี้จึงดึงดูดการค้า การสำรวจและการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป การค้นพบเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยบังเอิญจากยุโรปไปอเมริกาของโคลัมบัสในขณะที่กำลังค้นหาเส้นทางไปยังอินเดียแสดงให้เห็นความดึงดูดใจเหล่านี้ เส้นทางสายไหมกลายเป็นเส้นทางการค้าหลักของฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกในขณะที่ช่องแคบมะละกากลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ ช่วงศตวรรษที่ 20 ความแข็งแรงของประชากรเอเชียและเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก) เติบโตเป็นอย่างมากแต่การเติบโตของประชากรโดยรวมลดลงเรื่อย ๆ เอเชียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาหลักบนโลกหลายศาสนา อาทิศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม, ศาสนายูดาห์, ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธ, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ศาสนาเชน, ศาสนาซิกข์, ศาสนาโซโรอัสเตอร์และศาสนาอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องเอเชียจากมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายทางแนวคิด ภูมินามวิทยาของเอเชียมีตั้งแต่สมัยคลาสสิกซึ่งคาดว่าน่าจะตั้งตามลักษณะผู้คนมากกว่าลักษณะทางกายภาพ เอเชียมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งด้านภูมิภาค กลุ่มชาติพันธุ์ วัฒนธรรม, สภาพแวดล้อม, เศรษฐศาสตร์, ประวัติศาสตร์และระบบรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมากเช่น พื้นเขตร้อนหรือทะเลทรายในตะวันออกกลาง, ภูมิอากาศแบบอบอุ่นทางตะวันออก ภูมิอากาศแบบกึ่งอารกติกทางตอนกลางของทวีปและภูมิอากาศแบบขั่วโลกในไซบีเรียศัพท์มูล ศัพท์มูล. เดิมที คำว่า "เอเชีย" นั้นเกิดจากแนวความคิดต้องการสร้างอารยธรรมแบบตะวันตก คำว่า "เอเชีย" ในฐานะที่เป็นชื่อสถานที่นั้น แม้ปรากฏในภาษาปัจจุบันหลายภาษาหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาดั้งเดิมแน่ชัด ทั้งไม่ปรากฏด้วยว่าเป็นหรือมาจากภาษา,ละตินแปลว่าดินแดนที่แตกต่างสุดแต่เท่าที่ทราบ "เอเชีย" เป็นชื่อที่เก่าแก่มากที่สุดชื่อหนึ่งซึ่งได้รับการบันทึกเอาไว้ และมีผู้เสนอแนวคิดมากมายเกี่ยวกับศัพทมูลของคำนี้ยุคโบราณสมัยคลาสสิก ยุคโบราณสมัยคลาสสิก. คำ "Asia" ในภาษาละติน และคำ "Ἀσία" ในภาษากรีกนั้นปรากฏว่าเป็นคำเดียวกัน นักประพันธ์ชาวโรมันแปลคำว่า "Ἀσία" เป็น "Asia" และชาวโรมันเองตั้งชื่อท้องที่แห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันอยู่ในทวีปเอเชียนี้ว่า "Asia" อนึ่ง ครั้งนั้นยังมีดินแดนที่เรียก "เอเชียน้อย" (Asia Minor) และ "เอเชียใหญ่" (Asia Major คืออิรักในปัจจุบัน) ด้วย เนื่องจากหลักฐานแรกสุดเกี่ยวกับชื่อ "เอเชีย" นี้เป็นหลักฐานภาษากรีก เมื่อว่ากันตามพฤติการณ์แล้ว จึงเป็นไปได้ว่า คำ "เอเชีย" มาจากคำ "Ἀσία" ในภาษากรีก แต่ที่มาที่ไปเกี่ยวกับการรับหรือถ่ายทอดคำนั้นยังค้นไม่พบ เพราะยังขาดบริบททางภาษา เฮรอโดตัส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ชาวกรีก เป็นบุคคลแรกที่ใช้คำ "เอเชีย" เรียกทวีป ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาประดิษฐ์คำนี้ขึ้น แต่เพราะข้อเขียนเรื่อง ฮิสตอรีส์ (Histories) ของเขาเป็นงานชิ้นเดียวที่บรรยายทวีปเอเชียไว้โดยละเอียดและเหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบัน เฮรอโดตัสนิยามคำว่า "เอเชีย" เอาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความ เขากล่าว่า เขาได้อ่านผลงานของนักภูมิศาสตร์หลายคนซึ่งปัจจุบันสาบสูญไปทั้งสิ้นแล้ว พบว่า ชาวกรีกส่วนใหญ่ถือกันว่า ชื่อทวีปเอเชียนั้นมาจากชื่อของนางฮีไซโอนี (Hesione) ภริยาของพรอมีเธียส (Prometheus) ขณะที่ชาวลิเดียถือว่า ชื่อทวีปเอเชียมาจากชื่อเจ้าชายเอเซียส (Asies) โอรสแห่งโคติส (Cotys) และนัดดาของพระเจ้าเมนีส (Manes) เฮรอโดตัสแสดงความเห็นแย้งว่า ชื่อ "เอเชีย" มาจากชื่อของพรายนางหนึ่งซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองลิเดียตามความในเทพปกรณัมกรีก และแสดงความสงสัยไว้ว่า เหตุใดจึงเอานามสตรีสามนาง "ไปตั้งเป็นนามภูมิภาคซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" กล่าวคือ ชื่อนางยูโรปา (Europa) สำหรับยุโรป นางเอเชียสำหรับเอเชีย และนางลิเบีย (Libya) สำหรับแอฟริกา ความสงสัยข้างต้นของเฮรอโดตัสอาจเป็นเพียงการแสดงความไม่เห็นด้วยหลังจากที่ได้อ่านวรรณกรรมกรีกหลายต่อหลายฉบับและได้สดับตรับฟังถ้อยคำของคนอื่น ๆ แต่มิได้หมายความว่า เขาไม่ทราบเหตุผลที่เอาชื่อสตรีเพศไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ เพราะตามศาสนากรีกโบราณแล้ว สถานที่ทั้งปวงมีเทพารักษ์เป็นสตรี และสถานที่อื่น ๆ หลายแห่งในครั้งนั้นก็เอาชื่อสตรีมาตั้ง เช่น เอเธนส์ (Athens), ไมซีนี (Mycenae) และธีบส์ (Thebes)ยุคสำริด ยุคสำริด. ก่อนสมัยวรรณกรรมของกรีกข้างต้น ท้องที่แถบทะเลอีเจียนนั้นตกอยู่ในยุคมืด โดยในครั้งที่เริ่มยุคมืดนี้ ผู้คนได้เลิกเขียนหนังสือเป็นพยางค์ แต่ก็ยังมิได้เริ่มใช้ตัวอักษร และนับขึ้นไปก่อนสมัยนั้นอีกซึ่งเป็นยุคสัมฤทธิ์ ปรากฏบันทึกหลายฉบับของจักรวรรดิอัสซีเรีย จักวรรดิฮิตไทต์ และรัฐไมซีเนียหลาย ๆ รัฐแห่งจักรวรรดิกรีก ที่เอ่ยถึงภูมิภาคซึ่งได้แก่เอเชียในปัจจุบัน บันทึกเหล่านี้เป็นเอกสารทางการเมืองการปกครอง ไม่มีเนื้อหาเชิงวรรณกรรมแม้แต่น้อย บรรดารัฐไมซีเนียนั้นถูกกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งทำลายจนล่มจมไปทั้งสิ้นเมื่อราว ๆ 1200 ปีก่อนคริสตกาล กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ใดแท้จริงยังไม่ทราบ แต่ก็มีสำนักทางความคิดสำนักหนึ่งถือสืบ ๆ กันมาจนบัดนี้ว่า เป็นการรุกรานของชาวดอริส (Dorian invasion) การที่หมู่พระราชวังถูกเพลิงเผาพลาญนั้นส่งผลให้เหล่าบันทึกทางการเมืองการปกครองข้างต้นซึ่งจารด้วยอักษรกรีกลงบนแผ่นดินเหนียวถูกอบเป็นแผ่นแข็ง แผ่นจารึกเหล่านี้ต่อมาได้รับการถอดรหัสโดยคณะผู้สนใจคณะหนึ่ง ซึ่งรวมถึงนักวิทยาการเข้ารหัสลับผู้เยาว์รายหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คือ ไมเคิล เวนทริส (Michael Ventris) ผู้ซึ่งต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากนักวิชาการจอห์น ชัดวิก (John Chadwick) ในการบุกเบิกท้องที่แถบนี้ นักโบราณคดีคาร์ล เบลเกน (Carl Blegen) ได้พบกรุสมบัติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ณ ซากเมืองพีลอส (Pylos) ในกรุนี้มีบัญชีรายชื่อบุคคลหญิงชายจำนวนมากซึ่งทำขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ หลายประการ หญิงชายจำนวนหนึ่งในกลุ่มที่ปรากฏนามในบัญชีข้างต้นถูกเอาตัวลงเป็นทาส และถูกใช้งานในการค้าขาย เช่น ให้เย็บปักถักร้อย โดยในเวลาที่ถูกเกณฑ์มา ลูกเล็กเด็กแดงของพวกเขามักถูกนำพามาด้วย คนทั้งนั้นถูกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบช้าเพื่อใช้บ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดของพวกเขา เช่น มีการใช้ว่า "aswiai" แปลว่า นางคนเอเชีย (women of Asia) ข้อนี้ เบื้องต้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาถูกจับถูกคร่ามาจากเอเชีย แต่เมื่อปรากฏว่า บางคนถูกพามาจากแห่งอื่นก็มี เช่น กลุ่มที่เรียก "ไมลาเทีย" (Milatiai) นั้นมาจากอาณานิคมไมเลทัส (Miletus) ของกรีก ชัดวิกจึงตั้งสมมุติฐานว่า บัญชีรายชื่อข้างต้นระบุถึงสถานที่ที่คนเหล่านี้ถูกซื้อขาย มากกว่าจะเป็นสถานที่ที่ได้ตัวมา คำว่า "aswiai" เป็นอิตถีลึงค์ซึ่งเป็นพหูพจน์ ส่วนอิตถีลึงค์เอกพจน์คือ "aswia" ซึ่งใช้เป็นทั้งชื่อประเทศประเทศหนึ่งและเป็นคำเรียกสตรีของประเทศนี้ด้วย และปุรุสลึงค์คือ "aswios" ในการนี้ ปรากฏว่า ประเทศ Aswia คือ สันนิบาตอัสสุวา (Assuwa league) ซึ่งเป็นสหพันธรัฐตั้งอยู่ตอนกลางของจักรวรรดิลิเดีย หรือทางตะวันตกของบริเวณแอนาโทเลีย (Anatolia) หรือที่เรียกกันว่า "เอเชียโรมัน" (Roman Asia, คือ ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) และถูกชาวฮิตไทต์ในรัชสมัยพระเจ้าทุดฮาลิยาที่ 1 (Tudhaliya I) ยึดครองเมื่อราว ๆ 1400 ปีก่อนคริสกาล จึงมีผู้เสนอว่า ชื่อทวีปเอเชียอาจมาจากชื่อสันนิบาตดังกล่าวก็เป็นได้ ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับที่มาที่ไปของคำว่า "เอเชีย" ว่า คำนี้อาจมาจากคำในภาษาแอกแคด (Akkadian) ว่า "" มีความหมายว่า ออกไป (go outside) หรือ ขึ้น (ascend) สื่อว่า เป็นทิศทางที่ดวงตะวันขึ้นสู่ฟากฟ้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่า คำดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับคำในภาษาฟีนิเชีย (Phoenician) ว่า "asa" ซึ่งหมายถึง ตะวันออก ตรงกันข้ามกับชื่อทวีปยุโรปซึ่งตั้งสมมุติฐานกันว่า มาจากคำในภาษาแอกแคดว่า "erēbu (m)" ซึ่งหมายความว่า เข้าไป (enter) หรือ ลง (set) สื่อถึงอาการที่ตะวันตก ที.อาร์. เรด นักประพันธ์ชาวอเมริกัน สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ เขากล่าวว่า คำ "เอเชีย" ในภาษากรีกนั้นต้องมาจากคำ "asus" ในภาษาอัสซีเรียที่หมายความว่า ตะวันออก เป็นแน่ ตรงกันข้ามกับคำ "ยุโรป" ที่มาจากคำ "ereb" ในภาษาเดียวกัน หมายถึง ตะวันตก ส่วนนักภาษาศาสตร์ดักลัส ฮาร์เปอร์ (Douglas Harper) บันทึกว่า "เอเชีย" มาจากภาษาละตินซึ่งมาจากภาษากรีก ว่ากันว่ามาจากคำ asu ในภาษาแอกแคด แปลว่า 'ออกไป, ขึ้น' ซึ่งสื่อถึงดวงตะวัน ฉะนั้น เอเชียแปลว่า 'แดนอาทิตย์อุทัย' (the land of the sunrise)"ภูมิศาสตร์เอเชียที่สุดในทวีปเอเชีย ที่สุดในทวีปเอเชีย. * เป็นข้อมูลที่สุดในโลกด้วยการแบ่งภูมิภาค การแบ่งภูมิภาค. ทวีปเอเชียนอกจากจะเป็นอนุภูมิภาคของยูเรเชีย ยังอาจแบ่งออกเป็นส่วนย่อยดังนี้เอเชียเหนือ เอเชียเหนือ. นักภูมิศาสตร์ใช้คำนี้น้อยมาก แต่โดยปกติหมายถึงรัสเซีย เรียกอีกอย่างว่าไซบีเรีย บางครั้งรวมถึงประเทศทางตอนเหนือของเอเชียด้วย เช่น คาซัคสถานเอเชียกลาง เอเชียกลาง. เอเชียกลาง เป็นภูมิภาคที่เกิดขึ้นใหม่จากประเทศต่าง ๆ ที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต (เฉพาะที่มีเขตแดนอยูในทวีปเอเชีย) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 4,021,431 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 61,551,945 คน (กุมภาพันธ์ 2553) เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ของภูมิภาค เอเชียกลางจึงเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอย่างเบาบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (เฉลี่ยทั้งภูมิภาค 15 คนต่อตารางกิโลเมตร) และเหตุที่ประเทศภูมิภาคเอเชียกลางไม่มีทางออกสู่ทะเล การส่งออกและการค้าของเอเชียกลางจึงพัฒนาอย่างช้า ๆ โดยประเทศส่งออกหลักของกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ได้แก่ รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียกลางเป็นแบบที่ราบสูง แต่จะมีที่ราบลุ่มบริเวณทะเลแคสเปียน ด้านศาสนา ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียกลางนับถือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออก. เอเชียตะวันออก หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ11,640,000 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 15 และ 20 ของพื้นที่ทั้งหมดของทวีปเอเชีย นับเป็นภูมิภาคย่อยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ประเทศจีน มีพื้นที่ประมาณ 9,584,492 ตารางกิโลเมตร เอเชียตะวันออกมีประชากรมากกว่า 1,500 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของของชาวเอเชียทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อัตราความหนาแน่นของประชากรในเอเชียตะวันออกอยู่ที่ 230 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของประชากรโลกถึง 5 เท่า ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ ประเทศจีน มีประชากรประมาณ 1,322,044,605 หรือร้อยละ 85 ของประชากรในภูมิภาค ส่วนประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ ไต้หวัน ความหนาแน่นเฉลี่ย 626.7 คนต่อตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ เอเชียตะวันออกยังเป็นภูมิภาคที่ได้ชื่อว่าเจริญที่สุดในทวีปเอเชีย เพราะเป็นภูมิภาคเดียวที่การทำอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน ส่วนประเทศมองโกเลียและเกาหลีเหนือ อุตสาหกรรมยังไม่ค่อยพัฒนานัก เมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเอเชียตะวันออก ได้แก่ โตเกียว ฮิโระชิมะ นะงะซะกิ โซล ปูซาน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ไทเป อินช็อน เทียนสิน ฮ่องกง เป็นต้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ เอเชียอาคเนย์ มีพื้นที่ประมาณ4,600,000 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 593,000,000คน (2008) ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 116.5 คนต่อตารางกิโลเมตร มีที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ประกอบด้วยประเทศ 11 ประเทศ ลักษณะทำเลที่ตั้งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนภาคพื้นทวีปและภาคพื้นสมุทร ส่วนภาคพื้นทวีป ได้แก่ พม่า ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และมาเลเซียตะวันตก และภาคพื้นสมุทร ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซียตะวันออก ติมอร์-เลสเต บรูไน และสิงคโปร์ ลักษณะภูมิประเทศแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำ (ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี ที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) ที่ราบสูง (ที่ราบสูงในรัฐฉาน เทือกเขาอาระกันโยมา พื้นที่ส่วนใหญ่ของลาว ตอนเหนือของมาเลเซียตะวันตก) และ เขตหมู่เกาะ (หมู่เกาะอินโดนีเซีย หมู่เกาะฟิลิปปินส์ เกาะสิงคโปร์) โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นแบบเกษตรกรรม ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไนซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันทุกประเทศก็พัฒนาอุตสาหกรรมจนมีความก้าวหน้าไปมาก เช่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเมืองใหญ่ที่สำคัญหลายเมือง เช่น จาการ์ตา (เมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาค) กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา โฮจิมินห์ซิตี ฮานอย ปูตราจายา กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ บันดาร์เซอรีเบอกาวัน ภูเก็ต เป็นต้นเอเชียใต้ เอเชียใต้. เอเชียใต้ หรือ ชมพูทวีป หรือ อนุทวีป เป็นทวีปที่อยู่ทางใต้ของทวีปเอเชีย เป็นต้นกำเนิดพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เอเชียใต้มีพื้นที่ประมาณ 5,180,000 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 10 ของทวีปเอเชีย ภูมิภาคนี้ยังเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก มีจำนวนประชากรกว่า 1 พันล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งคิดเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนเท่ากับ 1 ใน 3 ของชาวเอเชียทั้งหมด หรือ 1 ใน 5 ของประชากรโลก อัตราความหนาแน่นของประชากรเท่ากับ 305 คนต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของประชากรโลกถึง 7 เท่า ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ ประเทศอินเดีย (1,198,003,000 คน) ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง (เช่นที่ราบสูงเดกกันในประเทศอินเดีย) และยังมีที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา (ในประเทศอินเดีย) ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ (ในประเทศปากีสถาน) และที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร (ในประเทศบังกลาเทศ) ทางตอนเหนือของเอเชียใต้ติดกับที่ราบสูงทิเบตและเทือกเขาหิมาลัย ทำให้มีอากาศหนาวเย็น ด้านเศรษฐกิจ ทุกประเทศยังมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรมยังไม่พัฒนามากนัก มีเพียงอินเดียชาติเดียวที่พัฒนาอุตสาหกรรมได้เจริญรุ่งเรือง เพราะได้รับการช่วยเหลือจากประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของเอเชีย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน นอกจากนี้ ภาษาที่ใช้ในเอเชียใต้มีมากถึง 800 ภาษา แต่ภาษากลางจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียใต้ คือ มุมไบ ซึ่งเป็นเมืองท่าทางตะวันตกของประเทศอินเดียเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้. เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ตะวันออกกลาง หรือ เอเชียตะวันตก มีพื้นที่ประมาณ 6,835,434 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยทะเลทรายแห้งแล้งกว้างใหญ่ ในภูมิภาคนี้ยังมีแม่น้ำสายสำคัญที่เป็นแหล่งอารยธรรมโลก คือ แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสในประเทศอิรัก เป็นบริเวณที่มีการทำการเกษตรได้ดีที่สุด ด้วยลักษณะทางกายภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ดินแดนแถบนี้จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศในแถบนี้ อย่างไรก็ตาม เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ยังให้กำเนิดศาสนาที่สำคัญ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ถึงแม้ว่าดินแดนแถบนี้จะแห้งแล้ง แต่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับทวีปแอฟริกาทางด้านตะวันตก และทวีปยุโรปทางตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ มีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง (เช่น ที่ราบสูงอิหร่านและที่ราบสูงอานาโตเลีย) นอกจากนี้ ยังมีบริเวณที่เป็นคาบสมุทรที่สำคัญ คือ คาบสมุทรอาหรับ ลักษณะทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ คือ อุตสาหกรรมน้ำมัน (โดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก) ประเทศที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมมากที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ ตุรกี ตุรกี ไซปรัส อาร์มีเนีย จอร์เจีย อิสราเอล ปาเลสไตน์ และอาเซอร์ไบจาน อาจถูกจัดให้อยู่ในทวีปยุโรปในบางครั้ง เนื่องจากมีลักษณะทางวัฒนธรรมจากทวีปยุโรปมากกว่าทวีปเอเชียประชากร ประชากร. ประชากรของเอเชียมีประชากรร้อยละ 60 ของประชากรโลก ทวีปเอเชียประกอบด้วยหลายเผ่าพันธุ์ จำแนกตามเชื้อชาติได้ดังนี้- เผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ แบ่งได้เป็น 2 พวก- พวกมองโกลอยด์เหนือ เป็นพวกผิวเหลืองและเป็นประชากรส่วนมากของทวีปเอเชีย อาศัยตามทางเอเชียเหนือและทางเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น มองโกเลีย เกาหลี เป็นต้น - พวกมองโกลอยด์ใต้ เป็นพวกผิวเหลืองอาศัยอยู่ตามทางตอนเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น - เผ่าพันธุ์คอเคซอยด์ เป็นพวกผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวทวีปยุโรป แต่ตาและผมสีเข้มกว่า อาศัยอยู่ในเขตเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และทางภาคเหนือของปากีสถานและอินเดีย เช่น ชนชาติอาหรับ ปากีสถาน เนปาล และบางส่วนของชาวอินเดีย - เผ่าพันธุ์นิกรอยด์ เป็นพวกผิวดำ มีรูปร่างเล็ก ผมหยิก เช่น บางส่วนของอินเดีย ศรีลังกา และหมู่เกาะต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เศรษฐกิจเศรษฐกิจ. - ตารางแสดงประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจหรือจีดีพีมากที่สุดในทวีปเอเชีย 10 อันดับแรก- ข้อมูลโดย IMF- ตารางแสดงประเทศในทวีปเอเชียที่มีจีดีพีต่อหัวมากที่สุด 10 อันดับแรก- ข้อมูลโดย IMFเอเชียกลางเอเชียกลาง. - เกษตรกรรม:- อุตสาหกรรม:- พาณิชยกรรม:- คู่ค้าสำคัญ:เอเชียตะวันออกเอเชียตะวันออก. - เกษตรกรรม - อุตสาหกรรม- อุตสาหกรรมในญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก มีการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย มีการผลิตทั้งอุตสาหกรรมขนาดหนักและอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การต่อเรือ การผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและเหล็กกล้า คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เมืองอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ได้แก่ โตเกียว ฮิโระชิมะ โอะซะกะ นะโงะยะ นะงะซะกิ โยะโกะฮะมะ เป็นต้น- อุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ ประเทศเกาหลีใต้ มีการพัฒนาอุตสาหกรรมรวดเร็วมากจนกลายเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย (รองจากญี่ปุ่น) อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ได้แก่ การต่อเรือ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เมืองอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนกลางและตอนล่างของประเทศ เช่น โซล ปูซาน- อุตสาหกรรมในจีน ประเทศจีน สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมได้รวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากวัตถุดิบมีมาก ค่าจ้างแรงงานต่ำ และนโยบายของรัฐบาลที่เชิญญชวนชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุน อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อาวุธสงคราม การทอผ้า รถบรรทุก ฯลฯ เมืองอุตสาหกรรมของประเทศจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เทียนสิน ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เป็นต้น- อุตสาหกรรมในไต้หวัน อุตสาหกรรมของไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบาและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ของเล่นเด็ก เมืองหลักของอุตสาหกรรมไต้หวัน คือ ไทเป- พาณิชยกรรม- การประมง - การประมงน้ำจืด: ประเทศจีนเป็นผู้นำในการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด โดยมีแหล่งประมงที่สำคัญอยู่ที่แม่น้ำแยงซีและมณฑลกวางตุ้ง- การประมงน้ำเค็ม: ประเทศญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีการทำประมงทางทะเลมากที่สุดในโลก มีเรือประมงที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีก้าวหน้า แหล่งสำคัญอยู่ที่ คูริลแบงก์ ทางเหนือของเกาะฮกไกโด- การทำป่าไม้: - การทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศจีน: มีการทำป่าไม้ในภาคเหนือของประเทศ แถบมณฑลเฮย์หลงเจียงและมณฑลเสฉวน- การทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศญี่ปุ่น: เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกที่มีการพัฒนาการทำป่าไม้ไปมากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. - เกษตรกรรม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด - การเพาะปลูกเพื่อยังชีพ: เป็นการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม อาศัยฝนตามธรรมชาติ ใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีมาช่วยไม่มากนัก เช่น การเพาะปลูกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ติมอร์-เลสเต เป็นต้น- การเพาะปลูกเพื่อการค้า: เป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและเป็นสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลก ซึ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรกรรมได้มาก โดยเฉพาะข้าว ประเทศที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น- การทำเหมืองแร่::แร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่ ดีบุก น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ โดยประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่ส่งออกดีบุกมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมากที่สุดในโลก และน้ำมันก็เป็นสินค้าส่งออกของหลาย ๆ ประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังพบก๊าซธรรมชาติมากในอ่าวไทยในประเทศไทยและอ่าวเมาะตะมะในประเทศพม่า- อุตสาหกรรม:- พาณิชยกรรม: เมืองที่เป็นศูนย์กลางของพาณิชยกรรมของภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพมหานคร และจาการ์ตา เป็นต้น- การประมง: ในปัจจุบัน ทุกประเทศได้ขยายน่านน้ำเศรษฐกิจจำเพาะจาก 12 ไมล์ทะเล เป็น 200 ไมล์ทะเล ทำให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น แต่การจับสัตว์น้ำในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เสียสมดุลทางธรรมชาติ ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่จับปลาได้มากเป็นอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมา คือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ตามลำดับ- การทำป่าไม้เอเชียตะวันตกเฉียงใต้เอเชียตะวันตกเฉียงใต้. - เกษตรกรรม: - อุตสาหกรรม: - พาณิชยกรรม: - การประมง: - คู่ค้าสำคัญ:
ทวีปใดมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
{ "answer": [ "เอเชีย" ], "answer_begin_position": [ 92 ], "answer_end_position": [ 98 ] }
2,196
3,897
ทวีปเอเชีย เอเชีย (; อาเซีย) เป็นทวีปใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลก พื้นที่ส่วนมากตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและตะวันออก ทวีปเอเชียตั้งอยู่ในทวีปยูเรเชียรวมกับทวีปยุโรป และอยู่ในทวีปแอฟโฟร-ยูเรเชียร่วมกับยุโรปและแอฟริกา ทวีปเอเชียมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 44,579,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 30% ของแผ่นดินทั่วโลกหรือคิดเป็น 8.7% ของผิวโลกทั้งหมด ทวีปเอเชียเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มานานและเป็นแหล่งกำเนินอารยธรรมแรก ๆ ของโลกหลายแห่ง เอเชียไม่ได้เพียงแค่มีขนานใหญ่และมีประชากรเยอะแต่ยังมีสถานที่ ๆ ตั้งถิ่นฐานหนาแน่นและมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับที่ยังมีบริเวณที่ประชากรตั้งถิ่นฐานเบาบางด้วย ทั้งนี้ทวีปเอเชียมีประชากรราว 4.5 พันล้านคน คิดเป็น 60% ของประชากรโลก โดยทั้วไปทางตะวันออกของทวีปติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทางใต้ติดมหาสมุทรอินเดียและทางเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก บริเวณชายแดนระหว่างเอเชียและยุโรปมีประวัติศาสตร์และโครงสร้างวัฒนธรรมมากมายเพราะไม่มีการแยกกันด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน จึงมีการโยกย้ายติดต่อกันในช่วงสมัยคลาสสิก ทำให้บริเวณนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ภาษา ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของตะวันออกกับตะวันตกและแบ่งจากกันอย่างเด่นชัดกว่าการขีดเส้นแบ่ง เขตแดนที่เด่นชัดของเอเชียคือตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของคลองสุเอซ, แม่น้ำยูรัล, เทือกเขายูรัล, ช่องแคบตุรกี, ทางใต้ของเทือกเขาคอเคซัส, ทะเลดำและทะเลแคสเปียน จีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 1 ถึง 1800 จีนเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญและดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้ไปทางตะวันออก และตำนาน ความมั่งคั่งและความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมโบราณของอินเดียกลายเป็นสัญลักษณ์ของเอเชีย สิ่งเหล่านี้จึงดึงดูดการค้า การสำรวจและการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป การค้นพบเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยบังเอิญจากยุโรปไปอเมริกาของโคลัมบัสในขณะที่กำลังค้นหาเส้นทางไปยังอินเดียแสดงให้เห็นความดึงดูดใจเหล่านี้ เส้นทางสายไหมกลายเป็นเส้นทางการค้าหลักของฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกในขณะที่ช่องแคบมะละกากลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ ช่วงศตวรรษที่ 20 ความแข็งแรงของประชากรเอเชียและเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก) เติบโตเป็นอย่างมากแต่การเติบโตของประชากรโดยรวมลดลงเรื่อย ๆ เอเชียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาหลักบนโลกหลายศาสนา อาทิศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม, ศาสนายูดาห์, ศาสนาฮินดู, ศาสนาพุทธ, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ศาสนาเชน, ศาสนาซิกข์, ศาสนาโซโรอัสเตอร์และศาสนาอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องเอเชียจากมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายทางแนวคิด ภูมินามวิทยาของเอเชียมีตั้งแต่สมัยคลาสสิกซึ่งคาดว่าน่าจะตั้งตามลักษณะผู้คนมากกว่าลักษณะทางกายภาพ เอเชียมีความแตกต่างกันอย่างมากทั้งด้านภูมิภาค กลุ่มชาติพันธุ์ วัฒนธรรม, สภาพแวดล้อม, เศรษฐศาสตร์, ประวัติศาสตร์และระบบรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมากเช่น พื้นเขตร้อนหรือทะเลทรายในตะวันออกกลาง, ภูมิอากาศแบบอบอุ่นทางตะวันออก ภูมิอากาศแบบกึ่งอารกติกทางตอนกลางของทวีปและภูมิอากาศแบบขั่วโลกในไซบีเรียศัพท์มูล ศัพท์มูล. เดิมที คำว่า "เอเชีย" นั้นเกิดจากแนวความคิดต้องการสร้างอารยธรรมแบบตะวันตก คำว่า "เอเชีย" ในฐานะที่เป็นชื่อสถานที่นั้น แม้ปรากฏในภาษาปัจจุบันหลายภาษาหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ปรากฏแหล่งที่มาดั้งเดิมแน่ชัด ทั้งไม่ปรากฏด้วยว่าเป็นหรือมาจากภาษา,ละตินแปลว่าดินแดนที่แตกต่างสุดแต่เท่าที่ทราบ "เอเชีย" เป็นชื่อที่เก่าแก่มากที่สุดชื่อหนึ่งซึ่งได้รับการบันทึกเอาไว้ และมีผู้เสนอแนวคิดมากมายเกี่ยวกับศัพทมูลของคำนี้ยุคโบราณสมัยคลาสสิก ยุคโบราณสมัยคลาสสิก. คำ "Asia" ในภาษาละติน และคำ "Ἀσία" ในภาษากรีกนั้นปรากฏว่าเป็นคำเดียวกัน นักประพันธ์ชาวโรมันแปลคำว่า "Ἀσία" เป็น "Asia" และชาวโรมันเองตั้งชื่อท้องที่แห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันอยู่ในทวีปเอเชียนี้ว่า "Asia" อนึ่ง ครั้งนั้นยังมีดินแดนที่เรียก "เอเชียน้อย" (Asia Minor) และ "เอเชียใหญ่" (Asia Major คืออิรักในปัจจุบัน) ด้วย เนื่องจากหลักฐานแรกสุดเกี่ยวกับชื่อ "เอเชีย" นี้เป็นหลักฐานภาษากรีก เมื่อว่ากันตามพฤติการณ์แล้ว จึงเป็นไปได้ว่า คำ "เอเชีย" มาจากคำ "Ἀσία" ในภาษากรีก แต่ที่มาที่ไปเกี่ยวกับการรับหรือถ่ายทอดคำนั้นยังค้นไม่พบ เพราะยังขาดบริบททางภาษา เฮรอโดตัส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ชาวกรีก เป็นบุคคลแรกที่ใช้คำ "เอเชีย" เรียกทวีป ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาประดิษฐ์คำนี้ขึ้น แต่เพราะข้อเขียนเรื่อง ฮิสตอรีส์ (Histories) ของเขาเป็นงานชิ้นเดียวที่บรรยายทวีปเอเชียไว้โดยละเอียดและเหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบัน เฮรอโดตัสนิยามคำว่า "เอเชีย" เอาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความ เขากล่าว่า เขาได้อ่านผลงานของนักภูมิศาสตร์หลายคนซึ่งปัจจุบันสาบสูญไปทั้งสิ้นแล้ว พบว่า ชาวกรีกส่วนใหญ่ถือกันว่า ชื่อทวีปเอเชียนั้นมาจากชื่อของนางฮีไซโอนี (Hesione) ภริยาของพรอมีเธียส (Prometheus) ขณะที่ชาวลิเดียถือว่า ชื่อทวีปเอเชียมาจากชื่อเจ้าชายเอเซียส (Asies) โอรสแห่งโคติส (Cotys) และนัดดาของพระเจ้าเมนีส (Manes) เฮรอโดตัสแสดงความเห็นแย้งว่า ชื่อ "เอเชีย" มาจากชื่อของพรายนางหนึ่งซึ่งเป็นเทพีประจำเมืองลิเดียตามความในเทพปกรณัมกรีก และแสดงความสงสัยไว้ว่า เหตุใดจึงเอานามสตรีสามนาง "ไปตั้งเป็นนามภูมิภาคซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" กล่าวคือ ชื่อนางยูโรปา (Europa) สำหรับยุโรป นางเอเชียสำหรับเอเชีย และนางลิเบีย (Libya) สำหรับแอฟริกา ความสงสัยข้างต้นของเฮรอโดตัสอาจเป็นเพียงการแสดงความไม่เห็นด้วยหลังจากที่ได้อ่านวรรณกรรมกรีกหลายต่อหลายฉบับและได้สดับตรับฟังถ้อยคำของคนอื่น ๆ แต่มิได้หมายความว่า เขาไม่ทราบเหตุผลที่เอาชื่อสตรีเพศไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ เพราะตามศาสนากรีกโบราณแล้ว สถานที่ทั้งปวงมีเทพารักษ์เป็นสตรี และสถานที่อื่น ๆ หลายแห่งในครั้งนั้นก็เอาชื่อสตรีมาตั้ง เช่น เอเธนส์ (Athens), ไมซีนี (Mycenae) และธีบส์ (Thebes)ยุคสำริด ยุคสำริด. ก่อนสมัยวรรณกรรมของกรีกข้างต้น ท้องที่แถบทะเลอีเจียนนั้นตกอยู่ในยุคมืด โดยในครั้งที่เริ่มยุคมืดนี้ ผู้คนได้เลิกเขียนหนังสือเป็นพยางค์ แต่ก็ยังมิได้เริ่มใช้ตัวอักษร และนับขึ้นไปก่อนสมัยนั้นอีกซึ่งเป็นยุคสัมฤทธิ์ ปรากฏบันทึกหลายฉบับของจักรวรรดิอัสซีเรีย จักวรรดิฮิตไทต์ และรัฐไมซีเนียหลาย ๆ รัฐแห่งจักรวรรดิกรีก ที่เอ่ยถึงภูมิภาคซึ่งได้แก่เอเชียในปัจจุบัน บันทึกเหล่านี้เป็นเอกสารทางการเมืองการปกครอง ไม่มีเนื้อหาเชิงวรรณกรรมแม้แต่น้อย บรรดารัฐไมซีเนียนั้นถูกกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งทำลายจนล่มจมไปทั้งสิ้นเมื่อราว ๆ 1200 ปีก่อนคริสตกาล กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ใดแท้จริงยังไม่ทราบ แต่ก็มีสำนักทางความคิดสำนักหนึ่งถือสืบ ๆ กันมาจนบัดนี้ว่า เป็นการรุกรานของชาวดอริส (Dorian invasion) การที่หมู่พระราชวังถูกเพลิงเผาพลาญนั้นส่งผลให้เหล่าบันทึกทางการเมืองการปกครองข้างต้นซึ่งจารด้วยอักษรกรีกลงบนแผ่นดินเหนียวถูกอบเป็นแผ่นแข็ง แผ่นจารึกเหล่านี้ต่อมาได้รับการถอดรหัสโดยคณะผู้สนใจคณะหนึ่ง ซึ่งรวมถึงนักวิทยาการเข้ารหัสลับผู้เยาว์รายหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คือ ไมเคิล เวนทริส (Michael Ventris) ผู้ซึ่งต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากนักวิชาการจอห์น ชัดวิก (John Chadwick) ในการบุกเบิกท้องที่แถบนี้ นักโบราณคดีคาร์ล เบลเกน (Carl Blegen) ได้พบกรุสมบัติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ณ ซากเมืองพีลอส (Pylos) ในกรุนี้มีบัญชีรายชื่อบุคคลหญิงชายจำนวนมากซึ่งทำขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ หลายประการ หญิงชายจำนวนหนึ่งในกลุ่มที่ปรากฏนามในบัญชีข้างต้นถูกเอาตัวลงเป็นทาส และถูกใช้งานในการค้าขาย เช่น ให้เย็บปักถักร้อย โดยในเวลาที่ถูกเกณฑ์มา ลูกเล็กเด็กแดงของพวกเขามักถูกนำพามาด้วย คนทั้งนั้นถูกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบช้าเพื่อใช้บ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดของพวกเขา เช่น มีการใช้ว่า "aswiai" แปลว่า นางคนเอเชีย (women of Asia) ข้อนี้ เบื้องต้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาถูกจับถูกคร่ามาจากเอเชีย แต่เมื่อปรากฏว่า บางคนถูกพามาจากแห่งอื่นก็มี เช่น กลุ่มที่เรียก "ไมลาเทีย" (Milatiai) นั้นมาจากอาณานิคมไมเลทัส (Miletus) ของกรีก ชัดวิกจึงตั้งสมมุติฐานว่า บัญชีรายชื่อข้างต้นระบุถึงสถานที่ที่คนเหล่านี้ถูกซื้อขาย มากกว่าจะเป็นสถานที่ที่ได้ตัวมา คำว่า "aswiai" เป็นอิตถีลึงค์ซึ่งเป็นพหูพจน์ ส่วนอิตถีลึงค์เอกพจน์คือ "aswia" ซึ่งใช้เป็นทั้งชื่อประเทศประเทศหนึ่งและเป็นคำเรียกสตรีของประเทศนี้ด้วย และปุรุสลึงค์คือ "aswios" ในการนี้ ปรากฏว่า ประเทศ Aswia คือ สันนิบาตอัสสุวา (Assuwa league) ซึ่งเป็นสหพันธรัฐตั้งอยู่ตอนกลางของจักรวรรดิลิเดีย หรือทางตะวันตกของบริเวณแอนาโทเลีย (Anatolia) หรือที่เรียกกันว่า "เอเชียโรมัน" (Roman Asia, คือ ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) และถูกชาวฮิตไทต์ในรัชสมัยพระเจ้าทุดฮาลิยาที่ 1 (Tudhaliya I) ยึดครองเมื่อราว ๆ 1400 ปีก่อนคริสกาล จึงมีผู้เสนอว่า ชื่อทวีปเอเชียอาจมาจากชื่อสันนิบาตดังกล่าวก็เป็นได้ ข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับที่มาที่ไปของคำว่า "เอเชีย" ว่า คำนี้อาจมาจากคำในภาษาแอกแคด (Akkadian) ว่า "" มีความหมายว่า ออกไป (go outside) หรือ ขึ้น (ascend) สื่อว่า เป็นทิศทางที่ดวงตะวันขึ้นสู่ฟากฟ้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่า คำดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับคำในภาษาฟีนิเชีย (Phoenician) ว่า "asa" ซึ่งหมายถึง ตะวันออก ตรงกันข้ามกับชื่อทวีปยุโรปซึ่งตั้งสมมุติฐานกันว่า มาจากคำในภาษาแอกแคดว่า "erēbu (m)" ซึ่งหมายความว่า เข้าไป (enter) หรือ ลง (set) สื่อถึงอาการที่ตะวันตก ที.อาร์. เรด นักประพันธ์ชาวอเมริกัน สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ เขากล่าวว่า คำ "เอเชีย" ในภาษากรีกนั้นต้องมาจากคำ "asus" ในภาษาอัสซีเรียที่หมายความว่า ตะวันออก เป็นแน่ ตรงกันข้ามกับคำ "ยุโรป" ที่มาจากคำ "ereb" ในภาษาเดียวกัน หมายถึง ตะวันตก ส่วนนักภาษาศาสตร์ดักลัส ฮาร์เปอร์ (Douglas Harper) บันทึกว่า "เอเชีย" มาจากภาษาละตินซึ่งมาจากภาษากรีก ว่ากันว่ามาจากคำ asu ในภาษาแอกแคด แปลว่า 'ออกไป, ขึ้น' ซึ่งสื่อถึงดวงตะวัน ฉะนั้น เอเชียแปลว่า 'แดนอาทิตย์อุทัย' (the land of the sunrise)"ภูมิศาสตร์เอเชียที่สุดในทวีปเอเชีย ที่สุดในทวีปเอเชีย. * เป็นข้อมูลที่สุดในโลกด้วยการแบ่งภูมิภาค การแบ่งภูมิภาค. ทวีปเอเชียนอกจากจะเป็นอนุภูมิภาคของยูเรเชีย ยังอาจแบ่งออกเป็นส่วนย่อยดังนี้เอเชียเหนือ เอเชียเหนือ. นักภูมิศาสตร์ใช้คำนี้น้อยมาก แต่โดยปกติหมายถึงรัสเซีย เรียกอีกอย่างว่าไซบีเรีย บางครั้งรวมถึงประเทศทางตอนเหนือของเอเชียด้วย เช่น คาซัคสถานเอเชียกลาง เอเชียกลาง. เอเชียกลาง เป็นภูมิภาคที่เกิดขึ้นใหม่จากประเทศต่าง ๆ ที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต (เฉพาะที่มีเขตแดนอยูในทวีปเอเชีย) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 4,021,431 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 61,551,945 คน (กุมภาพันธ์ 2553) เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ของภูมิภาค เอเชียกลางจึงเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอย่างเบาบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (เฉลี่ยทั้งภูมิภาค 15 คนต่อตารางกิโลเมตร) และเหตุที่ประเทศภูมิภาคเอเชียกลางไม่มีทางออกสู่ทะเล การส่งออกและการค้าของเอเชียกลางจึงพัฒนาอย่างช้า ๆ โดยประเทศส่งออกหลักของกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ได้แก่ รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียกลางเป็นแบบที่ราบสูง แต่จะมีที่ราบลุ่มบริเวณทะเลแคสเปียน ด้านศาสนา ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียกลางนับถือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออก. เอเชียตะวันออก หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ11,640,000 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 15 และ 20 ของพื้นที่ทั้งหมดของทวีปเอเชีย นับเป็นภูมิภาคย่อยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ประเทศจีน มีพื้นที่ประมาณ 9,584,492 ตารางกิโลเมตร เอเชียตะวันออกมีประชากรมากกว่า 1,500 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของของชาวเอเชียทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นภูมิภาคที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อัตราความหนาแน่นของประชากรในเอเชียตะวันออกอยู่ที่ 230 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของประชากรโลกถึง 5 เท่า ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ ประเทศจีน มีประชากรประมาณ 1,322,044,605 หรือร้อยละ 85 ของประชากรในภูมิภาค ส่วนประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ ไต้หวัน ความหนาแน่นเฉลี่ย 626.7 คนต่อตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ เอเชียตะวันออกยังเป็นภูมิภาคที่ได้ชื่อว่าเจริญที่สุดในทวีปเอเชีย เพราะเป็นภูมิภาคเดียวที่การทำอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน ส่วนประเทศมองโกเลียและเกาหลีเหนือ อุตสาหกรรมยังไม่ค่อยพัฒนานัก เมืองอุตสาหกรรมสำคัญของเอเชียตะวันออก ได้แก่ โตเกียว ฮิโระชิมะ นะงะซะกิ โซล ปูซาน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ไทเป อินช็อน เทียนสิน ฮ่องกง เป็นต้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ เอเชียอาคเนย์ มีพื้นที่ประมาณ4,600,000 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 593,000,000คน (2008) ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 116.5 คนต่อตารางกิโลเมตร มีที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ประกอบด้วยประเทศ 11 ประเทศ ลักษณะทำเลที่ตั้งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนภาคพื้นทวีปและภาคพื้นสมุทร ส่วนภาคพื้นทวีป ได้แก่ พม่า ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และมาเลเซียตะวันตก และภาคพื้นสมุทร ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซียตะวันออก ติมอร์-เลสเต บรูไน และสิงคโปร์ ลักษณะภูมิประเทศแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำ (ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี ที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) ที่ราบสูง (ที่ราบสูงในรัฐฉาน เทือกเขาอาระกันโยมา พื้นที่ส่วนใหญ่ของลาว ตอนเหนือของมาเลเซียตะวันตก) และ เขตหมู่เกาะ (หมู่เกาะอินโดนีเซีย หมู่เกาะฟิลิปปินส์ เกาะสิงคโปร์) โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นแบบเกษตรกรรม ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไนซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันทุกประเทศก็พัฒนาอุตสาหกรรมจนมีความก้าวหน้าไปมาก เช่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเมืองใหญ่ที่สำคัญหลายเมือง เช่น จาการ์ตา (เมืองใหญ่ที่สุดในภูมิภาค) กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา โฮจิมินห์ซิตี ฮานอย ปูตราจายา กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ บันดาร์เซอรีเบอกาวัน ภูเก็ต เป็นต้นเอเชียใต้ เอเชียใต้. เอเชียใต้ หรือ ชมพูทวีป หรือ อนุทวีป เป็นทวีปที่อยู่ทางใต้ของทวีปเอเชีย เป็นต้นกำเนิดพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เอเชียใต้มีพื้นที่ประมาณ 5,180,000 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 10 ของทวีปเอเชีย ภูมิภาคนี้ยังเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก มีจำนวนประชากรกว่า 1 พันล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งคิดเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนเท่ากับ 1 ใน 3 ของชาวเอเชียทั้งหมด หรือ 1 ใน 5 ของประชากรโลก อัตราความหนาแน่นของประชากรเท่ากับ 305 คนต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของประชากรโลกถึง 7 เท่า ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด คือ ประเทศอินเดีย (1,198,003,000 คน) ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง (เช่นที่ราบสูงเดกกันในประเทศอินเดีย) และยังมีที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา (ในประเทศอินเดีย) ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ (ในประเทศปากีสถาน) และที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร (ในประเทศบังกลาเทศ) ทางตอนเหนือของเอเชียใต้ติดกับที่ราบสูงทิเบตและเทือกเขาหิมาลัย ทำให้มีอากาศหนาวเย็น ด้านเศรษฐกิจ ทุกประเทศยังมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรมยังไม่พัฒนามากนัก มีเพียงอินเดียชาติเดียวที่พัฒนาอุตสาหกรรมได้เจริญรุ่งเรือง เพราะได้รับการช่วยเหลือจากประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของเอเชีย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน นอกจากนี้ ภาษาที่ใช้ในเอเชียใต้มีมากถึง 800 ภาษา แต่ภาษากลางจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียใต้ คือ มุมไบ ซึ่งเป็นเมืองท่าทางตะวันตกของประเทศอินเดียเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้. เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ตะวันออกกลาง หรือ เอเชียตะวันตก มีพื้นที่ประมาณ 6,835,434 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยทะเลทรายแห้งแล้งกว้างใหญ่ ในภูมิภาคนี้ยังมีแม่น้ำสายสำคัญที่เป็นแหล่งอารยธรรมโลก คือ แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสในประเทศอิรัก เป็นบริเวณที่มีการทำการเกษตรได้ดีที่สุด ด้วยลักษณะทางกายภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ดินแดนแถบนี้จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศในแถบนี้ อย่างไรก็ตาม เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ยังให้กำเนิดศาสนาที่สำคัญ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ถึงแม้ว่าดินแดนแถบนี้จะแห้งแล้ง แต่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับทวีปแอฟริกาทางด้านตะวันตก และทวีปยุโรปทางตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ มีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง (เช่น ที่ราบสูงอิหร่านและที่ราบสูงอานาโตเลีย) นอกจากนี้ ยังมีบริเวณที่เป็นคาบสมุทรที่สำคัญ คือ คาบสมุทรอาหรับ ลักษณะทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ คือ อุตสาหกรรมน้ำมัน (โดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก) ประเทศที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมมากที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ ตุรกี ตุรกี ไซปรัส อาร์มีเนีย จอร์เจีย อิสราเอล ปาเลสไตน์ และอาเซอร์ไบจาน อาจถูกจัดให้อยู่ในทวีปยุโรปในบางครั้ง เนื่องจากมีลักษณะทางวัฒนธรรมจากทวีปยุโรปมากกว่าทวีปเอเชียประชากร ประชากร. ประชากรของเอเชียมีประชากรร้อยละ 60 ของประชากรโลก ทวีปเอเชียประกอบด้วยหลายเผ่าพันธุ์ จำแนกตามเชื้อชาติได้ดังนี้- เผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ แบ่งได้เป็น 2 พวก- พวกมองโกลอยด์เหนือ เป็นพวกผิวเหลืองและเป็นประชากรส่วนมากของทวีปเอเชีย อาศัยตามทางเอเชียเหนือและทางเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น มองโกเลีย เกาหลี เป็นต้น - พวกมองโกลอยด์ใต้ เป็นพวกผิวเหลืองอาศัยอยู่ตามทางตอนเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น - เผ่าพันธุ์คอเคซอยด์ เป็นพวกผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวทวีปยุโรป แต่ตาและผมสีเข้มกว่า อาศัยอยู่ในเขตเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และทางภาคเหนือของปากีสถานและอินเดีย เช่น ชนชาติอาหรับ ปากีสถาน เนปาล และบางส่วนของชาวอินเดีย - เผ่าพันธุ์นิกรอยด์ เป็นพวกผิวดำ มีรูปร่างเล็ก ผมหยิก เช่น บางส่วนของอินเดีย ศรีลังกา และหมู่เกาะต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เศรษฐกิจเศรษฐกิจ. - ตารางแสดงประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจหรือจีดีพีมากที่สุดในทวีปเอเชีย 10 อันดับแรก- ข้อมูลโดย IMF- ตารางแสดงประเทศในทวีปเอเชียที่มีจีดีพีต่อหัวมากที่สุด 10 อันดับแรก- ข้อมูลโดย IMFเอเชียกลางเอเชียกลาง. - เกษตรกรรม:- อุตสาหกรรม:- พาณิชยกรรม:- คู่ค้าสำคัญ:เอเชียตะวันออกเอเชียตะวันออก. - เกษตรกรรม - อุตสาหกรรม- อุตสาหกรรมในญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก มีการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย มีการผลิตทั้งอุตสาหกรรมขนาดหนักและอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การต่อเรือ การผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและเหล็กกล้า คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เมืองอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ได้แก่ โตเกียว ฮิโระชิมะ โอะซะกะ นะโงะยะ นะงะซะกิ โยะโกะฮะมะ เป็นต้น- อุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ ประเทศเกาหลีใต้ มีการพัฒนาอุตสาหกรรมรวดเร็วมากจนกลายเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย (รองจากญี่ปุ่น) อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ได้แก่ การต่อเรือ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เมืองอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนกลางและตอนล่างของประเทศ เช่น โซล ปูซาน- อุตสาหกรรมในจีน ประเทศจีน สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมได้รวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากวัตถุดิบมีมาก ค่าจ้างแรงงานต่ำ และนโยบายของรัฐบาลที่เชิญญชวนชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุน อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อาวุธสงคราม การทอผ้า รถบรรทุก ฯลฯ เมืองอุตสาหกรรมของประเทศจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เทียนสิน ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เป็นต้น- อุตสาหกรรมในไต้หวัน อุตสาหกรรมของไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบาและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ของเล่นเด็ก เมืองหลักของอุตสาหกรรมไต้หวัน คือ ไทเป- พาณิชยกรรม- การประมง - การประมงน้ำจืด: ประเทศจีนเป็นผู้นำในการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด โดยมีแหล่งประมงที่สำคัญอยู่ที่แม่น้ำแยงซีและมณฑลกวางตุ้ง- การประมงน้ำเค็ม: ประเทศญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีการทำประมงทางทะเลมากที่สุดในโลก มีเรือประมงที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีก้าวหน้า แหล่งสำคัญอยู่ที่ คูริลแบงก์ ทางเหนือของเกาะฮกไกโด- การทำป่าไม้: - การทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศจีน: มีการทำป่าไม้ในภาคเหนือของประเทศ แถบมณฑลเฮย์หลงเจียงและมณฑลเสฉวน- การทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศญี่ปุ่น: เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกที่มีการพัฒนาการทำป่าไม้ไปมากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้. - เกษตรกรรม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด - การเพาะปลูกเพื่อยังชีพ: เป็นการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม อาศัยฝนตามธรรมชาติ ใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีมาช่วยไม่มากนัก เช่น การเพาะปลูกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ติมอร์-เลสเต เป็นต้น- การเพาะปลูกเพื่อการค้า: เป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและเป็นสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลก ซึ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรกรรมได้มาก โดยเฉพาะข้าว ประเทศที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น- การทำเหมืองแร่::แร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่ ดีบุก น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ โดยประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่ส่งออกดีบุกมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมากที่สุดในโลก และน้ำมันก็เป็นสินค้าส่งออกของหลาย ๆ ประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังพบก๊าซธรรมชาติมากในอ่าวไทยในประเทศไทยและอ่าวเมาะตะมะในประเทศพม่า- อุตสาหกรรม:- พาณิชยกรรม: เมืองที่เป็นศูนย์กลางของพาณิชยกรรมของภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพมหานคร และจาการ์ตา เป็นต้น- การประมง: ในปัจจุบัน ทุกประเทศได้ขยายน่านน้ำเศรษฐกิจจำเพาะจาก 12 ไมล์ทะเล เป็น 200 ไมล์ทะเล ทำให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น แต่การจับสัตว์น้ำในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เสียสมดุลทางธรรมชาติ ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่จับปลาได้มากเป็นอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมา คือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ตามลำดับ- การทำป่าไม้เอเชียตะวันตกเฉียงใต้เอเชียตะวันตกเฉียงใต้. - เกษตรกรรม: - อุตสาหกรรม: - พาณิชยกรรม: - การประมง: - คู่ค้าสำคัญ:
ชมพูทวีปเป็นชื่อเรียกพื้นที่ส่วนใดของทวีปเอเชีย
{ "answer": [ "เอเชียใต้" ], "answer_begin_position": [ 12347 ], "answer_end_position": [ 12356 ] }
2,197
1,924
ประเทศมาเลเซีย มาเลเซีย (มาเลเซีย: ) เป็นประเทศสหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ และดินแดนสหพันธ์ 3 ดินแดน และมีเนื้อที่รวม 330,803 ตารางกิโลเมตร (127,720 ตารางไมล์) โดยมีทะเลจีนใต้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ได้แก่ มาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก มาเลเซียตะวันตกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับไทย และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับบรูไนและอินโดนีเซีย และมีพรมแดนทางทะเลกับร่วมฟิลิปปินส์และเวียดนาม เมืองหลวงของประเทศคือกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ปูตราจายาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ด้วยประชากรจำนวนกว่า 30 ล้านคน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 42 ของโลก ตันจุงปีไอ (Tanjung Piai) จุดใต้สุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยูเรเชียอยู่ในมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศในเขตร้อน และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเป็นจำนวนมาก มาเลเซียมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรมลายูหลายอาณาจักรที่ปรากฏในพื้นที่ แต่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา อาณาจักรเหล่านั้นก็ทยอยขึ้นตรงต่อจักรวรรดิบริเตน โดยอาณานิคมกลุ่มแรกของบริเตนมีชื่อเรียกรวมกันว่านิคมช่องแคบ ส่วนอาณาจักรมลายูที่เหลือกลายเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนในเวลาต่อมา ดินแดนทั้งหมดในมาเลเซียตะวันตกรวมตัวกันเป็นครั้งแรกในฐานะสหภาพมาลายาในปี พ.ศ. 2489 มาลายาถูกปรับโครงสร้างเป็นสหพันธรัฐมาลายาในปี พ.ศ. 2491 และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 มาลายารวมกับบอร์เนียวเหนือ ซาราวัก และสิงคโปร์เป็นมาเลเซียเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2506 แต่ไม่ถึงสองปีถัดมา คือในปี พ.ศ. 2508 สิงคโปร์ก็ถูกขับออกจากสหพันธ์ มาเลเซียเป็นประเทศพหุชาติพันธุ์และพหุวัฒนธรรมซึ่งมีบทบาทอย่างมากในด้านการเมือง ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดมีเชื้อสายมลายู โดยมีชนกลุ่มน้อยกลุ่มสำคัญคือ ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และชนพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มต่าง ๆ รัฐธรรมนูญประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ก็ยังให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม ระบบรัฐบาลมีรูปแบบคล้ายคลึงกับระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ ระบบกฎหมายมีพื้นฐานอยู่บนระบบคอมมอนลอว์ ประมุขแห่งรัฐเป็นพระมหากษัตริย์หรือที่เรียกว่ายังดีเปอร์ตวนอากง ทรงได้รับเลือกจากบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐในมาเลเซียตะวันตก 9 รัฐ โดยทรงดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ส่วนหัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่ได้รับเอกราช มาเลเซียเป็นประเทศที่มีประวัติทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย โดยมีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเติบโตขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปีเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ระบบเศรษฐกิจแต่เดิมได้รับการขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แต่ก็กำลังขยายตัวในภาควิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว การพาณิชย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทุกวันนี้ มาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากอินโดนีเซียและไทย) เป็นสมาชิกจัดตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และองค์การความร่วมมืออิสลาม และเป็นสมาชิกของความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เครือจักรภพแห่งชาติ และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. ประเทศมาเลเซียปัจจุบันไม่ค่อยมีหลักฐานแสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่ กัมพูชามีเมืองพระนคร อินโดนีเซียมีโบโรบูดูร์ หลักฐานทางโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดที่พบได้แก่ กะโหลกศีรษะมนุษย์ ยุคโฮโมเซเปียน ในถ้ำนียะห์ รัฐซาราวัก โรงเครื่องมือหินที่พบในโกตาตัมปัน รัฐเปรัก หลักฐานดังกล่าวบ่งชี้ว่ามนุษย์ในยุคแรกเริ่มของบริเวณนี้เป็นนักล่าสัตว์ และผู้เพาะปลูกเร่ร่อนของ ยุคหินกลาง อาศัยอยู่ตามเพิงหินและถ้ำในภูเขาหินปูนของคาบสมุทร ใช้เครื่องมือหินตัดบดและล่าสัตว์ป่า ราว 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีกลุ่มคนยุคหินใหม่อพยพมาจากจีนตอนใต้เข้ามาสู่บริเวณนี้ และด้วยความที่มีเครื่องมือทันสมัยกว่า รู้จักวิธีเพาะปลูก ในที่สุดจึงขับไล่พวกที่มาอยู่ก่อนเข้าไปในภูเขาและป่าชั้นในของแหลมมลายู หลังจากนั้นราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็มีกลุ่มคนยุคเหล็กและยุคสำริด ใช้โลหะเป็นอาวุธ รู้จักค้าขาย ก็มาขับไล่พวกเดิมให้อยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก พวกที่มาใหม่นี้ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของชาวมาเลเซียในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมาเลเซียในยุคโบราณมีไม่มากนัก นักประวัติศาสตร์จึงมักถือเอาช่วงเวลาที่ มะละกา ปรากฏตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญทางชายฝั่งคาบสมุทรมลายูเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มาเลเซีย พงศาวดารมลายูกล่าวว่ากษัตริย์ปรเมศวรเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองนี้ตามชื่อต้นมะละกา ( A Malaka tree-ต้นมะขามป้อม) ซึ่งในขณะที่พระองค์ทรงพักผ่อนใต้ร่มต้นไม้นี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นกระจงหันเตะสุนัขล่าสัตว์ แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่นี้ แม้แต่สัตว์ก็ยังมีเลือดนักสู้ จึงนับเป็นลางที่ดีที่ทำให้พระองค์ตัดสินใจตั้งหลักปักฐานที่นี่ และสร้างมะละกาให้กลายเป็นอาณาจักรชายฝั่งทะเลที่รุ่งเรืองต่อมา อีกคำสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่ามะละกามาจากคำอาหรับที่ว่า มะละกัด (Malakat) หรือศูนย์กลางการค้าอันเป็นชื่อที่พ่อค้ามักใช้เรียกเกาะวอเตอร์ (Water Island)ที่อยู่ใกล้ๆนานแล้วมะละกาจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย มะละกาจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย. มะละกาเป็นเมืองท่าสำคัญ ก่อตั้งขึ้นประมาณ ค.ศ. 1400 ตั้งอยู่บนช่องแคบมะละกาซึ่งคร่อมเส้นทางการค้าสำคัญทางทะเลจากตะวันออกสู่ตะวันตก ระหว่างสองเมืองสำคัญอย่างจีนกับอินเดีย ถือเป็นท่าเรือที่ดีเพราะไม่มีป่าโกงกาง น้ำลึกพอให้เรือเทียบท่าและมีเกาะสุมาตราเป็นที่กำบังพายุการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. มาเลเซียมีการปกครองแบบสหพันธรัฐ มีรัฐบาลกลางทำหน้าที่ดูแลเรื่องสำคัญๆ เช่น การต่างประเทศ การป้องกันประเทศ ความมั่นคง ตุลาการ การคลัง และอื่นๆ ขณะที่ในแต่ละรัฐมีรัฐบาลของรัฐดูแลด้านศาสนา ประเพณี สังคม เกษตรกรรม การคมนาคมภายในรัฐ บางรัฐเช่นกลันตัน มีระบบราชการในรูปแบบของตนเอง นอกจากนี้ในแต่ละรัฐจะมีสภาแห่งรัฐที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี เหมือนกันหมดประมุข ประมุข. สมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกตั้งสุลต่าน 9 รัฐ ได้แก่ ยะโฮร์ ตรังกานู ปะหัง เซอลาโงร์ เกอดะฮ์ กลันตัน เนอเกอรีเซิมบีลัน เปรัก และปะลิส ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นดำรงตำแหน่ง วาระละ 5 ปี ส่วนอีก 4 รัฐ คือ ปีนัง มะละกา ซาบะฮ์ และซาราวัก ไม่มีสุลต่านปกครอง ตามปกติสุลต่านที่มีอาวุโสสุงสุดจะได้รับเลือก โดยต้องได้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังอาจได้รับเลือกเข้ามาเป็นสมัยที่ 2 อีกได้ หากสุลต่านจากรัฐอื่นๆ ได้ดำรงตำแหน่ง ยัง ดี เปอร์ตวน อากงเรียบร้อยแล้ว อำนาจส่วนใหญ่ของ ยังดีเปอร์ตวน อากง เกี่ยวข้องกับพิธีการต่างๆ นอกจากนั้นมีอำนาจในทางบริหาร และนิติบัญญัติ คือ กฎหมายที่ออกมาจะต้องประกาศใช้ ถูกยับยั้ง หรือ ได้รับการแก้ไขในนามพระองค์ มีอำนาจเกี่ยวกับการกำหนดสมัยประชุมสภา แต่งตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก หรือที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจอภัยโทษ แต่งตั้งประธานศาลและผู้พิพากษาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาล นอกจากนี้ยังสามารถประกาศภาวะฉุกเฉิน พอเสียชีวิต โดยถ้ารัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็น ยังดี เปอร์ตวน อากง จะเป็นผู้ประกาศพระบรมราชโองการ และเมื่อประกาศใช้แล้วจะไม่มีพระบรมราชโองการใดมาเปลี่ยนแปลงได้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหาร. นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำสูงสุด มาจากหัวหน้าพรรคการเมืองที่สมาชิกได้รับเลือกเข้ามานั่งในสภามากที่สุด หรืออาจเป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแกนนำในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง จะเป็นผู้แต่งตั้ง ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นพลเมืองของสหพันธรัฐโดยกำเนิดเท่านั้น และต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสุงสุดในระบบราชการ รวมทั้งมีหน้าที่ถวายคำแนะนำชี้แจงนโยบายการปกครองและการบริหารรัฐให้แก่ ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง ส่วนรองหัวหน้าพรรคจะได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไปด้วย ถือเป็นผู้มีอำนาจรองจากนายกรัฐมนตรีและเป็นบุคคลที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากนายกรัฐมนตรี ภายใต้การนำของนายกรับมนตรี มีกลุ่มผู้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินคือคณะรัฐมนตรี โดยมีการเลือกรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ เอาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งด้วยระบบการเมืองของมาเลเซียที่มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก อีกทั้งหลายพรรคตั้งขึ้นมาโดยอาศัยเชื้อชาติ ศาสนา การเลือกสรรบุคคลจึงเป็นเรื่องยากเพราะต้องคำนึงถึงอัตราส่วนตัวแทนพรรค และตัวบุคคลว่าจะทำงานร่วมกันกับตัวแทนของเชื้อชาติอื่นๆได้หรือไม่ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ด้านนิติบัญญัติของมาเลเซียคือรัฐสภา รัฐสภาจะทำหน้าพิจารณากฎหมายต่างๆ และทำการแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ รวมถึงตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล กฎหมายต่างๆที่ออกโดยรัฐสภาของมาเลเซียประกอบด้วยสองสภาได้แก่ 1.เดวัน รักยัต (Dewan Rakyat) หรือสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก 222 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป โดยจะมีการเลือกตั้งทุก 5 ปี 2.เดวัน เนกรา (Dewan Negara) หรือวุฒิสภา มีสมาชิก 70 คน โดยเลือกตั้งสมาชิกก 26 คนมาจาก ทั้ง 13 รัฐ รัฐละ 2 คน ส่วนอีก 44 คนมาจากการแต่งตั้งโดย ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง ภายใต้คำแนะนำของนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี อำนาจทางการเมืองจะอยู่กับ เดวัน รักยัต ในขณะที่ เดวัน เนกรามีอำนาจยับยั้งกฎหมายต่างๆ ได้ เพื่อเป็ยการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันพรรคการเมืองฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตุลาการ. สถาบันทางตุลาการทั้งประเทศยกเว้นศาลอิสลาม อยู่ภายใต้ระบบสหพันธรัฐ อำนาจตุลาการเป็นอิสระมาก ปราศจากการควบคุมหรือแทรกแซงโดยฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ สถาบันตุลาการสูงสุดหรือศาลฎีกา ทำหน้าที่รับข้อพิจารณาเรื่องอุทธรณ์จากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงคอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างรัฐกับรัฐด้วย จากศาลสูงสุดไล่ลงมาเป็นขั้นๆ จนถึงระดับท้องถิ่นมีศาลประเภทต่างๆ ที่ประชาชนสามารถร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมได้ ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรมจะมีศาลอิสลามและศาลของชนพื้นเมืองเป็นฝ่ายพิจารณา นอกจากนี้ยังมีศาลประเภทอื่นๆ เช่น ศาลสูง (ศาลรองจากศาลสูงสุด) ศาลเฉพาะ (ศาลที่ทำคดีอาญามีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี กับศาลแพ่งที่ต้องคืนทรัพย์ไม่เกิน 2 หมื่นริงกิต) ศาลแขวง (ศาลที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งที่มีโทษสถานเบา) ศาลท้องถิ่น (ศาลที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่มีการกระทำความผิดเล็กน้อย เน้นการรอมชอม) ศาลเด็ก (ศาลที่พิจารณาคดีของบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี) เป็นต้นการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 รัฐ และ 3 ดินแดนสหพันธ์ โดย 11 รัฐ กับ 2 ดินแดนสหพันธ์ อยู่ในมาเลเซียตะวันตก และอีก 2 รัฐ กับ 1 ดินแดนสหพันธ์ อยู่ในมาเลเซียตะวันออก แต่ละรัฐแบ่งเป็นเขต แต่ละเขตแบ่งเป็นมูกิม (mukim) ในรัฐซาบะฮ์และรัฐซาราวัก เขตในรัฐจะถูกจัดกลุ่มโดยบาฮาเกียน (ภาษามลายู: Bahagian, ) ดินแดนสหพันธ์เป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครองโดยตรง ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง), ปูตราจายา (เมืองราชการ) และลาบวน (ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศนอกชายฝั่ง) โดยทั้งกัวลาลัมเปอร์และปูตราจายาอยู่ในพื้นที่รัฐเซอลาโงร์ ส่วนลาบวนอยู่ใกล้รัฐซาบะฮ์ต่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป ต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป. ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2500 และมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ เอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ คนปัจจุบันคือ นายกฤต ไกรจิตติ ซึ่งเดินทางไปรับหน้าที่เมื่อวันที่ 2 เดือนตุลาคม 2555 นอกจากนี้ ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง ได้แก่ (1) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และ (2) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ซึ่งตั้งสำนักงานในมาเลเซียได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารทั้งสามเหล่าทัพ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน และสำนักงานประสานงานตำรวจ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาเลเซีย มาเลเซียมีสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย และเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ได้แก่ ดาโต๊ะ นาซีระห์ บินตี ฮุสซัยน์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 และมีสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา และกงสุญใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา ได้แก่ นายไฟซัล แอต มุฮัมมัด ไฟซัล บิน ราซาลี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียแบ่งออกเป็น 2 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การดำเนินความร่วมมือภายใต้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ อาทิ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย (Joint Commission : JC) คณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (Joint Development Strategy : JDS) คณะกรรมการด้านความมั่นคง ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) คณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ซึ่งทั้ง 3 ระดับเป็นกรอบความร่วมมือของฝ่ายทหารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคง และความร่วมมือชายแดน คณะกรรมการด้านความมั่นคงกรอบอื่น ๆ เฉพาะเรื่อง อาทิ คณะกรรมการร่วมด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และความร่วมมือในกรอบ Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle (IMT-GT) และอาเซียน และ (2) ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยการเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนร่วมกัน การร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศและการเสริมสร้างมาตรการสร้างความไว้วางใจ (Confidence Building Measures) บนพื้นฐานของกรอบ 3Es ได้แก่ การศึกษา (Education) การจ้างงาน (Employment) และการประกอบกิจการ (Entrepreneurship)ความสัมพันธ์ด้านการเมือง ความสัมพันธ์ด้านการเมือง. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียมีพลวัตร รวมทั้งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงการมี “จุดมุ่งหมาย” ร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงในอาเซียนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง. กองทัพไทยกับมาเลเซียมีการฝึกทางทหารระหว่างกันเป็นประจำ ได้แก่ (1) LAND EX THAMAL ซึ่งเป็นการฝึกประจำปีเริ่มเมื่อปี 2536 (2) THALAY LAUT ซึ่งมีการฝึกครั้งแรกเมื่อปี 2523 จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยไทยกับมาเลเซียสลับกันเป็นเจ้าภาพ (3) SEA EX THAMAL เริ่มเมื่อปี 2522 มีพื้นที่ฝึกบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการร่วมชายแดนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซียทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน (4) AIR THAMAL เป็นการฝึกการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีตามบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ตั้งแต่ปี 2525 โดยทำการฝึกทุกปี ประกอบด้วยการฝึกภาคสนามสลับกับการฝึกปัญหาที่บังคับการ และสลับกันเป็นเจ้าภาพ และ (5) JCEX THAMAL เป็นการฝึกร่วม/ผสมภายใต้กรอบการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการช่วยเหลือประชาชน อนึ่ง เมื่อวันที่ 3 - 7 มีนาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยประจำปี 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี มและเมื่อวันที่ 17-19 เมษายน 2555 รองผู้บัญชาการทหารบกและผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงกลาโหมได้เดินทางเยือนมาเลเซียเพื่อเข้าร่วม Defence Services Asia – DSA 2012) ครั้งที่ 13 และมาเลเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - มาเลเซีย (HLC) ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 14 - 16 พฤษภาคม 2555 ที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ. การค้า ในปี 2554 มาเลเซียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 การค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่า 24,724.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (749,626.68 ล้านบาท) ไทยส่งออก 12,398.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (373,606.62 ล้านบาท) และนำเข้า 12,326.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(376,020.05 ล้านบาท) โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 72.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เสียเปรียบดุลการค้าเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน 2,4613.43 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.10 เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการค้ารวมปี 2553 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่า 18,688.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (560,654.99 ล้านบาท) โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 6,602.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (198,073.34 ล้านบาท) ทั้งนี้ การค้าชายแดนประกอบเป็นสัดส่วนร้อยละ 74 ของการค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซีย สินค้าส่งออกของไทยไปมาเลเซีย ได้แก่ ยางพารา คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากมาเลเซียประกอบด้วย น้ำมันดิบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สื่อบันทึกข้อมูล ภาพ เสียง แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน น้ำมันสำเร็จรูป สินแร่และโลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ การลงทุน ในปี 2554 มาเลเซียลงทุนในไทยจำนวน 34 โครงการ มีมูลค่า 6,135 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสาขาการบริการยานยนต์ การเกษตร และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 21 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3,863 ล้านบาท มาเลเซียสนใจมาลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมัน เนื่องจากมาเลเซียมีศักยภาพในการลงทุน และการลงทุนในไทยจะช่วยลดต้นทุนการผลิตเนื่องจากไทยมีแรงงานและอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ดีกว่ามาเลเซีย ทั้งนี้ Malaysia Industrial Development Authority (MIDA) อนุมัติส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่มีภาคการลงทุนของไทยลงทุนด้วยจำนวน 3 โครงการ มีมูลค่า 2,415 ล้านบาท นักลงทุนไทยที่สนใจไปลงทุนในมาเลเซียได้แก่ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท เครือซีเมนต์ไทย กลุ่มบริษัทสามารถ และร้านอาหารไทย การท่องเที่ยว ในปี 2554 มีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียเดินทางมาประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 2.47 ล้านคน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวไทยไปมาเลเซียจำนวน 1.52 ล้านคน แรงงานไทย ปัจจุบัน มีแรงงานไทยในมาเลเซียประมาณ 210,000 คน โดยเป็นแรงงานถูกกฎหมายประมาณ 6,600 คน ทั้งนี้ ในปี 2553 มีแรงงานต่างชาติที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในมาเลเซียจำนวน 458,698 คน โดยแรงงานจากอินโดนีเซียจัดเป็นลำดับหนึ่ง ร้อยละ 55.81 และแรงงานไทยจัดอยู่ในลำดับ 9 ร้อยละ 1.45 มาเลเซียมีความต้องการแรงงานไทยสาขาก่อสร้าง งานนวดแผนไทย งานบริการ การเกษตรชายแดน อุตสาหกรรมและงานแม่บ้าน ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นบังคับใช้ ค่าจ้างขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ไทยกับมาเลเซียมีความร่วมมือด้านแรงงานในกรอบคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือแรงงานภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-มาเลเซียความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรม. ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียประกอบด้วย (1) กลุ่มแรงงานไทยในร้านต้มยำของมาเลเซีย (ร้านอาหารไทย) จำนวนมากกว่า 10,000 คน และ (2) กลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งศึกษาระดับมัธยมต้น - มัธยมปลายในโรงเรียนสอนศาสนาของรัฐบาลมาเลเซียจำนวน 350 คน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนมาเลเซียเชื้อสายสยาม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวไทยอาศัยอยู่ใน 4 มณฑลในภาคใต้ตอนล่างของสยาม เนื่องจากเมื่อปี 2452 รัฐบาลสยามตกลงมอบ 4 มณฑลให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษกับการให้อังกฤษยอมรับอธิปไตยของสยามในส่วนอื่นของประเทศ คนเหล่านี้จึงตกค้างและกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียในปัจจุบัน คนสยามดังกล่าวมีการสืบทอดวัฒนธรรมไทย เช่น ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง เข้าพรรษา ออกพรรษา กฐิน และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสื่อสารในท้องถิ่นความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมมือทางวิชาการ. ไทยและมาเลเซียมีความร่วมมือทางวิชาการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับมาเลเซีย ลงนามเมื่อ 21 สิงหาคม 2550 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านอุดมศึกษาระหว่างไทยกับมาเลเซีย ลงนามเมื่อ 19 มกราคม 2554 ซึ่งดำเนินความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและมาเลเซีย การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา และการให้ทุนการศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความร่วมมือระหว่างสถาบันวิชาการไทย - มาเลเซีย (Thailand-Malaysia Think Tank and Scholar Network) โดยมีศูนย์ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Institute of Strategic and International Studies ของมาเลเซียเป็นผู้ประสานงานหลักกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้าง เศรษฐกิจ. โครงสร้าง. ตั้งแต่สมัยอาณานิคม การส่งออกดีบุก ยางพารา และน้ำมันปาล์มก็เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซียมาโดยตลอดเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลอาณานิคม รวมทั้งชาวยุโรปด้วย เมื่อถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ. 1939-1945) ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมควบคุมประเทศ อุตสาหกรรมดีบุก ยางพาราและนำมันปาล์มต่างซบเซาลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารายังต้องแข่งกันกับยางสังเคราะห์ที่เติบโตขึ้นในช่วงสงคราม อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามสิ้นสุด ทั้งยางพาราและน้ำมันปาล์มก็กลับมาเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ยางธรรมชาติได้รับการพิสูจน์ว่าดีกว่ายางสังเคราะห์ แม้ว่าสวนยางจะประสบความยุ่งยากบ้างในช่วงที่มลายาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี ค.ศ. 1948 - 1960 ส่วนปาล์มก็มีการปลูกไปทั่วในช่งวกลางทศวรรษ 1950 ทั้งยังมีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามา พร้อมๆกับเป็นช่วงที่ตลาดการค้าโพ้นทะเลเฟื่องฟู ทำให้มาเลเซียกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงนั้น ต่างกับดีบุกที่มีการส่งออกมาตรการประหยัดการใช้ดีบุก ส่งผลให้ราคาดีบุกขึ้นๆ ลงๆ จนผลสุดท้ายอุตสาหกรรมนี้ลดความสำคัญลงไป นอกจากนี้สินค้าส่งออกที่สำคัญขณะนั้นยังได้แก่ ไม้ซุงจากเกาะบอร์เนียวเหนือ และพืชเชิงพานิชย์ต่างๆ เช่น เนื้อมะพร้าวแห้ง ปอมะนิลา โกโก้ การกำหนดแนวทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเจริญเติบโตของประเทศไปพร้อมกับการแก้ปัญหาสังคมและการเมืองถูกกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่ยังเป็นสหพันธ์มลายาฉบับแรกๆ (ช่วงปี ค.ศ. 1956 - 1960) เน้นการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ พยายามผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าแต่ไม่ค่อยได้ผล เพราะตลาดการค้าในประเทศยังเล็กมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยพยายามทำให้รายได้กระจายไปสู่ประชากรอย่างทั่วถึง ให้ทุกคนมีงานทำ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ การว่างงานและความยากจน โดยเฉพาะกลุ่มชาวมลายูในชนบท รัฐบาลจึงพยายามพัฒนาที่ดินและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ถนนหนทาง โรงเรียน สถานพยาบาล ระบบชลประทาน แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ชาวจีนซึ่งถือว่าเป็นคนมาอยู่ใหม่ ไม่ใช่เจ้าของที่กลับขยันขันแข้ง เข้ามาหักร้างถางพง และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชาวมลายูที่อยู่มาก่อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีนขณะนั้น ทำให้บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคตชาวจีนจะควบคุมประเทศ ในขณะที่ชาวมลายูจะถูกไล่เข้าป่าดงดิบซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1957 เศรษฐกิจของมาเลเซียก็เติบโตขึ้น แล้วเริ่มเปลี่ยนจากการทำดีบุกกับยางพาราเป็นหลักไปเป็นทำอุตสาหกรรมที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่ที่คุกคามเศรษฐกิจคือ ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติซึ่งเกิดปะทุขึ้นรุนแรงจนนำไปสู่จลาจลในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1969 รัฐบาลซึ่งขณะนั้นนำโดยพรรคอัมโนจึงคิดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy-NEP) ออกมาแก้ปัญหา นำออกมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 โดยเนื้อหาสำคัญคือ ให้สิทธิพิเศษแก่พวก "ภูมิบุตร" หรือพลเมืองเชื้อสายมลายูเช่น กำหนดสัดส่วนข้าราชการส่วนใหญ่ให้เป็นชาวมลายู ให้สิทธิการเข้าเรียน จัดแบ่งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพานิชย์ให้แก่พลเมืองเชื้อสายมลายูก่อนพลเมืองเชื้อสายจีนหรืออินเดีย นโยบายดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของมาเลเซียดีขึ้น สัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวมลายูในบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ระหว่างปี ค.ศ. 1997-1998 ที่ทำให้การถือหุ้นตกไปอยู่ในมือชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวมลายูเองก็มักลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรในระยะสั้น มีวัฒนธรรมการเล่นพวกพ้องที่เป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม ช่วงนั้นมาเลเซียได้รู้วิธีการจัดการและกลลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มาเลเซียปรับตัวได้ดีเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008-2009 โดยเศรษฐกิจมาเลเซียหดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พลเมืองของประเทศมาเลเซียทั้งเชื้อชาติมลายู อินเดียและจีน ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยกเลิก NEP ไป เพราะเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ ส่วนนักลงทุนต่างชาติตะวันตกเห็นว่า NEP มีผลเสีย เนื่องจากทำให้พวกภูมิบุตรเอาแต่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บ้างก็วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้ว NEP อาจมีเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคอัมโน เนื่องจากเป็นนโยบายที่อำนวยผลประโยชน์ต่อพลเมืองเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรค ในปี ค.ศ. 2010 เศรษฐกิจมาเลเซียเจริญเติบโตอย่างมาก ธนาคารของมาเลเซียมีเงินทุนที่มั่นคง ใช้การบริการแบบอนุรักษนิยม ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งสัมพันธ์กับวิกฤติซับไพร์ที่เกิดในอเมริกา ธนาคารแห่งชาติมีนโยบายรักษาสภาพคล่องในการลงทุน ห้ามลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงตามระแสการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงและหนี้ต่างประเทศต่ำ ในที่สุดปี ค.ศ. 2010 นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่มาจากพรรคอัมโนได้ยกเลิกข้อบังคับสิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูในด้านต่างๆ รวมถึงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น กำหนดให้บริษัทที่จะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีชาวมลายูถือหุ้นอย่างน้อย ร้อยละ 30 และประกาศต้นแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model-NEM) ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ (Economic Transformation Program-ETP) หลักการสำคัญของ NEM ได้แก่ การเพิ่มรายได้ให้ประชาชน กระจายรายได้และผลประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน และให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน นโยบายหรือการลงทุนต่างๆภายใต้ NEM จึงต้องคำนึงถืองผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม มาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค มุ่งให้ความสำคัญแก่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันชีวภาพ เครื่องสำอาง และพลาสติก อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซพลังงานธรรมชาติ อุตสาหกรรมภาคบริการ เกษตรกรรม พลังงานทางเลือก รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อย่าง เพลง ภาพยนตร์ ศิลปะ และการแสดงด้วย นอกจากนี้ยังมีการวางแผนที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ รวมถึงเป็นศูนย์ทางการเงินของอิสลาม- ยุทธศาสตร์ของ NEM เพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของมาเลเซียบรรลุเป้าหมาย จึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ NEM 8 ประการขึ้นมา ได้แก่1. ผลักดันให้ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 2. เพิ่มคุณภาพของแรงงานชาวมาเลเซีย และลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติ 3. ส่งเสริมการแข่งขันภายในมาเลเซีย 4. สร้างความแข้มแข็งให้ระบบราชการ 5. ให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ด้อยโอกาศอย่างโปร่งใส และเป็นมิตรกับระบบตลาด 6. สร้างความรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 7. ส่งเสริมปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 8. ส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน- โครงการ FELDA จัดสรรที่ดินแก่ชาวมลายู เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลที่คิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของชาวมลายูในชนบท คือโครงการ FELDA (Federal Land Development Authority) โครงการนี้จะให้ทุนแก่เจ้าของสวนยางรายย่อย โดยจะช่วยอุดหนุนสำหรับปลูกต้นยางที่มีผลผลิตสูงและต้านทางโรคได้มาก ในโครงการนี้ผู้รับเหมาจะต้องถางที่ดินระหว่าง 1,600 - 2,000 เฮกตาร์ให้โล่งแล้วปลูกยาง จากนั้นแบ่งที่ดินออกเป็นระหว่าง 3.2 - 4 เฮกตาร์เพื่อจัดสรรให้แก่ชาวมลายู ชาวมลายูเหล่านี้จะได้รับปุ๋ยและเงินยังชีพช่วยเหลือขึ้นอยู่กับผลงานรายวันในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายในกาพัฒนาที่ดินต้องคืนให้แก่รัฐภายใน 10 - 15 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ยางพาราจะโตเต็มที่พอดี แม้แผนโครงการ FELDA แต่สุดท้ายก็มีชาวมลายูเข้าร่วมเพียงเล็กน้อย และบางคนยังคัดค้านโครงการนี้อีกด้วย- มาเลเซีย ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมฮาลาล อุตสาหกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากในมาเลเซีย คืออุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งไม่ได้หมายถึงอาหารอิสลามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสินค้าประเภทอื่น เช่น ยา เครื่องสำอาง ของใช้ประเภทสบู่ ยาสีฟัน เครื่องหนัง ฯลฯ และเกี่ยวข้องกับการบริการ เช่น การจัดเลี้ยง โรงแรม การฝึกอบรม ธนาคาร สื่อสารมวลชน โลจิสติกส์ และท่องเที่ยวด้วย มาเลเซียวางเป้าหมายให้อุตสาหกรรมฮาลาลของตนเป็นศูนย์กลางของโลก โดยมีการจัดตั้ง Halal Industry Development Corporation-HDC ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ให้เป็นหน่วยงานกลางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล HDC ได้จัดทำ The Halal Industry Master Plan สำหรับปี ค.ศ. 2008 - 2020 โดยจัดแผนการดำเนินงานเป็น 3 ระยะได้แก่ - มุ่งเตรียมความพรอมให้มาเลเซียก้าวไปเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดย HDC จะเป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยส่งเสริม ผลักดัน และให้การสนับสนุนการค้า การลงทุนในอุตสาหกรรมฮาลาล และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง - มุ่งเน้นความสนใจไปที่ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารแปรรูป และเครื่องใช้ส่วนตัว ให้การพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรมและการทำการตลาด - ระยะนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมฮาลาล จากระดับท้องถิ่นสู่ผู้นำในระดับสากล รวมถึงการก่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮาลาล ผดดยระยะที่สามนี้วางแผนอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 2015 - 2020- ทรัพยากรที่สำคัญ ยางพารา น้ำมันปาล์ม น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ไม้สัก- อุตสาหกรรมหลัก อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร- สินค้าส่งออกที่สำคัญ ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว ปิโตเลียม เฟอร์นิเจอร์ ยาง น้ำมันปาล์ม- สินค้านำเข้าที่สำคัญ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร- ตลาดส่งออกที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไทย ฮ่องกง- ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ไทยการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประเทศมาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมืองเนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ ประเทศมาเลเซียประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูร้อยละ 50.4 เป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบะฮ์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิม และอยู่ในกรอบวัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวัก (ได้แก่ชาวอิบัน ร้อยละ 30) และร้อยละ 60 ของประชากรรัฐซาบะฮ์ (ได้แก่ชาวกาดาซัน-ดูซุน ร้อยละ 18 และชาวบาเจา ร้อยละ 17) นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบสมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ประชากรกลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวภูมิบุตรหรือชนดั้งเดิมเป็นพวกที่เข้ามาใหม่ โดยเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน มีอยู่ร้อยละ 23.7 ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวทมิฬ แต่ยังมีชาวอินเดียกลุ่มอื่น อย่างเกรละ, ปัญจาบ, คุชราต และปาร์ซี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย โดยอาศัยอยู่ในรัฐทางตอนเหนือของประเทศ มีคนเชื้อสายชวาและมีนังกาเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ ชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชนลูกครึ่งอื่น ๆ อย่าง ฮอลันดาและอังกฤษ ส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนังศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2010 ประเทศมาเลเซียมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลาม 60% ศาสนาพุทธ 19% ศาสนาคริสต์ 12% ศาสนาฮินดู 6.3% ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า 1.3% ศาสนาอื่น ๆ 2% ไม่มีศาสนา 6.1% แต่การหันไปนับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามเป็นปัญหาอย่างมากเนื่องจากทางภาครัฐจะไม่เปลี่ยนข้อมูลทางราชการให้ มาเลเซียบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะมีสิทธิพิเศษ คือ ได้รับเงินอุดหนุนเรื่องค่าครองชีพตามนโยบายภูมิบุตรของรัฐบาล และยังมีการสนับสนุนให้การไม่มีศาสนาเป็นเรื่องผิดกฎหมายอีกด้วยภาษากีฬาฟุตบอลวัฒนธรรม วัฒนธรรม. มาเลเซียประกอบด้วยชนจากหลายเผ่าพันธุ์ (พหุสังคม) รวมกันอยู่ บนแหลมมลายูมากว่า 1,000 ปี ประกอบด้วยเชื้อชาติใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ ชาวมลายู ชาวจีน และชาวอินเดีย อาศัยอยู่บนแหลมมลายู ส่วนชนพื้นเมืองอื่นๆ เช่น อิบัน (Ibans) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐซาราวัค และคาดาซัน (Kadazans) อาศัยอยู่ในรัฐซาบะฮ์ ด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติภายในประเทศ ทำให้เกิดการหล่อหลอมของวัฒนธรรมและส่งผลต่อ การดำรงชีวิตของชาวมาเลเซีย จึงเกิดประเพณีที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น 1.การรำซาบิน (Zapin) :เป็นการแสดงการฟ้อนรำหมู่ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองของชาวมาเลเซีย โดยเป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธพลมาจาก ดินแดนอาระเบีย โดยมีผู้แสดงเป็นหญิง ชาย จำนวน 6 คู่ เต้นตามจังหวะของกีตาร์แบบอาระเบีน และ กลอง เล็กสองน้าที่บรรเลงจากช้าไปเร็ว 2.เทศกาลทาเดา คาอามาตัน (Tadau Kaamatan) :เป็นเทศกาลประจำปีในรัฐซาบะฮ์ จัดในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดของฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวและเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ โดยจะมีพิธีกรรมตามความเชื่อในการทำเกษตร และมีการแสดงระบำพื้นเมือง และขับร้องบทเพลงท้องถิ่นเพื่อเฉลิมฉลองอีกด้วยวัฒนธรรมร่วมสมัยการแต่งกายสถาปัตยกรรมอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุด
ศาสนาใดคือศาสนาประจำชาติของประเทศมาเลเซีย
{ "answer": [ "อิสลาม" ], "answer_begin_position": [ 1933 ], "answer_end_position": [ 1939 ] }
3,285
1,924
ประเทศมาเลเซีย มาเลเซีย (มาเลเซีย: ) เป็นประเทศสหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ และดินแดนสหพันธ์ 3 ดินแดน และมีเนื้อที่รวม 330,803 ตารางกิโลเมตร (127,720 ตารางไมล์) โดยมีทะเลจีนใต้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ได้แก่ มาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก มาเลเซียตะวันตกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับไทย และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับสิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มาเลเซียตะวันออกมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกับบรูไนและอินโดนีเซีย และมีพรมแดนทางทะเลกับร่วมฟิลิปปินส์และเวียดนาม เมืองหลวงของประเทศคือกัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่ปูตราจายาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลกลาง ด้วยประชากรจำนวนกว่า 30 ล้านคน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 42 ของโลก ตันจุงปีไอ (Tanjung Piai) จุดใต้สุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยูเรเชียอยู่ในมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศในเขตร้อน และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเป็นจำนวนมาก มาเลเซียมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรมลายูหลายอาณาจักรที่ปรากฏในพื้นที่ แต่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา อาณาจักรเหล่านั้นก็ทยอยขึ้นตรงต่อจักรวรรดิบริเตน โดยอาณานิคมกลุ่มแรกของบริเตนมีชื่อเรียกรวมกันว่านิคมช่องแคบ ส่วนอาณาจักรมลายูที่เหลือกลายเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนในเวลาต่อมา ดินแดนทั้งหมดในมาเลเซียตะวันตกรวมตัวกันเป็นครั้งแรกในฐานะสหภาพมาลายาในปี พ.ศ. 2489 มาลายาถูกปรับโครงสร้างเป็นสหพันธรัฐมาลายาในปี พ.ศ. 2491 และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 มาลายารวมกับบอร์เนียวเหนือ ซาราวัก และสิงคโปร์เป็นมาเลเซียเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2506 แต่ไม่ถึงสองปีถัดมา คือในปี พ.ศ. 2508 สิงคโปร์ก็ถูกขับออกจากสหพันธ์ มาเลเซียเป็นประเทศพหุชาติพันธุ์และพหุวัฒนธรรมซึ่งมีบทบาทอย่างมากในด้านการเมือง ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดมีเชื้อสายมลายู โดยมีชนกลุ่มน้อยกลุ่มสำคัญคือ ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และชนพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มต่าง ๆ รัฐธรรมนูญประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ก็ยังให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม ระบบรัฐบาลมีรูปแบบคล้ายคลึงกับระบบรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์ ระบบกฎหมายมีพื้นฐานอยู่บนระบบคอมมอนลอว์ ประมุขแห่งรัฐเป็นพระมหากษัตริย์หรือที่เรียกว่ายังดีเปอร์ตวนอากง ทรงได้รับเลือกจากบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐในมาเลเซียตะวันตก 9 รัฐ โดยทรงดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ส่วนหัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่ได้รับเอกราช มาเลเซียเป็นประเทศที่มีประวัติทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย โดยมีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเติบโตขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปีเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ระบบเศรษฐกิจแต่เดิมได้รับการขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ แต่ก็กำลังขยายตัวในภาควิทยาศาสตร์ การท่องเที่ยว การพาณิชย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทุกวันนี้ มาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากอินโดนีเซียและไทย) เป็นสมาชิกจัดตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และองค์การความร่วมมืออิสลาม และเป็นสมาชิกของความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เครือจักรภพแห่งชาติ และขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. ประเทศมาเลเซียปัจจุบันไม่ค่อยมีหลักฐานแสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่ กัมพูชามีเมืองพระนคร อินโดนีเซียมีโบโรบูดูร์ หลักฐานทางโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดที่พบได้แก่ กะโหลกศีรษะมนุษย์ ยุคโฮโมเซเปียน ในถ้ำนียะห์ รัฐซาราวัก โรงเครื่องมือหินที่พบในโกตาตัมปัน รัฐเปรัก หลักฐานดังกล่าวบ่งชี้ว่ามนุษย์ในยุคแรกเริ่มของบริเวณนี้เป็นนักล่าสัตว์ และผู้เพาะปลูกเร่ร่อนของ ยุคหินกลาง อาศัยอยู่ตามเพิงหินและถ้ำในภูเขาหินปูนของคาบสมุทร ใช้เครื่องมือหินตัดบดและล่าสัตว์ป่า ราว 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีกลุ่มคนยุคหินใหม่อพยพมาจากจีนตอนใต้เข้ามาสู่บริเวณนี้ และด้วยความที่มีเครื่องมือทันสมัยกว่า รู้จักวิธีเพาะปลูก ในที่สุดจึงขับไล่พวกที่มาอยู่ก่อนเข้าไปในภูเขาและป่าชั้นในของแหลมมลายู หลังจากนั้นราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็มีกลุ่มคนยุคเหล็กและยุคสำริด ใช้โลหะเป็นอาวุธ รู้จักค้าขาย ก็มาขับไล่พวกเดิมให้อยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก พวกที่มาใหม่นี้ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของชาวมาเลเซียในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของมาเลเซียในยุคโบราณมีไม่มากนัก นักประวัติศาสตร์จึงมักถือเอาช่วงเวลาที่ มะละกา ปรากฏตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญทางชายฝั่งคาบสมุทรมลายูเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มาเลเซีย พงศาวดารมลายูกล่าวว่ากษัตริย์ปรเมศวรเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองนี้ตามชื่อต้นมะละกา ( A Malaka tree-ต้นมะขามป้อม) ซึ่งในขณะที่พระองค์ทรงพักผ่อนใต้ร่มต้นไม้นี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นกระจงหันเตะสุนัขล่าสัตว์ แสดงให้เห็นว่าในพื้นที่นี้ แม้แต่สัตว์ก็ยังมีเลือดนักสู้ จึงนับเป็นลางที่ดีที่ทำให้พระองค์ตัดสินใจตั้งหลักปักฐานที่นี่ และสร้างมะละกาให้กลายเป็นอาณาจักรชายฝั่งทะเลที่รุ่งเรืองต่อมา อีกคำสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่ามะละกามาจากคำอาหรับที่ว่า มะละกัด (Malakat) หรือศูนย์กลางการค้าอันเป็นชื่อที่พ่อค้ามักใช้เรียกเกาะวอเตอร์ (Water Island)ที่อยู่ใกล้ๆนานแล้วมะละกาจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย มะละกาจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย. มะละกาเป็นเมืองท่าสำคัญ ก่อตั้งขึ้นประมาณ ค.ศ. 1400 ตั้งอยู่บนช่องแคบมะละกาซึ่งคร่อมเส้นทางการค้าสำคัญทางทะเลจากตะวันออกสู่ตะวันตก ระหว่างสองเมืองสำคัญอย่างจีนกับอินเดีย ถือเป็นท่าเรือที่ดีเพราะไม่มีป่าโกงกาง น้ำลึกพอให้เรือเทียบท่าและมีเกาะสุมาตราเป็นที่กำบังพายุการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. มาเลเซียมีการปกครองแบบสหพันธรัฐ มีรัฐบาลกลางทำหน้าที่ดูแลเรื่องสำคัญๆ เช่น การต่างประเทศ การป้องกันประเทศ ความมั่นคง ตุลาการ การคลัง และอื่นๆ ขณะที่ในแต่ละรัฐมีรัฐบาลของรัฐดูแลด้านศาสนา ประเพณี สังคม เกษตรกรรม การคมนาคมภายในรัฐ บางรัฐเช่นกลันตัน มีระบบราชการในรูปแบบของตนเอง นอกจากนี้ในแต่ละรัฐจะมีสภาแห่งรัฐที่มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี เหมือนกันหมดประมุข ประมุข. สมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกตั้งสุลต่าน 9 รัฐ ได้แก่ ยะโฮร์ ตรังกานู ปะหัง เซอลาโงร์ เกอดะฮ์ กลันตัน เนอเกอรีเซิมบีลัน เปรัก และปะลิส ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นดำรงตำแหน่ง วาระละ 5 ปี ส่วนอีก 4 รัฐ คือ ปีนัง มะละกา ซาบะฮ์ และซาราวัก ไม่มีสุลต่านปกครอง ตามปกติสุลต่านที่มีอาวุโสสุงสุดจะได้รับเลือก โดยต้องได้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังอาจได้รับเลือกเข้ามาเป็นสมัยที่ 2 อีกได้ หากสุลต่านจากรัฐอื่นๆ ได้ดำรงตำแหน่ง ยัง ดี เปอร์ตวน อากงเรียบร้อยแล้ว อำนาจส่วนใหญ่ของ ยังดีเปอร์ตวน อากง เกี่ยวข้องกับพิธีการต่างๆ นอกจากนั้นมีอำนาจในทางบริหาร และนิติบัญญัติ คือ กฎหมายที่ออกมาจะต้องประกาศใช้ ถูกยับยั้ง หรือ ได้รับการแก้ไขในนามพระองค์ มีอำนาจเกี่ยวกับการกำหนดสมัยประชุมสภา แต่งตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก หรือที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจอภัยโทษ แต่งตั้งประธานศาลและผู้พิพากษาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาล นอกจากนี้ยังสามารถประกาศภาวะฉุกเฉิน พอเสียชีวิต โดยถ้ารัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็น ยังดี เปอร์ตวน อากง จะเป็นผู้ประกาศพระบรมราชโองการ และเมื่อประกาศใช้แล้วจะไม่มีพระบรมราชโองการใดมาเปลี่ยนแปลงได้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหาร. นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำสูงสุด มาจากหัวหน้าพรรคการเมืองที่สมาชิกได้รับเลือกเข้ามานั่งในสภามากที่สุด หรืออาจเป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแกนนำในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง จะเป็นผู้แต่งตั้ง ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นพลเมืองของสหพันธรัฐโดยกำเนิดเท่านั้น และต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสุงสุดในระบบราชการ รวมทั้งมีหน้าที่ถวายคำแนะนำชี้แจงนโยบายการปกครองและการบริหารรัฐให้แก่ ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง ส่วนรองหัวหน้าพรรคจะได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไปด้วย ถือเป็นผู้มีอำนาจรองจากนายกรัฐมนตรีและเป็นบุคคลที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากนายกรัฐมนตรี ภายใต้การนำของนายกรับมนตรี มีกลุ่มผู้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินคือคณะรัฐมนตรี โดยมีการเลือกรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ เอาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งด้วยระบบการเมืองของมาเลเซียที่มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก อีกทั้งหลายพรรคตั้งขึ้นมาโดยอาศัยเชื้อชาติ ศาสนา การเลือกสรรบุคคลจึงเป็นเรื่องยากเพราะต้องคำนึงถึงอัตราส่วนตัวแทนพรรค และตัวบุคคลว่าจะทำงานร่วมกันกับตัวแทนของเชื้อชาติอื่นๆได้หรือไม่ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ด้านนิติบัญญัติของมาเลเซียคือรัฐสภา รัฐสภาจะทำหน้าพิจารณากฎหมายต่างๆ และทำการแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ รวมถึงตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล กฎหมายต่างๆที่ออกโดยรัฐสภาของมาเลเซียประกอบด้วยสองสภาได้แก่ 1.เดวัน รักยัต (Dewan Rakyat) หรือสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก 222 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป โดยจะมีการเลือกตั้งทุก 5 ปี 2.เดวัน เนกรา (Dewan Negara) หรือวุฒิสภา มีสมาชิก 70 คน โดยเลือกตั้งสมาชิกก 26 คนมาจาก ทั้ง 13 รัฐ รัฐละ 2 คน ส่วนอีก 44 คนมาจากการแต่งตั้งโดย ยัง ดี-เปอร์ตวน อากง ภายใต้คำแนะนำของนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี อำนาจทางการเมืองจะอยู่กับ เดวัน รักยัต ในขณะที่ เดวัน เนกรามีอำนาจยับยั้งกฎหมายต่างๆ ได้ เพื่อเป็ยการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันพรรคการเมืองฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตุลาการ. สถาบันทางตุลาการทั้งประเทศยกเว้นศาลอิสลาม อยู่ภายใต้ระบบสหพันธรัฐ อำนาจตุลาการเป็นอิสระมาก ปราศจากการควบคุมหรือแทรกแซงโดยฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ สถาบันตุลาการสูงสุดหรือศาลฎีกา ทำหน้าที่รับข้อพิจารณาเรื่องอุทธรณ์จากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงคอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างรัฐกับรัฐด้วย จากศาลสูงสุดไล่ลงมาเป็นขั้นๆ จนถึงระดับท้องถิ่นมีศาลประเภทต่างๆ ที่ประชาชนสามารถร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมได้ ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรมจะมีศาลอิสลามและศาลของชนพื้นเมืองเป็นฝ่ายพิจารณา นอกจากนี้ยังมีศาลประเภทอื่นๆ เช่น ศาลสูง (ศาลรองจากศาลสูงสุด) ศาลเฉพาะ (ศาลที่ทำคดีอาญามีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี กับศาลแพ่งที่ต้องคืนทรัพย์ไม่เกิน 2 หมื่นริงกิต) ศาลแขวง (ศาลที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งที่มีโทษสถานเบา) ศาลท้องถิ่น (ศาลที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่มีการกระทำความผิดเล็กน้อย เน้นการรอมชอม) ศาลเด็ก (ศาลที่พิจารณาคดีของบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี) เป็นต้นการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 รัฐ และ 3 ดินแดนสหพันธ์ โดย 11 รัฐ กับ 2 ดินแดนสหพันธ์ อยู่ในมาเลเซียตะวันตก และอีก 2 รัฐ กับ 1 ดินแดนสหพันธ์ อยู่ในมาเลเซียตะวันออก แต่ละรัฐแบ่งเป็นเขต แต่ละเขตแบ่งเป็นมูกิม (mukim) ในรัฐซาบะฮ์และรัฐซาราวัก เขตในรัฐจะถูกจัดกลุ่มโดยบาฮาเกียน (ภาษามลายู: Bahagian, ) ดินแดนสหพันธ์เป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครองโดยตรง ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง), ปูตราจายา (เมืองราชการ) และลาบวน (ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศนอกชายฝั่ง) โดยทั้งกัวลาลัมเปอร์และปูตราจายาอยู่ในพื้นที่รัฐเซอลาโงร์ ส่วนลาบวนอยู่ใกล้รัฐซาบะฮ์ต่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป ต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป. ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2500 และมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ เอกอัครราชทูต ณ กัวลาลัมเปอร์ คนปัจจุบันคือ นายกฤต ไกรจิตติ ซึ่งเดินทางไปรับหน้าที่เมื่อวันที่ 2 เดือนตุลาคม 2555 นอกจากนี้ ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง ได้แก่ (1) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง และ (2) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ซึ่งตั้งสำนักงานในมาเลเซียได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารทั้งสามเหล่าทัพ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน และสำนักงานประสานงานตำรวจ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มาเลเซีย มาเลเซียมีสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย และเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ได้แก่ ดาโต๊ะ นาซีระห์ บินตี ฮุสซัยน์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 และมีสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา และกงสุญใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา ได้แก่ นายไฟซัล แอต มุฮัมมัด ไฟซัล บิน ราซาลี ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียแบ่งออกเป็น 2 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การดำเนินความร่วมมือภายใต้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ อาทิ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย (Joint Commission : JC) คณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (Joint Development Strategy : JDS) คณะกรรมการด้านความมั่นคง ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) คณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ซึ่งทั้ง 3 ระดับเป็นกรอบความร่วมมือของฝ่ายทหารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคง และความร่วมมือชายแดน คณะกรรมการด้านความมั่นคงกรอบอื่น ๆ เฉพาะเรื่อง อาทิ คณะกรรมการร่วมด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และความร่วมมือในกรอบ Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle (IMT-GT) และอาเซียน และ (2) ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยการเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนร่วมกัน การร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศและการเสริมสร้างมาตรการสร้างความไว้วางใจ (Confidence Building Measures) บนพื้นฐานของกรอบ 3Es ได้แก่ การศึกษา (Education) การจ้างงาน (Employment) และการประกอบกิจการ (Entrepreneurship)ความสัมพันธ์ด้านการเมือง ความสัมพันธ์ด้านการเมือง. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียมีพลวัตร รวมทั้งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงการมี “จุดมุ่งหมาย” ร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงในอาเซียนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง. กองทัพไทยกับมาเลเซียมีการฝึกทางทหารระหว่างกันเป็นประจำ ได้แก่ (1) LAND EX THAMAL ซึ่งเป็นการฝึกประจำปีเริ่มเมื่อปี 2536 (2) THALAY LAUT ซึ่งมีการฝึกครั้งแรกเมื่อปี 2523 จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยไทยกับมาเลเซียสลับกันเป็นเจ้าภาพ (3) SEA EX THAMAL เริ่มเมื่อปี 2522 มีพื้นที่ฝึกบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการร่วมชายแดนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซียทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน (4) AIR THAMAL เป็นการฝึกการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีตามบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ตั้งแต่ปี 2525 โดยทำการฝึกทุกปี ประกอบด้วยการฝึกภาคสนามสลับกับการฝึกปัญหาที่บังคับการ และสลับกันเป็นเจ้าภาพ และ (5) JCEX THAMAL เป็นการฝึกร่วม/ผสมภายใต้กรอบการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการช่วยเหลือประชาชน อนึ่ง เมื่อวันที่ 3 - 7 มีนาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยประจำปี 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี มและเมื่อวันที่ 17-19 เมษายน 2555 รองผู้บัญชาการทหารบกและผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงกลาโหมได้เดินทางเยือนมาเลเซียเพื่อเข้าร่วม Defence Services Asia – DSA 2012) ครั้งที่ 13 และมาเลเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - มาเลเซีย (HLC) ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 14 - 16 พฤษภาคม 2555 ที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ. การค้า ในปี 2554 มาเลเซียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 การค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่า 24,724.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (749,626.68 ล้านบาท) ไทยส่งออก 12,398.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (373,606.62 ล้านบาท) และนำเข้า 12,326.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(376,020.05 ล้านบาท) โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 72.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เสียเปรียบดุลการค้าเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน 2,4613.43 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.10 เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการค้ารวมปี 2553 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่า 18,688.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (560,654.99 ล้านบาท) โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 6,602.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (198,073.34 ล้านบาท) ทั้งนี้ การค้าชายแดนประกอบเป็นสัดส่วนร้อยละ 74 ของการค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซีย สินค้าส่งออกของไทยไปมาเลเซีย ได้แก่ ยางพารา คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากมาเลเซียประกอบด้วย น้ำมันดิบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สื่อบันทึกข้อมูล ภาพ เสียง แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน น้ำมันสำเร็จรูป สินแร่และโลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ การลงทุน ในปี 2554 มาเลเซียลงทุนในไทยจำนวน 34 โครงการ มีมูลค่า 6,135 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสาขาการบริการยานยนต์ การเกษตร และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 21 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 3,863 ล้านบาท มาเลเซียสนใจมาลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมัน เนื่องจากมาเลเซียมีศักยภาพในการลงทุน และการลงทุนในไทยจะช่วยลดต้นทุนการผลิตเนื่องจากไทยมีแรงงานและอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ดีกว่ามาเลเซีย ทั้งนี้ Malaysia Industrial Development Authority (MIDA) อนุมัติส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่มีภาคการลงทุนของไทยลงทุนด้วยจำนวน 3 โครงการ มีมูลค่า 2,415 ล้านบาท นักลงทุนไทยที่สนใจไปลงทุนในมาเลเซียได้แก่ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท เครือซีเมนต์ไทย กลุ่มบริษัทสามารถ และร้านอาหารไทย การท่องเที่ยว ในปี 2554 มีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียเดินทางมาประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่งจำนวน 2.47 ล้านคน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวไทยไปมาเลเซียจำนวน 1.52 ล้านคน แรงงานไทย ปัจจุบัน มีแรงงานไทยในมาเลเซียประมาณ 210,000 คน โดยเป็นแรงงานถูกกฎหมายประมาณ 6,600 คน ทั้งนี้ ในปี 2553 มีแรงงานต่างชาติที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในมาเลเซียจำนวน 458,698 คน โดยแรงงานจากอินโดนีเซียจัดเป็นลำดับหนึ่ง ร้อยละ 55.81 และแรงงานไทยจัดอยู่ในลำดับ 9 ร้อยละ 1.45 มาเลเซียมีความต้องการแรงงานไทยสาขาก่อสร้าง งานนวดแผนไทย งานบริการ การเกษตรชายแดน อุตสาหกรรมและงานแม่บ้าน ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นบังคับใช้ ค่าจ้างขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ไทยกับมาเลเซียมีความร่วมมือด้านแรงงานในกรอบคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือแรงงานภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-มาเลเซียความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรม. ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียประกอบด้วย (1) กลุ่มแรงงานไทยในร้านต้มยำของมาเลเซีย (ร้านอาหารไทย) จำนวนมากกว่า 10,000 คน และ (2) กลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งศึกษาระดับมัธยมต้น - มัธยมปลายในโรงเรียนสอนศาสนาของรัฐบาลมาเลเซียจำนวน 350 คน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนมาเลเซียเชื้อสายสยาม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวไทยอาศัยอยู่ใน 4 มณฑลในภาคใต้ตอนล่างของสยาม เนื่องจากเมื่อปี 2452 รัฐบาลสยามตกลงมอบ 4 มณฑลให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษกับการให้อังกฤษยอมรับอธิปไตยของสยามในส่วนอื่นของประเทศ คนเหล่านี้จึงตกค้างและกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียในปัจจุบัน คนสยามดังกล่าวมีการสืบทอดวัฒนธรรมไทย เช่น ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง เข้าพรรษา ออกพรรษา กฐิน และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสื่อสารในท้องถิ่นความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมมือทางวิชาการ. ไทยและมาเลเซียมีความร่วมมือทางวิชาการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับมาเลเซีย ลงนามเมื่อ 21 สิงหาคม 2550 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านอุดมศึกษาระหว่างไทยกับมาเลเซีย ลงนามเมื่อ 19 มกราคม 2554 ซึ่งดำเนินความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและมาเลเซีย การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา และการให้ทุนการศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความร่วมมือระหว่างสถาบันวิชาการไทย - มาเลเซีย (Thailand-Malaysia Think Tank and Scholar Network) โดยมีศูนย์ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Institute of Strategic and International Studies ของมาเลเซียเป็นผู้ประสานงานหลักกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้าง เศรษฐกิจ. โครงสร้าง. ตั้งแต่สมัยอาณานิคม การส่งออกดีบุก ยางพารา และน้ำมันปาล์มก็เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซียมาโดยตลอดเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลอาณานิคม รวมทั้งชาวยุโรปด้วย เมื่อถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ. 1939-1945) ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมควบคุมประเทศ อุตสาหกรรมดีบุก ยางพาราและนำมันปาล์มต่างซบเซาลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารายังต้องแข่งกันกับยางสังเคราะห์ที่เติบโตขึ้นในช่วงสงคราม อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามสิ้นสุด ทั้งยางพาราและน้ำมันปาล์มก็กลับมาเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ยางธรรมชาติได้รับการพิสูจน์ว่าดีกว่ายางสังเคราะห์ แม้ว่าสวนยางจะประสบความยุ่งยากบ้างในช่วงที่มลายาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี ค.ศ. 1948 - 1960 ส่วนปาล์มก็มีการปลูกไปทั่วในช่งวกลางทศวรรษ 1950 ทั้งยังมีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามา พร้อมๆกับเป็นช่วงที่ตลาดการค้าโพ้นทะเลเฟื่องฟู ทำให้มาเลเซียกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงนั้น ต่างกับดีบุกที่มีการส่งออกมาตรการประหยัดการใช้ดีบุก ส่งผลให้ราคาดีบุกขึ้นๆ ลงๆ จนผลสุดท้ายอุตสาหกรรมนี้ลดความสำคัญลงไป นอกจากนี้สินค้าส่งออกที่สำคัญขณะนั้นยังได้แก่ ไม้ซุงจากเกาะบอร์เนียวเหนือ และพืชเชิงพานิชย์ต่างๆ เช่น เนื้อมะพร้าวแห้ง ปอมะนิลา โกโก้ การกำหนดแนวทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเจริญเติบโตของประเทศไปพร้อมกับการแก้ปัญหาสังคมและการเมืองถูกกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่ยังเป็นสหพันธ์มลายาฉบับแรกๆ (ช่วงปี ค.ศ. 1956 - 1960) เน้นการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ พยายามผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าแต่ไม่ค่อยได้ผล เพราะตลาดการค้าในประเทศยังเล็กมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยพยายามทำให้รายได้กระจายไปสู่ประชากรอย่างทั่วถึง ให้ทุกคนมีงานทำ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ การว่างงานและความยากจน โดยเฉพาะกลุ่มชาวมลายูในชนบท รัฐบาลจึงพยายามพัฒนาที่ดินและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ถนนหนทาง โรงเรียน สถานพยาบาล ระบบชลประทาน แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ชาวจีนซึ่งถือว่าเป็นคนมาอยู่ใหม่ ไม่ใช่เจ้าของที่กลับขยันขันแข้ง เข้ามาหักร้างถางพง และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชาวมลายูที่อยู่มาก่อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างชาวมลายูกับชาวจีนขณะนั้น ทำให้บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคตชาวจีนจะควบคุมประเทศ ในขณะที่ชาวมลายูจะถูกไล่เข้าป่าดงดิบซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1957 เศรษฐกิจของมาเลเซียก็เติบโตขึ้น แล้วเริ่มเปลี่ยนจากการทำดีบุกกับยางพาราเป็นหลักไปเป็นทำอุตสาหกรรมที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่ที่คุกคามเศรษฐกิจคือ ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติซึ่งเกิดปะทุขึ้นรุนแรงจนนำไปสู่จลาจลในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1969 รัฐบาลซึ่งขณะนั้นนำโดยพรรคอัมโนจึงคิดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy-NEP) ออกมาแก้ปัญหา นำออกมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 โดยเนื้อหาสำคัญคือ ให้สิทธิพิเศษแก่พวก "ภูมิบุตร" หรือพลเมืองเชื้อสายมลายูเช่น กำหนดสัดส่วนข้าราชการส่วนใหญ่ให้เป็นชาวมลายู ให้สิทธิการเข้าเรียน จัดแบ่งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพานิชย์ให้แก่พลเมืองเชื้อสายมลายูก่อนพลเมืองเชื้อสายจีนหรืออินเดีย นโยบายดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของมาเลเซียดีขึ้น สัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวมลายูในบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ระหว่างปี ค.ศ. 1997-1998 ที่ทำให้การถือหุ้นตกไปอยู่ในมือชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวมลายูเองก็มักลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรในระยะสั้น มีวัฒนธรรมการเล่นพวกพ้องที่เป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม ช่วงนั้นมาเลเซียได้รู้วิธีการจัดการและกลลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนช่วยให้มาเลเซียปรับตัวได้ดีเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008-2009 โดยเศรษฐกิจมาเลเซียหดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พลเมืองของประเทศมาเลเซียทั้งเชื้อชาติมลายู อินเดียและจีน ส่วนหนึ่งเห็นว่าควรยกเลิก NEP ไป เพราะเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ ส่วนนักลงทุนต่างชาติตะวันตกเห็นว่า NEP มีผลเสีย เนื่องจากทำให้พวกภูมิบุตรเอาแต่รอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บ้างก็วิจารณ์กันว่าแท้จริงแล้ว NEP อาจมีเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคอัมโน เนื่องจากเป็นนโยบายที่อำนวยผลประโยชน์ต่อพลเมืองเชื้อสายมลายู ซึ่งเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรค ในปี ค.ศ. 2010 เศรษฐกิจมาเลเซียเจริญเติบโตอย่างมาก ธนาคารของมาเลเซียมีเงินทุนที่มั่นคง ใช้การบริการแบบอนุรักษนิยม ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งสัมพันธ์กับวิกฤติซับไพร์ที่เกิดในอเมริกา ธนาคารแห่งชาติมีนโยบายรักษาสภาพคล่องในการลงทุน ห้ามลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงตามระแสการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงและหนี้ต่างประเทศต่ำ ในที่สุดปี ค.ศ. 2010 นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่มาจากพรรคอัมโนได้ยกเลิกข้อบังคับสิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูในด้านต่างๆ รวมถึงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น กำหนดให้บริษัทที่จะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีชาวมลายูถือหุ้นอย่างน้อย ร้อยละ 30 และประกาศต้นแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model-NEM) ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ (Economic Transformation Program-ETP) หลักการสำคัญของ NEM ได้แก่ การเพิ่มรายได้ให้ประชาชน กระจายรายได้และผลประโยชน์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน และให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน นโยบายหรือการลงทุนต่างๆภายใต้ NEM จึงต้องคำนึงถืองผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม มาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค มุ่งให้ความสำคัญแก่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันชีวภาพ เครื่องสำอาง และพลาสติก อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซพลังงานธรรมชาติ อุตสาหกรรมภาคบริการ เกษตรกรรม พลังงานทางเลือก รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อย่าง เพลง ภาพยนตร์ ศิลปะ และการแสดงด้วย นอกจากนี้ยังมีการวางแผนที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ รวมถึงเป็นศูนย์ทางการเงินของอิสลาม- ยุทธศาสตร์ของ NEM เพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของมาเลเซียบรรลุเป้าหมาย จึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ NEM 8 ประการขึ้นมา ได้แก่1. ผลักดันให้ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 2. เพิ่มคุณภาพของแรงงานชาวมาเลเซีย และลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติ 3. ส่งเสริมการแข่งขันภายในมาเลเซีย 4. สร้างความแข้มแข็งให้ระบบราชการ 5. ให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ด้อยโอกาศอย่างโปร่งใส และเป็นมิตรกับระบบตลาด 6. สร้างความรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 7. ส่งเสริมปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 8. ส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน- โครงการ FELDA จัดสรรที่ดินแก่ชาวมลายู เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลที่คิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของชาวมลายูในชนบท คือโครงการ FELDA (Federal Land Development Authority) โครงการนี้จะให้ทุนแก่เจ้าของสวนยางรายย่อย โดยจะช่วยอุดหนุนสำหรับปลูกต้นยางที่มีผลผลิตสูงและต้านทางโรคได้มาก ในโครงการนี้ผู้รับเหมาจะต้องถางที่ดินระหว่าง 1,600 - 2,000 เฮกตาร์ให้โล่งแล้วปลูกยาง จากนั้นแบ่งที่ดินออกเป็นระหว่าง 3.2 - 4 เฮกตาร์เพื่อจัดสรรให้แก่ชาวมลายู ชาวมลายูเหล่านี้จะได้รับปุ๋ยและเงินยังชีพช่วยเหลือขึ้นอยู่กับผลงานรายวันในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายในกาพัฒนาที่ดินต้องคืนให้แก่รัฐภายใน 10 - 15 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ยางพาราจะโตเต็มที่พอดี แม้แผนโครงการ FELDA แต่สุดท้ายก็มีชาวมลายูเข้าร่วมเพียงเล็กน้อย และบางคนยังคัดค้านโครงการนี้อีกด้วย- มาเลเซีย ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมฮาลาล อุตสาหกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากในมาเลเซีย คืออุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งไม่ได้หมายถึงอาหารอิสลามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสินค้าประเภทอื่น เช่น ยา เครื่องสำอาง ของใช้ประเภทสบู่ ยาสีฟัน เครื่องหนัง ฯลฯ และเกี่ยวข้องกับการบริการ เช่น การจัดเลี้ยง โรงแรม การฝึกอบรม ธนาคาร สื่อสารมวลชน โลจิสติกส์ และท่องเที่ยวด้วย มาเลเซียวางเป้าหมายให้อุตสาหกรรมฮาลาลของตนเป็นศูนย์กลางของโลก โดยมีการจัดตั้ง Halal Industry Development Corporation-HDC ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ให้เป็นหน่วยงานกลางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล HDC ได้จัดทำ The Halal Industry Master Plan สำหรับปี ค.ศ. 2008 - 2020 โดยจัดแผนการดำเนินงานเป็น 3 ระยะได้แก่ - มุ่งเตรียมความพรอมให้มาเลเซียก้าวไปเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดย HDC จะเป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยส่งเสริม ผลักดัน และให้การสนับสนุนการค้า การลงทุนในอุตสาหกรรมฮาลาล และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง - มุ่งเน้นความสนใจไปที่ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารแปรรูป และเครื่องใช้ส่วนตัว ให้การพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรมและการทำการตลาด - ระยะนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมฮาลาล จากระดับท้องถิ่นสู่ผู้นำในระดับสากล รวมถึงการก่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮาลาล ผดดยระยะที่สามนี้วางแผนอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 2015 - 2020- ทรัพยากรที่สำคัญ ยางพารา น้ำมันปาล์ม น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ไม้สัก- อุตสาหกรรมหลัก อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร- สินค้าส่งออกที่สำคัญ ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว ปิโตเลียม เฟอร์นิเจอร์ ยาง น้ำมันปาล์ม- สินค้านำเข้าที่สำคัญ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร- ตลาดส่งออกที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไทย ฮ่องกง- ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ไทยการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมเส้นทางคมนาคมโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประเทศมาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมืองเนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ ประเทศมาเลเซียประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูร้อยละ 50.4 เป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบะฮ์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิม และอยู่ในกรอบวัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวัก (ได้แก่ชาวอิบัน ร้อยละ 30) และร้อยละ 60 ของประชากรรัฐซาบะฮ์ (ได้แก่ชาวกาดาซัน-ดูซุน ร้อยละ 18 และชาวบาเจา ร้อยละ 17) นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบสมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ประชากรกลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวภูมิบุตรหรือชนดั้งเดิมเป็นพวกที่เข้ามาใหม่ โดยเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน มีอยู่ร้อยละ 23.7 ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวทมิฬ แต่ยังมีชาวอินเดียกลุ่มอื่น อย่างเกรละ, ปัญจาบ, คุชราต และปาร์ซี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย โดยอาศัยอยู่ในรัฐทางตอนเหนือของประเทศ มีคนเชื้อสายชวาและมีนังกาเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ ชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชนลูกครึ่งอื่น ๆ อย่าง ฮอลันดาและอังกฤษ ส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนังศาสนา ศาสนา. ในปี ค.ศ. 2010 ประเทศมาเลเซียมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลาม 60% ศาสนาพุทธ 19% ศาสนาคริสต์ 12% ศาสนาฮินดู 6.3% ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า 1.3% ศาสนาอื่น ๆ 2% ไม่มีศาสนา 6.1% แต่การหันไปนับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามเป็นปัญหาอย่างมากเนื่องจากทางภาครัฐจะไม่เปลี่ยนข้อมูลทางราชการให้ มาเลเซียบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะมีสิทธิพิเศษ คือ ได้รับเงินอุดหนุนเรื่องค่าครองชีพตามนโยบายภูมิบุตรของรัฐบาล และยังมีการสนับสนุนให้การไม่มีศาสนาเป็นเรื่องผิดกฎหมายอีกด้วยภาษากีฬาฟุตบอลวัฒนธรรม วัฒนธรรม. มาเลเซียประกอบด้วยชนจากหลายเผ่าพันธุ์ (พหุสังคม) รวมกันอยู่ บนแหลมมลายูมากว่า 1,000 ปี ประกอบด้วยเชื้อชาติใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ ชาวมลายู ชาวจีน และชาวอินเดีย อาศัยอยู่บนแหลมมลายู ส่วนชนพื้นเมืองอื่นๆ เช่น อิบัน (Ibans) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐซาราวัค และคาดาซัน (Kadazans) อาศัยอยู่ในรัฐซาบะฮ์ ด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติภายในประเทศ ทำให้เกิดการหล่อหลอมของวัฒนธรรมและส่งผลต่อ การดำรงชีวิตของชาวมาเลเซีย จึงเกิดประเพณีที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น 1.การรำซาบิน (Zapin) :เป็นการแสดงการฟ้อนรำหมู่ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองของชาวมาเลเซีย โดยเป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธพลมาจาก ดินแดนอาระเบีย โดยมีผู้แสดงเป็นหญิง ชาย จำนวน 6 คู่ เต้นตามจังหวะของกีตาร์แบบอาระเบีน และ กลอง เล็กสองน้าที่บรรเลงจากช้าไปเร็ว 2.เทศกาลทาเดา คาอามาตัน (Tadau Kaamatan) :เป็นเทศกาลประจำปีในรัฐซาบะฮ์ จัดในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดของฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวและเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ โดยจะมีพิธีกรรมตามความเชื่อในการทำเกษตร และมีการแสดงระบำพื้นเมือง และขับร้องบทเพลงท้องถิ่นเพื่อเฉลิมฉลองอีกด้วยวัฒนธรรมร่วมสมัยการแต่งกายสถาปัตยกรรมอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุด
ประเทศมาเลเซียตั้งอยู่ในภูมิภาคใด
{ "answer": [ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ], "answer_begin_position": [ 185 ], "answer_end_position": [ 207 ] }
2,198
17,401
ประเทศบราซิล บราซิล (; ) หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (; ) เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก มีพื้นที่กว้างขวางระหว่างตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้และ มหาสมุทรแอตแลนติก มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอุรุกวัย อาร์เจนตินา ปารากวัย โบลิเวีย เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาม และแคว้นเฟรนช์เกียนาของฝรั่งเศส (ติดกับทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ยกเว้นเอกวาดอร์และชิลี) ชื่อ "บราซิล" มาจากต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า บราซิลวูด (Pau-Brasil ในภาษาโปรตุเกส) ซึ่งนำไปใช้ย้อมผ้าด้วยสีแดงจากเปลือกไม้ของมัน บราซิลเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรมและป่าเขตร้อน การที่บราซิลมีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายและมีแรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ (สูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก) และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในปัจจุบัน บราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาทางการภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ภาคเหนือ กินพื้นที่ร้อยละ 42 ของทั้งประเทศ หรือใหญ่กว่ายุโรปตะวันตกทั้งหมด เป็นเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำจึด 1 ใน 5 ของโลก รวมทั้งเป็นเขตป่าฝน (rainforest) ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทั้ง 5 ภูมิภาคของบราซิล (คิดเป็นร้อยละ 18) ประกอบด้วย 7 รัฐ มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแอนแลนติก มีทั้งเขตลุ่มแม่น้ำที่สามารถทำการเพาะปลูกพืชเขตร้อน และเขตที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล มีเมืองใหญ่หลายเมือง ได้แก่ เมือง Salvador และเมือง Recife ภาคตะวันตกตอนกลาง เป็นที่ราบสูงเฉลี่ย 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล กินพื้นที่ร้อยละ 22 ของประเทศต่อจากเขต อเมซอนไปทางใต้ เป็นเขตป่าไม้ชุกชุม เป็นพี้นที่เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ บางแห่งเป็นพื่นที่แห้งแล้งกันดาร ภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่เพียงร้อยละ 11 ของประเทศ แต่เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ที่สุด 3 เมืองของบราซิล คือ รีโอเดจาเนโร เซาเปาลู และเบโลโอรีซอนตี และเป็นที่อยู่ของประชากรร้อยละ 45 ของทั้งประเทศ เป็นพื้นที่ชายฝั่ง หาดทราย และที่ราบสูง ภาคใต้ มีพื้นที่น้อยที่สุด มีอากาศใกล้เคียงกับยุโรป มีหิมะตกบางพื้นที่ในฤดูหนาว เป็นที่ตั้งรกรากของชาวยุโรปที่ไปตั้ง ถิ่นฐานในบราซิลในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะจาก อิตาลี เยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซีย และอยู่อาศัยเรื่อยมาจนปัจจุบัน ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ผลิตผลสำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลีข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าว รวมทั้งเป็นเขตปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศด้วยประวัติศาสตร์สมัยก่อนอาณานิคม ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนอาณานิคม. เดิมทีทวีปอเมริกาใต้ ชนเผ่าพื้นเมืองคือพวกอินเดียแดงเผ่าต่างๆ ต่อมาชาวยุโรปได้เข้ามายึดครองบริเวณนี้ โดยชาวโปรตุเกสได้ยึดครองบริเวณประเทศบราซิล ส่วนบริเวณประเทศอื่นๆในทวีปนี้ถูกยึดครองโดยชาวสเปน เหตุเพราะในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ชาวยุโรปได้เข้ามาในทวีปนี้ด้วยเข้าใจว่าทวีปนี้มีแร่ต่างๆเช่น น้ำมัน ทองคำ เงินและอื่นๆ แล้วชาวยุโรปได้ใช้กำลังกองทัพเข้าควบคุมบังคับชาวพื้นเมืองให้ทำงานในไร่นาและในเหมืองของตน ต่อมาหญิงชาวพื้นเมืองจำนวนมากได้แต่งงานกับชาวยุโรปทำให้มีลูกเลือดผสม จำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า เมสติโซ ปัจจุบันมีสายเลือดผสมนี้เป็นชนส่วนใหญ่ในทวีป และได้รับภาษา วัฒนธรรมจากทวีปยุโรป รวมทั้งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วยอาณานิคมโปรตุเกสสหราชอาณาจักรจักรวรรดิบราซิล จักรวรรดิบราซิล. วันที่ได้รับเอกราช 7 กันยายน พ.ศ. 2365 (จากโปรตุเกส)สาธารณรัฐ สาธารณรัฐ. ในพ.ศ. 2367 ได้ต่อต้านอำนาจสำเร็จ ปกครองแบบสาธารณรัฐศตวรรษที่ 20การเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียว ด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 2014 หากจำเป็นจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง (runoff election) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2014นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบ 2 สภา (Bicameral National Congress หรือ Congresso Nacional) ประกอบด้วย (1) Federal Senate หรือ Senado Federal จำนวน 81 ที่นั่ง สมาชิก 3 คนมาจากรัฐแต่ละรัฐ ระบบเสียงข้างมาก วาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี โดยจะมีการเลือกตั้งหนึ่งในสาม และสองในสามของสมาชิกทุกๆ 4 ปี สลับกัน และ (2) Chamber of Deputies หรือ Camera dos Deputados จำนวน 513 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบสัดส่วน (proportional representation) วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปีตุลาการ ตุลาการ. ฝ่ายตุลาการ มีศาลสูงสุดแห่งชาติ (Supreme Federal Tribunal) โดยที่ผู้พิพากษาทั้ง 11 คน มาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยวุฒิสภา มีวาระดำรงตำแหน่งตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเกษียณอายุเหมือนลูกจ้างภาครัฐทั่วไปที่อายุ 70 ปีการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย. ระบบกฎหมาย : ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (civil law)สถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศบราซิลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐ (states - estados) และ เฟเดอรัลดิสตริกต์ (federal district - distrito federal) (เป็นที่ตั้งของกรุงบราซีเลียเมืองหลวง) ได้แก่ รัฐต่าง ๆ และเฟเดอรัลดิสตริกต์ของบราซิลนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค โดยสถาบันภูมิศาสตร์และสถิติบราซิล (IBGE) คือ- ภาคเหนือ ประกอบด้วยรัฐอาเกร รัฐอามาปา อามาโซนัส ปารา รอนโดเนีย รอไรมา และโตกันตินส์ - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยอาลาโกอัส บาเยีย เซอารา มารันเยา ปาราอีบา เปร์นัมบูกู ปีเอาอี รีโอกรันดีโดนอร์เต และเซร์ชิเป - ภาคกลางและตะวันตก ประกอบด้วยโกยาส มาตูโกรสซูโดซูล มาตูโกรสซู และเฟเดอรัลดิสตริกต์ - ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเอสปีรีตูซันตู มีนัสเชไรส์ รีโอเดจาเนโร และเซาเปาลู - ภาคใต้ ประกอบด้วยปารานา รีโอกรันดีโดซูล และซันตากาตารีนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกากองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกทั้งในแง่จำนวนประชากรและอาณาเขต เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปละตินอเมริกาและมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นดินส่วนใหญ่ของทวีป บราซิลใช้ระบบปกครองแบบสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐและเขตนครหลวง 1 เขต โดยแต่ละรัฐจะมีรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารปกครองแบบอิสระ สามารถแบ่งรัฐเหล่านี้ออกได้เป็น 5 ภูมิภาค (ที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและสถิติ) กล่าวโดยรวมได้ว่าบราซิลเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหลายด้าน ทั้งในแง่ทรัพยากรธรรมชาติและพันธุ์ไม้ที่มีมากมายมหาศาล ชาติพันธุ์หลากวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ การใช้อำนาจอย่างนุ่มนวลทางการเมือง และชนชั้นกลางที่กำลังรุ่งเรือง เศรษฐกิจของบราซิลประกอบไปด้วยภาคส่วนเกษตรกรรม เหมืองแร่ การผลิต และการบริการขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนาอย่างสูง ตลอดจนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือได้ว่าบราซิลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในทวีปอเมริกาใต้ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง โดยมีการขยายอำนาจกว้างขวางขึ้นในตลาดโลกผ่านผู้เล่นสำคัญระดับโลก (บริษัทข้ามชาติ) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจระดับมหภาคได้ค่อยๆ ทวีความมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศและลดระดับหนี้โดยแปลงหนี้ให้เป็นตราสารหนี้สกุลเงินจริงและตราสารหนี้ในประเทศ จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 บราซิลได้ผงาดขึ้นเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเหมาะสมแก่การลงทุนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่ง ทว่าหลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปี ค.ศ. 2007-2008 วิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกได้โถมกระหน่ำบราซิลในช่วงปี ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัวเล็กน้อยจากผลกระทบนี้ แต่บราซิลสามารถหลบเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้จากมาตรการจูงใจภาครัฐและเงินลงทุนมหาศาล หลังจากที่อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ส่งออกของบราซิลลดลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศตกต่ำ สินเชื่อจากภายนอกเริ่มหายากขึ้น ทั้งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มฟื้นตัวและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมไต่ระดับสูงถึง 7.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากสำหรับบราซิล ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองและนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักชี้ว่าบราซิลจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ แม้การคาดการณ์นี้จะมีข้อยืนยันว่าเป็นจริงในอีกหลายปีต่อมา แต่อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวและมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแตะอยู่ที่ราว 1% ในปัจจุบัน ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเติบโตลดลงคือภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องหันมาใช้มาตรการผ่อนการตึงตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการดังกล่าวและภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทรุดตัวทำให้การเติบโตของประเทศช้าลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการว่างงานอยู่ในระดับต่ำลงเป็นประวัติการณ์และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งโดยมากอยู่ในระดับสูงกลับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี บราซิลสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยสูง ทว่ากลับส่งผลเสียต่อธุรกิจในประเทศ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ค่าเงินลอยตัวซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงตลาดเงินตราระหว่างประเทศและขึ้นภาษีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศบางส่วน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ผลักดันให้บราซิลเติบโตและเป็นที่จับตามองของประชาคมทั่วโลก มีเสียงชื่นชมนวัตกรรมที่ช่วยเหลือและสนับสนุนประชากรผู้ยากไร้ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งได้นำไปใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรและเชื้อเพลิงชีวภาพยังกลายมาเป็นโมเดลระหว่างประเทศ ฐานผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดึงดูดบริษัทและนักลงทุนมากมายมายังบราซิล ดังจะเห็นได้จากจำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าราว 64-66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.92-1.98 ล้านล้านบาท ) ต่อปีตั้งแต่ ค.ศ. 2011 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจบราซิลเริ่มชะลอตัวในปี ค.ศ. 2014 และคาดว่าจะยังคงชะลอตัวต่อไปในปี ค.ศ. 2015 จากการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะนำมาใช้ (เช่น มาตรการขึ้นราคาน้ำมัน) แม้สถานการณ์นี้จะทำให้บริษัทลงทุนต่างประเทศเริ่มหมดความสนใจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังคงอัดฉีดเงินทุนและขยายโรงงานหรือจัดทำโครงการใหม่ๆ เพื่อป้อนให้กับฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ต่อไป การชะลอตัวทางเศรษฐกิจนี้ไม่ควรนำมาซึ่งมาตรการคุ้มครองการค้า เนื่องจากมีระบบการคุ้มครองการค้าระดับสูงมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะในภาคการส่งออกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจในการลดอุปสรรคด้านภาษีอากรจากวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตัวกลาง รวมทั้งการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ ยังสื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะวางนโยบายการค้าไปในทิศทางดังกล่าวอุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมหลัก. อุตสาหกรรมหลักของประเทศบราซิลประกอบไปด้วยการผลิตอลูมิเนียม ซีเมนต์ เชื้อเพลิง เครื่องจักร กระดาษ พลาสติกและเหล็ก อุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคประกอบด้วยการผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด การผลิตและสุขอนามัยอาหาร การผลิตยาและสิ่งทอ อุตสาหกรรมสินค้าคงทนประกอบด้วยการผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนและยานพาหนะ บริการด้านการเงินประกอบด้วยอุตสาหกรรมบริการเงินทุน นอกจากนี้ บราซิลยังเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายรายใหญ่ของโลก อาทิ กล้วย กาแฟ ข้าวโพด หัวน้ำส้มเข้มข้น ข้าว ถั่วเหลือง แอลกอฮอล์และอ้อย ในแง่อื่นนอกเหนือจากเศรษฐกิจ บราซิลเป็นประเทศที่เติบโตในเชิงการเมืองและมีความโดดเด่นท่ามกลางประชาคมนานาชาติในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายได้ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติและอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทรัพยากรสูง โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและจีนที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ บราซิลยังมีบทบาทสำคัญในการเวทีโต้วาทีและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยมากจะรับหน้าที่เป็นผู้นำหรือตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การอภิปรายด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศเฮติหลังประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 2010 การเข้าร่วมหารือกลุ่มประเทศ BRIC และเป็นผู้นำประเทศกลุ่มจี 20 ในการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮา (Doha Round) โดยองค์การการค้าโลก การดำเนินการนี้ได้สร้างความสนใจจากประชาคมโลกในเชิงความสามารถทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังรุ่งเรืองของบราซิล ไม่เพียงเท่านั้น การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014 และงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ. 2016 ยังกระตุ้นความสนใจจากชาวต่างชาติ ทั้งในวงการสื่อและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหลายภูมิภาคที่มีแง่มุมและความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมที่เด่นชัดจนในบางครั้งทำให้ยากต่อการสรุปลักษณะทั่วไป ส่วนในแง่ธุรกิจ บริษัทส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานในเมืองเซาเปาลู หากกล่าวในแง่วัฒนธรรมแล้ว ถือว่าบราซิลมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง มีการผสมผสานรากเหง้าในแบบยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกันเนื่องจากมีผู้อพยพไหลบ่าเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และลักษณะนิสัยส่งผลให้ชาวบราซิลเป็นชาติพันธุ์ที่มีความซับซ้อนและมีวิถีชีวิตในแบบของตนเอง ชาวต่างชาติควรทำความเข้าใจว่าแม้ว่าชาวบราซิลจะมีนิสัยที่เป็นกันเองและให้การต้อนรับอย่างมาก แต่การอาศัยอยู่ในบราซิลอาจทำให้ตนตกใจเมื่อพบเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม จึงขอแนะนำให้พนักงานต่างชาติโดยเฉพาะในระดับผู้จัดการหรือผู้อำนวยการเข้าเรียนรู้วัฒนธรรมบราซิลและวิธีบรรเทาความสับสนที่อาจเกิดขึ้น ในแง่การปฏิบัติงาน ผู้บริหารระดับสูงควรทำความเข้าใจและทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบบราซิลเพื่อรับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากพนักงานของตนโครงสร้าง โครงสร้าง. นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ- ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยยึดหลักสำคัญคือ พลังงานสะอาด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต - รักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมนโยบายการค้าเสรี ต่อต้านระบบ Protectionism - สนับสนุนการปฏิรูประบบการเงินโลก เพื่อป้องกันปัญหาเงินทุนไหลเวียนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ต่อต้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม/ การไหลข้าวของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อเก็งกำไร - ปฏิรูประบบภาษีให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และเป็นธรรม รวมทั้งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 5 - ส่งเสริมโครงการลงทุนและระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2557 และกีฬาโอลิมปิกในปี 2559 และเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนในท้องถิ่นในระยะยาว - พัฒนาโครงการขุดเจาะน้ำมันซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อความก้าวหน้าทางสังคมโดยคำนึงถึงดุลยภาพด้านสิ่งแวดล้อม - ลดรายจ่ายภาครัฐ โดยการลดงบประมาณของทุกกระทรวงลงตามสัดส่วน ยกเว้นนโยบายด้านสังคม เช่น Bolsa Familiaสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ. ในช่วง 3 ทศวรรษก่อนทศวรรษที่ 1980 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลสูงถึงร้อยละ 7.3 แต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้เกิดวิกฤตการณ์เสถียรภาพทางการเงิน โดยมีปัญหาเงินเฟ้อและขาดดุลการชำระเงิน รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการต่างๆ ในชื่อ “Real Plan” เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยสร้างวินัยการเงิน ปล่อยค่าเงินลอยตัว และลดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงทบทวนนโยบายการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าซึ่งดำเนินมาตรการมากว่า 35 ปีและทำให้เศรษฐกิจมีลักษณะปิดและปกป้องตัวเอง โดยในช่วงทศวรรษที่ 1990 บราซิลหันมาใช้นโยบายเปิดเศรษฐกิจ และได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และในเวลาต่อมา รัฐบาลของประธานาธิบดี Lula ได้แสดงเจตจำนงในการใช้หนี้ต่างประเทศทำให้ลดลงจากร้อยละ 58.7 ของ GDP ในปี 2546 เหลือร้อยละ 51.6 ในปี 2548 และในปี 2552 หนี้ต่างประเทศของบราซิลลดเหลือร้อยละ 11.6 ของ GDP นอกจากนี้ การตัดสินใจให้กู้เงินจำนวน 14 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศในปลายปี 2552 แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบราซิลเป็นอย่างมาก และในปี 2554 บราซิลคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของ GDP ประมาณร้อยละ 8 ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม G20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่สาธารณรัฐเกาหลี ประธานาธิบดีบราซิลได้วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ว่าเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามเงินตรา (Currency War) ทั่วโลก และจะทำให้เศรษฐกิจของโลกล้มละลายหากทุกประเทศลดค่าเงินของตนเพื่อความได้เปรียบในการส่งออกภาพรวมเศรษฐกิจภาพรวมเศรษฐกิจ. - ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เมื่อเดือนมกราคม 2555 ธนาคารกลางบราซิลเปิดเผยว่า GDP ของบราซิลจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.5 จากปีที่ผ่านมา- การค้าระหว่างประเทศ ในปี 2554 บราซิลส่งออกเป็นมูลค่ารวม 256.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าเป็นมูลค่ารวม 226.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บราซิลได้เปรียบดุลการค้า 29.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการค้ารวมปรับตัวสูงขึ้น จาก 383.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2553 เป็น 482.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2555- การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) ธนาคารกลางบราซิล รายงานว่ามูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศปี 2554 มีมูลค่าถึง 66.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึงร้อยละ 37.5 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางบราซิลคาดว่าในปี 2555 มูลค่าการลงทุนจะลดเหลือ 50 พันล้านดอลลร์สหรัฐ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของเม็ดเงินที่ไหลเข้าบราซิลมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไรจากอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหา- อัตราเงินเฟ้อ เมื่อปี 2554 ธนาคารกลางบราซิลได้ประเมินอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ ร้อยละ 6.5 และได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 12.50 เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในปี 2555 และ 2556 บราซิลตั้งเป้าจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ร้อยละ 4.5 เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และเพื่อควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้นภาพรวมพลังงานทดแ ทนของบราซิล ภาพรวมพลังงานทดแ ทนของบราซิล. บราซิลมีเป้าหมายจะลงทุนด้านพลังงานมูลค่าประมาณ 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2020 โดยจะลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (434 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคการผลิตไฟฟ้า (149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2020 พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 46.3 (ปัจจุบันพลังงานทดแทนมีสัดส่วน ร้อยละ 44.8) และปิโตเลียมจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 31.8 (ปัจจุบันปิโตรเลียมมีสัดส่วนร้อยละ 38.5) ของโครงสร้างพลังงานของประเทศ ปัจจุบัน บราซิลมีบทบาทสำคัญในการสร้างอุปสงค์ของพลังงานทดแทนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและเอทานอลในหลายโอกาสการพัฒนาเอทานอลเป็นพลังงานทดแทน การพัฒนาเอทานอลเป็นพลังงานทดแทน. วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ประกอบกับราคาน้ำตาลตกต่ำ ทำให้รัฐบาลบราซิลประกาศโครงการ “Pro-Alcool” หรือ “Program Nacional do Alcool” (National Alcohol Program) ขึ้นในปี 2518 ส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ โดยรัฐบาลบราซิล และธนาคารโลกได้ให้เงินสนับสนุนทั้งในการขยายพื้นที่การ ปลูกอ้อย และการสร้างโรงกลั่นเอทานอล ในระยะแรก บราซิลใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน (anhydrous ethanol) ในอัตราส่วนร้อยละ 13 - 20 (E13 – E20) ต่อมาในปี 2523 บราซิลเริ่มทดลองใช้เอทานอล ร้อยละ 100 (E100 - hydrous ethanol) แต่โดยที่รถยนต์ยังเป็นแบบที่ผลิตเพื่อใช้กับน้ำมัน จึงทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ไม่ได้ ประสิทธิภาพเต็มที่ รัฐบาลบราซิลจึงเริ่มส่งเสริมการผลิตรถยนต์ที่ออกแบบพิเศษ สามารถใช้ได้กับทั้งเอทานอล และกับน้ำมันเชื้อเพลิง (Flexible-fuel vehicle หรือ Flex-Fuel) และตั้งแต่ปี 2546 ก็เริ่มมีการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel เพื่อการค้า ซึ่งใช้ได้กับ E100 และ E18 – E25 ทั้งนี้ รถยนต์ Flex-Fuel ได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2547 ปริมาณการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 17 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 2554 มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 83 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในบราซิล ในการเยือนบราซิลของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ระหว่าง 15 – 16 มิถุนายน 2547 ไทยและบราซิลได้หารือความร่วมมือด้านเอทานอล นับจากนั้นไทยและบราซิลได้ แลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ทดแทนของบราซิลและชาติอื่นๆ เข้าร่วมการประชุม FEALAC Inter-regional Workshop on Clean Fuels and Vehicle Technologies: the Role of Science and Innovation เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2549 ที่กรุงเทพฯ ช่วยให้เกิดเครื่อข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยี เมื่อปี 2553 บราซิลผลิตเอทานอลเป็นปริมาณ 27 พันล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณที่ผลิตได้ในโลก เป็นรองเพียงสหรัฐฯ ซึ่งผลิตเป็นปริมาณ 50 พันล้านลิตรในปีเดียวกัน บราซิลและสหรัฐฯ สามารถผลิตเอทานอลได้กว่าร้อยละ 70 ของเอทานอลที่จำหน่ายทั่วโลก โดยสหรัฐฯ ผลิตเอทานอลจากข้าวโพด ในขณะที่บราซิลผลิตจากอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพจึงทำให้สามารถผลิตเอทานอลได้ในราคาที่ถูกกว่าการใช้วัตถุดิบประเภทอื่น อย่างไรก็ดี การผลิตเอทานอลจากอ้อยยังไม่เสถียรเพราะเมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น เกษตรกรก็จะหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตน้ำตาลเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) 3.073 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) GDP รายบุคคล 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราการเจริญเติบโต GDP 0.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) GDP แยกตามภาคการผลิต ภาคการเกษตร 5.8% ภาคอุตสาหกรรม 23.8% ภาคการบริการ 70.4% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราการว่างงาน 5.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices) 6.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) ผลผลิตทางการเกษตร กาแฟ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าว ข้าวโพด อ้อย ส้ม/มะนาว เนื้อวัว อุตสาหกรรม สิ่งทอ รองเท้า เคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ ไม้แปรรูป แร่เหล็ก ดีบุก เหล็ก เครื่องบิน มอเตอร์และชิ้นส่วนยานพาหนะ เครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ อัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรม -1.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุล 80.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) หนี้สาธารณะ 59.3% ของ GDP (ค่าประมาณพ.ศ. 2557) มูลค่าการส่งออก 242.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) สินค้าส่งออก อุปกรณ์การขนส่ง แร่เหล็ก ถั่วเหลือง รองเท้า/ถุงเท้า กาแฟ รถยนต์ ประเทศคู่ค้า (ส่งออก)ที่สำคัญ China 19%, US 10.3%, Argentina 8.1%, Netherlands 7.2% (พ.ศ.2556) มูลค่าการนำเข้า 241.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) สินค้านำเข้า เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ น้ำมัน ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ประเทศคู่ค้า (นำเข้า)ที่สำคัญ China 15.6%, US 15.1%, Argentina 6.9%, Germany 6.3%, Nigeria 4% (พ.ศ.2556) สกุลเงิน รีล สัญลักษณ์เงิน BRL สกุลเงิน : รีล สัญลักษณ์เงิน :BRLพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษาอัตราการรู้หนังสือประชากรศาสตร์เชื้อชาติชนพื้นเมืองภาษา ประชากรศาสตร์. ภาษา. มีเยอะมากศาสนา ศาสนา. ประเทศบลาซิลส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก (79.6%) รองลงมาคือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (9.2%) และอศาสนา (8.0) ลัทธิผี (2.0%) อื่นๆ (3.2%)เมืองใหญ่วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมอาหาร วัฒนธรรม. อาหาร. อาหารส่วนมากของชาวบราซิลคือเนื้อสัตว์ นิยมเนื้อวัวเป็นหลักดนตรี ดนตรี. ศิลปะทางดนตรี วัฒนธรรมของประชากรบราซิล จะต่างกันแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความรักดนตรีจะฝังอยู่ในสายเลือดของชาวบราซิลเลียน มานาน เพราะพวกเขาจะรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ดนตรีจึงมีวิวัฒนาการเรื่อย ๆ บราซิล จะรับเอาวัฒนธรรมของแอฟริกา เอาไว้มาก ลักษณะการร้องรำทำเพลงและจังหวะกลองเป็นเครื่องดนตรีหลัก การเต้นรำและเสียงดนตรีจึงเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุดของบราซิล ชาวบราซิลเป็นคนเปิดเผย เป็นมิตรกับคนง่าย รักสนุก ลักษณะเด่นที่เป็นธรรมชาติคือเวลาพูดจะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย ภาษาท่าทาง บางครั้งใช้แทนคำพูดได้ เช่น เมื่อยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หมายถึงตกลงหรือขอบคุณ และอาจเป็นคำพูดที่ทักทายเมื่อพบกับ แซมบา (Samba) แซม บา เป็นดนตรีที่มีลักษณะผสมผสาน กันจากชน 3 ทวีป ที่มาอยู่ในบราซิล คือการร้องเพลงแบบโบเลโร ของสเปน จังหวะกลองของแอฟริการและการเต้นรำจะเป็นแบบชาวลาตินอเมริกัน ซึ่งรวม 3 อย่างเข้าด้วยกันแล้วจะสนุกสนานทั้งคนเต้นและคนฟัง ซึ่งดนตรีแซมบา เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูงสุด บอสซาโนวา (Bossanova) เป็น จังหวะดนตรีที่มีวิวัฒนาการมาจากแซมบา นอกจากแซมบาและบอสซาโนวา ยังมีดนตรีที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ แรมบาดา (Lambada) จังหวะดนตรีจะสนุกสนามด้วยจังหวะกลองของชาวแคริเบียน บราซิลมีเทศกาลที่ น่าสนใจและยิ่งใหญ่ 2 งานด้วยกัน งานแรกคือ งานคานิวัล ที่ ลิโอ เดอ จาเนโร จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ งานที่สอง งานคานิวัล ที่ เบเฮีย จะจัดขึ้นหลังเทศกาล คริสมาสต์ ช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคมสื่อสารมวลชนกีฬาฟุตบอลวอลเลย์บอลมวยสากลวันหยุด
ประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้คือประเทศใด
{ "answer": [ "บราซิล" ], "answer_begin_position": [ 98 ], "answer_end_position": [ 104 ] }
2,199
17,401
ประเทศบราซิล บราซิล (; ) หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (; ) เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก มีพื้นที่กว้างขวางระหว่างตอนกลางของทวีปอเมริกาใต้และ มหาสมุทรแอตแลนติก มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอุรุกวัย อาร์เจนตินา ปารากวัย โบลิเวีย เปรู โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาม และแคว้นเฟรนช์เกียนาของฝรั่งเศส (ติดกับทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ยกเว้นเอกวาดอร์และชิลี) ชื่อ "บราซิล" มาจากต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า บราซิลวูด (Pau-Brasil ในภาษาโปรตุเกส) ซึ่งนำไปใช้ย้อมผ้าด้วยสีแดงจากเปลือกไม้ของมัน บราซิลเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรมและป่าเขตร้อน การที่บราซิลมีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายและมีแรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ (สูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก) และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในปัจจุบัน บราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาทางการภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ภาคเหนือ กินพื้นที่ร้อยละ 42 ของทั้งประเทศ หรือใหญ่กว่ายุโรปตะวันตกทั้งหมด เป็นเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำจึด 1 ใน 5 ของโลก รวมทั้งเป็นเขตป่าฝน (rainforest) ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทั้ง 5 ภูมิภาคของบราซิล (คิดเป็นร้อยละ 18) ประกอบด้วย 7 รัฐ มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแอนแลนติก มีทั้งเขตลุ่มแม่น้ำที่สามารถทำการเพาะปลูกพืชเขตร้อน และเขตที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล มีเมืองใหญ่หลายเมือง ได้แก่ เมือง Salvador และเมือง Recife ภาคตะวันตกตอนกลาง เป็นที่ราบสูงเฉลี่ย 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล กินพื้นที่ร้อยละ 22 ของประเทศต่อจากเขต อเมซอนไปทางใต้ เป็นเขตป่าไม้ชุกชุม เป็นพี้นที่เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ บางแห่งเป็นพื่นที่แห้งแล้งกันดาร ภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่เพียงร้อยละ 11 ของประเทศ แต่เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ที่สุด 3 เมืองของบราซิล คือ รีโอเดจาเนโร เซาเปาลู และเบโลโอรีซอนตี และเป็นที่อยู่ของประชากรร้อยละ 45 ของทั้งประเทศ เป็นพื้นที่ชายฝั่ง หาดทราย และที่ราบสูง ภาคใต้ มีพื้นที่น้อยที่สุด มีอากาศใกล้เคียงกับยุโรป มีหิมะตกบางพื้นที่ในฤดูหนาว เป็นที่ตั้งรกรากของชาวยุโรปที่ไปตั้ง ถิ่นฐานในบราซิลในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะจาก อิตาลี เยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซีย และอยู่อาศัยเรื่อยมาจนปัจจุบัน ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ผลิตผลสำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลีข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าว รวมทั้งเป็นเขตปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศด้วยประวัติศาสตร์สมัยก่อนอาณานิคม ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนอาณานิคม. เดิมทีทวีปอเมริกาใต้ ชนเผ่าพื้นเมืองคือพวกอินเดียแดงเผ่าต่างๆ ต่อมาชาวยุโรปได้เข้ามายึดครองบริเวณนี้ โดยชาวโปรตุเกสได้ยึดครองบริเวณประเทศบราซิล ส่วนบริเวณประเทศอื่นๆในทวีปนี้ถูกยึดครองโดยชาวสเปน เหตุเพราะในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ชาวยุโรปได้เข้ามาในทวีปนี้ด้วยเข้าใจว่าทวีปนี้มีแร่ต่างๆเช่น น้ำมัน ทองคำ เงินและอื่นๆ แล้วชาวยุโรปได้ใช้กำลังกองทัพเข้าควบคุมบังคับชาวพื้นเมืองให้ทำงานในไร่นาและในเหมืองของตน ต่อมาหญิงชาวพื้นเมืองจำนวนมากได้แต่งงานกับชาวยุโรปทำให้มีลูกเลือดผสม จำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า เมสติโซ ปัจจุบันมีสายเลือดผสมนี้เป็นชนส่วนใหญ่ในทวีป และได้รับภาษา วัฒนธรรมจากทวีปยุโรป รวมทั้งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วยอาณานิคมโปรตุเกสสหราชอาณาจักรจักรวรรดิบราซิล จักรวรรดิบราซิล. วันที่ได้รับเอกราช 7 กันยายน พ.ศ. 2365 (จากโปรตุเกส)สาธารณรัฐ สาธารณรัฐ. ในพ.ศ. 2367 ได้ต่อต้านอำนาจสำเร็จ ปกครองแบบสาธารณรัฐศตวรรษที่ 20การเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียว ด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 2014 หากจำเป็นจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง (runoff election) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2014นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบ 2 สภา (Bicameral National Congress หรือ Congresso Nacional) ประกอบด้วย (1) Federal Senate หรือ Senado Federal จำนวน 81 ที่นั่ง สมาชิก 3 คนมาจากรัฐแต่ละรัฐ ระบบเสียงข้างมาก วาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี โดยจะมีการเลือกตั้งหนึ่งในสาม และสองในสามของสมาชิกทุกๆ 4 ปี สลับกัน และ (2) Chamber of Deputies หรือ Camera dos Deputados จำนวน 513 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบสัดส่วน (proportional representation) วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปีตุลาการ ตุลาการ. ฝ่ายตุลาการ มีศาลสูงสุดแห่งชาติ (Supreme Federal Tribunal) โดยที่ผู้พิพากษาทั้ง 11 คน มาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยวุฒิสภา มีวาระดำรงตำแหน่งตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเกษียณอายุเหมือนลูกจ้างภาครัฐทั่วไปที่อายุ 70 ปีการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย. ระบบกฎหมาย : ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (civil law)สถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศบราซิลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐ (states - estados) และ เฟเดอรัลดิสตริกต์ (federal district - distrito federal) (เป็นที่ตั้งของกรุงบราซีเลียเมืองหลวง) ได้แก่ รัฐต่าง ๆ และเฟเดอรัลดิสตริกต์ของบราซิลนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค โดยสถาบันภูมิศาสตร์และสถิติบราซิล (IBGE) คือ- ภาคเหนือ ประกอบด้วยรัฐอาเกร รัฐอามาปา อามาโซนัส ปารา รอนโดเนีย รอไรมา และโตกันตินส์ - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยอาลาโกอัส บาเยีย เซอารา มารันเยา ปาราอีบา เปร์นัมบูกู ปีเอาอี รีโอกรันดีโดนอร์เต และเซร์ชิเป - ภาคกลางและตะวันตก ประกอบด้วยโกยาส มาตูโกรสซูโดซูล มาตูโกรสซู และเฟเดอรัลดิสตริกต์ - ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเอสปีรีตูซันตู มีนัสเชไรส์ รีโอเดจาเนโร และเซาเปาลู - ภาคใต้ ประกอบด้วยปารานา รีโอกรันดีโดซูล และซันตากาตารีนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกากองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกทั้งในแง่จำนวนประชากรและอาณาเขต เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปละตินอเมริกาและมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นดินส่วนใหญ่ของทวีป บราซิลใช้ระบบปกครองแบบสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐและเขตนครหลวง 1 เขต โดยแต่ละรัฐจะมีรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารปกครองแบบอิสระ สามารถแบ่งรัฐเหล่านี้ออกได้เป็น 5 ภูมิภาค (ที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและสถิติ) กล่าวโดยรวมได้ว่าบราซิลเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหลายด้าน ทั้งในแง่ทรัพยากรธรรมชาติและพันธุ์ไม้ที่มีมากมายมหาศาล ชาติพันธุ์หลากวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ การใช้อำนาจอย่างนุ่มนวลทางการเมือง และชนชั้นกลางที่กำลังรุ่งเรือง เศรษฐกิจของบราซิลประกอบไปด้วยภาคส่วนเกษตรกรรม เหมืองแร่ การผลิต และการบริการขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนาอย่างสูง ตลอดจนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือได้ว่าบราซิลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในทวีปอเมริกาใต้ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง โดยมีการขยายอำนาจกว้างขวางขึ้นในตลาดโลกผ่านผู้เล่นสำคัญระดับโลก (บริษัทข้ามชาติ) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจระดับมหภาคได้ค่อยๆ ทวีความมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศและลดระดับหนี้โดยแปลงหนี้ให้เป็นตราสารหนี้สกุลเงินจริงและตราสารหนี้ในประเทศ จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 บราซิลได้ผงาดขึ้นเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเหมาะสมแก่การลงทุนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่ง ทว่าหลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปี ค.ศ. 2007-2008 วิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกได้โถมกระหน่ำบราซิลในช่วงปี ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัวเล็กน้อยจากผลกระทบนี้ แต่บราซิลสามารถหลบเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้จากมาตรการจูงใจภาครัฐและเงินลงทุนมหาศาล หลังจากที่อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ส่งออกของบราซิลลดลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศตกต่ำ สินเชื่อจากภายนอกเริ่มหายากขึ้น ทั้งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มฟื้นตัวและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมไต่ระดับสูงถึง 7.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากสำหรับบราซิล ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองและนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักชี้ว่าบราซิลจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ แม้การคาดการณ์นี้จะมีข้อยืนยันว่าเป็นจริงในอีกหลายปีต่อมา แต่อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวและมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแตะอยู่ที่ราว 1% ในปัจจุบัน ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเติบโตลดลงคือภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องหันมาใช้มาตรการผ่อนการตึงตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการดังกล่าวและภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทรุดตัวทำให้การเติบโตของประเทศช้าลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการว่างงานอยู่ในระดับต่ำลงเป็นประวัติการณ์และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งโดยมากอยู่ในระดับสูงกลับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี บราซิลสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยสูง ทว่ากลับส่งผลเสียต่อธุรกิจในประเทศ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ค่าเงินลอยตัวซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงตลาดเงินตราระหว่างประเทศและขึ้นภาษีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศบางส่วน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ผลักดันให้บราซิลเติบโตและเป็นที่จับตามองของประชาคมทั่วโลก มีเสียงชื่นชมนวัตกรรมที่ช่วยเหลือและสนับสนุนประชากรผู้ยากไร้ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งได้นำไปใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรและเชื้อเพลิงชีวภาพยังกลายมาเป็นโมเดลระหว่างประเทศ ฐานผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดึงดูดบริษัทและนักลงทุนมากมายมายังบราซิล ดังจะเห็นได้จากจำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าราว 64-66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.92-1.98 ล้านล้านบาท ) ต่อปีตั้งแต่ ค.ศ. 2011 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจบราซิลเริ่มชะลอตัวในปี ค.ศ. 2014 และคาดว่าจะยังคงชะลอตัวต่อไปในปี ค.ศ. 2015 จากการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะนำมาใช้ (เช่น มาตรการขึ้นราคาน้ำมัน) แม้สถานการณ์นี้จะทำให้บริษัทลงทุนต่างประเทศเริ่มหมดความสนใจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังคงอัดฉีดเงินทุนและขยายโรงงานหรือจัดทำโครงการใหม่ๆ เพื่อป้อนให้กับฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ต่อไป การชะลอตัวทางเศรษฐกิจนี้ไม่ควรนำมาซึ่งมาตรการคุ้มครองการค้า เนื่องจากมีระบบการคุ้มครองการค้าระดับสูงมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะในภาคการส่งออกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจในการลดอุปสรรคด้านภาษีอากรจากวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตัวกลาง รวมทั้งการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ ยังสื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะวางนโยบายการค้าไปในทิศทางดังกล่าวอุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมหลัก. อุตสาหกรรมหลักของประเทศบราซิลประกอบไปด้วยการผลิตอลูมิเนียม ซีเมนต์ เชื้อเพลิง เครื่องจักร กระดาษ พลาสติกและเหล็ก อุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคประกอบด้วยการผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด การผลิตและสุขอนามัยอาหาร การผลิตยาและสิ่งทอ อุตสาหกรรมสินค้าคงทนประกอบด้วยการผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนและยานพาหนะ บริการด้านการเงินประกอบด้วยอุตสาหกรรมบริการเงินทุน นอกจากนี้ บราซิลยังเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายรายใหญ่ของโลก อาทิ กล้วย กาแฟ ข้าวโพด หัวน้ำส้มเข้มข้น ข้าว ถั่วเหลือง แอลกอฮอล์และอ้อย ในแง่อื่นนอกเหนือจากเศรษฐกิจ บราซิลเป็นประเทศที่เติบโตในเชิงการเมืองและมีความโดดเด่นท่ามกลางประชาคมนานาชาติในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายได้ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติและอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทรัพยากรสูง โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและจีนที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ บราซิลยังมีบทบาทสำคัญในการเวทีโต้วาทีและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยมากจะรับหน้าที่เป็นผู้นำหรือตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การอภิปรายด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศเฮติหลังประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 2010 การเข้าร่วมหารือกลุ่มประเทศ BRIC และเป็นผู้นำประเทศกลุ่มจี 20 ในการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮา (Doha Round) โดยองค์การการค้าโลก การดำเนินการนี้ได้สร้างความสนใจจากประชาคมโลกในเชิงความสามารถทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังรุ่งเรืองของบราซิล ไม่เพียงเท่านั้น การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014 และงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ. 2016 ยังกระตุ้นความสนใจจากชาวต่างชาติ ทั้งในวงการสื่อและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหลายภูมิภาคที่มีแง่มุมและความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมที่เด่นชัดจนในบางครั้งทำให้ยากต่อการสรุปลักษณะทั่วไป ส่วนในแง่ธุรกิจ บริษัทส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานในเมืองเซาเปาลู หากกล่าวในแง่วัฒนธรรมแล้ว ถือว่าบราซิลมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง มีการผสมผสานรากเหง้าในแบบยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกันเนื่องจากมีผู้อพยพไหลบ่าเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และลักษณะนิสัยส่งผลให้ชาวบราซิลเป็นชาติพันธุ์ที่มีความซับซ้อนและมีวิถีชีวิตในแบบของตนเอง ชาวต่างชาติควรทำความเข้าใจว่าแม้ว่าชาวบราซิลจะมีนิสัยที่เป็นกันเองและให้การต้อนรับอย่างมาก แต่การอาศัยอยู่ในบราซิลอาจทำให้ตนตกใจเมื่อพบเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม จึงขอแนะนำให้พนักงานต่างชาติโดยเฉพาะในระดับผู้จัดการหรือผู้อำนวยการเข้าเรียนรู้วัฒนธรรมบราซิลและวิธีบรรเทาความสับสนที่อาจเกิดขึ้น ในแง่การปฏิบัติงาน ผู้บริหารระดับสูงควรทำความเข้าใจและทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบบราซิลเพื่อรับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากพนักงานของตนโครงสร้าง โครงสร้าง. นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ- ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยยึดหลักสำคัญคือ พลังงานสะอาด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต - รักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมนโยบายการค้าเสรี ต่อต้านระบบ Protectionism - สนับสนุนการปฏิรูประบบการเงินโลก เพื่อป้องกันปัญหาเงินทุนไหลเวียนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ต่อต้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม/ การไหลข้าวของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อเก็งกำไร - ปฏิรูประบบภาษีให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และเป็นธรรม รวมทั้งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 5 - ส่งเสริมโครงการลงทุนและระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2557 และกีฬาโอลิมปิกในปี 2559 และเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนในท้องถิ่นในระยะยาว - พัฒนาโครงการขุดเจาะน้ำมันซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อความก้าวหน้าทางสังคมโดยคำนึงถึงดุลยภาพด้านสิ่งแวดล้อม - ลดรายจ่ายภาครัฐ โดยการลดงบประมาณของทุกกระทรวงลงตามสัดส่วน ยกเว้นนโยบายด้านสังคม เช่น Bolsa Familiaสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ. ในช่วง 3 ทศวรรษก่อนทศวรรษที่ 1980 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลสูงถึงร้อยละ 7.3 แต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้เกิดวิกฤตการณ์เสถียรภาพทางการเงิน โดยมีปัญหาเงินเฟ้อและขาดดุลการชำระเงิน รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการต่างๆ ในชื่อ “Real Plan” เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยสร้างวินัยการเงิน ปล่อยค่าเงินลอยตัว และลดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงทบทวนนโยบายการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าซึ่งดำเนินมาตรการมากว่า 35 ปีและทำให้เศรษฐกิจมีลักษณะปิดและปกป้องตัวเอง โดยในช่วงทศวรรษที่ 1990 บราซิลหันมาใช้นโยบายเปิดเศรษฐกิจ และได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และในเวลาต่อมา รัฐบาลของประธานาธิบดี Lula ได้แสดงเจตจำนงในการใช้หนี้ต่างประเทศทำให้ลดลงจากร้อยละ 58.7 ของ GDP ในปี 2546 เหลือร้อยละ 51.6 ในปี 2548 และในปี 2552 หนี้ต่างประเทศของบราซิลลดเหลือร้อยละ 11.6 ของ GDP นอกจากนี้ การตัดสินใจให้กู้เงินจำนวน 14 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศในปลายปี 2552 แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบราซิลเป็นอย่างมาก และในปี 2554 บราซิลคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของ GDP ประมาณร้อยละ 8 ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม G20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่สาธารณรัฐเกาหลี ประธานาธิบดีบราซิลได้วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ว่าเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามเงินตรา (Currency War) ทั่วโลก และจะทำให้เศรษฐกิจของโลกล้มละลายหากทุกประเทศลดค่าเงินของตนเพื่อความได้เปรียบในการส่งออกภาพรวมเศรษฐกิจภาพรวมเศรษฐกิจ. - ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เมื่อเดือนมกราคม 2555 ธนาคารกลางบราซิลเปิดเผยว่า GDP ของบราซิลจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.5 จากปีที่ผ่านมา- การค้าระหว่างประเทศ ในปี 2554 บราซิลส่งออกเป็นมูลค่ารวม 256.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าเป็นมูลค่ารวม 226.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บราซิลได้เปรียบดุลการค้า 29.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการค้ารวมปรับตัวสูงขึ้น จาก 383.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2553 เป็น 482.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2555- การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) ธนาคารกลางบราซิล รายงานว่ามูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศปี 2554 มีมูลค่าถึง 66.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึงร้อยละ 37.5 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางบราซิลคาดว่าในปี 2555 มูลค่าการลงทุนจะลดเหลือ 50 พันล้านดอลลร์สหรัฐ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของเม็ดเงินที่ไหลเข้าบราซิลมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไรจากอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหา- อัตราเงินเฟ้อ เมื่อปี 2554 ธนาคารกลางบราซิลได้ประเมินอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ ร้อยละ 6.5 และได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 12.50 เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในปี 2555 และ 2556 บราซิลตั้งเป้าจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ร้อยละ 4.5 เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และเพื่อควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้นภาพรวมพลังงานทดแ ทนของบราซิล ภาพรวมพลังงานทดแ ทนของบราซิล. บราซิลมีเป้าหมายจะลงทุนด้านพลังงานมูลค่าประมาณ 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2020 โดยจะลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (434 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคการผลิตไฟฟ้า (149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2020 พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 46.3 (ปัจจุบันพลังงานทดแทนมีสัดส่วน ร้อยละ 44.8) และปิโตเลียมจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 31.8 (ปัจจุบันปิโตรเลียมมีสัดส่วนร้อยละ 38.5) ของโครงสร้างพลังงานของประเทศ ปัจจุบัน บราซิลมีบทบาทสำคัญในการสร้างอุปสงค์ของพลังงานทดแทนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและเอทานอลในหลายโอกาสการพัฒนาเอทานอลเป็นพลังงานทดแทน การพัฒนาเอทานอลเป็นพลังงานทดแทน. วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ประกอบกับราคาน้ำตาลตกต่ำ ทำให้รัฐบาลบราซิลประกาศโครงการ “Pro-Alcool” หรือ “Program Nacional do Alcool” (National Alcohol Program) ขึ้นในปี 2518 ส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ โดยรัฐบาลบราซิล และธนาคารโลกได้ให้เงินสนับสนุนทั้งในการขยายพื้นที่การ ปลูกอ้อย และการสร้างโรงกลั่นเอทานอล ในระยะแรก บราซิลใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน (anhydrous ethanol) ในอัตราส่วนร้อยละ 13 - 20 (E13 – E20) ต่อมาในปี 2523 บราซิลเริ่มทดลองใช้เอทานอล ร้อยละ 100 (E100 - hydrous ethanol) แต่โดยที่รถยนต์ยังเป็นแบบที่ผลิตเพื่อใช้กับน้ำมัน จึงทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ไม่ได้ ประสิทธิภาพเต็มที่ รัฐบาลบราซิลจึงเริ่มส่งเสริมการผลิตรถยนต์ที่ออกแบบพิเศษ สามารถใช้ได้กับทั้งเอทานอล และกับน้ำมันเชื้อเพลิง (Flexible-fuel vehicle หรือ Flex-Fuel) และตั้งแต่ปี 2546 ก็เริ่มมีการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel เพื่อการค้า ซึ่งใช้ได้กับ E100 และ E18 – E25 ทั้งนี้ รถยนต์ Flex-Fuel ได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2547 ปริมาณการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 17 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 2554 มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 83 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในบราซิล ในการเยือนบราซิลของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ระหว่าง 15 – 16 มิถุนายน 2547 ไทยและบราซิลได้หารือความร่วมมือด้านเอทานอล นับจากนั้นไทยและบราซิลได้ แลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ทดแทนของบราซิลและชาติอื่นๆ เข้าร่วมการประชุม FEALAC Inter-regional Workshop on Clean Fuels and Vehicle Technologies: the Role of Science and Innovation เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2549 ที่กรุงเทพฯ ช่วยให้เกิดเครื่อข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยี เมื่อปี 2553 บราซิลผลิตเอทานอลเป็นปริมาณ 27 พันล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณที่ผลิตได้ในโลก เป็นรองเพียงสหรัฐฯ ซึ่งผลิตเป็นปริมาณ 50 พันล้านลิตรในปีเดียวกัน บราซิลและสหรัฐฯ สามารถผลิตเอทานอลได้กว่าร้อยละ 70 ของเอทานอลที่จำหน่ายทั่วโลก โดยสหรัฐฯ ผลิตเอทานอลจากข้าวโพด ในขณะที่บราซิลผลิตจากอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพจึงทำให้สามารถผลิตเอทานอลได้ในราคาที่ถูกกว่าการใช้วัตถุดิบประเภทอื่น อย่างไรก็ดี การผลิตเอทานอลจากอ้อยยังไม่เสถียรเพราะเมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น เกษตรกรก็จะหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตน้ำตาลเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) 3.073 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) GDP รายบุคคล 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราการเจริญเติบโต GDP 0.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) GDP แยกตามภาคการผลิต ภาคการเกษตร 5.8% ภาคอุตสาหกรรม 23.8% ภาคการบริการ 70.4% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราการว่างงาน 5.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices) 6.3% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) ผลผลิตทางการเกษตร กาแฟ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าว ข้าวโพด อ้อย ส้ม/มะนาว เนื้อวัว อุตสาหกรรม สิ่งทอ รองเท้า เคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ ไม้แปรรูป แร่เหล็ก ดีบุก เหล็ก เครื่องบิน มอเตอร์และชิ้นส่วนยานพาหนะ เครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ อัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรม -1.5% (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุล 80.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) หนี้สาธารณะ 59.3% ของ GDP (ค่าประมาณพ.ศ. 2557) มูลค่าการส่งออก 242.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) สินค้าส่งออก อุปกรณ์การขนส่ง แร่เหล็ก ถั่วเหลือง รองเท้า/ถุงเท้า กาแฟ รถยนต์ ประเทศคู่ค้า (ส่งออก)ที่สำคัญ China 19%, US 10.3%, Argentina 8.1%, Netherlands 7.2% (พ.ศ.2556) มูลค่าการนำเข้า 241.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ.2557) สินค้านำเข้า เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์การขนส่ง เคมีภัณฑ์ น้ำมัน ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ประเทศคู่ค้า (นำเข้า)ที่สำคัญ China 15.6%, US 15.1%, Argentina 6.9%, Germany 6.3%, Nigeria 4% (พ.ศ.2556) สกุลเงิน รีล สัญลักษณ์เงิน BRL สกุลเงิน : รีล สัญลักษณ์เงิน :BRLพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษาอัตราการรู้หนังสือประชากรศาสตร์เชื้อชาติชนพื้นเมืองภาษา ประชากรศาสตร์. ภาษา. มีเยอะมากศาสนา ศาสนา. ประเทศบลาซิลส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก (79.6%) รองลงมาคือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ (9.2%) และอศาสนา (8.0) ลัทธิผี (2.0%) อื่นๆ (3.2%)เมืองใหญ่วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมอาหาร วัฒนธรรม. อาหาร. อาหารส่วนมากของชาวบราซิลคือเนื้อสัตว์ นิยมเนื้อวัวเป็นหลักดนตรี ดนตรี. ศิลปะทางดนตรี วัฒนธรรมของประชากรบราซิล จะต่างกันแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความรักดนตรีจะฝังอยู่ในสายเลือดของชาวบราซิลเลียน มานาน เพราะพวกเขาจะรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ดนตรีจึงมีวิวัฒนาการเรื่อย ๆ บราซิล จะรับเอาวัฒนธรรมของแอฟริกา เอาไว้มาก ลักษณะการร้องรำทำเพลงและจังหวะกลองเป็นเครื่องดนตรีหลัก การเต้นรำและเสียงดนตรีจึงเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุดของบราซิล ชาวบราซิลเป็นคนเปิดเผย เป็นมิตรกับคนง่าย รักสนุก ลักษณะเด่นที่เป็นธรรมชาติคือเวลาพูดจะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย ภาษาท่าทาง บางครั้งใช้แทนคำพูดได้ เช่น เมื่อยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หมายถึงตกลงหรือขอบคุณ และอาจเป็นคำพูดที่ทักทายเมื่อพบกับ แซมบา (Samba) แซม บา เป็นดนตรีที่มีลักษณะผสมผสาน กันจากชน 3 ทวีป ที่มาอยู่ในบราซิล คือการร้องเพลงแบบโบเลโร ของสเปน จังหวะกลองของแอฟริการและการเต้นรำจะเป็นแบบชาวลาตินอเมริกัน ซึ่งรวม 3 อย่างเข้าด้วยกันแล้วจะสนุกสนานทั้งคนเต้นและคนฟัง ซึ่งดนตรีแซมบา เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูงสุด บอสซาโนวา (Bossanova) เป็น จังหวะดนตรีที่มีวิวัฒนาการมาจากแซมบา นอกจากแซมบาและบอสซาโนวา ยังมีดนตรีที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ แรมบาดา (Lambada) จังหวะดนตรีจะสนุกสนามด้วยจังหวะกลองของชาวแคริเบียน บราซิลมีเทศกาลที่ น่าสนใจและยิ่งใหญ่ 2 งานด้วยกัน งานแรกคือ งานคานิวัล ที่ ลิโอ เดอ จาเนโร จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ งานที่สอง งานคานิวัล ที่ เบเฮีย จะจัดขึ้นหลังเทศกาล คริสมาสต์ ช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคมสื่อสารมวลชนกีฬาฟุตบอลวอลเลย์บอลมวยสากลวันหยุด
ภาษาทางการของประเทศบราซิลคือภาษาใด
{ "answer": [ "โปรตุเกส" ], "answer_begin_position": [ 935 ], "answer_end_position": [ 943 ] }
2,200
813,043
หุบผาชันใต้ทะเล หุบผาชันใต้ทะเล () เป็นแนวหุบผาชันใต้มหาสมุทร มีพื้นที่ประมาณร้อยละ 28 ของพื้นท้องมหาสมุทร ส่วนของยอดสันเขามีลักษณะเป็นหุบเขาทรุด (rift valley) ลักษณะเป็นร่องลึก มีความกว้างประมาณ 25–50 กิโลเมตร บริเวณหุบเขาทรุดมักเกิดปรากฏการณ์ภูเขาไฟหรือปล่องแบบน้ำร้อนอยู่ด้วย เนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และการแทรกตัวของหินหนืดใต้เปลือกโลก จากการศึกษามหาสมุทรของนักสมุทรศาสตร์พบว่า มหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกเฉลี่ย 4,028 เมตร รองลงมาได้แก่ มหาสมุทรแอตแลนติก มีความลึกเฉลี่ย 3,332 เมตร ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรจะเรียกว่าร่องลึกก้นสมุทร
หุบผาชันใต้ทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกเฉลี่ยกี่เมตร
{ "answer": [ "4,028" ], "answer_begin_position": [ 513 ], "answer_end_position": [ 518 ] }
2,201
47,884
เวนิสวาณิช เวนิสวาณิช () เป็นบทละครของวิลเลียม เชกสเปียร์ ซึ่งเชื่อว่าแต่งขึ้นในราวปี ค.ศ. 1596-1598 จัดอยู่ในประเภทละครชวนหัว แต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นวรรณกรรมโรแมนติกในบรรดาผลงานของเช็คสเปียร์ทั้งหมด เนื่องจากมีฉากรักที่โดดเด่นมาก และความโด่งดังของตัวละคร ไชล็อก The Merchant of Venice ได้แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละครในปี พ.ศ. 2459 นอกจากนี้ยังมี เวนิสวาณิช ฉบับการ์ตูน เรียบเรียงโดย ชลลดา ชะบางบอน บทที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้ก็คือ The quality of mercy is not strain'd, It droppeth as the gentle rain from heaven พระราชนิพนธ์แปลความว่า อันว่าความกรุณาปรานี    จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ    จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน และอีกบทหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คือ Tell me where is fancy bred, Or in the heart, or in the head? How begot, how nourished? Reply, reply. It is engender'd in the eyes, With gazing fed; and fancy dies In the cradle where it lies. Let us all ring fancy's knell I'll begin it,--Ding, dong, bell พระราชนิพนธ์แปลความว่า ความเอยความรัก            เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ     หรือเริ่มในสมองตรองจงดี แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง        อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่ ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี     ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ตอบเอยตอบถ้อย             เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย ตาประสบตารักสมัครไซร้            เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร             เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ, ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน      ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอยตัวละครหลักตัวละครหลัก. - อันโตนิโย (Antonio) พ่อค้าวาณิชชาวเวนิสเพื่อนรักของบัสสานิโย ค้ำประกันเงินสามพันเหรียญให้บัสสานิโย เพื่อบัสสานิโยจะได้เดินทางไปเบลมอนต์ - บัสสานิโย (Bassanio) เพื่อนรักของของอันโตนิโย ผู้หมายปองนางปอร์เชีย - ไชล็อก (Shylock) พ่อค้าชาวยิว คู่ปรับของอันโตนิโย ให้บัสสานิโยยืมเงินสามพันเหรียญ โดยมีอันโตนิโยเป็นนายประกัน - ปอร์เชีย (Portia) สาวงามผู้มีทรัพย์ ต่อมาได้แต่งงานกับบัสสานิโย และช่วยอันโตนิโยจากการฟ้องร้องของไชล็อก - เจสสิกา (Jessica) ลูกสาวของไชล็อก หนีตามลอเร็นโซชู้รักซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มมิตรสหายของอันโตนิโยและบัสสานิโย ทำให้ไชล็อกผู้พ่อแค้นเคืองเป็นอันมาก
ใครเป็นผู้แต่งบทละครเรื่อง เวนิสวาณิช
{ "answer": [ "วิลเลียม เชกสเปียร์" ], "answer_begin_position": [ 121 ], "answer_end_position": [ 140 ] }
2,202
47,884
เวนิสวาณิช เวนิสวาณิช () เป็นบทละครของวิลเลียม เชกสเปียร์ ซึ่งเชื่อว่าแต่งขึ้นในราวปี ค.ศ. 1596-1598 จัดอยู่ในประเภทละครชวนหัว แต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นวรรณกรรมโรแมนติกในบรรดาผลงานของเช็คสเปียร์ทั้งหมด เนื่องจากมีฉากรักที่โดดเด่นมาก และความโด่งดังของตัวละคร ไชล็อก The Merchant of Venice ได้แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละครในปี พ.ศ. 2459 นอกจากนี้ยังมี เวนิสวาณิช ฉบับการ์ตูน เรียบเรียงโดย ชลลดา ชะบางบอน บทที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้ก็คือ The quality of mercy is not strain'd, It droppeth as the gentle rain from heaven พระราชนิพนธ์แปลความว่า อันว่าความกรุณาปรานี    จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ    จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน และอีกบทหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คือ Tell me where is fancy bred, Or in the heart, or in the head? How begot, how nourished? Reply, reply. It is engender'd in the eyes, With gazing fed; and fancy dies In the cradle where it lies. Let us all ring fancy's knell I'll begin it,--Ding, dong, bell พระราชนิพนธ์แปลความว่า ความเอยความรัก            เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ     หรือเริ่มในสมองตรองจงดี แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง        อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่ ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี     ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ตอบเอยตอบถ้อย             เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย ตาประสบตารักสมัครไซร้            เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร             เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ, ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน      ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอยตัวละครหลักตัวละครหลัก. - อันโตนิโย (Antonio) พ่อค้าวาณิชชาวเวนิสเพื่อนรักของบัสสานิโย ค้ำประกันเงินสามพันเหรียญให้บัสสานิโย เพื่อบัสสานิโยจะได้เดินทางไปเบลมอนต์ - บัสสานิโย (Bassanio) เพื่อนรักของของอันโตนิโย ผู้หมายปองนางปอร์เชีย - ไชล็อก (Shylock) พ่อค้าชาวยิว คู่ปรับของอันโตนิโย ให้บัสสานิโยยืมเงินสามพันเหรียญ โดยมีอันโตนิโยเป็นนายประกัน - ปอร์เชีย (Portia) สาวงามผู้มีทรัพย์ ต่อมาได้แต่งงานกับบัสสานิโย และช่วยอันโตนิโยจากการฟ้องร้องของไชล็อก - เจสสิกา (Jessica) ลูกสาวของไชล็อก หนีตามลอเร็นโซชู้รักซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มมิตรสหายของอันโตนิโยและบัสสานิโย ทำให้ไชล็อกผู้พ่อแค้นเคืองเป็นอันมาก
ใครเป็นผู้แปลบทละครเรื่อง เวนิสวาณิช เป็นภาษาไทยครั้งแรก
{ "answer": [ "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" ], "answer_begin_position": [ 406 ], "answer_end_position": [ 442 ] }
2,203
18,718
เคตามีน เคตามีน (Ketamine) หรือชื่อทางการค้าคือ เคตาลาร์ (Ketalar) หรือภาษาปากคือ ยาเค เป็นยาในกลุ่มยาสลบ ผู้รับยานี้จะไม่สลบแต่จะมีอาการไร้ความรู้สึกและอยู่ในภวังค์ มีฤทธิระงับปวด, ระงับประสาท และทำให้สูญเสียความทรงจำ ยานี้สามารถใช้รักษาอาการปวดเรื้อรังและยังอาจถูกใช้เป็นยาระงับประสาทในผู้ป่วยหนัก ยานี้ยังช่วยให้ระบบหายใจและหัวใจทำงานอย่างคล่องตัวขึ้น สามารถรับยานี้ได้โดยรับประทาน, สูดดม, ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หากฉีดเข้าหลอดเลือดจะออกฤทธิใน 5 นาทีและจะคงฤทธิไปราว 25 นาที ผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้แก่ ปฏิกิริยาทางจิตเมื่อยาหมดฤทธิ ปฏิกิริยาเหล่านี้ได้แก่ ภาวะอยู่ไม่สุข, สับสน หรืออาการประสาทหลอน นอกจากนี้ยังส่งผลให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง(โดยมากจะความดันเพิ่มขึ้น)และกล้ามเนื้อสั่น และยังอาจก่อให้เกิดอาการหลอดลมหดตัวเฉียบพลัน ยานี้อาจก่อให้เกิดการเสพติด หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผู้รับยาเป็นโรคจิตเภท เคตามีนถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1962 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาหลักขององค์การอนามัยโลก ปัจจุบันมีสถานะเป็นยาสามัญ ยานี้สามารถใช้เป็นยาเสพติดเพื่อผ่อนคลาย ดังนั้นในประเทศไทยจึงจัดเป็นยาควบคุมพิเศษตามพระราชบัญญัติยา
เคตามีน หรือ ยาเค ถูกค้นพบในปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "1962" ], "answer_begin_position": [ 947 ], "answer_end_position": [ 951 ] }
2,204
767,223
วนาลี (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2554) วนาลี เป็นละครโทรทัศน์ไทย ที่ออกอากาศในปี พ.ศ. 2554 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยนำบทประพันธ์ที่มีชื่อเดียวกันของวรรณสิริมาสร้างอีกครั้ง ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2554 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวนิดา ซึ่งต้องแต่งงานกับพันตรีประจักษ์ มหศักดิ์ ด้วยตระกูลมหศักดิ์เป็นหนี้บิดาเธอ และได้นำมาออกอากาศอีกครั้งเมื่อ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558 ทางช่อง 3 เอสดี ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 10.30 - 12.15 (รีรัน:18.15 - 20.00)นักแสดงนักแสดง. - ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบท ร.ต.อ.ศยาม/เสือมืด - ลักษณ์นารา เปี้ยทา รับบท วิชชุดารางวัลรางวัล. - รางวัลท็อปอวอร์ด 2011 รางวัลสาขาละครโทรทัศน์- ดารานำชายยอดเยี่ยม ณัฐวุฒิ สกิดใจ - 1 ใน 5 รางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยม ลักษณ์นารา เปี้ยทา- รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 25 พ.ศ. 2554 ประเภทละครโทรทัศน์- ละครดีเด่น - ดารานำชายดีเด่น เจษฎาภรณ์ ผลดี - ดาราสนับสนุนหญิงดีเด่น ลลิตา ปัญโญภาส - ฉากละครดีเด่น (องค์ประกอบศิลป์ดีเด่น)- รางวัลนาฏราช ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2554 ประเภทละครโทรทัศน์- รางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม - ได้รับรางวัลเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - 1 ใน 5 รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ลลิตา ปัญโญภาส - 1 ใน 5 รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ศรัณยู วงศ์กระจ่าง - 1 ใน 5 รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ณัฐวุฒิ สกิดใจ - 1 ใน 5 รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ลักษณ์นารา เปี้ยทา - 1 ใน 5 รางวัลละครยอดเยี่ยม- รางวัล Tokyo Drama Award 2012 ประเภทละครโทรทัศน์- รางวัล International Dramaเพลงประกอบละครเพลงประกอบละคร. - เพลง วนาสวาท ขับร้องโดย สง่า อารัมภีร - เพลง วนาสวาท พรหมลิขิต ขับร้องโดย สง่า อารัมภีรโฆษณาที่ตามมา โฆษณาที่ตามมา. เมื่อออกอากาศแล้ว วนิดาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้เขียนลงเฟซบุ๊คของตัวเอง โดยเอาเนื้อหาจากละครมาอธิบายถึงพระราชบัญญัติการติดตามทวงหนี้อย่างเป็นธรรมซึ่งถือเป็นนโยบายหนึ่งที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ต่อมาก็ได้เป็นที่ฮือฮากันในแวดวงสังคมพอสมควร ต่อมา จึงได้มีการผลิตภาพยนตร์โฆษณาเพื่ออธิบายนโยบายดังกล่าว โดยที่ให้นักแสดงบทบาทต่าง ๆ ในเรื่อง มาแสดงร่วมกัน และนายกรณ์เองก็ร่วมแสดงด้วย โดยเป็นผู้อธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาของนโยบายชิ้นนี้ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีอีกเช่นกัน
ใครเป็นผู้แต่งบทประพันธ์เรื่อง วนาลี
{ "answer": [ "วรรณสิริ" ], "answer_begin_position": [ 260 ], "answer_end_position": [ 268 ] }
2,205
494,067
การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ พ.ศ. 2462 การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ (Amritsar massacre) เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่สะเทือนขวัญ ซึ่งเกิดขึ้นถึงสองครั้งที่เมืองนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2462 เป็นการสังหารหมู่ชาวอินเดียที่สวนสาธารณะจัลเลียนวลาบาฆ ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 คือการสังหารหมู่ชาวสิกข์และทำลายวิหารศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาสิกข์สาเหตุ สาเหตุ. การสังหารหมู่ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง อังกฤษได้ออกพระราชบัญญัติโรว์แลตต์เมื่อ 3 มีนาคม พ.ศ. 2461 ให้อำนาจรัฐบาลจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อจลาจลได้ โดยไม่ต้องสอบสวนหรือให้ศาลพิพากษา ทำให้ชาวอินเดียโดยทั่วไปไม่พอใจ มหาตมะ คานธีได้นำหลักสัตยาเคราะห์มาใช้ในการต่อต้านพระราชบัญญัตินี้ ด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศ อดอาหารและสวดมนต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2461 ชาวอินเดียเข้าร่วมกับคานธีเป็นจำนวนมาก แต่ในวันแรก มีชาวอินเดียบางส่วนยังไม่เข้าใจการต่อสู้แบบสัตยาเคราะห์ จึงเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารในเดลี มีผู้เสียชีวิต 8 คนการสังหารหมู่ การสังหารหมู่. เหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่เมืองอมฤตสาร์ คิชลูและสัตยปาล ผู้นำชาตินิยมแห่งมณฑลปัญจาบได้เรียกร้องให้ประชาชนในลาฮอร์ออกมา มหาตมะ คานธีได้เตรียมเดินทางมาเพื่อปราศรัยกับมวลชนที่นี่ แต่ถูกจับกุมที่สถานีชายแดนรัฐปัญจาบและส่งตัวกลับไปบอมเบย์ ต่อมา วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2462 คิชลูและสัตยปาลก็ถูกจับกุม เมื่อประชาชนมาเดินขบวนเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนทั้งสอง ก็ถูกทหารอังกฤษยิงจนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ชาวเมืองที่โกรธแค้นจึงไปรวมตัวที่เมืองอมฤตสาร์ เผาทำลายธนาคารและสังหารชาวอังกฤษหลายคน นายพล อาร์ อี เอช ไดเออร์ ได้สั่งให้นำทหาร 1,000 คนเข้าไปควบคุมสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ ในวันที่ 13 เมษายน ไดเออร์ได้นำทหาร 50 คนพร้อมอาวุธเข้าไปในสวนสาธารณะจัลเลียนวลาบาฆ และยิงกราดเข้าไปในฝูงชนจำนวน 10,000 คน โดยไม่ประกาศเตือนล่วงหน้า ทำให้มีผู้เสียชีวิต 400 คน บาดเจ็บ 1,200 คน การกระทำของไดเออร์ได้รับการรับรองจากอังกฤษ แม้จะมีชาวอินเดียร้องเรียนเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้พ้นจากหน้าที่ในแคว้นปัญจาบด้วยข้อหาทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ เมื่อเดินทางกลับอังกฤษ เขาก็ได้รับการต้อนรับจากชาวอังกฤษเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งผลที่ตามมา ทำให้ชาวอินเดียสายกลางรวมทั้งมหาตมะ คานธีเกิดความรู้สึกชาตินิยม ต่อต้านอังกฤษเพิ่มขึ้นการสังหารหมู่ พ.ศ. 2527 การสังหารหมู่ พ.ศ. 2527. เหตุการณ์สังหารหมู่อีกครั้งที่เกิดขึ้นที่เมืองอมฤตสาร์ เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 กลุ่มทหารสิกข์ภายใต้การนำของ จาร์เนล สิงห์ ภินดรันวเล ได้เข้ายึดวิหารทองหรือสุวรรณวิหารเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้กับรัฐบาลอินเดียของนางอินทิรา คานธี ที่กำลังใช้นโยบายต่อต้านชาวสิกข์ กองทัพอินเดียได้ส่งทหารเข้าโจมตีวิหารทองเมื่อ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2527 สังหารภินดรันวเลและทหารรวมหลายร้อยคน และทำลายข้าวของในวิหารเสียหาย เหตุการณ์นี้นำไปสู่ความเคียดแค้นของชาวสิกข์ จนนางอินทิรา คานธีถูกลอบสังหารในที่สุด
การสังหารหมู่ที่เมืองอมฤตสาร์ ประเทศอินเดีย ในปีพ.ศ. 2462 เกิดขึ้นที่สถานที่ใด
{ "answer": [ "สวนสาธารณะจัลเลียนวลาบาฆ" ], "answer_begin_position": [ 324 ], "answer_end_position": [ 348 ] }