question_id
int32 1
4k
| article_id
int32 665
954k
| context
stringlengths 75
87.2k
| question
stringlengths 11
135
| answers
dict |
---|---|---|---|---|
2,206 | 494,067 |
การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ พ.ศ. 2462 การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ (Amritsar massacre) เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่สะเทือนขวัญ ซึ่งเกิดขึ้นถึงสองครั้งที่เมืองนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2462 เป็นการสังหารหมู่ชาวอินเดียที่สวนสาธารณะจัลเลียนวลาบาฆ ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 คือการสังหารหมู่ชาวสิกข์และทำลายวิหารศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาสิกข์สาเหตุ สาเหตุ. การสังหารหมู่ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง อังกฤษได้ออกพระราชบัญญัติโรว์แลตต์เมื่อ 3 มีนาคม พ.ศ. 2461 ให้อำนาจรัฐบาลจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อจลาจลได้ โดยไม่ต้องสอบสวนหรือให้ศาลพิพากษา ทำให้ชาวอินเดียโดยทั่วไปไม่พอใจ มหาตมะ คานธีได้นำหลักสัตยาเคราะห์มาใช้ในการต่อต้านพระราชบัญญัตินี้ ด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศ อดอาหารและสวดมนต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2461 ชาวอินเดียเข้าร่วมกับคานธีเป็นจำนวนมาก แต่ในวันแรก มีชาวอินเดียบางส่วนยังไม่เข้าใจการต่อสู้แบบสัตยาเคราะห์ จึงเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารในเดลี มีผู้เสียชีวิต 8 คนการสังหารหมู่ การสังหารหมู่. เหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่เมืองอมฤตสาร์ คิชลูและสัตยปาล ผู้นำชาตินิยมแห่งมณฑลปัญจาบได้เรียกร้องให้ประชาชนในลาฮอร์ออกมา มหาตมะ คานธีได้เตรียมเดินทางมาเพื่อปราศรัยกับมวลชนที่นี่ แต่ถูกจับกุมที่สถานีชายแดนรัฐปัญจาบและส่งตัวกลับไปบอมเบย์ ต่อมา วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2462 คิชลูและสัตยปาลก็ถูกจับกุม เมื่อประชาชนมาเดินขบวนเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนทั้งสอง ก็ถูกทหารอังกฤษยิงจนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ชาวเมืองที่โกรธแค้นจึงไปรวมตัวที่เมืองอมฤตสาร์ เผาทำลายธนาคารและสังหารชาวอังกฤษหลายคน นายพล อาร์ อี เอช ไดเออร์ ได้สั่งให้นำทหาร 1,000 คนเข้าไปควบคุมสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ ในวันที่ 13 เมษายน ไดเออร์ได้นำทหาร 50 คนพร้อมอาวุธเข้าไปในสวนสาธารณะจัลเลียนวลาบาฆ และยิงกราดเข้าไปในฝูงชนจำนวน 10,000 คน โดยไม่ประกาศเตือนล่วงหน้า ทำให้มีผู้เสียชีวิต 400 คน บาดเจ็บ 1,200 คน การกระทำของไดเออร์ได้รับการรับรองจากอังกฤษ แม้จะมีชาวอินเดียร้องเรียนเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้พ้นจากหน้าที่ในแคว้นปัญจาบด้วยข้อหาทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ เมื่อเดินทางกลับอังกฤษ เขาก็ได้รับการต้อนรับจากชาวอังกฤษเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งผลที่ตามมา ทำให้ชาวอินเดียสายกลางรวมทั้งมหาตมะ คานธีเกิดความรู้สึกชาตินิยม ต่อต้านอังกฤษเพิ่มขึ้นการสังหารหมู่ พ.ศ. 2527 การสังหารหมู่ พ.ศ. 2527. เหตุการณ์สังหารหมู่อีกครั้งที่เกิดขึ้นที่เมืองอมฤตสาร์ เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 กลุ่มทหารสิกข์ภายใต้การนำของ จาร์เนล สิงห์ ภินดรันวเล ได้เข้ายึดวิหารทองหรือสุวรรณวิหารเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้กับรัฐบาลอินเดียของนางอินทิรา คานธี ที่กำลังใช้นโยบายต่อต้านชาวสิกข์ กองทัพอินเดียได้ส่งทหารเข้าโจมตีวิหารทองเมื่อ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2527 สังหารภินดรันวเลและทหารรวมหลายร้อยคน และทำลายข้าวของในวิหารเสียหาย เหตุการณ์นี้นำไปสู่ความเคียดแค้นของชาวสิกข์ จนนางอินทิรา คานธีถูกลอบสังหารในที่สุด
|
มหาตมะ คานธีได้นำหลักการใดมาใช้ในการประท้วงพระราชบัญญัติโรว์แลตต์ที่อังกฤษบังคับใช้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง
|
{
"answer": [
"หลักสัตยาเคราะห์"
],
"answer_begin_position": [
722
],
"answer_end_position": [
738
]
}
|
2,207 | 170,529 |
ปลากัดปีนัง ปลากัดปีนัง หรือ ปลากัดภูเขา (; ) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) รูปร่างและคล้ายปลากัดทั่วไป แต่มีลำตัวป้อมใหญ่กว่า หัวโต ครีบหางใหญ่ ตัวผู้มีสีน้ำตาลคล้ำ ข้างแก้มสีฟ้าเหลือบเขียว เกล็ดมีจุดสีฟ้าเหลือบทั้งตัว ครีบสีน้ำตาลอ่อน ครีบหลังและครีบหางมีลายเส้นประสีคล้ำ ครีบก้นมีขอบดำ ตัวเมียสีน้ำตาลอ่อน และมีแถบสีคล้ำพาดตามแนวยาวของลำตัว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5-7 เซนติเมตร พฤติกรรมของปลากัดชนิดนี้ ไม่เหมือนปลากัดจำพวกก่อหวอด อย่าง ปลากัดภาคกลาง (B. splendens) หรือ ปลากัดอีสาน (B. smaragdina) เนื่องจากการผสมพันธุ์และวางไข่ ปลาตัวผู้จะไม่ก่อหวอดแต่จะอมไข่ไว้ในปากจนฟักเป็นตัว ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ คือ ลำธารที่น้ำไหลเชี่ยวแรงบนภูเขา อีกทั้งปลากัดจำพวกนี้ไม่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เหมือนพวกปลากัดก่อหวอด จึงสามารถพบอยู่กันเป็นฝูงได้หลาย ๆ ตัว อีกทั้งอวัยวะที่ช่วยในการหายใจ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์เท่าปลากัดก่อหวอด พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำบนภูเขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้เฉพาะภาคใต้เท่านั้น และพบได้เรื่อยไปในแหลมมลายูจนถึงรัฐปีนังในมาเลเซีย และมีความเป็นไปได้ว่าปลากัดชนิดนี้มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับปลากัดชนิด B. enisae ซึ่งเป็นปลากัดประเภทอมไข่เช่นเดียวกัน ที่พบได้ในแถบกาลิมันตันของอินโดนีเซียปลากัดที่พบในประเทศไทยกลุ่ม B. picta:ปลากัดที่พบในประเทศไทย. กลุ่ม B. picta:. - ปลากัดอมไข่กระบี่ Betta simplex Kottelat, 1994กลุ่ม B. pugnax:กลุ่ม B. pugnax:. - ปลากัดปีนัง Betta pugnax Cantor, 1849 - ปลากัดหัวโม่งจันทบุรี Betta prima Kottelat, 1994 - ปลากัดอมไข่สงขลา Betta ferox I. Schindler & J. Schmidt, 2006กลุ่ม B. splendens:กลุ่ม B. splendens:. - ปลากัดภาคกลาง (Siamese fighting fish) Betta splendens Regan, 1910 - ปลากัดอีสาน Betta smaragdina Ladiges, 1972 - ปลากัดภาคใต้ Betta imbellis Ladiges, 1975 - ปลากัดตะวันออก Betta siamorientalis Kowasupat, Panijpan, Ruenwongsa & Jeenthong, 2012 - ปลากัดมหาชัย Betta mahachaiensis Kowasupat, Panijpan, Ruenwongsa & Sriwattanarothai, 2012กลุ่ม B. waseri:กลุ่ม B. waseri:. - ปลากัดช้าง Betta pi H. H. Tan, 1998
|
ภาคใดในประเทศไทยที่จะสามารถพบปลากัดปีนังได้
|
{
"answer": [
"ภาคใต้"
],
"answer_begin_position": [
1084
],
"answer_end_position": [
1090
]
}
|
2,208 | 170,529 |
ปลากัดปีนัง ปลากัดปีนัง หรือ ปลากัดภูเขา (; ) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) รูปร่างและคล้ายปลากัดทั่วไป แต่มีลำตัวป้อมใหญ่กว่า หัวโต ครีบหางใหญ่ ตัวผู้มีสีน้ำตาลคล้ำ ข้างแก้มสีฟ้าเหลือบเขียว เกล็ดมีจุดสีฟ้าเหลือบทั้งตัว ครีบสีน้ำตาลอ่อน ครีบหลังและครีบหางมีลายเส้นประสีคล้ำ ครีบก้นมีขอบดำ ตัวเมียสีน้ำตาลอ่อน และมีแถบสีคล้ำพาดตามแนวยาวของลำตัว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5-7 เซนติเมตร พฤติกรรมของปลากัดชนิดนี้ ไม่เหมือนปลากัดจำพวกก่อหวอด อย่าง ปลากัดภาคกลาง (B. splendens) หรือ ปลากัดอีสาน (B. smaragdina) เนื่องจากการผสมพันธุ์และวางไข่ ปลาตัวผู้จะไม่ก่อหวอดแต่จะอมไข่ไว้ในปากจนฟักเป็นตัว ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ คือ ลำธารที่น้ำไหลเชี่ยวแรงบนภูเขา อีกทั้งปลากัดจำพวกนี้ไม่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เหมือนพวกปลากัดก่อหวอด จึงสามารถพบอยู่กันเป็นฝูงได้หลาย ๆ ตัว อีกทั้งอวัยวะที่ช่วยในการหายใจ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์เท่าปลากัดก่อหวอด พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำบนภูเขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้เฉพาะภาคใต้เท่านั้น และพบได้เรื่อยไปในแหลมมลายูจนถึงรัฐปีนังในมาเลเซีย และมีความเป็นไปได้ว่าปลากัดชนิดนี้มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับปลากัดชนิด B. enisae ซึ่งเป็นปลากัดประเภทอมไข่เช่นเดียวกัน ที่พบได้ในแถบกาลิมันตันของอินโดนีเซียปลากัดที่พบในประเทศไทยกลุ่ม B. picta:ปลากัดที่พบในประเทศไทย. กลุ่ม B. picta:. - ปลากัดอมไข่กระบี่ Betta simplex Kottelat, 1994กลุ่ม B. pugnax:กลุ่ม B. pugnax:. - ปลากัดปีนัง Betta pugnax Cantor, 1849 - ปลากัดหัวโม่งจันทบุรี Betta prima Kottelat, 1994 - ปลากัดอมไข่สงขลา Betta ferox I. Schindler & J. Schmidt, 2006กลุ่ม B. splendens:กลุ่ม B. splendens:. - ปลากัดภาคกลาง (Siamese fighting fish) Betta splendens Regan, 1910 - ปลากัดอีสาน Betta smaragdina Ladiges, 1972 - ปลากัดภาคใต้ Betta imbellis Ladiges, 1975 - ปลากัดตะวันออก Betta siamorientalis Kowasupat, Panijpan, Ruenwongsa & Jeenthong, 2012 - ปลากัดมหาชัย Betta mahachaiensis Kowasupat, Panijpan, Ruenwongsa & Sriwattanarothai, 2012กลุ่ม B. waseri:กลุ่ม B. waseri:. - ปลากัดช้าง Betta pi H. H. Tan, 1998
|
พฤติกรรมการฟักไข่ของปลากัดปีนังตัวผู้ที่ไม่เหมือนปลากัดจำพวกก่อหวอดคืออะไร
|
{
"answer": [
"อมไข่ไว้ในปากจนฟักเป็นตัว"
],
"answer_begin_position": [
710
],
"answer_end_position": [
735
]
}
|
2,209 | 57,338 |
วรพล ทองคำชู วรพล ทองคำชู นักเทนนิสชาย อดีตนักเทนนิสมืออันดับหนึ่งของไทย มีอันดับโลกสูงสุด ประเภทเดี่ยว อันดับ 649 เมื่อ พ.ศ. 2533 และประเภทคู่ อันดับ 792 เมื่อปี 2529 วรพลเป็นตัวแทนทีมชาติไทยแข่งขันในกีฬาซีเกมส์หลายครั้ง ได้เหรียญทองรวมถึง 7 เหรียญ เคยขึ้นถึงอันดับ 9 ของโลกในประเภทเยาวชนในปี พ.ศ. 2528 เป็นนักเทนนิสไทยรายแรกๆ ที่ออกไปแข่งขันอาชีพในต่างประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง อันดับโลก 649 ก็ได้จากการแข่งขันเพียงรายการเดียว ในการแข่งขันเดวิสคัพกับทีมชาตินิวซีแลนด์ ในปี พ.ศ. 2530 สามารถเอาชนะ เคลลี่ อีเวอร์เด้นท์ ซึ่งเป็นมืออันดับที่ 35 ของโลกในขณะนั้น สร้างความฮือฮามาก เพราะอีเวอร์เด้นท์เล่นเดวิสคัพในทวีปเอเชียไม่เคยเสียเซ็ตให้ใครเลย แต่กลับมาแพ้วรพล ซึ่งไม่มีอันดับโลกเลยในปีนั้น
|
นักเทนนิสชายไทย วรพล ทองคำชู ได้เหรียญทองจากการแข่งขันในกีฬาซีเกมส์รวมกี่เหรียญ
|
{
"answer": [
"7"
],
"answer_begin_position": [
326
],
"answer_end_position": [
327
]
}
|
2,210 | 57,338 |
วรพล ทองคำชู วรพล ทองคำชู นักเทนนิสชาย อดีตนักเทนนิสมืออันดับหนึ่งของไทย มีอันดับโลกสูงสุด ประเภทเดี่ยว อันดับ 649 เมื่อ พ.ศ. 2533 และประเภทคู่ อันดับ 792 เมื่อปี 2529 วรพลเป็นตัวแทนทีมชาติไทยแข่งขันในกีฬาซีเกมส์หลายครั้ง ได้เหรียญทองรวมถึง 7 เหรียญ เคยขึ้นถึงอันดับ 9 ของโลกในประเภทเยาวชนในปี พ.ศ. 2528 เป็นนักเทนนิสไทยรายแรกๆ ที่ออกไปแข่งขันอาชีพในต่างประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง อันดับโลก 649 ก็ได้จากการแข่งขันเพียงรายการเดียว ในการแข่งขันเดวิสคัพกับทีมชาตินิวซีแลนด์ ในปี พ.ศ. 2530 สามารถเอาชนะ เคลลี่ อีเวอร์เด้นท์ ซึ่งเป็นมืออันดับที่ 35 ของโลกในขณะนั้น สร้างความฮือฮามาก เพราะอีเวอร์เด้นท์เล่นเดวิสคัพในทวีปเอเชียไม่เคยเสียเซ็ตให้ใครเลย แต่กลับมาแพ้วรพล ซึ่งไม่มีอันดับโลกเลยในปีนั้น
|
นักเทนนิสชายไทย วรพล ทองคำชู มีอันดับโลกประเภทเดี่ยวสูงสุดอยู่ที่อันดับที่เท่าไร
|
{
"answer": [
"649"
],
"answer_begin_position": [
196
],
"answer_end_position": [
199
]
}
|
2,211 | 311,894 |
เหรียญราชรุจิ เหรียญราชรุจิ เป็นเหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นสำหรับพระราชทานแก่ข้าราชการในราชสำนัก นายทหารรักษาพระองค์ และผู้มีบำเหน็จความชอบในราชสำนัก รวมถึงข้าราชการในราชสำนักแห่งพระมหากษัตริย์ต่างประเทศ เป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาเหรียญราชรุจิ ประจำรัชกาลของพระองค์ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาในปี พ.ศ. 2470 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถาปนาสำหรับหรับรัชกาลของแต่ละพระองค์ในปี พ.ศ. 2502 ส่วนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) ไม่ได้พระราชทานไว้ลักษณะของเหรียญ ลักษณะของเหรียญ. เหรียญราชรุจิ มี 2 ชนิด คือ กะไหล่ทอง และเงิน มีลักษณะเป็นเหรียญกลม ใช้อักษาย่อว่า "ร.จ.ท." และ "ร.จ.ง." ต่อท้ายด้วยเลขรัชกาล เช่น "ร.จ.ท.(9)" ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 9 เป็นเหรียญกลมแบน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ครึ่งพระองค์ทรงหันพระพักตร์ทางเบื้องขวา มีอักษรจารึกริมขอบว่า "ภูมิพโล บรมราชาธิราชา" ด้านหลังมีรูปจักร กลางวงจักรจารึกอักษรว่า "ราชรุจิยา ทินฺนมิทํ" มีห่วงห้อยกับแพรแถบกว้าง 34 มิลลิเมตร สีเหลืองริมสีขาว สำหรับบุรุษประดับที่อกเสื้อด้านซ้าย สำหรับสตรีใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้ายการพระราชทาน การพระราชทาน. เหรียญราชรุจิ เป็นเครื่องหมายแห่งพระมหากรุณาธิคุณตามพระราชอัธยาศัย โดยการได้รับพระราชทานเหรียญเป็นสิทธิแก่ผู้ได้รับพระราชทาน หากผู้นั้นล่วงลับ ก็ให้ตกทอดแก่ทายาทเป็นที่ระลึก แต่ไม่มีสิทธิประดับ
|
เหรียญราชรุจิคืออะไร
|
{
"answer": [
"เหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์"
],
"answer_begin_position": [
120
],
"answer_end_position": [
175
]
}
|
2,212 | 311,894 |
เหรียญราชรุจิ เหรียญราชรุจิ เป็นเหรียญสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นสำหรับพระราชทานแก่ข้าราชการในราชสำนัก นายทหารรักษาพระองค์ และผู้มีบำเหน็จความชอบในราชสำนัก รวมถึงข้าราชการในราชสำนักแห่งพระมหากษัตริย์ต่างประเทศ เป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาเหรียญราชรุจิ ประจำรัชกาลของพระองค์ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาในปี พ.ศ. 2470 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถาปนาสำหรับหรับรัชกาลของแต่ละพระองค์ในปี พ.ศ. 2502 ส่วนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) ไม่ได้พระราชทานไว้ลักษณะของเหรียญ ลักษณะของเหรียญ. เหรียญราชรุจิ มี 2 ชนิด คือ กะไหล่ทอง และเงิน มีลักษณะเป็นเหรียญกลม ใช้อักษาย่อว่า "ร.จ.ท." และ "ร.จ.ง." ต่อท้ายด้วยเลขรัชกาล เช่น "ร.จ.ท.(9)" ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 9 เป็นเหรียญกลมแบน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ครึ่งพระองค์ทรงหันพระพักตร์ทางเบื้องขวา มีอักษรจารึกริมขอบว่า "ภูมิพโล บรมราชาธิราชา" ด้านหลังมีรูปจักร กลางวงจักรจารึกอักษรว่า "ราชรุจิยา ทินฺนมิทํ" มีห่วงห้อยกับแพรแถบกว้าง 34 มิลลิเมตร สีเหลืองริมสีขาว สำหรับบุรุษประดับที่อกเสื้อด้านซ้าย สำหรับสตรีใช้ห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้ายการพระราชทาน การพระราชทาน. เหรียญราชรุจิ เป็นเครื่องหมายแห่งพระมหากรุณาธิคุณตามพระราชอัธยาศัย โดยการได้รับพระราชทานเหรียญเป็นสิทธิแก่ผู้ได้รับพระราชทาน หากผู้นั้นล่วงลับ ก็ให้ตกทอดแก่ทายาทเป็นที่ระลึก แต่ไม่มีสิทธิประดับ
|
ด้านหลังของเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ 9 เป็นรูปอะไร
|
{
"answer": [
"จักร"
],
"answer_begin_position": [
1203
],
"answer_end_position": [
1207
]
}
|
2,213 | 369,907 |
ฟ่าน ปิงปิง ฟ่าน ปิงปิง () เป็นนักแสดงและนักร้องชาวจีน มีชื่อเล่นว่า ปิงปิง และ เป่าเปา เกิดวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1981 ที่เมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ประเทศจีน ฟ่าน ปิงปิงจบการศึกษาจากสถาบันสอนการแสดงเซี่ยจิ้นเหิงทง จากเซี่ยงไฮ้ เข้าสู่แวดวงบันเทิงในปี ค.ศ. 1996 และมีชื่อเสียงมาจากการรับบท "จินสั่ว" สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของ "จื่อเวย" ในซีรีส์ของไต้หวันชุด Princess Pearl หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ องค์หญิงกำมะลอ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทสมบทบาท ที่ต้องแสดงคู่กับนักแสดงนำคือ เจ้าเวย และหลิน ซินหยู จากนั้นเธอได้รับบทบทเด่นในภาพยนตร์เรื่อง The Lion Roars ในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทเด่นขึ้นมา โดยมีนักแสดงนำเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง คือ กู่ เทียนเล่อ และจาง ป๋อจือ และ Twins Effect 2 ในปีถัดมา ในปี ค.ศ. 2006 จากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Beijing ที่เธอเป็นนักแสดงนำ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมากมายและถูกห้ามฉายในประเทศจีนอีกด้วย ในขณะที่ผลงานเพลง เธอได้ร้องเพลงประกอบซีรีส์ที่แสดงหลายเรื่อง และได้ออกอัลบั้มชุด "กังกังไคสื่อ" ออกมาวางแผงไม่ถึงสัปดาห์ก็ขึ้นชาร์จอันดับต้น ๆ ในต้นปี ค.ศ. 2011 มีการจัดอันดับรายได้ของนักแสดงจีน (รวมทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ จีน, ไต้หวัน และฮ่องกง) ที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ปรากฏว่า ฟ่าน ปิงปิง เป็นผู้ทำรายได้เป็นอันดับที่ 1 ซึ่งในปี ค.ศ. 2010 เธอทำเงินไปได้ถึง 62.5 ล้านหยวน (ประมาณ 284 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นค่าตัวจากงานแสดง 6 ล้านหยวน, รายได้จากการเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้า 32.5 ล้านหยวน และค่าตัวในการออกงานอีเวนต์ต่าง ๆ อีก 24 ล้านหยวน นอกจากนี้แล้ว เธอยังได้ร่วมแสดงใน X-men ภาพยนตร์แอ๊คชั่นซูเปอร์ฮีโร่สัญชาติฮอลลีวู้ดของมาร์เวลคอมิกส์ ภาคต่อของ X-men และX-men 2 ออกฉายในปี ค.ศ. 2013 แต่บทบาทของเธอจะเข้าฉายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ในกลางปี ค.ศ. 2015 ฟ่าน ปิงปิง ได้เป็นนักแสดงหญิงที่ทำรายได้สูงสุดในโลกเป็นอันดับที่ 4 โดยทำรายได้ไปทั้งสิ้น 21 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 749 ล้านบาท) และนับเป็นนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่มิใช่ชาวตะวันตกที่ติดอันดับการแสดงภาพยนตร์ละครโทรทัศน์
|
ฟ่าน ปิงปิง เป็นนักแสดงและนักร้องจากประเทศใด
|
{
"answer": [
"จีน"
],
"answer_begin_position": [
137
],
"answer_end_position": [
140
]
}
|
2,214 | 62,845 |
แพนด้าแดง แพนด้าแดง (; ; พินอิน: Xiǎo xióngmāo) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ailurus fulgens อยู่ในวงศ์ Ailuridae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์นี้ที่ยังสืบทอดสายพันธุ์อยู่ จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตอยู่ชนิดหนึ่ง และเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Ailurus มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแรคคูนและกระรอกรวมกัน หัวมีขนาดใหญ่ จมูกแหลม ขาสั้นคล้ายหมี ขนตามลำตัวมีหลากหลาย มีทั้งสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลเหลืองและน้ำตาลแดง ขนบริเวณลำคอยาวและนุ่มฟู หางเป็นพวงยาวคล้ายกับหางของกระรอก มีลายปล้องสีน้ำตาลแดงสลับขาว มีความยาวของลำตัวและหัว 51-64 เซนติเมตร หางยาว 50-63 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 3-4.5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์พบตามแนวเทือกเขาหิมาลัย ตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศอินเดีย, ทิเบต, เนปาล, ภูฏาน, จีน, ภาคเหนือของพม่า และภาคเหนือของประเทศลาวบริเวณที่ติดกับจีน โดยอาศัยอยู่ในป่าที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 1,500-4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพฤติกรรมออกหากินตามลำพัง มักหากินบนต้นไม้ กินอาหารเพียงไม่กี่ประเภท โดยกินเฉพาะใบไม้อ่อนเท่านั้น บางครั้งอาจกินไข่นก สัตว์ขนาดเล็กและผลไม้บางชนิดด้วย ใช้เวลาตอนกลางวันในการนอนหลับพักผ่อน แพนด้าแดงตัวผู้จะหวงอาณาเขตมากและมักเคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ แต่แพนด้าแดงตัวเมียจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ครอบครองของตัวเอง บางครั้งตัวผู้อาจเข้ามาหากินภายในอาณาเขตของตัวเมียด้วย โดยทั่วไปอาณาเขตของแพนด้าแดงตัวผู้จะกว้างประมาณ 1.1-9.6 ตารางกิโลเมตร ส่วนอาณาเขตของตัวเมียจะกว้างประมาณ 1.0-1.5 ตารางกิโลเมตร ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยตัวเมียจะยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุ์อยู่เพียง 1-3 วันเท่านั้น แม่แพนด้าแดงใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 90-145 วัน และจะออกลูกในโพรงไม้หรือถ้ำเล็ก ๆ ออกลูกครั้งละ 4 ตัว ลูกที่เกิดใหม่จะยังมองไม่เห็น มีสีขนตามลำตัวออกสีเหลืองอ่อน และจะกินนมแม่อยู่นาน 5 เดือน หลังจากนั้นจึงหย่านมและเปลี่ยนมากินใบไผ่แทน เมื่ออายุได้ 2 ปี ก็จะแยกออกไปหากินตามลำพัง มีข้อสังเกตว่า แพนด้าแดงที่อยู่บริเวณภาคเหนือของอินเดียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวที่อยู่ค่อนมาทางเอเชียตะวันออก และมีสีที่ใบหน้าซีดจางกว่า ซึ่งเป็นชนิดย่อยที่แยกออกไป สำหรับในประเทศไทย สวนสัตว์พาต้าเคยนำเข้ามาเลี้ยงในสวนสัตว์ครั้งหนึ่ง โดยให้อยู่ในห้องปรับอากาศ ปัจจุบันมีแสดงที่สวนสัตว์ดุสิต และสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเท่านั้นรูปภาพ
|
แพนด้าแดงเป็นสัตว์ประเภทใด
|
{
"answer": [
"สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม"
],
"answer_begin_position": [
130
],
"answer_end_position": [
150
]
}
|
2,215 | 584,341 |
ไข้กาฬหลังแอ่น ไข้กาฬหลังแอ่น, ไข้กาฬนกนางแอ่น หรือ การติดเชื้อเมนิงโกค็อกคัส () คือกลุ่มของโรคติดเชื้อ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ Neisseria meningitidis (อีกชื่อว่า เมนิงโกค็อกคัส ()) ซึ่งเป็นโรคที่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก แม้เชื้อนี้จะพบเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้บ่อย แต่การติดเชื้อนี้เข้าสู่กระแสเลือดเป็นภาวะที่มีอันตรายกว่ามาก โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อเมนิงโกค็อกคัส (meningococcal meningitis) และโรคติดเชื้อเมนิงโกค็อกคัสเข้ากระแสเลือด (meningococcemia) เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย พิการ และเสียชีวิต ที่สำคัญ ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาทั่วโลก ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีนักว่าการติดเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคที่มีความรุนแรงเป็นลักษณะเฉพาะเช่นนี้ได้อย่างไร คนปกติจำนวนมากมีเชื้อนี้อาศัยอยู่ในร่างกายเป็นปกติโดยไม่ได้ทำให้เกิดโรคใดๆ แต่หากเชื้อหลุดเข้ากระแสเลือดไปยังสมองก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงเช่นนี้ได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้พยายามทำความเข้าใจชีววิทยาของเชื้ออ meningococcus และปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชื้อกับร่างกาย อย่างไรก็ดีมีการพัฒนาวิธีการรักษาและวัคซีนที่ได้ผลดีออกมาใช้แล้ว และยังต้องมีการพัฒนาต่อเนื่องโดยความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญหลายๆ สาขา ในช่วง 13 ปี ที่ผ่านมา อุบัติการณ์ของผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่น ในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้ออยู่เป็นปกติ อยู่ที่ 1-5 ต่อ 100,000 ประชากร ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และ 10-25 ต่อ 100,000 ประชากร ในประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนในช่วงที่มีการระบาดทั่วนั้นมีอุบัติการณ์สูงถึง 100 ต่อ 100,000 ประชากร ในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียประมาณ 2,600 ราย ต่อปี และในประเทศที่กำลังพัฒนาพบประมาณ 333,000 ราย ต่อปี และมีอัตราผู้ป่วยตายอยู่ที่ 10-20% แม้ไข้กาฬหลังแอ่นจะไม่ได้ติดต่อง่ายเท่าโรคหวัด แต่ก็สามารถติดต่อผ่านน้ำลาย หรือผ่านการสัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องเป็นเวลานานได้การรักษาและพยากรณ์โรค การรักษาและพยากรณ์โรค. ผู้ป่วยที่สงสัยป่วยไข้กาฬหลังแอ่นควรได้รับการรักษาทันทีโดยไม่ต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยหน่วยบริการปฐมภูมิมักฉีด benzylpenicillin เข้ากล้ามเนื้อ และส่งผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการระดับสูงกว่าต่อไป เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วผู้ป่วยมักได้ยาปฏิชีวนะเข้าทางหลอดเลือดดำ ส่วนใหญ่เป็น cephalosporin รุ่นที่ 3 เช่น ceftriaxone หรือ cefotaxime ทั้งนี้ benzylpenicillin และ chloramphenicol ก็ได้ผลเช่นกัน นอกจากนี้ยังควรได้รับการรักษาประคับประคองอื่นๆ ตามความเหมาะสม เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การให้ออกซิเจน การให้ยากระตุ้นความดันเลือด เช่น dopamine หรือ dobutamine รวมทั้งการรักษาภาวะความดันในกะโหลกศีรษะขึ้นสูง ผู้ป่วยบางรายอาจควรได้รับการรักษาด้วย steroid แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าจะมีผลดีในระยะยาว
|
ไข้กาฬหลังแอ่นเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์ใด
|
{
"answer": [
"เมนิงโกค็อกคัส"
],
"answer_begin_position": [
268
],
"answer_end_position": [
282
]
}
|
2,216 | 213,857 |
เทย์เลอร์ สวิฟต์ เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ (; เกิด 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เธอเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและเป็นที่สนใจของสื่ออย่างมาก สวิฟต์เกิดเติบโตในรัฐเพนซิลเวเนีย ต่อมาเธอได้ย้ายไปยังเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ขณะอายุ 14 ปี เพื่อหางานทำเกี่ยวกับเพลงคันทรี เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงบิกแมชีนเรเคิดส์ และเป็นนักแต่งเพลงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทโซนี/เอทีวีมิวสิกพับบลิชชิง อัลบั้มแรกของสวิฟต์มีชื่อเดียวกับตนเอง วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2006 อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตได้นานที่สุดในทศวรรษ 2000 ซิงเกิลที่สาม "อาวเวอร์ซอง" ทำให้เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งเพลงด้วยตนเองและเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี อัลบั้มที่สอง เฟียร์เลส ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 2008 หลังจากสามารถติดชาร์ตเพลงป็อป (pop crossover) ได้สำเร็จ ซิงเกิล "เลิฟสตอรี" และ "ยูบีลองวิทมี" ทำให้อัลบั้มเฟียร์เลสเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี ค.ศ. 2009 อัลบั้มชนะรางวัลแกรมมี 4 รางวัล และสวิฟต์เป็นนักร้องที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบั้มเพลงแห่งปี (Album of the Year) สวิฟต์เป็นนักแต่งเพลงคนเดียวในอัลบั้มที่สาม สปีกนาว (ค.ศ. 2010) อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในสหรัฐ ซิงเกิล "มีน" ได้รับรางวัลแกรมมี 2 รางวัล ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ออกอัลบั้มที่สี่ เรด มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" อัลบั้มชุดที่ห้า 1989 เป็นอัลบั้มแนวเพลงป็อป ออกจำหน่ายใน ค.ศ. 2014 ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรก และ เพียงคนเดียวที่มียอดขายเปิดตัวอัลบั้มในสหรัฐมากกว่า 1 ล้านอัลบั้ม ในสัปดาห์แรกได้ถึง 3 อัลบั้ม ซิงเกิล "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐ อัลบั้มได้รับรางวัลแกรมมีสามรางวัล ทำให้เธอเป็นศิลปินคนที่ห้า และเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี (Album of the Year) ถึงสองครั้ง ทัวร์ 1989 เวิลด์ทัวร์ของอัลบั้ม 1989 จัดขึ้นในปี ค.ศ. 2015 เป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตรายได้ดีที่สุดตลอดกาล อัลบั้มที่หกของสวิฟต์ เรพิวเทชัน (2017) และซิงเกิลแรก "ลุกวอตยูเมดมีดู" ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตของสหราชอาณาจักร และสหรัฐ ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (Nashville Songwriters Association) และหอเกียรติยศนักแต่งเพลง (Songwriters Hall of Fame) เธอยังได้รับรางวัลแกรมมี 10 รางวัล อยู่ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 5 รายการ รางวัลเอมมีอะวอดส์ 1 รางวัล รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอะวอดส์ 21 รางวัล รางวัลสมาคมเพลงคันทรี 11 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 สาขา และรางวัลบริตอะวอดส์ 1 รางวัล สวิฟต์เป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล เธอขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านอัลบั้ม (27.1 ล้านอัลบั้มในสหรัฐ) และยอดดาวน์โหลดซิงเกิล 130 ล้านดาวน์โหลด ในปี ค.ศ. 2015 เธออยู่ในรายชื่อ "ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุด" จัดโดยนิตยสารฟอบส์ (ปี ค.ศ. 2010 และ ค.ศ. 2015) หนึ่งในผู้หญิงที่มีรายได้มากที่สุด" จัดโดยนิตยสารไทม์ รายชื่อ "ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุด" จัดโดยนิตยสารฟอบส์ และรายชื่อคนดัง 100 คนของฟอบส์ เธอเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดที่อยู่ในรายชื่อคนดัง 100 คน และเธออยู่อันดับที่หนึ่งชีวิตและการทำงาน1989–2003: ชีวิตช่วงแรก ชีวิตและการทำงาน. 1989–2003: ชีวิตช่วงแรก. เทย์เลอร์ สวิฟต์ เกิดในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่เรดดิง รัฐเพนซิลเวเนีย บิดาของเธอชื่อ สกอตต์ คิงสลีย์ สวิฟต์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน แม่ของเธอ แอนเดรีย การ์ดเนอร์ (ชื่อก่อนสมรส ฟินเลย์) สวิฟต์ เป็นผู้รับจ้างทำงานบ้านที่เคยทำงานเป็นกรรมการบริหารกองทุนรวม สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน สวิฟต์ใช้ชีวิตช่วงแรกในไร่นาต้นคริสต์มาส เธอเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล และชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอัลเวอร์เนียมอนเทสซอรีสกูล เปิดสอนโดยแม่ชีคณะฟรันซิสกัน ก่อนย้ายเข้าโรงเรียนวินด์ครอฟต์สกูล ต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชานเมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนไวโอมิสซิงเอเรียจูเนียร์/ซีเนียร์ไฮสกูล เมื่ออายุ 9 ปี สวิฟต์เริ่มสนใจการละครเวที และแสดงในละครเวทีที่เบิกส์ยูธเธียเตอร์อะคาเดมี เธอเดินทางไปบรอดเวย์เป็นประจำเพื่อเรียนร้องเพลงและการแสดง ต่อมาสวิฟต์เริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่ดนตรีคันทรี เพลงของชะไนยา ทเวน ทำให้เธอ "อยากวิ่งรอบช่วงตึก 4 รอบและฝันกลางวันถึงทุกสิ่งทุกอย่าง" เธอใช้เวลาสุดสัปดาห์แสดงตามงานเทศกาลในท้องถิ่น และเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากชมสารคดีเกี่ยวกับเฟธ ฮิลล์ สวิฟต์รู้สึกมั่นใจว่าเธอต้องการเดินทางไปที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เพื่อสานฝันงานดนตรี เมื่ออายุ 11 ปี เธอเดินทางไปแนชวิลล์กับมารดาเพื่อส่งเดโมเพลง ซึ่งเป็นเพลงคาราโอเกะของดอลลี พาร์ตัน และดิกซีชิกส์ นำมาขับร้องใหม่ แต่เธอถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุที่ว่า "ทุกคนในเมืองนั้นก็อยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ดังนั้น ฉันจึงกลับมาคิดกับตัวเอง ฉันต้องหาทางทำสิ่งที่แตกต่างออกไป" เมื่อสวิฟต์อายุ 12 ปี ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์คนหนึ่งสอนเธอเล่นกีตาร์ 3 คอร์ด บันดาลให้เธอเขียนเพลงแรก "ลักกียู" ใน ค.ศ. 2003 สวิฟต์และบิดามารดาของเธอเริ่มทำงานกับผู้จัดการดนตรี แดน ดิมโทรว์ ในนิวยอร์ก ด้วยความช่วยเหลือของดิมโทรว์ สวิฟต์เป็นแบบให้แก่บริษัทเอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ "ไรซิงสตาส์" และมีเพลงต้นฉบับรวมในอัลบั้มรวมเพลงของตราสินค้าเมย์เบลลีน และเข้าร่วมประชุมกับค่ายเพลงหลักมากมาย หลังจากแสดงเพลงที่งานมหรสพของสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์ สวิฟต์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นเกรด 8 ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้อง และเริ่มเดินทางไปแนชวิลล์กับมารดาของเธอบ่อยขึ้น บิดาของเธอย้ายไปทำงานออฟฟิศของเมร์ริลลินช์ที่แนชวิลล์เพื่อช่วยส่งเสริมสวิฟต์ทำงานดนตรีคันทรี ขณะที่เธออายุ 14 ปี และครอบครัวย้ายที่อยู่ไปที่บ้านริมทะเลสาบในเฮนเดอร์สันวิลล์ รัฐเทนเนสซี ในเทนเนสซี สวิฟต์เข้าเรียนที่โรงเรียนไฮสกูล แต่เรียนได้สองปี เธอก็ย้ายไปเรียนที่สถาบันแอรอนอะคาเดมี โรงเรียนคริสต์เอกชนที่มีบริการเรียนที่บ้านได้ เพื่อให้สะดวกต่อการทัวร์ และเธอจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ 2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์. ที่แนชวิลล์ เธอได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลงย่านมิวสิกโรว์หลายคน เช่น ทรอย เวอร์จิส เบรตต์ บีเวอส์ เบรตต์ เจมส์ แม็ก แม็กอะแนลลี และเดอะวอร์เรนบราเธอส์ ในที่สุดเธอได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ลิซ โรส พวกเขาเริ่มพบกันในคาบแต่งเพลงทุกวันเสาร์ตอนบ่ายหลังเรียน โรสกล่าวว่า คาบแต่งเพลงเป็น "สิ่งที่ง่ายที่สุดที่ฉันเคยได้ทำ ง่าย ๆ คือ ฉันเป็นบรรณาธิการของเธอ เธอจะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในวันนั้น เธอมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการจะพูด และเธอจะคิดท่อนสร้อยที่น่าเหลือเชื่อได้เสมอ" สวิฟต์ได้เซ็นสัญญากับโซนี/เอทีวีทรีพับลิชชิง แต่ลาออกจากสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์เมื่ออายุ 14 ปี เธอระลึกได้ว่า "ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังหมดเวลา ฉันอยากเก็บความทรงจำในชีวิตของฉันหลายปีมานี้ไว้ในอัลบั้มสักอัลบั้ม ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นยังแทนสิ่งที่ฉันพบเจอมาอยู่" ณ งานมหรสพแห่งหนึ่งที่ร้านกาแฟบลูเบิร์ดคาเฟในเมืองแนชวิลล์เมื่อ ค.ศ. 2005 สวิฟต์เป็นที่สนใจของสก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้บริหารค่ายดรีมเวิกส์เรเคิดส์ที่กำลังเตรียมตัวก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตนในชื่อ บิกแมชีนเรเคิดส์ เธอเคยพบกับบอร์เชตตาแล้วในปี ค.ศ. 2004 เธอได้เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา โดยพ่อของเธอจ่ายเงินช่วยบริษัท 3% เป็นเงินจำนวนประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐสวิฟต์เริ่มทำงานอัลบั้มแรกของเธอโดยตั้งชื่อเธอให้เป็นชื่ออัลบั้มไม่นานหลังเซ็นสัญญา สวิฟต์โน้มน้าวให้ค่ายบิกแมชีนจ้างโปรดิวเซอร์เพลงชื่อนาธาน แชปแมน ที่เธอรู้สึกว่ามีเคมีตรงกัน สวิฟต์แต่งเพลง 3 เพลงในอัลบั้มด้วยตนเอง และร่วมแต่งเพลงที่เหลืออีกแปดเพลงกับนักแต่งเพลงหลายคน เช่น โรส เอลลิส ออร์รอล ไบรอัน เมเฮอร์ และแอนเจโล เพทราเกลีย มีคำอธิบายเกี่ยวกับดนตรีของเพลงในอัลบั้มว่าเป็น "การผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีคันทรีดั้งเดิมกับกีตาร์ร็อกที่มีชีวิตชีวา" (a mix of trad-country instruments and spry rock guitars) อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2006 จอน คารามานิกา จากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ บรรยายว่าเป็น "งานชิ้นเยี่ยมเล็ก ๆ ที่เป็นคันทรีผสมป็อป ทั้งเรียบง่ายและถากถาง รวมกันไว้ด้วยเสียงร้องที่อ้อนวอนและแน่วแน่ของคุณสวิฟต์" อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ขึ้นสูงสุดอันดับที่ห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตนาน 157 สัปดาห์ ยาวนานที่สุดในบรรดาอัลบั้มที่ออกในคริสต์ทศวรรษ 2000 นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 อัลบั้มขายได้มากกว่า 7.75 ล้านชุดทั่วโลก บิกแมชีนเรเคิดส์เพิ่งเปิดค่ายใหม่ ขณะที่ออกซิงเกิลนำ "ทิม แม็กกรอว์" ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 และสวิฟต์กับแม่ของเธอช่วย "นำซีดีซิงเกิลใส่ซองจดหมายและส่งให้สถานีวิทยุ" เธอใช้เวลาตลอดปี ค.ศ. 2006 ส่งเสริมอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ผ่านการทัวร์ตามสถานีวิทยุและรายการโทรทัศน์ บอร์เชตตากล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจให้เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เซ็นสัญญา แรกเริ่มทำให้เพื่อนร่วมวงการของเขาเป็นกังวล แต่สวิฟต์ได้ก้าวเข้าสู่กลุ่มตลาดดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ วัยรุ่นสาวที่ฟังเพลงคันทรี หลังจากออกซิงเกิล "ทิม แม็กกรอว์" มีซิงเกิลออกตามมาอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี ค.ศ. 2007-2008 ได้แก่ "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" "อาวเวอร์ซอง" "พิกเชอร์ทูเบิร์น" และ "ชูดัฟเซดโน" ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี "เอาร์ซอง" และ "ชูดัฟเซดโน" ขึ้นอันดับหนึ่ง เพลง "อาวเวอร์ซอง" ทำให้สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งและร้องเพลงคันทรีเอง และเพลงนั้นขึ้นอันดับหนึ่งด้วย "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" กลายเป็นเพลงแนวป็อปที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง ขึ้นอันดับ 13 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 สวิฟต์ยังออกอัลบั้มวันหยุด ได้แก่ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 และอีพีชื่อ บิวตีฟูลอายส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 เธอส่งเสริมอัลบั้มแรกของเธอด้วยการพบปะทักทายกับแฟนเพลง ร้องเพลงที่ได้รับความนิยม และเป็นศิลปินเปิดคอนเสิร์ตให้ทัวร์ของศิลปินอื่น ๆ อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมาย เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี โดยสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ในปี ค.ศ. 2007 ทำให้สวิฟต์กลายเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติครั้งนี้ เธอยังได้รางวัลฮอไรซันอะวอร์ดสาขาศิลปินหน้าใหม่โดยสมาคมดนตรีคันทรี รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขานักร้องนำหญิงคนใหม่ยอดเยี่ยม และรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดสาขาศิลปินคันทรีหญิงคนโปรด เธอยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมปี ค.ศ. 2008 แต่พ่ายให้แก่เอมี ไวน์เฮาส์ ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เธอคบหากับโจ โจนาส ความสัมพันธ์จบลงในสามเดือนถัดมา2008–2010 : อัลบั้มเฟียร์เลส และการแสดง 2008–2010 : อัลบั้มเฟียร์เลส และการแสดง. สตูดิโออัลบั้มที่สองของสวิฟต์ชื่อ เฟียร์เลส วางจำหน่ายวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 โจดี โรเซน จากโรลลิงสโตน บรรยายถึงเธอว่าเป็น "นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเกี่ยวกับโครงสร้างเวิร์ส-คอรัส-บริดจ์" ที่มีเพลง "ลึกซึ้งกินใจทีละเล็กละน้อยและแท้จริง" ดูเหมือนกับ "ดึงออกจากอนุทินของเด็กชานเมืองคนหนึ่ง" ซิงเกิลนำจากอัลบั้ม "เลิฟสตอรี" ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 และกลายเป็นซิงเกิลคันทรีที่ขายดีที่สุดอันดับสองตลอดกาล ขึ้นสูงสุดอันดับที่สี่บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย มีซิงเกิลออกจำหน่ายอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี ค.ศ. 2008-2009 ได้แก่ "ไวต์ฮอร์ส" "ยูบีลองวิทมี" "ฟิฟทีน" และ "เฟียร์เลส" เพลง "ยูบีลองวิทมี" เป็นซิงเกิลที่ขึ้นอันดับสูงที่สุดในอัลบั้ม ขึ้นถึงอันดับที่สองบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี ค.ศ. 2009 สวิฟต์ออกทัวร์ของตนเองครั้งแรกเพื่อส่งเสริมอัลบั้มเฟียร์เลส ในทัวร์ชื่อเฟียร์เลสทัวร์ ทำรายได้ได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์คอนเสิร์ต ออกอากาศทางโทรทัศน์และจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์ สวิฟต์ยังแสดงรับเชิญในทัวร์ชื่อ เอสเคปทูเก็ตเทอร์เวิลด์ทัวร์ ของคีท เออร์เบิน ในปี ค.ศ. 2009 สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคันทรีคนแรกที่ได้รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด หลังเพลง "ยูบีลองวิทมี" ได้เป็นวิดีโอของศิลปินหญิงยอดเยี่ยม ขณะเธอกล่าวรับรางวัล แร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เข้ามาขัดจังหวะ เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อ และทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตมีม เจมส์ มอนต์โกเมอรี จากเอ็มทีวีเถียงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวและความสนใจจากสื่อทำให้สวิฟต์กลายเป็น "คนดังตามกระแสอย่างแท้จริง" (a bona-fide mainstream celebrity) ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาศิลปินแห่งปี และอัลบั้มเพลงคันทรีชมเชยด้วย บิลบอร์ดแต่งตั้งให้เธอเป็นศิลปินแห่งปี ค.ศ. 2009 ในปี ค.ศ. 2010 สวิฟต์ได้รับรางวัลมากมายจากอัลบั้มเฟียร์เลส ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เฟียร์เลสได้รางวัลอัลบั้มแห่งปี และอัลบั้มเพลงคันทรียอดเยี่ยม ขณะที่เพลง "ไวต์ฮอร์ส" ได้รางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และการแสดงเพลงคันทรีหญิงยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี ในงานประกาศรางวัล สวิฟต์ร้องเพลง "ยูบีลองวิทมี" และ "รีแอนนอน" กับสตีวี นิกส์ การแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีและมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีจากสื่อ จอน คารามานิกาจากเดอะนิวยอร์กไทมส์เห็นว่า "น่าชื่นใจที่เห็นคนบางคนมีพรสวรรค์จนบางครั้งก็มีผิดพลาดบ้าง" และพูดถึงสวิฟต์ว่าเป็น "ดาราป็อปคนสำคัญที่สุดคนใหม่ในรอบหลายปี" สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สมาคมดนตรีคันทรีแต่งตั้งเป็นผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี อัลบั้มเฟียร์เลสได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีจากสมาคมดังกล่าวด้วย สวิฟต์ร้องเบื้องหลังให้เพลง "ฮาล์ฟออฟมายฮาร์ต" ของจอห์น เมเยอร์ เป็นซิงเกิลจากอัลบั้มที่สี่ แบตเทิลสตัดดีส์ (2009) เธอร่วมแต่งและอัดเพลง "เบสต์เดส์ออฟยัวร์ไลฟ์" กับเคลลี พิกเลอร์ด้วย และร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ สองเพลง ได้แก่ "ยูลออลเวส์ไฟนด์ยัวร์เวย์แบ็กโฮม" และ "เครซีเออร์" สวิฟต์ยังร้องเพลงให้ซิงเกิล "ทูอิสเบ็ตเทอร์แดนวัน" ของบอยส์ไลก์เกิลส์ แต่งโดยมาร์ติน จอห์นสันด้วย เธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก หนึ่งในนั้นคือเพลง "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" กลายเป็นเพลงอันดับหนึ่งบนชาร์ตคะเนเดียนฮอต 100 เพลงแรกของเธอด้วย และอัดเพลง "เบรทเลส" ฉบับร้องใหม่ของเบ็ตเทอร์แดนเอซรา ลงอัลบั้มโฮปฟอร์เฮตินาว สวิฟต์เริ่มงานแสดงในละครชุด ทางช่องซีบีเอส ตอนหนึ่งในปี ค.ศ. 2009 รับบทเป็นวัยรุ่นหัวรั้น เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่าตัวละครดังกล่าวทำให้สวิฟต์ดู "ซนเล็กน้อย และซนอย่างเหลือเชื่อ" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์เป็นพิธีกรและเป็นแขกรับเชิญตอนหนึ่งในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลีพูดถึงเธอว่า "เป็นพิธีกรรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลย" จากที่เธอ "ดูท้าทายอยู่เสมอ ดูเหมือนจะสนุกสนาน และทำให้นักแสดงที่เหลือเล่นมุกตลกได้หลายมุก" ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องวาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 เธอเริ่มความสัมพันธ์ชู้สาวกับนักแสดง เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แต่เลิกรากันในปีเดียวกัน ภาพยนตร์รักตลกเรื่องดังกล่างออกฉายในปีต่อมา เธอแสดงเป็นแฟนสาวทึ่มของหนุ่มบ้านนอกนักเรียนไฮสกูล บทบาทที่ลอสแอนเจลิสไทมส์มองเห็น "ศักยภาพที่ทำให้ดูตลกอย่างจริงจัง" ในบทสัมภาษณ์บทหนึ่ง นิตยสารวาไรตีมองว่าเธอ "ไม่ได้ถูกชี้นำชัดเจน" และแย้งว่า "เธอต้องหาผู้กำกับที่มีความสามารถคอยจำกัดขอบเขตพลังการแสดงที่มีมากเกินไป" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์คบหากับนักแสดง เจค จิลเลินฮาล เป็นช่วงสั้น ๆ2010-2012 : อัลบั้มสปีกนาว และ เรด 2010-2012 : อัลบั้มสปีกนาว และ เรด. ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์ออกเพลง "ไมน์" ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่สามชื่อ สปีกนาว เข้าชาร์ตที่สหรัฐอันดับที่สาม ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สอง (ถัดจากมารายห์ แครี) ในประวัติศาสตร์ของชาร์ตฮอต 100 ที่เปิดตัวที่ห้าอันดับแรกถึงสองเพลงในปีเดียวกัน อีกเพลงหนึ่งคือ "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" เพลงนี้เป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบั้มที่สาม สปีกนาว ซึ่งเธอแต่งเองโดยไม่มีผู้ช่วย ในการส่งเสริมอัลบั้ม เธอออกรายการทอล์กโชว์และรายการพูดคุยตอนเช้าหลายรายการ และแสดงคอนเสิร์ตฟรีในสถานที่แปลก ๆ เช่น บนดาดฟ้ารถประจำทางที่ถนนฮอลลิวูด และอาคารผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี อัลบั้มสปีกนาว วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขาย 1,047,000 ชุด กลายเป็นอัลบั้มที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่มียอดขายถึง 1 ล้านชุดในสัปดาห์เดียว ต่อมา อัลบั้มทำลายสถิติ "อัลบั้มดิจิทัลที่ขายได้เร็วที่สุดโดยศิลปินหญิง" ด้วยยอดดาวน์โหลด 278,000 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สวิฟต์จึงมีชื่อบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เธอยังได้รับบันทึกอีกหนึ่งหัวข้อหลังจากเพลงในอัลบั้มสปีกนาว 10 เพลง เปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้ ซิงเกิลสามซิงเกิล "ไมน์" "แบ็กทูดีเซมเบอร์" และ "มีน" ขึ้นถึงสิบอันดับแรกในประเทศแคนาดา เพลง "มีน" ชนะรางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และแสดงเดี่ยวเพลงคันทรียอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54 เธอยังแสดงเพลงนี้ในงานด้วย แคลร์ ซัดดาท จากนิตยสารไทม์รู้สึกว่าเธอ "กลับมาร้องเพลงตรงคีย์และเป็นการแก้ตัว" และเจมี เดียร์เวสเตอร์จากยูเอสเอทูเดย์ กล่าวว่า คำตำหนิเธอเมื่อปี ค.ศ. 2010 ทำให้เธอ "เป็นนักแต่งเพลงและนักร้องร้องสดที่ดีกว่าเดิม" สวิฟต์ยังได้รับรางวัลอื่น ๆ กับอัลบั้มสปีกนาว เช่น รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี จากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (2010 และ 2011) ผู้หญิงแห่งปี จากนิตยสารบิลบอร์ด (2011) และผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี จากโรงเรียนดนตรีคันทรี (2011 และ 2012) และสมาคมดนตรีคันทรีในปี ค.ศ. 2011 สวิฟต์ได้รับรางวัลศิลปินแห่งปีและอัลบั้มเพลงคันทรีชมเชยจากงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2011 อัลบั้มสปีกนาวรวมในรายชื่อ "อัลบั้มเพลงผู้หญิง 50 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล" ของนิตยสารโรลลิงสโตน เมื่อปี ค.ศ. 2012 อยู่ในอันดับที่ 45 สวิฟต์ ขณะนั้นอายุ 22 ปี เป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้อยู่ในรายชื่อ นิตยสารเขียนว่า "เพลงของเธออาจเปิดในคลื่นวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอในหนึ่งในร็อกสตาร์ที่แท้จริงไม่กี่คนที่เรามีในเวลานี้ ที่มีหูกำหนดสิ่งที่ทำให้เพลงมีคุณภาพอย่างไร้ตำหนิ" สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อสปีกนาวเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมีนาคม ค.ศ. 2012 และทำรายได้ได้มากกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด เดือนต่อมา สวิฟต์ร้อง "เซฟแอนด์ซาวด์" ร่วมแต่งและอัดเสียงกับเดอะซีวิลวอส์ และทีโบน เบอร์เน็ตต์ และเพลง "อายส์โอเพน" เพลง "เซฟแอนด์ซาวด์" ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงที่แต่งประกอบสื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หลังจากร้องเพลง "โบทออฟอัส" ให้แก่บี.โอ.บี. ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 สวิฟต์คบหากับทายาทนักการเมือง คอเนอร์ เคนเนดี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน ค.ศ. 2012 ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ออกซิงเกิล "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และเป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบั้มที่สี่ เรด ซิงเกิลประสบความสำเร็จในต่างประเทศ กลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในสหรัฐและนิวซีแลนด์ เพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนไอทูนส์หลังเพลงออกได้ 50 นาที เป็น "ซิงเกิลที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงดิจิทัล" บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ จากนั้นสวิฟต์ออกซิงเกิลที่สอง "บีกินอะเกน" ในเดือนตุลาคม เพลงขึ้นอันดับที่เจ็ดในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้มออกตามมา ได้แก่ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" "22" "เอเวอรีติงแฮสเชนจด์" "เดอะลาสต์ไทม์" และ "เรด" ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ขึ้นอันดับที่สองในสหรัฐ อัลบั้มเรดเป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวเพลงของสวิฟต์ โดยเธอทดลองแนวเพลงฮาร์ตแลนด์ร็อก ดั๊บสเตป และแดนซ์ป็อป อัลบั้มออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ อัลบั้มเปิดตัวอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 1.21 ล้านชุด เป็นยอดขายเปิดอัลบั้มที่สูงที่สุดในทศวรรษ และทำให้สวิฟต์เป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบั้มขายสัปดาห์แรกได้ถึงล้านชุดถึงสองอัลบั้ม บันทึกโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ในการส่งเสริมอัลบั้ม สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ เดอะเรดทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 2014 และทำรายได้ได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัลบั้มเรดได้รับรางวัลหลายรางวัล ได้แก่ เข้าชิงรางวัลแกรมมีในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 56 จำนวน 4 รางวัล ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ได้รับรางวัลวิดีโอผู้หญิงยอดเยี่ยม" ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 สวิฟต์ได้ชื่อว่าศิลปินคันทรีหญิงยอดเยี่ยมในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2012 และศิลปินแห่งปีในงานของปี ค.ศ. 2013 สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์มอบรางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินให้สวิฟต์ติดต่อกันเป็นปีที่ห้าและหกในปี ค.ศ. 2012 และ 2013 ตามลำดับ สวิฟต์ยังได้รับรางวัล พินนาเคิลอะวอร์ด จากสมาคม สำหรับความสำเร็จระดับ "ไม่เหมือนใคร" สวิฟต์เป็นผู้รับรางวัลดังกล่าวเป็นคนที่สองถัดจากการ์ท บรุกส์ ในปี ค.ศ. 2013 สวิฟต์ร่วมแต่งเพลง "สวีเทอร์แดนฟิกชัน" กับแจ็ก แอนโทนอฟฟ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่องขอสักครั้งให้ดังเป็นพลุแตก และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 71 สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม เธอร้องรับเชิญให้แม็กกรอว์ ในเพลง "ไฮเวย์โดนต์แคร์" บรรเลงกีตาร์โดยเออร์เบิน สวิฟต์ร้องเพลง "แอสเทียส์โกบาย" กับเดอะโรลลิงสโตนส์ ที่ชิคาโกในทัวร์ชื่อ 50 แอนด์เคาน์ติง ต่อมาเธอกล่าวว่าวงนี้มีอิทธิพลหลักต่อภาพลักษณ์งานเพลงของเธอ เธอแสดงกับฟลอริดาจอร์เจียไลน์ในงานคันทรีเรดิโอเซมินาร์ 2013 ในเพลง "ครูส" นอกจากร้องเพลง สวิฟต์พากย์เสียงให้ออเดรย์ คนรักต้นไม้ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน คุณปู่โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง ปรากฏในซิตคอม นิวเกิร์ล (2013) เล่นบทรองในภาพยนตร์ พลังพลิกโลก (2014) เธอเคยคบหากับนักร้องชาวบริติช แฮร์รี สไตลส์2014-2016 : อัลบั้ม 1989 2014-2016 : อัลบั้ม 1989. ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 สวิฟต์ย้ายมาอาศัยที่แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ช่วงนี้เธอกำลังทำสตูดิโออัลบั้มที่ห้า 1989 ร่วมกับนักแต่งเพลง แอนโทนอฟฟ์ มาร์ติน เชลล์แบ็ก อิโมเจน ฮีป ไรอัน เท็ดเดอร์ และอาลี พายามี สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มผ่านโครงการรณรงค์มากมาย รวมถึงการเชิญชวนแฟนเพลงให้มาฟังเพลงในอัลบั้มแบบลับ ๆ เรียกว่า "1989 ซีเคร็ตเซสชัน" ด้วย อัลบั้มเป็นการแยกทางจากอัลบั้มเพลงคันทรีชุดก่อนหน้า และสวิฟต์ให้เป็น "อัลบั้มเพลงป็อปอย่างเป็นทางการอัลบั้มแรกที่มีการบันทึก" อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย อัลบั้ม 1989 ขายได้ 1.28 ล้านชุดในสหรัฐในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเปิดตัวสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบั้มที่ขายในสัปดาห์แรกเกินหนึ่งล้านชุดถึงสามอัลบั้ม ทำให้เธอได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ นับถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 อัลบั้ม 1989 ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลนำของอัลบั้ม "เชกอิตออฟ" จำหน่ายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ซิงเกิลอื่น ๆ ประกอบด้วยซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ "แบลงก์สเปซ" "แบดบลัด" (ร้องรับเชิญโดยเคนดริก ลามาร์) และซิงเกิลที่ขึ้นสิบอันดับแรก ได้แก่ "สไตล์" และ "ไวล์ดิสต์ดรีมส์" และมีซิงเกิล "เอาต์ออฟเดอะวุดส์" และ "นิวโรแมนติกส์" "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ติดอันดันหนึ่งในออสเตรเลียและแคนาดา มิวสิกวิดีโอเพลง "แบลงก์สเปซ" เคยเป็นวิดีโอที่มียอดผู้ชมขึ้นถึงหนึ่งพันล้านครั้งเร็วที่สุดในวีโว "แบลงก์สเปซ" และวิดีโอเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลสี่รางวัลที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2015 โดยเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี และเพลงร่วมขับร้องยอดเยี่ยมด้วย ในทัวร์เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 2015 ทัวร์ยังคงทำรายได้ต่อไปได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ สวิฟต์ได้เป็นผู้หญิงแห่งปีของนิตยสารบิลบอร์ดในปี ค.ศ. 2014 กลายเป็นศิลปินคนแรกที่ได้ชื่อนี้ถึงสองครั้ง ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลดิก คลาร์ก อะวอร์ดสำหรับความดีเลิศที่งานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ ที่งานประกาศรางวัลแกรมมี 2015 "เชกอิตออฟ" ได้เข้าชิงสามรางวัล รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงแห่งปี และเพลงแห่งปี ขณะที่ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2015 สวิฟต์ได้รับรางวัลบริตอะวอดส์สาขาศิลปินเดี่ยวหญิงต่างชาติ สวิฟต์เป็นหนึ่งในแปดศิลปินที่ได้รับรางวัลครบรอบ 50 ปีของอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ในปี ค.ศ. 2015 ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 58 สวิฟต์ได้รับรางวัลสามรางวัลจากอัลบั้ม 1989 ได้แก่ อัลบั้มแห่งปี อัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยม และมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง "แบดบลัด" เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นศิลปินคนที่ห้าจากทั้งหมดที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีถึงสองครั้ง ก่อนออกอัลบั้ม 1989 สวิฟต์เน้นเกี่ยวกับความสำคัญของอัลบั้มเพลงที่มีต่อศิลปินและแฟนเพลง และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เธอลบเพลงทั้งอัลบั้มออกจากสปอทิฟาย โดยแย้งว่าบริการฟรีที่มีโฆษณาสนับสนุนของบริษัทสตรีมมิงบ่อนทำลายบริการระดับพรีเมียมที่ให้ค่าลิขสิทธิ์กับนักแต่งเพลงมากกว่า ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 สวิฟต์ตำหนิแอปเปิลมิวสิกผ่านจดหมาย เนื่องจากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่ศิลปินระหว่างบริการสตรีมมิงในช่วงทดลองฟรีสามเดือน และกล่าวว่าเธอจะถอดอัลบั้ม 1989 ออกจากรายการ วันถัดมา แอปเปิลประกาศว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ศิลปินในช่วงทดลองฟรี และสวิฟต์ยอมให้สตรีมอัลบั้ม 1989 ในบริการสตรีมอีกครั้ง บริษัทที่ดูแลการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสวิฟต์ชื่อ ทีเอเอสไรส์แมเนจเมนต์ ฟ้องเครื่องหมายการค้า 73 รายการที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้องเองและมีมต่าง ๆ จากอัลบั้ม 1989 เธอกลับมาเพิ่มเพลงทั้งหมดมาใส่ในสปอติฟาย อเมซอนมิวสิก และกูเกิล เพลย์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 ในปี ค.ศ. 2015 สวิฟต์ร้องเพลง "ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์" และ "เชกอิตออฟ" ร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในงานสังสรรค์ของรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์โฟร์ทีธ์แอนนิเวอร์แซรีสเปเชียล และร่วมร้องเพลง "บิกสตาร์" กับเคนนี เชสนีย์ ในคืนเปิดคอนเสิร์ตของบิกรีไวเวิลทัวร์ ที่แนชวิลล์ เธอเล่นกีตาร์กับมาดอนน่าในการแสดงเพลง "โกสต์ทาวน์" แนวอะคูสติกที่งานประกาศรางวัลไอฮาร์ตเรดิโอมิวสิกอะวอดส์ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สวิฟต์เริ่มคบหากับดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวสก็อต แคลวิน แฮร์ริส ก่อนเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 ทั้งคู่ได้รับการจัดให้เป็นคู่รักคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในรอบปีโดยนิตยสารฟอบส์ โดยมีรายได้รวมกันมากกว่า 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์กล่าวว่าแม่ของเธอตรวจพบมะเร็ง และเชิญชวนให้ทุกคนให้ตรวจสุขภาพทั่วไป ก่อนสวิฟต์กับแฮร์ริสประกาศจบความสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 ทั้งคู่ร่วมแต่งเพลง "ดิสอิสวอตยูเคมฟอร์" ซึ่งมีชื่อเธอระบุในนามแฝงว่า Nils Sjöberg ในเดือนตุลาคม เธอแต่งเพลง "เบตเทอร์แมน" ให้วงลิตเทิลบิกทาวน์ ให้แก่อัลบั้มที่เจ็ด เดอะเบรกเกอร์ สองเดือนต่อมา สวิฟต์และเซย์น แมลิก ออกซิงเกิลร่วมกันชื่อ "ไอโดนต์วอนนาลิฟฟอร์เอฟเวอร์" เป็นภาพยนตร์ ฟิฟตีเชดส์ดาร์กเกอร์ (2017) เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศสวีเดน และอันดับสองในสหรัฐ2017: เรพิวเทชัน 2017: เรพิวเทชัน. ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2017 สวิฟต์ชนะคดีต่อเดวิด มูเอลเลอร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุคลื่นไคโกเอฟเอ็ม ในปี ค.ศ. 2013 สวิฟต์เคยชี้แจงหัวหน้าของมูเอลเลอร์ว่าเขาเคยล่วงละเมิดเธอโดยการลูบคลำตัวเธอในงานงานหนึ่ง หลังจากเขาถูกไล่ออก มูเอลเลอร์กล่าวหาเธอว่าโกหกและฟ้องร้องเธอจากเหตุที่ทำให้เขาตกงาน หลังจากนั้นไม่นาน สวิฟต์ฟ้องร้องกลับคดีละเมิดทางเพศ ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาและยกผลประโยชน์ให้สวิฟต์ ในเดือนเดียวกันนั้น สวิฟต์ล้างบัญชีสื่อสังคมของเธอทั้งหมด และประกาศว่าเธอจะออกสตูดิโออัลบั้มที่หก ใช้ชื่อว่า เรพิวเทชัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม "ลุกวอตยูเมดมีดู" ออกจำหน่ายในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017 และขึ้นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ มิวสิกวิดีโอในยูทูบมีผู้ชมมากกว่า 43.2 ล้านครั้งในวันแรก ทำลายสถิติมิวสิกวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง ในเดือนตุลาคม สวิฟต์ออกซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม "เรดีฟอร์อิต" เพลงขึ้นอันดับที่สามในออสเตรเลีย และอันดับที่สี่ในสหรัฐ อัลบั้มเรพิวเทชันซิงเกิลประชาสัมพันธ์สองซิงเกิลได้แก่ "กอร์เจิส" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" โดยเพลง "กอร์เจิส" เป็นซิงเกิลที่ห้าในเวลาต่อมา อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และขายได้ 1.216 ล้านหน่วยภายในสี่วันในสหรัฐ กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประเทศในปี ค.ศ. 2017 และขายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลกในสัปดาห์แรก อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย หลังจากนั้น สวิฟต์แสดงเพลง "เรดีฟอร์อิต" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" ในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ "เอนด์เกม" ร้องรับเชิญโดยเอ็ด ชีแรน และฟิวเชอร์ ตามมาเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นสูงสุดที่อันดับ 18 ในสหรัฐ ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้ม ได้แก่ "นิวเยียส์เดย์" และ "เดลิเคต" สวิฟต์จะทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ในปี ค.ศ. 2018 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มเรพิวเทชัน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 มีการยืนยันว่าสวิฟต์จะร้องรับเชิญในเพลง "เบบ" ของชูการ์แลนด์ จากอัลบั้ม บิกเกอร์ ที่กำลังจะมาถึงการเป็นศิลปินอิทธิพล การเป็นศิลปิน. อิทธิพล. หนึ่งในความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีของเธอคือขณะฟังยายของเธอ มาร์จอรี ฟินเลย์ ร้องเพลงที่โบสถ์ เมื่อตอนเป็นเด็ก สวิฟต์ชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ของดิสนีย์ "พ่อแม่ของฉันสังเกตว่า เมื่อใดที่ฉันหมดคำพูด ฉันจะคิดคำพูดของฉันขึ้นมา" สวิฟต์เคยกล่าวว่าแม่ของเธอทำให้เธอมีความมั่นใจ แม่ของเธอช่วยเธอเตรียมตัวในการนำเสนอหน้าชั้นเมื่อเธอเป็นเด็ก เธอยังกล่าวว่าแม่เธอทำให้เธอ "หลงใหลในการเขียนและเล่าเรื่อง" สวิฟต์ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับดนตรีคันทรี และได้รู้จักแนวเพลงนี้จาก "ศิลปินคันทรีหญิงยุค 90 หลายคน" เช่น ชะไนยา ทเวน เฟธ ฮิลล์ และดิกซีชิกส์ ทเวน เป็นทั้งนักแต่งเพลงและนักร้อง และเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุดของสวิฟต์ ฮิลล์เป็นบุคคลตัวอย่างของสวิฟต์ในวัยเด็ก "ทุกอย่างที่เธอพูด ทำ ชุดที่เธอใส่ ฉันพยายามเลียนแบบทั้งหมด" เธอชื่นชมดิกซีชิกส์ในเรื่องทัศนคติที่ชอบท้าทาย และการเล่นดนตรีของวง เพลง "คาวบอยเทกมีอะเวย์" เป็นเพลงแรกที่สวิฟต์ใช้หัดเล่นกีตาร์ สวิฟต์ยังตามฟังเพลงของนักร้องคันทรีเก่า ๆ เช่น แพตซี ไคลน์ ลอเร็ตตา ลินน์ ดอลลี พาร์ตัน และแทมมี ไวเน็ตต์ เธอเชื่อว่าพาร์ตันเป็น "ตัวอย่างที่น่าเหลือเชื่อให้แก่นักแต่งเพลงหญิงทุกคน" เธอยกย่องศิลปินออลเทอร์นาทิฟคันทรีหลายคน เช่น ไรอัน แอดัมส์ แพตตี กริฟฟิน และลอรี แม็กเคนนา สวิฟต์จัดให้พอล แม็กคาร์ตนีย์ เดอะโรลลิงสโตน บรูซ สปริงส์ทีน เอมมีลู แฮร์ริส คริส คริสตอฟเฟอร์สัน และคาร์ลี ไซมอน เป็นบุคคลตัวอย่างในอาชีพของเธอ "พวกเขาได้ลองเสี่ยงหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นศิลปินคนเดิมตลอดอาชีพของเขา" แม็กคาร์ตนีย์ ทั้งในนามเดอะบีเทิลส์และศิลปินเดี่ยว ทำให้สวิฟต์รู้สึก "ราวกับว่าฉันได้เข้าไปอยู่ในหัวใจและจิตใจของเขา" "นักดนตรีคนอื่นทำได้แค่ฝันถึงสิ่งสืบทอดเหล่านั้น" เธอชื่นชมสปริงสทีนเพราะเขา "ยังคงเข้ากับดนตรีของเขาได้หลังผ่านมานาน" เธอต้องการเป็นอย่างแฮร์ริสเมื่อเธอแก่ตัวลง "ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียงของเธอ แต่มันเกี่ยวกับดนตรี" สวิฟต์กล่าวว่า "[คริสตอฟเฟอร์สัน]โดดเด่นในเรื่องการแต่งเพลง เขาเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่คุณบอกได้ว่ามันไม่ได้ทำลายเขาเลย" เธอชื่นชม "การแต่งเพลงและความซื่อสัตย์" ของไซมอน "เธอเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนที่มีอารมณ์แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งด้วย" สวิฟต์ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินแนวอื่น ๆ อีกมากมาย ช่วงก่อนวัยรุ่น เธอฟังศิลปินแนวบับเบิลกัมป็อป เช่น แฮนสัน และบริตนีย์ สเปียส์ สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอได้ "อุทิศตนอย่างแนวแน่" ให้สเปียส์ ในช่วงไฮสกูล สวิฟต์ฟังวงดนตรีอีโมหลายวง เช่น แดชบอร์ดคอนเฟชชันเนิล ฟอลเอาต์บอย และจิมมีอีตเวิลด์ เธอยังแสดงความชื่นชมนักร้องและนักแต่งเพลงร่วมสมัยหลายคน เช่น มิเชลล์ แบรนช์ อลานิส มอริสเซตต์ แอชลี ซิมป์สัน เฟเฟ ดอบสัน และจัสติน ทิมเบอร์เลก สวิฟต์กล่าวว่าเธอ "หลงใหล" ศิลปินยุค 1960 เช่น เดอะชิเรลส์ ดอริส ทรอย และเดอะบีชบอยส์ด้วย อัลบั้มที่ห้าของสวิฟต์ 1989 ซึ่งเป็นแนวป็อป ได้รับอิทธิพลจากศิลปินเพลงป็อปยุค 1980 หลายคน เช่น แอนนี เลนนิกซ์ ฟิล คอลลินส์ และ "มาดอนน่า ยุคที่มีเพลงไลก์อะเพรเยอร์"แนวดนตรี แนวดนตรี. แนวเพลงของสวิฟต์เป็นแนวป็อป ป็อปร็อก และคันทรี เธอระบุตัวเองเป็นศิลปินคันทรีจนกระทั่งออกอัลบั้ม 1989 ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเธอบรรยายว่าเป็น "อัลบั้มที่มีเพลงป็อปอยู่ติดกัน" นิตยสารโรลลิงสโตนประเมินว่า "เพลงของ [สวิฟต์] อาจได้เปิดเพลงในสถานีวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นร็อกสตาร์หนึ่งในไม่กี่คนที่เรามีในทุกวันนี้" เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่า "ในเพลงของสวิฟต์ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความคันทรีมากนัก มีเพียงเสียงแบนโจ ใส่รองเท้าบูทคาวบอยคู่หนึ่งบนเวที และกีตาร์ที่ทำให้ตาลายตัวหนึ่ง แต่มีบางอย่างในการสื่ออารมณ์ที่มีเสน่ห์และบอบบางในตัวสวิฟต์ที่เป็นเอกลักษณ์กับแนชวิลล์" เดอะการ์เดียนเคยกล่าวว่า สวิฟต์ "เหวี่ยงเมโลดีด้วยประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเพลงป็อปสแกนดิเนเวียนโดยไร้ความสงสาร" เสียงร้องของสวิฟต์นั้น โซฟี ชิลลาชี จากเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ บรรยายว่า "หวาน แต่นุ่มนวล" ในระหว่างการอัดเสียงในสตูดิโอ หนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทมส์นิยามเสียงร้องของสวิฟต์ว่า "เส้นร้องที่ไหลลงเหมือนกับเสียงถอนหายใจขณะพอใจ หรือไหลขึ้นเหมือนกับเลิกคิ้ว ทำให้วัยสาวที่น่ารักของเธอชวนให้คุ้นเคยได้ง่าย" ในบทวิจารณ์อัลบั้มสปีกนาว นิตยสารโรลลิงสโตนกล่าวว่า "เสียงของสวิฟต์ไม่กระทบอะไรมากพอถึงระดับที่จะปิดบังความมืออาชีพที่เธอเป็นในฐานะนักร้อง เธอลดเสียงลงขณะร้องเพลงในแบบคลาสสิกที่เด็กสาวขี้อายคนหนึ่งพยายามจะพูดให้กลัว" ในบทวิจารณ์อัลบั้มสปีกนาวอีกบท หนังสือพิมพ์เดอะวิลเลจวอยซ์กล่าวว่าก่อนหน้านี้ การใช้ถ้อยคำของเธอ "จืดและดูสับสน แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว เธอยังฟังดูตึงและบาง และเสียงมักจะหลงไปอยู่ระดับเสียงที่ทำให้คนบางคนเป็นบ้าได้ แต่เธอเรียนรู้แล้วว่าจะทำให้สื่อสารความหมายของคำแต่ละคำได้อย่างไร" เสียงร้องสดของเธอเคยถูกลดระดับลงเป็น "พอใช้ได้" แต่ไม่เคยเท่าเพื่อน ๆ ของเธอ ในปี ค.ศ. 2009 ยังมีเสียง "ราบเรียบ บาง และบางครั้งไม่มั่นคงพอ ๆ กับคนไม่มีประสบการณ์" แต่อย่างไรก็ตาม สวิฟต์ได้รับคำชมที่เธอไม่ได้ใช้ออโตทูนปรับระดับเสียงของตน ในบทสัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กเกอร์ สวิฟต์กำหนดลักษณะองตนเองในฐานะนักแต่งเพลงว่า "ฉันแต่งเพลง และเสียงของฉันเป็นแค่ทางเชื่อมเนื้อเพลงเหล่านั้น" นักเขียนคนหนึ่งจากเดอะเทนเนสเซียนยอมรับในปี ค.ศ. 2010 ว่าสวิฟต์ "ไม่ใช่นักร้องทางเทคนิคที่ดีที่สุด" แต่พูดถึงเธอว่าเป็น "นักสื่อสารที่ดีที่สุดที่เรามี" เสียงร้องของสวิฟต์เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเธอ และเธอได้ "พยายามอย่างหนัก" เพื่อปรับปรุงมัน มีรายงานในปี ค.ศ. 2010 ว่าเธอจะเข้าเรียนร้องเพลงต่อไปอีก เธอเคยกล่าวว่าเธอจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแสดง "ก็ต่อเมื่อฉันไม่มั่นใจสิ่งที่ผู้ฟังคิดเกี่ยวกับฉันเหมือนตอนงานประกาศรางวัล"การแต่งเพลง การแต่งเพลง. สวิฟต์ใช้ประสบการณ์ตรงเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ในเพลงของเธอ สวิฟต์มักพูดถึง "คนนิรนามที่เธอแอบชอบในช่วงเรียนไฮสกูล" และคนดัง สวิฟต์พูดถึงคนรักเก่าของเธอในเพลงในเชิงเย้ยหยัน ซึ่งเป็นมุมมองการแต่งเพลงที่เดอะวิลเลจวอยซ์สบประมาทไว้ "การได้ฟังว่าสิ่งที่เพลงสื่อนั้นเหมือนกับมีศาสตราจารย์ที่วางมาด และมันเป็นภัยต่อการประเมินค่าพรสวรรค์ของสวิฟต์ ซึ่งดูไม่เป็นมืออาชีพ แต่ดูเหมือนละคร" แต่นิตยสารนิวยอร์กเชื่อว่า การพินิจพิเคราะห์ของสื่อถึงการตัดสินใจของเธอที่จะ "ขุดชีวิตส่วนตัวใส่ในเพลงนั้น [...] เป็นการแบ่งแยกเพศ เนื่องจาก ไม่ได้มีการถามเพื่อนผู้ชายเลย" ตัวสวิฟต์เองเคยกล่าวว่า ไม่ใช่ทุกเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง และบางครั้งมาจากการสังเกตการณ์ นอกจากคำบอกใบ้ของเธอในเพลง สวิฟต์พยายามไม่พูดถึงประเด็นของเพลง "เพราะคนเหล่านี้คือคนจริง ๆ คุณพยายามหยั่งรู้ถึงพื้นเพที่คุณมาเป็นนักแต่งเพลง โดยไม่ต้องเสียเพื่อนด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว" หนังสือพิมพิมพ์เดอะการ์เดียนยกย่องสวิฟต์เรื่องการเขียนเกี่ยวกับ "การระลึกความหลังโทนซีเปียด้วยความโหยหา" ของวัยรุ่น ตลอดสองอัลบั้มแรกของเธอ นิตยสารนิวยอร์กกล่าวว่านักร้องนักแต่งเพลงมากมายได้ทำเพลงขณะเป็นวัยรุ่น แต่ "ไม่มีใครทำเพลงเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นได้ชัดเจน" นิตยสารเปรียบเธอกับไบรอัน วิลสัน สำหรับภาพนิยายปรัมปราบนปกอัลบั้มเฟียร์เลส เธอได้ศึกษาความไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง "นิทานปรัมปราและความเป็นจริงของความรัก" อัลบั้มถัดจากนั้นพูดถึงความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น นอกจากความโรแมนติกและความรักแล้ว เพลงหลายเพลงของสวิฟต์ยังพูดถึงความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก มิตรภาพ ความห่างเหิน ชื่อเสียง และความทะเยอทะยานในการทำงาน สวิฟต์มักใส่ "วลีที่คิดขึ้นฉับพลันเพื่อแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และจริงจังที่อาจไม่เข้ากับเพลง สิ่งที่เพิ่มหรือล้มล้างเรื่องเล่าในเพลง" โรลลิงสโตนบรรยายเธอว่าเป็น "นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดในการแต่งเพลงตามโครงสร้าง เวิร์ส-คอรัส-บริดจ์" จากข้อมูลของเดอะวิลเลจวอยซ์ สวิฟต์ใช้แต่งให้เนื้อเพลงพลิกแพลงในท่อนเวิร์สที่สามอยู่บ่อย ๆ ในเรื่องของกระบวนการจินตภาพ สิ่งที่เห็นได้ชัดในการแต่งเพลงของสวิฟต์คือการกล่าวซ้ำ ในคำกล่าวของเดอะการ์เดียน กล่าวว่า "เธอใช้เวลาจูบกันท่ามกลางสายฝนมากจนดูเหมือนปาฏิหาริย์ที่เธอไม่เคยเป็นเท้าเปื่อยเลย" นิตยสารสแลนต์แม็กกาซีนเสริมว่า "สวิฟต์ศึกษาแนวเรื่องใหม่ตลอดการทำอัลบั้ม [ที่สี่ของเธอ]" ขณะที่บทวิจารณ์งานเพลงของสวิฟต์เป็น "ด้านบวกเกือบเป็นเอกฉันท์" เดอะนิวยอร์กเกอร์กล่าวว่าเธอเล่าเรื่อง "ในฐานะนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญได้มากกว่าในฐานะนักคิดแบบดีแลน"ภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ ภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ. ชีวิตส่วนตัวของสวิฟต์เป็นประเด็นที่สื่อให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 2013 แอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ทำการตลาดโดยใช้คำโปรยเสื้อยืดโดยมีคำว่า "โสเภณีน่าอาย" (slut-shaming) ตั้งใจสื่อถึงเธอโดยตรง เดอะนิวยอร์กไทมส์ยืนยันว่า "ประวัติการคบผู้ชายเริ่มทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนจุดเริ่มต้นของการตอกกลับ" และตั้งคำถามว่าสวิฟต์กำลังอยู่ในใจกลางของ "วิกฤตในชีวิตช่วง 25 ปีแรกของเธอหรือไม่" สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอไม่อยากเล่าถึงชีวิตส่วนตัวให้สื่อสาธารณะ เนื่องจากเธอเชื่อว่า การพูดถึงมันอาจเป็น "จุดอ่อนในการทำงาน" ได้ ในปี ค.ศ. 2009 โรลลิงสโตนกล่าวถึงมารยาทที่เหมาะสมของสวิฟต์ว่า "ถ้านี่เป็นการเล่นหน้าเล่นตาของสวิฟต์ มันจะต้องเป็นดั่งรอยสัก เพราะมันจะไม่หลุดออก" นิตยสารดังกล่าวยังสนใจ "การต้อนรับอย่างอบอุ่น" ของสวิฟต์ด้วย นิตยสารเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ให้เธอเป็น "บุคคลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่บิล คลินตัน" ในขณะมอบรางวัลให้สวิฟต์เนื่องจากงานการกุศลในปี ค.ศ. 2012 มิเชล โอบามา กล่าวยกย่องเธอว่าเป็นคนที่ "ทะยานขึ้นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรีแต่เท้ายังติดดิน คนที่ทำลายมาตรฐานที่คาดไว้ของสิ่งที่คนอายุ 22 ปีจะทำสำเร็จได้" สวิฟต์ยกให้โอบามาเป็นบุคคลตัวอย่างคนหนึ่ง สวิฟต์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในสื่อสังคม และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์เป็นมิตรกับแฟนเพลง เธอเคยส่งของขวัญวันหยุดให้แฟนเพลงผ่านทางจดหมาย และส่งให้ด้วยตนเอง เรียกของชิ้นนั้นว่า "สวิฟต์มาส" (Swiftmas) เธอมองว่าเป็น "ความรับผิดชอบ" ที่เธอตระหนักว่าเธอมีอิทธิพลต่อแฟนเพลงหนุ่มสาว และเคยกล่าวว่าแฟนเพลงของเธอเป็น "ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและดีที่สุดที่เธอเคยมี" สื่อมักเรียกสวิฟต์บ่อย ๆ ว่า "หวานใจของอเมริกา" (America's Sweetheart) แต่สวิฟต์ยืนยันว่า "ฉันไม่ได้อยู่กับกฎแปลก ๆ แข็งกระด้างที่ทำให้ฉันถูกล้อมกรอบ ฉันแค่ชอบแบบที่ฉันรู้สึกและทำให้ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เธอปฏิเสธที่จะถ่ายแบบยั่วยวนทางเพศ" แต่บลูมเบิร์ก แอล.พี. มองสวิฟต์เป็นสัญลักษณ์ทางเพศคนหนึ่ง เธอได้ชื่อว่าสัญรูปแห่งวิถีชีวิตอเมริกัน (Icon of American Style) แต่งตั้งโดยนิตยสารโว้กในปี ค.ศ. 2011 ในปี ค.ศ. 2014 เธออยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อผู้แต่งตัวดูดีที่สุดประจำปีโดยนิตยสารพีเพิล ในปี ค.ศ. 2015 ที่งานแอลสไตล์อะวอดส์ เธอได้ชื่อว่า ผู้หญิงแห่งปี (Woman of the Year) และอยู่ในรายชื่อคนฮอต 100 คนของนิตยสารแม็กซิม สวิฟต์ยังปรากฏในรายชื่ออีกหลายรายชื่อ เธอเป็นหนึ่งใน 100 ผู้มีอิทธิพลที่สุดประจำปี ในปี ค.ศ. 2010 และ 2015 จัดโดยนิตยสารไทม์ด้วย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2015 เธอเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของผู้หญิงที่มีรายได้สูงสุดในวงการดนตรีจัดโดยนิตยสารฟอบส์ โดยเธอมีรายได้ 45 ล้าน, 57 ล้าน, 55 ล้าน, 64 ล้าน และ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ ในปี ค.ศ. 2015 เธอกลายเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่อยู่ในรายชื่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดของฟอบส์ 100 คน อยู่ในอันดับที่ 64 ในปี ค.ศ. 2016 สวิฟต์เป็นคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุด 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เธอยังอยู่ในสิบอันดับแรกในปี ค.ศ. 2011, 2013 และ 2015 เธอเป็นหนึ่งในรายชื่อบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ปี ค.ศ. 2014 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 รายได้สุทธิของสวิฟต์ประมาณอยู่ที่ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐกิจกรรมอื่น ๆการกุศล กิจกรรมอื่น ๆ. การกุศล. ความใจบุญของสวิฟต์เป็นที่จดจำจากรางวัลดูซัมทิงอะวอดส์ และบริการสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติที่เทนเนสซีเธอยังได้รับรางวัลเดอะบิกเฮลป์อะวอร์ด จากที่เธอ "อุทิศตนที่จะช่วยเหลือคนอื่น ๆ " และ "บันดาลใจให้คนอื่นลงมือทำ" และรางวัลริปเพิลออฟโฮป เนื่องจากเธอ "อุทิศตนให้แก่การแก้ต่างให้แก่คนอายุน้อย เทย์เลอร์เป็นผู้หญิงประเภทที่เราอยากให้ลูกสาวของเราเป็น" สวิฟต์บริจาคเงินช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดอาชีพของเธอ ในปี ค.ศ. 2008 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่หน่วยงานกาชาดเพื่อช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบอุทกภัยในรัฐไอโอวา ค.ศ. 2008 สวิฟต์แสดงในคอนเสิร์ตการกุศล เช่น ซาวด์รีลีฟที่ซิดนีย์ เธอยังอัดเพลงให้แก่อัลบั้มโฮปฟอร์เฮตินาวด้วย จากเหตอุทกภัยในรัฐเทนเนสซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์บริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์ระหว่างเทเลธอนจัดโดย WSMV ในปี ค.ศ. 2011 สวิฟต์ซ้อมคอนเสิร์ตสปีกนาวทัวร์รอบสุดท้ายในอเมริกาเหนือเพื่อหารายได้ให้เหยื่อทอร์นาโดครั้งล่าสุดในสหรัฐ หารายได้ได้มากกว่า 750,000 ดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ส่งเสริมเทเลธอนชื่อรีสโตร์เดอะชอร์ขององค์กรอาร์คิเท็กเชอร์ฟอร์ฮิวแมนิตี หลังเกิดพายุหมุนเขตร้อนแซนดี ในปี ค.ศ. 2016 เธอบริจาคเงินให้โครงการบรรเทาทุกข์อุทกภัยที่ลุยส์เซียนา และกองทุนอัคคีภัยดอลลี พาร์ตัน สวิฟต์เป็นผู้สนับสนุนศิลปิะและได้บริจาคเงิน 75,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนแนชวิลส์เฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล เพื่อช่วยปรับปรุงระบบแสงและเสียงในหอประชุมของโรงเรียน ในปี ค.ศ. 2012 เธอมอบเงิน 4 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างศูนย์การเรียนแห่งใหม่ที่หอเกียรติยศและพิพิธภัณฑ์ดนตรีคันทรีที่แนชวิลล์ ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทเช่าตำราเรียนชื่อ เชกก์ บริจาคเงิน 60,000 ดอลลาร์ให้แก่สาขาวิชาดนตรีในวิทยาลัยหกแห่ง สวิฟต์ส่งเสริมการรู้หนังสือของเด็ก ๆ ด้วย ในปี ค.ศ. 2009 เธอบริจาคเงิน 250,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ ความพยายามในการส่งเสริมการรู้หนังสืออย่างอื่น ได้แก่ ห้องสมุดสาธารณะเรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย 6,000 เล่ม ห้องสมุดสาธารณะแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี 14,000 เล่ม หนังสือเรียน 2,000 เล่มมอบให้ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลเรดิง และโรงเรียนหลายแห่งในนครนิวยอร์ก 25,000 เล่มเมื่อปี ค.ศ. 2015 ในปี ค.ศ. 2007 เธอออกโครงการรณรงค์ปกป้องเด็กจากผู้ร้ายออนไลน์ หุ้นส่วนกับสมาคมอธิบดีกรมตำรวจเทนเนสซี เธอเคยบริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลมากมาย ได้แก่ มูลนิธิโรคเอดส์เอลตันจอห์น ยูนิเซฟแทปโปรเจกต์ มิวสิแคส์ และฟีดิงอเมริกา ในปี ค.ศ. 2011 ในฐานะเอนเตอร์เทนเนอร์แห่งปีของโรงเรียนดนตรีคันทรี สวิฟต์บริจาคเงิน 25,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงพยาบาลวิจัยเด็กเซนต์จูด รัฐเทนเนสซี ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ร่วมในเทเลธอนสแตนด์อัปทูแคนเซอร์ ร้องเพลง "โรแนน" ซึ่งเธอแต่งให้แก่เด็กชายอายุสี่ขวบคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากนิวโรบลาสโตมา เพลงมีให้ดาวน์โหลด รายได้จากการดาวน์โหลดบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ในปี ค.ศ. 2014 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิ V เพื่อศูนย์วิจัยมะเร็ง และ 50,000 ดอลลาร์ให้โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย สวิฟต์เคยแวะเยี่ยมผู้ป่วยและคอยช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นการส่วนตัวด้วย สวิฟต์กระตุ้นให้คนวัยหนุ่มสาวอาสาในชุมชนท้องถิ่นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวันบริการเยาวชนโลกการเมือง การเมือง. ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 สวิฟต์สนับสนุนโครงการรณรงค์เอเวอรีวูแมนเคานส์ มีเป้าหมายให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเมือง และเป็นหนึ่งในศิลปินคันทรีหลายคนที่บันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้โครงการรณรงค์โหวต (ฟอร์ยัวร์) คันทรี เธอกล่าวว่า "ฉันคิดว่าการพยายามและโน้มน้าวผู้คนว่าให้โหวตใครนั้นไม่ได้เป็นหน้าที่ของฉัน" หลังประธานาธิบดีโอบามากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เธอกล่าวกับโรลลิงสโตนว่าเธอสนับสนุนเขา "ฉันยังไม่เคยเห็นประเทศนี้มีความสุขกับการตัดสินใจทางการเมืองตั้งแต่ฉันมีชีวิตมา ฉันดีใจที่นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฉัน" ในบทสัมภาษณ์ปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์กล่าวว่า แม้ว่าเธอจะยึดตัวเองเป็น "ผู้มีการศึกษาและมีความรู้มากเท่าที่จะเป็นไปได้" เธอไม่ขออภิปรายทางการเมือง โดยเกรงว่ามันอาจเป็นการโน้มน้าวคนอื่นได้ สวิฟต์เคยใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเคนเนดี และเคยกล่าวชื่นชมอีเทล เคนเนดี เธอเป็นนักสิทธิสตรีด้วย เธอเคยกล่าวต่อต้านการเหยียดกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หลังจากเหตุฆาตกรรมแลร์รี คิง ในปึ ค.ศ. 2008 เธอบันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้องค์กรเครือข่ายให้การศึกษาเกย์ เลสเบียน และรสนิยมต่างเพศ (GLSEN) เพื่อสู้กับอาชญากรรมความเกลียดชัง หลังครบรอบการเสียชีวิตของคิงหนึ่งปี สวิฟต์กล่าวกับเซเวนทีนว่า บิดามารดาของเธอ "ไม่เคยตัดสินคนอื่นโดยมองว่าเขารักใคร สีผิวอะไร หรือศาสนาอะไร" มิวสิกวิดีโอเพลง "มีน" ที่ค้านการกลั่นแกล้ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับรักร่วมเพศในไฮสกูล วิดีโอได้เข้าชิงรางวัลกิจกรรมทางสังคมของเอ็มทีวี ในปึ ค.ศ. 2011 ด้วย เดอะนิวยอร์กไทมส์เชื่อว่าเธอเป็นหนึ่งใน "คลื่นลูกใหม่ของผู้หญิง (รสนิยมต่างเพศ) วัยสาวที่ทำเพลงให้แก่แฟนคลับเกย์ที่ยอมรับตัวตนของตัวเองในเวลาที่มีประเด็นทางวัฒนธรรมที่ชวนสับสน"การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์. ขณะส่งเสริมอัลบั้มแรก สวิฟต์เป็นหน้าตาให้แก่โครงการโมบายล์มิวสิกของบริษัทเวริซันไวร์เลส ในยุคอัลบั้มเฟียร์เลส เธอออกสินค้าเสื้อผ้าซันเดรสให้บริษัทแอล.อี.ไอ. (l.e.i.) วางจำหน่ายที่วอลมาร์ต และออกแบบบัตรให้บริษัทอเมริกันกรีทิงส์ และตุ๊กตาแจ็กส์แปซิฟิก เธอเคยเป็นโฆษกให้ทีมแนชวิลล์พรีเดเตอร์ของเนชันแนลฮอกกีลีก (NHL) และกล้องดิจิทัล โซนี ไซเบอร์ช็อต ในยุคอัลบั้มสปีกนาว เธอออกอัลบั้มรูปแบบพิเศษจำหน่ายผ่านทาร์เกต สวิฟต์เคยเป็นโฆษกให้ยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ล ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดน สองรุ่น ได้แก่ วันเดอร์สตรัก และวันเดอร์สตรักเอ็นแชนเทด ขณะส่งเสริมอัลบั้มที่สี่ เรด สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มด้วยโปรโมชันเฉพาะผ่านทาร์เกต พาพาจอนส์พิซซ่า และวอลกรีนส์ เธอเคยเป็นโฆษกให้ไดเอตโค้ก และรองเท้ากีฬาเคดส์ ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดนรุ่นที่สามชื่อ เทย์เลอร์ บาย เทย์เลอร์ สวิฟต์ และเป็นหุ้นส่วนกับโซนีอิเล็กทรอนิกส์ และอเมริกันกรีทิงส์ สวิฟต์ยังเคยเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทแอร์เอเชีย และควอนตัส ในระหว่างทัวร์เรดทัวร์ด้วย นับว่าเป็นสายการบินทางการในช่วงทัวร์ทวีปออสเตรเลียและเอเชีย และไอศกรีมคอร์เนตโตเป็นผู้สนับสนุนทัวร์ในทวีปเอเชีย ในระหว่างส่งเสริมอัลบั้ม 1989 สวิฟต์โฆษณาให้ซับเวย์ เคดส์ ทาร์เกต และไดเอตโค้ก ในปี ค.ศ. 2014 สวิฟต์ออกน้ำหอมรุ่นที่สี่ชื่อ อินเครดิเบิลทิงส์รางวัลและความสำเร็จ รางวัลและความสำเร็จ. สวิฟต์ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย ได้แก่ รางวัลแกรมมี 10 รางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 19 รางวัล บิลบอร์ดมิวสิกอะวอร์ด 21 รางวัล รางวัลสมาคมดนตรีคันทรี 11 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 รางวัล บริตอะวอดส์ 1 รางวัล และเอ็มมีอะวอร์ด 1 รางวัล สวิฟต์ยังเป็นนักร้องที่ได้รับรางวัลทีนชอยส์อะวอร์ดมากเป็นอันดับที่สอง ด้วยจำนวน 25 รางวัล ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ และหอเกียรติยศนักแต่งเพลง ก่อนต้นปี ค.ศ. 2016 สวิฟต์ขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านชุด ขายซิงเกิลดาวน์โหลดได้ 130 ล้านหน่วย และเป็นหนึ่งในห้านักดนตรีที่มียอดขายดิจิทัลสูงที่สุดทั่วโลก สตูดิโออัลบั้มของสวิฟต์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เฟียร์เลส สปีกนาว เรด และ 1989 ขายได้อย่างน้อย 4 ล้านหน่วยในสหรัฐผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มผลงานเพลง. สตูดิโออัลบั้ม. - เทย์เลอร์ สวิฟต์ (2006) - เฟียร์เลส (2008) - สปีกนาว (2010) - เรด (2012) - 1989 (2014) - เรพิวเทชัน (2017)คอนเสิร์ตทัวร์คอนเสิร์ตทัวร์. - เฟียร์เลสทัวร์ (2009–2010) - สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ (2011–2012) - เดอะเรดทัวร์ (2013–2014) - เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ (2015) - เทย์เลอร์สวิฟต์เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ (2018)ผลงานการแสดง
|
เทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอะไร
|
{
"answer": [
"อเมริกัน"
],
"answer_begin_position": [
191
],
"answer_end_position": [
199
]
}
|
2,217 | 213,857 |
เทย์เลอร์ สวิฟต์ เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ (; เกิด 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เธอเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและเป็นที่สนใจของสื่ออย่างมาก สวิฟต์เกิดเติบโตในรัฐเพนซิลเวเนีย ต่อมาเธอได้ย้ายไปยังเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ขณะอายุ 14 ปี เพื่อหางานทำเกี่ยวกับเพลงคันทรี เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงบิกแมชีนเรเคิดส์ และเป็นนักแต่งเพลงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทโซนี/เอทีวีมิวสิกพับบลิชชิง อัลบั้มแรกของสวิฟต์มีชื่อเดียวกับตนเอง วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2006 อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตได้นานที่สุดในทศวรรษ 2000 ซิงเกิลที่สาม "อาวเวอร์ซอง" ทำให้เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งเพลงด้วยตนเองและเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี อัลบั้มที่สอง เฟียร์เลส ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 2008 หลังจากสามารถติดชาร์ตเพลงป็อป (pop crossover) ได้สำเร็จ ซิงเกิล "เลิฟสตอรี" และ "ยูบีลองวิทมี" ทำให้อัลบั้มเฟียร์เลสเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี ค.ศ. 2009 อัลบั้มชนะรางวัลแกรมมี 4 รางวัล และสวิฟต์เป็นนักร้องที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบั้มเพลงแห่งปี (Album of the Year) สวิฟต์เป็นนักแต่งเพลงคนเดียวในอัลบั้มที่สาม สปีกนาว (ค.ศ. 2010) อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในสหรัฐ ซิงเกิล "มีน" ได้รับรางวัลแกรมมี 2 รางวัล ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ออกอัลบั้มที่สี่ เรด มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" อัลบั้มชุดที่ห้า 1989 เป็นอัลบั้มแนวเพลงป็อป ออกจำหน่ายใน ค.ศ. 2014 ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรก และ เพียงคนเดียวที่มียอดขายเปิดตัวอัลบั้มในสหรัฐมากกว่า 1 ล้านอัลบั้ม ในสัปดาห์แรกได้ถึง 3 อัลบั้ม ซิงเกิล "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐ อัลบั้มได้รับรางวัลแกรมมีสามรางวัล ทำให้เธอเป็นศิลปินคนที่ห้า และเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี (Album of the Year) ถึงสองครั้ง ทัวร์ 1989 เวิลด์ทัวร์ของอัลบั้ม 1989 จัดขึ้นในปี ค.ศ. 2015 เป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตรายได้ดีที่สุดตลอดกาล อัลบั้มที่หกของสวิฟต์ เรพิวเทชัน (2017) และซิงเกิลแรก "ลุกวอตยูเมดมีดู" ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตของสหราชอาณาจักร และสหรัฐ ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (Nashville Songwriters Association) และหอเกียรติยศนักแต่งเพลง (Songwriters Hall of Fame) เธอยังได้รับรางวัลแกรมมี 10 รางวัล อยู่ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 5 รายการ รางวัลเอมมีอะวอดส์ 1 รางวัล รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอะวอดส์ 21 รางวัล รางวัลสมาคมเพลงคันทรี 11 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 สาขา และรางวัลบริตอะวอดส์ 1 รางวัล สวิฟต์เป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล เธอขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านอัลบั้ม (27.1 ล้านอัลบั้มในสหรัฐ) และยอดดาวน์โหลดซิงเกิล 130 ล้านดาวน์โหลด ในปี ค.ศ. 2015 เธออยู่ในรายชื่อ "ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุด" จัดโดยนิตยสารฟอบส์ (ปี ค.ศ. 2010 และ ค.ศ. 2015) หนึ่งในผู้หญิงที่มีรายได้มากที่สุด" จัดโดยนิตยสารไทม์ รายชื่อ "ผู้หญิง 100 คนที่มีอิทธิพลที่สุด" จัดโดยนิตยสารฟอบส์ และรายชื่อคนดัง 100 คนของฟอบส์ เธอเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดที่อยู่ในรายชื่อคนดัง 100 คน และเธออยู่อันดับที่หนึ่งชีวิตและการทำงาน1989–2003: ชีวิตช่วงแรก ชีวิตและการทำงาน. 1989–2003: ชีวิตช่วงแรก. เทย์เลอร์ สวิฟต์ เกิดในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่เรดดิง รัฐเพนซิลเวเนีย บิดาของเธอชื่อ สกอตต์ คิงสลีย์ สวิฟต์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน แม่ของเธอ แอนเดรีย การ์ดเนอร์ (ชื่อก่อนสมรส ฟินเลย์) สวิฟต์ เป็นผู้รับจ้างทำงานบ้านที่เคยทำงานเป็นกรรมการบริหารกองทุนรวม สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน สวิฟต์ใช้ชีวิตช่วงแรกในไร่นาต้นคริสต์มาส เธอเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล และชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอัลเวอร์เนียมอนเทสซอรีสกูล เปิดสอนโดยแม่ชีคณะฟรันซิสกัน ก่อนย้ายเข้าโรงเรียนวินด์ครอฟต์สกูล ต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชานเมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนไวโอมิสซิงเอเรียจูเนียร์/ซีเนียร์ไฮสกูล เมื่ออายุ 9 ปี สวิฟต์เริ่มสนใจการละครเวที และแสดงในละครเวทีที่เบิกส์ยูธเธียเตอร์อะคาเดมี เธอเดินทางไปบรอดเวย์เป็นประจำเพื่อเรียนร้องเพลงและการแสดง ต่อมาสวิฟต์เริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่ดนตรีคันทรี เพลงของชะไนยา ทเวน ทำให้เธอ "อยากวิ่งรอบช่วงตึก 4 รอบและฝันกลางวันถึงทุกสิ่งทุกอย่าง" เธอใช้เวลาสุดสัปดาห์แสดงตามงานเทศกาลในท้องถิ่น และเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากชมสารคดีเกี่ยวกับเฟธ ฮิลล์ สวิฟต์รู้สึกมั่นใจว่าเธอต้องการเดินทางไปที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เพื่อสานฝันงานดนตรี เมื่ออายุ 11 ปี เธอเดินทางไปแนชวิลล์กับมารดาเพื่อส่งเดโมเพลง ซึ่งเป็นเพลงคาราโอเกะของดอลลี พาร์ตัน และดิกซีชิกส์ นำมาขับร้องใหม่ แต่เธอถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุที่ว่า "ทุกคนในเมืองนั้นก็อยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ดังนั้น ฉันจึงกลับมาคิดกับตัวเอง ฉันต้องหาทางทำสิ่งที่แตกต่างออกไป" เมื่อสวิฟต์อายุ 12 ปี ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์คนหนึ่งสอนเธอเล่นกีตาร์ 3 คอร์ด บันดาลให้เธอเขียนเพลงแรก "ลักกียู" ใน ค.ศ. 2003 สวิฟต์และบิดามารดาของเธอเริ่มทำงานกับผู้จัดการดนตรี แดน ดิมโทรว์ ในนิวยอร์ก ด้วยความช่วยเหลือของดิมโทรว์ สวิฟต์เป็นแบบให้แก่บริษัทเอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ "ไรซิงสตาส์" และมีเพลงต้นฉบับรวมในอัลบั้มรวมเพลงของตราสินค้าเมย์เบลลีน และเข้าร่วมประชุมกับค่ายเพลงหลักมากมาย หลังจากแสดงเพลงที่งานมหรสพของสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์ สวิฟต์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นเกรด 8 ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้อง และเริ่มเดินทางไปแนชวิลล์กับมารดาของเธอบ่อยขึ้น บิดาของเธอย้ายไปทำงานออฟฟิศของเมร์ริลลินช์ที่แนชวิลล์เพื่อช่วยส่งเสริมสวิฟต์ทำงานดนตรีคันทรี ขณะที่เธออายุ 14 ปี และครอบครัวย้ายที่อยู่ไปที่บ้านริมทะเลสาบในเฮนเดอร์สันวิลล์ รัฐเทนเนสซี ในเทนเนสซี สวิฟต์เข้าเรียนที่โรงเรียนไฮสกูล แต่เรียนได้สองปี เธอก็ย้ายไปเรียนที่สถาบันแอรอนอะคาเดมี โรงเรียนคริสต์เอกชนที่มีบริการเรียนที่บ้านได้ เพื่อให้สะดวกต่อการทัวร์ และเธอจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์ 2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์. ที่แนชวิลล์ เธอได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลงย่านมิวสิกโรว์หลายคน เช่น ทรอย เวอร์จิส เบรตต์ บีเวอส์ เบรตต์ เจมส์ แม็ก แม็กอะแนลลี และเดอะวอร์เรนบราเธอส์ ในที่สุดเธอได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ลิซ โรส พวกเขาเริ่มพบกันในคาบแต่งเพลงทุกวันเสาร์ตอนบ่ายหลังเรียน โรสกล่าวว่า คาบแต่งเพลงเป็น "สิ่งที่ง่ายที่สุดที่ฉันเคยได้ทำ ง่าย ๆ คือ ฉันเป็นบรรณาธิการของเธอ เธอจะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในวันนั้น เธอมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการจะพูด และเธอจะคิดท่อนสร้อยที่น่าเหลือเชื่อได้เสมอ" สวิฟต์ได้เซ็นสัญญากับโซนี/เอทีวีทรีพับลิชชิง แต่ลาออกจากสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์เมื่ออายุ 14 ปี เธอระลึกได้ว่า "ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังหมดเวลา ฉันอยากเก็บความทรงจำในชีวิตของฉันหลายปีมานี้ไว้ในอัลบั้มสักอัลบั้ม ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นยังแทนสิ่งที่ฉันพบเจอมาอยู่" ณ งานมหรสพแห่งหนึ่งที่ร้านกาแฟบลูเบิร์ดคาเฟในเมืองแนชวิลล์เมื่อ ค.ศ. 2005 สวิฟต์เป็นที่สนใจของสก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้บริหารค่ายดรีมเวิกส์เรเคิดส์ที่กำลังเตรียมตัวก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตนในชื่อ บิกแมชีนเรเคิดส์ เธอเคยพบกับบอร์เชตตาแล้วในปี ค.ศ. 2004 เธอได้เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา โดยพ่อของเธอจ่ายเงินช่วยบริษัท 3% เป็นเงินจำนวนประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐสวิฟต์เริ่มทำงานอัลบั้มแรกของเธอโดยตั้งชื่อเธอให้เป็นชื่ออัลบั้มไม่นานหลังเซ็นสัญญา สวิฟต์โน้มน้าวให้ค่ายบิกแมชีนจ้างโปรดิวเซอร์เพลงชื่อนาธาน แชปแมน ที่เธอรู้สึกว่ามีเคมีตรงกัน สวิฟต์แต่งเพลง 3 เพลงในอัลบั้มด้วยตนเอง และร่วมแต่งเพลงที่เหลืออีกแปดเพลงกับนักแต่งเพลงหลายคน เช่น โรส เอลลิส ออร์รอล ไบรอัน เมเฮอร์ และแอนเจโล เพทราเกลีย มีคำอธิบายเกี่ยวกับดนตรีของเพลงในอัลบั้มว่าเป็น "การผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีคันทรีดั้งเดิมกับกีตาร์ร็อกที่มีชีวิตชีวา" (a mix of trad-country instruments and spry rock guitars) อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2006 จอน คารามานิกา จากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ บรรยายว่าเป็น "งานชิ้นเยี่ยมเล็ก ๆ ที่เป็นคันทรีผสมป็อป ทั้งเรียบง่ายและถากถาง รวมกันไว้ด้วยเสียงร้องที่อ้อนวอนและแน่วแน่ของคุณสวิฟต์" อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ขึ้นสูงสุดอันดับที่ห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตนาน 157 สัปดาห์ ยาวนานที่สุดในบรรดาอัลบั้มที่ออกในคริสต์ทศวรรษ 2000 นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 อัลบั้มขายได้มากกว่า 7.75 ล้านชุดทั่วโลก บิกแมชีนเรเคิดส์เพิ่งเปิดค่ายใหม่ ขณะที่ออกซิงเกิลนำ "ทิม แม็กกรอว์" ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 และสวิฟต์กับแม่ของเธอช่วย "นำซีดีซิงเกิลใส่ซองจดหมายและส่งให้สถานีวิทยุ" เธอใช้เวลาตลอดปี ค.ศ. 2006 ส่งเสริมอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ผ่านการทัวร์ตามสถานีวิทยุและรายการโทรทัศน์ บอร์เชตตากล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจให้เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เซ็นสัญญา แรกเริ่มทำให้เพื่อนร่วมวงการของเขาเป็นกังวล แต่สวิฟต์ได้ก้าวเข้าสู่กลุ่มตลาดดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ วัยรุ่นสาวที่ฟังเพลงคันทรี หลังจากออกซิงเกิล "ทิม แม็กกรอว์" มีซิงเกิลออกตามมาอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี ค.ศ. 2007-2008 ได้แก่ "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" "อาวเวอร์ซอง" "พิกเชอร์ทูเบิร์น" และ "ชูดัฟเซดโน" ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี "เอาร์ซอง" และ "ชูดัฟเซดโน" ขึ้นอันดับหนึ่ง เพลง "อาวเวอร์ซอง" ทำให้สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งและร้องเพลงคันทรีเอง และเพลงนั้นขึ้นอันดับหนึ่งด้วย "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" กลายเป็นเพลงแนวป็อปที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง ขึ้นอันดับ 13 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 สวิฟต์ยังออกอัลบั้มวันหยุด ได้แก่ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 และอีพีชื่อ บิวตีฟูลอายส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 เธอส่งเสริมอัลบั้มแรกของเธอด้วยการพบปะทักทายกับแฟนเพลง ร้องเพลงที่ได้รับความนิยม และเป็นศิลปินเปิดคอนเสิร์ตให้ทัวร์ของศิลปินอื่น ๆ อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมาย เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี โดยสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ในปี ค.ศ. 2007 ทำให้สวิฟต์กลายเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติครั้งนี้ เธอยังได้รางวัลฮอไรซันอะวอร์ดสาขาศิลปินหน้าใหม่โดยสมาคมดนตรีคันทรี รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขานักร้องนำหญิงคนใหม่ยอดเยี่ยม และรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดสาขาศิลปินคันทรีหญิงคนโปรด เธอยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมปี ค.ศ. 2008 แต่พ่ายให้แก่เอมี ไวน์เฮาส์ ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เธอคบหากับโจ โจนาส ความสัมพันธ์จบลงในสามเดือนถัดมา2008–2010 : อัลบั้มเฟียร์เลส และการแสดง 2008–2010 : อัลบั้มเฟียร์เลส และการแสดง. สตูดิโออัลบั้มที่สองของสวิฟต์ชื่อ เฟียร์เลส วางจำหน่ายวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 โจดี โรเซน จากโรลลิงสโตน บรรยายถึงเธอว่าเป็น "นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเกี่ยวกับโครงสร้างเวิร์ส-คอรัส-บริดจ์" ที่มีเพลง "ลึกซึ้งกินใจทีละเล็กละน้อยและแท้จริง" ดูเหมือนกับ "ดึงออกจากอนุทินของเด็กชานเมืองคนหนึ่ง" ซิงเกิลนำจากอัลบั้ม "เลิฟสตอรี" ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 และกลายเป็นซิงเกิลคันทรีที่ขายดีที่สุดอันดับสองตลอดกาล ขึ้นสูงสุดอันดับที่สี่บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย มีซิงเกิลออกจำหน่ายอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี ค.ศ. 2008-2009 ได้แก่ "ไวต์ฮอร์ส" "ยูบีลองวิทมี" "ฟิฟทีน" และ "เฟียร์เลส" เพลง "ยูบีลองวิทมี" เป็นซิงเกิลที่ขึ้นอันดับสูงที่สุดในอัลบั้ม ขึ้นถึงอันดับที่สองบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 อัลบั้มเปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี ค.ศ. 2009 สวิฟต์ออกทัวร์ของตนเองครั้งแรกเพื่อส่งเสริมอัลบั้มเฟียร์เลส ในทัวร์ชื่อเฟียร์เลสทัวร์ ทำรายได้ได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์คอนเสิร์ต ออกอากาศทางโทรทัศน์และจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์ สวิฟต์ยังแสดงรับเชิญในทัวร์ชื่อ เอสเคปทูเก็ตเทอร์เวิลด์ทัวร์ ของคีท เออร์เบิน ในปี ค.ศ. 2009 สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคันทรีคนแรกที่ได้รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด หลังเพลง "ยูบีลองวิทมี" ได้เป็นวิดีโอของศิลปินหญิงยอดเยี่ยม ขณะเธอกล่าวรับรางวัล แร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เข้ามาขัดจังหวะ เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อ และทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตมีม เจมส์ มอนต์โกเมอรี จากเอ็มทีวีเถียงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวและความสนใจจากสื่อทำให้สวิฟต์กลายเป็น "คนดังตามกระแสอย่างแท้จริง" (a bona-fide mainstream celebrity) ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาศิลปินแห่งปี และอัลบั้มเพลงคันทรีชมเชยด้วย บิลบอร์ดแต่งตั้งให้เธอเป็นศิลปินแห่งปี ค.ศ. 2009 ในปี ค.ศ. 2010 สวิฟต์ได้รับรางวัลมากมายจากอัลบั้มเฟียร์เลส ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เฟียร์เลสได้รางวัลอัลบั้มแห่งปี และอัลบั้มเพลงคันทรียอดเยี่ยม ขณะที่เพลง "ไวต์ฮอร์ส" ได้รางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และการแสดงเพลงคันทรีหญิงยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี ในงานประกาศรางวัล สวิฟต์ร้องเพลง "ยูบีลองวิทมี" และ "รีแอนนอน" กับสตีวี นิกส์ การแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีและมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีจากสื่อ จอน คารามานิกาจากเดอะนิวยอร์กไทมส์เห็นว่า "น่าชื่นใจที่เห็นคนบางคนมีพรสวรรค์จนบางครั้งก็มีผิดพลาดบ้าง" และพูดถึงสวิฟต์ว่าเป็น "ดาราป็อปคนสำคัญที่สุดคนใหม่ในรอบหลายปี" สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สมาคมดนตรีคันทรีแต่งตั้งเป็นผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี อัลบั้มเฟียร์เลสได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีจากสมาคมดังกล่าวด้วย สวิฟต์ร้องเบื้องหลังให้เพลง "ฮาล์ฟออฟมายฮาร์ต" ของจอห์น เมเยอร์ เป็นซิงเกิลจากอัลบั้มที่สี่ แบตเทิลสตัดดีส์ (2009) เธอร่วมแต่งและอัดเพลง "เบสต์เดส์ออฟยัวร์ไลฟ์" กับเคลลี พิกเลอร์ด้วย และร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ สองเพลง ได้แก่ "ยูลออลเวส์ไฟนด์ยัวร์เวย์แบ็กโฮม" และ "เครซีเออร์" สวิฟต์ยังร้องเพลงให้ซิงเกิล "ทูอิสเบ็ตเทอร์แดนวัน" ของบอยส์ไลก์เกิลส์ แต่งโดยมาร์ติน จอห์นสันด้วย เธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก หนึ่งในนั้นคือเพลง "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" กลายเป็นเพลงอันดับหนึ่งบนชาร์ตคะเนเดียนฮอต 100 เพลงแรกของเธอด้วย และอัดเพลง "เบรทเลส" ฉบับร้องใหม่ของเบ็ตเทอร์แดนเอซรา ลงอัลบั้มโฮปฟอร์เฮตินาว สวิฟต์เริ่มงานแสดงในละครชุด ทางช่องซีบีเอส ตอนหนึ่งในปี ค.ศ. 2009 รับบทเป็นวัยรุ่นหัวรั้น เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่าตัวละครดังกล่าวทำให้สวิฟต์ดู "ซนเล็กน้อย และซนอย่างเหลือเชื่อ" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์เป็นพิธีกรและเป็นแขกรับเชิญตอนหนึ่งในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลีพูดถึงเธอว่า "เป็นพิธีกรรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลย" จากที่เธอ "ดูท้าทายอยู่เสมอ ดูเหมือนจะสนุกสนาน และทำให้นักแสดงที่เหลือเล่นมุกตลกได้หลายมุก" ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องวาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 เธอเริ่มความสัมพันธ์ชู้สาวกับนักแสดง เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แต่เลิกรากันในปีเดียวกัน ภาพยนตร์รักตลกเรื่องดังกล่างออกฉายในปีต่อมา เธอแสดงเป็นแฟนสาวทึ่มของหนุ่มบ้านนอกนักเรียนไฮสกูล บทบาทที่ลอสแอนเจลิสไทมส์มองเห็น "ศักยภาพที่ทำให้ดูตลกอย่างจริงจัง" ในบทสัมภาษณ์บทหนึ่ง นิตยสารวาไรตีมองว่าเธอ "ไม่ได้ถูกชี้นำชัดเจน" และแย้งว่า "เธอต้องหาผู้กำกับที่มีความสามารถคอยจำกัดขอบเขตพลังการแสดงที่มีมากเกินไป" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์คบหากับนักแสดง เจค จิลเลินฮาล เป็นช่วงสั้น ๆ2010-2012 : อัลบั้มสปีกนาว และ เรด 2010-2012 : อัลบั้มสปีกนาว และ เรด. ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์ออกเพลง "ไมน์" ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่สามชื่อ สปีกนาว เข้าชาร์ตที่สหรัฐอันดับที่สาม ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สอง (ถัดจากมารายห์ แครี) ในประวัติศาสตร์ของชาร์ตฮอต 100 ที่เปิดตัวที่ห้าอันดับแรกถึงสองเพลงในปีเดียวกัน อีกเพลงหนึ่งคือ "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" เพลงนี้เป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบั้มที่สาม สปีกนาว ซึ่งเธอแต่งเองโดยไม่มีผู้ช่วย ในการส่งเสริมอัลบั้ม เธอออกรายการทอล์กโชว์และรายการพูดคุยตอนเช้าหลายรายการ และแสดงคอนเสิร์ตฟรีในสถานที่แปลก ๆ เช่น บนดาดฟ้ารถประจำทางที่ถนนฮอลลิวูด และอาคารผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี อัลบั้มสปีกนาว วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขาย 1,047,000 ชุด กลายเป็นอัลบั้มที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่มียอดขายถึง 1 ล้านชุดในสัปดาห์เดียว ต่อมา อัลบั้มทำลายสถิติ "อัลบั้มดิจิทัลที่ขายได้เร็วที่สุดโดยศิลปินหญิง" ด้วยยอดดาวน์โหลด 278,000 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สวิฟต์จึงมีชื่อบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เธอยังได้รับบันทึกอีกหนึ่งหัวข้อหลังจากเพลงในอัลบั้มสปีกนาว 10 เพลง เปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้ ซิงเกิลสามซิงเกิล "ไมน์" "แบ็กทูดีเซมเบอร์" และ "มีน" ขึ้นถึงสิบอันดับแรกในประเทศแคนาดา เพลง "มีน" ชนะรางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และแสดงเดี่ยวเพลงคันทรียอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54 เธอยังแสดงเพลงนี้ในงานด้วย แคลร์ ซัดดาท จากนิตยสารไทม์รู้สึกว่าเธอ "กลับมาร้องเพลงตรงคีย์และเป็นการแก้ตัว" และเจมี เดียร์เวสเตอร์จากยูเอสเอทูเดย์ กล่าวว่า คำตำหนิเธอเมื่อปี ค.ศ. 2010 ทำให้เธอ "เป็นนักแต่งเพลงและนักร้องร้องสดที่ดีกว่าเดิม" สวิฟต์ยังได้รับรางวัลอื่น ๆ กับอัลบั้มสปีกนาว เช่น รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี จากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (2010 และ 2011) ผู้หญิงแห่งปี จากนิตยสารบิลบอร์ด (2011) และผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี จากโรงเรียนดนตรีคันทรี (2011 และ 2012) และสมาคมดนตรีคันทรีในปี ค.ศ. 2011 สวิฟต์ได้รับรางวัลศิลปินแห่งปีและอัลบั้มเพลงคันทรีชมเชยจากงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2011 อัลบั้มสปีกนาวรวมในรายชื่อ "อัลบั้มเพลงผู้หญิง 50 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล" ของนิตยสารโรลลิงสโตน เมื่อปี ค.ศ. 2012 อยู่ในอันดับที่ 45 สวิฟต์ ขณะนั้นอายุ 22 ปี เป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้อยู่ในรายชื่อ นิตยสารเขียนว่า "เพลงของเธออาจเปิดในคลื่นวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอในหนึ่งในร็อกสตาร์ที่แท้จริงไม่กี่คนที่เรามีในเวลานี้ ที่มีหูกำหนดสิ่งที่ทำให้เพลงมีคุณภาพอย่างไร้ตำหนิ" สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อสปีกนาวเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมีนาคม ค.ศ. 2012 และทำรายได้ได้มากกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด เดือนต่อมา สวิฟต์ร้อง "เซฟแอนด์ซาวด์" ร่วมแต่งและอัดเสียงกับเดอะซีวิลวอส์ และทีโบน เบอร์เน็ตต์ และเพลง "อายส์โอเพน" เพลง "เซฟแอนด์ซาวด์" ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงที่แต่งประกอบสื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หลังจากร้องเพลง "โบทออฟอัส" ให้แก่บี.โอ.บี. ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 สวิฟต์คบหากับทายาทนักการเมือง คอเนอร์ เคนเนดี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน ค.ศ. 2012 ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ออกซิงเกิล "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และเป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบั้มที่สี่ เรด ซิงเกิลประสบความสำเร็จในต่างประเทศ กลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในสหรัฐและนิวซีแลนด์ เพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนไอทูนส์หลังเพลงออกได้ 50 นาที เป็น "ซิงเกิลที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงดิจิทัล" บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ จากนั้นสวิฟต์ออกซิงเกิลที่สอง "บีกินอะเกน" ในเดือนตุลาคม เพลงขึ้นอันดับที่เจ็ดในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้มออกตามมา ได้แก่ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" "22" "เอเวอรีติงแฮสเชนจด์" "เดอะลาสต์ไทม์" และ "เรด" ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ขึ้นอันดับที่สองในสหรัฐ อัลบั้มเรดเป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวเพลงของสวิฟต์ โดยเธอทดลองแนวเพลงฮาร์ตแลนด์ร็อก ดั๊บสเตป และแดนซ์ป็อป อัลบั้มออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ อัลบั้มเปิดตัวอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 1.21 ล้านชุด เป็นยอดขายเปิดอัลบั้มที่สูงที่สุดในทศวรรษ และทำให้สวิฟต์เป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบั้มขายสัปดาห์แรกได้ถึงล้านชุดถึงสองอัลบั้ม บันทึกโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ในการส่งเสริมอัลบั้ม สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ เดอะเรดทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 2014 และทำรายได้ได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัลบั้มเรดได้รับรางวัลหลายรางวัล ได้แก่ เข้าชิงรางวัลแกรมมีในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 56 จำนวน 4 รางวัล ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ได้รับรางวัลวิดีโอผู้หญิงยอดเยี่ยม" ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 สวิฟต์ได้ชื่อว่าศิลปินคันทรีหญิงยอดเยี่ยมในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2012 และศิลปินแห่งปีในงานของปี ค.ศ. 2013 สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์มอบรางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินให้สวิฟต์ติดต่อกันเป็นปีที่ห้าและหกในปี ค.ศ. 2012 และ 2013 ตามลำดับ สวิฟต์ยังได้รับรางวัล พินนาเคิลอะวอร์ด จากสมาคม สำหรับความสำเร็จระดับ "ไม่เหมือนใคร" สวิฟต์เป็นผู้รับรางวัลดังกล่าวเป็นคนที่สองถัดจากการ์ท บรุกส์ ในปี ค.ศ. 2013 สวิฟต์ร่วมแต่งเพลง "สวีเทอร์แดนฟิกชัน" กับแจ็ก แอนโทนอฟฟ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่องขอสักครั้งให้ดังเป็นพลุแตก และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 71 สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม เธอร้องรับเชิญให้แม็กกรอว์ ในเพลง "ไฮเวย์โดนต์แคร์" บรรเลงกีตาร์โดยเออร์เบิน สวิฟต์ร้องเพลง "แอสเทียส์โกบาย" กับเดอะโรลลิงสโตนส์ ที่ชิคาโกในทัวร์ชื่อ 50 แอนด์เคาน์ติง ต่อมาเธอกล่าวว่าวงนี้มีอิทธิพลหลักต่อภาพลักษณ์งานเพลงของเธอ เธอแสดงกับฟลอริดาจอร์เจียไลน์ในงานคันทรีเรดิโอเซมินาร์ 2013 ในเพลง "ครูส" นอกจากร้องเพลง สวิฟต์พากย์เสียงให้ออเดรย์ คนรักต้นไม้ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน คุณปู่โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง ปรากฏในซิตคอม นิวเกิร์ล (2013) เล่นบทรองในภาพยนตร์ พลังพลิกโลก (2014) เธอเคยคบหากับนักร้องชาวบริติช แฮร์รี สไตลส์2014-2016 : อัลบั้ม 1989 2014-2016 : อัลบั้ม 1989. ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 สวิฟต์ย้ายมาอาศัยที่แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ช่วงนี้เธอกำลังทำสตูดิโออัลบั้มที่ห้า 1989 ร่วมกับนักแต่งเพลง แอนโทนอฟฟ์ มาร์ติน เชลล์แบ็ก อิโมเจน ฮีป ไรอัน เท็ดเดอร์ และอาลี พายามี สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มผ่านโครงการรณรงค์มากมาย รวมถึงการเชิญชวนแฟนเพลงให้มาฟังเพลงในอัลบั้มแบบลับ ๆ เรียกว่า "1989 ซีเคร็ตเซสชัน" ด้วย อัลบั้มเป็นการแยกทางจากอัลบั้มเพลงคันทรีชุดก่อนหน้า และสวิฟต์ให้เป็น "อัลบั้มเพลงป็อปอย่างเป็นทางการอัลบั้มแรกที่มีการบันทึก" อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย อัลบั้ม 1989 ขายได้ 1.28 ล้านชุดในสหรัฐในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเปิดตัวสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบั้มที่ขายในสัปดาห์แรกเกินหนึ่งล้านชุดถึงสามอัลบั้ม ทำให้เธอได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ นับถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 อัลบั้ม 1989 ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลนำของอัลบั้ม "เชกอิตออฟ" จำหน่ายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ซิงเกิลอื่น ๆ ประกอบด้วยซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ "แบลงก์สเปซ" "แบดบลัด" (ร้องรับเชิญโดยเคนดริก ลามาร์) และซิงเกิลที่ขึ้นสิบอันดับแรก ได้แก่ "สไตล์" และ "ไวล์ดิสต์ดรีมส์" และมีซิงเกิล "เอาต์ออฟเดอะวุดส์" และ "นิวโรแมนติกส์" "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ติดอันดันหนึ่งในออสเตรเลียและแคนาดา มิวสิกวิดีโอเพลง "แบลงก์สเปซ" เคยเป็นวิดีโอที่มียอดผู้ชมขึ้นถึงหนึ่งพันล้านครั้งเร็วที่สุดในวีโว "แบลงก์สเปซ" และวิดีโอเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลสี่รางวัลที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2015 โดยเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี และเพลงร่วมขับร้องยอดเยี่ยมด้วย ในทัวร์เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 2015 ทัวร์ยังคงทำรายได้ต่อไปได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ สวิฟต์ได้เป็นผู้หญิงแห่งปีของนิตยสารบิลบอร์ดในปี ค.ศ. 2014 กลายเป็นศิลปินคนแรกที่ได้ชื่อนี้ถึงสองครั้ง ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลดิก คลาร์ก อะวอร์ดสำหรับความดีเลิศที่งานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ ที่งานประกาศรางวัลแกรมมี 2015 "เชกอิตออฟ" ได้เข้าชิงสามรางวัล รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงแห่งปี และเพลงแห่งปี ขณะที่ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2015 สวิฟต์ได้รับรางวัลบริตอะวอดส์สาขาศิลปินเดี่ยวหญิงต่างชาติ สวิฟต์เป็นหนึ่งในแปดศิลปินที่ได้รับรางวัลครบรอบ 50 ปีของอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ในปี ค.ศ. 2015 ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 58 สวิฟต์ได้รับรางวัลสามรางวัลจากอัลบั้ม 1989 ได้แก่ อัลบั้มแห่งปี อัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยม และมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง "แบดบลัด" เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นศิลปินคนที่ห้าจากทั้งหมดที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปีถึงสองครั้ง ก่อนออกอัลบั้ม 1989 สวิฟต์เน้นเกี่ยวกับความสำคัญของอัลบั้มเพลงที่มีต่อศิลปินและแฟนเพลง และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เธอลบเพลงทั้งอัลบั้มออกจากสปอทิฟาย โดยแย้งว่าบริการฟรีที่มีโฆษณาสนับสนุนของบริษัทสตรีมมิงบ่อนทำลายบริการระดับพรีเมียมที่ให้ค่าลิขสิทธิ์กับนักแต่งเพลงมากกว่า ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 สวิฟต์ตำหนิแอปเปิลมิวสิกผ่านจดหมาย เนื่องจากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่ศิลปินระหว่างบริการสตรีมมิงในช่วงทดลองฟรีสามเดือน และกล่าวว่าเธอจะถอดอัลบั้ม 1989 ออกจากรายการ วันถัดมา แอปเปิลประกาศว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ศิลปินในช่วงทดลองฟรี และสวิฟต์ยอมให้สตรีมอัลบั้ม 1989 ในบริการสตรีมอีกครั้ง บริษัทที่ดูแลการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสวิฟต์ชื่อ ทีเอเอสไรส์แมเนจเมนต์ ฟ้องเครื่องหมายการค้า 73 รายการที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้องเองและมีมต่าง ๆ จากอัลบั้ม 1989 เธอกลับมาเพิ่มเพลงทั้งหมดมาใส่ในสปอติฟาย อเมซอนมิวสิก และกูเกิล เพลย์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 ในปี ค.ศ. 2015 สวิฟต์ร้องเพลง "ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์" และ "เชกอิตออฟ" ร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในงานสังสรรค์ของรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์โฟร์ทีธ์แอนนิเวอร์แซรีสเปเชียล และร่วมร้องเพลง "บิกสตาร์" กับเคนนี เชสนีย์ ในคืนเปิดคอนเสิร์ตของบิกรีไวเวิลทัวร์ ที่แนชวิลล์ เธอเล่นกีตาร์กับมาดอนน่าในการแสดงเพลง "โกสต์ทาวน์" แนวอะคูสติกที่งานประกาศรางวัลไอฮาร์ตเรดิโอมิวสิกอะวอดส์ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สวิฟต์เริ่มคบหากับดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวสก็อต แคลวิน แฮร์ริส ก่อนเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 ทั้งคู่ได้รับการจัดให้เป็นคู่รักคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในรอบปีโดยนิตยสารฟอบส์ โดยมีรายได้รวมกันมากกว่า 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์กล่าวว่าแม่ของเธอตรวจพบมะเร็ง และเชิญชวนให้ทุกคนให้ตรวจสุขภาพทั่วไป ก่อนสวิฟต์กับแฮร์ริสประกาศจบความสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 ทั้งคู่ร่วมแต่งเพลง "ดิสอิสวอตยูเคมฟอร์" ซึ่งมีชื่อเธอระบุในนามแฝงว่า Nils Sjöberg ในเดือนตุลาคม เธอแต่งเพลง "เบตเทอร์แมน" ให้วงลิตเทิลบิกทาวน์ ให้แก่อัลบั้มที่เจ็ด เดอะเบรกเกอร์ สองเดือนต่อมา สวิฟต์และเซย์น แมลิก ออกซิงเกิลร่วมกันชื่อ "ไอโดนต์วอนนาลิฟฟอร์เอฟเวอร์" เป็นภาพยนตร์ ฟิฟตีเชดส์ดาร์กเกอร์ (2017) เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศสวีเดน และอันดับสองในสหรัฐ2017: เรพิวเทชัน 2017: เรพิวเทชัน. ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2017 สวิฟต์ชนะคดีต่อเดวิด มูเอลเลอร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุคลื่นไคโกเอฟเอ็ม ในปี ค.ศ. 2013 สวิฟต์เคยชี้แจงหัวหน้าของมูเอลเลอร์ว่าเขาเคยล่วงละเมิดเธอโดยการลูบคลำตัวเธอในงานงานหนึ่ง หลังจากเขาถูกไล่ออก มูเอลเลอร์กล่าวหาเธอว่าโกหกและฟ้องร้องเธอจากเหตุที่ทำให้เขาตกงาน หลังจากนั้นไม่นาน สวิฟต์ฟ้องร้องกลับคดีละเมิดทางเพศ ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาและยกผลประโยชน์ให้สวิฟต์ ในเดือนเดียวกันนั้น สวิฟต์ล้างบัญชีสื่อสังคมของเธอทั้งหมด และประกาศว่าเธอจะออกสตูดิโออัลบั้มที่หก ใช้ชื่อว่า เรพิวเทชัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม "ลุกวอตยูเมดมีดู" ออกจำหน่ายในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017 และขึ้นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ มิวสิกวิดีโอในยูทูบมีผู้ชมมากกว่า 43.2 ล้านครั้งในวันแรก ทำลายสถิติมิวสิกวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง ในเดือนตุลาคม สวิฟต์ออกซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม "เรดีฟอร์อิต" เพลงขึ้นอันดับที่สามในออสเตรเลีย และอันดับที่สี่ในสหรัฐ อัลบั้มเรพิวเทชันซิงเกิลประชาสัมพันธ์สองซิงเกิลได้แก่ "กอร์เจิส" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" โดยเพลง "กอร์เจิส" เป็นซิงเกิลที่ห้าในเวลาต่อมา อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และขายได้ 1.216 ล้านหน่วยภายในสี่วันในสหรัฐ กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประเทศในปี ค.ศ. 2017 และขายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลกในสัปดาห์แรก อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย หลังจากนั้น สวิฟต์แสดงเพลง "เรดีฟอร์อิต" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" ในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ "เอนด์เกม" ร้องรับเชิญโดยเอ็ด ชีแรน และฟิวเชอร์ ตามมาเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นสูงสุดที่อันดับ 18 ในสหรัฐ ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้ม ได้แก่ "นิวเยียส์เดย์" และ "เดลิเคต" สวิฟต์จะทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ในปี ค.ศ. 2018 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มเรพิวเทชัน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 มีการยืนยันว่าสวิฟต์จะร้องรับเชิญในเพลง "เบบ" ของชูการ์แลนด์ จากอัลบั้ม บิกเกอร์ ที่กำลังจะมาถึงการเป็นศิลปินอิทธิพล การเป็นศิลปิน. อิทธิพล. หนึ่งในความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีของเธอคือขณะฟังยายของเธอ มาร์จอรี ฟินเลย์ ร้องเพลงที่โบสถ์ เมื่อตอนเป็นเด็ก สวิฟต์ชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ของดิสนีย์ "พ่อแม่ของฉันสังเกตว่า เมื่อใดที่ฉันหมดคำพูด ฉันจะคิดคำพูดของฉันขึ้นมา" สวิฟต์เคยกล่าวว่าแม่ของเธอทำให้เธอมีความมั่นใจ แม่ของเธอช่วยเธอเตรียมตัวในการนำเสนอหน้าชั้นเมื่อเธอเป็นเด็ก เธอยังกล่าวว่าแม่เธอทำให้เธอ "หลงใหลในการเขียนและเล่าเรื่อง" สวิฟต์ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับดนตรีคันทรี และได้รู้จักแนวเพลงนี้จาก "ศิลปินคันทรีหญิงยุค 90 หลายคน" เช่น ชะไนยา ทเวน เฟธ ฮิลล์ และดิกซีชิกส์ ทเวน เป็นทั้งนักแต่งเพลงและนักร้อง และเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุดของสวิฟต์ ฮิลล์เป็นบุคคลตัวอย่างของสวิฟต์ในวัยเด็ก "ทุกอย่างที่เธอพูด ทำ ชุดที่เธอใส่ ฉันพยายามเลียนแบบทั้งหมด" เธอชื่นชมดิกซีชิกส์ในเรื่องทัศนคติที่ชอบท้าทาย และการเล่นดนตรีของวง เพลง "คาวบอยเทกมีอะเวย์" เป็นเพลงแรกที่สวิฟต์ใช้หัดเล่นกีตาร์ สวิฟต์ยังตามฟังเพลงของนักร้องคันทรีเก่า ๆ เช่น แพตซี ไคลน์ ลอเร็ตตา ลินน์ ดอลลี พาร์ตัน และแทมมี ไวเน็ตต์ เธอเชื่อว่าพาร์ตันเป็น "ตัวอย่างที่น่าเหลือเชื่อให้แก่นักแต่งเพลงหญิงทุกคน" เธอยกย่องศิลปินออลเทอร์นาทิฟคันทรีหลายคน เช่น ไรอัน แอดัมส์ แพตตี กริฟฟิน และลอรี แม็กเคนนา สวิฟต์จัดให้พอล แม็กคาร์ตนีย์ เดอะโรลลิงสโตน บรูซ สปริงส์ทีน เอมมีลู แฮร์ริส คริส คริสตอฟเฟอร์สัน และคาร์ลี ไซมอน เป็นบุคคลตัวอย่างในอาชีพของเธอ "พวกเขาได้ลองเสี่ยงหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นศิลปินคนเดิมตลอดอาชีพของเขา" แม็กคาร์ตนีย์ ทั้งในนามเดอะบีเทิลส์และศิลปินเดี่ยว ทำให้สวิฟต์รู้สึก "ราวกับว่าฉันได้เข้าไปอยู่ในหัวใจและจิตใจของเขา" "นักดนตรีคนอื่นทำได้แค่ฝันถึงสิ่งสืบทอดเหล่านั้น" เธอชื่นชมสปริงสทีนเพราะเขา "ยังคงเข้ากับดนตรีของเขาได้หลังผ่านมานาน" เธอต้องการเป็นอย่างแฮร์ริสเมื่อเธอแก่ตัวลง "ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียงของเธอ แต่มันเกี่ยวกับดนตรี" สวิฟต์กล่าวว่า "[คริสตอฟเฟอร์สัน]โดดเด่นในเรื่องการแต่งเพลง เขาเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่คุณบอกได้ว่ามันไม่ได้ทำลายเขาเลย" เธอชื่นชม "การแต่งเพลงและความซื่อสัตย์" ของไซมอน "เธอเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนที่มีอารมณ์แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งด้วย" สวิฟต์ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินแนวอื่น ๆ อีกมากมาย ช่วงก่อนวัยรุ่น เธอฟังศิลปินแนวบับเบิลกัมป็อป เช่น แฮนสัน และบริตนีย์ สเปียส์ สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอได้ "อุทิศตนอย่างแนวแน่" ให้สเปียส์ ในช่วงไฮสกูล สวิฟต์ฟังวงดนตรีอีโมหลายวง เช่น แดชบอร์ดคอนเฟชชันเนิล ฟอลเอาต์บอย และจิมมีอีตเวิลด์ เธอยังแสดงความชื่นชมนักร้องและนักแต่งเพลงร่วมสมัยหลายคน เช่น มิเชลล์ แบรนช์ อลานิส มอริสเซตต์ แอชลี ซิมป์สัน เฟเฟ ดอบสัน และจัสติน ทิมเบอร์เลก สวิฟต์กล่าวว่าเธอ "หลงใหล" ศิลปินยุค 1960 เช่น เดอะชิเรลส์ ดอริส ทรอย และเดอะบีชบอยส์ด้วย อัลบั้มที่ห้าของสวิฟต์ 1989 ซึ่งเป็นแนวป็อป ได้รับอิทธิพลจากศิลปินเพลงป็อปยุค 1980 หลายคน เช่น แอนนี เลนนิกซ์ ฟิล คอลลินส์ และ "มาดอนน่า ยุคที่มีเพลงไลก์อะเพรเยอร์"แนวดนตรี แนวดนตรี. แนวเพลงของสวิฟต์เป็นแนวป็อป ป็อปร็อก และคันทรี เธอระบุตัวเองเป็นศิลปินคันทรีจนกระทั่งออกอัลบั้ม 1989 ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเธอบรรยายว่าเป็น "อัลบั้มที่มีเพลงป็อปอยู่ติดกัน" นิตยสารโรลลิงสโตนประเมินว่า "เพลงของ [สวิฟต์] อาจได้เปิดเพลงในสถานีวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นร็อกสตาร์หนึ่งในไม่กี่คนที่เรามีในทุกวันนี้" เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่า "ในเพลงของสวิฟต์ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความคันทรีมากนัก มีเพียงเสียงแบนโจ ใส่รองเท้าบูทคาวบอยคู่หนึ่งบนเวที และกีตาร์ที่ทำให้ตาลายตัวหนึ่ง แต่มีบางอย่างในการสื่ออารมณ์ที่มีเสน่ห์และบอบบางในตัวสวิฟต์ที่เป็นเอกลักษณ์กับแนชวิลล์" เดอะการ์เดียนเคยกล่าวว่า สวิฟต์ "เหวี่ยงเมโลดีด้วยประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเพลงป็อปสแกนดิเนเวียนโดยไร้ความสงสาร" เสียงร้องของสวิฟต์นั้น โซฟี ชิลลาชี จากเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ บรรยายว่า "หวาน แต่นุ่มนวล" ในระหว่างการอัดเสียงในสตูดิโอ หนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทมส์นิยามเสียงร้องของสวิฟต์ว่า "เส้นร้องที่ไหลลงเหมือนกับเสียงถอนหายใจขณะพอใจ หรือไหลขึ้นเหมือนกับเลิกคิ้ว ทำให้วัยสาวที่น่ารักของเธอชวนให้คุ้นเคยได้ง่าย" ในบทวิจารณ์อัลบั้มสปีกนาว นิตยสารโรลลิงสโตนกล่าวว่า "เสียงของสวิฟต์ไม่กระทบอะไรมากพอถึงระดับที่จะปิดบังความมืออาชีพที่เธอเป็นในฐานะนักร้อง เธอลดเสียงลงขณะร้องเพลงในแบบคลาสสิกที่เด็กสาวขี้อายคนหนึ่งพยายามจะพูดให้กลัว" ในบทวิจารณ์อัลบั้มสปีกนาวอีกบท หนังสือพิมพ์เดอะวิลเลจวอยซ์กล่าวว่าก่อนหน้านี้ การใช้ถ้อยคำของเธอ "จืดและดูสับสน แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว เธอยังฟังดูตึงและบาง และเสียงมักจะหลงไปอยู่ระดับเสียงที่ทำให้คนบางคนเป็นบ้าได้ แต่เธอเรียนรู้แล้วว่าจะทำให้สื่อสารความหมายของคำแต่ละคำได้อย่างไร" เสียงร้องสดของเธอเคยถูกลดระดับลงเป็น "พอใช้ได้" แต่ไม่เคยเท่าเพื่อน ๆ ของเธอ ในปี ค.ศ. 2009 ยังมีเสียง "ราบเรียบ บาง และบางครั้งไม่มั่นคงพอ ๆ กับคนไม่มีประสบการณ์" แต่อย่างไรก็ตาม สวิฟต์ได้รับคำชมที่เธอไม่ได้ใช้ออโตทูนปรับระดับเสียงของตน ในบทสัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กเกอร์ สวิฟต์กำหนดลักษณะองตนเองในฐานะนักแต่งเพลงว่า "ฉันแต่งเพลง และเสียงของฉันเป็นแค่ทางเชื่อมเนื้อเพลงเหล่านั้น" นักเขียนคนหนึ่งจากเดอะเทนเนสเซียนยอมรับในปี ค.ศ. 2010 ว่าสวิฟต์ "ไม่ใช่นักร้องทางเทคนิคที่ดีที่สุด" แต่พูดถึงเธอว่าเป็น "นักสื่อสารที่ดีที่สุดที่เรามี" เสียงร้องของสวิฟต์เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเธอ และเธอได้ "พยายามอย่างหนัก" เพื่อปรับปรุงมัน มีรายงานในปี ค.ศ. 2010 ว่าเธอจะเข้าเรียนร้องเพลงต่อไปอีก เธอเคยกล่าวว่าเธอจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแสดง "ก็ต่อเมื่อฉันไม่มั่นใจสิ่งที่ผู้ฟังคิดเกี่ยวกับฉันเหมือนตอนงานประกาศรางวัล"การแต่งเพลง การแต่งเพลง. สวิฟต์ใช้ประสบการณ์ตรงเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ในเพลงของเธอ สวิฟต์มักพูดถึง "คนนิรนามที่เธอแอบชอบในช่วงเรียนไฮสกูล" และคนดัง สวิฟต์พูดถึงคนรักเก่าของเธอในเพลงในเชิงเย้ยหยัน ซึ่งเป็นมุมมองการแต่งเพลงที่เดอะวิลเลจวอยซ์สบประมาทไว้ "การได้ฟังว่าสิ่งที่เพลงสื่อนั้นเหมือนกับมีศาสตราจารย์ที่วางมาด และมันเป็นภัยต่อการประเมินค่าพรสวรรค์ของสวิฟต์ ซึ่งดูไม่เป็นมืออาชีพ แต่ดูเหมือนละคร" แต่นิตยสารนิวยอร์กเชื่อว่า การพินิจพิเคราะห์ของสื่อถึงการตัดสินใจของเธอที่จะ "ขุดชีวิตส่วนตัวใส่ในเพลงนั้น [...] เป็นการแบ่งแยกเพศ เนื่องจาก ไม่ได้มีการถามเพื่อนผู้ชายเลย" ตัวสวิฟต์เองเคยกล่าวว่า ไม่ใช่ทุกเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง และบางครั้งมาจากการสังเกตการณ์ นอกจากคำบอกใบ้ของเธอในเพลง สวิฟต์พยายามไม่พูดถึงประเด็นของเพลง "เพราะคนเหล่านี้คือคนจริง ๆ คุณพยายามหยั่งรู้ถึงพื้นเพที่คุณมาเป็นนักแต่งเพลง โดยไม่ต้องเสียเพื่อนด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว" หนังสือพิมพิมพ์เดอะการ์เดียนยกย่องสวิฟต์เรื่องการเขียนเกี่ยวกับ "การระลึกความหลังโทนซีเปียด้วยความโหยหา" ของวัยรุ่น ตลอดสองอัลบั้มแรกของเธอ นิตยสารนิวยอร์กกล่าวว่านักร้องนักแต่งเพลงมากมายได้ทำเพลงขณะเป็นวัยรุ่น แต่ "ไม่มีใครทำเพลงเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นได้ชัดเจน" นิตยสารเปรียบเธอกับไบรอัน วิลสัน สำหรับภาพนิยายปรัมปราบนปกอัลบั้มเฟียร์เลส เธอได้ศึกษาความไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง "นิทานปรัมปราและความเป็นจริงของความรัก" อัลบั้มถัดจากนั้นพูดถึงความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น นอกจากความโรแมนติกและความรักแล้ว เพลงหลายเพลงของสวิฟต์ยังพูดถึงความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก มิตรภาพ ความห่างเหิน ชื่อเสียง และความทะเยอทะยานในการทำงาน สวิฟต์มักใส่ "วลีที่คิดขึ้นฉับพลันเพื่อแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และจริงจังที่อาจไม่เข้ากับเพลง สิ่งที่เพิ่มหรือล้มล้างเรื่องเล่าในเพลง" โรลลิงสโตนบรรยายเธอว่าเป็น "นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดในการแต่งเพลงตามโครงสร้าง เวิร์ส-คอรัส-บริดจ์" จากข้อมูลของเดอะวิลเลจวอยซ์ สวิฟต์ใช้แต่งให้เนื้อเพลงพลิกแพลงในท่อนเวิร์สที่สามอยู่บ่อย ๆ ในเรื่องของกระบวนการจินตภาพ สิ่งที่เห็นได้ชัดในการแต่งเพลงของสวิฟต์คือการกล่าวซ้ำ ในคำกล่าวของเดอะการ์เดียน กล่าวว่า "เธอใช้เวลาจูบกันท่ามกลางสายฝนมากจนดูเหมือนปาฏิหาริย์ที่เธอไม่เคยเป็นเท้าเปื่อยเลย" นิตยสารสแลนต์แม็กกาซีนเสริมว่า "สวิฟต์ศึกษาแนวเรื่องใหม่ตลอดการทำอัลบั้ม [ที่สี่ของเธอ]" ขณะที่บทวิจารณ์งานเพลงของสวิฟต์เป็น "ด้านบวกเกือบเป็นเอกฉันท์" เดอะนิวยอร์กเกอร์กล่าวว่าเธอเล่าเรื่อง "ในฐานะนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญได้มากกว่าในฐานะนักคิดแบบดีแลน"ภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ ภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ. ชีวิตส่วนตัวของสวิฟต์เป็นประเด็นที่สื่อให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 2013 แอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ทำการตลาดโดยใช้คำโปรยเสื้อยืดโดยมีคำว่า "โสเภณีน่าอาย" (slut-shaming) ตั้งใจสื่อถึงเธอโดยตรง เดอะนิวยอร์กไทมส์ยืนยันว่า "ประวัติการคบผู้ชายเริ่มทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนจุดเริ่มต้นของการตอกกลับ" และตั้งคำถามว่าสวิฟต์กำลังอยู่ในใจกลางของ "วิกฤตในชีวิตช่วง 25 ปีแรกของเธอหรือไม่" สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอไม่อยากเล่าถึงชีวิตส่วนตัวให้สื่อสาธารณะ เนื่องจากเธอเชื่อว่า การพูดถึงมันอาจเป็น "จุดอ่อนในการทำงาน" ได้ ในปี ค.ศ. 2009 โรลลิงสโตนกล่าวถึงมารยาทที่เหมาะสมของสวิฟต์ว่า "ถ้านี่เป็นการเล่นหน้าเล่นตาของสวิฟต์ มันจะต้องเป็นดั่งรอยสัก เพราะมันจะไม่หลุดออก" นิตยสารดังกล่าวยังสนใจ "การต้อนรับอย่างอบอุ่น" ของสวิฟต์ด้วย นิตยสารเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ให้เธอเป็น "บุคคลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่บิล คลินตัน" ในขณะมอบรางวัลให้สวิฟต์เนื่องจากงานการกุศลในปี ค.ศ. 2012 มิเชล โอบามา กล่าวยกย่องเธอว่าเป็นคนที่ "ทะยานขึ้นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรีแต่เท้ายังติดดิน คนที่ทำลายมาตรฐานที่คาดไว้ของสิ่งที่คนอายุ 22 ปีจะทำสำเร็จได้" สวิฟต์ยกให้โอบามาเป็นบุคคลตัวอย่างคนหนึ่ง สวิฟต์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในสื่อสังคม และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์เป็นมิตรกับแฟนเพลง เธอเคยส่งของขวัญวันหยุดให้แฟนเพลงผ่านทางจดหมาย และส่งให้ด้วยตนเอง เรียกของชิ้นนั้นว่า "สวิฟต์มาส" (Swiftmas) เธอมองว่าเป็น "ความรับผิดชอบ" ที่เธอตระหนักว่าเธอมีอิทธิพลต่อแฟนเพลงหนุ่มสาว และเคยกล่าวว่าแฟนเพลงของเธอเป็น "ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและดีที่สุดที่เธอเคยมี" สื่อมักเรียกสวิฟต์บ่อย ๆ ว่า "หวานใจของอเมริกา" (America's Sweetheart) แต่สวิฟต์ยืนยันว่า "ฉันไม่ได้อยู่กับกฎแปลก ๆ แข็งกระด้างที่ทำให้ฉันถูกล้อมกรอบ ฉันแค่ชอบแบบที่ฉันรู้สึกและทำให้ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เธอปฏิเสธที่จะถ่ายแบบยั่วยวนทางเพศ" แต่บลูมเบิร์ก แอล.พี. มองสวิฟต์เป็นสัญลักษณ์ทางเพศคนหนึ่ง เธอได้ชื่อว่าสัญรูปแห่งวิถีชีวิตอเมริกัน (Icon of American Style) แต่งตั้งโดยนิตยสารโว้กในปี ค.ศ. 2011 ในปี ค.ศ. 2014 เธออยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อผู้แต่งตัวดูดีที่สุดประจำปีโดยนิตยสารพีเพิล ในปี ค.ศ. 2015 ที่งานแอลสไตล์อะวอดส์ เธอได้ชื่อว่า ผู้หญิงแห่งปี (Woman of the Year) และอยู่ในรายชื่อคนฮอต 100 คนของนิตยสารแม็กซิม สวิฟต์ยังปรากฏในรายชื่ออีกหลายรายชื่อ เธอเป็นหนึ่งใน 100 ผู้มีอิทธิพลที่สุดประจำปี ในปี ค.ศ. 2010 และ 2015 จัดโดยนิตยสารไทม์ด้วย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2015 เธอเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของผู้หญิงที่มีรายได้สูงสุดในวงการดนตรีจัดโดยนิตยสารฟอบส์ โดยเธอมีรายได้ 45 ล้าน, 57 ล้าน, 55 ล้าน, 64 ล้าน และ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ ในปี ค.ศ. 2015 เธอกลายเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่อยู่ในรายชื่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดของฟอบส์ 100 คน อยู่ในอันดับที่ 64 ในปี ค.ศ. 2016 สวิฟต์เป็นคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุด 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เธอยังอยู่ในสิบอันดับแรกในปี ค.ศ. 2011, 2013 และ 2015 เธอเป็นหนึ่งในรายชื่อบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ปี ค.ศ. 2014 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 รายได้สุทธิของสวิฟต์ประมาณอยู่ที่ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐกิจกรรมอื่น ๆการกุศล กิจกรรมอื่น ๆ. การกุศล. ความใจบุญของสวิฟต์เป็นที่จดจำจากรางวัลดูซัมทิงอะวอดส์ และบริการสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติที่เทนเนสซีเธอยังได้รับรางวัลเดอะบิกเฮลป์อะวอร์ด จากที่เธอ "อุทิศตนที่จะช่วยเหลือคนอื่น ๆ " และ "บันดาลใจให้คนอื่นลงมือทำ" และรางวัลริปเพิลออฟโฮป เนื่องจากเธอ "อุทิศตนให้แก่การแก้ต่างให้แก่คนอายุน้อย เทย์เลอร์เป็นผู้หญิงประเภทที่เราอยากให้ลูกสาวของเราเป็น" สวิฟต์บริจาคเงินช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดอาชีพของเธอ ในปี ค.ศ. 2008 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่หน่วยงานกาชาดเพื่อช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบอุทกภัยในรัฐไอโอวา ค.ศ. 2008 สวิฟต์แสดงในคอนเสิร์ตการกุศล เช่น ซาวด์รีลีฟที่ซิดนีย์ เธอยังอัดเพลงให้แก่อัลบั้มโฮปฟอร์เฮตินาวด้วย จากเหตอุทกภัยในรัฐเทนเนสซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์บริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์ระหว่างเทเลธอนจัดโดย WSMV ในปี ค.ศ. 2011 สวิฟต์ซ้อมคอนเสิร์ตสปีกนาวทัวร์รอบสุดท้ายในอเมริกาเหนือเพื่อหารายได้ให้เหยื่อทอร์นาโดครั้งล่าสุดในสหรัฐ หารายได้ได้มากกว่า 750,000 ดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ส่งเสริมเทเลธอนชื่อรีสโตร์เดอะชอร์ขององค์กรอาร์คิเท็กเชอร์ฟอร์ฮิวแมนิตี หลังเกิดพายุหมุนเขตร้อนแซนดี ในปี ค.ศ. 2016 เธอบริจาคเงินให้โครงการบรรเทาทุกข์อุทกภัยที่ลุยส์เซียนา และกองทุนอัคคีภัยดอลลี พาร์ตัน สวิฟต์เป็นผู้สนับสนุนศิลปิะและได้บริจาคเงิน 75,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนแนชวิลส์เฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล เพื่อช่วยปรับปรุงระบบแสงและเสียงในหอประชุมของโรงเรียน ในปี ค.ศ. 2012 เธอมอบเงิน 4 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างศูนย์การเรียนแห่งใหม่ที่หอเกียรติยศและพิพิธภัณฑ์ดนตรีคันทรีที่แนชวิลล์ ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทเช่าตำราเรียนชื่อ เชกก์ บริจาคเงิน 60,000 ดอลลาร์ให้แก่สาขาวิชาดนตรีในวิทยาลัยหกแห่ง สวิฟต์ส่งเสริมการรู้หนังสือของเด็ก ๆ ด้วย ในปี ค.ศ. 2009 เธอบริจาคเงิน 250,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ ความพยายามในการส่งเสริมการรู้หนังสืออย่างอื่น ได้แก่ ห้องสมุดสาธารณะเรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย 6,000 เล่ม ห้องสมุดสาธารณะแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี 14,000 เล่ม หนังสือเรียน 2,000 เล่มมอบให้ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลเรดิง และโรงเรียนหลายแห่งในนครนิวยอร์ก 25,000 เล่มเมื่อปี ค.ศ. 2015 ในปี ค.ศ. 2007 เธอออกโครงการรณรงค์ปกป้องเด็กจากผู้ร้ายออนไลน์ หุ้นส่วนกับสมาคมอธิบดีกรมตำรวจเทนเนสซี เธอเคยบริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลมากมาย ได้แก่ มูลนิธิโรคเอดส์เอลตันจอห์น ยูนิเซฟแทปโปรเจกต์ มิวสิแคส์ และฟีดิงอเมริกา ในปี ค.ศ. 2011 ในฐานะเอนเตอร์เทนเนอร์แห่งปีของโรงเรียนดนตรีคันทรี สวิฟต์บริจาคเงิน 25,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงพยาบาลวิจัยเด็กเซนต์จูด รัฐเทนเนสซี ในปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์ร่วมในเทเลธอนสแตนด์อัปทูแคนเซอร์ ร้องเพลง "โรแนน" ซึ่งเธอแต่งให้แก่เด็กชายอายุสี่ขวบคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากนิวโรบลาสโตมา เพลงมีให้ดาวน์โหลด รายได้จากการดาวน์โหลดบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ในปี ค.ศ. 2014 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิ V เพื่อศูนย์วิจัยมะเร็ง และ 50,000 ดอลลาร์ให้โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย สวิฟต์เคยแวะเยี่ยมผู้ป่วยและคอยช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นการส่วนตัวด้วย สวิฟต์กระตุ้นให้คนวัยหนุ่มสาวอาสาในชุมชนท้องถิ่นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวันบริการเยาวชนโลกการเมือง การเมือง. ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 สวิฟต์สนับสนุนโครงการรณรงค์เอเวอรีวูแมนเคานส์ มีเป้าหมายให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเมือง และเป็นหนึ่งในศิลปินคันทรีหลายคนที่บันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้โครงการรณรงค์โหวต (ฟอร์ยัวร์) คันทรี เธอกล่าวว่า "ฉันคิดว่าการพยายามและโน้มน้าวผู้คนว่าให้โหวตใครนั้นไม่ได้เป็นหน้าที่ของฉัน" หลังประธานาธิบดีโอบามากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เธอกล่าวกับโรลลิงสโตนว่าเธอสนับสนุนเขา "ฉันยังไม่เคยเห็นประเทศนี้มีความสุขกับการตัดสินใจทางการเมืองตั้งแต่ฉันมีชีวิตมา ฉันดีใจที่นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฉัน" ในบทสัมภาษณ์ปี ค.ศ. 2012 สวิฟต์กล่าวว่า แม้ว่าเธอจะยึดตัวเองเป็น "ผู้มีการศึกษาและมีความรู้มากเท่าที่จะเป็นไปได้" เธอไม่ขออภิปรายทางการเมือง โดยเกรงว่ามันอาจเป็นการโน้มน้าวคนอื่นได้ สวิฟต์เคยใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเคนเนดี และเคยกล่าวชื่นชมอีเทล เคนเนดี เธอเป็นนักสิทธิสตรีด้วย เธอเคยกล่าวต่อต้านการเหยียดกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หลังจากเหตุฆาตกรรมแลร์รี คิง ในปึ ค.ศ. 2008 เธอบันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้องค์กรเครือข่ายให้การศึกษาเกย์ เลสเบียน และรสนิยมต่างเพศ (GLSEN) เพื่อสู้กับอาชญากรรมความเกลียดชัง หลังครบรอบการเสียชีวิตของคิงหนึ่งปี สวิฟต์กล่าวกับเซเวนทีนว่า บิดามารดาของเธอ "ไม่เคยตัดสินคนอื่นโดยมองว่าเขารักใคร สีผิวอะไร หรือศาสนาอะไร" มิวสิกวิดีโอเพลง "มีน" ที่ค้านการกลั่นแกล้ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับรักร่วมเพศในไฮสกูล วิดีโอได้เข้าชิงรางวัลกิจกรรมทางสังคมของเอ็มทีวี ในปึ ค.ศ. 2011 ด้วย เดอะนิวยอร์กไทมส์เชื่อว่าเธอเป็นหนึ่งใน "คลื่นลูกใหม่ของผู้หญิง (รสนิยมต่างเพศ) วัยสาวที่ทำเพลงให้แก่แฟนคลับเกย์ที่ยอมรับตัวตนของตัวเองในเวลาที่มีประเด็นทางวัฒนธรรมที่ชวนสับสน"การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์. ขณะส่งเสริมอัลบั้มแรก สวิฟต์เป็นหน้าตาให้แก่โครงการโมบายล์มิวสิกของบริษัทเวริซันไวร์เลส ในยุคอัลบั้มเฟียร์เลส เธอออกสินค้าเสื้อผ้าซันเดรสให้บริษัทแอล.อี.ไอ. (l.e.i.) วางจำหน่ายที่วอลมาร์ต และออกแบบบัตรให้บริษัทอเมริกันกรีทิงส์ และตุ๊กตาแจ็กส์แปซิฟิก เธอเคยเป็นโฆษกให้ทีมแนชวิลล์พรีเดเตอร์ของเนชันแนลฮอกกีลีก (NHL) และกล้องดิจิทัล โซนี ไซเบอร์ช็อต ในยุคอัลบั้มสปีกนาว เธอออกอัลบั้มรูปแบบพิเศษจำหน่ายผ่านทาร์เกต สวิฟต์เคยเป็นโฆษกให้ยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ล ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดน สองรุ่น ได้แก่ วันเดอร์สตรัก และวันเดอร์สตรักเอ็นแชนเทด ขณะส่งเสริมอัลบั้มที่สี่ เรด สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มด้วยโปรโมชันเฉพาะผ่านทาร์เกต พาพาจอนส์พิซซ่า และวอลกรีนส์ เธอเคยเป็นโฆษกให้ไดเอตโค้ก และรองเท้ากีฬาเคดส์ ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดนรุ่นที่สามชื่อ เทย์เลอร์ บาย เทย์เลอร์ สวิฟต์ และเป็นหุ้นส่วนกับโซนีอิเล็กทรอนิกส์ และอเมริกันกรีทิงส์ สวิฟต์ยังเคยเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทแอร์เอเชีย และควอนตัส ในระหว่างทัวร์เรดทัวร์ด้วย นับว่าเป็นสายการบินทางการในช่วงทัวร์ทวีปออสเตรเลียและเอเชีย และไอศกรีมคอร์เนตโตเป็นผู้สนับสนุนทัวร์ในทวีปเอเชีย ในระหว่างส่งเสริมอัลบั้ม 1989 สวิฟต์โฆษณาให้ซับเวย์ เคดส์ ทาร์เกต และไดเอตโค้ก ในปี ค.ศ. 2014 สวิฟต์ออกน้ำหอมรุ่นที่สี่ชื่อ อินเครดิเบิลทิงส์รางวัลและความสำเร็จ รางวัลและความสำเร็จ. สวิฟต์ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย ได้แก่ รางวัลแกรมมี 10 รางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 19 รางวัล บิลบอร์ดมิวสิกอะวอร์ด 21 รางวัล รางวัลสมาคมดนตรีคันทรี 11 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 รางวัล บริตอะวอดส์ 1 รางวัล และเอ็มมีอะวอร์ด 1 รางวัล สวิฟต์ยังเป็นนักร้องที่ได้รับรางวัลทีนชอยส์อะวอร์ดมากเป็นอันดับที่สอง ด้วยจำนวน 25 รางวัล ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ และหอเกียรติยศนักแต่งเพลง ก่อนต้นปี ค.ศ. 2016 สวิฟต์ขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านชุด ขายซิงเกิลดาวน์โหลดได้ 130 ล้านหน่วย และเป็นหนึ่งในห้านักดนตรีที่มียอดขายดิจิทัลสูงที่สุดทั่วโลก สตูดิโออัลบั้มของสวิฟต์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เฟียร์เลส สปีกนาว เรด และ 1989 ขายได้อย่างน้อย 4 ล้านหน่วยในสหรัฐผลงานเพลงสตูดิโออัลบั้มผลงานเพลง. สตูดิโออัลบั้ม. - เทย์เลอร์ สวิฟต์ (2006) - เฟียร์เลส (2008) - สปีกนาว (2010) - เรด (2012) - 1989 (2014) - เรพิวเทชัน (2017)คอนเสิร์ตทัวร์คอนเสิร์ตทัวร์. - เฟียร์เลสทัวร์ (2009–2010) - สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ (2011–2012) - เดอะเรดทัวร์ (2013–2014) - เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ (2015) - เทย์เลอร์สวิฟต์เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ (2018)ผลงานการแสดง
|
อัลบั้มแรกของเทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องหญิงชาวอเมริกัน วางจำหน่ายในปีค.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"2006"
],
"answer_begin_position": [
627
],
"answer_end_position": [
631
]
}
|
2,218 | 95,790 |
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน แฮรี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน เป็นหนังสือเล่มที่สามในหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้รับการตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (1999) โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ฉบับภาษาไทยแปลโดย วลีพร หวังซื่อกุล จัดพิมพ์และจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ต่อมาในปีพ.ศ. 2547(2004)ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บราเธอร์สและออกฉายไปทั่วโลก หนังสือเล่มนี้ดำเนินเรื่องต่อจากภาคที่สองคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ โดยภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกี่ยวกับตัวของแฮรี่ รวมทั้งมีการแทรกเรื่องของความรักไว้เล็กน้อย และเจ.เค.โรว์ลิ่งยังได้นำตำนานความเชื่อของกรีกโบราณมาใช้ในการเขียนด้วยโครงเรื่องโดยรวม โครงเรื่องโดยรวม. เรื่องเริ่มต้นที่แฮร์รี่ซึ่งต้องใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนอยู่ที่บ้านเดอร์สลีย์เช่นเดียวกับปีที่ผ่านๆ มา ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับนักโทษแหกคุกคนหนึ่งชื่อ ซิเรียส แบล็ก เมื่อป้ามาร์จพี่สาวของลุงเวอร์นอนมาเยี่ยมครอบครัวเดอร์สลีย์ และพูดจาถากถางดูถูกแฮร์รี่และพ่อแม่ แฮร์รี่โกรธจัดจนทำให้ป้ามาร์จตัวพองขึ้นเรื่อยๆ และลอยหายไป ทำให้เขาต้องหนีออกจากบ้านเพราะรู้ว่าทำผิดกฎหมายในข้อหาใช้เวทมนตร์โดยอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ที่ถนนนอกบ้าน เขาเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่เฝ้ามองเขาอยู่ แต่ทันใดนั้นรถเมล์อัศวินราตรีก็ปรากฏขึ้นและพาเขาไปส่งที่ตรอกไดแอกอน ระหว่างการเดินทาง แฮร์รี่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวถึงแบล็กว่าฆ่าคนถึงสิบสามคนด้วยคำสาปเดียว และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนลอร์ดโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ได้พบกับคอร์นีเลียส ฟัดจ์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองคงต้องถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์แน่ๆ เพราะทำผิดกฎหมาย แต่การณ์กลับเป็นว่าไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นอีก ที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว แฮร์รี่ได้ยินนายและนางวีสลีย์เถียงกันว่าน่าจะต้องเตือนเขาเกี่ยวกับแบล็กหรือไม่ เมื่อแฮร์รี่เริ่มเรียนชั้นปีที่สาม ที่ฮอกวอตส์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งก็คือดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์มีวิชาเรียนทุกวิชา โดยบางวิชามีเวลาเรียนตรงกันด้วย นอกจากนี้ก็มีอาจารย์ใหม่มาสอนสองท่าน คือศาสตราจารย์รีมัส เจ.ลูปิน ซึ่งสอนวิชาป้องกันศาสตร์มืด และรูเบอัส แฮกริด สอนวิชาสัตว์วิเศษ การสอนของลูปินสนุกสนานมากในขณะที่ของแฮกริดออกจะน่าเบื่อ ในชั้นเรียนวันแรก เดรโก มัลฟอยเข้าไปแหย่ตัวฮิปโปกริฟ(สัตว์ครึ่งม้าครึ่งนก)ชื่อบัคบีกที่แฮกริดนำมาสอน จึงถูกบัคบีกทำร้าย ทำให้ลูเซียสพ่อของมัลฟอยผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในกระทรวงและคณะผู้ปกครองของฮอกวอตส์ยื่นคำร้องให้ประหารบัคบีก การที่แบล็กยังคงลอยนวลอยู่ ทำให้ทางกระทรวงส่งผู้คุมวิญญาณซึ่งเป็นผู้คุมนักโทษที่คุกอัซคาบัน มาคุ้มกันฮอกวอตส์ ผู้คุมวิญญาณทำให้ความสุขหมดสิ้นในทุกแห่งที่มันไปถึง ซึ่งส่งผลต่อแฮร์รี่เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่เห็นมันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเปิดเทอมระหว่างนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ และมันทำให้เขาถึงกับหมดสติไป ศาสตราจารย์ลูปินจึงสอนคาถาผู้พิทักษ์ซึ่งสามารถไล่ผู้คุมวิญญาณไปได้ให้แก่แฮร์รี่ ในการแข่งขันควิดดิช มีผู้คุมวิญญาณมากลุ้มรุมแฮร์รี่ ทำให้เขาหมดสติและหล่นจากไม้กวาด ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ช่วยเขาไว้ได้ แต่ไม้กวาดนิมบัส 2000 หลุดเข้าไปใกล้ต้นวิลโลว์จอมหวดและโดนหวดจนพังยับเยิน ในช่วงเดียวกันนี้ เฮอร์ไมโอนีกับรอนก็มีเรื่องขัดแย้งกัน เพราะครุกแชงส์ แมวของเฮอร์ไมโอนีชอบไล่จับสแคบเบอร์หนูของรอน ช่วงคริสต์มาสมีคนส่งของขวัญเป็นไม้กวาดไฟร์โบลต์มาให้แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนีคิดว่าแบล็กเป็นคนส่งมาและอาจเป็นอันตราย จึงไปบอกศาสตราจารย์มักกอนนากัล ซึ่งยึดไม้กวาดไปตรวจสอบและส่งคืนให้แฮร์รี่ทันการแข่งขังควิดดิชครั้งต่อไปกับทีมเรเวนคลอ ซึ่งแฮรี่ได้ขอให้ ลูปินสอนคาถาผู้พิทักษ์ก่อนเกมการแข่ง แฮร์รี่กับรอนโกรธเฮอร์ไมโอนีมาก แต่เมื่อได้ไม้กวาดคืนก็พยายามขอคืนดี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายเมื่อรอนพบว่าสแคบเบอร์หายไป และมีเลือดกับขนแมวเปื้อนผ้าปูที่นอน แล้วเฮอร์ไมโอนีไม่เชื่อว่าแมวของเธอเป็นต้นเหตุ ก่อนคริสต์มาสเล็กน้อย ฮอกส์วอตส์มีการพานักเรียนไปเที่ยวฮอกส์มี้ดแต่ต้องได้รับคำอณุญาติจากพ่อแม่แฮรี่เลยไม่ได้ไป ฝาแฝดวีสลีย์จึงมอบแผนที่ตัวกวนให้แฮร์รี่ มันเป็นแผนที่ของฮอกวอตส์ซึ่งแสดงชื่อของคนและสัตว์ทั้งหมดที่เคลื่อนที่อยู่ภายในฮอกวอตส์ แฮร์รี่ใช้แผนที่นี้หาทางไปฮอกส์มี้ด แฮร์รี่ได้ฟังการสนทนาเกี่ยวกับแบล็กที่รบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เพราะปรากฏว่าแบล็กเป็นเพื่อนรักของพ่อแม่ของเขาและเป็นพ่อทูนหัวของเขา แต่กลับบอกที่ซ่อนครอบครัวพอตเตอร์จนลอร์ดโวลเดอมอร์ตามมาพบและเป็นผู้ฆ่าปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์ เพื่อนอีกคนหนึ่ง รวมทั้งมักเกิ้ลที่เห็นเหตุการณ์อีกสิบสามคนด้วย ระหว่างที่แฮร์รี่คุยกับศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ เธอก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์และทำนายว่าผู้รับใช้จอมมารจะกลับมาหาเขาในคืนนั้น ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็พยายามช่วยแฮกริดเรื่องบัคบีก ซึ่งทำให้แฮร์รี่และรอนมาคืนดีด้วย การที่รอนเสนอตัวช่วยทำให้เธอดีใจจนเข้าไปกอดเขาและขอโทษเรื่องหนู เมื่อทั้งสามคนรู้ว่าบัคบีกต้องถูกสังหาร ก็พากันไปหาแฮกริดเพื่อปลอบใจ ระหว่างนั้นสแคบเบอร์โผล่ขึ้นมา และครุกแชงส์ไล่มันไปถึงต้นวิลโลว์จอมหวด ก็มีหมาใหญ่ก็กระโจนใส่รอนและลากเขากับสแคบเบอร์เข้าไปในโพรงแถวโคนต้นไม้ แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนีตามเข้าไปพบว่าเป็นอุโมงค์ไปโผล่ที่เพิงโหยหวน ที่นั่นเอง แฮร์รี่ได้เผชิญหน้ากับซิเรียส แบล็ก ซึ่งเป็นแอะนิเมจัส สามารถแปลงร่างเป็นสุนัขได้ ลูปินซึ่งเห็นชื่อของทุกคนในแผนที่ตัวกวนก็ตามมาและตรงเข้าสวมกอดแบล็กเพื่อนเก่า พร้อมทั้งยอมรับที่เฮอร์ไมโอนีบอกว่าเขาเป็นมนุษย์หมาป่า และเล่าว่าพวกเขาสี่คน ลูปิน แบล็ก เพ็ตติกรูว์ และเจมส์ พอตเตอร์เป็นผู้ทำแผนที่ตัวกวนขึ้นมาเอง สองคนหลังก็เป็นแอะนิเมจัสเช่นกัน โดยแปลงร่างเป็นหนูและกวางตามลำดับ ลูปินและแบล็กอธิบายว่าสแคบเบอร์จริงๆ แล้วก็คือปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์ ซึ่งรับใช้ลอร์ดโวลเดอมอร์และทรยศครอบครัวพอตเตอร์แล้วใส่ร้ายแบล็ก แฮร์รี่ยังสงสัยจนกระทั่งแบล็กและลูปินจัดการให้เพ็ตติกรูว์คืนร่างเป็นคนได้ แบล็กเล่าว่าเขาพบว่าเพ็ตติกรูว์ยังมีชีวิตอยู่จึงหนีออกจากคุกอัซคาบันเพื่อตามฆ่ามัน แบล็กและแฮร์รี่สนิทกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทุกคนมุ่งหน้ากลับปราสาท พระจันทร์เต็มดวงขึ้นมาพอดี ทำให้ลูปินต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า และแบล็กกลายร่างเป็นหมาใหญ่เพื่อช่วยยับยั้งไม่ให้ลูปินทำอันตรายคน เพ็ตติกรูว์ก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป ลูปินหนีไปได้ ส่วนแบล็กบาดเจ็บสาหัส และพวกผู้คุมวิญญาณก็จะเข้ามาจัดการ แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนีเห็นบุคคลลึกลับผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ เสกคาถาผู้พิทักษ์ออกมาเป็นกวาง ขับไล่พวกผู้คุมวิญญาณไปจนหมด แฮร์รี่เชื่อว่าคนคนนั้นต้องเป็นพ่อของเขาเพราะจำได้ว่าพ่อแปลงเป็นกวางได้ จากนั้นแบล็กก็ถูกจับกลับไปที่ปราสาทซึ่งพวกผู้คุมวิญญาณเตรียมจุมพิตดูดวิญญาณไว้รอเขาแล้ว(การจุ่มพิษของผู้คุมวิญญาณจะดูดวิญญานออกไปแต่ยังมีร่างอยู่ทำให้เหมือนตายทั้งเป็น) ดัมเบิลดอร์พูดเป็นปริศนาว่าสองชีวิตจะรอดในคืนนั้น และหมุนสามรอบน่าจะใช้ได้ เฮอร์ไมโอนีจึงเผยความลับกับแฮร์รี่ว่าเธอมีนาฬิกาย้อนเวลาซึ่งทำให้เข้าเรียนได้ทุกวิชา ทั้งสองพากันย้อนเวลากลับไปสามชั่วโมง เฝ้าดูพวกตัวเองจนถึงเวลาเหมาะจึงเข้าไปปล่อยบัคบีก และกลับไปที่วิลโลว์จอมหวด ขณะที่ผู้คุมวิญญาณกำลังจะจัดการแฮร์รี่และแบล็ก"อีกคู่หนึ่ง" แฮร์รี่ก็รอให้พ่อของเขาปรากฏตัว และแล้วเขาก็ตระหนักว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นคือตัวเขาเอง จึงเสกคาถาผู้พิทักษ์ออกมาขับไล่พวกผู้คุมวิญญาณไป จากนั้นทั้งคู่ก็ขโมยบัคบีคออกมาจากหน้ากระท่อมของแฮกริดทำให้บัคบีครอดตายและขี่บัคบีกกลับไปปราสาท และให้แบล็กขี่บัคบีกหนีไป แล้วสองคนก็กลับมาที่เดิมทันเวลาพอดี แฮร์รี่ผิดหวังมากที่ไม่สามารถไปอยู่กับพ่อทูนหัวได้ แต่ก็รู้สึกดีที่รู้ว่าแบล็กปลอดภัย แถมยังถือโอกาสขู่ลุงเวอร์นอนได้ด้วยว่า หากแฮร์รี่ฟ้องว่าลุงใจร้ายกับเขา พ่อทูนหัวซึ่งเป็นฆาตกรโหดย่อมไม่ลังเลที่จะลงมือจัดการลุงเวอร์นอนอย่างแน่นอน
|
แฮรี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน เป็นหนังสือเล่มที่เท่าใดในหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์
|
{
"answer": [
"สาม"
],
"answer_begin_position": [
202
],
"answer_end_position": [
205
]
}
|
2,219 | 78,353 |
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นนวนิยายเล่มแรกในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายประเดิมของเจ. เค. โรว์ลิง โครงเรื่องติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดหนุ่มผู้ค้นพบมรดกเวทมนตร์ของเขา พร้อมกับสร้างเพื่อนสนิทและศัตรูจำนวนหนึ่งในปีแรกที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ด้วยความช่วยเหลือของมิตร แฮร์รี่เผชิญกับความพยายามหวนคืนของพ่อมดมืด ลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งฆ่าบิดามารดาของแฮร์รี่ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาได้เมื่ออายุหนึ่งขวบ บลูมส์บิวรีในกรุงลอนดอนจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ในปี 2541 บริษัทสกอลาสติกจัดพิมพ์ฉบับสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อเรื่อง Harry Potter and the Sorcerer's Stone นวนิยายดังกล่าวชนะรางวัลหนังสืออังกฤษส่วนใหญ่ซึ่งตัดสินโดยเด็ก และรางวัลอื่นในสหรัฐอเมริกา หนังสือนี้แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีของนิวยอร์กไทมส์ ในเดือนสิงหาคม 2542 และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 มีการแปลเป็นภาษาอื่นอีกหลายภาษา และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน บทปริทัศน์ส่วนใหญ่ชื่นชอบมาก โดยออกความเห็นต่อจินตนาการ ความขบขัน ความเรียบง่าย ลีลาตรงไปตรงมาและการสร้างโครงเรื่องที่ฉลาดของโรว์ลิง แม้บ้างติว่า บทท้าย ๆ ดูรวบรัด มีการเปรียบเทียบงานนี้กับงานของเจน ออสเตน ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์คนโปรดคนหนึ่งของโรว์ลิง หรือโรอาลด์ ดาห์ล ซึ่งงานของเขาครอบงำเรื่องสำหรับเด็กก่อนมีแฮร์รี่ พอตเตอร์ และโฮเมอร์ นักเล่านิยายกรีกโบราณ แม้นักวิจารณ์บางส่วนคิดว่า หนังสือนี้ดูย้อนกลับไปเรื่องโรงเรียนกินนอนสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด แต่นักวิจารณ์อื่น ๆ คิดว่า หนังสือนี้วางประเภทอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างแนบแน่นโดยมีลักษณะประเด็นจริยธรรมและสังคมร่วมสมัย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ร่วมกับที่เหลือของชุดถูกกลุ่มศาสนาหลายกลุ่มโจมตีและห้ามในบางประเทศเพราะกล่าวหาว่านวนิยายนี้ส่งเสริมเวทมนตร์คาถา แต่นักวิจารณ์คริสตศาสนิกบางคนเขียนว่า หนังสือนี้ยกตัวอย่างมุมมองที่สำคัญของศาสนาคริสต์หลายอย่าง ซึ่งรวมอำนาจของการสละตนเองและวิธีซึ่งการตัดสินใจของบุคคลก่อเป็นบุคลิกภาพของเขา นักการศึกษาถือว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหนังสือตามมาเป็นตัวช่วยพัฒนาการรู้หนังสือที่สำคัญเพราะความนิยม นอกจากนี้ ยังใช้หนังสือชุดนี้เป็นแหล่งตัวอย่างในเทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์สังคมวิทยาและการตลาดเรื่องย่อโครงเรื่อง เรื่องย่อ. โครงเรื่อง. ก่อนนวนิยายเริ่ม ลอร์ดโวลเดอมอร์ซึ่งถือเป็นพ่อมดมืดที่ชั่วร้ายและทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ฆ่าคู่สามีภรรยา เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ แต่หายไปอย่างลึกลับหลังพยายามฆ่าแฮร์รี่ บุตรทารกของพวกเขา ขณะที่โลกพ่อมดเฉลิมฉลองการหมดอำนาจของโวลเดอมอร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล และรูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์ ส่งทารกวัยหนึ่งขวบไปอยู่ในการดูแลของป้าและลุงมักเกิ้ล (ผู้มิใช่พ่อมด) ซึ่งขี้หงุดหงิดและเย็นชาของเขา คือ เวอร์นอนและเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ กับดัดลีย์ บุตรที่ถูกตามใจและอันธพาลของพวกเขา สิบปีต่อมา ขณะอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต แฮร์รี่ถูกครอบครัวเดอร์สลีย์ทรมาน คือ ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทาสมากกว่าสมาชิกครอบครัว ไม่นานก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของเขา มีจดหมายจำนวนมากจ่าถึงแฮร์รี่มาแต่เวอร์นอนทำลายพวกมันก่อนแฮร์รี่จะได้อ่าน แต่นำให้จดหมายไหลบ่ามามากขึ้น เพื่อหนีการไล่ล่าของจดหมาย ทีแรกเวอร์นอนพาครอบครัวไปโรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อจดหมายยังมาถึงที่นั่น เขาขับรถพาทั้งหมดไปยังเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเที่ยงคืนของวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ แฮกริดพังประตูเข้ามาและมอบจดหมายให้แฮร์รี่และบอกสิ่งที่ครอบครัวเดอร์สลีย์ปิดบังไว้จากเขา คือ แฮร์รี่เป็นพ่อมดและฮอกวอตส์รับเขาเข้าเรียน แฮกริดพาแฮร์รี่ไปตรอกไดแอกอน บริเวณร้านค้าในกรุงลอนดอนที่ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ ที่ซึ่งแฮร์รี่งุนงงเมื่อพบว่าเขามีชื่อเสียงท่ามกลางพ่อมดแม่มดในฉายา "เด็กชายผู้รอดชีวิต" เขายังพบว่าเขาค่อนข้างรวย เพราะทรัพย์จากบิดามารดาเขายังฝากไว้ที่ธนาคารมดกริงกอตส์ แฮร์รี่ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้สำหรับปีแรกที่ฮอกวอตส์ สิ่งหนึ่งที่แฮร์รี่ต้องซื้อสำหรับปีที่จะถึงที่ฮอกวอตส์ คือ ไม้กายสิทธิ์ ที่ร้านไม้กายสิทธิ์ เขาพบว่าไม้กายสิทธิ์ที่เหมาะกับเขาที่สุดเป็นแฝดกับไม้กายสิทธิ์ของโวลเดอมอร์ คือ ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองมีขนนกจากฟีนิกซ์ตัวเดียวกัน แฮร์รี่ยังไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงใหม่ (และของขวัญวันเกิดจากแฮกริด) เป็นนกฮูกที่เขาตั้งชื่อว่า เฮ็ดวิก หนึ่งเดือนให้หลัง แฮร์รี่จากบ้านของครอบครัวเดอร์สลีย์เพื่อนั่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์จากสถานีรถไฟคิงส์ครอส ที่นั่นเขาพบครอบครัววีสลีย์ซึ่งแสดงวิธีผ่านกำแพงเวทมนตร์ไปชานชาลาที่ 9¾ แก่เขา อันเป็นที่ที่รถไฟซึ่งจะพาพวกเขาไปฮอกวอตส์กำลังรออยู่ ขณะอยู่บนรถไฟ แฮร์รี่ผูกมิตรกับรอน วีสลีย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีผู้พยายามปล้นห้องนิรภัยห้องหนึ่งที่กริงกอตส์ พวกเขาอภิปรายกันเรื่องปีการศึกษาที่จะถึงซึ่งแฮร์รี่ทั้งกังวลและตื่นเต้น ระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเขา แฮร์รี่ยังสร้างศัตรูบนเที่ยวนี้ด้วย เป็นปีหนึ่งเหมือนกับเขา คือ เดรโก มัลฟอย เดรโกกับเพื่อนเขลาของเขา วินเซนต์ แครบบ์และเกรกอรี กอยล์เสนอแนะนำแฮร์รี่ แต่แฮร์รี่ไม่ชอบเกรโกตรงความยโสและความเดียดฉันท์ของเขาและปฏิเสธข้อเสนอ "มิตรภาพ" ของเขา ก่อนอาหารเย็นมื้อแรกของภาคเรียนในห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน นักเรียนปีหนึ่งถูกหมวกคัดสรรคัดสรรไปบ้านต่าง ๆ ขณะที่แฮร์รี่กำลังถูกคัดสรร หมวกแนะให้เขาไปบ้านสลิธีรินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของพ่อมดแม่มดมืด แต่เมื่อแฮร์รี่ปฏิเสธ หมวกก็ส่งเขาไปบ้านกริฟฟินดอร์ซึ่งเป็นบ้านคู่แข่งของสลิธีริน รอนและเฮอร์ไมโอนี่ก็ถูกคัดสรรเข้าบ้านกริฟฟินดอร์เช่นกัน เกรโกถูกคัดสรรเข้าบ้านสลิธีรินซึ่งตามประเพณีครอบครัวของเขาถูกคัดสรรเข้าบ้านนั้นเป็นเวลาหลายสมัยแล้ว ระหว่างมื้อ แฮร์รี่จับตาศาสตราจารย์เซเวอร์รัส สเนปและรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นที่โวลเดอมอร์ทิ้งไว้บนหน้าผากเขา หลังชั้นเรียนปรุงยาคาบแรกกับสเนปอันเลวร้าย แฮร์รี่และรอนไปเยี่ยมแฮกริด (ผู้รักษาที่ดินฮอกวอตส์) ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมตรงชายป่าต้องห้าม จากนั้น พวกเขาทราบว่า ความพยายามปล้นที่กริงกอตส์เกิดขึ้นวันเดียวกับที่แฮร์รี่ถอนเงินจากห้องนิรภัยของเขา แฮร์รี่จำได้ว่าแฮกริดนำถุงเล็ก ๆ จากห้องนิรภัยซึ่งถูกบุก ระหว่างชั้นเรียนขี่ไม้กวาดครั้งแรกของปีหนึ่ง เพื่อนกริฟฟินดอร์ เนวิลล์ ลองบัตท่อมทำข้อมือหักและถูกอาจารย์พาไปห้องพยาบาล เดรโกฉวยโอกาสโยนลูกแก้วเตือนความจำของเนวิลล์ขี้ลืม ซึ่งเนวิลล์ทำตกไว้เพราะอุบัติเหตุ ขึ้นไปในอากาศ แฮร์รี่ไล่ตามบนไม้กวาด และจับลูกแก้วได้เหนือพื้นไม่กี่ฟุต แฮร์รี่ไม่ทราบว่าศาสตราจารย์มักกอนนากัล หัวหน้าบ้านกริฟฟินดอร์ สังเกตความสามารถบนไม้กวาดของเขา เธอเร่งรุดมาและแต่งตั้งเขาเป็นซีกเกอร์คนใหม่ของทีมควิดดิชกริฟฟินดอร์ เมื่อเดรโกลวงแฮร์รี่และรอน ร่วมกับเนวิลล์และเฮอร์ไมโอนี่ สู่การเดินทางยามเที่ยงคืน พวกเขาเข้าโถงต้องห้ามโดยอุบัติเหตุและพบหมาสามหัวตัวมหึมา ทั้งกลุ่มรีบถอย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าหมานั้นกำลังยืนเหนือประตูกล แฮร์รี่สรุปว่า สัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าหีบห่อที่แฮกริดนำมาจากกริงกอตส์ หลังรอนวิจารณ์ความสามารถเกินหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ในวิชาคาถา เธอก็ไปซ่อนอยู่ในห้องน้ำหญิงและร้องไห้ ที่งานเลี้ยงฮาโลวีน ศาสตราจารย์ควีเรลล์รายงานว่า โทรลล์ตัวหนึ่งเข้าคุกใต้ดิน ระหว่างที่ทุกคนกลับไปยังหอพักของพวกตน แฮร์รี่และรอนเร่งไปเตือนเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งไม่อยู่ที่งานเลี้ยงเพื่อฟังประกาศ โทรลล์ตนนั้นต้อนเฮอร์ไมโอนี่จนในห้องน้ำแต่แฮร์รี่และรอนช่วยเธอไว้ได้อย่างเงอะงะ จากนั้น เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับผิดแทนสำหรับการต่อสู้ และกลายเป็นมิตรเหนียวแน่นของสองเด็กชาย เย็นก่อนการแข่งขันควิดดิชครั้งแรกของแฮร์รี่ เขาเห็นสเนปรับการรักษาจากฟิลช์สำหรับรอยกัดที่เท้าเขาอันเกิดจากหมาสามหัว ระหว่างเกม ไม้กวาดของแฮร์รี่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ชีวิตเขาอยู่ในอันตราย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าสเปนจ้องแฮร์รี่และกำลังพึมพำ โดยสรุปว่าสเนปรับผิดชอบต่อไม้กวาดพยศของแฮร์รี่ เธอรีบไปยังอัฒจรรย์ของศาสตราจารย์ น็อกควีเรลล์ในระหว่างที่เร่งด่วน แล้วจุดไฟใส่เสื้อคลุมของสเนป แฮร์รี่กลับควบคุมไม้กวาดของเขาและจับลูกสนิชสีทอง และคว้าชัยชนะให้กริฟฟินดอร์ แฮกริดปฏิเสธจะเชื่อว่าสเนปเป็นตัวการทำให้แฮร์รี่ตกอยู่ในอันตราย แต่แย้มว่า เขาซื้อหมาสามหัว (ชื่อ ปุกปุย) และสัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าความลับอันเป็นของดัมเบิลดอร์และพ่อมดนาม นิโคลัส เฟลมเมล เมื่อปิดเทอมคริสต์มาส แฮร์รี่และครอบครัววีสลีย์อยู่ในฮอกวอตส์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลับบ้าน ของขวัญชิ้นหนึ่งที่แฮร์รี่ได้ คือ ผ้าคลุมล่องหนจากผู้ให้นิรนามซึ่งเป็นของบิดาเขา และขลุ่ยจากแฮกริด แฮร์รี่ใช้ผ้าคลุมค้นเขตหวงห้ามของห้องสมุดเพื่อหาสารสนเทศเกี่ยวกับเฟลมเมลผู้ลึกลับ และบังเอิญเจอห้องที่มีกระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งแสดงให้เห็นบิดามารดาและบรรพบุรุษของพวกเขาหลายคน แฮร์รี่กลายมาติดภาพของกระจก โดยเลือกใช้เวลากับ "ครอบครัว" เขา มากกว่าเพื่อนเขาที่ฮอกวอตส์ จนศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์มาช่วยเขา ผู้อธิบายว่ามันเพียงแสดงให้ผู้ชมเห็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด เมื่อนักเรียนที่เหลือกลับมาสำหรับเทอมหน้า เดรโกแกล้งเนวิลล์ และแฮร์รี่ปลอบเนวิลล์ด้วยขนมหวาน การ์ดสะสมที่ห่อด้วยขนมหวานนั้นระบุว่าเฟลมเมลเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่พบว่าเขาอายุ 665 ปี และครอบครองสิ่งที่เรียก ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งสามารถสกัดน้ำอมฤตได้ ไม่กี่วันให้หลัง แฮร์รี่สังเกตว่าสเนปย่องเข้าชายป่าต้องห้าม ที่นั่น เขาแอบได้ยินการสนทนาลับ ๆ ล่อ ๆ เกี่ยวกับศิลาอาถรรพ์ระหว่างสเนปกับควีเรลล์ แฮร์รี่สรุปว่าสเนปกำลังพยายามขโมยศิลาและควีเรลล์ช่วยเตรียมชุดการป้องกัน ซึ่งเป็นความผิดพลาดแทบร้ายแรง สามสหายพบว่าแฮกริดกำลังเลี้ยงมังกรทารกอันขัดต่อกฎหมายมด และจัดการลักลอบขนออกนอกประเทศราว ๆ เที่ยงคืน เดรโก ด้วยหวังก่อความเดือดร้อนแก่พวกเขา แจ้งต่อศาสตราจารย์มักกอนนากัล แม้มังกรถูกส่งไปอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาถูกจับได้นอกหอพัก แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ เดรโกและเนวิลล์ถูกทำโทษ และมอบหมายงานช่วยแฮกริด คือ ช่วยยูนิคอร์นที่บาดเจ็บหนักในป่าต้องห้าม พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มและออกเดินทางเข้าไปในป่า ซึ่งแฮร์รี่และเดรโกพบบุคคลใส่หมวกคลุมกำลังดื่มเลือดจากยูนิคอร์นที่บาดเจ็บ เมื่อทราบว่าพวกเขาอยู่ คน ๆ นั้นเข้าหาเด็กชายทั้งสองแต่เซนทอร์นาม ฟีเรนซี ช่วยแฮร์รี่ไว้ และเสนอให้เขาขี่กลับโรงเรียน ฟีเรนซีบอกแฮร์รี่ว่า การดื่มเลือดของยูนิคอร์นจะช่วยชีวิตของผู้ที่บาดเจ็บถึงตาย แต่ต้องแลกกับการมีชีวิตต้องสาปนับแต่ขณะนั้น ฟีเรนซีแนะว่า โวลเดอมอร์นั่นเองที่ดื่มเลือดยูนิคอร์นเพื่อให้มีกำลังเพียงพอทำน้ำอมฤต (จากศิลาอาถรรพ์) และได้สุขภาพบริบูรณ์จากการดื่มน้ำนั้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แฮร์รี่ทราบจากแฮกริดว่าเขาได้ไข่มังกรนั้นมาจากคนแปลกหน้าสวมชุดคลุมศีรษะ ผู้ถามวิธีผ่านปุกปุย ซึ่งแฮกริดยอมรับว่ามันง่าย คือ ดนตรีทำให้มันหลับ ด้วยตระหนักว่าการป้องกันศิลาอาถรรพ์อย่างหนึ่งไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แฮร์รี่จึงไปแจ้งดัมเบิลดอร์ แต่พบว่าอาจารย์ใหญ่เพิ่งออกเดินทางไปประชุมในกรุงลอนดอน แฮร์รี่สรุปว่าสเนปแปลงสารซึ่งเรียกดัมเบิลดอร์ไปและจะพยายามขโมยศิลาคืนนั้น แฮร์รี่ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องพิทักษ์ศิลาเองระหว่างที่ดัมเบิลดอร์ไม่อยู่ ทั้งสามคลุมผ้าคลุมล่องหน เข้าห้องของปุกปุย ซึ่งแฮร์รี่ทำให้สัตว์นั้นหลับโดยการเป่าขลุ่ยที่แฮกริดส่งให้แฮร์รี่เป็นของขวัญคริสต์มาส หลังยกประตูกล พวกเขาพบชุดอุปสรรค ซึ่งแต่ละด่านต้องอาศัยทักษะพิเศษซึ่งหนึ่งในสามมี และในอุปสรรคหนึ่ง รอนต้องเสียลละตัวเองในเกมหมากรุกพ่อมดขนาดเท่าจริง แม้ฝืนใจทิ้งรอนไว้เบื้องหลัง แต่แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่มาถึงห้องที่เต็มไปด้วยน้ำยาขนาดและสีต่าง ๆ หลังเฮอร์ไมโอนี่ไขคำทายที่กำหนดให้ เธอสั่งแฮร์รี่ให้ดื่มน้ำยาขวดใด แฮร์รี่กลืนยานั้น ทำให้เขาผ่านไฟเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยและเข้าห้องสุดท้าย ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ย้อนกลับไปช่วยรอนและแจ้งเหตุการณ์คืนนี้ให้ดัมเบิลดอร์ ในห้องสุดท้าย แฮร์รี่เพียงลำพัง พบควีเรลล์ซึ่งยอมรับว่าเขาพยายามฆ่าแฮร์รี่ในการแข่งขันควิดดิชนัดพบกับสลิธีริน เขายังยอมรับว่าเขาปล่อยโทรลล์เข้าฮอกวอตส์ ซึ่งหมายความว่า สเนปพยายามปกป้องแฮร์รี่มาตลอด และมิได้พยายามฆ่าเขา ควีเรลล์เป็นสาวกคนหนึ่งของโวลเดอมอร์ และหลังขโมยศิลาอาถรรพ์ล้มเหลวในคราวแรก เขาให้เจ้านายสิงสู่เขาเพื่อโวลเดอมอร์จะได้ศิลาเอง ทว่า งานนี้ดูเป็นงานยากเพราะวัตถุเดียวในห้อง คือ กระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งไม่เปิดเผยที่อยู่ของศิลาแก่ควีเรลล์ ควีเรลล์ให้แฮร์รี่ยืนประจัญกระจกตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ กระจกแสดงภาพแฮร์รี่พบศิลา ควีเรลล์ถอดผ้าโพกหัว เผยให้เห็นใบหน้าของโวลเดอมอร์หลังศีรษะเขา โวลเดอมอร์/ควีเรลล์พยายามฉวยศิลาจากแฮร์รี่ แต่ล้มเหลว หลังต่อสู้ยาวนาน แฮร์รี่หมดสติไป เขาตื่นขึ้นในห้องพยาบาล ซึ่งดัมเบิลดอร์อธิบายว่าเขารอดชีวิตเพราะมารดาเขาสละชีพเพื่อพิทักษ์เขา และทั้งโวลเดอมอร์และควีเรลล์ไม่สามารถเข้าใจอำนาจความรักได้ โวลเดอมอร์ทิ้งควีเรลล์ให้ตายและน่าจะหวนคืนด้วยวิธีอื่น ตอนนี้ศิลาถูกทำลายแล้ว ปีการศึกษาจบด้วยงานเลี้ยง ซึ่งกริฟฟินดอร์ชนะถ้วยประจำบ้าน แฮร์รี่กลับบ้านครอบครัวเดอร์สลีย์ในวันหยุดฤดูร้อน แต่ไม่บอกเขาว่าพ่อมดอายุต่ำกว่าเกณฑ์ถูกห้ามมิให้ใช้เวทมนตร์นอกฮอกวอตส์ตัวละครหลักตัวละครหลัก. - แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นเด็กกำพร้าซึ่งโรว์ลิงจินตนาการว่าเป็น "เด็กชายหุ้มกระดูก มีผมดำ สวมแว่นตาซึ่งไม่รู้ว่าตัวเป็นพ่อมด" เธอพัฒนาเรื่องและตัวละครของชุดเพื่ออธิบายว่าแฮร์รี่มาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไรและชีวิตของเขาคลี่ออกจากตรงนั้นอย่างไร นอกจากบทแรก เหตุการณ์ในหนังสือนี้เกิดขึ้นก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ไม่นานและในปีหลังจากนั้น การโจมตีของโวลเดอมอร์ทิ้งแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากของแฮร์รี่ ซึ่งให้ความเจ็บปวดทิ่มแทงเมื่อโวลเดอมอร์มีอารมณ์รุนแรงใด ๆ แฮร์รี่มีความสามารถธรรมชาติอย่างยิ่งสำหรับควิดดิชและความสามารถโน้มน้าวเพื่อนโดยสุนทรพจน์ลึกซึ้ง - รอน วีสลีย์มีอายุไล่เลี่ยกับแฮร์รี่ และโรว์ลิงอธิบายเขาเป็นเพื่อนสนิทสุดยอด "อยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อคุณต้องการเขา" เขาเป็นกระ มีผมแดงและค่อนข้างสูง" เขาเติบโตในครอบครัวเลือดบริสุทธิ์ค่อนข้างใหญ่ เป็นลูกคนที่หกจากเจ็ดคน แม้ครอบครัวเขาค่อนข้างยากจน แต่ยังอยู่กันสบายมากและมีความสุข ความภักดีและความกล้าของเขาเมื่อเผชิญกับเกมหมากรุกพ่อมดเป็นส่วนสำคัญในการพบศิลาอาถรรพ์ - เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ธิดาของครอบครัวมักเกิ้ลล้วน เป็นเด็กหญิงจอมบงการซึ่งดูเหมือนจะจำตำราส่วนใหญ่ได้ก่อนเปิดเทอม โรว์ลิงอธิบายเฮอร์ไมโอนี่ว่าเป็นตัวละครที่ "มีเหตุผล ซื่อตรงและดีมาก" โดยมี "การขาดความมั่นคงมากและกลัวความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงภายใต้การเป็นคนเรียนหนักของเธอ" แม้ความพยายามน่ารำคาญของเธอเพื่อกันแฮร์รี่และรอนจากปัญหา แต่เธอกลายเป็นเพื่อนสนิทของเด็กชายทั้งสองเมื่อพวกเขาช่วยเธอจากโทรล และทักษะเวทมนตร์และการวิเคราะห์ของเธอมีส่วนสำคัญในการค้นหาศิลาอาถรรพ์ เธอมีผมสีน้ำตาลดกและฟันหน้าค่อนข้างใหญ่ - เนวิลล์ ลองบัตท่อมเป็นเด็กท้วมขี้อาย ขี้ลืมเสียจนย่าของเขาให้ลูกแก้วเตือนความจำมา ความสามารถเวทมนตร์ของเนวิลล์อ่อนมากและดูมาทันเวลาช่วยชีวิตเขาเมื่อตอนแปดขวบพอดี แม้ความขลาดของเขา เนวิลล์จะสู้กับทุกคนหลังได้รับการสนับสนุนบ้างหรือหากเขาคิดว่าถูกต้องและสำคัญ - รูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์สูงเกือบ 12 ฟุต (3.7 เมตร) มีผมและเคราสีดำยุ่งเหยิง ถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์และไม้กายสิทธิ์ของเขา แต่ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ปล่อยให้เขาอยู่ในฐานะคนดูแลสัตว์ของโรงเรียน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำให้เขาขยายความรักและเรียกชื่อสัตว์แม้สิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อันตรายที่สุด แฮกริดภักดีต่อดัมเบิลดอร์อย่างดุดันและกลายเป็นเพื่อนใกล้ชิดของแฮร์รี่ รอน และต่อมา เฮอร์ไมโอนี่ แต่ความไม่ระวังของเขาทำให้เขาพึ่งพาไม่ได้ - ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ชายสูงผอมผู้สวมแว่นตารูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีผมสีเงินและเคราที่สอดเข้าเข็มขัด เป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ และคิดกันว่าเป็นพ่อมดคนเดียวที่โวลเดอมอร์กลัว ดัมเบิลดอร์ แม้ขึ้นชื่อสำหรับความสำเร็จทางเวทมนตร์ สามารถหักห้ามใจกินขนมหวานได้ยากและมีอารมณ์ขันระหลาด แม้เขาปัดคำชม แต่เขาทราบความปราดเปรื่องของเขาเอง โรว์ลิงอธิบายเขาว่าเป็น "ภาพย่อของความดี" - ศาสตราจารย์มักกอนนากัล เป็นหญิงร่างสูงดูเข้มงวด มีผมดำมัดเป็นมวยแน่น สอนวิชาแปล่งร่าง และสามารถแปลงร่างเป็นแมวได้ เธอเป็นอาจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ และตามผู้ประพันธ์ "ใต้ภายนอกหยาบ ภายในค่อนข้างเป็นคนชราอ่อนไหว" - เพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ พี่สาวของลิลี่ มารดาของแฮร์รี่ เป็นหญิงผอมคอยาวที่เธอใช้สอดแนมเพื่อนบ้าน เธอถือว่าน้องสาวมีเวทมนตร์ของเธอเป็นตัวประหลาดและพยายามแสร้างว่าเธอไม่เคยมีอยู่ เวอร์นอน สามีของเธอ เป็นชายอ้วนซึ่งการแผดเสียงฉุนเฉียวของเขาปกปิดจิตใจคับแคบและความกลัวสิ่งผิดปกติทุกอย่าง ดัดลีย์ บุตรของทั้งสอง เป็นอันธพาลถูกตามใจ มีน้ำหนักเกิน - เดรโก มัลฟอย เป็นเด็กชายผิวสีซีด รูปร่างเพรียว เขาทะนงเกี่ยวกับทักษะของเขาในควิดดิช และชังทุกคนที่มิได้เป็นพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ และพ่อมดผู้เห็นไม่ตรงกับเขา บิดามารดาเขาสนับสนุนโวลเดอมอร์ แต่แปรพักตร์หลังพ่อมดมืดนั้นหายตัวไป โดยอ้างว่าต้องมนต์ เดรโกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง และพยายามนำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาให้ประสบปัญหา - ศาสตราจารย์ควีเรลล์ อาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด พูดตะกุกตะกัก ลือกันว่าเขาเคยเป็นนักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง แต่เสียขวัญเมื่อเผชิญกับแวมไพร์ ควีเรลล์สวมผ้าโพกหัวเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า เขายอมถูกโวลเดอมอร์สิง ซึ่งใบหน้าปรากฏอยู่หลังศีรษะของควีเรลล์ - ศาสตราจารย์สเนป ผู้มีจมูกงุ้ม ผิวซีดและผมสีดำเป็นมัน อาจารย์สอนวิชาปรุงยา แต่ปรารถนาสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด สเนปยกย่องนักเรียนบ้านสลิธีริน บ้านของเขาเอง แต่ฉวยทุกโอกาสทำให้นักเรียนอื่นอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ หลายเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ความเจ็บปวดเฉียบพลันที่แผลเป็นของแฮร์รี่ระหว่างงานเลี้ยงเปิดเทอม นำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาคิดว่าสเนปเป็นสาวกของโวลเดอมอร์ - ฟิลช์ ภารโรงของโรงเรียน รู้จักทางลับในโรงเรียนดีกว่าใคร ๆ ซึ่งบางทีอาจยกเว้นฝาแฝดวีสลีย์ แมวของเขา คุณนายนอร์ริส ช่วยเขาล่านักเรียนทำผิดกฎอยู่สม่ำเสมอ สมาชิกบุคลากรคนอื่นมีศาสตราจารย์สเปราต์ อาจารย์สอนวิชาสมุนไพรศาสตร์และหัวหน้าบ้านฮัฟเฟิลพัฟร่างม่อต้อ ศาสตราจารย์ฟลิตวิก อาจารย์สอนวิชาคาถาและอาจารย์ประจำบ้านเรเวนคลอร่างจิ๋วและขี้ตื่น ศาสตราจารย์บินส์ อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์อันมีน้ำเสียงชวนง่วง เป็นผีที่ดูไม่สังเกตว่าตัวตายแล้ว และมาดามฮูช โค้ชควิดดิช ผู้เคร่งครัดแต่เป็นอาจารย์ที่เห็นใจผู้อื่นและมีแบบแผน พีฟส์ โพลเทอร์ไกสท์ที่ตระเวนไปรอบปราสาท คอยสร้างปัญหาทุกที่ที่ทำได้การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับการพัฒนา การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับ. การพัฒนา. หนังสือนี้ซึ่งเป็นนวนิยายประเดิมของโรว์ลิง เขียนระหว่างประมาณเดือนมิถุนายน 2533 ถึงประมาณปี 2538 ในปี 2533 โจ โรว์ลิง อันเป็นชื่อที่เธอชอบให้รู้จัก ต้องการย้ายกับแฟนหนุ่มไปแฟลตแห่งหนึ่งในแมนเชสเตอร์ และตามคำของเธอ "สุดสัปดาห์หนึ่งหลังการตระเวนหาแฟลต ฉันนั่งรถไฟกลับกรุงลอนดอนด้วยตัวเองแล้วความคิดแฮร์รี่ พอตเตอร์ตกมาในหัวของฉัน ... เด็กชายผอมหุ้มกระดูก ตัวเล็ก ผมสีดำ และสวมแว่นตากลายเป็นพ่อมดมากขึ้นทุกที ๆ สำหรับฉัน... ฉันเริ่มเขียนศิลาอาถรรพ์ เย็นนั้นเอง แม้ว่าหน้าแรก ๆ ดูไม่เหมือนผลงานสมบูรณ์เลย" แล้วมารดาของโรว์ลิงเสียชีวิต เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดของเธอ โรว์ลิงถ่ายโอนความระทมของเธอไปยังแฮร์รี่กำพร้า โรว์ลิงใช้เวลาหกปีเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหลังจากบลูมส์บิวรีตอบรับ เธอได้เงินอุดหนุน 8,000 ปอนด์จากสภาศิลปะสกอต ซึ่งทำให้เธอสามารถวางแผนภาคต่อ เธอส่งหนังสือให้ตัวแทนและสำนักพิมพ์ แล้วตัวแทนที่สองที่เธอเข้าหาใช้เวลาหนึ่งปีพยายามขายหนังสือให้สำนักพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่คิดว่ายาวเกินไป คือ ประมาณ 90,000 คำ แบร์รี คันนิงแฮม ซึ่งกำลังสร้างแฟ้มผลงานแฟนตาซีโดดเด่นโดยผู้ประพันธ์ใหม่สำหรับหนังสือเด็กบลูมส์บิวรี แนะนำให้รับหนังสือ และธิดาของประธานบริหารของบลูมส์บิวรีวัยแปดขวบกล่าวว่า มัน "ดีกว่าเล่มอื่นมาก"การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร. บลูมส์บิวรีตอบรับหนังสือ โดยจ่ายโรว์ลิงล่วงหน้า 2,500 ปอนด์ และคันนิงแฮมส่งสำเนาต้นฉบับถึงผู้ประพันธ์ นักวิจารณ์และผู้ขายหนังสือที่ได้รับเลือกอย่างระวังเพื่อเอาความเห็นที่จะสามารถยกมาเมื่อวางขายหนังสือ เขากังวลถึงความยาวหนังสือน้อยกว่าชื่อผู้ประพันธ์ เพราะชื่อเรื่องฟังคล้ายหนังสือเด็กชาย และเด็กชายนิยมหนังสือผู้ประพันธ์ชาย ฉะนั้น โรว์ลิงจึงใช้นามปากกา เจ.เค. โรว์ลิง ไม่นานก่อนพิมพ์ ในเดือนมิถุนายน 2540 บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์ศิลาอาถรรพ์ ทีแรกจำนวน 500 เล่มเป็นปกแข็ง ซึ่งสามร้อยเล่มถูกจำหน่ายไปห้องสมุดต่าง ๆ ชื่อเดิม "โจแอนน์ โรว์ลิง" ของเธอ พบเป็นตัวพิมพ์เล็ก ๆ ในหน้าลิขสิทธิ์ของฉบับพิมพ์ในอังกฤษครั้งแรกนี้ (ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ปี 2541 ตัดการพาดพิงถึง "โจแอนน์" อย่างสิ้นเชิง) การพิมพ์ครั้งแรกเป็นจำนวนน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับนวนิยายเล่มแรก และคันนิงแฮมหวังว่าผู้ขายหนังสือจะอ่านหนังสือ และแนะนำให้ลูกค้า ตัวอย่างจากการพิมพ์ครั้งแรกนี้ที่มีมูลค่าสูง คือ ในการประมูลเฮอริเทจปี 2550 ขายได้ราคาถึง 33,460 ดอลลาร์สหรัฐ ลินซีย์ เฟรเซอร์ (Lindsey Fraser) หนึ่งในผู้ให้ความเห็นในคำนิยม เขียนสิ่งที่คาดว่าเป็นบทปริทัศน์จัดพิมพ์ชิ้นแรก ในเดอะสกอตส์แมน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 เธออธิบายแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ว่า "เรื่องตื่นเต้นน่าบันเทิงมาก" และโรว์ลิงว่า "ผู้เขียนสำหรับเด็กชั้นหนึ่ง" บทปริทัศน์ช่วงแรก ๆ อีกบทหนึ่ง ในเดอะเฮรัลด์ ว่า "ฉันยังไม่เจอเด็กที่วางมันลงได้" หนังสือพิมพ์นอกสกอตแลนด์เริ่มสังเกตหนังสือ โดยมีบทปริทัศน์ยกย่องในเดอะการ์เดียน เดอะซันเดย์ไทมส์ และเดอะเมลออนซันเดย์ และในเดือนกันยายน 2540 บุ๊กส์ฟอร์คีพส์ นิตยสารซึ่งว่าด้วยหนังสือเด็กโดยเฉพาะ ให้นวนิยายนี้สี่ดาวเต็มห้า เดอะเมลออนซันเดย์ ประเมินว่า "การประเดิมอันเปี่ยมจินตนาการที่สุดนับแต่โรอาลด์ ดาห์ล" ซึ่งเป็นความเห็นที่ประสานกับเดอะซันเดย์ไทมส์ ("คราวนี้ การเปรียบกับดาห์ลชอบแล้ว") ขณะที่เดอะการ์เดียนเรียกว่า "นวนิยายเนื้อดีซึ่งอัจฉริยะสร้างสรรค์ปล่อยทะยาน" และเดอะสกอตส์แมน กล่าวว่า "มีคุณสมบัติของคลาสสิกทุกประการ" ฉบับสหราชอาณาจักรปี 2540 ได้รางวัลหนังสือแห่งชาติและเหรียญทองรางวัลหนังสือเนสเล่ สมาร์ตีส์หมวด 9 ถึง 11 ปี รางวัลสมาร์ตีส์ ซึ่งเด็กเป็นผู้ออกเสียง ทำให้หนังสือดังภายในหกเดือนของการพิมพ์ ขณะที่หนังสือเด็กส่วนใหญ่ต้องรอเป็นปี ๆ ปีต่อมา ศิลาอาถรรพ์กวาดรางวัลอังกฤษซึ่งเด็กเป็นผู้ตัดสินใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังอยู่ในรายการท้าชิงรางวัลหนังสือเด็กที่ผู้ใหญ่ตัดสิน แต่ไม่ชนะ ซานดรา เบ็กเคตต์ออกความเห็นว่า หนังสือซึ่งได้รับความนิยมกับเด็กถือว่าต้องใช้ความพยายามน้อย (undemanding) และไม่อยู่ในมาตรฐานวรรณกรรมสูงสุด ตัวอย่างเช่น สถาบันวรรณกรรมรังเกียจงานของโรอาลด์ ดาห์ล แต่เป็นที่นิยมท่วมท้นของเด็กก่อนหนังสือของโรว์ลิงปรากฏ ในปี 2546 นวนิยายนี้อยู่ในรายการที่อันดับ 22 ในการสำรวจเดอะบิ๊กรีดของบีบีซี แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้สองรางวัลอุตสาหกรรมจัดพิมพ์ซึ่งให้สำหรับการขายมากกว่าคุณค่าวรรณกรรม คือ หนังสือเด็กแห่งปีของรางวัลหนังสืออังกฤษ และผู้ประพันธ์แห่งปีของสมาคมผู้ขายหนังสือ / บุ๊กเซลเลอร์ เมื่อเดือนมีนาคม 2542 ฉบับสหราชอาณาจักรขายได้กว่า 300,000 เล่ม และเรื่องนี้ยังเป็นหนังสือขายดีที่สุดของสหราชอาณาจักรในเดือนธันวาคม 2544 ฉบับอักษรเบรลล์จัดพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2541 โดยสำนักพิมพ์เบรลล์สกอตแลนด์ ชานชาลาที่ 9¾ อันเป็นที่ซึ่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์ออกจากกรุงลอนดอน มีการอนุสรณ์ในสถานีรถไฟคิงส์ครอสในชีวิตจริงด้วยสัญลักษณ์และรถเข็นที่ดูเหมือนกำลังผ่านทะลุกำแพงการพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา การพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา. บริษัทสกอลาสติกซื้อสิทธิ์การพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาที่เทศกาลหนังสือโบโลญญาเมื่อเดือนเมษายน 2540 เป็นเงิน 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นจำนวนเงินสูงผิดปกติสำหรับหนังสือเด็ก พวกเขาคาดว่าเด็กจะไม่อยากอ่านหนังสือที่มีคำว่า "นักปราชญ์" (philosopher) ในชื่อเรื่อง และหลังอภิปรายบ้าง ก็ได้มีการจัดพิมพ์ฉบับอเมริกันในเดือนกันยายน 2541 ภายใต้ชื่อเรื่องที่โรว์ลิงเสนอ คือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone (แปลตามอักษรว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาผู้วิเศษ") โรว์ลิงอ้างว่าเธอเสียใจการเปลี่ยนแปลงนี้และจะสู้หากเธออยู่ในฐานะที่แข็งแรงกว่าตอนนั้น ฟิลิป เนลชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เสียความเชื่อมโยงกับการเล่นแร่แปรธาตุ และมีการเปลี่ยนคำอื่นบางคำในการแปล ตัวอย่างเช่น จาก "crumpets" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็น "muffin" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แม้โรว์ลิงยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งจาก "mum" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชและ "mam" แบบภาษาไอริชที่เชมัส ฟินนิกันใช้ เป็น "mom" ใน Harry Potter and the Sorcerer's Stone แต่เธอคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้ในเล่มต่อ ๆ มา ทว่า เนลมองว่าการแปลของสกอลาสติกค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าการแปลส่วนใหญ่ที่กำหนดตามหนังสือภาษาอังกฤษแบบบริติชขณะนั้น และการเปลี่ยนแปลงอื่นบางอย่างอาจถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์อักษรที่มีประโยชน์ เพราะฉบับสหราชอาณาจักรเล่มแรก ๆ ในชุดจัดพิมพ์สองสามเดือนก่อนฉบับอเมริกัน ผู้อ่านชาวอเมริกันบางคนจึงคุ้นเคยกับรุ่นภาษาอังกฤษแบบบริติชหลังซื้อหนังสือทางอินเทอร์เน็ต ทีแรกผู้วิจารณ์ทรงเกียรติที่สุดละเลยหนังสือ โดยปล่อยให้สิ่งพิมพ์เผยแพร่ขายหนังสือและห้องสมุด เช่น เคอร์คัสรีวิวส์ (Kirkus Reviews) และบุ๊กลิสต์ ซึ่งพิจารณาหนังสือเฉพาะเกณฑ์ที่เน้นความบันเทิงของบันเทิงคดีเด็ก ทว่า บทปฏิทัศน์ผู้ชำนัญพิเศษที่เจาะลึกขึ้น (เช่น โดยโคออเพอเรทีฟชิลเดรนส์บุ๊กเซ็นเตอร์ชอยส์ ซึ่งชี้ความซับซ้อน ความลึกและความต่อเนื่องของโลกที่โรว์ลิงสร้าง) ดึงดูดความสนใจของนักวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์หลัก ๆ แม้เดอะบอสตันโกลบ และ Michael Winerip ในเดอะนิวยอร์กไทมส์ บ่นว่าบทท้าย ๆ เป็นส่วนที่อ่อนที่สุดของหนังสือ พวกเขาและนักวิจารณ์ชาวอเมริกันอื่นส่วนมากให้การยกย่อง ปีต่อมา ฉบับสหรัฐอเมริกาได้รับเลือกเป็นหนังสือเด่นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของพับลิเชอส์วีกลี และหนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของหอสมุดสาธารณะนิวยอร์ก และคว้ารางวัลหนังสือแห่งปี 2541 ของนิตยสารเพเรนติง หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปีของวารสารห้องสมุดโรงเรียน และหนังสือยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใหญ่ตอนต้นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน ในเดือนสิงหาคม 2542 Harry Potter and the Sorcerer's Stone แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีที่สุดของนิวยอร์กไทมส์ และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นเวลาส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 จนนิวยอร์กไทมส์ แบ่งรายการออกเป็นส่วนหนังสือเด็กและผู้ใหญ่ภายใต้แรงกดดันจากสำนัดพิมพ์อื่นที่ใคร่เห็นหนังสือของตนได้อันดับดีขึ้น รายงานของพับลิเชอร์วีกลีเมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่าด้วยยอดขายสะสมของบันเทิงคดีเด็กได้จัดอันดับ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ในอันดับที่ 19 ในหมวดปกแข็ง (กว่า 5 ล้านเล่ม) และอันดับที่ 7 ในหมวดปกอ่อน (กว่า 6.6 ล้านเล่ม) ในเดือนพฤษภาคม 2551 สกอลาสติกประกาศการสร้างฉบับครบรอบปีที่ 10 ของหนังสือ ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อเป็นสัญลักษณ์วันครบรอบปีที่สิบการวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาดั้งเดิม สำหรับวันครบรอบปีที่สิบห้าของหนังสือ สกอลาสติกออก Sorcerer's Stone ใหม่ กับนวนิยายอีกหกเล่มในชุด กับภาพปกใหม่โดยคะซุ คิบุอิชิ ในปี 2556การแปล การแปล. เมื่อกลางปี 2551 มีการจัดพิมพ์การแปลหนังสืออย่างเป็นทางการใน 67 ภาษา บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์การแปลในภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ ซึ่งฉบับภาษากรีกโบราณนี้ได้รับอธิบายว่าเป็น "ร้อยแก้วภาษากรีกโบราณชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขียนในหลายศตวรรษ"ลีลาและแก่นเรื่อง ลีลาและแก่นเรื่อง. ฟิลิป เนลเน้นอิทธิพลของเจน ออสเตน ซึ่งโรว์ลิงเทิดทูนอย่างสูงตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ผู้ประพันธ์ทั้งสองกระตุ้นให้อ่านซ้ำ เพราะรายละเอียดที่ดูด้อยความสำคัญเกริ่นการณ์สำคัญหรือตัวละครในเนื้อเรื่องภายหลัง ตัวอย่างเช่น มีการพาดพิงถึงซิเรียส แบล็กสั้น ๆ ใกล้ตอนต้นของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แล้วกลายเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งในหนังสือเล่มที่สามถึงห้า เช่นเดียวกับวีรสตรีของออสเตน แฮร์รี่มักต้องกลับทบทวนความคิดของเขาในช่วงท้ายเล่ม พฤติกรรมสังคมบางอย่างในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ชวนให้นึกถึงออสเตน เช่น การอ่านจดหมายสาธารณะอย่างตื่นเต้น ผู้ประพันธ์ทั้งสองเสียดสีพฤติกรรมสังคมและให้ชื่อตัวละครซึ่งแสดงบุคลิกภาพของพวกเขา ทว่า ในความเห็นของเนล ความขบขันของโรว์ลิงยึดภาพล้อมากกว่า และชื่อที่เธอประดิษฐ์นั้นคล้ายกับที่พบในนิยายของชาร์ลส์ ดิกคินส์มากกว่า และอะแมนดา ค็อกเรล (Amanda Cockrell) สังเกตว่า ชื่อเหล่านี้จำนวนมากแสดงลักษณะตัวละครผ่านการอ้างถึงซึ่งไล่ตั้งแต่เทพปกรณัมโรมันโบราณจนถึงวรรณคดีภาษาเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 โรว์ลิงคิดว่าไม่มีความแตกต่างตายตัวระหว่างนิยายสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับ ซี. เอส. ลิวอิส ผู้ประพันธ์ชุดนาร์เนีย เนลยังสังเกตว่า โรว์ลิงประสมวรรณคดีหลายประเภท เช่น แฟนตาซี บันเทิงคดีผู้ใหญ่ตอนต้น นิยายโรงเรียนกินนอน บิลดุงซโรมัน (Bildungsroman) และอื่น ๆ อีกมาก นักวิจารณ์บางส่วนเปรียบเทียบศิลาอาถรรพ์ กับนิยายของโรอาลด์ ดาห์ล ผู้เสียชีวิตในปี 2533 มีการยกย่องผู้เขียนหลายคนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ว่าเป็นผู้สืบทอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงความนิยมของเขากับเด็กได้เลย และในการสำรวจความเห็นไม่นานหลังศิลาอาถรรพ์ ออก หนังสือเด็กยอดนิยมสิบอันดับเป็นของดาห์ลเสียเจ็ดเล่ม รวมทั้งอันดับหนึ่ง ผู้ประพันธ์เด็กซึ่งเป็นที่นิยมจริง ๆ อีกคนหนึ่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ อาร์. แอล. สตีน ชาวอเมริกัน ส่วนเรื่องบางส่วนในศิลาอาถรรพ์ คล้ายกับเรื่องของดาห์ล ตัวอย่างเช่น พระเอกเรื่อง เจมส์กับพีชยักษ์ (James and the Giant Peach) เสียบิดามารดาและต้องอยู่กับป้าไม่พึงปรารถนาคู่หนึ่ง คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมคล้ายคุณและคุณนายเดอร์สลีย์ ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อแฮร์รี่เยี่ยงคนรับใช้ ทว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นการสร้างสรรค์เห็นได้ชัด คือ สามารถรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ขณะภายในยังเป็นเด็ก บรรณารักษ์ Nancy Knapp และศาสตราจารย์การตลาด สตีเฟน บราวน์ สังเกตความมีชีวิตชีวาและรายละเอียดการพรรณนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากร้านค้าอย่างตรอกไดแอกอน แทด เบรนแนนออกความเห็นว่า การเขียนของโรว์ลิงคล้ายกับของโฮเมอร์ คือ "รวดเร็ว เรียบง่ายและแสดงออกตรง" สตีเฟน คิงยกย่องว่า "รายละเอียดขี้เล่นประเภทที่มีเฉพาะนักแฟนตาซีอังกฤษเท่านั้นที่ดูสามารถ" และสรุปว่า พวกมันได้ผลเพราะโรว์ลิงชอบหัวเราะคิก ๆ เร็ว ๆ แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง นิโคลัส ทักเคอร์อธิบายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ๆ ว่าดูย้อนไปนิยายเด็กสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด โดยฮอกวอตส์เป็นโรงเรียนกินนอนแบบเก่าซึ่งครูเรียกนักเรียนอย่างเป็นทางการด้วยนามสกุล แลกังวลมากสุดกับชื่อเสียงของบ้านที่สังกัด บุคลิกภาพของตัวละครแสดงอย่างเรียบ ๆ โดยลักษณะภายนอกของพวกเขา เริ่มจากครอบครัวเดอร์สลีย์ ตัวละครชั่วร้ายหรือมุ่งร้ายจะถูกกำจัดมากกว่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวมคุณนายนอร์ริส แมวของฟิลช์ และพระเอก เด็กกำพร้าซึ่งถูกข่มเหงผู้พบสถานที่แท้จริงของเขาในชีวิต มีเสน่ห์และเล่นกีฬาเก่ง แต่เห็นใจผู้อื่นและปกป้องผู้อ่อนแอ ผู้ให้ความเห็นหลายคนยังแถลงว่าหนังสือนำเสนอสังคมจัดช่วงชั้นอย่างสูงซึ่งรวมภาพลักษณ์สังคมจำนวนมาก ทว่า คาริน เวสเตอร์แมนลากเส้นขนานกับบริเตนสมัยคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ ระบบชนชั้นซึ่งกำลังพังทลายแต่ถูกผู้ที่มีอำนาจและสถานภาพสนับสนุนป้องกัน องค์ประกอบหลายชาติพันธุ์ของนักเรียนฮอกวตอส์ ความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติระหว่างหลายสปีชีส์ทรงปัญญา และการแกล้งในโรงเรียน ซูซาน ฮอลเขียนว่าไม่มีหลักนิติธรรมในหนังสือ จากการกระทำของข้าราชการกระทรวงเวทมนตร์ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ภาระความรับผิดหรือการคัดค้านทางกฎหมายทุกชนิด จึงเป็นโอกาสสำหรับโวลเดอมอร์ที่เสนอระเบียบแบบน่ากลัวของเขา แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งถูกเลี้ยงในโลกมักเกิ้ลที่มีการวางระเบียบสูงได้รับผลข้างเคียง คือ หาทางออกโดยคิดในวิถีซึ่งมดไม่คุ้นชิน ตัวอย่างเช่น เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าอุปสรรคหนึ่งในการหาศิลาอาถรรพ์เป็นการทดสอบตรรกะมิใช่อำนาจเวทมนตร์ และมดส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ได้ เนลเสนอว่า การสร้างลักษณะสัญนิยม รู้จักฐานะและวัตถุนิยมสุดขีดของครอบครัวเดอร์สลีย์เป็นปฏิกิริยาของโรว์ลิงต่อนโยบายครอบครัวของรัฐบาลอังกฤษช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ซึ่งถือคู่สมรสต่างเพศเป็น "บรรทัดฐานพึงปรารถนา" ขณะที่โรว์ลิงเป็นแม่คนเดียว ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับมดผู้ใหญ่และวัยรุ่นยึดความชอบและความภักดี ซึ่งสะท้อนเป็นความสุขของเขาเมื่อเขาเป็นสมาชิกชั่วคราวของครอบครัววีสลีย์ตลอดชุด และในการปฏิบัติต่อรูเบียส แฮกริดทีแรก และรีมัส ลูปินและซิเรียส แบล็กเป็นเสมือนพ่อในเวลาต่อมามรดกภาคต่อ มรดก. ภาคต่อ. เล่มสอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ เดิมจัดพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 จากนั้น แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน จัดพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8 กรกฎาคม 2542 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 8 กันยายน 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี จัดพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม 2543 พร้อมกันทั้งบลูมส์บิวรีและสกอลาสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นเล่มที่ยาวที่สุดในชุด รุ่นสหราชอาณาจักรมี 766 หน้า และรุ่นสหรัฐอเมริกามี 870 หน้า จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั่วโลกเมื่อ 21 มิถุนายน 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม จัดพิมพ์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2548 และขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขายทั่วโลก 24 ชั่วโมงแรก นวนิยายเล่มที่เจ็ดและเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต จัดพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2550 หนังสือขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกเช่นกันฉบับภาพยนตร์ ฉบับภาพยนตร์. ในปี 2542 โรว์ลิงขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้วอร์เนอร์บราเธอร์สเป็นมูลค่าที่รายงาน 1 ล้านปอนด์ (1,982,900 ดอลลาร์สหรัฐ) โรว์ลิงต้องการให้ตัวละครหลักเป็นชาวอังกฤษอย่างเข้มงวดแต่อนุญาตให้คัดเลือกนักแสดงชาวไอร์แลนด์อย่างริชาร์ด แฮริสวัยชราและนักแสดงต่างประเทศเป็นสัญชาติเดียวกับตัวละครในเล่มหลัง ๆ หลังการคัดตัวอย่างกว้างขวาง การถ่ายทำเริ่มในเดือนตุลาคม 2543 ที่สตูดิโอภาพยนตร์ลีเวสเดนและในกรุงลอนดอน โดยการถ่ายทำจบในเดือนกรกฎาคม 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ฉายในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544 ความเห็นของนักวิจารณ์เป็นบวก สะท้อนโดยเฟรชเรตติง 80% ทางรอตเทินโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes) และคะแนน 64% ที่เมตาคริติก ซึ่งแสดง "บทปริทัศน์ชื่นชอบโดยทั่วไป"วิดีโอเกม วิดีโอเกม. วิดีโอเกมที่ยึดหนังสืออย่างหลวม ๆ ออกจำหน่ายระหว่างปี 2544 ถึง 2546 โดยทั่วไปภายใต้ชื่อเรื่องอเมริกัน Harry Potter and the Sorcerer's Stone ส่วนมากจัดจำหน่ายโดยอิเล็กทรอนิก อาตส์ แต่ก็มีที่ผลิตโดยผู้ผลิตอื่นบ้างการใช้ในการศึกษาและธุรกิจ การใช้ในการศึกษาและธุรกิจ. นักการศึกษาพบว่า การรู้หนังสือของเด็กสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนคำที่อ่านต่อปี และเด็กนั้นจะยิ่งอ่านมากหากพบสื่อที่ชอบ การสำรวจปี 2544 โดยนิวยอร์กไทมส์ ประเมินว่า เด็กสหรัฐเกือบ 60% อายุระหว่าง 6 ถึง 17 ปีเคยอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเล่ม การสำรวจในประเทศอื่น ซึ่งรวมประเทศอินเดียและแอฟริกาใต้ พบว่า เด็กกระตือรือร้นเกี่ยวกับนวนิยายชุดนี้ เพราะกระทั่งหนังสือสองเล่มแรกยังค่อนข้างยาว เด็กที่อ่านสี่เล่มแรกจะอ่านกว่าสี่เท่าของจำนวนหน้าของหนังสืออ่านของโรงเรียนทั้งปี ซึ่งเพิ่มทักษะและแรงจูงใจการอ่านของเด็กอย่างสูง ผู้เขียนในหัวข้อการศึกษาและธุรกิจใช้หนังสือนี้เป็นบทเรียนวัตถุ (object lesson) การเขียนเกี่ยวกับการสอนทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์ เจนนิเฟอร์ คอนน์เปรียบเทียบความชำนาญเทคนิคของสเนปกับพฤติกรรมข่มขู่ของเขาต่อนักเรียน กับอีกด้านหนึ่ง มาดามฮู้ช โค้ชควิดดิช ที่แสดงเทคนิคมีประโยชน์ในการสอนทักษะกายภาพ ซึ่งรวมการแบ่งการกระทำซับซ้อนออกเป็นลำดับการกระทำง่าย ๆ และช่วยนักเรียนให้เลี่ยงข้อผิดพลาดพบบ่อย จอยซ์ ฟีลดส์ เขียนว่า หนังสือแสดงหัวข้อหลักสี่ในห้าหัวข้อในชั้นเรียนสังคมวิทยาปีหนึ่งตรงแบบ ได้แก่ มโนทัศน์สังคมวิทยาซึ่งรวมวัฒนธรรม สังคมและการขัดเกลาทางสังคม การจัดช่วงชั้นในสังคมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม สถาบันสังคม และทฤษฎีสังคม" สตีเฟน บราวน์สังเกตว่า หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นความสำเร็จนอกเหนือการควบคุมแม้มีการตลาดไม่เพียงพอและจัดระเบียบอย่างเลว บราวน์แนะนำผู้บริหารการตลาดให้หมกมุ่นกับการวิเคราะห์สถิติอย่างเคร่งครัดและแบบจำลอง "วิเคราะห์ วางแผน นำไปปฏิบัติและควบคุม" ของการจัดการ เขาแนะนำว่าพวกเขาควรถือเรื่องนี้เป็น "มาสเตอร์คลาส (masterclass) การตลาด" ซึ่งเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์และชื่อตราสินค้าน่าจูงใจแทน ตัวอย่างเช่น มีการริเริ่มสิ่งคล้ายคลึงในโลกจริงของถั่วทุกรสของเบอร์ตีบอตต์ภายใต้ใบอนุญาตในปี 2543 โดยผู้ผลิตของเล่น แฮสโบร
|
นวนิยายเล่มแรกในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์มีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์"
],
"answer_begin_position": [
134
],
"answer_end_position": [
164
]
}
|
2,220 | 78,353 |
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นนวนิยายเล่มแรกในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายประเดิมของเจ. เค. โรว์ลิง โครงเรื่องติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดหนุ่มผู้ค้นพบมรดกเวทมนตร์ของเขา พร้อมกับสร้างเพื่อนสนิทและศัตรูจำนวนหนึ่งในปีแรกที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ด้วยความช่วยเหลือของมิตร แฮร์รี่เผชิญกับความพยายามหวนคืนของพ่อมดมืด ลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งฆ่าบิดามารดาของแฮร์รี่ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาได้เมื่ออายุหนึ่งขวบ บลูมส์บิวรีในกรุงลอนดอนจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ในปี 2541 บริษัทสกอลาสติกจัดพิมพ์ฉบับสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อเรื่อง Harry Potter and the Sorcerer's Stone นวนิยายดังกล่าวชนะรางวัลหนังสืออังกฤษส่วนใหญ่ซึ่งตัดสินโดยเด็ก และรางวัลอื่นในสหรัฐอเมริกา หนังสือนี้แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีของนิวยอร์กไทมส์ ในเดือนสิงหาคม 2542 และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 มีการแปลเป็นภาษาอื่นอีกหลายภาษา และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน บทปริทัศน์ส่วนใหญ่ชื่นชอบมาก โดยออกความเห็นต่อจินตนาการ ความขบขัน ความเรียบง่าย ลีลาตรงไปตรงมาและการสร้างโครงเรื่องที่ฉลาดของโรว์ลิง แม้บ้างติว่า บทท้าย ๆ ดูรวบรัด มีการเปรียบเทียบงานนี้กับงานของเจน ออสเตน ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์คนโปรดคนหนึ่งของโรว์ลิง หรือโรอาลด์ ดาห์ล ซึ่งงานของเขาครอบงำเรื่องสำหรับเด็กก่อนมีแฮร์รี่ พอตเตอร์ และโฮเมอร์ นักเล่านิยายกรีกโบราณ แม้นักวิจารณ์บางส่วนคิดว่า หนังสือนี้ดูย้อนกลับไปเรื่องโรงเรียนกินนอนสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด แต่นักวิจารณ์อื่น ๆ คิดว่า หนังสือนี้วางประเภทอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างแนบแน่นโดยมีลักษณะประเด็นจริยธรรมและสังคมร่วมสมัย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ร่วมกับที่เหลือของชุดถูกกลุ่มศาสนาหลายกลุ่มโจมตีและห้ามในบางประเทศเพราะกล่าวหาว่านวนิยายนี้ส่งเสริมเวทมนตร์คาถา แต่นักวิจารณ์คริสตศาสนิกบางคนเขียนว่า หนังสือนี้ยกตัวอย่างมุมมองที่สำคัญของศาสนาคริสต์หลายอย่าง ซึ่งรวมอำนาจของการสละตนเองและวิธีซึ่งการตัดสินใจของบุคคลก่อเป็นบุคลิกภาพของเขา นักการศึกษาถือว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหนังสือตามมาเป็นตัวช่วยพัฒนาการรู้หนังสือที่สำคัญเพราะความนิยม นอกจากนี้ ยังใช้หนังสือชุดนี้เป็นแหล่งตัวอย่างในเทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์สังคมวิทยาและการตลาดเรื่องย่อโครงเรื่อง เรื่องย่อ. โครงเรื่อง. ก่อนนวนิยายเริ่ม ลอร์ดโวลเดอมอร์ซึ่งถือเป็นพ่อมดมืดที่ชั่วร้ายและทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ฆ่าคู่สามีภรรยา เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ แต่หายไปอย่างลึกลับหลังพยายามฆ่าแฮร์รี่ บุตรทารกของพวกเขา ขณะที่โลกพ่อมดเฉลิมฉลองการหมดอำนาจของโวลเดอมอร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล และรูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์ ส่งทารกวัยหนึ่งขวบไปอยู่ในการดูแลของป้าและลุงมักเกิ้ล (ผู้มิใช่พ่อมด) ซึ่งขี้หงุดหงิดและเย็นชาของเขา คือ เวอร์นอนและเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ กับดัดลีย์ บุตรที่ถูกตามใจและอันธพาลของพวกเขา สิบปีต่อมา ขณะอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต แฮร์รี่ถูกครอบครัวเดอร์สลีย์ทรมาน คือ ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทาสมากกว่าสมาชิกครอบครัว ไม่นานก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของเขา มีจดหมายจำนวนมากจ่าถึงแฮร์รี่มาแต่เวอร์นอนทำลายพวกมันก่อนแฮร์รี่จะได้อ่าน แต่นำให้จดหมายไหลบ่ามามากขึ้น เพื่อหนีการไล่ล่าของจดหมาย ทีแรกเวอร์นอนพาครอบครัวไปโรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อจดหมายยังมาถึงที่นั่น เขาขับรถพาทั้งหมดไปยังเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเที่ยงคืนของวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ แฮกริดพังประตูเข้ามาและมอบจดหมายให้แฮร์รี่และบอกสิ่งที่ครอบครัวเดอร์สลีย์ปิดบังไว้จากเขา คือ แฮร์รี่เป็นพ่อมดและฮอกวอตส์รับเขาเข้าเรียน แฮกริดพาแฮร์รี่ไปตรอกไดแอกอน บริเวณร้านค้าในกรุงลอนดอนที่ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ ที่ซึ่งแฮร์รี่งุนงงเมื่อพบว่าเขามีชื่อเสียงท่ามกลางพ่อมดแม่มดในฉายา "เด็กชายผู้รอดชีวิต" เขายังพบว่าเขาค่อนข้างรวย เพราะทรัพย์จากบิดามารดาเขายังฝากไว้ที่ธนาคารมดกริงกอตส์ แฮร์รี่ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้สำหรับปีแรกที่ฮอกวอตส์ สิ่งหนึ่งที่แฮร์รี่ต้องซื้อสำหรับปีที่จะถึงที่ฮอกวอตส์ คือ ไม้กายสิทธิ์ ที่ร้านไม้กายสิทธิ์ เขาพบว่าไม้กายสิทธิ์ที่เหมาะกับเขาที่สุดเป็นแฝดกับไม้กายสิทธิ์ของโวลเดอมอร์ คือ ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองมีขนนกจากฟีนิกซ์ตัวเดียวกัน แฮร์รี่ยังไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงใหม่ (และของขวัญวันเกิดจากแฮกริด) เป็นนกฮูกที่เขาตั้งชื่อว่า เฮ็ดวิก หนึ่งเดือนให้หลัง แฮร์รี่จากบ้านของครอบครัวเดอร์สลีย์เพื่อนั่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์จากสถานีรถไฟคิงส์ครอส ที่นั่นเขาพบครอบครัววีสลีย์ซึ่งแสดงวิธีผ่านกำแพงเวทมนตร์ไปชานชาลาที่ 9¾ แก่เขา อันเป็นที่ที่รถไฟซึ่งจะพาพวกเขาไปฮอกวอตส์กำลังรออยู่ ขณะอยู่บนรถไฟ แฮร์รี่ผูกมิตรกับรอน วีสลีย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีผู้พยายามปล้นห้องนิรภัยห้องหนึ่งที่กริงกอตส์ พวกเขาอภิปรายกันเรื่องปีการศึกษาที่จะถึงซึ่งแฮร์รี่ทั้งกังวลและตื่นเต้น ระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเขา แฮร์รี่ยังสร้างศัตรูบนเที่ยวนี้ด้วย เป็นปีหนึ่งเหมือนกับเขา คือ เดรโก มัลฟอย เดรโกกับเพื่อนเขลาของเขา วินเซนต์ แครบบ์และเกรกอรี กอยล์เสนอแนะนำแฮร์รี่ แต่แฮร์รี่ไม่ชอบเกรโกตรงความยโสและความเดียดฉันท์ของเขาและปฏิเสธข้อเสนอ "มิตรภาพ" ของเขา ก่อนอาหารเย็นมื้อแรกของภาคเรียนในห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน นักเรียนปีหนึ่งถูกหมวกคัดสรรคัดสรรไปบ้านต่าง ๆ ขณะที่แฮร์รี่กำลังถูกคัดสรร หมวกแนะให้เขาไปบ้านสลิธีรินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของพ่อมดแม่มดมืด แต่เมื่อแฮร์รี่ปฏิเสธ หมวกก็ส่งเขาไปบ้านกริฟฟินดอร์ซึ่งเป็นบ้านคู่แข่งของสลิธีริน รอนและเฮอร์ไมโอนี่ก็ถูกคัดสรรเข้าบ้านกริฟฟินดอร์เช่นกัน เกรโกถูกคัดสรรเข้าบ้านสลิธีรินซึ่งตามประเพณีครอบครัวของเขาถูกคัดสรรเข้าบ้านนั้นเป็นเวลาหลายสมัยแล้ว ระหว่างมื้อ แฮร์รี่จับตาศาสตราจารย์เซเวอร์รัส สเนปและรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นที่โวลเดอมอร์ทิ้งไว้บนหน้าผากเขา หลังชั้นเรียนปรุงยาคาบแรกกับสเนปอันเลวร้าย แฮร์รี่และรอนไปเยี่ยมแฮกริด (ผู้รักษาที่ดินฮอกวอตส์) ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมตรงชายป่าต้องห้าม จากนั้น พวกเขาทราบว่า ความพยายามปล้นที่กริงกอตส์เกิดขึ้นวันเดียวกับที่แฮร์รี่ถอนเงินจากห้องนิรภัยของเขา แฮร์รี่จำได้ว่าแฮกริดนำถุงเล็ก ๆ จากห้องนิรภัยซึ่งถูกบุก ระหว่างชั้นเรียนขี่ไม้กวาดครั้งแรกของปีหนึ่ง เพื่อนกริฟฟินดอร์ เนวิลล์ ลองบัตท่อมทำข้อมือหักและถูกอาจารย์พาไปห้องพยาบาล เดรโกฉวยโอกาสโยนลูกแก้วเตือนความจำของเนวิลล์ขี้ลืม ซึ่งเนวิลล์ทำตกไว้เพราะอุบัติเหตุ ขึ้นไปในอากาศ แฮร์รี่ไล่ตามบนไม้กวาด และจับลูกแก้วได้เหนือพื้นไม่กี่ฟุต แฮร์รี่ไม่ทราบว่าศาสตราจารย์มักกอนนากัล หัวหน้าบ้านกริฟฟินดอร์ สังเกตความสามารถบนไม้กวาดของเขา เธอเร่งรุดมาและแต่งตั้งเขาเป็นซีกเกอร์คนใหม่ของทีมควิดดิชกริฟฟินดอร์ เมื่อเดรโกลวงแฮร์รี่และรอน ร่วมกับเนวิลล์และเฮอร์ไมโอนี่ สู่การเดินทางยามเที่ยงคืน พวกเขาเข้าโถงต้องห้ามโดยอุบัติเหตุและพบหมาสามหัวตัวมหึมา ทั้งกลุ่มรีบถอย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าหมานั้นกำลังยืนเหนือประตูกล แฮร์รี่สรุปว่า สัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าหีบห่อที่แฮกริดนำมาจากกริงกอตส์ หลังรอนวิจารณ์ความสามารถเกินหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ในวิชาคาถา เธอก็ไปซ่อนอยู่ในห้องน้ำหญิงและร้องไห้ ที่งานเลี้ยงฮาโลวีน ศาสตราจารย์ควีเรลล์รายงานว่า โทรลล์ตัวหนึ่งเข้าคุกใต้ดิน ระหว่างที่ทุกคนกลับไปยังหอพักของพวกตน แฮร์รี่และรอนเร่งไปเตือนเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งไม่อยู่ที่งานเลี้ยงเพื่อฟังประกาศ โทรลล์ตนนั้นต้อนเฮอร์ไมโอนี่จนในห้องน้ำแต่แฮร์รี่และรอนช่วยเธอไว้ได้อย่างเงอะงะ จากนั้น เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับผิดแทนสำหรับการต่อสู้ และกลายเป็นมิตรเหนียวแน่นของสองเด็กชาย เย็นก่อนการแข่งขันควิดดิชครั้งแรกของแฮร์รี่ เขาเห็นสเนปรับการรักษาจากฟิลช์สำหรับรอยกัดที่เท้าเขาอันเกิดจากหมาสามหัว ระหว่างเกม ไม้กวาดของแฮร์รี่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ชีวิตเขาอยู่ในอันตราย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าสเปนจ้องแฮร์รี่และกำลังพึมพำ โดยสรุปว่าสเนปรับผิดชอบต่อไม้กวาดพยศของแฮร์รี่ เธอรีบไปยังอัฒจรรย์ของศาสตราจารย์ น็อกควีเรลล์ในระหว่างที่เร่งด่วน แล้วจุดไฟใส่เสื้อคลุมของสเนป แฮร์รี่กลับควบคุมไม้กวาดของเขาและจับลูกสนิชสีทอง และคว้าชัยชนะให้กริฟฟินดอร์ แฮกริดปฏิเสธจะเชื่อว่าสเนปเป็นตัวการทำให้แฮร์รี่ตกอยู่ในอันตราย แต่แย้มว่า เขาซื้อหมาสามหัว (ชื่อ ปุกปุย) และสัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าความลับอันเป็นของดัมเบิลดอร์และพ่อมดนาม นิโคลัส เฟลมเมล เมื่อปิดเทอมคริสต์มาส แฮร์รี่และครอบครัววีสลีย์อยู่ในฮอกวอตส์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลับบ้าน ของขวัญชิ้นหนึ่งที่แฮร์รี่ได้ คือ ผ้าคลุมล่องหนจากผู้ให้นิรนามซึ่งเป็นของบิดาเขา และขลุ่ยจากแฮกริด แฮร์รี่ใช้ผ้าคลุมค้นเขตหวงห้ามของห้องสมุดเพื่อหาสารสนเทศเกี่ยวกับเฟลมเมลผู้ลึกลับ และบังเอิญเจอห้องที่มีกระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งแสดงให้เห็นบิดามารดาและบรรพบุรุษของพวกเขาหลายคน แฮร์รี่กลายมาติดภาพของกระจก โดยเลือกใช้เวลากับ "ครอบครัว" เขา มากกว่าเพื่อนเขาที่ฮอกวอตส์ จนศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์มาช่วยเขา ผู้อธิบายว่ามันเพียงแสดงให้ผู้ชมเห็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด เมื่อนักเรียนที่เหลือกลับมาสำหรับเทอมหน้า เดรโกแกล้งเนวิลล์ และแฮร์รี่ปลอบเนวิลล์ด้วยขนมหวาน การ์ดสะสมที่ห่อด้วยขนมหวานนั้นระบุว่าเฟลมเมลเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่พบว่าเขาอายุ 665 ปี และครอบครองสิ่งที่เรียก ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งสามารถสกัดน้ำอมฤตได้ ไม่กี่วันให้หลัง แฮร์รี่สังเกตว่าสเนปย่องเข้าชายป่าต้องห้าม ที่นั่น เขาแอบได้ยินการสนทนาลับ ๆ ล่อ ๆ เกี่ยวกับศิลาอาถรรพ์ระหว่างสเนปกับควีเรลล์ แฮร์รี่สรุปว่าสเนปกำลังพยายามขโมยศิลาและควีเรลล์ช่วยเตรียมชุดการป้องกัน ซึ่งเป็นความผิดพลาดแทบร้ายแรง สามสหายพบว่าแฮกริดกำลังเลี้ยงมังกรทารกอันขัดต่อกฎหมายมด และจัดการลักลอบขนออกนอกประเทศราว ๆ เที่ยงคืน เดรโก ด้วยหวังก่อความเดือดร้อนแก่พวกเขา แจ้งต่อศาสตราจารย์มักกอนนากัล แม้มังกรถูกส่งไปอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาถูกจับได้นอกหอพัก แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ เดรโกและเนวิลล์ถูกทำโทษ และมอบหมายงานช่วยแฮกริด คือ ช่วยยูนิคอร์นที่บาดเจ็บหนักในป่าต้องห้าม พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มและออกเดินทางเข้าไปในป่า ซึ่งแฮร์รี่และเดรโกพบบุคคลใส่หมวกคลุมกำลังดื่มเลือดจากยูนิคอร์นที่บาดเจ็บ เมื่อทราบว่าพวกเขาอยู่ คน ๆ นั้นเข้าหาเด็กชายทั้งสองแต่เซนทอร์นาม ฟีเรนซี ช่วยแฮร์รี่ไว้ และเสนอให้เขาขี่กลับโรงเรียน ฟีเรนซีบอกแฮร์รี่ว่า การดื่มเลือดของยูนิคอร์นจะช่วยชีวิตของผู้ที่บาดเจ็บถึงตาย แต่ต้องแลกกับการมีชีวิตต้องสาปนับแต่ขณะนั้น ฟีเรนซีแนะว่า โวลเดอมอร์นั่นเองที่ดื่มเลือดยูนิคอร์นเพื่อให้มีกำลังเพียงพอทำน้ำอมฤต (จากศิลาอาถรรพ์) และได้สุขภาพบริบูรณ์จากการดื่มน้ำนั้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แฮร์รี่ทราบจากแฮกริดว่าเขาได้ไข่มังกรนั้นมาจากคนแปลกหน้าสวมชุดคลุมศีรษะ ผู้ถามวิธีผ่านปุกปุย ซึ่งแฮกริดยอมรับว่ามันง่าย คือ ดนตรีทำให้มันหลับ ด้วยตระหนักว่าการป้องกันศิลาอาถรรพ์อย่างหนึ่งไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แฮร์รี่จึงไปแจ้งดัมเบิลดอร์ แต่พบว่าอาจารย์ใหญ่เพิ่งออกเดินทางไปประชุมในกรุงลอนดอน แฮร์รี่สรุปว่าสเนปแปลงสารซึ่งเรียกดัมเบิลดอร์ไปและจะพยายามขโมยศิลาคืนนั้น แฮร์รี่ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องพิทักษ์ศิลาเองระหว่างที่ดัมเบิลดอร์ไม่อยู่ ทั้งสามคลุมผ้าคลุมล่องหน เข้าห้องของปุกปุย ซึ่งแฮร์รี่ทำให้สัตว์นั้นหลับโดยการเป่าขลุ่ยที่แฮกริดส่งให้แฮร์รี่เป็นของขวัญคริสต์มาส หลังยกประตูกล พวกเขาพบชุดอุปสรรค ซึ่งแต่ละด่านต้องอาศัยทักษะพิเศษซึ่งหนึ่งในสามมี และในอุปสรรคหนึ่ง รอนต้องเสียลละตัวเองในเกมหมากรุกพ่อมดขนาดเท่าจริง แม้ฝืนใจทิ้งรอนไว้เบื้องหลัง แต่แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่มาถึงห้องที่เต็มไปด้วยน้ำยาขนาดและสีต่าง ๆ หลังเฮอร์ไมโอนี่ไขคำทายที่กำหนดให้ เธอสั่งแฮร์รี่ให้ดื่มน้ำยาขวดใด แฮร์รี่กลืนยานั้น ทำให้เขาผ่านไฟเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยและเข้าห้องสุดท้าย ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ย้อนกลับไปช่วยรอนและแจ้งเหตุการณ์คืนนี้ให้ดัมเบิลดอร์ ในห้องสุดท้าย แฮร์รี่เพียงลำพัง พบควีเรลล์ซึ่งยอมรับว่าเขาพยายามฆ่าแฮร์รี่ในการแข่งขันควิดดิชนัดพบกับสลิธีริน เขายังยอมรับว่าเขาปล่อยโทรลล์เข้าฮอกวอตส์ ซึ่งหมายความว่า สเนปพยายามปกป้องแฮร์รี่มาตลอด และมิได้พยายามฆ่าเขา ควีเรลล์เป็นสาวกคนหนึ่งของโวลเดอมอร์ และหลังขโมยศิลาอาถรรพ์ล้มเหลวในคราวแรก เขาให้เจ้านายสิงสู่เขาเพื่อโวลเดอมอร์จะได้ศิลาเอง ทว่า งานนี้ดูเป็นงานยากเพราะวัตถุเดียวในห้อง คือ กระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งไม่เปิดเผยที่อยู่ของศิลาแก่ควีเรลล์ ควีเรลล์ให้แฮร์รี่ยืนประจัญกระจกตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ กระจกแสดงภาพแฮร์รี่พบศิลา ควีเรลล์ถอดผ้าโพกหัว เผยให้เห็นใบหน้าของโวลเดอมอร์หลังศีรษะเขา โวลเดอมอร์/ควีเรลล์พยายามฉวยศิลาจากแฮร์รี่ แต่ล้มเหลว หลังต่อสู้ยาวนาน แฮร์รี่หมดสติไป เขาตื่นขึ้นในห้องพยาบาล ซึ่งดัมเบิลดอร์อธิบายว่าเขารอดชีวิตเพราะมารดาเขาสละชีพเพื่อพิทักษ์เขา และทั้งโวลเดอมอร์และควีเรลล์ไม่สามารถเข้าใจอำนาจความรักได้ โวลเดอมอร์ทิ้งควีเรลล์ให้ตายและน่าจะหวนคืนด้วยวิธีอื่น ตอนนี้ศิลาถูกทำลายแล้ว ปีการศึกษาจบด้วยงานเลี้ยง ซึ่งกริฟฟินดอร์ชนะถ้วยประจำบ้าน แฮร์รี่กลับบ้านครอบครัวเดอร์สลีย์ในวันหยุดฤดูร้อน แต่ไม่บอกเขาว่าพ่อมดอายุต่ำกว่าเกณฑ์ถูกห้ามมิให้ใช้เวทมนตร์นอกฮอกวอตส์ตัวละครหลักตัวละครหลัก. - แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นเด็กกำพร้าซึ่งโรว์ลิงจินตนาการว่าเป็น "เด็กชายหุ้มกระดูก มีผมดำ สวมแว่นตาซึ่งไม่รู้ว่าตัวเป็นพ่อมด" เธอพัฒนาเรื่องและตัวละครของชุดเพื่ออธิบายว่าแฮร์รี่มาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไรและชีวิตของเขาคลี่ออกจากตรงนั้นอย่างไร นอกจากบทแรก เหตุการณ์ในหนังสือนี้เกิดขึ้นก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ไม่นานและในปีหลังจากนั้น การโจมตีของโวลเดอมอร์ทิ้งแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากของแฮร์รี่ ซึ่งให้ความเจ็บปวดทิ่มแทงเมื่อโวลเดอมอร์มีอารมณ์รุนแรงใด ๆ แฮร์รี่มีความสามารถธรรมชาติอย่างยิ่งสำหรับควิดดิชและความสามารถโน้มน้าวเพื่อนโดยสุนทรพจน์ลึกซึ้ง - รอน วีสลีย์มีอายุไล่เลี่ยกับแฮร์รี่ และโรว์ลิงอธิบายเขาเป็นเพื่อนสนิทสุดยอด "อยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อคุณต้องการเขา" เขาเป็นกระ มีผมแดงและค่อนข้างสูง" เขาเติบโตในครอบครัวเลือดบริสุทธิ์ค่อนข้างใหญ่ เป็นลูกคนที่หกจากเจ็ดคน แม้ครอบครัวเขาค่อนข้างยากจน แต่ยังอยู่กันสบายมากและมีความสุข ความภักดีและความกล้าของเขาเมื่อเผชิญกับเกมหมากรุกพ่อมดเป็นส่วนสำคัญในการพบศิลาอาถรรพ์ - เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ธิดาของครอบครัวมักเกิ้ลล้วน เป็นเด็กหญิงจอมบงการซึ่งดูเหมือนจะจำตำราส่วนใหญ่ได้ก่อนเปิดเทอม โรว์ลิงอธิบายเฮอร์ไมโอนี่ว่าเป็นตัวละครที่ "มีเหตุผล ซื่อตรงและดีมาก" โดยมี "การขาดความมั่นคงมากและกลัวความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงภายใต้การเป็นคนเรียนหนักของเธอ" แม้ความพยายามน่ารำคาญของเธอเพื่อกันแฮร์รี่และรอนจากปัญหา แต่เธอกลายเป็นเพื่อนสนิทของเด็กชายทั้งสองเมื่อพวกเขาช่วยเธอจากโทรล และทักษะเวทมนตร์และการวิเคราะห์ของเธอมีส่วนสำคัญในการค้นหาศิลาอาถรรพ์ เธอมีผมสีน้ำตาลดกและฟันหน้าค่อนข้างใหญ่ - เนวิลล์ ลองบัตท่อมเป็นเด็กท้วมขี้อาย ขี้ลืมเสียจนย่าของเขาให้ลูกแก้วเตือนความจำมา ความสามารถเวทมนตร์ของเนวิลล์อ่อนมากและดูมาทันเวลาช่วยชีวิตเขาเมื่อตอนแปดขวบพอดี แม้ความขลาดของเขา เนวิลล์จะสู้กับทุกคนหลังได้รับการสนับสนุนบ้างหรือหากเขาคิดว่าถูกต้องและสำคัญ - รูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์สูงเกือบ 12 ฟุต (3.7 เมตร) มีผมและเคราสีดำยุ่งเหยิง ถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์และไม้กายสิทธิ์ของเขา แต่ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ปล่อยให้เขาอยู่ในฐานะคนดูแลสัตว์ของโรงเรียน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำให้เขาขยายความรักและเรียกชื่อสัตว์แม้สิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อันตรายที่สุด แฮกริดภักดีต่อดัมเบิลดอร์อย่างดุดันและกลายเป็นเพื่อนใกล้ชิดของแฮร์รี่ รอน และต่อมา เฮอร์ไมโอนี่ แต่ความไม่ระวังของเขาทำให้เขาพึ่งพาไม่ได้ - ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ชายสูงผอมผู้สวมแว่นตารูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีผมสีเงินและเคราที่สอดเข้าเข็มขัด เป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ และคิดกันว่าเป็นพ่อมดคนเดียวที่โวลเดอมอร์กลัว ดัมเบิลดอร์ แม้ขึ้นชื่อสำหรับความสำเร็จทางเวทมนตร์ สามารถหักห้ามใจกินขนมหวานได้ยากและมีอารมณ์ขันระหลาด แม้เขาปัดคำชม แต่เขาทราบความปราดเปรื่องของเขาเอง โรว์ลิงอธิบายเขาว่าเป็น "ภาพย่อของความดี" - ศาสตราจารย์มักกอนนากัล เป็นหญิงร่างสูงดูเข้มงวด มีผมดำมัดเป็นมวยแน่น สอนวิชาแปล่งร่าง และสามารถแปลงร่างเป็นแมวได้ เธอเป็นอาจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ และตามผู้ประพันธ์ "ใต้ภายนอกหยาบ ภายในค่อนข้างเป็นคนชราอ่อนไหว" - เพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ พี่สาวของลิลี่ มารดาของแฮร์รี่ เป็นหญิงผอมคอยาวที่เธอใช้สอดแนมเพื่อนบ้าน เธอถือว่าน้องสาวมีเวทมนตร์ของเธอเป็นตัวประหลาดและพยายามแสร้างว่าเธอไม่เคยมีอยู่ เวอร์นอน สามีของเธอ เป็นชายอ้วนซึ่งการแผดเสียงฉุนเฉียวของเขาปกปิดจิตใจคับแคบและความกลัวสิ่งผิดปกติทุกอย่าง ดัดลีย์ บุตรของทั้งสอง เป็นอันธพาลถูกตามใจ มีน้ำหนักเกิน - เดรโก มัลฟอย เป็นเด็กชายผิวสีซีด รูปร่างเพรียว เขาทะนงเกี่ยวกับทักษะของเขาในควิดดิช และชังทุกคนที่มิได้เป็นพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ และพ่อมดผู้เห็นไม่ตรงกับเขา บิดามารดาเขาสนับสนุนโวลเดอมอร์ แต่แปรพักตร์หลังพ่อมดมืดนั้นหายตัวไป โดยอ้างว่าต้องมนต์ เดรโกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง และพยายามนำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาให้ประสบปัญหา - ศาสตราจารย์ควีเรลล์ อาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด พูดตะกุกตะกัก ลือกันว่าเขาเคยเป็นนักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง แต่เสียขวัญเมื่อเผชิญกับแวมไพร์ ควีเรลล์สวมผ้าโพกหัวเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า เขายอมถูกโวลเดอมอร์สิง ซึ่งใบหน้าปรากฏอยู่หลังศีรษะของควีเรลล์ - ศาสตราจารย์สเนป ผู้มีจมูกงุ้ม ผิวซีดและผมสีดำเป็นมัน อาจารย์สอนวิชาปรุงยา แต่ปรารถนาสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด สเนปยกย่องนักเรียนบ้านสลิธีริน บ้านของเขาเอง แต่ฉวยทุกโอกาสทำให้นักเรียนอื่นอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ หลายเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ความเจ็บปวดเฉียบพลันที่แผลเป็นของแฮร์รี่ระหว่างงานเลี้ยงเปิดเทอม นำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาคิดว่าสเนปเป็นสาวกของโวลเดอมอร์ - ฟิลช์ ภารโรงของโรงเรียน รู้จักทางลับในโรงเรียนดีกว่าใคร ๆ ซึ่งบางทีอาจยกเว้นฝาแฝดวีสลีย์ แมวของเขา คุณนายนอร์ริส ช่วยเขาล่านักเรียนทำผิดกฎอยู่สม่ำเสมอ สมาชิกบุคลากรคนอื่นมีศาสตราจารย์สเปราต์ อาจารย์สอนวิชาสมุนไพรศาสตร์และหัวหน้าบ้านฮัฟเฟิลพัฟร่างม่อต้อ ศาสตราจารย์ฟลิตวิก อาจารย์สอนวิชาคาถาและอาจารย์ประจำบ้านเรเวนคลอร่างจิ๋วและขี้ตื่น ศาสตราจารย์บินส์ อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์อันมีน้ำเสียงชวนง่วง เป็นผีที่ดูไม่สังเกตว่าตัวตายแล้ว และมาดามฮูช โค้ชควิดดิช ผู้เคร่งครัดแต่เป็นอาจารย์ที่เห็นใจผู้อื่นและมีแบบแผน พีฟส์ โพลเทอร์ไกสท์ที่ตระเวนไปรอบปราสาท คอยสร้างปัญหาทุกที่ที่ทำได้การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับการพัฒนา การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับ. การพัฒนา. หนังสือนี้ซึ่งเป็นนวนิยายประเดิมของโรว์ลิง เขียนระหว่างประมาณเดือนมิถุนายน 2533 ถึงประมาณปี 2538 ในปี 2533 โจ โรว์ลิง อันเป็นชื่อที่เธอชอบให้รู้จัก ต้องการย้ายกับแฟนหนุ่มไปแฟลตแห่งหนึ่งในแมนเชสเตอร์ และตามคำของเธอ "สุดสัปดาห์หนึ่งหลังการตระเวนหาแฟลต ฉันนั่งรถไฟกลับกรุงลอนดอนด้วยตัวเองแล้วความคิดแฮร์รี่ พอตเตอร์ตกมาในหัวของฉัน ... เด็กชายผอมหุ้มกระดูก ตัวเล็ก ผมสีดำ และสวมแว่นตากลายเป็นพ่อมดมากขึ้นทุกที ๆ สำหรับฉัน... ฉันเริ่มเขียนศิลาอาถรรพ์ เย็นนั้นเอง แม้ว่าหน้าแรก ๆ ดูไม่เหมือนผลงานสมบูรณ์เลย" แล้วมารดาของโรว์ลิงเสียชีวิต เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดของเธอ โรว์ลิงถ่ายโอนความระทมของเธอไปยังแฮร์รี่กำพร้า โรว์ลิงใช้เวลาหกปีเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหลังจากบลูมส์บิวรีตอบรับ เธอได้เงินอุดหนุน 8,000 ปอนด์จากสภาศิลปะสกอต ซึ่งทำให้เธอสามารถวางแผนภาคต่อ เธอส่งหนังสือให้ตัวแทนและสำนักพิมพ์ แล้วตัวแทนที่สองที่เธอเข้าหาใช้เวลาหนึ่งปีพยายามขายหนังสือให้สำนักพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่คิดว่ายาวเกินไป คือ ประมาณ 90,000 คำ แบร์รี คันนิงแฮม ซึ่งกำลังสร้างแฟ้มผลงานแฟนตาซีโดดเด่นโดยผู้ประพันธ์ใหม่สำหรับหนังสือเด็กบลูมส์บิวรี แนะนำให้รับหนังสือ และธิดาของประธานบริหารของบลูมส์บิวรีวัยแปดขวบกล่าวว่า มัน "ดีกว่าเล่มอื่นมาก"การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร. บลูมส์บิวรีตอบรับหนังสือ โดยจ่ายโรว์ลิงล่วงหน้า 2,500 ปอนด์ และคันนิงแฮมส่งสำเนาต้นฉบับถึงผู้ประพันธ์ นักวิจารณ์และผู้ขายหนังสือที่ได้รับเลือกอย่างระวังเพื่อเอาความเห็นที่จะสามารถยกมาเมื่อวางขายหนังสือ เขากังวลถึงความยาวหนังสือน้อยกว่าชื่อผู้ประพันธ์ เพราะชื่อเรื่องฟังคล้ายหนังสือเด็กชาย และเด็กชายนิยมหนังสือผู้ประพันธ์ชาย ฉะนั้น โรว์ลิงจึงใช้นามปากกา เจ.เค. โรว์ลิง ไม่นานก่อนพิมพ์ ในเดือนมิถุนายน 2540 บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์ศิลาอาถรรพ์ ทีแรกจำนวน 500 เล่มเป็นปกแข็ง ซึ่งสามร้อยเล่มถูกจำหน่ายไปห้องสมุดต่าง ๆ ชื่อเดิม "โจแอนน์ โรว์ลิง" ของเธอ พบเป็นตัวพิมพ์เล็ก ๆ ในหน้าลิขสิทธิ์ของฉบับพิมพ์ในอังกฤษครั้งแรกนี้ (ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ปี 2541 ตัดการพาดพิงถึง "โจแอนน์" อย่างสิ้นเชิง) การพิมพ์ครั้งแรกเป็นจำนวนน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับนวนิยายเล่มแรก และคันนิงแฮมหวังว่าผู้ขายหนังสือจะอ่านหนังสือ และแนะนำให้ลูกค้า ตัวอย่างจากการพิมพ์ครั้งแรกนี้ที่มีมูลค่าสูง คือ ในการประมูลเฮอริเทจปี 2550 ขายได้ราคาถึง 33,460 ดอลลาร์สหรัฐ ลินซีย์ เฟรเซอร์ (Lindsey Fraser) หนึ่งในผู้ให้ความเห็นในคำนิยม เขียนสิ่งที่คาดว่าเป็นบทปริทัศน์จัดพิมพ์ชิ้นแรก ในเดอะสกอตส์แมน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 เธออธิบายแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ว่า "เรื่องตื่นเต้นน่าบันเทิงมาก" และโรว์ลิงว่า "ผู้เขียนสำหรับเด็กชั้นหนึ่ง" บทปริทัศน์ช่วงแรก ๆ อีกบทหนึ่ง ในเดอะเฮรัลด์ ว่า "ฉันยังไม่เจอเด็กที่วางมันลงได้" หนังสือพิมพ์นอกสกอตแลนด์เริ่มสังเกตหนังสือ โดยมีบทปริทัศน์ยกย่องในเดอะการ์เดียน เดอะซันเดย์ไทมส์ และเดอะเมลออนซันเดย์ และในเดือนกันยายน 2540 บุ๊กส์ฟอร์คีพส์ นิตยสารซึ่งว่าด้วยหนังสือเด็กโดยเฉพาะ ให้นวนิยายนี้สี่ดาวเต็มห้า เดอะเมลออนซันเดย์ ประเมินว่า "การประเดิมอันเปี่ยมจินตนาการที่สุดนับแต่โรอาลด์ ดาห์ล" ซึ่งเป็นความเห็นที่ประสานกับเดอะซันเดย์ไทมส์ ("คราวนี้ การเปรียบกับดาห์ลชอบแล้ว") ขณะที่เดอะการ์เดียนเรียกว่า "นวนิยายเนื้อดีซึ่งอัจฉริยะสร้างสรรค์ปล่อยทะยาน" และเดอะสกอตส์แมน กล่าวว่า "มีคุณสมบัติของคลาสสิกทุกประการ" ฉบับสหราชอาณาจักรปี 2540 ได้รางวัลหนังสือแห่งชาติและเหรียญทองรางวัลหนังสือเนสเล่ สมาร์ตีส์หมวด 9 ถึง 11 ปี รางวัลสมาร์ตีส์ ซึ่งเด็กเป็นผู้ออกเสียง ทำให้หนังสือดังภายในหกเดือนของการพิมพ์ ขณะที่หนังสือเด็กส่วนใหญ่ต้องรอเป็นปี ๆ ปีต่อมา ศิลาอาถรรพ์กวาดรางวัลอังกฤษซึ่งเด็กเป็นผู้ตัดสินใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังอยู่ในรายการท้าชิงรางวัลหนังสือเด็กที่ผู้ใหญ่ตัดสิน แต่ไม่ชนะ ซานดรา เบ็กเคตต์ออกความเห็นว่า หนังสือซึ่งได้รับความนิยมกับเด็กถือว่าต้องใช้ความพยายามน้อย (undemanding) และไม่อยู่ในมาตรฐานวรรณกรรมสูงสุด ตัวอย่างเช่น สถาบันวรรณกรรมรังเกียจงานของโรอาลด์ ดาห์ล แต่เป็นที่นิยมท่วมท้นของเด็กก่อนหนังสือของโรว์ลิงปรากฏ ในปี 2546 นวนิยายนี้อยู่ในรายการที่อันดับ 22 ในการสำรวจเดอะบิ๊กรีดของบีบีซี แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้สองรางวัลอุตสาหกรรมจัดพิมพ์ซึ่งให้สำหรับการขายมากกว่าคุณค่าวรรณกรรม คือ หนังสือเด็กแห่งปีของรางวัลหนังสืออังกฤษ และผู้ประพันธ์แห่งปีของสมาคมผู้ขายหนังสือ / บุ๊กเซลเลอร์ เมื่อเดือนมีนาคม 2542 ฉบับสหราชอาณาจักรขายได้กว่า 300,000 เล่ม และเรื่องนี้ยังเป็นหนังสือขายดีที่สุดของสหราชอาณาจักรในเดือนธันวาคม 2544 ฉบับอักษรเบรลล์จัดพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2541 โดยสำนักพิมพ์เบรลล์สกอตแลนด์ ชานชาลาที่ 9¾ อันเป็นที่ซึ่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์ออกจากกรุงลอนดอน มีการอนุสรณ์ในสถานีรถไฟคิงส์ครอสในชีวิตจริงด้วยสัญลักษณ์และรถเข็นที่ดูเหมือนกำลังผ่านทะลุกำแพงการพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา การพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา. บริษัทสกอลาสติกซื้อสิทธิ์การพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาที่เทศกาลหนังสือโบโลญญาเมื่อเดือนเมษายน 2540 เป็นเงิน 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นจำนวนเงินสูงผิดปกติสำหรับหนังสือเด็ก พวกเขาคาดว่าเด็กจะไม่อยากอ่านหนังสือที่มีคำว่า "นักปราชญ์" (philosopher) ในชื่อเรื่อง และหลังอภิปรายบ้าง ก็ได้มีการจัดพิมพ์ฉบับอเมริกันในเดือนกันยายน 2541 ภายใต้ชื่อเรื่องที่โรว์ลิงเสนอ คือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone (แปลตามอักษรว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาผู้วิเศษ") โรว์ลิงอ้างว่าเธอเสียใจการเปลี่ยนแปลงนี้และจะสู้หากเธออยู่ในฐานะที่แข็งแรงกว่าตอนนั้น ฟิลิป เนลชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เสียความเชื่อมโยงกับการเล่นแร่แปรธาตุ และมีการเปลี่ยนคำอื่นบางคำในการแปล ตัวอย่างเช่น จาก "crumpets" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็น "muffin" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แม้โรว์ลิงยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งจาก "mum" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชและ "mam" แบบภาษาไอริชที่เชมัส ฟินนิกันใช้ เป็น "mom" ใน Harry Potter and the Sorcerer's Stone แต่เธอคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้ในเล่มต่อ ๆ มา ทว่า เนลมองว่าการแปลของสกอลาสติกค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าการแปลส่วนใหญ่ที่กำหนดตามหนังสือภาษาอังกฤษแบบบริติชขณะนั้น และการเปลี่ยนแปลงอื่นบางอย่างอาจถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์อักษรที่มีประโยชน์ เพราะฉบับสหราชอาณาจักรเล่มแรก ๆ ในชุดจัดพิมพ์สองสามเดือนก่อนฉบับอเมริกัน ผู้อ่านชาวอเมริกันบางคนจึงคุ้นเคยกับรุ่นภาษาอังกฤษแบบบริติชหลังซื้อหนังสือทางอินเทอร์เน็ต ทีแรกผู้วิจารณ์ทรงเกียรติที่สุดละเลยหนังสือ โดยปล่อยให้สิ่งพิมพ์เผยแพร่ขายหนังสือและห้องสมุด เช่น เคอร์คัสรีวิวส์ (Kirkus Reviews) และบุ๊กลิสต์ ซึ่งพิจารณาหนังสือเฉพาะเกณฑ์ที่เน้นความบันเทิงของบันเทิงคดีเด็ก ทว่า บทปฏิทัศน์ผู้ชำนัญพิเศษที่เจาะลึกขึ้น (เช่น โดยโคออเพอเรทีฟชิลเดรนส์บุ๊กเซ็นเตอร์ชอยส์ ซึ่งชี้ความซับซ้อน ความลึกและความต่อเนื่องของโลกที่โรว์ลิงสร้าง) ดึงดูดความสนใจของนักวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์หลัก ๆ แม้เดอะบอสตันโกลบ และ Michael Winerip ในเดอะนิวยอร์กไทมส์ บ่นว่าบทท้าย ๆ เป็นส่วนที่อ่อนที่สุดของหนังสือ พวกเขาและนักวิจารณ์ชาวอเมริกันอื่นส่วนมากให้การยกย่อง ปีต่อมา ฉบับสหรัฐอเมริกาได้รับเลือกเป็นหนังสือเด่นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของพับลิเชอส์วีกลี และหนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของหอสมุดสาธารณะนิวยอร์ก และคว้ารางวัลหนังสือแห่งปี 2541 ของนิตยสารเพเรนติง หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปีของวารสารห้องสมุดโรงเรียน และหนังสือยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใหญ่ตอนต้นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน ในเดือนสิงหาคม 2542 Harry Potter and the Sorcerer's Stone แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีที่สุดของนิวยอร์กไทมส์ และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นเวลาส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 จนนิวยอร์กไทมส์ แบ่งรายการออกเป็นส่วนหนังสือเด็กและผู้ใหญ่ภายใต้แรงกดดันจากสำนัดพิมพ์อื่นที่ใคร่เห็นหนังสือของตนได้อันดับดีขึ้น รายงานของพับลิเชอร์วีกลีเมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่าด้วยยอดขายสะสมของบันเทิงคดีเด็กได้จัดอันดับ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ในอันดับที่ 19 ในหมวดปกแข็ง (กว่า 5 ล้านเล่ม) และอันดับที่ 7 ในหมวดปกอ่อน (กว่า 6.6 ล้านเล่ม) ในเดือนพฤษภาคม 2551 สกอลาสติกประกาศการสร้างฉบับครบรอบปีที่ 10 ของหนังสือ ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อเป็นสัญลักษณ์วันครบรอบปีที่สิบการวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาดั้งเดิม สำหรับวันครบรอบปีที่สิบห้าของหนังสือ สกอลาสติกออก Sorcerer's Stone ใหม่ กับนวนิยายอีกหกเล่มในชุด กับภาพปกใหม่โดยคะซุ คิบุอิชิ ในปี 2556การแปล การแปล. เมื่อกลางปี 2551 มีการจัดพิมพ์การแปลหนังสืออย่างเป็นทางการใน 67 ภาษา บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์การแปลในภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ ซึ่งฉบับภาษากรีกโบราณนี้ได้รับอธิบายว่าเป็น "ร้อยแก้วภาษากรีกโบราณชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขียนในหลายศตวรรษ"ลีลาและแก่นเรื่อง ลีลาและแก่นเรื่อง. ฟิลิป เนลเน้นอิทธิพลของเจน ออสเตน ซึ่งโรว์ลิงเทิดทูนอย่างสูงตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ผู้ประพันธ์ทั้งสองกระตุ้นให้อ่านซ้ำ เพราะรายละเอียดที่ดูด้อยความสำคัญเกริ่นการณ์สำคัญหรือตัวละครในเนื้อเรื่องภายหลัง ตัวอย่างเช่น มีการพาดพิงถึงซิเรียส แบล็กสั้น ๆ ใกล้ตอนต้นของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แล้วกลายเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งในหนังสือเล่มที่สามถึงห้า เช่นเดียวกับวีรสตรีของออสเตน แฮร์รี่มักต้องกลับทบทวนความคิดของเขาในช่วงท้ายเล่ม พฤติกรรมสังคมบางอย่างในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ชวนให้นึกถึงออสเตน เช่น การอ่านจดหมายสาธารณะอย่างตื่นเต้น ผู้ประพันธ์ทั้งสองเสียดสีพฤติกรรมสังคมและให้ชื่อตัวละครซึ่งแสดงบุคลิกภาพของพวกเขา ทว่า ในความเห็นของเนล ความขบขันของโรว์ลิงยึดภาพล้อมากกว่า และชื่อที่เธอประดิษฐ์นั้นคล้ายกับที่พบในนิยายของชาร์ลส์ ดิกคินส์มากกว่า และอะแมนดา ค็อกเรล (Amanda Cockrell) สังเกตว่า ชื่อเหล่านี้จำนวนมากแสดงลักษณะตัวละครผ่านการอ้างถึงซึ่งไล่ตั้งแต่เทพปกรณัมโรมันโบราณจนถึงวรรณคดีภาษาเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 โรว์ลิงคิดว่าไม่มีความแตกต่างตายตัวระหว่างนิยายสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับ ซี. เอส. ลิวอิส ผู้ประพันธ์ชุดนาร์เนีย เนลยังสังเกตว่า โรว์ลิงประสมวรรณคดีหลายประเภท เช่น แฟนตาซี บันเทิงคดีผู้ใหญ่ตอนต้น นิยายโรงเรียนกินนอน บิลดุงซโรมัน (Bildungsroman) และอื่น ๆ อีกมาก นักวิจารณ์บางส่วนเปรียบเทียบศิลาอาถรรพ์ กับนิยายของโรอาลด์ ดาห์ล ผู้เสียชีวิตในปี 2533 มีการยกย่องผู้เขียนหลายคนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ว่าเป็นผู้สืบทอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงความนิยมของเขากับเด็กได้เลย และในการสำรวจความเห็นไม่นานหลังศิลาอาถรรพ์ ออก หนังสือเด็กยอดนิยมสิบอันดับเป็นของดาห์ลเสียเจ็ดเล่ม รวมทั้งอันดับหนึ่ง ผู้ประพันธ์เด็กซึ่งเป็นที่นิยมจริง ๆ อีกคนหนึ่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ อาร์. แอล. สตีน ชาวอเมริกัน ส่วนเรื่องบางส่วนในศิลาอาถรรพ์ คล้ายกับเรื่องของดาห์ล ตัวอย่างเช่น พระเอกเรื่อง เจมส์กับพีชยักษ์ (James and the Giant Peach) เสียบิดามารดาและต้องอยู่กับป้าไม่พึงปรารถนาคู่หนึ่ง คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมคล้ายคุณและคุณนายเดอร์สลีย์ ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อแฮร์รี่เยี่ยงคนรับใช้ ทว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นการสร้างสรรค์เห็นได้ชัด คือ สามารถรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ขณะภายในยังเป็นเด็ก บรรณารักษ์ Nancy Knapp และศาสตราจารย์การตลาด สตีเฟน บราวน์ สังเกตความมีชีวิตชีวาและรายละเอียดการพรรณนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากร้านค้าอย่างตรอกไดแอกอน แทด เบรนแนนออกความเห็นว่า การเขียนของโรว์ลิงคล้ายกับของโฮเมอร์ คือ "รวดเร็ว เรียบง่ายและแสดงออกตรง" สตีเฟน คิงยกย่องว่า "รายละเอียดขี้เล่นประเภทที่มีเฉพาะนักแฟนตาซีอังกฤษเท่านั้นที่ดูสามารถ" และสรุปว่า พวกมันได้ผลเพราะโรว์ลิงชอบหัวเราะคิก ๆ เร็ว ๆ แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง นิโคลัส ทักเคอร์อธิบายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ๆ ว่าดูย้อนไปนิยายเด็กสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด โดยฮอกวอตส์เป็นโรงเรียนกินนอนแบบเก่าซึ่งครูเรียกนักเรียนอย่างเป็นทางการด้วยนามสกุล แลกังวลมากสุดกับชื่อเสียงของบ้านที่สังกัด บุคลิกภาพของตัวละครแสดงอย่างเรียบ ๆ โดยลักษณะภายนอกของพวกเขา เริ่มจากครอบครัวเดอร์สลีย์ ตัวละครชั่วร้ายหรือมุ่งร้ายจะถูกกำจัดมากกว่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวมคุณนายนอร์ริส แมวของฟิลช์ และพระเอก เด็กกำพร้าซึ่งถูกข่มเหงผู้พบสถานที่แท้จริงของเขาในชีวิต มีเสน่ห์และเล่นกีฬาเก่ง แต่เห็นใจผู้อื่นและปกป้องผู้อ่อนแอ ผู้ให้ความเห็นหลายคนยังแถลงว่าหนังสือนำเสนอสังคมจัดช่วงชั้นอย่างสูงซึ่งรวมภาพลักษณ์สังคมจำนวนมาก ทว่า คาริน เวสเตอร์แมนลากเส้นขนานกับบริเตนสมัยคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ ระบบชนชั้นซึ่งกำลังพังทลายแต่ถูกผู้ที่มีอำนาจและสถานภาพสนับสนุนป้องกัน องค์ประกอบหลายชาติพันธุ์ของนักเรียนฮอกวตอส์ ความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติระหว่างหลายสปีชีส์ทรงปัญญา และการแกล้งในโรงเรียน ซูซาน ฮอลเขียนว่าไม่มีหลักนิติธรรมในหนังสือ จากการกระทำของข้าราชการกระทรวงเวทมนตร์ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ภาระความรับผิดหรือการคัดค้านทางกฎหมายทุกชนิด จึงเป็นโอกาสสำหรับโวลเดอมอร์ที่เสนอระเบียบแบบน่ากลัวของเขา แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งถูกเลี้ยงในโลกมักเกิ้ลที่มีการวางระเบียบสูงได้รับผลข้างเคียง คือ หาทางออกโดยคิดในวิถีซึ่งมดไม่คุ้นชิน ตัวอย่างเช่น เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าอุปสรรคหนึ่งในการหาศิลาอาถรรพ์เป็นการทดสอบตรรกะมิใช่อำนาจเวทมนตร์ และมดส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ได้ เนลเสนอว่า การสร้างลักษณะสัญนิยม รู้จักฐานะและวัตถุนิยมสุดขีดของครอบครัวเดอร์สลีย์เป็นปฏิกิริยาของโรว์ลิงต่อนโยบายครอบครัวของรัฐบาลอังกฤษช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ซึ่งถือคู่สมรสต่างเพศเป็น "บรรทัดฐานพึงปรารถนา" ขณะที่โรว์ลิงเป็นแม่คนเดียว ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับมดผู้ใหญ่และวัยรุ่นยึดความชอบและความภักดี ซึ่งสะท้อนเป็นความสุขของเขาเมื่อเขาเป็นสมาชิกชั่วคราวของครอบครัววีสลีย์ตลอดชุด และในการปฏิบัติต่อรูเบียส แฮกริดทีแรก และรีมัส ลูปินและซิเรียส แบล็กเป็นเสมือนพ่อในเวลาต่อมามรดกภาคต่อ มรดก. ภาคต่อ. เล่มสอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ เดิมจัดพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 จากนั้น แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน จัดพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8 กรกฎาคม 2542 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 8 กันยายน 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี จัดพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม 2543 พร้อมกันทั้งบลูมส์บิวรีและสกอลาสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นเล่มที่ยาวที่สุดในชุด รุ่นสหราชอาณาจักรมี 766 หน้า และรุ่นสหรัฐอเมริกามี 870 หน้า จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั่วโลกเมื่อ 21 มิถุนายน 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม จัดพิมพ์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2548 และขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขายทั่วโลก 24 ชั่วโมงแรก นวนิยายเล่มที่เจ็ดและเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต จัดพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2550 หนังสือขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกเช่นกันฉบับภาพยนตร์ ฉบับภาพยนตร์. ในปี 2542 โรว์ลิงขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้วอร์เนอร์บราเธอร์สเป็นมูลค่าที่รายงาน 1 ล้านปอนด์ (1,982,900 ดอลลาร์สหรัฐ) โรว์ลิงต้องการให้ตัวละครหลักเป็นชาวอังกฤษอย่างเข้มงวดแต่อนุญาตให้คัดเลือกนักแสดงชาวไอร์แลนด์อย่างริชาร์ด แฮริสวัยชราและนักแสดงต่างประเทศเป็นสัญชาติเดียวกับตัวละครในเล่มหลัง ๆ หลังการคัดตัวอย่างกว้างขวาง การถ่ายทำเริ่มในเดือนตุลาคม 2543 ที่สตูดิโอภาพยนตร์ลีเวสเดนและในกรุงลอนดอน โดยการถ่ายทำจบในเดือนกรกฎาคม 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ฉายในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544 ความเห็นของนักวิจารณ์เป็นบวก สะท้อนโดยเฟรชเรตติง 80% ทางรอตเทินโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes) และคะแนน 64% ที่เมตาคริติก ซึ่งแสดง "บทปริทัศน์ชื่นชอบโดยทั่วไป"วิดีโอเกม วิดีโอเกม. วิดีโอเกมที่ยึดหนังสืออย่างหลวม ๆ ออกจำหน่ายระหว่างปี 2544 ถึง 2546 โดยทั่วไปภายใต้ชื่อเรื่องอเมริกัน Harry Potter and the Sorcerer's Stone ส่วนมากจัดจำหน่ายโดยอิเล็กทรอนิก อาตส์ แต่ก็มีที่ผลิตโดยผู้ผลิตอื่นบ้างการใช้ในการศึกษาและธุรกิจ การใช้ในการศึกษาและธุรกิจ. นักการศึกษาพบว่า การรู้หนังสือของเด็กสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนคำที่อ่านต่อปี และเด็กนั้นจะยิ่งอ่านมากหากพบสื่อที่ชอบ การสำรวจปี 2544 โดยนิวยอร์กไทมส์ ประเมินว่า เด็กสหรัฐเกือบ 60% อายุระหว่าง 6 ถึง 17 ปีเคยอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเล่ม การสำรวจในประเทศอื่น ซึ่งรวมประเทศอินเดียและแอฟริกาใต้ พบว่า เด็กกระตือรือร้นเกี่ยวกับนวนิยายชุดนี้ เพราะกระทั่งหนังสือสองเล่มแรกยังค่อนข้างยาว เด็กที่อ่านสี่เล่มแรกจะอ่านกว่าสี่เท่าของจำนวนหน้าของหนังสืออ่านของโรงเรียนทั้งปี ซึ่งเพิ่มทักษะและแรงจูงใจการอ่านของเด็กอย่างสูง ผู้เขียนในหัวข้อการศึกษาและธุรกิจใช้หนังสือนี้เป็นบทเรียนวัตถุ (object lesson) การเขียนเกี่ยวกับการสอนทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์ เจนนิเฟอร์ คอนน์เปรียบเทียบความชำนาญเทคนิคของสเนปกับพฤติกรรมข่มขู่ของเขาต่อนักเรียน กับอีกด้านหนึ่ง มาดามฮู้ช โค้ชควิดดิช ที่แสดงเทคนิคมีประโยชน์ในการสอนทักษะกายภาพ ซึ่งรวมการแบ่งการกระทำซับซ้อนออกเป็นลำดับการกระทำง่าย ๆ และช่วยนักเรียนให้เลี่ยงข้อผิดพลาดพบบ่อย จอยซ์ ฟีลดส์ เขียนว่า หนังสือแสดงหัวข้อหลักสี่ในห้าหัวข้อในชั้นเรียนสังคมวิทยาปีหนึ่งตรงแบบ ได้แก่ มโนทัศน์สังคมวิทยาซึ่งรวมวัฒนธรรม สังคมและการขัดเกลาทางสังคม การจัดช่วงชั้นในสังคมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม สถาบันสังคม และทฤษฎีสังคม" สตีเฟน บราวน์สังเกตว่า หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นความสำเร็จนอกเหนือการควบคุมแม้มีการตลาดไม่เพียงพอและจัดระเบียบอย่างเลว บราวน์แนะนำผู้บริหารการตลาดให้หมกมุ่นกับการวิเคราะห์สถิติอย่างเคร่งครัดและแบบจำลอง "วิเคราะห์ วางแผน นำไปปฏิบัติและควบคุม" ของการจัดการ เขาแนะนำว่าพวกเขาควรถือเรื่องนี้เป็น "มาสเตอร์คลาส (masterclass) การตลาด" ซึ่งเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์และชื่อตราสินค้าน่าจูงใจแทน ตัวอย่างเช่น มีการริเริ่มสิ่งคล้ายคลึงในโลกจริงของถั่วทุกรสของเบอร์ตีบอตต์ภายใต้ใบอนุญาตในปี 2543 โดยผู้ผลิตของเล่น แฮสโบร
|
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตัวละครหลักในนวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีแผลเป็นรูปอะไรอยู่บนหน้าผาก
|
{
"answer": [
"สายฟ้า"
],
"answer_begin_position": [
11770
],
"answer_end_position": [
11776
]
}
|
2,221 | 78,353 |
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ () เป็นนวนิยายเล่มแรกในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ และนวนิยายประเดิมของเจ. เค. โรว์ลิง โครงเรื่องติดตามแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดหนุ่มผู้ค้นพบมรดกเวทมนตร์ของเขา พร้อมกับสร้างเพื่อนสนิทและศัตรูจำนวนหนึ่งในปีแรกที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ด้วยความช่วยเหลือของมิตร แฮร์รี่เผชิญกับความพยายามหวนคืนของพ่อมดมืด ลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งฆ่าบิดามารดาของแฮร์รี่ แต่ไม่สามารถฆ่าเขาได้เมื่ออายุหนึ่งขวบ บลูมส์บิวรีในกรุงลอนดอนจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ในปี 2541 บริษัทสกอลาสติกจัดพิมพ์ฉบับสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อเรื่อง Harry Potter and the Sorcerer's Stone นวนิยายดังกล่าวชนะรางวัลหนังสืออังกฤษส่วนใหญ่ซึ่งตัดสินโดยเด็ก และรางวัลอื่นในสหรัฐอเมริกา หนังสือนี้แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีของนิวยอร์กไทมส์ ในเดือนสิงหาคม 2542 และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 มีการแปลเป็นภาษาอื่นอีกหลายภาษา และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน บทปริทัศน์ส่วนใหญ่ชื่นชอบมาก โดยออกความเห็นต่อจินตนาการ ความขบขัน ความเรียบง่าย ลีลาตรงไปตรงมาและการสร้างโครงเรื่องที่ฉลาดของโรว์ลิง แม้บ้างติว่า บทท้าย ๆ ดูรวบรัด มีการเปรียบเทียบงานนี้กับงานของเจน ออสเตน ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์คนโปรดคนหนึ่งของโรว์ลิง หรือโรอาลด์ ดาห์ล ซึ่งงานของเขาครอบงำเรื่องสำหรับเด็กก่อนมีแฮร์รี่ พอตเตอร์ และโฮเมอร์ นักเล่านิยายกรีกโบราณ แม้นักวิจารณ์บางส่วนคิดว่า หนังสือนี้ดูย้อนกลับไปเรื่องโรงเรียนกินนอนสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด แต่นักวิจารณ์อื่น ๆ คิดว่า หนังสือนี้วางประเภทอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างแนบแน่นโดยมีลักษณะประเด็นจริยธรรมและสังคมร่วมสมัย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ร่วมกับที่เหลือของชุดถูกกลุ่มศาสนาหลายกลุ่มโจมตีและห้ามในบางประเทศเพราะกล่าวหาว่านวนิยายนี้ส่งเสริมเวทมนตร์คาถา แต่นักวิจารณ์คริสตศาสนิกบางคนเขียนว่า หนังสือนี้ยกตัวอย่างมุมมองที่สำคัญของศาสนาคริสต์หลายอย่าง ซึ่งรวมอำนาจของการสละตนเองและวิธีซึ่งการตัดสินใจของบุคคลก่อเป็นบุคลิกภาพของเขา นักการศึกษาถือว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหนังสือตามมาเป็นตัวช่วยพัฒนาการรู้หนังสือที่สำคัญเพราะความนิยม นอกจากนี้ ยังใช้หนังสือชุดนี้เป็นแหล่งตัวอย่างในเทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์สังคมวิทยาและการตลาดเรื่องย่อโครงเรื่อง เรื่องย่อ. โครงเรื่อง. ก่อนนวนิยายเริ่ม ลอร์ดโวลเดอมอร์ซึ่งถือเป็นพ่อมดมืดที่ชั่วร้ายและทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ฆ่าคู่สามีภรรยา เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ แต่หายไปอย่างลึกลับหลังพยายามฆ่าแฮร์รี่ บุตรทารกของพวกเขา ขณะที่โลกพ่อมดเฉลิมฉลองการหมดอำนาจของโวลเดอมอร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล และรูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์ ส่งทารกวัยหนึ่งขวบไปอยู่ในการดูแลของป้าและลุงมักเกิ้ล (ผู้มิใช่พ่อมด) ซึ่งขี้หงุดหงิดและเย็นชาของเขา คือ เวอร์นอนและเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ กับดัดลีย์ บุตรที่ถูกตามใจและอันธพาลของพวกเขา สิบปีต่อมา ขณะอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต แฮร์รี่ถูกครอบครัวเดอร์สลีย์ทรมาน คือ ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นทาสมากกว่าสมาชิกครอบครัว ไม่นานก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของเขา มีจดหมายจำนวนมากจ่าถึงแฮร์รี่มาแต่เวอร์นอนทำลายพวกมันก่อนแฮร์รี่จะได้อ่าน แต่นำให้จดหมายไหลบ่ามามากขึ้น เพื่อหนีการไล่ล่าของจดหมาย ทีแรกเวอร์นอนพาครอบครัวไปโรงแรมแห่งหนึ่ง และเมื่อจดหมายยังมาถึงที่นั่น เขาขับรถพาทั้งหมดไปยังเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเที่ยงคืนของวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ แฮกริดพังประตูเข้ามาและมอบจดหมายให้แฮร์รี่และบอกสิ่งที่ครอบครัวเดอร์สลีย์ปิดบังไว้จากเขา คือ แฮร์รี่เป็นพ่อมดและฮอกวอตส์รับเขาเข้าเรียน แฮกริดพาแฮร์รี่ไปตรอกไดแอกอน บริเวณร้านค้าในกรุงลอนดอนที่ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ ที่ซึ่งแฮร์รี่งุนงงเมื่อพบว่าเขามีชื่อเสียงท่ามกลางพ่อมดแม่มดในฉายา "เด็กชายผู้รอดชีวิต" เขายังพบว่าเขาค่อนข้างรวย เพราะทรัพย์จากบิดามารดาเขายังฝากไว้ที่ธนาคารมดกริงกอตส์ แฮร์รี่ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้สำหรับปีแรกที่ฮอกวอตส์ สิ่งหนึ่งที่แฮร์รี่ต้องซื้อสำหรับปีที่จะถึงที่ฮอกวอตส์ คือ ไม้กายสิทธิ์ ที่ร้านไม้กายสิทธิ์ เขาพบว่าไม้กายสิทธิ์ที่เหมาะกับเขาที่สุดเป็นแฝดกับไม้กายสิทธิ์ของโวลเดอมอร์ คือ ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองมีขนนกจากฟีนิกซ์ตัวเดียวกัน แฮร์รี่ยังไปพร้อมกับสัตว์เลี้ยงใหม่ (และของขวัญวันเกิดจากแฮกริด) เป็นนกฮูกที่เขาตั้งชื่อว่า เฮ็ดวิก หนึ่งเดือนให้หลัง แฮร์รี่จากบ้านของครอบครัวเดอร์สลีย์เพื่อนั่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์จากสถานีรถไฟคิงส์ครอส ที่นั่นเขาพบครอบครัววีสลีย์ซึ่งแสดงวิธีผ่านกำแพงเวทมนตร์ไปชานชาลาที่ 9¾ แก่เขา อันเป็นที่ที่รถไฟซึ่งจะพาพวกเขาไปฮอกวอตส์กำลังรออยู่ ขณะอยู่บนรถไฟ แฮร์รี่ผูกมิตรกับรอน วีสลีย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีผู้พยายามปล้นห้องนิรภัยห้องหนึ่งที่กริงกอตส์ พวกเขาอภิปรายกันเรื่องปีการศึกษาที่จะถึงซึ่งแฮร์รี่ทั้งกังวลและตื่นเต้น ระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเขา แฮร์รี่ยังสร้างศัตรูบนเที่ยวนี้ด้วย เป็นปีหนึ่งเหมือนกับเขา คือ เดรโก มัลฟอย เดรโกกับเพื่อนเขลาของเขา วินเซนต์ แครบบ์และเกรกอรี กอยล์เสนอแนะนำแฮร์รี่ แต่แฮร์รี่ไม่ชอบเกรโกตรงความยโสและความเดียดฉันท์ของเขาและปฏิเสธข้อเสนอ "มิตรภาพ" ของเขา ก่อนอาหารเย็นมื้อแรกของภาคเรียนในห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน นักเรียนปีหนึ่งถูกหมวกคัดสรรคัดสรรไปบ้านต่าง ๆ ขณะที่แฮร์รี่กำลังถูกคัดสรร หมวกแนะให้เขาไปบ้านสลิธีรินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของพ่อมดแม่มดมืด แต่เมื่อแฮร์รี่ปฏิเสธ หมวกก็ส่งเขาไปบ้านกริฟฟินดอร์ซึ่งเป็นบ้านคู่แข่งของสลิธีริน รอนและเฮอร์ไมโอนี่ก็ถูกคัดสรรเข้าบ้านกริฟฟินดอร์เช่นกัน เกรโกถูกคัดสรรเข้าบ้านสลิธีรินซึ่งตามประเพณีครอบครัวของเขาถูกคัดสรรเข้าบ้านนั้นเป็นเวลาหลายสมัยแล้ว ระหว่างมื้อ แฮร์รี่จับตาศาสตราจารย์เซเวอร์รัส สเนปและรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นที่โวลเดอมอร์ทิ้งไว้บนหน้าผากเขา หลังชั้นเรียนปรุงยาคาบแรกกับสเนปอันเลวร้าย แฮร์รี่และรอนไปเยี่ยมแฮกริด (ผู้รักษาที่ดินฮอกวอตส์) ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมตรงชายป่าต้องห้าม จากนั้น พวกเขาทราบว่า ความพยายามปล้นที่กริงกอตส์เกิดขึ้นวันเดียวกับที่แฮร์รี่ถอนเงินจากห้องนิรภัยของเขา แฮร์รี่จำได้ว่าแฮกริดนำถุงเล็ก ๆ จากห้องนิรภัยซึ่งถูกบุก ระหว่างชั้นเรียนขี่ไม้กวาดครั้งแรกของปีหนึ่ง เพื่อนกริฟฟินดอร์ เนวิลล์ ลองบัตท่อมทำข้อมือหักและถูกอาจารย์พาไปห้องพยาบาล เดรโกฉวยโอกาสโยนลูกแก้วเตือนความจำของเนวิลล์ขี้ลืม ซึ่งเนวิลล์ทำตกไว้เพราะอุบัติเหตุ ขึ้นไปในอากาศ แฮร์รี่ไล่ตามบนไม้กวาด และจับลูกแก้วได้เหนือพื้นไม่กี่ฟุต แฮร์รี่ไม่ทราบว่าศาสตราจารย์มักกอนนากัล หัวหน้าบ้านกริฟฟินดอร์ สังเกตความสามารถบนไม้กวาดของเขา เธอเร่งรุดมาและแต่งตั้งเขาเป็นซีกเกอร์คนใหม่ของทีมควิดดิชกริฟฟินดอร์ เมื่อเดรโกลวงแฮร์รี่และรอน ร่วมกับเนวิลล์และเฮอร์ไมโอนี่ สู่การเดินทางยามเที่ยงคืน พวกเขาเข้าโถงต้องห้ามโดยอุบัติเหตุและพบหมาสามหัวตัวมหึมา ทั้งกลุ่มรีบถอย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าหมานั้นกำลังยืนเหนือประตูกล แฮร์รี่สรุปว่า สัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าหีบห่อที่แฮกริดนำมาจากกริงกอตส์ หลังรอนวิจารณ์ความสามารถเกินหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ในวิชาคาถา เธอก็ไปซ่อนอยู่ในห้องน้ำหญิงและร้องไห้ ที่งานเลี้ยงฮาโลวีน ศาสตราจารย์ควีเรลล์รายงานว่า โทรลล์ตัวหนึ่งเข้าคุกใต้ดิน ระหว่างที่ทุกคนกลับไปยังหอพักของพวกตน แฮร์รี่และรอนเร่งไปเตือนเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งไม่อยู่ที่งานเลี้ยงเพื่อฟังประกาศ โทรลล์ตนนั้นต้อนเฮอร์ไมโอนี่จนในห้องน้ำแต่แฮร์รี่และรอนช่วยเธอไว้ได้อย่างเงอะงะ จากนั้น เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับผิดแทนสำหรับการต่อสู้ และกลายเป็นมิตรเหนียวแน่นของสองเด็กชาย เย็นก่อนการแข่งขันควิดดิชครั้งแรกของแฮร์รี่ เขาเห็นสเนปรับการรักษาจากฟิลช์สำหรับรอยกัดที่เท้าเขาอันเกิดจากหมาสามหัว ระหว่างเกม ไม้กวาดของแฮร์รี่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ชีวิตเขาอยู่ในอันตราย และเฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าสเปนจ้องแฮร์รี่และกำลังพึมพำ โดยสรุปว่าสเนปรับผิดชอบต่อไม้กวาดพยศของแฮร์รี่ เธอรีบไปยังอัฒจรรย์ของศาสตราจารย์ น็อกควีเรลล์ในระหว่างที่เร่งด่วน แล้วจุดไฟใส่เสื้อคลุมของสเนป แฮร์รี่กลับควบคุมไม้กวาดของเขาและจับลูกสนิชสีทอง และคว้าชัยชนะให้กริฟฟินดอร์ แฮกริดปฏิเสธจะเชื่อว่าสเนปเป็นตัวการทำให้แฮร์รี่ตกอยู่ในอันตราย แต่แย้มว่า เขาซื้อหมาสามหัว (ชื่อ ปุกปุย) และสัตว์ประหลาดนั้นกำลังเฝ้าความลับอันเป็นของดัมเบิลดอร์และพ่อมดนาม นิโคลัส เฟลมเมล เมื่อปิดเทอมคริสต์มาส แฮร์รี่และครอบครัววีสลีย์อยู่ในฮอกวอตส์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลับบ้าน ของขวัญชิ้นหนึ่งที่แฮร์รี่ได้ คือ ผ้าคลุมล่องหนจากผู้ให้นิรนามซึ่งเป็นของบิดาเขา และขลุ่ยจากแฮกริด แฮร์รี่ใช้ผ้าคลุมค้นเขตหวงห้ามของห้องสมุดเพื่อหาสารสนเทศเกี่ยวกับเฟลมเมลผู้ลึกลับ และบังเอิญเจอห้องที่มีกระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งแสดงให้เห็นบิดามารดาและบรรพบุรุษของพวกเขาหลายคน แฮร์รี่กลายมาติดภาพของกระจก โดยเลือกใช้เวลากับ "ครอบครัว" เขา มากกว่าเพื่อนเขาที่ฮอกวอตส์ จนศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์มาช่วยเขา ผู้อธิบายว่ามันเพียงแสดงให้ผู้ชมเห็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด เมื่อนักเรียนที่เหลือกลับมาสำหรับเทอมหน้า เดรโกแกล้งเนวิลล์ และแฮร์รี่ปลอบเนวิลล์ด้วยขนมหวาน การ์ดสะสมที่ห่อด้วยขนมหวานนั้นระบุว่าเฟลมเมลเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่พบว่าเขาอายุ 665 ปี และครอบครองสิ่งที่เรียก ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งสามารถสกัดน้ำอมฤตได้ ไม่กี่วันให้หลัง แฮร์รี่สังเกตว่าสเนปย่องเข้าชายป่าต้องห้าม ที่นั่น เขาแอบได้ยินการสนทนาลับ ๆ ล่อ ๆ เกี่ยวกับศิลาอาถรรพ์ระหว่างสเนปกับควีเรลล์ แฮร์รี่สรุปว่าสเนปกำลังพยายามขโมยศิลาและควีเรลล์ช่วยเตรียมชุดการป้องกัน ซึ่งเป็นความผิดพลาดแทบร้ายแรง สามสหายพบว่าแฮกริดกำลังเลี้ยงมังกรทารกอันขัดต่อกฎหมายมด และจัดการลักลอบขนออกนอกประเทศราว ๆ เที่ยงคืน เดรโก ด้วยหวังก่อความเดือดร้อนแก่พวกเขา แจ้งต่อศาสตราจารย์มักกอนนากัล แม้มังกรถูกส่งไปอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาถูกจับได้นอกหอพัก แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ เดรโกและเนวิลล์ถูกทำโทษ และมอบหมายงานช่วยแฮกริด คือ ช่วยยูนิคอร์นที่บาดเจ็บหนักในป่าต้องห้าม พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มและออกเดินทางเข้าไปในป่า ซึ่งแฮร์รี่และเดรโกพบบุคคลใส่หมวกคลุมกำลังดื่มเลือดจากยูนิคอร์นที่บาดเจ็บ เมื่อทราบว่าพวกเขาอยู่ คน ๆ นั้นเข้าหาเด็กชายทั้งสองแต่เซนทอร์นาม ฟีเรนซี ช่วยแฮร์รี่ไว้ และเสนอให้เขาขี่กลับโรงเรียน ฟีเรนซีบอกแฮร์รี่ว่า การดื่มเลือดของยูนิคอร์นจะช่วยชีวิตของผู้ที่บาดเจ็บถึงตาย แต่ต้องแลกกับการมีชีวิตต้องสาปนับแต่ขณะนั้น ฟีเรนซีแนะว่า โวลเดอมอร์นั่นเองที่ดื่มเลือดยูนิคอร์นเพื่อให้มีกำลังเพียงพอทำน้ำอมฤต (จากศิลาอาถรรพ์) และได้สุขภาพบริบูรณ์จากการดื่มน้ำนั้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แฮร์รี่ทราบจากแฮกริดว่าเขาได้ไข่มังกรนั้นมาจากคนแปลกหน้าสวมชุดคลุมศีรษะ ผู้ถามวิธีผ่านปุกปุย ซึ่งแฮกริดยอมรับว่ามันง่าย คือ ดนตรีทำให้มันหลับ ด้วยตระหนักว่าการป้องกันศิลาอาถรรพ์อย่างหนึ่งไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แฮร์รี่จึงไปแจ้งดัมเบิลดอร์ แต่พบว่าอาจารย์ใหญ่เพิ่งออกเดินทางไปประชุมในกรุงลอนดอน แฮร์รี่สรุปว่าสเนปแปลงสารซึ่งเรียกดัมเบิลดอร์ไปและจะพยายามขโมยศิลาคืนนั้น แฮร์รี่ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องพิทักษ์ศิลาเองระหว่างที่ดัมเบิลดอร์ไม่อยู่ ทั้งสามคลุมผ้าคลุมล่องหน เข้าห้องของปุกปุย ซึ่งแฮร์รี่ทำให้สัตว์นั้นหลับโดยการเป่าขลุ่ยที่แฮกริดส่งให้แฮร์รี่เป็นของขวัญคริสต์มาส หลังยกประตูกล พวกเขาพบชุดอุปสรรค ซึ่งแต่ละด่านต้องอาศัยทักษะพิเศษซึ่งหนึ่งในสามมี และในอุปสรรคหนึ่ง รอนต้องเสียลละตัวเองในเกมหมากรุกพ่อมดขนาดเท่าจริง แม้ฝืนใจทิ้งรอนไว้เบื้องหลัง แต่แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่มาถึงห้องที่เต็มไปด้วยน้ำยาขนาดและสีต่าง ๆ หลังเฮอร์ไมโอนี่ไขคำทายที่กำหนดให้ เธอสั่งแฮร์รี่ให้ดื่มน้ำยาขวดใด แฮร์รี่กลืนยานั้น ทำให้เขาผ่านไฟเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยและเข้าห้องสุดท้าย ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ย้อนกลับไปช่วยรอนและแจ้งเหตุการณ์คืนนี้ให้ดัมเบิลดอร์ ในห้องสุดท้าย แฮร์รี่เพียงลำพัง พบควีเรลล์ซึ่งยอมรับว่าเขาพยายามฆ่าแฮร์รี่ในการแข่งขันควิดดิชนัดพบกับสลิธีริน เขายังยอมรับว่าเขาปล่อยโทรลล์เข้าฮอกวอตส์ ซึ่งหมายความว่า สเนปพยายามปกป้องแฮร์รี่มาตลอด และมิได้พยายามฆ่าเขา ควีเรลล์เป็นสาวกคนหนึ่งของโวลเดอมอร์ และหลังขโมยศิลาอาถรรพ์ล้มเหลวในคราวแรก เขาให้เจ้านายสิงสู่เขาเพื่อโวลเดอมอร์จะได้ศิลาเอง ทว่า งานนี้ดูเป็นงานยากเพราะวัตถุเดียวในห้อง คือ กระจกเงาแห่งเอริเซด ซึ่งไม่เปิดเผยที่อยู่ของศิลาแก่ควีเรลล์ ควีเรลล์ให้แฮร์รี่ยืนประจัญกระจกตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ กระจกแสดงภาพแฮร์รี่พบศิลา ควีเรลล์ถอดผ้าโพกหัว เผยให้เห็นใบหน้าของโวลเดอมอร์หลังศีรษะเขา โวลเดอมอร์/ควีเรลล์พยายามฉวยศิลาจากแฮร์รี่ แต่ล้มเหลว หลังต่อสู้ยาวนาน แฮร์รี่หมดสติไป เขาตื่นขึ้นในห้องพยาบาล ซึ่งดัมเบิลดอร์อธิบายว่าเขารอดชีวิตเพราะมารดาเขาสละชีพเพื่อพิทักษ์เขา และทั้งโวลเดอมอร์และควีเรลล์ไม่สามารถเข้าใจอำนาจความรักได้ โวลเดอมอร์ทิ้งควีเรลล์ให้ตายและน่าจะหวนคืนด้วยวิธีอื่น ตอนนี้ศิลาถูกทำลายแล้ว ปีการศึกษาจบด้วยงานเลี้ยง ซึ่งกริฟฟินดอร์ชนะถ้วยประจำบ้าน แฮร์รี่กลับบ้านครอบครัวเดอร์สลีย์ในวันหยุดฤดูร้อน แต่ไม่บอกเขาว่าพ่อมดอายุต่ำกว่าเกณฑ์ถูกห้ามมิให้ใช้เวทมนตร์นอกฮอกวอตส์ตัวละครหลักตัวละครหลัก. - แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นเด็กกำพร้าซึ่งโรว์ลิงจินตนาการว่าเป็น "เด็กชายหุ้มกระดูก มีผมดำ สวมแว่นตาซึ่งไม่รู้ว่าตัวเป็นพ่อมด" เธอพัฒนาเรื่องและตัวละครของชุดเพื่ออธิบายว่าแฮร์รี่มาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไรและชีวิตของเขาคลี่ออกจากตรงนั้นอย่างไร นอกจากบทแรก เหตุการณ์ในหนังสือนี้เกิดขึ้นก่อนวันเกิดปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ไม่นานและในปีหลังจากนั้น การโจมตีของโวลเดอมอร์ทิ้งแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากของแฮร์รี่ ซึ่งให้ความเจ็บปวดทิ่มแทงเมื่อโวลเดอมอร์มีอารมณ์รุนแรงใด ๆ แฮร์รี่มีความสามารถธรรมชาติอย่างยิ่งสำหรับควิดดิชและความสามารถโน้มน้าวเพื่อนโดยสุนทรพจน์ลึกซึ้ง - รอน วีสลีย์มีอายุไล่เลี่ยกับแฮร์รี่ และโรว์ลิงอธิบายเขาเป็นเพื่อนสนิทสุดยอด "อยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อคุณต้องการเขา" เขาเป็นกระ มีผมแดงและค่อนข้างสูง" เขาเติบโตในครอบครัวเลือดบริสุทธิ์ค่อนข้างใหญ่ เป็นลูกคนที่หกจากเจ็ดคน แม้ครอบครัวเขาค่อนข้างยากจน แต่ยังอยู่กันสบายมากและมีความสุข ความภักดีและความกล้าของเขาเมื่อเผชิญกับเกมหมากรุกพ่อมดเป็นส่วนสำคัญในการพบศิลาอาถรรพ์ - เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ธิดาของครอบครัวมักเกิ้ลล้วน เป็นเด็กหญิงจอมบงการซึ่งดูเหมือนจะจำตำราส่วนใหญ่ได้ก่อนเปิดเทอม โรว์ลิงอธิบายเฮอร์ไมโอนี่ว่าเป็นตัวละครที่ "มีเหตุผล ซื่อตรงและดีมาก" โดยมี "การขาดความมั่นคงมากและกลัวความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงภายใต้การเป็นคนเรียนหนักของเธอ" แม้ความพยายามน่ารำคาญของเธอเพื่อกันแฮร์รี่และรอนจากปัญหา แต่เธอกลายเป็นเพื่อนสนิทของเด็กชายทั้งสองเมื่อพวกเขาช่วยเธอจากโทรล และทักษะเวทมนตร์และการวิเคราะห์ของเธอมีส่วนสำคัญในการค้นหาศิลาอาถรรพ์ เธอมีผมสีน้ำตาลดกและฟันหน้าค่อนข้างใหญ่ - เนวิลล์ ลองบัตท่อมเป็นเด็กท้วมขี้อาย ขี้ลืมเสียจนย่าของเขาให้ลูกแก้วเตือนความจำมา ความสามารถเวทมนตร์ของเนวิลล์อ่อนมากและดูมาทันเวลาช่วยชีวิตเขาเมื่อตอนแปดขวบพอดี แม้ความขลาดของเขา เนวิลล์จะสู้กับทุกคนหลังได้รับการสนับสนุนบ้างหรือหากเขาคิดว่าถูกต้องและสำคัญ - รูเบอัส แฮกริด ลูกครึ่งยักษ์สูงเกือบ 12 ฟุต (3.7 เมตร) มีผมและเคราสีดำยุ่งเหยิง ถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์และไม้กายสิทธิ์ของเขา แต่ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ปล่อยให้เขาอยู่ในฐานะคนดูแลสัตว์ของโรงเรียน ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำให้เขาขยายความรักและเรียกชื่อสัตว์แม้สิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อันตรายที่สุด แฮกริดภักดีต่อดัมเบิลดอร์อย่างดุดันและกลายเป็นเพื่อนใกล้ชิดของแฮร์รี่ รอน และต่อมา เฮอร์ไมโอนี่ แต่ความไม่ระวังของเขาทำให้เขาพึ่งพาไม่ได้ - ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ชายสูงผอมผู้สวมแว่นตารูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีผมสีเงินและเคราที่สอดเข้าเข็มขัด เป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ และคิดกันว่าเป็นพ่อมดคนเดียวที่โวลเดอมอร์กลัว ดัมเบิลดอร์ แม้ขึ้นชื่อสำหรับความสำเร็จทางเวทมนตร์ สามารถหักห้ามใจกินขนมหวานได้ยากและมีอารมณ์ขันระหลาด แม้เขาปัดคำชม แต่เขาทราบความปราดเปรื่องของเขาเอง โรว์ลิงอธิบายเขาว่าเป็น "ภาพย่อของความดี" - ศาสตราจารย์มักกอนนากัล เป็นหญิงร่างสูงดูเข้มงวด มีผมดำมัดเป็นมวยแน่น สอนวิชาแปล่งร่าง และสามารถแปลงร่างเป็นแมวได้ เธอเป็นอาจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ และตามผู้ประพันธ์ "ใต้ภายนอกหยาบ ภายในค่อนข้างเป็นคนชราอ่อนไหว" - เพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ พี่สาวของลิลี่ มารดาของแฮร์รี่ เป็นหญิงผอมคอยาวที่เธอใช้สอดแนมเพื่อนบ้าน เธอถือว่าน้องสาวมีเวทมนตร์ของเธอเป็นตัวประหลาดและพยายามแสร้างว่าเธอไม่เคยมีอยู่ เวอร์นอน สามีของเธอ เป็นชายอ้วนซึ่งการแผดเสียงฉุนเฉียวของเขาปกปิดจิตใจคับแคบและความกลัวสิ่งผิดปกติทุกอย่าง ดัดลีย์ บุตรของทั้งสอง เป็นอันธพาลถูกตามใจ มีน้ำหนักเกิน - เดรโก มัลฟอย เป็นเด็กชายผิวสีซีด รูปร่างเพรียว เขาทะนงเกี่ยวกับทักษะของเขาในควิดดิช และชังทุกคนที่มิได้เป็นพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ และพ่อมดผู้เห็นไม่ตรงกับเขา บิดามารดาเขาสนับสนุนโวลเดอมอร์ แต่แปรพักตร์หลังพ่อมดมืดนั้นหายตัวไป โดยอ้างว่าต้องมนต์ เดรโกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง และพยายามนำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาให้ประสบปัญหา - ศาสตราจารย์ควีเรลล์ อาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด พูดตะกุกตะกัก ลือกันว่าเขาเคยเป็นนักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง แต่เสียขวัญเมื่อเผชิญกับแวมไพร์ ควีเรลล์สวมผ้าโพกหัวเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า เขายอมถูกโวลเดอมอร์สิง ซึ่งใบหน้าปรากฏอยู่หลังศีรษะของควีเรลล์ - ศาสตราจารย์สเนป ผู้มีจมูกงุ้ม ผิวซีดและผมสีดำเป็นมัน อาจารย์สอนวิชาปรุงยา แต่ปรารถนาสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด สเนปยกย่องนักเรียนบ้านสลิธีริน บ้านของเขาเอง แต่ฉวยทุกโอกาสทำให้นักเรียนอื่นอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ หลายเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ความเจ็บปวดเฉียบพลันที่แผลเป็นของแฮร์รี่ระหว่างงานเลี้ยงเปิดเทอม นำให้แฮร์รี่และเพื่อนเขาคิดว่าสเนปเป็นสาวกของโวลเดอมอร์ - ฟิลช์ ภารโรงของโรงเรียน รู้จักทางลับในโรงเรียนดีกว่าใคร ๆ ซึ่งบางทีอาจยกเว้นฝาแฝดวีสลีย์ แมวของเขา คุณนายนอร์ริส ช่วยเขาล่านักเรียนทำผิดกฎอยู่สม่ำเสมอ สมาชิกบุคลากรคนอื่นมีศาสตราจารย์สเปราต์ อาจารย์สอนวิชาสมุนไพรศาสตร์และหัวหน้าบ้านฮัฟเฟิลพัฟร่างม่อต้อ ศาสตราจารย์ฟลิตวิก อาจารย์สอนวิชาคาถาและอาจารย์ประจำบ้านเรเวนคลอร่างจิ๋วและขี้ตื่น ศาสตราจารย์บินส์ อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์อันมีน้ำเสียงชวนง่วง เป็นผีที่ดูไม่สังเกตว่าตัวตายแล้ว และมาดามฮูช โค้ชควิดดิช ผู้เคร่งครัดแต่เป็นอาจารย์ที่เห็นใจผู้อื่นและมีแบบแผน พีฟส์ โพลเทอร์ไกสท์ที่ตระเวนไปรอบปราสาท คอยสร้างปัญหาทุกที่ที่ทำได้การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับการพัฒนา การพัฒนา การพิมพ์และการตอบรับ. การพัฒนา. หนังสือนี้ซึ่งเป็นนวนิยายประเดิมของโรว์ลิง เขียนระหว่างประมาณเดือนมิถุนายน 2533 ถึงประมาณปี 2538 ในปี 2533 โจ โรว์ลิง อันเป็นชื่อที่เธอชอบให้รู้จัก ต้องการย้ายกับแฟนหนุ่มไปแฟลตแห่งหนึ่งในแมนเชสเตอร์ และตามคำของเธอ "สุดสัปดาห์หนึ่งหลังการตระเวนหาแฟลต ฉันนั่งรถไฟกลับกรุงลอนดอนด้วยตัวเองแล้วความคิดแฮร์รี่ พอตเตอร์ตกมาในหัวของฉัน ... เด็กชายผอมหุ้มกระดูก ตัวเล็ก ผมสีดำ และสวมแว่นตากลายเป็นพ่อมดมากขึ้นทุกที ๆ สำหรับฉัน... ฉันเริ่มเขียนศิลาอาถรรพ์ เย็นนั้นเอง แม้ว่าหน้าแรก ๆ ดูไม่เหมือนผลงานสมบูรณ์เลย" แล้วมารดาของโรว์ลิงเสียชีวิต เพื่อรับมือกับความเจ็บปวดของเธอ โรว์ลิงถ่ายโอนความระทมของเธอไปยังแฮร์รี่กำพร้า โรว์ลิงใช้เวลาหกปีเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ และหลังจากบลูมส์บิวรีตอบรับ เธอได้เงินอุดหนุน 8,000 ปอนด์จากสภาศิลปะสกอต ซึ่งทำให้เธอสามารถวางแผนภาคต่อ เธอส่งหนังสือให้ตัวแทนและสำนักพิมพ์ แล้วตัวแทนที่สองที่เธอเข้าหาใช้เวลาหนึ่งปีพยายามขายหนังสือให้สำนักพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่คิดว่ายาวเกินไป คือ ประมาณ 90,000 คำ แบร์รี คันนิงแฮม ซึ่งกำลังสร้างแฟ้มผลงานแฟนตาซีโดดเด่นโดยผู้ประพันธ์ใหม่สำหรับหนังสือเด็กบลูมส์บิวรี แนะนำให้รับหนังสือ และธิดาของประธานบริหารของบลูมส์บิวรีวัยแปดขวบกล่าวว่า มัน "ดีกว่าเล่มอื่นมาก"การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร การพิมพ์และการตอบรับในสหราชอาณาจักร. บลูมส์บิวรีตอบรับหนังสือ โดยจ่ายโรว์ลิงล่วงหน้า 2,500 ปอนด์ และคันนิงแฮมส่งสำเนาต้นฉบับถึงผู้ประพันธ์ นักวิจารณ์และผู้ขายหนังสือที่ได้รับเลือกอย่างระวังเพื่อเอาความเห็นที่จะสามารถยกมาเมื่อวางขายหนังสือ เขากังวลถึงความยาวหนังสือน้อยกว่าชื่อผู้ประพันธ์ เพราะชื่อเรื่องฟังคล้ายหนังสือเด็กชาย และเด็กชายนิยมหนังสือผู้ประพันธ์ชาย ฉะนั้น โรว์ลิงจึงใช้นามปากกา เจ.เค. โรว์ลิง ไม่นานก่อนพิมพ์ ในเดือนมิถุนายน 2540 บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์ศิลาอาถรรพ์ ทีแรกจำนวน 500 เล่มเป็นปกแข็ง ซึ่งสามร้อยเล่มถูกจำหน่ายไปห้องสมุดต่าง ๆ ชื่อเดิม "โจแอนน์ โรว์ลิง" ของเธอ พบเป็นตัวพิมพ์เล็ก ๆ ในหน้าลิขสิทธิ์ของฉบับพิมพ์ในอังกฤษครั้งแรกนี้ (ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ปี 2541 ตัดการพาดพิงถึง "โจแอนน์" อย่างสิ้นเชิง) การพิมพ์ครั้งแรกเป็นจำนวนน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับนวนิยายเล่มแรก และคันนิงแฮมหวังว่าผู้ขายหนังสือจะอ่านหนังสือ และแนะนำให้ลูกค้า ตัวอย่างจากการพิมพ์ครั้งแรกนี้ที่มีมูลค่าสูง คือ ในการประมูลเฮอริเทจปี 2550 ขายได้ราคาถึง 33,460 ดอลลาร์สหรัฐ ลินซีย์ เฟรเซอร์ (Lindsey Fraser) หนึ่งในผู้ให้ความเห็นในคำนิยม เขียนสิ่งที่คาดว่าเป็นบทปริทัศน์จัดพิมพ์ชิ้นแรก ในเดอะสกอตส์แมน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 เธออธิบายแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ว่า "เรื่องตื่นเต้นน่าบันเทิงมาก" และโรว์ลิงว่า "ผู้เขียนสำหรับเด็กชั้นหนึ่ง" บทปริทัศน์ช่วงแรก ๆ อีกบทหนึ่ง ในเดอะเฮรัลด์ ว่า "ฉันยังไม่เจอเด็กที่วางมันลงได้" หนังสือพิมพ์นอกสกอตแลนด์เริ่มสังเกตหนังสือ โดยมีบทปริทัศน์ยกย่องในเดอะการ์เดียน เดอะซันเดย์ไทมส์ และเดอะเมลออนซันเดย์ และในเดือนกันยายน 2540 บุ๊กส์ฟอร์คีพส์ นิตยสารซึ่งว่าด้วยหนังสือเด็กโดยเฉพาะ ให้นวนิยายนี้สี่ดาวเต็มห้า เดอะเมลออนซันเดย์ ประเมินว่า "การประเดิมอันเปี่ยมจินตนาการที่สุดนับแต่โรอาลด์ ดาห์ล" ซึ่งเป็นความเห็นที่ประสานกับเดอะซันเดย์ไทมส์ ("คราวนี้ การเปรียบกับดาห์ลชอบแล้ว") ขณะที่เดอะการ์เดียนเรียกว่า "นวนิยายเนื้อดีซึ่งอัจฉริยะสร้างสรรค์ปล่อยทะยาน" และเดอะสกอตส์แมน กล่าวว่า "มีคุณสมบัติของคลาสสิกทุกประการ" ฉบับสหราชอาณาจักรปี 2540 ได้รางวัลหนังสือแห่งชาติและเหรียญทองรางวัลหนังสือเนสเล่ สมาร์ตีส์หมวด 9 ถึง 11 ปี รางวัลสมาร์ตีส์ ซึ่งเด็กเป็นผู้ออกเสียง ทำให้หนังสือดังภายในหกเดือนของการพิมพ์ ขณะที่หนังสือเด็กส่วนใหญ่ต้องรอเป็นปี ๆ ปีต่อมา ศิลาอาถรรพ์กวาดรางวัลอังกฤษซึ่งเด็กเป็นผู้ตัดสินใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังอยู่ในรายการท้าชิงรางวัลหนังสือเด็กที่ผู้ใหญ่ตัดสิน แต่ไม่ชนะ ซานดรา เบ็กเคตต์ออกความเห็นว่า หนังสือซึ่งได้รับความนิยมกับเด็กถือว่าต้องใช้ความพยายามน้อย (undemanding) และไม่อยู่ในมาตรฐานวรรณกรรมสูงสุด ตัวอย่างเช่น สถาบันวรรณกรรมรังเกียจงานของโรอาลด์ ดาห์ล แต่เป็นที่นิยมท่วมท้นของเด็กก่อนหนังสือของโรว์ลิงปรากฏ ในปี 2546 นวนิยายนี้อยู่ในรายการที่อันดับ 22 ในการสำรวจเดอะบิ๊กรีดของบีบีซี แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้สองรางวัลอุตสาหกรรมจัดพิมพ์ซึ่งให้สำหรับการขายมากกว่าคุณค่าวรรณกรรม คือ หนังสือเด็กแห่งปีของรางวัลหนังสืออังกฤษ และผู้ประพันธ์แห่งปีของสมาคมผู้ขายหนังสือ / บุ๊กเซลเลอร์ เมื่อเดือนมีนาคม 2542 ฉบับสหราชอาณาจักรขายได้กว่า 300,000 เล่ม และเรื่องนี้ยังเป็นหนังสือขายดีที่สุดของสหราชอาณาจักรในเดือนธันวาคม 2544 ฉบับอักษรเบรลล์จัดพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2541 โดยสำนักพิมพ์เบรลล์สกอตแลนด์ ชานชาลาที่ 9¾ อันเป็นที่ซึ่งรถไฟด่วนสายฮอกวอตส์ออกจากกรุงลอนดอน มีการอนุสรณ์ในสถานีรถไฟคิงส์ครอสในชีวิตจริงด้วยสัญลักษณ์และรถเข็นที่ดูเหมือนกำลังผ่านทะลุกำแพงการพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา การพิมพ์และการตอบรับในสหรัฐอเมริกา. บริษัทสกอลาสติกซื้อสิทธิ์การพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาที่เทศกาลหนังสือโบโลญญาเมื่อเดือนเมษายน 2540 เป็นเงิน 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นจำนวนเงินสูงผิดปกติสำหรับหนังสือเด็ก พวกเขาคาดว่าเด็กจะไม่อยากอ่านหนังสือที่มีคำว่า "นักปราชญ์" (philosopher) ในชื่อเรื่อง และหลังอภิปรายบ้าง ก็ได้มีการจัดพิมพ์ฉบับอเมริกันในเดือนกันยายน 2541 ภายใต้ชื่อเรื่องที่โรว์ลิงเสนอ คือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone (แปลตามอักษรว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาผู้วิเศษ") โรว์ลิงอ้างว่าเธอเสียใจการเปลี่ยนแปลงนี้และจะสู้หากเธออยู่ในฐานะที่แข็งแรงกว่าตอนนั้น ฟิลิป เนลชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เสียความเชื่อมโยงกับการเล่นแร่แปรธาตุ และมีการเปลี่ยนคำอื่นบางคำในการแปล ตัวอย่างเช่น จาก "crumpets" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็น "muffin" ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แม้โรว์ลิงยอมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งจาก "mum" ในภาษาอังกฤษแบบบริติชและ "mam" แบบภาษาไอริชที่เชมัส ฟินนิกันใช้ เป็น "mom" ใน Harry Potter and the Sorcerer's Stone แต่เธอคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนี้ในเล่มต่อ ๆ มา ทว่า เนลมองว่าการแปลของสกอลาสติกค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าการแปลส่วนใหญ่ที่กำหนดตามหนังสือภาษาอังกฤษแบบบริติชขณะนั้น และการเปลี่ยนแปลงอื่นบางอย่างอาจถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์อักษรที่มีประโยชน์ เพราะฉบับสหราชอาณาจักรเล่มแรก ๆ ในชุดจัดพิมพ์สองสามเดือนก่อนฉบับอเมริกัน ผู้อ่านชาวอเมริกันบางคนจึงคุ้นเคยกับรุ่นภาษาอังกฤษแบบบริติชหลังซื้อหนังสือทางอินเทอร์เน็ต ทีแรกผู้วิจารณ์ทรงเกียรติที่สุดละเลยหนังสือ โดยปล่อยให้สิ่งพิมพ์เผยแพร่ขายหนังสือและห้องสมุด เช่น เคอร์คัสรีวิวส์ (Kirkus Reviews) และบุ๊กลิสต์ ซึ่งพิจารณาหนังสือเฉพาะเกณฑ์ที่เน้นความบันเทิงของบันเทิงคดีเด็ก ทว่า บทปฏิทัศน์ผู้ชำนัญพิเศษที่เจาะลึกขึ้น (เช่น โดยโคออเพอเรทีฟชิลเดรนส์บุ๊กเซ็นเตอร์ชอยส์ ซึ่งชี้ความซับซ้อน ความลึกและความต่อเนื่องของโลกที่โรว์ลิงสร้าง) ดึงดูดความสนใจของนักวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์หลัก ๆ แม้เดอะบอสตันโกลบ และ Michael Winerip ในเดอะนิวยอร์กไทมส์ บ่นว่าบทท้าย ๆ เป็นส่วนที่อ่อนที่สุดของหนังสือ พวกเขาและนักวิจารณ์ชาวอเมริกันอื่นส่วนมากให้การยกย่อง ปีต่อมา ฉบับสหรัฐอเมริกาได้รับเลือกเป็นหนังสือเด่นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของพับลิเชอส์วีกลี และหนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี 2541 ของหอสมุดสาธารณะนิวยอร์ก และคว้ารางวัลหนังสือแห่งปี 2541 ของนิตยสารเพเรนติง หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปีของวารสารห้องสมุดโรงเรียน และหนังสือยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใหญ่ตอนต้นของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน ในเดือนสิงหาคม 2542 Harry Potter and the Sorcerer's Stone แตะอันดับ 1 รายการบันเทิงคดีขายดีที่สุดของนิวยอร์กไทมส์ และอยู่ใกล้อันดับ 1 เป็นเวลาส่วนใหญ่ของปี 2542 และ 2543 จนนิวยอร์กไทมส์ แบ่งรายการออกเป็นส่วนหนังสือเด็กและผู้ใหญ่ภายใต้แรงกดดันจากสำนัดพิมพ์อื่นที่ใคร่เห็นหนังสือของตนได้อันดับดีขึ้น รายงานของพับลิเชอร์วีกลีเมื่อเดือนธันวาคม 2544 ว่าด้วยยอดขายสะสมของบันเทิงคดีเด็กได้จัดอันดับ Harry Potter and the Sorcerer's Stone ในอันดับที่ 19 ในหมวดปกแข็ง (กว่า 5 ล้านเล่ม) และอันดับที่ 7 ในหมวดปกอ่อน (กว่า 6.6 ล้านเล่ม) ในเดือนพฤษภาคม 2551 สกอลาสติกประกาศการสร้างฉบับครบรอบปีที่ 10 ของหนังสือ ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อเป็นสัญลักษณ์วันครบรอบปีที่สิบการวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาดั้งเดิม สำหรับวันครบรอบปีที่สิบห้าของหนังสือ สกอลาสติกออก Sorcerer's Stone ใหม่ กับนวนิยายอีกหกเล่มในชุด กับภาพปกใหม่โดยคะซุ คิบุอิชิ ในปี 2556การแปล การแปล. เมื่อกลางปี 2551 มีการจัดพิมพ์การแปลหนังสืออย่างเป็นทางการใน 67 ภาษา บลูมส์บิวรีจัดพิมพ์การแปลในภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ ซึ่งฉบับภาษากรีกโบราณนี้ได้รับอธิบายว่าเป็น "ร้อยแก้วภาษากรีกโบราณชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขียนในหลายศตวรรษ"ลีลาและแก่นเรื่อง ลีลาและแก่นเรื่อง. ฟิลิป เนลเน้นอิทธิพลของเจน ออสเตน ซึ่งโรว์ลิงเทิดทูนอย่างสูงตั้งแต่อายุสิบสองขวบ ผู้ประพันธ์ทั้งสองกระตุ้นให้อ่านซ้ำ เพราะรายละเอียดที่ดูด้อยความสำคัญเกริ่นการณ์สำคัญหรือตัวละครในเนื้อเรื่องภายหลัง ตัวอย่างเช่น มีการพาดพิงถึงซิเรียส แบล็กสั้น ๆ ใกล้ตอนต้นของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แล้วกลายเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งในหนังสือเล่มที่สามถึงห้า เช่นเดียวกับวีรสตรีของออสเตน แฮร์รี่มักต้องกลับทบทวนความคิดของเขาในช่วงท้ายเล่ม พฤติกรรมสังคมบางอย่างในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ชวนให้นึกถึงออสเตน เช่น การอ่านจดหมายสาธารณะอย่างตื่นเต้น ผู้ประพันธ์ทั้งสองเสียดสีพฤติกรรมสังคมและให้ชื่อตัวละครซึ่งแสดงบุคลิกภาพของพวกเขา ทว่า ในความเห็นของเนล ความขบขันของโรว์ลิงยึดภาพล้อมากกว่า และชื่อที่เธอประดิษฐ์นั้นคล้ายกับที่พบในนิยายของชาร์ลส์ ดิกคินส์มากกว่า และอะแมนดา ค็อกเรล (Amanda Cockrell) สังเกตว่า ชื่อเหล่านี้จำนวนมากแสดงลักษณะตัวละครผ่านการอ้างถึงซึ่งไล่ตั้งแต่เทพปกรณัมโรมันโบราณจนถึงวรรณคดีภาษาเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 โรว์ลิงคิดว่าไม่มีความแตกต่างตายตัวระหว่างนิยายสำหรับเด็กและสำหรับผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับ ซี. เอส. ลิวอิส ผู้ประพันธ์ชุดนาร์เนีย เนลยังสังเกตว่า โรว์ลิงประสมวรรณคดีหลายประเภท เช่น แฟนตาซี บันเทิงคดีผู้ใหญ่ตอนต้น นิยายโรงเรียนกินนอน บิลดุงซโรมัน (Bildungsroman) และอื่น ๆ อีกมาก นักวิจารณ์บางส่วนเปรียบเทียบศิลาอาถรรพ์ กับนิยายของโรอาลด์ ดาห์ล ผู้เสียชีวิตในปี 2533 มีการยกย่องผู้เขียนหลายคนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ว่าเป็นผู้สืบทอดเขา แต่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงความนิยมของเขากับเด็กได้เลย และในการสำรวจความเห็นไม่นานหลังศิลาอาถรรพ์ ออก หนังสือเด็กยอดนิยมสิบอันดับเป็นของดาห์ลเสียเจ็ดเล่ม รวมทั้งอันดับหนึ่ง ผู้ประพันธ์เด็กซึ่งเป็นที่นิยมจริง ๆ อีกคนหนึ่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ อาร์. แอล. สตีน ชาวอเมริกัน ส่วนเรื่องบางส่วนในศิลาอาถรรพ์ คล้ายกับเรื่องของดาห์ล ตัวอย่างเช่น พระเอกเรื่อง เจมส์กับพีชยักษ์ (James and the Giant Peach) เสียบิดามารดาและต้องอยู่กับป้าไม่พึงปรารถนาคู่หนึ่ง คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมคล้ายคุณและคุณนายเดอร์สลีย์ ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อแฮร์รี่เยี่ยงคนรับใช้ ทว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นการสร้างสรรค์เห็นได้ชัด คือ สามารถรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ขณะภายในยังเป็นเด็ก บรรณารักษ์ Nancy Knapp และศาสตราจารย์การตลาด สตีเฟน บราวน์ สังเกตความมีชีวิตชีวาและรายละเอียดการพรรณนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากร้านค้าอย่างตรอกไดแอกอน แทด เบรนแนนออกความเห็นว่า การเขียนของโรว์ลิงคล้ายกับของโฮเมอร์ คือ "รวดเร็ว เรียบง่ายและแสดงออกตรง" สตีเฟน คิงยกย่องว่า "รายละเอียดขี้เล่นประเภทที่มีเฉพาะนักแฟนตาซีอังกฤษเท่านั้นที่ดูสามารถ" และสรุปว่า พวกมันได้ผลเพราะโรว์ลิงชอบหัวเราะคิก ๆ เร็ว ๆ แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง นิโคลัส ทักเคอร์อธิบายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ๆ ว่าดูย้อนไปนิยายเด็กสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์ด โดยฮอกวอตส์เป็นโรงเรียนกินนอนแบบเก่าซึ่งครูเรียกนักเรียนอย่างเป็นทางการด้วยนามสกุล แลกังวลมากสุดกับชื่อเสียงของบ้านที่สังกัด บุคลิกภาพของตัวละครแสดงอย่างเรียบ ๆ โดยลักษณะภายนอกของพวกเขา เริ่มจากครอบครัวเดอร์สลีย์ ตัวละครชั่วร้ายหรือมุ่งร้ายจะถูกกำจัดมากกว่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวมคุณนายนอร์ริส แมวของฟิลช์ และพระเอก เด็กกำพร้าซึ่งถูกข่มเหงผู้พบสถานที่แท้จริงของเขาในชีวิต มีเสน่ห์และเล่นกีฬาเก่ง แต่เห็นใจผู้อื่นและปกป้องผู้อ่อนแอ ผู้ให้ความเห็นหลายคนยังแถลงว่าหนังสือนำเสนอสังคมจัดช่วงชั้นอย่างสูงซึ่งรวมภาพลักษณ์สังคมจำนวนมาก ทว่า คาริน เวสเตอร์แมนลากเส้นขนานกับบริเตนสมัยคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ ระบบชนชั้นซึ่งกำลังพังทลายแต่ถูกผู้ที่มีอำนาจและสถานภาพสนับสนุนป้องกัน องค์ประกอบหลายชาติพันธุ์ของนักเรียนฮอกวตอส์ ความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติระหว่างหลายสปีชีส์ทรงปัญญา และการแกล้งในโรงเรียน ซูซาน ฮอลเขียนว่าไม่มีหลักนิติธรรมในหนังสือ จากการกระทำของข้าราชการกระทรวงเวทมนตร์ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ภาระความรับผิดหรือการคัดค้านทางกฎหมายทุกชนิด จึงเป็นโอกาสสำหรับโวลเดอมอร์ที่เสนอระเบียบแบบน่ากลัวของเขา แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งถูกเลี้ยงในโลกมักเกิ้ลที่มีการวางระเบียบสูงได้รับผลข้างเคียง คือ หาทางออกโดยคิดในวิถีซึ่งมดไม่คุ้นชิน ตัวอย่างเช่น เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่าอุปสรรคหนึ่งในการหาศิลาอาถรรพ์เป็นการทดสอบตรรกะมิใช่อำนาจเวทมนตร์ และมดส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ได้ เนลเสนอว่า การสร้างลักษณะสัญนิยม รู้จักฐานะและวัตถุนิยมสุดขีดของครอบครัวเดอร์สลีย์เป็นปฏิกิริยาของโรว์ลิงต่อนโยบายครอบครัวของรัฐบาลอังกฤษช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ซึ่งถือคู่สมรสต่างเพศเป็น "บรรทัดฐานพึงปรารถนา" ขณะที่โรว์ลิงเป็นแม่คนเดียว ความสัมพันธ์ของแฮร์รี่กับมดผู้ใหญ่และวัยรุ่นยึดความชอบและความภักดี ซึ่งสะท้อนเป็นความสุขของเขาเมื่อเขาเป็นสมาชิกชั่วคราวของครอบครัววีสลีย์ตลอดชุด และในการปฏิบัติต่อรูเบียส แฮกริดทีแรก และรีมัส ลูปินและซิเรียส แบล็กเป็นเสมือนพ่อในเวลาต่อมามรดกภาคต่อ มรดก. ภาคต่อ. เล่มสอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ เดิมจัดพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 จากนั้น แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน จัดพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8 กรกฎาคม 2542 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 8 กันยายน 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี จัดพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม 2543 พร้อมกันทั้งบลูมส์บิวรีและสกอลาสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นเล่มที่ยาวที่สุดในชุด รุ่นสหราชอาณาจักรมี 766 หน้า และรุ่นสหรัฐอเมริกามี 870 หน้า จัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั่วโลกเมื่อ 21 มิถุนายน 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม จัดพิมพ์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2548 และขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขายทั่วโลก 24 ชั่วโมงแรก นวนิยายเล่มที่เจ็ดและเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต จัดพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2550 หนังสือขายได้ 11 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกเช่นกันฉบับภาพยนตร์ ฉบับภาพยนตร์. ในปี 2542 โรว์ลิงขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้วอร์เนอร์บราเธอร์สเป็นมูลค่าที่รายงาน 1 ล้านปอนด์ (1,982,900 ดอลลาร์สหรัฐ) โรว์ลิงต้องการให้ตัวละครหลักเป็นชาวอังกฤษอย่างเข้มงวดแต่อนุญาตให้คัดเลือกนักแสดงชาวไอร์แลนด์อย่างริชาร์ด แฮริสวัยชราและนักแสดงต่างประเทศเป็นสัญชาติเดียวกับตัวละครในเล่มหลัง ๆ หลังการคัดตัวอย่างกว้างขวาง การถ่ายทำเริ่มในเดือนตุลาคม 2543 ที่สตูดิโอภาพยนตร์ลีเวสเดนและในกรุงลอนดอน โดยการถ่ายทำจบในเดือนกรกฎาคม 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ฉายในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544 ความเห็นของนักวิจารณ์เป็นบวก สะท้อนโดยเฟรชเรตติง 80% ทางรอตเทินโทเมโทส์ (Rotten Tomatoes) และคะแนน 64% ที่เมตาคริติก ซึ่งแสดง "บทปริทัศน์ชื่นชอบโดยทั่วไป"วิดีโอเกม วิดีโอเกม. วิดีโอเกมที่ยึดหนังสืออย่างหลวม ๆ ออกจำหน่ายระหว่างปี 2544 ถึง 2546 โดยทั่วไปภายใต้ชื่อเรื่องอเมริกัน Harry Potter and the Sorcerer's Stone ส่วนมากจัดจำหน่ายโดยอิเล็กทรอนิก อาตส์ แต่ก็มีที่ผลิตโดยผู้ผลิตอื่นบ้างการใช้ในการศึกษาและธุรกิจ การใช้ในการศึกษาและธุรกิจ. นักการศึกษาพบว่า การรู้หนังสือของเด็กสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนคำที่อ่านต่อปี และเด็กนั้นจะยิ่งอ่านมากหากพบสื่อที่ชอบ การสำรวจปี 2544 โดยนิวยอร์กไทมส์ ประเมินว่า เด็กสหรัฐเกือบ 60% อายุระหว่าง 6 ถึง 17 ปีเคยอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเล่ม การสำรวจในประเทศอื่น ซึ่งรวมประเทศอินเดียและแอฟริกาใต้ พบว่า เด็กกระตือรือร้นเกี่ยวกับนวนิยายชุดนี้ เพราะกระทั่งหนังสือสองเล่มแรกยังค่อนข้างยาว เด็กที่อ่านสี่เล่มแรกจะอ่านกว่าสี่เท่าของจำนวนหน้าของหนังสืออ่านของโรงเรียนทั้งปี ซึ่งเพิ่มทักษะและแรงจูงใจการอ่านของเด็กอย่างสูง ผู้เขียนในหัวข้อการศึกษาและธุรกิจใช้หนังสือนี้เป็นบทเรียนวัตถุ (object lesson) การเขียนเกี่ยวกับการสอนทางคลินิกในโรงเรียนแพทย์ เจนนิเฟอร์ คอนน์เปรียบเทียบความชำนาญเทคนิคของสเนปกับพฤติกรรมข่มขู่ของเขาต่อนักเรียน กับอีกด้านหนึ่ง มาดามฮู้ช โค้ชควิดดิช ที่แสดงเทคนิคมีประโยชน์ในการสอนทักษะกายภาพ ซึ่งรวมการแบ่งการกระทำซับซ้อนออกเป็นลำดับการกระทำง่าย ๆ และช่วยนักเรียนให้เลี่ยงข้อผิดพลาดพบบ่อย จอยซ์ ฟีลดส์ เขียนว่า หนังสือแสดงหัวข้อหลักสี่ในห้าหัวข้อในชั้นเรียนสังคมวิทยาปีหนึ่งตรงแบบ ได้แก่ มโนทัศน์สังคมวิทยาซึ่งรวมวัฒนธรรม สังคมและการขัดเกลาทางสังคม การจัดช่วงชั้นในสังคมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม สถาบันสังคม และทฤษฎีสังคม" สตีเฟน บราวน์สังเกตว่า หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นความสำเร็จนอกเหนือการควบคุมแม้มีการตลาดไม่เพียงพอและจัดระเบียบอย่างเลว บราวน์แนะนำผู้บริหารการตลาดให้หมกมุ่นกับการวิเคราะห์สถิติอย่างเคร่งครัดและแบบจำลอง "วิเคราะห์ วางแผน นำไปปฏิบัติและควบคุม" ของการจัดการ เขาแนะนำว่าพวกเขาควรถือเรื่องนี้เป็น "มาสเตอร์คลาส (masterclass) การตลาด" ซึ่งเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์และชื่อตราสินค้าน่าจูงใจแทน ตัวอย่างเช่น มีการริเริ่มสิ่งคล้ายคลึงในโลกจริงของถั่วทุกรสของเบอร์ตีบอตต์ภายใต้ใบอนุญาตในปี 2543 โดยผู้ผลิตของเล่น แฮสโบร
|
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตัวละครหลักในนวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีแผลเป็นรูปอะไรอยู่บนหน้าผาก
|
{
"answer": [
"สายฟ้า"
],
"answer_begin_position": [
11770
],
"answer_end_position": [
11776
]
}
|
2,222 | 8,603 |
คริกเกต คริกเก็ต () เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง มีคนเล่นทีมละ 11 คน ทีม ก จัดให้คนหนึ่งเป็นผู้ขว้างลูก เรียกว่า bowler ทำการขว้างลูกไปยังไม้ที่ตั้งไว้บนสนามสามอัน เรียกว่า wickets ซึ่งทีม ข จัดคนมารักษา คนที่รักษา wickets เรียกว่า batsman และไม้ที่ถือตีลูกเรียกว่า bat ถ้าตีถูกลูกก็วิ่งวนไปเพื่อเอาแต้ม เรียกว่า runs จนกว่าพวกของทีม ก ที่อยู่ในสนาม คือ fielders จะนำลูกกลับมาได้ คริกเกตมีการเล่นมากกว่าใน 100 ประเทศ ซึ่งนิยมเล่นในออสเตรเลีย บังคลาเทศ อังกฤษ และอินเดีย
|
กีฬาคริกเก็ตมีผู้เล่นทีมละกี่คน
|
{
"answer": [
"11"
],
"answer_begin_position": [
130
],
"answer_end_position": [
132
]
}
|
2,223 | 311,474 |
แฮร์รอดส์ แฮร์รอดส์ () เป็นห้างสรรพสินค้าหรูหราบนถนนบรอมพ์ตันในเขตไนท์สบริดจ์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร ตราแฮร์รอดส์ยังนำไปใช้กับวิสาหกิจอื่นๆ ที่ดำเนินงานโดยกลุ่มบริษัทแฮร์รอดส์ รวมถึงธนาคารแฮร์รอดส์ แฮร์รอดส์เอสเตทส์ แฮร์รอดส์เอเวียชัน และแอร์แฮร์รอดส์ ห้างตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 18,000 ตารางเมตร มีพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว่า 90,000 ตารางเมตรในร้านค้ากว่า 330 ร้าน ห้างเซลฟริดจ์สบนถนนออกซ์ฟอร์ดซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหราชอาณาจักร มีขนาดมากกว่าครึ่งหนึ่งของแฮร์รอดส์เล็กน้อย โดยมีพื้นที่จำหน่ายสินค้า 50,000 ตารางเมตร คติพจน์ของแฮร์รอดส์คือ Omnia Omnibus Ubique - ทุกสิ่งสำหรับทุกคนในทุกแห่ง ร้านค้าหลายร้านภายในห้างมีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงแผนกคริสต์มาสตามเทศกาลและศูนย์อาหารภูมิหลัง ภูมิหลัง. แฮร์รอดส์ก่อตั้งขึ้นโดย ชาร์ลส์ เฮนรี แฮร์รอด เมื่อ พ.ศ. 2377 โดยตั้งเป็นร้านขายส่งในเขตสเตปนีย์ ย่านอีสต์เอนด์ เนื่องด้วยความสนใจเกี่ยวกับชาเป็นพิเศษ ต่อมาใน พ.ศ. 2392 แฮร์รอดได้ซื้อร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเขตไนท์สบริดจ์บนที่ตั้งของห้างในปัจจุบัน เพื่อหนีความวุ่นวายของเมืองชั้นใน และเพื่อโอกาสทำกำไรจากนิทรรศการใหญ่แสดงผลงานทางอุตสาหกรรมจากทุกพื้นทวีป ที่จัดขึ้นใน พ.ศ. 2394 ใกล้กับสวนสาธารณะไฮด์ โดยตอนแรกเริ่มต้นจากร้านค้าห้องเดียว มีผู้ช่วยสองคนและผู้ส่งสารอีกหนึ่งคน ต่อมาชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด ผู้เป็นบุตรชาย ได้ดำเนินกิจการจนกลายเป็นธุรกิจขายปลีกที่เฟื่องฟู จำหน่ายยา น้ำหอม เครื่องเขียน ผลไม้ และผัก แฮร์รอดส์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง พ.ศ. 2423 ได้ซื้ออาคารที่อยู่ติดกันและจ้างพนักงานหนึ่งร้อยคน เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2426 ตัวอาคารได้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้กิจการที่กำลังเจริญรุ่งเรืองต้องถดถอยลง แต่กระนั้น ชาร์ลส์ แฮร์รอด ยังคงบริการส่งสินค้าแก่ลูกค้าในเทศกาลคริสต์มาสในปีนั้น และทำกำไรได้อย่างดี อาคารใหม่ถูกสร้างขึ้นบนตำแหน่งเดิม และในเวลาไม่นานแฮร์รอดส์ก็ได้รับความเชื่อถือมากขึ้นจากลูกค้าชั้นนำ เช่น ออสการ์ ไวลด์ ลิลลี แลงทรี นักแสดงหญิงระดับตำนาน เอลเลน เทอร์รี Noël Coward ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เอ. เอ. ไมลน์ และสมาชิกราชวงศ์อังกฤษหลายพระองค์ วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 แฮร์รอดส์ได้เปิดตัวบันไดเลื่อนตัวแรกในอังกฤษในห้างที่ถนนบรอมพ์ตัน ซึ่งลักษณะเป็นอุปกรณ์คล้ายล้อตีนตะขาบจากหนังทอที่มีตับลูกกรงจากไม้มะฮอกกานีและกระจกฉาบเงิน ลูกค้าที่ตื่นตระหนกจากการขึ้นบันไดเลื่อนจะได้รับบรั่นดีที่ด้านบนบันไดเพื่อช่วยกระตุ้นประสาทเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแฮร์รอดส์เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแฮร์รอดส์. - พ.ศ. 2377 : ชาร์ลส์ เฮนรี แฮร์รอด (2342 - 2428) ก่อตั้งร้านขายส่งในเขตสเตปนีย์ ในลอนดอนด้านตะวันออก - พ.ศ. 2392 : แฮร์รอดส์ย้ายไปยังเขตไนท์สบริดจ์ของลอนดอน ใกล้กับสวนสาธารณะไฮด์ - พ.ศ. 2404 : ชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด ผู้เป็นบุตรชาย ได้เข้าดำเนินกิจการ แล้วปรับเปลี่ยนกิจการใหม่ - พ.ศ. 2426 : วันที่ 6 ธันวาคม อาคารของห้างเกิดเพลิงไหม้ ครอบครัวแฮร์รอดสร้างอาคารใหม่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม - พ.ศ. 2432 : ชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด วางมือจากกิจการ หุ้นของแฮร์รอดส์ถูกปล่อยขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนภายใต้ชื่อ ห้างแฮร์รอดส์จำกัด (Harrod's Stores Limited) - พ.ศ. 2448 : อาคารที่เห็นในปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามการออกแบบโดยสถาปนิก ชาร์ลส์ วิลเลียม สตีเฟนส์ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2457 : แฮร์รอดส์เปิดสาขาแรกและสาขาเดียวในต่างประเทศที่บัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา และแยกตัวออกจากแฮร์รอดส์ในปลายทศวรรษที่ 1940 แต่ยังคงดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ แฮร์รอดส์ บัวโนสไอเรส - พ.ศ. 2457 : แฮร์รอดส์ซื้อห้างสรรพสินค้าดิกคินส์แอนด์โจนส์บนถนนรีเจนท์ - พ.ศ. 2462 : แฮร์รอดส์ซื้อห้างสรรพสินค้าเคนดัลส์ในแมนเชสเตอร์ และใช้ชื่อแฮร์รอดส์เป็นเวลาสั้นๆในช่วงทศวรรษที่ 1920 ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเคนดัลส์ตามที่พนักงานและลูกค้าคัดค้าน - พ.ศ. 2502 : เฮาส์ออฟเฟรเซอร์ บริษัทห้างสรรพสินค้าอังกฤษผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ซื้อแฮร์รอดส์ไป - พ.ศ. 2512 : สิงโตชื่อ คริสเตียน ถูกซื้อมาโดยจอห์น เรนดัลล์ และแอนโธนี 'เอซ' บูร์ค ต่อมาถูกปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในเคนยาหลังจากโตเต็มที่แล้ว - พ.ศ. 2526 : กองกำลังสาธารณรัฐไอริชเฉพาะกิจ ได้ก่อวินาศกรรมที่ด้านนอกห้างที่ไนท์สบริดจ์ มีผู้เสียชีวิตหกราย - พ.ศ. 2528 : พี่น้องฟาเยดได้ซื้อห้างไปในราคา 615 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง - พ.ศ. 2533 : ร้านแฮร์รอดส์เปิดตัวบนเรือเดินสมุทร RMS ควีนแมรี ในเมืองลองบีช แคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อมาตกเป็นของบริษัท วอลท์ ดีสนีย์ - พ.ศ. 2537 : ความสัมพันธ์ระหว่างเฮาส์ออฟเฟรเซอร์และแฮร์รอดส์เกิดแตกหัก แฮร์รอดส์ยังคงเป็นของครอบครัวอัล ฟาเยด ขณะที่เฮาส์ออฟเฟรเซอร์ถูกปล่อยขายในตลาดหลักทรัพย์ - พ.ศ. 2540 : ศาลอังกฤษออกคำสั่งห้ามไม่ให้ห้างแฮร์รอดส์ในบัวโนสไอเรสทำการค้าภายใต้ชื่อแฮร์รอดส์อีก - พ.ศ. 2543 : ร้านแฮร์รอดเปิดตัวบนเรือเดินสมุทร RSM ควีนอลิซาเบธที่สอง ของคูนาร์ดไลน์ - พ.ศ. 2549 : ร้าน "102" ของแฮร์รอดส์เปิดตรงข้ามกับอาคารของห้างบนถนนบรอมพ์ตัน ประกอบด้วยสัมปทานอย่างคริสปีครีม และโย่! ซุชิ รวมทั้งร้านขายดอกไม้ ร้านขายสมุนไพร ร้านนวด และสปาออกซิเจน - พ.ศ. 2549 : โอมาร์ ฟาเยด บุตรชายคนเล็กของโมฮัมเหม็ด เข้าร่วมคณะกรรมการของแฮร์รอดส์ - พ.ศ. 2553 : นายโมฮัมหมัด อัล ฟายเอ็ด เจ้าของห้าง ขายกิจการให้กับบริษัทกาตาร์ โฮลดิ้ง เป็นมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ผลิตภัณฑ์และบริการ ผลิตภัณฑ์และบริการ. ร้านค้า 330 ร้านในห้างมีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายประเภท อย่างเช่น เครื่องแต่งกายสำหรับลูกค้าทุกประเภท (สตรี บุรุษ เด็ก และทารก) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเพชรพลอย อุปกรณ์กีฬา เครื่องแต่งกายสำหรับแต่งงาน สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ของเล่น อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและความงาม ของขวัญบรรจุหีบห่อ เครื่องเขียน เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องเรือน ฯลฯ ตัวอย่างของบริการในห้าง เช่น :- ร้านอาหาร 28 ร้านที่บริการอาหารทุกรูปแบบตั้งแต่ High tea, Tapas, Pub food ไปจนถึง Haute cuisine - รายการช่วยเลือกซื้อสินค้าเป็นส่วนตัวที่รู้จักในชื่อ "By Appointment" - บริการซ่อมนาฬิกาข้อมือ - ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า - ร้านขายยา - ร้านเสริมสุขภาพและความงาม - ร้านทำผม - บริการทางการเงิน - ธนาคารแฮร์รอดส์ - บริการวางแผนและออกแบบห้องน้ำโดย Ella Jade - บริการวางแผนและจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง - บริการส่งอาหาร - บริการไวน์ - ตะกร้าปิกนิกและกล่องของขวัญตามสั่ง - เค้กตามสั่ง - น้ำหอมตามสั่ง วันที่มีลูกค้าคับคั่งที่สุด จะมีลูกค้ามากถึง 300,000 คน จำนวนนี้รวมจำนวนที่สูงที่สุดของลูกค้าจากประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ มีพนักงานกว่าห้าพันคนจากกว่าห้าสิบประเทศที่ทำงานในแฮร์รอดส์ ในร้าน 'แฮร์รอดส์ 102' ที่อยู่ตรงข้ามกับห้างบนถนนบรอมพ์ตัน ยังมีร้านสัมปทานอีกจำนวนหนึ่ง อย่างเช่น เทิร์นบูลแอนด์อัสเซอร์ เอชเอ็มวี วอเตอร์สโตนส์ คริสปีครีม และ David Clulow Opticians วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ธนาคารแฮร์รอดส์เริ่มจำหน่ายทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่ลูกค้าสามารถหยิบจากชั้นวางได้ทันที และยังมีผลิตภัณฑ์ทองคำน้ำหนักตั้งแต่ 1 กรัมจนถึง 12.5 กิโลกรัม รวมทั้งบริการสำรองทองคำและรับซื้อทองคำคืนที่จะให้บริการในอนาคตแผนกและประเภทร้านค้าแยกตามชั้นชั้นใต้ดินแผนกและประเภทร้านค้าแยกตามชั้น. ชั้นใต้ดิน. - เครื่องแต่งกายบุรุษ - ศูนย์อาหาร - สินค้าที่ระลึกของแฮร์รอดส์ - กระเป๋าถือ - เครื่องเขียนและของขวัญ - บริการห่อของขวัญ - บริการบัตรสะสมแต้ม - ธนาคารแฮร์รอด - บริการหลังขายนาฬิกาข้อมือและเครื่องเพชรพลอยGround FloorGround Floor. - เครื่องแต่งกายบุรุษ - สินค้าเกี่ยวกับความงาม - ศูนย์อาหาร - สินค้าที่ระลึกของแฮร์รอดส์ - กระเป๋าและเครื่องประดับ - บริการรับฝากของและห้องนิรภัย - บริการรับสั่งอาหารและจัดตะกร้าของขวัญ - บริการดอกไม้ชั้นที่หนึ่งชั้นที่หนึ่ง. - รองเท้าสตรี - เครื่องแต่งกายสตรี - บริการเลือกซื้อสินค้าอย่างเป็นส่วนตัวชั้นที่สองชั้นที่สอง. - เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร - เครื่องตกแต่งบ้าน - เครื่องนอนและเครื่องใช้ในห้องน้ำ - เครื่องครัว - อุปกรณ์ในการเดินทาง - ร้านแฮร์รอด - บริการในงานแต่งงานและเฉลิมฉลองชั้นที่สามชั้นที่สาม. - เครื่องเรือน - ความบันเทิงในบ้าน - เครื่องตกแต่งบ้าน - บริการรับตกแต่งภายในชั้นที่สี่ชั้นที่สี่. - เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์สำหรับเด็ก - ของเล่น - สัตว์เลี้ยง - เครื่องแต่งกายสตรีชั้นที่ห้าชั้นที่ห้า. - อุปกรณ์กีฬาและสันทนาการ - สินค้าและบริการเกี่ยวกับความงาม - บริการด้านการเงิน - บริการบัตรสะสมแต้ม - เสื้อกันกระสุนคำวิจารณ์ คำวิจารณ์. แฮร์รอดส์และโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด ถูกวิจารณ์จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนสัตว์แท้ และเกิดการประท้วงในกรณีนี้เป็นประจำที่ด้านนอกห้าง แฮร์รอดส์เป็นห้างสรรพสินค้าเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ยังคงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนสัตว์ ใน พ.ศ. 2547 แฮร์รอดส์ถูกโจมตีจากชุมชนฮินดูในกรณีจำหน่ายชุดชั้นในสตรีที่มีภาพเทพีของเอเชียใต้ ซึ่งชุดชั้นในนี้ทางห้างได้เก็บออกและขอโทษอย่างเป็นทางการงูเห่าอียิปต์ งูเห่าอียิปต์. เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2545 แฮร์รอดส์ได้เช่างูเห่าอียิปต์หนึ่งตัวมาใช้รักษาความปลอดภัยของรองเท้าประดับทับทิม แซฟไฟร์ และเพชร ที่ออกแบบโดย Rene Caovilla มูลค่า 62,000 ปอนด์สเตอร์ลิง ที่จัดแสดงอยู่ที่แผนกรองเท้าอนุสรณ์ อนุสรณ์. หลังจากไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์พร้อมกับโดดี ฟาเยด บุตรชายของโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด ทางห้างได้สร้างอนุสรณ์ภายในห้างสองแห่งเพื่อรำลึกถึงบุคคลทั้งสองตามความต้องการของอัล ฟาเยด แห่งแรกเปิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2541 ประกอบด้วยภาพถ่ายของทั้งสองอยู่ด้านหลังแท่นรูปพีระมิดที่ตั้งแก้วไวน์ที่ยังมีคราบลิปสติกจากพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของเจ้าหญิงไดอาน่า และแหวนที่มีคำบรรยายว่าเป็นแหวนหมั้นที่โดดีซื้อก่อนวันที่เสียชีวิต อนุสรณ์แห่งที่สองเปิดเมื่อ พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่ที่บันไดเลื่อนอียิปต์ที่ประตูสาม มีชื่อว่า "เหยื่อผู้บริสุทธิ์" เป็นรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ของบุคคลทั้งสองในท่วงท่าเต้นรำบนชายหาดใต้ปีกของนกอัลบาทรอส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง "จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์" รูปหล่อนี้สร้างขึ้นโดยบิลล์ มิทเชลล์ วัย 80 ปี ผู้เป็นเพื่อนสนิทกับอัล ฟาเยด และเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบศิลป์ให้แก่แฮร์รอดส์มานาน 40 ปี อัล ฟาเยด กล่าวว่า เขาต้องการให้จิตวิญญาณของบุคคลทั้งสองยังคงมีชีวิตผ่านทางรูปหล่อนี้ หลังการเสียชีวิตของไมเคิล แจ๊คสัน อัล ฟาเยด ประกาศว่า ได้มีการหารือถึงแผนการสร้างอนุสรณ์สำหรับศิลปินผู้ล่วงลับแล้ว
|
ใครคือผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าหรูหราชื่อว่าแฮร์รอดส์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
|
{
"answer": [
"ชาร์ลส์ เฮนรี แฮร์รอด"
],
"answer_begin_position": [
808
],
"answer_end_position": [
829
]
}
|
2,224 | 311,474 |
แฮร์รอดส์ แฮร์รอดส์ () เป็นห้างสรรพสินค้าหรูหราบนถนนบรอมพ์ตันในเขตไนท์สบริดจ์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร ตราแฮร์รอดส์ยังนำไปใช้กับวิสาหกิจอื่นๆ ที่ดำเนินงานโดยกลุ่มบริษัทแฮร์รอดส์ รวมถึงธนาคารแฮร์รอดส์ แฮร์รอดส์เอสเตทส์ แฮร์รอดส์เอเวียชัน และแอร์แฮร์รอดส์ ห้างตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 18,000 ตารางเมตร มีพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว่า 90,000 ตารางเมตรในร้านค้ากว่า 330 ร้าน ห้างเซลฟริดจ์สบนถนนออกซ์ฟอร์ดซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหราชอาณาจักร มีขนาดมากกว่าครึ่งหนึ่งของแฮร์รอดส์เล็กน้อย โดยมีพื้นที่จำหน่ายสินค้า 50,000 ตารางเมตร คติพจน์ของแฮร์รอดส์คือ Omnia Omnibus Ubique - ทุกสิ่งสำหรับทุกคนในทุกแห่ง ร้านค้าหลายร้านภายในห้างมีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงแผนกคริสต์มาสตามเทศกาลและศูนย์อาหารภูมิหลัง ภูมิหลัง. แฮร์รอดส์ก่อตั้งขึ้นโดย ชาร์ลส์ เฮนรี แฮร์รอด เมื่อ พ.ศ. 2377 โดยตั้งเป็นร้านขายส่งในเขตสเตปนีย์ ย่านอีสต์เอนด์ เนื่องด้วยความสนใจเกี่ยวกับชาเป็นพิเศษ ต่อมาใน พ.ศ. 2392 แฮร์รอดได้ซื้อร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งในเขตไนท์สบริดจ์บนที่ตั้งของห้างในปัจจุบัน เพื่อหนีความวุ่นวายของเมืองชั้นใน และเพื่อโอกาสทำกำไรจากนิทรรศการใหญ่แสดงผลงานทางอุตสาหกรรมจากทุกพื้นทวีป ที่จัดขึ้นใน พ.ศ. 2394 ใกล้กับสวนสาธารณะไฮด์ โดยตอนแรกเริ่มต้นจากร้านค้าห้องเดียว มีผู้ช่วยสองคนและผู้ส่งสารอีกหนึ่งคน ต่อมาชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด ผู้เป็นบุตรชาย ได้ดำเนินกิจการจนกลายเป็นธุรกิจขายปลีกที่เฟื่องฟู จำหน่ายยา น้ำหอม เครื่องเขียน ผลไม้ และผัก แฮร์รอดส์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง พ.ศ. 2423 ได้ซื้ออาคารที่อยู่ติดกันและจ้างพนักงานหนึ่งร้อยคน เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2426 ตัวอาคารได้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้กิจการที่กำลังเจริญรุ่งเรืองต้องถดถอยลง แต่กระนั้น ชาร์ลส์ แฮร์รอด ยังคงบริการส่งสินค้าแก่ลูกค้าในเทศกาลคริสต์มาสในปีนั้น และทำกำไรได้อย่างดี อาคารใหม่ถูกสร้างขึ้นบนตำแหน่งเดิม และในเวลาไม่นานแฮร์รอดส์ก็ได้รับความเชื่อถือมากขึ้นจากลูกค้าชั้นนำ เช่น ออสการ์ ไวลด์ ลิลลี แลงทรี นักแสดงหญิงระดับตำนาน เอลเลน เทอร์รี Noël Coward ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เอ. เอ. ไมลน์ และสมาชิกราชวงศ์อังกฤษหลายพระองค์ วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 แฮร์รอดส์ได้เปิดตัวบันไดเลื่อนตัวแรกในอังกฤษในห้างที่ถนนบรอมพ์ตัน ซึ่งลักษณะเป็นอุปกรณ์คล้ายล้อตีนตะขาบจากหนังทอที่มีตับลูกกรงจากไม้มะฮอกกานีและกระจกฉาบเงิน ลูกค้าที่ตื่นตระหนกจากการขึ้นบันไดเลื่อนจะได้รับบรั่นดีที่ด้านบนบันไดเพื่อช่วยกระตุ้นประสาทเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแฮร์รอดส์เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแฮร์รอดส์. - พ.ศ. 2377 : ชาร์ลส์ เฮนรี แฮร์รอด (2342 - 2428) ก่อตั้งร้านขายส่งในเขตสเตปนีย์ ในลอนดอนด้านตะวันออก - พ.ศ. 2392 : แฮร์รอดส์ย้ายไปยังเขตไนท์สบริดจ์ของลอนดอน ใกล้กับสวนสาธารณะไฮด์ - พ.ศ. 2404 : ชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด ผู้เป็นบุตรชาย ได้เข้าดำเนินกิจการ แล้วปรับเปลี่ยนกิจการใหม่ - พ.ศ. 2426 : วันที่ 6 ธันวาคม อาคารของห้างเกิดเพลิงไหม้ ครอบครัวแฮร์รอดสร้างอาคารใหม่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม - พ.ศ. 2432 : ชาร์ลส์ ดิกบี แฮร์รอด วางมือจากกิจการ หุ้นของแฮร์รอดส์ถูกปล่อยขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนภายใต้ชื่อ ห้างแฮร์รอดส์จำกัด (Harrod's Stores Limited) - พ.ศ. 2448 : อาคารที่เห็นในปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามการออกแบบโดยสถาปนิก ชาร์ลส์ วิลเลียม สตีเฟนส์ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2457 : แฮร์รอดส์เปิดสาขาแรกและสาขาเดียวในต่างประเทศที่บัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา และแยกตัวออกจากแฮร์รอดส์ในปลายทศวรรษที่ 1940 แต่ยังคงดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ แฮร์รอดส์ บัวโนสไอเรส - พ.ศ. 2457 : แฮร์รอดส์ซื้อห้างสรรพสินค้าดิกคินส์แอนด์โจนส์บนถนนรีเจนท์ - พ.ศ. 2462 : แฮร์รอดส์ซื้อห้างสรรพสินค้าเคนดัลส์ในแมนเชสเตอร์ และใช้ชื่อแฮร์รอดส์เป็นเวลาสั้นๆในช่วงทศวรรษที่ 1920 ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเคนดัลส์ตามที่พนักงานและลูกค้าคัดค้าน - พ.ศ. 2502 : เฮาส์ออฟเฟรเซอร์ บริษัทห้างสรรพสินค้าอังกฤษผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ซื้อแฮร์รอดส์ไป - พ.ศ. 2512 : สิงโตชื่อ คริสเตียน ถูกซื้อมาโดยจอห์น เรนดัลล์ และแอนโธนี 'เอซ' บูร์ค ต่อมาถูกปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในเคนยาหลังจากโตเต็มที่แล้ว - พ.ศ. 2526 : กองกำลังสาธารณรัฐไอริชเฉพาะกิจ ได้ก่อวินาศกรรมที่ด้านนอกห้างที่ไนท์สบริดจ์ มีผู้เสียชีวิตหกราย - พ.ศ. 2528 : พี่น้องฟาเยดได้ซื้อห้างไปในราคา 615 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง - พ.ศ. 2533 : ร้านแฮร์รอดส์เปิดตัวบนเรือเดินสมุทร RMS ควีนแมรี ในเมืองลองบีช แคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อมาตกเป็นของบริษัท วอลท์ ดีสนีย์ - พ.ศ. 2537 : ความสัมพันธ์ระหว่างเฮาส์ออฟเฟรเซอร์และแฮร์รอดส์เกิดแตกหัก แฮร์รอดส์ยังคงเป็นของครอบครัวอัล ฟาเยด ขณะที่เฮาส์ออฟเฟรเซอร์ถูกปล่อยขายในตลาดหลักทรัพย์ - พ.ศ. 2540 : ศาลอังกฤษออกคำสั่งห้ามไม่ให้ห้างแฮร์รอดส์ในบัวโนสไอเรสทำการค้าภายใต้ชื่อแฮร์รอดส์อีก - พ.ศ. 2543 : ร้านแฮร์รอดเปิดตัวบนเรือเดินสมุทร RSM ควีนอลิซาเบธที่สอง ของคูนาร์ดไลน์ - พ.ศ. 2549 : ร้าน "102" ของแฮร์รอดส์เปิดตรงข้ามกับอาคารของห้างบนถนนบรอมพ์ตัน ประกอบด้วยสัมปทานอย่างคริสปีครีม และโย่! ซุชิ รวมทั้งร้านขายดอกไม้ ร้านขายสมุนไพร ร้านนวด และสปาออกซิเจน - พ.ศ. 2549 : โอมาร์ ฟาเยด บุตรชายคนเล็กของโมฮัมเหม็ด เข้าร่วมคณะกรรมการของแฮร์รอดส์ - พ.ศ. 2553 : นายโมฮัมหมัด อัล ฟายเอ็ด เจ้าของห้าง ขายกิจการให้กับบริษัทกาตาร์ โฮลดิ้ง เป็นมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ผลิตภัณฑ์และบริการ ผลิตภัณฑ์และบริการ. ร้านค้า 330 ร้านในห้างมีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายประเภท อย่างเช่น เครื่องแต่งกายสำหรับลูกค้าทุกประเภท (สตรี บุรุษ เด็ก และทารก) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเพชรพลอย อุปกรณ์กีฬา เครื่องแต่งกายสำหรับแต่งงาน สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ของเล่น อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและความงาม ของขวัญบรรจุหีบห่อ เครื่องเขียน เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องเรือน ฯลฯ ตัวอย่างของบริการในห้าง เช่น :- ร้านอาหาร 28 ร้านที่บริการอาหารทุกรูปแบบตั้งแต่ High tea, Tapas, Pub food ไปจนถึง Haute cuisine - รายการช่วยเลือกซื้อสินค้าเป็นส่วนตัวที่รู้จักในชื่อ "By Appointment" - บริการซ่อมนาฬิกาข้อมือ - ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า - ร้านขายยา - ร้านเสริมสุขภาพและความงาม - ร้านทำผม - บริการทางการเงิน - ธนาคารแฮร์รอดส์ - บริการวางแผนและออกแบบห้องน้ำโดย Ella Jade - บริการวางแผนและจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง - บริการส่งอาหาร - บริการไวน์ - ตะกร้าปิกนิกและกล่องของขวัญตามสั่ง - เค้กตามสั่ง - น้ำหอมตามสั่ง วันที่มีลูกค้าคับคั่งที่สุด จะมีลูกค้ามากถึง 300,000 คน จำนวนนี้รวมจำนวนที่สูงที่สุดของลูกค้าจากประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ มีพนักงานกว่าห้าพันคนจากกว่าห้าสิบประเทศที่ทำงานในแฮร์รอดส์ ในร้าน 'แฮร์รอดส์ 102' ที่อยู่ตรงข้ามกับห้างบนถนนบรอมพ์ตัน ยังมีร้านสัมปทานอีกจำนวนหนึ่ง อย่างเช่น เทิร์นบูลแอนด์อัสเซอร์ เอชเอ็มวี วอเตอร์สโตนส์ คริสปีครีม และ David Clulow Opticians วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ธนาคารแฮร์รอดส์เริ่มจำหน่ายทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่ลูกค้าสามารถหยิบจากชั้นวางได้ทันที และยังมีผลิตภัณฑ์ทองคำน้ำหนักตั้งแต่ 1 กรัมจนถึง 12.5 กิโลกรัม รวมทั้งบริการสำรองทองคำและรับซื้อทองคำคืนที่จะให้บริการในอนาคตแผนกและประเภทร้านค้าแยกตามชั้นชั้นใต้ดินแผนกและประเภทร้านค้าแยกตามชั้น. ชั้นใต้ดิน. - เครื่องแต่งกายบุรุษ - ศูนย์อาหาร - สินค้าที่ระลึกของแฮร์รอดส์ - กระเป๋าถือ - เครื่องเขียนและของขวัญ - บริการห่อของขวัญ - บริการบัตรสะสมแต้ม - ธนาคารแฮร์รอด - บริการหลังขายนาฬิกาข้อมือและเครื่องเพชรพลอยGround FloorGround Floor. - เครื่องแต่งกายบุรุษ - สินค้าเกี่ยวกับความงาม - ศูนย์อาหาร - สินค้าที่ระลึกของแฮร์รอดส์ - กระเป๋าและเครื่องประดับ - บริการรับฝากของและห้องนิรภัย - บริการรับสั่งอาหารและจัดตะกร้าของขวัญ - บริการดอกไม้ชั้นที่หนึ่งชั้นที่หนึ่ง. - รองเท้าสตรี - เครื่องแต่งกายสตรี - บริการเลือกซื้อสินค้าอย่างเป็นส่วนตัวชั้นที่สองชั้นที่สอง. - เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร - เครื่องตกแต่งบ้าน - เครื่องนอนและเครื่องใช้ในห้องน้ำ - เครื่องครัว - อุปกรณ์ในการเดินทาง - ร้านแฮร์รอด - บริการในงานแต่งงานและเฉลิมฉลองชั้นที่สามชั้นที่สาม. - เครื่องเรือน - ความบันเทิงในบ้าน - เครื่องตกแต่งบ้าน - บริการรับตกแต่งภายในชั้นที่สี่ชั้นที่สี่. - เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์สำหรับเด็ก - ของเล่น - สัตว์เลี้ยง - เครื่องแต่งกายสตรีชั้นที่ห้าชั้นที่ห้า. - อุปกรณ์กีฬาและสันทนาการ - สินค้าและบริการเกี่ยวกับความงาม - บริการด้านการเงิน - บริการบัตรสะสมแต้ม - เสื้อกันกระสุนคำวิจารณ์ คำวิจารณ์. แฮร์รอดส์และโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด ถูกวิจารณ์จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนสัตว์แท้ และเกิดการประท้วงในกรณีนี้เป็นประจำที่ด้านนอกห้าง แฮร์รอดส์เป็นห้างสรรพสินค้าเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ยังคงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนสัตว์ ใน พ.ศ. 2547 แฮร์รอดส์ถูกโจมตีจากชุมชนฮินดูในกรณีจำหน่ายชุดชั้นในสตรีที่มีภาพเทพีของเอเชียใต้ ซึ่งชุดชั้นในนี้ทางห้างได้เก็บออกและขอโทษอย่างเป็นทางการงูเห่าอียิปต์ งูเห่าอียิปต์. เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2545 แฮร์รอดส์ได้เช่างูเห่าอียิปต์หนึ่งตัวมาใช้รักษาความปลอดภัยของรองเท้าประดับทับทิม แซฟไฟร์ และเพชร ที่ออกแบบโดย Rene Caovilla มูลค่า 62,000 ปอนด์สเตอร์ลิง ที่จัดแสดงอยู่ที่แผนกรองเท้าอนุสรณ์ อนุสรณ์. หลังจากไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์พร้อมกับโดดี ฟาเยด บุตรชายของโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด ทางห้างได้สร้างอนุสรณ์ภายในห้างสองแห่งเพื่อรำลึกถึงบุคคลทั้งสองตามความต้องการของอัล ฟาเยด แห่งแรกเปิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2541 ประกอบด้วยภาพถ่ายของทั้งสองอยู่ด้านหลังแท่นรูปพีระมิดที่ตั้งแก้วไวน์ที่ยังมีคราบลิปสติกจากพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของเจ้าหญิงไดอาน่า และแหวนที่มีคำบรรยายว่าเป็นแหวนหมั้นที่โดดีซื้อก่อนวันที่เสียชีวิต อนุสรณ์แห่งที่สองเปิดเมื่อ พ.ศ. 2548 ตั้งอยู่ที่บันไดเลื่อนอียิปต์ที่ประตูสาม มีชื่อว่า "เหยื่อผู้บริสุทธิ์" เป็นรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ของบุคคลทั้งสองในท่วงท่าเต้นรำบนชายหาดใต้ปีกของนกอัลบาทรอส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง "จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์" รูปหล่อนี้สร้างขึ้นโดยบิลล์ มิทเชลล์ วัย 80 ปี ผู้เป็นเพื่อนสนิทกับอัล ฟาเยด และเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบศิลป์ให้แก่แฮร์รอดส์มานาน 40 ปี อัล ฟาเยด กล่าวว่า เขาต้องการให้จิตวิญญาณของบุคคลทั้งสองยังคงมีชีวิตผ่านทางรูปหล่อนี้ หลังการเสียชีวิตของไมเคิล แจ๊คสัน อัล ฟาเยด ประกาศว่า ได้มีการหารือถึงแผนการสร้างอนุสรณ์สำหรับศิลปินผู้ล่วงลับแล้ว
|
ห้างสรรพสินค้าหรูหราชื่อว่าแฮร์รอดส์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"2377"
],
"answer_begin_position": [
841
],
"answer_end_position": [
845
]
}
|
2,225 | 57,061 |
พรรคเดโมแครต (สหรัฐ) พรรคเดโมแครต () เป็นหนึ่งในสองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐ (อีกพรรคหนึ่งคือ ริพับลิกัน)ประวัติ ประวัติ. ชื่อเดิมของพรรคเดโมแครตคือ พรรคเดโมเครติก-ริพับลิกัน ซึ่งก่อตั้งโดยประธานาธิบดีทอมัส เจฟเฟอร์สัน ใน ค.ศ. 1792 ถือเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก หลังจากชัยชนะของพรรคเดโมเครติก-ริพับลิกันต่อพรรคเฟเดอรัลลิสต์ ในปี 1800 พรรคได้กลายเป็นพรรคการเมืองหลักของสหรัฐฯ ภายในพรรคเองได้แบ่งออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ ในที่สุดประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสัน ได้แยกฝ่ายของตนเองออกมาเป็น "พรรคเดโมแครต" ในปี 1828 ในช่วง ค.ศ. 1828–1854 พรรคเดโมแครตสลับขึ้นครองอำนาจกับพรรควิก จนกระทั่งช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา พรรคเดโมแครตต้องเผชิญกับคู่แข่งหน้าใหม่แทนพรรควิกที่ล่มสลายไป ซึ่งก็คือ พรรคริพับลิกัน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเอบราแฮม ลิงคอล์น ซึ่งครองอำนาจเหนือพรรคเดโมแครตในช่วงปี 1860-1896 พรรคเดโมแครตกลับมาครองอำนาจในทำเนียบประธานาธิบดีอีกครั้งในช่วงปี 1932 โดยการนำของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ซึ่งตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีที่สำคัญคือ แฮร์รี เอส. ทรูแมน และจอห์น เอฟ. เคนเนดี
|
ใครคือผู้ก่อตั้งพรรคเดโมแครตของสหรัฐอเมริกา
|
{
"answer": [
"ทอมัส เจฟเฟอร์สัน"
],
"answer_begin_position": [
293
],
"answer_end_position": [
310
]
}
|
2,226 | 26,141 |
ชาร์ลี แชปลิน เซอร์ชาลส์ สเปนเซอร์ แชปลิน จูเนียร์ (, KBE) หรือรู้จักกันในชื่อ ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) (16 เมษายน ค.ศ. 1889–25 ธันวาคม ค.ศ. 1977) นักแสดงชาวสหราชอาณาจักรผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง ในยุคต้นถึงยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของฮอลลีวูด อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งมีผลงานโดดเด่นหลายเรื่องด้วยกัน ตัวละครที่เขาแสดงซึ่งมีผู้จดจำได้มากที่สุดคือ "คนจรจัด" (The Tramp) ซึ่งมักปรากฏตัวในลักษณะคนจรจัดซึ่งสวมเสื้อนอกคับตัว สวมกางเกงและรองเท้าหลวม สวมหมวกดาร์บีหรือหมวกโบว์เลอร์ ถือไม้เท้าซึ่งทำจากไม้ไผ่ และไว้หนวดจุ๋มจิ๋ม แชปลินเป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดคนหนึ่งในยุคภาพยนตร์เงียบ ดังจะเห็นได้จากการที่เขาทั้งแสดง กำกับ เขียนบท อำนวยการสร้าง และรวมไปถึงประพันธ์ดนตรีประกอบในภาพยนตร์ของเขาเอง ผลงานบางเรื่องของเขาเช่นอีก่อยประวัติชีวิตวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตวัยเด็ก. ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) เกิดที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1889 โดยพ่อของแชปลิน (ชาร์ลี แชปลิน ซีเนียร์) เป็นนักร้องและนักแสดง แม่ชื่อลิลี ฮาร์ลีย์ (Lily Harley) เป็นนักแสดงและนักร้องโอเปรา แชปลินมีพี่ชายต่างพ่ออีกคนชื่อ ซิดนีย์ (Sydney) พ่อและแม่ของแชปลินหย่ากันตั้งแต่เขายังเล็ก ซึ่งทั้งหมดร่วมผจญชีวิตอันลำบากยากเข็ญมาด้วยกัน วันหนึ่งแม่ของแชปลินซึ่งป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ต้องหยุดแสดงกลางคันเพราะเจ็บคอ ไม่มีเสียง ผู้ชมโห่ฮาไม่พอใจอย่างมาก ผู้จัดการเวทีไม่รู้จะ แก้ปัญหาอย่างไร บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กชายแชปลิน จึงพาออกมาแนะนำตัวต่อผู้ชมแล้วให้แชปลินแสดงแทนแชปลินร้องเพลงและเต้นระบำตามที่แม่หัดให้โดยไม่เคอะเขิน การแสดงของเขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมอย่างไม่คาดฝัน และนั่นเป็นการแสดงบนเวทีครั้งแรกของเขา แต่เป็นครั้งสุดท้ายของแม่ เมื่อแม่ไม่สามารถยึดอาชีพนักแสดงได้ต่อไป ความเป็นอยู่ในครอบครัวก็ลำบากขึ้น แชปลินและพี่ชายต้องเร่ขายของและทำงานรับจ้างหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ในที่สุดแม่ก็เสียสติ เขาและพี่ชายต้องเข้าพึ่งสถานสงเคราะห์เด็กอนาถา แม้จะประสบปัญหาทางการเงิน แต่ความฝันของแชปลินก็ยังไม่หมดไป ทุกเย็นเขาจะไปเดินเตร่แถวสำนักจัดหานักแสดง เมื่ออายุ 12 ปี แชปลินได้งานแสดงงานแรกเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ชื่อ บิลลี (Billy) ในละครเรื่อง เชอร์ล็อก โฮมส์ และได้งานต่อมาในเรื่อง Jim, The Romance of a Cockney และเริ่มเป็นที่รู้จัก แชปลินได้เข้ากลุ่มนักแสดงที่ชื่อ The Eight Lancashire Lads และได้รับความนิยมมากขึ้นจากฝีมือการเต้นแท็ปของเขา ซึ่งเพียงครั้งแรกที่แชปลินได้อวดฝีมือในการแสดง นักวิจารณ์ก็เขียนชมว่า แชปลิน เป็น... "ดาราที่อนาคตจะสุกใสแน่นอน"เข้าสู่วงการแสดง เข้าสู่วงการแสดง. แชปลินได้มีโอกาสเดินทางไปอเมริกาโดยร่วมไปกับคณะละครของเฟรด คาร์โน และได้รับการติดต่อให้แสดงภาพยนตร์ของบริษัทคีย์สโตน แชปลินสร้างความชื่นชอบให้แก่ผู้ชมด้วยภาพของตัวตลกที่สวมเสื้อคับ กางเกงหลวม รองเท้าขนาดใหญ่ สวมหมวกใบจิ๋ว ควงไม้เท้า และติดหนวดแปรงสีฟันเหนือริมฝีปากภาพยนตร์ทุกเรื่องของแชปลินทำรายได้อย่างงดงามเป็นที่กล่าวขวัญตามหน้าหนังสือพิมพ์และร้านกาแฟ หลังจากที่ประสบความสำเร็จทางด้านการแสดง แชปลินก็ขอเขียนบทและกำกับการแสดงเอง ผลงานเรื่องแรกของเขาคือเรื่อง Caught in the Rain ในเวลา 1 ปี บริษัทคีย์สโตนก็มีหนังที่แชปลินแสดงถึง 35 เรื่อง แต่ละเรื่องทำรายได้สูงทั้งสิ้น ในระหว่างนี้แชปลินมีรายได้อาทิตย์ละ 200 เหรียญ เมื่อสัญญาครบ 1 ปี แชปลินก็ลาออกจากคีย์สโตนเพราะบริษัทฯ ไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนอาทิตย์ละ 1,000 เหรียญตามที่เขาเรียกร้องได้ แชปลินทำงานกับบริษัท เอสซันเนย์ และมิวชวล ฟิล์ม ตามลำดับ กับบริษัทหลังนี้ เขาได้ค่าจ้างอาทิตย์ละ 20,000 เหรียญและเงินโบนัสอีกปีละ 150,000 เหรียญ ค่าตัวของแชปลินเพิ่มเป็นปีละ 1 ล้าน 2 แสนเหรียญ เมื่อทำสัญญากับบริษัทเฟิสต์ เนชั่นแนล ในเวลานั้นแชปลิน กลายเป็นมหาเศรษฐีย่อย ๆ คนหนึ่ง และกลายเป็นอัจฉริยศิลปินของโลกภาพยนตร์ของแชปลิน ภาพยนตร์ของแชปลิน. ตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดของแชปลินคือ "คนจรจัด" (The Tramp) ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Kid Auto Races at Venice (1914) ส่วนหนังที่สร้างชื่อเสียงให้เขาคือ The Kid (1921) , City Light (1931) , Modern Times (1936) และ The Great Dictator (1940) ภาพยนตร์เงียบของแชปลิน มิใช่ภาพยนตร์ตลกธรรมดา แต่เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความคิดที่มีต่อสังคมและมนุษย์ โดยเฉพาะความคิดที่มีต่อสังคมในระบบทุนนิยม ดังจะเห็นได้จากผลงานเด่น ๆ เช่น The Gold Rush เป็นเรื่องของยุคคลั่งทองในอเมริกาสะท้อนภาพชีวิตของคนอเมริกันในยุคต้นของระบบทุนนิยมที่สังคมเต็มไปด้วยการแย่งชิงและฉวยโอกาส คนรวยยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนไม่มีโอกาสที่จะยกระดับตัวเอง เรื่อง City Lights ชี้ถึงผลการเติบโตของสังคม เรื่อง Modern Times แสดงถึงชีวิตของคนในสังคมอุตสาหกรรมที่มีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระเบียบเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆ ได้รับการพัฒนา หนังเปรียบเทียบให้เห็นว่ามนุษย์ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และระบบการทำงานของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเรื่อง Modern Times เป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของแชปลิน(แต่ออกมาในฉากเสียงวิทยุในคุกและฉากที่ตัวเขาเองกำลังร้องเพลง)ประพันธ์เพลงและดนตรี ประพันธ์เพลงและดนตรี. นอกจากบทบาทการแสดงเป็นนตัวตลกผู้ยิ่งใหญ่ในยุคภาพยนตร์เงียบแล้ว แชปลินยังได้แต่งเพลงประกอบในภาพยนตร์ต่างๆ ไว้หลายเพลงด้วยกัน อาทิเพลง This is my song (ในภาพยนตร์ The Countess From Hong Kong), เพลง Smile (ในเรื่อง Modern Times , Sing a song (เรื่อง The Gold Rush), Now that it’s ended, Mandolin Serenade, Without you, The spring song (จากเรื่อง A King in New York) และ Beautiful, Wonderful Eyes (ใน City Lights), Weeping Willows เป็นต้น ชาร์ลี แชปลินได้รับออสการ์สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง Limelight ในปี 1972ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว. แชปลินไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก เขาผ่านการหย่าร้างกับนักแสดงดาราสาวถึง 3 คน ได้แก่ มิตเลต ฮารีต (มีบุตร 1 คน), ลิตตา เกลต (มีบุตร 2 คน), พลาเล็ตส์ กล็อตดา จนมาพบกับ อูนา โอนีล ซึ่งเป็นการแต่งงานครั้งที่ 4 ชีวิตครอบครัวของเขาก็มีความสุขอย่างแท้จริง มีบุตรธิดารวมทั้งหมด 8 คน เอ็ดน่า เพอร์เวียนซ์ นางเอกคู่บุญที่แสดงคู่กับชาร์ลีมากที่สุดถึงสี่สิบเรื่อง เอ็ดน่าเป็นรักแรกของชาร์ลีแต่ก็เป็นรักที่ไม่สมหวังเพราะว่าความเจ้าชู้ของชาร์ลี ทำให้เขาต้องเข้าพิธีวิวาห์กับมิตเลต ฮารีต แต่ยังไงก็ตามชาร์ลีและเอ็ดน่าก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา ถึงแม้ว่าเวลาที่ยุคของภาพยนตร์เสียงเข้ามาแทนที่ภาพยนตร์เงียบ ทำให้เอ็ดน่าไม่มีงานแสดงอีกและมีชีวิตค่อนข้างยากลำบาก แต่ชาร์ลีก็มักที่จะให้โอกาสเธอมาร่วมแสดงฉากสมทบเล็กๆ น้อยๆ ในภาพยนตร์เสียงยุคหลังของเขา และช่วยเหลือจุนเจือโดยส่งเงินเบี้ยเลี้ยงให้เธอใช้ทุกเดือนจนกระทั่งเมื่อเธอเสียชีวิตเมื่อปี 1958 บุตรของชาร์ลี แชปลิน ได้แก่ เจอรัลดีน แชปลิน, ซิดนี่ แชปลิน, โจเซฟิน แชปลิน, วิคทอเรีย แชปลิน, ไมเคิล แชปลิน, คริสโตเฟอร์ แชปลิน, ยูจีน แชปลิน, นอร์มัน สเปนเซอร์ แชปลิน, แอนเน็ต เอมิลี่ แชปลิน, เจน แชปลินถูกว่าเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ถูกว่าเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์. ในปี 1940 ชาร์ลี แชปลินสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Great Dictator เป็นภาพยนตร์ล้อเลียนฮิตเลอร์ เป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องต่อมาของชาร์ลี แชปลิน ซึ่งสอดแทรกความคิดทางการเมืองของเขาไปด้วย เป็นเรื่องของฮิงเกลผู้นำตลอดกาลแห่งรัฐโทมาเนีย ผู้นำที่บ้าคลั่งอำนาจและสงครามและมีความฝันสูงสุดคือการที่จะได้ครองโลก โดยเดินเรื่องคู่ไปกับ ช่างตัดผมชาวยิว ที่หน้าตาเหมือนกันกับผู้นำฮิงเกล ที่เคยไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเมื่อกลับมาก็ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตนับสิบปี จนเมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ก็พบว่าบ้านเมืองของเขาภายใต้การปกครองของฮิงเกล ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป แชปลินในขณะนั้นถึงเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็มีปัญหาอย่างหนักเรื่องทัศนคติทางการเมือง โดยเฉพาะเขากำลังถูกจับตามองจากรัฐบาลอเมริกาในข้อหาฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ประสบความสำเร็จด้านวิจารณ์และประสบความสำเร็จอย่างดีด้านรายได้ ในปี 1947 ชาลี แชปลิน ได้สร้าง กำกับ และแสดงภาพยนตร์ขาวดำออกมาเรื่อง Monsieur Verdoux เป็นภาพยนตร์ตลก เกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องชาวฝรั่งเศส บทภาพยนตร์อ้างอิงมาจากเรื่องจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับความนิยม อีกทั้งยังถูกต่อต้านจากหลายฝ่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าแชปลินเป็นพวกฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ อีกทั้งก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ฉาย แชปลินโดนแกล้งจากฝ่ายเซนเซอร์ของรัฐบาลอเมริกา และจากความผิดหวังกับประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ทำให้เขาถูกโจมตีว่าเป็นผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเขามีความคิดทางการเมืองที่ขัดกับรัฐบาล นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพร้อมกับครอบครัวต้องถูกสั่งออกจากอเมริกาและห้ามเข้าอเมริกาอีก ในปี 1952ช่วงบั้นปลายชีวิต ช่วงบั้นปลายชีวิต. ในปี 1972 ชาร์ลี แชปลินกลับมายังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งในรอบ 20 ปี เพื่อมาได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศ (Academy Honorary Award) ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 44 ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้ขึ้นรับรางวัลออสการ์ด้วยตนเอง เขากล่าวคำขอบคุณทุกคนที่ยังระลึกถึงเขาได้และเขารู้สึกซาบซึ้งใจมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทุกคนในงานลุกขึ้นตบมือให้เขานานมากจนถึงกับบันทึกไว้ในสถิติของการจัดงานเลยว่าเป็นการสแตนดิ้งโอเวชั่นที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสการ์ ช่วงบั้นปลายชีวิต ชาร์ลี แชปลิน พำนักอยู่กับอูนาและลูก ๆ ที่สวิตเชอร์แลนด์ ในปี 1975 เขาได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษให้เป็น เซอร์ชาลส์ สเปนเซอร์ แชปลิน จูเนียร์ (Sir Charles Spencer Chaplin, Jr.) ถัดมาอีก 2 ปี ในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 1977 ชาร์ลี แชปปลิน ก็ถึงแก่กรรมอย่างสงบ ปิดฉากอัจฉริยนักแสดงดาวตลกระดับโลกผู้เป็นไอดอล ของนักแสดงหลายๆคน ไปด้วยวัย 88 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 1978 โลงศพของ ชาร์ลี แชปปลิน ถูกขุดและถูกขโมยโดยคนว่างงาน คือ Roman Wardas และ Gantcho Ganev เพื่อเรียกค่าไถ่จากภรรยาของ ชาร์ลี แชปลิน ทั้งคู่ถูกจับจากการร่วมมือครั้งใหญ่ของตำรวจในเดือนพฤษภาคม โลงศพของ ชาร์ลี แชปปลิน ถูกขุดพบในสนามหญ้าใกล้กับหมู่บ้าน Noville และถูกกลับมาฝังใหม่ที่สุสานในเมือง Corsier โดยถูกล้อมรอบด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็ก
|
ชาร์ลี แชปลิน นักแสดงชาวสหราชอาณาจักร ได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศเมื่อปีค.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"1972"
],
"answer_begin_position": [
7679
],
"answer_end_position": [
7683
]
}
|
2,227 | 26,141 |
ชาร์ลี แชปลิน เซอร์ชาลส์ สเปนเซอร์ แชปลิน จูเนียร์ (, KBE) หรือรู้จักกันในชื่อ ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) (16 เมษายน ค.ศ. 1889–25 ธันวาคม ค.ศ. 1977) นักแสดงชาวสหราชอาณาจักรผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง ในยุคต้นถึงยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของฮอลลีวูด อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งมีผลงานโดดเด่นหลายเรื่องด้วยกัน ตัวละครที่เขาแสดงซึ่งมีผู้จดจำได้มากที่สุดคือ "คนจรจัด" (The Tramp) ซึ่งมักปรากฏตัวในลักษณะคนจรจัดซึ่งสวมเสื้อนอกคับตัว สวมกางเกงและรองเท้าหลวม สวมหมวกดาร์บีหรือหมวกโบว์เลอร์ ถือไม้เท้าซึ่งทำจากไม้ไผ่ และไว้หนวดจุ๋มจิ๋ม แชปลินเป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดคนหนึ่งในยุคภาพยนตร์เงียบ ดังจะเห็นได้จากการที่เขาทั้งแสดง กำกับ เขียนบท อำนวยการสร้าง และรวมไปถึงประพันธ์ดนตรีประกอบในภาพยนตร์ของเขาเอง ผลงานบางเรื่องของเขาเช่นอีก่อยประวัติชีวิตวัยเด็ก ประวัติ. ชีวิตวัยเด็ก. ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) เกิดที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1889 โดยพ่อของแชปลิน (ชาร์ลี แชปลิน ซีเนียร์) เป็นนักร้องและนักแสดง แม่ชื่อลิลี ฮาร์ลีย์ (Lily Harley) เป็นนักแสดงและนักร้องโอเปรา แชปลินมีพี่ชายต่างพ่ออีกคนชื่อ ซิดนีย์ (Sydney) พ่อและแม่ของแชปลินหย่ากันตั้งแต่เขายังเล็ก ซึ่งทั้งหมดร่วมผจญชีวิตอันลำบากยากเข็ญมาด้วยกัน วันหนึ่งแม่ของแชปลินซึ่งป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ต้องหยุดแสดงกลางคันเพราะเจ็บคอ ไม่มีเสียง ผู้ชมโห่ฮาไม่พอใจอย่างมาก ผู้จัดการเวทีไม่รู้จะ แก้ปัญหาอย่างไร บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กชายแชปลิน จึงพาออกมาแนะนำตัวต่อผู้ชมแล้วให้แชปลินแสดงแทนแชปลินร้องเพลงและเต้นระบำตามที่แม่หัดให้โดยไม่เคอะเขิน การแสดงของเขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมอย่างไม่คาดฝัน และนั่นเป็นการแสดงบนเวทีครั้งแรกของเขา แต่เป็นครั้งสุดท้ายของแม่ เมื่อแม่ไม่สามารถยึดอาชีพนักแสดงได้ต่อไป ความเป็นอยู่ในครอบครัวก็ลำบากขึ้น แชปลินและพี่ชายต้องเร่ขายของและทำงานรับจ้างหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ในที่สุดแม่ก็เสียสติ เขาและพี่ชายต้องเข้าพึ่งสถานสงเคราะห์เด็กอนาถา แม้จะประสบปัญหาทางการเงิน แต่ความฝันของแชปลินก็ยังไม่หมดไป ทุกเย็นเขาจะไปเดินเตร่แถวสำนักจัดหานักแสดง เมื่ออายุ 12 ปี แชปลินได้งานแสดงงานแรกเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ชื่อ บิลลี (Billy) ในละครเรื่อง เชอร์ล็อก โฮมส์ และได้งานต่อมาในเรื่อง Jim, The Romance of a Cockney และเริ่มเป็นที่รู้จัก แชปลินได้เข้ากลุ่มนักแสดงที่ชื่อ The Eight Lancashire Lads และได้รับความนิยมมากขึ้นจากฝีมือการเต้นแท็ปของเขา ซึ่งเพียงครั้งแรกที่แชปลินได้อวดฝีมือในการแสดง นักวิจารณ์ก็เขียนชมว่า แชปลิน เป็น... "ดาราที่อนาคตจะสุกใสแน่นอน"เข้าสู่วงการแสดง เข้าสู่วงการแสดง. แชปลินได้มีโอกาสเดินทางไปอเมริกาโดยร่วมไปกับคณะละครของเฟรด คาร์โน และได้รับการติดต่อให้แสดงภาพยนตร์ของบริษัทคีย์สโตน แชปลินสร้างความชื่นชอบให้แก่ผู้ชมด้วยภาพของตัวตลกที่สวมเสื้อคับ กางเกงหลวม รองเท้าขนาดใหญ่ สวมหมวกใบจิ๋ว ควงไม้เท้า และติดหนวดแปรงสีฟันเหนือริมฝีปากภาพยนตร์ทุกเรื่องของแชปลินทำรายได้อย่างงดงามเป็นที่กล่าวขวัญตามหน้าหนังสือพิมพ์และร้านกาแฟ หลังจากที่ประสบความสำเร็จทางด้านการแสดง แชปลินก็ขอเขียนบทและกำกับการแสดงเอง ผลงานเรื่องแรกของเขาคือเรื่อง Caught in the Rain ในเวลา 1 ปี บริษัทคีย์สโตนก็มีหนังที่แชปลินแสดงถึง 35 เรื่อง แต่ละเรื่องทำรายได้สูงทั้งสิ้น ในระหว่างนี้แชปลินมีรายได้อาทิตย์ละ 200 เหรียญ เมื่อสัญญาครบ 1 ปี แชปลินก็ลาออกจากคีย์สโตนเพราะบริษัทฯ ไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนอาทิตย์ละ 1,000 เหรียญตามที่เขาเรียกร้องได้ แชปลินทำงานกับบริษัท เอสซันเนย์ และมิวชวล ฟิล์ม ตามลำดับ กับบริษัทหลังนี้ เขาได้ค่าจ้างอาทิตย์ละ 20,000 เหรียญและเงินโบนัสอีกปีละ 150,000 เหรียญ ค่าตัวของแชปลินเพิ่มเป็นปีละ 1 ล้าน 2 แสนเหรียญ เมื่อทำสัญญากับบริษัทเฟิสต์ เนชั่นแนล ในเวลานั้นแชปลิน กลายเป็นมหาเศรษฐีย่อย ๆ คนหนึ่ง และกลายเป็นอัจฉริยศิลปินของโลกภาพยนตร์ของแชปลิน ภาพยนตร์ของแชปลิน. ตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดของแชปลินคือ "คนจรจัด" (The Tramp) ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Kid Auto Races at Venice (1914) ส่วนหนังที่สร้างชื่อเสียงให้เขาคือ The Kid (1921) , City Light (1931) , Modern Times (1936) และ The Great Dictator (1940) ภาพยนตร์เงียบของแชปลิน มิใช่ภาพยนตร์ตลกธรรมดา แต่เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความคิดที่มีต่อสังคมและมนุษย์ โดยเฉพาะความคิดที่มีต่อสังคมในระบบทุนนิยม ดังจะเห็นได้จากผลงานเด่น ๆ เช่น The Gold Rush เป็นเรื่องของยุคคลั่งทองในอเมริกาสะท้อนภาพชีวิตของคนอเมริกันในยุคต้นของระบบทุนนิยมที่สังคมเต็มไปด้วยการแย่งชิงและฉวยโอกาส คนรวยยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนไม่มีโอกาสที่จะยกระดับตัวเอง เรื่อง City Lights ชี้ถึงผลการเติบโตของสังคม เรื่อง Modern Times แสดงถึงชีวิตของคนในสังคมอุตสาหกรรมที่มีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระเบียบเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆ ได้รับการพัฒนา หนังเปรียบเทียบให้เห็นว่ามนุษย์ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และระบบการทำงานของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเรื่อง Modern Times เป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของแชปลิน(แต่ออกมาในฉากเสียงวิทยุในคุกและฉากที่ตัวเขาเองกำลังร้องเพลง)ประพันธ์เพลงและดนตรี ประพันธ์เพลงและดนตรี. นอกจากบทบาทการแสดงเป็นนตัวตลกผู้ยิ่งใหญ่ในยุคภาพยนตร์เงียบแล้ว แชปลินยังได้แต่งเพลงประกอบในภาพยนตร์ต่างๆ ไว้หลายเพลงด้วยกัน อาทิเพลง This is my song (ในภาพยนตร์ The Countess From Hong Kong), เพลง Smile (ในเรื่อง Modern Times , Sing a song (เรื่อง The Gold Rush), Now that it’s ended, Mandolin Serenade, Without you, The spring song (จากเรื่อง A King in New York) และ Beautiful, Wonderful Eyes (ใน City Lights), Weeping Willows เป็นต้น ชาร์ลี แชปลินได้รับออสการ์สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง Limelight ในปี 1972ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว. แชปลินไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก เขาผ่านการหย่าร้างกับนักแสดงดาราสาวถึง 3 คน ได้แก่ มิตเลต ฮารีต (มีบุตร 1 คน), ลิตตา เกลต (มีบุตร 2 คน), พลาเล็ตส์ กล็อตดา จนมาพบกับ อูนา โอนีล ซึ่งเป็นการแต่งงานครั้งที่ 4 ชีวิตครอบครัวของเขาก็มีความสุขอย่างแท้จริง มีบุตรธิดารวมทั้งหมด 8 คน เอ็ดน่า เพอร์เวียนซ์ นางเอกคู่บุญที่แสดงคู่กับชาร์ลีมากที่สุดถึงสี่สิบเรื่อง เอ็ดน่าเป็นรักแรกของชาร์ลีแต่ก็เป็นรักที่ไม่สมหวังเพราะว่าความเจ้าชู้ของชาร์ลี ทำให้เขาต้องเข้าพิธีวิวาห์กับมิตเลต ฮารีต แต่ยังไงก็ตามชาร์ลีและเอ็ดน่าก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา ถึงแม้ว่าเวลาที่ยุคของภาพยนตร์เสียงเข้ามาแทนที่ภาพยนตร์เงียบ ทำให้เอ็ดน่าไม่มีงานแสดงอีกและมีชีวิตค่อนข้างยากลำบาก แต่ชาร์ลีก็มักที่จะให้โอกาสเธอมาร่วมแสดงฉากสมทบเล็กๆ น้อยๆ ในภาพยนตร์เสียงยุคหลังของเขา และช่วยเหลือจุนเจือโดยส่งเงินเบี้ยเลี้ยงให้เธอใช้ทุกเดือนจนกระทั่งเมื่อเธอเสียชีวิตเมื่อปี 1958 บุตรของชาร์ลี แชปลิน ได้แก่ เจอรัลดีน แชปลิน, ซิดนี่ แชปลิน, โจเซฟิน แชปลิน, วิคทอเรีย แชปลิน, ไมเคิล แชปลิน, คริสโตเฟอร์ แชปลิน, ยูจีน แชปลิน, นอร์มัน สเปนเซอร์ แชปลิน, แอนเน็ต เอมิลี่ แชปลิน, เจน แชปลินถูกว่าเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ถูกว่าเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์. ในปี 1940 ชาร์ลี แชปลินสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Great Dictator เป็นภาพยนตร์ล้อเลียนฮิตเลอร์ เป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องต่อมาของชาร์ลี แชปลิน ซึ่งสอดแทรกความคิดทางการเมืองของเขาไปด้วย เป็นเรื่องของฮิงเกลผู้นำตลอดกาลแห่งรัฐโทมาเนีย ผู้นำที่บ้าคลั่งอำนาจและสงครามและมีความฝันสูงสุดคือการที่จะได้ครองโลก โดยเดินเรื่องคู่ไปกับ ช่างตัดผมชาวยิว ที่หน้าตาเหมือนกันกับผู้นำฮิงเกล ที่เคยไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเมื่อกลับมาก็ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตนับสิบปี จนเมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ก็พบว่าบ้านเมืองของเขาภายใต้การปกครองของฮิงเกล ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป แชปลินในขณะนั้นถึงเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็มีปัญหาอย่างหนักเรื่องทัศนคติทางการเมือง โดยเฉพาะเขากำลังถูกจับตามองจากรัฐบาลอเมริกาในข้อหาฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ประสบความสำเร็จด้านวิจารณ์และประสบความสำเร็จอย่างดีด้านรายได้ ในปี 1947 ชาลี แชปลิน ได้สร้าง กำกับ และแสดงภาพยนตร์ขาวดำออกมาเรื่อง Monsieur Verdoux เป็นภาพยนตร์ตลก เกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องชาวฝรั่งเศส บทภาพยนตร์อ้างอิงมาจากเรื่องจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับความนิยม อีกทั้งยังถูกต่อต้านจากหลายฝ่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าแชปลินเป็นพวกฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ อีกทั้งก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ฉาย แชปลินโดนแกล้งจากฝ่ายเซนเซอร์ของรัฐบาลอเมริกา และจากความผิดหวังกับประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ทำให้เขาถูกโจมตีว่าเป็นผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเขามีความคิดทางการเมืองที่ขัดกับรัฐบาล นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพร้อมกับครอบครัวต้องถูกสั่งออกจากอเมริกาและห้ามเข้าอเมริกาอีก ในปี 1952ช่วงบั้นปลายชีวิต ช่วงบั้นปลายชีวิต. ในปี 1972 ชาร์ลี แชปลินกลับมายังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งในรอบ 20 ปี เพื่อมาได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศ (Academy Honorary Award) ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 44 ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้ขึ้นรับรางวัลออสการ์ด้วยตนเอง เขากล่าวคำขอบคุณทุกคนที่ยังระลึกถึงเขาได้และเขารู้สึกซาบซึ้งใจมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทุกคนในงานลุกขึ้นตบมือให้เขานานมากจนถึงกับบันทึกไว้ในสถิติของการจัดงานเลยว่าเป็นการสแตนดิ้งโอเวชั่นที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสการ์ ช่วงบั้นปลายชีวิต ชาร์ลี แชปลิน พำนักอยู่กับอูนาและลูก ๆ ที่สวิตเชอร์แลนด์ ในปี 1975 เขาได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษให้เป็น เซอร์ชาลส์ สเปนเซอร์ แชปลิน จูเนียร์ (Sir Charles Spencer Chaplin, Jr.) ถัดมาอีก 2 ปี ในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 1977 ชาร์ลี แชปปลิน ก็ถึงแก่กรรมอย่างสงบ ปิดฉากอัจฉริยนักแสดงดาวตลกระดับโลกผู้เป็นไอดอล ของนักแสดงหลายๆคน ไปด้วยวัย 88 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 1978 โลงศพของ ชาร์ลี แชปปลิน ถูกขุดและถูกขโมยโดยคนว่างงาน คือ Roman Wardas และ Gantcho Ganev เพื่อเรียกค่าไถ่จากภรรยาของ ชาร์ลี แชปลิน ทั้งคู่ถูกจับจากการร่วมมือครั้งใหญ่ของตำรวจในเดือนพฤษภาคม โลงศพของ ชาร์ลี แชปปลิน ถูกขุดพบในสนามหญ้าใกล้กับหมู่บ้าน Noville และถูกกลับมาฝังใหม่ที่สุสานในเมือง Corsier โดยถูกล้อมรอบด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็ก
|
ชาร์ลี แชปลิน นักแสดงชาวสหราชอาณาจักร แต่งงานครั้งที่ 4 กับใคร
|
{
"answer": [
"อูนา โอนีล"
],
"answer_begin_position": [
5268
],
"answer_end_position": [
5278
]
}
|
2,229 | 2,043 |
ประเทศอินเดีย อินเดีย (; , ออกเสียง ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (; ) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลก และเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน มีภาษาพูดร้อยแปดสิบแปดภาษาโดยประมาณ ด้านเศรษฐกิจ อินเดียมีอำนาจการซื้อมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก ทั้งนี้ อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นอกนั้นยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของโลกข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทั่วไป. ประเทศอินเดียเกิดขึ้นบนอนุทวีปอินเดีย (Indian subcontinent) ซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณแผ่นเปลือกโลกอินเดีย (Indian tectonic plate) ซึ่งในอดีตนั้นเคยเชื่อมอยู่กับแผ่นออสเตรเลีย การรวมตัวทางภูมิศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศอินเดียนั้นเกิดขึ้นราว 75 ล้านปีก่อน เมื่ออนุทวีปอินเดียซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปแห่งตอนใต้ คือ มหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) ได้เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านที่บริเวณมหาสมุทรอินเดียซึ่งในขณะนั้นยังไม่เกิดขึ้น โดยกินเวลารวมทั้งหมดประมาณ 55 ล้านปี หลังจากนั้นอนุทวีปอินเดียนได้ชนเข้ากับแผ่นทวีปยูเรเชีย อันเป็นที่มาของการเกิดเทือกเขาที่มีความสูงที่สุดในโลก คือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตอนใต้ของเทือกเขาซึ่งเคยเป็นท้องทะเลอันกว้างขวางได้ค่อยๆกลายมาเป็นผืนดินราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ทำให้เกิดเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาตอนเหนือของอินเดีย (Indo-Gangetic Plain) ทางภาคตะวันตกนั้นติดกับทะเลทรายธาร์ ซึ่งถูกกั้นกลางด้วยทิวเขาอะราวัลลี อนุทวีปอินเดียนั้นได้คงอยู่จนกลายมาเป็นคาบสมุทรอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งจัดเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดทางธรณีวิทยา และยังเป็นบริเวณที่มีความคงที่ทางภูมิศาสตร์ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย โดยกินพื้นที่กว้างขวางจรดเทือกเขาสัทปุระ (Satpura)ทางตอนใต้ และเทือกเขาผิงอ ในภาคกลางของอินเดีย โดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝั่งทะเลอาหรับในรัฐคุชราตทางทิศตะวันตก และที่ราบสูงโชตนาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติในรัฐฌาร์ขัณฑ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนทิศใต้นั้นประกอบด้วยแผ่นดินคาบสมุทรบนที่ราบสูงเดคคาน (Deccan Plateau) ซึ่งถูกขนาบโดยเทือกเขาริมทะเลทั้งสองฝั่งที่เรียกว่า เทือกเขากัทส์ทิศตะวันตก และตะวันออก(Western and Eastern Ghats) ในบริเวณนี้จะพบหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งมีอายุถึง 1 พันล้านปี ชายฝั่งของอินเดียนั้นมีระยะทางประมาณ แบ่งเป็นระยะทางบนคาบสมุทรอินเดีย และ ในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์และลักษทวีป จากแผนที่ทะเลของอินเดียนั้น ชายฝั่งบนแผ่นดินใหญ่ของอินเดียประกอบด้วยหาดทรายถึง 43% กรวดและหิน 11% รวมถึงหน้าผา และ 46% เป็นดินเลนและโคลน แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำจากเทือกเขาเอเวอเรส แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายในแม่น้ำหิมาลัย ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา และมีความลาดชันค่อนข้างต่ำ ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่อยู่เสมอ ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน อีกทั้งมีความลาดชันลดหลั่นลง จึงรับน้ำได้มาก และช่วยระบายน้ำในฤดูมรสุมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ำได้ในปริมาณจำกัด สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาบ ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทรายธาร์ ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา (Ganges) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ บริเวณผืนดินที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาจัดได้ว่ามีความอุดสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ที่สุด โดยเป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา มีสาขามากมาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดีย โดยไปสุดที่อ่าวเบงกอลเช่นเดียวกับแม่น้ำคงคา ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารีนาเลีย (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้ การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สภาพอากาศของอินเดียนั้นได้รับอิทธิพลจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือเทือกเขาหิมาลัย และทะเลทรายธาร์ ทำให้มีทั้งฤดูร้อนอันอบอุ่น และฤดูหนาวที่มีมรสุม เทือกเขาหิมาลัยนั้นมีบทบาทมากในการป้องกันลมพัดลงลาดเขา (Katabatic wind) ทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศนั้นอบอุ่นกว่าประเทศอื่นๆที่ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกัน ส่วนทะเลทรายธาร์นั้นก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนความชื้นของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งลมมรสุมนี้เองที่ทำให้ทุกปีๆระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมนั้นมีฝนกรดตกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ จากการแบ่งเขตภูมิอากาศนั้น อินเดียประกอบด้วยภูมิอากาศหลักๆ 4 แบบได้แก่ แบบเขตร้อนชื้น (tropical wet), แบบเขตร้อนแห้งแล้ง (tropical dry), แบบอบอุ่นชื้น (subtropical humid), และแบบเทือกเขาสูง (montane) ประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวดราวิเดียน ชาวอารยัน เริ่มกำเนิดอารยธรรมต่าง ๆ ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ต่อมาในสมัย อาณาจักรเมารยะ ซึ่งมีดินแดนในตอนเหนือตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำสินธุจรดอ่าวเบงกอลพระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างความรุ่งเรืองในการปกครองและได้สนับสนุนการเผยแผ่พุทธศาสนา ในสมัยราชวงศ์โมกุลมีการขยายอิทธิพล วัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ในด้านการปกครองภาษาศิลปะสถาปัตยกรรมและศาสนาอิสลาม อังกฤษเริ่มมามีอิทธิพลในอนุทวีป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อค้าขายและครอบครองดินแดนและแทรกแซงในการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ หลังจากการรณรงค์ต่อต้านการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน อินเดียจึงได้รับเอกราช และได้รับการสถาปนาเป็นสาธารณรัฐอินเดียการเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. คณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล- ประธานาธิบดี นายราม นาถ โควินทร์ (Ram nath Kovind) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 14 - นายกราชยสภา นายกฤษาณ กันต์ (Krishan Kant) รองประธานาธิบดี ทำหน้าที่นายกราชยสภาโดยตำแหน่ง - นายกโลกสภา นายคานตี โมหัน พลโยคี (Ganti Mohana Balayogi) (เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1999) - นายกรัฐมนตรี นายนเรนทร โมที (Narendra Modi) - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชสวันต์ สิงห์ (Jaswant Singh), เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1999 - โครงสร้างการปกครองกระทรวง กระทรวง. ประเทศอินเดียมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 38 กระทรวง (รวมทั้งส่วนราชการเทียบเท่า) ดังต่อไปนี้นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบรัฐสภา ประกอบด้วยราชยสภา (Rajya Sabha) เป็นสภาสูง มีสมาชิกจำนวน 245 คน สมาชิกส่วนใหญ่ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม อีกส่วนมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และโลกสภา (Lok Sabha) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกจำนวน 545 คน สมาชิกจำนวน 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดี จากกลุ่มอินโด-อารยันในประเทศอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภาตุลาการ ตุลาการ. ศาลอินเดียแบ่งเป็นสามชั้น ประกอบด้วย ศาลสูงสุด (Supreme Court) นำโดย ประธานศาลสูงสุดแห่งอิงเดีย (Chief Justice of India), ศาลสูง (High Courts) ยี่สิบเอ็ดศาล เป็นศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นอีกจำนวนมาก ศาลสูงสุดมีเขตอำนาจชำระคดีเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับส่วนกลาง และคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลสูง กับทั้งการตีความรัฐธรรมนูญ- การปกครอง ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร แต่อำนาจการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรีอำนาจ การปกครองแบ่งเป็นรัฐต่าง ๆ 25 รัฐ และดินแดนสหภาพของรัฐบาลกลาง (Union Territories) อีก 7 เขต ขณะนี้ (มกราคม 2544) โลกสภาได้เห็นชอบร่างรัฐบัญญัติในการจัดตั้งรัฐใหม่ 3 รัฐ คือ รัฐฉัตตีสครห์ (Chattisgarh) รัฐอุตตรานจัล (Uttaranchal) และรัฐฌาร์ขันท์ (Jharkhand) ซึ่งแยกออกจากรัฐมัธยประเทศ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐพิหาร ตามลำดับการเมืองภายใน การเมืองภายใน. อินเดียมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นสมัยที่ 13 เมื่อวันที่ 5 กันยายน - 3 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนของนายกรัฐมนตรี อตล เพหารี วัชปายี (Atal Behari Vajpayee) ได้แพ้การพิสูจน์เสียงข้างมาก (Vote of Confidence) ในโลกสภาเพียง 1 เสียง เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2542 เนื่องจากพรรค All India Anna Dravida Munnetra Kazagham (AIADMK) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้ประกาศถอนการสนับสนุนรัฐบาลผสมของนายวัชปายี อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งปรากฏว่านายวัชปายี ผู้นำพรรคภารติยชนตะ (Bharatiya Janata Party : BJP) ซึ่งร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ อีก 25 พรรค ในนามพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance : NDA) ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ส่งผลให้นายวัชปายีเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียอีกสมัย โดยได้กระทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2542 มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร (โลกสภา) อินเดีย ทั้งสิ้น 296 เสียง จากจำนวนเสียงทั้งหมด 543 เสียง ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันของอินเดียเป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างมาก ซึ่งนับว่ามีฐานเสียงแข็งแกร่งกว่าเดิม (ครั้งที่แล้ว พรรค BJP และพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วยคะแนนเสียง 264 เสียง) ส่วนพรรคคองเกรส และพรรคพันธมิตรได้รับคะแนนเสียงเพียง 133 เสียงเท่านั้น (พรรคคองเกรสพรรคเดียวได้ 112 เสียง) ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนเสียงที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปีของประวัติศาสตร์การเมืองของพรรคคองเกรส ส่งผลให้พรรคคองเกรสและพันธมิตรเป็นพรรคฝ่ายค้านการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. อินเดียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 29 รัฐ (States) (ซึ่งแบ่งย่อยลงเป็นเขต) และ 7 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ได้แก่ รัฐกองทัพเศรษฐกิจเศรษฐกิจ. - อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเบื้องต้น (GDP Growth) ร้อยละ 5.8 (พ.ศ. 2543) - รายได้ประชาชาติเบื้องต้นต่อหัว (per – capita GNP) 415 ดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. 2542) - เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมมูลค่าทองคำ) (พ.ศ. 2543) - ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 1,760 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (สิงหาคม พ.ศ. 2542) ...-.513 - อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ร้อยละ 6.0 (พ.ศ. 2543) - ดุลการค้า อินเดีย – โลก ขาดดุล 17.10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (กันยายน พ.ศ. 2543) - มูลค่าการส่งออก 21.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมษายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2543) - มูลค่าการนำเข้า 38.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมษายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2543) - การลงทุนของต่างชาติระหว่างปี พ.ศ. 2541 – 2542 2.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ - มูลค่าตลาดทุน 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. 2543) ประเทศคู่ค้าสำคัญ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร สินค้าออกที่สำคัญ อัญมณี และกึ่งอัญมณี ไข่มุก เสื้อผ้าสำเร็จรูป ชา และกาแฟ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าเข้าที่สำคัญ น้ำมันปิโตรเลียม เครื่องจักร อัญมณีและกึ่งอัญมณี แร่เหล็ก และน้ำมันพืชการท่องเที่ยวประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประชากรอินเดียมี1.252พันล้านคน โดยมีเชื้อชาติ อินโด-อารยัน ร้อยละ 72 ดราวิเดียน ร้อยละ 25 มองโกลอยด์ ร้อยละ 2 และอื่น ๆ ร้อยละ 1 อัตราการเพิ่มของประชากร ร้อยละ 1.8 พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) และอัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 52.1ภาษา ภาษา. อินเดียมีประชากรกว่า 1,100 ล้านคน ประชากรเหล่านี้มีความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม มีภาษาหลักใช้พูดถึง 16 ภาษา เช่น ภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ ภาษาเบงกาลี ภาษาอูรดู ฯลฯ และมีภาษาถิ่นมากกว่า 100 ภาษา ภาษาฮินดี ถือว่าเป็นภาษาประจำชาติ เพราะคนอินเดียกว่าร้อยละ 30 ใช้ภาษานี้ คนอินเดียที่อาศัยอยู่รัฐทางตอนเหนือและรัฐทางตอนใต้นอกจากจะใช้ภาษาที่แตกต่างกันแล้ว การแต่งกาย การรับประทานอาหารก็แตกต่างกันออกไปด้วยศาสนา ศาสนา. เนื่องจากประเทศอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดพระศาสนาที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ศาสนาพราหมณ์ และ พระพุทธศาสนา ชาวอินเดียจึงถือว่าครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสำคัญที่สุด ระบบครอบครัวของอินเดียเป็นระบบครอบครัวร่วม หรือครอบครัวขนาดใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย ปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน และ เหลน อยู่ร่วมกันภายในครอบครัวเดียว ผู้อาวุโสที่สุดของฝ่ายชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แม้สังคมของอินเดียยังคงมีความนับถือเรื่องวรรณะอยู่ แต่ก็ปรากฏไม่มากเท่าอดีต การดำเนินชีวิตของชาวอินเดียจะยึดถือศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ กว่าร้อยละ 79 ของประชากรนับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 15 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาคริสต์ นอกนั้นนับถือศาสนาพุทธส่วนมากอยู่ลาดัก หิมาจัล สิกขิม อัสสัม เบงกอลตะวันตก และโอริศา ศาสนาซิกข์ในรัฐปัญจาบ และศาสนาเชนในรัฐคุชรัต และอื่น ๆ รวมทั้งพวกนักบวชที่นับถือนิกายต่าง ๆ อีกมากมาย มีประมาณ 400 ศาสนาทั่วอินเดียโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขวัฒนธรรมวรรณกรรมนาฏศิลป์อาหารวันหยุดกีฬา
|
ประเทศใดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับเจ็ดของโลก
|
{
"answer": [
"อินเดีย"
],
"answer_begin_position": [
773
],
"answer_end_position": [
780
]
}
|
2,230 | 2,043 |
ประเทศอินเดีย อินเดีย (; , ออกเสียง ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (; ) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย มีประชากรมากเป็นอันดับที่สองของโลก และเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน มีภาษาพูดร้อยแปดสิบแปดภาษาโดยประมาณ ด้านเศรษฐกิจ อินเดียมีอำนาจการซื้อมากเป็นอันดับที่สี่ของโลก ทั้งนี้ อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นอกนั้นยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของโลกข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทั่วไป. ประเทศอินเดียเกิดขึ้นบนอนุทวีปอินเดีย (Indian subcontinent) ซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณแผ่นเปลือกโลกอินเดีย (Indian tectonic plate) ซึ่งในอดีตนั้นเคยเชื่อมอยู่กับแผ่นออสเตรเลีย การรวมตัวทางภูมิศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศอินเดียนั้นเกิดขึ้นราว 75 ล้านปีก่อน เมื่ออนุทวีปอินเดียซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปแห่งตอนใต้ คือ มหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) ได้เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านที่บริเวณมหาสมุทรอินเดียซึ่งในขณะนั้นยังไม่เกิดขึ้น โดยกินเวลารวมทั้งหมดประมาณ 55 ล้านปี หลังจากนั้นอนุทวีปอินเดียนได้ชนเข้ากับแผ่นทวีปยูเรเชีย อันเป็นที่มาของการเกิดเทือกเขาที่มีความสูงที่สุดในโลก คือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตอนใต้ของเทือกเขาซึ่งเคยเป็นท้องทะเลอันกว้างขวางได้ค่อยๆกลายมาเป็นผืนดินราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ทำให้เกิดเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาตอนเหนือของอินเดีย (Indo-Gangetic Plain) ทางภาคตะวันตกนั้นติดกับทะเลทรายธาร์ ซึ่งถูกกั้นกลางด้วยทิวเขาอะราวัลลี อนุทวีปอินเดียนั้นได้คงอยู่จนกลายมาเป็นคาบสมุทรอินเดียในปัจจุบัน ซึ่งจัดเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดทางธรณีวิทยา และยังเป็นบริเวณที่มีความคงที่ทางภูมิศาสตร์ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย โดยกินพื้นที่กว้างขวางจรดเทือกเขาสัทปุระ (Satpura)ทางตอนใต้ และเทือกเขาผิงอ ในภาคกลางของอินเดีย โดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝั่งทะเลอาหรับในรัฐคุชราตทางทิศตะวันตก และที่ราบสูงโชตนาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติในรัฐฌาร์ขัณฑ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนทิศใต้นั้นประกอบด้วยแผ่นดินคาบสมุทรบนที่ราบสูงเดคคาน (Deccan Plateau) ซึ่งถูกขนาบโดยเทือกเขาริมทะเลทั้งสองฝั่งที่เรียกว่า เทือกเขากัทส์ทิศตะวันตก และตะวันออก(Western and Eastern Ghats) ในบริเวณนี้จะพบหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งมีอายุถึง 1 พันล้านปี ชายฝั่งของอินเดียนั้นมีระยะทางประมาณ แบ่งเป็นระยะทางบนคาบสมุทรอินเดีย และ ในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์และลักษทวีป จากแผนที่ทะเลของอินเดียนั้น ชายฝั่งบนแผ่นดินใหญ่ของอินเดียประกอบด้วยหาดทรายถึง 43% กรวดและหิน 11% รวมถึงหน้าผา และ 46% เป็นดินเลนและโคลน แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำจากเทือกเขาเอเวอเรส แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายในแม่น้ำหิมาลัย ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา และมีความลาดชันค่อนข้างต่ำ ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่อยู่เสมอ ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน อีกทั้งมีความลาดชันลดหลั่นลง จึงรับน้ำได้มาก และช่วยระบายน้ำในฤดูมรสุมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ำได้ในปริมาณจำกัด สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาบ ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทรายธาร์ ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา (Ganges) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ บริเวณผืนดินที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาจัดได้ว่ามีความอุดสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ที่สุด โดยเป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา มีสาขามากมาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดีย โดยไปสุดที่อ่าวเบงกอลเช่นเดียวกับแม่น้ำคงคา ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารีนาเลีย (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้ การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน สภาพอากาศของอินเดียนั้นได้รับอิทธิพลจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือเทือกเขาหิมาลัย และทะเลทรายธาร์ ทำให้มีทั้งฤดูร้อนอันอบอุ่น และฤดูหนาวที่มีมรสุม เทือกเขาหิมาลัยนั้นมีบทบาทมากในการป้องกันลมพัดลงลาดเขา (Katabatic wind) ทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศนั้นอบอุ่นกว่าประเทศอื่นๆที่ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกัน ส่วนทะเลทรายธาร์นั้นก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนความชื้นของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งลมมรสุมนี้เองที่ทำให้ทุกปีๆระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมนั้นมีฝนกรดตกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ จากการแบ่งเขตภูมิอากาศนั้น อินเดียประกอบด้วยภูมิอากาศหลักๆ 4 แบบได้แก่ แบบเขตร้อนชื้น (tropical wet), แบบเขตร้อนแห้งแล้ง (tropical dry), แบบอบอุ่นชื้น (subtropical humid), และแบบเทือกเขาสูง (montane) ประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวดราวิเดียน ชาวอารยัน เริ่มกำเนิดอารยธรรมต่าง ๆ ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ต่อมาในสมัย อาณาจักรเมารยะ ซึ่งมีดินแดนในตอนเหนือตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำสินธุจรดอ่าวเบงกอลพระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างความรุ่งเรืองในการปกครองและได้สนับสนุนการเผยแผ่พุทธศาสนา ในสมัยราชวงศ์โมกุลมีการขยายอิทธิพล วัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ในด้านการปกครองภาษาศิลปะสถาปัตยกรรมและศาสนาอิสลาม อังกฤษเริ่มมามีอิทธิพลในอนุทวีป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อค้าขายและครอบครองดินแดนและแทรกแซงในการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ หลังจากการรณรงค์ต่อต้านการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน อินเดียจึงได้รับเอกราช และได้รับการสถาปนาเป็นสาธารณรัฐอินเดียการเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. คณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล- ประธานาธิบดี นายราม นาถ โควินทร์ (Ram nath Kovind) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 14 - นายกราชยสภา นายกฤษาณ กันต์ (Krishan Kant) รองประธานาธิบดี ทำหน้าที่นายกราชยสภาโดยตำแหน่ง - นายกโลกสภา นายคานตี โมหัน พลโยคี (Ganti Mohana Balayogi) (เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1999) - นายกรัฐมนตรี นายนเรนทร โมที (Narendra Modi) - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชสวันต์ สิงห์ (Jaswant Singh), เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1999 - โครงสร้างการปกครองกระทรวง กระทรวง. ประเทศอินเดียมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 38 กระทรวง (รวมทั้งส่วนราชการเทียบเท่า) ดังต่อไปนี้นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบรัฐสภา ประกอบด้วยราชยสภา (Rajya Sabha) เป็นสภาสูง มีสมาชิกจำนวน 245 คน สมาชิกส่วนใหญ่ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม อีกส่วนมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และโลกสภา (Lok Sabha) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกจำนวน 545 คน สมาชิกจำนวน 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดี จากกลุ่มอินโด-อารยันในประเทศอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภาตุลาการ ตุลาการ. ศาลอินเดียแบ่งเป็นสามชั้น ประกอบด้วย ศาลสูงสุด (Supreme Court) นำโดย ประธานศาลสูงสุดแห่งอิงเดีย (Chief Justice of India), ศาลสูง (High Courts) ยี่สิบเอ็ดศาล เป็นศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นอีกจำนวนมาก ศาลสูงสุดมีเขตอำนาจชำระคดีเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับส่วนกลาง และคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลสูง กับทั้งการตีความรัฐธรรมนูญ- การปกครอง ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร แต่อำนาจการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรีอำนาจ การปกครองแบ่งเป็นรัฐต่าง ๆ 25 รัฐ และดินแดนสหภาพของรัฐบาลกลาง (Union Territories) อีก 7 เขต ขณะนี้ (มกราคม 2544) โลกสภาได้เห็นชอบร่างรัฐบัญญัติในการจัดตั้งรัฐใหม่ 3 รัฐ คือ รัฐฉัตตีสครห์ (Chattisgarh) รัฐอุตตรานจัล (Uttaranchal) และรัฐฌาร์ขันท์ (Jharkhand) ซึ่งแยกออกจากรัฐมัธยประเทศ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐพิหาร ตามลำดับการเมืองภายใน การเมืองภายใน. อินเดียมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นสมัยที่ 13 เมื่อวันที่ 5 กันยายน - 3 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนของนายกรัฐมนตรี อตล เพหารี วัชปายี (Atal Behari Vajpayee) ได้แพ้การพิสูจน์เสียงข้างมาก (Vote of Confidence) ในโลกสภาเพียง 1 เสียง เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2542 เนื่องจากพรรค All India Anna Dravida Munnetra Kazagham (AIADMK) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้ประกาศถอนการสนับสนุนรัฐบาลผสมของนายวัชปายี อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งปรากฏว่านายวัชปายี ผู้นำพรรคภารติยชนตะ (Bharatiya Janata Party : BJP) ซึ่งร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ อีก 25 พรรค ในนามพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance : NDA) ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ส่งผลให้นายวัชปายีเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียอีกสมัย โดยได้กระทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2542 มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร (โลกสภา) อินเดีย ทั้งสิ้น 296 เสียง จากจำนวนเสียงทั้งหมด 543 เสียง ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันของอินเดียเป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างมาก ซึ่งนับว่ามีฐานเสียงแข็งแกร่งกว่าเดิม (ครั้งที่แล้ว พรรค BJP และพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วยคะแนนเสียง 264 เสียง) ส่วนพรรคคองเกรส และพรรคพันธมิตรได้รับคะแนนเสียงเพียง 133 เสียงเท่านั้น (พรรคคองเกรสพรรคเดียวได้ 112 เสียง) ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนเสียงที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปีของประวัติศาสตร์การเมืองของพรรคคองเกรส ส่งผลให้พรรคคองเกรสและพันธมิตรเป็นพรรคฝ่ายค้านการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. อินเดียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 29 รัฐ (States) (ซึ่งแบ่งย่อยลงเป็นเขต) และ 7 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ได้แก่ รัฐกองทัพเศรษฐกิจเศรษฐกิจ. - อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเบื้องต้น (GDP Growth) ร้อยละ 5.8 (พ.ศ. 2543) - รายได้ประชาชาติเบื้องต้นต่อหัว (per – capita GNP) 415 ดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. 2542) - เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมมูลค่าทองคำ) (พ.ศ. 2543) - ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 1,760 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (สิงหาคม พ.ศ. 2542) ...-.513 - อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ร้อยละ 6.0 (พ.ศ. 2543) - ดุลการค้า อินเดีย – โลก ขาดดุล 17.10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (กันยายน พ.ศ. 2543) - มูลค่าการส่งออก 21.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมษายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2543) - มูลค่าการนำเข้า 38.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมษายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2543) - การลงทุนของต่างชาติระหว่างปี พ.ศ. 2541 – 2542 2.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ - มูลค่าตลาดทุน 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. 2543) ประเทศคู่ค้าสำคัญ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร สินค้าออกที่สำคัญ อัญมณี และกึ่งอัญมณี ไข่มุก เสื้อผ้าสำเร็จรูป ชา และกาแฟ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าเข้าที่สำคัญ น้ำมันปิโตรเลียม เครื่องจักร อัญมณีและกึ่งอัญมณี แร่เหล็ก และน้ำมันพืชการท่องเที่ยวประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประชากรอินเดียมี1.252พันล้านคน โดยมีเชื้อชาติ อินโด-อารยัน ร้อยละ 72 ดราวิเดียน ร้อยละ 25 มองโกลอยด์ ร้อยละ 2 และอื่น ๆ ร้อยละ 1 อัตราการเพิ่มของประชากร ร้อยละ 1.8 พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) และอัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 52.1ภาษา ภาษา. อินเดียมีประชากรกว่า 1,100 ล้านคน ประชากรเหล่านี้มีความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม มีภาษาหลักใช้พูดถึง 16 ภาษา เช่น ภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ ภาษาเบงกาลี ภาษาอูรดู ฯลฯ และมีภาษาถิ่นมากกว่า 100 ภาษา ภาษาฮินดี ถือว่าเป็นภาษาประจำชาติ เพราะคนอินเดียกว่าร้อยละ 30 ใช้ภาษานี้ คนอินเดียที่อาศัยอยู่รัฐทางตอนเหนือและรัฐทางตอนใต้นอกจากจะใช้ภาษาที่แตกต่างกันแล้ว การแต่งกาย การรับประทานอาหารก็แตกต่างกันออกไปด้วยศาสนา ศาสนา. เนื่องจากประเทศอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดพระศาสนาที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ศาสนาพราหมณ์ และ พระพุทธศาสนา ชาวอินเดียจึงถือว่าครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมที่มีความสำคัญที่สุด ระบบครอบครัวของอินเดียเป็นระบบครอบครัวร่วม หรือครอบครัวขนาดใหญ่ สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย ปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน และ เหลน อยู่ร่วมกันภายในครอบครัวเดียว ผู้อาวุโสที่สุดของฝ่ายชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แม้สังคมของอินเดียยังคงมีความนับถือเรื่องวรรณะอยู่ แต่ก็ปรากฏไม่มากเท่าอดีต การดำเนินชีวิตของชาวอินเดียจะยึดถือศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ กว่าร้อยละ 79 ของประชากรนับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 15 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาคริสต์ นอกนั้นนับถือศาสนาพุทธส่วนมากอยู่ลาดัก หิมาจัล สิกขิม อัสสัม เบงกอลตะวันตก และโอริศา ศาสนาซิกข์ในรัฐปัญจาบ และศาสนาเชนในรัฐคุชรัต และอื่น ๆ รวมทั้งพวกนักบวชที่นับถือนิกายต่าง ๆ อีกมากมาย มีประมาณ 400 ศาสนาทั่วอินเดียโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมการศึกษาสาธารณสุขวัฒนธรรมวรรณกรรมนาฏศิลป์อาหารวันหยุดกีฬา
|
ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"แม่น้ำคงคา"
],
"answer_begin_position": [
3608
],
"answer_end_position": [
3618
]
}
|
2,231 | 8,058 |
ประเทศสโลวาเกีย สโลวาเกีย (; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสโลวัก (; ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับเช็กเกีย ทางเหนือติดต่อกับโปแลนด์ ทางตะวันออกติดต่อกับยูเครน ทางใต้ติดต่อกับฮังการี และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดต่อกับออสเตรีย เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศคือเมืองหลวงบราติสลาวา ปัจจุบันสโลวาเกียเป็นรัฐสมาชิกรัฐหนึ่งของสหภาพยุโรป และได้เปลี่ยนสกุลเงินของประเทศจากกอรูนาสโลวักมาเป็นยูโรเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ที่ตั้ง อยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป ไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเล ทิศเหนือติดกับโปแลนด์ ทิศใต้ติดกับฮังการี ทิศตะวันออกติดกับยูเครน และทิศตะวันตกติดกับเช็กเกียและออสเตรีย พื้นที่ 49,035 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวง กรุงบราติสลาวา (Bratislava) ภูมิอากาศ อากาศเย็นในหน้าร้อน และช่วงหน้าหนาวค่อนข้างหนาว มีหมอกและอากาศชื้นประวัติศาสตร์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 5 ประวัติศาสตร์. ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 5. ในช่วงเวลาประมาณ 450 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณดินแดนที่เป็นประเทศสโลวาเกียทุกวันนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของพวกเคลต์ซึ่งเป็นผู้สร้างออปปีดา (oppida - ชุมชนขนาดใหญ่ในช่วงปลายยุคเหล็ก มีลำน้ำล้อมรอบ) ที่บราติสลาวาและฮาฟรานอค เหรียญเงินที่มีชื่อของกษัตริย์เคลต์จารึกไว้ ที่เรียกว่า ไบอะเท็ก (Biatec) เป็นสิ่งแสดงถึงการใช้ตัวอักษรเป็นครั้งแรกในดินแดนแห่งนี้ ในปี ค.ศ. 6 (ประมาณ พ.ศ. 549) จักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ได้จัดตั้งและบำรุงแนวกองรักษาด่านรอบ ๆ แม่น้ำดานูบ ต่อมาราชอาณาจักรวานนีอุสได้ปรากฏขึ้นในสโลวาเกียตอนกลางและตะวันตก โดยการจัดตั้งของพวกอนารยชนเผ่าควอดี ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันสาขาหนึ่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 20-50 (ประมาณปี พ.ศ. 563-593)กลุ่มรัฐสลาฟ กลุ่มรัฐสลาฟ. ชาวสลาฟเข้ามาตั้งหลักแหล่งในดินแดนสโลวาเกียในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และภาคตะวันตกของสโลวาเกียกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิกษัตริย์ซาโมในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ต่อมารัฐสโลวักที่ชื่อ ราชรัฐนีตรา (Principality of Nitra) ก็ได้ก่อตัวขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และเมื่อถึงปี ค.ศ. 828 (พ.ศ. 1371) เจ้าชายพรีบีนาสร้างโบสถ์คริสต์แห่งแรกขึ้นในสโลวาเกีย ราชรัฐนี้ได้เข้าร่วมกับแคว้นโมเรเวียเป็นบริเวณศูนย์อำนาจของจักรวรรดิเกรตโมเรเวีย (Great Moravian Empire) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 833 (พ.ศ. 1376) จุดสูงสุดของราชรัฐสโลวักแห่งนี้ได้มาถึงพร้อมกับการเข้ามาของนักบุญซีริลและนักบุญเมโทดีอุสในปี ค.ศ. 863 (พ.ศ. 1406) อยู่ในสมัยของเจ้าชายราสตีสลาฟ และอีกช่วงหนึ่งคือช่วงขยายดินแดนในสมัยพระเจ้าสเวตอพลุคที่ 1ราชอาณาจักรฮังการี ราชอาณาจักรฮังการี. ภายหลังการกระจัดกระจายของจักรวรรดิเกรตโมเรเวียในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ชาวแมกยาร์ (ชาวฮังการี) ก็ค่อย ๆ เข้าครอบครองดินแดนสโลวาเกียปัจจุบัน ภายในศตวรรษเดียวกัน สโลวาเกียตะวันตกเฉียงใต้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชรัฐฮังการี (Hungarian principality) ซึ่งมีฐานะเป็นราชอาณาจักรฮังการี (Kingdom of Hungary) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1000 (พ.ศ. 1543) พื้นที่ส่วนใหญ่ของสโลวาเกียถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรแห่งนี้เมื่อถึงปี ค.ศ. 1100 (พ.ศ. 1643) และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อถึงปี ค.ศ. 1400 (พ.ศ. 1943) เนื่องจากเศรษฐกิจระดับสูงและการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่มากขึ้น สโลวาเกียจึงยังคงมีความสำคัญในรัฐใหม่แห่งนี้ เป็นเวลาเกือบสองศตวรรษที่ราชรัฐนีตรามีการปกครองตนเองภายในราชอาณาจักรฮังการี การตั้งถิ่นฐานของชาวสโลวักได้ขยายเข้าไปในตอนเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ของฮังการีในปัจจุบัน ในขณะที่ชาวแมกยาร์ก็เริ่มตั้งหลักแหล่งทางใต้ของสโลวาเกีย การผสมผสานทางชาติพันธุ์มีความหลากหลายมากขึ้นหลังจากการเข้ามาของชาวเยอรมันคาร์เพเทียนในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาววลาคในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และชาวยิว การสูญเสียประชากรขนานใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพวกมองโกลจากเอเชียกลางเข้ามารุกรานในปี ค.ศ. 1241 (พ.ศ. 1784) ซึ่งก่อให้เกิดทุพภิกขภัยตามมา อย่างไรก็ตาม เมืองต่าง ๆ สโลวาเกียในยุคกลางก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างปราสาทหลายแห่ง รวมทั้งมีการพัฒนาศิลปะ ในปี ค.ศ. 1467 (พ.ศ. 2010) มัตตีอัส กอร์วีนุสได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้นในบราติสลาวา แต่สถาบันแห่งนี้ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันได้เริ่มขยายอาณาเขตเข้ามาในฮังการีและสามารถยึดครองเมืองสำคัญ คือ บูดา (Buda) และแซแคชแฟเฮร์วาร์ (Szekesfehérvár) ไว้ได้ ศูนย์กลางของอาณาจักรฮังการี (ภายใต้ชื่อ รอแยลฮังการี) ได้ย้ายขึ้นไปสู่สโลวาเกีย บราติสลาวา (ขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ เพรสส์บูร์ก โพโชนย์ เพรชพอรอค หรือ โปโซนีอุม) ได้กลายเป็นเมืองหลวงของรอแยลฮังการีในปี ค.ศ. 1536 (พ.ศ. 2079) แต่สงครามออตโตมันและการจลาจลต่อต้านราชวงศ์ฮับสบูร์กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งได้ก่อให้เกิดการทำลายล้างที่ใหญ่หลวงโดยเฉพาะในเขตชนบท ความสำคัญของสโลวาเกียภายในฮังการีลดลงเมื่อพวกเติร์กได้ล่าถอยออกไปจากอาณาจักรในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่บราติสลาวายังคงสถานะเป็นเมืองหลวงของฮังการีจนกระทั่งปี ค.ศ. 1848 (พ.ศ. 2391) จึงย้ายเมืองหลวงกลับไปที่บูดาเปสต์ ระหว่างการปฏิวัติในปี 1848-1849 (พ.ศ. 2391-2392) ชาวสโลวักให้การสนับสนุนจักรพรรดิออสเตรียด้วยความหวังที่จะแยกตัวจากฮังการี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในยุคสมัยของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867-1918 (พ.ศ. 2410-2461) ชาวสโลวักต้องประสบกับการกดขี่ทางวัฒนธรรมอย่างเข้มงวดจากนโยบายทำให้เป็นแมกยาร์ที่รัฐบาลฮังการีเป็นผู้ส่งเสริมคริสต์ศตวรรษที่ 20 คริสต์ศตวรรษที่ 20. ในปี ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) สโลวาเกียได้ร่วมกับแคว้นโบฮีเมีย (Bohemia) และแคว้นโมเรเวีย (Moravia) ซึ่งเป็นดินแดนข้างเคียงเพื่อก่อตั้งประเทศเชโกสโลวาเกีย (Czechoslovakia) เป็นอิสระจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาแซงแชร์แมงและสนธิสัญญาตรียานง ในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) เป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ตามมาหลังการแตกแยกของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ดินแดนสโลวาเกียได้ถูกโจมตีจากสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี (Hungarian Soviet Republic) พื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของสโลวาเกียได้ถูกยึดครองและตั้งเป็นสาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก (Slovak Soviet Republic) อยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือน จึงถูกกองทัพเชโกสโลวักยึดพื้นที่คืนมาได้ ในปี ค.ศ. 1939 ประธานาธิบดียอเซฟ ตีซอ ผู้นิยมนาซีเยอรมนี ได้ประกาศให้สาธารณรัฐสโลวักที่ 1 (First Slovak Republic) เป็นเอกราชจากเชโกสโลวาเกีย จึงเกิดขบวนการต่อต้านนาซีขึ้นซึ่งได้ก่อการประท้วงที่รู้จักกันในชื่อ การลุกฮือของชาวสโลวัก (Slovak National Uprising) ในปี ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2487) แม้ว่ากลุ่มผู้ก่อการจลาจลจะถูกปราบปรามลงได้ แต่การสู้รบแบบกองโจรก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งกองทัพโซเวียต (ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพโรมาเนีย) เข้ามาขับไล่นาซีออกไปจากสโลวาเกียในปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เชโกสโลวาเกียได้รับการจัดตั้งเป็นประเทศขึ้นใหม่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตและสนธิสัญญาวอร์ซอตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) เป็นต้นมา ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ประเทศนี้ได้กลายเป็นรัฐสหพันธ์ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเช็ก (Czech Socialist Republic) และสาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวัก (Slovak Socialist Republic) การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวาเกียสิ้นสุดลงเมื่อถึงปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ซึ่งอยู่ในช่วงการปฏิวัติเวลเวต (Velvet Revolution) อันเป็นไปอย่างสันติ ตามมาด้วยการสลายตัวของประเทศออกเป็นรัฐสืบสิทธิ์สองรัฐ นั่นคือ สโลวาเกียและสาธารณรัฐเช็กได้แยกออกจากกันหลังวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) เหตุการณ์นี้บางครั้งเรียกว่าการแยกทางเวลเวต (Velvet Divorce) อย่างไรก็ตาม สโลวาเกียยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาธารณรัฐเช็กเช่นเดียวกับประเทศยุโรปกลางอื่น ๆ ในกลุ่มวีเซกราด สโลวาเกียได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)การเมืองการปกครองบริหารนิติบัญญัติตุลาการสถานการณ์การเมือง การเมืองการปกครอง. สถานการณ์การเมือง. ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อปี 2549 นาย Robert Fico และพรรค Smer ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายเอาชนะรัฐบาลเก่าของนาย Mikulas Dzurinda หัวหน้าพรรค Slovak Democratic Coalition (SDK) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 8 ปี และมีนโยบายบริหารประเทศ โดยเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบเสรี การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการให้ความสำคัญกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต้และสหภาพยุโรป จึงทำให้สโลวาเกียภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี Dzurinda ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น และประสบความสำเร็จในการผลักดันสโลวาเกียเข้าเป็นสมาชิก OECD สหภาพยุโรป และ นาโต้ในปี 2548 อย่างไรก็ตามความนิยมในรัฐบาลในระยะหลังกลับลดลง เนื่องจากความไม่แน่ใจของประชาชนเกี่ยวกับอนาคตของสโลวาเกียภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ความขัดแย้งและการทุจริตภายในรัฐบาล อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น และความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจนในประเทศ ส่งผลให้พรรค SDK ของนาย Dzurinda พ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรค Smer ของนาย Robert Fico ในที่สุด รัฐบาลปัจจุบันของนาย Robert Fico ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายบริหาร คือเน้นความเป็นชาตินิยม ประกอบไปด้วยการให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม และการระงับการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่แล้ว ปัจจุบัน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยังคงได้การยอมรับจากประชาชนสโลวาเกียในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและนานาประเทศที่เห็นว่านโยบายของรัฐบาลจะส่งผลให้สโลวาเกียมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลงสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. สโลวาเกียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 แคว้น (Regions - kraje) แต่ละแคว้นมีชื่อเรียกตามเมืองหลักของแคว้นนั้น โดยมีอำนาจในการปกครองตนเองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)1. แคว้นบราติสลาวา (บราติสลาวา) 2. แคว้นเตอร์นาวา (เตอร์นาวา) 3. แคว้นเตร็นชีน (เตร็นชีน) 4. แคว้นญิตรา (ญิตรา) 5. แคว้นฌิลินา (ฌิลินา) 6. แคว้นบันสกาบิสตริตซา (บันสกาบิสตริตซา) 7. แคว้นเปรชอว์ (เปรชอว์) 8. แคว้นกอชิตเซ (กอชิตเซ) แคว้นต่าง ๆ แบ่งย่อยออกเป็น เขต (districts - okresy) ปัจจุบัน ในสโลวาเกียมี 79 เขตนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป นโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป. นโยบายต่างประเทศในปัจจุบัน ภายใต้การนำของนาย Jan Kubis รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตนักการทูต ซึ่งเชี่ยวชาญการทูตพหุภาคี เปลี่ยนแนวทางจากการให้ความสำคัญและสร้างความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาเป็นการให้ความสำคัญกับสหภาพยุโรป และปรับนโยบายต่างประเทศตามแนวทางของสหภาพยุโรปแทน ปัจจุบันสโลวาเกียมีบทบาทที่สำคัญในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ วาระปี 2549-2550 นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของ OSCE OECD นาโต้ และ สหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างสโลวาเกียกับฮังการีเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสโลวาเกีย อันเนื่องมาจากปัญหาชนกลุ่มน้อยเชื้อสายฮังกาเรียนใน สโลวาเกีย ซึ่งมีอยู่ประมาณประมาณ 600,000 คน หรือ ร้อยละ 9.7 (ฮังการีเคยปกครองสโลวาเกียอยู่กว่า 1,000 ปีภายใต้จักรวรรดิออสโตร-ฮังการเรียน จึงมีชาวฮังการีในสโลวาเกียจำนวนมาก) ในสมัยของนายกรัฐมนตรี Meciar ได้เคยออกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของชาวฮังกาเรียน เช่น ประกาศใช้ภาษาสโลวักเป็นภาษาทางการเพียงภาษาเดียว อีกทั้งยังห้ามใช้ป้ายภาษาฮังการีแม้แต่ในย่านที่อยู่อาศัยของชาวฮังกาเรียนกลุ่มน้อย ในขณะที่ฮังการีได้ออกกฎหมายที่จะให้สิทธิและความคุ้มครองชนเชื้อสายฮังการีแม้จะเป็นประชากรของประเทศอื่น ๆ จึงส่งผลให้ประเทศทั้งสองมีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่งความสัมพันธ์กับประเทศไทยความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - การทูต - การค้าและเศรษฐกิจ - การศึกษาและวิชาการกองทัพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เศรษฐกิจของสโลวาเกียเริ่มมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลของนาย Mikulas Dzurinda ได้เข้ามาบริหารประเทศในปี 2541 โดยนโยบายหลักของรัฐบาลคือการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาด การสร้างเสถียรภาพ และการปฏิรูปโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจมหภาค ตลอดจนดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและระบบธนาคาร ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางเศรษฐกิจของสโลวักมีความมั่นคงและการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น สโลวาเกียเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) ที่สูงมากเนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่เอื้ออำนวยการลงทุนจากต่างชาติ (ธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศเป็นของคนต่างชาติ) ศักยภาพการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่สูง เนื่องจากในสมัยสังคมนิยมถูกกำหนดให้เป็นศูนย์อุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าจักรกล อุปกรณ์โดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้สโลวาเกียยังมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าแรงที่ถูก และแรงงานมีการศึกษา มีระบบโครงสร้างภาษีที่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุน ปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติ อาทิ U.S. Steel, Volkswagen, Siemens, Plastic Omnium Matsushita, Deutsche Telecom และ Sony เข้าไปลงทุนในสโลวาเกีย นอกจากนี้ สโลวาเกียยังเป็นฐานการผลิตสินค้าราคาถูกสำหรับประเทศในสหภาพยุโรปอีกด้วย ภายหลังจากที่นาย Robert Fico เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 มีนโยบายที่เน้นความเป็นชาตินิยมและการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดน้อยลงกว่า 2-3 ปีก่อน โดยมีการคาดการณ์กันว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 6.5-7 ในปี 2550การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. ประชากร 5.4 ล้านคน (2543) ชาวสโลวัก (85.7%) ชาวฮังกาเรียน (10.6%) ชาวโรมาเนีย (1.6%) ชาวเช็ก ชาวเยอรมัน ชาวโปแลนด์ และอื่นๆ (ที่มา/กระทรวงต่างประเทศ)ศาสนาภาษากีฬาวัฒนธรรมวรรณกรรมภาพยนตร์ศิลปะดนตรีอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุดการจัดอันดับนานาชาติการจัดอันดับนานาชาติ. - อันดับที่ 8 จาก 168 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) จากการจัดอันดับของรีพอร์ตเตอส์วิทเอาต์บอร์เดอส์ (Reporters Without Borders) - อันดับที่ 42 จาก 177 ประเทศในการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index) ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) - อันดับที่ 34 จาก 157 ประเทศในการจัดอันดับดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Index of Economic Freedom) ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549)บทอ่านเพิ่มเติมบทอ่านเพิ่มเติม. - Alfred Horn. Insight Guide: Czech & Slovak Republics. - Eugen Lazistan, Fedor Mikovic, Ivan Kucma and Anna Jureckova. Slovakia: A Photographic Odyssey. - Jim Downs. World War II: OSS Tragedy in Slovakia. *Julius Bartl and Dusan Skvarna. Slovak History: Chronology & Lexicon. - Krejčí, Oskar. Geopolitics of the Central European Region. The view from Prague and Bratislava. Bratislava: Veda, 2005. 494 p. (ดาวน์โหลดฟรี) - Lil Junas. My Slovakia: An American's View. - Mark W. A. Axworthy. Axis Slovakia: Hitler's Slavic Wedge, 1938-1945. - Michael Jacobs. Blue Guide: Czech and Slovak Republics. - Minton F. Goldman. Slovakia Since Independence : A Struggle for Democracy. - Neil Wilson, Richard Nebesky. Lonely Planet World Guide: Czech & Slovak Republics. - Olga Drobna, Eduard Drobny and Magdalena Gocnikova. Slovakia: The Heart of Europe. - Pavel Dvorak. The Early History of Slovakia in Images. Photographs by Jakub Dvorak ISBN 80-85501-34-1 - Rob Humphreys. The Rough Guide: Czech and Slovak Republics. - Sharon Fisher. Political Change in Post-Communist Slovakia and Croatia: From Nationalist to Europeanist. New York: Palgrave Macmillan, 2006. ISBN 1-4039-7286-9 - Stanislav Kirschbaum. A History of Slovakia : The Struggle for Survival. - The Slovak Republic: A Decade of Independence, 1993-2002.
|
สกุลเงินแบบเก่าของประเทศสโลวาเกียคือสกุลเงินใด
|
{
"answer": [
"อรูนาสโลวัก"
],
"answer_begin_position": [
509
],
"answer_end_position": [
520
]
}
|
2,232 | 8,058 |
ประเทศสโลวาเกีย สโลวาเกีย (; ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสโลวัก (; ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับเช็กเกีย ทางเหนือติดต่อกับโปแลนด์ ทางตะวันออกติดต่อกับยูเครน ทางใต้ติดต่อกับฮังการี และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดต่อกับออสเตรีย เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศคือเมืองหลวงบราติสลาวา ปัจจุบันสโลวาเกียเป็นรัฐสมาชิกรัฐหนึ่งของสหภาพยุโรป และได้เปลี่ยนสกุลเงินของประเทศจากกอรูนาสโลวักมาเป็นยูโรเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ที่ตั้ง อยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป ไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเล ทิศเหนือติดกับโปแลนด์ ทิศใต้ติดกับฮังการี ทิศตะวันออกติดกับยูเครน และทิศตะวันตกติดกับเช็กเกียและออสเตรีย พื้นที่ 49,035 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวง กรุงบราติสลาวา (Bratislava) ภูมิอากาศ อากาศเย็นในหน้าร้อน และช่วงหน้าหนาวค่อนข้างหนาว มีหมอกและอากาศชื้นประวัติศาสตร์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 5 ประวัติศาสตร์. ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 5. ในช่วงเวลาประมาณ 450 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณดินแดนที่เป็นประเทศสโลวาเกียทุกวันนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของพวกเคลต์ซึ่งเป็นผู้สร้างออปปีดา (oppida - ชุมชนขนาดใหญ่ในช่วงปลายยุคเหล็ก มีลำน้ำล้อมรอบ) ที่บราติสลาวาและฮาฟรานอค เหรียญเงินที่มีชื่อของกษัตริย์เคลต์จารึกไว้ ที่เรียกว่า ไบอะเท็ก (Biatec) เป็นสิ่งแสดงถึงการใช้ตัวอักษรเป็นครั้งแรกในดินแดนแห่งนี้ ในปี ค.ศ. 6 (ประมาณ พ.ศ. 549) จักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ได้จัดตั้งและบำรุงแนวกองรักษาด่านรอบ ๆ แม่น้ำดานูบ ต่อมาราชอาณาจักรวานนีอุสได้ปรากฏขึ้นในสโลวาเกียตอนกลางและตะวันตก โดยการจัดตั้งของพวกอนารยชนเผ่าควอดี ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันสาขาหนึ่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 20-50 (ประมาณปี พ.ศ. 563-593)กลุ่มรัฐสลาฟ กลุ่มรัฐสลาฟ. ชาวสลาฟเข้ามาตั้งหลักแหล่งในดินแดนสโลวาเกียในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และภาคตะวันตกของสโลวาเกียกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิกษัตริย์ซาโมในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ต่อมารัฐสโลวักที่ชื่อ ราชรัฐนีตรา (Principality of Nitra) ก็ได้ก่อตัวขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และเมื่อถึงปี ค.ศ. 828 (พ.ศ. 1371) เจ้าชายพรีบีนาสร้างโบสถ์คริสต์แห่งแรกขึ้นในสโลวาเกีย ราชรัฐนี้ได้เข้าร่วมกับแคว้นโมเรเวียเป็นบริเวณศูนย์อำนาจของจักรวรรดิเกรตโมเรเวีย (Great Moravian Empire) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 833 (พ.ศ. 1376) จุดสูงสุดของราชรัฐสโลวักแห่งนี้ได้มาถึงพร้อมกับการเข้ามาของนักบุญซีริลและนักบุญเมโทดีอุสในปี ค.ศ. 863 (พ.ศ. 1406) อยู่ในสมัยของเจ้าชายราสตีสลาฟ และอีกช่วงหนึ่งคือช่วงขยายดินแดนในสมัยพระเจ้าสเวตอพลุคที่ 1ราชอาณาจักรฮังการี ราชอาณาจักรฮังการี. ภายหลังการกระจัดกระจายของจักรวรรดิเกรตโมเรเวียในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ชาวแมกยาร์ (ชาวฮังการี) ก็ค่อย ๆ เข้าครอบครองดินแดนสโลวาเกียปัจจุบัน ภายในศตวรรษเดียวกัน สโลวาเกียตะวันตกเฉียงใต้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชรัฐฮังการี (Hungarian principality) ซึ่งมีฐานะเป็นราชอาณาจักรฮังการี (Kingdom of Hungary) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1000 (พ.ศ. 1543) พื้นที่ส่วนใหญ่ของสโลวาเกียถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรแห่งนี้เมื่อถึงปี ค.ศ. 1100 (พ.ศ. 1643) และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อถึงปี ค.ศ. 1400 (พ.ศ. 1943) เนื่องจากเศรษฐกิจระดับสูงและการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่มากขึ้น สโลวาเกียจึงยังคงมีความสำคัญในรัฐใหม่แห่งนี้ เป็นเวลาเกือบสองศตวรรษที่ราชรัฐนีตรามีการปกครองตนเองภายในราชอาณาจักรฮังการี การตั้งถิ่นฐานของชาวสโลวักได้ขยายเข้าไปในตอนเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ของฮังการีในปัจจุบัน ในขณะที่ชาวแมกยาร์ก็เริ่มตั้งหลักแหล่งทางใต้ของสโลวาเกีย การผสมผสานทางชาติพันธุ์มีความหลากหลายมากขึ้นหลังจากการเข้ามาของชาวเยอรมันคาร์เพเทียนในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาววลาคในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และชาวยิว การสูญเสียประชากรขนานใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพวกมองโกลจากเอเชียกลางเข้ามารุกรานในปี ค.ศ. 1241 (พ.ศ. 1784) ซึ่งก่อให้เกิดทุพภิกขภัยตามมา อย่างไรก็ตาม เมืองต่าง ๆ สโลวาเกียในยุคกลางก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างปราสาทหลายแห่ง รวมทั้งมีการพัฒนาศิลปะ ในปี ค.ศ. 1467 (พ.ศ. 2010) มัตตีอัส กอร์วีนุสได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกขึ้นในบราติสลาวา แต่สถาบันแห่งนี้ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันได้เริ่มขยายอาณาเขตเข้ามาในฮังการีและสามารถยึดครองเมืองสำคัญ คือ บูดา (Buda) และแซแคชแฟเฮร์วาร์ (Szekesfehérvár) ไว้ได้ ศูนย์กลางของอาณาจักรฮังการี (ภายใต้ชื่อ รอแยลฮังการี) ได้ย้ายขึ้นไปสู่สโลวาเกีย บราติสลาวา (ขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ เพรสส์บูร์ก โพโชนย์ เพรชพอรอค หรือ โปโซนีอุม) ได้กลายเป็นเมืองหลวงของรอแยลฮังการีในปี ค.ศ. 1536 (พ.ศ. 2079) แต่สงครามออตโตมันและการจลาจลต่อต้านราชวงศ์ฮับสบูร์กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งได้ก่อให้เกิดการทำลายล้างที่ใหญ่หลวงโดยเฉพาะในเขตชนบท ความสำคัญของสโลวาเกียภายในฮังการีลดลงเมื่อพวกเติร์กได้ล่าถอยออกไปจากอาณาจักรในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่บราติสลาวายังคงสถานะเป็นเมืองหลวงของฮังการีจนกระทั่งปี ค.ศ. 1848 (พ.ศ. 2391) จึงย้ายเมืองหลวงกลับไปที่บูดาเปสต์ ระหว่างการปฏิวัติในปี 1848-1849 (พ.ศ. 2391-2392) ชาวสโลวักให้การสนับสนุนจักรพรรดิออสเตรียด้วยความหวังที่จะแยกตัวจากฮังการี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในยุคสมัยของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867-1918 (พ.ศ. 2410-2461) ชาวสโลวักต้องประสบกับการกดขี่ทางวัฒนธรรมอย่างเข้มงวดจากนโยบายทำให้เป็นแมกยาร์ที่รัฐบาลฮังการีเป็นผู้ส่งเสริมคริสต์ศตวรรษที่ 20 คริสต์ศตวรรษที่ 20. ในปี ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) สโลวาเกียได้ร่วมกับแคว้นโบฮีเมีย (Bohemia) และแคว้นโมเรเวีย (Moravia) ซึ่งเป็นดินแดนข้างเคียงเพื่อก่อตั้งประเทศเชโกสโลวาเกีย (Czechoslovakia) เป็นอิสระจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาแซงแชร์แมงและสนธิสัญญาตรียานง ในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) เป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ตามมาหลังการแตกแยกของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ดินแดนสโลวาเกียได้ถูกโจมตีจากสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี (Hungarian Soviet Republic) พื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของสโลวาเกียได้ถูกยึดครองและตั้งเป็นสาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก (Slovak Soviet Republic) อยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือน จึงถูกกองทัพเชโกสโลวักยึดพื้นที่คืนมาได้ ในปี ค.ศ. 1939 ประธานาธิบดียอเซฟ ตีซอ ผู้นิยมนาซีเยอรมนี ได้ประกาศให้สาธารณรัฐสโลวักที่ 1 (First Slovak Republic) เป็นเอกราชจากเชโกสโลวาเกีย จึงเกิดขบวนการต่อต้านนาซีขึ้นซึ่งได้ก่อการประท้วงที่รู้จักกันในชื่อ การลุกฮือของชาวสโลวัก (Slovak National Uprising) ในปี ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2487) แม้ว่ากลุ่มผู้ก่อการจลาจลจะถูกปราบปรามลงได้ แต่การสู้รบแบบกองโจรก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งกองทัพโซเวียต (ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพโรมาเนีย) เข้ามาขับไล่นาซีออกไปจากสโลวาเกียในปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เชโกสโลวาเกียได้รับการจัดตั้งเป็นประเทศขึ้นใหม่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตและสนธิสัญญาวอร์ซอตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) เป็นต้นมา ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ประเทศนี้ได้กลายเป็นรัฐสหพันธ์ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเช็ก (Czech Socialist Republic) และสาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวัก (Slovak Socialist Republic) การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในเชโกสโลวาเกียสิ้นสุดลงเมื่อถึงปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ซึ่งอยู่ในช่วงการปฏิวัติเวลเวต (Velvet Revolution) อันเป็นไปอย่างสันติ ตามมาด้วยการสลายตัวของประเทศออกเป็นรัฐสืบสิทธิ์สองรัฐ นั่นคือ สโลวาเกียและสาธารณรัฐเช็กได้แยกออกจากกันหลังวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) เหตุการณ์นี้บางครั้งเรียกว่าการแยกทางเวลเวต (Velvet Divorce) อย่างไรก็ตาม สโลวาเกียยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาธารณรัฐเช็กเช่นเดียวกับประเทศยุโรปกลางอื่น ๆ ในกลุ่มวีเซกราด สโลวาเกียได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)การเมืองการปกครองบริหารนิติบัญญัติตุลาการสถานการณ์การเมือง การเมืองการปกครอง. สถานการณ์การเมือง. ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อปี 2549 นาย Robert Fico และพรรค Smer ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายเอาชนะรัฐบาลเก่าของนาย Mikulas Dzurinda หัวหน้าพรรค Slovak Democratic Coalition (SDK) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 8 ปี และมีนโยบายบริหารประเทศ โดยเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบเสรี การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการให้ความสำคัญกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต้และสหภาพยุโรป จึงทำให้สโลวาเกียภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี Dzurinda ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น และประสบความสำเร็จในการผลักดันสโลวาเกียเข้าเป็นสมาชิก OECD สหภาพยุโรป และ นาโต้ในปี 2548 อย่างไรก็ตามความนิยมในรัฐบาลในระยะหลังกลับลดลง เนื่องจากความไม่แน่ใจของประชาชนเกี่ยวกับอนาคตของสโลวาเกียภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ความขัดแย้งและการทุจริตภายในรัฐบาล อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น และความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจนในประเทศ ส่งผลให้พรรค SDK ของนาย Dzurinda พ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรค Smer ของนาย Robert Fico ในที่สุด รัฐบาลปัจจุบันของนาย Robert Fico ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายบริหาร คือเน้นความเป็นชาตินิยม ประกอบไปด้วยการให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม และการระงับการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่แล้ว ปัจจุบัน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยังคงได้การยอมรับจากประชาชนสโลวาเกียในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและนานาประเทศที่เห็นว่านโยบายของรัฐบาลจะส่งผลให้สโลวาเกียมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลงสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. สโลวาเกียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 แคว้น (Regions - kraje) แต่ละแคว้นมีชื่อเรียกตามเมืองหลักของแคว้นนั้น โดยมีอำนาจในการปกครองตนเองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)1. แคว้นบราติสลาวา (บราติสลาวา) 2. แคว้นเตอร์นาวา (เตอร์นาวา) 3. แคว้นเตร็นชีน (เตร็นชีน) 4. แคว้นญิตรา (ญิตรา) 5. แคว้นฌิลินา (ฌิลินา) 6. แคว้นบันสกาบิสตริตซา (บันสกาบิสตริตซา) 7. แคว้นเปรชอว์ (เปรชอว์) 8. แคว้นกอชิตเซ (กอชิตเซ) แคว้นต่าง ๆ แบ่งย่อยออกเป็น เขต (districts - okresy) ปัจจุบัน ในสโลวาเกียมี 79 เขตนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป นโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป. นโยบายต่างประเทศในปัจจุบัน ภายใต้การนำของนาย Jan Kubis รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตนักการทูต ซึ่งเชี่ยวชาญการทูตพหุภาคี เปลี่ยนแนวทางจากการให้ความสำคัญและสร้างความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาเป็นการให้ความสำคัญกับสหภาพยุโรป และปรับนโยบายต่างประเทศตามแนวทางของสหภาพยุโรปแทน ปัจจุบันสโลวาเกียมีบทบาทที่สำคัญในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ วาระปี 2549-2550 นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของ OSCE OECD นาโต้ และ สหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างสโลวาเกียกับฮังการีเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสโลวาเกีย อันเนื่องมาจากปัญหาชนกลุ่มน้อยเชื้อสายฮังกาเรียนใน สโลวาเกีย ซึ่งมีอยู่ประมาณประมาณ 600,000 คน หรือ ร้อยละ 9.7 (ฮังการีเคยปกครองสโลวาเกียอยู่กว่า 1,000 ปีภายใต้จักรวรรดิออสโตร-ฮังการเรียน จึงมีชาวฮังการีในสโลวาเกียจำนวนมาก) ในสมัยของนายกรัฐมนตรี Meciar ได้เคยออกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของชาวฮังกาเรียน เช่น ประกาศใช้ภาษาสโลวักเป็นภาษาทางการเพียงภาษาเดียว อีกทั้งยังห้ามใช้ป้ายภาษาฮังการีแม้แต่ในย่านที่อยู่อาศัยของชาวฮังกาเรียนกลุ่มน้อย ในขณะที่ฮังการีได้ออกกฎหมายที่จะให้สิทธิและความคุ้มครองชนเชื้อสายฮังการีแม้จะเป็นประชากรของประเทศอื่น ๆ จึงส่งผลให้ประเทศทั้งสองมีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่งความสัมพันธ์กับประเทศไทยความสัมพันธ์กับประเทศไทย. - การทูต - การค้าและเศรษฐกิจ - การศึกษาและวิชาการกองทัพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เศรษฐกิจของสโลวาเกียเริ่มมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลของนาย Mikulas Dzurinda ได้เข้ามาบริหารประเทศในปี 2541 โดยนโยบายหลักของรัฐบาลคือการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปสู่ระบบเศรษฐกิจการตลาด การสร้างเสถียรภาพ และการปฏิรูปโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจมหภาค ตลอดจนดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและระบบธนาคาร ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางเศรษฐกิจของสโลวักมีความมั่นคงและการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น สโลวาเกียเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) ที่สูงมากเนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่เอื้ออำนวยการลงทุนจากต่างชาติ (ธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศเป็นของคนต่างชาติ) ศักยภาพการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่สูง เนื่องจากในสมัยสังคมนิยมถูกกำหนดให้เป็นศูนย์อุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าจักรกล อุปกรณ์โดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้สโลวาเกียยังมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าแรงที่ถูก และแรงงานมีการศึกษา มีระบบโครงสร้างภาษีที่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุน ปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติ อาทิ U.S. Steel, Volkswagen, Siemens, Plastic Omnium Matsushita, Deutsche Telecom และ Sony เข้าไปลงทุนในสโลวาเกีย นอกจากนี้ สโลวาเกียยังเป็นฐานการผลิตสินค้าราคาถูกสำหรับประเทศในสหภาพยุโรปอีกด้วย ภายหลังจากที่นาย Robert Fico เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2549 มีนโยบายที่เน้นความเป็นชาตินิยมและการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดน้อยลงกว่า 2-3 ปีก่อน โดยมีการคาดการณ์กันว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 6.5-7 ในปี 2550การท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. ประชากร 5.4 ล้านคน (2543) ชาวสโลวัก (85.7%) ชาวฮังกาเรียน (10.6%) ชาวโรมาเนีย (1.6%) ชาวเช็ก ชาวเยอรมัน ชาวโปแลนด์ และอื่นๆ (ที่มา/กระทรวงต่างประเทศ)ศาสนาภาษากีฬาวัฒนธรรมวรรณกรรมภาพยนตร์ศิลปะดนตรีอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุดการจัดอันดับนานาชาติการจัดอันดับนานาชาติ. - อันดับที่ 8 จาก 168 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) จากการจัดอันดับของรีพอร์ตเตอส์วิทเอาต์บอร์เดอส์ (Reporters Without Borders) - อันดับที่ 42 จาก 177 ประเทศในการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index) ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) - อันดับที่ 34 จาก 157 ประเทศในการจัดอันดับดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Index of Economic Freedom) ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549)บทอ่านเพิ่มเติมบทอ่านเพิ่มเติม. - Alfred Horn. Insight Guide: Czech & Slovak Republics. - Eugen Lazistan, Fedor Mikovic, Ivan Kucma and Anna Jureckova. Slovakia: A Photographic Odyssey. - Jim Downs. World War II: OSS Tragedy in Slovakia. *Julius Bartl and Dusan Skvarna. Slovak History: Chronology & Lexicon. - Krejčí, Oskar. Geopolitics of the Central European Region. The view from Prague and Bratislava. Bratislava: Veda, 2005. 494 p. (ดาวน์โหลดฟรี) - Lil Junas. My Slovakia: An American's View. - Mark W. A. Axworthy. Axis Slovakia: Hitler's Slavic Wedge, 1938-1945. - Michael Jacobs. Blue Guide: Czech and Slovak Republics. - Minton F. Goldman. Slovakia Since Independence : A Struggle for Democracy. - Neil Wilson, Richard Nebesky. Lonely Planet World Guide: Czech & Slovak Republics. - Olga Drobna, Eduard Drobny and Magdalena Gocnikova. Slovakia: The Heart of Europe. - Pavel Dvorak. The Early History of Slovakia in Images. Photographs by Jakub Dvorak ISBN 80-85501-34-1 - Rob Humphreys. The Rough Guide: Czech and Slovak Republics. - Sharon Fisher. Political Change in Post-Communist Slovakia and Croatia: From Nationalist to Europeanist. New York: Palgrave Macmillan, 2006. ISBN 1-4039-7286-9 - Stanislav Kirschbaum. A History of Slovakia : The Struggle for Survival. - The Slovak Republic: A Decade of Independence, 1993-2002.
|
เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกียมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"บราติสลาวา"
],
"answer_begin_position": [
789
],
"answer_end_position": [
799
]
}
|
2,233 | 17,294 |
ประเทศเม็กซิโก เม็กซิโก (; ) หรือชื่อทางการคือ สหรัฐเม็กซิโก (; ) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือจรดสหรัฐอเมริกา ทิศใต้และทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดกัวเตมาลา เบลีซ และทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันออกจรดอ่าวเม็กซิโก เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ถึงเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร เม็กซิโกจึงเป็นประเทศที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของทวีปอเมริกา และเป็นอันดับที่ 15 ของโลก นอกจากนี้ยังมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก โดยมีการประมาณไว้ว่า เมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ประเทศนี้มีจำนวนประชากร 128,632,000 ล้านคนที่มาของชื่อประเทศ ที่มาของชื่อประเทศ. หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศสเปน ก็มีการตกลงว่าจะตั้งชื่อประเทศใหม่แห่งนี้ตามชื่อเมืองหลวงคือ กรุงเม็กซิโกซิตี ซึ่งมีชื่อดั้งเดิมในสมัยก่อตั้งว่า "เม็กซิโก-เตนอชตีตลัน" (Mexico-Tenochtitlan) มีที่มาจากชื่อของชนเผ่าเม็กซิกา (Mexica) ซึ่งเป็นชนกลุ่มหลักในอารยธรรมแอซเท็กอีกทอดหนึ่ง ส่วนต้นกำเนิดของชื่อเม็กซิกานั้นยังไม่ทราบชัดเจน มีการตีความไปหลาย ๆ ทาง มีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำในภาษานาอวตล์ว่า "เมชตลี" (Mextli) หรือ "เมชิตลี" (Mēxihtli) ซึ่งเป็นชื่อลับของเทพเจ้าวิตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพเจ้าแห่งสงครามและผู้คุ้มครองชาวแอซเท็ก (หรือชาวเม็กซิกา) ในกรณีนี้ Mēxihco [เมชิโก] จึงอาจจะแปลว่า "สถานที่ซึ่งเมชตลีทรงสถิตอยู่" อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า Mēxihco ประกอบขึ้นจากคำว่า mētztli ("พระจันทร์"), xictli ("สะดือ", "ศูนย์กลาง" หรือ "ลูกชาย") และคำปัจจัย -co (สถานที่) ซึ่งโดยรวมแล้วแปลได้ว่า "สถานที่ใจกลางพระจันทร์" หรือ "สถานที่ใจกลางทะเลสาบพระจันทร์" ทะเลสาบพระจันทร์นี้หมายถึงทะเลสาบเตซโกโก (Lake Texcoco) ระบบทะเลสาบที่เชื่อมถึงกัน (โดยมีทะเลสาบเตซโกโกตั้งอยู่ตอนกลาง) ในบริเวณนี้มีรูปร่างเหมือนกระต่าย ซึ่งเป็นรูปเดียวกับที่ชาวแอซเท็กเห็นจากพระจันทร์ และกรุงเตนอชตีตลันนั้นก็ตั้งอยู่บนเกาะใจกลาง (หรือสะดือ) ของทะเลสาบ (หรือกระต่าย/พระจันทร์) เหล่านี้พอดี นอกจากนี้ยังมีข้อสมมุติฐานที่กล่าวว่าชื่อนี้มาจากคำว่า "เมกตลี" (Mēctli) ซึ่งเป็นชื่อของเทพธิดาประจำดอกโคม () อีกด้วย ชื่อของเมืองเมชิโกได้รับการถอดเสียงในภาษาสเปนเป็น พร้อมกับเสียงของตัว x ในภาษาสเปนยุคกลางซึ่งในขณะนั้นแทนเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ไม่ก้อง แต่ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เสียงนี้รวมทั้งเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ก้อง ซึ่งแทนด้วยตัว j ได้เกิดการวิวัฒนาการกลายเป็นเสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง การเปลี่ยนแปลงเสียงตัวอักษรดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการสะกดชื่อประเทศนี้เป็น Méjico ในสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสเปน แต่ในประเทศเม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาสเปนยังคงใช้การสะกดแบบเดิมคือ México จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ ราชบัณฑิตยสถานสเปน ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมการใช้ภาษาสเปนในประเทศสเปนได้ตัดสินว่า การสะกดทั้งสองแบบเป็นที่ยอมรับได้ในภาษาสเปน แต่การสะกดที่เป็นแบบแผนกว่าก็คือ México ปัจจุบันสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ในประเทศที่ใช้ภาษาสเปนทั้งหมดก็ถือตามกฎใหม่นี้ แม้ว่าจะยังมีการใช้รูป Méjico อยู่บ้างก็ตาม สำหรับในภาษาอังกฤษ ตัว x ในคำว่า Mexico ไม่ได้แทนทั้งเสียงดั้งเดิมหรือเสียงปัจจุบันตามที่ปรากฏในภาษาสเปน แต่จะแทนเสียงควบกล้ำภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เม็กซิโกตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากบนทวีปดังกล่าวแล้ว เม็กซิโกยังมีกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเล็ก ๆ ในอ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน อ่าวแคลิฟอร์เนีย และมหาสมุทรแปซิฟิก (ได้แก่เกาะกวาดาลูเปและหมู่เกาะเรบียาคีเคโดที่อยู่ห่างไกลออกไป) อีกด้วย พื้นที่เกือบทั้งหมดของเม็กซิโกแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ โดยมีบางส่วนของคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนียตั้งอยู่บนแผ่นแปซิฟิกและแผ่นโกโกส ในทางธรณีฟิสิกส์ นักภูมิศาสตร์บางกลุ่มจัดให้ดินแดนของประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกของคอคอดเตอวนเตเปกอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง แต่ในทางภูมิศาสตร์การเมือง เม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอเมริกาเหนือร่วมกับแคนาดาและสหรัฐอเมริกา เม็กซิโกมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,972,550 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก เม็กซิโกมีพรมแดนทางทิศเหนือร่วมกับสหรัฐอเมริกายาว 3,141 กิโลเมตร โดยใช้แม่น้ำบราโบที่คดเคี้ยวเป็นพรมแดนธรรมชาติตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันออกจนถึงอ่าวเม็กซิโก และตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีทั้งแม่น้ำและสิ่งก่อสร้างเป็นแนวแบ่งเขตสองประเทศไว้ ส่วนทางทิศใต้ เม็กซิโกมีพรมแดนร่วมกับกัวเตมาลายาว 962 กิโลเมตร และมีพรมแดนร่วมกับเบลีซยาว 250 กิโลเมตรภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. เทือกเขาขนาดใหญ่ในเม็กซิโก ได้แก่ เทือกเขาเซียร์รามาเดรโอเรียนตัล ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ประเทศในแนวเหนือ-ใต้ เกือบจะขนานกับชายฝั่งภาคตะวันออก และเทือกเขาเซียร์รามาเดรออกซีเดนตัล ซึ่งขนานไปกับชายฝั่งภาคตะวันตก (เทือกเขานี้เป็นส่วนต่อเนื่องทางด้านใต้ของระบบเทือกเขาร็อกกีจากตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ) นอกจากนี้ ทางภาคกลางตอนล่างของประเทศยังมีแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน หรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า "เซียร์ราเนบาดา" พาดผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ส่วนทางภาคใต้ก็มีเทือกเขาเซียร์รามาเดรเดลซูร์ที่ขนานไปกับชายฝั่งตั้งแต่รัฐมิโชอากังไปจนถึงรัฐโออาซากา ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ดินแดนทางภาคกลางและภาคเหนือของเม็กซิโกจึงตั้งอยู่บนพื้นที่ระดับสูง โดยกลุ่มยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ได้แก่ ยอดเขาโอรีซาบา (5,700 เมตร) โปโปกาเตเปตล์ (5,426 เมตร) อิซตักซีอวตล์ (5,230 เมตร) และเนบาโดเดโตลูกา (4,680 เมตร) ล้วนตั้งอยู่บริเวณแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน และเขตเมืองใหญ่ของเม็กซิโก ได้แก่ เขตมหานครเม็กซิโกซิตี โตลูกา และปวยบลา ต่างก็ตั้งอยู่ในหุบเขาระหว่างยอดเขาเหล่านี้ ทางน้ำและแม่น้ำต่าง ๆ ในเม็กซิโกจัดอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำ 3 บริเวณ คือ บริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก และไหลสู่แอ่งภายในแผ่นดิน แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของประเทศคือ แม่น้ำบราโบ อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา แม่น้ำสายอื่นในบริเวณลุ่มน้ำเดียวกัน ได้แก่ แม่น้ำอูซูมาซินตา (พรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับกัวเตมาลา) แม่น้ำกรีคัลบา แม่น้ำปานูโก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีแม่น้ำหลายแห่งที่มีปริมาณน้ำน้อยและใช้เดินเรือไม่ได้ โดยทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้มีระยะทางรวมประมาณ 2,900 กิโลเมตร เม็กซิโกมีทะเลสาบขนาดย่อมหลายแห่งในพื้นที่ ทะเลสาบที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลสาบชาปาลา ในรัฐฮาลิสโก แต่เนื่องจากมีการน้ำน้ำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมาก เกินไป ทะเลสาบแห่งนี้จึงเกิดภาวะมลพิษและเสี่ยงที่จะเหือดแห้ง ทะเลสาบที่สำคัญแห่งอื่น ๆ ได้แก่ ทะเลสาบปัตซ์กวาโร ซีราอูเอน และกวิตเซโอ ทั้งหมดตั้งอยู่ในรัฐมิโชอากังลาวป่าวถามจริงประวัติศาสตร์สมัยก่อนอาณานิคม ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนอาณานิคม. เมื่อเกือบสามพันปีก่อน ดินแดนประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยิ่งใหญ่หลายกลุ่ม เช่น โอลเมก เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มสุด ประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ทางภาคกลางของค่อนไปทางใต้ของเม็กซิโกปัจจุบัน มายา มีอำนาจอยู่ประมาณระหว่างปี ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ. 900 ตั้งถิ่นฐานอยู่บนคาบสมุทรยูกาตันในนครรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์ มายามีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกัน หลังจากเมืองเตโอตีอัวกันเสื่อมอำนาจทางการเมืองลงไป พวกโตลเตกก็ขึ้นมามีอำนาจแทนในราวปี ค.ศ. 700 อิทธิพลของอารยธรรมโตลเตกพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาลงไปจนถึงคอสตาริกาในปัจจุบัน ผู้ปกครองโตลเตกที่มีชื่อเสียงคือ เกตซัลโกอัตล์ ภายหลังอารยธรรมโตลเตกก็ล่มสลายลงไปและสืบทอดต่อมาโดยพวกแอซเท็กที่เรียกจักรวรรดิของตนเองว่า "เม็กซิกา" กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของแอซเท็กได้แก่ พระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 เมื่อถึงปี ค.ศ. 1519 เตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็ก (เม็กซิกา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึงประมาณ 350,000 คน ซึ่งกรุงลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรเพียง 80,000 คนเท่านั้น เตนอชตีตลันเป็นที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบันสมัยอาณานิคม สมัยอาณานิคม. นักสำรวจชาวสเปนมาถึงเม็กซิโกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยฟรันซิสโก เอร์นันเดซ เด กอร์โดบาได้สำรวจชายฝั่งทางใต้ของเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1517 ตามมาด้วยการสำรวจของควน เด กรีคัลบาในปี ค.ศ. 1518 ผู้พิชิตดินแดนในสมัยแรกคนสำคัญคือ เอร์นัน กอร์เตส ซึ่งเข้ามาถึงในปี ค.ศ. 1519 จากทางเมืองชายฝั่งที่เขาตั้งชื่อให้ว่า "บียารีกาเดลาเบรากรุซ" ด้วยความเชื่อว่ากอร์เตสเป็นเกตซัลโกอัตล์ (กษัตริย์เทพเจ้าในตำนานแอซเท็ก ซึ่งมีคำทำนายไว้ว่าพระองค์จะทรงกลับมาในปีเดียวกับที่กอร์เตสมาถึงพอดี) ชาวแอซเท็กจึงไม่ได้ต่อต้านเขาและยังต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อีกสองปีต่อมา (ค.ศ. 1521) กรุงเตนอชตีตลันก็ถูกพิชิตโดยกองทัพผสมระหว่างสเปนกับตลัชกัลเตกซึ่ง เป็นศัตรูสำคัญของแอซเท็ก การที่สเปนยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กได้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุค อาณานิคมที่นานเกือบ 300 ปีของเม็กซิโกในฐานะเขตอุปราชแห่งนิวสเปน อย่างไรก็ตาม กว่าสเปนจะยึดดินแดนเม็กซิโกได้ทั้งหมดนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีก 2 ศตวรรษหลังจากการตีกรุงเตนอชตีตลันได้ เนื่องจากต้องสู้รบกับชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังคงก่อการจลาจลและโจมตีดินแดนของสเปนอยู่เอกราชและสงคราม เอกราชและสงคราม. ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1810 นักบวชชาวเม็กซิโกชื่อ มีเกล อีดัลโก ได้ประกาศเอกราชจากสเปนที่เมืองโดโลเรส รัฐกวานาวาโต เป็นตัวเร่งให้เกิดสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก ซึ่งในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1821 ชาวสเปนได้ออกไปจากประเทศและทำให้เม็กซิโกกลายมาเป็นประเทศเอกราช ผู้นำคนแรกของเม็กซิโก อากุสติน เด อีตูร์บีเด ได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิที่ 1 แต่ด้วยเหตุที่ว่าประชาชนไม่พอใจ อีก 2 ปีต่อมาเม็กซิโกจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ โดยมีกวาดาลูเป บิกโตเรีย เป็นประธานาธิบดีคนแรก บุคคลที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ นายพลอันโตเนียว โลเปซ เด ซานตา อันนา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโกอยู่หลายสมัย เขาได้ประกาศยกเลิกระบบสหพันธรัฐและรวมอำนาจกลับเข้าสู่ศูนย์กลาง รัฐต่าง ๆ ถูกลดฐานะลงเป็นจังหวัดและไม่มีสิทธิ์ในการปกครองตนเอง ก่อให้เกิดความไม่สงบไปทั่วประเทศ รัฐต่าง ๆ ได้แก่ ยูกาตัง ตาเมาลีปัส และนวยโวเลอองได้ประกาศเอกราช ในที่สุดรัฐโกอาวีลาและเทกซัสก็ได้ประกาศแยกตัวออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1836 ยุทธการที่แอละโมที่มีชื่อเสียงได้เกิดขึ้นในสงครามครั้งนี้ ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ผนวกสาธารณรัฐเทกซัสเข้าเป็นรัฐหนึ่งของตน ทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับเม็กซิโกและเกิดสงครามระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกาขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1846-1848 เม็กซิโกเป็นฝ่ายแพ้สงครามและต้องเสียดินแดนอีกถึง 1 ใน 3 ให้สหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญาสงบศึก ส่วนซานตา อันนาถูกเนรเทศไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในลาตินอเมริกา (แต่กลับเม็กซิโกในบั้นปลายชีวิต) ระหว่างปี ค.ศ. 1858 และ ค.ศ. 1861 เกิดสงครามภายในขึ้นระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษนิยม ในที่สุด เบนีโต คัวเรซ ผู้นำจากฝ่ายเสรีนิยมก็เป็นฝ่ายชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในทศวรรษ 1860 ฝรั่งเศสได้เข้ารุกรานเม็กซิโกและสถาปนามักซีมีเลียนแห่งฮับสบูร์ก ขึ้นเป็นจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิเม็กซิโกที่ 2 แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมาพระองค์ทรงถูกสำเร็จโทษประหารหลังจากที่กองกำลังสาธารณรัฐสามารถยึดเมืองหลวงได้ในปี ค.ศ. 1867 และคัวเรซก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งจนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1872 ผู้สืบทอดอำนาจของคัวเรซอยู่ฝ่ายเสรีนิยมเช่นกันจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1876 ฝ่ายอนุรักษนิยมนำโดยปอร์ฟีรีโอ ดีอัซ (ซึ่งเป็นนายพลผู้เคยได้ชัยชนะในการรบกับฝรั่งเศสมาก่อน) ได้ก่อกบฏขึ้นอีกและขับไล่รัฐบาลเสรีนิยมที่มาจากการเลือกตั้งออกไปได้ ปอร์ฟีรีโอได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศอยู่กว่า 30 ปี เขาทำให้ประเทศมั่งคั่งขึ้น แต่คนจนในประเทศกลับยิ่งจนลง ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมได้นำไปสู่การปฏิวัติเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1910 นำโดยฟรันซิสโก อี. มาเดโร ดีอัซประกาศลาออกในปี ค.ศ. 1911 และมาเดโรได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 เกิดรัฐประหารนำโดยนายพลฝ่ายอนุรักษนิยมชื่อว่าบิกโตเรียโน อวยร์ตา มาเดโรถูกล้มล้างอำนาจและถูกฆาตกรรม ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งมีผู้เข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง เช่น เอมีเลียว ซาปาตา และปันโช บียา โดยทั้งสองจัดตั้งกองกำลังของตนเอง แต่กองทัพภายใต้รัฐธรรมนูญที่นำโดยเบนุสเตียโน การ์รันซา ก็สามารถยุติสงครามลงได้ในที่สุดและได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1917 แต่การ์รันซาก็ถูกทรยศและลอบสังหารในปี ค.ศ. 1920 อัลบาโร โอเบรกอน วีรบุรุษอีกคนหนึ่งจากสงครามการปฏิวัติได้ขึ้นดำรงตำหน่งประธานาธิบดีแทน และปลูตาร์โก เอลีอัส กาเยส ก็ได้สืบต่ออำนาจ อย่างไรก็ตามโอเบรกอนได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้งในปี ค.ศ. 1928 แต่กลับถูกลอบสังหารก่อนจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ. 1929 กาเยสได้จัดตั้งพรรคปฏิวัติแห่งชาติขึ้น และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคปฏิวัติสถาบัน ซึ่งจะกลายเป็นพรรคที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลาอีก 70 ปีถัดมาสมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน สมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน. ระหว่างปี ค.ศ. 1940 และ ค.ศ. 1980 เป็นช่วงที่เม็กซิโกมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า "มหัศจรรย์เม็กซิโก" () การที่รัฐเข้าครอบครองสิทธิที่จะทำผลประโยชน์จากแร่และโอนอุตสาหกรรมน้ำมันเข้าสู่บริษัทปิโตรเลียมเปเมกซ์ ซึ่งเป็นกิจการของรัฐในช่วงที่ลาซาโร การ์เดนัส เดล รีโอ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แต่ก็เป็นการจุดปัญหาทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ที่พลเมืองของตนต้องสูญเสียธุรกิจซึ่งถูกยึดหรือบังคับซื้อไปโดยรัฐบาลของกา ร์เดนัส แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมก็ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองยังไม่สงบ สุขนัก นอกจากนี้ นักการเมืองที่มีตำแหน่งบริหารของพรรคปฏิวัติสถาบันก็เริ่มลุแก่อำนาจ ไม่ฟังเสียงประชาชน และบางครั้งก็ดำเนินการกดขี่อย่างรุนแรง ตัวอย่างของพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ได้แก่ กรณีสังหารหมู่ตลาเตลอลโก ในปี ค.ศ. 1968 ที่กำลังตำรวจและทหารได้กราดกระสุนใส่กลุ่มนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านรัฐบาล ในทศวรรษ 1970 การบริหารของประธานาธิบดีลุยส์ เอเชเบร์รีอา ไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากเขาตัดสินใจก้าวเดินผิดทั้งในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ แต่กระนั้น ในทศวรรษนี้เองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงขึ้นเป็นครั้งแรกในกฎหมาย การเลือกตั้งของเม็กซิโก นำไปสู่ความเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ระบบการเลือกตั้งที่แต่เดิมเป็นแบบอำนาจ นิยมมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และอัตราดอกเบี้ย ก็ค่อนข้างต่ำนั้น รัฐบาลก็ได้สร้างการลงทุนอย่างมาดในบริษัทน้ำมันที่ตนเองเป็นเจ้าของด้วย ความพยายามจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การกู้ยืมที่มากเกินไปและการจัดการรายได้จากน้ำมันอย่างไม่ถูกต้องนั้นได้นำ ไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและก่อให้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี ค.ศ. 1982 ในปีนั้น ราคาน้ำมันตกฉับพลัน อัตราดอกเบี้ยถีบตัวสูงขึ้น และรัฐบาลก็ยังผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย ประธานาธิบดีมีเกล เด ลา มาดริด ต้องใช้วิธีการลดค่าเงินตราทางอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้ยอดคงเหลือในบัญชีปัจจุบันมีเสถียรภาพ แม้ว่าในระดับเทศบาล นายกเทศมนตรีคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 แต่ก็ต้องรอจนถึงปี ค.ศ. 1989 ที่ผู้ว่าการรัฐคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้ง เข้าทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลหลายแห่งอ้างว่าในปี ค.ศ. 1988 ทางพรรคได้ทุจริตการเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้กูเวาเตม็อก การ์เดนัส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้งระดับชาติครั้งนี้ โดยคะแนนเสียงส่วนมากเป็นของการ์โลส ซาลีนัส ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านขนานใหญ่ในเมืองหลวง ซาลีนัสเริ่มลงมือปฏิรูปเสรีนิยมใหม่ (ทุนนิยม) โดยได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ควบคุมเงินเฟ้อ และลงเอยด้วยการลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนี้เอง กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา () ซึ่งมีสมาชิกเป็นชนพื้นเมืองอินเดียนก็ได้เริ่มก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลสหพันธรัฐขึ้นที่รัฐเชียปัส (หนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงดำเนินการเพื่อต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่และโลกาภิวัตน์โดยไม่ใช้ ความรุนแรงต่อมาถึงปัจจุบัน อนึ่ง เนื่องจากเป็นปีที่จะมีการเลือกตั้ง (ในกระบวนการซึ่งภายหลังถือว่ามีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์เม็กซิโก นั้น) เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างไม่เต็มใจที่จะลดค่าเงินเปโซ อันจะทำให้เกิดการสูญสิ้นเงินสำรองแห่งชาติอย่างรวดเร็ว และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 หนึ่งเดือนหลังจากที่ประธานาธิบดีเอร์เนสโต เซดีโย ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากอดีตประธานาธิบดีซาลีนัส ก็เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่เริ่มโดยประธานาธิบดีเซดีโย เศรษฐกิจก็กระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วและการเจริญเติบโตก็อยู่ที่เกือบร้อยละ 7 เมื่อถึงสิ้นปี พ.ศ. 2542 การปฏิรูปเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเพื่อเพิ่มการเป็นผู้แทนของพรรคในสมัยการ บริหารของเซดีโย รวมทั้งความไม่พอใจพรรคปฏิวัติสถาบันหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ ทางพรรคเสียคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภาไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 หลังจากที่บริหารประเทศอยู่ 71 ปี พรรคปฏิวัติสถาบันก็ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับบีเซนเต ฟอกซ์ จากพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคภารกิจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2548 ฟอกซ์ได้ลงนามในการเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและความรุ่งเรืองแห่งอเมริกาเหนือ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2549 ฐานะของพรรคปฏิวัติสถาบันก็ยิ่งอ่อนแอลงและกลายเป็นพรรคที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับที่ 3 รองจากพรรคภารกิจแห่งชาติและพรรคปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันนั้น เฟลีเป กัลเดรอน จากพรรคภารกิจแห่งชาติได้ประกาศชัยชนะโดยได้รับคะแนนเสียงเฉือนขาดอันเดรส มานวยล์ โลเปซ โอบราดอร์ ตัวแทนจากพรรคปฏิวัติประชาธิปไตยไปเพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตาม โลเปซ โอบราดอร์ได้ประท้วงการเลือกตั้ง และประกาศจัดตั้ง "รัฐบาลทางเลือก"การเมืองการปกครองบริหารนิติบัญญัติตุลาการการบังคับใช้กฎหมายสถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เม็กซิโกเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วยเสรีรัฐอธิปไตย () 31 แห่ง แต่ละแห่งมีรัฐธรรมนูญ รัฐสภา รวมทั้งฝ่ายตุลาการประจำท้องถิ่นของตนเอง ประชาชนในรัฐสามารถเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้โดยตรง ซึ่งจะดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี และยังสามารถเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปประจำในรัฐสภาของรัฐทุก ๆ 3 ปี รัฐต่าง ๆ ในเม็กซิโกจะแบ่งเขตการปกครองเป็นเทศบาล () ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองอย่างเป็นทางการที่เล็กที่สุดของประเทศ แต่ละแห่งมีนายกเทศมนตรีที่ได้รับเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากจากประชาชนในท้อง ถิ่นเป็นผู้บริหาร เทศบาลขนาดใหญ่บางแห่งอาจแบ่งพื้นที่ย่อยลงไปอีกเป็นเขตเล็ก ๆ ซึ่งมีทั้งแบบกึ่งปกครองตนเองและแบบที่ไม่ได้ปกครองตนเอง ตามรัฐธรรมนูญแล้ว กรุงเม็กซิโกซิตีในฐานะเมืองหลวงและที่ตั้งอำนาจฝ่ายบริหารของสหพันธรัฐยังมีสถานะเป็นเฟเดอรัลดิสตริกต์หรือ "เขตของสหพันธ์" () ด้วย ทั้งสองถือเป็นหน่วยการปกครองเดียวกัน มีอาณาเขตเดียวกัน และมีลักษณะเป็นเขตการปกครองรูปแบบพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นกับรัฐใดรัฐหนึ่งโดย เฉพาะ แต่เป็นของทุกรัฐในประเทศ ดังนั้นจึงมีอำนาจและกฎสำหรับท้องถิ่นค่อนข้างจำกัดกว่ารัฐต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เขตสหพันธ์แห่งนี้ก็ได้รับอำนาจในการปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันประชาชนในเขตสหพันธ์มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งหัวหน้าคณะรัฐบาลประจำ เขตและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประจำรัฐสภาของเขตได้โดยตรงเช่นเดียวกับประชาชน ในรัฐต่าง ๆ และถึงแม้เขตสหพันธ์จะไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบทกฎหมายเป็นของตนเองต่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายเม็กซิโกกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 2.7 (2548) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 670.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) GDP per capita 6,298 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 4 ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 26.5 (ปิโตรเลียมและเหมืองแร่) ภาคบริการ ร้อยละ 69.5 (การค้าและการท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง) อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.3 (2548) ดุลบัญชีเดินสะพัด –8.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศและทองคำ 68.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) หนี้สาธารณะ ร้อยละ 39.1 ของ GDP (2548) อัตราการว่างงาน ร้อยละ 3.6 (2548) ทรัพยากรธรรมชาติ ปิโตรเลียม เงิน ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ อุตสาหกรรม อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม ยาสูบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า ปิโตรเลียม เหมืองแร่ สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องยนต์ การท่องเที่ยว เกษตรกรรม ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าว ถั่ว ฝ้าย กาแฟ ผลไม้ มะเขือเทศ ปลา นโยบายเศรษฐกิจหลัก ส่งเสริมการค้าเสรี จัดตั้งเขตการค้าเสรีทวิภาคี ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ (Inflation target) การค้าระหว่างประเทศ (2548) การส่งออก 213.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้า 223.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าหลัก สินค้าวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าประเภททุน ผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเคมี ยางและพลาสติก อุปกรณ์การขนส่งและชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น สินค้าส่งออกหลัก สินค้าอุตสาหกรรม น้ำมันปิโตรเลียมพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน. การศึกษา. ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารอ่านและเขียนได้ 92.2% ของประชากรทั้งหมด (ชาย 94% หญิง 90.5%) โดยมีมหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดคือ National Autonomous University of Mexico (NAUM) ซึ่งก่อตั้งในปี 2094 (1551) และ มีนักศึกษาได้ 269,000 คนสาธารณสุขประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. ประชากร : 107,449,525 คน โครงสร้างอายุ : 0-14 ปี -- 30.6% (ชาย 16,770,957/หญิง 16,086,172) 15-64 ปี -- 63.6% (ชาย 33,071,809/หญิง 35,316,281) 65 ปี และสูงกว่า -- 5.8% (ชาย 2,814,707/หญิง 3,389,599) อัตราการเจริญเติบโตของประชากร : 1.16%เชื้อชาติ เชื้อชาติ. ชาวเม็กซิกัน (Mexican)ชนพื้นเมือง ชนพื้นเมือง. เมสติโซ (ผิวขาวผสมอินเดียแดงพื้นเมือง) 60%, อเมริกาอินเดียแดง 30%, คอเคเชียน 9% และอื่นๆ 1%ภาษา ภาษา. สเปน (ราชการ) และ ภาษาพื้นเมืองได้แก่ ภาษามายัน (Mayan) และภาษานาวาท์ล (Nahautl)ศาสนาเมืองใหญ่วัฒนธรรมอาหารดนตรีกีฬา
|
ประเทศเม็กซิโกตั้งอยู่ในทวีปใด
|
{
"answer": [
"อเมริกาเหนือ"
],
"answer_begin_position": [
169
],
"answer_end_position": [
181
]
}
|
2,234 | 17,294 |
ประเทศเม็กซิโก เม็กซิโก (; ) หรือชื่อทางการคือ สหรัฐเม็กซิโก (; ) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือจรดสหรัฐอเมริกา ทิศใต้และทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดกัวเตมาลา เบลีซ และทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันออกจรดอ่าวเม็กซิโก เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ถึงเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร เม็กซิโกจึงเป็นประเทศที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของทวีปอเมริกา และเป็นอันดับที่ 15 ของโลก นอกจากนี้ยังมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก โดยมีการประมาณไว้ว่า เมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ประเทศนี้มีจำนวนประชากร 128,632,000 ล้านคนที่มาของชื่อประเทศ ที่มาของชื่อประเทศ. หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศสเปน ก็มีการตกลงว่าจะตั้งชื่อประเทศใหม่แห่งนี้ตามชื่อเมืองหลวงคือ กรุงเม็กซิโกซิตี ซึ่งมีชื่อดั้งเดิมในสมัยก่อตั้งว่า "เม็กซิโก-เตนอชตีตลัน" (Mexico-Tenochtitlan) มีที่มาจากชื่อของชนเผ่าเม็กซิกา (Mexica) ซึ่งเป็นชนกลุ่มหลักในอารยธรรมแอซเท็กอีกทอดหนึ่ง ส่วนต้นกำเนิดของชื่อเม็กซิกานั้นยังไม่ทราบชัดเจน มีการตีความไปหลาย ๆ ทาง มีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำในภาษานาอวตล์ว่า "เมชตลี" (Mextli) หรือ "เมชิตลี" (Mēxihtli) ซึ่งเป็นชื่อลับของเทพเจ้าวิตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพเจ้าแห่งสงครามและผู้คุ้มครองชาวแอซเท็ก (หรือชาวเม็กซิกา) ในกรณีนี้ Mēxihco [เมชิโก] จึงอาจจะแปลว่า "สถานที่ซึ่งเมชตลีทรงสถิตอยู่" อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า Mēxihco ประกอบขึ้นจากคำว่า mētztli ("พระจันทร์"), xictli ("สะดือ", "ศูนย์กลาง" หรือ "ลูกชาย") และคำปัจจัย -co (สถานที่) ซึ่งโดยรวมแล้วแปลได้ว่า "สถานที่ใจกลางพระจันทร์" หรือ "สถานที่ใจกลางทะเลสาบพระจันทร์" ทะเลสาบพระจันทร์นี้หมายถึงทะเลสาบเตซโกโก (Lake Texcoco) ระบบทะเลสาบที่เชื่อมถึงกัน (โดยมีทะเลสาบเตซโกโกตั้งอยู่ตอนกลาง) ในบริเวณนี้มีรูปร่างเหมือนกระต่าย ซึ่งเป็นรูปเดียวกับที่ชาวแอซเท็กเห็นจากพระจันทร์ และกรุงเตนอชตีตลันนั้นก็ตั้งอยู่บนเกาะใจกลาง (หรือสะดือ) ของทะเลสาบ (หรือกระต่าย/พระจันทร์) เหล่านี้พอดี นอกจากนี้ยังมีข้อสมมุติฐานที่กล่าวว่าชื่อนี้มาจากคำว่า "เมกตลี" (Mēctli) ซึ่งเป็นชื่อของเทพธิดาประจำดอกโคม () อีกด้วย ชื่อของเมืองเมชิโกได้รับการถอดเสียงในภาษาสเปนเป็น พร้อมกับเสียงของตัว x ในภาษาสเปนยุคกลางซึ่งในขณะนั้นแทนเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ไม่ก้อง แต่ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เสียงนี้รวมทั้งเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ก้อง ซึ่งแทนด้วยตัว j ได้เกิดการวิวัฒนาการกลายเป็นเสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง การเปลี่ยนแปลงเสียงตัวอักษรดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการสะกดชื่อประเทศนี้เป็น Méjico ในสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสเปน แต่ในประเทศเม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาสเปนยังคงใช้การสะกดแบบเดิมคือ México จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ ราชบัณฑิตยสถานสเปน ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมการใช้ภาษาสเปนในประเทศสเปนได้ตัดสินว่า การสะกดทั้งสองแบบเป็นที่ยอมรับได้ในภาษาสเปน แต่การสะกดที่เป็นแบบแผนกว่าก็คือ México ปัจจุบันสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ในประเทศที่ใช้ภาษาสเปนทั้งหมดก็ถือตามกฎใหม่นี้ แม้ว่าจะยังมีการใช้รูป Méjico อยู่บ้างก็ตาม สำหรับในภาษาอังกฤษ ตัว x ในคำว่า Mexico ไม่ได้แทนทั้งเสียงดั้งเดิมหรือเสียงปัจจุบันตามที่ปรากฏในภาษาสเปน แต่จะแทนเสียงควบกล้ำภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เม็กซิโกตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากบนทวีปดังกล่าวแล้ว เม็กซิโกยังมีกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเล็ก ๆ ในอ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน อ่าวแคลิฟอร์เนีย และมหาสมุทรแปซิฟิก (ได้แก่เกาะกวาดาลูเปและหมู่เกาะเรบียาคีเคโดที่อยู่ห่างไกลออกไป) อีกด้วย พื้นที่เกือบทั้งหมดของเม็กซิโกแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ โดยมีบางส่วนของคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนียตั้งอยู่บนแผ่นแปซิฟิกและแผ่นโกโกส ในทางธรณีฟิสิกส์ นักภูมิศาสตร์บางกลุ่มจัดให้ดินแดนของประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกของคอคอดเตอวนเตเปกอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง แต่ในทางภูมิศาสตร์การเมือง เม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอเมริกาเหนือร่วมกับแคนาดาและสหรัฐอเมริกา เม็กซิโกมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,972,550 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก เม็กซิโกมีพรมแดนทางทิศเหนือร่วมกับสหรัฐอเมริกายาว 3,141 กิโลเมตร โดยใช้แม่น้ำบราโบที่คดเคี้ยวเป็นพรมแดนธรรมชาติตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันออกจนถึงอ่าวเม็กซิโก และตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีทั้งแม่น้ำและสิ่งก่อสร้างเป็นแนวแบ่งเขตสองประเทศไว้ ส่วนทางทิศใต้ เม็กซิโกมีพรมแดนร่วมกับกัวเตมาลายาว 962 กิโลเมตร และมีพรมแดนร่วมกับเบลีซยาว 250 กิโลเมตรภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. เทือกเขาขนาดใหญ่ในเม็กซิโก ได้แก่ เทือกเขาเซียร์รามาเดรโอเรียนตัล ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ประเทศในแนวเหนือ-ใต้ เกือบจะขนานกับชายฝั่งภาคตะวันออก และเทือกเขาเซียร์รามาเดรออกซีเดนตัล ซึ่งขนานไปกับชายฝั่งภาคตะวันตก (เทือกเขานี้เป็นส่วนต่อเนื่องทางด้านใต้ของระบบเทือกเขาร็อกกีจากตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ) นอกจากนี้ ทางภาคกลางตอนล่างของประเทศยังมีแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน หรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า "เซียร์ราเนบาดา" พาดผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ส่วนทางภาคใต้ก็มีเทือกเขาเซียร์รามาเดรเดลซูร์ที่ขนานไปกับชายฝั่งตั้งแต่รัฐมิโชอากังไปจนถึงรัฐโออาซากา ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ดินแดนทางภาคกลางและภาคเหนือของเม็กซิโกจึงตั้งอยู่บนพื้นที่ระดับสูง โดยกลุ่มยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ได้แก่ ยอดเขาโอรีซาบา (5,700 เมตร) โปโปกาเตเปตล์ (5,426 เมตร) อิซตักซีอวตล์ (5,230 เมตร) และเนบาโดเดโตลูกา (4,680 เมตร) ล้วนตั้งอยู่บริเวณแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน และเขตเมืองใหญ่ของเม็กซิโก ได้แก่ เขตมหานครเม็กซิโกซิตี โตลูกา และปวยบลา ต่างก็ตั้งอยู่ในหุบเขาระหว่างยอดเขาเหล่านี้ ทางน้ำและแม่น้ำต่าง ๆ ในเม็กซิโกจัดอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำ 3 บริเวณ คือ บริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก และไหลสู่แอ่งภายในแผ่นดิน แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของประเทศคือ แม่น้ำบราโบ อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา แม่น้ำสายอื่นในบริเวณลุ่มน้ำเดียวกัน ได้แก่ แม่น้ำอูซูมาซินตา (พรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับกัวเตมาลา) แม่น้ำกรีคัลบา แม่น้ำปานูโก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีแม่น้ำหลายแห่งที่มีปริมาณน้ำน้อยและใช้เดินเรือไม่ได้ โดยทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้มีระยะทางรวมประมาณ 2,900 กิโลเมตร เม็กซิโกมีทะเลสาบขนาดย่อมหลายแห่งในพื้นที่ ทะเลสาบที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลสาบชาปาลา ในรัฐฮาลิสโก แต่เนื่องจากมีการน้ำน้ำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมาก เกินไป ทะเลสาบแห่งนี้จึงเกิดภาวะมลพิษและเสี่ยงที่จะเหือดแห้ง ทะเลสาบที่สำคัญแห่งอื่น ๆ ได้แก่ ทะเลสาบปัตซ์กวาโร ซีราอูเอน และกวิตเซโอ ทั้งหมดตั้งอยู่ในรัฐมิโชอากังลาวป่าวถามจริงประวัติศาสตร์สมัยก่อนอาณานิคม ประวัติศาสตร์. สมัยก่อนอาณานิคม. เมื่อเกือบสามพันปีก่อน ดินแดนประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยิ่งใหญ่หลายกลุ่ม เช่น โอลเมก เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มสุด ประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ทางภาคกลางของค่อนไปทางใต้ของเม็กซิโกปัจจุบัน มายา มีอำนาจอยู่ประมาณระหว่างปี ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ. 900 ตั้งถิ่นฐานอยู่บนคาบสมุทรยูกาตันในนครรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์ มายามีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกัน หลังจากเมืองเตโอตีอัวกันเสื่อมอำนาจทางการเมืองลงไป พวกโตลเตกก็ขึ้นมามีอำนาจแทนในราวปี ค.ศ. 700 อิทธิพลของอารยธรรมโตลเตกพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาลงไปจนถึงคอสตาริกาในปัจจุบัน ผู้ปกครองโตลเตกที่มีชื่อเสียงคือ เกตซัลโกอัตล์ ภายหลังอารยธรรมโตลเตกก็ล่มสลายลงไปและสืบทอดต่อมาโดยพวกแอซเท็กที่เรียกจักรวรรดิของตนเองว่า "เม็กซิกา" กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของแอซเท็กได้แก่ พระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 เมื่อถึงปี ค.ศ. 1519 เตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็ก (เม็กซิกา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึงประมาณ 350,000 คน ซึ่งกรุงลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรเพียง 80,000 คนเท่านั้น เตนอชตีตลันเป็นที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบันสมัยอาณานิคม สมัยอาณานิคม. นักสำรวจชาวสเปนมาถึงเม็กซิโกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยฟรันซิสโก เอร์นันเดซ เด กอร์โดบาได้สำรวจชายฝั่งทางใต้ของเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1517 ตามมาด้วยการสำรวจของควน เด กรีคัลบาในปี ค.ศ. 1518 ผู้พิชิตดินแดนในสมัยแรกคนสำคัญคือ เอร์นัน กอร์เตส ซึ่งเข้ามาถึงในปี ค.ศ. 1519 จากทางเมืองชายฝั่งที่เขาตั้งชื่อให้ว่า "บียารีกาเดลาเบรากรุซ" ด้วยความเชื่อว่ากอร์เตสเป็นเกตซัลโกอัตล์ (กษัตริย์เทพเจ้าในตำนานแอซเท็ก ซึ่งมีคำทำนายไว้ว่าพระองค์จะทรงกลับมาในปีเดียวกับที่กอร์เตสมาถึงพอดี) ชาวแอซเท็กจึงไม่ได้ต่อต้านเขาและยังต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อีกสองปีต่อมา (ค.ศ. 1521) กรุงเตนอชตีตลันก็ถูกพิชิตโดยกองทัพผสมระหว่างสเปนกับตลัชกัลเตกซึ่ง เป็นศัตรูสำคัญของแอซเท็ก การที่สเปนยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กได้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุค อาณานิคมที่นานเกือบ 300 ปีของเม็กซิโกในฐานะเขตอุปราชแห่งนิวสเปน อย่างไรก็ตาม กว่าสเปนจะยึดดินแดนเม็กซิโกได้ทั้งหมดนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีก 2 ศตวรรษหลังจากการตีกรุงเตนอชตีตลันได้ เนื่องจากต้องสู้รบกับชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังคงก่อการจลาจลและโจมตีดินแดนของสเปนอยู่เอกราชและสงคราม เอกราชและสงคราม. ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1810 นักบวชชาวเม็กซิโกชื่อ มีเกล อีดัลโก ได้ประกาศเอกราชจากสเปนที่เมืองโดโลเรส รัฐกวานาวาโต เป็นตัวเร่งให้เกิดสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก ซึ่งในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1821 ชาวสเปนได้ออกไปจากประเทศและทำให้เม็กซิโกกลายมาเป็นประเทศเอกราช ผู้นำคนแรกของเม็กซิโก อากุสติน เด อีตูร์บีเด ได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิที่ 1 แต่ด้วยเหตุที่ว่าประชาชนไม่พอใจ อีก 2 ปีต่อมาเม็กซิโกจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ โดยมีกวาดาลูเป บิกโตเรีย เป็นประธานาธิบดีคนแรก บุคคลที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ นายพลอันโตเนียว โลเปซ เด ซานตา อันนา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโกอยู่หลายสมัย เขาได้ประกาศยกเลิกระบบสหพันธรัฐและรวมอำนาจกลับเข้าสู่ศูนย์กลาง รัฐต่าง ๆ ถูกลดฐานะลงเป็นจังหวัดและไม่มีสิทธิ์ในการปกครองตนเอง ก่อให้เกิดความไม่สงบไปทั่วประเทศ รัฐต่าง ๆ ได้แก่ ยูกาตัง ตาเมาลีปัส และนวยโวเลอองได้ประกาศเอกราช ในที่สุดรัฐโกอาวีลาและเทกซัสก็ได้ประกาศแยกตัวออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1836 ยุทธการที่แอละโมที่มีชื่อเสียงได้เกิดขึ้นในสงครามครั้งนี้ ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ผนวกสาธารณรัฐเทกซัสเข้าเป็นรัฐหนึ่งของตน ทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับเม็กซิโกและเกิดสงครามระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกาขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1846-1848 เม็กซิโกเป็นฝ่ายแพ้สงครามและต้องเสียดินแดนอีกถึง 1 ใน 3 ให้สหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญาสงบศึก ส่วนซานตา อันนาถูกเนรเทศไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในลาตินอเมริกา (แต่กลับเม็กซิโกในบั้นปลายชีวิต) ระหว่างปี ค.ศ. 1858 และ ค.ศ. 1861 เกิดสงครามภายในขึ้นระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษนิยม ในที่สุด เบนีโต คัวเรซ ผู้นำจากฝ่ายเสรีนิยมก็เป็นฝ่ายชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในทศวรรษ 1860 ฝรั่งเศสได้เข้ารุกรานเม็กซิโกและสถาปนามักซีมีเลียนแห่งฮับสบูร์ก ขึ้นเป็นจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิเม็กซิโกที่ 2 แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมาพระองค์ทรงถูกสำเร็จโทษประหารหลังจากที่กองกำลังสาธารณรัฐสามารถยึดเมืองหลวงได้ในปี ค.ศ. 1867 และคัวเรซก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งจนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1872 ผู้สืบทอดอำนาจของคัวเรซอยู่ฝ่ายเสรีนิยมเช่นกันจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1876 ฝ่ายอนุรักษนิยมนำโดยปอร์ฟีรีโอ ดีอัซ (ซึ่งเป็นนายพลผู้เคยได้ชัยชนะในการรบกับฝรั่งเศสมาก่อน) ได้ก่อกบฏขึ้นอีกและขับไล่รัฐบาลเสรีนิยมที่มาจากการเลือกตั้งออกไปได้ ปอร์ฟีรีโอได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศอยู่กว่า 30 ปี เขาทำให้ประเทศมั่งคั่งขึ้น แต่คนจนในประเทศกลับยิ่งจนลง ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมได้นำไปสู่การปฏิวัติเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1910 นำโดยฟรันซิสโก อี. มาเดโร ดีอัซประกาศลาออกในปี ค.ศ. 1911 และมาเดโรได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 เกิดรัฐประหารนำโดยนายพลฝ่ายอนุรักษนิยมชื่อว่าบิกโตเรียโน อวยร์ตา มาเดโรถูกล้มล้างอำนาจและถูกฆาตกรรม ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งมีผู้เข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง เช่น เอมีเลียว ซาปาตา และปันโช บียา โดยทั้งสองจัดตั้งกองกำลังของตนเอง แต่กองทัพภายใต้รัฐธรรมนูญที่นำโดยเบนุสเตียโน การ์รันซา ก็สามารถยุติสงครามลงได้ในที่สุดและได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1917 แต่การ์รันซาก็ถูกทรยศและลอบสังหารในปี ค.ศ. 1920 อัลบาโร โอเบรกอน วีรบุรุษอีกคนหนึ่งจากสงครามการปฏิวัติได้ขึ้นดำรงตำหน่งประธานาธิบดีแทน และปลูตาร์โก เอลีอัส กาเยส ก็ได้สืบต่ออำนาจ อย่างไรก็ตามโอเบรกอนได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้งในปี ค.ศ. 1928 แต่กลับถูกลอบสังหารก่อนจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ. 1929 กาเยสได้จัดตั้งพรรคปฏิวัติแห่งชาติขึ้น และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคปฏิวัติสถาบัน ซึ่งจะกลายเป็นพรรคที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลาอีก 70 ปีถัดมาสมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน สมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน. ระหว่างปี ค.ศ. 1940 และ ค.ศ. 1980 เป็นช่วงที่เม็กซิโกมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า "มหัศจรรย์เม็กซิโก" () การที่รัฐเข้าครอบครองสิทธิที่จะทำผลประโยชน์จากแร่และโอนอุตสาหกรรมน้ำมันเข้าสู่บริษัทปิโตรเลียมเปเมกซ์ ซึ่งเป็นกิจการของรัฐในช่วงที่ลาซาโร การ์เดนัส เดล รีโอ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แต่ก็เป็นการจุดปัญหาทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ที่พลเมืองของตนต้องสูญเสียธุรกิจซึ่งถูกยึดหรือบังคับซื้อไปโดยรัฐบาลของกา ร์เดนัส แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมก็ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองยังไม่สงบ สุขนัก นอกจากนี้ นักการเมืองที่มีตำแหน่งบริหารของพรรคปฏิวัติสถาบันก็เริ่มลุแก่อำนาจ ไม่ฟังเสียงประชาชน และบางครั้งก็ดำเนินการกดขี่อย่างรุนแรง ตัวอย่างของพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ได้แก่ กรณีสังหารหมู่ตลาเตลอลโก ในปี ค.ศ. 1968 ที่กำลังตำรวจและทหารได้กราดกระสุนใส่กลุ่มนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านรัฐบาล ในทศวรรษ 1970 การบริหารของประธานาธิบดีลุยส์ เอเชเบร์รีอา ไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากเขาตัดสินใจก้าวเดินผิดทั้งในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ แต่กระนั้น ในทศวรรษนี้เองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงขึ้นเป็นครั้งแรกในกฎหมาย การเลือกตั้งของเม็กซิโก นำไปสู่ความเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ระบบการเลือกตั้งที่แต่เดิมเป็นแบบอำนาจ นิยมมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และอัตราดอกเบี้ย ก็ค่อนข้างต่ำนั้น รัฐบาลก็ได้สร้างการลงทุนอย่างมาดในบริษัทน้ำมันที่ตนเองเป็นเจ้าของด้วย ความพยายามจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การกู้ยืมที่มากเกินไปและการจัดการรายได้จากน้ำมันอย่างไม่ถูกต้องนั้นได้นำ ไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและก่อให้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี ค.ศ. 1982 ในปีนั้น ราคาน้ำมันตกฉับพลัน อัตราดอกเบี้ยถีบตัวสูงขึ้น และรัฐบาลก็ยังผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย ประธานาธิบดีมีเกล เด ลา มาดริด ต้องใช้วิธีการลดค่าเงินตราทางอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้ยอดคงเหลือในบัญชีปัจจุบันมีเสถียรภาพ แม้ว่าในระดับเทศบาล นายกเทศมนตรีคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 แต่ก็ต้องรอจนถึงปี ค.ศ. 1989 ที่ผู้ว่าการรัฐคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้ง เข้าทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลหลายแห่งอ้างว่าในปี ค.ศ. 1988 ทางพรรคได้ทุจริตการเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้กูเวาเตม็อก การ์เดนัส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้งระดับชาติครั้งนี้ โดยคะแนนเสียงส่วนมากเป็นของการ์โลส ซาลีนัส ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านขนานใหญ่ในเมืองหลวง ซาลีนัสเริ่มลงมือปฏิรูปเสรีนิยมใหม่ (ทุนนิยม) โดยได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ควบคุมเงินเฟ้อ และลงเอยด้วยการลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนี้เอง กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา () ซึ่งมีสมาชิกเป็นชนพื้นเมืองอินเดียนก็ได้เริ่มก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลสหพันธรัฐขึ้นที่รัฐเชียปัส (หนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงดำเนินการเพื่อต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่และโลกาภิวัตน์โดยไม่ใช้ ความรุนแรงต่อมาถึงปัจจุบัน อนึ่ง เนื่องจากเป็นปีที่จะมีการเลือกตั้ง (ในกระบวนการซึ่งภายหลังถือว่ามีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์เม็กซิโก นั้น) เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างไม่เต็มใจที่จะลดค่าเงินเปโซ อันจะทำให้เกิดการสูญสิ้นเงินสำรองแห่งชาติอย่างรวดเร็ว และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 หนึ่งเดือนหลังจากที่ประธานาธิบดีเอร์เนสโต เซดีโย ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากอดีตประธานาธิบดีซาลีนัส ก็เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่เริ่มโดยประธานาธิบดีเซดีโย เศรษฐกิจก็กระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วและการเจริญเติบโตก็อยู่ที่เกือบร้อยละ 7 เมื่อถึงสิ้นปี พ.ศ. 2542 การปฏิรูปเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเพื่อเพิ่มการเป็นผู้แทนของพรรคในสมัยการ บริหารของเซดีโย รวมทั้งความไม่พอใจพรรคปฏิวัติสถาบันหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ ทางพรรคเสียคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภาไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 หลังจากที่บริหารประเทศอยู่ 71 ปี พรรคปฏิวัติสถาบันก็ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับบีเซนเต ฟอกซ์ จากพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคภารกิจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2548 ฟอกซ์ได้ลงนามในการเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและความรุ่งเรืองแห่งอเมริกาเหนือ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2549 ฐานะของพรรคปฏิวัติสถาบันก็ยิ่งอ่อนแอลงและกลายเป็นพรรคที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับที่ 3 รองจากพรรคภารกิจแห่งชาติและพรรคปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันนั้น เฟลีเป กัลเดรอน จากพรรคภารกิจแห่งชาติได้ประกาศชัยชนะโดยได้รับคะแนนเสียงเฉือนขาดอันเดรส มานวยล์ โลเปซ โอบราดอร์ ตัวแทนจากพรรคปฏิวัติประชาธิปไตยไปเพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตาม โลเปซ โอบราดอร์ได้ประท้วงการเลือกตั้ง และประกาศจัดตั้ง "รัฐบาลทางเลือก"การเมืองการปกครองบริหารนิติบัญญัติตุลาการการบังคับใช้กฎหมายสถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เม็กซิโกเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วยเสรีรัฐอธิปไตย () 31 แห่ง แต่ละแห่งมีรัฐธรรมนูญ รัฐสภา รวมทั้งฝ่ายตุลาการประจำท้องถิ่นของตนเอง ประชาชนในรัฐสามารถเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้โดยตรง ซึ่งจะดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี และยังสามารถเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปประจำในรัฐสภาของรัฐทุก ๆ 3 ปี รัฐต่าง ๆ ในเม็กซิโกจะแบ่งเขตการปกครองเป็นเทศบาล () ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองอย่างเป็นทางการที่เล็กที่สุดของประเทศ แต่ละแห่งมีนายกเทศมนตรีที่ได้รับเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากจากประชาชนในท้อง ถิ่นเป็นผู้บริหาร เทศบาลขนาดใหญ่บางแห่งอาจแบ่งพื้นที่ย่อยลงไปอีกเป็นเขตเล็ก ๆ ซึ่งมีทั้งแบบกึ่งปกครองตนเองและแบบที่ไม่ได้ปกครองตนเอง ตามรัฐธรรมนูญแล้ว กรุงเม็กซิโกซิตีในฐานะเมืองหลวงและที่ตั้งอำนาจฝ่ายบริหารของสหพันธรัฐยังมีสถานะเป็นเฟเดอรัลดิสตริกต์หรือ "เขตของสหพันธ์" () ด้วย ทั้งสองถือเป็นหน่วยการปกครองเดียวกัน มีอาณาเขตเดียวกัน และมีลักษณะเป็นเขตการปกครองรูปแบบพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นกับรัฐใดรัฐหนึ่งโดย เฉพาะ แต่เป็นของทุกรัฐในประเทศ ดังนั้นจึงมีอำนาจและกฎสำหรับท้องถิ่นค่อนข้างจำกัดกว่ารัฐต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เขตสหพันธ์แห่งนี้ก็ได้รับอำนาจในการปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันประชาชนในเขตสหพันธ์มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งหัวหน้าคณะรัฐบาลประจำ เขตและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประจำรัฐสภาของเขตได้โดยตรงเช่นเดียวกับประชาชน ในรัฐต่าง ๆ และถึงแม้เขตสหพันธ์จะไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบทกฎหมายเป็นของตนเองต่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายเม็กซิโกกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 2.7 (2548) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 670.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) GDP per capita 6,298 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 4 ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 26.5 (ปิโตรเลียมและเหมืองแร่) ภาคบริการ ร้อยละ 69.5 (การค้าและการท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง) อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.3 (2548) ดุลบัญชีเดินสะพัด –8.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศและทองคำ 68.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) หนี้สาธารณะ ร้อยละ 39.1 ของ GDP (2548) อัตราการว่างงาน ร้อยละ 3.6 (2548) ทรัพยากรธรรมชาติ ปิโตรเลียม เงิน ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ อุตสาหกรรม อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม ยาสูบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า ปิโตรเลียม เหมืองแร่ สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องยนต์ การท่องเที่ยว เกษตรกรรม ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าว ถั่ว ฝ้าย กาแฟ ผลไม้ มะเขือเทศ ปลา นโยบายเศรษฐกิจหลัก ส่งเสริมการค้าเสรี จัดตั้งเขตการค้าเสรีทวิภาคี ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ (Inflation target) การค้าระหว่างประเทศ (2548) การส่งออก 213.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้า 223.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าหลัก สินค้าวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าประเภททุน ผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเคมี ยางและพลาสติก อุปกรณ์การขนส่งและชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น สินค้าส่งออกหลัก สินค้าอุตสาหกรรม น้ำมันปิโตรเลียมพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน. การศึกษา. ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารอ่านและเขียนได้ 92.2% ของประชากรทั้งหมด (ชาย 94% หญิง 90.5%) โดยมีมหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดคือ National Autonomous University of Mexico (NAUM) ซึ่งก่อตั้งในปี 2094 (1551) และ มีนักศึกษาได้ 269,000 คนสาธารณสุขประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. ประชากร : 107,449,525 คน โครงสร้างอายุ : 0-14 ปี -- 30.6% (ชาย 16,770,957/หญิง 16,086,172) 15-64 ปี -- 63.6% (ชาย 33,071,809/หญิง 35,316,281) 65 ปี และสูงกว่า -- 5.8% (ชาย 2,814,707/หญิง 3,389,599) อัตราการเจริญเติบโตของประชากร : 1.16%เชื้อชาติ เชื้อชาติ. ชาวเม็กซิกัน (Mexican)ชนพื้นเมือง ชนพื้นเมือง. เมสติโซ (ผิวขาวผสมอินเดียแดงพื้นเมือง) 60%, อเมริกาอินเดียแดง 30%, คอเคเชียน 9% และอื่นๆ 1%ภาษา ภาษา. สเปน (ราชการ) และ ภาษาพื้นเมืองได้แก่ ภาษามายัน (Mayan) และภาษานาวาท์ล (Nahautl)ศาสนาเมืองใหญ่วัฒนธรรมอาหารดนตรีกีฬา
|
แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศเม็กซิโกคือแม่น้ำใด
|
{
"answer": [
"บราโบ"
],
"answer_begin_position": [
5217
],
"answer_end_position": [
5222
]
}
|
2,235 | 3,648 |
ประเทศอียิปต์ สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (; ) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า อียิปต์ (; มิส-ร) เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีประชากรมากที่สุด ประเทศอียิปต์มีพื้นที่ประมาณ 1,020,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรไซนาย (เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับประเทศลิเบีย ด้านใต้ติดกับประเทศซูดาน ด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศอิสราเอล ชายฝั่งทางเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกติดกับทะเลแดง ประชากรอียิปต์ส่วนใหญ่อาศัยบนทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ (ประมาณ 40,000 ตารางกิโลเมตร) และคลองสุเอซ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นส่วนของทะเลทรายสะฮารา และมีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง ประเทศนี้มีชื่อเสียงในด้านอารยธรรมโบราณ รวมถึงอนุสาวรีย์โบราณที่น่าตื่นตาที่สุดในโลก ได้แก่ พีระมิด อารามคาร์นัค และหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ในปัจจุบัน อียิปต์ถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของโลกอาหรับ ชื่อ "อียิปต์" (Egypt) มาจากชื่อภาษาละตินว่า "ไอกิปตุส" (Aegyptus) และชื่อภาษากรีกว่า "ไอกึปตอส" (Αιγυπτος) [นิยมใช้ในภาษาไทยว่า ไอยคุปต์] ทั้งสองรูปมีที่มาอีกทอดหนึ่งจากภาษาอียิปต์ว่า "ฮิ-คุ-ปตาห์" (Hi-ku-ptah) ซึ่งเป็นชื่ออารามที่เมืองเมืองทีบส์ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ที่ตั้ง อียิปต์ตั้งอยู่บนมุมสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา และบริเวณเหนือข้ามคลองสุเอซไปในคาบสมุทรไซนาย ภาคเหนือมีอาณาเขตติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดทะเล ภาคตะวันออก ติดทะเลแดง ภาคใต้ ติดซูดาน และติดลิเบียทางภาคตะวันตก อียิปต์เป็นประเทศที่มีแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างธงชัยทวีปแอฟริกากับเอเชีย ผ่านตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ หลังจากได้มีการขุดและเปิดใช้คลองสุเอซ เมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) เส้นทางผ่านคลองสุเอซของอียิปต์ได้กลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกประวัติศาสตร์ก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ก่อนประวัติศาสตร์. ประเทศอียิปต์เป็นประเทศทีมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ถึง 5,000 กว่าปียุคกลางศตวรรษที่ 19-20 ศตวรรษที่ 19-20. ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1882 อังกฤษส่งเรือรบไปยังเมืองท่าอเล็กซานเดรีย และยึดครองอียิปต์ได้สำเร็จ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้ประกาศว่าอียิปต์เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวอียิปต์ที่รักชาติได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราช ใน ค.ศ. 1922 อังกฤษได้ให้เอกราชแก่อียิปต์ โดยเมื่อแรกรับเอกราช ได้สถาปนาเป็นราชอาณาจักรอียิปต์ ปกครองโดยราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี ที่สืบเชื้อสายจากสุลต่านแห่งอียิปต์ โดยสุลต่านฟูอัด ได้สถาปนาพระองค์เป็น พระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ และปกครองต่อมาอีกสองพระองค์คือ พระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ และพระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ ก็เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี และระบอบกษัตริย์แห่งอียิปต์ โดยได้มีการทำรัฐประหารเป็นระบอบสาธารณรัฐจนถึงปัจจุบันการเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. อียิปต์ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข การเลือกตั้งประธานาธิบดีกระทำโดยการลงประชามติ และจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ปัจจุบันนาย Mohamed Hosni Mubarak เป็นประธานาธิบดี ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 4 โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 สมัชชาประชาชน (People’s Assembly) ของอียิปต์ ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 454 คน ได้ลงคะแนนเสียง (445 เสียง) สนับสนุนให้ประธานาธิบดี Hosni Mubarak ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2524 ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีกเป็นสมัยที่ 4 (ดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2542 ภายหลังที่ได้รับเลือกตั้ง ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ นาย Ahmad Nazif ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 2004 อียิปต์มีพรรคการเมือง 13 พรรคที่สำคัญ ได้แก่ National Democratic Party (NDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมีประธานาธิบดีมูบารัคเป็นประธานพรรค Labour Party, New Wafq Party, Liberal Party (Ahrar), Tabammu (Progressive Unionist Party) และ Democratic Nasserite Party พรรค NDP ของรัฐบาล จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2521 ในสมัยประธานาธิบดีซาดัต และได้รับเลือกตั้งเข้าบริหารประเทศตลอดมา จนกระทั่งต้องพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์การปฏิวัติอียิปต์ พ.ศ. 2554นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. รัฐสภาอียิปต์มี 2 สภา คือ - สภาประชาชน (People’s Assembly) มีสมาชิก 454 คน มาจากการเลือกตั้ง 444 คน และประธานาธิบดีแต่งตั้ง 10 คน มีวาระ 5 ปี ประธานรัฐสภา คือ Dr. Ahmed Fathi Sorour - สภาที่ปรึกษา (Shura Council) มีสมาชิก 285 คน ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งจากบุคคลสาขาอาชีพต่าง ๆ จำนวน 2 ใน 3 (190 คน) อีก 95 คน ประชาชนเป็นผู้เลือก มีวาระ 3 ปีตุลาการสถานการณ์สำคัญการบังคับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนนโยบายต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศ. ช่วงปี พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) สมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ อียิปต์เน้นความเป็นปึกแผ่นในกลุ่มประเทศอาหรับ และพยายามเข้าไปมีบทบาทสำคัญในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งในช่วงนี้ อียิปต์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียต ได้รับความช่วยเหลือทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหารจากสหภาพโซเวียต และเข้ายึดคลองสุเอซเป็นของรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) เพื่อหารายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมจากคลองสุเอซเป็นทุนสร้างเขื่อนอัสวาน ปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) อียิปต์ส่งทหารไปยึดเมือง ชาร์ม เอล-เชห์ค บริเวณตอนใต้ของแหลมไซนาย หลังจากได้เจรจาให้กองทหารนานาชาติถอนออกไปจากไซนายแล้ว พร้อมกับได้ทำการปิดช่องแคบไทราน เพื่อมิให้อิสราเอลเดินเรือผ่าน การปฏิบัติการเช่นนี้ส่งผลให้เกิดสงครามหกวัน กับอิสราเอล ฝ่ายอิสราเอลได้รับชัยชนะ อียิปต์และพันธมิตรอาหรับได้สูญเสียดินแดน ได้แก่ ฉนวนกาซาและแหลมไซนายให้แก่อิสราเอล นับตั้งแต่ประธานาธิบดีอัลวาร์ ซาดัตเข้าดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ความสัมพันธ์บางประเทศในอาหรับ อาทิ ลิเบีย และซีเรีย เย็นชาลง อียิปต์หันไปพึ่งพาสหรัฐอเมริกา ให้ช่วยไกล่เกลี่ยในการเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล เมื่อเกิดสงคราม 18 วันจากกรณีอียิปต์ส่งทหารข้ามคลองสุเอซไปยึดครองดินแดนที่สูญเสียคืนการสู้รบได้ยุติลงโดยสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยได้ตกลงให้มีเขตปลอดทหารระหว่างเขตแดนของอียิปต์และอิสราเอล ภายใต้การควบคุมของกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน อียิปต์หันไปพึ่งพาสหรัฐฯ มากขึ้น ยังผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับสหภาพโซเวียตถดถอยลง ในปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) อียิปต์ได้ยกเลิกสนธิสัญญามิตรภาพกับสหภาพโซเวียต และให้ที่ปรึกษาด้านการทหารของโซเวียตออกจากประเทศ ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่อียิปต์เพิ่มมากขึ้นจนถึงปัจจุบันปีละประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประธานาธิบดีซาดัตได้เดินทางไปเยือนอิสราเอล เมื่อปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) เพื่อเจรจาสันติภาพ และอียิปต์ได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่แคมป์เดวิดเมื่อปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) มีผลให้อียิปต์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล อิสราเอลยินยอมคืนดินแดนไซนายทั้งหมด (ยกเว้นทาบา) ให้แก่อียิปต์เมื่อปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) แต่ผลจากการลงนามดังกล่าวทำให้ประเทศอาหรับส่วนใหญ่ตัดความสัมพันธ์กับอียิปต์ และอียิปต์ถูกขับออกจากสันนิบาตอาหรับเมื่อประธานาธิบดีมูบารัคเข้าบริหารประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) ได้พยายามดำเนินนโยบายที่จะนำอียิปต์กลับสู่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับกลุ่มประเทศอาหรับ ด้วยการดำเนินการในด้านต่าง ๆ อาทิ สนับสนุนขบวนการปาเลสไตน์ สนับสนุนอิรักในสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่าน สนับสนุนคูเวตในกรณีอิรักเข้ายึดครองคูเวต หลังจากนั้น ประเทศอาหรับต่าง ๆ ได้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตตามปกติกับอียิปต์ ในขณะเดียวกัน อียิปต์ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากสหรัฐฯ และชาติตะวันตกในการแสวงหาลู่ทางแก้ไขปัญหาตะวันออกกลาง ประธานาธิบดีมูบารัค ดำเนินบทบาทสำคัญในการประสานระหว่างกลุ่มอาหรับและ เป็นตัวเชื่อมในการเจรจากับอิสราเอลในปัญหาตะวันออกกลาง และพยายามแสดงบทบาทนำในกลุ่มประเทศอาหรับและแอฟริกาความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอียิปต์ ดำเนินมาอย่างราบรื่นและก้าวหน้ามาตามลำดับ โดยหลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-อียิปต์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2546 และครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2549 ไทยและอียิปต์ได้ขยายความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ ความร่วมมือด้านข่าวกรอง การผลักดันให้แต่ละฝ่ายเป็นประตูทางธุรกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อียิปต์ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่ารวมด้านการค้าเป็น 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2551 เพิ่มพูนความร่วมมือกันในด้านพลังงาน วิชาการ และการศึกษา อาทิ ความร่วมมือด้านการป้องกันโรคไข้หวัดนก การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมของมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร และ การแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งในระดับรัฐบาล ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ การเสด็จฯ เยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม พ.ศ. 2550 และการเชิญผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์เยือนไทย ระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2550 นับเป็นความก้าวหน้าในความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ- ด้านการทูต ประเทศไทยและสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์สถาปนาความ สัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2497 นับเป็นประเทศแรกในกลุ่มอาหรับที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกัน ต่างสนับสนุนกันในเวทีระหว่างประเทศ และในความร่วมมือระดับภูมิภาคเช่น ในเวที Asia Middle East Dialogue (AMED) เป็นต้น- ด้านเศรษฐกิจ การค้าไทย - อียิปต์ในปี พ.ศ. 2556 มีมูลค่ารวม 949 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออก 911 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้เปรียบดุลการค้า 873 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ทองแดงและของที่ทำด้วยทองแดง กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ สินค้าเข้าจากอียิปต์ที่สำคัญ ได้แก่ ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ ด้ายและเส้นใย สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ เป็นต้น- ด้านการศึกษา อียิปต์ เป็นศูนย์กลางการศึกษาอิสลามซึ่งเป็นที่นิยม ของนักศึกษาไทยมุสลิม ปัจจุบันไทยมีโครงการร่วมมือด้านการศึกษากับมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัรของอียิปต์ โดยมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร ได้สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส และการส่งครูมาร่วมทำการสอน นอกจากนั้น ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร ประมาณ 2,500 คน โดยในแต่ละปีมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร ได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมประมาณปีละ 60-80 ทุน และทุนจากรัฐบาลอียิปต์ (กระทรวงอุดมศึกษา) ซึ่งให้แก่นักเรียนไทยทั่วไป ปีละ 2 ทุน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร ยังได้ส่งครูมาสอนในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามหลายแห่งในไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2557 ไทยได้บริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัยฯ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของนักเรียนไทยด้วย ขณะเดียวกัน ไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่อียิปต์ในหลายสาขา อาทิ การจัดอบรมหลักสูตรด้านการท่องเที่ยว หลักสูตรฝึกอบรมด้านการบริหารธุรกิจการส่งออก หลักสูตรด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น- การเยือน - ฝ่ายไทย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2531 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2533 และเดือนมกราคม พ.ศ. 2536 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือนอียิปต์เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 29 - 30 มกราคม พ.ศ. 2546 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ และเป็นประธานร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อียิปต์ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23 - 25 กันยายน พ.ศ. 2546 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลพร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ และเอกชนเดินทางเยือนอียิปต์ เมื่อวันที่ 20 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2547 นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเดินทางไปร่วมประชุมความร่วมมือนานาชาติใน การกำจัดโรคเท้าช้าง ครั้งที่ 3 (Third Meeting of the Global Alliance for Elimination of Lymphatic Filariasis) ที่กรุงไคโร เมื่อวันที่ 4 - 9 มกราคม 2548 นายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้นำคณะเดินทางไปเจรจาเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษากับมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2548 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย นำคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนไทยเดินทางไปขยายความสัมพันธ์และแสวงหาโอกาสในการ ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า อุตสาหกรรม ความร่วมมือทางวิชาการ และการลงทุนกับอียิปต์ เมื่อวันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ. 2549 นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ และเป็นประธานร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อียิปต์ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 17-18 เมษายน พ.ศ. 2550 นายสวนิต คงสิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนอียิปต์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11-12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและคณะผู้แทนจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนจากส่วนราชการต่างๆ ของไทย ได้เดินทางเยือนอียิปต์ เพื่อหารือเรื่องแนวทางและวิธีการในการให้การช่วยเหลือและสนับสนุนนักเรียนไทยในอียิปต์ - ฝ่ายอียิปต์ เมื่อปี พ.ศ. 2539 นาย อามืร์ มุสซา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอียิปต์เยือนไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2547 ชีค อาเหม็ด อัล-ทายีบ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร เยือนไทย ในฐานะแขกของรัฐบาล เมื่อวันที่ 13-15 ตุลาคม 2547 นาย อิสซัท ซาอัด, ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายกิจการเอเชียของอียิปต์เดินทางเยือนไทย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 23-27 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ดร.มูฮัมหมัด ซัยยิด ฏอนฏอวี ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรีในทางการเมือง เยือนไทย ในฐานะแขกของรัฐบาลกองทัพการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศอียิปต์แบ่งเขตการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 27 เขตผู้ว่าการ (governorate) ได้แก่เศรษฐกิจสถานการณ์สำคัญ เศรษฐกิจ. สถานการณ์สำคัญ. รัฐบาลอียิปต์ปัจจุบันต้องเผชิญภาระที่หนักหน่วงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีหนี้สินอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อียิปต์ประสบปัญหาด้านระบบราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีขนาด ใหญ่และเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ อัตราการเพิ่มของประชากรค่อนข้างสูง รัฐบาลอียิปต์ได้ใช้ความพยายามที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้มีการค้าเสรี การแปรรูปกิจการของรัฐไปสู่ภาคเอกชน ส่งเสริมการลงทุน กระตุ้นรัฐวิสาหกิจให้เพิ่มผลผลิต ผลเลิกการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อียิปต์ได้ขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ อาทิ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารโลก Paris Club รวมทั้งจากประเทศกลุ่มอาหรับอียิปต์ได้ทำการปฏิรูปทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยใช้นโยบายเศรษฐกิจการตลาดให้มีการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยกเลิกควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสะดวกขึ้น ผลจากการปฏิรูปดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของอียิปต์กระเตื้องดีขึ้นสามารถ แก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณลดลงมาก ลดปัญหาเงินเฟ้อลงได้ในระดับหนึ่งรายได้หลักของอียิปต์จากน้ำมันซึ่งผลิตได้วันละ 950,000 บาร์เรลและส่งออกขายครึ่งหนึ่ง ในแต่ละปีมีรายได้ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการท่องเที่ยว ประมาณปีละ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากค่าผ่านคลองสุเอซปีละประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงงานอียิปต์ในต่างประเทศ ประมาณ 5 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานในตะวันออกกลางในซาอุดีอาระเบียประมาณ 1 ล้านคน ในลิเบียประมาณ 1.5 ล้านคน ส่งเงินเข้าอียิปต์ประมาณปีละ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ภายหลังการก่อวินาศกรรมในสหรัฐ ฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทำให้อียิปต์ต้องสูญเสียรายได้ ประมาณ 1.5 – 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลอียิปต์ คาดว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลงประมาณ ร้อยละ 20 และการส่งออก ร้อยละ 10การท่องเที่ยวด้านการค้าระหว่างไทยกับอียิปต์ ด้านการค้าระหว่างไทยกับอียิปต์. มูลค่าการค้าไทย – อียิปต์อยู่ในระดับปานกลาง ในปี 2544 มูลค่าการค้ารวม 151.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าสินค้าออก 103.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 7.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้เปรียบดุลการค้า 96.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี พ.ศ. 2545 ตั้งแต่เดือน มกราคม – กันยายน มูลค่าการค้าไทย-อียิปต์รวม 96.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าสินค้าออก 88.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 8.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ-ไทยได้เปรียบดุลการค้า 80.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกไปอียิปต์ ที่สำคัญได้แก่ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ใบยาสูบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ (สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูป อียิปต์ระบุให้เป็นสินค้าห้ามเข้า แต่ก็มีการลักลอบนำเข้า โดยจะทำในลักษณะการค้านอก รูปแบบ) สินค้าที่ไทยนำเข้าจากอียิปต์ ได้แก่ เส้นใยใช้ในการทอ น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเบรก หนังดิบและหนังฟอก เครื่องตกแต่งบ้านเรือน ดินสอ ปากกา หมึกพิมพ์ และอุปกรณ์เกี่ยวกับการพิมพ์ สบู่ ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง แก้วและผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา ในปัจจุบันอียิปต์มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น มีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้น และมีการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเข้าไปประกอบอุตสาหกรรมและลงทุนสาขาต่าง ๆ รวมทั้งอุตสาหกรรมประเภทที่ไทยผลิตและส่งออกด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังอียิปต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันอียิปต์ได้เข้าไปร่วมเป็นสมาชิกตลาดร่วมแอฟริกาตะวันออกและใต้ (Common Market of Eastern and Southern Africa – COMESA) ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) โดยมีจุดมุ่งหมายขยายตลาดสินค้าอียิปต์เข้าไปยังประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา ฝ่ายไทยจึงอาจพิจารณาสนับสนุนให้นักลงทุนไปลงทุน/ร่วมลงทุนในอียิปต์เพื่อการ ส่งออกไปยังตลาดร่วมแอฟริกาในอนาคต หรือมุ่งใช้อียิปต์เป็นประตูสู่ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา เมื่อเดือน มิ.ย. 44 อียิปต์ได้ลงนามร่วมกับสหภาพยุโรป (อียู) ในความตกลง Euro-Mediterranean Association Agreement ซึ่งจะมีผลตต่อความสัมพันธ์กับอียูในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การเงิน ลังคม วัฒนธรรมและการกงสุลโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรเชื้อชาติ ประชากร. เชื้อชาติ. มี จำนวนประชากร 78 ล้านคน (ปี 2549) อยู่ในเขตเมืองร้อนและ 45 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามบริเวณ 2 ฝั้งและที่ราบลุ่มแม่น้ำไนท์ ประกอบด้วย 3 เชื้อชาติ คือ แฮมิติก แซมิติก 99.8% เบดูอินและนูเบียน 0.2% อัตราเพิ่มของประชากร ประมาณปีละ 1.9% อายุเฉลี่ย 65 ปี ความ หนาแน่นประชากรโดยเฉลี่ยทั่วประเทศ ประมาณ 75.68 คน/ตร.กม กรุงไคไรและปริมฑล มีประชากรประมาณ 16 ล้านคน จะมีความหนาแน่นมากที่สุดเฉลี่ย 34.000-35.000 คน/ตร.กม. รองลงมาคือ เมืองอเล็กซานเดรีย มีประชากรประมาณ 4 ล้านคน ความหนาแน่นเฉลี่ย 13.000-9.000 คน/ตร.กมภาษาศาสนา ศาสนา. ในอดีตชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าและมีกษัตริย์ที่เรียกว่า ฟาโรห์ และในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย พระเจ้าอโศกได้ทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอียิปต์และได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในเขตเมืองอเล็กซานเดรีย (ดูเพิ่มได้ใน พุทธศาสนาในประเทศอียิปต์) แต่ในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ 94% นับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่ อีก 6% นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคอปติกเมืองใหญ่สุด 20 อันดับแรกกีฬาวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมอาหาร วัฒนธรรม. อาหาร. การกินอาหารของคนในตะวันออกกลางจะมีความแตกต่างมากกับคนในเอเชียเราและอาหารหลักของทุกชนชั้นของคนอียิปต์ นั้น คือ ขนมปัง หัวหอม พวกผักต่างๆ แล้วก็ปลาแห้ง นอกจากนี้ คนอียิปต์จะมีน้ำเชื่อมซึ่ง ทำจากผลไม้ อาทิเช่นพวก องุ่น เพื่อให้ได้รสหวานและจะกินกับขนปังซึ่งจะใช้ขนมปังจิ้มกับน้ำเชื่อม และนอกจากนั้น ยังมีการใช้ในน้ำผึ้ง เกลือ กระเทียม หัวหอม ในการปรุงรสให้อร่อยด้วย และนอกจากขนมปังแล้วเขาจะกินโยเกิตย์พร้อมๆกับเมนูอาหารหลักอีกด้วยส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์นี้ก็มี สัตว์ที่นิยมรับประทานก็คือพวก เนื้อแกะ แพะ และเนื้อวัว อาหารประเภทกาบับ ( Kabab ) ก็เป็นเนื้อ หรือ แพะ ย่างโดยมีเหล็กแหลม เสียบชิ้นเนื้อโดยหมุนชิ้นเนื้อให้ไฟเลียไปทั่วๆ กินกับผักทั้งผักสดเช่น แตงกวา มะเขือเทศ ต้นหอม กับผักดองเช่น แตงกวา มะเขือเปาะ หัวหอม แครอทศิลปะดนตรี และ นาฎศิลป์สื่อสารมวลชนวันหยุด
|
ประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ในทวีปใด
|
{
"answer": [
"แอฟริกา"
],
"answer_begin_position": [
1303
],
"answer_end_position": [
1310
]
}
|
2,236 | 3,898 |
ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือ (; ; ; ) เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ ประกอบด้วยภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง ซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนตามขอบเขตของประเทศโดยมีแม่น้ำริโอแกรนด์เป็นแนวเขตแดน ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีเพียง 2 ประเทศ คือ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ส่วนอเมริกากลางใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ประกอบด้วยประเทศทั้งใหญ่และเล็ก รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะจำนวน 23 ประเทศ โดยกรีนแลนด์เป็นประเทศอยู่เหนือที่สุด และประเทศปานามาอยู่ใต้สุด มีพรมแดนติดกับทวีปอเมริกาใต้ สภาพโดยรวมแล้วประชากรในอเมริกาเหนือมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเหนือได้แก่พื้นที่ตอนเหนือทั้งหมดของดินแดนที่เรียกว่า โลกใหม่ ซีกโลกตะวันตก หรือ ทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือมีส่วนเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้บริเวณคอคอดปานามา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าอเมริกาเหนือไม่ได้เริ่มจากคอคอดปานามา แต่เริ่มจากคอคอดเตวานเตเปก (Tehuantepec) ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งอยู่ในอเมริกากลางภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์. ทวีปอเมริกาเหนือเป็นทวีปที่พบใหม่ แต่พบว่ามีชนชาวเอเชียอพยพผ่านเข้าไปในอเมริกาเหนือทาง ช่องแคบแบริง เมื่อประมาณ 35000-12000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่ง คือชาวอเมริกัน-อินเดียน โดยมีการค้นพบเครื่องมือหินเป็นหลักฐาน ต่อจากนั้นมีการอพยพลงใต้ ทำให้เริ่มมีชนเผ่าพื้นเมืองตั่งแต่เหนือสุดลงไปสู่ทางทิศใต้ของอเมริกาเหนือดินแดนและภูมิภาคย่อย ดินแดนและภูมิภาคย่อย. แผ่นดินผืนใหญ่ของทวีปประกอบไปด้วย 2 ประเทศใหญ่คือ แคนาดา สหรัฐอเมริกา พื้นที่ทางใต้ของทวีปซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่าซึ่งอาจเรียกเป็นภูมิภาคย่อยว่าอเมริกากลาง ในภูมิภาคอเมริกากลางนี้ประกอบได้ด้วย ประเทศ เบลิซ คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว เม็กซิโกและปานามา นอกจากพื้นที่บนผืนทวีปแล้วยังมีหมู่เกาะจำนวนมากซึ่งอยู่ใกล้ๆกับแผ่นดินใหญ่ของทวีปดินแดนหมู่เกาะที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่มักจะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า แคริบเบียน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศอิสระคือ แอนติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส คิวบา ดอมินีกา สาธารณรัฐโดมินิกัน เกรนาดา เฮติ จาเมกา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ตรินิแดดและโตเบโก และดินแดนภายใต้ความคุ้มครองได้แก่ แองกวิลลา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) อารูบา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะเคย์แมน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กัวเดอลุป (ดินแดนของฝรั่งเศส) มาร์ตีนิก (ดินแดนของฝรั่งเศส) มอนต์เซอร์รัต (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) เกาะนาแวสซา (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) กือราเซา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) เปอร์โตริโก (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะเวอร์จิน (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) ซินต์มาร์เติน (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือด้วยได้แก่ เบอร์มิวดา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก) แซงปีแยร์และมีเกอลง (ดินแดนของฝรั่งเศส)ตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ. - ประมาณการเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขตที่ตั้ง ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขต. ที่ตั้ง. ทวีปอเมริกาเหนือตั้งอยู่ในเขตซีกโลกเหนือระหว่างละติจูด 7 องศา 15 ลิปดาเหนือถึง 83 องศา 38 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูด 55 องศา 42 ลิปดาตะวันตกถึง 172 องศา 30 ลิปดาตะวันออกขนาด ขนาด. ทวีปอเมริกาเหนือมีพื้นที่ประมาณ 22,063,997 ตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ บริเวณที่กว้างที่สุดของทวีป คือ ตั้งแต่ช่องแคบเบริงถึงเกาะนิวฟันด์แลนด์ ส่วนบริเวณที่ยาวที่สุดของทวีป คือตั้งแต่คาบสมุทรบูเทียถึงคอคอดปานามา ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของทวีป คือกว้างประมาณ 74 กิโลเมตร ทวีปอเมริกาเหนือ มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับ คือมีฐานกว้างอยู่ทางด้านเหนือและปลายแหลมอยู่ทางตอนใต้ ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือมีทั้งหมด 23 ประเทศ โดยแบ่งออกส่วน 3 ส่วนคือ1. แองโกลอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำริโอแกรนด์ขึ้นไป 2. ลาตินอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำริโอแกรนด์ลงมา 3. หมู่เกาะเวสต์อินดีส ได้แก่ ประเทศหมู่เกาะในทะเลคริบเบียนอาณาเขต อาณาเขต. ทวีปอเมริกาเหนือมีอาณาเขตติดต่อดังนี้1. ทิศเหนือ - จดมหาสมุทรอาร์กติกและทะเลโบฟอร์ด 2. ทิศตะวันออก - จดมหาสมุทรแอตแลนติก 3. ทิศใต้ - ติดต่อกับทวีปอเมริกาใต้ 4. ทิศตะวันตก - จดมหาสมุทรแปซิฟิกและช่องแคบเบริงที่กั้นระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปเอเชียเขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก เขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือ. เขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก. ได้แก่ เทือกเขาที่วางตัวขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในแนวเหนือ - ใต้ ตั้งแต่เหนือสุดไปจนใต้ของทวีป และต่อเนื่องลงไปถึงเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงสุดสลับซับซ้อนหลายแนว ที่สำคัญเช่น เทือกเขาร็อกกี , เทือกเขาอะแลสกา , เทือกเขาบรุกส์ , เทือกเขาโคสต์ , และเทือกเขาเชียร์เนวาดา ในประเทศสหรัฐอเมริกา เทือกเขาแมกเคนซีในประเทศแคนาดา เทือกเขาเชียร์รามาเดรออกซิเดนตัลในประเทศเม็กซิโกมียอดเขาแมกคินลีย์บนเทือกเขาอะแลสกาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีระดับความสูง 6,194 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในระหว่างเทือกเขาสูงที่ต่อเนื่องกันจะพบที่ราบสูงคั่นอยู่ระหว่างเทือกเขา ที่สำคัญเช่น ที่ราบสูงอะแลสกา , ที่ราบสูงเกรตเบซิน , ที่ราบสูงโคโลราโด , ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ราบสูงบริดิชโคลัมเบียในประเทศแคนาดา ที่ราบสูงแม็กซิโกในประเทศแม็กซฺโก
|
ทวีปใดมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
|
{
"answer": [
"อเมริกาเหนือ"
],
"answer_begin_position": [
108
],
"answer_end_position": [
120
]
}
|
2,926 | 3,898 |
ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือ (; ; ; ) เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ ประกอบด้วยภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง ซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนตามขอบเขตของประเทศโดยมีแม่น้ำริโอแกรนด์เป็นแนวเขตแดน ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีเพียง 2 ประเทศ คือ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ส่วนอเมริกากลางใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ประกอบด้วยประเทศทั้งใหญ่และเล็ก รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะจำนวน 23 ประเทศ โดยกรีนแลนด์เป็นประเทศอยู่เหนือที่สุด และประเทศปานามาอยู่ใต้สุด มีพรมแดนติดกับทวีปอเมริกาใต้ สภาพโดยรวมแล้วประชากรในอเมริกาเหนือมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเหนือได้แก่พื้นที่ตอนเหนือทั้งหมดของดินแดนที่เรียกว่า โลกใหม่ ซีกโลกตะวันตก หรือ ทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือมีส่วนเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้บริเวณคอคอดปานามา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าอเมริกาเหนือไม่ได้เริ่มจากคอคอดปานามา แต่เริ่มจากคอคอดเตวานเตเปก (Tehuantepec) ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งอยู่ในอเมริกากลางภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์. ทวีปอเมริกาเหนือเป็นทวีปที่พบใหม่ แต่พบว่ามีชนชาวเอเชียอพยพผ่านเข้าไปในอเมริกาเหนือทาง ช่องแคบแบริง เมื่อประมาณ 35000-12000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่ง คือชาวอเมริกัน-อินเดียน โดยมีการค้นพบเครื่องมือหินเป็นหลักฐาน ต่อจากนั้นมีการอพยพลงใต้ ทำให้เริ่มมีชนเผ่าพื้นเมืองตั่งแต่เหนือสุดลงไปสู่ทางทิศใต้ของอเมริกาเหนือดินแดนและภูมิภาคย่อย ดินแดนและภูมิภาคย่อย. แผ่นดินผืนใหญ่ของทวีปประกอบไปด้วย 2 ประเทศใหญ่คือ แคนาดา สหรัฐอเมริกา พื้นที่ทางใต้ของทวีปซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่าซึ่งอาจเรียกเป็นภูมิภาคย่อยว่าอเมริกากลาง ในภูมิภาคอเมริกากลางนี้ประกอบได้ด้วย ประเทศ เบลิซ คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว เม็กซิโกและปานามา นอกจากพื้นที่บนผืนทวีปแล้วยังมีหมู่เกาะจำนวนมากซึ่งอยู่ใกล้ๆกับแผ่นดินใหญ่ของทวีปดินแดนหมู่เกาะที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่มักจะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า แคริบเบียน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศอิสระคือ แอนติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส คิวบา ดอมินีกา สาธารณรัฐโดมินิกัน เกรนาดา เฮติ จาเมกา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ตรินิแดดและโตเบโก และดินแดนภายใต้ความคุ้มครองได้แก่ แองกวิลลา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) อารูบา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะเคย์แมน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กัวเดอลุป (ดินแดนของฝรั่งเศส) มาร์ตีนิก (ดินแดนของฝรั่งเศส) มอนต์เซอร์รัต (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) เกาะนาแวสซา (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) กือราเซา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) เปอร์โตริโก (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะเวอร์จิน (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) ซินต์มาร์เติน (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือด้วยได้แก่ เบอร์มิวดา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก) แซงปีแยร์และมีเกอลง (ดินแดนของฝรั่งเศส)ตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ. - ประมาณการเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขตที่ตั้ง ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขต. ที่ตั้ง. ทวีปอเมริกาเหนือตั้งอยู่ในเขตซีกโลกเหนือระหว่างละติจูด 7 องศา 15 ลิปดาเหนือถึง 83 องศา 38 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูด 55 องศา 42 ลิปดาตะวันตกถึง 172 องศา 30 ลิปดาตะวันออกขนาด ขนาด. ทวีปอเมริกาเหนือมีพื้นที่ประมาณ 22,063,997 ตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ บริเวณที่กว้างที่สุดของทวีป คือ ตั้งแต่ช่องแคบเบริงถึงเกาะนิวฟันด์แลนด์ ส่วนบริเวณที่ยาวที่สุดของทวีป คือตั้งแต่คาบสมุทรบูเทียถึงคอคอดปานามา ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของทวีป คือกว้างประมาณ 74 กิโลเมตร ทวีปอเมริกาเหนือ มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับ คือมีฐานกว้างอยู่ทางด้านเหนือและปลายแหลมอยู่ทางตอนใต้ ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือมีทั้งหมด 23 ประเทศ โดยแบ่งออกส่วน 3 ส่วนคือ1. แองโกลอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำริโอแกรนด์ขึ้นไป 2. ลาตินอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำริโอแกรนด์ลงมา 3. หมู่เกาะเวสต์อินดีส ได้แก่ ประเทศหมู่เกาะในทะเลคริบเบียนอาณาเขต อาณาเขต. ทวีปอเมริกาเหนือมีอาณาเขตติดต่อดังนี้1. ทิศเหนือ - จดมหาสมุทรอาร์กติกและทะเลโบฟอร์ด 2. ทิศตะวันออก - จดมหาสมุทรแอตแลนติก 3. ทิศใต้ - ติดต่อกับทวีปอเมริกาใต้ 4. ทิศตะวันตก - จดมหาสมุทรแปซิฟิกและช่องแคบเบริงที่กั้นระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปเอเชียเขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก เขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือ. เขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก. ได้แก่ เทือกเขาที่วางตัวขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในแนวเหนือ - ใต้ ตั้งแต่เหนือสุดไปจนใต้ของทวีป และต่อเนื่องลงไปถึงเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงสุดสลับซับซ้อนหลายแนว ที่สำคัญเช่น เทือกเขาร็อกกี , เทือกเขาอะแลสกา , เทือกเขาบรุกส์ , เทือกเขาโคสต์ , และเทือกเขาเชียร์เนวาดา ในประเทศสหรัฐอเมริกา เทือกเขาแมกเคนซีในประเทศแคนาดา เทือกเขาเชียร์รามาเดรออกซิเดนตัลในประเทศเม็กซิโกมียอดเขาแมกคินลีย์บนเทือกเขาอะแลสกาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีระดับความสูง 6,194 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในระหว่างเทือกเขาสูงที่ต่อเนื่องกันจะพบที่ราบสูงคั่นอยู่ระหว่างเทือกเขา ที่สำคัญเช่น ที่ราบสูงอะแลสกา , ที่ราบสูงเกรตเบซิน , ที่ราบสูงโคโลราโด , ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ราบสูงบริดิชโคลัมเบียในประเทศแคนาดา ที่ราบสูงแม็กซิโกในประเทศแม็กซฺโก
|
ทวีปใดคือทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
|
{
"answer": [
"ทวีปอเมริกาเหนือ"
],
"answer_begin_position": [
104
],
"answer_end_position": [
120
]
}
|
2,927 | 3,898 |
ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือ (; ; ; ) เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ ประกอบด้วยภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง ซึ่งแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนตามขอบเขตของประเทศโดยมีแม่น้ำริโอแกรนด์เป็นแนวเขตแดน ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีเพียง 2 ประเทศ คือ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ส่วนอเมริกากลางใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ประกอบด้วยประเทศทั้งใหญ่และเล็ก รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะจำนวน 23 ประเทศ โดยกรีนแลนด์เป็นประเทศอยู่เหนือที่สุด และประเทศปานามาอยู่ใต้สุด มีพรมแดนติดกับทวีปอเมริกาใต้ สภาพโดยรวมแล้วประชากรในอเมริกาเหนือมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเหนือได้แก่พื้นที่ตอนเหนือทั้งหมดของดินแดนที่เรียกว่า โลกใหม่ ซีกโลกตะวันตก หรือ ทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือมีส่วนเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้บริเวณคอคอดปานามา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าอเมริกาเหนือไม่ได้เริ่มจากคอคอดปานามา แต่เริ่มจากคอคอดเตวานเตเปก (Tehuantepec) ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งอยู่ในอเมริกากลางภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์. ทวีปอเมริกาเหนือเป็นทวีปที่พบใหม่ แต่พบว่ามีชนชาวเอเชียอพยพผ่านเข้าไปในอเมริกาเหนือทาง ช่องแคบแบริง เมื่อประมาณ 35000-12000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่ง คือชาวอเมริกัน-อินเดียน โดยมีการค้นพบเครื่องมือหินเป็นหลักฐาน ต่อจากนั้นมีการอพยพลงใต้ ทำให้เริ่มมีชนเผ่าพื้นเมืองตั่งแต่เหนือสุดลงไปสู่ทางทิศใต้ของอเมริกาเหนือดินแดนและภูมิภาคย่อย ดินแดนและภูมิภาคย่อย. แผ่นดินผืนใหญ่ของทวีปประกอบไปด้วย 2 ประเทศใหญ่คือ แคนาดา สหรัฐอเมริกา พื้นที่ทางใต้ของทวีปซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่าซึ่งอาจเรียกเป็นภูมิภาคย่อยว่าอเมริกากลาง ในภูมิภาคอเมริกากลางนี้ประกอบได้ด้วย ประเทศ เบลิซ คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว เม็กซิโกและปานามา นอกจากพื้นที่บนผืนทวีปแล้วยังมีหมู่เกาะจำนวนมากซึ่งอยู่ใกล้ๆกับแผ่นดินใหญ่ของทวีปดินแดนหมู่เกาะที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่มักจะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า แคริบเบียน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศอิสระคือ แอนติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส คิวบา ดอมินีกา สาธารณรัฐโดมินิกัน เกรนาดา เฮติ จาเมกา เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ตรินิแดดและโตเบโก และดินแดนภายใต้ความคุ้มครองได้แก่ แองกวิลลา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) อารูบา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะเคย์แมน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กัวเดอลุป (ดินแดนของฝรั่งเศส) มาร์ตีนิก (ดินแดนของฝรั่งเศส) มอนต์เซอร์รัต (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) เกาะนาแวสซา (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) กือราเซา (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) เปอร์โตริโก (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) หมู่เกาะเวอร์จิน (ดินแดนของสหรัฐอเมริกา) ซินต์มาร์เติน (ดินแดนของเนเธอร์แลนด์) หมู่เกาะซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือด้วยได้แก่ เบอร์มิวดา (ดินแดนของสหราชอาณาจักร) กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก) แซงปีแยร์และมีเกอลง (ดินแดนของฝรั่งเศส)ตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือตารางรายชื่อประเทศและดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ. - ประมาณการเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขตที่ตั้ง ที่ตั้ง ขนาด และอาณาเขต. ที่ตั้ง. ทวีปอเมริกาเหนือตั้งอยู่ในเขตซีกโลกเหนือระหว่างละติจูด 7 องศา 15 ลิปดาเหนือถึง 83 องศา 38 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูด 55 องศา 42 ลิปดาตะวันตกถึง 172 องศา 30 ลิปดาตะวันออกขนาด ขนาด. ทวีปอเมริกาเหนือมีพื้นที่ประมาณ 22,063,997 ตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากทวีปเอเชียและแอฟริกาตามลำดับ บริเวณที่กว้างที่สุดของทวีป คือ ตั้งแต่ช่องแคบเบริงถึงเกาะนิวฟันด์แลนด์ ส่วนบริเวณที่ยาวที่สุดของทวีป คือตั้งแต่คาบสมุทรบูเทียถึงคอคอดปานามา ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของทวีป คือกว้างประมาณ 74 กิโลเมตร ทวีปอเมริกาเหนือ มีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลับ คือมีฐานกว้างอยู่ทางด้านเหนือและปลายแหลมอยู่ทางตอนใต้ ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือมีทั้งหมด 23 ประเทศ โดยแบ่งออกส่วน 3 ส่วนคือ1. แองโกลอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำริโอแกรนด์ขึ้นไป 2. ลาตินอเมริกา ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำริโอแกรนด์ลงมา 3. หมู่เกาะเวสต์อินดีส ได้แก่ ประเทศหมู่เกาะในทะเลคริบเบียนอาณาเขต อาณาเขต. ทวีปอเมริกาเหนือมีอาณาเขตติดต่อดังนี้1. ทิศเหนือ - จดมหาสมุทรอาร์กติกและทะเลโบฟอร์ด 2. ทิศตะวันออก - จดมหาสมุทรแอตแลนติก 3. ทิศใต้ - ติดต่อกับทวีปอเมริกาใต้ 4. ทิศตะวันตก - จดมหาสมุทรแปซิฟิกและช่องแคบเบริงที่กั้นระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับทวีปเอเชียเขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก เขตภูมิประเทศของทวีปอเมริกาเหนือ. เขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูงด้านตะวันตก. ได้แก่ เทือกเขาที่วางตัวขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในแนวเหนือ - ใต้ ตั้งแต่เหนือสุดไปจนใต้ของทวีป และต่อเนื่องลงไปถึงเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงสุดสลับซับซ้อนหลายแนว ที่สำคัญเช่น เทือกเขาร็อกกี , เทือกเขาอะแลสกา , เทือกเขาบรุกส์ , เทือกเขาโคสต์ , และเทือกเขาเชียร์เนวาดา ในประเทศสหรัฐอเมริกา เทือกเขาแมกเคนซีในประเทศแคนาดา เทือกเขาเชียร์รามาเดรออกซิเดนตัลในประเทศเม็กซิโกมียอดเขาแมกคินลีย์บนเทือกเขาอะแลสกาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีระดับความสูง 6,194 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในระหว่างเทือกเขาสูงที่ต่อเนื่องกันจะพบที่ราบสูงคั่นอยู่ระหว่างเทือกเขา ที่สำคัญเช่น ที่ราบสูงอะแลสกา , ที่ราบสูงเกรตเบซิน , ที่ราบสูงโคโลราโด , ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ราบสูงบริดิชโคลัมเบียในประเทศแคนาดา ที่ราบสูงแม็กซิโกในประเทศแม็กซฺโก
|
ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกา อยู่ในทวีปใด
|
{
"answer": [
"ทวีปอเมริกาเหนือ"
],
"answer_begin_position": [
104
],
"answer_end_position": [
120
]
}
|
2,237 | 56,322 |
แมงมุม แมงมุม จัดเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสัตว์ขาปล้อง หรืออาร์โธพอด เช่นเดียวกับแมลง, กิ้งกือ, ปู เป็นต้น จัดอยู่ในอันดับ Araneae (/อา-รัค-เน/) มีรูปทรง ลักษณะ และขนาดแตกต่างหลากหลายกันออกไป บางชนิดมีลำตัวที่กว้างมาก บางชนิดมีรูปร่างที่เพรียวยาว ขณะที่บางชนิดกลับมีรูปร่างที่คล้ายกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น เช่น มด หรือปู เพื่อใช้ในการพรางตัว โดยแมงมุมนั้นถูกค้นพบแล้วกว่า 40,000 ชนิด และก็ยังมีชนิดใหม่ ๆ ถูกค้นพบเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าจำนวนที่ถูกค้นพบนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของทั้งหมดที่มีเท่านั้น โดยแมงมุมขนาดเล็กที่สุด พบที่โคลัมเบีย ในทวีปอเมริกาใต้ มีความยาวเพียง 0.4 มิลลิเมตรเท่านั้น และที่ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ แมงมุมกินนกโกไลแอท มีความยาวลำตัว 12–13 เซนติเมตร หรือขนาด 25–33 เซนติเมตรเลยทีเดียว แมงมุมพบได้ในแทบทุกภูมิภาคของโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งในทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนอบอ้าว หรือในถ้ำลึก หรือภูเขาสูง หรือในน้ำ แต่ทั้งหมดเป็นสัตว์กินเนื้อ แมงมุมกินอาหารจำพวก เพลี้ยอ่อน, ตัวหนอน, ผีเสื้อ, แมลงวัน, ยุง, ปลวก, ด้วง, มด เป็นตัน จึงมีความสำคัญในระบบนิเวศทางการเกษตร และระบบนิเวศทั่วไป โดยส่วนใหญ่เมื่อจะล่าเหยื่อจะสร้างใยเพื่อเป็นรังอาศัย และดักเหยื่อ ในขณะที่บางชนิดไม่สร้างใยก็มี ซึ่งก็จะมีการใช้เส้นใยที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด ขึ้นอยู่กับรูปแบบการอยู่อาศัยของแมงมุมในแต่ละชนิดในพื้นที่นั้น ๆ
|
แมงมุมชนิดใดมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
|
{
"answer": [
"แมงมุมกินนกโกไลแอท"
],
"answer_begin_position": [
728
],
"answer_end_position": [
746
]
}
|
2,238 | 108,338 |
นกยูง นกยูง () เป็นสัตว์ปีกจำพวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์เดียวกันนี้ มีจุดเด่นคือ เพศผู้มีขนหางยาวที่มีสีสันสวยงาม ที่เมื่อแผ่ขยายออกเพื่ออวดเพศเมียจะมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า "รำแพน" นกยูงใช้ชื่อสกุลว่า Pavo ชอบอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบผสมตามริมลำธารในป่า มีพฤติกรรมมักร้องตอนเช้าหรือพลบค่ำ กินอาหารจำพวกเมล็ดพืช แมลง และสัตว์เล็ก ๆ มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางเหนือของประเทศอินเดียไปทางทิศตะวันออกผ่านพม่า, ตอนใต้ของประเทศจีน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซียและชวา นกยูงแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ- นกยูงอินเดีย (Pavo cristatus) มีหงอนบนหัวแผ่เป็นพัด มีหนังข้างแก้มเป็นสีขาว ขนส่วนคอและอกด้านบนเป็นสีน้ำเงิน พบกระจายพันธุ์ในอินเดีย- นกยูงไทย (Pavo muticus) มีหงอนบนหัวตั้งตรงเป็นกระจุก หนังข้างแก้มเป็นสีฟ้าและสีเหลือง ขนส่วนคอ หลัง ตลอดไปถึงปลายหางเป็นสีเขียว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคตะวันออกชองอินเดียติดกับพม่า ภูมิภาคอินโดจีน และชวา ในความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่า นกยูงเป็นปางหนึ่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
|
นกยูงเป็นสัตว์ปีกจำพวกใด
|
{
"answer": [
"ไก่ฟ้า"
],
"answer_begin_position": [
112
],
"answer_end_position": [
118
]
}
|
2,239 | 13,083 |
ฟอร์ดมอเตอร์ ฟอร์ด มอเตอร์ () หรือเรียกย่อว่า ฟอร์ด บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกตั้งอยู่ที่รัฐมิชิแกน ก่อตั้งโดยเฮนรี ฟอร์ด ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 2 ของโลก รองจาก เจเนรัลมอเตอร์ ฟอร์ดมอเตอร์เป็นเจ้าของยี่ห้อรถยนต์ต่างๆ ได้แก่ ฟอร์ด, ลิงคอล์น (Lincoln), เมอร์คิวรี (Mercury) และวอลโว่ (เฉพาะในส่วนของรถยนต์เท่านั้น สำหรับยี่ห้อวอลโว่ในส่วนของรถเพื่อการพานิชย์ (รถบรรทุก รถโดยสาร และเครื่องจักรกลหนัก) ยังคงเป็นกิจการของทางวอลโว่เอง) แต่ฟอร์ดมอเตอร์ได้ขายวอลโว่ให้กับบริษัท Geely Automobile แล้วในปี 2010 นอกจากนี้ยังเข้าไปถือหุ้นในกิจการของบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นอย่างมาสด้า
|
ใครคือผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ ฟอร์ดมอเตอร์
|
{
"answer": [
"เฮนรี ฟอร์ด"
],
"answer_begin_position": [
198
],
"answer_end_position": [
209
]
}
|
2,240 | 38,145 |
มาสด้า มาสด้า () เป็นบริษัทผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น มีฐานการผลิตที่เมืองฮิโรชิมา ข้อมูลปี ค.ศ. 2005 มาสด้ามีกำลังผลิตรถยนต์ประมาณ 800,000 คันต่อปี และเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 17 ของโลก โดยวางขายในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือประวัติ ประวัติ. มาสด้าก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1920 ในชื่อบริษัท Toyo Cork Kogyo โดยช่วงแรกทำธุรกิจเครื่องจักรกลส่วนประกอบยานพาหนะ และผลิตอาวุธให้กองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น "มาสด้า" เมื่อ ค.ศ. 1984 แต่ได้ผลิตรถยนต์มาสด้าคันแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 รถยนต์สี่ล้อรุ่นแรกคือรุ่น มาสด้า R360 ในวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 ตรงกับวันที่เครื่องบินบี 29 “อีโนร่า เกย์” ได้ทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิม่า เมืองที่ตั้งของโรงงานมาสด้าในปัจจุบัน ในวันนั้นก็ตรงกับวันเกิดของ จูจิโร่ มัตซึดะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมาสด้าพอดิบพอดี“ ฮานส์ ไกลเมลล์ บรรณาธิการฝ่ายเอเชีย ของ ออโตโมทีฟ นิวส์ เขียนบทความไว้น่าสนใจ โดยกล่าวว่า “มาสด้า รอดพ้นจากระเบิดนิวเคลียร์ เพียงเพราะเส้นผม” โดยเขาได้รับรู้จากการไปเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ผ่านการบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญ โดยมาสด้าเองก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมากนัก เรื่องมีอยู่ว่าในวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 ตรงกับวันที่เครื่องบินบี 29 “อีโนร่า เกย์” ได้ทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิม่า เมืองที่ตั้งของโรงงานมาสด้าในปัจจุบัน ในวันนั้นก็ตรงกับวันเกิดของ จูจิโร่ มัตซึดะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมาสด้าพอดิบพอดี เวลา 07.30 น. ของเช้าวันนั้นมัตซึดะ ได้เดินทางเข้าไปในย่านใจกลางเมืองเพื่อที่จะตัดผม โดยขณะที่เขากำลังเดินเข้าใกล้ประตูร้าน ก็มีคนจะเดินเข้าไปตัดผมด้วยเช่นกัน แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยยอมใคร เขาจึงรีบสาวเท้าและเข้าไปในร้านได้ก่อนชายคนนั้นเพียงเสี้ยววินาที โดยเขาใช้เวลาตัดผมไม่นานนักก็กลับไปขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ หลังจากนั้นในเวลา 08.16 น. ระเบิด “ลิตเติลบอย” ก็ได้สัมผัสกับพื้นของเมืองฮิโรชิม่าซึ่งจุดที่ระเบิดตกอยู่ห่างจากร้านตัดผมที่มัตซึดะเพิ่งใช้บริการไปเพียงแค่ 50 หลาเท่านั้น และลูกไฟขนาดมหึมาก็ได้เผาทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งแรงระเบิดส่งผลไปถึงรถที่มัตซึดะนั่ง ทำให้เขาและคนขับถึงกับกระเด็นออกไปนอกรถเลยทีเดียว แต่โชคดีที่เขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยจุดที่เขาประสบเหตุก็คือที่ตั้งของมาสด้า ซูม-ซูม สเตเดี้ยม และเป็นบ้านของทีมเบสบอล ฮิโรชิม่า โตโย คาร์ป โปรเฟสชันแนล ในปัจจุบันนั่นเอง ขณะที่โรงงาน และสำนักงานใหญ่ของ มาสด้า ซึ่งขณะนั้น มีชื่อว่า “โตโย โคเกียว คอปอเรชั่น” กลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแรงระเบิดดังกล่าว ซึ่งเป็นเพราะภูมิประเทศมีลักษณะเป็นภูเขาล้อม จึงเป็นเกราะกำบังอย่างดีต่อแรงระเบิด รวมถึงอุณหภูมิความร้อนที่มีมากกว่า 10,000 องศา แต่ที่เสียหายนั้นเกิดจากการโจมตีทางอากาศในช่วงปลายสงคราม หลังจากสงครามโลกผ่านพ้นไป จูจิโร่ มัตซึดะ ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริหารอยู่จนถึงปี ค.ศ.1951 ก่อนส่งผ่านไปยังบุตรชายผู้ที่รอดชีวิตจากแรงระเบิดในครั้งนั้นของเขา ที่ชื่อ ทัสซูนิจิ มัตซึดะ ซึ่งอีก 7 ปีต่อมาโรงงานขนาดเล็กภายใต้การนำของทัสซูนิจิ ก็มีศักยภาพเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้างรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้เป็นครั้งแรก“ บริษัทฟอร์ดมอเตอร์ได้เข้าถือหุ้น 25% ในมาสด้าเมื่อ ค.ศ. 1979 ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 33.4% เมื่อมาสด้าประสบปัญหาทางการเงินในปี ค.ศ. 1996 ในปัจจุบันมีรถยนต์หลายรุ่นที่ฟอร์ดและมาสด้าร่วมกันผลิต หรือฟอร์ดนำรถของมาสด้าไปปรับปรุงต่อเป็นรุ่นใกล้เคียง เช่น มาสด้า ทรีบิ้วกับฟอร์ด เอสเคป มาสด้า 323 โปรทีเจกับฟอร์ด เลเซอร์ เป็นต้น มาสด้าถือว่าเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์โรตารีที่นำมาต่อยอดและพัฒนาจนมีชื่อเสียงทั้งด้านรถสปอร์ต และรถแข่งมอเตอร์สปอร์ต และปัจจุบันมาสด้าได้มาพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ของตนเองมาใช้ในชื่อ "Skyactiv"เครือข่ายจำหน่ายรถยนต์ของมาสด้า เครือข่ายจำหน่ายรถยนต์ของมาสด้า. ในอดีต มาสด้าในญี่ปุ่นได้มีการแยกประเภทตัวแทนจำหน่ายและยี่ห้อรถยนต์เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในญี่ปุ่น โดยอมาติ แองฟินิและยูโนส เป็นเครือข่ายและยี่ห้อสำหรับรถยนต์ระดับหรู ส่วนออโต้แซมนั้นเป็นเครือข่ายและยี่ห้อสำหรับรถยนต์ประเภท K-Car แต่ในปี 1996 ทางมาสด้าได้ยกเลิกยี่ห้อรถยนต์เหล่านี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่ยังมีตัวแทนจำหน่ายในชื่อนั้นๆ เหลืออยู่ในญี่ปุ่น แต่ก็มีน้อยมาก ในประเทศไทย เคยนำรถยนต์ในเครือข่ายดังกล่าวมาขายโดย โดยเป็นรถของยี่ห้อออโต้แซม โดยที่นำมาขายคือ ออโต้แซม เรวิว (Autozam Revue) ประมาณช่วงปี 1992 โดยตั้งชื่อในไทยว่า มาสด้า 121 (Mazda 121) แต่ด้วยความที่ไม่พร้อมจะทำตลาดอย่างจริงจัง จึงเลิกขายไปในปี 1995
|
มาสด้า เป็นบริษัทผลิตรถยนต์จากประเทศใด
|
{
"answer": [
"ญี่ปุ่น"
],
"answer_begin_position": [
125
],
"answer_end_position": [
132
]
}
|
2,241 | 38,145 |
มาสด้า มาสด้า () เป็นบริษัทผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น มีฐานการผลิตที่เมืองฮิโรชิมา ข้อมูลปี ค.ศ. 2005 มาสด้ามีกำลังผลิตรถยนต์ประมาณ 800,000 คันต่อปี และเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 17 ของโลก โดยวางขายในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือประวัติ ประวัติ. มาสด้าก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1920 ในชื่อบริษัท Toyo Cork Kogyo โดยช่วงแรกทำธุรกิจเครื่องจักรกลส่วนประกอบยานพาหนะ และผลิตอาวุธให้กองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น "มาสด้า" เมื่อ ค.ศ. 1984 แต่ได้ผลิตรถยนต์มาสด้าคันแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 รถยนต์สี่ล้อรุ่นแรกคือรุ่น มาสด้า R360 ในวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 ตรงกับวันที่เครื่องบินบี 29 “อีโนร่า เกย์” ได้ทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิม่า เมืองที่ตั้งของโรงงานมาสด้าในปัจจุบัน ในวันนั้นก็ตรงกับวันเกิดของ จูจิโร่ มัตซึดะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมาสด้าพอดิบพอดี“ ฮานส์ ไกลเมลล์ บรรณาธิการฝ่ายเอเชีย ของ ออโตโมทีฟ นิวส์ เขียนบทความไว้น่าสนใจ โดยกล่าวว่า “มาสด้า รอดพ้นจากระเบิดนิวเคลียร์ เพียงเพราะเส้นผม” โดยเขาได้รับรู้จากการไปเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ผ่านการบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญ โดยมาสด้าเองก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมากนัก เรื่องมีอยู่ว่าในวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 ตรงกับวันที่เครื่องบินบี 29 “อีโนร่า เกย์” ได้ทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิม่า เมืองที่ตั้งของโรงงานมาสด้าในปัจจุบัน ในวันนั้นก็ตรงกับวันเกิดของ จูจิโร่ มัตซึดะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมาสด้าพอดิบพอดี เวลา 07.30 น. ของเช้าวันนั้นมัตซึดะ ได้เดินทางเข้าไปในย่านใจกลางเมืองเพื่อที่จะตัดผม โดยขณะที่เขากำลังเดินเข้าใกล้ประตูร้าน ก็มีคนจะเดินเข้าไปตัดผมด้วยเช่นกัน แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยยอมใคร เขาจึงรีบสาวเท้าและเข้าไปในร้านได้ก่อนชายคนนั้นเพียงเสี้ยววินาที โดยเขาใช้เวลาตัดผมไม่นานนักก็กลับไปขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ หลังจากนั้นในเวลา 08.16 น. ระเบิด “ลิตเติลบอย” ก็ได้สัมผัสกับพื้นของเมืองฮิโรชิม่าซึ่งจุดที่ระเบิดตกอยู่ห่างจากร้านตัดผมที่มัตซึดะเพิ่งใช้บริการไปเพียงแค่ 50 หลาเท่านั้น และลูกไฟขนาดมหึมาก็ได้เผาทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งแรงระเบิดส่งผลไปถึงรถที่มัตซึดะนั่ง ทำให้เขาและคนขับถึงกับกระเด็นออกไปนอกรถเลยทีเดียว แต่โชคดีที่เขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยจุดที่เขาประสบเหตุก็คือที่ตั้งของมาสด้า ซูม-ซูม สเตเดี้ยม และเป็นบ้านของทีมเบสบอล ฮิโรชิม่า โตโย คาร์ป โปรเฟสชันแนล ในปัจจุบันนั่นเอง ขณะที่โรงงาน และสำนักงานใหญ่ของ มาสด้า ซึ่งขณะนั้น มีชื่อว่า “โตโย โคเกียว คอปอเรชั่น” กลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแรงระเบิดดังกล่าว ซึ่งเป็นเพราะภูมิประเทศมีลักษณะเป็นภูเขาล้อม จึงเป็นเกราะกำบังอย่างดีต่อแรงระเบิด รวมถึงอุณหภูมิความร้อนที่มีมากกว่า 10,000 องศา แต่ที่เสียหายนั้นเกิดจากการโจมตีทางอากาศในช่วงปลายสงคราม หลังจากสงครามโลกผ่านพ้นไป จูจิโร่ มัตซึดะ ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริหารอยู่จนถึงปี ค.ศ.1951 ก่อนส่งผ่านไปยังบุตรชายผู้ที่รอดชีวิตจากแรงระเบิดในครั้งนั้นของเขา ที่ชื่อ ทัสซูนิจิ มัตซึดะ ซึ่งอีก 7 ปีต่อมาโรงงานขนาดเล็กภายใต้การนำของทัสซูนิจิ ก็มีศักยภาพเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้างรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้เป็นครั้งแรก“ บริษัทฟอร์ดมอเตอร์ได้เข้าถือหุ้น 25% ในมาสด้าเมื่อ ค.ศ. 1979 ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 33.4% เมื่อมาสด้าประสบปัญหาทางการเงินในปี ค.ศ. 1996 ในปัจจุบันมีรถยนต์หลายรุ่นที่ฟอร์ดและมาสด้าร่วมกันผลิต หรือฟอร์ดนำรถของมาสด้าไปปรับปรุงต่อเป็นรุ่นใกล้เคียง เช่น มาสด้า ทรีบิ้วกับฟอร์ด เอสเคป มาสด้า 323 โปรทีเจกับฟอร์ด เลเซอร์ เป็นต้น มาสด้าถือว่าเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์โรตารีที่นำมาต่อยอดและพัฒนาจนมีชื่อเสียงทั้งด้านรถสปอร์ต และรถแข่งมอเตอร์สปอร์ต และปัจจุบันมาสด้าได้มาพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ของตนเองมาใช้ในชื่อ "Skyactiv"เครือข่ายจำหน่ายรถยนต์ของมาสด้า เครือข่ายจำหน่ายรถยนต์ของมาสด้า. ในอดีต มาสด้าในญี่ปุ่นได้มีการแยกประเภทตัวแทนจำหน่ายและยี่ห้อรถยนต์เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในญี่ปุ่น โดยอมาติ แองฟินิและยูโนส เป็นเครือข่ายและยี่ห้อสำหรับรถยนต์ระดับหรู ส่วนออโต้แซมนั้นเป็นเครือข่ายและยี่ห้อสำหรับรถยนต์ประเภท K-Car แต่ในปี 1996 ทางมาสด้าได้ยกเลิกยี่ห้อรถยนต์เหล่านี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่ยังมีตัวแทนจำหน่ายในชื่อนั้นๆ เหลืออยู่ในญี่ปุ่น แต่ก็มีน้อยมาก ในประเทศไทย เคยนำรถยนต์ในเครือข่ายดังกล่าวมาขายโดย โดยเป็นรถของยี่ห้อออโต้แซม โดยที่นำมาขายคือ ออโต้แซม เรวิว (Autozam Revue) ประมาณช่วงปี 1992 โดยตั้งชื่อในไทยว่า มาสด้า 121 (Mazda 121) แต่ด้วยความที่ไม่พร้อมจะทำตลาดอย่างจริงจัง จึงเลิกขายไปในปี 1995
|
ใครคือผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ มาสด้า
|
{
"answer": [
"จูจิโร่ มัตซึดะ"
],
"answer_begin_position": [
807
],
"answer_end_position": [
822
]
}
|
2,242 | 4,226 |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระราชสมภพ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับพระราชประวัติพระราชสมภพ พระราชประวัติ. พระราชสมภพ. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 (วันที่ 20 เดือน 4 ตามปีจันทรคติ) ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา พระองค์เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก กับพระอัครชายา (หยก) เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ครั้นพระชนมายุครบ 21 พรรษา ก็เสด็จออกผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทลาย 1 พรรษา แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรดังเดิม เมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา พระองค์เสด็จออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรีในตำแหน่ง "หลวงยกกระบัตร" ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ และได้สมรสกับคุณนาค (ภายหลังได้รับการสถาปนาที่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ธิดาในตระกูลเศรษฐีมอญที่มีรกรากอยู่ที่บ้านอัมพวา เมืองสมุทรสงครามรับราชการในสมัยกรุงธนบุรี รับราชการในสมัยกรุงธนบุรี. ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแก่พม่าแล้ว พระยาตาก (สิน) ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี ในขณะนั้นนายทองด้วงมีอายุ 32 ปี ได้เข้าถวายตัวรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตามคำชักชวนของน้องชาย พระมหามนตรี (บุญมา) โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น พระราชริน (พระราชวรินทร์) เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และย้ายมาอาศัยอยู่ที่บริเวณวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จขึ้นไปตีเมืองพิมายซึ่งมีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้าเมืองพิมายอยู่ พระราชรินและพระมหามนตรีได้รับพระราชโองการให้ยกทัพร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย หลังจากการศึกในครั้งนี้ พระราชรินได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา เพื่อเป็นการปูนบำเหน็จที่มีความชอบในการสงครามครั้งนี้ หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพระฝางสำเร็จแล้ว มีพระราชดำริว่าเจ้าพระยาจักรี (หมุด) นั้นมิแกล้วกล้าในการสงคราม ดังนั้น จึงโปรดตั้งพระยาอภัยรณฤทธิ์ขึ้นเป็น พระยายมราช เสนาธิบดีกรมพระนครบาล โดยให้ว่าราชการที่สมุหนายกด้วย เมื่อเจ้าพระยาจักรีแขกถึงแก่กรรมแล้ว พระยาอภัยรณฤทธิ์จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก พร้อมทั้งโปรดให้เป็นแม่ทัพเพื่อไปตีกรุงกัมพูชา โดยสามารถตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองพุทไธเพชร (เมืองบันทายมาศ) ได้ เมื่อสิ้นสงครามสมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดให้นักองค์รามาธิบดีไปครองเมืองพุทไธเพชรให้เป็นใหญ่ในกรุงกัมพูชา และมีพระดำรัสให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาโกษาธิบดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองพุทไธเพชรจนกว่าเหตุการณ์จะสงบราบคาบก่อน เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพทำราชการสงครามกับพม่า เขมร และลาว จนมีความชอบในราชการมากมาย ดังนั้น จึงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก และได้รับพระราชทานเสลี่ยงงากลั้นกลดและมีเครื่องทองต่าง ๆ เป็นเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม เดือนมีนาคม พ.ศ 2324 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าให้พระยาสรรค์แต่งทัพไปปราบกบฎ แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับกบฎและนำทัพเข้ายึดกรุงในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2324 พระยาสรรค์ได้กราบทูลให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสละราชสมบัติและออกผนวช ซึ่งพระองค์ยอมทำตามในวันที่ 10 มีนาคม พระยาสรรค์ครองเมืองได้ราวสองสัปดาห์ก็ถูกปราบโดยทัพของพระยาสุริยอภัย พระยาสุริยอภัยจับภิกษุตากสึกและขังไว้ หลังสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ยกทัพกลับจากกัมพูชามาถึงกรุงธนบุรีและได้สำเร็จโทษบรรดากบฎแล้ว ก็ดำริว่า เหตุแห่งกบฎคือพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน สมเด็จเจ้าพระยาฯได้พิพากษาโทษอดีตพระเจ้าตากดังความ: ต่อมานายสินถูกนำตัวไปประหารด้วยการตัดหัวปราบดาภิเษก ปราบดาภิเษก. ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" หรือเรียกอย่างสังเขปว่า "กรุงเทพมหานคร"สวรรคต สวรรคต. หลังจากการฉลองวัดพระแก้วแล้ว ก็ทรงป่วยด้วยพระโรคชรา พระอาการทรุดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ รวมพระชนมายุได้ 73 พรรษา เสด็จอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี พระบรมศพถูกเชิญลงสู่พระลองเงินประกอบด้วยพระโกศทองใหญ่แล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตั้งเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โคมกลองชนะตามเวลา ดังเช่นงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทุกประการ จนกระทั่ง พ.ศ. 2354 พระเมรุมาศซึ่งสร้างตามแบบพระเมรุมาศสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สร้างแล้วเสร็จ จึงเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ แล้วจักให้มีการสมโภชพระบรมศพเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลังจากนั้น มีการสมโภชพระบรมอัฐิและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อแล้วเสร็จจึงเชิญพระบรมอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญไปลอยบริเวณหน้าวัดปทุมคงคาราชวรวิหารพระราชกรณียกิจ พระราชกรณียกิจ. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร (หรือกรุงรัตนโกสินทร์) เป็นราชธานี และทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีปกครองราชอาณาจักรไทยเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (วันจักรี)ภายหลังการเสด็จเสวยราชย์แล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า "สงครามเก้าทัพ" นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์. พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดทำเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ คือการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้การลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี การสร้างราชธานีใหม่นั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จ.ศ. 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระบรมมหาราชวังสืบทอดราชประเพณี และสร้างพระอารามหลวงในเขตพระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวังเป็นการสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม และศิลปกรรมดั้งเดิมของชาติ ซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้พระราชทานนามแก่ราชธานีใหม่นี้ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์" นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างสิ่งต่าง ๆ อันสำคัญต่อการสถาปนาราชธานีได้แก่ ป้อมปราการ, คลอง ถนนและสะพานต่าง ๆ มากมายการป้องกันราชอาณาจักร การป้องกันราชอาณาจักร. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ ทรงเป็นผู้นำทัพในการทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 7 ครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่- สงครามครั้งที่ 1 พ.ศ. 2327 สงครามเก้าทัพ สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่าส่งคือ สงครามเก้าทัพ โดยในครั้งนั้นพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญาของพม่า มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติยศและชื่อเสียงให้ขจรขจายด้วยการกำราบอาณาจักรสยาม จึงรวบรวมไพร่พลถึง 144,000 คน กรีธาทัพจะเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแบ่งเป็น 9 ทัพใหญ่ เข้าตีจากกรอบทิศทาง ส่วนทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทหารพม่าคือมีเพียง 70,000 คนเศษเท่านั้น ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้- สงครามครั้งที่ 2 พ.ศ. 2329 สงครามท่าดินแดงและสามสบ ในสงครามครั้งนี้ ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด โดยแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ จากศึกครั้งก่อน โดยพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีพม่าที่ค่ายดินแดงพร้อมกับให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ 3 วันค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่าง ๆ ขยายราชอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมร และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเประก์- สงครามครั้งที่ 3 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองลำปางและเมืองป่าซาง หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แก่สยาม ก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 6,000 นาย มาช่วยเหลือและขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จ- สงครามครั้งที่ 4 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองทวาย ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ- สงครามครั้งที่ 5 พ.ศ. 2336 สงครามตีเมืองพม่า ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ- สงครามครั้งที่ 6 พ.ศ. 2340 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากสงครามในครั้งก่อน ๆ พระเจ้าปดุงไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงทรงรับสั่งไพร่พล 55,000 นาย ยกทัพมาอีกครั้งโดยแบ่งเป็น 7 ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 20,000 นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น 40,000 นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้นทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยิน- สงครามครั้งที่ 7 พ.ศ. 2346 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ในครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทยพระพุทธรูปประจำพระองค์ พระพุทธรูปประจำพระองค์. พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรตามวันพระบรมราชสมภพ สร้างราว พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๑๑ สร้างด้วยทองคำ บาตรลงยา สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบรมอัยกาธิราช สูง 29.50 เซนติเมตร ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน พระพุทธรูปประจำรัชกาล เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ภายใต้พระเศวตฉัตร ๓ ชั้น สร้างราว พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔ หน้าตักกว้าง ๘.๓ ซ.ม. สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒.๕ ซ.ม. สูงรวม ๔๖.๕ ซ.ม. ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมานพระปรมาภิไธย พระปรมาภิไธย. เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว" เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏนี้เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น พระองค์จึงเป็น "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 1 ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวาย และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา "มหาราช" ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช"พระราชลัญจกร พระราชลัญจกร. พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 เป็นตรางารูป "ปทุมอุณาโลม" หรือ "มหาอุณาโลม" หมายถึง ตาที่สามของพระศิวะ ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมที่ใช้ตีประทับบนเงินพดด้วงมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต หรือ สังข์เวียนขวา มีลักษณะเป็นม้วนกลมคล้ายลักษณะความหมายของพระนามเดิมว่า "ด้วง" อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2328 ในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระราชสันตติวงศ์พระราชสันตติวงศ์. - พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม - พระราชโอรสและพระราชธิดา เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมรสกับคุณนาค ธิดาของคหบดีใหญ่ในตระกูลบางช้าง (ดู ณ บางช้าง) โดยมีพระราชโอรสสองพระองค์หนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง เมืองราชบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสงคราม) ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ แม้จะมิได้โปรดให้สถาปนายกย่องขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าท่านผู้หญิงนาค เอกภรรยาดั้งเดิมนั้นเองที่อยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี จึงพากันขนานพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา หรือสมเด็จพระพรรษา ตามอย่างการขนานพระนามสมเด็จพระอัครมเหสีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาทรงมีอีกพระนามว่าสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระพันวษา พระอัครมเหสี 10 พระองค์เรียงตามพระประสูติกาลลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ. - พ.ศ. 2279- 20 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชสมภพที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม ทองด้วง- พ.ศ. 2325- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต - ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี - สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี - โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล - โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน ขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง' - องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร - โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม- พ.ศ. 2326- กำหนดระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก - ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอุณรุท - เริ่มงานสร้างพระนคร ขุดคูเมืองทางฝั่งตะวันออก สร้างกำแพงและป้อมปราการรอบพระนคร - สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม- พ.ศ. 2327- โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากหอพระแก้วในพระราชวังเดิม แห่ข้ามมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถในพระราชวังใหม่ พระราชทานนามพระอารามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้า - สงครามเก้าทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าทรงกรีธาทัพเข้ามาตีเมืองไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ รวม 9 ทัพ กองทัพไทยตีกองทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินไปทุกทัพ- พ.ศ. 2328- งานสร้างพระนครและปราสาทราชมณเฑียรสำเร็จเสร็จสิ้น - พระราชทานนามของราชธานีใหม่- พ.ศ. 2329- สงครามรบพม่าที่ท่าดินแดง - ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศรบพม่าท่าดินแดง - โปรตุเกสขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี - สหราชอาณาจักรเช่าเกาะปีนัง จากพระยาไทรบุรี- พ.ศ. 2330- องเชียงสือเขียนหนังสือขอถวายบังคมลา ลอบหนีไปกู้บ้านเมือง - อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานภายในพระราชวังบวรสถานมงคล- พ.ศ. 2331- โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎก ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์- พ.ศ. 2333- องเชียงสือกู้บ้านเมืองสำเร็จและจัดต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาถวาย- พ.ศ. 2337- ทรงอภิเษกให้นักองค์เองเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ไปครองประเทศกัมพูชา- พ.ศ. 2338- โปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทานุมาศ - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาพิชัยราชรถ- พ.ศ. 2339- งานสมโภชพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก- พ.ศ. 2340- ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์- พ.ศ. 2342- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเวชยันตราชรถ- พ.ศ. 2344- ฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดสระเกศ - ฟื้นฟูการเล่นสักวา- พ.ศ. 2345- ราชาภิเษกพระเจ้าเวียดนามยาลอง (องเชียงสือ)- พ.ศ. 2347- โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ชำระกฎหมาย จัดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น- พ.ศ. 2349- ทรงอภิเษกให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชา ครองกรุงกัมพูชา- พ.ศ. 2350- เริ่มสร้างวัดสุทัศน์เทพวราราม- พ.ศ. 2352- ได้ริเริ่มให้มีการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย โปรดเกล้าฯให้มีการสอบพระปริยัติธรรม ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์คือสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) - เสด็จสวรรคตแผนผัง
|
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีพระนามเดิมว่าอะไร
|
{
"answer": [
"ทองด้วง"
],
"answer_begin_position": [
730
],
"answer_end_position": [
737
]
}
|
2,243 | 4,226 |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระราชสมภพ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับพระราชประวัติพระราชสมภพ พระราชประวัติ. พระราชสมภพ. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 (วันที่ 20 เดือน 4 ตามปีจันทรคติ) ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา พระองค์เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก กับพระอัครชายา (หยก) เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ครั้นพระชนมายุครบ 21 พรรษา ก็เสด็จออกผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทลาย 1 พรรษา แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรดังเดิม เมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา พระองค์เสด็จออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรีในตำแหน่ง "หลวงยกกระบัตร" ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ และได้สมรสกับคุณนาค (ภายหลังได้รับการสถาปนาที่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ธิดาในตระกูลเศรษฐีมอญที่มีรกรากอยู่ที่บ้านอัมพวา เมืองสมุทรสงครามรับราชการในสมัยกรุงธนบุรี รับราชการในสมัยกรุงธนบุรี. ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองแก่พม่าแล้ว พระยาตาก (สิน) ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี ในขณะนั้นนายทองด้วงมีอายุ 32 ปี ได้เข้าถวายตัวรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตามคำชักชวนของน้องชาย พระมหามนตรี (บุญมา) โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น พระราชริน (พระราชวรินทร์) เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และย้ายมาอาศัยอยู่ที่บริเวณวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จขึ้นไปตีเมืองพิมายซึ่งมีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้าเมืองพิมายอยู่ พระราชรินและพระมหามนตรีได้รับพระราชโองการให้ยกทัพร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย หลังจากการศึกในครั้งนี้ พระราชรินได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา เพื่อเป็นการปูนบำเหน็จที่มีความชอบในการสงครามครั้งนี้ หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพระฝางสำเร็จแล้ว มีพระราชดำริว่าเจ้าพระยาจักรี (หมุด) นั้นมิแกล้วกล้าในการสงคราม ดังนั้น จึงโปรดตั้งพระยาอภัยรณฤทธิ์ขึ้นเป็น พระยายมราช เสนาธิบดีกรมพระนครบาล โดยให้ว่าราชการที่สมุหนายกด้วย เมื่อเจ้าพระยาจักรีแขกถึงแก่กรรมแล้ว พระยาอภัยรณฤทธิ์จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก พร้อมทั้งโปรดให้เป็นแม่ทัพเพื่อไปตีกรุงกัมพูชา โดยสามารถตีเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองพุทไธเพชร (เมืองบันทายมาศ) ได้ เมื่อสิ้นสงครามสมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดให้นักองค์รามาธิบดีไปครองเมืองพุทไธเพชรให้เป็นใหญ่ในกรุงกัมพูชา และมีพระดำรัสให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาโกษาธิบดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองพุทไธเพชรจนกว่าเหตุการณ์จะสงบราบคาบก่อน เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพทำราชการสงครามกับพม่า เขมร และลาว จนมีความชอบในราชการมากมาย ดังนั้น จึงได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พิฤกมหิมา ทุกนัครระอาเดช นเรศรราชสุริยวงษ์ องค์อรรคบาทมุลิกากร บวรรัตนบรินายก และได้รับพระราชทานเสลี่ยงงากลั้นกลดและมีเครื่องทองต่าง ๆ เป็นเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม เดือนมีนาคม พ.ศ 2324 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าให้พระยาสรรค์แต่งทัพไปปราบกบฎ แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับกบฎและนำทัพเข้ายึดกรุงในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2324 พระยาสรรค์ได้กราบทูลให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสละราชสมบัติและออกผนวช ซึ่งพระองค์ยอมทำตามในวันที่ 10 มีนาคม พระยาสรรค์ครองเมืองได้ราวสองสัปดาห์ก็ถูกปราบโดยทัพของพระยาสุริยอภัย พระยาสุริยอภัยจับภิกษุตากสึกและขังไว้ หลังสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ยกทัพกลับจากกัมพูชามาถึงกรุงธนบุรีและได้สำเร็จโทษบรรดากบฎแล้ว ก็ดำริว่า เหตุแห่งกบฎคือพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน สมเด็จเจ้าพระยาฯได้พิพากษาโทษอดีตพระเจ้าตากดังความ: ต่อมานายสินถูกนำตัวไปประหารด้วยการตัดหัวปราบดาภิเษก ปราบดาภิเษก. ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะที่มีพระชนมายุได้ 46 พรรษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานยังวัดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา 3 วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" หรือเรียกอย่างสังเขปว่า "กรุงเทพมหานคร"สวรรคต สวรรคต. หลังจากการฉลองวัดพระแก้วแล้ว ก็ทรงป่วยด้วยพระโรคชรา พระอาการทรุดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ รวมพระชนมายุได้ 73 พรรษา เสด็จอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี พระบรมศพถูกเชิญลงสู่พระลองเงินประกอบด้วยพระโกศทองใหญ่แล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตั้งเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โคมกลองชนะตามเวลา ดังเช่นงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทุกประการ จนกระทั่ง พ.ศ. 2354 พระเมรุมาศซึ่งสร้างตามแบบพระเมรุมาศสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สร้างแล้วเสร็จ จึงเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ แล้วจักให้มีการสมโภชพระบรมศพเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลังจากนั้น มีการสมโภชพระบรมอัฐิและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อแล้วเสร็จจึงเชิญพระบรมอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญไปลอยบริเวณหน้าวัดปทุมคงคาราชวรวิหารพระราชกรณียกิจ พระราชกรณียกิจ. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร (หรือกรุงรัตนโกสินทร์) เป็นราชธานี และทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีปกครองราชอาณาจักรไทยเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 (วันจักรี)ภายหลังการเสด็จเสวยราชย์แล้ว พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า "สงครามเก้าทัพ" นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์. พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดทำเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ คือการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้การลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี การสร้างราชธานีใหม่นั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จ.ศ. 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระบรมมหาราชวังสืบทอดราชประเพณี และสร้างพระอารามหลวงในเขตพระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวังเป็นการสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม และศิลปกรรมดั้งเดิมของชาติ ซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้พระราชทานนามแก่ราชธานีใหม่นี้ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์" นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างสิ่งต่าง ๆ อันสำคัญต่อการสถาปนาราชธานีได้แก่ ป้อมปราการ, คลอง ถนนและสะพานต่าง ๆ มากมายการป้องกันราชอาณาจักร การป้องกันราชอาณาจักร. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ ทรงเป็นผู้นำทัพในการทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 7 ครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่- สงครามครั้งที่ 1 พ.ศ. 2327 สงครามเก้าทัพ สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่าส่งคือ สงครามเก้าทัพ โดยในครั้งนั้นพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญาของพม่า มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติยศและชื่อเสียงให้ขจรขจายด้วยการกำราบอาณาจักรสยาม จึงรวบรวมไพร่พลถึง 144,000 คน กรีธาทัพจะเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแบ่งเป็น 9 ทัพใหญ่ เข้าตีจากกรอบทิศทาง ส่วนทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทหารพม่าคือมีเพียง 70,000 คนเศษเท่านั้น ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้- สงครามครั้งที่ 2 พ.ศ. 2329 สงครามท่าดินแดงและสามสบ ในสงครามครั้งนี้ ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด โดยแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ จากศึกครั้งก่อน โดยพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีพม่าที่ค่ายดินแดงพร้อมกับให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ 3 วันค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่าง ๆ ขยายราชอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมร และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเประก์- สงครามครั้งที่ 3 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองลำปางและเมืองป่าซาง หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แก่สยาม ก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 6,000 นาย มาช่วยเหลือและขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จ- สงครามครั้งที่ 4 พ.ศ. 2330 สงครามตีเมืองทวาย ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ- สงครามครั้งที่ 5 พ.ศ. 2336 สงครามตีเมืองพม่า ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ- สงครามครั้งที่ 6 พ.ศ. 2340 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากสงครามในครั้งก่อน ๆ พระเจ้าปดุงไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงทรงรับสั่งไพร่พล 55,000 นาย ยกทัพมาอีกครั้งโดยแบ่งเป็น 7 ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 20,000 นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น 40,000 นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้นทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยิน- สงครามครั้งที่ 7 พ.ศ. 2346 สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ในครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทยพระพุทธรูปประจำพระองค์ พระพุทธรูปประจำพระองค์. พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรตามวันพระบรมราชสมภพ สร้างราว พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๑๑ สร้างด้วยทองคำ บาตรลงยา สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบรมอัยกาธิราช สูง 29.50 เซนติเมตร ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน พระพุทธรูปประจำรัชกาล เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ภายใต้พระเศวตฉัตร ๓ ชั้น สร้างราว พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔ หน้าตักกว้าง ๘.๓ ซ.ม. สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒.๕ ซ.ม. สูงรวม ๔๖.๕ ซ.ม. ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมานพระปรมาภิไธย พระปรมาภิไธย. เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว" เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏนี้เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น พระองค์จึงเป็น "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 1 ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวาย และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา "มหาราช" ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช"พระราชลัญจกร พระราชลัญจกร. พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1 เป็นตรางารูป "ปทุมอุณาโลม" หรือ "มหาอุณาโลม" หมายถึง ตาที่สามของพระศิวะ ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมที่ใช้ตีประทับบนเงินพดด้วงมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต หรือ สังข์เวียนขวา มีลักษณะเป็นม้วนกลมคล้ายลักษณะความหมายของพระนามเดิมว่า "ด้วง" อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2328 ในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระราชสันตติวงศ์พระราชสันตติวงศ์. - พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม - พระราชโอรสและพระราชธิดา เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมรสกับคุณนาค ธิดาของคหบดีใหญ่ในตระกูลบางช้าง (ดู ณ บางช้าง) โดยมีพระราชโอรสสองพระองค์หนีราชภัยมาตั้งถิ่นฐานที่แขวงบางช้าง เมืองราชบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสงคราม) ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ แม้จะมิได้โปรดให้สถาปนายกย่องขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าท่านผู้หญิงนาค เอกภรรยาดั้งเดิมนั้นเองที่อยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี จึงพากันขนานพระนามว่า สมเด็จพระพันวษา หรือสมเด็จพระพรรษา ตามอย่างการขนานพระนามสมเด็จพระอัครมเหสีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามสมเด็จพระพันวษาทรงมีอีกพระนามว่าสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น 42 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระพันวษา พระอัครมเหสี 10 พระองค์เรียงตามพระประสูติกาลลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ. - พ.ศ. 2279- 20 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชสมภพที่กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม ทองด้วง- พ.ศ. 2325- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต - ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี - สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี - โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล - โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน ขึ้นเป็นที่ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง' - องเชียงสือ (ญวน) และนักองค์เอง (เขมร) ขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร - โปรดให้อาลักษณ์คัดนิทานอิหร่านราชธรรม- พ.ศ. 2326- กำหนดระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก - ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอุณรุท - เริ่มงานสร้างพระนคร ขุดคูเมืองทางฝั่งตะวันออก สร้างกำแพงและป้อมปราการรอบพระนคร - สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม- พ.ศ. 2327- โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากหอพระแก้วในพระราชวังเดิม แห่ข้ามมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถในพระราชวังใหม่ พระราชทานนามพระอารามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้า - สงครามเก้าทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าทรงกรีธาทัพเข้ามาตีเมืองไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ รวม 9 ทัพ กองทัพไทยตีกองทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินไปทุกทัพ- พ.ศ. 2328- งานสร้างพระนครและปราสาทราชมณเฑียรสำเร็จเสร็จสิ้น - พระราชทานนามของราชธานีใหม่- พ.ศ. 2329- สงครามรบพม่าที่ท่าดินแดง - ทรงพระราชนิพนธ์ นิราศรบพม่าท่าดินแดง - โปรตุเกสขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี - สหราชอาณาจักรเช่าเกาะปีนัง จากพระยาไทรบุรี- พ.ศ. 2330- องเชียงสือเขียนหนังสือขอถวายบังคมลา ลอบหนีไปกู้บ้านเมือง - อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานภายในพระราชวังบวรสถานมงคล- พ.ศ. 2331- โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎก ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์- พ.ศ. 2333- องเชียงสือกู้บ้านเมืองสำเร็จและจัดต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาถวาย- พ.ศ. 2337- ทรงอภิเษกให้นักองค์เองเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ไปครองประเทศกัมพูชา- พ.ศ. 2338- โปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทานุมาศ - โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาพิชัยราชรถ- พ.ศ. 2339- งานสมโภชพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก- พ.ศ. 2340- ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์- พ.ศ. 2342- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเวชยันตราชรถ- พ.ศ. 2344- ฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดสระเกศ - ฟื้นฟูการเล่นสักวา- พ.ศ. 2345- ราชาภิเษกพระเจ้าเวียดนามยาลอง (องเชียงสือ)- พ.ศ. 2347- โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ชำระกฎหมาย จัดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น- พ.ศ. 2349- ทรงอภิเษกให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชา ครองกรุงกัมพูชา- พ.ศ. 2350- เริ่มสร้างวัดสุทัศน์เทพวราราม- พ.ศ. 2352- ได้ริเริ่มให้มีการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย โปรดเกล้าฯให้มีการสอบพระปริยัติธรรม ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์คือสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) - เสด็จสวรรคตแผนผัง
|
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุกี่พรรษา
|
{
"answer": [
"73"
],
"answer_begin_position": [
4985
],
"answer_end_position": [
4987
]
}
|
2,244 | 29,315 |
ข้าวยำ ข้าวยำ หรือ ข้าวยำบูดู เป็นอาหารไทยภาคใต้ โดยถือกันว่าเป็นอาหารที่ครบโภชนาการมากที่สุด และมีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างโดยเป็นอาหารจานเดียวที่มีน้ำปรุงราดลักษณะการทำ ลักษณะการทำ. ข้าวยำทำจากข้าวที่เรารับประทานกันประจำวันนี้เอง แต่เพิ่มการปรุงแต่งบ้างเล็กน้อย เพื่อให้ข้าวเหล่านั้นมีสีสันและรสชาติที่น่ารับประทานมากขึ้น ในข้าวยำจะมีผักรับประทานกับข้าวยำเรียกผักหมวด ผักที่นิยมนำมาทำเป็นผักหมวด ได้แก่ ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ตะไคร้ กระถิน ยอดมะม่วงหิมพานต์ ผักบุ้ง ใบยอ ถั่วพู และพาโหม ราดด้วยน้ำบูดู ชาวไทยมุสลิมนิยมนำสีจากพืชมาหุงกับข้าวให้ได้ข้าวสีต่างๆ เรียกว่าข้าวยำห้าสี (นาซิกราบู ลิมอจายอ) ส่วนข้าวยำทางจังหวัดสตูลจะมีเอกลักษณ์เฉพาะคือไม่ใส่น้ำบูดู แต่จะนำข้าวมาคลุกกับเครื่องแกงและผัก โดยเครื่องปรุงหลักคือข่า เรียกว่าข้าวยำหัวข่า (นาซิกราบู กรูวะห์) นอกจากนี้ยังมีข้าวยำในประเทศเกาหลีที่มีลักษณะการทำและปรุงรสใกล้เคียงกับข้าวยำในบ้านเราอีกด้วยคุณค่าทางโภชนาการ คุณค่าทางโภชนาการ. ในข้าวยำจานหนึ่งนั้น มีสารอาหารหลายอย่าง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินซี และวิตามินเอ คุณค่าทางโภชนาการจากผักหมวดพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งลดการก่อตัวของมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีฟลาโวนอยด์ วิตามินอีรายการอ้างอิง
|
ข้าวยำบูดู เป็นอาหารไทยจากภาคใด
|
{
"answer": [
"ใต้"
],
"answer_begin_position": [
124
],
"answer_end_position": [
127
]
}
|
2,245 | 17,187 |
ประเทศเดนมาร์ก เดนมาร์ก (; แดนมาก) () หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก () เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิก มีแผ่นดินหลักตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ ทางทิศเหนือของประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางบกเพียงประเทศเดียว ทางทิศใต้ของประเทศนอร์เวย์ และตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสวีเดน มีพรมแดนจรดทะเลเหนือและทะเลบอลติก เดนมาร์กมีดินแดนนอกชายฝั่งห่างไกลออกไปสองแห่ง คือหมู่เกาะแฟโรและกรีนแลนด์ ซึ่งแต่ละแห่งมีอำนาจปกครองตนเอง เดนมาร์กเป็นประเทศองค์ประกอบที่มีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป แต่ยังไม่เข้าร่วมใช้สกุลเงินยูโร เดนมาร์กเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เดนมาร์กแต่เดิมเป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อย พื้นที่ตลอดชายฝั่งเป็นสันทรายกว้างใหญ่ พื้นที่ส่วนอื่นเกิดจากธารน้ำแข็งและหนองน้ำ เดนมาร์กตั้งอยู่ระหว่างทะเลบอลติกและทะเลเหนือ ล้อมรอบด้วยพื้นน้ำเกือบทั้งหมด ภูมิประเทศประกอบด้วยคาบสมุทร Jutland (Jylland) และเกาะต่างๆอีก 406 เกาะ ในจำนวนนี้ 76 เกาะมีผู้อยู่อาศัย เกาะใหญ่ที่สุดคือ Zealand (Sjælland), Funen (Fyn), Lolland และ Bornholm เกาะ Bornholm จะอยู่ในทะเลบอลติกทางด้านตะวันออกของประเทศ เกาะอื่นๆส่วนใหญ่จะเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก ที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เกาะขนาดใหญ่จะเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน สะพาน Øresund เชื่อมต่อเกาะ Zealand กับประเทศสวีเดน สะพาน Great Belt เชื่อมต่อเกาะ Funen กับเกาะ Zealand และสะพาน Little Belt เชื่อมต่อคาบสมุทร Jutland กับเกาะ Funen เรือเฟอร์รี่และเครื่องบินจะใช้เพื่อการเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ เมืองหลวงหลักคือโคเปนเฮเกน (อยู่บนเกาะ Zealand) Århus, Aalborg, Esbjerg (อยู่บนคาบสมุทร Jutland) และ Odense (อยู่บนเกาะ Funen) พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นที่ราบไม่มีภูเขา นอกจากหมู่เกาะแฟโร และเกาะกรีนแลนด์ซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลจะมีทั้งที่ราบสูง และภูเขาสูง ภูมิประเทศมีที่ราบสูงเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลเพียง 31 เมตร จุดที่อยู่สูงที่สุดตามธรรมชาติคือเนินเขา Møllehøj อยู่ที่ความสูง 170.86 เมตร เนินเขาอื่นๆในบริเวณ Århus ตะวันตกเฉียงใต้ คือ Yding Skovhøj ที่ 170.77 เมตร และ Ejer Bavnehøj ที่ 170.35 เมตร ขนาดผืนน้ำบนผืนดินคือ 210 ตารางกิโลเมตร ในเดนมาร์กตะวันออก และ 490 ตารางกิโลเมตร ในเดนมาร์กตะวันตก ช่องแคบออร์ซึนด์ (Oresund) ทางตะวันออกของประเทศ เป็นช่องแคบระหว่างเกาะ Zealand และประเทศสวีเดน เดนมาร์กมีอำนาจมากในการควบคุมทางผ่านช่องแคบนี้ สามารถเรียกเก็บภาษีจากผู้ผ่านเข้าออกได้ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ประวัติศาสตร์ของเดนมาร์กเริ่มตั้งแต่ที่ชนชาติเดนส์(Denes) อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจากสวีเดน ในปลายศตวรรษที่ 9 หัวหน้านักรบไวกิ้งชื่อว่า Hadregon รบจนได้ชัยชนะเหนือคาบสมุทรจัตแลนด์ จากนั้นราชวงศ์ของเดนมาร์กได้เริ่มต้นขึ้นในต้นศตวรรษที่ 10 โดย บุตรชายของ Hadregon ขึ้นครองราชย์มีนามว่า กอร์ม เดอะ โอลด์ ในยุคต่อมา คือยุคของบุตรชายของ กอร์ม เดอะ โอลด์ ซึ่งมีชือว่า ฮาราลด์ บลูทูธ รบได้ชัยชนะขยายเขตแดนจนครอบคลุมพื้นที่เดนมาร์กในปัจจุบัน และพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในแถบทะเลบอลติก ตลอดจนอังกฤษ และในยุคนี้เองที่เดนมาร์กเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1528 และได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2392 ซึ่งเป็นปีที่รัฐธรรมนูญ ฉบับแรกได้ถูกร่างขึ้น ราชอาณาจักรเดนมาร์ก เคยครอบคลุมถึงสวีเดนและนอร์เวย์ จนกระทั่งสวีเดนแยกตัวออกไป เมื่อปี พ.ศ. 2066 และเดนมาร์กสูญเสียนอร์เวย์ให้แก่สวีเดน ภายใต้สนธิสัญญา Kiel เมื่อปี พ.ศ. 2357 ภายหลังสงครามนโปเลียนยุติลง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2457 – 2461 เดนมาร์กได้ดำเนินนโยบายเป็นกลาง และเมื่อปี พ.ศ. 2482 ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์ก ได้ประกาศความเป็นกลาง อย่างไรก็ดี เดนมาร์กถูกกองทัพเยอรมัน เข้ายึดครอง เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2483 ซี่งนำไปสู่การรวมตัว ของขบวนการต่อต้าน ของประชาชนชาวเดนมาร์ก โดยตลอดช่วงสงคราม ฝ่ายเยอรมันได้ตอบโต้ ด้วยการเข้าปกครองเดนมาร์กโดยตรง จนกระทั่งวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เดนมาร์ก ถูกปลดปล่อย โดยกองกำลังพันธมิตร และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์กได้รับรอง ความเป็นเอกราชของไอซ์แลนด์ ซึ่งได้ประกาศตัวเป็นเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2487 และต่อมาเดนมาร์ก ได้ให้สิทธิในการปกครองตนเอง แก่หมู่เกาะแฟโร และเกาะกรีนแลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2491 และปี พ.ศ. 2522 ตามลำดับ จากนั้นในปี พ.ศ. 2496 รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ได้รับการแก้ไข ซึ่งส่งผลให้ มีบทบัญญัติใหม่ ที่สำคัญ ๆ ในเรื่องต่าง ๆ อันได้แก่ ให้รัชทายาทสตรี มีสิทธิขึ้นครองราชสมบัติ กำหนดให้รัฐสภา มีเพียงสภาเดียว และให้ประชาชนชาวเดนมาร์ก ชายและหญิง ที่มีอายุครบ 18 ปี บริบูรณ์ มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ ปัจจุบัน เดนมาร์กเป็นราชอาณาจักร โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ คือ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอ ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2515 และทรงเป็นประมุขแห่งเดนมาร์ก ลำดับที่ 52การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เดนมาร์กมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถและเป็นพระประมุขของราชอาณาจักรเดนมาร์ก รัฐสภาเดนมาร์ก (The Forketing) เป็นระบบรัฐสภาเดียว มีสมาชิกสภาจำนวน 179 คน มาจากการเลือกตั้ง (รวมผู้แทนจากหมู่เกาะแฟโร 2 คน และกรีนแลนด์ 2 คน) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ และนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการยุบสภา ระบบการเมืองของเดนมาร์กเป็นการเมืองแบบหลายพรรคการเมือง ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลเดนมาร์กมักจะต้องบริหารงานได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนน้อยในสภาอย่างน้อยหนึ่งพรรคเสมอ จึงหมายความว่าการเมืองของเดนมาร์กนั้นเป็นการเมืองแบบใช้พรรคร่วมนั่นเอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) เป็นต้นมา ไม่มีพรรคการเมืองของเดนมาร์กพรรคใดที่สามารถครอบครองเสียงข้างมากในสภาเพียงพรรคเดียวได้เลยการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. การแบ่งเขตการปกครองแบบเก่าของเดนมาร์ก มีทั้งหมด 13 มณฑล (270 เทศบาลนคร) และอีก 3 เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมลฑลใด พ.ศ. 2513 - พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 1970 - ค.ศ. 2006) ก่อนการปฏิรูปเขตการปกครอง พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)1. โคเปนเฮเกน (อังกฤษ:Copenhagen เดนมาร์ก:København, เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมฑลใด) 2. Frederiksberg (เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมฑลใด) 3. Copenhagen County (Københavns Amt) 4. Frederiksborg 5. Roskilde 6. West Zealand (Vestsjælland) 7. Storstrøm 8. Funen (Fyn) 9. South Jutland (Sønderjylland) 10. Ribe 11. Vejle 12. Ringkjøbing 13. Viborg 14. North Jutland (Nordjylland) 15. Aarhus (Århus) 16. Bornholm (เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมณฑลใด)กองทัพกองทัพบกกองทัพอากาศกองทัพเรือกองกำลังกึ่งทหารประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. ในปีพ.ศ. 2550 เดนมาร์กมีประชากรราว 5.4 ล้านคน ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเดนมาร์ก ร่วมกับชาวพื้นเมืองของกรีนแลนด์และแฟโร ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางการของประเทศ โดยใช้ร่วมกับภาษากรีนแลนด์และภาษาแฟโรในกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโรตามลำดับ ภาษาเยอรมันเป็นภาษาชนกลุ่มน้อยที่ได้รับความคุ้มครอง ใช้ในพื้นที่ติดชายแดน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่สำคัญ ร้อยละ 83 ของประชากรเป็นสมาชิกของคริสตจักรเอวาเจลิคัลลูเธอรันแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เดนมาร์กคือหนึ่งในประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม นอกจากนี้ยังเป็นรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่ที่มีสวัสดิการแก่ประชาชนมากมาย อีกทั้งยังติดอันดับประเทศที่มีรายได้เข้าประเทศในอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย ประสิทธิภาพทางการตลาดของเดนมาร์กก็อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้มาตรฐานการอยู่อาศัยของเดนมาร์กก็อยู่สูงกว่ามาตรฐานเฉลี่ยของยุโรป รวมทั้งมีการค้าขายเสรีจำนวนมากภายในประเทศ เดนมาร์กมีตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อประชากรสูงกว่าประเทศในแถบยุโรปทั่วไป และสูงกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณ 15 – 20 เปอร์เซ็น ทั้งนี้ยังเป็นประเทศที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงตามรายงานของการประชุมเศรษฐกิจโลกประจำปี พ.ศ. 2551 (World Economic Forum 2008), ไอเอ็มดี (IMD) และหนังสือพิมพ์ ดิอีโคโนมิสต์ (The Economist) และเดนมาร์กก็ยังเป็นสมาชิกของธนาคารโลก ตลาดแรงงานของเดนมาร์กเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาได้มากที่สุดในยุโรปตามการจัดลำดับของโออีซีดี (OECD) ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายสวัสดิการของรัฐที่ให้ตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดแรงงานในประเทศสามารถว่าจ้าง, ไล่ออก, หรืองานใหม่ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แรงงานในประเทศไม่ต้องกังวลเรื่องตกงาน และยังเป็นประเทศที่สามรถขายหรือหาซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นผลมาจากลัทธิเสรีนิยมที่เปิดกว้างทางธุรกิจมากมายในยุคทศวรรษที่ 1990 สกุลเงินของเดนมาร์กคือโครนเดนมาร์ก ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของเดนมาร์กถือว่ามั่นคงโดยอยู่ราวๆ 7.45 โครนต่อ 1 ยูโร และเมื่อเร็วๆ นี้อัตราแลกเปลี่ยนของโครนเดนมาร์กกับดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 5.75 โครนต่อ 1 ดอลลาร์ สินค้าส่งออกมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป ส่วนสินค้าส่งออกที่สำคัญคือ อาหารสัตว์, ผลิตภัณฑ์เคมี, ผลิตภัณฑ์จากนม, ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า, ปลา, เฟอร์นิเจอร์, หนังสัตว์, เครื่องจักร, เนื้อสัตว์, น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และน้ำตาล ส่วนขนาดของเศรษฐกิจของเดนมาร์ก ใหญ่เป็นอันดับที่ 11 จาก 162 ประเทศ ถูกจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ เดอะ วอลสตรีท เจอร์นัลการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาของเดนมาร์กเป็นระบบที่จะจัดหาสถานศึกษาให้นักศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา, มัธยมศึกษา หรือในระดับอุดมศึกษา ซึ่งนักศึกษาไม่จำเป็นต้องหาสถานศึกษาเอง ส่วนเกณฑ์ระยะเวลาในการศึกษานั้น เดนมาร์กกำหนดไว้อย่างต่ำ 10 ปี ทั้งนี้รวมถึงโรงเรียนเอกชนหรือการศึกษาที่บ้านด้วย 99% ของนักเรียนมีการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา 86% มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 46% มุ่งไปยังการศึกษาในระดับที่สูงกว่า ซึ่งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทุกแห่งในเดนมาร์กล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย เดนมาร์กมีโอกาสทางการศึกษามากมายรวมทั้งมีการศึกษาหลายช่องทางให้ศึกษาซึ่งรวมถึงโรงเรียนเตรียมเข้าอุดมศึกษา (โรงเรียนสอนในระดับที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษาแต่ต่ำกว่าระดับอุดมศึกษา) ในเดนมาร์กมีมหาวิทยาลัยมากมาย แห่งที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดคือ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1479การคมนาคม การคมนาคม. ทางด้านการคมนาคมของเดนมาร์กที่โดดเด่นที่สุดก็คือ สะพานโอเรซอนด์ ที่เชื่อมทางหลวงยุโรปสายอี 20 ระหว่างโคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก ไปยัง มาลโม, สวีเดน โดยเป็นสะพาน – อุโมงค์ มีทั้งทางสำหรับรถยนต์และทางรถไฟ และระบบสะพานเกรตเบลต์ที่เชื่อมระหว่างเกาะซีแลนด์และเกาะฟูเนน ทางทะเลก็มีท่าเรือโคเปเฮนเกน มาลโม ซึ่งก่อนการสร้างสะพานโอเรซอนด์ ท่าเรือแห่งนี้ใช้เป็นเส้นทางหลักในการไปมาระหว่างสวีเดนและเดนมาร์ก ซึ่งปัจจุบันนี้ท่าเรือข้ามฝากระหว่างสองเมืองนี้ได้ลดความสำคัญลงไปแล้วเป็นผลมาจากการสร้างสะพานโอเรซอนด์นั่นเอง ส่วนการคมนาคมทางรางของเดนมาร์กดำเนินการโดยการรถไฟแห่งเดนมาร์ก (Danish State Railways) สำหรับขบวนรถไฟโดยสาร ส่วนการเดินรถไฟบรรทุกสินค้าดำเนินการโดยบริษัทแรลลิออน (Railion) การควบคุมการจราจรทางรถไฟทั้งระบบควบคุมโดย บานด์ แดนมาร์ก นอกจากนี้ในกรุงโคเปนเฮเกนเองก็มีระบบรถไฟฟ้าใต้ดินขนาดเล็กให้บริการและยังมีบริการรถไฟชานเมืองด้วย สายการบินแห่งชาติของเดนมาร์กคือ สายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ซิสเต็ม ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติร่วมกันของสามประเทศคือ นอร์เวย์, สวีเดน และเดนมาร์ก สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือสนามบินโคเปนเฮเกน และยังเป็นสนามบินหลักที่ใหญ่ที่สุดของสายการบินแห่งชาติ ทางทะเลมีบริการเรือเฟอร์รี่ระหว่างเกาะแฟโรกับกรุงโคเปนเฮเกนและประเทศเพื่อบ้านเช่น สวีเดน, นอร์เวย์ และเยอรมนี เป็นต้น ส่วนรถยนต์ของเดนมาร์กจากที่มีรถจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) อยู่ทั้งหมด 1,389,547 คัน เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,020,013 คัน ใน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) แต่แม้กระนั้นภาษีของการจดทะเบียนรถยนต์ก็ยังคงสูงลิ่วอยู่เช่นเดิมที่ประมาณ 180% และมาตรฐานรถยนต์ของเดนมาร์กได้รับการยอมรับว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นที่รู้จักทั่วไปนะฐานะนักแต่งนิทานอันโด่งดังของเดนมาร์ก จากนิทานหลายๆ เรื่องของเขา เช่น พระราชากับชุดล่องหน (The Emperor’s New Clothes), เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid), และ ลูกเป็ดขี้เหร่ (The Ugly Duckling) ฯลฯ จากนี้ยังมี นักเขียนรางวัลโนเบล คาเรน บลิกเซน, เฮนริก พอนทอปพิแดน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล นีลส์ บอร์ นักวาดการ์ตูนล้อเลียน วิกเตอร์ บอร์จ และนักปรัชญา ซอร์เรน เคียร์เกการ์ด ทั้งหมดล้วนสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและประเทศเดนมาร์กในระดับต่างประเทศทั้งสิ้น ในกรุงโคเปนเฮเกนล้วนมีสถานที่ที่สวยงามและน่าสนใจมากมายเช่น สวนทิโวลี, พระราชวังอาเมเลียนเบิร์ก (ที่พำนักของพระราชวงศ์เดนมาร์ก), พระราชวังคริสเตียนเบิร์ก, มหาวิหารโคเปนเฮเกน, ปราสาทโรเซนเบิร์ก, โรงละครโอเปร่า, โบสถ์เฟดเดอร์ริก, พิพิธภัณฑ์โทรวาร์ลด์เซน และรูปแกะสลักนางเงือก ฯลฯ ส่วนนครที่ใหญ่อันดับสองของประเทศคือ เมืองอาร์เธอร์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยไวกิง และเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศด้วย ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคยุโรปเหนือ เดนมาร์กยังเป็นประเทศผู้นำทางด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหมือนกับประเทศในแถบสแกนดิเนเวียอื่นๆ เช่นการออกกฎหมายให้สื่อลามกเป็นสิ่งถูกกฎหมายหรือการออกกฎหมายให้ผู้รักร่วมเพศสามารถสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมของเดนมาร์กที่เป็นที่รู้จักในระยะแรกคือ วรรณกรรมประเภทปริศนาและวรรณกรรมพื้นบ้านจากยุคคริสต์ศตวรรษที่ 10 – 11 ส่วนแซกโซ แกรมาทิซัส เป็นผู้ที่ซึ่งได้รับการเคารพนับถือในฐานะนักประพันธ์คนแรกของเดนมาร์ก เขาทำงานให้กับบิชอบที่แอบซาลอนตามบันทึกประติศาสตร์ของเดนมาร์ก ซึ่งน้อยมากที่จะมีผู้รู้จักนักประพันธ์คนอื่นจากยุคกลางซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีละครตลกที่นิยมกันจากช่วงยุคเรืองปัญญาของ ลุดวิก ฮอลเบิร์ก และยังมีนักเขียนและนักประพันธ์ที่สำคัญของโลกจากเดนมาร์ก เช่น ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน จากนิทานของเขาและยังมี ซอร์เรน เคียร์เกการ์ด ผู้ที่ยึดถือในหลักอัตถิภาวนิยม ซึ่งผลงานการประพันธ์ของเขาหลายละชิ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ส่งผลกระเทือนไปยังสังคมของเดนมาร์ก และยังมีนักเขียนชื่อดังอีกมากมายเช่น จอร์จ บลันด์ และเฮนริก พอนทอปพิแดน เป็นต้น ทั้งคู่ล้วนได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมด้วยกันทั้งคู่ภาษา ภาษา. ชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่ใช้ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาแม่ ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกเหนือ (หรือภาษาสแกนดิเนเวีย) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มภาษาเจอร์แมนิก สาขาของภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางการภาษาเดียวของเดนมาร์ก และเป็นภาษาทางการหนึ่งในสองภาษาของเกาะกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโร ซึ่งมีฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก นอกจากนี้ภาษาเดนมาร์กยังพูดกันในหมู่ชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี และในประเทศไอซ์แลนด์ ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง (รองจากภาษาอังกฤษ) ที่มีการเรียนการสอนกันในสถาบันการศึกษาแพร่หลายที่สุดดนตรี ดนตรี. เดนมาร์กเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมมาช้านาน รวมถึงดนตรีด้วยเช่นกัน โดยที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเดนมาร์กเองมีความหลายหลายทางด้านดนตรี วัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างออกไปในแต่ละแห่ง ซึ่งเกาะโพ้นทะเลของเดนมาร์กเองก็มีวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งวงดุริยางค์ออร์เคสตร้าหลวงของเดนมาร์กเป็นวงออร์เคสตร้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คาร์ล นีลเซน และนักดนตรีซิมโฟนี่ออร์เคสตร้าอีก 6 คน เป็นวงดนตรีแรกที่สร้างชื่อเสียงทางด้านดนตรีในระดับต่างประเทศให้กับประเทศจากการประพันธ์เพลงของคาร์ล และในขณะที่อุตสาหกรรมการบันทึกเสียงแผ่ขยายออกไปทั่วโลก วงการเพลงในเดนมาร์กก็ปั้นนักดนตรีป็อปสตาร์มากมายและปั้นนักดนตรีจากหลากหลายแขนงด้วยเช่นกัน แต่น้อยคนนักที่จะโด่งดังไปในระดับนานาชาติได้เท่ากับ ลาร์ อูลริช พร้อมด้วย วิกฟิลด์กับวงดนตรีป็อปยุคทศวรรษที่ 90 วงอควาที่โด่งดังไปทั่วโลกกีฬา กีฬา. กีฬาที่ได้รับความนิยมในเดนมาร์กได้แก่ ฟุตบอลและล่องเรือ หรือกีฬาทางน้ำอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ส่วนกีฬาในร่มก็ได้แก่ แบดมินตัน, แฮนบอล, กอล์ฟในร่ม และยิมนาสติก นอกจากนี้ในเดนมาร์กยังมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบกีฬาที่ใช้ความเร็วซึ่งก็ประสมความสำเร็จในหลายรายการแข่งขัน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือจากการแข่งขัน 24 ชั่วโมง รายการ 24 Hours of Le Mans ในฝรั่งเศส ที่ซึ่ง ทอมคริสเตนเซน ชนะเลิศการในแข่งขัน 8 สมัย ส่วนนักกีฬาที่มีชื่อเสียงอื่นๆ เช่น คาโรไลน์ วอซเนียคกี นักเทนนิสดาวรุ่ง, ไมเคิล รัสมุสเซน นักปั่นจักรยาน, ไมเคิล และ ไบรอัน เลาดรู๊ป, ปีเตอร์ ชไมเคิล, และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของอดีตนักชกแชมป์ WBA & WBC รุ่นซุเปอร์มิดเดิลเวดท์ มิกเกล เคสส์เลอร์ รวมถึง นักกอล์ฟยูโรเปียนทัวร์ ทอมัส บจ์อน ที่ชนะหลายรายการแข่งขันในเวทีโลกอาหาร อาหาร. วัฒนธรรมอาหารของเดนมาร์กส่วนมากคล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ซึ่งบางส่วนรับวัฒนธรรมการกินมาจากเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนี โดยส่วนมากประกอบขึ้นจากปลา, เนื้อ ,อาหารจากนม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งจะรวมเบียร์เข้าไปในบางมื้อเช่น มื้อเย็นด้วย มักรับประทานอาหารมีประโยชน์
|
ภาษาใดเป็นภาษาทางการของประเทศเดนมาร์ก
|
{
"answer": [
"เดนมาร์ก"
],
"answer_begin_position": [
6286
],
"answer_end_position": [
6294
]
}
|
2,246 | 17,187 |
ประเทศเดนมาร์ก เดนมาร์ก (; แดนมาก) () หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก () เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิก มีแผ่นดินหลักตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ ทางทิศเหนือของประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางบกเพียงประเทศเดียว ทางทิศใต้ของประเทศนอร์เวย์ และตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสวีเดน มีพรมแดนจรดทะเลเหนือและทะเลบอลติก เดนมาร์กมีดินแดนนอกชายฝั่งห่างไกลออกไปสองแห่ง คือหมู่เกาะแฟโรและกรีนแลนด์ ซึ่งแต่ละแห่งมีอำนาจปกครองตนเอง เดนมาร์กเป็นประเทศองค์ประกอบที่มีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป แต่ยังไม่เข้าร่วมใช้สกุลเงินยูโร เดนมาร์กเป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. เดนมาร์กแต่เดิมเป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อย พื้นที่ตลอดชายฝั่งเป็นสันทรายกว้างใหญ่ พื้นที่ส่วนอื่นเกิดจากธารน้ำแข็งและหนองน้ำ เดนมาร์กตั้งอยู่ระหว่างทะเลบอลติกและทะเลเหนือ ล้อมรอบด้วยพื้นน้ำเกือบทั้งหมด ภูมิประเทศประกอบด้วยคาบสมุทร Jutland (Jylland) และเกาะต่างๆอีก 406 เกาะ ในจำนวนนี้ 76 เกาะมีผู้อยู่อาศัย เกาะใหญ่ที่สุดคือ Zealand (Sjælland), Funen (Fyn), Lolland และ Bornholm เกาะ Bornholm จะอยู่ในทะเลบอลติกทางด้านตะวันออกของประเทศ เกาะอื่นๆส่วนใหญ่จะเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก ที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เกาะขนาดใหญ่จะเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน สะพาน Øresund เชื่อมต่อเกาะ Zealand กับประเทศสวีเดน สะพาน Great Belt เชื่อมต่อเกาะ Funen กับเกาะ Zealand และสะพาน Little Belt เชื่อมต่อคาบสมุทร Jutland กับเกาะ Funen เรือเฟอร์รี่และเครื่องบินจะใช้เพื่อการเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ เมืองหลวงหลักคือโคเปนเฮเกน (อยู่บนเกาะ Zealand) Århus, Aalborg, Esbjerg (อยู่บนคาบสมุทร Jutland) และ Odense (อยู่บนเกาะ Funen) พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นที่ราบไม่มีภูเขา นอกจากหมู่เกาะแฟโร และเกาะกรีนแลนด์ซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลจะมีทั้งที่ราบสูง และภูเขาสูง ภูมิประเทศมีที่ราบสูงเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลเพียง 31 เมตร จุดที่อยู่สูงที่สุดตามธรรมชาติคือเนินเขา Møllehøj อยู่ที่ความสูง 170.86 เมตร เนินเขาอื่นๆในบริเวณ Århus ตะวันตกเฉียงใต้ คือ Yding Skovhøj ที่ 170.77 เมตร และ Ejer Bavnehøj ที่ 170.35 เมตร ขนาดผืนน้ำบนผืนดินคือ 210 ตารางกิโลเมตร ในเดนมาร์กตะวันออก และ 490 ตารางกิโลเมตร ในเดนมาร์กตะวันตก ช่องแคบออร์ซึนด์ (Oresund) ทางตะวันออกของประเทศ เป็นช่องแคบระหว่างเกาะ Zealand และประเทศสวีเดน เดนมาร์กมีอำนาจมากในการควบคุมทางผ่านช่องแคบนี้ สามารถเรียกเก็บภาษีจากผู้ผ่านเข้าออกได้ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ประวัติศาสตร์ของเดนมาร์กเริ่มตั้งแต่ที่ชนชาติเดนส์(Denes) อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจากสวีเดน ในปลายศตวรรษที่ 9 หัวหน้านักรบไวกิ้งชื่อว่า Hadregon รบจนได้ชัยชนะเหนือคาบสมุทรจัตแลนด์ จากนั้นราชวงศ์ของเดนมาร์กได้เริ่มต้นขึ้นในต้นศตวรรษที่ 10 โดย บุตรชายของ Hadregon ขึ้นครองราชย์มีนามว่า กอร์ม เดอะ โอลด์ ในยุคต่อมา คือยุคของบุตรชายของ กอร์ม เดอะ โอลด์ ซึ่งมีชือว่า ฮาราลด์ บลูทูธ รบได้ชัยชนะขยายเขตแดนจนครอบคลุมพื้นที่เดนมาร์กในปัจจุบัน และพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในแถบทะเลบอลติก ตลอดจนอังกฤษ และในยุคนี้เองที่เดนมาร์กเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1528 และได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2392 ซึ่งเป็นปีที่รัฐธรรมนูญ ฉบับแรกได้ถูกร่างขึ้น ราชอาณาจักรเดนมาร์ก เคยครอบคลุมถึงสวีเดนและนอร์เวย์ จนกระทั่งสวีเดนแยกตัวออกไป เมื่อปี พ.ศ. 2066 และเดนมาร์กสูญเสียนอร์เวย์ให้แก่สวีเดน ภายใต้สนธิสัญญา Kiel เมื่อปี พ.ศ. 2357 ภายหลังสงครามนโปเลียนยุติลง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2457 – 2461 เดนมาร์กได้ดำเนินนโยบายเป็นกลาง และเมื่อปี พ.ศ. 2482 ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์ก ได้ประกาศความเป็นกลาง อย่างไรก็ดี เดนมาร์กถูกกองทัพเยอรมัน เข้ายึดครอง เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2483 ซี่งนำไปสู่การรวมตัว ของขบวนการต่อต้าน ของประชาชนชาวเดนมาร์ก โดยตลอดช่วงสงคราม ฝ่ายเยอรมันได้ตอบโต้ ด้วยการเข้าปกครองเดนมาร์กโดยตรง จนกระทั่งวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เดนมาร์ก ถูกปลดปล่อย โดยกองกำลังพันธมิตร และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์กได้รับรอง ความเป็นเอกราชของไอซ์แลนด์ ซึ่งได้ประกาศตัวเป็นเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2487 และต่อมาเดนมาร์ก ได้ให้สิทธิในการปกครองตนเอง แก่หมู่เกาะแฟโร และเกาะกรีนแลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2491 และปี พ.ศ. 2522 ตามลำดับ จากนั้นในปี พ.ศ. 2496 รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ได้รับการแก้ไข ซึ่งส่งผลให้ มีบทบัญญัติใหม่ ที่สำคัญ ๆ ในเรื่องต่าง ๆ อันได้แก่ ให้รัชทายาทสตรี มีสิทธิขึ้นครองราชสมบัติ กำหนดให้รัฐสภา มีเพียงสภาเดียว และให้ประชาชนชาวเดนมาร์ก ชายและหญิง ที่มีอายุครบ 18 ปี บริบูรณ์ มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ ปัจจุบัน เดนมาร์กเป็นราชอาณาจักร โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ คือ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอ ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2515 และทรงเป็นประมุขแห่งเดนมาร์ก ลำดับที่ 52การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เดนมาร์กมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาเกรเธที่ 2 ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถและเป็นพระประมุขของราชอาณาจักรเดนมาร์ก รัฐสภาเดนมาร์ก (The Forketing) เป็นระบบรัฐสภาเดียว มีสมาชิกสภาจำนวน 179 คน มาจากการเลือกตั้ง (รวมผู้แทนจากหมู่เกาะแฟโร 2 คน และกรีนแลนด์ 2 คน) มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ และนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการยุบสภา ระบบการเมืองของเดนมาร์กเป็นการเมืองแบบหลายพรรคการเมือง ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลเดนมาร์กมักจะต้องบริหารงานได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนน้อยในสภาอย่างน้อยหนึ่งพรรคเสมอ จึงหมายความว่าการเมืองของเดนมาร์กนั้นเป็นการเมืองแบบใช้พรรคร่วมนั่นเอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) เป็นต้นมา ไม่มีพรรคการเมืองของเดนมาร์กพรรคใดที่สามารถครอบครองเสียงข้างมากในสภาเพียงพรรคเดียวได้เลยการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. การแบ่งเขตการปกครองแบบเก่าของเดนมาร์ก มีทั้งหมด 13 มณฑล (270 เทศบาลนคร) และอีก 3 เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมลฑลใด พ.ศ. 2513 - พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 1970 - ค.ศ. 2006) ก่อนการปฏิรูปเขตการปกครอง พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)1. โคเปนเฮเกน (อังกฤษ:Copenhagen เดนมาร์ก:København, เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมฑลใด) 2. Frederiksberg (เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมฑลใด) 3. Copenhagen County (Københavns Amt) 4. Frederiksborg 5. Roskilde 6. West Zealand (Vestsjælland) 7. Storstrøm 8. Funen (Fyn) 9. South Jutland (Sønderjylland) 10. Ribe 11. Vejle 12. Ringkjøbing 13. Viborg 14. North Jutland (Nordjylland) 15. Aarhus (Århus) 16. Bornholm (เทศบาลนครที่ไม่ขึ้นกับมณฑลใด)กองทัพกองทัพบกกองทัพอากาศกองทัพเรือกองกำลังกึ่งทหารประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. ในปีพ.ศ. 2550 เดนมาร์กมีประชากรราว 5.4 ล้านคน ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเดนมาร์ก ร่วมกับชาวพื้นเมืองของกรีนแลนด์และแฟโร ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางการของประเทศ โดยใช้ร่วมกับภาษากรีนแลนด์และภาษาแฟโรในกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโรตามลำดับ ภาษาเยอรมันเป็นภาษาชนกลุ่มน้อยที่ได้รับความคุ้มครอง ใช้ในพื้นที่ติดชายแดน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่สำคัญ ร้อยละ 83 ของประชากรเป็นสมาชิกของคริสตจักรเอวาเจลิคัลลูเธอรันแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เดนมาร์กคือหนึ่งในประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม นอกจากนี้ยังเป็นรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่ที่มีสวัสดิการแก่ประชาชนมากมาย อีกทั้งยังติดอันดับประเทศที่มีรายได้เข้าประเทศในอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย ประสิทธิภาพทางการตลาดของเดนมาร์กก็อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้มาตรฐานการอยู่อาศัยของเดนมาร์กก็อยู่สูงกว่ามาตรฐานเฉลี่ยของยุโรป รวมทั้งมีการค้าขายเสรีจำนวนมากภายในประเทศ เดนมาร์กมีตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อประชากรสูงกว่าประเทศในแถบยุโรปทั่วไป และสูงกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณ 15 – 20 เปอร์เซ็น ทั้งนี้ยังเป็นประเทศที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงตามรายงานของการประชุมเศรษฐกิจโลกประจำปี พ.ศ. 2551 (World Economic Forum 2008), ไอเอ็มดี (IMD) และหนังสือพิมพ์ ดิอีโคโนมิสต์ (The Economist) และเดนมาร์กก็ยังเป็นสมาชิกของธนาคารโลก ตลาดแรงงานของเดนมาร์กเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาได้มากที่สุดในยุโรปตามการจัดลำดับของโออีซีดี (OECD) ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายสวัสดิการของรัฐที่ให้ตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดแรงงานในประเทศสามารถว่าจ้าง, ไล่ออก, หรืองานใหม่ได้อย่างง่ายดาย ทำให้แรงงานในประเทศไม่ต้องกังวลเรื่องตกงาน และยังเป็นประเทศที่สามรถขายหรือหาซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นผลมาจากลัทธิเสรีนิยมที่เปิดกว้างทางธุรกิจมากมายในยุคทศวรรษที่ 1990 สกุลเงินของเดนมาร์กคือโครนเดนมาร์ก ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของเดนมาร์กถือว่ามั่นคงโดยอยู่ราวๆ 7.45 โครนต่อ 1 ยูโร และเมื่อเร็วๆ นี้อัตราแลกเปลี่ยนของโครนเดนมาร์กกับดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 5.75 โครนต่อ 1 ดอลลาร์ สินค้าส่งออกมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป ส่วนสินค้าส่งออกที่สำคัญคือ อาหารสัตว์, ผลิตภัณฑ์เคมี, ผลิตภัณฑ์จากนม, ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า, ปลา, เฟอร์นิเจอร์, หนังสัตว์, เครื่องจักร, เนื้อสัตว์, น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และน้ำตาล ส่วนขนาดของเศรษฐกิจของเดนมาร์ก ใหญ่เป็นอันดับที่ 11 จาก 162 ประเทศ ถูกจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ เดอะ วอลสตรีท เจอร์นัลการศึกษา การศึกษา. ระบบการศึกษาของเดนมาร์กเป็นระบบที่จะจัดหาสถานศึกษาให้นักศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา, มัธยมศึกษา หรือในระดับอุดมศึกษา ซึ่งนักศึกษาไม่จำเป็นต้องหาสถานศึกษาเอง ส่วนเกณฑ์ระยะเวลาในการศึกษานั้น เดนมาร์กกำหนดไว้อย่างต่ำ 10 ปี ทั้งนี้รวมถึงโรงเรียนเอกชนหรือการศึกษาที่บ้านด้วย 99% ของนักเรียนมีการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา 86% มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 46% มุ่งไปยังการศึกษาในระดับที่สูงกว่า ซึ่งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทุกแห่งในเดนมาร์กล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย เดนมาร์กมีโอกาสทางการศึกษามากมายรวมทั้งมีการศึกษาหลายช่องทางให้ศึกษาซึ่งรวมถึงโรงเรียนเตรียมเข้าอุดมศึกษา (โรงเรียนสอนในระดับที่สูงกว่าระดับมัธยมศึกษาแต่ต่ำกว่าระดับอุดมศึกษา) ในเดนมาร์กมีมหาวิทยาลัยมากมาย แห่งที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดคือ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1479การคมนาคม การคมนาคม. ทางด้านการคมนาคมของเดนมาร์กที่โดดเด่นที่สุดก็คือ สะพานโอเรซอนด์ ที่เชื่อมทางหลวงยุโรปสายอี 20 ระหว่างโคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก ไปยัง มาลโม, สวีเดน โดยเป็นสะพาน – อุโมงค์ มีทั้งทางสำหรับรถยนต์และทางรถไฟ และระบบสะพานเกรตเบลต์ที่เชื่อมระหว่างเกาะซีแลนด์และเกาะฟูเนน ทางทะเลก็มีท่าเรือโคเปเฮนเกน มาลโม ซึ่งก่อนการสร้างสะพานโอเรซอนด์ ท่าเรือแห่งนี้ใช้เป็นเส้นทางหลักในการไปมาระหว่างสวีเดนและเดนมาร์ก ซึ่งปัจจุบันนี้ท่าเรือข้ามฝากระหว่างสองเมืองนี้ได้ลดความสำคัญลงไปแล้วเป็นผลมาจากการสร้างสะพานโอเรซอนด์นั่นเอง ส่วนการคมนาคมทางรางของเดนมาร์กดำเนินการโดยการรถไฟแห่งเดนมาร์ก (Danish State Railways) สำหรับขบวนรถไฟโดยสาร ส่วนการเดินรถไฟบรรทุกสินค้าดำเนินการโดยบริษัทแรลลิออน (Railion) การควบคุมการจราจรทางรถไฟทั้งระบบควบคุมโดย บานด์ แดนมาร์ก นอกจากนี้ในกรุงโคเปนเฮเกนเองก็มีระบบรถไฟฟ้าใต้ดินขนาดเล็กให้บริการและยังมีบริการรถไฟชานเมืองด้วย สายการบินแห่งชาติของเดนมาร์กคือ สายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ซิสเต็ม ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติร่วมกันของสามประเทศคือ นอร์เวย์, สวีเดน และเดนมาร์ก สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือสนามบินโคเปนเฮเกน และยังเป็นสนามบินหลักที่ใหญ่ที่สุดของสายการบินแห่งชาติ ทางทะเลมีบริการเรือเฟอร์รี่ระหว่างเกาะแฟโรกับกรุงโคเปนเฮเกนและประเทศเพื่อบ้านเช่น สวีเดน, นอร์เวย์ และเยอรมนี เป็นต้น ส่วนรถยนต์ของเดนมาร์กจากที่มีรถจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) อยู่ทั้งหมด 1,389,547 คัน เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,020,013 คัน ใน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) แต่แม้กระนั้นภาษีของการจดทะเบียนรถยนต์ก็ยังคงสูงลิ่วอยู่เช่นเดิมที่ประมาณ 180% และมาตรฐานรถยนต์ของเดนมาร์กได้รับการยอมรับว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นที่รู้จักทั่วไปนะฐานะนักแต่งนิทานอันโด่งดังของเดนมาร์ก จากนิทานหลายๆ เรื่องของเขา เช่น พระราชากับชุดล่องหน (The Emperor’s New Clothes), เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid), และ ลูกเป็ดขี้เหร่ (The Ugly Duckling) ฯลฯ จากนี้ยังมี นักเขียนรางวัลโนเบล คาเรน บลิกเซน, เฮนริก พอนทอปพิแดน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล นีลส์ บอร์ นักวาดการ์ตูนล้อเลียน วิกเตอร์ บอร์จ และนักปรัชญา ซอร์เรน เคียร์เกการ์ด ทั้งหมดล้วนสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและประเทศเดนมาร์กในระดับต่างประเทศทั้งสิ้น ในกรุงโคเปนเฮเกนล้วนมีสถานที่ที่สวยงามและน่าสนใจมากมายเช่น สวนทิโวลี, พระราชวังอาเมเลียนเบิร์ก (ที่พำนักของพระราชวงศ์เดนมาร์ก), พระราชวังคริสเตียนเบิร์ก, มหาวิหารโคเปนเฮเกน, ปราสาทโรเซนเบิร์ก, โรงละครโอเปร่า, โบสถ์เฟดเดอร์ริก, พิพิธภัณฑ์โทรวาร์ลด์เซน และรูปแกะสลักนางเงือก ฯลฯ ส่วนนครที่ใหญ่อันดับสองของประเทศคือ เมืองอาร์เธอร์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยไวกิง และเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศด้วย ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคยุโรปเหนือ เดนมาร์กยังเป็นประเทศผู้นำทางด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหมือนกับประเทศในแถบสแกนดิเนเวียอื่นๆ เช่นการออกกฎหมายให้สื่อลามกเป็นสิ่งถูกกฎหมายหรือการออกกฎหมายให้ผู้รักร่วมเพศสามารถสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมของเดนมาร์กที่เป็นที่รู้จักในระยะแรกคือ วรรณกรรมประเภทปริศนาและวรรณกรรมพื้นบ้านจากยุคคริสต์ศตวรรษที่ 10 – 11 ส่วนแซกโซ แกรมาทิซัส เป็นผู้ที่ซึ่งได้รับการเคารพนับถือในฐานะนักประพันธ์คนแรกของเดนมาร์ก เขาทำงานให้กับบิชอบที่แอบซาลอนตามบันทึกประติศาสตร์ของเดนมาร์ก ซึ่งน้อยมากที่จะมีผู้รู้จักนักประพันธ์คนอื่นจากยุคกลางซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีละครตลกที่นิยมกันจากช่วงยุคเรืองปัญญาของ ลุดวิก ฮอลเบิร์ก และยังมีนักเขียนและนักประพันธ์ที่สำคัญของโลกจากเดนมาร์ก เช่น ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน จากนิทานของเขาและยังมี ซอร์เรน เคียร์เกการ์ด ผู้ที่ยึดถือในหลักอัตถิภาวนิยม ซึ่งผลงานการประพันธ์ของเขาหลายละชิ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ส่งผลกระเทือนไปยังสังคมของเดนมาร์ก และยังมีนักเขียนชื่อดังอีกมากมายเช่น จอร์จ บลันด์ และเฮนริก พอนทอปพิแดน เป็นต้น ทั้งคู่ล้วนได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมด้วยกันทั้งคู่ภาษา ภาษา. ชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่ใช้ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาแม่ ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกเหนือ (หรือภาษาสแกนดิเนเวีย) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มภาษาเจอร์แมนิก สาขาของภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาทางการภาษาเดียวของเดนมาร์ก และเป็นภาษาทางการหนึ่งในสองภาษาของเกาะกรีนแลนด์และหมู่เกาะแฟโร ซึ่งมีฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก นอกจากนี้ภาษาเดนมาร์กยังพูดกันในหมู่ชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี และในประเทศไอซ์แลนด์ ภาษาเดนมาร์กเป็นภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง (รองจากภาษาอังกฤษ) ที่มีการเรียนการสอนกันในสถาบันการศึกษาแพร่หลายที่สุดดนตรี ดนตรี. เดนมาร์กเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมมาช้านาน รวมถึงดนตรีด้วยเช่นกัน โดยที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเดนมาร์กเองมีความหลายหลายทางด้านดนตรี วัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างออกไปในแต่ละแห่ง ซึ่งเกาะโพ้นทะเลของเดนมาร์กเองก็มีวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งวงดุริยางค์ออร์เคสตร้าหลวงของเดนมาร์กเป็นวงออร์เคสตร้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คาร์ล นีลเซน และนักดนตรีซิมโฟนี่ออร์เคสตร้าอีก 6 คน เป็นวงดนตรีแรกที่สร้างชื่อเสียงทางด้านดนตรีในระดับต่างประเทศให้กับประเทศจากการประพันธ์เพลงของคาร์ล และในขณะที่อุตสาหกรรมการบันทึกเสียงแผ่ขยายออกไปทั่วโลก วงการเพลงในเดนมาร์กก็ปั้นนักดนตรีป็อปสตาร์มากมายและปั้นนักดนตรีจากหลากหลายแขนงด้วยเช่นกัน แต่น้อยคนนักที่จะโด่งดังไปในระดับนานาชาติได้เท่ากับ ลาร์ อูลริช พร้อมด้วย วิกฟิลด์กับวงดนตรีป็อปยุคทศวรรษที่ 90 วงอควาที่โด่งดังไปทั่วโลกกีฬา กีฬา. กีฬาที่ได้รับความนิยมในเดนมาร์กได้แก่ ฟุตบอลและล่องเรือ หรือกีฬาทางน้ำอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ส่วนกีฬาในร่มก็ได้แก่ แบดมินตัน, แฮนบอล, กอล์ฟในร่ม และยิมนาสติก นอกจากนี้ในเดนมาร์กยังมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบกีฬาที่ใช้ความเร็วซึ่งก็ประสมความสำเร็จในหลายรายการแข่งขัน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือจากการแข่งขัน 24 ชั่วโมง รายการ 24 Hours of Le Mans ในฝรั่งเศส ที่ซึ่ง ทอมคริสเตนเซน ชนะเลิศการในแข่งขัน 8 สมัย ส่วนนักกีฬาที่มีชื่อเสียงอื่นๆ เช่น คาโรไลน์ วอซเนียคกี นักเทนนิสดาวรุ่ง, ไมเคิล รัสมุสเซน นักปั่นจักรยาน, ไมเคิล และ ไบรอัน เลาดรู๊ป, ปีเตอร์ ชไมเคิล, และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของอดีตนักชกแชมป์ WBA & WBC รุ่นซุเปอร์มิดเดิลเวดท์ มิกเกล เคสส์เลอร์ รวมถึง นักกอล์ฟยูโรเปียนทัวร์ ทอมัส บจ์อน ที่ชนะหลายรายการแข่งขันในเวทีโลกอาหาร อาหาร. วัฒนธรรมอาหารของเดนมาร์กส่วนมากคล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ซึ่งบางส่วนรับวัฒนธรรมการกินมาจากเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนี โดยส่วนมากประกอบขึ้นจากปลา, เนื้อ ,อาหารจากนม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งจะรวมเบียร์เข้าไปในบางมื้อเช่น มื้อเย็นด้วย มักรับประทานอาหารมีประโยชน์
|
ประเทศเดนมาร์กใช้ระบบเศรษฐกิจระบบใด
|
{
"answer": [
"เสรีนิยม"
],
"answer_begin_position": [
6661
],
"answer_end_position": [
6669
]
}
|
2,247 | 17,343 |
ประเทศอุรุกวัย อุรุกวัย () หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย () เป็นประเทศเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาเขตจรดประเทศบราซิลทางทิศเหนือ จรดแม่น้ำอุรุกวัยทางทิศตะวันตก จรดปากแม่น้ำรีโอเดลาปลาตา (มีความหมายตามตัวอักษรว่า "แม่น้ำแห่งแร่เงิน" แต่มักเป็นที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า "แม่น้ำเพลต") ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีอาณาเขตของประเทศอาร์เจนตินาอยู่อีกฝั่ง และจรดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ กรุงมอนเตวิเดโอ อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของทวีปอเมริกาใต้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุดการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รัฐธรรมนูญ : 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2509 เป็นผลอย่างแท้จริงเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510บริหาร บริหาร. ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล รวมถึงเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภา) ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียวในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี (และไม่อาจดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 2 ได้)นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบ2 สภา (Bicameral General Assembly หรือ Asamblea General) ประกอบด้วย (1) Camara de Senadores จำนวน 30 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี โดยรองประธานาธิบดีมีสิทธิ์ออกเสียงได้ 1 เสียง และ (2) Chamber of Representativesหรือ Camara de Representantes จำนวน 99 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ศาลฎีกา (Supreme Court) ผู้พิพากษาได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดี และสภานิติบัญญัติเป็นผู้เลือก วาระการดำรงตำแหน่ง 10 ปี ระบบกฎหมาย : ระบบประมวลกฎหมาย มีรากฐานมาจากประมวลกฎหมายของสเปนสถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. อุรุกวัยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 19 จังหวัด (departments - departamentos) ได้แก่- อาร์ตีกัส - กาเนโลเนส - เซร์โรลาร์โก - โกโลเนีย - ดูรัซโน - โฟลเรส - โฟลรีดา - ลาบาเยคา - มัลโดนาโด - มอนเตวิเดโอ - ไปย์ซันดู - รีโอเนโกร - รีเบรา - โรชา - ซัลโต - ซานโคเซ - โซเรียโน - ตากวาเรมโบ - เตรนตาอีเตรสเมืองสำคัญต่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - การทหาร - การท่องเที่ยว - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายอุรุกวัยกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) : 49.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) GDP รายบุคคล : 15,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราการเจริญเติบโต GDP : 6% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) GDP แยกตามภาคการผลิต : ภาคการเกษตร 9.1%, ภาคอุตสาหกรรม 20.9%, ภาคการบริการ 70% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราการว่างงาน : 6.3% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices) : 7.8% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) ผลผลิตทางการเกษตร : ข้าว ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวบาร์เลย์ ปศุสัตว์ เนื้อวัว ปลา ป่าไม้ อุตสาหกรรม : สินค้าอุปโภค เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องขนส่ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ เครื่องดื่ม อัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรม : 1.6% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) หนี้สาธารณะ : 42.9% ของ GDP (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) ดุลบัญชีเดินสะพัด : -910 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) มูลค่าการส่งออก : 9.716 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) สินค้าส่งออก : เนื้อสัตว์ ข้าว หนังสัตว์ ขนสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์นม ประเทศคู่ค้า (ส่งออก) ที่สำคัญ : บราซิล 21%, Nueva Palmira Free Zone 10.2% อาร์เจนตินา 7.5% ชิลี 5.5%, R รัสเซีย 5.3% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553) มูลค่าการนำเข้า : 10.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) สินค้านำเข้า : น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ ยานยนต์ กระดาษ พลาสติก ประเทศคู่ค้า (นำเข้า) ที่สำคัญ : บราซิล 18.6% อาร์เจนตินา 16.7% จีน 13.5% เวเนซุเอลา 9.1% สหรัฐอเมริกา 8.3%, รัสเซีย 4.2% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553) สกุลเงิน : เปโซอุรุกวัย (Uruguayan peso) (UYU)ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ. ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน แร่เหล็ก นิเกิล ทองคำ ทองแดงการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. - เส้นทางคมนาคม - โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติศาสนาภาษากีฬาฟุตบอลมวยสากลวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมเครื่องดนตรีพื้นเมืองอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุด
|
เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัยมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"มอนเตวิเดโอ"
],
"answer_begin_position": [
599
],
"answer_end_position": [
610
]
}
|
2,248 | 17,343 |
ประเทศอุรุกวัย อุรุกวัย () หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย () เป็นประเทศเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาเขตจรดประเทศบราซิลทางทิศเหนือ จรดแม่น้ำอุรุกวัยทางทิศตะวันตก จรดปากแม่น้ำรีโอเดลาปลาตา (มีความหมายตามตัวอักษรว่า "แม่น้ำแห่งแร่เงิน" แต่มักเป็นที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า "แม่น้ำเพลต") ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีอาณาเขตของประเทศอาร์เจนตินาอยู่อีกฝั่ง และจรดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ กรุงมอนเตวิเดโอ อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของทวีปอเมริกาใต้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุดการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รัฐธรรมนูญ : 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2509 เป็นผลอย่างแท้จริงเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510บริหาร บริหาร. ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล รวมถึงเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภา) ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียวในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี (และไม่อาจดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 2 ได้)นิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบ2 สภา (Bicameral General Assembly หรือ Asamblea General) ประกอบด้วย (1) Camara de Senadores จำนวน 30 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี โดยรองประธานาธิบดีมีสิทธิ์ออกเสียงได้ 1 เสียง และ (2) Chamber of Representativesหรือ Camara de Representantes จำนวน 99 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ศาลฎีกา (Supreme Court) ผู้พิพากษาได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดี และสภานิติบัญญัติเป็นผู้เลือก วาระการดำรงตำแหน่ง 10 ปี ระบบกฎหมาย : ระบบประมวลกฎหมาย มีรากฐานมาจากประมวลกฎหมายของสเปนสถานการณ์สำคัญสิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. อุรุกวัยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 19 จังหวัด (departments - departamentos) ได้แก่- อาร์ตีกัส - กาเนโลเนส - เซร์โรลาร์โก - โกโลเนีย - ดูรัซโน - โฟลเรส - โฟลรีดา - ลาบาเยคา - มัลโดนาโด - มอนเตวิเดโอ - ไปย์ซันดู - รีโอเนโกร - รีเบรา - โรชา - ซัลโต - ซานโคเซ - โซเรียโน - ตากวาเรมโบ - เตรนตาอีเตรสเมืองสำคัญต่างประเทศความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - การทหาร - การท่องเที่ยว - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายอุรุกวัยกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) : 49.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) GDP รายบุคคล : 15,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราการเจริญเติบโต GDP : 6% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) GDP แยกตามภาคการผลิต : ภาคการเกษตร 9.1%, ภาคอุตสาหกรรม 20.9%, ภาคการบริการ 70% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราการว่างงาน : 6.3% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) อัตราเงินเฟ้อ (Consumer Prices) : 7.8% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) ผลผลิตทางการเกษตร : ข้าว ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวบาร์เลย์ ปศุสัตว์ เนื้อวัว ปลา ป่าไม้ อุตสาหกรรม : สินค้าอุปโภค เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องขนส่ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ เครื่องดื่ม อัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรม : 1.6% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) หนี้สาธารณะ : 42.9% ของ GDP (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) ดุลบัญชีเดินสะพัด : -910 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) มูลค่าการส่งออก : 9.716 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) สินค้าส่งออก : เนื้อสัตว์ ข้าว หนังสัตว์ ขนสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์นม ประเทศคู่ค้า (ส่งออก) ที่สำคัญ : บราซิล 21%, Nueva Palmira Free Zone 10.2% อาร์เจนตินา 7.5% ชิลี 5.5%, R รัสเซีย 5.3% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553) มูลค่าการนำเข้า : 10.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554) สินค้านำเข้า : น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ ยานยนต์ กระดาษ พลาสติก ประเทศคู่ค้า (นำเข้า) ที่สำคัญ : บราซิล 18.6% อาร์เจนตินา 16.7% จีน 13.5% เวเนซุเอลา 9.1% สหรัฐอเมริกา 8.3%, รัสเซีย 4.2% (ค่าประมาณ พ.ศ. 2553) สกุลเงิน : เปโซอุรุกวัย (Uruguayan peso) (UYU)ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ. ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน แร่เหล็ก นิเกิล ทองคำ ทองแดงการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม และ โทรคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน. การคมนาคม และ โทรคมนาคม. - เส้นทางคมนาคม - โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขประชากรศาสตร์เชื้อชาติศาสนาภาษากีฬาฟุตบอลมวยสากลวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมเครื่องดนตรีพื้นเมืองอาหารสื่อสารมวลชนวันหยุด
|
สกุลเงินของประเทศอุรุกวัยคือสกุลเงินใด
|
{
"answer": [
"เปโซอุรุกวัย"
],
"answer_begin_position": [
3748
],
"answer_end_position": [
3760
]
}
|
2,249 | 48,658 |
ประเทศคิวบา คิวบา (อังกฤษและ) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐคิวบา (; ) ประกอบด้วยเกาะคิวบา (เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแอนทิลลิสใหญ่) เกาะคูเบนตุด (Isla de la Juventud) และเกาะเล็ก ๆ ใกล้เคียง ตั้งอยู่ในภูมิภาคแคริบเบียนเหนือ ที่จุดบรรจบของทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก และมหาสมุทรแอตแลนติก คิวบาตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสหรัฐอเมริกาภาคตะวันออก และหมู่เกาะบาฮามาส ทางทิศตะวันตกของหมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอสและประเทศเฮติ ทางทิศตะวันออกของเม็กซิโก และทางทิศเหนือของหมู่เกาะเคย์แมนและเกาะจาเมกา สาธารณรัฐคิวบาเป็นเพียงประเทศเดียวในบริเวณภูมิภาคนี้ที่ยังคงมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อยู่ภูมิศาสตร์สภาพอากาศระบบนิเวศประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ชาวสเปนเดินทางมาถึงเกาะคิวบาครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2035 แต่ไม่ได้สนใจเกาะนี้มากนักในระยะแรกเพราะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติและมีชาวอินเดียนอยู่น้อย จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในเฮติเมื่อปี พ.ศ. 2333 คิวบาจึงกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมน้ำตาลของสเปนแทนที่เฮติ คิวบาเป็นดินแดนสุดท้ายในทวีปอเมริกาที่เป็นอาณานิคมของสเปน โคเซ มาร์ตี จัดตั้งพรรคปฏิวัติคิวบาเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อเรียกร้องเอกราชจนถูกฆ่าเมื่อพ.ศ. 2438 การเรียกร้องเอกราชของคิวบาได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเรือรบของกองทัพเรือเกิดระเบิดในอ่าวของกรุงฮาวานาเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 ซึ่งกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามสเปน-อเมริกา ผลของสงครามทำให้คิวบาได้รับเอกราชและอาณานิคมอื่นของสเปนกลายเป็นของสหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับเอกราช คิวบาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ในบางช่วงเช่น พ.ศ. 2460-2466 คิวบาถูกสหรัฐยึดครองและเข้ามาบริหารโดยตรง ทั้งนี้เพราะสหรัฐมีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำตาลของคิวบา อิทธิพลของสหรัฐสิ้นสุดลงเมื่อฟีเดล กัสโตร เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีฟุลเคนเซียว บาติสตา และบริหารประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมเมื่อ พ.ศ. 2502 เมื่อถูกสหรัฐตัดความสัมพันธ์และปิดกั้นทางการค้า และสนับสนุนชาวคิวบาโพ้นทะเลให้ก่อกบฏล้มรัฐบาลของกัสโตรจนเกิดวิกฤตการณ์เบย์ออฟฟิกส์เมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2514 แต่ไม่สำเร็จ รัฐบาลของกัสโตรจึงหันไปสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตและจีนแทน ปัจจุบันคิวบาเป็น 1 ใน 5 ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลก (อีก 4 ประเทศคือ จีน เวียดนาม ลาว และเกาหลีเหนือ) และเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รูปแบบการปกครอง สังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์บริหาร บริหาร. ประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศและเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร โดยคนปัจจุบันคือนายมิเกล ดิอาช-กาเนล สภาพลังประชาชนแห่งชาติซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติของคิวบาทั้ง 605 เสียง มีมติเป็นเอกฉันท์ ในการลงคะแนนเมื่อวันพฤหัสบดี ให้รองประธานาธิบดีมิเกล ดิแอซ-คาเนล รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ ถือเป็นคนที่ 19 ต่อจากนายราอูล คาสโตร ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านสุขภาพที่ทรุดโทรมตามอายุขัยนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบสภาเดียว ที่มีชื่อว่า National Assembly of Peoples Power ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 614 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมีวาระ 5 ปี พรรคการเมือง ระบบพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์ (Partido Comunista de Cuba : PCC)ตุลาการ ตุลาการ. ฝ่าย ศาลฎีกา (ได้รับการแต่งตั้งจากสภา National Assembly of Peoples Power) มีอำนาจดูแลศาลอื่นๆ ในระดับภูมิภาคการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย. ใช้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยใช้กฎหมายของสภาคอมมิวนิสต์สิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. 14 จังหวัด (provinces) และ 1 เทศบาลพิเศษ* (special municipality) ได้ประกอบขึ้นเป็นประเทศคิวบา เขตปกครองนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่จากเดิมมีเพียง 6 จังหวัด คือ ปีนาร์เดลรีโอ (Pinar del Río) อาบานา (Habana) มาตันซัส (Matanzas) ลัสบียัส (Las Villas) กามากูเอย์ (Camagüey) และโอเรียนเต (Oriente)ต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยม ต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยม. คิวบาเป็นหนึ่งในประเทศที่ปิดประเทศเช่นเดียวกับเกาหลีเหนือจึงไม่มีความสัมพัทธ์ทางการทูตแต่จะมีกับพวกคอมมิวนิสต์ด้วยกันความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - ความร่วมมือทางทหาร - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายคิวบากองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (2552) ร้อยละ 1.4 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (2551) 68.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้ประชาชาติต่อหัว (2551) 6,086.40 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 0.8 อัตราการว่างงาน (2551) ร้อยละ 1.7 หนี้สินต่างประเทศ 17.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัพยากรธรรมชาติ เหล็ก ทองแดง นิเกิล แมงกานีส เกลือ ไม้ ก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมผลิตและแปรรูปน้ำตาล การกลั่นน้ำมัน อาหารแปรรูป เหล็ก ปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ การผลิตยาและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เกษตรกรรม อ้อย ยาสูบ ผลไม้ประเภทส้ม (Citrus) กาแฟ ผัก ถั่ว เนื้อ ข้าว ผลไม้เมืองร้อน มูลค่าการนำเข้า (2551) 14.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้า อาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร มูลค่าการส่งออก (2551) 3.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าออก น้ำตาล นิเกิล ยาสูบ อาหารทะเล เหล้ารัม ยาและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เนเธอร์แลนด์ เวเนซุเอลา แคนาดา จีน สเปน สหรัฐอเมริกา และประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ. - เศรษฐกิจทุนนิยมภายใต้สหรัฐอเมริกา - เศรษฐกิจตามระบอบสังคมนิยม คิวบามีนโยบายเศรษฐกิจตามระบอบสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย บริหารจัดการ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ควบคุมกลไกในการผลิตส่วนใหญ่ เป็นผู้จ้างแรงงานที่สำคัญ เป็นผู้กำหนดราคาสินค้าส่วนใหญ่และแจกจ่ายสิ่งของแก่ประชาชน พร้อมทั้งควบคุมการลงทุนของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1990 รัฐบาลคิวบาเริ่มมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ โดยผ่อนคลายความเข้มงวดในธุรกิจบางประเภท อาทิ การท่องเที่ยวและโรงแรม เพื่อดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ ดำเนินมาตรการเปิดเสรี และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษาประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. สาธารณรัฐคิวบา (Republic of Cuba) มีประชากรประมาณ 11,382,820 คนเมืองใหญ่สัญชาติภาษาศาสนาวัฒนธรรม วัฒนธรรม. คิวบาเป็นสังคมที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติอยู่ปะปนกันโดยไม่มีการแบ่งแยกสีผิว ก่อนการปฏิวัติของฟิเดล คาสโตร ชาวคิวบาสวนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 72 ของประชาการทั้งหมด) นอกนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนายิว และศาสนาที่ผสมผสานระหว่างศาสนาคริสต์กับลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของของชนชาวผิวดำ ที่มาจากแอฟริกา ส่วนผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆมีสูงถึงร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมด ภายหลังการปฏิวัติ รัฐบาลของฟิเดล คาสโตร เห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งขัดขวางความเจริญก้าวหน้าและการปฏิวัติไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงมุ่งกำจัดอิทธิพลของศาสนาให้หมดไป หนังสือเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนาถูกทำลาย โรงเรียนของศาสนจักรถูกยึดเป็นของรัฐ องค์กรทางศาสนาถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพ อิทธิพลของจักรวรรดินิยมอเมริกา]]ถูกถอนรากถอนโคนจากสังคมคิวบา [[รัฐส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเชื้อชาติและระหว่างเพศ ชาวคิวบา นิยมบริโภคอาหารประจำชาติที่ชื่อว่า เยโย่ โดยทำจากพืชพื้นเมืองอาหาร อาหาร. ในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย การนำเข้าอาหารและเครื่องมือทางการเกษตรถูกตัดขาด เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรงทั่วคิวบา เพราะไม่อาจทำเกษตรได้ แม้สถานการณ์จะเลวร้าย แต่ชาวคิวบากลับถือเป็นโอกาศพัฒนาเทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดสารเคมี และในที่สุดพวกเขาก็พลิกฟื้นที่ดินรกร้างให้เป็นแหล่งปลูกผัก และธัญพืชได้อีกครั้ง นับแต่อดีตถึงปัจจุบันอาหารคิวบาได้ชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเน้นผักสด รสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบ เช่น ถ้าเป็นเมนูเนื้อ ก็ปรุงรสด้วยส้มและกระเทียม หรือถ้าหุงข้าวก็จะใส่ถั่วลงไปด้วย และขาดไม่ได้คือเหล้ารัมจากอ้อย ซึ่งเป็นเหล้าประจำชาติของคิวบา ถูกใช้เป็นส่วนผสมในค็อกเทลกว่า 100 ชนิด อาหารประจำชาติของคิวบา คือ โรปาคาเบีย ทำจากซี่โครงวัวและซอสมะเขือเทศ กับโมฮีโต ค็อกเทลเหล้ารัมดนตรีสื่อสารมวลชนกีฬาวันหยุด
|
ประเทศคิวบามีรูปแบบการปกครองระบอบใด
|
{
"answer": [
"สังคมนิยมคอมมิวนิสต์"
],
"answer_begin_position": [
2179
],
"answer_end_position": [
2199
]
}
|
2,250 | 48,658 |
ประเทศคิวบา คิวบา (อังกฤษและ) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐคิวบา (; ) ประกอบด้วยเกาะคิวบา (เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแอนทิลลิสใหญ่) เกาะคูเบนตุด (Isla de la Juventud) และเกาะเล็ก ๆ ใกล้เคียง ตั้งอยู่ในภูมิภาคแคริบเบียนเหนือ ที่จุดบรรจบของทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก และมหาสมุทรแอตแลนติก คิวบาตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสหรัฐอเมริกาภาคตะวันออก และหมู่เกาะบาฮามาส ทางทิศตะวันตกของหมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอสและประเทศเฮติ ทางทิศตะวันออกของเม็กซิโก และทางทิศเหนือของหมู่เกาะเคย์แมนและเกาะจาเมกา สาธารณรัฐคิวบาเป็นเพียงประเทศเดียวในบริเวณภูมิภาคนี้ที่ยังคงมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อยู่ภูมิศาสตร์สภาพอากาศระบบนิเวศประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ชาวสเปนเดินทางมาถึงเกาะคิวบาครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2035 แต่ไม่ได้สนใจเกาะนี้มากนักในระยะแรกเพราะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติและมีชาวอินเดียนอยู่น้อย จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในเฮติเมื่อปี พ.ศ. 2333 คิวบาจึงกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมน้ำตาลของสเปนแทนที่เฮติ คิวบาเป็นดินแดนสุดท้ายในทวีปอเมริกาที่เป็นอาณานิคมของสเปน โคเซ มาร์ตี จัดตั้งพรรคปฏิวัติคิวบาเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อเรียกร้องเอกราชจนถูกฆ่าเมื่อพ.ศ. 2438 การเรียกร้องเอกราชของคิวบาได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเรือรบของกองทัพเรือเกิดระเบิดในอ่าวของกรุงฮาวานาเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 ซึ่งกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามสเปน-อเมริกา ผลของสงครามทำให้คิวบาได้รับเอกราชและอาณานิคมอื่นของสเปนกลายเป็นของสหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับเอกราช คิวบาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ในบางช่วงเช่น พ.ศ. 2460-2466 คิวบาถูกสหรัฐยึดครองและเข้ามาบริหารโดยตรง ทั้งนี้เพราะสหรัฐมีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำตาลของคิวบา อิทธิพลของสหรัฐสิ้นสุดลงเมื่อฟีเดล กัสโตร เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีฟุลเคนเซียว บาติสตา และบริหารประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมเมื่อ พ.ศ. 2502 เมื่อถูกสหรัฐตัดความสัมพันธ์และปิดกั้นทางการค้า และสนับสนุนชาวคิวบาโพ้นทะเลให้ก่อกบฏล้มรัฐบาลของกัสโตรจนเกิดวิกฤตการณ์เบย์ออฟฟิกส์เมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2514 แต่ไม่สำเร็จ รัฐบาลของกัสโตรจึงหันไปสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตและจีนแทน ปัจจุบันคิวบาเป็น 1 ใน 5 ประเทศคอมมิวนิสต์ในโลก (อีก 4 ประเทศคือ จีน เวียดนาม ลาว และเกาหลีเหนือ) และเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. รูปแบบการปกครอง สังคมนิยม ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์บริหาร บริหาร. ประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศและเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร โดยคนปัจจุบันคือนายมิเกล ดิอาช-กาเนล สภาพลังประชาชนแห่งชาติซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติของคิวบาทั้ง 605 เสียง มีมติเป็นเอกฉันท์ ในการลงคะแนนเมื่อวันพฤหัสบดี ให้รองประธานาธิบดีมิเกล ดิแอซ-คาเนล รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ ถือเป็นคนที่ 19 ต่อจากนายราอูล คาสโตร ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านสุขภาพที่ทรุดโทรมตามอายุขัยนิติบัญญัติ นิติบัญญัติ. ระบบสภาเดียว ที่มีชื่อว่า National Assembly of Peoples Power ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 614 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมีวาระ 5 ปี พรรคการเมือง ระบบพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์ (Partido Comunista de Cuba : PCC)ตุลาการ ตุลาการ. ฝ่าย ศาลฎีกา (ได้รับการแต่งตั้งจากสภา National Assembly of Peoples Power) มีอำนาจดูแลศาลอื่นๆ ในระดับภูมิภาคการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย. ใช้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยใช้กฎหมายของสภาคอมมิวนิสต์สิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. 14 จังหวัด (provinces) และ 1 เทศบาลพิเศษ* (special municipality) ได้ประกอบขึ้นเป็นประเทศคิวบา เขตปกครองนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่จากเดิมมีเพียง 6 จังหวัด คือ ปีนาร์เดลรีโอ (Pinar del Río) อาบานา (Habana) มาตันซัส (Matanzas) ลัสบียัส (Las Villas) กามากูเอย์ (Camagüey) และโอเรียนเต (Oriente)ต่างประเทศความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยม ต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยม. คิวบาเป็นหนึ่งในประเทศที่ปิดประเทศเช่นเดียวกับเกาหลีเหนือจึงไม่มีความสัมพัทธ์ทางการทูตแต่จะมีกับพวกคอมมิวนิสต์ด้วยกันความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. - การทูต - เศรษฐกิจ - ความร่วมมือทางวิชาการ - ความร่วมมือทางทหาร - การเยือน- ฝ่ายไทย - ฝ่ายคิวบากองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจโครงสร้างเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. โครงสร้างเศรษฐกิจ. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (2552) ร้อยละ 1.4 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (2551) 68.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้ประชาชาติต่อหัว (2551) 6,086.40 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 0.8 อัตราการว่างงาน (2551) ร้อยละ 1.7 หนี้สินต่างประเทศ 17.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัพยากรธรรมชาติ เหล็ก ทองแดง นิเกิล แมงกานีส เกลือ ไม้ ก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมผลิตและแปรรูปน้ำตาล การกลั่นน้ำมัน อาหารแปรรูป เหล็ก ปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ การผลิตยาและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เกษตรกรรม อ้อย ยาสูบ ผลไม้ประเภทส้ม (Citrus) กาแฟ ผัก ถั่ว เนื้อ ข้าว ผลไม้เมืองร้อน มูลค่าการนำเข้า (2551) 14.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้า อาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร มูลค่าการส่งออก (2551) 3.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าออก น้ำตาล นิเกิล ยาสูบ อาหารทะเล เหล้ารัม ยาและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เนเธอร์แลนด์ เวเนซุเอลา แคนาดา จีน สเปน สหรัฐอเมริกา และประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ. - เศรษฐกิจทุนนิยมภายใต้สหรัฐอเมริกา - เศรษฐกิจตามระบอบสังคมนิยม คิวบามีนโยบายเศรษฐกิจตามระบอบสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย บริหารจัดการ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ควบคุมกลไกในการผลิตส่วนใหญ่ เป็นผู้จ้างแรงงานที่สำคัญ เป็นผู้กำหนดราคาสินค้าส่วนใหญ่และแจกจ่ายสิ่งของแก่ประชาชน พร้อมทั้งควบคุมการลงทุนของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1990 รัฐบาลคิวบาเริ่มมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ โดยผ่อนคลายความเข้มงวดในธุรกิจบางประเภท อาทิ การท่องเที่ยวและโรงแรม เพื่อดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ ดำเนินมาตรการเปิดเสรี และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศพลังงานการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีสาธารณสุขการศึกษาประชากรศาสตร์ ประชากรศาสตร์. สาธารณรัฐคิวบา (Republic of Cuba) มีประชากรประมาณ 11,382,820 คนเมืองใหญ่สัญชาติภาษาศาสนาวัฒนธรรม วัฒนธรรม. คิวบาเป็นสังคมที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติอยู่ปะปนกันโดยไม่มีการแบ่งแยกสีผิว ก่อนการปฏิวัติของฟิเดล คาสโตร ชาวคิวบาสวนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 72 ของประชาการทั้งหมด) นอกนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนายิว และศาสนาที่ผสมผสานระหว่างศาสนาคริสต์กับลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของของชนชาวผิวดำ ที่มาจากแอฟริกา ส่วนผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆมีสูงถึงร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมด ภายหลังการปฏิวัติ รัฐบาลของฟิเดล คาสโตร เห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งขัดขวางความเจริญก้าวหน้าและการปฏิวัติไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงมุ่งกำจัดอิทธิพลของศาสนาให้หมดไป หนังสือเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนาถูกทำลาย โรงเรียนของศาสนจักรถูกยึดเป็นของรัฐ องค์กรทางศาสนาถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพ อิทธิพลของจักรวรรดินิยมอเมริกา]]ถูกถอนรากถอนโคนจากสังคมคิวบา [[รัฐส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเชื้อชาติและระหว่างเพศ ชาวคิวบา นิยมบริโภคอาหารประจำชาติที่ชื่อว่า เยโย่ โดยทำจากพืชพื้นเมืองอาหาร อาหาร. ในช่วงที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย การนำเข้าอาหารและเครื่องมือทางการเกษตรถูกตัดขาด เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขั้นรุนแรงทั่วคิวบา เพราะไม่อาจทำเกษตรได้ แม้สถานการณ์จะเลวร้าย แต่ชาวคิวบากลับถือเป็นโอกาศพัฒนาเทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดสารเคมี และในที่สุดพวกเขาก็พลิกฟื้นที่ดินรกร้างให้เป็นแหล่งปลูกผัก และธัญพืชได้อีกครั้ง นับแต่อดีตถึงปัจจุบันอาหารคิวบาได้ชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเน้นผักสด รสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบ เช่น ถ้าเป็นเมนูเนื้อ ก็ปรุงรสด้วยส้มและกระเทียม หรือถ้าหุงข้าวก็จะใส่ถั่วลงไปด้วย และขาดไม่ได้คือเหล้ารัมจากอ้อย ซึ่งเป็นเหล้าประจำชาติของคิวบา ถูกใช้เป็นส่วนผสมในค็อกเทลกว่า 100 ชนิด อาหารประจำชาติของคิวบา คือ โรปาคาเบีย ทำจากซี่โครงวัวและซอสมะเขือเทศ กับโมฮีโต ค็อกเทลเหล้ารัมดนตรีสื่อสารมวลชนกีฬาวันหยุด
|
อาหารประจำชาติของประเทศคิวบาคืออะไร
|
{
"answer": [
"โรปาคาเบีย"
],
"answer_begin_position": [
7109
],
"answer_end_position": [
7119
]
}
|
2,251 | 412,792 |
ดาวพระศุกร์ ดาวพระศุกร์ เป็นบทประพันธ์ของ ข. อักษราพันธ์ (นามปากกาของ ม.ล.ศรีทอง ลดาวัลย์) บทประพันธ์นี้ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2504 และได้รับมาทำเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2509 นำแสดงโดยมิตร ชัยบัญชา และพิศมัย วิไลศักดิ์ ต่อมาได้รับการนำกลับมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2524 นำแสดงโดยสรพงษ์ ชาตรี และอาภาพร กรทิพย์ และในปี พ.ศ. 2537 นำแสดงโดยสกาวใจ พูนสวัสดิ์ บทประพันธ์นี้ยังได้รับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์และละครออกอากาศทางช่อง 7 อีก 3 ครั้ง ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 (พล พลากร และมนฤดี ยมาภัย), พ.ศ. 2537 (ศรราม เทพพิทักษ์ และสุวนันท์ คงยิ่ง) และ พ.ศ. 2545 (ดนุพร ปุณณกันต์ และอติมา ธนเสนีวัฒน์) ละครโทรทัศน์ฉบับปี พ.ศ. 2537 โด่งดังเป็นที่นิยมอีกครั้งจนเป็นละครที่มีเรตติงสูงสุดอันดับสองในประวัติศาสตร์ละครไทยรองจากละครคู่กรรม และยังแจ้งเกิดสุวนันท์ คงยิ่ง จนกลายมาเป็นนางเอกยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้นักแสดงนำรางวัลรางวัล. - ละครดาวพระศุกร์ ปี 2523 - รางวัลทีวีตุ๊กตาทองมหาชน ครั้งที่ 2 ประจำปี 2524- ผู้แสดงยอดนิยมที่ 1 ฝ่ายชาย พล พลากร ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7) - ผู้แสดงยอดนิยมที่ 1 ฝ่ายหญิง มนฤดี ยมาภัย ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7) - ภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดนิยม ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7)
|
ดาวพระศุกร์ เป็นบทประพันธ์ไทยของใคร
|
{
"answer": [
"ข. อักษราพันธ์"
],
"answer_begin_position": [
128
],
"answer_end_position": [
142
]
}
|
2,252 | 412,792 |
ดาวพระศุกร์ ดาวพระศุกร์ เป็นบทประพันธ์ของ ข. อักษราพันธ์ (นามปากกาของ ม.ล.ศรีทอง ลดาวัลย์) บทประพันธ์นี้ประพันธ์ในปี พ.ศ. 2504 และได้รับมาทำเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2509 นำแสดงโดยมิตร ชัยบัญชา และพิศมัย วิไลศักดิ์ ต่อมาได้รับการนำกลับมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2524 นำแสดงโดยสรพงษ์ ชาตรี และอาภาพร กรทิพย์ และในปี พ.ศ. 2537 นำแสดงโดยสกาวใจ พูนสวัสดิ์ บทประพันธ์นี้ยังได้รับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์และละครออกอากาศทางช่อง 7 อีก 3 ครั้ง ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 (พล พลากร และมนฤดี ยมาภัย), พ.ศ. 2537 (ศรราม เทพพิทักษ์ และสุวนันท์ คงยิ่ง) และ พ.ศ. 2545 (ดนุพร ปุณณกันต์ และอติมา ธนเสนีวัฒน์) ละครโทรทัศน์ฉบับปี พ.ศ. 2537 โด่งดังเป็นที่นิยมอีกครั้งจนเป็นละครที่มีเรตติงสูงสุดอันดับสองในประวัติศาสตร์ละครไทยรองจากละครคู่กรรม และยังแจ้งเกิดสุวนันท์ คงยิ่ง จนกลายมาเป็นนางเอกยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้นักแสดงนำรางวัลรางวัล. - ละครดาวพระศุกร์ ปี 2523 - รางวัลทีวีตุ๊กตาทองมหาชน ครั้งที่ 2 ประจำปี 2524- ผู้แสดงยอดนิยมที่ 1 ฝ่ายชาย พล พลากร ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7) - ผู้แสดงยอดนิยมที่ 1 ฝ่ายหญิง มนฤดี ยมาภัย ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7) - ภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดนิยม ดาวพระศุกร์ (ช่อง 7)
|
บทประพันธ์ไทยเรื่องดาวพระศุกร์ ประพันธ์ขึ้นในปีพ.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"2504"
],
"answer_begin_position": [
208
],
"answer_end_position": [
212
]
}
|
2,253 | 228,244 |
คู่กรรม คู่กรรม เป็นนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติ ประพันธ์โดย ทมยันตี ดำเนินเรื่องที่มีฉากหลังในประเทศไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยผู้ประพันธ์ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อราวปี พ.ศ. 2508 จากการเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี และเข้าเยือนสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรักที่ทอดร่างของเหล่าทหารสัมพันธมิตร โดยสะดุดใจเมื่อเห็นคำจารึกถึงบนหลุมศพทหารสัญชาติเนเธอร์แลนด์คนหนึ่ง เมื่อสอบถามดู ได้ความว่าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่มาเสียชีวิตลงที่ประเทศไทย โดยที่ผู้เป็นพ่อแม่มิอาจมาร่วมฝังศพของลูกชายได้ คู่กรรม เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารศรีสยาม (ในเครือนิตยสารขวัญเรือน) และรวมเล่มเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512 แล้วตีพิมพ์มาหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2 ถือว่าเป็นบทประพันธ์ที่ชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของทมยันตีเลยทีเดียว คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์แล้วหลายครั้ง เริ่มจาก ช่อง 4 บางขุนพรหม เป็นละครถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2513, พ.ศ. 2515 และต่อมาทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในปี พ.ศ. 2521 ครั้งสำคัญเป็นละครทางช่อง 7 สี ในปี พ.ศ. 2533 เป็นละครที่สร้างประวัติศาสตร์เรตติ้งสูงสุดอันดับ 1 ของเมืองไทยตลอดกาล เรตติ้ง 40 เรื่องนี้ได้รับรางวัลทั้งเมขลาและโทรทัศน์ทองคำในปีเดียวกัน หลังจากนั้นได้นำมาสร้างใหม่เป็นละครทางช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2547 (มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2) ล่าสุดเป็นละครทางช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2556 คู่กรรม นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2531, พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2556 ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง (ปี 2531 และ 2538) ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลตุ๊กตาทองไปทั้งคู่ และเคยดัดแปลงเป็นละครเวที โดยค่ายดรีมบอกซ์ กลางปี พ.ศ. 2547 แสดงที่โรงละครกรุงเทพ และกลางปี พ.ศ. 2550 แสดงที่ โรงละครกรุงเทพเมโทรโพลิส นอกจากนี้แล้ว คู่กรรม ยังเป็นที่รู้จักกันดีถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย จนถึงกับมีการแต่งเป็นนวนิยายเนื้อหาคล้ายคลึงกันของนักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น โดยในฉบับของญี่ปุ่นนี้ ตัวละครเอกได้เปลี่ยนชื่อเป็น โอโมริ กับ กันยาละครโทรทัศน์ ละครโทรทัศน์. คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) รวม 6 ครั้ง ได้แก่- ในปี พ.ศ. 2513 สร้างครั้งแรกออกอากาศทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม สร้างโดย เทิ่ง สติเฟื่อง ในนามของ คณะศรีไทยการละคร - ต่อมาออกอากาศทางช่อง 4 บางขุนพรหม ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2515]] ต่อมาออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 ในปี พ.ศ. 2521]] - ในปี พ.ศ. 2533 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 สร้างโดย สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์นวนิยาย หยิบเรื่องนี้จัดทำเป็นละครโทรทัศน์ ภายใต้นโยบายทำตามบทประพันธ์ ร่วมกับ ดาราวิดีโอ กำกับการแสดงโดย ไพรัช สังวริบุตร ออกอากาศวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพลงประกอบชื่อ คู่กรรม คำร้องและทำนองโดย สุทธิพงษ์ วัฒนจัง สร้างประวัติศาสตร์ละครที่เรตติ้งสูงสุดของประเทศไทย เรื่องนี้ส่งผลให้ได้ได้รับรางวัลทั้งเมขลาและโทรทัศน์ทองคำหลายสาขา ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2533 - วันที่ 9 มิถุนายน 2533 - ในปี พ.ศ. 2547 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สร้างโดย เรด ดราม่า กำกับการแสดงโดย นพดล มงคลพันธ์ ออกอากาศวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.20 น. มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2 - ครั้งล่าสุด ปี พ.ศ. 2556 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สร้างโดย เอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ กำกับการแสดงโดย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ออกอากาศวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.10 - 21.40 น. ระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึง 16 เมษายน พ.ศ. 2556 รวม 24 ตอนภาพยนตร์ ภาพยนตร์. คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2531, พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2556 ได้แก่ภาพยนตร์ คู่กรรม (2516) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2516). ในปี พ.ศ. 2516 สร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก สร้างโดย จิรบันเทิงฟิล์ม ของ จิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านละครวิทยุ กำกับโดย สมวงศ์ ทิมบุยธรรม, พร ไพโรจน์ ประดับ และ มิสเตอร์ ติง ออกฉายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2516]] ที่โรงหนังโคลีเชี่ยม มีนักแสดงนำดังนี้- นาท ภูวนัย รับบท โกโบริ - ดวงนภา อรรถพรพิศาล / มร. หลิงลีจู รับบท อังศุมาลิน - สายัณห์ จันทรวิบูลย์ รับบท วนัส ร่วมด้วย พันคำ, เชาว์ แคล่วคล่อง, สมจิตต์ ทรัพย์สำรวย, ล้อต๊อก, ชูศรี มีสมมนต์, จำรูญ หนวดจิ๋ม, สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม, ราชันย์ กาญจนมาศ, มร. แอสจี้ ภาพยนตร์คู่กรรมฉบับแรกนี้มีผู้รับบทอังศุมาลิน ถึง 2 คน ถ่ายทำพร้อมกัน 2 ฉบับ คือแบบนักแสดงไทยและนักแสดงฮ่องกงภาพยนตร์ คู่กรรม (2531) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2531). ในปี พ.ศ. 2531 สร้างโดย ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น กำกับการแสดงโดย รุจน์ รณภพ เพลงประกอบภาพยนตร์ขับร้องโดย อังศนา ช้างเศวต ออกฉายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531]] ได้รับการตอบรับอย่างดี มีนักแสดงนำดังนี้- วรุฒ วรธรรม รับบท โกโบริ - จินตหรา สุขพัฒน์ รับบท อังศุมาลิน - นัย สุขสกุล รับบท วนัส ร่วมด้วย เกรียงไกร อุณหะนันทน์, พิราวรรณ ประสพศาสตร์, ไกรลาศ เกรียงไกร, สมศักดิ์ ชัยสงคราม, อดุลย์ ดุลยรัตน์, บัณฑิต ฤทธิ์ถกล, อุดม โรจน์อนันต์เลี่ยว, บรรเจิดศรี ยมาภัย เดิมได้วางตัวอธิป ทองจินดาในบทโกโบริ แต่เมื่ออธิปเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนถ่ายทำจึงต้องเปลี่ยนตัวมาเป็น วรุฒ วรธรรม แทน ภาพยนตร์คู่กรรมฉบับนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดี ส่งผลให้ จินตหรา สุขพัฒน์ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสดีครั้งแรก สาขานักแสดงนำหญิง โดย จินตหรา สุขพัฒน์ เข้าชิงสาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง ตลาดพรหมจารี อีกด้วยภาพยนตร์ คู่กรรม (2538) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2538). ในปี พ.ศ. 2538 มีชื่ออังกฤษชื่อว่า Sunset at Chaophraya สร้างโดย แกรมมี่ภาพยนตร์ (แกรมมี่ฟิล์ม) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กำกับการแสดงโดย ยุทธนา มุกดาสนิท ร่วมด้วย พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ และ นิพนธ์ ผิวเณร ซึ่งทั้ง 2 ครั้งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลตุ๊กตาทองไปทั้งคู่ ออกฉายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 มีนักแสดงนำดังนี้- ธงไชย แมคอินไตย์ รับบท โกโบริ - อาภาศิริ นิติพน รับบท อังศุมาลิน - ธีรภัทร์ สัจจกุล รับบท วนัส ร่วมด้วย คาซูยูกิ นากาจิมา, มาซากิ นิชิกายา, จิตรกร สุนทรปักษิน, วิไลวรรณ วัฒนพานิช, สุทิศา พัฒนุช, เด๋อ ดอกสะเดา, ดี๋ ดอกมะดัน โดยกระแสความแรงได้สร้างสถิติภาพยนตร์ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดใน 3 วันแรกของการเปิดตัว โดยภาพยตร์เรื่องนี้ส่งผลให้เบิร์ดได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี (รางวัลตุ๊กตาทอง) ปี 2538 นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมภาพยนตร์ คู่กรรม (2556) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2556). ในปี พ.ศ. 2556 สร้างโดย เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ กำกับการแสดงโดย กิตติกร เลียวศิริกุล บทภาพยนตร์โดย กิตติกร เลียวศิริกุล และ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ออกฉายเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556 มีนักแสดงนำดังนี้- ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท โกโบริ - อรเณศ ดีคาบาเลส รับบท อังศุมาลิน - นิธิศ วารายานนท์ รับบท วนัส ร่วมด้วย กุลพงศ์ บุนนาค, เมรีนา มุ่งศิริ, สุรชัย จันทิมาธร, มงคล อุทก, แปะร้อน ยาซึ, จำเนียร เจริญทรัพย์, ทัตสึโนบุ ทานิกาว่า, โนริโอะ ซึซึกิ, โตชิยูกิ โกโต, ดาเรน ฟ๊อกส์, อัวริช คลูก, อัวริช ก็อดลีบ, นิพนธ์ จิตเกิด เพลงประกอบภาพยนตร์ มีดังนี้- เพลง "เทกามิ" - เวอร์ชันเปียโน - เพลง "ฮิเดโกะ" เพลงภาษาญี่ปุ่น - เนื้อร้องและขับร้องญี่ปุ่นโดย ยุสุเกะ นะมิกาว่า - เพลง "อังศุมาลิน" เพลงภาษาไทย - ขับร้องภาษาไทยโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ (แต่งโดย สุชาดา - วิชญ วัฒนศัพท์ เป็นทำนองเดียวกัน) - เพลง "ผมจะรอ" - เนื้อร้องและขับร้องโดย อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข - เพลง "โกโบริ" - ขับร้องโดย อชิ (แต่งโดย ยุสุเกะ นะมิกาว่า)ละครเวที ละครเวที. ดูบทความหลักที่ คู่กรรม เดอะมิวสิคัล คู่กรรมได้รับการดัดแปลงสร้างเป็นละครเวที ในรูปแบบ ละครเพลง (sung-through musical) กลางปี พ.ศ. 2547]] โดยค่ายดรีมบอกซ์ กำกับการแสดงโดย สุวรรณดี จักราวรวุธ แสดงที่โรงละครกรุงเทพ- เซกิ โอเซกิ รับบท โกโบริ - ธีรนัยน์ ณ หนองคาย รับบท อังศุมาลิน - วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ รับบท วนัส จากนั้นได้กลับมาแสดงอีกครั้ง กลางปี พ.ศ. 2550 โดยทีมงานชุดเดิมทั้งหมด แสดงที่ โรงละครกรุงเทพเมโทรโพลิสรายชื่อนักแสดงและการสร้างรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ภาพยนตร์ พ.ศ. 25161. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลบทประพันธ์ยอดเยี่ยม (ทมยันตี) ปี 2517 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ออกแบบและสร้างฉากยอดเยี่ยม ปี 2517- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25311. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี 2531 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (จินตหรา สุขพัฒน์) ปี 2531 3. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลออกแบบและสร้างฉากยอดเยี่ยม (วีรพงษ์ ธาราศิลป์) ปี 2531 4. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (มะลิวัลย์ ด่านอุดม) ปี 2531 5. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง พากย์ชายยอดเยี่ยม (รอง เค้ามูลคดี) ปี 2531 6. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลพิเศษ “ตุ๊กตาเงิน” ดาวรุ่งฝ่ายชาย (วรุฒ วรธรรม) ปี 2531- ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 25331. รางวัลเมขลา ละครชีวิตดีเด่น ปี 2533 2. รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2533 3. รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำหญิงดีเด่น (กมลชนก โกมลฐิติ) ปี 2533 4. รางวัลเมขลา ผู้แสดงประกอบหญิงดีเด่น (ดวงดาว จารุจินดา) ปี 2533 5. รางวัลเมขลา ผู้กำกับรายการดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 6. รางวัลเมขลา ผู้กำกับการแสดงดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 7. รางวัลเมขลา บทละครดีเด่น (ศัลยา) ปี 2533 8. รางวัลเมขลา รางวัลออกแบบฉากดีเด่น (ธีระศักดิ์, เสนาะ, มนัส, วารินทร์) ปี 2533 9. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ละครชีวิตดีเด่น ปี 2533 10. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดารานำชายดีเด่น (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2533 11. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดาราสนับสนุนหญิงดีเด่น (ดวงดาว จารุจินดา) ปี 2533 12. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ผู้กำกับการแสดงดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 13. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ บทละครดีเด่น (ศัลยา) ปี 2533 14. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ฉากละครดีเด่น (ธีระศักดิ์, เสนาะ, มนัส, วารินทร์) ปี 2533- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25381. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี 2538 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2538 3. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (ยุทธนา มุกดาสนิท, พันธ์ธัมม์ ทองสังข์, นิพนธ์ ผิวเณร) ปี 2538 4. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (รัตนพล ธรรมชาติ) ปี 2538 5. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (สีฟ้า และอนุวัฒน์ สืบสุวรรณ ในเพลง เธอคนเดียว) ปี 2538 6. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (วิไลวรรณ วัฒนพานิช) ปี 2538 7. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ บันทึกเสียงยอดเยี่ยม (นิวัฒน์ สำเนียงเสนาะ) ปี 2538 8. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม (ประสรรค์ เพชรพงษ์, สายชล ทัศนจร) ปี 2538 9. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (รัตนพล ธรรมชาติ) ปี 2538 10. รางวัล Vote Award 1995 นักแสดงชายยอดนิยม (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2538- ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 25561. รางวัลสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ 2013 ผู้กำกับละครยอดเยี่ยม (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) ปี 2556- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25561. รางวัลสตาร์พิกส์ ไทยฟิล์ม อวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 2. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 3. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดนิยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 4. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (วรธน กฤษณะกลิน) ปี 2556 5. รางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 6. รางวัล MThai Top Talk-about 2014 ภาพยนตร์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ปี 2557 7. รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ภาพยนตร์ไทยยอดนิยม ปี 2557 8. รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2557
|
ใครคือผู้ประพันธ์นวนิยายไทยแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติเรื่อง คู่กรรม
|
{
"answer": [
"ทมยันตี"
],
"answer_begin_position": [
144
],
"answer_end_position": [
151
]
}
|
2,254 | 228,244 |
คู่กรรม คู่กรรม เป็นนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติ ประพันธ์โดย ทมยันตี ดำเนินเรื่องที่มีฉากหลังในประเทศไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยผู้ประพันธ์ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อราวปี พ.ศ. 2508 จากการเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี และเข้าเยือนสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรักที่ทอดร่างของเหล่าทหารสัมพันธมิตร โดยสะดุดใจเมื่อเห็นคำจารึกถึงบนหลุมศพทหารสัญชาติเนเธอร์แลนด์คนหนึ่ง เมื่อสอบถามดู ได้ความว่าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่มาเสียชีวิตลงที่ประเทศไทย โดยที่ผู้เป็นพ่อแม่มิอาจมาร่วมฝังศพของลูกชายได้ คู่กรรม เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารศรีสยาม (ในเครือนิตยสารขวัญเรือน) และรวมเล่มเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512 แล้วตีพิมพ์มาหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2 ถือว่าเป็นบทประพันธ์ที่ชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของทมยันตีเลยทีเดียว คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์แล้วหลายครั้ง เริ่มจาก ช่อง 4 บางขุนพรหม เป็นละครถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2513, พ.ศ. 2515 และต่อมาทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในปี พ.ศ. 2521 ครั้งสำคัญเป็นละครทางช่อง 7 สี ในปี พ.ศ. 2533 เป็นละครที่สร้างประวัติศาสตร์เรตติ้งสูงสุดอันดับ 1 ของเมืองไทยตลอดกาล เรตติ้ง 40 เรื่องนี้ได้รับรางวัลทั้งเมขลาและโทรทัศน์ทองคำในปีเดียวกัน หลังจากนั้นได้นำมาสร้างใหม่เป็นละครทางช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2547 (มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2) ล่าสุดเป็นละครทางช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2556 คู่กรรม นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2531, พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2556 ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง (ปี 2531 และ 2538) ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลตุ๊กตาทองไปทั้งคู่ และเคยดัดแปลงเป็นละครเวที โดยค่ายดรีมบอกซ์ กลางปี พ.ศ. 2547 แสดงที่โรงละครกรุงเทพ และกลางปี พ.ศ. 2550 แสดงที่ โรงละครกรุงเทพเมโทรโพลิส นอกจากนี้แล้ว คู่กรรม ยังเป็นที่รู้จักกันดีถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย จนถึงกับมีการแต่งเป็นนวนิยายเนื้อหาคล้ายคลึงกันของนักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น โดยในฉบับของญี่ปุ่นนี้ ตัวละครเอกได้เปลี่ยนชื่อเป็น โอโมริ กับ กันยาละครโทรทัศน์ ละครโทรทัศน์. คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) รวม 6 ครั้ง ได้แก่- ในปี พ.ศ. 2513 สร้างครั้งแรกออกอากาศทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม สร้างโดย เทิ่ง สติเฟื่อง ในนามของ คณะศรีไทยการละคร - ต่อมาออกอากาศทางช่อง 4 บางขุนพรหม ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2515]] ต่อมาออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 ในปี พ.ศ. 2521]] - ในปี พ.ศ. 2533 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 สร้างโดย สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์นวนิยาย หยิบเรื่องนี้จัดทำเป็นละครโทรทัศน์ ภายใต้นโยบายทำตามบทประพันธ์ ร่วมกับ ดาราวิดีโอ กำกับการแสดงโดย ไพรัช สังวริบุตร ออกอากาศวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพลงประกอบชื่อ คู่กรรม คำร้องและทำนองโดย สุทธิพงษ์ วัฒนจัง สร้างประวัติศาสตร์ละครที่เรตติ้งสูงสุดของประเทศไทย เรื่องนี้ส่งผลให้ได้ได้รับรางวัลทั้งเมขลาและโทรทัศน์ทองคำหลายสาขา ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2533 - วันที่ 9 มิถุนายน 2533 - ในปี พ.ศ. 2547 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สร้างโดย เรด ดราม่า กำกับการแสดงโดย นพดล มงคลพันธ์ ออกอากาศวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.20 น. มีภาคต่อคือ คู่กรรม 2 - ครั้งล่าสุด ปี พ.ศ. 2556 ได้รับการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สร้างโดย เอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ กำกับการแสดงโดย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ออกอากาศวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.10 - 21.40 น. ระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึง 16 เมษายน พ.ศ. 2556 รวม 24 ตอนภาพยนตร์ ภาพยนตร์. คู่กรรม ได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2531, พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2556 ได้แก่ภาพยนตร์ คู่กรรม (2516) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2516). ในปี พ.ศ. 2516 สร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก สร้างโดย จิรบันเทิงฟิล์ม ของ จิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านละครวิทยุ กำกับโดย สมวงศ์ ทิมบุยธรรม, พร ไพโรจน์ ประดับ และ มิสเตอร์ ติง ออกฉายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2516]] ที่โรงหนังโคลีเชี่ยม มีนักแสดงนำดังนี้- นาท ภูวนัย รับบท โกโบริ - ดวงนภา อรรถพรพิศาล / มร. หลิงลีจู รับบท อังศุมาลิน - สายัณห์ จันทรวิบูลย์ รับบท วนัส ร่วมด้วย พันคำ, เชาว์ แคล่วคล่อง, สมจิตต์ ทรัพย์สำรวย, ล้อต๊อก, ชูศรี มีสมมนต์, จำรูญ หนวดจิ๋ม, สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม, ราชันย์ กาญจนมาศ, มร. แอสจี้ ภาพยนตร์คู่กรรมฉบับแรกนี้มีผู้รับบทอังศุมาลิน ถึง 2 คน ถ่ายทำพร้อมกัน 2 ฉบับ คือแบบนักแสดงไทยและนักแสดงฮ่องกงภาพยนตร์ คู่กรรม (2531) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2531). ในปี พ.ศ. 2531 สร้างโดย ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น กำกับการแสดงโดย รุจน์ รณภพ เพลงประกอบภาพยนตร์ขับร้องโดย อังศนา ช้างเศวต ออกฉายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531]] ได้รับการตอบรับอย่างดี มีนักแสดงนำดังนี้- วรุฒ วรธรรม รับบท โกโบริ - จินตหรา สุขพัฒน์ รับบท อังศุมาลิน - นัย สุขสกุล รับบท วนัส ร่วมด้วย เกรียงไกร อุณหะนันทน์, พิราวรรณ ประสพศาสตร์, ไกรลาศ เกรียงไกร, สมศักดิ์ ชัยสงคราม, อดุลย์ ดุลยรัตน์, บัณฑิต ฤทธิ์ถกล, อุดม โรจน์อนันต์เลี่ยว, บรรเจิดศรี ยมาภัย เดิมได้วางตัวอธิป ทองจินดาในบทโกโบริ แต่เมื่ออธิปเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนถ่ายทำจึงต้องเปลี่ยนตัวมาเป็น วรุฒ วรธรรม แทน ภาพยนตร์คู่กรรมฉบับนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดี ส่งผลให้ จินตหรา สุขพัฒน์ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสดีครั้งแรก สาขานักแสดงนำหญิง โดย จินตหรา สุขพัฒน์ เข้าชิงสาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง ตลาดพรหมจารี อีกด้วยภาพยนตร์ คู่กรรม (2538) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2538). ในปี พ.ศ. 2538 มีชื่ออังกฤษชื่อว่า Sunset at Chaophraya สร้างโดย แกรมมี่ภาพยนตร์ (แกรมมี่ฟิล์ม) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กำกับการแสดงโดย ยุทธนา มุกดาสนิท ร่วมด้วย พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ และ นิพนธ์ ผิวเณร ซึ่งทั้ง 2 ครั้งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลตุ๊กตาทองไปทั้งคู่ ออกฉายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 มีนักแสดงนำดังนี้- ธงไชย แมคอินไตย์ รับบท โกโบริ - อาภาศิริ นิติพน รับบท อังศุมาลิน - ธีรภัทร์ สัจจกุล รับบท วนัส ร่วมด้วย คาซูยูกิ นากาจิมา, มาซากิ นิชิกายา, จิตรกร สุนทรปักษิน, วิไลวรรณ วัฒนพานิช, สุทิศา พัฒนุช, เด๋อ ดอกสะเดา, ดี๋ ดอกมะดัน โดยกระแสความแรงได้สร้างสถิติภาพยนตร์ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดใน 3 วันแรกของการเปิดตัว โดยภาพยตร์เรื่องนี้ส่งผลให้เบิร์ดได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี (รางวัลตุ๊กตาทอง) ปี 2538 นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมภาพยนตร์ คู่กรรม (2556) ภาพยนตร์ คู่กรรม (2556). ในปี พ.ศ. 2556 สร้างโดย เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ กำกับการแสดงโดย กิตติกร เลียวศิริกุล บทภาพยนตร์โดย กิตติกร เลียวศิริกุล และ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ออกฉายเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556 มีนักแสดงนำดังนี้- ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท โกโบริ - อรเณศ ดีคาบาเลส รับบท อังศุมาลิน - นิธิศ วารายานนท์ รับบท วนัส ร่วมด้วย กุลพงศ์ บุนนาค, เมรีนา มุ่งศิริ, สุรชัย จันทิมาธร, มงคล อุทก, แปะร้อน ยาซึ, จำเนียร เจริญทรัพย์, ทัตสึโนบุ ทานิกาว่า, โนริโอะ ซึซึกิ, โตชิยูกิ โกโต, ดาเรน ฟ๊อกส์, อัวริช คลูก, อัวริช ก็อดลีบ, นิพนธ์ จิตเกิด เพลงประกอบภาพยนตร์ มีดังนี้- เพลง "เทกามิ" - เวอร์ชันเปียโน - เพลง "ฮิเดโกะ" เพลงภาษาญี่ปุ่น - เนื้อร้องและขับร้องญี่ปุ่นโดย ยุสุเกะ นะมิกาว่า - เพลง "อังศุมาลิน" เพลงภาษาไทย - ขับร้องภาษาไทยโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ (แต่งโดย สุชาดา - วิชญ วัฒนศัพท์ เป็นทำนองเดียวกัน) - เพลง "ผมจะรอ" - เนื้อร้องและขับร้องโดย อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข - เพลง "โกโบริ" - ขับร้องโดย อชิ (แต่งโดย ยุสุเกะ นะมิกาว่า)ละครเวที ละครเวที. ดูบทความหลักที่ คู่กรรม เดอะมิวสิคัล คู่กรรมได้รับการดัดแปลงสร้างเป็นละครเวที ในรูปแบบ ละครเพลง (sung-through musical) กลางปี พ.ศ. 2547]] โดยค่ายดรีมบอกซ์ กำกับการแสดงโดย สุวรรณดี จักราวรวุธ แสดงที่โรงละครกรุงเทพ- เซกิ โอเซกิ รับบท โกโบริ - ธีรนัยน์ ณ หนองคาย รับบท อังศุมาลิน - วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ รับบท วนัส จากนั้นได้กลับมาแสดงอีกครั้ง กลางปี พ.ศ. 2550 โดยทีมงานชุดเดิมทั้งหมด แสดงที่ โรงละครกรุงเทพเมโทรโพลิสรายชื่อนักแสดงและการสร้างรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ภาพยนตร์ พ.ศ. 25161. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลบทประพันธ์ยอดเยี่ยม (ทมยันตี) ปี 2517 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ออกแบบและสร้างฉากยอดเยี่ยม ปี 2517- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25311. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี 2531 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (จินตหรา สุขพัฒน์) ปี 2531 3. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลออกแบบและสร้างฉากยอดเยี่ยม (วีรพงษ์ ธาราศิลป์) ปี 2531 4. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (มะลิวัลย์ ด่านอุดม) ปี 2531 5. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง พากย์ชายยอดเยี่ยม (รอง เค้ามูลคดี) ปี 2531 6. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง รางวัลพิเศษ “ตุ๊กตาเงิน” ดาวรุ่งฝ่ายชาย (วรุฒ วรธรรม) ปี 2531- ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 25331. รางวัลเมขลา ละครชีวิตดีเด่น ปี 2533 2. รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำชายดีเด่น (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2533 3. รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำหญิงดีเด่น (กมลชนก โกมลฐิติ) ปี 2533 4. รางวัลเมขลา ผู้แสดงประกอบหญิงดีเด่น (ดวงดาว จารุจินดา) ปี 2533 5. รางวัลเมขลา ผู้กำกับรายการดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 6. รางวัลเมขลา ผู้กำกับการแสดงดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 7. รางวัลเมขลา บทละครดีเด่น (ศัลยา) ปี 2533 8. รางวัลเมขลา รางวัลออกแบบฉากดีเด่น (ธีระศักดิ์, เสนาะ, มนัส, วารินทร์) ปี 2533 9. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ละครชีวิตดีเด่น ปี 2533 10. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดารานำชายดีเด่น (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2533 11. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดาราสนับสนุนหญิงดีเด่น (ดวงดาว จารุจินดา) ปี 2533 12. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ผู้กำกับการแสดงดีเด่น (ไพรัช สังวริบุตร) ปี 2533 13. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ บทละครดีเด่น (ศัลยา) ปี 2533 14. รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ฉากละครดีเด่น (ธีระศักดิ์, เสนาะ, มนัส, วารินทร์) ปี 2533- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25381. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี 2538 2. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2538 3. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (ยุทธนา มุกดาสนิท, พันธ์ธัมม์ ทองสังข์, นิพนธ์ ผิวเณร) ปี 2538 4. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (รัตนพล ธรรมชาติ) ปี 2538 5. รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ตุ๊กตาทอง เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (สีฟ้า และอนุวัฒน์ สืบสุวรรณ ในเพลง เธอคนเดียว) ปี 2538 6. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (วิไลวรรณ วัฒนพานิช) ปี 2538 7. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ บันทึกเสียงยอดเยี่ยม (นิวัฒน์ สำเนียงเสนาะ) ปี 2538 8. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม (ประสรรค์ เพชรพงษ์, สายชล ทัศนจร) ปี 2538 9. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (รัตนพล ธรรมชาติ) ปี 2538 10. รางวัล Vote Award 1995 นักแสดงชายยอดนิยม (ธงไชย แมคอินไตย์) ปี 2538- ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 25561. รางวัลสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ 2013 ผู้กำกับละครยอดเยี่ยม (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) ปี 2556- ภาพยนตร์ พ.ศ. 25561. รางวัลสตาร์พิกส์ ไทยฟิล์ม อวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 2. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 3. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ นักแสดงนำชายยอดนิยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 4. รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (วรธน กฤษณะกลิน) ปี 2556 5. รางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2556 6. รางวัล MThai Top Talk-about 2014 ภาพยนตร์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ปี 2557 7. รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ภาพยนตร์ไทยยอดนิยม ปี 2557 8. รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ปี 2557
|
นวนิยายไทยแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติเรื่องคู่กรรม ตีพิมพ์รวมเป็นเล่มครั้งแรกในปีพ.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"2512"
],
"answer_begin_position": [
690
],
"answer_end_position": [
694
]
}
|
2,255 | 35,730 |
มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยโตเกียว () หรือย่อว่า โทได () เป็นมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นในลักษณะของมหาวิทยาลัยวิจัย ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว มีพื้นที่แยกออกเป็น 5 วิทยาเขต ใน ฮงโง โคมะบะ คะชิวะ ชิโระงะเนะ และ นะกะโนะ และได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีเกียรติมากที่สุดในญี่ปุ่น และยังจัดเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มหาวิทยาลัยโตเกียวประกอบด้วย 10 คณะซึ่งมีนักศึกษารวมทั้งสิ้นประมาณ 30,000 คน ในจำนวนนี้มีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 2,100 คนเป็นนักศึกษาไทยประมาณ 150 คน (ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงทีสุดในบรรดามหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น) ปัจจุบันมีหลักสูตรครอบคลุมสาขาวิทยาการเกือบทั้งหมด แต่ที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษคือ กฎหมาย รัฐศาสตร์ วรรณกรรม เศรษฐศาสตร์ แพทยศาสตร์และ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงของญี่ปุ่นจำนวนมาก นับแต่อดีตจนปัจจุบันแม้ว่าสัดส่วนจะลดลงก็ตาม อัตราส่วนของรัฐมนตรีที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยโตเกียวยังคงสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละช่วงคริสต์ศตวรรษจะอยู่ที่ประมาณ 2/3 1/2 1/4 1/5 และ1/6 ในช่วงคริสศตวรรษที่ 1950 60 70 80 และ 90 ตามลำดับ มหาวิทยาลัยโตเกียวมีการเรียนการสอนที่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นสูงในหลากหลายสาขาวิชา และมีอัตราการแข่งขันในการเข้าศึกษาสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยโตเกียวมีมหาวิทยาลัยคู่แข่งอยู่หกมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเคโอซึ่งก่อตั้งก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยฮิโตะสึบาชิซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในหมู่คนญี่ปุ่นและเปิดสอนเฉพาะวิชาด้านสังคมศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยเกียวโตซึ่งผลิตนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลเป็นจำนวนมาก หนึ่งในศิษย์เก่าเจ้าของรางวัลโนเบลของมหาวิทยาลัยโตเกียวคืออธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพิเรียลชื่อ ศาสตราจารย์ คิคุจิ ไดโรกุ ในด้านกีฬา ทีมเบสบอลมหาวิทยาลัยโตเกียว ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในระดับมหาวิทยาลัยของกรุงโตเกียว ศูนย์ฮงโหงะเป็นศูนย์หลักของมหาวิทยาลัยซึ่งเดิมเป็นที่พำนักของตระกูล "มาเอดะ" ช่วงสมัยเอโดะผู้เป็นเจ้าเมืองเคหงะ สัญลักษณ์หนึ่งที่เป็นที่รู้จักและอยู่จนปัจจุบันของมหาวิทยาลัยคือ "อะกามง" (ประตูแดง) ส่วนตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเป็นรูปใบแปะก๊วย ซึ่งปลูกอยู่เรียงรายทั่วทั้งบริเวณของมหาวิทยาลัยประวัติ ประวัติ. มหาวิทยาลัยโตเกียวก่อตั้งช่วงยุคสมัยเมจิในปี ค.ศ. 1877 ภายใต้ชื่อปัจจุบันโดยรวมโรงเรียนแพทย์ของรัฐบาลเดิมเข้ากับการเรียนการสอนแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยหลวง (帝國大學 เทโคะขุ ไดงะคึ) ในปีค.ศ. 1886 แล้วเปลี่ยนอีกเป็น "มหาวิทยาลัยจักรพรรดิโตเกียว" (東京帝國大學 โทเคียว เทโคะขุ ไดงะคึ) ในปีค.ศ. 1887 เมื่อระบบเครือมหาวิทยาลัยจักรพรรดิเริ่มก่อสร้างตัวขึ้น พอในปี ค.ศ. 1947 หลังจากญี่ปุ่นพ่ายสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยได้กลับมาใช้ชื่อดั้งเดิมอีกครั้ง และเริ่มต้นระบบมหาวิทยาลัยใหม่ในปี ค.ศ. 1949 โทได หรือ โตไดได้ยุบรวมสถาบันการศึกษาขั้นสูงแห่งแรก (ปัจจุบันคือศูนย์โคมะบะ) และสถาบันการศึกษาขั้นสูงแห่งโตเกียวเดิม เข้าเป็นศูนย์ของมหาวิทยาลัย โดยแบ่งแยกการเรียนการสอนปีแรกและปีที่สองของระดับปริญญาบัณฑิตไว้ที่ศูนย์นี้ หลังจากนั้นพอนักศึกษาขึ้นชั้นปีที่สามจึงย้ายเข้าเรียนที่ศูนย์หลักฮองโหงะ มหาวิทยาลัยโตเกียวเข้าร่วมกับกับสมาพันธ์ความร่วมมือมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งประเทศญี่ปุ่นภายใต้กฎหมายใหม่ซึ่งใช้กับมหาวิทยาลัยของรัฐทุกมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 (ออกนอกระบบ) แม้ว่าจะสมาพันธ์จะมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นอิสระทางการเงินและการบริหาร มหาวิทยาลัยโตเกียวยังคงถูกควบคุมบางส่วนโดยกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (มนบุคะงะกุโช หรือ มงกะโช)คณะและบัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะและบัณฑิตวิทยาลัย. คณะ. - นิติศาสตร์ - แพทยศาสตร์ - วิศวกรรมศาสตร์ - มานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ - เกษตรศาสตร์และชีวศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - ศิลปศาสตร์และวิทยาการ - ศึกษาศาสตร์ - เภสัชศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัยบัณฑิตวิทยาลัย. - นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ - แพทยศาสตร์ - วิศวกรรมศาสตร์ - มานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ - เกษตรศาสตร์และชีวศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - ศิลปศาสตร์และวิทยาการ - ศึกษาศาสตร์ - เภสัชศาสตร์ - วิทยาการคณิตศาสตร์ - วิทยาการล้ำยุค - วิทยาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ - ศึกษาสารสนเทศเชิงบูรณาการ - นโยบายสาธารณะสถาบันวิจัยสถาบันวิจัย. - สถาบันวิทยาการเวชศาสตร์ - สถาบันวิจัยแผ่นดินไหว - สถาบันวัฒนธรรมตะวันออก - สถาบันสังคมศาสตร์ - สถาบันศึกษาสารสนเทศและการสื่อสารสังคม - สถาบันวิทยาการอุตสาหการ - สถาบันภูมิประวัติศาสตร์ - สถาบันเวชศาสตร์โมเลกุลและเซลล์ - สถาบันวิจัยรังสีคอสมิก - สถาบันฟิสิกส์สถานะของแข็ง - สถาบันวิจัยมหาสมุทรคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง. - บาสิล ฮอล ชามเบอร์เลียน (Basil Hall Chamberlain) - ชินนิจิ คิตาโอกะ (Shinichi Kitaoka) ผู้แทนญี่ปุ่นในสหประชาชาติ - ยูจิ อิวาซาวา (Yuji Iwasawa) ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ - ไดโรกุ คิคุจิ (Dairoku Kikuchi) - เจ้าชายโคโนอิ ทาคาชิ (Prince Konoe Takashi)ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงนายกรัฐมนตรีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง. นายกรัฐมนตรี. - ชิเงรุ โยชิดะ (Shigeru Yoshida) (1946-1947,1948-1954) - โนบุสุเกะ คิฉิ (Nobusuke Kishi) (1957-1960) - เออิซากะ ซาโตะ (Eisaku Sato) (1964-1972) - ทะเคะโอะ (Takeo Fukuda) (1976-1978) - ยะสุฮิโหระ นากะโซเนะ (Yasuhiro Nakasone) (1982-1987) - คิอิชิ มิยาซาวา (Kiichi Miyazawa) (1991-1993)นักวิทยาศาสตร์นักวิทยาศาสตร์. - ทะดะโตะฉิ อะกิบะ (Tadatoshi Akiba) - คิโยฉิ อิโต (Kiyoshi Itō) - เคนคิจิ อิวะซะหวะ (Kenkichi Iwasawa) - ยะสุมาสะ คาเนดะ (Yasumasa Kanada) - คุนิฮิโกะ โคไดระ (Kunihiko Kodaira) - มิคิโอะ ซาโตะ (Mikio Sato) - โกโหระ ชิมูระ (Goro Shimura) - ยูทะกะ ทะนิยาหมะ (Yutaka Taniyama) - เทจิ ทะกะหงิ (Teiji Takagi) - โทชิยาสึ ลอเรนส์ คูนิอิ (Tosiyasu L. Kunii)อื่น ๆอื่น ๆ. - โตโยโอะ อิโต สถาปนิก - ซูซิโล แบมแบง ยุโธโยโน่ (Susilo Bambang Yudhoyono) ประธานาธิบดีคนที่หกของอินโดนีเซีย - เลโอ เอซากิ (Leo Esaki) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล - ยะสุนะหริ คาวะบาตะ (Yasunari Kawabata) นักเขียนรางวัลโนเบล - มะสะโตชิ โคชิบะ (Masatoshi Koshiba) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล - เค็นซะบุโร โอเอะ (Kenzaburo Oe) นักเขียนรางวัลโนเบล - เจ้าหญิงมาซะโกะ (Princess Masako) เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น - มิโนรุ ฮาราดะ นายกสมาคมโซคา งัคไก ท่านที่6คนไทยคนไทย. - ศาสตราจารย์นายแพทย์สมอาจ วงษ์ขมทอง (Som-Arch WongKhomtong) - อดีตศาสตราจารย์ประจำของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว และ อดีตผอ.สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล - ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - รองผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่งวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ - นายปรีชา โชคนำทาง คณะวิศวกรรมศาสตร์ - ดร.สุพรรณิกา โพธิเทพ - รศ.ดร. สุพจน์ เตชะวรสินสกุล อดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา และคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2559-ปัจจุบัน)สระน้ำซันชิโหระ สระน้ำซันชิโหระ. สระน้ำซันชิโหระ ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยศูนย์ฮองโหงะ ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1615 หลังจากการพังทลายของปราสาทโอซาก้า ท่านโชกุนในสมัยนั้นจึงพระราชทานสระน้ำและสวนรอบ ๆ ให้กับ"มาเอดะ โทชิทซิเหนะ" โดย"มาเอดะ ทซินะโนหริ"เป็นคนพัฒนาสวนเพิ่มเติมจนกลายเป็นสวนที่สวยงามที่สุดใน เอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ด้วยภูมิสถาปัตย์แบบดั้งเดิมแปดแบบแบ่งเป็นแปดบริเวณ ส่วนที่มีชื่อเสียงคือสระน้ำเทียม เนินเขา และคุ้มต่างๆ แต่เดิมรู้จักกันในชื่อว่า "อิคึโตะกุ เอ็น" ซึ่งหมายถึง"สวนแห่งการเผยแผ่พระธรรม" เส้นรอบขอบของสระน้ำจะเป็นรูปหัวใจหรือ "โคะโคะโหระ" หรือ "ชิน" ดังนั้นชื่ออย่างเป็นทางการจะเรียกว่า "อิคึโตะกุ เอ็น ชินจิอิเคะ" อย่างไรก็ตามผู้คนมักเรียกว่า สระน้ำซันชิโหระ หลังจากมีการตีพิมพ์นิยายเรื่องซันชิโหระ ของ"นัทซึเหมะ โซเซกิ"เรื่องแต่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยโตเกียวเรื่องแต่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยโตเกียว. - ในการ์ตูนและหนังการ์ตูนเรื่องบ้านพักอลเวง ตัวเอกคือ เคทาโร่ อุราชิมะ เป็นนักเรียนที่พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวหลายหน แต่สอบได้ในท้ายสุด - การ์ตูนเรื่อง "นายซ่าส์ท้าเด็กแนว (Dragon Zakura)" เป็นเรื่องเกี่ยวกับทนายความยากจน ซึ่งเคยเป็นสมาชิกก้วนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งพยายามสอนนักเรียนผลการเรียนแย่ ๆ ให้สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้จนจบการศึกษา - ตัวเอกในเรื่องซูเปอร์แมนของสำนักพิมพ์การ์ตูนดีซี จะเอ่ยถึงเบื้องหลังบ่อย ๆ ว่าเรียนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวตอนเป็นคลากเคนท์ - ตัวละครที่เป็นครูและนักตามสาว ชื่อ ซุกุรุ เทชิงะวะหระจากการ์ตูนและหนังการ์ตูนชื่อดัง "โอนิซึกะยอดครู" เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวและชอบโม้เรื่องการศึกษาของตนเองบ่อยครั้งมหาวิทยาลัยโตเกียวในงานเขียนมหาวิทยาลัยโตเกียวในงานเขียน. - มานาบุ มิยาซากิ (Manabu Miyazaki), "ทบปะโมะโหนะ: นอกกฎ. เหยียดผิว. เคลือบแคลง. ชีวิตของฉันในโลกมืดที่ญี่ปุ่น (2005, สำนักพิมพ์โคตัน (Kotan Publishing), ISBN 0-9701716-2-5)อันดับมหาวิทยาลัย อันดับมหาวิทยาลัย. ใน ค.ศ. 2005 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้เจียงตง ประเทศจีน ใน ค.ศ. 2011 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 8 ของโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย TIMES HIGHER EDUCATION ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ. 2011-2012 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย TIMES HIGHER EDUCATION ประเทศอังกฤษ
|
มหาวิทยาลัยโตเกียวในญี่ปุ่นมีชื่อย่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"โทได"
],
"answer_begin_position": [
143
],
"answer_end_position": [
147
]
}
|
2,256 | 35,730 |
มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยโตเกียว () หรือย่อว่า โทได () เป็นมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นในลักษณะของมหาวิทยาลัยวิจัย ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว มีพื้นที่แยกออกเป็น 5 วิทยาเขต ใน ฮงโง โคมะบะ คะชิวะ ชิโระงะเนะ และ นะกะโนะ และได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีเกียรติมากที่สุดในญี่ปุ่น และยังจัดเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มหาวิทยาลัยโตเกียวประกอบด้วย 10 คณะซึ่งมีนักศึกษารวมทั้งสิ้นประมาณ 30,000 คน ในจำนวนนี้มีนักศึกษาต่างชาติประมาณ 2,100 คนเป็นนักศึกษาไทยประมาณ 150 คน (ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงทีสุดในบรรดามหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น) ปัจจุบันมีหลักสูตรครอบคลุมสาขาวิทยาการเกือบทั้งหมด แต่ที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษคือ กฎหมาย รัฐศาสตร์ วรรณกรรม เศรษฐศาสตร์ แพทยศาสตร์และ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงของญี่ปุ่นจำนวนมาก นับแต่อดีตจนปัจจุบันแม้ว่าสัดส่วนจะลดลงก็ตาม อัตราส่วนของรัฐมนตรีที่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยโตเกียวยังคงสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละช่วงคริสต์ศตวรรษจะอยู่ที่ประมาณ 2/3 1/2 1/4 1/5 และ1/6 ในช่วงคริสศตวรรษที่ 1950 60 70 80 และ 90 ตามลำดับ มหาวิทยาลัยโตเกียวมีการเรียนการสอนที่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นสูงในหลากหลายสาขาวิชา และมีอัตราการแข่งขันในการเข้าศึกษาสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยโตเกียวมีมหาวิทยาลัยคู่แข่งอยู่หกมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเคโอซึ่งก่อตั้งก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยฮิโตะสึบาชิซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในหมู่คนญี่ปุ่นและเปิดสอนเฉพาะวิชาด้านสังคมศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยเกียวโตซึ่งผลิตนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลเป็นจำนวนมาก หนึ่งในศิษย์เก่าเจ้าของรางวัลโนเบลของมหาวิทยาลัยโตเกียวคืออธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพิเรียลชื่อ ศาสตราจารย์ คิคุจิ ไดโรกุ ในด้านกีฬา ทีมเบสบอลมหาวิทยาลัยโตเกียว ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในระดับมหาวิทยาลัยของกรุงโตเกียว ศูนย์ฮงโหงะเป็นศูนย์หลักของมหาวิทยาลัยซึ่งเดิมเป็นที่พำนักของตระกูล "มาเอดะ" ช่วงสมัยเอโดะผู้เป็นเจ้าเมืองเคหงะ สัญลักษณ์หนึ่งที่เป็นที่รู้จักและอยู่จนปัจจุบันของมหาวิทยาลัยคือ "อะกามง" (ประตูแดง) ส่วนตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเป็นรูปใบแปะก๊วย ซึ่งปลูกอยู่เรียงรายทั่วทั้งบริเวณของมหาวิทยาลัยประวัติ ประวัติ. มหาวิทยาลัยโตเกียวก่อตั้งช่วงยุคสมัยเมจิในปี ค.ศ. 1877 ภายใต้ชื่อปัจจุบันโดยรวมโรงเรียนแพทย์ของรัฐบาลเดิมเข้ากับการเรียนการสอนแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยหลวง (帝國大學 เทโคะขุ ไดงะคึ) ในปีค.ศ. 1886 แล้วเปลี่ยนอีกเป็น "มหาวิทยาลัยจักรพรรดิโตเกียว" (東京帝國大學 โทเคียว เทโคะขุ ไดงะคึ) ในปีค.ศ. 1887 เมื่อระบบเครือมหาวิทยาลัยจักรพรรดิเริ่มก่อสร้างตัวขึ้น พอในปี ค.ศ. 1947 หลังจากญี่ปุ่นพ่ายสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยได้กลับมาใช้ชื่อดั้งเดิมอีกครั้ง และเริ่มต้นระบบมหาวิทยาลัยใหม่ในปี ค.ศ. 1949 โทได หรือ โตไดได้ยุบรวมสถาบันการศึกษาขั้นสูงแห่งแรก (ปัจจุบันคือศูนย์โคมะบะ) และสถาบันการศึกษาขั้นสูงแห่งโตเกียวเดิม เข้าเป็นศูนย์ของมหาวิทยาลัย โดยแบ่งแยกการเรียนการสอนปีแรกและปีที่สองของระดับปริญญาบัณฑิตไว้ที่ศูนย์นี้ หลังจากนั้นพอนักศึกษาขึ้นชั้นปีที่สามจึงย้ายเข้าเรียนที่ศูนย์หลักฮองโหงะ มหาวิทยาลัยโตเกียวเข้าร่วมกับกับสมาพันธ์ความร่วมมือมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งประเทศญี่ปุ่นภายใต้กฎหมายใหม่ซึ่งใช้กับมหาวิทยาลัยของรัฐทุกมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 (ออกนอกระบบ) แม้ว่าจะสมาพันธ์จะมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นอิสระทางการเงินและการบริหาร มหาวิทยาลัยโตเกียวยังคงถูกควบคุมบางส่วนโดยกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (มนบุคะงะกุโช หรือ มงกะโช)คณะและบัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะและบัณฑิตวิทยาลัย. คณะ. - นิติศาสตร์ - แพทยศาสตร์ - วิศวกรรมศาสตร์ - มานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ - เกษตรศาสตร์และชีวศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - ศิลปศาสตร์และวิทยาการ - ศึกษาศาสตร์ - เภสัชศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัยบัณฑิตวิทยาลัย. - นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ - แพทยศาสตร์ - วิศวกรรมศาสตร์ - มานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ - เกษตรศาสตร์และชีวศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - ศิลปศาสตร์และวิทยาการ - ศึกษาศาสตร์ - เภสัชศาสตร์ - วิทยาการคณิตศาสตร์ - วิทยาการล้ำยุค - วิทยาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ - ศึกษาสารสนเทศเชิงบูรณาการ - นโยบายสาธารณะสถาบันวิจัยสถาบันวิจัย. - สถาบันวิทยาการเวชศาสตร์ - สถาบันวิจัยแผ่นดินไหว - สถาบันวัฒนธรรมตะวันออก - สถาบันสังคมศาสตร์ - สถาบันศึกษาสารสนเทศและการสื่อสารสังคม - สถาบันวิทยาการอุตสาหการ - สถาบันภูมิประวัติศาสตร์ - สถาบันเวชศาสตร์โมเลกุลและเซลล์ - สถาบันวิจัยรังสีคอสมิก - สถาบันฟิสิกส์สถานะของแข็ง - สถาบันวิจัยมหาสมุทรคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง. - บาสิล ฮอล ชามเบอร์เลียน (Basil Hall Chamberlain) - ชินนิจิ คิตาโอกะ (Shinichi Kitaoka) ผู้แทนญี่ปุ่นในสหประชาชาติ - ยูจิ อิวาซาวา (Yuji Iwasawa) ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ - ไดโรกุ คิคุจิ (Dairoku Kikuchi) - เจ้าชายโคโนอิ ทาคาชิ (Prince Konoe Takashi)ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงนายกรัฐมนตรีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง. นายกรัฐมนตรี. - ชิเงรุ โยชิดะ (Shigeru Yoshida) (1946-1947,1948-1954) - โนบุสุเกะ คิฉิ (Nobusuke Kishi) (1957-1960) - เออิซากะ ซาโตะ (Eisaku Sato) (1964-1972) - ทะเคะโอะ (Takeo Fukuda) (1976-1978) - ยะสุฮิโหระ นากะโซเนะ (Yasuhiro Nakasone) (1982-1987) - คิอิชิ มิยาซาวา (Kiichi Miyazawa) (1991-1993)นักวิทยาศาสตร์นักวิทยาศาสตร์. - ทะดะโตะฉิ อะกิบะ (Tadatoshi Akiba) - คิโยฉิ อิโต (Kiyoshi Itō) - เคนคิจิ อิวะซะหวะ (Kenkichi Iwasawa) - ยะสุมาสะ คาเนดะ (Yasumasa Kanada) - คุนิฮิโกะ โคไดระ (Kunihiko Kodaira) - มิคิโอะ ซาโตะ (Mikio Sato) - โกโหระ ชิมูระ (Goro Shimura) - ยูทะกะ ทะนิยาหมะ (Yutaka Taniyama) - เทจิ ทะกะหงิ (Teiji Takagi) - โทชิยาสึ ลอเรนส์ คูนิอิ (Tosiyasu L. Kunii)อื่น ๆอื่น ๆ. - โตโยโอะ อิโต สถาปนิก - ซูซิโล แบมแบง ยุโธโยโน่ (Susilo Bambang Yudhoyono) ประธานาธิบดีคนที่หกของอินโดนีเซีย - เลโอ เอซากิ (Leo Esaki) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล - ยะสุนะหริ คาวะบาตะ (Yasunari Kawabata) นักเขียนรางวัลโนเบล - มะสะโตชิ โคชิบะ (Masatoshi Koshiba) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล - เค็นซะบุโร โอเอะ (Kenzaburo Oe) นักเขียนรางวัลโนเบล - เจ้าหญิงมาซะโกะ (Princess Masako) เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น - มิโนรุ ฮาราดะ นายกสมาคมโซคา งัคไก ท่านที่6คนไทยคนไทย. - ศาสตราจารย์นายแพทย์สมอาจ วงษ์ขมทอง (Som-Arch WongKhomtong) - อดีตศาสตราจารย์ประจำของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว และ อดีตผอ.สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล - ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - รองผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่งวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ - นายปรีชา โชคนำทาง คณะวิศวกรรมศาสตร์ - ดร.สุพรรณิกา โพธิเทพ - รศ.ดร. สุพจน์ เตชะวรสินสกุล อดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา และคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2559-ปัจจุบัน)สระน้ำซันชิโหระ สระน้ำซันชิโหระ. สระน้ำซันชิโหระ ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยศูนย์ฮองโหงะ ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1615 หลังจากการพังทลายของปราสาทโอซาก้า ท่านโชกุนในสมัยนั้นจึงพระราชทานสระน้ำและสวนรอบ ๆ ให้กับ"มาเอดะ โทชิทซิเหนะ" โดย"มาเอดะ ทซินะโนหริ"เป็นคนพัฒนาสวนเพิ่มเติมจนกลายเป็นสวนที่สวยงามที่สุดใน เอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ด้วยภูมิสถาปัตย์แบบดั้งเดิมแปดแบบแบ่งเป็นแปดบริเวณ ส่วนที่มีชื่อเสียงคือสระน้ำเทียม เนินเขา และคุ้มต่างๆ แต่เดิมรู้จักกันในชื่อว่า "อิคึโตะกุ เอ็น" ซึ่งหมายถึง"สวนแห่งการเผยแผ่พระธรรม" เส้นรอบขอบของสระน้ำจะเป็นรูปหัวใจหรือ "โคะโคะโหระ" หรือ "ชิน" ดังนั้นชื่ออย่างเป็นทางการจะเรียกว่า "อิคึโตะกุ เอ็น ชินจิอิเคะ" อย่างไรก็ตามผู้คนมักเรียกว่า สระน้ำซันชิโหระ หลังจากมีการตีพิมพ์นิยายเรื่องซันชิโหระ ของ"นัทซึเหมะ โซเซกิ"เรื่องแต่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยโตเกียวเรื่องแต่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยโตเกียว. - ในการ์ตูนและหนังการ์ตูนเรื่องบ้านพักอลเวง ตัวเอกคือ เคทาโร่ อุราชิมะ เป็นนักเรียนที่พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวหลายหน แต่สอบได้ในท้ายสุด - การ์ตูนเรื่อง "นายซ่าส์ท้าเด็กแนว (Dragon Zakura)" เป็นเรื่องเกี่ยวกับทนายความยากจน ซึ่งเคยเป็นสมาชิกก้วนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งพยายามสอนนักเรียนผลการเรียนแย่ ๆ ให้สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้จนจบการศึกษา - ตัวเอกในเรื่องซูเปอร์แมนของสำนักพิมพ์การ์ตูนดีซี จะเอ่ยถึงเบื้องหลังบ่อย ๆ ว่าเรียนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวตอนเป็นคลากเคนท์ - ตัวละครที่เป็นครูและนักตามสาว ชื่อ ซุกุรุ เทชิงะวะหระจากการ์ตูนและหนังการ์ตูนชื่อดัง "โอนิซึกะยอดครู" เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวและชอบโม้เรื่องการศึกษาของตนเองบ่อยครั้งมหาวิทยาลัยโตเกียวในงานเขียนมหาวิทยาลัยโตเกียวในงานเขียน. - มานาบุ มิยาซากิ (Manabu Miyazaki), "ทบปะโมะโหนะ: นอกกฎ. เหยียดผิว. เคลือบแคลง. ชีวิตของฉันในโลกมืดที่ญี่ปุ่น (2005, สำนักพิมพ์โคตัน (Kotan Publishing), ISBN 0-9701716-2-5)อันดับมหาวิทยาลัย อันดับมหาวิทยาลัย. ใน ค.ศ. 2005 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้เจียงตง ประเทศจีน ใน ค.ศ. 2011 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 8 ของโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย TIMES HIGHER EDUCATION ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ. 2011-2012 มหาวิทยาลัยโตเกียวได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย จากการจัดอันดับสถาบันในระดับอุดมศึกษา โดย TIMES HIGHER EDUCATION ประเทศอังกฤษ
|
ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียวในญี่ปุ่นคืออะไร
|
{
"answer": [
"รูปใบแปะก๊วย"
],
"answer_begin_position": [
1995
],
"answer_end_position": [
2007
]
}
|
2,257 | 33,274 |
มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University in the City of New York) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวีลีก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกแห่งหนึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของนครนิวยอร์กและเก่าแก่ที่สุดอันดับที่ห้าของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่นิวยอร์กซิตี ในรัฐนิวยอร์กในส่วนของชุมชนมอร์นิงไซด์บริเวณส่วนเหนือของเกาะแมนแฮตตัน ก่อตั้งก่อนการประกาศอิสรภาพของประเทศในปี พ.ศ. 2297 (ค.ศ. 1754) ในชื่อของ วิทยาลัยคิงส์ (King's College) โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งอังกฤษ ภายหลังสหรัฐอเมริกาปฏิวัติ โคลัมเบียได้รับการสนับสนุนในฐานะเอกลักษณ์ทางปรัชญาของรัฐตั้งแต่ปี 2327 - 2330 ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ทั้งที่เป็นศิษย์เก่าและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 102 ท่าน ถือว่ามากที่สุดอันดับ 2 ของโลก ศิษย์เก่าที่เป็นประธานาธิบดีและนากยกรัฐมนตรีจากทั่วโลกจำนวน 29 ท่าน ศิษย์เก่าที่ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก (Fortune Global 500) จำนวน 45 ท่าน และมีผู้ชนะรางวัลออสการ์ 28 ท่าน นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังเป็นผู้มอบรางวัลพูลิตเซอร์ แก่ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดระดับชาติในวงการสิ่งพิมพ์ การบรรลุความสำเร็จทางวรรณกรรม และการประพันธ์เพลงในสาขาวารสารศาสตร์ เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว ซึ่งวิทยาลัยวิชาการหนังสือพิมพ์ของโคลัมเบียนับได้ว่าโดดเด่นมากที่สุดของโลกในปัจจุบัน โคลัมเบียได้รับความนิยมจากผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งผู้นำของสหรัฐอเมริกาอย่าง ทีโอดอร์ รูสเวลต์และแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ทั้งคู่ต่างก็จบการศึกษาจากวิทยาลัยกฎหมายของที่นี่ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ เคยเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยก่อนจะไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หรือแม้แต่บารัก โอบามาและ ไมก์ เกรเวิล ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2008 ก็เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย รวมถึงวุฒิสมาชิก และสมาชิกสภาคองเกรสอีกจำนวนหนึ่ง มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นมหาวิทยาลัยแรกที่เปิดให้บริการคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม โดยดำเนินรายการด้านมานุษยวิทยาและการเมือง วัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาปริญญาโท ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของวิชาพันธุศาสตร์สมัยใหม่ นอกจากนี้ในงานวิจัยเพื่อปรับปรุงการระเบิดในระดับอะตอมที่วิทยาเขตมอนิ่งไซต์ ยังได้ค้นพบการแตกตัวของธาตุยูเรเนียมอีกด้วย สำหรับวรรณกรรมและศิลปศาสตร์ยุคหลังการล่าอาณานิคม ภายหลังศตวรรษที่ 20 ทั้งหมดได้รับการรวบรวมและสามารถพบเห็นได้ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียดำเนินการ่วมกับวิทยาลัยบาร์นาร์ด (Barnard College) , วิทยาลัยครู (Teachers College) และโรงเรียนสอนศาสนา (Union Theological Seminary - UTS) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ กับวิทยาเขตมอร์นิ่งไซด์ นอกจากนี้ยังเปิดหลักสูตรปริญญาตรีโดยร่วมมือกับโรงเรียนสอนศาสนายิวแห่งอเมริกา (Jewish Theological Seminary of America) และโรงเรียนจูลเลียต (Juilliard School)วิทยาเขตวิทยาเขตมอร์นิ่งไซด์ (Morningside Heights) วิทยาเขต. วิทยาเขตมอร์นิ่งไซด์ (Morningside Heights). หลักสูตรส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเปิดการเรียนการสอนที่วิทยาเขตมอร์นิงไซด์แห่งนี้ ภายใต้แนวคิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ว่าทุกสาขาวิชาควรเปิดสอนในวิทยาเขตเดียวกัน วิทยาเขตนี้ได้รับการออกโดยศิลปินผู้มีชื่อเสียง ชาร์ลส์ ฟอลเลน แมคคิม, มีด และ ไวท์ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขา วิทยาเขตนี้มีพื้นที่มากกว่า 6 บล็อกหรือประมาณ 32 เอเคอร์ (132,000 ตารางเมตร) ในย่านมอร์นิงไซด์ ตั้งอยู่ระหว่างฮาร์เล็มและอัปเปอร์เวสต์ไซต์บนเกาะแมนฮัตตันซึ่งเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของบ้านพักในย่านมอร์นิงไซด์กว่า 7,000 แห่งสำหรับเป็นบ้านพักของคณาจารย์ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย และนักศึกษา ซึ่งประมาณ 20 หอพัก (ทั้งที่เป็นหอพักและดัดแปลง) ตั้งอยู่ภายในวิทยาเขต ระบบห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหนังสือมากถึง 9 ล้านเล่ม ห้องสมุดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมเอเวอรี่ (Avery Architectural and Fine Arts Library) เป็นห้องสมุดสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ใช่ที่สุดในโลก ห้องสมุดดังกล่าวมีหนังสือรวมกว่า 4 แสนเล่ม ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเป็นหนังสือนอกหลักสูตร และห้ามไม่สามารถยืมได้ จุดเด่นของห้องสมุดสถาปัตยกรรมแห่งนี้คือดัชนีวารสารสถาปัตยกรรมเอเวอรี่ (the Avery Index to Architectural Periodicals) ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลระดับสากลที่สำคัญที่สุดในการอ้างอิงวารสารสถาปัตยกรรมและเรื่องที่เกี่ยวข้องในงานวรรณกรรม ดัชนีวารสารนี้ครอบคลุมรายชื่อวารสารสถาปัตยกรรมตั้งแต่ทศวรรษที่ 194 เป็นต้นมา อาคารจำนวนมากในวิทยาเขตนี้ได้รับการบันทึกเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ห้องสมุดโล เมมโมเรียล (Low Memorial Library) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัย ได้รับการบันทึกด้วยความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม ฟิลอสโซฟี ฮอล (Philosophy Hall) ได้รับการบันทึกในฐานะที่เป็นต้นกำเนิดของวิทยุเอฟเอ็ม เช่นเดียวกับพูพิน ฮอล (Pupin Hall) และบริเวณภาควิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ซึ่งได้รับการบันทึกเป็นจุดเด่นของประเทศ (National Historic Landmark) ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่เอนรีโก แฟร์มี (Enrico Fermi) ค้นพบการแตกตัวของอะตอมธาตุยูเรเนียมหลังการค้นพบการแตกตัวในระดับอะตอมครั้งแรกในโลกที่ประเทศเดนมาร์กเพียงสิบวันวิทยาเขตอื่นๆวิทยาเขตอื่นๆ. - สถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Health-related schools) ในศูนย์การแพทย์ (Medical Center) บนเนื้อที่ 20 เอเคอร์ติดกับวอชิงตันไฮต์ (Washington Heights) - เบเกอร์ฟีล (Baker Field) เนื้อที่ 26 เอเคอร์ ประกอบด้วยสนามกีฬาลอเรนซ์ (the Lawrence A. Wien Stadium) - เวสต์แบงก์ แม่น้ำฮัตสัน (the west bank of the Hudson River) พื้นที่ 157 เอเคอร์ - หอสังเกตการณ์ทางธรณีวิทยา Lamont-Doherty 157 เอเคอร์ใน Palisades นิวยอร์ก - ห้องทดลองวิทยาศาสตร์เนวิส 60 เอเคอร์ในไอร์วิงตัน - Reid Hall ในปารีสซึ่งเรียนรู้ผ่านระบบดาวเทียม - อาร์เดนเฮาส์ในฮาร์ริแมน (The Arden House in Harriman) นิวยอร์ก สำหรับนักศึกษาบริหารธุรกิจโปรแกรมพิเศษโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย. โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นจากความร่วมมือของสถาบันการแพทย์ (Medical Schools) มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell university) เป็นโรงพยาบาลคุณภาพอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 3 สำหรับโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย อ้างอิงจากสำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาและผลการจัดอันดับโรงพยาบาลโลกปี 2550 สถาบันการแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นหน่วยงานพันธมิตรกับสถาบันจิตวิทยานิวยอร์ก (New York State Psychiatric Institute) นอกจากนั้นยังเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาล 19 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกาและอีก 4 แห่งในต่างประเทศประวัติ ประวัติ. มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐนิวยอร์ก ก่อตั้งในชื่อของวิทยาลัยคิงส์ (King's College) เมื่อพ.ศ. 2297 เก่าแก่เป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกา (ตามวันที่ก่อตั้ง อันดับที่ 5 ตามวันที่ได้รับอนุญาต) ภายหลังการปฏิวัติสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยคิงส์ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยโคลัมเบียก่อนจะเป็นมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในพ.ศ.ปี 2327 และ 2439 ตามลำดับ โคลัมเบียเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วยสถาบันมากถึง 20 สถาบันวิทยาลัยคิงส์ (King's College) : 2297-2319 วิทยาลัยคิงส์ (King's College) : 2297-2319. การพิจารณาจัดตั้งมหาวิทยาลัยในนิวยอร์กเริ่มขึ้นในราวปี 2257 แต่มาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในช่วงศตวรรษที่ 176 ในยุคที่นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลและสมาชิกของกลุ่มศาสนาในนิวยอร์ก (ขณะนั้นคือ Church of England ปัจจุบันคือ Episcopal) เริ่มตื่นตัวเมื่อทราบข่าวการก่อตั้งวิทยาลัยนิวเจอร์ซี (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน) ทั้งสองกลุ่มเห็นว่าวิทยาลัยนิวเจอร์ซีก่อตั้งโดยกลุ่มศาสนา new-light Presbyterians ซึ่งมีนิกาย the evangelical Great Awakening สนับสนุน ทั้งยังตั้งอยู่ในท้องที่ ตรงข้ามแม่น้ำฮัตสัน ด้วยเกรงว่านิวยอร์กจะเป็นเมืองด้อยพัฒนาทั้งทานด้านศิลปะและวิทยาการ พวกเขาจึงร่วมกันก่อตั้งสถาบันริมแม่น้ำของพวกเขาในชื่อวิทยาลัยคิงส์ (King's College) มีนายซามูเอล จอห์นสัน (Samuel Johnson) ดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนแรก เริ่มเปิดการเรียนการสอนในวันที่ 17 กรกฎาคม 2297 ในโบสถ์ซึ่งมีนายซามูเอลดูแลเพียงคนเดียวเท่านั้น จากนั้นไม่นาน วันที่ 31 ตุลาคมปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าจอร์ชที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรได้พระราชทานงบสนับสนุนให้แก่วิทยาลัยคิงส์ ต่อมาในปี 2303 วิทยาลัยคิงส์ย้ายไปตั้งในพื้นที่ของตนเองในปาร์คเพลส (Park Place) ใกล้กับศาลากลาง และในปี 2310 วิทยาลัยได้ก่อตั้งสถาบันแพทย์ขึ้นเป็นแห่งแรกโดยเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาข้อมูลมหาวิทยาลัยการเข้าศึกษา ข้อมูลมหาวิทยาลัย. การเข้าศึกษา. ในปี 2554 วิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia College) มีอัตราการรับนักศึกษาเข้าศึกษาต่อทั้งหมด 6.9% จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด กล่าวได้ว่าเข้ายากที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา รองเพียงมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่อัตาราการรับ 6.2% โดยถ้าไม่ดูจำนวนนักศึกษาที่สมัครแบบEarly Decision อัตราการรับนักศึกษาจะตํ่าลงถึง 5.7% (อัตราการรับตํ่าที่สุดในสหรัฐอเมริกาและเท่ากับมหาวิทยาลัยเยลในปีนั้น)เงินทุนช่วยเหลือ เงินทุนช่วยเหลือ. โคลัมเบียเป็นวิทยาลัยแห่งความหลากหลาย ด้วยจำนวนนักเรียนผิวสีมากถึง 49% มากกว่าครึ่งของนักศึกษาระดับปริญญาตรีได้รับเงินทุนช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัย (ได้รับในปี 2554) โดยปกตินักศึกษาจะได้รับเงินทุนช่วยเหลือประมาณ $27,000 ขึ้นไปต่อคน และเงินช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งตั้งแต่ $20,000 ขึ้นไปวิทยาลัยระดับปริญญาบัณฑิตวิทยาลัย. ระดับปริญญาบัณฑิต. - วิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia College - CC) - วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ (the Fu Foundation School of Engineering and Applied Science - SEAS) - วิทยาลัยศึกษาทั่วไป (the School of General Studies - GS) สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อหลังจากหยุดพักการเรียนไป 1-2 ปี - วิทยาลัยบาร์นาร์ด (Barnard College) ซึ่งเป็นวิทยาลัยสำหรับผู้หญิงระดับบัณฑิตศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา. - วิทยาลัยกฎหมาย (Columbia Law School) วิทยาลัยกฎหมายชื่อดังของโลก - วิทยาลัยธุรกิจ (Columbia Business School - CBS) วิทยาลัยธุรกิจชื่อดังของโลก - วิทยาลัยการต่างประเทศและการสาธารณะ (School of International and Public Affairs - SIPA) วิทยาลัยบริหารภาครัฐและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชื่อดังของโลก - วิทยาลัยวารสารศาสตร์ (the Graduate School of Journalism - J-School or CJS) โรงเรียนด้านสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียงของโลก - วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ (Columbia's medical school) - วิทยาลัยพยาบาลศาสตร์ (Columbia University School of Nursing) - วิทยาลัยสาธารณสุขเมล์แมน (Mailman School of Public Health) - วิทยาลัยทันตแพทย์ศาสตร์ (Columbia College of Dental Medicine) - วิทยาลัยสถาปัตยกรรมศาสตร์ (the Graduate School of Architecture, Planning and Preservation - GSAPP) - วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ (the Graduate School of Arts and Sciences - GSAS) - วิทยาลัยศิลปศาสตร์ (the Columbia University School of the Arts - SoA) - วิทยาลัยสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ (Columbia University School of Social Work) - วิทยาลัยครู (Teachers College, Columbia University) - วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ (the Fu Foundation School of Engineering and Applied Science - SEAS) - วิทยาลัยศึกษาต่อ (Columbia University's School of Continuing Education) สำหรับบุคคลภายนอก ตั้งแต่หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต, หลักสูตรประกาศนียบัตร, หลักสูตรภาษา, หลักสูตรศึกษาต่อต่างประเทศ, หลักสูตรภาคฤดูร้อน, และหลักสูตรมัธยมปลายอันดับโลก อันดับโลก. ในปี 2550 ระดับปริญญาบัณฑิต- อันดับ 9 ร่วมของโลก (ร่วมกับมหาวิทยาลัยชิคาโก้) โดย U.S. News and World Report (USNWR) - อันดับ 7 ของโลก และอันดับ 6 ของอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Jiao Tong University) - อันดับ 11 ของโลก และอันดับ 7 ของทวีปอเมริกาเหนือ โดย Times Higher Education (THES) - อันดับ 10 ของโลก โดย Newsweek - อันดับ 1 ของโลก โดย The Center for Measuring University Performance - อันดับ 8 ของอเมริกา โดย the National Research Council นอกจากนี้มหาวิทยาลัยโคลัมเบียยังร่วมมือกับเครือข่ายวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (University and College Accountability Network - U-CAN) ของสมาคมวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งชาติ (the National Association of Independent Colleges and Universities - NAICU) อีกด้วย สำหรับวิทยาลัยในระดับบัณฑิตศึกษาของโคลัมเบีย จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา ด้วยผลการจัดอันดับที่เกือบทั้งหมดอยู่ในกลุ่ม Top10 ของประเทศ- อันดับ 1 วิทยาลัยวารสารศาสตร์ (ที่มาของรางวัลพูลิตเซอร์) โดย U.S. News and World Report (USNWR) - อันดับ 3 วิทยาลัยครู โดย U.S. News and World Report 2010 - อันดับ 2 วิทยาลัยการต่างประเทศและการสาธารณะ (สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) และอันดับ 3 (สาขานโยบาย) - อันดับ 3 วิทยาลัยสังคมสงเคราะห์ โดย U.S. News and World Report - อันดับ 3 วิทยาลัยสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยนิตยสารด้านสถาปัตยกรรมฉบับพฤศจิกายน 2550 - อันดับ 5 วิทยาลัยกฎหมาย - อันดับ 6 วิทยาลัยสาธารณสุขเมล์แมน - อันดับ 9 วิทยาลัยธุรกิจ (อันดับ 2 โดย The Financial Times และอันดับ 6 โดยนิตยสาร Fortune) - อันดับ 10 วิทยาลัยแพทย์ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง. ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง. ปัจจุบันมหาวิทยาลัยโคลัมเบียมีศิษย์เก่าที่เป็นประธานาธิบดีและนากยกรัฐมนตรีจากทั่วโลกจำนวน 29 ท่าน ศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบลจำนวน 43 ท่าน(ถ้ารวมอาจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลด้วยจำนวน 102 ท่าน ซึ่งเป็นมหาลัยที่มีจำนวนศิษย์เก่าและอาจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดอันดับ2 ของโลก รองจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่มี 151 ท่าน) ศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จำนวน 126 ท่าน และศิษย์เก่าที่ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก(Fortune 500 companies)จำนวน 45 ท่าน- ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง - แฟรงกลิน รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีอสหรัฐเมริกาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด(4สมัย) แนวคิดของเขายังก่อให้เกิดองค์กรระหว่างประเทศ คือ สหประชาชาติ - ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ - บารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา - วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักธุรกิจและซีอีโอ เป็นบุคคลที่รวยที่สุดเป็นอันดับสามในปี 2554 และบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก - ซามูเอล ร็อบสัน วอลตัน ทายาทผู้ก่อตั้งห้าง Walmart - เจมส์ กอร์แมน CEO ของบริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ ที่ให้บริการทางการเงินระดับโลก - บิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีของนครนิวยอร์กสมัยปัจจุบัน - อีริค การ์เซ็ตติ นายกเทศมนตรีของนครลอสแอนเจลิสสมัยปัจจุบัน - เจมส์ แฟรนโก นักแสดงชาวอเมริกัน ผู้กำกับ นักเขียนบทภาพยนตร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ และศิลปิน - โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ นักแสดงชาวอเมริกัน ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และนักเขียน - แมกกี จิลเลนฮอล นักแสดงชาวอเมริกัน - เจค จิลเลินฮาล นักแสดงชาวอเมริกัน - จูเลีย สไตลส์ นักแสดงชาวอเมริกันศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียงศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียง. - ดร. เสนาะ อูนากูล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รองนายกรัฐมนตรี จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ - ศ.พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ดร.ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารสหธนาคาร - ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง อาจารย์สุรชาติจบปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์ - นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จบ Master of International Affairs ที่ School of International and Public Affairs (SIPA) - สาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ผู้บริหารระดับกลางของแบงค์ชาติ จบปริญญาโทสาขาการเงิน เคยทำงานที่ Bank of America โด่งดังมากในช่วงที่ดูแลการฟื้นฟูสถาบันการเงินยุควิกฤตเศรษฐกิจ - ดร. เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน นักเศรษฐศาสตร์เลือดใหม่ของแบงค์ชาติ จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ - สงกรานต์ กระจ่างเนตร จบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ - คุณหญิง กนิษฐา วิเชียรเจริญ เป็นผู้ก่อตั้งวิทยาลัยแม่ชี ร่วมก่อตั้งยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และได้รับรางวัลสตรีดีเด่น 1 ใน 10 คนของโลกในโอกาสวันสตรีสากลฝรั่งเศส ได้รับรางวัล Sacred Souls Award ( 1 ใน 5 คน ) จากสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลดีเด่นในด้านพุทธศาสนาประจำปี 2545มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในโลกบันเทิงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในโลกบันเทิง. - ในปี 2002 ไอ้แมงมุม (ภาพยนตร์) เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรอเมริกันในปี 2002 กำกับโดย แซม เรมี แสดงนำโดย โทบีย์ แม็กไกวร์, เคิร์สเตน ดันสต์ และ วิลเลม เดโฟ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่โดนแมงมุมกัดในห้องทดลอง ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และต่อมาเป็นฉากที่เขาเข้าเรียนในชั้นเรียนที่โคลัมเบีย โดยภาพยนตร์ก็ได้ออกฉายเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 โดยโคลัมเบียพิกเจอร์ส ภาพยนตร์ได้เสียงตอบรับด้านคำวิจารณ์ที่ดี และยังทำสถิติบ็อกซ์ออฟฟิส โดยเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดทั่วโลกในปี 2002 ทำรายได้ 822 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ไอ้แมงมุม ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก The Dark Knight และยังติดอันดับ 18 ของหนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล จากความสำเร็จทำให้มีภาคต่อในไอ้แมงมุม2 และไอ้แมงมุม3ตัวอย่างรายชื่อภาพยนตร์ของอเมริกาที่ถ่ายทำภายในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียตัวอย่างรายชื่อภาพยนตร์ของอเมริกาที่ถ่ายทำภายในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย. - Enchanted - Ghostbusters - Ghostbusters II - Hitch - Malcolm X - Mona Lisa Smile - The Nanny Diaries - New York Minute - How to Lose a Guy in 10 Days - Premium Rush - The Princess Diaries - The Pride of the Yankees - The Producers: The Movie Musical - P.S. - The Sisterhood of the Traveling Pants - Spider-Man - Spider-Man 2 - Kills Your Darlingรายชื่อละครที่ถ่ายทำภายในมหาวิทยาลัยหรือตัวละครรายชื่อละครที่ถ่ายทำภายในมหาวิทยาลัยหรือตัวละคร. - Gossip Girl - ในภาคที่3 แบลร์ วอลดอร์ และเซเรน่า แวนเดอร์ วูดเซน ได้ลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย - How I Met Your Mother - มาร์แชลล์ อีริกสัน เป็นนักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เท็ด มอสบี้ กลายเป็นอาจารย์ของสถาปัตยกรรมในตอนท้ายของภาคที่4 - Law & Order - อัยการ เจมี่ รอสส์ เข้าเรียนสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย - Lost - แมทธิว ฟ็อกซ์ และดร. แจ็ค Shephard ของเขา เป็นศิษย์เก่าโคลัมเบีย - Secret Garden - คิม จู วอน จบการศึกษาจากโคลัมเบีย - What I Like About You- วาเลอรี ไทเลอร์ เป็น ศิษย์เก่า ของ โคลัมเบียและ น้องสาวของเธอ ฮอลลี่ ได้สมัครเข้าเรียนที่โคลัมเบียเช่นเดียวกัน - Will & Grace - วิลล์ ทรูแมน และเกรซ แอดเลอร์ ได้พบกันที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
|
มหาวิทยาลัยแห่งแรกของนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย"
],
"answer_begin_position": [
114
],
"answer_end_position": [
134
]
}
|
2,258 | 154,933 |
ไททัน (ดาวบริวาร) ไททัน () คือ ดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ มีระยะห่างจากดาวเสาร์เป็นลำดับที่ 20 เป็นดาวบริวารดวงเดียวที่เป็นที่ทราบกันว่ามีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น และเป็นวัตถุเพียงชนิดเดียวนอกจากโลกที่มีการค้นพบว่ามีร่องรอยของน้ำอยู่บนดาว ไททันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าดาวบริวารของโลกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และมีมวลมากกว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในระบบสุริยะ รองจากดาวบริวารแกนีมีดของดาวพฤหัสบดี และมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดซึ่งคือ ดาวพุธ (ถึงแม้ว่าจะมีมวลน้อยกว่าเพียงครึ่งเดียวก็ตาม) ผู้คนได้รู้ว่าไททันเป็นดาวบริวารดวงแรกของดาวเสาร์ หลังจากที่ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2198 (ค.ศ. 1655) โดยคริสตียาน เฮยเคินส์ (Christiaan Huygens) นักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ ไททันประกอบด้วยน้ำ น้ำแข็ง และหินเป็นหลัก ด้วยความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศของไททัน ทำให้เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวของมันมากนัก จนกระทั่งยานอวกาศ "กัสซีนี-เฮยเคินส์" (Cassini–Huygens) ได้เดินทางไปถึงในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) รวมถึงการค้นพบทะเลสาบไฮโดรคาร์บอนเหลว บริเวณขั้วของดาวโดยดาวเทียม ลักษณะของพื้นผิวนั้น ทางธรณีวิทยาถือว่ายังค่อนข้างใหม่ ถึงแม้ว่าจะประกอบด้วยภูเขาและภูเขาไฟน้ำแข็ง (cryovolcano) ก็ตาม ชั้นบรรยากาศของไททันประกอบด้วยไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ สภาพอากาศจะมีเมฆมีเทนและอีเทน ลมและฝน ซึ่งทำให้เกิดสภาพพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายกับโลกของเรา เช่น ทะเลทราย และแนวชายฝั่ง
|
ดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์มีชื่อเรียกว่าอะไร
|
{
"answer": [
"ไททัน"
],
"answer_begin_position": [
110
],
"answer_end_position": [
115
]
}
|
2,259 | 154,933 |
ไททัน (ดาวบริวาร) ไททัน () คือ ดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ มีระยะห่างจากดาวเสาร์เป็นลำดับที่ 20 เป็นดาวบริวารดวงเดียวที่เป็นที่ทราบกันว่ามีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น และเป็นวัตถุเพียงชนิดเดียวนอกจากโลกที่มีการค้นพบว่ามีร่องรอยของน้ำอยู่บนดาว ไททันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าดาวบริวารของโลกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และมีมวลมากกว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในระบบสุริยะ รองจากดาวบริวารแกนีมีดของดาวพฤหัสบดี และมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดซึ่งคือ ดาวพุธ (ถึงแม้ว่าจะมีมวลน้อยกว่าเพียงครึ่งเดียวก็ตาม) ผู้คนได้รู้ว่าไททันเป็นดาวบริวารดวงแรกของดาวเสาร์ หลังจากที่ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2198 (ค.ศ. 1655) โดยคริสตียาน เฮยเคินส์ (Christiaan Huygens) นักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ ไททันประกอบด้วยน้ำ น้ำแข็ง และหินเป็นหลัก ด้วยความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศของไททัน ทำให้เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวของมันมากนัก จนกระทั่งยานอวกาศ "กัสซีนี-เฮยเคินส์" (Cassini–Huygens) ได้เดินทางไปถึงในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) รวมถึงการค้นพบทะเลสาบไฮโดรคาร์บอนเหลว บริเวณขั้วของดาวโดยดาวเทียม ลักษณะของพื้นผิวนั้น ทางธรณีวิทยาถือว่ายังค่อนข้างใหม่ ถึงแม้ว่าจะประกอบด้วยภูเขาและภูเขาไฟน้ำแข็ง (cryovolcano) ก็ตาม ชั้นบรรยากาศของไททันประกอบด้วยไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ สภาพอากาศจะมีเมฆมีเทนและอีเทน ลมและฝน ซึ่งทำให้เกิดสภาพพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายกับโลกของเรา เช่น ทะเลทราย และแนวชายฝั่ง
|
ดาวไททัน เป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่เท่าไรในระบบสุริยะ
|
{
"answer": [
"2"
],
"answer_begin_position": [
489
],
"answer_end_position": [
490
]
}
|
2,260 | 3,841 |
ดวงจันทร์ ดวงจันทร์เป็นวัตถุดาราศาสตร์ที่โคจรรอบโลก เป็นดาวบริวารถาวรดวงเดียวของโลก เป็นดาวบริวารใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ในระบบสุริยะ และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่สุดเมื่อเทียบกับกขนาดของดาวเคราะห์ที่โคจร ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารที่มีความหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากไอโอของดาวพฤหัสบดี ซึ่งบางส่วนไม่ทราบความหนาแน่น คาดว่าดวงจันทร์ก่อกำเนิดประมาณ 4.51 พันล้านปีก่อน ไม่นานหลังจากโลก คำอธิบายที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุดคือดวงจันทร์ก่อกำเนิดจากเศษที่เหลือจากการชนขนาดยักษ์ระหว่างโลกกับเทห์ขนาดประมาณดาวอังคารชื่อเธียอา ดวงจันทร์หมุนรอบโลกแบบประสานเวลา จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอคือด้านใกล้ที่มีลักษณะเป็นทะเลภูเขาไฟมืด ๆ ซึ่งเติมที่ว่างระหว่างที่สูงเปลือกโบราณสว่างและหลุมอุกกาบาตที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อสังเกตจากโลก เป็นเทห์ฟ้าที่เห็นได้เป็นประจำสว่างที่สุดอันดับสองในท้องฟ้าของโลกรองจากดวงอาทิตย์ พื้นผิวแท้จริงแล้วมืด แม้เทียบกับท้องฟ้าราตรีแล้วจะดูสว่างมาก โดยมีการสะท้อนสูงกว่าแอสฟอลต์เสื่อมเล็กน้อย อิทธิพลความโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นลงมหาสมุทร และทำให้หนึ่งวันยาวขึ้นเล็กน้อย มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 กิโลเมตร เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก จุดศูนย์กลางมวลร่วมของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน (เรียกว่า คาบไซโนดิก) เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาดา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก สัญลักษณ์แทนดวงจันทร์คือ ☾ ปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) นีล อาร์มสตรอง และ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศขององค์การนาซา เป็นมนุษย์ 2 คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นดินของดวงจันทร์ กฎหมายอวกาศถือว่าดวงจันทร์เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ตามสนธิสัญญาที่ใช้บังคับกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศอื่นๆ ค.ศ. 1979ชื่อและศัพทมูลวิทยา ชื่อและศัพทมูลวิทยา. ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ แต่มีความแตกต่างจากดวงจันทร์ดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ เพราะเมื่อเราพูดถึง "ดวงจันทร์" ก็จะหมายถึง ดาวบริวารที่โคจรรอบโลกของเรา คำว่า จันทร์ นั้นเป็นคำศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต (चंद्र จํทฺร อ่านว่า จัน-ดฺระ หรือคนไทยเราเรียกว่า จัน-ทฺระ) ซึงหมายถึงพระจันทร์ ในภาษาไทยเดิมมักเรียกว่า เดือน หรือ ดวงเดือน (ลาว: ເດືອນ เดือน, ไทใหญ่: လိူၼ် เหฺลิน) สำหรับในภาษาอังกฤษ ดวงจันทร์ หรือ Moon (ภาษาอังกฤษใช้อักษรตัวใหญ่ขึ้นต้นคำ) เป็นคำภาษาเจอร์แมนิก ตรงกับคำภาษาลาติน คือ mensis เป็นคำที่แยกออกมาจากรากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม และเป็นตัวแทนของการนับเวลา ซึ่งรำลึกถึงความสำคัญของมัน คือ วันจันทร์ ในภาษาอังกฤษ การเรียกดวงจันทร์มีมาจนถึงปี ค.ศ. 1665 เมื่อมีการค้นพบดาวบริวารดวงใหม่ของดาวเคราะห์ดวงอื่น บางครั้งดวงจันทร์จึงถูกเลี่ยงไปใช้ชื่อในภาษาลาตินของมันแทน คือ luna เพื่อที่จะแยกมันออกจากดาวบริวารอื่นๆพื้นผิวของดวงจันทร์การหมุนสมวาร พื้นผิวของดวงจันทร์. การหมุนสมวาร. ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองแบบที่เรียกว่า การหมุนสมวาร (synchronous rotation) คือคาบการหมุนรอบตัวเองกับคาบการโคจรรอบโลกมีค่าเท่ากัน โดยดวงจันทร์ใช้เวลาโคจรรอบประมาณ 27.3 วัน เป็นผลให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก เรียกด้านที่หันเข้าหาเราว่า "ด้านใกล้" (near side) ส่วนด้านตรงข้าม คือ "ด้านไกล" (far side) เป็นด้านที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์มีการแกว่งเล็กน้อย ทำให้เรามีโอกาสมองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้มากกว่า 50% อยู่เล็กน้อย ในอดีต ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นด้านที่ลึกลับอยู่เสมอ จนกระทั่งถึงยุคที่เราสามารถส่งยานอวกาศออกไปถึงดวงจันทร์ได้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างด้านใกล้กับด้านไกล คือ ด้านไกลไม่มีพื้นที่ราบคล้ำที่เรียกว่า "มาเร" (แปลว่าทะเล) กว้างขวางมากเหมือนอย่างด้านใกล้ ดวงจันทร์ใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองที่ได้จังหวะพอดีกับวิถีการโคจรรอบโลก ซึ่งเมื่อเรามองดวงจันทร์จากพื้นโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ยุคแรกของดวงจันทร์ การหมุนของมันช้าและกลายเป็นถูกล็อกอยู่ในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ความฝืด และมีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก เมื่อนานมาแล้ว ขณะที่ดวงจันทร์ยังคงหมุนเร็วกว่าในปัจจุบัน รอบโป่งในปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมาก่อนแนวโลก-ดวงจันทร์ เพราะว่ามันไม่สามารถดึงรอยโป่งของมันกลับคืนได้อย่างรวดเร็วพอที่จะรักษาระยะของรอยโป่งระหว่างมันกับโลก การหมุนของมันขจัดรอยโป่งนอกเหนือจากแนวโลก-ดวงจันทร์ รอยโป่งที่อยู่นอกเส้นโลก-ดวงจันทร์นี้ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวขอหนอน ซึ่งลดความเร็วของการหมุนของดวงจันทร์ลง เมื่อการหมุนของดวงจันทร์ช้าลงจนเหมาะสมกับการโคจรรอบโลก เมื่อนั้นรอยโป่งของมันจึงหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ รอยโป่งอยู่ในแนวเดียวกับโลก และรอยบิดของมันก็จึงหายไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมดวงจันทร์จึงใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองพอๆ กับการโคจรรอบโลก มีความผันผวนเล็กน้อย (ไลเบรชัน) ในมุมองศาของดวงจันทร์ซึ่งเราได้เห็น เราจึงมองเห็นพื้นผิวของดวงจันทร์ทั้งหมดประมาณ 59% ของพื้นผิวทั้งหมดของดวงจันทร์ ด้านที่มองเห็นจากโลกจะถูกเรียกว่า "ด้านใกล้" และด้านที่อยู่ตรงข้ามเรียกว่า "ด้านไกล" ด้านไกลของดวงจันทร์ต่างจากด้านมืดของดาวพุธคือ ด้านมืดของดาวพุธเป็นด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ส่องเลย แต่ด้านไกลของดวงจันทร์นั้นบางครั้งก็เป็นด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์และหันหน้าเข้าหาโลก ด้านไกลของดวงจันทร์ได้ถูกถ่ายรูปโดยยานลูน่า 3 ของโซเวียตในปี 1959 หนึ่งในลักษณะภูมิประเทศที่ทำให้สังเกตได้ว่าเป็นดวงจันทร์ด้านไกลคือมันมีที่ราบคล้ำหรือ "มาเร" น้อยกว่าด้านใกล้มากทะเลบนดวงจันทร์ ทะเลบนดวงจันทร์. พื้นผิวบนดวงจันทร์ที่มองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีคล้ำ คือที่ราบบนดวงจันทร์หรือเรียกว่า "ทะเล" บนดวงจันทร์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า "มาเรีย" หรือ "มาเร" มาจากศัพท์ภาษาละติน หมายถึง ทะเล) ทั้งนี้เนื่องจากนักดาราศาสตร์ยุคแรกๆ เชื่อว่าพื้นผิวสีคล้ำเหล่านั้นเป็นพื้นน้ำ แต่ปัจจุบันทราบกันแล้วว่าเป็นแอ่งที่ราบกว้างใหญ่เกิดจากลาวาในยุคโบราณ ลาวาที่ระเบิดพวยพุ่งเหล่านี้ไหลเข้าไปในหลุมที่เกิดจากการปะทะของอุกกาบาตหรือดาวหางที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ (ยกเว้น โอเชียนัส โพรเซลลารัม ซึ่งบนด้านไกลของดวงจันทร์ เป็นแอ่งที่มิได้เกิดจากการปะทะใดๆ เท่าที่รู้จัก) เราพบทะเลบนดวงจันทร์มากบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ ส่วนทางด้านไกลมีอยู่ประปรายเพียงประมาณ 2% ของพื้นที่ผิวทั้งหมดเท่านั้น ขณะที่ทางด้านใกล้มีทะเลถึงประมาณ 31% ของพื้นที่ผิว คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการที่บรรยากาศด้านใกล้ของดวงจันทร์มีแหล่งกำเนิดความร้อนมากกว่า ซึ่งพบได้จากแผนที่ภูมิเคมีที่สร้างขึ้นจากสเปกโตรมิเตอร์รังสีแกมมาของ ลูนาร์โปรสเปกเตอร์ภูเขาบนดวงจันทร์ ภูเขาบนดวงจันทร์. บริเวณที่มีสีอ่อนกว่าบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้นเรียกว่า "ภูเขา" (terrae) หรือบางครั้งก็เรียกง่ายๆ เพียงว่า "ที่ราบสูง" เพราะมันเป็นบริเวณที่มีความสูงมากกว่าส่วนที่เป็นทะเล มีแนวเทือกเขาที่โดดเด่นอยู่มากมายบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ตามแนวขอบของแอ่งปะทะขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหินบะซอลต์ สันนิษฐานว่านี่เป็นซากที่หลงเหลืออยู่ของขอบนอกของแอ่งปะทะ ไม่มีเทือกเขาใดของดวงจันทร์ที่เชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวดาวเหมือนอย่างการเกิดของภูเขาบนโลกเลย จากภาพที่ถ่ายไว้โดยปฏิบัติการคลีเมนไทน์ (Clementine mission) เมื่อปี ค.ศ. 1994 ทำให้พบว่าบริเวณเทือกเขา 4 แห่งตามขอบของแอ่งเพียรี (Peary crater) ซึ่งกว้าง 73 กิโลเมตร ใกล้ขั้วเหนือของดวงจันทร์ น่าจะถูกแสงอาทิตย์ตลอดช่วงวันอันยาวนานบนดวงจันทร์ เหตุที่ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์ (Peak of Eternal Light) นี้ถูกแสงอาทิตย์ตลอดเวลาน่าจะเป็นไปได้เพราะดวงจันทร์มีความเอียงของแกนเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถีน้อยมาก ไม่พบว่ามีบริเวณที่ต้องแสงอย่างนิรันดร์ลักษณะเดียวกันนี้ที่บริเวณขั้วใต้ของดาว แม้ว่าจะมีบริเวณขอบของแอ่งแชคเคิลตัน (Shackleton crater) ที่สะท้อนแสงราว 80% ของวันของดวงจันทร์ ผลสืบเนื่องอีกประการหนึ่งจากการที่แกนเอียงของดวงจันทร์มีค่าน้อยมาก คือมีย่านที่อยู่ในเขตมืดนิรันดร์ที่บริเวณก้นแอ่งมากมายใกล้ขั้วดาวแอ่งบนดวงจันทร์ แอ่งบนดวงจันทร์. พื้นผิวของดวงจันทร์สามารถสังเกตตำแหน่งได้โดยดูจากแอ่งปะทะ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่อุกกาบาตและดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นผิวของดวงจันทร์ มีแอ่งอยู่เป็นจำนวนราวครึ่งล้านแห่งที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร เนื่องจากลักษณะของแอ่งปะทะเกิดขึ้นในอัตราเกือบคงที่ จำนวนแอ่งต่อหน่วยพื้นที่จึงสามารถใช้ในการประมาณอายุของพื้นผิวได้ โดยที่ดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่มีอากาศและกระบวนการทางธรณีวิทยา จึงมั่นใจได้ว่าแอ่งเหล่านี้ดำรงคงอยู่ในลักษณะดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับแอ่งบนโลก แอ่งที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์ และอาจจัดว่าเป็นแอ่งปะทะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จักกันในระบบสุริยะ คือ แอ่งแอตเคนขั้วใต้ (South Pole-Aitken basin) แอ่งนี้อยู่ทางฝั่งด้านไกลของดวงจันทร์ ระหว่างขั้วใต้ของดาวกับแนวศูนย์สูตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2,240 กิโลเมตร ลึก 13 กิโลเมตร. สำหรับแอ่งปะทะที่โดดเด่นทางฝั่งด้านใกล้ของดวงจันทร์ ได้แก่ ทะเลอิมเบรียม ทะเลเซเรนิเททิส ทะเลคริเซียม และทะเลเนคทาริสน้ำบนดวงจันทร์ น้ำบนดวงจันทร์. วันที่ 9 ตุลาคม 2009 ครบ 100 วันการส่ง LCROSS ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ทางนาซ่าก็ยิงจรวดที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมพร้อมกับปล่อยให้ตัว ดาวเทียมตกกระทบพื้นดวงจันทร์ นาซ่าก็แถลงผลวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์บนดาวเทียมว่า ฝุ่นที่กระจายขึ้นมานั้นมีน้ำประมาณ 90 ลิตร การยืนยันนี้ได้มาจากเซ็นเซอร์ NIR (Near Infrared) โดยอาศัยการวัดค่า spectrum ของแสงก่อนการชน และหลังการชน เพื่อเทียบสัดส่วนของพลังงานในย่านต่างๆ พบว่าย่าน 300nm นั้นมีพลังงานสูงขึ้นมาเป็นการยืนยันว่ามี hydroxyl อยู่ในฝุ่นที่ลอยขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลเคยแสดงข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจจะมีไฮดรอกซิลในฝุ่นที่ลอยขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่แถลงข่าวนั้นยังไม่มีการยืนยัน ขนาดหลุมที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 เมตร (60-100 ฟุต) สำหรับการสังเกตการพวยฝุ่นที่ทางนาซ่าคาดว่าน่าจะใช้อุปกรณ์สมัครเล่นทำ ได้นั้นกลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากสภาพอากาศ แต่ทางนาซ่าก็ได้ถ่ายภาพไว้แล้วลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ. ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบอันหลากหลาย ที่มีความแตกต่างทางเคมีภูมิวิทยาอย่างชัดเจนระหว่างส่วนของพื้นผิว ส่วนของเปลือก และส่วนของแกน เชื่อว่าลักษณะทางโครงสร้างเช่นนี้เป็นผลมาจากการก่อตัวขึ้นเป็นส่วนๆ จากทะเลแมกม่าที่เกิดขึ้นหลังจากการกำเนิดดาวเคราะห์ไม่นานนัก คือราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว พลังงานที่ใช้ในการหลอมเหลวผิวชั้นนอกของดวงจันทร์เชื่อว่าเกิดจากการปะทะครั้งใหญ่ ซึ่งให้เกิดระบบการโคจรระหว่างโลกกับดวงจันทร์ขึ้นโครงสร้างภายในสนามแรงโน้มถ่วงสนามแม่เหล็กบรรยากาศอุณหภูมิพื้นผิว อุณหภูมิพื้นผิว. แตกต่างอย่างชัดเจนเนื่องจากบนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มเหมือนบนโลกกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาการก่อตัว กำเนิดและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา. การก่อตัว. ในยุคแรก ๆ คาดเดากันว่าดวงจันทร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลก แต่เปลือกโลกส่วนนั้นได้กระเด็นออกไปโดยมีสาเหตุจากแรงหนีศูนย์กลาง ทิ้งร่องรอยเป็นแอ่งของมหาสมุทรขนาดใหญ่บนโลก อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโลกจะต้องหมุนรอบตัวเองเร็วมาก บางคนบอกว่าดวงจันทร์อาจก่อตัวขึ้นที่อื่น แต่พลัดหลงมาอยู่ใกล้โลกจึงถูกโลกจับไว้เป็นดาวบริวาร บางคนเสนอว่า โลกและดวงจันทร์อาจเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันขณะที่ระบบสุริยะก่อตัว แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหล็กในดวงจันทร์พร่องไปไหน อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ดวงจันทร์อาจก่อตัวจากการสะสมหลอมรวมของดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก ทฤษฎีที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ กล่าวว่ามีวัตถุขนาดดาวอังคารโคจรมาชนโลก ในช่วงที่โลกกำลังก่อตัวขึ้นใหม่ ๆ ทำให้เนื้อโลกบางส่วนที่ยังร้อนอยู่กระเด็นออกไป และรวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ แรงไทดัลทำให้ดวงจันทร์มีรูปร่างเป็นทรงรีอยู่เล็กน้อย โดยมีแกนหลัก (แกนด้านยาว) ของวงรีชี้มายังโลกทะเลแม็กมาการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหินดวงจันทร์วงโคจรและความสัมพันธ์กับโลกการเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง. เกิดจากแรงดึงดูดตามกฎแรงดึงดูดระหว่างของนิวตันที่กล่าวไว้ว่า "วัตถุทุกชนิดในเอกภพ จะส่งแรงดึงดูดระหว่างกัน โดยขนาดของแรงดึงดูด จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลยกกำลังสอง" ดังนั้นเมื่อพิจารณาโลกแล้วพบว่าโลกได้รับแรงดึงดูดจากดาวสองดวง คือ ดวงอาทิตย์ที่แม้อยู่ไกลแต่มีขนาดใหญ่ และดวงจันทร์ที่แม้ขนาดเล็กแต่อยู่ใกล้ โดยแต่ละตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปทำให้ทิศทางของแรงกระทำเปลี่ยนด้วย ส่งผลให้ของไหล(น้ำและแก๊ส)บนโลก เคลื่อนที่ตามทิศทางของแรงดึงดูดที่มากระทำต่อโลกเกิดเป็นปรากฏการ์ณคือ น้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งนอกจากน้ำบนผิวโลกแล้ว ดวงจันทร์ยังมีผลีต่อน้ำในร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ มีผลต่อเลือดและของเหลวในสมอง ซึ่งเป็นคำอธิบายการคลุ้มคลั่งของผู้มีอาการทางจิตในช่วงพระจันทร์เต็มดวงจันทรุปราคา จันทรุปราคา. จันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงตัวในแนวเดียวกันตามลำดับ ทำให้เงาของโลก บดบังแสงอาทิตย์ที่จะส่องมายังดวงจันทร์ และทำให้ดวงจันทร์ค่อยๆหายไปทั้งหมด หรือบางส่วน ก่อนจะกลับมาปรากฏใหม่อีกครั้ง ซึ่งจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปทั้งหมดเรียกว่า จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปบางส่วนเรียกว่า จันทรุปราคาบางส่วนการสังเกตดวงจันทร์การสำรวจดวงจันทร์ความเชื่อของมนุษย์ต่อดวงจันทร์ ความเชื่อของมนุษย์ต่อดวงจันทร์. ชาวตะวันตกมีเทพนิยายกรีก ที่มีอาร์ทิมิส (Artemis) และ เซลีนี เทพีแห่งดวงจันทร์ และชาวโรมันมี ไดแอนา เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์เช่นกัน ส่วนทางตะวันออกเช่น จีน มีเทพธิดาฉางเอ๋อ เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ในโหราศาสตร์ไทยมี พระจันทร์ เป็นเทวดาประจำวันจันทร์ และชาวญี่ปุ่น มีการมองดวงจันทร์ว่ามีกระต่ายตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์สถานภาพทางกฎหมาย สถานภาพทางกฎหมาย. ถึงแม้ว่าธงจำนวนมากของสหภาพโซเวียตจะถูกโปรยโดยยานลูน่า 2 ในปี 1959 และภายหลังภารกิจลงจอด และธงชาติสหรัฐอเมริกาก็ถูกปักไว้เป็นสัญลักษณ์บนดวงจันทร์ ไม่มีชาติใดได้ครอบครองความเป็นเจ้าของของส่วนใดส่วนหนึ่งของพื้นผิวดวงจันทร์เลย โซเวียตและสหรัฐต่างก็อยู่ร่วมกันในสนธิสัญญาอวกาศนอก ซึ่งให้ดวงจันทร์อยู่ภายใต้วงอำนาจเดียวกันกับเขตน่านน้ำสากล (สาธารณสมบัติ) สนธิสัญญานี้ยังจำกัดให้มีการใช้ดวงจันทร์เพื่อจุดประสงค์แห่งสันติภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการห้ามการติดตั้งทหารและอาวุธอำนาจทำลายล้างสูงอีกด้วย (รวมไปถึงอาวุธนิวเคลียร์) สนธิสัญญาฉบับที่ 2 สนธิสัญญาจันทรา มีจุดประสงค์เพื่อที่จะจำกัดการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติบนดวงจันทร์โดยชาติเพียงชาติเดียว แต่ก็ยังไม่มีชาติใดในกลุ่ม Space-faring nations เซ็นสนธิสัญญานี้เลย เอกชนหลายๆ แห่งได้ทำการครอบครองดวงจันทร์ทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดจะพิจารณาความน่าเชื่อถือก็ตาม
|
ดาวบริวารถาวรดวงเดียวของโลกคือดาวอะไร
|
{
"answer": [
"ดวงจันทร์"
],
"answer_begin_position": [
90
],
"answer_end_position": [
99
]
}
|
2,261 | 3,841 |
ดวงจันทร์ ดวงจันทร์เป็นวัตถุดาราศาสตร์ที่โคจรรอบโลก เป็นดาวบริวารถาวรดวงเดียวของโลก เป็นดาวบริวารใหญ่ที่สุดอันดับที่ 5 ในระบบสุริยะ และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่สุดเมื่อเทียบกับกขนาดของดาวเคราะห์ที่โคจร ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารที่มีความหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากไอโอของดาวพฤหัสบดี ซึ่งบางส่วนไม่ทราบความหนาแน่น คาดว่าดวงจันทร์ก่อกำเนิดประมาณ 4.51 พันล้านปีก่อน ไม่นานหลังจากโลก คำอธิบายที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุดคือดวงจันทร์ก่อกำเนิดจากเศษที่เหลือจากการชนขนาดยักษ์ระหว่างโลกกับเทห์ขนาดประมาณดาวอังคารชื่อเธียอา ดวงจันทร์หมุนรอบโลกแบบประสานเวลา จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอคือด้านใกล้ที่มีลักษณะเป็นทะเลภูเขาไฟมืด ๆ ซึ่งเติมที่ว่างระหว่างที่สูงเปลือกโบราณสว่างและหลุมอุกกาบาตที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อสังเกตจากโลก เป็นเทห์ฟ้าที่เห็นได้เป็นประจำสว่างที่สุดอันดับสองในท้องฟ้าของโลกรองจากดวงอาทิตย์ พื้นผิวแท้จริงแล้วมืด แม้เทียบกับท้องฟ้าราตรีแล้วจะดูสว่างมาก โดยมีการสะท้อนสูงกว่าแอสฟอลต์เสื่อมเล็กน้อย อิทธิพลความโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นลงมหาสมุทร และทำให้หนึ่งวันยาวขึ้นเล็กน้อย มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 กิโลเมตร เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก จุดศูนย์กลางมวลร่วมของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน (เรียกว่า คาบไซโนดิก) เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาดา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก สัญลักษณ์แทนดวงจันทร์คือ ☾ ปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) นีล อาร์มสตรอง และ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศขององค์การนาซา เป็นมนุษย์ 2 คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นดินของดวงจันทร์ กฎหมายอวกาศถือว่าดวงจันทร์เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ตามสนธิสัญญาที่ใช้บังคับกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศอื่นๆ ค.ศ. 1979ชื่อและศัพทมูลวิทยา ชื่อและศัพทมูลวิทยา. ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ แต่มีความแตกต่างจากดวงจันทร์ดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ เพราะเมื่อเราพูดถึง "ดวงจันทร์" ก็จะหมายถึง ดาวบริวารที่โคจรรอบโลกของเรา คำว่า จันทร์ นั้นเป็นคำศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต (चंद्र จํทฺร อ่านว่า จัน-ดฺระ หรือคนไทยเราเรียกว่า จัน-ทฺระ) ซึงหมายถึงพระจันทร์ ในภาษาไทยเดิมมักเรียกว่า เดือน หรือ ดวงเดือน (ลาว: ເດືອນ เดือน, ไทใหญ่: လိူၼ် เหฺลิน) สำหรับในภาษาอังกฤษ ดวงจันทร์ หรือ Moon (ภาษาอังกฤษใช้อักษรตัวใหญ่ขึ้นต้นคำ) เป็นคำภาษาเจอร์แมนิก ตรงกับคำภาษาลาติน คือ mensis เป็นคำที่แยกออกมาจากรากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม และเป็นตัวแทนของการนับเวลา ซึ่งรำลึกถึงความสำคัญของมัน คือ วันจันทร์ ในภาษาอังกฤษ การเรียกดวงจันทร์มีมาจนถึงปี ค.ศ. 1665 เมื่อมีการค้นพบดาวบริวารดวงใหม่ของดาวเคราะห์ดวงอื่น บางครั้งดวงจันทร์จึงถูกเลี่ยงไปใช้ชื่อในภาษาลาตินของมันแทน คือ luna เพื่อที่จะแยกมันออกจากดาวบริวารอื่นๆพื้นผิวของดวงจันทร์การหมุนสมวาร พื้นผิวของดวงจันทร์. การหมุนสมวาร. ดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเองแบบที่เรียกว่า การหมุนสมวาร (synchronous rotation) คือคาบการหมุนรอบตัวเองกับคาบการโคจรรอบโลกมีค่าเท่ากัน โดยดวงจันทร์ใช้เวลาโคจรรอบประมาณ 27.3 วัน เป็นผลให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก เรียกด้านที่หันเข้าหาเราว่า "ด้านใกล้" (near side) ส่วนด้านตรงข้าม คือ "ด้านไกล" (far side) เป็นด้านที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์มีการแกว่งเล็กน้อย ทำให้เรามีโอกาสมองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์ได้มากกว่า 50% อยู่เล็กน้อย ในอดีต ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นด้านที่ลึกลับอยู่เสมอ จนกระทั่งถึงยุคที่เราสามารถส่งยานอวกาศออกไปถึงดวงจันทร์ได้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างด้านใกล้กับด้านไกล คือ ด้านไกลไม่มีพื้นที่ราบคล้ำที่เรียกว่า "มาเร" (แปลว่าทะเล) กว้างขวางมากเหมือนอย่างด้านใกล้ ดวงจันทร์ใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองที่ได้จังหวะพอดีกับวิถีการโคจรรอบโลก ซึ่งเมื่อเรามองดวงจันทร์จากพื้นโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวตลอดเวลา ในประวัติศาสตร์ยุคแรกของดวงจันทร์ การหมุนของมันช้าและกลายเป็นถูกล็อกอยู่ในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ความฝืด และมีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงบนโลก เมื่อนานมาแล้ว ขณะที่ดวงจันทร์ยังคงหมุนเร็วกว่าในปัจจุบัน รอบโป่งในปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมาก่อนแนวโลก-ดวงจันทร์ เพราะว่ามันไม่สามารถดึงรอยโป่งของมันกลับคืนได้อย่างรวดเร็วพอที่จะรักษาระยะของรอยโป่งระหว่างมันกับโลก การหมุนของมันขจัดรอยโป่งนอกเหนือจากแนวโลก-ดวงจันทร์ รอยโป่งที่อยู่นอกเส้นโลก-ดวงจันทร์นี้ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวขอหนอน ซึ่งลดความเร็วของการหมุนของดวงจันทร์ลง เมื่อการหมุนของดวงจันทร์ช้าลงจนเหมาะสมกับการโคจรรอบโลก เมื่อนั้นรอยโป่งของมันจึงหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ รอยโป่งอยู่ในแนวเดียวกับโลก และรอยบิดของมันก็จึงหายไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมดวงจันทร์จึงใช้เวลาในการหมุนรอบตัวเองพอๆ กับการโคจรรอบโลก มีความผันผวนเล็กน้อย (ไลเบรชัน) ในมุมองศาของดวงจันทร์ซึ่งเราได้เห็น เราจึงมองเห็นพื้นผิวของดวงจันทร์ทั้งหมดประมาณ 59% ของพื้นผิวทั้งหมดของดวงจันทร์ ด้านที่มองเห็นจากโลกจะถูกเรียกว่า "ด้านใกล้" และด้านที่อยู่ตรงข้ามเรียกว่า "ด้านไกล" ด้านไกลของดวงจันทร์ต่างจากด้านมืดของดาวพุธคือ ด้านมืดของดาวพุธเป็นด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ส่องเลย แต่ด้านไกลของดวงจันทร์นั้นบางครั้งก็เป็นด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์และหันหน้าเข้าหาโลก ด้านไกลของดวงจันทร์ได้ถูกถ่ายรูปโดยยานลูน่า 3 ของโซเวียตในปี 1959 หนึ่งในลักษณะภูมิประเทศที่ทำให้สังเกตได้ว่าเป็นดวงจันทร์ด้านไกลคือมันมีที่ราบคล้ำหรือ "มาเร" น้อยกว่าด้านใกล้มากทะเลบนดวงจันทร์ ทะเลบนดวงจันทร์. พื้นผิวบนดวงจันทร์ที่มองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีคล้ำ คือที่ราบบนดวงจันทร์หรือเรียกว่า "ทะเล" บนดวงจันทร์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า "มาเรีย" หรือ "มาเร" มาจากศัพท์ภาษาละติน หมายถึง ทะเล) ทั้งนี้เนื่องจากนักดาราศาสตร์ยุคแรกๆ เชื่อว่าพื้นผิวสีคล้ำเหล่านั้นเป็นพื้นน้ำ แต่ปัจจุบันทราบกันแล้วว่าเป็นแอ่งที่ราบกว้างใหญ่เกิดจากลาวาในยุคโบราณ ลาวาที่ระเบิดพวยพุ่งเหล่านี้ไหลเข้าไปในหลุมที่เกิดจากการปะทะของอุกกาบาตหรือดาวหางที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ (ยกเว้น โอเชียนัส โพรเซลลารัม ซึ่งบนด้านไกลของดวงจันทร์ เป็นแอ่งที่มิได้เกิดจากการปะทะใดๆ เท่าที่รู้จัก) เราพบทะเลบนดวงจันทร์มากบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ ส่วนทางด้านไกลมีอยู่ประปรายเพียงประมาณ 2% ของพื้นที่ผิวทั้งหมดเท่านั้น ขณะที่ทางด้านใกล้มีทะเลถึงประมาณ 31% ของพื้นที่ผิว คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการที่บรรยากาศด้านใกล้ของดวงจันทร์มีแหล่งกำเนิดความร้อนมากกว่า ซึ่งพบได้จากแผนที่ภูมิเคมีที่สร้างขึ้นจากสเปกโตรมิเตอร์รังสีแกมมาของ ลูนาร์โปรสเปกเตอร์ภูเขาบนดวงจันทร์ ภูเขาบนดวงจันทร์. บริเวณที่มีสีอ่อนกว่าบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้นเรียกว่า "ภูเขา" (terrae) หรือบางครั้งก็เรียกง่ายๆ เพียงว่า "ที่ราบสูง" เพราะมันเป็นบริเวณที่มีความสูงมากกว่าส่วนที่เป็นทะเล มีแนวเทือกเขาที่โดดเด่นอยู่มากมายบนด้านใกล้ของดวงจันทร์ตามแนวขอบของแอ่งปะทะขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหินบะซอลต์ สันนิษฐานว่านี่เป็นซากที่หลงเหลืออยู่ของขอบนอกของแอ่งปะทะ ไม่มีเทือกเขาใดของดวงจันทร์ที่เชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวดาวเหมือนอย่างการเกิดของภูเขาบนโลกเลย จากภาพที่ถ่ายไว้โดยปฏิบัติการคลีเมนไทน์ (Clementine mission) เมื่อปี ค.ศ. 1994 ทำให้พบว่าบริเวณเทือกเขา 4 แห่งตามขอบของแอ่งเพียรี (Peary crater) ซึ่งกว้าง 73 กิโลเมตร ใกล้ขั้วเหนือของดวงจันทร์ น่าจะถูกแสงอาทิตย์ตลอดช่วงวันอันยาวนานบนดวงจันทร์ เหตุที่ยอดเขาแห่งแสงนิรันดร์ (Peak of Eternal Light) นี้ถูกแสงอาทิตย์ตลอดเวลาน่าจะเป็นไปได้เพราะดวงจันทร์มีความเอียงของแกนเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถีน้อยมาก ไม่พบว่ามีบริเวณที่ต้องแสงอย่างนิรันดร์ลักษณะเดียวกันนี้ที่บริเวณขั้วใต้ของดาว แม้ว่าจะมีบริเวณขอบของแอ่งแชคเคิลตัน (Shackleton crater) ที่สะท้อนแสงราว 80% ของวันของดวงจันทร์ ผลสืบเนื่องอีกประการหนึ่งจากการที่แกนเอียงของดวงจันทร์มีค่าน้อยมาก คือมีย่านที่อยู่ในเขตมืดนิรันดร์ที่บริเวณก้นแอ่งมากมายใกล้ขั้วดาวแอ่งบนดวงจันทร์ แอ่งบนดวงจันทร์. พื้นผิวของดวงจันทร์สามารถสังเกตตำแหน่งได้โดยดูจากแอ่งปะทะ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่อุกกาบาตและดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นผิวของดวงจันทร์ มีแอ่งอยู่เป็นจำนวนราวครึ่งล้านแห่งที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร เนื่องจากลักษณะของแอ่งปะทะเกิดขึ้นในอัตราเกือบคงที่ จำนวนแอ่งต่อหน่วยพื้นที่จึงสามารถใช้ในการประมาณอายุของพื้นผิวได้ โดยที่ดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่มีอากาศและกระบวนการทางธรณีวิทยา จึงมั่นใจได้ว่าแอ่งเหล่านี้ดำรงคงอยู่ในลักษณะดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับแอ่งบนโลก แอ่งที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์ และอาจจัดว่าเป็นแอ่งปะทะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จักกันในระบบสุริยะ คือ แอ่งแอตเคนขั้วใต้ (South Pole-Aitken basin) แอ่งนี้อยู่ทางฝั่งด้านไกลของดวงจันทร์ ระหว่างขั้วใต้ของดาวกับแนวศูนย์สูตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2,240 กิโลเมตร ลึก 13 กิโลเมตร. สำหรับแอ่งปะทะที่โดดเด่นทางฝั่งด้านใกล้ของดวงจันทร์ ได้แก่ ทะเลอิมเบรียม ทะเลเซเรนิเททิส ทะเลคริเซียม และทะเลเนคทาริสน้ำบนดวงจันทร์ น้ำบนดวงจันทร์. วันที่ 9 ตุลาคม 2009 ครบ 100 วันการส่ง LCROSS ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ทางนาซ่าก็ยิงจรวดที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียมพร้อมกับปล่อยให้ตัว ดาวเทียมตกกระทบพื้นดวงจันทร์ นาซ่าก็แถลงผลวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์บนดาวเทียมว่า ฝุ่นที่กระจายขึ้นมานั้นมีน้ำประมาณ 90 ลิตร การยืนยันนี้ได้มาจากเซ็นเซอร์ NIR (Near Infrared) โดยอาศัยการวัดค่า spectrum ของแสงก่อนการชน และหลังการชน เพื่อเทียบสัดส่วนของพลังงานในย่านต่างๆ พบว่าย่าน 300nm นั้นมีพลังงานสูงขึ้นมาเป็นการยืนยันว่ามี hydroxyl อยู่ในฝุ่นที่ลอยขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลเคยแสดงข้อมูลเบื้องต้นว่าอาจจะมีไฮดรอกซิลในฝุ่นที่ลอยขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่แถลงข่าวนั้นยังไม่มีการยืนยัน ขนาดหลุมที่เกิดขึ้นจากการพุ่งชนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 เมตร (60-100 ฟุต) สำหรับการสังเกตการพวยฝุ่นที่ทางนาซ่าคาดว่าน่าจะใช้อุปกรณ์สมัครเล่นทำ ได้นั้นกลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากสภาพอากาศ แต่ทางนาซ่าก็ได้ถ่ายภาพไว้แล้วลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ. ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบอันหลากหลาย ที่มีความแตกต่างทางเคมีภูมิวิทยาอย่างชัดเจนระหว่างส่วนของพื้นผิว ส่วนของเปลือก และส่วนของแกน เชื่อว่าลักษณะทางโครงสร้างเช่นนี้เป็นผลมาจากการก่อตัวขึ้นเป็นส่วนๆ จากทะเลแมกม่าที่เกิดขึ้นหลังจากการกำเนิดดาวเคราะห์ไม่นานนัก คือราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว พลังงานที่ใช้ในการหลอมเหลวผิวชั้นนอกของดวงจันทร์เชื่อว่าเกิดจากการปะทะครั้งใหญ่ ซึ่งให้เกิดระบบการโคจรระหว่างโลกกับดวงจันทร์ขึ้นโครงสร้างภายในสนามแรงโน้มถ่วงสนามแม่เหล็กบรรยากาศอุณหภูมิพื้นผิว อุณหภูมิพื้นผิว. แตกต่างอย่างชัดเจนเนื่องจากบนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มเหมือนบนโลกกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาการก่อตัว กำเนิดและการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา. การก่อตัว. ในยุคแรก ๆ คาดเดากันว่าดวงจันทร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลก แต่เปลือกโลกส่วนนั้นได้กระเด็นออกไปโดยมีสาเหตุจากแรงหนีศูนย์กลาง ทิ้งร่องรอยเป็นแอ่งของมหาสมุทรขนาดใหญ่บนโลก อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะโลกจะต้องหมุนรอบตัวเองเร็วมาก บางคนบอกว่าดวงจันทร์อาจก่อตัวขึ้นที่อื่น แต่พลัดหลงมาอยู่ใกล้โลกจึงถูกโลกจับไว้เป็นดาวบริวาร บางคนเสนอว่า โลกและดวงจันทร์อาจเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันขณะที่ระบบสุริยะก่อตัว แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหล็กในดวงจันทร์พร่องไปไหน อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ดวงจันทร์อาจก่อตัวจากการสะสมหลอมรวมของดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก ทฤษฎีที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ กล่าวว่ามีวัตถุขนาดดาวอังคารโคจรมาชนโลก ในช่วงที่โลกกำลังก่อตัวขึ้นใหม่ ๆ ทำให้เนื้อโลกบางส่วนที่ยังร้อนอยู่กระเด็นออกไป และรวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ แรงไทดัลทำให้ดวงจันทร์มีรูปร่างเป็นทรงรีอยู่เล็กน้อย โดยมีแกนหลัก (แกนด้านยาว) ของวงรีชี้มายังโลกทะเลแม็กมาการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหินดวงจันทร์วงโคจรและความสัมพันธ์กับโลกการเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง. เกิดจากแรงดึงดูดตามกฎแรงดึงดูดระหว่างของนิวตันที่กล่าวไว้ว่า "วัตถุทุกชนิดในเอกภพ จะส่งแรงดึงดูดระหว่างกัน โดยขนาดของแรงดึงดูด จะแปรผันตรงกับผลคูณของมวลทั้งสอง และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลยกกำลังสอง" ดังนั้นเมื่อพิจารณาโลกแล้วพบว่าโลกได้รับแรงดึงดูดจากดาวสองดวง คือ ดวงอาทิตย์ที่แม้อยู่ไกลแต่มีขนาดใหญ่ และดวงจันทร์ที่แม้ขนาดเล็กแต่อยู่ใกล้ โดยแต่ละตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปทำให้ทิศทางของแรงกระทำเปลี่ยนด้วย ส่งผลให้ของไหล(น้ำและแก๊ส)บนโลก เคลื่อนที่ตามทิศทางของแรงดึงดูดที่มากระทำต่อโลกเกิดเป็นปรากฏการ์ณคือ น้ำขึ้นและน้ำลง ซึ่งนอกจากน้ำบนผิวโลกแล้ว ดวงจันทร์ยังมีผลีต่อน้ำในร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ มีผลต่อเลือดและของเหลวในสมอง ซึ่งเป็นคำอธิบายการคลุ้มคลั่งของผู้มีอาการทางจิตในช่วงพระจันทร์เต็มดวงจันทรุปราคา จันทรุปราคา. จันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงตัวในแนวเดียวกันตามลำดับ ทำให้เงาของโลก บดบังแสงอาทิตย์ที่จะส่องมายังดวงจันทร์ และทำให้ดวงจันทร์ค่อยๆหายไปทั้งหมด หรือบางส่วน ก่อนจะกลับมาปรากฏใหม่อีกครั้ง ซึ่งจันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปทั้งหมดเรียกว่า จันทรุปราคาเต็มดวง จันทรุปราคาที่ดวงจันทร์จะหายไปบางส่วนเรียกว่า จันทรุปราคาบางส่วนการสังเกตดวงจันทร์การสำรวจดวงจันทร์ความเชื่อของมนุษย์ต่อดวงจันทร์ ความเชื่อของมนุษย์ต่อดวงจันทร์. ชาวตะวันตกมีเทพนิยายกรีก ที่มีอาร์ทิมิส (Artemis) และ เซลีนี เทพีแห่งดวงจันทร์ และชาวโรมันมี ไดแอนา เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์เช่นกัน ส่วนทางตะวันออกเช่น จีน มีเทพธิดาฉางเอ๋อ เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ในโหราศาสตร์ไทยมี พระจันทร์ เป็นเทวดาประจำวันจันทร์ และชาวญี่ปุ่น มีการมองดวงจันทร์ว่ามีกระต่ายตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์สถานภาพทางกฎหมาย สถานภาพทางกฎหมาย. ถึงแม้ว่าธงจำนวนมากของสหภาพโซเวียตจะถูกโปรยโดยยานลูน่า 2 ในปี 1959 และภายหลังภารกิจลงจอด และธงชาติสหรัฐอเมริกาก็ถูกปักไว้เป็นสัญลักษณ์บนดวงจันทร์ ไม่มีชาติใดได้ครอบครองความเป็นเจ้าของของส่วนใดส่วนหนึ่งของพื้นผิวดวงจันทร์เลย โซเวียตและสหรัฐต่างก็อยู่ร่วมกันในสนธิสัญญาอวกาศนอก ซึ่งให้ดวงจันทร์อยู่ภายใต้วงอำนาจเดียวกันกับเขตน่านน้ำสากล (สาธารณสมบัติ) สนธิสัญญานี้ยังจำกัดให้มีการใช้ดวงจันทร์เพื่อจุดประสงค์แห่งสันติภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการห้ามการติดตั้งทหารและอาวุธอำนาจทำลายล้างสูงอีกด้วย (รวมไปถึงอาวุธนิวเคลียร์) สนธิสัญญาฉบับที่ 2 สนธิสัญญาจันทรา มีจุดประสงค์เพื่อที่จะจำกัดการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติบนดวงจันทร์โดยชาติเพียงชาติเดียว แต่ก็ยังไม่มีชาติใดในกลุ่ม Space-faring nations เซ็นสนธิสัญญานี้เลย เอกชนหลายๆ แห่งได้ทำการครอบครองดวงจันทร์ทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดจะพิจารณาความน่าเชื่อถือก็ตาม
|
ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่เท่าไรในระบบสุริยะ
|
{
"answer": [
"5"
],
"answer_begin_position": [
197
],
"answer_end_position": [
198
]
}
|
2,262 | 410,767 |
อะพอลโล 11 อะพอลโล 11 () เป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์สำเร็จขององค์การนาซา อะพอลโล 11 ถูกส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยจรวดแซทเทิร์น 5 (Saturn V) ที่ฐานยิงจรวจที่แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 อีก3วันต่อมาก็สามารถลงจอดบริเวณ "ทะเลแห่งความเงียบสงบ” (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ ลูกเรือประกอบด้วย นีล อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong) ผู้บังคับการ, เอดวิน อัลดริน (Adwin Aldrin) และ ไมเคิล คอลลินส์ (Michael Collins) อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่ลงมาประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ ตามมาด้วยอัลดริน ทั้งสองได้ติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหว กระจกเลเซอร์เครื่องวัด "ลมสุริยะ" และเก็บตัวอย่างหินและดิน 20.8 กิโลกรัม นำกลับโลก รวมเวลาอยู่บนดวงจันทร์ 21 ชั่วโมง 36 นาที ใช้เวลานับตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับถึงโลก 195 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที กลับถึงโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการอะพอลโล (Apollo Project) ซึ่งเกิดจากความปรารถนาของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ต้องการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ให้สำเร็จ และกลับมายังโลกอย่างปลอดภัย
|
ยานอวกาศลำแรกขององค์การนาซาที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์ได้สำเร็จมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"อะพอลโล 11"
],
"answer_begin_position": [
173
],
"answer_end_position": [
183
]
}
|
2,263 | 115,059 |
ไลกา (สุนัข) ไลก้า (; , มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ช่างเห่า" (barker); ประมาณ ค.ศ. 1954 - 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957) เป็นสุนัขอวกาศโซเวียต ที่กลายเป็นสัตว์ตัวแรกที่โคจรรอบโลก เช่นเดียวกับเป็นตัวแรกที่ตายในวงโคจรด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันน้อยมากถึงผลกระทบของการบินอวกาศที่มีต่อสิ่งมีชีวิตในขณะภารกิจของไลก้านั้น และเทคโนโลยีในการผละออกจากวงโคจรยังไม่ถูกพัฒนา จึงไม่มีการคาดว่าไลก้าจะรอดชีวิต นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามนุษย์จะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้จากการปล่อยหรือสภาพของอวกาศ ดังนั้น วิศวกรจึงมองว่าเที่ยวบินที่ส่งสัตว์ขึ้นสู่อวกาศด้วยนั้นจำเป็นก่อนภารกิจของมนุษย์ ไลก้าที่เป็นสุนัขเร่ร่อน เดิมชื่อ คุดร์ยัฟกา (, "เจ้าขนหยิกน้อย") เข้าสู่การฝึกกับสุนัขอื่นอีกสองตัว และได้รับเลือกเป็นผู้โดยสารไปกับยานอวกาศโซเวียต สปุตนิก 2 ในท้ายที่สุด ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 คาดว่าไลก้าน่าจะตายภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังปล่อยยานจากความร้อนเกิน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากความล้มเหลวของระบบยังชีพกลางอาร์-7 (R-7 sustainer) ในการแยกจากน้ำหนักบรรทุก สาเหตุและเวลาการตายที่แท้จริงของมันนั้นไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะกระทั่ง ค.ศ. 2002 แต่ก่อนหน้านั้นได้รายงานอย่างกว้างขวางว่ามันตายเพราะขาดออกซิเจนในวันที่หก หรือตามที่รัฐบาลโซเวียตอ้างแต่แรก มันตายสบาย (euthanised) ก่อนออกซิเจนพร่องไปอีก อย่างไรก็ดี การทดลองพิสูจน์ว่าไลก้าสามารถรอดชีวิตจากการปล่อยยานขึ้นสู่วงโคจรและทนต่อสภาวะไร้น้ำหนัก ซึ่งเป็นการกรุยทางแก่การบินอวกาศมนุษย์และให้ข้อมูลแรก ๆ บางส่วนแก่นักวิทยาศาสตร์ว่า สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมในการบินอวกาศอย่างไร
|
สัตว์ตัวแรกที่โคจรรอบโลกเป็นสัตว์ชนิดใด
|
{
"answer": [
"สุนัข"
],
"answer_begin_position": [
203
],
"answer_end_position": [
208
]
}
|
2,264 | 115,059 |
ไลกา (สุนัข) ไลก้า (; , มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ช่างเห่า" (barker); ประมาณ ค.ศ. 1954 - 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957) เป็นสุนัขอวกาศโซเวียต ที่กลายเป็นสัตว์ตัวแรกที่โคจรรอบโลก เช่นเดียวกับเป็นตัวแรกที่ตายในวงโคจรด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันน้อยมากถึงผลกระทบของการบินอวกาศที่มีต่อสิ่งมีชีวิตในขณะภารกิจของไลก้านั้น และเทคโนโลยีในการผละออกจากวงโคจรยังไม่ถูกพัฒนา จึงไม่มีการคาดว่าไลก้าจะรอดชีวิต นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามนุษย์จะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้จากการปล่อยหรือสภาพของอวกาศ ดังนั้น วิศวกรจึงมองว่าเที่ยวบินที่ส่งสัตว์ขึ้นสู่อวกาศด้วยนั้นจำเป็นก่อนภารกิจของมนุษย์ ไลก้าที่เป็นสุนัขเร่ร่อน เดิมชื่อ คุดร์ยัฟกา (, "เจ้าขนหยิกน้อย") เข้าสู่การฝึกกับสุนัขอื่นอีกสองตัว และได้รับเลือกเป็นผู้โดยสารไปกับยานอวกาศโซเวียต สปุตนิก 2 ในท้ายที่สุด ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 คาดว่าไลก้าน่าจะตายภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังปล่อยยานจากความร้อนเกิน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากความล้มเหลวของระบบยังชีพกลางอาร์-7 (R-7 sustainer) ในการแยกจากน้ำหนักบรรทุก สาเหตุและเวลาการตายที่แท้จริงของมันนั้นไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะกระทั่ง ค.ศ. 2002 แต่ก่อนหน้านั้นได้รายงานอย่างกว้างขวางว่ามันตายเพราะขาดออกซิเจนในวันที่หก หรือตามที่รัฐบาลโซเวียตอ้างแต่แรก มันตายสบาย (euthanised) ก่อนออกซิเจนพร่องไปอีก อย่างไรก็ดี การทดลองพิสูจน์ว่าไลก้าสามารถรอดชีวิตจากการปล่อยยานขึ้นสู่วงโคจรและทนต่อสภาวะไร้น้ำหนัก ซึ่งเป็นการกรุยทางแก่การบินอวกาศมนุษย์และให้ข้อมูลแรก ๆ บางส่วนแก่นักวิทยาศาสตร์ว่า สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมในการบินอวกาศอย่างไร
|
สุนัขตัวแรกที่โคจรรอบโลกมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"ไลก้า"
],
"answer_begin_position": [
100
],
"answer_end_position": [
105
]
}
|
2,265 | 14,718 |
ไลก้า (กล้องถ่ายภาพ) ไลก้า () เป็นบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพผลิต ของประเทศเยอรมนีประวัติของไลก้า ประวัติของไลก้า. ในช่วงแรกของงานศิลปะ นักถ่ายภาพส่วนมากนั้นกังวลในเรื่องของการเคลื่อนย้ายกล้องของพวกเขาจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง การลองของพวกเขาและการจำลองที่ยากลำบากของ Oscar Barneck ในการค้นหาวิธีการใหม่ๆที่สมบูรณ์แบบของการถ่ายภาพ จนกระทั่งในปี 1905 เขาได้มีความคิดในเรื่องของการลดขั้นตอนในการตกแต่งฟิล์มและการขยายภาพหลังจากที่ได้ทำการ exposed ภาพ สิบปีหลังจากนั้น ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาของ Leica สามารถที่จะนำทฤษฎีของเขานำไปใช้งานได้จริง เขาได้นำเอาอุปกรณ์สำหรับการวัดแสงสำหรับฟิล์มถ่ายภาพยนตร์ และได้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในโลกกับกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ในเครื่องรุ่น ur leica ในเวลานั้นฟิล์มถ่ายภาพขนาดเล็กขนาด 24x36 มิลลิเมตร ได้เกิดขึ้นโดยการนำเอาฟิล์มถ่ายภาพยนตร์มาอัดสองชั้น รูปถ่ายที่ได้ออกมามีคุณภาพที่ดีในขณะนั้น ในปี 1914 ความต่อเนื่องในการพัฒนานั้นชะงักลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้กล้อง Leica ตัวแรกนั้นไม่ได้ผลิตออกมาจนกระทั่งในปี 1924 ได้มีการนำเสนอสู่สาธารณชนเมื่อปี 1925 นับถอยหลังไปจากการคิดค้นและพลังความคิดในการสร้างสรรค์ นั้นได้เดินทางกลับไปสู่ความคิดของ Barneck และแนวความคิดของเขา ปัจจุบัน Leica ดำเนินการในการสร้างสรรค์เครื่องมีอที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆของความคิดที่นำไปสู่ยุคใหม่- ปี 1849 Kellner ตั้งสถาบัน Optical ใน Wetzlar เยอรมัน เพื่อทำกล้องโทรทัศน์ - ปี 1855 การผลิตกล้องโทรทัศน์ได้สิ้นสุดลงเนื่องจากการประสปความสำเร็จอย่างมากของกล้องจุลทรรศน์ที่ได้ที่มีการคิดค้นมาก่อนหน้านั้นหลายปี - ปี 1855 Karl Kellner เสียชีวิตและหุ้นส่วนของเขา Friedrich christian Belthle ได้ซื้อกิจการทั้งหมดและ แต่งงานกับภรรยาของ Karl และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Kellner and Belthle - ปี 1865 Kellner ได้รับวิศวกรรุ่นใหม่ เอิร์นส์ ไลตซ์ (Ernst Leitz), ต่อมาเอิร์นส์ ไลตซ์กลายเป็นหุ้นส่วนกับ Kellner - ปี 1869 Belthle เสียชีวิตและเอิร์นส์ซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัทและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Optical Institute of Ernst - ปี 1887 Carl Metz นักคณิตศาสตร์ ได้เข้ามาร่วมงานกับเอิร์นส์ในการผลิตเลนส์ - ปี 1889 กล้องจุลทรรศน์ 54000 เครื่องได้ผลิตขึ้น ในช่วงเวลาปี 1889 ถึงปี 1991 ได้เพิ่มผลิตภัณใหม่ๆ รวมถึง Still&cine projector, กล้องสองตา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสายตาชนิดพิเศษหลายอย่าง - ปี 1903 Henri เหลนของเอิร์นส์ได้เข้าร่วมในบริษัทและกลายเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย - ปี 1911 Oscar ได้ย้ายไปทำงานที่ โรงงานไลตซ์ด้วยแนวความคิดในการผลิตกล้องถ่ายภาพแบบพกพาสะดวก กล้องขนาด 35 มิลลิเมตรจึงเกิดขึ้น - ปี 1912 Prof.Max ได้ร่วมงานกับบริษัทไลตซ์และหลังจากนั้นได้คำนวณและคิดค้นเลนส์ตัวแรกของไลก้า - ปี 1913 Oscar Barneck ได้คิดค้นเครื่องต้นแบบของกล้องรุ่น UR-Lica - ปี 1920 เอิร์นส์เสียชีวิตและเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองเป็นเจ้าของคนเดียวในบริษัท - ปี 1923 มีการผลิตกล้องด้วยมือโดยเรียนแบบเครื่องต้นแบบขนาด 35 มิลลิเมตรซึ่งกล้องที่ผลิตขึ้นมีชื่อรุ่นว่า Leica Nullserie จำนวน 31 เครื่อง - ปี 1924 เอิร์นส์ ไลตซ์ที่สองตัดสินใจที่จะผลิตกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ซึ่ง Oscar Barneck เป็นผู้ประดิษฐ์ ชื่อไลก้ามาจาก (ไล)ตซ์ และ(คา)เมาร่า ชื่อทางการค้าไลก้าจึงเกิดเอิร์นส์ ไลตซ์ที่สามจึงได้ร่วมบริษัทกัน - ปี 1925 กล้องของไลก้าได้วางตลาดเป็นครั้งแรก ไลก้า 1, Lixus และ Compure Model ได้ผลิตขึ้นและวางตลาดจนถึงปี 1932 ปริมาณการผลิตทั้งหมดประมาณ 60586 เครื่อง ลุดวิก ไลตซ์ได้เข้าร่วมบริษัท ลุดวิกได้ลงทุนกับ ergonomic ของ m3 - ปี 1930 Leica ได้นำเสนอกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้หลายแบบ และหลายบริษัทได้ทำการรวมกิจการและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เอิร์นส์ ไลตซ์ G.m.b.h - ปี 1932 Leica ได้รวมเอาคุณสมบัติ rangefinder อยู่ในตัวกล้องไลก้า Model III - ปี 1933 ได้รวมเอาการออกแบบ shutter ความเร็วต่ำที่ได้นำเสนอในไลก้า III - ปี 1935 Leica ได้รวมเอา Shutter ความเร็วสูงในการออกแบบ Shutter ไว้ในไลก้า IIIa - ปี 1949 Leica ได้สร้าง Leica optical Research Laboratory เพื่อใช้ในการตรวจสอบการผลิตแว่นชนิดพิเศษและสูตรในการผลิตเลนส์ - ปี 1950 Leica ได้รวมเอาระบบ flash และการตั้งเวลาได้ด้วยตัวเองในตัวกล้องขนาด 35 มิลลิเมตร ทำให้เกิดเป็นกล้องรุ่นไลก้า IIIf - ปี 1952 กุนเธอร์ ไลตซ์ได้ก่อตั้งโรงงาน Cannadian - ปี 1954 ไลก้าได้นำเสนอไลก้า M3 เป้นกล้องตัวแรกที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบของเลนส์ - ปี 1957 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่มีลูกเล่นกว่ารุ่น M3 ที่รู้จักกันในชื่อรุ่นไลก้า M2 - ปี 1959 ไลก้าได้นำเสนอกล้องที่ลดลงมาจากกล้องรุ่น M2 สำหรับการใช้ในงานทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคนิค - ปี 1960 ได้ผลิตกล้องไลก้า screwmouth body เป็นรุ่นล่าสุด ชื่อรุ่นไลก้า IIIg, ปริมาณรวมของรุ่นนี้ที่ผลิตขึ้นมาประมาณ 798,200 เครื่อง - ปี 1964 ไลก้าได้นำเสนอกล้อง Single Lens Reflex ตัวแรก, ชื่อรุ่น ไลก้าflex, การผลิตกล้องรุ่น ไลก้าflex จึงเกิดขึ้น - ปี 1967 ได้นำเสนอรุ่น M4 โดยเติมคุณสมบัติ rangefinder flamline สำหรับเลนส์ขนาด 35 และ 135 มิลลิเมตร - ปี 1968 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น ไลก้าflex SL พร้อมกับ อุปกรณ์วัดแสง TTL - ปี 1971 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M5 พร้อมกับได้เพิ่มชุดรวมอุปกรณ์วัดแสง TTL เป็นไลก้าตัวแรกที่มีอุปกรณ์วัดแสง - ปี 1973 ไลก้าได้ร่วมมือกับ Minolta ในการนำเสนอเครื่องที่ทันสมัย, ขนาดเล็กและกล้องที่มีความสามารถในส่วนของ rangefinder ในกล้องรุ่นไลก้า CL, Monolta CL, ไลตซ์-Minolta CL และหลังจากนั้นกล้องรุ่น Minolta CL จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเกี่ยวข้องกันของไลตซ์ กับ Minolta และได้จัดตั้งไลตซ์โปรตุเกส ขึ้น - ปี 1974 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น Leica flex SL2. Wild Heerburg ได้ชื้อกิจการหลักที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท - ปี 1976 ไลก้าผลิตกล้องรุ่นไลก้า R3 และ กล้องไลก้า ‘R’ series จึงได้เกิดขึ้น Minolta จะเป็นผู้สร้างกล้องรุ่น R3, R4 และ R5 พร้อมกับสลับกับการผลิตไปที่ไลก้า สำหรับการสร้างอย่างต่อเนื่องของกล้องรุ่น R6, R6.2, R7 และ R8 รุ่น R6.2 ( ระบบกลไก) และรุ่น R8 (ระบบอิเล็คโทรนิคส์) ก็ยังมีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน - ปี 1977 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-2 และ M4 พร้อมระบบที่มีความแข็งแรงที่ใช้สำหรับการต่อพ่วงกับชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน รุ่น M4-2 มีลูกเล่นสำหรับแฟลชอิเล็คโทรนิคส์ของเครื่องรุ่น M ทุกรุ่น, ตามรอยเท้าของกล้องรุ่นCL - ปี 1980 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่น M4-P โดยเพิ่มเติมในส่วน rangefinder framline สำหรับเลนส์ขนาด 28 มิลลิเมตร และ 75 มิลลิเมตร - ปี 1984 ไลก้าได้นำเสนอกล้องรุ่นที่มีความนิยมเป็นอย่างมากคือกล้องรุ่นไลก้า M6 รวมคุณสมบัติพิเศษใหม่ๆของรุ่น M ในยุคแรก รวมถึงส่วนที่ได้มีการปรับปรุงใหม่และชุดวัดแสงที่มีความทนทาน เครื่องรุ่น M6 ผลิตโดยมีส่วนของโครเมียม, ดำ และพื้นผิวที่มันวาวมากของไททาเนียม - ปี 1986 สมาชิกคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลไลตซ์ได้เกษียณจากสมาชิกของผู้บริหารบริษัท - ปี 1988 บริษัทได้แตกแขนงออกเป็นบริษัทเล็กๆหลายบริษัทและไลก้า คาเมร่า G.m.b.h จึงได้เกิดขึ้น - ปี 1991 โรงงาน Canadian ได้ถูกขายให้กับบริษัทสายการบินขนาดใหญ่ และกลุ่มไลก้าคาเมร่าจึงเป็นอิสระ การผลิตได้ทำการย้ายไปที่โรงงานใหม่ใน Solms ห่างจาก Wetzlar เพียง 5 ไมล์ - ปี 1997 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 กับค้นหาภาพขยาย .85 สำหรับความง่ายในการโฟกัสภาพกับเลนซ์ที่ยาวและมีความเที่ยงตรงมากในการโฟกัสภาพด้วยเลนซ์ที่มีความเร็วอย่างไรก็ตาม Rangefingder frameline ขนาด 28 มิลลิเมตรนั้นลดลง - ปี 1998 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่น M6 TTL ทั้งในรุ่นที่มีอัตราขยายของช่องมองภาพ (Viewfinder Magnification) .72 และ .85 เครื่องของไลก้า M6 TTL ยังคงมีการผลิตอยู่ - ปี 2000 ไลก้าได้นำเสนอเครื่องรุ่นใหม่ M6 .58 กล้องค้นหาภาพสำหรับผู้ใช้ที่สวมแว่นตา และนำเสนอเลนส์ขนาด 28 มิลิเมตร Summicron
|
ไลก้า เป็นบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพของประเทศใด
|
{
"answer": [
"เยอรมนี"
],
"answer_begin_position": [
163
],
"answer_end_position": [
170
]
}
|
2,266 | 3,966 |
เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาหิมาลัย () เป็นเทือกเขาในทวีปเอเชีย ที่แยกอนุทวีปอินเดียทางทิศใต้ ออกจากที่ราบสูงทิเบตทางทิศเหนือ เป็นที่ที่มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เช่น ยอดเขาเอเวอเรสต์ และยอดเขากันเจนชุงคา (Kanchenjunga) และยังประกอบด้วยยอดเขาที่มีความสูงมากกว่า 7,200 เมตร (23,600 ฟุต) มากกว่าหนึ่งร้อยยอด ในทางศัพทมูลวิทยา คำว่า หิมาลัย มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง "ที่อยู่ของหิมะ" (หิม + อาลย) เป็นจุดกำเนิดของระบบแม่น้ำที่สำคัญของโลกหลายสาย เช่น แอ่งแม่น้ำสินธุ และแอ่งแม่น้ำคงคา-พรหมบุตร แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง เทือกเขาหิมาลัยทอดยาวพาดผ่านพื้นที่ของ 5 ประเทศ — ปากีสถาน อินเดีย จีน ภูฏาน เนปาล — พื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำหิมาลัยเป็นที่อยู่ของผู้คนราว 750 ล้านคน ซึ่งรวมถึงชาวบังคลาเทศ เทือกเขาหิมาลัยหมายรวมถึงเทือกเขาการาโกรัม ฮินดูกูช และเทือกเขาอื่น ๆ ที่เล็กกว่า เมื่อรวมกันแล้วเทือกเขาหิมาลัยเป็นระบบที่สูงที่สุดในโลก และเป็นบ้านของยอดเขาที่สูงที่สุด ซึ่งรวมถึงยอดเขาเอเวอเรสต์และเคทู
|
เทือกเขาหิมาลัยตั้งอยู่ในทวีปใด
|
{
"answer": [
"เอเชีย"
],
"answer_begin_position": [
139
],
"answer_end_position": [
145
]
}
|
2,267 | 2,394 |
ประเทศเนปาล ประเทศเนปาล () หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (; "สงฺฆีย โลกตานฺตฺริก คณตนฺตฺร เนปาล") เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร และประชากรประมาณ 27 ล้านคน ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 93 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 41 ของโลก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย ประเทศเนปาลแยกจากประเทศบังกลาเทศด้วยฉนวนศิลิกูริ (Siliguri Corridor) แคบ ๆ ในประเทศอินเดีย และแยกจากประเทศภูฏานด้วยรัฐสิกขิมของอินเดีย กรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ ภาคเหนือของประเทศเนปาลซึ่งเป็นแถบภูเขามีแปดจากสิบภูเขาสูงสุดในโลก ซึ่งรวมยอดเขาเอเวอร์เรสต์ จุดสูงสุดบนโลก ยอดเขากว่า 240 แห่งซึ่งสูงเกิน 6,096 เมตร (20,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลอยู่ในประเทศเนปาล ส่วนภาคใต้มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์และชื้น ชาวเนปาลประมาณ 81.3% นับถือศาสนาฮินดู เป็นสัดส่วนสูงสุดในโลก ศาสนาพุทธมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับประเทศเนปาล และมีประชากรนับถือ 9% ตามด้วยศาสนาอิสลาม 4.4% Kiratism 3.1% ศาสนาคริสต์ 1.4% และวิญญาณนิยม 0.4% ประชากรสัดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคภูเขา อาจระบุตัวว่าเป็นทั้งฮินดูและพุทธ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของธรรมชาติกลมเกลียวของทั้งสองความเชื่อในประเทศเนปาลก็เป็นได้ ประเทศเนปาลปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ราชวงศ์ศาหะปกครองตั้งแต่ปี 2311 เมื่อพระเจ้าปฤถวีนารายัณ ศาหะทรงรวมราชอาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก จนปี 2551 สงครามกลางเมืองนานหนึ่งทศวรรษซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ตามด้วยการประท้วงใหญ่โดยพรรคการเมืองหลักทุกพรรค นำสู่ความตกลง 12 ข้อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 1 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ซึ่งตามมาสนับสนุนการเลิกราชาธิปไตยและการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนหลายพรรคการเมืองอย่างท่วมท้น แม้ความท้าทายทางการเมืองยังดำเนินไป แต่กรอบนี้ยังอยู่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 2 ซึ่งได้รับเลือกตั้งในปี 2556 ในความพยายามเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศเนปาลเป็นประเทศกำลังพัฒนาโดยมีเศรษฐกิจรายได้ต่ำ อยู่ในอันดับที่ 145 จาก 187 ประเทศในดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี 2557 ประเทศเนปาลยังเผชิญกับความหิวและความยากจนระดับสูง แม้ความท้าทายเหล่านี้ ประเทศเนปาลยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลผูกมัดยกระดับประเทศจากสถานภาพประเทศด้อยพัฒนาภายในปี 2565ประวัติศาสตร์ยุคโบราณยุคกลางราชอาณาจักร ประวัติศาสตร์. ราชอาณาจักร. ก่อนปีพ.ศ. 2311 หุบเขากาฐมาณฑุแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร จนกระทั่งผู้นำเผ่ากุรข่า ปฤฐวี นารายัณ ศาห์ สามารถรวบรวมอาณาจักรในหุบเขาเข้าด้วยกัน และหลังจากนั้นได้ทำสงครามขยายอาณาเขตออกไป จนในปีพ.ศ. 2357-พ.ศ. 2359 เกิดสงครามอังกฤษ-เนปาล กองทัพกุรข่าพ่ายแพ้ ต้องทำสนธิสัญญาและจำกัดอาณาเขตเนปาลเหลือเท่าปัจจุบัน ในปีพ.ศ. 2391 ชัง พหาทุระ รานา ซึ่งเป็นขุนนางในประเทศ ยึดอำนาจจากราชวงศ์ศาห์ โดยยังคงราชวงศ์ศาห์ไว้เป็นประมุขแต่ในนาม ตระกูลรานาได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร เนปาลได้ส่งกองทัพเข้าร่วมกับกองทัพบริเตนในหลายสงคราม ทำให้สหราชอาณาจักรทำสนธิสัญญามิตรภาพกับเนปาลในปีพ.ศ. 2466 ซึ่งในสนธิสัญญานี้ สหราชอาณาจักรได้ยอมรับเอกราชของเนปาลอย่างชัดเจน ในปีพ.ศ. 2494 เกิดการต่อต้านการปกครองของตระกูลรานา นำโดยพรรคเนปาลีคองเกรสและกษัตริย์ตริภุวัน ทำให้โมหัน สัมเสระ ชัง พหาทุระ รานา ผู้นำคนสุดท้ายของตระกูลรานาคืนอำนาจให้แก่กษัตริย์ศาห์ และจัดการเลือกตั้ง หลังจากเนปาลได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในช่วงสั้นๆ โดยจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในปีพ.ศ. 2502 แต่กษัตริย์มเหนทระได้ยุบสภา ยึดอ'ำนาจในปีพ.ศ. 2503 และใช้ระบอบปัญจายัตแทน จนมาถึงการปฏิรูปการปกครองในปีพ.ศ. 2533 ทำให้เปลี่ยนจากระบอบปัญจายัต ที่ห้ามมีพรรคการเมือง มาเป็นระบอบรัฐสภาแบบพหุพรรค ในปีพ.ศ. 2539 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ได้เปิดฉากสงครามประชาชน มีเป้าหมายที่จะสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมขึ้นแทนระบอบราชาธิปไตย นำมาซึ่งสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลายาวนานถึงสิบปี ในปีพ.ศ. 2544 เกิดเหตุสังหารหมู่ในพระราชวัง โดยเจ้าชายทิเปนทระ มกุฎราชกุมารในสมัยนั้น และกษัตริย์ชญาเนนทระได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ในปีพ.ศ. 2548 กษัตริย์ชญาเนนทระได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล นำมาซึ่งการประท้วงจากประชาชนและพรรคการเมืองในเวลาต่อมา จนต้องคืนอำนาจให้กับรัฐสภา รัฐสภาเนปาลได้จำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์ และให้เนปาลเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 รัฐสภาเนปาลได้ผ่านกฎหมายที่จะเปลี่ยนเนปาลเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย โดยมีผลหลังการเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2551 ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 รัฐบาลเนปาลประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ สถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยขึ้น โดยกำหนดให้ชญาเนนทระและอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ต้องออกจากพระราชวังภายใน 15 วัน และกำหนดให้วันที่ 28 - 30 พฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการการเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. ในปัจจุบัน เนปาลเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีนายราม บารัน ยาดัฟ เป็นประธานาธิบดีคนแรก จากการลงคะแนนเสียงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ 308 เสียง และนายคีรีชา ปราสาท โกอีราละ อดีตรักษาการณ์ประมุขแห่งรัฐทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป จนมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อันนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมา หรืออดีตกลุ่มกบฏลัทธิเหมา ซึ่งมีนายประจันดา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากที่นายประจันดา ต้องการให้อดีตกลุ่มกบฏของเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จึงมีกระแสกดดันมาจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเนปาล และรวมทั้งประธานาธิบดียาดัฟ นายประจันดาจึงประกาศลาออก และสภาได้เลือกนายมาดัฟ คูมาร์ เนปาล อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิมาร์ก-เลนิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ก่อนครบรอบ 1 ปีของการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐในเนปาล ปัจจุบัน นายซูชิล คอยราลา (Sushil Koirala) ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของเนปาล สาบานตนเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557นิติบัญญัติตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เนปาลแบ่งเป็น 14 เขต (อันจัล) ดังนี้ต่างประเทศกองทัพเศรษฐกิจโครงสร้าง เศรษฐกิจ. โครงสร้าง. พื้นที่เกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 17 พืชที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวเจ้า พื้นที่ 2 ใน 3 ปกคลุมด้วยป่าไม้ มีการตัดไม้เพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมไม้อัด โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่แปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ โรงงานน้ำตาล โรงงานกระดาษ รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศได้มาจากการค้าแรงงานของชาวเนปาลีที่อยู่ต่างประเทศ และส่งเงินกลับมาให้กับครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเนปาล ธุรกิจการท่องเที่ยวมีจุดสนใจอยู่ที่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและวัฒนธรรม เช่นการเดินเขา ปีนเขา และล่องแก่ง ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเนปาล อาทิเช่น ยอดเขาเอเวอร์เรสต์, วัดปศุปฏินาถ, วัดสวยมภูวนาถ, พระราชวังกาฐมัณฑุ, เมืองโพคารา และลุมพินีวัน เป็นต้นการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรเชื้อชาติประชากร. เชื้อชาติ. - กลุ่มเนปาลีชาวเนปาลดั้งเดิมเป็นชนชาติมองโกลอยด์ ผสมกับพวกนโด-อารยันจากอินเดีย เป็น- อินโด-เนปาลี 52% - ไมกิลิ 11% - โภชปุริ 8% - ถารู 3.6% - กลุ่มกิราต เช่น- ราอิ - สุนุวาร์ - ลิมบุ - กุรุง - มอกร์ - เนวาร์ - ตามาง - เซร์ปา - ทากาลิ - ทีมาลศาสนาศาสนา. - ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 81% - ศาสนาพุทธนิกายมหายาน 11% - ศาสนาอิสลาม 4.2% - ศาสนาคริสต์ 1.4%วัฒนธรรมวิถีชีวิตสถาปัตยกรรมวรรณกรรมอาหารดนตรี และ นาฏศิลป์สื่อสารมวลชนวันหยุด
|
เมืองหลวงของประเทศเนปาลมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"กาฐมาณฑุ"
],
"answer_begin_position": [
667
],
"answer_end_position": [
675
]
}
|
2,268 | 2,394 |
ประเทศเนปาล ประเทศเนปาล () หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (; "สงฺฆีย โลกตานฺตฺริก คณตนฺตฺร เนปาล") เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร และประชากรประมาณ 27 ล้านคน ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 93 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 41 ของโลก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย ประเทศเนปาลแยกจากประเทศบังกลาเทศด้วยฉนวนศิลิกูริ (Siliguri Corridor) แคบ ๆ ในประเทศอินเดีย และแยกจากประเทศภูฏานด้วยรัฐสิกขิมของอินเดีย กรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ ภาคเหนือของประเทศเนปาลซึ่งเป็นแถบภูเขามีแปดจากสิบภูเขาสูงสุดในโลก ซึ่งรวมยอดเขาเอเวอร์เรสต์ จุดสูงสุดบนโลก ยอดเขากว่า 240 แห่งซึ่งสูงเกิน 6,096 เมตร (20,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลอยู่ในประเทศเนปาล ส่วนภาคใต้มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์และชื้น ชาวเนปาลประมาณ 81.3% นับถือศาสนาฮินดู เป็นสัดส่วนสูงสุดในโลก ศาสนาพุทธมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับประเทศเนปาล และมีประชากรนับถือ 9% ตามด้วยศาสนาอิสลาม 4.4% Kiratism 3.1% ศาสนาคริสต์ 1.4% และวิญญาณนิยม 0.4% ประชากรสัดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคภูเขา อาจระบุตัวว่าเป็นทั้งฮินดูและพุทธ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของธรรมชาติกลมเกลียวของทั้งสองความเชื่อในประเทศเนปาลก็เป็นได้ ประเทศเนปาลปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ราชวงศ์ศาหะปกครองตั้งแต่ปี 2311 เมื่อพระเจ้าปฤถวีนารายัณ ศาหะทรงรวมราชอาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก จนปี 2551 สงครามกลางเมืองนานหนึ่งทศวรรษซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ตามด้วยการประท้วงใหญ่โดยพรรคการเมืองหลักทุกพรรค นำสู่ความตกลง 12 ข้อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 1 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ซึ่งตามมาสนับสนุนการเลิกราชาธิปไตยและการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนหลายพรรคการเมืองอย่างท่วมท้น แม้ความท้าทายทางการเมืองยังดำเนินไป แต่กรอบนี้ยังอยู่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 2 ซึ่งได้รับเลือกตั้งในปี 2556 ในความพยายามเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศเนปาลเป็นประเทศกำลังพัฒนาโดยมีเศรษฐกิจรายได้ต่ำ อยู่ในอันดับที่ 145 จาก 187 ประเทศในดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี 2557 ประเทศเนปาลยังเผชิญกับความหิวและความยากจนระดับสูง แม้ความท้าทายเหล่านี้ ประเทศเนปาลยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลผูกมัดยกระดับประเทศจากสถานภาพประเทศด้อยพัฒนาภายในปี 2565ประวัติศาสตร์ยุคโบราณยุคกลางราชอาณาจักร ประวัติศาสตร์. ราชอาณาจักร. ก่อนปีพ.ศ. 2311 หุบเขากาฐมาณฑุแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร จนกระทั่งผู้นำเผ่ากุรข่า ปฤฐวี นารายัณ ศาห์ สามารถรวบรวมอาณาจักรในหุบเขาเข้าด้วยกัน และหลังจากนั้นได้ทำสงครามขยายอาณาเขตออกไป จนในปีพ.ศ. 2357-พ.ศ. 2359 เกิดสงครามอังกฤษ-เนปาล กองทัพกุรข่าพ่ายแพ้ ต้องทำสนธิสัญญาและจำกัดอาณาเขตเนปาลเหลือเท่าปัจจุบัน ในปีพ.ศ. 2391 ชัง พหาทุระ รานา ซึ่งเป็นขุนนางในประเทศ ยึดอำนาจจากราชวงศ์ศาห์ โดยยังคงราชวงศ์ศาห์ไว้เป็นประมุขแต่ในนาม ตระกูลรานาได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร เนปาลได้ส่งกองทัพเข้าร่วมกับกองทัพบริเตนในหลายสงคราม ทำให้สหราชอาณาจักรทำสนธิสัญญามิตรภาพกับเนปาลในปีพ.ศ. 2466 ซึ่งในสนธิสัญญานี้ สหราชอาณาจักรได้ยอมรับเอกราชของเนปาลอย่างชัดเจน ในปีพ.ศ. 2494 เกิดการต่อต้านการปกครองของตระกูลรานา นำโดยพรรคเนปาลีคองเกรสและกษัตริย์ตริภุวัน ทำให้โมหัน สัมเสระ ชัง พหาทุระ รานา ผู้นำคนสุดท้ายของตระกูลรานาคืนอำนาจให้แก่กษัตริย์ศาห์ และจัดการเลือกตั้ง หลังจากเนปาลได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในช่วงสั้นๆ โดยจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในปีพ.ศ. 2502 แต่กษัตริย์มเหนทระได้ยุบสภา ยึดอ'ำนาจในปีพ.ศ. 2503 และใช้ระบอบปัญจายัตแทน จนมาถึงการปฏิรูปการปกครองในปีพ.ศ. 2533 ทำให้เปลี่ยนจากระบอบปัญจายัต ที่ห้ามมีพรรคการเมือง มาเป็นระบอบรัฐสภาแบบพหุพรรค ในปีพ.ศ. 2539 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ได้เปิดฉากสงครามประชาชน มีเป้าหมายที่จะสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมขึ้นแทนระบอบราชาธิปไตย นำมาซึ่งสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลายาวนานถึงสิบปี ในปีพ.ศ. 2544 เกิดเหตุสังหารหมู่ในพระราชวัง โดยเจ้าชายทิเปนทระ มกุฎราชกุมารในสมัยนั้น และกษัตริย์ชญาเนนทระได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ในปีพ.ศ. 2548 กษัตริย์ชญาเนนทระได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล นำมาซึ่งการประท้วงจากประชาชนและพรรคการเมืองในเวลาต่อมา จนต้องคืนอำนาจให้กับรัฐสภา รัฐสภาเนปาลได้จำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์ และให้เนปาลเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 รัฐสภาเนปาลได้ผ่านกฎหมายที่จะเปลี่ยนเนปาลเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย โดยมีผลหลังการเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2551 ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 รัฐบาลเนปาลประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ สถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยขึ้น โดยกำหนดให้ชญาเนนทระและอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ต้องออกจากพระราชวังภายใน 15 วัน และกำหนดให้วันที่ 28 - 30 พฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการการเมืองการปกครองบริหาร การเมืองการปกครอง. บริหาร. ในปัจจุบัน เนปาลเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีนายราม บารัน ยาดัฟ เป็นประธานาธิบดีคนแรก จากการลงคะแนนเสียงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ 308 เสียง และนายคีรีชา ปราสาท โกอีราละ อดีตรักษาการณ์ประมุขแห่งรัฐทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป จนมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อันนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมา หรืออดีตกลุ่มกบฏลัทธิเหมา ซึ่งมีนายประจันดา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากที่นายประจันดา ต้องการให้อดีตกลุ่มกบฏของเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จึงมีกระแสกดดันมาจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเนปาล และรวมทั้งประธานาธิบดียาดัฟ นายประจันดาจึงประกาศลาออก และสภาได้เลือกนายมาดัฟ คูมาร์ เนปาล อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิมาร์ก-เลนิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ก่อนครบรอบ 1 ปีของการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐในเนปาล ปัจจุบัน นายซูชิล คอยราลา (Sushil Koirala) ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของเนปาล สาบานตนเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557นิติบัญญัติตุลาการการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เนปาลแบ่งเป็น 14 เขต (อันจัล) ดังนี้ต่างประเทศกองทัพเศรษฐกิจโครงสร้าง เศรษฐกิจ. โครงสร้าง. พื้นที่เกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 17 พืชที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวเจ้า พื้นที่ 2 ใน 3 ปกคลุมด้วยป่าไม้ มีการตัดไม้เพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมไม้อัด โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่แปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ โรงงานน้ำตาล โรงงานกระดาษ รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศได้มาจากการค้าแรงงานของชาวเนปาลีที่อยู่ต่างประเทศ และส่งเงินกลับมาให้กับครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเนปาล ธุรกิจการท่องเที่ยวมีจุดสนใจอยู่ที่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและวัฒนธรรม เช่นการเดินเขา ปีนเขา และล่องแก่ง ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเนปาล อาทิเช่น ยอดเขาเอเวอร์เรสต์, วัดปศุปฏินาถ, วัดสวยมภูวนาถ, พระราชวังกาฐมัณฑุ, เมืองโพคารา และลุมพินีวัน เป็นต้นการท่องเที่ยวโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และ โทรคมนาคมวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีการศึกษาสาธารณสุขสวัสดิการสังคมประชากรเชื้อชาติประชากร. เชื้อชาติ. - กลุ่มเนปาลีชาวเนปาลดั้งเดิมเป็นชนชาติมองโกลอยด์ ผสมกับพวกนโด-อารยันจากอินเดีย เป็น- อินโด-เนปาลี 52% - ไมกิลิ 11% - โภชปุริ 8% - ถารู 3.6% - กลุ่มกิราต เช่น- ราอิ - สุนุวาร์ - ลิมบุ - กุรุง - มอกร์ - เนวาร์ - ตามาง - เซร์ปา - ทากาลิ - ทีมาลศาสนาศาสนา. - ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 81% - ศาสนาพุทธนิกายมหายาน 11% - ศาสนาอิสลาม 4.2% - ศาสนาคริสต์ 1.4%วัฒนธรรมวิถีชีวิตสถาปัตยกรรมวรรณกรรมอาหารดนตรี และ นาฏศิลป์สื่อสารมวลชนวันหยุด
|
ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเนปาลมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"ราม บารัน ยาดัฟ"
],
"answer_begin_position": [
4492
],
"answer_end_position": [
4507
]
}
|
2,269 | 12,911 |
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ () มีพระนามเต็มว่า ไดอานา ฟรานเซส (อังกฤษ: Diana Frances) สกุลเดิม สเปนเซอร์ (อังกฤษ: Spencer) ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นพระชายาองค์แรกของเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ ไดอานาถือกำเนิดในตระกูลขุนนางที่สืบทอดเชื้อสายจากราชวงศ์อังกฤษโบราณ เป็นบุตรีคนที่ 3 ของ จอห์น สเปนเซอร์ ไวเคานต์อัลธอร์พ และฟรานเซส โรช ในวัยเด็กไดอานาพักอาศัยที่คฤหาสน์พาร์กเฮาส์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่ตำหนักซานดริงแฮม ไดอานาเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนที่ประเทศอังกฤษและได้เข้าศึกษาต่อเป็นเวลาสั้นๆ ในโรงเรียนการเรือนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่ออายุได้ 14 ปี ไดอานาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เลดี้ เมื่อบิดาสืบทอดฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็น เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ ไดอานาเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อเป็นเข้าพิธีหมั้นหมายกับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524 พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์และเจ้าชายแห่งเวลส์ ประกอบพิธี ณ มหาวิหารเซนต์พอล เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 โดยได้มีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีนี้และมีผู้รับชมทางโทรทัศน์มากกว่า 750 ล้านคนทั่วโลก ไดอานาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ดัชเชสแห่งคอร์นวอล ดัชเชสแห่งรอธเซย์ และเคาน์เตสแห่งเชสเตอร์ ไม่นานภายหลังพระราชพิธีอภิเษกสมรส เจ้าหญิงมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสองค์ที่สองในอีก 2 ปีถัดมา ทั้งสองพระองค์อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่สองและสามแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ในระหว่างทรงดำรงพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกปฏิบัติพระกรณียกิจมากมายแทนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 รวมทั้งเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่สม่ำเสมอ พระกรณียกิจที่สำคัญในบั้นปลายพระชนม์ชีพ คือ การรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด นอกจากนี้ยังทรงเคยดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท และให้การสนับสนุนโครงการและมูลนิธิอื่นๆ อีกจำนวนกว่าร้อยองค์กรจนกระทั่ง พ.ศ. 2539 ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทั้งก่อนอภิเษกสมรสและภายหลังหย่าร้าง สื่อมวลชนทั่วโลกต่างเกาะติดชีวิตของไดอานาและนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระองค์อยู่ตลอดเวลา ไดอานาทรงหย่าขาดจากพระสวามีในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 การสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหันในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ยิ่งทำให้สื่อทุกแขนงล้วนแต่นำเสนอข่าวการสิ้นพระชนม์และภาพประชาชนที่แสดงความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของพระองค์ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาพระราชพิธีพระศพถูกจัดขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์และมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีไปยังเครือข่ายโทรทัศน์ทั่วโลกวัยเด็ก วัยเด็ก. ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ในพาร์กเฮาส์ เมืองซานดริงแฮม มณฑลนอร์ฟอล์ก เธอเป็นบุตรีคนสุดท้ายและบุตรคนที่สามจากทั้งหมด 5 คนของ จอห์น สเปนเซอร์ ไวเคานท์อัลธอร์พ (พ.ศ. 2467–2535) และภริยาคนแรก ฟรานเซส โรช (พ.ศ. 2479–2547) ตระกูลสเปนเซอร์มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชวงศ์อังกฤษมานานหลายชั่วอายุ ทั้งย่าและยายของไดอานาต่างเคยปฏิบัติหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในช่วงเวลานั้นไวเคานต์หวังให้ทารกในครรภ์ที่ 3 (ไดอานา) กำเนิดเป็นเพศชาย เพื่อจะได้สืบทอดตำแหน่งขุนนางตระกูลสเปนเซอร์ต่อไป อีกทั้งไม่ได้มีการเตรียมชื่อเด็กหญิงไว้ล่วงหน้า จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปฟรานเซสจึงตั้งชื่อทารกเพศหญิงผู้นี้ว่า ไดอานา ฟรานเซส ซึ่งได้นามต้นมาจากญาติห่างๆ ของเธอคือ ไดอานา รัสเซล ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ด (พ.ศ. 2253–2278) หรือ เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ ในนามเดิมก่อนการสมรส และเลดี้ไดอานาผู้นี้เคยถูกคาดหวังให้อภิเสกสมรสกับเจ้าชายเฟรเดอริก เจ้าชายแห่งเวลส์ (พ.ศ. 2250–2294) ไดอานาเข้ารับพิธีศีลล้างบาปในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ณ โบสถ์เซนต์แมรีแมกดาลีน เมืองซานดริงแฮม และมีเศรษฐีผู้มั่งคั่งรับเป็นลูกทูนหัว ไดอานามีพี่น้องรวม 4 คน ดังนี้ ซาราห์ (ปัจจุบันคือ เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล), เจน (ปัจจุบันคือ เจน เฟลโลวส์ บารอนเนสเฟลโลวส์) และชาลส์ (ปัจจุบันเป็น เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ที่ 9) ส่วนจอห์น พี่ชายเสียชีวิตขณะยังเป็นทารก ราวๆ 1 ปีก่อนไดอานากำเนิด ความต้องการลูกชายไว้สืบทอดวงศ์ตระกูลสร้างแรงกดดันให้กับครอบครัวสเปนเซอร์ ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีบุตรสาวอยู่แล้วถึง 2 คน ดังนั้นมีการเล่าลือกันว่าเลดี้อัลธอร์พถูกนำตัวไปตรวจร่างกายที่คลินิกสูตินรีเวชย่านถนนฮาร์ลีย กรุงลอนดอน เพื่อตรวจหา ”ความผิดปกติ” ชาลส์ เล่าถึงความอับอายของมารดาว่า “เป็นช่วงเวลาเลวร้ายในครอบครัวและอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการหย่าร้าง และพ่อแม่คงไม่มีวันลืมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ไดอานาเติบโตในคฤหาสน์พาร์กเฮาส์ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของตำหนักซานดริงแฮม โดยครอบครัวสเปนเซอร์เช่าคฤหาสน์หลังนี้จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของ สมาชิกราชวงศ์อังกฤษมักเสด็จมาประทับที่ตำหนักซานดริงแฮมนี้เป็นประจำทุกปี และไดอานายังเคยร่วมเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายน้อยสองพระองค์ คือ เจ้าแอนดรูว์ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินี บิดามารดาของไดอานาหย่าร้างกันเมื่อไดอานาอายุได้ 7 ปี ฟรานเซสมีความสัมพันธ์กับ ปีเตอร์ ชานด์ คิดด์ และต่อมาได้เข้าพิธีสมรสกับชายคนนี้ใน พ.ศ. 2512 โดยไดอานาย้ายไปพักอยู่กับมารดาที่ลอนดอนระหว่างที่การแยกกันอยู่ในปีช่วงปี พ.ศ. 2510 แต่ในวันหยุดคริสต์มาสปีเดียวกันนั้น ลอร์ดอัลธอร์พไม่ยินยอมให้ไดอานากลับลอนดอนพร้อมกับฟรานเซส และในเวลาต่อมาบิดาชนะคดีฟ้องร้องสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของไดอานา ซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางคดีจากอดีตแม่ยาย รูธ โรช บารอนเนสเฟอร์มอย พ.ศ. 2515 ลอร์ดอัลธอร์พตกหลุมรัก เรน เคาน์เตสแห่งดาร์ตมัธ บุตรีคนเดียวของ อเล็กซานเดอร์ แมคคอเคอร์เดล และท่านผู้หญิงบาร์บารา คาร์ทแลนด์ ทั้งสองจดทะเบียนสมรสที่แค็กซ์ตันฮอลล์ กรุงลอนดอนเมื่อปี พ.ศ. 2519 พ.ศ. 2518 ไดอานาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เลดี้ ภายหลังที่พ่อสืบทอดบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ ครอบครัวสเปนเซอร์จึงต้องย้ายออกจากพาร์กเฮาส์ เพื่อกลับไปพักอาศัยที่ยังคฤหาสน์อัลธอร์พอย่างถาวร โดยคฤหาสน์แห่งนี้คือบ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ตั้งอยู่ในมณฑลนอร์ทแธมป์ตันการศึกษาและอาชีพ การศึกษาและอาชีพ. ไดอานาเรียนอ่านเขียนครั้งแรกกับครูหญิงประจำบ้าน เกอร์ทรูด อัลเลน ต่อมาจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนซิลฟิลด์ เมืองเกย์ตัน มณฑลนอร์ฟอล์ก เมื่ออายุได้ 9 ปี จึงได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนริดเดิลสเวิร์ธ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนใกล้เมืองดิส ใน พ.ศ. 2516 เธอจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนเวสต์ฮีธเกิร์ลส์สคูล เมืองเซเว่นโอ๊กส์ มณฑลเคนต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกันกับที่พี่สาวทั้งสองเรียนอยู่ในตอนนั้น ไดอานามีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยเหตุที่สอบไม่ผ่านการทดสอบความรู้วิชาพื้นฐานระดับประเทศ (O-Levels) ถึงสองครั้ง แต่งานกิจกรรมสาธารณะของเธอทำให้ไดอานาได้รับรางวัลนักเรียนดีจากโรงเรียนแห่งนี้ เธอลาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี และยังคงเป็นเด็กสาวขี้อายอยู่เหมือนเดิม แต่ความสามารถพิเศษทางดนตรี (เปียโน) และกีฬา (ว่ายน้ำและดำน้ำ) ของเธอนั้นโดดเด่นน่าจับตา รวมทั้งยังสนใจเรียนบัลเลต์และแท็ปแดนซ์ พ.ศ. 2521 หลังเข้าเรียนที่โรงเรียนการเรือนอังสติตูอัลแป็งวิเดมาแน็ต เมืองรูฌมงต์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา ไดอานาเดินทางกลับลอนดอน และที่เมืองหลวงนี้เธอพักอาศัยอยู่ในห้องชุดของแม่ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกสองคน ต่อมาไดอานาเข้าเรียนทำอาหารในหลักสูตรพิเศษ แต่แทบไม่เคยปรุงอาหารให้เพื่อนรับประทาน เธอทำงานหลายอย่างและได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย เคยเป็นครูสอนเต้นรำสำหรับเด็กแต่ต้องลาออกเมื่อขาดงานนานถึง 3 เดือนหลังประสบอุบัติเหตุระหว่างเล่นสกี จากนั้นจึงเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยครูโรงเรียนเตรียมอนุบาล รับจ้างทำความสะอาดให้ซาราห์ พี่สาว รวมทั้งบรรดาเพื่อนๆ ของเธอเอง รับจ้างดูแลแขกและเตรียมอาหารเครื่องดื่มในงานปาร์ตี้ ต่อมาจึงได้รับเป็นพี่เลี้ยงให้กับครอบครัวโรเบิร์ตสันซึ่งเป็นชาวอเมริกันในลอนดอน ไดอานายังทำงานเป็นผู้ช่วยครูโรงเรียนเตรียมอนุบาลยังอิงแลนด์สคูล ย่านพิมลิโค พ.ศ. 2522 ฟรานเซสซื้อห้องชุดที่โคลเฮิร์นคอร์ทในย่านเอิร์ลส์คอร์ทเพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดอายุ 18 ปีให้แก่ไดอานา ไดอานาจึงได้ย้ายมาพักอยู่ที่ห้องชุดแห่งนี้พร้อมเพื่อนร่วมห้องอีก 3 คน จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524ชีวิตสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ ชีวิตสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์. ไดอานาพบกับเจ้าชายชาลส์ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2520 ขณะที่ยังทรงคบหากับเลดี้ซาราห์ พี่สาวคนโตของไดอานา ฤดูร้อน พ.ศ. 2523 ทั้งสองได้รับเชิญให้ไปร่วมพักผ่อนในชนบท ไดอานาชมเจ้าชายแข่งโปโล และเจ้าชายทรงเกิดความเสน่หาแก่ไดอานาและทรงปรารถนาที่จะได้เธอมาเป็นเจ้าสาว ความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นเมื่อพระองค์ส่งคำเชิญให้ไดอานาร่วมลงเรือพระที่นั่งบริตาเนียเพื่อเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดที่เมืองคาวส์ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเลบนเกาะไอล์ออฟไวต์ บริเวณตอนใต้ของอังกฤษ และตามด้วยจดหมายเชิญให้ไปพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์และเข้าเฝ้าฯ พระราชวงศ์ที่ปราสาทบัลมอรัลในสกอตแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ณ ปราสาทบัลมอรัล ไดอานาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองจากสมเด็จพระราชินีนาถ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ต่อมาเจ้าชายจึงตัดสินพระทัยคบหากันกับเลดี้ไดอานาอย่างคู่รักเป็นเวลาสั้นๆ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 เจ้าชายทรงขอหมั้นเลดี้ไดอานาและเธอตอบตกลง แต่ข่าวการหมั้นหมายถูกปิดเก็บความลับจากสื่อมวลชนนานกว่าสามสัปดาห์พิธีหมั้นและพระราชพิธีอภิเษกสมรส พิธีหมั้นและพระราชพิธีอภิเษกสมรส. สำนักพระราชวังบักกิงแฮมประกาศพิธีหมั้นหมายระหว่างเจ้าชายชาลส์และเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ อย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ไดอานาเลือกแหวนหมั้น ซึ่งประกอบจากเพชร 14 เม็ดล้อมแซฟไฟร์ซีลอนสีน้ำเงินน้ำหนัก 12 กะรัต ขึ้นวงเรือนจากแพลทินัมน้ำหนัก 18 กะรัต แหวนหมั้นวงนี้มีความคล้ายคลึงกับแหวนหมั้นของฟรานเซส มารดาของไดอานา ผลิตและประกอบโดยร้านเพชรเจอร์ราร์ด ซึ่งเป็นผู้ผลิตอัญมณีสำหรับราชสำนัก (ณ ขณะนั้น) แต่สมาชิกราชวงศ์ไม่นิยมโปรดสั่งทำแหวนจากร้านเพชรแห่งนี้ และพบว่าแหวนวงนี้ปรากฏอยู่ในคอลเลคชันเครื่องเพชรที่มีอยู่เดิม และไม่ได้มีการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะแก่ไดอานา นอกจากนี้ สมเด็จพระราชชนนีได้ประทานเข็มกลัดเพชรประดับไพลินเพื่อเป็นของขวัญหมั้นเพิ่มเติมแก่ไดอานาอีกด้วย ใน พ.ศ. 2554 แหวนหมั้นแซฟไฟร์สีน้ำเงินนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งเพื่อเป็นแหวนหมั้นสำหรับนางสาวแคเธอริน มิดเดิลตัน และแหวนวงนี้จึงถูกทำเลียนแบบไปทั่วโลก หลังการประกาศหมั้น ไดอานาลาออกจากตำแหน่งครูโรงเรียนอนุบาลและย้ายไปพักอยู่ในพระตำหนักคลาเรนซ์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชชนนี ณ ขณะนั้น ต่อมาไดอานาจึงเข้าพักในพระราชวังเคนซิงตันจนกระทั่งวันอภิเษกสมรส ไดอานาเป็นหญิงสาวชาวอังกฤษคนแรกในรอบ 300 ปีที่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารอังกฤษ และยังถือว่าเป็นพระสุณิสา(สะใภ้) พระองค์แรกของราชวงศ์วินด์เซอร์ที่มีอาชีพและรายได้เป็นของตัวเอง การปรากฏกายครั้งแรกต่อสาธารณชนของไดอานาพร้อมกับเจ้าชายชาลส์ คือ งานบอลล์เพื่อการกุศลในเดือนมีนาคม 2524 ที่โกลด์สมิธส์ฮอลล์ และที่แห่งนั้นเธอได้มีโอกาสเข้าเฝ้า เจ้าหญิงเกรซ เจ้าหญิงพระชายาแห่งโมนาโก เลดี้ไดอานาในวัยเพียง 20 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ณ มหาวิหารเซนต์พอล สาเหตุที่เลือกจัดพิธีในมหาวิหารแห่งนี้ เพราะสามารถรองรับผู้เข้าร่วมพิธีได้มากกว่าเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งนิยมใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสในราชสำนักมาเป็นเวลายาวนาน พระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้ยิ่งใหญ่หรูหราจนมีการเปรียบเปรยกันว่างดงามปานงานแต่งงานในเทพนิยาย มีผู้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีกว่า 750 ล้านคนทั่วโลก และตลอดเส้นทางขบวนเสด็จมีประชาชน 600,000 คนต่างเฝ้ารอชมพระโฉมของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ที่หน้าแท่นบูชาภายในมหาวิหาร ไดอานาทรงขานสองพระนามแรกของพระสวามีไม่ถูกต้องตามลำดับ พระองค์ตรัสว่า Philip Charles Arthur George แทนที่ควรจะเป็น Charles Philip ไดอานาไม่ได้ตรัสว่า "จะเชื่อฟังพระสวามี" ระหว่างทำพิธีกล่าวคำปฏิญาณของคู่บ่าวสาว เนื่องจากทั้งสองขอให้ตัดประโยคดังกล่าวออกไป ไดอานาฉลองพระองค์ในชุดแต่งงานสีขาวมูลค่า 9,000 ปอนด์ (373,000บาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2524) พร้อมชายกระโปรงยาว 25 ฟุต (7.62 เมตร) บทเพลงที่ใช้บรรเลงระหว่างประกอบพิธีในมหาวิหารได้แก่ , ไอวาวทูดี มายคันทรี, หมายเลข 4, และก็อดเซฟเดอะควีน หลังได้รับพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานาอยู่ในลำดับที่ 3 แห่งลำดับโปเจียมฝ่ายใน (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถ และสมเด็จพระราชชนนี) และอยู่ในลำดับที่ 5 หรือ 6 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรเครือจักรภพ (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถ วิซรอย ดยุกแห่งเอดินบะระ สมเด็จพระราชชนนี และเจ้าชายแห่งเวลส์) ไม่นานภายหลังพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์แห่งราชวงศ์จำนวนหนึ่งแก่ไดอานา และทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ไดอานาใช้มงกุฎเคมบริดจ์เลิฟเวอร์สน็อต และยังทรงพระราชทานตราอาร์มให้แก่เจ้าหญิงอีกด้วยพระโอรส พระโอรส. เมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ที่ประทับในกรุงลอนดอนอย่างเป็นทางการของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ พระราชวังเคนซิงตัน นอกจากนี้ยังมีที่ประทับอีกแห่งในมณฑลกลอสเตอร์เชอร์ คือ พระตำหนักไฮโกรฟ เมืองเทตบรี 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 สำนักพระราชวังแถลงข่าวเรื่องเจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงตั้งพระครรภ์ เดือนมกราคม พ.ศ. 2525 ขณะที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เจ้าหญิงประสบอุบัติเหตุลื่นล้มบันไดในตำหนักซานดริงแฮม เซอร์จอร์จ พิงเกอร์ สตูนรีแพทย์ประจำราชสำนัก ถูกเรียกตัวมาจากลอนดอนเพื่อถวายการรักษาเจ้าหญิง ไดอานาได้รับบาดแผลฟกซ้ำรุนแรง แต่พระกุมารในครรภ์ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 เจ้าหญิงไดอานามีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เจ้าชายวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ ณ อาคารลินโดวิง โรงพยาบาลเซนต์แมรี เขตแพดดิงตัน กรุงลอนดอน ภายใต้การควบคุมดูแลของเซอร์พิงเกอร์ ท่ามกลางเสียงวิพากย์วิจารณ์จากสื่อ เจ้าหญิงไดอานาตัดสินพระทัยเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พร้อมด้วยพระโอรสน้อย แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชน เจ้าหญิงทรงเคยตรัสถึงเหตุนี้ว่าในตอนแรกไม่ต้องการให้พระโอรสร่วมเสด็จด้วย แต่ต่อมา มัลคอล์ม เฟรเซอร์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย (ในขณะนั้น) เสนอว่าควรให้เจ้าหญิงเสด็จเยือนออสเตรเลียพร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม มีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแฮร์รี ชาลส์ อัลเบิร์ต เดวิด เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2527 พระองค์ตรัสว่าทรงมีความใกล้ชิดกับพระสวามีมากที่สุดระหว่างทรงพระครรภ์เจ้าชายแฮร์รี เจ้าหญิงไม่ได้ทรงเปิดเผยเพศของพระกุมารให้แก่ผู้ใดทราบล่วงหน้า รวมทั้งพระสวามี ในเวลานั้น มีข่าวลือว่า เจ้าชายชาลส์มิใช่พระบิดาที่แท้จริงของเจ้าชายแฮร์รี แต่เป็น เจมส์ ฮิววิตต์ ครูสอนขี่ม้าที่เจ้าหญิงเคยมีความสัมพันธ์อย่างลับๆ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพภายนอกที่คล้ายกันมากระหว่างพระองค์กับฮิววิตต์ แต่มีหลักฐานหลายชิ้นออกมาหักล้างข่าวลือนี้ ที่ยืนยันว่าเจ้าหญิงมีพระประสูติกาลเจ้าชายแฮร์รีก่อนที่จะทรงมีสัมพันธ์กับฮิววิตต์ เจ้าหญิงไดอานามักพาพระโอรสออกนอกเขตพระราชฐานเพื่อท่องเที่ยวและเยี่ยมชมตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองอย่างเช่นสามัญชน เจ้าหญิงทรงไม่ยอมอ่อนข้อต่อพระสวามีและราชสำนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระโอรส เจ้าหญิงทรงตั้งชื่อแรกของพระโอรสทั้งสองด้วยพระองค์เอง ทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักหลายอย่าง เช่น ไม่โปรดให้มีพระพี่เลี้ยงสำหรับพระโอรสทั้งสอง ทรงเลือกโรงเรียน เครื่องแต่งกาย วางแผนกิจกรรมต่างๆ หากตารางเวลางานของพระองค์เอื้ออำนวย เจ้าหญิงจะทรงขับรถยนต์ไปส่งพระโอรสที่โรงเรียนด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ยังทรงกำหนดเวลาประกอบพระกรณียกิจของพระองค์ให้อยู่ภายในช่วงเดียวกันกับเวลาเรียนของพระโอรสชีวิตสมรสที่ล้มเหลวและการแยกกันอยู่กับเจ้าชายแห่งเวลส์ ชีวิตสมรสที่ล้มเหลวและการแยกกันอยู่กับเจ้าชายแห่งเวลส์. ภายในระยะเวลา 5 ปี ชีวิตคู่ของเจ้าหญิงเริ่มระหองระแหงและส่อแววร้าวฉาน ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันมากถึง 13 ปี และความคลางแคลงใจของไดอานาในความสัมพันธ์ของพระสวามีกับคนรักเก่า นางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ ต้นปี พ.ศ. 2533 สาธารณชนต่างรับรู้ว่า ชีวิตคู่ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้ล่มสลายลงแล้ว แม้ว่าในตอนแรกทั้งสองพระองค์ได้พยายามปิดบังปัญหานี้มาตลอด แต่กลับล้มเหลวเมื่อสื่อมวลชนเปิดโปงเรื่องส่วนพระองค์อย่างหมดเปลือกสองจนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงทรงต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นตัวทำลายชีวิตคู่ผ่านการให้ข่าวแก่นักข่าวหนังสือพิมพ์และพระสหาย จุดแตกหักในชีวิตคู่ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เริ่มมีเค้าลางชัดเจนในช่วงต้นปี พ.ศ. 2528 เมื่อเจ้าชายชาลส์กลับไปสานความสัมพันธ์กับนางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ อดีตคนรักเก่าที่แต่งงานแล้ว ต่อจากนั้นไม่นานไดอานาก็ลอบมีสัมพันธ์ลับกับพันตรี เจมส์ ฮิววิตต์ ความสัมพันธ์ชู้สาวของเจ้าชายและเจ้าหญิงถูกเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม 2535 ในหนังสือ Diana: Her True Story (ชีวิตจริงของไดอานา) เรียบเรียงโดย แอนดรูว์ มอร์ตัน ซึ่งเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เคยได้รับการตีพิมพ์มาก่อนแล้วในคอลัมน์ของนิตยสารรายสัปดาห์ The Sunday Times เนื้อหาในหนังสืออ้างว่าเจ้าหญิงทรงพยายามปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองจากปัญหาต่างๆ มากมายที่รุมเร้า ระหว่าง พ.ศ. 2535–2536 เทปบันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์กับบุคคลที่สามของทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงหลุดออกมาสู่สื่อมวลชน ทำให้สาธารณชนได้ล่วงรู้ถึงความเกลียดชังระหว่างสองพระองค์ เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างไดอานากับเจมส์ กิลบี ถูกเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซัน ผ่านบริการโทรศัพท์สายด่วนในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 บทสนทนาส่วนตัวนี้ได้รับการถอดความและตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดอะซันภายในเดือนเดียวกัน กรณีดังกล่าวเป็นที่รู้จักในนาม "สควิดจีเกต" โดยคำว่า "สควิดจี" ที่กิลบีใช้เรียกไดอานาอย่างสนิทเสน่หา พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 ข้อความส่วนหนึ่งจากเทปบันเสียง “คามิลลาเกต” ซึ่งบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าชายชาลส์และนางคามิลลา ปรากฏในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์หลายสำนักในอังกฤษ ธันวาคม พ.ศ. 2535 ณ สภาสามัญชนแห่งสหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรี จอห์น เมเจอร์ ออกแถลงการณ์ เรื่องการแยกกันอยู่ระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์ มกราคม พ.ศ. 2536 ข้อความจากเทปบันทึกเสียงฉบับเต็ม คามิลลาเกต ถูกนำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หลายสำนักอีกครั้ง พ.ศ. 2536 กลุ่มหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์ลงภาพแอบถ่ายของเจ้าหญิงไดอานาระหว่างทรงออกกำลังกายอยู่ภายในโรงยิมแอลเอฟิตเนส ในภาพ เจ้าหญิงทรงอยู่ในชุดออกกำลังกายแนบเนื้อและกางเกงขาสั้น ภาพดังกล่าวลักลอบถ่ายโดย ไบรซ์ เทย์เลอร์ เจ้าของโรงยิม ทนายความของไดอานาดำเนินการทางกฎหมายทันทีที่ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ โดยมีคำร้องให้ศาลห้ามให้มีการวางจำหน่ายและเผยแพร่ภาพดังกล่าวอย่างถาวร แต่อย่างไรก็ตามภาพถ่ายชุดนี้ถูกลักลอบนำไปตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์นอกสหราชอาณาจักร ท้ายที่สุด ศาลมีคำสั่งห้ามกลุ่มหนังสือพิมพ์มิเรอร์และนายเทย์เลอร์ให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ภาพถ่ายของไดอานาเพิ่มเติมอีกเป็นอันขาดสุดท้ายกลุ่มหนังสือพิมพ์มิเรอร์ยอมประกาศขอโทษหลังถูกตั้งข้อครหาและวิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่ายในสังคม มีการรายงานว่ากลุ่มหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์ได้ชดเชยค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านปอนด์ให้แก่เจ้าหญิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย อีกทั้งยังบริจาคเงินจำนวน 2 แสนปอนด์ให้แก่องค์กรการกุศลของพระองค์ นายเทย์เลอร์ยอมจ่ายค่าเสียหายให้แก่ไดอานาเช่นเดียวกันด้วยเงิน 3 แสนปอนด์ แต่มีข่าวลือว่ามีสมาชิกราชวงศ์พระองค์หนึ่งได้ช่วยเหลือนายเลอร์ในเรื่องเงินค่าเสียหายดังกล่าว เจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งเป็นพระมาตุลานี (ป้าสะใภ้) ของไดอานาทรงเผาทำลายจดหมาย “ลับสุดยอด” ซึ่งไดอานาทรงเขียนถึงสมเด็จพระราชชนนีเมื่อ พ.ศ. 2536 เจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงรับสั่งว่าเนื้อหาในจดหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยเรื่องส่วนตัวจำนวนมาก วิลเลียม ชอว์ครอส นักประวัติศาสตร์ พูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงกำลังช่วยปกป้องพระมารดาและสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ” ชอว์ครอสเห็นว่าการกระทำของเจ้าหญิงมาร์กาเรตนั้นสมเหตุสมผล แต่หากพิจารณาในมุมนักประวัติศาสตร์ เขากลับรู้สึกเสียดายที่ทรงทำลายจดหมายนั้น ระหว่างที่ไดอานากล่าวหาคามิลลาว่าเป็นตัวทำลายครอบครัวของพระองค์ เจ้าหญิงทรงเริ่มหวาดระแวงว่าเจ้าชายชาลส์กำลังลอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับผู้หญิงคนใหม่ เดือนตุลาคม 2536 เจ้าหญิงเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ใจความว่า ทรงเชื่อว่าพระสวามีกำลังหลงรัก ทิกกี เล็กจ์-เบิร์ก ผู้ช่วยส่วนพระองค์ (อดีตพระพี่เลี้ยง) และต้องการสมรสใหม่ผู้หญิงคนนี้ นางสาวเล็กจ์-เบิร์กเคยได้รับการว่าจ้างโดยเจ้าชายชาลส์ในตำแหน่งพระพี่เลี้ยงของพระโอรสทั้งสองเมื่ออยู่ในความดูแลของพระบิดา ไดอานาทรงกริ้วมากเมื่อทรงทราบความมิตรภาพที่ดีระหว่างพระโอรสกับเล็กจ์-เบิร์ก 3 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงประกาศถอนตัวจากชีวิตสาธารณชนอย่างเป็นทางการ และในเวลาเดียวกันนั้น ข่าวซุบซิบเรื่องสัมพันธ์รักระหว่างเจ้าหญิงไดอานากับเจมส์ ฮิววิตต์ อดีตครูสอนขี่ม้าของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี กำลังแพร่สะพัดอย่างหนาหู จนถึงกับมีการตีพิมพ์เรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือชื่อว่า Princess in Love และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันใน พ.ศ. 2539 29 มิถุนายน พ.ศ. 2537 เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงประทานสัมภาษณ์ผ่านทางรายการโทรทัศน์แก่ โจนาธาน ดิมเบิลบลี เพื่อชี้แจงถึงเรื่องชีวิตคู่ที่ล้มเหลวด้วยพระองค์เองต่อสาธารณชน ทรงยอมรับว่าพระองค์กลับไปมีความสัมพันธ์กับนางคามิลลา หลังจากที่ชีวิตคู่ของพระองค์กับเจ้าหญิงนั้นมาถึงทางตันในปี พ.ศ. 2529 ทินา บราวน์ แซลลี บีเดล สมิธ และซาราห์ แบรดฟอร์ด และนักเขียนหลายคน เห็นพ้องต้องคำในถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหญิงในรายการโทรทัศน์ บีบีซีพาโนรามา ที่ออกอากาศช่วงปลายปี พ.ศ. 2538 ตอนหนึ่งของสัมภาษณ์เจ้าหญิงทรงเปิดเผยว่าทรงได้รับความทุกข์ทรมานสาหัสจากโรคซึมเศร้าและโรคบูลีเมียขั้นรุนแรง และทรงพยายามทำร้ายพระองค์เองด้วยการกรีดข้อพระหัตถ์และพระเพลา จากพระอาการต่างๆ ที่ทรงกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ทำให้นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่าไดอานามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งการหย่าร้าง การหย่าร้าง. มาร์ติน บาชีร์ ได้รับพระอนุญาตจากเจ้าหญิงแห่งเวลส์เพื่อขอสัมภาษณ์พระองค์ในรายการ พาโนรามา ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในกระแส และเทปการสัมภาษณ์เจ้าหญิงออกอากาศเมื่อ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทรงตรัสถึงเจมส์ ฮิววิตต์ว่า "ใช่ ฉันเคยหลงรักเขา ใช่ฉันเคยหลงรักเขา แต่เขาทำให้ฉันเสียหายอย่างที่สุด” ทรงตรัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายชาลส์กับนางคามิลลาว่า “มีคนสามคนในชีวิตคู่และเรารู้สึกอึดอัด” ทรงตรัสถึงพระองค์ในอนาคตว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจของประชาชน” และทรงแสดงความกังวลต่อความเหมาะสมในการขึ้นครองราชย์ของพระสวามีว่า “หน้าที่ [ในฐานะประมุข] เป็นภารกิจสำคัญอย่างยิ่ง และมาพร้อมกับกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย และฉันไม่รู้ว่าเจ้าชายจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งพระประมุขได้หรือไม่” 20 ธันวาคม พ.ศ. 2538 สำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแนะนำให้พระโอรสและพระสุณิสาทรงหย่าขาดกัน สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าพระราชหัตถเลขาและความเคลื่อนไหวของสมเด็จพระราชินีนาถเกิดขึ้นหลังจากพระองค์ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีและคณะองคมนตรีชั้นผู้ใหญ่หลังใช้เวลาปรึกษาหารือนาน 2 สัปดาห์ และในเวลาต่อมาไม่นานมีเอกสารแถลงการณ์ยินยอมหย่าร้างจากเจ้าชายแห่งเวลส์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงยอมรับข้อตกลงการหย่าร้างหลังการเจรจากับเจ้าชายและตัวแทนของสมเด็จพระราชินีนาถ ทั้งนี้เกิดความวุ่นวายภายขึ้นในสำนักพระราชวังบักกิงแฮม เมื่อไดอานาทรงมีพระประสงค์ให้มีการประกาศยินยอมหย่าของพระองค์พร้อมกับข้อตกลงต่างๆ อย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชน กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงและเจ้าชายยอมรับข้อตกลงในการหย่าร้าง 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 การหย่าร้างมีผลสมบูรณ์ และไม่กี่วันก่อนมีคำสั่งศาลให้ทั้งสองพระองค์หย่าขาด สำนักพระราชวังบักกิงแฮมเผยแพร่เอกสารสิทธิระบุว่า ไดอานาจะต้องสูญเสียฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า (Her Royal Highness) เนื่องจากมิได้เป็นเจ้าหญิงพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์อีกต่อไป และให้ใช้พระนาม “ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์” แต่เพียงเท่านั้น มีการรายงานเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระราชินีนาถทรงตัดสินพระทัยให้คงไว้ซึ่งพระอิสริยศ “เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ท้ายพระนามของหลังการหย่าร้าง แต่เจ้าชายชาลส์ทรงคัดค้านและเรียกร้องให้ริบคืนพระอิสริยศดังกล่าวจากอดีตพระชายา เนื่องจากเป็นพระมารดาของเจ้าชายวิลเลียม ผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับสองและมีความเป็นไปได้ที่จะได้ทรงขึ้นครองราชย์ในภายภาคหน้า จึงมีความเห็นพ้องกันภายในราชสำนักว่า หลังทรงหย่าร้าง ควรให้ไดอานาดำรงพระอิสริยศเช่นเดียวกับที่ทรงเคยได้รับระหว่างการเป็นพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายวิลเลียมเคยตรัสปลอบใจพระมารดาครั้งหนึ่งว่า “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมจะคืนยศให้แม่เองในวันที่ผมได้เป็นพระราชา” ทินา บราวน์ ระบุว่าก่อนหน้าการหย่าร้างเพียง 1 ปี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ได้ทรงส่งจดหมายส่วนพระองค์เพื่อเตือนพระสุณิสา ว่า “ถ้าเธอไม่ประพฤติตัวให้ดี เราจะริบยศเธอคืน” และเจ้าหญิงทรงเขียนตอบกลับพระสัสุระว่า “พระยศของหม่อมฉันเก่าแก่กว่าของท่าน ฟิลิป” ไดอานาได้รับเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดำรงชีพจากเจ้าชายชาลส์หลังการหย่าร้างจำนวน 17 ล้านปอนด์ (665 ล้านบาท–อัตราแลกเปลี่ยน สิงหาคม พ.ศ. 2539) พร้อมเงินรายปีจำนวน 400,000 ปอนด์ต่อปี (15.65 ล้านบาทต่อปี–อัตราแลกเปลี่ยน สิงหาคม พ.ศ. 2539) ทั้งสองพระองค์ร่วมลงนามในข้อตกลงซึ่งมีเงื่อนไขเพิ่มเติมพิเศษ ห้ามมิให้ทั้งสองฝ่ายนำรายละเอียดต่างๆ ในระหว่างชีวิตคู่จนถึงการหย่าร้างไปเผยแพร่ไม่ว่าในกรณีใดๆ หลังการหย่าร้างไม่นาน ไดอานาทรงกล่าวหา นางสาวทิกกี เล็กจ์-เบิร์ก ผู้ช่วยของเจ้าชายชาลส์ ว่า ลอบไปทำแท้งหลังตั้งท้องกับเจ้าชาย โดยเล็กจ์-เบิร์กไม่พอใจอย่างมากและได้เรียกร้องพระองค์ทรงกล่าวคำขอโทษ ต่อมา แพทริก เจฟสัน เลขานุการของไดอานา ขอลาออกหลังมีการกล่าวหาเกิดขึ้น และได้เขียนข้อความพาดพิงเจ้าหญิงไว้ว่า “ทรงสำราญพระทัยจากการให้ร้ายเล็กจ์-เบิร์กว่าหล่อนแอบไปทำแท้ง” ไดอานาทรงมีความขัดแย้งกับพระมารดาอย่างรุนแรงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2540 เมื่อฟรานเซสให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฮัลโหล ว่า ไดอานาพอใจจากการถูกเรียกคืนอิสริยศหลังหย่าร้างกับเจ้าชายชาลส์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสองต่างไม่ยอมพูดจาหรือติดต่อกันอีกเลยจนกระทั่งไดอานาสิ้นพระชนม์ สำนักพระราชวังบักกิงแฮมชี้แจงว่า ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกราชวงศ์ เนื่องจากเป็นพระมารดาของรัชทายาทอันดับที่สองและสาม และข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก บารอนเนส บัทเลอร์-สลอส เจ้าหน้าที่โคโรเนอร์แห่งราชสำนัก ก่อนการพิจารณาคดีการสิ้นพระชนม์ของไดอานาเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 โดยกล่าวว่า "ดิฉันรู้สึกพึงพอใจที่ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ยังคงสถานะเป็นสมาชิกราชวงศ์อยู่ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม” และความเป็นสมาชิกราชวงศ์ของพระองค์ได้รับการรับรองอีกครั้งโดยคณะลูกขุนแห่งศาลสูงไฮคอร์ท ซึ่งเป็นผู้กล่าวรับคำร้องพิจารณาคดีมรณกรรมของไดอานาและโดดีในฝรั่งเศส ดังนี้ “การพิจารณาคดีครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตสองคน ผู้หนึ่งเป็นสมาชิกแห่งพระราชวงศ์ (ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์) แต่อีกผู้หนึ่งไม่ใช่ (โดดี อัลฟาเยด) ”พระราชกิจในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระราชกิจในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์. พระกรณียกิจอย่างเป็นการครั้งแรกของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวลส์พร้อมกับเจ้าชายแห่งเวลส์เป็นเวลา 3 วัน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2524 และเสด็จไปร่วมรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ต่อมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 เสด็จทรงเป็นประธานเปิดไฟต้นคริสต์มาสบนถนนรีเจนต์ ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จประกอบพระกรณียกิจครั้งแรกที่ไม่ได้เสด็จร่วมพระสวามีและพระบรมวงศานุวงศ์ เดือนมิถุนายน 2525 เสด็จร่วมทอดพระเนตรการสวนสนามทหารกองเกียรติยศในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีนาถ และเจ้าหญิงทรงปรากฏพระองค์บนระเบียงมุขพระราชวังบักกิงแฮมต่อประชาชนที่มาเข้าเฝ้าและใน พ.ศ. 2525 เจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศโดยเพียงพระองค์เดียวเป็นครั้งแรก เพื่อเสด็จไปทรงร่วมพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก ต่อมาในปีเดียวกัน เสด็จพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ไปในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และเจ้าหญิงทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of the Crown จากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ ปี พ.ศ. 2526 เจ้าชายแห่งเวลส์และเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม และทั้งสามพระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองมาวรีในนิวซีแลนด์ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พ.ศ. 2526 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดา ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ ทรงร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน 1983 ที่เมืองเอ็ดมันตัน และเสด็จพระราชดำเนินไปเกาะนิวฟันด์แลนด์เพื่อรำลึกการครบรอบ 400 ปีที่อังกฤษประกาศกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนแห่งนี้เมษายน พ.ศ. 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เสด็จฯ เยือนประเทศอิตาลี และทรงได้พบกับประธานาธิบดีอาเลสซานโดร เปอร์ตินี และเสด็จพระราชดำเนินไปสันตะสำนักแห่งโรม และทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 พฤศจิกายน 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา ณ ทำเนียบขาว ทรงเข้าพบประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายโรนัลด์ เรแกน และนางแนนซี เรแกน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง พ.ศ. 2529 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, สเปน และเสด็จไปทอดพระเนตรงานเวิลด์เอกซ์โป 1986 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พ.ศ. 2531 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียเป็นเวลา 10 วัน และทรงเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันชาติออสเตรเลียครบรอบ 200 ปี ในระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ เพื่อทรงร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และในระหว่างการเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลฮาร์เลม และทรงสร้างความประหลาดใจแก่สาธารณชนเมื่อทรงโอบกอดเด็กอายุ 7 ขวบคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคเอดส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไนจีเรียและแคเมอรูน และทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำที่ประธานาธิบดีแห่งแคเมอรูนจัดเลี้ยงถวายที่กรุงยาอุนเด โดยพระกรณียกิจหลักในการเสด็จฯ เยือนแคเมอรูนครั้งนี้คือ การเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลและเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสตรี เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ เยือนประเทศฮังการีเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งถือได้ว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นสมาชิกราชวงศ์สองพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนอดีตรัฐสมาชิกในกติกาสัญญาวอร์ซอ ทั้งสองได้ร่วมงานเลี้ยงพระยาหารค่ำ ซึ่งจัดถวายโดยประธานาธิบดีรักษาการ อาร์พาร์ด กอนทส์ และเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการแสดงแฟชันที่พิพิธศิลปะประยุกต์ในกรุงบูดาเปสต์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เพื่อเป็นการส่งเสริมขวัญกำลังใจให้แก่หน่วยกำลังพลที่ปฏิบัติงานในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เจ้าหญิงแห่งเวลส์จึงเสด็จฯ เยือนประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อทรงพบกับครอบครัวทหารที่เข้าร่วมสงคราม และไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เสด็จฯ เยือนเยอรมนีอีกครั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2534 เพื่อเสด็จเยี่ยมฐานบินเบรอเกน และทรงเขียนจดหมายให้กำลังเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารทางการทหาร ได้แก่ Soldier, Navy News และ RAF News กันยายน พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนปากีสถานเพียงพระองค์เดียว และร่วมเสด็จฯ เยือนประเทศบราซิลพร้อมกับเจ้าชายชาลส์ ระหว่างการเสด็จฯ เยือนบราซิล เจ้าหญิงเสด็จไปที่องค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านและเยาวชนเร่ร่อน การเสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และประเทศเกาหลีใต้ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535 ในการเสด็จฯ เยือนอินเดียคราวนั้น เจ้าหญิงได้เสด็จไปเยี่ยมแม่ชีเทเรซา ในสถานสงเคราะห์เมืองโกลกาตา และทั้งสองจึงได้เริ่มติดต่อกันอย่างไม่เป็นทางการนับแต่นั้นมา พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอียิปต์ และทรงเข้าพบกับประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร็อก แม้ว่าในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงประกาศถอนตัวจากกิจกรรมสาธารณะอย่างไม่มีกำหนด แต่เจ้าหญิงไดอานาทรงยืนยันว่าจะยังคงปรากฏพระองค์ในกิจกรรมการกุศลอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งรองประธานสภากาชาดบริติช พระองค์ได้ทรงร่วมเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานฉลองครบรอบ 125 ปี สภากาชาดบริติช ต่อมาสมเด็จพระราชินีนาถทรงส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการให้เจ้าหญิงไดอานาทรงร่วมพิธีรำลึกวันดี-เดย์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เพื่อทรงเข้าร่วมเทศกาลศิลปะเวนิสเบียนนาเล พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอาร์เจนตินา เป็นเวลา 4 วัน เพื่อร่วมงานการกุศล ทั้งนี้ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโรงพยาบาลดอกเตอร์แองเจิล รอฟโฟ กรุงบัวโนสไอเรส ในระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนอีกหลายประเทศ เช่น เบลเยียม เนปาล สวิตเซอร์แลนด์ ซิมบับเว บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แองโกลา และอื่นๆ และระหว่างเวลา 4 ปีที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ เจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินไปร่วมพิธีใหญ่สำคัญๆ ในฐานะพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น พิธีรำลึกครบรอบ 50 ปี วันชัยในทวีปยุโรป พ.ศ. 2538 และพิธีรำลึกวันชัยเหนือญี่ปุ่น งานฉลองวันคล้ายวันประสูติปีที่ 36 ชันษาของพระองค์และเป็นครั้งสุดท้าย จัดขึ้นที่หอศิลป์เทต กรุงลอนดอน และยังตรงกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งหอศิลป์แห่งนี้อีกด้วยกิจกรรมสาธารณกุศล กิจกรรมสาธารณกุศล. ใน พ.ศ. 2526 พระองค์ทรงตรัสถึงความกดดันในสถานะใหม่ของพระองค์กับ นายไบรอัน เพ็กฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐนิวฟันด์แลนด์ ณ ขณะนั้น ว่า “ฉันรู้สึกว่าเป็นการยากมากเหลือเกินที่จะทนต่อความดันในการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ แต่ฉันกำลังเรียนรู้เพื่อจะพร้อมรับมือกับหน้าที่นี้” โดยในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ สาธารณชนต่างคาดหวังให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่สำคัญต่างๆ ดังที่สมาชิกพระราชวงศ์ทรงให้การสนับสนุนช่วยเหลือสังคมในช่วงศตวรรษที่ 20 ไม่นานหลังทรงอภิเษกสมรส เจ้าหญิงทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจด้านการกุศลเพิ่มมากขึ้น ใน พ.ศ. 2531 ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจจำนวน 191 ครั้ง และเพิ่มขึ้นเป็น 397 ครั้งใน พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือโครงการหรือองค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายและสุขอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเอดส์และโรคเรื้อน ซึ่งยังไม่มีสมาชิกราชวงศ์พระองค์ใดทรงปฏิบัติมาก่อน สตีเฟน ลี ผู้อำนวยการสถาบันควบคุมการระดมทุนเพื่อการกุศลแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวถึงพระองค์ว่า พระองค์ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการระดมทุนเพื่อการกุศลในศตวรรษที่ 20 นอกจากพระกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยแล้ว พระองค์ยังทรงขยายขอบเขตงานในอีกหลายด้าน เช่น การรณรงค์คุ้มครองสัตว์ และการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด พระองค์เคยดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือคนไร้บ้าน เยาวชน ผู้ติดยาเสพติด และผู้สูงอายุ ทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ เฮดเวย์ ซึ่งเป็นสมาคมเพื่อผู้ป่วยทางสมอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534-2539 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พิพิธภัณฑ์เนเชอรัลฮิสทรี และทรงทำหน้าที่ประธานสถาบันดุริยางค์ศิลป์แห่งลอนดอนในพระราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2531 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สภากาชาดบริติชและทรงให้ความช่วยเหลือหน่วยงานย่อยของสภากาชาดบริติชในต่างประเทศ อีกทั้งทรงมักจะเสด็จไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคร้ายและผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลรอยัลบรอมป์ตันเป็นประจำทุกสัปดาห์ พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระองค์แรกของโครงการเชสเตอร์ชายด์เบิร์ธแอพพีล ซึ่งเป็นโครงการด้านการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือด้านการผดุงครรภ์ และทรงใช้ช่องทางต่างๆ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโครงการแห่งนี้จนได้รับเงินบริจาคจำนวนมากถึง 1 ล้านปอนด์ และทรงประทานพระอนุญาตให้นำพระอิสริยศส่วนหนึ่งของพระองค์ (เคานท์เตสแห่งเชสเตอร์) มาใช้ตั้งชื่อโครงการ มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนกรุงมอสโก และเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเด็กที่พระองค์ทรงเคยให้ความช่วยด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และมีการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลอินเตอร์เนชันแนลเลโอนาร์โดไพรซ์แก่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งรางวัลนี้จะมอบให้เฉพาะแก่ผู้อุปถัมภ์และบุคคลที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะ การแพทย์ และกีฬา ธันวาคม พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงไดอานาทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมนุษยธรรมแห่งปีจากองค์กรยูไนเต็ดเซรีบรัลพอลซี นครนิวยอร์ก จากการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์องค์กรการสาธารณกุศลต่างๆ มากมาย ตุลาคม พ.ศ. 2539 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองในการประชุมด้านสุขภาพ ซึ่งจัดการประชุมโดยศูนย์ปีโอมันซุ เมืองรีมีนี ประเทศอิตาลี หนึ่งวันหลังจากทรงหย่า ไดอานาทรงประกาศลาออกจากองค์กรการกุศลจำนวนกว่า 100 แห่ง เพื่อทรงทุ่มเทพระราชกิจกับ 6 องค์กรหลัก ได้แก่ มูลนิธิเซ็นเตอร์พอยท์ บริษัทอิงลิชเนชันแนลบัลเลต์ โรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ และโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน แต่พระองค์ยังทรงปฏิบัติงานร่วมกับโครงการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดแห่งสภากาชาดบริติช แม้ไม่ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์อีกต่อไป พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาเสด็จฯ พระราชดำเนินไปเปิดศูนย์ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์เพื่อผู้พิการและศิลปะ หลังจากทรงตอบรับคำเชิญจากพระสหาย ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ มิถุนายน พ.ศ. 2540 ฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทของพระองค์ถูกนำออกประมูลโดยสถาบันคริสตีส์ในลอนดอนและนิวยอร์ก และรายได้จากการประมูลทั้งหมดถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์กรการกุศล พระกรณียกิจสุดท้ายอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นพระชนม์ คือ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงพยาบาลนอร์ธวิกพาร์ก กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2540พระราชกิจในด้านต่างๆผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ พระราชกิจในด้านต่างๆ. ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์. เจ้าหญิงไดอานาทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา ใน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดศูนย์บริการสุขภาพเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์แลนด์มาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน พระองค์ทรงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสร่างกายผู้ป่วยเอดส์ ทั้งที่การแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านทางการสัมผัส เจ้าหญิงจึงถือเป็นสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษพระองค์แรกที่ทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเอดส์ ทรงพยายามลบล้างความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ โดยทรงกุมมือผู้ป่วยโรคเอดส์คนหนึ่งในระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2530 ทรงมีรับสั่งในเวลาต่อมาว่า “ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีไม่ได้น่ากลัวอย่างหลายคนคิด เราสามารถจับมือและโอบกอดพวกเขาได้ สวรรค์เท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพวกเขาต้องการ ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถอยู่อาศัยในบ้านเดียวกันร่วมกับผู้ป่วยได้ ทำงานในสถานที่เดียวกันได้ ตลอดทั้งใช้สนามเด็กเล่นและของเล่นร่วมกันได้อีกด้วย” เจ้าหญิงไดอานาทรงไม่พอทัยเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่โปรดให้พระองค์ทรงงานการกุศลเกี่ยวผู้ป่วยเอดส์ พร้อมทั้งทรงแนะนำให้เจ้าหญิงเลือกปฏิบัติพระราชกิจที่ “น่าอภิรมย์” มากกว่านี้ ตุลาคม พ.ศ. 2533 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดแกรนด์มาส์เฮาส์ ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์เพื่อเยาวชนที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และยังเคยเป็นองค์อุปถัมภ์กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลมิดเดิลเซ็กส์ และได้ทรงกอดผู้ป่วยคนหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งกลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในเวลาต่อมา ระหว่างที่ทรงให้การอุปถัมภ์องค์การเทิร์นนิงพอยท์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข และใน พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงมีโอกาสเสด็จฯ ไปเยี่ยมชนโครงการของเทิร์นนิงพอยท์เพื่อผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและและผู้ป่วยเอดส์ ต่อมาทรงริเริ่มการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อรักษาโรคเอดส์ มีนาคม พ.ศ. 2540 เสด็จฯ เยือนประเทศแอฟริกาใต้ และทรงเข้าพบประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 นายแมนเดลามีถ้อยแถลงว่า กองทุนเนลสัน แมนเดลา เพื่อเด็กและเยาวชนจะร่วมงานภารกิจกับกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อย่างรุนแรงในประเทศแอฟริกาใต้ โดยจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยและเยาวชนในที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้ายนี้ และเขายังระบุว่า ไม่กี่เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงทรงมีแผนที่จะผนวกสององค์กรเพื่อทำงานการกุศลด้านโรคเอดส์ร่วมกัน แมนเดลายังกล่าวถึงเจ้าหญิงผู้ล่วงลับว่า “เมื่อพระองค์ทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคเรื้อหรือทรงประทับบนเตียงร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ชายรายหนึ่งพร้อมทรงกุมมือให้กำลังใจเขา พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงความคิดสาธารณชนและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อ” แมนเดลายังกล่าวว่าเจ้าหญิงทรงใช้สถานะและชื่อเสียงของพระองค์เพื่อขจัดอคติที่มีต่อผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์การต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด การต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด. พระองค์ทรงมีความสนใจด้านต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดจากการที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรฮาโลทรัสต์ ซึ่งทำหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือในพื้นที่ที่เคยเกิดสงคราม เดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ภาพข่าวเจ้าหญิงในชุดเกราะและหน้ากากป้องกันแรงอัดระหว่างเสด็จฯ ไปเขตพื้นที่ทุ่นระเบิดในประเทศแองโกลา ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ระหว่างการเสด็จฯ เยือนแองโกลา แต่ขณะเดียวกับพระองค์ทรงถูกวิจารณ์ว่ากำลังเข้าไปแทรกแซงการเมืองและเป็น ”ตัวอันตราย” ท่ามกลางกระแสวิจารณ์องค์กรฮาโลทรัสต์ได้ออกมาชี้แจงว่า พระกรณียกิจของไดอานากระตุ้นให้นานาชาติตระหนักถึงผลเสียหายร้ายแรงจากการใช้ทุ่นระเบิดและผู้ที่ได้บาดเจ็บจากอาวุธสงครามชนิดนี้ มิถุนายน พ.ศ. 2540 พระองค์ทรงขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมเรื่องทุ่นระเบิด ซึ่งจัดขึ้น ณ สมาคมภูมิศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมรณรงค์โครงการต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดของสภากาชาดอเมริกา และในระหว่างวันที่ 7–10 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เพียงไม่กี่วันก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เพื่อให้กำลังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด พระราชกิจการต่อต้านทุ่นระเบิดของพระองค์นั้นเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง โดยเห็นได้ชัดจากการที่นานาประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญาออตตาวา เพื่อการยกเลิกใช้ทุ่นระเบิดในภาวะสงคราม และต่อมาสภาสามัญชนแห่งรัฐสภาอังกฤษก็ได้ผ่านร่างกฎหมายต่อต้ารการใช้ทุ่นระเบิดเมื่อ พ.ศ. 2542 แครอล เบลลามี ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า พื้นทุ่นระเบิดยังคงเป็นอันตรายต่อเด็กน้อยไร้เดียงสาทั่วโลก และเธอเสนอให้กลุ่มประเทศที่ผลิตและสะสมทุ่นระเบิดในคลังสรรพาวุธ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย เกาหลีเหนือ ปากีสถาน และรัสเซีย เข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านทุ่นระเบิด ปลายปี พ.ศ. 2540 โครงการต่อต้านทุ่นระเบิดสากลที่พระองค์ทรงร่วมรณรงค์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หลังจากที่สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือน ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง. การเสด็จพระราชดำเนินไปสถาบันเฉพาะทางด้านโรงมะเร็งครั้งแรกอย่างเป็นทางการของพระองค์ คือการเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดน เอ็นเอชเอสฟันเดชันทรัสต์ กรุงลอนดอน ใน พ.ศ. 2525 และพระองค์ทรงมอบเงินจำนวนหนึ่งที่ได้จากการประมูลฉลองพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2540 ให้แก่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผู้จัดการกองทุนโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดนกล่าวถึงพระองค์ว่า “เจ้าหญิงทรงขจัดอคติและทัศนคติที่ไม่ดีของโรคร้าย เช่น โรคเอดส์ เชื้อเอชไอวี และโรคเรื้อน" และทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดนตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ในเวลาต่อมาเสด็จฯ มาเปิดแผนกผู้ป่วยมะเร็งเด็กวูล์ฟสันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 มิถุนายน พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองชิคาโกในฐานะประธานโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน เพื่อทรงร่วมงานระดมทุนการกุศลและทรงจัดหาทุนได้มากถึง 1 ล้านปอนด์เพื่อการค้นคว้าวิจัยการรักษาโรงมะเร็ง และเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงตอบรับคำเชิญของแคเธอริน เกรแฮม และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์นีนา ไฮด์ เพื่อการวิจัยมะเร็งทรวงอก และพระองค์ยังเสด็จฯ ไปร่วมงานระดมทุนประจำปีสำหรับศูนย์วิจัยมะเร็งแห่งนี้ด้วย ซึ่งมีสำนักพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดมูลนิธิชิลเดรนวิธลูคีเมียอย่างเป็นทางการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิชิลเดรนวิธแคนเซอร์ยูเค) เพื่อเป็นการรำลึกถึงเยาวชนที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อปี พ.ศ. 2531 ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 ไม่กี่วันหลังจาก เจ้าหญิงทรงได้พบกับพ่อและแม่ของจีน โอกอร์แมน เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของจีนและพี่ชายของเธอในเวลาไล่เลี่ยกันสร้างความสะเทือนใจให้พระองค์เป็นอันมาก และทรงมอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวโอกอร์แมนเพื่อจัดตั้งมูลนิธิด้วย มูลนิธิดังกล่าวมีพิธีเปิดอย่างทางการเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2531 ที่โรงเรียนมัธยมมิลล์ฮิลล์ โดยพระองค์เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิด และทรงบริจาคเงินแก่มูลนิธิแห่งนี้จนกระทั่งทรงสิ้นพระชนม์พระราชกิจด้านอื่นๆ พระราชกิจด้านอื่นๆ. พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อนในอินโดนีเซีย หลังจากนั้นไม่นานทรงให้การอุปถัมภ์พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน ซึ่งองค์การกุศลที่ให้ความช่วยเหลือและการรักษาทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน และพระองค์ทรงสนับสนุนองค์การแห่งนี้จนสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้เจ้าหญิงยังเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลโรคเรื้อนในอีกหลายแห่งทั่วโลกในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย เนปาล ซิมบับเว และไนจีเรีย และทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน ทั้งที่ๆ ณ เวลานั้นผู้คนไม่กล้าแตะต้องตัวผู้ป่วยเพราะความเข้าใจที่ผิดว่าโรคเรื้อนสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส พระองค์ทรงตรัสถึงการเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อนว่า “ฉันคิดคำนึงอยู่ตลอดในเรื่องการสัมผัสตัวผู้ป่วยโรคเรื้อน จึงได้พยายามใช้วิธีอย่างง่ายๆ เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังโดนหยามเหยียดหรือเป็นที่รังเกียจ" หลังจากสิ้นพระชนม์ ศูนย์สุขศึกษาไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในเมืองนอยดา ประเทศอินเดีย มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2542 โดยศูนย์ดังกล่าวนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกเป็นพระเกียรติคุณของพระองค์ และเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคเรื้อนและภาวะทุพพลภาพ ศูนย์แห่งนี้ได้รับเงินทุนก่อตั้งโดยกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์กรเซ็นเตอร์พอยท์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 องค์กรแห่งนี้ให้การช่วยจัดหาที่อยู่และช่วยเหลือคนไร้บ้านในอังกฤษ พระองค์ทรงให้กำลังใจแก่เยาวชนเร่ร่อนและทรงตรัสว่า “พวกเขาสมควรได้โอกาสเพื่อเริ่มต้นชีวิตที่ดีอีกสักครั้ง” “พวกเรา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ควรตระหนักว่า เยาวชนของเรา ผู้ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศนี้ สมควรได้รับโอกาสอีก” เจ้าหญิงไดอานาทรงมักพาเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อไปเยี่ยมศูนย์เซ็นเตอร์พอยท์ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในศูนย์แห่งนี้เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เยาวชนในศูนย์ทุกคนรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก เพราะทุกครั้งพระองค์เสด็จฯ เจ้าหญิงทรงไม่เสแสร้งและไม่ถือพระองค์แต่อย่างใด ปัจจุบันเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์การเซ็นเตอร์พอยท์ เจ้าหญิงทรงให้การสนับสนุนมูลนิธิและองค์การกุศลที่ช่วยเหลือสังคมและให้บริการทางสุขภาพจิต เช่น รีเลตและเทิร์นนิงพอยท์ รีเลตเป็นองค์การก่อตั้งขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2530 จากเดิมเคยเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ และเจ้าหญิงทรงให้ความอุปถัมภ์องค์การรีเลตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532เทิร์นนิงพอยท์ คือ องค์การที่ดูแลด้านสาธารณสุขที่ให้การบำบัดช่วยเหลือแก่ผู้ติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต พระองค์ทรงเริ่มให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2530 และได้เสด็จฯ มาเยี่ยมผู้เข้ารับการบำบัดที่องค์การแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ทรงกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ พ.ศ. 2533 ที่องค์การเทิร์นนิงพอยท์ ดังนี้ว่า "เราต้องใช้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์พูดจาหว่านล้อมสังคมที่หวาดกลัวให้ยอมรับบุคคล ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความวิกลจริตกลับเข้าสู่สังคม ตลอดจนผู้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทและอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยถูกผลักไสให้พ้นไปจากสังคมสมัยวิกตอเรีย" แม้ว่าจะทรงประสบความยุ่งยากในการเดินทางไปประเทศกลุ่มมุสลิม แต่ภายในปีเดียวกัน พระองค์ก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศปากีสถาน เพื่อทรงเยี่ยมศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงลาฮอร์ เพื่อเป็นนัยบ่งบอกว่าการต่อต้านการใช้สารเสพติดคือหนึ่งในพระราชกิจหลักชีวิตส่วนพระองค์หลังการหย่าร้าง ชีวิตส่วนพระองค์หลังการหย่าร้าง. หลังจากทรงหย่าร้าง ไดอานาทรงได้รับอพาร์ตเมนท์หมายเลข 8 และ 9 ทางปีกขวาด้านหลังพระราชวังเคนซิงตัน อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ใช้เป็นที่ประทับอย่างเป็นการตั้งแต่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาลส์เมื่อปี พ.ศ. 2524 และต่อมาไดอานาทรงประทับอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ในพระราชวังเคนซิงตันจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ทรงย้ายกองงานส่วนพระองค์มาที่พระราชวังเคนซิงตันด้วยเช่นกัน แต่ว่าได้พระบรมราชานุญาตให้ใช้สเตทอพาร์ตเมนท์ในพระราชวังเซนต์เจมส์ นอกจากนี้พระองค์จะยังมีอภิสิทธิ์ในการยืมเครื่องประดับและอัญมณีต่อไป ดังเช่นที่เคยทรงได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้ระหว่างดำรงพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ และพระองค์ยังทรงสามารถประทับเครื่องบินพระที่นั่งสำหรับพระราชวงศ์ของรัฐบาลอังกฤษได้ตามปกติ หากว่ามีพระกรณียกิจจำเป็นทั้งในสหราชอาณาจักรและในต่างประเทศ แต่ในหนังสือซึ่งถูกวางจำหน่ายในปี 2546 เขียนโดย พอล เบอร์เรล อดีตมหาดเล็กคนสนิทของไดอานา อ้างว่า ในจดหมายลับส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงได้เปิดเผยว่า น้องชายของพระองค์ ชาลส์ สเปนเซอร์ ปฏิเสธไม่ให้ไดอานาเสด็จกลับไปประทับที่คฤหาสน์อัลธอร์พตามความปรารถนาของพระองค์ ไดอานาคบหากับศัลยแพทย์โรคหัวใจชาวอังกฤษ-ปากีสถาน นายแพทย์ฮัสนัท ข่าน พระสหายหลายคนกล่าวถึงชายผู้นี้ว่า “รักแท้ของไดอานา” และไดอานาเรียกเขาว่า “มิสเตอร์วอนเดอร์ฟูล” เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2539 ไดอานาเสด็จฯ เยือนกรุงลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน ตามคำทูลเชิญจากอิมราน ข่าน ญาติของฮัสนัท ข่าน และได้พบกับครอบครัวของฮัสนัทอย่างลับๆ ข่านเป็นผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างมากและความสัมพันธ์ระหว่างไดอานากับเขาเป็นไปในทางลับ โดยที่ไดอานาทรงโกหกผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนเมื่อทรงถูกถามในเรื่องความสัมพันธ์นี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองกินเวลายาวนานราวๆ 2 ปี และจบลงอย่างคลุมเครือ เนื่องจากไดอานาทรงเคยตรัสพ้อถึงความเสียพระทัยที่เขาบอกเลิกพระองค์ แต่คำให้การของฮัสนัทในระหว่างพิจารณาคดีสิ้นพระชนม์ เขาเล่าว่าไดอานาเป็นผู้ยุติความสัมพันธ์นี้ในฤดูร้อน พ.ศ. 2540 และพอล เบอร์เรล ก็ได้ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า พระองค์เป็นผู้หยุดความรักระหว่างเขากับพระองค์ในเดือนกรกฎาคมปีนั้นเอง หนึ่งเดือนต่อมา ไดอานาทรงได้รู้จักกับโดดี อัลฟาเยด ลูกชายของมหาเศรษฐี โมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการท่องเที่ยวในช่วงลาพักร้อนให้กับพระองค์ในปีนั้น มีพระดำริที่จะนำพระโอรสทั้งสองเสด็จไปพักร้อนที่หมู่บ้านเศรษฐีแฮมป์ตัน บนเกาะลองไอส์แลนด์ รัฐนิวยอร์ก แต่เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยปฏิเสธแผนการของพระองค์ หลังจากทรงตัดสินพระทัยเลื่อนการเสด็จเยือนประเทศไทย พระองค์ทรงตอบตกลงโดดีเพื่อร่วมเดินทางไปพักร้อนกับครอบครัวอัลฟาเยดที่ฝรั่งเศสใต้ ภายใต้การอารักขากำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตระกูลนี้อย่างเข้มงวดจึงทำให้หน่วยราชองครักษ์ยินยอมให้พระองค์ได้เสด็จไปพักร้อนที่ฝรั่งเศส ในเวลานั้นโมฮัมเหม็ดได้ซื้อเรือยอชท์หรูชื่อว่า “โจนิคัล” ยาว 60 เมตร เพื่อเป็นการรับรองไดอานาและพระโอรสการสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์. ในกลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาทรงประสบอุบัติเหตุในรถยนต์ที่อุโมงค์ลอดใต้สะพานปองต์เดอลัลมา ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ความรุนแรงทำให้นายโดดี อัลฟาเยด พระสหาย และนายอองรี ปอล ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยของโรงแรมริตช์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที เจ้าหญิงทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส และสิ้นพระชนม์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในเวลาเช้ามืดของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 หลังจากทีมแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ ณ โรงพยาบาลปิเต-ซาลเปตริแยร์ กรุงปารีส พระราชพิธีพระศพของพระองค์มีขึ้นในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และมีผู้รับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีในสหราชอาณาจักรมากถึง 32.1 ล้านคน ซึ่งเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมมากที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามรับชมพระราชพิธีนี้ทั่วทุกมุมโลกกว่าหลายร้อยล้านคนทฤษฎีสมคบคิด การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ และคำพิพากษาคดีสิ้นพระชนม์ ทฤษฎีสมคบคิด การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ และคำพิพากษาคดีสิ้นพระชนม์. การไต่สวนคดีการสิ้นพระชนม์ครั้งแรกโดยเจ้าหน้าที่พิพากษาฝรั่งเศส สรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความประมาทของพลขับ อองรี ปอล ที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมรถยนต์ และบิดาของโดดี นายโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด เจ้ากิจการโรงแรมริทซ์ปารีส และเป็นนายจ้างของนายปอล อ้างว่า อุบัติเหตุนี้เป็นการปลงพระชนม์ไดอานา ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยข่าวกรองเอ็มไอ 6 ของอังกฤษ และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้การรื้อฟื้นขึ้นมาสืบสวนใหม่อีกครั้งช่วงระหว่าง พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2550–2551 ศาลอังกฤษมีคำพิพากษาในคดีนี้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากความประมาทร้ายแรงของนายอองรี ปอล พนักงานโรงแรมริทซ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งขับรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีช่างภาพปาปารัสซีที่ติดตามถ่ายภาพ ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะลูกขุนยืนตามคำพิพากษาเดิม ตัดสินให้การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เกิดจากการกระทำโดยประมาทของนายอองรี ปอล ไม่กี่วันหลังการตัดสินคดี นายโมฮัมเหม็ด ฟาเยด ประกาศวางมือจากต่อสู้คดีสิ้นพระชนมที่ดำเนินมายาวนานกว่า 10 ปี เพื่อรักษาพระเกียรติของพระโอรสทั้งสองของไดอานาการถวายความอาลัยและพระราชพิธีพระศพ การถวายความอาลัยและพระราชพิธีพระศพ. การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงผู้ทรงเสน่ห์อย่างกะทันหันและไม่คาดคิดสร้างความโศกเศร้าสะเทือนใจไปทั่วโลก บุคคลสำคัญในหลายประเทศได้ส่งสาส์นแสดงความอาลัยมายังสหราชอาณาจักร ประชาชนทยอยนำช่อดอกไม้ เทียน การ์ดและจดหมายแสดงความอาลัยไปวางไว้หน้าประตูพระราชวังเคนซิงตัน เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานหลายเดือน เมื่อเครื่องบินอัญเชิญพระศพพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี และพระเชษฐภคินีของไดอานา เดินทางถึงกรุงลอนดอน ในตอนบ่ายวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 และมีการนำพระศพไปเก็บรักษาต่อที่ห้องเก็บศพแห่งหนึ่งภายในกรุงลอนดอน จากนั้นโลงพระศพจึงได้รับการประดิษฐาน ณ โบสถ์หลวงในพระราชวังเซนต์เจมส์ พระราชพิธีพระศพจัดขึ้นภายในวิหารเวสต์มินสเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 และเมื่อเย็นวาน (5 กันยายน พ.ศ. 2540) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ซึ่งถ่ายทอดสดสัญญาณภาพตรงจากพระราชวังบักกิงแฮม พระโอรสสองพระองค์ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีได้ทรงร่วมเสด็จตามขบวนพระศพพระมารดา พร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระ อดีตพระสสุระ ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา และตัวแทนจากสมาชิกหน่วยงานมูลนิธิและองค์การกุศลที่ไดอานาทรงให้การอุปถัมภ์ เอิร์ลสเปนเซอร์กล่าวถึงพระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับว่า “ไดอานาได้แสดงให้เห็นว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้ตัวเธอ”เอลตัน จอห์น ได้ดัดแปลงเนื้อร้องเพลง Candle in the Wind สำหรับขับร้องประกอบเปียโนเป็นกรณีพิเศษในระหว่างช่วงหนึ่งของงานพระศพ ซึ่งโดยปกติเพลงนี้ถูกนำมาขับร้องสดในที่สาธารณะเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และเพลง Candle in the Wind ถูกจำหน่ายเป็นซิงเกิลใน พ.ศ. 2540 และรายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายซิงเกิลนี้ถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลของไดอานา ในเวลาบ่ายของวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ครอบครัวสเปนเซอร์ประกอบพิธีฝังพระศพภายในพื้นที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งเป็นบ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ โดยพิธีถูกจัดขึ้นอย่างเป็นการส่วนตัว มีเพียงพระญาติและผู้ใกล้ชิดที่ได้รับเชิญเท่านั้นเข้าร่วมพิธีฝังพระศพ ได้แก่ เจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี, เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสทั้งสองพระองค์ของไดอานา นางฟรานเซส ชานด์-คิดด์ พระมารดา เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล และบารอนเนสเจน เฟลโลวส์ พระเชษฐภคินี ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา พระสหายสนิท และบาทหลวงผู้ทำพิธี ไดอานาทรงชุดเดรสแขนยาวสีดำสนิท ออกแบบและตัดเย็บโดยแคธรีน วอล์กเกอร์ ซึ่งชุดเดรสนี้พระองค์ทรงเลือกไว้ใช้ส่วนพระองค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน พระองค์บรรทมอยู่ในโลงพระศพ พระหัตถ์ทั้งสองกุมสร้อยประคำซึ่งเป็นของขวัญที่ทรงได้รับจากแม่ชีเทเรชาแห่งกัลกัตตา ผู้วายชนม์ในสัปดาห์เดียวกันกับพระองค์ พระศพได้รับการฝังบนเกาะกลางทะเลสาบรูปไข่ (52.283082°N 1.000278°W) ซึ่งตั้งอยู่ทางสวนป่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคฤหาสน์ กำลังพลจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบรักษาพระองค์ ในเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่อัญเชิญโลงพระศพไปยังหลุมพระศพบนเกาะกลางทะเลสาบ ก่อนหน้านี้ มีความคิดที่จะนำพระศพบรรจุภายในสุสานประจำตระกูลสเปนเซอร์ ณ โบสถ์ในเมืองเกรทบริงตัน แต่เมื่อเอิร์ลสเปนเซอร์ พระอนุชา พิจารณาเรื่องความปลอดภัยและผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเดินทางมาเคารพพระศพ ดังนั้นจึงมีการตกลงกันภายในว่าจะฝังพระศพที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งครอบครัวสามารถดูแลรักษาได้สะดวก อีกทั้งพระโอรส และพระญาติยังสามารถเดินทางมาสุสานพระองค์ได้อย่างเป็นการส่วนตัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์. ภายหลังการสิ้นพระชนม์ กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการจัดการลิขสิทธิ์ภาพ ตราอาร์ม และสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับไดอานา ใน พ.ศ. 2542 เจ้าหน้าที่กองทุน นำโดย เลดี้ซาราห์ พระเชษฐภคินี ได้ฟ้องร้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับบริษัทแฟรงคลินมินท์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาไดอานา รวมทั้งจานและเครื่องประดับที่มีรูปพระองค์ปรากฏอยู่บนสินค้า ภายหลังจากที่ทางกองทุนปฏิเสธการให้สิทธิ์ใช้ภาพไดอานาแก่โรงกษาปณ์แห่งนี้ การพิจารณีคดีละเมิดลิขสิทธิ์นี้ถูกนำขึ้นไต่สวนที่ศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่การฟ้องร้องในกรณีที่เกี่ยวกับการนำภาพถ่ายบุคคลซึ่งเจ้าของงานนั้นเสียชีวิตไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ฝ่ายโจทก์สามารถดำเนินคดีแทนผู้เสียชีวิตได้ หากก่อนถึงแก่ความตาย ผู้เสียชีวิตได้พำนักอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลานานต่อเนื่อง 1 ปีขึ้นไป แต่ไดอานาไม่ทรงเข้าเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ประทับอยู่ในรัฐแห่งนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ ฉะนั้นศาลจึงถือว่าการฟ้องร้องคดีครั้งนี้ กองทุนเป็นผู้ดำเนินคดีแทนในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟ้อง และกองทุนฯ แพ้คดีในที่สุด ต่อมาแฟรงคลินมินท์เรียกร้องให้กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ จ่ายค่าชดเชยทางกฎหมายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 180 ล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2542) จนเป็นเหตุให้กองทุนไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์การกุศลอื่นๆ ได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2546 แฟรงคลินมินท์ตัดสินใจฟ้องกลับกองทุนอนุสรณ์ฯ แต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมความในชั้นศาล โดยกองทุนอนุสรณ์ฯ ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 13.5 ล้านปอนด์ (1.01 พันล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2547) ให้แก่บริษัทแห่งนี้ และให้กองทุนอนุสรณ์ฯ และแฟรงคลินมินท์สามารถนำเงินส่วนหนึ่งจากค่าชดเชยดังกล่าว ไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลหรือนำไปใช้จ่ายเพื่อสาธารณประโยชน์ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นสมควร 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 นิตยสารอิตาลี Chi ตีพิมพ์ภาพถ่ายไดอานาขณะทรงติดอยู่ภายในซากรถเมอร์เซเดสเบนซ์ แม้ว่าจะมีการขอร้องห้ามไม่ให้เผยแพร่ภาพดังกล่าวสู่สาธารณชน ด้านบรรณาธิการนิตยสาร Chi ได้ออกมากล่าวปกป้องการตัดสินของกองบรรณาธิการ โดยอ้างว่า ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวเนื่องจากยังไม่เคยได้รับการเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นการหมิ่นพระเกียรติแต่อย่างใด 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี เป็นเจ้าภาพการจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อรำลึกถึงพระมารดา ณ เวมบลีย์สเตเดียม ซึ่งตรงกับคล้ายวันประสูติปีที่ 46 ชันษาของไดอานา พิธีทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งเป็นวาระครบ 10 ปีของการสิ้นพระชนม์ ถูกจัดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ณ โบสถ์การ์ดชาเพล ค่ายเวลลิงตัน กรุงลอนดอน มีสมาชิกพระราชวงศ์และพระประยูรญาติ สมาชิกจากตระกูลสเปนเซอร์ พระสหาย อดีตข้าราชบริพารและที่ปรึกษาในพระองค์ ตัวแทนจากองค์กรการกุศลของพระองค์ นักการเมือง เช่น กอร์ดอน บราวน์ โทนี แบลร์ และจอห์น เมเจอร์ ตลอดทั้งพระสหายจากแวดวงบันเทิง เช่น เดวิด ฟรอสต์ เอลตัน จอห์น และ คลิฟฟ์ ริชาร์ด ภาพถ่ายส่วนพระองค์ระหว่างที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งกำลังนอนหนุนตักชายหนุ่มนิรนามผู้หนึ่ง โดยสันนิษฐานว่าอาจถูกบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2522–2523 และรอยดินสอเขียนไว้บนภาพว่า “ห้ามเผยแพร่” ภาพนี้อยู่ในคลังภาพของหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ และถูกนำออกประมูลที่ประเทศอังกฤษใน พ.ศ. 2556 19 มีนาคม พ.ศ. 2556 ชุดราตรีจำนวน 10 ชุดของไดอานา รวมทั้งชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลที่พระองค์สวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวู้ด จอห์น ทราโวลตา (ต่อมาชุดราตรีนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ทราโวลตาเดรส) ถูกนำออกประมูลได้เงินจำนวน 800,000 ปอนด์ (23.37 ล้านบาท–อัตราแลกเปลี่ยน มีนาคม พ.ศ. 2556) เดือนมกราคม พ.ศ. 2560 จดหมายของไดอานาและสมาชิกพระราชวงศ์วินด์เซอร์ที่ทรงเขียนถึงมหาดเล็กพระราชวังบักกิงแฮม ถูกนำออกจำหน่ายในคอลเลกชัน “จดหมายส่วนตัวของมหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์กับพระบรมศานุวงศ์” จดหมายทั้ง 6 ฉบับของไดอานาส่วนใหญ่มีใจความกล่าวถึงพระจริยวัตรประจำวันของพระโอรสสองพระองค์ และสามารถขายได้เงินจำนวน 15,100 ปอนด์ (521,000 บาท–อัตราแลกเปลี่ยน มกราคม พ.ศ. 2560) นิทรรศการ “Diana: Her Fashion Story” ซึ่งจัดแสดงฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทที่เจ้าหญิงทรงสวมใส่จำนวน 25 ชุด และได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการที่พระราชวังเคนซิงตัน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เพื่อรำลึกการครบรอบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทรงโปรดปรานเป็นผลงานออกแบบและตัดเย็บของแฟชันดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน เช่น แคทเธอรีน วอล์กเกอร์ และวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ โดยนิทรรศการจะมีไปจนถึงปี พ.ศ. 2561 พระอนุชา ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 ได้จัดพิธีรำลึกครบรอบการสิ้นพระชนม์เป็นประจำทุกปีและมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และภาพถ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับไดอานา ณ คฤหาสน์อัลธอร์พ บ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ นอกจากนี้แล้วยังมีการงานกิจกรรมต่างๆ โดยมูลนิธิรางวัลไดอานาเมโมเรียลอวอร์ด อาทิเช่น การปรับปรุงออกแบบสวนเคนซิงตันการ์เดนส์ให้เป็นนัยสอดคล้องกับพระบุคลิกภาพและพระชนม์ชีพของไดอานามรดกตกทอดภาพลักษณ์ของพระองค์ มรดกตกทอด. ภาพลักษณ์ของพระองค์. ไดอานาทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงมีอิทธิพลต่อราชสำนักและพระราชวงศ์รุ่นหลัง ตั้งแต่การประกาศหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2540 ไดอานาคือบุคคลสำคัญของโลก และถือได้ว่าพระองค์เป็นสตรีที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก พระองค์มีชื่อเสียงจากความเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก สไตล์การแต่งกาย บุคลิกทรงเสน่ห์ของพระองค์ พระราชกิจด้านกาารกุศลระดับโลกของพระองค์ และชีวิตสมรสอันขมขื่นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ อดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเยี่ยมและมุ่งมั่นในการทรงงาน เจ้าชายชาลส์พระสวามีทรงไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า ไดอานานั้นได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างล้นหลาม แต่ความมุมานะของพระองค์อาจกลายเป็นความมุทะลุเมื่อใดก็ตามที่ทรงรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม พอล เบอร์เรล อดีตมหาดเล็กที่เคยถวายงานรับใช้พระองค์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นนักคิดที่สุขุมและลึกซึ้ง ภาพลักษณ์ของไดอานาต่อสาธารณชนคือการเป็นพระมารดาที่ทุ่มเทอุทิศพระองค์ให้แก่พระโอรส และพระบุคลิกภาพของพระโอรสทั้งสองได้รับอิทธิพลมาจากพระบุคลิกภาพและพระจริยวัตรของเจ้าหญิงอย่างไม่ต้องสงสัย ในช่วงปีแรกๆ ของการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงถูกจดจำจากพระบุคลิกภาพที่เขินอายและสนุกสนานร่าเริง พระปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนการแต่งกายโก้หรูของพระองค์ ผู้คนที่ได้มีโอกาสติดต่อปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ต่างให้ความเห็นว่าทรงปฏิบัติพระองค์ตามความต้องการจากพระทัย พระองค์ทรงเข้มแข็งอดทน ซึ่งเห็นได้จากการที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้เหมาะสมตามความคาดหวังของพระราชวงศ์ และทรงเอาชนะอุปสรรคและความทุกข์ยากต่างๆ ถาโถมเข้ามาในระหว่างชีวิตสมรส ทั้งที่ๆ ทรงเข้ามาสู่ราชสำนักในขณะที่ยังเป็นเด็กสาวที่มีการศึกษาไม่มาก การเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ยากไร้ และผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ทำให้ไดอานาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย พระองค์ทรงรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชน และทรงให้สัมภาษณ์ถึงความปรารถนาที่ทรงอยากเป็นที่รักของประชาชน เมื่อ พ.ศ. 2538 ว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจประชาชน” นักชีวประวัติ ทินา บราวน์ ระบุว่า "เพียงแค่พระองค์สบตา ก็ทรงสามารถดึงดูดใจผู้คนที่มาเข้าเฝ้าได้ราวกับว่าต้องมนต์สะกด” ชื่อเสียงของพระองค์แผ่กระจาย ไปทั่วโลกจนนายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถึงกับกล่าวว่า “เจ้าหญิงทรงแสดงถึงความเป็นอังกฤษสมัยใหม่” ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงได้สานความผูกพันระหว่างพระองค์กับประชาชนทั่วโลก และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ทั่วทุกมุมโลกต่างแสดงความอาลัย บางคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้าและร้องไห้คร่ำครวญเมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นผู้ปูทางให้แก่สมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการกุศลที่หลากหลายและเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่มากขึ้น และยังส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหลายอย่างภายในราชสำนัก ยูจีน โรบินสัน เขียนไว้ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ ว่า “ไดอานาทรงผสมผสานบทบาทหน้าที่เจ้าหญิงเข้ากับความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และสำคัญที่สุดคือ ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ” อลิเซีย แคร์รอล แห่งหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เปรียบเทียบพระองค์ว่าเหมือนกับ “สายลมอันสดชื่น” และพระองค์เป็นส่วนช่วยให้ราชวงศ์อังกฤษเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวและมีปัญหามากมายในชีวิตสมรส แต่ความนิยมในตัวพระองค์ก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดไม่เคยเสื่อมคลายจากผลการสำรวจต่างๆ ทว่าเจ้าชายชาลส์ พระสวามีกลับมีคะแนนความนิยมตกตำเป็นอย่างมาก โดยคะแนนความนิยมของไดอานาในระหว่างปี พ.ศ. 2524–2555 อยู่ที่ร้อยละ 47 พระองค์ทรงได้รับการเคารพรักราวกับปูชนียบุคคลจากชาวอังกฤษ หลังจากนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ เรียกพระองค์ว่า “เจ้าหญิงของประชาชน” ในระหว่างการแถลงข่าวการสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุอย่างกะทันหันและไม่คาดฝันนำไปสู่ความโศกเศร้าอาลัยอาดูรของประชาชนทั่วเกาะอังกฤษและทั่วโลก และตามมาด้วยวิกฤติการณ์ร้ายแรงภายในประเทศที่สั่นคลอนราชสำนัก แอนดรูว์ มาร์ กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่า พระองค์ทรงนำพา “อารมณ์ความรู้สึก” กลับคืนสู่สังคมอังกฤษอีกครั้ง เอิร์ล สเปนเซอร์ พระอนุชา ได้ขึ้นกล่าวคำอาลัยในพระราชพิธีพระศพ ดังนี้ว่า "ไดอานาเป็นเนื้อแท้ของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ภาระหน้าที่ สไตล์ และความงาม เธอเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ทั่วโลกที่ไม่แก่ตัว เป็นผู้แบกรับระบบอำนาจเด็ดขาด และเป็นหญิงชาวอังกฤษแท้ๆ ที่โดดเด่นเหนือเกินความเป็นชาติ เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ยศฐาบรรดาศักดิ์แต่มีคุณธรรมสูงส่ง และได้แสดงให้เห็นแล้วว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้กับตัวเธอ”ปี พ.ศ. 2540 พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงในตำแหน่ง “บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์” และปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทม์คัดเลือกพระองค์ให้อยู่ในรายชื่อ “100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20” ผลการสำรวจใน พ.ศ. 2545 ของสถานีโทรทัศน์บีบีซี ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับการโหวตให้อยู่อันดับที่ 3 ของชาวสหราชอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ นำหน้าความนิยมสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ ใน พ.ศ. 2548 ไดอานาอยู่ในอันดับที่ 12 ของผลการสำรวจ “100 บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น” ถึงพระองค์จะเป็นบุคคลสาธารณะและสมาชิกพระราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน แต่ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงตกเป็นประเด็นให้สื่อรุมวิพากย์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง แพทริก เจฟสัน เลขานุการส่วนพระองค์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รับใช้เจ้าหญิงมานาน 8 ปีเต็ม ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะเดลีเทเลกราฟ ว่า “ทรงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกนักวิจารณ์จิกสับตลอดพระชนม์ชีพ และแม้ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คำครหาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเบาบางลง” ผู้สังเกตการณ์หลายคนให้ความเห็นว่า ไดอานาทรงปล่อยให้นักข่าวและช่างภาพปาปารัสซีเข้ามาในชีวิตของพระองค์ เพราะทรงรู้ว่าจะใช้สื่อมวลชนเป็นฐานอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร เช่นนั้นจึงทรงออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเกินความจำเป็น และทรงทำลายเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตสาธารณะ พระองค์ถูกวิจารณ์จากศาสตราจารย์ปรัชญา แอนโทนี โอเฮียร์ ว่า "พระองค์ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ พฤติกรรมบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิดของพระองค์กำลังบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และทรงงานการกุศลเพียงเพื่อ “ตอบสนองความต้องการส่วนพระองค์” เท่านั้น ภายหลังคำวิจารณ์ของศาสตราจารย์โอเฮียร์ถูกเผยแพร่ออกไป องค์กรการกุศลต่างๆ ที่เจ้าหญิงทรงให้การอุปถัมภ์ได้ออกมาโต้แย้งคำวิจารณ์นี้ว่าน่ารังเกียจและไม่เป็นการมิบังควร กระแสต่อต้านพระองค์ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อมีการกล่าวหาเจ้าหญิงว่า "ทรงใช้สถานะพิเศษทางสังคมเพื่อกอบโกยประโยชน์ส่วนพระองค์ และเกิดผลเสียร้ายแรงต่อภาพลักษณ์กองงานในพระองค์" การทรงงานการกุศลของพระองค์ที่บางครั้งเจ้าหญิงมักทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคร้ายแรงและเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้น ก่อให้เกิดกระแสตีกลับในทางลบจากสื่อมวลชน แซลลี บีเดล สมิธ บรรยาถึงพระบุคลิกภาพของไดอานาว่า “คาดเดาไม่ได้ เห็นแก่ตัว และหึงหวง”สมิธยังได้โต้แย้งในความปรารถนาของพระองค์ในการทรงงานการกุศลว่า “ได้แรงจูงใจจากความต้องการส่วนพระองค์ มากกว่าความตั้งใจจริงเพื่อเยียวยาปัญหาสังคม”แต่อย่างไรก็ดี ยูจีน โรบินสัน ออกมาแก้ต่างว่า พระองค์จริงจังในพระราชกิจการกุศลนี้" อย่างไรก็ตาม ซาราห์ แบรดฟอร์ด เปิดเผยว่า ไดอานานั้นมีความชิงชังต่อราชวงศ์วินด์เซอร์อยู่ไม่น้อยตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้ใกล้ชิด ทรงให้ความเห็นว่าราชวงศ์ปัจจุบันเสวยราชสมบัติในฐานะ “เจ้าต่างเมือง” และยังทรงเรียกสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นว่า “พวกเยอรมัน” ทั้งนี้แบรดฟอร์ดยังเชื่อว่า ไดอานาทรงตกเป็นเหยื่อของการตัดสินใจที่ผิดพลาดและลงเอยด้วยการที่ทรงสูญเสียอภิสิทธิ์ทางสังคมหลังการให้สัมภาษณ์ในรายการพาโนรามา นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่าพระองค์มีเล่ห์เหลี่ยมและมารยา และอ้างว่าเจ้าหญิงทรงมีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับพระสสุระ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ แต่บ้างก็มีแย้งว่าเนื้อหาในจดหมายที่สองพระองค์ทรงเขียนติดต่อกันไม่ได้ชี้ชัดว่าทรงมีความบาดหมางใจระหว่างกัน แอนน์ แอปเปิลบาม เชื่อว่า ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ไม่ได้ทำให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมติมหาชนแต่อย่างใด แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกรับรองโดยโจนาทาน ฟรีดแลนด์ เขาเคยเขียนในบทความไว้ตอนหนึ่งในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า “ความทรงจำและอิทธิพลของไดอานาแทบจะถูกกลืนหายไปภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังการสิ้นพระชนม์” แต่ ปีเตอร์ คอนราด นักข่าวอีกคนแห่งเดอะการ์เดียน โต้แย้งว่า "แม้จะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้วกว่าหนึ่งทศวรรษ แต่พระองค์ก็ยังไม่เคยเงียบหายไปจากสื่อ” และอัลลัน มาสซี จากหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ ให้คำนิยามว่า ไดอานาคือ “คนดังของคนดัง” และทัศนคติของพระองค์ “จะยังคงกำหนดทิศทางในสังคมต่อไป”ความเป็นผู้นำแฟชัน ความเป็นผู้นำแฟชัน. ไดอานาทรงเป็นผู้นำแฟชันและหญิงสาวมากมายทั่วโลกเลียนแบบสไตล์การแต่งกายของพระองค์ เอียน ฮอลลิงเชด แห่งหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ เคยเขียนว่า “ไดอานาสามารถทำให้เครื่องแต่งกายขายดิบดี เพียงแค่สินค้าชิ้นนั้นปรากฏบนรูปถ่ายพระองค์” ซึ่งคำอ้างดังกล่าวอิงจากปรากฏการณ์รองเท้าบู๊ตยางซึ่งทำยอดขายในอังกฤษพุ่งกระฉูดในคริสต์ทศวรรษ 1980 มาแล้ว เมื่อช่างภาพถ่ายภาพพระองค์ทรงสวมรองเท้าบู๊ตยางรุ่นดังกล่าวไปร่วมล่าสัตว์กับเจ้าชายชาลส์ ณ ปราสาทบัลมอรัล ดีไซเนอร์และผู้ที่มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้พระองค์ ระบุว่า ไดอานาทรงใช้แฟชันและสไตล์การแต่งกายมาเพื่อส่งเสริมงานการกุศลของพระองค์ และแสดงความรู้สึกและสื่อสารผ่านการแต่งกาย นอกจากนี้พระองค์ยังคงเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับสไตลิสต์ บุคคลผู้ชื่อเสียง และหญิงสาวผู้รักแฟชันทั่วโลก รวมทั้งนักร้อง ริอานนา ที่ยอมรับว่าเธอได้อิทธิพลทางแฟชันจากพระองค์ เธอยังบอกว่าชื่นชอบการแต่งกายในลุคต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะเสื้อแจ็คเก็ตแบบโอเวอร์ไซส์ของพระองค์ และพระมาลาหลากหลายสไตล์ เจ้าหญิงทรงเลือกสไตล์การแต่งตัวตามแบบอย่างราชสำนักและสไตล์ที่เป็นนิยมในอังกฤษ และทรงสร้างสรรค์แฟชันหลายแบบเพื่อพระองค์เอง ในการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเพื่อการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหลายชิ้นของพระองค์ถูกคัดเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศที่จะเสด็จไป และโปรดการสวมแต่งกายอย่างลำลองด้วยเสื้อแจ็คเก็ตทรงหลวมกับกางเกงจัมเปอร์ในเวลาส่วนพระองค์ แอนนา ฮาร์วีย์ อดีตบรรณาธิการนิตยสาร โว้ก และที่ปรึกษาด้านแฟชันของเจ้าหญิง กล่าวว่า "พระองค์ทรงคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าการแต่งกายของพระองค์จะสื่อความหมายได้อย่างไรบ้าง และนี่เป็นสิ่งสำคัญต่อพระองค์อย่างมาก” เดวิน แซสซูน หนึ่งในแฟชันดีไซเนอร์ที่เคยร่วมงานกับพระองค์ เชื่อว่าเจ้าหญิงทรง “ฉีกกฎ” ระเบียบราชสำนักระหว่างทรงทดลองสไตล์ใหม่ๆ ไดอานาทรงเลิกสวมถุงมือตามอย่างพระราชวงศ์ฝ่ายใน เนื่องจากทรงเห็นว่าการสวมถุงมือนั้นเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่พระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย อย่างเช่น โรคเอดส์ ในการเสด็จฯ ไปร่วมงานการกุศล เจ้าหญิงทรงเลือกใช้เครื่องแต่งกายที่มีรูปแบบหรือสีสันที่เข้ากันกับสภาพจิตใจของผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ตัวอย่างเช่น ทรงเลือกเดรสสีสดและเครื่องประดับที่มีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งสำหรับการเสด็จฯ ไปเยี่ยมและสามารถร่วมเล่นกับผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาลได้ ดอนนาเทลลา เวอร์ซาเช แฟชันดีไซเนอร์แห่งเวอร์ซาเช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่วมออกแบบแฟชันกับเจ้าหญิง และจานนี เวอร์ซาเช พี่ชายผู้ล่วงลับของเธอ ระบุว่า ความสนใจด้านแฟชันของพระองค์เริ่มต้นขึ้นหลังที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ และไม่เคยมีใครมีความทุ่มเทเพื่อแฟชันอย่างเช่นพระองค์มาก่อน แคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์คนโปรดของไดอานา และทั้งสองได้ร่วมกันออกแบบและตัดเย็บ “ชุดยูนิฟอร์มของราชสำนัก” เมื่อเจ้าหญิงจะเสด็จฯ ไปต่างประเทศอย่างเป็นทางการ แคเธอรินและสามีจะทำการค้นคว้าข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และยึดกฎเกณฑ์ว่าเครื่องแต่งกายนั้นต้องไม่โดดเด่นเกินพระองค์โดยเด็ดขาด และข้อมูลนี้สอดคล้องกับ ตากิ เธโอโดราโคปูโลส นักเขียน ได้เขียนถึงสไตล์การแต่งกายของไดอานาว่า “ทรงไม่ต้องการให้เสื้อผ้าสวมใส่พระองค์” อีเลรี ลินน์ ภัณฑรักษ์นิทรรศการ Diana: Her Fashion Story ให้ความเห็นว่า พระองค์ทรงไม่ต้องการเป็น “ไม้แขวนเสื้อ” สไตล์เครื่องแต่งกายที่พระองค์และแคเธอรินร่วมกันออกแบบมีความเพรียวระหงและคล่องแคล่ว ซึ่งตัดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ชิ้นผ้าจับจีบกรุยกราย ซึ่งเป็นที่นิยมในคริสตทศวรรษ 1980 แต่ยังคงรักษาความโก้หรูที่ช่วยเสริมรูปร่างของพระองค์และด้วยลุคเช่นนี้เองทำให้พระองค์กลายเป็นที่ตรึงตาตรึงใจไปทั่วโลก ไดอานาเปิดตัวในแวดวงหญิงสาวสังคมชั้นสูงเป็นครั้งแรก โดยการไปร่วมงานบอลล์แห่งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2522 เธอสวมชุดเดรสเกาะอกสีฟ้าจับจีบลูกไม้ตาข่ายจากห้องเสื้อเรกามุส ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องเสื้อยอดนิยมของชนชั้นสูงในอังกฤษ ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่อยู่ในราชสำนัก พระองค์เลือกใช้เครื่องแต่งกายที่ออกแบบและตัดเย็บโดยดีไซเนอร์หลายราย อาทิเช่น แคเธอริน วอล์กเกอร์ วิกเตอร์ เอเดลสไตน์ จานนี เวอร์ซาเช จอร์โจ อาร์มานี คริสตินา สแตมโบเลียน แจสเปอร์ คอนแรน เดวิด และเอลิซาเบธ เอมานูแอล ฮาชิ จอห์น กาลลิอาโน ราล์ฟ ลอเรน คริสติย็อง ลาครัวซ์ บรูซ โอลด์ฟิลด์ ฌัก อาซากูรี เดวิด แซสซูน เมอร์เรย์ อาร์เบด จิมมี ชู นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเครื่องแต่งกายจากบริษัทแฟชันชั้นนำ ได้แก่ เวอร์ซาเช อาร์มานี ชาแนล ดิออร์ และ คลาร์กส์ ในบรรดาฉลองพระองค์ชุดราตรีที่ทรงสวมใส่ มีชุดที่โด่งดังของพระองค์ คือ 1. ชุดราตรีเกาะอกสีดำที่ทรงสวมไปร่วมงานคอนเสิร์ตการกุศลใน พ.ศ. 2524 ขณะยังเป็นพระคู่หมั้น 2. ชุดค็อกเทลของคริสตินา สแตมโบเลียน มีฉายาว่า “เดรสแก้แค้น” ซึ่งทรงสวมใส่ไปร่วมงานการกุศลในวันเดียวกับที่รายการโทรทัศน์แพร่เทปสัมภาษณ์คำสารภาพสัมพันธ์รักเจ้าชายชาลส์และคามิลลา ปาร์เกอร์ โบลส์ 3. ชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลของวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ ซึ่งพระองค์สวมไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวูด จอห์น ทราโวลตา และต่อมาชุดนี้ถูกเรียกว่า "ทราโวลตาเดรส" และ 4. ชุดราตรีเกาะอกปักมุกพร้อมเสื้อแจ็กเก็ตปักมุก หรือเป็นที่รู้จักในนาม “เอลวิสเดรส” โดยแคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งพระองค์ทรงสวมใส่เป็นครั้งแรกระหว่างการเสด็จเยือนอาณานิคมฮ่องกง เมื่อ พ.ศ. 2532 ในปีแรกๆ ของคริสต์ทศวรรษ 1980 พระองค์โปรดฉลองพระองค์เสื้อคอปกลายดอกไม้ เสื้อคอจีบ และใช้สร้อยไข่มุกเป็นเครื่องประดับ และทำให้เสื้อผ้าแบบดังกล่าวและไข่มุกกลายเป็นเทรนด์แฟชันของยุคนั้น ภายหลังการประกาศหมั้นของพระองค์ นิตยสารโว้กตีพิมพ์ภาพระฉายาลักษณ์ไดอานาในชุดเสื้อชีฟองสีชมพูอ่อนและคอริบบินผ้าซาติน และเสื้อชีฟองตัวนี้ถูกลอกเลียนแบบและผลิตซ้ำอย่างรวดเร็ว และยังขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน การปรากฏพระองค์ด้วยฉลองพระองค์ไหล่กว้างและเนื้อผ้าหรูหรา ทำให้สื่อมวลชนเรียกพระองค์ว่า “Dynasty Di” ในเวลาต่อมาหลังทรงแยกกันอยู่และหย่าร้าง ไดอานาทรงมีความมั่นใจในด้านแฟชันเพิ่มมากขึ้น และทรงเปลี่ยนสไตล์การแต่งกายของพระองค์ ในการเสด็จฯ ไปประกอบพระกรณียกิจที่เป็นทางการ ทรงเลือกสวมใส่เสื้อเบลเซอร์ ชุดราตรีเปิดไหล่ข้างเดียว ชุดราตรีเกาะอก ชุดสูทสองสี ชุดสูทแบบทหาร และชุดเครื่องแต่งกายสีนู้ด นอกจากนี้ทรงทดลองแฟชันด้วยการแต่งกายหลายแบบ เช่น ทรงสวมเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ เดรสลายสกอต จัมพ์สูท และเดรสเข้ารูป หลังจากที่ทรงแยกกันอยู่และหย่าร้างในเวลาต่อมา ไดอานาทรงได้รับอิทธิพลการแฟชันการแต่งกายจากดารานางแบบผู้มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ซินดี ครอว์ฟอร์ด, มาดอนนา, เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ หลังจากที่สิ้นพระชนม์ ชุดเดรสจำนวนหนึ่งของพระองค์ถูกนำออกประมูลและจำหน่ายให้บรรดาผู้สะสมและพิพิธภัณฑ์มากมาย และเดรสเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากถึงหลักแสนปอนด์เมื่อนำออกประมูล ทรงพระเกศาที่สั้นเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ออกแบบโดย แซม แม็คไนท์ ภายหลังทรงเสร็จสิ้นการถ่ายภาพแฟชันนิตยสารโว้กเมื่อ พ.ศ. 2533 ซึ่งแม็คไนท์และเวอร์ซาเชลงความเห็นว่า พระเกศาสั้นสื่อถึงอิสรภาพของพระองค์ ก่อนเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระกรณียกิจ ไดอานามักจะทรงแต่งพระพักตร์ด้วยพระองค์เองและมีช่างพระเกศามาประจำทุกครั้ง และพระองค์ทรงเคยตรัสกับแม็คไนท์ว่า “สิ่งเหล่านี้ (การแต่งพระพักตร์และแต่งพระเกศา) ไม่ได้ทำเพื่อตัวฉันเลยนะ แซม, ฉันทำเพื่อประชาชนที่ฉันไปหาหรือเพื่อคนที่เดินทางมาหา, พวกเขาไม่ต้องการพบฉันในแบบสบายๆ นอกเวลาทำงานหรอกนะ, เขาต้องการเจ้าหญิง, มาแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงตามที่พวกเขาต้องการเถอะ” พ.ศ. 2532 ไดอานาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้แต่งกายดีที่สุดในโลก พ.ศ. 2547 นิตยสารพีเพิล ยกย่องให้พระองค์เป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดตลอดกาล และ พ.ศ. 2555 นิตยสารไทม์จัดลำดับให้ไดอานาอยู่ในรายชื่อ 100 แฟชันไอคอนตลอดกาลพ.ศ. 2559 ชาร์มาดีน รีด แฟชันดีไซเนอร์ ออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพื่อจำหน่ายบนเว็บไซต์ ASOS.com โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การแต่งกายของไดอานา ชาร์มาดีนแถลงผ่านสื่อว่า “พระองค์ทรงมีความผูกพันอย่างไม่น่าเชื่อกับชุดกีฬาธรรมดาๆ กับเสื้อผ้าแฟชันสุดหรู และนี่จึงเป็นที่มาของคอลเลคชันนี้ และให้ความทันสมัยกว่าที่เคยมีมา” เดือนกุมภาพันธ์ มีการเปิดนิทรรศการแสดงฉลองพระองค์ของไดอานาที่พระราชวังเคนซิงตัน แคเธอริน เบนเน็ต แห่งหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน วิจารณ์ว่า นิทรรศการแสดงเครื่องแต่งกายเช่นนี้เป็นหนึ่งในวิธีการเหมาะสมกับการระลึกถึงบุคคลสาธารณะที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ผ่านมุมมองด้านแฟชันและการแต่งกาย แต่คุณงามความดีที่ไดอานาได้มอบให้แก่สังคมนั้นยังคง “น่ากังขา”อนุสรณ์รำลึก อนุสรณ์รำลึก. เมื่อสำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกประกาศไดอานาสิ้นพระชนม์ ประชาชนหลายเชื้อชาตินำดอกไม้และจุดเทียนเพื่อไว้อาลัยหน้าประตูพระราชวังเคนซิงตันอย่างเนืองแน่น ในเวลาต่อมาได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลายแห่ง ดังนี้- สวนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในในรีเจนท์เซ็นเตอร์การ์เดนส์ เมืองเคอร์คินทิลล็อก ประเทศสกอตแลนด์ - น้ำพุอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในไฮด์พาร์ก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ - สนามเด็กเล่นอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในเคนซิงตันการ์เดนส์ กรุงลอนดอน - เส้นทางเดินอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทางเดินวงแหวนเชื่อมระหว่างเคนซิงตันการ์เดนส์ กรีนพาร์ก ไฮด์พาร์ก และเซนต์เจมส์พาร์ก กรุงลอนดอน - ประติมากรรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในสวนชลอสโคเบนเซิล กรุงเวียนนา ประติมากรรม "ฟลามม์เดอลาลิเบอร์เต" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหนือถนนลอดอุโมงค์สะพานปองต์เดอลัลมา กรุงปารีส ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่พระองค์ประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นอนุสรณ์อย่างไม่ทางการภายหลังการสิ้นพระชนม์ และนายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดให้มีการแสดงสิ่งของที่ระลึกตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งครอบครัวอัลฟาเยดเป็นเจ้าของกิจการระหว่าง พ.ศ. 2528–2553 ได้แก่ รูปถ่ายของไดอานาและโดดี พร้อมรูปทรงปิรามิดบรรจุแก้วไวน์ที่ใช้ในพระกระยาหารเย็นมื้อสุดท้าย และแหวนหนึ่งวงที่โดดีเพิ่งมอบให้แก่พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ และใน พ.ศ. 2548 ประติมากรรมรูปหล่อทองแดง "อินโนเซนต์วิกทิม" ถูกนำมาจัดตั้งภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นรูปเหมือนไดอานาและโดดีเต้นรำใต้ปีกนกอัลบาทรอส บริษัทฮาร์กเนส ประเทศอังกฤษ ทำการปรับปรุงสายพันธ์กุหลาบ “Hardinkum” ให้ดอกสีขาวนวลทรงกลีบดอก 2 ชั้น มีกลิ่นหอมกลางถึงหอมแรง ในเวลาต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า Rosa ‘Princess of Wales’ เพื่อเป็นการรำลึกพระภารกิจที่ทรงรับอุปถัมภ์สมาคมโรคปอดแห่งสหราชอาณาจักรเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี และดอกกุหลาบขาวนี้เป็นดอกไม้ที่ไดอานาทรงโปรดปรานฤดูร้อน พ.ศ. 2541 กุหลาบสายพันธุ์ Rosa ‘Diana, Princess of Wales’ ถูกนำเข้าไปปลูกครั้งแรก ณ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2541 บริษัทไปรษณีย์อาเซอร์มาร์กาแห่งประเทศอาเซอร์ไบจาน จำหน่ายแผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึกไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยมีคำบรรยายภาษาอังกฤษว่า "DIANA, PRINCESS OF WALES The Princess that captured people's hearts (1961–1997)" “ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงผู้ครองหัวใจประชาชน (1961–1997) ” และในปีเดียวกันนั้นหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร โซมาเลีย คองโก และอาร์เมเนีย ได้จัดสร้างดวงไปรษณียากรที่ระลึกเจ้าหญิงแห่งเวลส์เช่นเดียวกัน พระนามต้นของพระองค์ “ไดอานา” ถูกนำมาใช้ในสร้อยพระนามของพระนัดดา เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ เอลิซาเบธ ไดอานา (ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2558) และใช้ในสร้อยพระนามของพระภาติยะ เลดี้ชาร์ลอตต์ ไดอานา (กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2555) ธิดาของชาลส์ สเปนเซอร์ พ.ศ. 2560 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี ทรงมอบหมายให้สร้างพระรูปปั้นเจ้าหญิงไดอานา พระมารดา เพื่อที่ระลึกในวาระครบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ และจะนำไปตั้งอยู่ภายในสวนเคนซิงตัน ทั้งสองพระองค์ทรงระบุว่า พระมารดาทรงเข้าถึงชีวิตจิตใจผู้คนมากมาย และทรงหวังว่า พระรูปปั้นนี้จะช่วยย้ำเตือนไปเยี่ยมชมพระราชวังเคนซิงตันให้รำลึกถึงชีวิตและผลงานของพระมารดา โดยจะใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างผ่านการบริจาค และมีคณะกรรมการดำเนินการควบคุมการก่อสร้าง ประกอบด้วยเป็นพระสหายและที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดของเจ้าหญิง รวมทั้งพระเชษฐภคินี เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล พระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตราอาร์มประจำพระองค์พระอิสริยศพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตราอาร์มประจำพระองค์. พระอิสริยศ. - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2518: ดิออนูเรเบิลไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (The Honourable Diana Frances Spencer) - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2518 – 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524: เลดี้ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (The Lady Diana Frances Spencer)- 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Her Royal Highness the Princess of Wales)- เฉพาะในประเทศสกอตแลนด์: 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งรอธเซย์ (Her Royal Highness The Duchess of Rothesay)- เฉพาะเมืองเชสเตอร์: 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เคานท์เตสแห่งเชสเตอร์ (The Countess of Chester)- 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 – 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540: ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Diana, Princess of Wales) พระนามและพระอิสริยยศเต็มของพระองค์นับตั้งแต่พระราชพิธีอภิเษกสมรสจนถึงการหย่าร้าง คือ Her Royal Highness The Princess Charles, Princess of Wales and Countess of Chester, Duchess of Cornwall, Duchess of Rothesay, Countess of Carrick, Baroness of Renfrew, Lady of the Isles, Princess and Great Stewardess of Scotland. เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงชาลส์, เจ้าหญิงแห่งเวลส์และเคานท์เตสแห่งเชสเตอร์, ดัชเชสแห่งคอร์นวอล, ดัชเชสแห่งรอธเซย์, เคานท์เตสแห่งคาร์ริก, บารอนเนสแห่งเรนฟรูว์, เลดี้แห่งดิไอลส์, เจ้าหญิงและจอมทัพหญิงแห่งสกอตแลนด์หลังจากทรงหย่าร้างและสิ้นพระชนม์ ประชาชนทั่วไปยังคงนิยมเรียกพระองค์ต่อไปว่า เจ้าหญิงไดอานา ซึ่งเป็นอิสริยศที่พระองค์ไม่ได้รับพระราชทานจากการหย่าร้างและทรงมิได้มีชาติกำเนิดเป็นเจ้าหญิง แต่เป็นเพียงบุตรีของขุนนางชั้นเอิร์ล และได้รับฐานันดรศักดิ์ เลดี้ ฉะนั้นแล้วสื่อมวลชนจึงนิยมเรียกพระองค์อย่างลำลองว่า เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ หรือ เลดี้ได และทรงมีสมญานามที่ไม่เป็นทางการว่า "เจ้าหญิงของประชาชน" ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ อ้างอิงถึงพระองค์เช่นนี้ระหว่างกล่าวคำไว้อาลัยในพิธีพระศพของไดอานาตราอาร์มประจำพระองค์บรรณานุกรม
|
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีพระนามเต็มว่าอะไร
|
{
"answer": [
"ไดอานา ฟรานเซส"
],
"answer_begin_position": [
166
],
"answer_end_position": [
180
]
}
|
2,270 | 12,911 |
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ () มีพระนามเต็มว่า ไดอานา ฟรานเซส (อังกฤษ: Diana Frances) สกุลเดิม สเปนเซอร์ (อังกฤษ: Spencer) ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นพระชายาองค์แรกของเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ ไดอานาถือกำเนิดในตระกูลขุนนางที่สืบทอดเชื้อสายจากราชวงศ์อังกฤษโบราณ เป็นบุตรีคนที่ 3 ของ จอห์น สเปนเซอร์ ไวเคานต์อัลธอร์พ และฟรานเซส โรช ในวัยเด็กไดอานาพักอาศัยที่คฤหาสน์พาร์กเฮาส์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่ตำหนักซานดริงแฮม ไดอานาเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนที่ประเทศอังกฤษและได้เข้าศึกษาต่อเป็นเวลาสั้นๆ ในโรงเรียนการเรือนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่ออายุได้ 14 ปี ไดอานาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เลดี้ เมื่อบิดาสืบทอดฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็น เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ ไดอานาเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อเป็นเข้าพิธีหมั้นหมายกับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524 พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์และเจ้าชายแห่งเวลส์ ประกอบพิธี ณ มหาวิหารเซนต์พอล เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 โดยได้มีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีนี้และมีผู้รับชมทางโทรทัศน์มากกว่า 750 ล้านคนทั่วโลก ไดอานาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ดัชเชสแห่งคอร์นวอล ดัชเชสแห่งรอธเซย์ และเคาน์เตสแห่งเชสเตอร์ ไม่นานภายหลังพระราชพิธีอภิเษกสมรส เจ้าหญิงมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสองค์ที่สองในอีก 2 ปีถัดมา ทั้งสองพระองค์อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่สองและสามแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ในระหว่างทรงดำรงพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกปฏิบัติพระกรณียกิจมากมายแทนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 รวมทั้งเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่สม่ำเสมอ พระกรณียกิจที่สำคัญในบั้นปลายพระชนม์ชีพ คือ การรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด นอกจากนี้ยังทรงเคยดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท และให้การสนับสนุนโครงการและมูลนิธิอื่นๆ อีกจำนวนกว่าร้อยองค์กรจนกระทั่ง พ.ศ. 2539 ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทั้งก่อนอภิเษกสมรสและภายหลังหย่าร้าง สื่อมวลชนทั่วโลกต่างเกาะติดชีวิตของไดอานาและนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระองค์อยู่ตลอดเวลา ไดอานาทรงหย่าขาดจากพระสวามีในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 การสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหันในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ยิ่งทำให้สื่อทุกแขนงล้วนแต่นำเสนอข่าวการสิ้นพระชนม์และภาพประชาชนที่แสดงความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของพระองค์ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาพระราชพิธีพระศพถูกจัดขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์และมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีไปยังเครือข่ายโทรทัศน์ทั่วโลกวัยเด็ก วัยเด็ก. ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ในพาร์กเฮาส์ เมืองซานดริงแฮม มณฑลนอร์ฟอล์ก เธอเป็นบุตรีคนสุดท้ายและบุตรคนที่สามจากทั้งหมด 5 คนของ จอห์น สเปนเซอร์ ไวเคานท์อัลธอร์พ (พ.ศ. 2467–2535) และภริยาคนแรก ฟรานเซส โรช (พ.ศ. 2479–2547) ตระกูลสเปนเซอร์มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชวงศ์อังกฤษมานานหลายชั่วอายุ ทั้งย่าและยายของไดอานาต่างเคยปฏิบัติหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ในช่วงเวลานั้นไวเคานต์หวังให้ทารกในครรภ์ที่ 3 (ไดอานา) กำเนิดเป็นเพศชาย เพื่อจะได้สืบทอดตำแหน่งขุนนางตระกูลสเปนเซอร์ต่อไป อีกทั้งไม่ได้มีการเตรียมชื่อเด็กหญิงไว้ล่วงหน้า จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปฟรานเซสจึงตั้งชื่อทารกเพศหญิงผู้นี้ว่า ไดอานา ฟรานเซส ซึ่งได้นามต้นมาจากญาติห่างๆ ของเธอคือ ไดอานา รัสเซล ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ด (พ.ศ. 2253–2278) หรือ เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ ในนามเดิมก่อนการสมรส และเลดี้ไดอานาผู้นี้เคยถูกคาดหวังให้อภิเสกสมรสกับเจ้าชายเฟรเดอริก เจ้าชายแห่งเวลส์ (พ.ศ. 2250–2294) ไดอานาเข้ารับพิธีศีลล้างบาปในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ณ โบสถ์เซนต์แมรีแมกดาลีน เมืองซานดริงแฮม และมีเศรษฐีผู้มั่งคั่งรับเป็นลูกทูนหัว ไดอานามีพี่น้องรวม 4 คน ดังนี้ ซาราห์ (ปัจจุบันคือ เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล), เจน (ปัจจุบันคือ เจน เฟลโลวส์ บารอนเนสเฟลโลวส์) และชาลส์ (ปัจจุบันเป็น เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ที่ 9) ส่วนจอห์น พี่ชายเสียชีวิตขณะยังเป็นทารก ราวๆ 1 ปีก่อนไดอานากำเนิด ความต้องการลูกชายไว้สืบทอดวงศ์ตระกูลสร้างแรงกดดันให้กับครอบครัวสเปนเซอร์ ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีบุตรสาวอยู่แล้วถึง 2 คน ดังนั้นมีการเล่าลือกันว่าเลดี้อัลธอร์พถูกนำตัวไปตรวจร่างกายที่คลินิกสูตินรีเวชย่านถนนฮาร์ลีย กรุงลอนดอน เพื่อตรวจหา ”ความผิดปกติ” ชาลส์ เล่าถึงความอับอายของมารดาว่า “เป็นช่วงเวลาเลวร้ายในครอบครัวและอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการหย่าร้าง และพ่อแม่คงไม่มีวันลืมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ไดอานาเติบโตในคฤหาสน์พาร์กเฮาส์ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของตำหนักซานดริงแฮม โดยครอบครัวสเปนเซอร์เช่าคฤหาสน์หลังนี้จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของ สมาชิกราชวงศ์อังกฤษมักเสด็จมาประทับที่ตำหนักซานดริงแฮมนี้เป็นประจำทุกปี และไดอานายังเคยร่วมเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายน้อยสองพระองค์ คือ เจ้าแอนดรูว์ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินี บิดามารดาของไดอานาหย่าร้างกันเมื่อไดอานาอายุได้ 7 ปี ฟรานเซสมีความสัมพันธ์กับ ปีเตอร์ ชานด์ คิดด์ และต่อมาได้เข้าพิธีสมรสกับชายคนนี้ใน พ.ศ. 2512 โดยไดอานาย้ายไปพักอยู่กับมารดาที่ลอนดอนระหว่างที่การแยกกันอยู่ในปีช่วงปี พ.ศ. 2510 แต่ในวันหยุดคริสต์มาสปีเดียวกันนั้น ลอร์ดอัลธอร์พไม่ยินยอมให้ไดอานากลับลอนดอนพร้อมกับฟรานเซส และในเวลาต่อมาบิดาชนะคดีฟ้องร้องสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของไดอานา ซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางคดีจากอดีตแม่ยาย รูธ โรช บารอนเนสเฟอร์มอย พ.ศ. 2515 ลอร์ดอัลธอร์พตกหลุมรัก เรน เคาน์เตสแห่งดาร์ตมัธ บุตรีคนเดียวของ อเล็กซานเดอร์ แมคคอเคอร์เดล และท่านผู้หญิงบาร์บารา คาร์ทแลนด์ ทั้งสองจดทะเบียนสมรสที่แค็กซ์ตันฮอลล์ กรุงลอนดอนเมื่อปี พ.ศ. 2519 พ.ศ. 2518 ไดอานาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น เลดี้ ภายหลังที่พ่อสืบทอดบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ ครอบครัวสเปนเซอร์จึงต้องย้ายออกจากพาร์กเฮาส์ เพื่อกลับไปพักอาศัยที่ยังคฤหาสน์อัลธอร์พอย่างถาวร โดยคฤหาสน์แห่งนี้คือบ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ตั้งอยู่ในมณฑลนอร์ทแธมป์ตันการศึกษาและอาชีพ การศึกษาและอาชีพ. ไดอานาเรียนอ่านเขียนครั้งแรกกับครูหญิงประจำบ้าน เกอร์ทรูด อัลเลน ต่อมาจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนซิลฟิลด์ เมืองเกย์ตัน มณฑลนอร์ฟอล์ก เมื่ออายุได้ 9 ปี จึงได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนริดเดิลสเวิร์ธ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนใกล้เมืองดิส ใน พ.ศ. 2516 เธอจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนเวสต์ฮีธเกิร์ลส์สคูล เมืองเซเว่นโอ๊กส์ มณฑลเคนต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกันกับที่พี่สาวทั้งสองเรียนอยู่ในตอนนั้น ไดอานามีผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยเหตุที่สอบไม่ผ่านการทดสอบความรู้วิชาพื้นฐานระดับประเทศ (O-Levels) ถึงสองครั้ง แต่งานกิจกรรมสาธารณะของเธอทำให้ไดอานาได้รับรางวัลนักเรียนดีจากโรงเรียนแห่งนี้ เธอลาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี และยังคงเป็นเด็กสาวขี้อายอยู่เหมือนเดิม แต่ความสามารถพิเศษทางดนตรี (เปียโน) และกีฬา (ว่ายน้ำและดำน้ำ) ของเธอนั้นโดดเด่นน่าจับตา รวมทั้งยังสนใจเรียนบัลเลต์และแท็ปแดนซ์ พ.ศ. 2521 หลังเข้าเรียนที่โรงเรียนการเรือนอังสติตูอัลแป็งวิเดมาแน็ต เมืองรูฌมงต์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา ไดอานาเดินทางกลับลอนดอน และที่เมืองหลวงนี้เธอพักอาศัยอยู่ในห้องชุดของแม่ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกสองคน ต่อมาไดอานาเข้าเรียนทำอาหารในหลักสูตรพิเศษ แต่แทบไม่เคยปรุงอาหารให้เพื่อนรับประทาน เธอทำงานหลายอย่างและได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย เคยเป็นครูสอนเต้นรำสำหรับเด็กแต่ต้องลาออกเมื่อขาดงานนานถึง 3 เดือนหลังประสบอุบัติเหตุระหว่างเล่นสกี จากนั้นจึงเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยครูโรงเรียนเตรียมอนุบาล รับจ้างทำความสะอาดให้ซาราห์ พี่สาว รวมทั้งบรรดาเพื่อนๆ ของเธอเอง รับจ้างดูแลแขกและเตรียมอาหารเครื่องดื่มในงานปาร์ตี้ ต่อมาจึงได้รับเป็นพี่เลี้ยงให้กับครอบครัวโรเบิร์ตสันซึ่งเป็นชาวอเมริกันในลอนดอน ไดอานายังทำงานเป็นผู้ช่วยครูโรงเรียนเตรียมอนุบาลยังอิงแลนด์สคูล ย่านพิมลิโค พ.ศ. 2522 ฟรานเซสซื้อห้องชุดที่โคลเฮิร์นคอร์ทในย่านเอิร์ลส์คอร์ทเพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดอายุ 18 ปีให้แก่ไดอานา ไดอานาจึงได้ย้ายมาพักอยู่ที่ห้องชุดแห่งนี้พร้อมเพื่อนร่วมห้องอีก 3 คน จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524ชีวิตสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ ชีวิตสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์. ไดอานาพบกับเจ้าชายชาลส์ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2520 ขณะที่ยังทรงคบหากับเลดี้ซาราห์ พี่สาวคนโตของไดอานา ฤดูร้อน พ.ศ. 2523 ทั้งสองได้รับเชิญให้ไปร่วมพักผ่อนในชนบท ไดอานาชมเจ้าชายแข่งโปโล และเจ้าชายทรงเกิดความเสน่หาแก่ไดอานาและทรงปรารถนาที่จะได้เธอมาเป็นเจ้าสาว ความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นเมื่อพระองค์ส่งคำเชิญให้ไดอานาร่วมลงเรือพระที่นั่งบริตาเนียเพื่อเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดที่เมืองคาวส์ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเลบนเกาะไอล์ออฟไวต์ บริเวณตอนใต้ของอังกฤษ และตามด้วยจดหมายเชิญให้ไปพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์และเข้าเฝ้าฯ พระราชวงศ์ที่ปราสาทบัลมอรัลในสกอตแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ณ ปราสาทบัลมอรัล ไดอานาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองจากสมเด็จพระราชินีนาถ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ต่อมาเจ้าชายจึงตัดสินพระทัยคบหากันกับเลดี้ไดอานาอย่างคู่รักเป็นเวลาสั้นๆ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 เจ้าชายทรงขอหมั้นเลดี้ไดอานาและเธอตอบตกลง แต่ข่าวการหมั้นหมายถูกปิดเก็บความลับจากสื่อมวลชนนานกว่าสามสัปดาห์พิธีหมั้นและพระราชพิธีอภิเษกสมรส พิธีหมั้นและพระราชพิธีอภิเษกสมรส. สำนักพระราชวังบักกิงแฮมประกาศพิธีหมั้นหมายระหว่างเจ้าชายชาลส์และเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ อย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ไดอานาเลือกแหวนหมั้น ซึ่งประกอบจากเพชร 14 เม็ดล้อมแซฟไฟร์ซีลอนสีน้ำเงินน้ำหนัก 12 กะรัต ขึ้นวงเรือนจากแพลทินัมน้ำหนัก 18 กะรัต แหวนหมั้นวงนี้มีความคล้ายคลึงกับแหวนหมั้นของฟรานเซส มารดาของไดอานา ผลิตและประกอบโดยร้านเพชรเจอร์ราร์ด ซึ่งเป็นผู้ผลิตอัญมณีสำหรับราชสำนัก (ณ ขณะนั้น) แต่สมาชิกราชวงศ์ไม่นิยมโปรดสั่งทำแหวนจากร้านเพชรแห่งนี้ และพบว่าแหวนวงนี้ปรากฏอยู่ในคอลเลคชันเครื่องเพชรที่มีอยู่เดิม และไม่ได้มีการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะแก่ไดอานา นอกจากนี้ สมเด็จพระราชชนนีได้ประทานเข็มกลัดเพชรประดับไพลินเพื่อเป็นของขวัญหมั้นเพิ่มเติมแก่ไดอานาอีกด้วย ใน พ.ศ. 2554 แหวนหมั้นแซฟไฟร์สีน้ำเงินนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งเพื่อเป็นแหวนหมั้นสำหรับนางสาวแคเธอริน มิดเดิลตัน และแหวนวงนี้จึงถูกทำเลียนแบบไปทั่วโลก หลังการประกาศหมั้น ไดอานาลาออกจากตำแหน่งครูโรงเรียนอนุบาลและย้ายไปพักอยู่ในพระตำหนักคลาเรนซ์เฮาส์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชชนนี ณ ขณะนั้น ต่อมาไดอานาจึงเข้าพักในพระราชวังเคนซิงตันจนกระทั่งวันอภิเษกสมรส ไดอานาเป็นหญิงสาวชาวอังกฤษคนแรกในรอบ 300 ปีที่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารอังกฤษ และยังถือว่าเป็นพระสุณิสา(สะใภ้) พระองค์แรกของราชวงศ์วินด์เซอร์ที่มีอาชีพและรายได้เป็นของตัวเอง การปรากฏกายครั้งแรกต่อสาธารณชนของไดอานาพร้อมกับเจ้าชายชาลส์ คือ งานบอลล์เพื่อการกุศลในเดือนมีนาคม 2524 ที่โกลด์สมิธส์ฮอลล์ และที่แห่งนั้นเธอได้มีโอกาสเข้าเฝ้า เจ้าหญิงเกรซ เจ้าหญิงพระชายาแห่งโมนาโก เลดี้ไดอานาในวัยเพียง 20 ปี ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ณ มหาวิหารเซนต์พอล สาเหตุที่เลือกจัดพิธีในมหาวิหารแห่งนี้ เพราะสามารถรองรับผู้เข้าร่วมพิธีได้มากกว่าเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งนิยมใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสในราชสำนักมาเป็นเวลายาวนาน พระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้ยิ่งใหญ่หรูหราจนมีการเปรียบเปรยกันว่างดงามปานงานแต่งงานในเทพนิยาย มีผู้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีกว่า 750 ล้านคนทั่วโลก และตลอดเส้นทางขบวนเสด็จมีประชาชน 600,000 คนต่างเฝ้ารอชมพระโฉมของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ที่หน้าแท่นบูชาภายในมหาวิหาร ไดอานาทรงขานสองพระนามแรกของพระสวามีไม่ถูกต้องตามลำดับ พระองค์ตรัสว่า Philip Charles Arthur George แทนที่ควรจะเป็น Charles Philip ไดอานาไม่ได้ตรัสว่า "จะเชื่อฟังพระสวามี" ระหว่างทำพิธีกล่าวคำปฏิญาณของคู่บ่าวสาว เนื่องจากทั้งสองขอให้ตัดประโยคดังกล่าวออกไป ไดอานาฉลองพระองค์ในชุดแต่งงานสีขาวมูลค่า 9,000 ปอนด์ (373,000บาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2524) พร้อมชายกระโปรงยาว 25 ฟุต (7.62 เมตร) บทเพลงที่ใช้บรรเลงระหว่างประกอบพิธีในมหาวิหารได้แก่ , ไอวาวทูดี มายคันทรี, หมายเลข 4, และก็อดเซฟเดอะควีน หลังได้รับพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไดอานาอยู่ในลำดับที่ 3 แห่งลำดับโปเจียมฝ่ายใน (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถ และสมเด็จพระราชชนนี) และอยู่ในลำดับที่ 5 หรือ 6 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรเครือจักรภพ (ต่อจาก สมเด็จพระราชินีนาถ วิซรอย ดยุกแห่งเอดินบะระ สมเด็จพระราชชนนี และเจ้าชายแห่งเวลส์) ไม่นานภายหลังพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์แห่งราชวงศ์จำนวนหนึ่งแก่ไดอานา และทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ไดอานาใช้มงกุฎเคมบริดจ์เลิฟเวอร์สน็อต และยังทรงพระราชทานตราอาร์มให้แก่เจ้าหญิงอีกด้วยพระโอรส พระโอรส. เมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ที่ประทับในกรุงลอนดอนอย่างเป็นทางการของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ พระราชวังเคนซิงตัน นอกจากนี้ยังมีที่ประทับอีกแห่งในมณฑลกลอสเตอร์เชอร์ คือ พระตำหนักไฮโกรฟ เมืองเทตบรี 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 สำนักพระราชวังแถลงข่าวเรื่องเจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงตั้งพระครรภ์ เดือนมกราคม พ.ศ. 2525 ขณะที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เจ้าหญิงประสบอุบัติเหตุลื่นล้มบันไดในตำหนักซานดริงแฮม เซอร์จอร์จ พิงเกอร์ สตูนรีแพทย์ประจำราชสำนัก ถูกเรียกตัวมาจากลอนดอนเพื่อถวายการรักษาเจ้าหญิง ไดอานาได้รับบาดแผลฟกซ้ำรุนแรง แต่พระกุมารในครรภ์ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 เจ้าหญิงไดอานามีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เจ้าชายวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ ณ อาคารลินโดวิง โรงพยาบาลเซนต์แมรี เขตแพดดิงตัน กรุงลอนดอน ภายใต้การควบคุมดูแลของเซอร์พิงเกอร์ ท่ามกลางเสียงวิพากย์วิจารณ์จากสื่อ เจ้าหญิงไดอานาตัดสินพระทัยเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พร้อมด้วยพระโอรสน้อย แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชน เจ้าหญิงทรงเคยตรัสถึงเหตุนี้ว่าในตอนแรกไม่ต้องการให้พระโอรสร่วมเสด็จด้วย แต่ต่อมา มัลคอล์ม เฟรเซอร์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย (ในขณะนั้น) เสนอว่าควรให้เจ้าหญิงเสด็จเยือนออสเตรเลียพร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม มีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สอง เจ้าชายแฮร์รี ชาลส์ อัลเบิร์ต เดวิด เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2527 พระองค์ตรัสว่าทรงมีความใกล้ชิดกับพระสวามีมากที่สุดระหว่างทรงพระครรภ์เจ้าชายแฮร์รี เจ้าหญิงไม่ได้ทรงเปิดเผยเพศของพระกุมารให้แก่ผู้ใดทราบล่วงหน้า รวมทั้งพระสวามี ในเวลานั้น มีข่าวลือว่า เจ้าชายชาลส์มิใช่พระบิดาที่แท้จริงของเจ้าชายแฮร์รี แต่เป็น เจมส์ ฮิววิตต์ ครูสอนขี่ม้าที่เจ้าหญิงเคยมีความสัมพันธ์อย่างลับๆ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพภายนอกที่คล้ายกันมากระหว่างพระองค์กับฮิววิตต์ แต่มีหลักฐานหลายชิ้นออกมาหักล้างข่าวลือนี้ ที่ยืนยันว่าเจ้าหญิงมีพระประสูติกาลเจ้าชายแฮร์รีก่อนที่จะทรงมีสัมพันธ์กับฮิววิตต์ เจ้าหญิงไดอานามักพาพระโอรสออกนอกเขตพระราชฐานเพื่อท่องเที่ยวและเยี่ยมชมตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองอย่างเช่นสามัญชน เจ้าหญิงทรงไม่ยอมอ่อนข้อต่อพระสวามีและราชสำนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระโอรส เจ้าหญิงทรงตั้งชื่อแรกของพระโอรสทั้งสองด้วยพระองค์เอง ทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักหลายอย่าง เช่น ไม่โปรดให้มีพระพี่เลี้ยงสำหรับพระโอรสทั้งสอง ทรงเลือกโรงเรียน เครื่องแต่งกาย วางแผนกิจกรรมต่างๆ หากตารางเวลางานของพระองค์เอื้ออำนวย เจ้าหญิงจะทรงขับรถยนต์ไปส่งพระโอรสที่โรงเรียนด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ยังทรงกำหนดเวลาประกอบพระกรณียกิจของพระองค์ให้อยู่ภายในช่วงเดียวกันกับเวลาเรียนของพระโอรสชีวิตสมรสที่ล้มเหลวและการแยกกันอยู่กับเจ้าชายแห่งเวลส์ ชีวิตสมรสที่ล้มเหลวและการแยกกันอยู่กับเจ้าชายแห่งเวลส์. ภายในระยะเวลา 5 ปี ชีวิตคู่ของเจ้าหญิงเริ่มระหองระแหงและส่อแววร้าวฉาน ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันมากถึง 13 ปี และความคลางแคลงใจของไดอานาในความสัมพันธ์ของพระสวามีกับคนรักเก่า นางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ ต้นปี พ.ศ. 2533 สาธารณชนต่างรับรู้ว่า ชีวิตคู่ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้ล่มสลายลงแล้ว แม้ว่าในตอนแรกทั้งสองพระองค์ได้พยายามปิดบังปัญหานี้มาตลอด แต่กลับล้มเหลวเมื่อสื่อมวลชนเปิดโปงเรื่องส่วนพระองค์อย่างหมดเปลือกสองจนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงทรงต่างกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นตัวทำลายชีวิตคู่ผ่านการให้ข่าวแก่นักข่าวหนังสือพิมพ์และพระสหาย จุดแตกหักในชีวิตคู่ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เริ่มมีเค้าลางชัดเจนในช่วงต้นปี พ.ศ. 2528 เมื่อเจ้าชายชาลส์กลับไปสานความสัมพันธ์กับนางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ อดีตคนรักเก่าที่แต่งงานแล้ว ต่อจากนั้นไม่นานไดอานาก็ลอบมีสัมพันธ์ลับกับพันตรี เจมส์ ฮิววิตต์ ความสัมพันธ์ชู้สาวของเจ้าชายและเจ้าหญิงถูกเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม 2535 ในหนังสือ Diana: Her True Story (ชีวิตจริงของไดอานา) เรียบเรียงโดย แอนดรูว์ มอร์ตัน ซึ่งเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เคยได้รับการตีพิมพ์มาก่อนแล้วในคอลัมน์ของนิตยสารรายสัปดาห์ The Sunday Times เนื้อหาในหนังสืออ้างว่าเจ้าหญิงทรงพยายามปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองจากปัญหาต่างๆ มากมายที่รุมเร้า ระหว่าง พ.ศ. 2535–2536 เทปบันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์กับบุคคลที่สามของทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงหลุดออกมาสู่สื่อมวลชน ทำให้สาธารณชนได้ล่วงรู้ถึงความเกลียดชังระหว่างสองพระองค์ เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างไดอานากับเจมส์ กิลบี ถูกเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซัน ผ่านบริการโทรศัพท์สายด่วนในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 บทสนทนาส่วนตัวนี้ได้รับการถอดความและตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดอะซันภายในเดือนเดียวกัน กรณีดังกล่าวเป็นที่รู้จักในนาม "สควิดจีเกต" โดยคำว่า "สควิดจี" ที่กิลบีใช้เรียกไดอานาอย่างสนิทเสน่หา พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 ข้อความส่วนหนึ่งจากเทปบันเสียง “คามิลลาเกต” ซึ่งบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าชายชาลส์และนางคามิลลา ปรากฏในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์หลายสำนักในอังกฤษ ธันวาคม พ.ศ. 2535 ณ สภาสามัญชนแห่งสหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรี จอห์น เมเจอร์ ออกแถลงการณ์ เรื่องการแยกกันอยู่ระหว่างเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์ มกราคม พ.ศ. 2536 ข้อความจากเทปบันทึกเสียงฉบับเต็ม คามิลลาเกต ถูกนำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หลายสำนักอีกครั้ง พ.ศ. 2536 กลุ่มหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์ลงภาพแอบถ่ายของเจ้าหญิงไดอานาระหว่างทรงออกกำลังกายอยู่ภายในโรงยิมแอลเอฟิตเนส ในภาพ เจ้าหญิงทรงอยู่ในชุดออกกำลังกายแนบเนื้อและกางเกงขาสั้น ภาพดังกล่าวลักลอบถ่ายโดย ไบรซ์ เทย์เลอร์ เจ้าของโรงยิม ทนายความของไดอานาดำเนินการทางกฎหมายทันทีที่ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ โดยมีคำร้องให้ศาลห้ามให้มีการวางจำหน่ายและเผยแพร่ภาพดังกล่าวอย่างถาวร แต่อย่างไรก็ตามภาพถ่ายชุดนี้ถูกลักลอบนำไปตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์นอกสหราชอาณาจักร ท้ายที่สุด ศาลมีคำสั่งห้ามกลุ่มหนังสือพิมพ์มิเรอร์และนายเทย์เลอร์ให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ภาพถ่ายของไดอานาเพิ่มเติมอีกเป็นอันขาดสุดท้ายกลุ่มหนังสือพิมพ์มิเรอร์ยอมประกาศขอโทษหลังถูกตั้งข้อครหาและวิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่ายในสังคม มีการรายงานว่ากลุ่มหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์ได้ชดเชยค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านปอนด์ให้แก่เจ้าหญิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย อีกทั้งยังบริจาคเงินจำนวน 2 แสนปอนด์ให้แก่องค์กรการกุศลของพระองค์ นายเทย์เลอร์ยอมจ่ายค่าเสียหายให้แก่ไดอานาเช่นเดียวกันด้วยเงิน 3 แสนปอนด์ แต่มีข่าวลือว่ามีสมาชิกราชวงศ์พระองค์หนึ่งได้ช่วยเหลือนายเลอร์ในเรื่องเงินค่าเสียหายดังกล่าว เจ้าหญิงมาร์กาเรต ซึ่งเป็นพระมาตุลานี (ป้าสะใภ้) ของไดอานาทรงเผาทำลายจดหมาย “ลับสุดยอด” ซึ่งไดอานาทรงเขียนถึงสมเด็จพระราชชนนีเมื่อ พ.ศ. 2536 เจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงรับสั่งว่าเนื้อหาในจดหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยเรื่องส่วนตัวจำนวนมาก วิลเลียม ชอว์ครอส นักประวัติศาสตร์ พูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหญิงมาร์กาเรตทรงกำลังช่วยปกป้องพระมารดาและสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ” ชอว์ครอสเห็นว่าการกระทำของเจ้าหญิงมาร์กาเรตนั้นสมเหตุสมผล แต่หากพิจารณาในมุมนักประวัติศาสตร์ เขากลับรู้สึกเสียดายที่ทรงทำลายจดหมายนั้น ระหว่างที่ไดอานากล่าวหาคามิลลาว่าเป็นตัวทำลายครอบครัวของพระองค์ เจ้าหญิงทรงเริ่มหวาดระแวงว่าเจ้าชายชาลส์กำลังลอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับผู้หญิงคนใหม่ เดือนตุลาคม 2536 เจ้าหญิงเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ใจความว่า ทรงเชื่อว่าพระสวามีกำลังหลงรัก ทิกกี เล็กจ์-เบิร์ก ผู้ช่วยส่วนพระองค์ (อดีตพระพี่เลี้ยง) และต้องการสมรสใหม่ผู้หญิงคนนี้ นางสาวเล็กจ์-เบิร์กเคยได้รับการว่าจ้างโดยเจ้าชายชาลส์ในตำแหน่งพระพี่เลี้ยงของพระโอรสทั้งสองเมื่ออยู่ในความดูแลของพระบิดา ไดอานาทรงกริ้วมากเมื่อทรงทราบความมิตรภาพที่ดีระหว่างพระโอรสกับเล็กจ์-เบิร์ก 3 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงประกาศถอนตัวจากชีวิตสาธารณชนอย่างเป็นทางการ และในเวลาเดียวกันนั้น ข่าวซุบซิบเรื่องสัมพันธ์รักระหว่างเจ้าหญิงไดอานากับเจมส์ ฮิววิตต์ อดีตครูสอนขี่ม้าของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี กำลังแพร่สะพัดอย่างหนาหู จนถึงกับมีการตีพิมพ์เรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือชื่อว่า Princess in Love และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันใน พ.ศ. 2539 29 มิถุนายน พ.ศ. 2537 เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงประทานสัมภาษณ์ผ่านทางรายการโทรทัศน์แก่ โจนาธาน ดิมเบิลบลี เพื่อชี้แจงถึงเรื่องชีวิตคู่ที่ล้มเหลวด้วยพระองค์เองต่อสาธารณชน ทรงยอมรับว่าพระองค์กลับไปมีความสัมพันธ์กับนางคามิลลา หลังจากที่ชีวิตคู่ของพระองค์กับเจ้าหญิงนั้นมาถึงทางตันในปี พ.ศ. 2529 ทินา บราวน์ แซลลี บีเดล สมิธ และซาราห์ แบรดฟอร์ด และนักเขียนหลายคน เห็นพ้องต้องคำในถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหญิงในรายการโทรทัศน์ บีบีซีพาโนรามา ที่ออกอากาศช่วงปลายปี พ.ศ. 2538 ตอนหนึ่งของสัมภาษณ์เจ้าหญิงทรงเปิดเผยว่าทรงได้รับความทุกข์ทรมานสาหัสจากโรคซึมเศร้าและโรคบูลีเมียขั้นรุนแรง และทรงพยายามทำร้ายพระองค์เองด้วยการกรีดข้อพระหัตถ์และพระเพลา จากพระอาการต่างๆ ที่ทรงกล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ทำให้นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่าไดอานามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งการหย่าร้าง การหย่าร้าง. มาร์ติน บาชีร์ ได้รับพระอนุญาตจากเจ้าหญิงแห่งเวลส์เพื่อขอสัมภาษณ์พระองค์ในรายการ พาโนรามา ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในกระแส และเทปการสัมภาษณ์เจ้าหญิงออกอากาศเมื่อ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทรงตรัสถึงเจมส์ ฮิววิตต์ว่า "ใช่ ฉันเคยหลงรักเขา ใช่ฉันเคยหลงรักเขา แต่เขาทำให้ฉันเสียหายอย่างที่สุด” ทรงตรัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายชาลส์กับนางคามิลลาว่า “มีคนสามคนในชีวิตคู่และเรารู้สึกอึดอัด” ทรงตรัสถึงพระองค์ในอนาคตว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจของประชาชน” และทรงแสดงความกังวลต่อความเหมาะสมในการขึ้นครองราชย์ของพระสวามีว่า “หน้าที่ [ในฐานะประมุข] เป็นภารกิจสำคัญอย่างยิ่ง และมาพร้อมกับกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย และฉันไม่รู้ว่าเจ้าชายจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งพระประมุขได้หรือไม่” 20 ธันวาคม พ.ศ. 2538 สำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแนะนำให้พระโอรสและพระสุณิสาทรงหย่าขาดกัน สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าพระราชหัตถเลขาและความเคลื่อนไหวของสมเด็จพระราชินีนาถเกิดขึ้นหลังจากพระองค์ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีและคณะองคมนตรีชั้นผู้ใหญ่หลังใช้เวลาปรึกษาหารือนาน 2 สัปดาห์ และในเวลาต่อมาไม่นานมีเอกสารแถลงการณ์ยินยอมหย่าร้างจากเจ้าชายแห่งเวลส์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงยอมรับข้อตกลงการหย่าร้างหลังการเจรจากับเจ้าชายและตัวแทนของสมเด็จพระราชินีนาถ ทั้งนี้เกิดความวุ่นวายภายขึ้นในสำนักพระราชวังบักกิงแฮม เมื่อไดอานาทรงมีพระประสงค์ให้มีการประกาศยินยอมหย่าของพระองค์พร้อมกับข้อตกลงต่างๆ อย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชน กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงและเจ้าชายยอมรับข้อตกลงในการหย่าร้าง 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 การหย่าร้างมีผลสมบูรณ์ และไม่กี่วันก่อนมีคำสั่งศาลให้ทั้งสองพระองค์หย่าขาด สำนักพระราชวังบักกิงแฮมเผยแพร่เอกสารสิทธิระบุว่า ไดอานาจะต้องสูญเสียฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า (Her Royal Highness) เนื่องจากมิได้เป็นเจ้าหญิงพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์อีกต่อไป และให้ใช้พระนาม “ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์” แต่เพียงเท่านั้น มีการรายงานเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระราชินีนาถทรงตัดสินพระทัยให้คงไว้ซึ่งพระอิสริยศ “เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ท้ายพระนามของหลังการหย่าร้าง แต่เจ้าชายชาลส์ทรงคัดค้านและเรียกร้องให้ริบคืนพระอิสริยศดังกล่าวจากอดีตพระชายา เนื่องจากเป็นพระมารดาของเจ้าชายวิลเลียม ผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับสองและมีความเป็นไปได้ที่จะได้ทรงขึ้นครองราชย์ในภายภาคหน้า จึงมีความเห็นพ้องกันภายในราชสำนักว่า หลังทรงหย่าร้าง ควรให้ไดอานาดำรงพระอิสริยศเช่นเดียวกับที่ทรงเคยได้รับระหว่างการเป็นพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายวิลเลียมเคยตรัสปลอบใจพระมารดาครั้งหนึ่งว่า “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมจะคืนยศให้แม่เองในวันที่ผมได้เป็นพระราชา” ทินา บราวน์ ระบุว่าก่อนหน้าการหย่าร้างเพียง 1 ปี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ได้ทรงส่งจดหมายส่วนพระองค์เพื่อเตือนพระสุณิสา ว่า “ถ้าเธอไม่ประพฤติตัวให้ดี เราจะริบยศเธอคืน” และเจ้าหญิงทรงเขียนตอบกลับพระสัสุระว่า “พระยศของหม่อมฉันเก่าแก่กว่าของท่าน ฟิลิป” ไดอานาได้รับเงินจำนวนมหาศาลเพื่อดำรงชีพจากเจ้าชายชาลส์หลังการหย่าร้างจำนวน 17 ล้านปอนด์ (665 ล้านบาท–อัตราแลกเปลี่ยน สิงหาคม พ.ศ. 2539) พร้อมเงินรายปีจำนวน 400,000 ปอนด์ต่อปี (15.65 ล้านบาทต่อปี–อัตราแลกเปลี่ยน สิงหาคม พ.ศ. 2539) ทั้งสองพระองค์ร่วมลงนามในข้อตกลงซึ่งมีเงื่อนไขเพิ่มเติมพิเศษ ห้ามมิให้ทั้งสองฝ่ายนำรายละเอียดต่างๆ ในระหว่างชีวิตคู่จนถึงการหย่าร้างไปเผยแพร่ไม่ว่าในกรณีใดๆ หลังการหย่าร้างไม่นาน ไดอานาทรงกล่าวหา นางสาวทิกกี เล็กจ์-เบิร์ก ผู้ช่วยของเจ้าชายชาลส์ ว่า ลอบไปทำแท้งหลังตั้งท้องกับเจ้าชาย โดยเล็กจ์-เบิร์กไม่พอใจอย่างมากและได้เรียกร้องพระองค์ทรงกล่าวคำขอโทษ ต่อมา แพทริก เจฟสัน เลขานุการของไดอานา ขอลาออกหลังมีการกล่าวหาเกิดขึ้น และได้เขียนข้อความพาดพิงเจ้าหญิงไว้ว่า “ทรงสำราญพระทัยจากการให้ร้ายเล็กจ์-เบิร์กว่าหล่อนแอบไปทำแท้ง” ไดอานาทรงมีความขัดแย้งกับพระมารดาอย่างรุนแรงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2540 เมื่อฟรานเซสให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฮัลโหล ว่า ไดอานาพอใจจากการถูกเรียกคืนอิสริยศหลังหย่าร้างกับเจ้าชายชาลส์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสองต่างไม่ยอมพูดจาหรือติดต่อกันอีกเลยจนกระทั่งไดอานาสิ้นพระชนม์ สำนักพระราชวังบักกิงแฮมชี้แจงว่า ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ในขณะที่ยังเป็นสมาชิกราชวงศ์ เนื่องจากเป็นพระมารดาของรัชทายาทอันดับที่สองและสาม และข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก บารอนเนส บัทเลอร์-สลอส เจ้าหน้าที่โคโรเนอร์แห่งราชสำนัก ก่อนการพิจารณาคดีการสิ้นพระชนม์ของไดอานาเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 โดยกล่าวว่า "ดิฉันรู้สึกพึงพอใจที่ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ยังคงสถานะเป็นสมาชิกราชวงศ์อยู่ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม” และความเป็นสมาชิกราชวงศ์ของพระองค์ได้รับการรับรองอีกครั้งโดยคณะลูกขุนแห่งศาลสูงไฮคอร์ท ซึ่งเป็นผู้กล่าวรับคำร้องพิจารณาคดีมรณกรรมของไดอานาและโดดีในฝรั่งเศส ดังนี้ “การพิจารณาคดีครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตสองคน ผู้หนึ่งเป็นสมาชิกแห่งพระราชวงศ์ (ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์) แต่อีกผู้หนึ่งไม่ใช่ (โดดี อัลฟาเยด) ”พระราชกิจในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระราชกิจในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์. พระกรณียกิจอย่างเป็นการครั้งแรกของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวลส์พร้อมกับเจ้าชายแห่งเวลส์เป็นเวลา 3 วัน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2524 และเสด็จไปร่วมรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ต่อมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 เสด็จทรงเป็นประธานเปิดไฟต้นคริสต์มาสบนถนนรีเจนต์ ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จประกอบพระกรณียกิจครั้งแรกที่ไม่ได้เสด็จร่วมพระสวามีและพระบรมวงศานุวงศ์ เดือนมิถุนายน 2525 เสด็จร่วมทอดพระเนตรการสวนสนามทหารกองเกียรติยศในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีนาถ และเจ้าหญิงทรงปรากฏพระองค์บนระเบียงมุขพระราชวังบักกิงแฮมต่อประชาชนที่มาเข้าเฝ้าและใน พ.ศ. 2525 เจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศโดยเพียงพระองค์เดียวเป็นครั้งแรก เพื่อเสด็จไปทรงร่วมพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก ต่อมาในปีเดียวกัน เสด็จพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ไปในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และเจ้าหญิงทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Order of the Crown จากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ ปี พ.ศ. 2526 เจ้าชายแห่งเวลส์และเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม และทั้งสามพระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองมาวรีในนิวซีแลนด์ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พ.ศ. 2526 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดา ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ ทรงร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน 1983 ที่เมืองเอ็ดมันตัน และเสด็จพระราชดำเนินไปเกาะนิวฟันด์แลนด์เพื่อรำลึกการครบรอบ 400 ปีที่อังกฤษประกาศกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนแห่งนี้เมษายน พ.ศ. 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เสด็จฯ เยือนประเทศอิตาลี และทรงได้พบกับประธานาธิบดีอาเลสซานโดร เปอร์ตินี และเสด็จพระราชดำเนินไปสันตะสำนักแห่งโรม และทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 พฤศจิกายน 2528 เจ้าชายและเจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา ณ ทำเนียบขาว ทรงเข้าพบประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา นายโรนัลด์ เรแกน และนางแนนซี เรแกน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง พ.ศ. 2529 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, สเปน และเสด็จไปทอดพระเนตรงานเวิลด์เอกซ์โป 1986 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา พ.ศ. 2531 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียเป็นเวลา 10 วัน และทรงเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันชาติออสเตรเลียครบรอบ 200 ปี ในระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 เจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จฯ เยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ เพื่อทรงร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และในระหว่างการเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลฮาร์เลม และทรงสร้างความประหลาดใจแก่สาธารณชนเมื่อทรงโอบกอดเด็กอายุ 7 ขวบคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคเอดส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไนจีเรียและแคเมอรูน และทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำที่ประธานาธิบดีแห่งแคเมอรูนจัดเลี้ยงถวายที่กรุงยาอุนเด โดยพระกรณียกิจหลักในการเสด็จฯ เยือนแคเมอรูนครั้งนี้คือ การเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลและเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสตรี เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2533 เจ้าชายชาลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จฯ เยือนประเทศฮังการีเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งถือได้ว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นสมาชิกราชวงศ์สองพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนอดีตรัฐสมาชิกในกติกาสัญญาวอร์ซอ ทั้งสองได้ร่วมงานเลี้ยงพระยาหารค่ำ ซึ่งจัดถวายโดยประธานาธิบดีรักษาการ อาร์พาร์ด กอนทส์ และเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการแสดงแฟชันที่พิพิธศิลปะประยุกต์ในกรุงบูดาเปสต์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เพื่อเป็นการส่งเสริมขวัญกำลังใจให้แก่หน่วยกำลังพลที่ปฏิบัติงานในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เจ้าหญิงแห่งเวลส์จึงเสด็จฯ เยือนประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อทรงพบกับครอบครัวทหารที่เข้าร่วมสงคราม และไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เสด็จฯ เยือนเยอรมนีอีกครั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2534 เพื่อเสด็จเยี่ยมฐานบินเบรอเกน และทรงเขียนจดหมายให้กำลังเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารทางการทหาร ได้แก่ Soldier, Navy News และ RAF News กันยายน พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนปากีสถานเพียงพระองค์เดียว และร่วมเสด็จฯ เยือนประเทศบราซิลพร้อมกับเจ้าชายชาลส์ ระหว่างการเสด็จฯ เยือนบราซิล เจ้าหญิงเสด็จไปที่องค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านและเยาวชนเร่ร่อน การเสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ การเสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และประเทศเกาหลีใต้ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535 ในการเสด็จฯ เยือนอินเดียคราวนั้น เจ้าหญิงได้เสด็จไปเยี่ยมแม่ชีเทเรซา ในสถานสงเคราะห์เมืองโกลกาตา และทั้งสองจึงได้เริ่มติดต่อกันอย่างไม่เป็นทางการนับแต่นั้นมา พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอียิปต์ และทรงเข้าพบกับประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร็อก แม้ว่าในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงประกาศถอนตัวจากกิจกรรมสาธารณะอย่างไม่มีกำหนด แต่เจ้าหญิงไดอานาทรงยืนยันว่าจะยังคงปรากฏพระองค์ในกิจกรรมการกุศลอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งรองประธานสภากาชาดบริติช พระองค์ได้ทรงร่วมเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานฉลองครบรอบ 125 ปี สภากาชาดบริติช ต่อมาสมเด็จพระราชินีนาถทรงส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการให้เจ้าหญิงไดอานาทรงร่วมพิธีรำลึกวันดี-เดย์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น และได้ทรงเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เพื่อทรงเข้าร่วมเทศกาลศิลปะเวนิสเบียนนาเล พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนประเทศอาร์เจนตินา เป็นเวลา 4 วัน เพื่อร่วมงานการกุศล ทั้งนี้ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโรงพยาบาลดอกเตอร์แองเจิล รอฟโฟ กรุงบัวโนสไอเรส ในระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนอีกหลายประเทศ เช่น เบลเยียม เนปาล สวิตเซอร์แลนด์ ซิมบับเว บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แองโกลา และอื่นๆ และระหว่างเวลา 4 ปีที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ เจ้าหญิงเสด็จพระราชดำเนินไปร่วมพิธีใหญ่สำคัญๆ ในฐานะพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น พิธีรำลึกครบรอบ 50 ปี วันชัยในทวีปยุโรป พ.ศ. 2538 และพิธีรำลึกวันชัยเหนือญี่ปุ่น งานฉลองวันคล้ายวันประสูติปีที่ 36 ชันษาของพระองค์และเป็นครั้งสุดท้าย จัดขึ้นที่หอศิลป์เทต กรุงลอนดอน และยังตรงกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งหอศิลป์แห่งนี้อีกด้วยกิจกรรมสาธารณกุศล กิจกรรมสาธารณกุศล. ใน พ.ศ. 2526 พระองค์ทรงตรัสถึงความกดดันในสถานะใหม่ของพระองค์กับ นายไบรอัน เพ็กฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐนิวฟันด์แลนด์ ณ ขณะนั้น ว่า “ฉันรู้สึกว่าเป็นการยากมากเหลือเกินที่จะทนต่อความดันในการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ แต่ฉันกำลังเรียนรู้เพื่อจะพร้อมรับมือกับหน้าที่นี้” โดยในฐานะเจ้าหญิงแห่งเวลส์ สาธารณชนต่างคาดหวังให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่สำคัญต่างๆ ดังที่สมาชิกพระราชวงศ์ทรงให้การสนับสนุนช่วยเหลือสังคมในช่วงศตวรรษที่ 20 ไม่นานหลังทรงอภิเษกสมรส เจ้าหญิงทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจด้านการกุศลเพิ่มมากขึ้น ใน พ.ศ. 2531 ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจจำนวน 191 ครั้ง และเพิ่มขึ้นเป็น 397 ครั้งใน พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือโครงการหรือองค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายและสุขอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเอดส์และโรคเรื้อน ซึ่งยังไม่มีสมาชิกราชวงศ์พระองค์ใดทรงปฏิบัติมาก่อน สตีเฟน ลี ผู้อำนวยการสถาบันควบคุมการระดมทุนเพื่อการกุศลแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวถึงพระองค์ว่า พระองค์ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในการระดมทุนเพื่อการกุศลในศตวรรษที่ 20 นอกจากพระกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยแล้ว พระองค์ยังทรงขยายขอบเขตงานในอีกหลายด้าน เช่น การรณรงค์คุ้มครองสัตว์ และการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด พระองค์เคยดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือคนไร้บ้าน เยาวชน ผู้ติดยาเสพติด และผู้สูงอายุ ทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ เฮดเวย์ ซึ่งเป็นสมาคมเพื่อผู้ป่วยทางสมอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534-2539 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พิพิธภัณฑ์เนเชอรัลฮิสทรี และทรงทำหน้าที่ประธานสถาบันดุริยางค์ศิลป์แห่งลอนดอนในพระราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2531 ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สภากาชาดบริติชและทรงให้ความช่วยเหลือหน่วยงานย่อยของสภากาชาดบริติชในต่างประเทศ อีกทั้งทรงมักจะเสด็จไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคร้ายและผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลรอยัลบรอมป์ตันเป็นประจำทุกสัปดาห์ พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระองค์แรกของโครงการเชสเตอร์ชายด์เบิร์ธแอพพีล ซึ่งเป็นโครงการด้านการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือด้านการผดุงครรภ์ และทรงใช้ช่องทางต่างๆ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโครงการแห่งนี้จนได้รับเงินบริจาคจำนวนมากถึง 1 ล้านปอนด์ และทรงประทานพระอนุญาตให้นำพระอิสริยศส่วนหนึ่งของพระองค์ (เคานท์เตสแห่งเชสเตอร์) มาใช้ตั้งชื่อโครงการ มิถุนายน พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนกรุงมอสโก และเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเด็กที่พระองค์ทรงเคยให้ความช่วยด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และมีการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลอินเตอร์เนชันแนลเลโอนาร์โดไพรซ์แก่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งรางวัลนี้จะมอบให้เฉพาะแก่ผู้อุปถัมภ์และบุคคลที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะ การแพทย์ และกีฬา ธันวาคม พ.ศ. 2538 เจ้าหญิงไดอานาทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมนุษยธรรมแห่งปีจากองค์กรยูไนเต็ดเซรีบรัลพอลซี นครนิวยอร์ก จากการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์องค์กรการสาธารณกุศลต่างๆ มากมาย ตุลาคม พ.ศ. 2539 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองในการประชุมด้านสุขภาพ ซึ่งจัดการประชุมโดยศูนย์ปีโอมันซุ เมืองรีมีนี ประเทศอิตาลี หนึ่งวันหลังจากทรงหย่า ไดอานาทรงประกาศลาออกจากองค์กรการกุศลจำนวนกว่า 100 แห่ง เพื่อทรงทุ่มเทพระราชกิจกับ 6 องค์กรหลัก ได้แก่ มูลนิธิเซ็นเตอร์พอยท์ บริษัทอิงลิชเนชันแนลบัลเลต์ โรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ และโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน แต่พระองค์ยังทรงปฏิบัติงานร่วมกับโครงการรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดแห่งสภากาชาดบริติช แม้ไม่ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์อีกต่อไป พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาเสด็จฯ พระราชดำเนินไปเปิดศูนย์ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์เพื่อผู้พิการและศิลปะ หลังจากทรงตอบรับคำเชิญจากพระสหาย ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ มิถุนายน พ.ศ. 2540 ฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทของพระองค์ถูกนำออกประมูลโดยสถาบันคริสตีส์ในลอนดอนและนิวยอร์ก และรายได้จากการประมูลทั้งหมดถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์กรการกุศล พระกรณียกิจสุดท้ายอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นพระชนม์ คือ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงพยาบาลนอร์ธวิกพาร์ก กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2540พระราชกิจในด้านต่างๆผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ พระราชกิจในด้านต่างๆ. ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์. เจ้าหญิงไดอานาทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา ใน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดศูนย์บริการสุขภาพเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์แลนด์มาร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน พระองค์ทรงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสร่างกายผู้ป่วยเอดส์ ทั้งที่การแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านทางการสัมผัส เจ้าหญิงจึงถือเป็นสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษพระองค์แรกที่ทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเอดส์ ทรงพยายามลบล้างความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ โดยทรงกุมมือผู้ป่วยโรคเอดส์คนหนึ่งในระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2530 ทรงมีรับสั่งในเวลาต่อมาว่า “ผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีไม่ได้น่ากลัวอย่างหลายคนคิด เราสามารถจับมือและโอบกอดพวกเขาได้ สวรรค์เท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพวกเขาต้องการ ยิ่งกว่านั้น เรายังสามารถอยู่อาศัยในบ้านเดียวกันร่วมกับผู้ป่วยได้ ทำงานในสถานที่เดียวกันได้ ตลอดทั้งใช้สนามเด็กเล่นและของเล่นร่วมกันได้อีกด้วย” เจ้าหญิงไดอานาทรงไม่พอทัยเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถทรงไม่โปรดให้พระองค์ทรงงานการกุศลเกี่ยวผู้ป่วยเอดส์ พร้อมทั้งทรงแนะนำให้เจ้าหญิงเลือกปฏิบัติพระราชกิจที่ “น่าอภิรมย์” มากกว่านี้ ตุลาคม พ.ศ. 2533 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดแกรนด์มาส์เฮาส์ ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์เพื่อเยาวชนที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และยังเคยเป็นองค์อุปถัมภ์กองทุนโลกเพื่อต่อสู้โรคเอดส์ พ.ศ. 2534 เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลมิดเดิลเซ็กส์ และได้ทรงกอดผู้ป่วยคนหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งกลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในเวลาต่อมา ระหว่างที่ทรงให้การอุปถัมภ์องค์การเทิร์นนิงพอยท์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข และใน พ.ศ. 2535 เจ้าหญิงทรงมีโอกาสเสด็จฯ ไปเยี่ยมชนโครงการของเทิร์นนิงพอยท์เพื่อผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและและผู้ป่วยเอดส์ ต่อมาทรงริเริ่มการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเพื่อรักษาโรคเอดส์ มีนาคม พ.ศ. 2540 เสด็จฯ เยือนประเทศแอฟริกาใต้ และทรงเข้าพบประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 นายแมนเดลามีถ้อยแถลงว่า กองทุนเนลสัน แมนเดลา เพื่อเด็กและเยาวชนจะร่วมงานภารกิจกับกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อย่างรุนแรงในประเทศแอฟริกาใต้ โดยจะให้การช่วยเหลือผู้ป่วยและเยาวชนในที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้ายนี้ และเขายังระบุว่า ไม่กี่เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงทรงมีแผนที่จะผนวกสององค์กรเพื่อทำงานการกุศลด้านโรคเอดส์ร่วมกัน แมนเดลายังกล่าวถึงเจ้าหญิงผู้ล่วงลับว่า “เมื่อพระองค์ทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคเรื้อหรือทรงประทับบนเตียงร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ชายรายหนึ่งพร้อมทรงกุมมือให้กำลังใจเขา พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงความคิดสาธารณชนและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อ” แมนเดลายังกล่าวว่าเจ้าหญิงทรงใช้สถานะและชื่อเสียงของพระองค์เพื่อขจัดอคติที่มีต่อผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์การต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด การต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด. พระองค์ทรงมีความสนใจด้านต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดจากการที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรฮาโลทรัสต์ ซึ่งทำหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือในพื้นที่ที่เคยเกิดสงคราม เดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ภาพข่าวเจ้าหญิงในชุดเกราะและหน้ากากป้องกันแรงอัดระหว่างเสด็จฯ ไปเขตพื้นที่ทุ่นระเบิดในประเทศแองโกลา ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ระหว่างการเสด็จฯ เยือนแองโกลา แต่ขณะเดียวกับพระองค์ทรงถูกวิจารณ์ว่ากำลังเข้าไปแทรกแซงการเมืองและเป็น ”ตัวอันตราย” ท่ามกลางกระแสวิจารณ์องค์กรฮาโลทรัสต์ได้ออกมาชี้แจงว่า พระกรณียกิจของไดอานากระตุ้นให้นานาชาติตระหนักถึงผลเสียหายร้ายแรงจากการใช้ทุ่นระเบิดและผู้ที่ได้บาดเจ็บจากอาวุธสงครามชนิดนี้ มิถุนายน พ.ศ. 2540 พระองค์ทรงขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมเรื่องทุ่นระเบิด ซึ่งจัดขึ้น ณ สมาคมภูมิศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมรณรงค์โครงการต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดของสภากาชาดอเมริกา และในระหว่างวันที่ 7–10 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เพียงไม่กี่วันก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จฯ เยือนประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เพื่อให้กำลังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด พระราชกิจการต่อต้านทุ่นระเบิดของพระองค์นั้นเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง โดยเห็นได้ชัดจากการที่นานาประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญาออตตาวา เพื่อการยกเลิกใช้ทุ่นระเบิดในภาวะสงคราม และต่อมาสภาสามัญชนแห่งรัฐสภาอังกฤษก็ได้ผ่านร่างกฎหมายต่อต้ารการใช้ทุ่นระเบิดเมื่อ พ.ศ. 2542 แครอล เบลลามี ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า พื้นทุ่นระเบิดยังคงเป็นอันตรายต่อเด็กน้อยไร้เดียงสาทั่วโลก และเธอเสนอให้กลุ่มประเทศที่ผลิตและสะสมทุ่นระเบิดในคลังสรรพาวุธ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย เกาหลีเหนือ ปากีสถาน และรัสเซีย เข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านทุ่นระเบิด ปลายปี พ.ศ. 2540 โครงการต่อต้านทุ่นระเบิดสากลที่พระองค์ทรงร่วมรณรงค์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หลังจากที่สิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือน ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง. การเสด็จพระราชดำเนินไปสถาบันเฉพาะทางด้านโรงมะเร็งครั้งแรกอย่างเป็นทางการของพระองค์ คือการเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดน เอ็นเอชเอสฟันเดชันทรัสต์ กรุงลอนดอน ใน พ.ศ. 2525 และพระองค์ทรงมอบเงินจำนวนหนึ่งที่ได้จากการประมูลฉลองพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2540 ให้แก่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผู้จัดการกองทุนโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดนกล่าวถึงพระองค์ว่า “เจ้าหญิงทรงขจัดอคติและทัศนคติที่ไม่ดีของโรคร้าย เช่น โรคเอดส์ เชื้อเอชไอวี และโรคเรื้อน" และทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งรอยัลมาร์สเดนตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ในเวลาต่อมาเสด็จฯ มาเปิดแผนกผู้ป่วยมะเร็งเด็กวูล์ฟสันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 มิถุนายน พ.ศ. 2539 เจ้าหญิงเสด็จฯ เยือนเมืองชิคาโกในฐานะประธานโรงพยาบาลรอยัลมาร์สเดน เพื่อทรงร่วมงานระดมทุนการกุศลและทรงจัดหาทุนได้มากถึง 1 ล้านปอนด์เพื่อการค้นคว้าวิจัยการรักษาโรงมะเร็ง และเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงตอบรับคำเชิญของแคเธอริน เกรแฮม และเสด็จฯ ไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์นีนา ไฮด์ เพื่อการวิจัยมะเร็งทรวงอก และพระองค์ยังเสด็จฯ ไปร่วมงานระดมทุนประจำปีสำหรับศูนย์วิจัยมะเร็งแห่งนี้ด้วย ซึ่งมีสำนักพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน เจ้าหญิงเสด็จฯ ไปทรงเปิดมูลนิธิชิลเดรนวิธลูคีเมียอย่างเป็นทางการ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิชิลเดรนวิธแคนเซอร์ยูเค) เพื่อเป็นการรำลึกถึงเยาวชนที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อปี พ.ศ. 2531 ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 ไม่กี่วันหลังจาก เจ้าหญิงทรงได้พบกับพ่อและแม่ของจีน โอกอร์แมน เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของจีนและพี่ชายของเธอในเวลาไล่เลี่ยกันสร้างความสะเทือนใจให้พระองค์เป็นอันมาก และทรงมอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวโอกอร์แมนเพื่อจัดตั้งมูลนิธิด้วย มูลนิธิดังกล่าวมีพิธีเปิดอย่างทางการเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2531 ที่โรงเรียนมัธยมมิลล์ฮิลล์ โดยพระองค์เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิด และทรงบริจาคเงินแก่มูลนิธิแห่งนี้จนกระทั่งทรงสิ้นพระชนม์พระราชกิจด้านอื่นๆ พระราชกิจด้านอื่นๆ. พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เจ้าหญิงแห่งเวลส์เสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคเรื้อนในอินโดนีเซีย หลังจากนั้นไม่นานทรงให้การอุปถัมภ์พันธกิจเพื่อต่อสู้โรคเรื้อน ซึ่งองค์การกุศลที่ให้ความช่วยเหลือและการรักษาทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน และพระองค์ทรงสนับสนุนองค์การแห่งนี้จนสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้เจ้าหญิงยังเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลโรคเรื้อนในอีกหลายแห่งทั่วโลกในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย เนปาล ซิมบับเว และไนจีเรีย และทรงสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน ทั้งที่ๆ ณ เวลานั้นผู้คนไม่กล้าแตะต้องตัวผู้ป่วยเพราะความเข้าใจที่ผิดว่าโรคเรื้อนสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส พระองค์ทรงตรัสถึงการเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อนว่า “ฉันคิดคำนึงอยู่ตลอดในเรื่องการสัมผัสตัวผู้ป่วยโรคเรื้อน จึงได้พยายามใช้วิธีอย่างง่ายๆ เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังโดนหยามเหยียดหรือเป็นที่รังเกียจ" หลังจากสิ้นพระชนม์ ศูนย์สุขศึกษาไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในเมืองนอยดา ประเทศอินเดีย มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2542 โดยศูนย์ดังกล่าวนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกเป็นพระเกียรติคุณของพระองค์ และเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคเรื้อนและภาวะทุพพลภาพ ศูนย์แห่งนี้ได้รับเงินทุนก่อตั้งโดยกองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์กรเซ็นเตอร์พอยท์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 องค์กรแห่งนี้ให้การช่วยจัดหาที่อยู่และช่วยเหลือคนไร้บ้านในอังกฤษ พระองค์ทรงให้กำลังใจแก่เยาวชนเร่ร่อนและทรงตรัสว่า “พวกเขาสมควรได้โอกาสเพื่อเริ่มต้นชีวิตที่ดีอีกสักครั้ง” “พวกเรา ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ควรตระหนักว่า เยาวชนของเรา ผู้ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศนี้ สมควรได้รับโอกาสอีก” เจ้าหญิงไดอานาทรงมักพาเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อไปเยี่ยมศูนย์เซ็นเตอร์พอยท์ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในศูนย์แห่งนี้เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เยาวชนในศูนย์ทุกคนรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก เพราะทุกครั้งพระองค์เสด็จฯ เจ้าหญิงทรงไม่เสแสร้งและไม่ถือพระองค์แต่อย่างใด ปัจจุบันเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์องค์การเซ็นเตอร์พอยท์ เจ้าหญิงทรงให้การสนับสนุนมูลนิธิและองค์การกุศลที่ช่วยเหลือสังคมและให้บริการทางสุขภาพจิต เช่น รีเลตและเทิร์นนิงพอยท์ รีเลตเป็นองค์การก่อตั้งขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2530 จากเดิมเคยเป็นหน่วยงานให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ และเจ้าหญิงทรงให้ความอุปถัมภ์องค์การรีเลตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532เทิร์นนิงพอยท์ คือ องค์การที่ดูแลด้านสาธารณสุขที่ให้การบำบัดช่วยเหลือแก่ผู้ติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต พระองค์ทรงเริ่มให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2530 และได้เสด็จฯ มาเยี่ยมผู้เข้ารับการบำบัดที่องค์การแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ทรงกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ พ.ศ. 2533 ที่องค์การเทิร์นนิงพอยท์ ดังนี้ว่า "เราต้องใช้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์พูดจาหว่านล้อมสังคมที่หวาดกลัวให้ยอมรับบุคคล ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความวิกลจริตกลับเข้าสู่สังคม ตลอดจนผู้ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทและอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยถูกผลักไสให้พ้นไปจากสังคมสมัยวิกตอเรีย" แม้ว่าจะทรงประสบความยุ่งยากในการเดินทางไปประเทศกลุ่มมุสลิม แต่ภายในปีเดียวกัน พระองค์ก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศปากีสถาน เพื่อทรงเยี่ยมศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงลาฮอร์ เพื่อเป็นนัยบ่งบอกว่าการต่อต้านการใช้สารเสพติดคือหนึ่งในพระราชกิจหลักชีวิตส่วนพระองค์หลังการหย่าร้าง ชีวิตส่วนพระองค์หลังการหย่าร้าง. หลังจากทรงหย่าร้าง ไดอานาทรงได้รับอพาร์ตเมนท์หมายเลข 8 และ 9 ทางปีกขวาด้านหลังพระราชวังเคนซิงตัน อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ใช้เป็นที่ประทับอย่างเป็นการตั้งแต่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาลส์เมื่อปี พ.ศ. 2524 และต่อมาไดอานาทรงประทับอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ในพระราชวังเคนซิงตันจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ทรงย้ายกองงานส่วนพระองค์มาที่พระราชวังเคนซิงตันด้วยเช่นกัน แต่ว่าได้พระบรมราชานุญาตให้ใช้สเตทอพาร์ตเมนท์ในพระราชวังเซนต์เจมส์ นอกจากนี้พระองค์จะยังมีอภิสิทธิ์ในการยืมเครื่องประดับและอัญมณีต่อไป ดังเช่นที่เคยทรงได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้ระหว่างดำรงพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ และพระองค์ยังทรงสามารถประทับเครื่องบินพระที่นั่งสำหรับพระราชวงศ์ของรัฐบาลอังกฤษได้ตามปกติ หากว่ามีพระกรณียกิจจำเป็นทั้งในสหราชอาณาจักรและในต่างประเทศ แต่ในหนังสือซึ่งถูกวางจำหน่ายในปี 2546 เขียนโดย พอล เบอร์เรล อดีตมหาดเล็กคนสนิทของไดอานา อ้างว่า ในจดหมายลับส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงได้เปิดเผยว่า น้องชายของพระองค์ ชาลส์ สเปนเซอร์ ปฏิเสธไม่ให้ไดอานาเสด็จกลับไปประทับที่คฤหาสน์อัลธอร์พตามความปรารถนาของพระองค์ ไดอานาคบหากับศัลยแพทย์โรคหัวใจชาวอังกฤษ-ปากีสถาน นายแพทย์ฮัสนัท ข่าน พระสหายหลายคนกล่าวถึงชายผู้นี้ว่า “รักแท้ของไดอานา” และไดอานาเรียกเขาว่า “มิสเตอร์วอนเดอร์ฟูล” เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2539 ไดอานาเสด็จฯ เยือนกรุงลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน ตามคำทูลเชิญจากอิมราน ข่าน ญาติของฮัสนัท ข่าน และได้พบกับครอบครัวของฮัสนัทอย่างลับๆ ข่านเป็นผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างมากและความสัมพันธ์ระหว่างไดอานากับเขาเป็นไปในทางลับ โดยที่ไดอานาทรงโกหกผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนเมื่อทรงถูกถามในเรื่องความสัมพันธ์นี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองกินเวลายาวนานราวๆ 2 ปี และจบลงอย่างคลุมเครือ เนื่องจากไดอานาทรงเคยตรัสพ้อถึงความเสียพระทัยที่เขาบอกเลิกพระองค์ แต่คำให้การของฮัสนัทในระหว่างพิจารณาคดีสิ้นพระชนม์ เขาเล่าว่าไดอานาเป็นผู้ยุติความสัมพันธ์นี้ในฤดูร้อน พ.ศ. 2540 และพอล เบอร์เรล ก็ได้ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า พระองค์เป็นผู้หยุดความรักระหว่างเขากับพระองค์ในเดือนกรกฎาคมปีนั้นเอง หนึ่งเดือนต่อมา ไดอานาทรงได้รู้จักกับโดดี อัลฟาเยด ลูกชายของมหาเศรษฐี โมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการท่องเที่ยวในช่วงลาพักร้อนให้กับพระองค์ในปีนั้น มีพระดำริที่จะนำพระโอรสทั้งสองเสด็จไปพักร้อนที่หมู่บ้านเศรษฐีแฮมป์ตัน บนเกาะลองไอส์แลนด์ รัฐนิวยอร์ก แต่เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยปฏิเสธแผนการของพระองค์ หลังจากทรงตัดสินพระทัยเลื่อนการเสด็จเยือนประเทศไทย พระองค์ทรงตอบตกลงโดดีเพื่อร่วมเดินทางไปพักร้อนกับครอบครัวอัลฟาเยดที่ฝรั่งเศสใต้ ภายใต้การอารักขากำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตระกูลนี้อย่างเข้มงวดจึงทำให้หน่วยราชองครักษ์ยินยอมให้พระองค์ได้เสด็จไปพักร้อนที่ฝรั่งเศส ในเวลานั้นโมฮัมเหม็ดได้ซื้อเรือยอชท์หรูชื่อว่า “โจนิคัล” ยาว 60 เมตร เพื่อเป็นการรับรองไดอานาและพระโอรสการสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์. ในกลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ไดอานาทรงประสบอุบัติเหตุในรถยนต์ที่อุโมงค์ลอดใต้สะพานปองต์เดอลัลมา ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ความรุนแรงทำให้นายโดดี อัลฟาเยด พระสหาย และนายอองรี ปอล ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยของโรงแรมริตช์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที เจ้าหญิงทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส และสิ้นพระชนม์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในเวลาเช้ามืดของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 หลังจากทีมแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ ณ โรงพยาบาลปิเต-ซาลเปตริแยร์ กรุงปารีส พระราชพิธีพระศพของพระองค์มีขึ้นในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และมีผู้รับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีในสหราชอาณาจักรมากถึง 32.1 ล้านคน ซึ่งเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดสดที่มีผู้ชมมากที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามรับชมพระราชพิธีนี้ทั่วทุกมุมโลกกว่าหลายร้อยล้านคนทฤษฎีสมคบคิด การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ และคำพิพากษาคดีสิ้นพระชนม์ ทฤษฎีสมคบคิด การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ และคำพิพากษาคดีสิ้นพระชนม์. การไต่สวนคดีการสิ้นพระชนม์ครั้งแรกโดยเจ้าหน้าที่พิพากษาฝรั่งเศส สรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความประมาทของพลขับ อองรี ปอล ที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมรถยนต์ และบิดาของโดดี นายโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด เจ้ากิจการโรงแรมริทซ์ปารีส และเป็นนายจ้างของนายปอล อ้างว่า อุบัติเหตุนี้เป็นการปลงพระชนม์ไดอานา ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยข่าวกรองเอ็มไอ 6 ของอังกฤษ และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ การสืบสวนคดีสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้การรื้อฟื้นขึ้นมาสืบสวนใหม่อีกครั้งช่วงระหว่าง พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2550–2551 ศาลอังกฤษมีคำพิพากษาในคดีนี้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากความประมาทร้ายแรงของนายอองรี ปอล พนักงานโรงแรมริทซ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งขับรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีช่างภาพปาปารัสซีที่ติดตามถ่ายภาพ ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะลูกขุนยืนตามคำพิพากษาเดิม ตัดสินให้การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เกิดจากการกระทำโดยประมาทของนายอองรี ปอล ไม่กี่วันหลังการตัดสินคดี นายโมฮัมเหม็ด ฟาเยด ประกาศวางมือจากต่อสู้คดีสิ้นพระชนมที่ดำเนินมายาวนานกว่า 10 ปี เพื่อรักษาพระเกียรติของพระโอรสทั้งสองของไดอานาการถวายความอาลัยและพระราชพิธีพระศพ การถวายความอาลัยและพระราชพิธีพระศพ. การสิ้นพระชนม์ของไดอานา เจ้าหญิงผู้ทรงเสน่ห์อย่างกะทันหันและไม่คาดคิดสร้างความโศกเศร้าสะเทือนใจไปทั่วโลก บุคคลสำคัญในหลายประเทศได้ส่งสาส์นแสดงความอาลัยมายังสหราชอาณาจักร ประชาชนทยอยนำช่อดอกไม้ เทียน การ์ดและจดหมายแสดงความอาลัยไปวางไว้หน้าประตูพระราชวังเคนซิงตัน เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานหลายเดือน เมื่อเครื่องบินอัญเชิญพระศพพร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี และพระเชษฐภคินีของไดอานา เดินทางถึงกรุงลอนดอน ในตอนบ่ายวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 และมีการนำพระศพไปเก็บรักษาต่อที่ห้องเก็บศพแห่งหนึ่งภายในกรุงลอนดอน จากนั้นโลงพระศพจึงได้รับการประดิษฐาน ณ โบสถ์หลวงในพระราชวังเซนต์เจมส์ พระราชพิธีพระศพจัดขึ้นภายในวิหารเวสต์มินสเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 และเมื่อเย็นวาน (5 กันยายน พ.ศ. 2540) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัสแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ซึ่งถ่ายทอดสดสัญญาณภาพตรงจากพระราชวังบักกิงแฮม พระโอรสสองพระองค์ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีได้ทรงร่วมเสด็จตามขบวนพระศพพระมารดา พร้อมด้วยเจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระ อดีตพระสสุระ ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา และตัวแทนจากสมาชิกหน่วยงานมูลนิธิและองค์การกุศลที่ไดอานาทรงให้การอุปถัมภ์ เอิร์ลสเปนเซอร์กล่าวถึงพระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับว่า “ไดอานาได้แสดงให้เห็นว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้ตัวเธอ”เอลตัน จอห์น ได้ดัดแปลงเนื้อร้องเพลง Candle in the Wind สำหรับขับร้องประกอบเปียโนเป็นกรณีพิเศษในระหว่างช่วงหนึ่งของงานพระศพ ซึ่งโดยปกติเพลงนี้ถูกนำมาขับร้องสดในที่สาธารณะเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และเพลง Candle in the Wind ถูกจำหน่ายเป็นซิงเกิลใน พ.ศ. 2540 และรายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายซิงเกิลนี้ถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลของไดอานา ในเวลาบ่ายของวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ครอบครัวสเปนเซอร์ประกอบพิธีฝังพระศพภายในพื้นที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งเป็นบ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ โดยพิธีถูกจัดขึ้นอย่างเป็นการส่วนตัว มีเพียงพระญาติและผู้ใกล้ชิดที่ได้รับเชิญเท่านั้นเข้าร่วมพิธีฝังพระศพ ได้แก่ เจ้าชายชาลส์ อดีตพระสวามี, เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสทั้งสองพระองค์ของไดอานา นางฟรานเซส ชานด์-คิดด์ พระมารดา เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล และบารอนเนสเจน เฟลโลวส์ พระเชษฐภคินี ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา พระสหายสนิท และบาทหลวงผู้ทำพิธี ไดอานาทรงชุดเดรสแขนยาวสีดำสนิท ออกแบบและตัดเย็บโดยแคธรีน วอล์กเกอร์ ซึ่งชุดเดรสนี้พระองค์ทรงเลือกไว้ใช้ส่วนพระองค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน พระองค์บรรทมอยู่ในโลงพระศพ พระหัตถ์ทั้งสองกุมสร้อยประคำซึ่งเป็นของขวัญที่ทรงได้รับจากแม่ชีเทเรชาแห่งกัลกัตตา ผู้วายชนม์ในสัปดาห์เดียวกันกับพระองค์ พระศพได้รับการฝังบนเกาะกลางทะเลสาบรูปไข่ (52.283082°N 1.000278°W) ซึ่งตั้งอยู่ทางสวนป่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคฤหาสน์ กำลังพลจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบรักษาพระองค์ ในเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่อัญเชิญโลงพระศพไปยังหลุมพระศพบนเกาะกลางทะเลสาบ ก่อนหน้านี้ มีความคิดที่จะนำพระศพบรรจุภายในสุสานประจำตระกูลสเปนเซอร์ ณ โบสถ์ในเมืองเกรทบริงตัน แต่เมื่อเอิร์ลสเปนเซอร์ พระอนุชา พิจารณาเรื่องความปลอดภัยและผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเดินทางมาเคารพพระศพ ดังนั้นจึงมีการตกลงกันภายในว่าจะฝังพระศพที่คฤหาสน์อัลธอร์พ ซึ่งครอบครัวสามารถดูแลรักษาได้สะดวก อีกทั้งพระโอรส และพระญาติยังสามารถเดินทางมาสุสานพระองค์ได้อย่างเป็นการส่วนตัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์. ภายหลังการสิ้นพระชนม์ กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการจัดการลิขสิทธิ์ภาพ ตราอาร์ม และสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับไดอานา ใน พ.ศ. 2542 เจ้าหน้าที่กองทุน นำโดย เลดี้ซาราห์ พระเชษฐภคินี ได้ฟ้องร้องคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับบริษัทแฟรงคลินมินท์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาไดอานา รวมทั้งจานและเครื่องประดับที่มีรูปพระองค์ปรากฏอยู่บนสินค้า ภายหลังจากที่ทางกองทุนปฏิเสธการให้สิทธิ์ใช้ภาพไดอานาแก่โรงกษาปณ์แห่งนี้ การพิจารณีคดีละเมิดลิขสิทธิ์นี้ถูกนำขึ้นไต่สวนที่ศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่การฟ้องร้องในกรณีที่เกี่ยวกับการนำภาพถ่ายบุคคลซึ่งเจ้าของงานนั้นเสียชีวิตไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ฝ่ายโจทก์สามารถดำเนินคดีแทนผู้เสียชีวิตได้ หากก่อนถึงแก่ความตาย ผู้เสียชีวิตได้พำนักอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลานานต่อเนื่อง 1 ปีขึ้นไป แต่ไดอานาไม่ทรงเข้าเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ประทับอยู่ในรัฐแห่งนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ ฉะนั้นศาลจึงถือว่าการฟ้องร้องคดีครั้งนี้ กองทุนเป็นผู้ดำเนินคดีแทนในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟ้อง และกองทุนฯ แพ้คดีในที่สุด ต่อมาแฟรงคลินมินท์เรียกร้องให้กองทุนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ จ่ายค่าชดเชยทางกฎหมายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 180 ล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2542) จนเป็นเหตุให้กองทุนไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์การกุศลอื่นๆ ได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2546 แฟรงคลินมินท์ตัดสินใจฟ้องกลับกองทุนอนุสรณ์ฯ แต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมความในชั้นศาล โดยกองทุนอนุสรณ์ฯ ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวน 13.5 ล้านปอนด์ (1.01 พันล้านบาท–อิงอัตราแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2547) ให้แก่บริษัทแห่งนี้ และให้กองทุนอนุสรณ์ฯ และแฟรงคลินมินท์สามารถนำเงินส่วนหนึ่งจากค่าชดเชยดังกล่าว ไปบริจาคให้แก่องค์การกุศลหรือนำไปใช้จ่ายเพื่อสาธารณประโยชน์ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นสมควร 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 นิตยสารอิตาลี Chi ตีพิมพ์ภาพถ่ายไดอานาขณะทรงติดอยู่ภายในซากรถเมอร์เซเดสเบนซ์ แม้ว่าจะมีการขอร้องห้ามไม่ให้เผยแพร่ภาพดังกล่าวสู่สาธารณชน ด้านบรรณาธิการนิตยสาร Chi ได้ออกมากล่าวปกป้องการตัดสินของกองบรรณาธิการ โดยอ้างว่า ตีพิมพ์ภาพดังกล่าวเนื่องจากยังไม่เคยได้รับการเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นการหมิ่นพระเกียรติแต่อย่างใด 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี เป็นเจ้าภาพการจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อรำลึกถึงพระมารดา ณ เวมบลีย์สเตเดียม ซึ่งตรงกับคล้ายวันประสูติปีที่ 46 ชันษาของไดอานา พิธีทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งเป็นวาระครบ 10 ปีของการสิ้นพระชนม์ ถูกจัดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ณ โบสถ์การ์ดชาเพล ค่ายเวลลิงตัน กรุงลอนดอน มีสมาชิกพระราชวงศ์และพระประยูรญาติ สมาชิกจากตระกูลสเปนเซอร์ พระสหาย อดีตข้าราชบริพารและที่ปรึกษาในพระองค์ ตัวแทนจากองค์กรการกุศลของพระองค์ นักการเมือง เช่น กอร์ดอน บราวน์ โทนี แบลร์ และจอห์น เมเจอร์ ตลอดทั้งพระสหายจากแวดวงบันเทิง เช่น เดวิด ฟรอสต์ เอลตัน จอห์น และ คลิฟฟ์ ริชาร์ด ภาพถ่ายส่วนพระองค์ระหว่างที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งกำลังนอนหนุนตักชายหนุ่มนิรนามผู้หนึ่ง โดยสันนิษฐานว่าอาจถูกบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2522–2523 และรอยดินสอเขียนไว้บนภาพว่า “ห้ามเผยแพร่” ภาพนี้อยู่ในคลังภาพของหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ และถูกนำออกประมูลที่ประเทศอังกฤษใน พ.ศ. 2556 19 มีนาคม พ.ศ. 2556 ชุดราตรีจำนวน 10 ชุดของไดอานา รวมทั้งชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลที่พระองค์สวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวู้ด จอห์น ทราโวลตา (ต่อมาชุดราตรีนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ทราโวลตาเดรส) ถูกนำออกประมูลได้เงินจำนวน 800,000 ปอนด์ (23.37 ล้านบาท–อัตราแลกเปลี่ยน มีนาคม พ.ศ. 2556) เดือนมกราคม พ.ศ. 2560 จดหมายของไดอานาและสมาชิกพระราชวงศ์วินด์เซอร์ที่ทรงเขียนถึงมหาดเล็กพระราชวังบักกิงแฮม ถูกนำออกจำหน่ายในคอลเลกชัน “จดหมายส่วนตัวของมหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์กับพระบรมศานุวงศ์” จดหมายทั้ง 6 ฉบับของไดอานาส่วนใหญ่มีใจความกล่าวถึงพระจริยวัตรประจำวันของพระโอรสสองพระองค์ และสามารถขายได้เงินจำนวน 15,100 ปอนด์ (521,000 บาท–อัตราแลกเปลี่ยน มกราคม พ.ศ. 2560) นิทรรศการ “Diana: Her Fashion Story” ซึ่งจัดแสดงฉลองพระองค์ชุดราตรีและชุดสูทที่เจ้าหญิงทรงสวมใส่จำนวน 25 ชุด และได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการที่พระราชวังเคนซิงตัน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เพื่อรำลึกการครบรอบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทรงโปรดปรานเป็นผลงานออกแบบและตัดเย็บของแฟชันดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน เช่น แคทเธอรีน วอล์กเกอร์ และวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ โดยนิทรรศการจะมีไปจนถึงปี พ.ศ. 2561 พระอนุชา ชาลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 ได้จัดพิธีรำลึกครบรอบการสิ้นพระชนม์เป็นประจำทุกปีและมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้และภาพถ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับไดอานา ณ คฤหาสน์อัลธอร์พ บ้านประจำตระกูลสเปนเซอร์ นอกจากนี้แล้วยังมีการงานกิจกรรมต่างๆ โดยมูลนิธิรางวัลไดอานาเมโมเรียลอวอร์ด อาทิเช่น การปรับปรุงออกแบบสวนเคนซิงตันการ์เดนส์ให้เป็นนัยสอดคล้องกับพระบุคลิกภาพและพระชนม์ชีพของไดอานามรดกตกทอดภาพลักษณ์ของพระองค์ มรดกตกทอด. ภาพลักษณ์ของพระองค์. ไดอานาทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงมีอิทธิพลต่อราชสำนักและพระราชวงศ์รุ่นหลัง ตั้งแต่การประกาศหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2540 ไดอานาคือบุคคลสำคัญของโลก และถือได้ว่าพระองค์เป็นสตรีที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก พระองค์มีชื่อเสียงจากความเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก สไตล์การแต่งกาย บุคลิกทรงเสน่ห์ของพระองค์ พระราชกิจด้านกาารกุศลระดับโลกของพระองค์ และชีวิตสมรสอันขมขื่นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ อดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเยี่ยมและมุ่งมั่นในการทรงงาน เจ้าชายชาลส์พระสวามีทรงไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า ไดอานานั้นได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างล้นหลาม แต่ความมุมานะของพระองค์อาจกลายเป็นความมุทะลุเมื่อใดก็ตามที่ทรงรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม พอล เบอร์เรล อดีตมหาดเล็กที่เคยถวายงานรับใช้พระองค์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นนักคิดที่สุขุมและลึกซึ้ง ภาพลักษณ์ของไดอานาต่อสาธารณชนคือการเป็นพระมารดาที่ทุ่มเทอุทิศพระองค์ให้แก่พระโอรส และพระบุคลิกภาพของพระโอรสทั้งสองได้รับอิทธิพลมาจากพระบุคลิกภาพและพระจริยวัตรของเจ้าหญิงอย่างไม่ต้องสงสัย ในช่วงปีแรกๆ ของการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงถูกจดจำจากพระบุคลิกภาพที่เขินอายและสนุกสนานร่าเริง พระปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนการแต่งกายโก้หรูของพระองค์ ผู้คนที่ได้มีโอกาสติดต่อปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ต่างให้ความเห็นว่าทรงปฏิบัติพระองค์ตามความต้องการจากพระทัย พระองค์ทรงเข้มแข็งอดทน ซึ่งเห็นได้จากการที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ได้เหมาะสมตามความคาดหวังของพระราชวงศ์ และทรงเอาชนะอุปสรรคและความทุกข์ยากต่างๆ ถาโถมเข้ามาในระหว่างชีวิตสมรส ทั้งที่ๆ ทรงเข้ามาสู่ราชสำนักในขณะที่ยังเป็นเด็กสาวที่มีการศึกษาไม่มาก การเสด็จออกไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ยากไร้ และผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ทำให้ไดอานาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย พระองค์ทรงรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชน และทรงให้สัมภาษณ์ถึงความปรารถนาที่ทรงอยากเป็นที่รักของประชาชน เมื่อ พ.ศ. 2538 ว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจประชาชน” นักชีวประวัติ ทินา บราวน์ ระบุว่า "เพียงแค่พระองค์สบตา ก็ทรงสามารถดึงดูดใจผู้คนที่มาเข้าเฝ้าได้ราวกับว่าต้องมนต์สะกด” ชื่อเสียงของพระองค์แผ่กระจาย ไปทั่วโลกจนนายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถึงกับกล่าวว่า “เจ้าหญิงทรงแสดงถึงความเป็นอังกฤษสมัยใหม่” ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงได้สานความผูกพันระหว่างพระองค์กับประชาชนทั่วโลก และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ทั่วทุกมุมโลกต่างแสดงความอาลัย บางคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้าและร้องไห้คร่ำครวญเมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นผู้ปูทางให้แก่สมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการกุศลที่หลากหลายและเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่มากขึ้น และยังส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหลายอย่างภายในราชสำนัก ยูจีน โรบินสัน เขียนไว้ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ ว่า “ไดอานาทรงผสมผสานบทบาทหน้าที่เจ้าหญิงเข้ากับความมีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น และสำคัญที่สุดคือ ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ” อลิเซีย แคร์รอล แห่งหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เปรียบเทียบพระองค์ว่าเหมือนกับ “สายลมอันสดชื่น” และพระองค์เป็นส่วนช่วยให้ราชวงศ์อังกฤษเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวและมีปัญหามากมายในชีวิตสมรส แต่ความนิยมในตัวพระองค์ก็ยังอยู่ในระดับสูงสุดไม่เคยเสื่อมคลายจากผลการสำรวจต่างๆ ทว่าเจ้าชายชาลส์ พระสวามีกลับมีคะแนนความนิยมตกตำเป็นอย่างมาก โดยคะแนนความนิยมของไดอานาในระหว่างปี พ.ศ. 2524–2555 อยู่ที่ร้อยละ 47 พระองค์ทรงได้รับการเคารพรักราวกับปูชนียบุคคลจากชาวอังกฤษ หลังจากนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ เรียกพระองค์ว่า “เจ้าหญิงของประชาชน” ในระหว่างการแถลงข่าวการสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุอย่างกะทันหันและไม่คาดฝันนำไปสู่ความโศกเศร้าอาลัยอาดูรของประชาชนทั่วเกาะอังกฤษและทั่วโลก และตามมาด้วยวิกฤติการณ์ร้ายแรงภายในประเทศที่สั่นคลอนราชสำนัก แอนดรูว์ มาร์ กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่า พระองค์ทรงนำพา “อารมณ์ความรู้สึก” กลับคืนสู่สังคมอังกฤษอีกครั้ง เอิร์ล สเปนเซอร์ พระอนุชา ได้ขึ้นกล่าวคำอาลัยในพระราชพิธีพระศพ ดังนี้ว่า "ไดอานาเป็นเนื้อแท้ของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ภาระหน้าที่ สไตล์ และความงาม เธอเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ทั่วโลกที่ไม่แก่ตัว เป็นผู้แบกรับระบบอำนาจเด็ดขาด และเป็นหญิงชาวอังกฤษแท้ๆ ที่โดดเด่นเหนือเกินความเป็นชาติ เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ยศฐาบรรดาศักดิ์แต่มีคุณธรรมสูงส่ง และได้แสดงให้เห็นแล้วว่าในปีสุดท้ายของชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ มาสร้างมนต์เสน่ห์แสนพิเศษให้กับตัวเธอ”ปี พ.ศ. 2540 พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงในตำแหน่ง “บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์” และปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทม์คัดเลือกพระองค์ให้อยู่ในรายชื่อ “100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20” ผลการสำรวจใน พ.ศ. 2545 ของสถานีโทรทัศน์บีบีซี ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ได้รับการโหวตให้อยู่อันดับที่ 3 ของชาวสหราชอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ นำหน้าความนิยมสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ ใน พ.ศ. 2548 ไดอานาอยู่ในอันดับที่ 12 ของผลการสำรวจ “100 บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น” ถึงพระองค์จะเป็นบุคคลสาธารณะและสมาชิกพระราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน แต่ตลอดพระชนม์ชีพไดอานาทรงตกเป็นประเด็นให้สื่อรุมวิพากย์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง แพทริก เจฟสัน เลขานุการส่วนพระองค์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รับใช้เจ้าหญิงมานาน 8 ปีเต็ม ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ เดอะเดลีเทเลกราฟ ว่า “ทรงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกนักวิจารณ์จิกสับตลอดพระชนม์ชีพ และแม้ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คำครหาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเบาบางลง” ผู้สังเกตการณ์หลายคนให้ความเห็นว่า ไดอานาทรงปล่อยให้นักข่าวและช่างภาพปาปารัสซีเข้ามาในชีวิตของพระองค์ เพราะทรงรู้ว่าจะใช้สื่อมวลชนเป็นฐานอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร เช่นนั้นจึงทรงออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเกินความจำเป็น และทรงทำลายเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างชีวิตส่วนพระองค์และชีวิตสาธารณะ พระองค์ถูกวิจารณ์จากศาสตราจารย์ปรัชญา แอนโทนี โอเฮียร์ ว่า "พระองค์ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ พฤติกรรมบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิดของพระองค์กำลังบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และทรงงานการกุศลเพียงเพื่อ “ตอบสนองความต้องการส่วนพระองค์” เท่านั้น ภายหลังคำวิจารณ์ของศาสตราจารย์โอเฮียร์ถูกเผยแพร่ออกไป องค์กรการกุศลต่างๆ ที่เจ้าหญิงทรงให้การอุปถัมภ์ได้ออกมาโต้แย้งคำวิจารณ์นี้ว่าน่ารังเกียจและไม่เป็นการมิบังควร กระแสต่อต้านพระองค์ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อมีการกล่าวหาเจ้าหญิงว่า "ทรงใช้สถานะพิเศษทางสังคมเพื่อกอบโกยประโยชน์ส่วนพระองค์ และเกิดผลเสียร้ายแรงต่อภาพลักษณ์กองงานในพระองค์" การทรงงานการกุศลของพระองค์ที่บางครั้งเจ้าหญิงมักทรงสัมผัสร่างกายผู้ป่วยโรคร้ายแรงและเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสมัยนั้น ก่อให้เกิดกระแสตีกลับในทางลบจากสื่อมวลชน แซลลี บีเดล สมิธ บรรยาถึงพระบุคลิกภาพของไดอานาว่า “คาดเดาไม่ได้ เห็นแก่ตัว และหึงหวง”สมิธยังได้โต้แย้งในความปรารถนาของพระองค์ในการทรงงานการกุศลว่า “ได้แรงจูงใจจากความต้องการส่วนพระองค์ มากกว่าความตั้งใจจริงเพื่อเยียวยาปัญหาสังคม”แต่อย่างไรก็ดี ยูจีน โรบินสัน ออกมาแก้ต่างว่า พระองค์จริงจังในพระราชกิจการกุศลนี้" อย่างไรก็ตาม ซาราห์ แบรดฟอร์ด เปิดเผยว่า ไดอานานั้นมีความชิงชังต่อราชวงศ์วินด์เซอร์อยู่ไม่น้อยตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้ใกล้ชิด ทรงให้ความเห็นว่าราชวงศ์ปัจจุบันเสวยราชสมบัติในฐานะ “เจ้าต่างเมือง” และยังทรงเรียกสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นว่า “พวกเยอรมัน” ทั้งนี้แบรดฟอร์ดยังเชื่อว่า ไดอานาทรงตกเป็นเหยื่อของการตัดสินใจที่ผิดพลาดและลงเอยด้วยการที่ทรงสูญเสียอภิสิทธิ์ทางสังคมหลังการให้สัมภาษณ์ในรายการพาโนรามา นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่าพระองค์มีเล่ห์เหลี่ยมและมารยา และอ้างว่าเจ้าหญิงทรงมีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับพระสสุระ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ แต่บ้างก็มีแย้งว่าเนื้อหาในจดหมายที่สองพระองค์ทรงเขียนติดต่อกันไม่ได้ชี้ชัดว่าทรงมีความบาดหมางใจระหว่างกัน แอนน์ แอปเปิลบาม เชื่อว่า ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของไดอานา ไม่ได้ทำให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมติมหาชนแต่อย่างใด แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกรับรองโดยโจนาทาน ฟรีดแลนด์ เขาเคยเขียนในบทความไว้ตอนหนึ่งในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า “ความทรงจำและอิทธิพลของไดอานาแทบจะถูกกลืนหายไปภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังการสิ้นพระชนม์” แต่ ปีเตอร์ คอนราด นักข่าวอีกคนแห่งเดอะการ์เดียน โต้แย้งว่า "แม้จะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้วกว่าหนึ่งทศวรรษ แต่พระองค์ก็ยังไม่เคยเงียบหายไปจากสื่อ” และอัลลัน มาสซี จากหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ ให้คำนิยามว่า ไดอานาคือ “คนดังของคนดัง” และทัศนคติของพระองค์ “จะยังคงกำหนดทิศทางในสังคมต่อไป”ความเป็นผู้นำแฟชัน ความเป็นผู้นำแฟชัน. ไดอานาทรงเป็นผู้นำแฟชันและหญิงสาวมากมายทั่วโลกเลียนแบบสไตล์การแต่งกายของพระองค์ เอียน ฮอลลิงเชด แห่งหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ เคยเขียนว่า “ไดอานาสามารถทำให้เครื่องแต่งกายขายดิบดี เพียงแค่สินค้าชิ้นนั้นปรากฏบนรูปถ่ายพระองค์” ซึ่งคำอ้างดังกล่าวอิงจากปรากฏการณ์รองเท้าบู๊ตยางซึ่งทำยอดขายในอังกฤษพุ่งกระฉูดในคริสต์ทศวรรษ 1980 มาแล้ว เมื่อช่างภาพถ่ายภาพพระองค์ทรงสวมรองเท้าบู๊ตยางรุ่นดังกล่าวไปร่วมล่าสัตว์กับเจ้าชายชาลส์ ณ ปราสาทบัลมอรัล ดีไซเนอร์และผู้ที่มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้พระองค์ ระบุว่า ไดอานาทรงใช้แฟชันและสไตล์การแต่งกายมาเพื่อส่งเสริมงานการกุศลของพระองค์ และแสดงความรู้สึกและสื่อสารผ่านการแต่งกาย นอกจากนี้พระองค์ยังคงเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับสไตลิสต์ บุคคลผู้ชื่อเสียง และหญิงสาวผู้รักแฟชันทั่วโลก รวมทั้งนักร้อง ริอานนา ที่ยอมรับว่าเธอได้อิทธิพลทางแฟชันจากพระองค์ เธอยังบอกว่าชื่นชอบการแต่งกายในลุคต่างๆ ของพระองค์ โดยเฉพาะเสื้อแจ็คเก็ตแบบโอเวอร์ไซส์ของพระองค์ และพระมาลาหลากหลายสไตล์ เจ้าหญิงทรงเลือกสไตล์การแต่งตัวตามแบบอย่างราชสำนักและสไตล์ที่เป็นนิยมในอังกฤษ และทรงสร้างสรรค์แฟชันหลายแบบเพื่อพระองค์เอง ในการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศเพื่อการเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหลายชิ้นของพระองค์ถูกคัดเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศที่จะเสด็จไป และโปรดการสวมแต่งกายอย่างลำลองด้วยเสื้อแจ็คเก็ตทรงหลวมกับกางเกงจัมเปอร์ในเวลาส่วนพระองค์ แอนนา ฮาร์วีย์ อดีตบรรณาธิการนิตยสาร โว้ก และที่ปรึกษาด้านแฟชันของเจ้าหญิง กล่าวว่า "พระองค์ทรงคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าการแต่งกายของพระองค์จะสื่อความหมายได้อย่างไรบ้าง และนี่เป็นสิ่งสำคัญต่อพระองค์อย่างมาก” เดวิน แซสซูน หนึ่งในแฟชันดีไซเนอร์ที่เคยร่วมงานกับพระองค์ เชื่อว่าเจ้าหญิงทรง “ฉีกกฎ” ระเบียบราชสำนักระหว่างทรงทดลองสไตล์ใหม่ๆ ไดอานาทรงเลิกสวมถุงมือตามอย่างพระราชวงศ์ฝ่ายใน เนื่องจากทรงเห็นว่าการสวมถุงมือนั้นเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่พระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย อย่างเช่น โรคเอดส์ ในการเสด็จฯ ไปร่วมงานการกุศล เจ้าหญิงทรงเลือกใช้เครื่องแต่งกายที่มีรูปแบบหรือสีสันที่เข้ากันกับสภาพจิตใจของผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ตัวอย่างเช่น ทรงเลือกเดรสสีสดและเครื่องประดับที่มีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งสำหรับการเสด็จฯ ไปเยี่ยมและสามารถร่วมเล่นกับผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาลได้ ดอนนาเทลลา เวอร์ซาเช แฟชันดีไซเนอร์แห่งเวอร์ซาเช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่วมออกแบบแฟชันกับเจ้าหญิง และจานนี เวอร์ซาเช พี่ชายผู้ล่วงลับของเธอ ระบุว่า ความสนใจด้านแฟชันของพระองค์เริ่มต้นขึ้นหลังที่ทรงแยกกันอยู่กับเจ้าชายชาลส์ และไม่เคยมีใครมีความทุ่มเทเพื่อแฟชันอย่างเช่นพระองค์มาก่อน แคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์คนโปรดของไดอานา และทั้งสองได้ร่วมกันออกแบบและตัดเย็บ “ชุดยูนิฟอร์มของราชสำนัก” เมื่อเจ้าหญิงจะเสด็จฯ ไปต่างประเทศอย่างเป็นทางการ แคเธอรินและสามีจะทำการค้นคว้าข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และยึดกฎเกณฑ์ว่าเครื่องแต่งกายนั้นต้องไม่โดดเด่นเกินพระองค์โดยเด็ดขาด และข้อมูลนี้สอดคล้องกับ ตากิ เธโอโดราโคปูโลส นักเขียน ได้เขียนถึงสไตล์การแต่งกายของไดอานาว่า “ทรงไม่ต้องการให้เสื้อผ้าสวมใส่พระองค์” อีเลรี ลินน์ ภัณฑรักษ์นิทรรศการ Diana: Her Fashion Story ให้ความเห็นว่า พระองค์ทรงไม่ต้องการเป็น “ไม้แขวนเสื้อ” สไตล์เครื่องแต่งกายที่พระองค์และแคเธอรินร่วมกันออกแบบมีความเพรียวระหงและคล่องแคล่ว ซึ่งตัดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ชิ้นผ้าจับจีบกรุยกราย ซึ่งเป็นที่นิยมในคริสตทศวรรษ 1980 แต่ยังคงรักษาความโก้หรูที่ช่วยเสริมรูปร่างของพระองค์และด้วยลุคเช่นนี้เองทำให้พระองค์กลายเป็นที่ตรึงตาตรึงใจไปทั่วโลก ไดอานาเปิดตัวในแวดวงหญิงสาวสังคมชั้นสูงเป็นครั้งแรก โดยการไปร่วมงานบอลล์แห่งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2522 เธอสวมชุดเดรสเกาะอกสีฟ้าจับจีบลูกไม้ตาข่ายจากห้องเสื้อเรกามุส ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องเสื้อยอดนิยมของชนชั้นสูงในอังกฤษ ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่อยู่ในราชสำนัก พระองค์เลือกใช้เครื่องแต่งกายที่ออกแบบและตัดเย็บโดยดีไซเนอร์หลายราย อาทิเช่น แคเธอริน วอล์กเกอร์ วิกเตอร์ เอเดลสไตน์ จานนี เวอร์ซาเช จอร์โจ อาร์มานี คริสตินา สแตมโบเลียน แจสเปอร์ คอนแรน เดวิด และเอลิซาเบธ เอมานูแอล ฮาชิ จอห์น กาลลิอาโน ราล์ฟ ลอเรน คริสติย็อง ลาครัวซ์ บรูซ โอลด์ฟิลด์ ฌัก อาซากูรี เดวิด แซสซูน เมอร์เรย์ อาร์เบด จิมมี ชู นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเครื่องแต่งกายจากบริษัทแฟชันชั้นนำ ได้แก่ เวอร์ซาเช อาร์มานี ชาแนล ดิออร์ และ คลาร์กส์ ในบรรดาฉลองพระองค์ชุดราตรีที่ทรงสวมใส่ มีชุดที่โด่งดังของพระองค์ คือ 1. ชุดราตรีเกาะอกสีดำที่ทรงสวมไปร่วมงานคอนเสิร์ตการกุศลใน พ.ศ. 2524 ขณะยังเป็นพระคู่หมั้น 2. ชุดค็อกเทลของคริสตินา สแตมโบเลียน มีฉายาว่า “เดรสแก้แค้น” ซึ่งทรงสวมใส่ไปร่วมงานการกุศลในวันเดียวกับที่รายการโทรทัศน์แพร่เทปสัมภาษณ์คำสารภาพสัมพันธ์รักเจ้าชายชาลส์และคามิลลา ปาร์เกอร์ โบลส์ 3. ชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินรัตติกาลของวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ ซึ่งพระองค์สวมไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ทำเนียบขาว และได้ร่วมเต้นรำกับนักแสดงฮอลลีวูด จอห์น ทราโวลตา และต่อมาชุดนี้ถูกเรียกว่า "ทราโวลตาเดรส" และ 4. ชุดราตรีเกาะอกปักมุกพร้อมเสื้อแจ็กเก็ตปักมุก หรือเป็นที่รู้จักในนาม “เอลวิสเดรส” โดยแคเธอริน วอล์กเกอร์ ซึ่งพระองค์ทรงสวมใส่เป็นครั้งแรกระหว่างการเสด็จเยือนอาณานิคมฮ่องกง เมื่อ พ.ศ. 2532 ในปีแรกๆ ของคริสต์ทศวรรษ 1980 พระองค์โปรดฉลองพระองค์เสื้อคอปกลายดอกไม้ เสื้อคอจีบ และใช้สร้อยไข่มุกเป็นเครื่องประดับ และทำให้เสื้อผ้าแบบดังกล่าวและไข่มุกกลายเป็นเทรนด์แฟชันของยุคนั้น ภายหลังการประกาศหมั้นของพระองค์ นิตยสารโว้กตีพิมพ์ภาพระฉายาลักษณ์ไดอานาในชุดเสื้อชีฟองสีชมพูอ่อนและคอริบบินผ้าซาติน และเสื้อชีฟองตัวนี้ถูกลอกเลียนแบบและผลิตซ้ำอย่างรวดเร็ว และยังขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน การปรากฏพระองค์ด้วยฉลองพระองค์ไหล่กว้างและเนื้อผ้าหรูหรา ทำให้สื่อมวลชนเรียกพระองค์ว่า “Dynasty Di” ในเวลาต่อมาหลังทรงแยกกันอยู่และหย่าร้าง ไดอานาทรงมีความมั่นใจในด้านแฟชันเพิ่มมากขึ้น และทรงเปลี่ยนสไตล์การแต่งกายของพระองค์ ในการเสด็จฯ ไปประกอบพระกรณียกิจที่เป็นทางการ ทรงเลือกสวมใส่เสื้อเบลเซอร์ ชุดราตรีเปิดไหล่ข้างเดียว ชุดราตรีเกาะอก ชุดสูทสองสี ชุดสูทแบบทหาร และชุดเครื่องแต่งกายสีนู้ด นอกจากนี้ทรงทดลองแฟชันด้วยการแต่งกายหลายแบบ เช่น ทรงสวมเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ เดรสลายสกอต จัมพ์สูท และเดรสเข้ารูป หลังจากที่ทรงแยกกันอยู่และหย่าร้างในเวลาต่อมา ไดอานาทรงได้รับอิทธิพลการแฟชันการแต่งกายจากดารานางแบบผู้มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ซินดี ครอว์ฟอร์ด, มาดอนนา, เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ หลังจากที่สิ้นพระชนม์ ชุดเดรสจำนวนหนึ่งของพระองค์ถูกนำออกประมูลและจำหน่ายให้บรรดาผู้สะสมและพิพิธภัณฑ์มากมาย และเดรสเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากถึงหลักแสนปอนด์เมื่อนำออกประมูล ทรงพระเกศาที่สั้นเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ออกแบบโดย แซม แม็คไนท์ ภายหลังทรงเสร็จสิ้นการถ่ายภาพแฟชันนิตยสารโว้กเมื่อ พ.ศ. 2533 ซึ่งแม็คไนท์และเวอร์ซาเชลงความเห็นว่า พระเกศาสั้นสื่อถึงอิสรภาพของพระองค์ ก่อนเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระกรณียกิจ ไดอานามักจะทรงแต่งพระพักตร์ด้วยพระองค์เองและมีช่างพระเกศามาประจำทุกครั้ง และพระองค์ทรงเคยตรัสกับแม็คไนท์ว่า “สิ่งเหล่านี้ (การแต่งพระพักตร์และแต่งพระเกศา) ไม่ได้ทำเพื่อตัวฉันเลยนะ แซม, ฉันทำเพื่อประชาชนที่ฉันไปหาหรือเพื่อคนที่เดินทางมาหา, พวกเขาไม่ต้องการพบฉันในแบบสบายๆ นอกเวลาทำงานหรอกนะ, เขาต้องการเจ้าหญิง, มาแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงตามที่พวกเขาต้องการเถอะ” พ.ศ. 2532 ไดอานาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้แต่งกายดีที่สุดในโลก พ.ศ. 2547 นิตยสารพีเพิล ยกย่องให้พระองค์เป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดตลอดกาล และ พ.ศ. 2555 นิตยสารไทม์จัดลำดับให้ไดอานาอยู่ในรายชื่อ 100 แฟชันไอคอนตลอดกาลพ.ศ. 2559 ชาร์มาดีน รีด แฟชันดีไซเนอร์ ออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพื่อจำหน่ายบนเว็บไซต์ ASOS.com โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การแต่งกายของไดอานา ชาร์มาดีนแถลงผ่านสื่อว่า “พระองค์ทรงมีความผูกพันอย่างไม่น่าเชื่อกับชุดกีฬาธรรมดาๆ กับเสื้อผ้าแฟชันสุดหรู และนี่จึงเป็นที่มาของคอลเลคชันนี้ และให้ความทันสมัยกว่าที่เคยมีมา” เดือนกุมภาพันธ์ มีการเปิดนิทรรศการแสดงฉลองพระองค์ของไดอานาที่พระราชวังเคนซิงตัน แคเธอริน เบนเน็ต แห่งหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน วิจารณ์ว่า นิทรรศการแสดงเครื่องแต่งกายเช่นนี้เป็นหนึ่งในวิธีการเหมาะสมกับการระลึกถึงบุคคลสาธารณะที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ผ่านมุมมองด้านแฟชันและการแต่งกาย แต่คุณงามความดีที่ไดอานาได้มอบให้แก่สังคมนั้นยังคง “น่ากังขา”อนุสรณ์รำลึก อนุสรณ์รำลึก. เมื่อสำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกประกาศไดอานาสิ้นพระชนม์ ประชาชนหลายเชื้อชาตินำดอกไม้และจุดเทียนเพื่อไว้อาลัยหน้าประตูพระราชวังเคนซิงตันอย่างเนืองแน่น ในเวลาต่อมาได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลายแห่ง ดังนี้- สวนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในในรีเจนท์เซ็นเตอร์การ์เดนส์ เมืองเคอร์คินทิลล็อก ประเทศสกอตแลนด์ - น้ำพุอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในไฮด์พาร์ก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ - สนามเด็กเล่นอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในเคนซิงตันการ์เดนส์ กรุงลอนดอน - เส้นทางเดินอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทางเดินวงแหวนเชื่อมระหว่างเคนซิงตันการ์เดนส์ กรีนพาร์ก ไฮด์พาร์ก และเซนต์เจมส์พาร์ก กรุงลอนดอน - ประติมากรรมรูปปั้นครึ่งพระองค์ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ตั้งอยู่ภายในสวนชลอสโคเบนเซิล กรุงเวียนนา ประติมากรรม "ฟลามม์เดอลาลิเบอร์เต" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหนือถนนลอดอุโมงค์สะพานปองต์เดอลัลมา กรุงปารีส ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่พระองค์ประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นอนุสรณ์อย่างไม่ทางการภายหลังการสิ้นพระชนม์ และนายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดให้มีการแสดงสิ่งของที่ระลึกตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งครอบครัวอัลฟาเยดเป็นเจ้าของกิจการระหว่าง พ.ศ. 2528–2553 ได้แก่ รูปถ่ายของไดอานาและโดดี พร้อมรูปทรงปิรามิดบรรจุแก้วไวน์ที่ใช้ในพระกระยาหารเย็นมื้อสุดท้าย และแหวนหนึ่งวงที่โดดีเพิ่งมอบให้แก่พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ และใน พ.ศ. 2548 ประติมากรรมรูปหล่อทองแดง "อินโนเซนต์วิกทิม" ถูกนำมาจัดตั้งภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นรูปเหมือนไดอานาและโดดีเต้นรำใต้ปีกนกอัลบาทรอส บริษัทฮาร์กเนส ประเทศอังกฤษ ทำการปรับปรุงสายพันธ์กุหลาบ “Hardinkum” ให้ดอกสีขาวนวลทรงกลีบดอก 2 ชั้น มีกลิ่นหอมกลางถึงหอมแรง ในเวลาต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า Rosa ‘Princess of Wales’ เพื่อเป็นการรำลึกพระภารกิจที่ทรงรับอุปถัมภ์สมาคมโรคปอดแห่งสหราชอาณาจักรเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี และดอกกุหลาบขาวนี้เป็นดอกไม้ที่ไดอานาทรงโปรดปรานฤดูร้อน พ.ศ. 2541 กุหลาบสายพันธุ์ Rosa ‘Diana, Princess of Wales’ ถูกนำเข้าไปปลูกครั้งแรก ณ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2541 บริษัทไปรษณีย์อาเซอร์มาร์กาแห่งประเทศอาเซอร์ไบจาน จำหน่ายแผ่นตราไปรษณียากรที่ระลึกไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยมีคำบรรยายภาษาอังกฤษว่า "DIANA, PRINCESS OF WALES The Princess that captured people's hearts (1961–1997)" “ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงผู้ครองหัวใจประชาชน (1961–1997) ” และในปีเดียวกันนั้นหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร โซมาเลีย คองโก และอาร์เมเนีย ได้จัดสร้างดวงไปรษณียากรที่ระลึกเจ้าหญิงแห่งเวลส์เช่นเดียวกัน พระนามต้นของพระองค์ “ไดอานา” ถูกนำมาใช้ในสร้อยพระนามของพระนัดดา เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ เอลิซาเบธ ไดอานา (ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2558) และใช้ในสร้อยพระนามของพระภาติยะ เลดี้ชาร์ลอตต์ ไดอานา (กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2555) ธิดาของชาลส์ สเปนเซอร์ พ.ศ. 2560 เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี ทรงมอบหมายให้สร้างพระรูปปั้นเจ้าหญิงไดอานา พระมารดา เพื่อที่ระลึกในวาระครบ 20 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ และจะนำไปตั้งอยู่ภายในสวนเคนซิงตัน ทั้งสองพระองค์ทรงระบุว่า พระมารดาทรงเข้าถึงชีวิตจิตใจผู้คนมากมาย และทรงหวังว่า พระรูปปั้นนี้จะช่วยย้ำเตือนไปเยี่ยมชมพระราชวังเคนซิงตันให้รำลึกถึงชีวิตและผลงานของพระมารดา โดยจะใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างผ่านการบริจาค และมีคณะกรรมการดำเนินการควบคุมการก่อสร้าง ประกอบด้วยเป็นพระสหายและที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดของเจ้าหญิง รวมทั้งพระเชษฐภคินี เลดี้ซาราห์ แมคคอร์เคอเดล พระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตราอาร์มประจำพระองค์พระอิสริยศพระอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตราอาร์มประจำพระองค์. พระอิสริยศ. - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2518: ดิออนูเรเบิลไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (The Honourable Diana Frances Spencer) - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2518 – 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524: เลดี้ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (The Lady Diana Frances Spencer)- 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Her Royal Highness the Princess of Wales)- เฉพาะในประเทศสกอตแลนด์: 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งรอธเซย์ (Her Royal Highness The Duchess of Rothesay)- เฉพาะเมืองเชสเตอร์: 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539: เคานท์เตสแห่งเชสเตอร์ (The Countess of Chester)- 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 – 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540: ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Diana, Princess of Wales) พระนามและพระอิสริยยศเต็มของพระองค์นับตั้งแต่พระราชพิธีอภิเษกสมรสจนถึงการหย่าร้าง คือ Her Royal Highness The Princess Charles, Princess of Wales and Countess of Chester, Duchess of Cornwall, Duchess of Rothesay, Countess of Carrick, Baroness of Renfrew, Lady of the Isles, Princess and Great Stewardess of Scotland. เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงชาลส์, เจ้าหญิงแห่งเวลส์และเคานท์เตสแห่งเชสเตอร์, ดัชเชสแห่งคอร์นวอล, ดัชเชสแห่งรอธเซย์, เคานท์เตสแห่งคาร์ริก, บารอนเนสแห่งเรนฟรูว์, เลดี้แห่งดิไอลส์, เจ้าหญิงและจอมทัพหญิงแห่งสกอตแลนด์หลังจากทรงหย่าร้างและสิ้นพระชนม์ ประชาชนทั่วไปยังคงนิยมเรียกพระองค์ต่อไปว่า เจ้าหญิงไดอานา ซึ่งเป็นอิสริยศที่พระองค์ไม่ได้รับพระราชทานจากการหย่าร้างและทรงมิได้มีชาติกำเนิดเป็นเจ้าหญิง แต่เป็นเพียงบุตรีของขุนนางชั้นเอิร์ล และได้รับฐานันดรศักดิ์ เลดี้ ฉะนั้นแล้วสื่อมวลชนจึงนิยมเรียกพระองค์อย่างลำลองว่า เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ หรือ เลดี้ได และทรงมีสมญานามที่ไม่เป็นทางการว่า "เจ้าหญิงของประชาชน" ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ อ้างอิงถึงพระองค์เช่นนี้ระหว่างกล่าวคำไว้อาลัยในพิธีพระศพของไดอานาตราอาร์มประจำพระองค์บรรณานุกรม
|
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์เมื่อใด
|
{
"answer": [
"31 สิงหาคม พ.ศ. 2540"
],
"answer_begin_position": [
284
],
"answer_end_position": [
304
]
}
|
2,271 | 6,251 |
ยานลูนาร์โปรสเปกเตอร์ ยานอวกาศลูนาร์โปรสเปกเตอร์ (Lunar Prospector) ถูกส่งขึ้นไปเมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) เพื่อสำรวจดวงจันทร์ เป็นเวลา 1 ปีในการหาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวและภายในดวงจันทร์ ยานโคจรรอบดวงจันทร์ในระดับสูง 100 กม.ในเวลา 2-3 สัปดาห์อุปกรณ์ 1 ใน 5 อย่าง ก็พบหลักฐานสำคัญ ที่แสดงว่า ในหินใกล้บริเวณขั้วของดวงจันทร์มีผลึกน้ำแข็งอยู่ด้วย
|
ยานอวกาศลูนาร์โปรสเปกเตอร์เป็นยานอวกาศที่ถูกส่งขึ้นไปสำรวจดาวอะไร
|
{
"answer": [
"ดวงจันทร์"
],
"answer_begin_position": [
225
],
"answer_end_position": [
234
]
}
|
2,272 | 6,251 |
ยานลูนาร์โปรสเปกเตอร์ ยานอวกาศลูนาร์โปรสเปกเตอร์ (Lunar Prospector) ถูกส่งขึ้นไปเมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) เพื่อสำรวจดวงจันทร์ เป็นเวลา 1 ปีในการหาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวและภายในดวงจันทร์ ยานโคจรรอบดวงจันทร์ในระดับสูง 100 กม.ในเวลา 2-3 สัปดาห์อุปกรณ์ 1 ใน 5 อย่าง ก็พบหลักฐานสำคัญ ที่แสดงว่า ในหินใกล้บริเวณขั้วของดวงจันทร์มีผลึกน้ำแข็งอยู่ด้วย
|
ยานอวกาศลูนาร์โปรสเปกเตอร์พบหลักฐานสำคัญอะไรเกี่ยวกับดวงจันทร์ตอนไปสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2541
|
{
"answer": [
"ในหินใกล้บริเวณขั้วของดวงจันทร์มีผลึกน้ำแข็งอยู่"
],
"answer_begin_position": [
399
],
"answer_end_position": [
447
]
}
|
2,273 | 59,078 |
ผีถ้วยแก้ว ผีถ้วยแก้ว () เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเชื่อว่าเป็นเพราะผีหรือวิญญาณทำนายเรื่องราวในอนาคตได้ ในประเทศแถบตะวันตก ผีถ้วยแก้ว จะเรียกว่า "วีจาบอร์ด" (Ouija board) หรือ "กระดานวิญญาณ" (Spirit board) หรือ "กระดานพูดได้" (Talking board) โดยเป็นของเล่นสำเร็จรูปที่ผลิตและวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 และมีการจดสิทธิบัตรไว้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 ในรูปแบบของเกมกระดาน ใช้เล่นเพื่อความเพลิดเพลิน โดยชาติแรกที่เชื่อว่า ใช้การละเล่นแบบนี้เพื่อติดต่อสื่อสารกับผี น่าจะเป็นชาวจีน โดยมีการค้นคว้าจากนักประวัติศาสตร์พบว่ามีการเล่นมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่ง ราว ค.ศ. 1100 เรียกว่า "ฝูจี" (; พินอิน: fújī) โดยเป็นกิจกรรมที่มีการทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดมีตำราหรือคู่มือบันทึกไว้เลยทีเดียว ก่อนจะมาถูกห้ามในยุคราชวงศ์ชิงก่อนการปฏิวัติซินไฮ่ไม่นาน นอกจากนี้แล้วยังมีการละเล่นคล้ายคลึงกันนี้ในอินเดียโบราณ, กรีกโบราณ, โรมัน และยุโรปยุคกลางอีกด้วย โดยคำว่า "วีจา" (Ouija) ที่ใช้ในความหมายภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า "oui" ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "ใช่" และ "ja" ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า "ใช่" อีกเช่นเดียวกัน รูปแบบของผีถ้วยแก้วจะคล้ายคลึงกัน คือ เป็นกระดานที่มีตัวอักษรต่าง ๆ วรรณยุกต์ รวมถึงตัวเลข และมีตำแหน่งที่ใช้สำหรับพัก ก่อนจะอัญเชิญผีเข้ามาสิง โดยผีถ้วยแก้วของไทย จะใช้ถ้วยหรือแก้วที่ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นแก้วหรือถ้วยทรงใด ขนาดสูงแค่ไหน หรือมีสภาพแบบใด แต่มีข้อห้ามที่เหมือน ๆ กัน คือ ถ้วยนั้นต้องคว่ำ และระหว่างที่เล่นห้ามยกนิ้วออกเพราะจะถือว่าไม่เคารพวิญญาณหรือจะถูกวิญญาณเข้าสิงเป็นต้น บ้างก็เชื่อว่า จำนวนผู้เล่นมีได้สูงสุดสี่คน เป็นต้น ที่คล้ายคลึงกันระหว่างผีถ้วยแก้วของไทยและตะวันตก คือ ก่อนจะเลิกเล่น วิญญาณนั้นจะเคลื่อนไปยังตัวอักษรที่แสดงว่าคำทักทาย เช่น "สวัสดี" หรือ "ลาก่อน" ด้วย นอกจากนี้แล้วในส่วนของไทยยังมีการเล่นที่คล้ายคลึงกัน หากแต่ใช้เหรียญแทนถ้วย เรียกว่า "ผีเหรียญ" โดยเชื่อว่าใช้เหรียญใดก็ได้แต่ห้ามใช้เหรียญบาท ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระมหากษัตริย์ ในทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เหตุที่ถ้วยหรือแก้วเคลื่อนที่ได้เองนั้นเป็นผลมาจากสภาพจิตใจของผู้เล่น คือ จิตใต้สำนึก ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นผู้เล่นนั่นเองที่เป็นผู้เคลื่อนถ้วยหรือแก้วเอง
|
การละเล่นผีถ้วยแก้วถูกจดสิทธิบัตรไว้เมื่อใด
|
{
"answer": [
"10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891"
],
"answer_begin_position": [
460
],
"answer_end_position": [
483
]
}
|
2,274 | 59,078 |
ผีถ้วยแก้ว ผีถ้วยแก้ว () เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเชื่อว่าเป็นเพราะผีหรือวิญญาณทำนายเรื่องราวในอนาคตได้ ในประเทศแถบตะวันตก ผีถ้วยแก้ว จะเรียกว่า "วีจาบอร์ด" (Ouija board) หรือ "กระดานวิญญาณ" (Spirit board) หรือ "กระดานพูดได้" (Talking board) โดยเป็นของเล่นสำเร็จรูปที่ผลิตและวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 และมีการจดสิทธิบัตรไว้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 ในรูปแบบของเกมกระดาน ใช้เล่นเพื่อความเพลิดเพลิน โดยชาติแรกที่เชื่อว่า ใช้การละเล่นแบบนี้เพื่อติดต่อสื่อสารกับผี น่าจะเป็นชาวจีน โดยมีการค้นคว้าจากนักประวัติศาสตร์พบว่ามีการเล่นมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่ง ราว ค.ศ. 1100 เรียกว่า "ฝูจี" (; พินอิน: fújī) โดยเป็นกิจกรรมที่มีการทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดมีตำราหรือคู่มือบันทึกไว้เลยทีเดียว ก่อนจะมาถูกห้ามในยุคราชวงศ์ชิงก่อนการปฏิวัติซินไฮ่ไม่นาน นอกจากนี้แล้วยังมีการละเล่นคล้ายคลึงกันนี้ในอินเดียโบราณ, กรีกโบราณ, โรมัน และยุโรปยุคกลางอีกด้วย โดยคำว่า "วีจา" (Ouija) ที่ใช้ในความหมายภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า "oui" ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "ใช่" และ "ja" ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า "ใช่" อีกเช่นเดียวกัน รูปแบบของผีถ้วยแก้วจะคล้ายคลึงกัน คือ เป็นกระดานที่มีตัวอักษรต่าง ๆ วรรณยุกต์ รวมถึงตัวเลข และมีตำแหน่งที่ใช้สำหรับพัก ก่อนจะอัญเชิญผีเข้ามาสิง โดยผีถ้วยแก้วของไทย จะใช้ถ้วยหรือแก้วที่ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นแก้วหรือถ้วยทรงใด ขนาดสูงแค่ไหน หรือมีสภาพแบบใด แต่มีข้อห้ามที่เหมือน ๆ กัน คือ ถ้วยนั้นต้องคว่ำ และระหว่างที่เล่นห้ามยกนิ้วออกเพราะจะถือว่าไม่เคารพวิญญาณหรือจะถูกวิญญาณเข้าสิงเป็นต้น บ้างก็เชื่อว่า จำนวนผู้เล่นมีได้สูงสุดสี่คน เป็นต้น ที่คล้ายคลึงกันระหว่างผีถ้วยแก้วของไทยและตะวันตก คือ ก่อนจะเลิกเล่น วิญญาณนั้นจะเคลื่อนไปยังตัวอักษรที่แสดงว่าคำทักทาย เช่น "สวัสดี" หรือ "ลาก่อน" ด้วย นอกจากนี้แล้วในส่วนของไทยยังมีการเล่นที่คล้ายคลึงกัน หากแต่ใช้เหรียญแทนถ้วย เรียกว่า "ผีเหรียญ" โดยเชื่อว่าใช้เหรียญใดก็ได้แต่ห้ามใช้เหรียญบาท ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระมหากษัตริย์ ในทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เหตุที่ถ้วยหรือแก้วเคลื่อนที่ได้เองนั้นเป็นผลมาจากสภาพจิตใจของผู้เล่น คือ จิตใต้สำนึก ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นผู้เล่นนั่นเองที่เป็นผู้เคลื่อนถ้วยหรือแก้วเอง
|
การละเล่นของไทยที่มีความคล้ายคลึงกับการเล่นผีถ้วยแก้วคือการละเล่นใด
|
{
"answer": [
"ผีเหรียญ"
],
"answer_begin_position": [
1798
],
"answer_end_position": [
1806
]
}
|
2,275 | 141,501 |
อิโต ฮิโระบุมิ อิโต ฮิโระบุมิ () เป็นนักการเมืองและรัฐบุรุษชาวญี่ปุ่นในยุคเมจิ นอกจากเขาจะมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของญี่ปุ่นแล้ว ยังเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 4 สมัย, ประธานองคมนตรีคนแรก, ประธานสภาขุนนาง, ผู้ตรวจราชการเกาหลี และผู้ว่าราชการจังหวัดเฮียวโงะ (จากการแต่งตั้ง) เป็นผู้ก่อตั้งพรรคริกเก็นเซยูไก (立憲政友会) ซึ่งเป็นรากฐานของพรรคเสรีประชาธิปไตยที่เป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่นในปัจจุบัน และยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐอเมริกาประวัติชีวิตวัยเยาว์-เข้าเป็นทหาร ประวัติ. ชีวิตวัยเยาว์-เข้าเป็นทหาร. อิโต ฮิโระบุมิ มีชื่อเดิมว่าโทะชิสึเกะ เป็นบุตรคนโตของครอบครัวชาวนาในเมืองฮางิ แคว้นโชชู (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยะมะงุจิ) บิดาชื่อว่า จูโซ มารดาชื่อว่าโคะโตะโกะ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนมาก จึงต้องส่งโทะชิสึเกะไปเป็นบุตรบุญธรรมของซามูไรระดับล่างในท้องถิ่น ชื่อว่า อิโต นะโอะเอะมง ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ หลังจากเข้าเรียนในโรงเรียนมัตสึชิตะจุกุ ก็ไปเกี่ยวพันกับขบวนการโค่นล้มระบอบโชกุนในสมัยนั้น ในปี 2405 ขณะที่มีอายุได้ 21 ปี ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหารนะงะอิ อุตะ ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดที่ให้รัฐบาลทหารรวมตัวกับราชสำนักในเกียวโต (และรักษาระบอบโชกุนเอาไว้) นอกจากนี้ยังเข้าร่วมลอบวางเพลิงสถานกงสุลอังกฤษ จนมีชื่อในฐานะผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านต่างชาติ ต่อมาในปี 2406 ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ (คาดว่าแนวคิดต่อต้านต่างชาติคงจะเบาบางลง หลังจากได้เห็นสภาวะของอังกฤษในช่วงนั้น ที่มีกำลังเหนือกว่าญี่ปุ่นมาก) ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวว่าแคว้นของตนกำลังเตรียมทำสงครามกับอังกฤษ ก็รีบกลับประเทศเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ไร้ผล เพราะในที่สุดแคว้นโชชูก็ได้ทำสงครามกับอังกฤษ (แน่นอนว่าอังกฤษที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ) และหลังสงครามทำหน้าที่เป็นล่ามในการเจรจาสงบศึก หลังจากที่กองทัพของแคว้นโชชูทำสงครามกับรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะและเป็นฝ่ายได้เปรียบ รัฐบาลของแคว้นโชชูก็ได้แสดงเจตนาที่จะโค่นล้มรัฐบาลโชกุนอย่างชัดแจ้ง ฮิโระบุมิก็ได้เข้าเป็นทหารในกองทัพของแคว้นในช่วงนั้นด้วย กองทัพที่ว่านี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปเมจิประสบความสำเร็จการปฏิรูปเมจิ-นายกฯ คนแรก การปฏิรูปเมจิ-นายกฯ คนแรก. หลังจากที่ระบอบโชกุนล่มสลายและเกิดระบอบใหม่ที่มีจักรพรรดิเป็นศูนย์กลางแล้ว โทะชิสึเกะ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ฮิโระบุมิ" ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจจากแคว้นโชชู ก็ได้ใช้ความสามารถทางภาษาอังกฤษของตนเองเป็นใบเบิกทางเข้าทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ เช่นหัวหน้าสำนักงานการต่างประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดเฮียวโงะ เจ้ากรมโยธาธิการคนแรก ฯลฯ นับได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลใหม่คนหนึ่ง แต่เนื่องจากมีแนวคิดหัวก้าวหน้าเกินไปในสมัยนั้นและยังไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหลายอย่างของรัฐบาล จึงเกิดเหตุขัดแย้งกับโอกุโบะ โทะชิมิชิ หนึ่งในผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลใหม่ และอิวะกุระ โทะโมะมิ อัครมหาเสนาบดีของรัฐบาลเมจิในสมัยก่อนที่จะตั้งระบบคณะรัฐมนตรี แต่ว่าเนื่องจากฮิโระบุมิสนับสนุนความคิดของโอกุโบะและอิวะกุระในเรื่องเกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลีว่า ไม่ควรจะดำเนินนโยบายแข็งกร้าวในตอนนี้ แต่ควรพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งก่อน จึงได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคนในภายหลัง หลังจากโอกุโบะถูกลอบสังหาร อิโตได้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมมหาดไทยแทนโอกุโบะ และในที่สุดก็ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดหลังจากเสาหลักของการปฏิรูป 3 คน (คือ โอกุโบะ โทะชิมิชิ, ไซโง ทะคะโมะริ และคิโดะ ทะคะโยะชิ) เสียชีวิตหมดแล้ว ต่อมาหลังจากรัฐประหารในปีเมจิที่ 14 (2424) ซึ่งทำให้โอคุมะ ชิเงะโนะบุสูญเสียอำนาจแล้ว อิโตก็เข้ามามีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญ และยังได้เดินทางไปยังยุโรปเพื่อศึกษารัฐธรรมนูญของประเทศพัฒนาแล้วอีกด้วย ต่อมาปี 2428 หลังจากที่เกิดระบบคณะรัฐมนตรี ก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภา (หลังจากนั้นยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 3 ครั้ง รวมเป็น 4 สมัย) ปี 2443 ก่อตั้งพรรคริกเค็นเซยูไก (立憲政友会) และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นคนแรก ก่อนหน้าสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ได้ชูแนวความคิดว่าไม่ควรทำสงครามโดยตรง แต่ควรเจรจากับรัสเซียเพื่อให้ญี่ปุ่นมีสิทธิเหนือเกาหลีและเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่นจะรับรองสิทธิของรัสเซียเหนือแมนจูเรีย อีกทั้งยังต่อต้านแนวคิดที่ให้ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับอังกฤษเพื่อถ่วงดุลกับรัสเซีย หลังสงครามดังกล่าว ได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องต่างๆ หลังสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในคณะเก็นโรผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก-ถูกลอบสังหาร ผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก-ถูกลอบสังหาร. หลังจากที่สนธิสัญญาอึลซา ได้รับการลงนามในปี พ.ศ. 2448 แล้ว จักรวรรดิเกาหลีก็กลายเป็นรัฐในอารักขาของญี่ปุ่น อิโตได้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก ซึ่งนอกจากจะควบคุมนโยบายการต่างประเทศแล้ว ยังมีอำนาจแทรกแซงกิจการภายในของจักรวรรดิเกาหลีได้ เท่ากับว่าจักรวรรดิเกาหลีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นแล้วในทางปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อมีความคิดที่จะรวมเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และล้มระบอบกษัตริย์ของเกาหลี อิโตจึงต่อต้านความคิดนี้อย่างแข็งขันในตอนแรก แต่หลังจากเผชิญหน้ากับขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในเกาหลี ในที่สุดอิโตก็ยอมรับแนวคิดดังกล่าว (แต่มีข้อแม้ว่าต้องยืดเวลาปฏิบัติการต่อไปอีกพอสมควร) แนวคิดของอิโต แม้จะแตกต่างกับแนวคิดของฝ่ายที่ยืนยันว่าต้องรวมเกาหลีในประเด็นปลีกย่อยและวิธีการ แต่แนวคิดพื้นฐานนั้นไม่ต่างกัน จากนโยบายดังกล่าวของอิโต เขาจึงถูกเกลียดชังจากประชาชนเกาหลีเป็นอย่างมาก และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกลอบสังหารในที่สุด อิโตลาออกจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการเกาหลีในปี พ.ศ. 2452 และเตรียมจะกลับไปดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี แต่ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน อิโตได้เดินทางไปยังฮาร์บิน โดยมีวัตถุประสงค์ในการเจรจากับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับปัญหาแมนจูเรียและเกาหลี และถูกนักรณรงค์เพื่อเอกราชเกาหลี ชื่อว่า อัน ชูงกูน ยิงเสียชีวิตที่สถานีฮาร์บิน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม (อันจุงกึนโดนจับกุมทันที ส่วนผู้ร่วมก่อการอีก 3 คนถูกตำรวจรัสเซียจับกุมภายหลัง หลังจากนั้นทั้ง 4 คนได้ถูกพิจารณาคดีในศาลญี่ปุ่น ณ คาบสมุทรเหลียวตงที่ขณะนั้นเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น อันจุงกุงถูกตัดสินประหารชีวิต ผู้ร่วมกระทำความผิดคนหนึ่งถูกตัดสินจำคุก 2 ปี อีกสองคนต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน) กล่าวกันว่า พออิโตได้ทราบก่อนเสียชีวิตว่าผู้ที่ยิงตนนั้นเป็นคนเกาหลี ก็พึมพำว่า "ไอ้คนทำนี่มันช่างโง่จริงๆ ที่มายิงข้า" รัฐพิธีศพของอิโตจัดขึ้น ณ สวนสาธารณะฮิบิยะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
|
นักการเมืองและรัฐบุรุษชาวญี่ปุ่นชื่อ นายอิโต ฮิโระบุมิ เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกี่สมัย
|
{
"answer": [
"4"
],
"answer_begin_position": [
263
],
"answer_end_position": [
264
]
}
|
2,276 | 141,501 |
อิโต ฮิโระบุมิ อิโต ฮิโระบุมิ () เป็นนักการเมืองและรัฐบุรุษชาวญี่ปุ่นในยุคเมจิ นอกจากเขาจะมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของญี่ปุ่นแล้ว ยังเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 4 สมัย, ประธานองคมนตรีคนแรก, ประธานสภาขุนนาง, ผู้ตรวจราชการเกาหลี และผู้ว่าราชการจังหวัดเฮียวโงะ (จากการแต่งตั้ง) เป็นผู้ก่อตั้งพรรคริกเก็นเซยูไก (立憲政友会) ซึ่งเป็นรากฐานของพรรคเสรีประชาธิปไตยที่เป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่นในปัจจุบัน และยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐอเมริกาประวัติชีวิตวัยเยาว์-เข้าเป็นทหาร ประวัติ. ชีวิตวัยเยาว์-เข้าเป็นทหาร. อิโต ฮิโระบุมิ มีชื่อเดิมว่าโทะชิสึเกะ เป็นบุตรคนโตของครอบครัวชาวนาในเมืองฮางิ แคว้นโชชู (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยะมะงุจิ) บิดาชื่อว่า จูโซ มารดาชื่อว่าโคะโตะโกะ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนมาก จึงต้องส่งโทะชิสึเกะไปเป็นบุตรบุญธรรมของซามูไรระดับล่างในท้องถิ่น ชื่อว่า อิโต นะโอะเอะมง ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ หลังจากเข้าเรียนในโรงเรียนมัตสึชิตะจุกุ ก็ไปเกี่ยวพันกับขบวนการโค่นล้มระบอบโชกุนในสมัยนั้น ในปี 2405 ขณะที่มีอายุได้ 21 ปี ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหารนะงะอิ อุตะ ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดที่ให้รัฐบาลทหารรวมตัวกับราชสำนักในเกียวโต (และรักษาระบอบโชกุนเอาไว้) นอกจากนี้ยังเข้าร่วมลอบวางเพลิงสถานกงสุลอังกฤษ จนมีชื่อในฐานะผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านต่างชาติ ต่อมาในปี 2406 ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ (คาดว่าแนวคิดต่อต้านต่างชาติคงจะเบาบางลง หลังจากได้เห็นสภาวะของอังกฤษในช่วงนั้น ที่มีกำลังเหนือกว่าญี่ปุ่นมาก) ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวว่าแคว้นของตนกำลังเตรียมทำสงครามกับอังกฤษ ก็รีบกลับประเทศเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ไร้ผล เพราะในที่สุดแคว้นโชชูก็ได้ทำสงครามกับอังกฤษ (แน่นอนว่าอังกฤษที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ) และหลังสงครามทำหน้าที่เป็นล่ามในการเจรจาสงบศึก หลังจากที่กองทัพของแคว้นโชชูทำสงครามกับรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะและเป็นฝ่ายได้เปรียบ รัฐบาลของแคว้นโชชูก็ได้แสดงเจตนาที่จะโค่นล้มรัฐบาลโชกุนอย่างชัดแจ้ง ฮิโระบุมิก็ได้เข้าเป็นทหารในกองทัพของแคว้นในช่วงนั้นด้วย กองทัพที่ว่านี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปเมจิประสบความสำเร็จการปฏิรูปเมจิ-นายกฯ คนแรก การปฏิรูปเมจิ-นายกฯ คนแรก. หลังจากที่ระบอบโชกุนล่มสลายและเกิดระบอบใหม่ที่มีจักรพรรดิเป็นศูนย์กลางแล้ว โทะชิสึเกะ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ฮิโระบุมิ" ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจจากแคว้นโชชู ก็ได้ใช้ความสามารถทางภาษาอังกฤษของตนเองเป็นใบเบิกทางเข้าทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ เช่นหัวหน้าสำนักงานการต่างประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดเฮียวโงะ เจ้ากรมโยธาธิการคนแรก ฯลฯ นับได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลใหม่คนหนึ่ง แต่เนื่องจากมีแนวคิดหัวก้าวหน้าเกินไปในสมัยนั้นและยังไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหลายอย่างของรัฐบาล จึงเกิดเหตุขัดแย้งกับโอกุโบะ โทะชิมิชิ หนึ่งในผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลใหม่ และอิวะกุระ โทะโมะมิ อัครมหาเสนาบดีของรัฐบาลเมจิในสมัยก่อนที่จะตั้งระบบคณะรัฐมนตรี แต่ว่าเนื่องจากฮิโระบุมิสนับสนุนความคิดของโอกุโบะและอิวะกุระในเรื่องเกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลีว่า ไม่ควรจะดำเนินนโยบายแข็งกร้าวในตอนนี้ แต่ควรพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งก่อน จึงได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคนในภายหลัง หลังจากโอกุโบะถูกลอบสังหาร อิโตได้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมมหาดไทยแทนโอกุโบะ และในที่สุดก็ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดหลังจากเสาหลักของการปฏิรูป 3 คน (คือ โอกุโบะ โทะชิมิชิ, ไซโง ทะคะโมะริ และคิโดะ ทะคะโยะชิ) เสียชีวิตหมดแล้ว ต่อมาหลังจากรัฐประหารในปีเมจิที่ 14 (2424) ซึ่งทำให้โอคุมะ ชิเงะโนะบุสูญเสียอำนาจแล้ว อิโตก็เข้ามามีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญ และยังได้เดินทางไปยังยุโรปเพื่อศึกษารัฐธรรมนูญของประเทศพัฒนาแล้วอีกด้วย ต่อมาปี 2428 หลังจากที่เกิดระบบคณะรัฐมนตรี ก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภา (หลังจากนั้นยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 3 ครั้ง รวมเป็น 4 สมัย) ปี 2443 ก่อตั้งพรรคริกเค็นเซยูไก (立憲政友会) และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นคนแรก ก่อนหน้าสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ได้ชูแนวความคิดว่าไม่ควรทำสงครามโดยตรง แต่ควรเจรจากับรัสเซียเพื่อให้ญี่ปุ่นมีสิทธิเหนือเกาหลีและเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่นจะรับรองสิทธิของรัสเซียเหนือแมนจูเรีย อีกทั้งยังต่อต้านแนวคิดที่ให้ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับอังกฤษเพื่อถ่วงดุลกับรัสเซีย หลังสงครามดังกล่าว ได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องต่างๆ หลังสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในคณะเก็นโรผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก-ถูกลอบสังหาร ผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก-ถูกลอบสังหาร. หลังจากที่สนธิสัญญาอึลซา ได้รับการลงนามในปี พ.ศ. 2448 แล้ว จักรวรรดิเกาหลีก็กลายเป็นรัฐในอารักขาของญี่ปุ่น อิโตได้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการเกาหลีคนแรก ซึ่งนอกจากจะควบคุมนโยบายการต่างประเทศแล้ว ยังมีอำนาจแทรกแซงกิจการภายในของจักรวรรดิเกาหลีได้ เท่ากับว่าจักรวรรดิเกาหลีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นแล้วในทางปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อมีความคิดที่จะรวมเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และล้มระบอบกษัตริย์ของเกาหลี อิโตจึงต่อต้านความคิดนี้อย่างแข็งขันในตอนแรก แต่หลังจากเผชิญหน้ากับขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในเกาหลี ในที่สุดอิโตก็ยอมรับแนวคิดดังกล่าว (แต่มีข้อแม้ว่าต้องยืดเวลาปฏิบัติการต่อไปอีกพอสมควร) แนวคิดของอิโต แม้จะแตกต่างกับแนวคิดของฝ่ายที่ยืนยันว่าต้องรวมเกาหลีในประเด็นปลีกย่อยและวิธีการ แต่แนวคิดพื้นฐานนั้นไม่ต่างกัน จากนโยบายดังกล่าวของอิโต เขาจึงถูกเกลียดชังจากประชาชนเกาหลีเป็นอย่างมาก และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกลอบสังหารในที่สุด อิโตลาออกจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการเกาหลีในปี พ.ศ. 2452 และเตรียมจะกลับไปดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี แต่ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน อิโตได้เดินทางไปยังฮาร์บิน โดยมีวัตถุประสงค์ในการเจรจากับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับปัญหาแมนจูเรียและเกาหลี และถูกนักรณรงค์เพื่อเอกราชเกาหลี ชื่อว่า อัน ชูงกูน ยิงเสียชีวิตที่สถานีฮาร์บิน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม (อันจุงกึนโดนจับกุมทันที ส่วนผู้ร่วมก่อการอีก 3 คนถูกตำรวจรัสเซียจับกุมภายหลัง หลังจากนั้นทั้ง 4 คนได้ถูกพิจารณาคดีในศาลญี่ปุ่น ณ คาบสมุทรเหลียวตงที่ขณะนั้นเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น อันจุงกุงถูกตัดสินประหารชีวิต ผู้ร่วมกระทำความผิดคนหนึ่งถูกตัดสินจำคุก 2 ปี อีกสองคนต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน) กล่าวกันว่า พออิโตได้ทราบก่อนเสียชีวิตว่าผู้ที่ยิงตนนั้นเป็นคนเกาหลี ก็พึมพำว่า "ไอ้คนทำนี่มันช่างโง่จริงๆ ที่มายิงข้า" รัฐพิธีศพของอิโตจัดขึ้น ณ สวนสาธารณะฮิบิยะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
|
ใครเป็นผู้ลอบสังหาร นายอิโต ฮิโระบุมิ นักการเมืองและรัฐบุรุษชาวญี่ปุ่นในปีพ.ศ. 2452
|
{
"answer": [
"อัน ชูงกูน"
],
"answer_begin_position": [
5123
],
"answer_end_position": [
5133
]
}
|
2,277 | 181,874 |
ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย (; ) เป็นนวนิยายของฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1987 ฉบับภาษาไทยแปลโดยนพดล เวชสวัสดิ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำ สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่เนื้อเรื่องย่อ เนื้อเรื่องย่อ. ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย เป็นเรื่องราวของความรัก ไม่ใช่ความรักทั่วไป เรื่องราวของชายหนุ่มที่เรียนรู้และเติบโต เรื่องราวของหญิงสาวผู้สับสน เรื่องราวของชีวิตและความตาย คราใดที่ได้ยินเพลงโปรดของเธอ โทรุ วาตานาเบะ ก็หวนนึกถึงนาโอโกะผู้เป็นรักแรก เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบยี่สิบปีก่อนสมัยยังเป็นนักศึกษาในโตเกียว มิตรภาพแปร่งเพี้ยน ความสัมพันธ์ฉาบฉวย ความปรารถนา การสูญเสีย และความรัก จนถึงจุดที่เขาต้องเลือกระหว่างอดีตกับอนาคต
|
ใครเป็นผู้แปลนวนิยายเรื่องด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ของฮารูกิ มูราคามิ เป็นภาษาไทย
|
{
"answer": [
"นพดล เวชสวัสดิ์"
],
"answer_begin_position": [
263
],
"answer_end_position": [
278
]
}
|
2,278 | 181,874 |
ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย (; ) เป็นนวนิยายของฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1987 ฉบับภาษาไทยแปลโดยนพดล เวชสวัสดิ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำ สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่เนื้อเรื่องย่อ เนื้อเรื่องย่อ. ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย เป็นเรื่องราวของความรัก ไม่ใช่ความรักทั่วไป เรื่องราวของชายหนุ่มที่เรียนรู้และเติบโต เรื่องราวของหญิงสาวผู้สับสน เรื่องราวของชีวิตและความตาย คราใดที่ได้ยินเพลงโปรดของเธอ โทรุ วาตานาเบะ ก็หวนนึกถึงนาโอโกะผู้เป็นรักแรก เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบยี่สิบปีก่อนสมัยยังเป็นนักศึกษาในโตเกียว มิตรภาพแปร่งเพี้ยน ความสัมพันธ์ฉาบฉวย ความปรารถนา การสูญเสีย และความรัก จนถึงจุดที่เขาต้องเลือกระหว่างอดีตกับอนาคต
|
นวนิยายเรื่องด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ของฮารูกิ มูราคามิ ฉบับภาษาไทยถูกตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ใด
|
{
"answer": [
"สำนักพิมพ์มติชน"
],
"answer_begin_position": [
297
],
"answer_end_position": [
312
]
}
|
2,279 | 135,238 |
อิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ อิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ (20 มีนาคม พ.ศ. 2490 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560) วิศวกร และนักธุรกิจสื่อมัลติมีเดีย ในอดีตเคยเป็นนักจัดรายการวิทยุ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทไนท์สปอต เป็นดีเจที่จัดรายการแบบสากลเป็นคนแรกของเมืองไทย และเป็นผู้สร้างวิทยุ 24 ชั่วโมงคลื่นแรก ก่อตั้งค่าย WEA Records Ltd., โซนีมิวสิก (ซีบีเอส) และบีเอ็มจีไทยแลนด์ ในประเทศไทย ต่อมาก่อตั้งบริษัทมีเดีย พลัส ทำงานด้านผลิตรายการวิทยุควบคู่ไปพร้อมกับงานจัดคอนเสิร์ตจากศิลปินต่างประเทศ อิทธิวัฒน์ บุกเบิกวงการเคเบิลทีวี ด้วยการผลิตรายการโทรทัศน์ 24 ชั่วโมงให้กับยูบีซีถึง 5 ช่อง ผลงานชิ้นเอกในยุคนี้ของคุณอิทธิวัฒน์คือการก่อตั้ง แชนแนลวีไทยแลนด์ นอกจากนั้นยังได้ก่อตั้งเอ็มทีวีไทยแลนด์ , วีเอชวัน และ เอฟทีวีไทยแลนด์ประวัติ ประวัติ. อิทธิวัฒน์ ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ระดับปริญญาตรี ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นเซลส์แมนบริษัทน้ำมันเอสโซ่พร้อมการจัดรายการวิทยุของตัวเอง ในชื่อไนท์สปอต เขาเปิดเพลงและพูดระหว่างเพลงคนแรก ไนท์สปอตโปรดักชั่นที่สร้างดีเจรุ่นใหม่เข้ามาในวงการขณะนั้น รุ่นแรก ๆ ก็มี เช่น วาสนา วีระชาติพลี, วิโรจน์ ควันธรรม, วินิจ เลิศรัตนชัย, ธเนศ วรากุลนุเคราะห์, หม่อมราชวงศ์รุจยาภา อาภากร นอกจากเป็นนักธุรกิจยังรับราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยศสุดท้าย คือพันตำรวจเอก เคยอยู่ศูนย์ประมวลข่าวสาร กรมตำรวจ (หน่วยคอมพิวเตอร์) และกองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลงานของ ไนต์สปอตโพรดักชันส์ คือนำเข้าคอนเสิร์ตจากศิลปินเพลงชื่อดังต่างประเทศเป็นเจ้าแรก ๆ ในประเทศไทย เริ่มต้นจาก วงดนตรีแนวโซลและอาร์แอนด์บี จากอเมริกา เดอะสไตลิสติกส์, วงร็อกเชอร์เบ็ต จากออสเตรเลีย, บลอนดี, คลิฟฟ์ ริชาร์ด, อีริก แคลปตัน, ร็อด สจ๊วต, สตีวี วันเดอร์, เบย์ซิตีโรเลอส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเสิร์ต เดวิด โบอี ที่สนามกีฬากองทัพบก ขายบัตรได้มากถึง 35,000 ใบ อิทธิวัฒน์และไนต์สปอตยังขยายธุรกิจเพลง ด้วยการเปิดบริษัท WEA Records Ltd. เป็นตัวแทนของบริษัทแผ่นเสียงเครือ Warner Music Group ในประเทศไทย จัดจำหน่ายแผ่นเสียง ซีดี และเทปคาสเซ็ต ของศิลปินต่างประเทศ อาทิ มาดอนน่า, ร็อด สจ๊วต, ยูทู, ชิคาโก, พรินซ์ เป็นต้น และในปี 2527 ไนท์สปอตโปรดักชัน ก็เปิดธุรกิจค่ายเพลงไทย เริ่มต้นศิลปินเบอร์แรกด้วย ปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุลในชุด ไปทะเล ถือเป็นผลงานชุดแรกของศิลปินไทยที่บันทึกเสียงไกลถึงอเมริกา และผลิตศิลปินอีกหลายศิลปิน อาทิ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ จากอัลบั้ม แดนศิวิไลซ์ ที่ไปบันทึกเสียงถึงประเทศอังกฤษและอัสนี-วสันต์ โชติกุล จากอัลบั้ม บ้าหอบฝาง และนอกจากนั้นไนท์สปอร์ตยังมีรายการเพลงไทย โลกสวยด้วยเพลง จัดรายการโดย วินิจ เลิศรัตนชัย ,ดารณี มณีดิษ, อัจฉรา บุนนาค เป็นต้น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้น อิทธิวัฒน์ ยังเปิดค่ายเพลง โซนีมิวสิก (ซีบีเอส) และบีเอ็มจีไทยแลนด์ ด้วยนโยบายการทำงานที่ต่างกัน ทำให้ คุณอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ ตัดสินใจแยกตัวออกจากไนท์สปอต และก่อตั้งบริษัทมีเดีย พลัส ในปี พ.ศ. 2529 ทำงานด้านผลิตรายการวิทยุควบคู่ไปพร้อมกับงานจัดคอนเสิร์ตจากศิลปินต่างประเทศ คลื่นวิทยุของมีเดีย พลัสในเวลานั้น คือ 88.0, 95.5 และ 105.0 เมกะเฮิร์ทซ์ มีรายการที่โดดเด่นคือ สไมล์ เรดิโอ ทาง เอฟเอ็ม 88.0 เมกะเฮิร์ทซ์ มีนักจัดรายการวิทยุอย่าง วินิจ เลิศรัตนชัย, หัทยา เกษสังข์, สาลินี ปันยารชุน, นิมิตร ลักษมีพงศ์, วิทวัส ศุภเมธากร, สุทธิธรรม สุจริตตานนท์, ธเนศ แสงโชติกุล, มณฑาณี ตันติสุข และ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ คลื่นสไมล์ เรดิโอออกอากาศจากกรุงเทพกระจายผ่านดาวเทียม ไปยังสถานีวิทยุทั่วประเทศ กระทั่งต่อมานับจากช่วงปีตั้งแต่ปี 2535 อิทธิวัฒน์บุกเบิกวงการเคเบิลทีวี ด้วยการผลิตรายการโทรทัศน์ 24 ชั่วโมงให้กับยูบีซีถึง 5 ช่อง ผลงานชิ้นเอกในยุคนี้ของคุณอิทธิวัฒน์คือการก่อตั้ง แชนแนลวีไทยแลนด์ ช่องโทรทัศน์ดนตรี 24 ชั่วโมงช่องแรกของเมืองไทย นอกจากนั้นยังได้ก่อตั้งเอ็มทีวีไทยแลนด์ , วีเอชวัน และ เอฟทีวีไทยแลนด์ อีกด้วย
|
ใครเป็นผู้ก่อตั้งแชนแนลวีไทยแลนด์
|
{
"answer": [
"อิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ"
],
"answer_begin_position": [
116
],
"answer_end_position": [
136
]
}
|
2,280 | 505,139 |
อัน ชางโฮ อัน ชางโฮ (An Chang-ho; 안창호) เป็นนักชาตินิยมสายกลางของเกาหลี และเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการณ์ของเกาหลีเมื่อถูกญี่ปุ่นยึดครอง และเชื่อว่าเขาเป็นผู้แต่งเพลงชาติเกาหลีใต้ประวัติ ประวัติ. ชางโฮเกิดเมื่อ พ.ศ. 2421 ใกล้กับกรุงเปียงยาง เขาเรียนในโรงเรียนมิชชันนารีที่โซลก่อนจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์ เขาไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2445 และกลับมายังเกาหลีใน พ.ศ. 2450 ชางโฮได้พยายามรณรงค์ให้ประชาชนเกิดความรักชาติ จัดตั้งสมาคมประชาชนใหม่ (Sinminhoe) ตั้งโรงเรียนแตซองเพื่อสอนเยาวชนเกี่ยวกับชาตินิยมและวัฒนธรรมเกาหลี เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีใน พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ควบคุมเกาหลีอย่างเข้มงวด และปราบปรามการเดินขบวนเรียกร้องเอกราชรวมทั้งสมาคมประชาชนใหม่ด้วย ชางโฮได้หลบหนีไปสหรัฐและตั้งสมาคมแห่งชาติซึ่งเป็นที่รวมขแงนักชาตินิยมเกาหลีที่นิยมตะวันตก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักชาตินิยมเกาหลีได้ขอความช่วยเหลือจากตะวันตกเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น การต่อต้านเริ่มขึ้นเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2461 โดยนักศึกษาเกาหลีในญี่ปุ่นชุมนุมกันที่กรุงโตเกียวเพื่อเรียกร้องเอกราช และจัดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องเอกราชทั้งในและนอกประเทศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ญี่ปุ่นได้ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2462 รี ซิงมันและอัน ชางโฮซึ่งเป็นผู้นำสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่นได้ประชุมกันที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนและจัดตั้งรัฐบาลเกาหลีชั่วคราวขึ้น โดยอัน ชางโฮได้เป็นรักษาการณ์นายกรัฐมนตรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลช่วคราวนี้ไม่ได้ผลนัก เกิดความขัดแย้งภายในจนต้องสลายตัวไป อัน ชางโฮที่ต้องการปลดปล่อยชาติแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ไปจัดตั้งสมาคมคุงมินโฮที่สหรัฐเมื่อพ.ศ. 2468 ต่อมา ใน พ.ศ. 2471 ชางโฮร่วมมือกับคิม กุจัดตั้งพรรคเอกราชเกาหลี เขาถูกญี่ปุ่นจับได้เมื่อ พ.ศ. 2475 ระหว่างลอบเข้าไปวางระเบิดการเดินขบวนฉลองชัยชนะของญี่ปุ่นที่เซี่ยงไฮ้ จึงถูกตัดสินจำคุกจนเสียชีวิตในคุกเมื่อ พ.ศ. 2481 รวมอายุได้ 59 ปี
|
นักชาตินิยมสายกลางของเกาหลีชื่อว่า อัน ชางโฮ เสียชีวิตเมื่ออายุเท่าไร
|
{
"answer": [
"59"
],
"answer_begin_position": [
1768
],
"answer_end_position": [
1770
]
}
|
2,281 | 505,139 |
อัน ชางโฮ อัน ชางโฮ (An Chang-ho; 안창호) เป็นนักชาตินิยมสายกลางของเกาหลี และเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการณ์ของเกาหลีเมื่อถูกญี่ปุ่นยึดครอง และเชื่อว่าเขาเป็นผู้แต่งเพลงชาติเกาหลีใต้ประวัติ ประวัติ. ชางโฮเกิดเมื่อ พ.ศ. 2421 ใกล้กับกรุงเปียงยาง เขาเรียนในโรงเรียนมิชชันนารีที่โซลก่อนจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์ เขาไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2445 และกลับมายังเกาหลีใน พ.ศ. 2450 ชางโฮได้พยายามรณรงค์ให้ประชาชนเกิดความรักชาติ จัดตั้งสมาคมประชาชนใหม่ (Sinminhoe) ตั้งโรงเรียนแตซองเพื่อสอนเยาวชนเกี่ยวกับชาตินิยมและวัฒนธรรมเกาหลี เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีใน พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ควบคุมเกาหลีอย่างเข้มงวด และปราบปรามการเดินขบวนเรียกร้องเอกราชรวมทั้งสมาคมประชาชนใหม่ด้วย ชางโฮได้หลบหนีไปสหรัฐและตั้งสมาคมแห่งชาติซึ่งเป็นที่รวมขแงนักชาตินิยมเกาหลีที่นิยมตะวันตก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักชาตินิยมเกาหลีได้ขอความช่วยเหลือจากตะวันตกเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น การต่อต้านเริ่มขึ้นเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2461 โดยนักศึกษาเกาหลีในญี่ปุ่นชุมนุมกันที่กรุงโตเกียวเพื่อเรียกร้องเอกราช และจัดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องเอกราชทั้งในและนอกประเทศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ญี่ปุ่นได้ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2462 รี ซิงมันและอัน ชางโฮซึ่งเป็นผู้นำสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่นได้ประชุมกันที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนและจัดตั้งรัฐบาลเกาหลีชั่วคราวขึ้น โดยอัน ชางโฮได้เป็นรักษาการณ์นายกรัฐมนตรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลช่วคราวนี้ไม่ได้ผลนัก เกิดความขัดแย้งภายในจนต้องสลายตัวไป อัน ชางโฮที่ต้องการปลดปล่อยชาติแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ไปจัดตั้งสมาคมคุงมินโฮที่สหรัฐเมื่อพ.ศ. 2468 ต่อมา ใน พ.ศ. 2471 ชางโฮร่วมมือกับคิม กุจัดตั้งพรรคเอกราชเกาหลี เขาถูกญี่ปุ่นจับได้เมื่อ พ.ศ. 2475 ระหว่างลอบเข้าไปวางระเบิดการเดินขบวนฉลองชัยชนะของญี่ปุ่นที่เซี่ยงไฮ้ จึงถูกตัดสินจำคุกจนเสียชีวิตในคุกเมื่อ พ.ศ. 2481 รวมอายุได้ 59 ปี
|
นักชาตินิยมสายกลางของเกาหลีชื่อว่า อัน ชางโฮ เกิดเมื่อปีพ.ศ.ใด
|
{
"answer": [
"2421"
],
"answer_begin_position": [
303
],
"answer_end_position": [
307
]
}
|
2,282 | 494,991 |
พระนาคเสนเถระ พระนาคเสนเถระ (นาคหมายถึงพญานาค และเสนหมายถึงทหาร นาคเสนจึงหมายถึงทหารของพญานาค) บิดามารดาเป็นพราหมณ์ เมื่ออายุได้ 7 ขวบ บิดามารดาจึงให้เรียนไตรเพท อันเป็นวิชาของพราหมณ์ และได้บวชเป็นเณรในพระพุทธศาสนา ต่อมาอุปัชฌาย์เป็นพระเถระอยู่ที่วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร โดยพระโรหณะเป็นผู้อุปัชฌาย์ มีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ. 390 เป็นผู้ตอบคำถามทางพุทธศาสนาที่ได้รับการบันทึกไว้โดย พระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) กษัตริย์ อินโด-กรีก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย (ปัจจุบันคือประเทศปากีสถาน) บทบันทึกการสนทนานี้เรียกว่า มิลินทปัญหามิลินทปัญหา มิลินทปัญหา. เกือบเป็นหลักสากลที่ว่า ข้อความนี้ถูกนำไปขยายความโดยผู้เขียนท่านอื่น ตามแบบ คำถาม และ คำตอบ ที่ได้บันทึกไว้ในต้นฉบับที่เก่ากว่า บันทึกที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันมีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาวมีถ้อยคำที่อาจเชื่อได้ว่าได้รับการเพิ่มเติมโดยนักเขียนรุ่นหลัง ข้อความกล่าวว่า พระนาคเสนเถระ ศึกษาพระไตรปิฏกมาจาก พระกรีก ชื่อ พระธรรมรักขิต และได้พิจารณาด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐานจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้โดยคำแนะนำของ พระธรรมรักขิต ในมิลินทปัญหายังกล่าวถึง พ่อของพระนาคเสนเถระ ซึ่งเป็นพราหมณ์ชื่อโสณุตตระพรามหณ์ พระอาจารย์โรหณะ และ พระอาจารย์อัสสคุตเถระ แห่งวัตถิยะเสนาสน์ มิลิทปัญหานั้นมี 17 วรรค และบทอุปมาอีก 1 วรรค แต่ละวรรคประกอบด้วย 10 ถึง 15 คำถามตำนานของไทย ตำนานของไทย. ระบุไว้ว่า พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 500 โดยพระนาคเสนเถระ วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) และไม่มีประวัติอื่นใดของพระนาคเสนเถระอีกนอกจากในบันทึก มิลินทปัญหากิตติคุณ กิตติคุณ. พระนาคเสนเถระจัดเป็น 1 ใน 18 พระอรหันต์ รูปเคารพของท่านเป็นพระสงฆ์สูงอายุเกาหูด้วยไม้เพื่อเป็นสัญลักษณ์การทำให้บริสุทธิ์ของความรู้สึกของการได้ยิน สาวกของพระพุทธศาสนาควรหลีกเลี่ยงการฟังเรื่องไร้สาระซุบซิบและอื่นๆ เพื่อว่าพวกเขาจะพร้อมเสมอที่จะได้ยินความจริง
|
คำว่านาคเสน ในพระนาคเสนเถระ หมายถึงอะไร
|
{
"answer": [
"ทหารของพญานาค"
],
"answer_begin_position": [
168
],
"answer_end_position": [
181
]
}
|
2,283 | 494,991 |
พระนาคเสนเถระ พระนาคเสนเถระ (นาคหมายถึงพญานาค และเสนหมายถึงทหาร นาคเสนจึงหมายถึงทหารของพญานาค) บิดามารดาเป็นพราหมณ์ เมื่ออายุได้ 7 ขวบ บิดามารดาจึงให้เรียนไตรเพท อันเป็นวิชาของพราหมณ์ และได้บวชเป็นเณรในพระพุทธศาสนา ต่อมาอุปัชฌาย์เป็นพระเถระอยู่ที่วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร โดยพระโรหณะเป็นผู้อุปัชฌาย์ มีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ. 390 เป็นผู้ตอบคำถามทางพุทธศาสนาที่ได้รับการบันทึกไว้โดย พระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) กษัตริย์ อินโด-กรีก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย (ปัจจุบันคือประเทศปากีสถาน) บทบันทึกการสนทนานี้เรียกว่า มิลินทปัญหามิลินทปัญหา มิลินทปัญหา. เกือบเป็นหลักสากลที่ว่า ข้อความนี้ถูกนำไปขยายความโดยผู้เขียนท่านอื่น ตามแบบ คำถาม และ คำตอบ ที่ได้บันทึกไว้ในต้นฉบับที่เก่ากว่า บันทึกที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันมีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาวมีถ้อยคำที่อาจเชื่อได้ว่าได้รับการเพิ่มเติมโดยนักเขียนรุ่นหลัง ข้อความกล่าวว่า พระนาคเสนเถระ ศึกษาพระไตรปิฏกมาจาก พระกรีก ชื่อ พระธรรมรักขิต และได้พิจารณาด้วยวิปัสสนากัมมัฏฐานจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้โดยคำแนะนำของ พระธรรมรักขิต ในมิลินทปัญหายังกล่าวถึง พ่อของพระนาคเสนเถระ ซึ่งเป็นพราหมณ์ชื่อโสณุตตระพรามหณ์ พระอาจารย์โรหณะ และ พระอาจารย์อัสสคุตเถระ แห่งวัตถิยะเสนาสน์ มิลิทปัญหานั้นมี 17 วรรค และบทอุปมาอีก 1 วรรค แต่ละวรรคประกอบด้วย 10 ถึง 15 คำถามตำนานของไทย ตำนานของไทย. ระบุไว้ว่า พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 500 โดยพระนาคเสนเถระ วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) และไม่มีประวัติอื่นใดของพระนาคเสนเถระอีกนอกจากในบันทึก มิลินทปัญหากิตติคุณ กิตติคุณ. พระนาคเสนเถระจัดเป็น 1 ใน 18 พระอรหันต์ รูปเคารพของท่านเป็นพระสงฆ์สูงอายุเกาหูด้วยไม้เพื่อเป็นสัญลักษณ์การทำให้บริสุทธิ์ของความรู้สึกของการได้ยิน สาวกของพระพุทธศาสนาควรหลีกเลี่ยงการฟังเรื่องไร้สาระซุบซิบและอื่นๆ เพื่อว่าพวกเขาจะพร้อมเสมอที่จะได้ยินความจริง
|
ตามตำนานของไทย พระนาคเสนเถระได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใดในปี พ.ศ. 500
|
{
"answer": [
"พระแก้วมรกต"
],
"answer_begin_position": [
1310
],
"answer_end_position": [
1321
]
}
|
2,284 | 10,867 |
เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ หรือ วิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ (; ประสูติ: 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525) เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์และเลดีไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ทรงอยู่อันดับที่สองของลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษและประเทศต่าง ๆ ในเครือจักรภพอังกฤษอีก 16 ประเทศ แม้พระองค์จะประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม ในปี พ.ศ. 2550 เจ้าชายวิลเลียมทรงเข้าร่วมกองพันทหารม้า บลูส์แอนด์รอยัลส์ (Blues and Royals) ของกรมทหารม้ารักษาวังแห่งกองทัพบกอังกฤษ เช่นเดียวกับเจ้าชายแฮร์รีพระอนุชาของพระองค์ และทรงสถานะเป็นทหารยศร้อยตรี (Second Lieutenant) ในกองทัพนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งนามของพระองค์ในกองพันคือร้อยตรีวิลเลียม เวลส์ เจ้าชายวิลเลียมถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ที่เซ็กซี่มากสุดในโลกพระประวัติ พระประวัติ. เจ้าชายวิลเลียมประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 ณ โรงพยาบาลเซนต์มารีส์ เขตแพดดิงตัน ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน พระบิดาของพระองค์คือเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระมารดาคือเลดีไดอานา อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ธิดาคนเล็กของจอห์น สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 8 และฟรานเซส รูธ เบิร์ค-รอช ในฐานะพระราชนัดดาในพระประมุขแห่งอังกฤษและพระโอรสของเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince William of Wales) ทรงมีหมายเลขบัตรประชาชน คือ I00000172 เจ้าชายวิลเลียมรับบัพติศมาจากศาสนาจารย์ ดร.โรเบิร์ต รันซี อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2525 ณ ห้องทรงดนตรี พระราชวังบักกิงแฮม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระองค์พระชนมายุครบ 82 พรรษา โดยมีพระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์คือสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ เซอร์ ลอเรนซ์ ฟอน แดร์ โพสต์ เจ้าหญิงอเล็กซานดรา ดัชเชสแห่งเวสต์มินสเตอร์ ลอร์ดบราเบิร์น และเลดี้ ซูซาน ฮูสซีย์ เจ้าชายวิลเลียมทรงสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 และพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ผ่านทางพระอัยกาฝ่ายพระมารดา เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ จะทรงเป็นประมุขพระองค์แรกนับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 1 เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ พระองค์มีพระนามเรียกเล่นว่า "วอมแบ็ต" (มาร์ซูเปียเลียในออสเตรเลีย) หรือ"วิลส์" (ชื่อย่อของ "วิลเลียม" ในภาษาอังกฤษ) และมีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือเจ้าชายแฮร์รี ซึ่งประสูติตามหลังพระองค์ 2 ปี เจ้าชายวิลเลียมเคยทูลพระมารดา (เจ้าหญิงไดอานา) ว่าพระองค์อยากเป็นตำรวจเมื่อพระองค์โตขึ้น เพื่อที่จะได้ปกป้องพระมารดาของพระองค์ แต่พระอนุชา (เจ้าชายแฮร์รี่) กลับบอกพระองค์ว่า "พี่เป็นมิได้หรอก พี่จะต้องเป็นกษัตริย์" การปรากฏตัวของพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกคือเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 (วันเซนต์เดวิดส์) ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมเมืองคาร์ดิฟฟ์ แคว้นเวลส์ กับพระบิดาและพระมารดา หลังจากที่พระองค์เสด็จถึงแคว้นเวลส์ พระองค์เสด็จต่อไปที่มหาวิหารลันดาฟฟ์ พระองค์ทรงลงพระนามในสมุดบันทึกผู้เดินทาง ซึ่งเป็นที่ปรากฏว่าทรงใช้พระหัตถ์ด้านซ้ายเขียนหนังสือ วันที่ 3 มิถุนายนของปีเดียวกัน เจ้าชายวิลเลียมทรงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลรอยัลเบิร์กเชอร์ หลังจากที่ทรงถูกตีที่พระนลาฏ อย่างไรก็ตามพระองค์มิได้ทรงหมดสติ แต่มีรอยร้าวที่พระเศียรของพระองค์ และทรงเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลเกรตออร์มอนด์สตรีท โดยมีผลให้ทรงมีแผลนั้นตลอดพระชนม์ชีพ วันที่ 16 พฤศจิกายน สำนักพระราชวังอังกฤษได้ประกาศว่าเจ้าชายวิลเลียมจะทรงเข้าพิธีเสกสมรสกับนางสาวเคท มิดเดลตันพระสหายสนิทที่คบหากันมาประมาณ 6 ปี ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554การศึกษาการศึกษา. - ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอีตันในสาขาวิชาภูมิศาสตร์ ชีววิทยาและประวัติศาสตร์ศิลป์ (ผลการทรงศึกษาทั้งหมดด้วยลำดับขั้น A) - พ.ศ. 2544 - ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ ในสกอตแลนด์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 - พ.ศ. 2553 - ฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ซี คิงของหน่วยค้นหาและกู้ภัยของกองทัพอากาศพระกรณียกิจพระชายาและพระโอรสธิดา พระชายาและพระโอรสธิดา. กลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 มีข่าวคราวพระองค์จะทรงหมั้นกับเคต มิดเดิลทัน ทายาทบริษัทจิ๊กซอว์ ก่อนที่จะมีการประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 ว่าพระองค์ได้ทรงหมั้นกับมิดเดลตันแล้ว โดยพระราชพิธีเสกสมรสกับเคต มิดเดิลทันได้มีขึ้นในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 อย่างยิ่งใหญ่อลังการและสมเกียรติ ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ในกรุงลอนดอนพระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - พ.ศ. 2525 – 2554: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince William of Wales) - พ.ศ. 2554 – ปัจจุบัน: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (His Royal Highness The Duke of Cambridge)- ในสก็อตแลนด์: ฮิสรอยัลไฮเนส เอิร์ลแห่งสตราเธิร์น (His Royal Highness The Earl of Strathearn) - ในไอร์แลนด์เหนือ: Baron Carrickfergus พระอิสริยยศเต็ม เจ้าชายวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ ดยุกแห่งเคมบริจด์ เอิร์ลแห่งสตราเธิร์น บารอนแคริกเฟอร์กัส อัศวินกัลยาณมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์การ์เทอร์ อัศวินแห่งราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลและสูงส่งยิ่งทริสเทิล ราชองครักษ์ในสมเด็จพระราชินีนาถ"พระตระกูล
|
พระชายาของเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ มีพระนามว่าอะไร
|
{
"answer": [
"เคต มิดเดิลทัน"
],
"answer_begin_position": [
4104
],
"answer_end_position": [
4118
]
}
|
2,285 | 10,867 |
เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ หรือ วิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ (; ประสูติ: 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525) เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์และเลดีไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ทรงอยู่อันดับที่สองของลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษและประเทศต่าง ๆ ในเครือจักรภพอังกฤษอีก 16 ประเทศ แม้พระองค์จะประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม ในปี พ.ศ. 2550 เจ้าชายวิลเลียมทรงเข้าร่วมกองพันทหารม้า บลูส์แอนด์รอยัลส์ (Blues and Royals) ของกรมทหารม้ารักษาวังแห่งกองทัพบกอังกฤษ เช่นเดียวกับเจ้าชายแฮร์รีพระอนุชาของพระองค์ และทรงสถานะเป็นทหารยศร้อยตรี (Second Lieutenant) ในกองทัพนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งนามของพระองค์ในกองพันคือร้อยตรีวิลเลียม เวลส์ เจ้าชายวิลเลียมถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของราชนิกุลรุ่นเยาว์ที่เซ็กซี่มากสุดในโลกพระประวัติ พระประวัติ. เจ้าชายวิลเลียมประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 ณ โรงพยาบาลเซนต์มารีส์ เขตแพดดิงตัน ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน พระบิดาของพระองค์คือเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ส่วนพระมารดาคือเลดีไดอานา อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ธิดาคนเล็กของจอห์น สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 8 และฟรานเซส รูธ เบิร์ค-รอช ในฐานะพระราชนัดดาในพระประมุขแห่งอังกฤษและพระโอรสของเจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince William of Wales) ทรงมีหมายเลขบัตรประชาชน คือ I00000172 เจ้าชายวิลเลียมรับบัพติศมาจากศาสนาจารย์ ดร.โรเบิร์ต รันซี อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีในขณะนั้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2525 ณ ห้องทรงดนตรี พระราชวังบักกิงแฮม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี พระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระองค์พระชนมายุครบ 82 พรรษา โดยมีพระบิดาและพระมารดาอุปถัมภ์คือสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ เซอร์ ลอเรนซ์ ฟอน แดร์ โพสต์ เจ้าหญิงอเล็กซานดรา ดัชเชสแห่งเวสต์มินสเตอร์ ลอร์ดบราเบิร์น และเลดี้ ซูซาน ฮูสซีย์ เจ้าชายวิลเลียมทรงสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 และพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ผ่านทางพระอัยกาฝ่ายพระมารดา เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ จะทรงเป็นประมุขพระองค์แรกนับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าชาลส์ที่ 1 เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ พระองค์มีพระนามเรียกเล่นว่า "วอมแบ็ต" (มาร์ซูเปียเลียในออสเตรเลีย) หรือ"วิลส์" (ชื่อย่อของ "วิลเลียม" ในภาษาอังกฤษ) และมีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือเจ้าชายแฮร์รี ซึ่งประสูติตามหลังพระองค์ 2 ปี เจ้าชายวิลเลียมเคยทูลพระมารดา (เจ้าหญิงไดอานา) ว่าพระองค์อยากเป็นตำรวจเมื่อพระองค์โตขึ้น เพื่อที่จะได้ปกป้องพระมารดาของพระองค์ แต่พระอนุชา (เจ้าชายแฮร์รี่) กลับบอกพระองค์ว่า "พี่เป็นมิได้หรอก พี่จะต้องเป็นกษัตริย์" การปรากฏตัวของพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกคือเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 (วันเซนต์เดวิดส์) ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมเมืองคาร์ดิฟฟ์ แคว้นเวลส์ กับพระบิดาและพระมารดา หลังจากที่พระองค์เสด็จถึงแคว้นเวลส์ พระองค์เสด็จต่อไปที่มหาวิหารลันดาฟฟ์ พระองค์ทรงลงพระนามในสมุดบันทึกผู้เดินทาง ซึ่งเป็นที่ปรากฏว่าทรงใช้พระหัตถ์ด้านซ้ายเขียนหนังสือ วันที่ 3 มิถุนายนของปีเดียวกัน เจ้าชายวิลเลียมทรงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลรอยัลเบิร์กเชอร์ หลังจากที่ทรงถูกตีที่พระนลาฏ อย่างไรก็ตามพระองค์มิได้ทรงหมดสติ แต่มีรอยร้าวที่พระเศียรของพระองค์ และทรงเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลเกรตออร์มอนด์สตรีท โดยมีผลให้ทรงมีแผลนั้นตลอดพระชนม์ชีพ วันที่ 16 พฤศจิกายน สำนักพระราชวังอังกฤษได้ประกาศว่าเจ้าชายวิลเลียมจะทรงเข้าพิธีเสกสมรสกับนางสาวเคท มิดเดลตันพระสหายสนิทที่คบหากันมาประมาณ 6 ปี ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554การศึกษาการศึกษา. - ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอีตันในสาขาวิชาภูมิศาสตร์ ชีววิทยาและประวัติศาสตร์ศิลป์ (ผลการทรงศึกษาทั้งหมดด้วยลำดับขั้น A) - พ.ศ. 2544 - ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ ในสกอตแลนด์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 - พ.ศ. 2553 - ฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ซี คิงของหน่วยค้นหาและกู้ภัยของกองทัพอากาศพระกรณียกิจพระชายาและพระโอรสธิดา พระชายาและพระโอรสธิดา. กลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 มีข่าวคราวพระองค์จะทรงหมั้นกับเคต มิดเดิลทัน ทายาทบริษัทจิ๊กซอว์ ก่อนที่จะมีการประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 ว่าพระองค์ได้ทรงหมั้นกับมิดเดลตันแล้ว โดยพระราชพิธีเสกสมรสกับเคต มิดเดิลทันได้มีขึ้นในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 อย่างยิ่งใหญ่อลังการและสมเกียรติ ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ในกรุงลอนดอนพระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - พ.ศ. 2525 – 2554: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ (His Royal Highness Prince William of Wales) - พ.ศ. 2554 – ปัจจุบัน: ฮิสรอยัลไฮเนส ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (His Royal Highness The Duke of Cambridge)- ในสก็อตแลนด์: ฮิสรอยัลไฮเนส เอิร์ลแห่งสตราเธิร์น (His Royal Highness The Earl of Strathearn) - ในไอร์แลนด์เหนือ: Baron Carrickfergus พระอิสริยยศเต็ม เจ้าชายวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ ดยุกแห่งเคมบริจด์ เอิร์ลแห่งสตราเธิร์น บารอนแคริกเฟอร์กัส อัศวินกัลยาณมิตรแห่งราชอิสริยาภรณ์การ์เทอร์ อัศวินแห่งราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลและสูงส่งยิ่งทริสเทิล ราชองครักษ์ในสมเด็จพระราชินีนาถ"พระตระกูล
|
เจ้าชายวิลเลียมแห่งประเทศอังกฤษประสูติเมื่อใด
|
{
"answer": [
"21 มิถุนายน พ.ศ. 2525"
],
"answer_begin_position": [
1008
],
"answer_end_position": [
1029
]
}
|
2,286 | 16,400 |
กรด กรด (อังกฤษ: acid, มาจากภาษาละติน acidus/acēre หมายถึง "เปรี้ยว") เป็นสสารซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส โดยทั่วไป กรดสามารถระบุได้ด้วยรสเปรี้ยว,สมบัติทำปฏิกิริยากับโลหะอย่างแคลเซียม และเบสอย่างโซเดียมคาร์บอเนต กรดที่ละลายน้ำมี pH น้อยกว่า 7 โดยที่กรดจะแรงขึ้นตามค่า pH ที่ลดลง และเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นแดง ตัวอย่างทั่วไปของกรด รวมไปถึง กรดน้ำส้ม (น้ำส้มสายชู), กรดซัลฟิวริก (ในแบตเตอรีรถยนต์), และกรดทาร์ทาริก (ในการทำขนม) ดังสามตัวอย่างข้างต้น กรดสามารถเป็นได้ทั้งสารละลาย ของเหลวหรือของแข็ง สำหรับแก๊ส อย่างเช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ ก็เป็นกรดได้เช่นกัน กรดแรงและกรดอ่อนเข้มข้นบางตัวมีฤทธิ์กัดกร่อน แต่มีข้อยกเว้น เช่น คาร์บอรีนและกรดบอริก นิยามกรดโดยทั่วไปมีสามนิยาม ได้แก่ นิยามอาร์เรเนียส นิยามเบรินสเตด-ลาวรี และนิยามลิวอิส นิยามอาร์เรเนียสกล่าววว่า กรดคือ สสารที่เพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน (HO) ในสารละลาย นิยามเบรินสเตด-ลาวรีเป็นการขยายขึ้น คือ กรดเป็นสสารซึ่งสามารถทำหน้าที่ให้โปรตอน กรดส่วนมากที่พบในชีวิตประจำวันเป็นสารละลายในน้ำ หรือสามารถละลายได้ในน้ำ และสองนิยามนี้เกี่ยวเนื่องที่สุด สาเหตุที่ pH ของกรดน้อยกว่า 7 นั้น เป็นเพราะความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนมากกว่า 10 โมลต่อลิตร เนื่องจาก pH นิยามเป็นลอการิทึมลบของความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไออน ดังนั้น กรดจึงมี pH น้อยกว่า 7 ตามนิยามเบรินสเตด-ลาวรี สารประกอบใดซึ่งสามารถให้โปรตอนง่ายสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นกรด ตัวอย่างมีแอลกอฮอล์และเอมีน ซึ่งมีหมู่ O-H หรือ N-H ในทางเคมี นิยามกรดลิวอิสเป็นนิยามที่พบมากที่สุด กรดลิวอิสเป็นตัวรับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ตัวอย่างกรดลิวอิส รวมไปถึงไอออนลบโลหะทั้งหมด และโมเลกุลอิเล็กตรอนน้อย เช่น โบรอนฟลูออไรด์ และอะลูมิเนียมไตรคลอไรด์ ไฮโดรเนียมไอออนเป็นกรดตามทั้งสามนิยามข้างต้น ที่น่าสนใจคือ แม้แอลกอฮอล์และเอมีนสามารถเป็นกรดเบรินเสตด-ลาวรีได้ตามที่อธิบายข้างต้น ทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นเบสลิวอิสได้ เนื่องจากอะตอมออกซิเจนและไนโตรเจนมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวสมบัติของกรดสมบัติของกรด. - กรดมีสมบัติกัดกร่อนโลหะ หินปูน หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย - กรดทุกชนิดนำไฟฟ้าได้ดี - กรดหลายชนิดมีรสเปรี้ยว แต่บางชนิดก็ไม่มีรสเปรี้ยว เช่น กรดคาร์บอนิก (โซดา) - กรดทำปฏิกิริยากับเบส จะสะเทินและได้น้ำกับเกลือการแตกตัวของไอออน การแตกตัวของไอออน. ในสารละลายกรดทุกชนิด จะมีไอออนที่เหมือนกันอยู่ส่วนหนึ่งคือไฮโดรเจนไอออน H เมื่อรวมกับน้ำจะได้เป็นไฮโดรเนียมไอออน HO ตัวอย่างเช่น กรดไฮโดรคลอริก (HCl) ซึ่งเกิดจากสารประกอบไฮโดรเจนคลอไรด์ HCl ละลายในน้ำ โมเลกุลของ HCl และน้ำต่างก็เป็นโมเลกุลมีขั้ว จึงเกิดแรงดึงดูดระหว่างขั้วของ HCl กับน้ำ โดยที่โปรตอน (H) ของ HCl ถูกดึงดูดโดยโมเลกุลของน้ำเกิดเป็นไฮโดรเนียมไอออน H + HO → HO ในบางครั้งเขียนแทน HO ด้วย H โดยเป็นที่เข้าใจว่า H นั้นจะอยู่รวมกับโมเลกุลของน้ำในรูป HO เสมอ ไฮโดรเนียมไอออนในน้ำไม่ได้อยู่เป็นไอออนเดียว แต่จะมีน้ำหลายโมเลกุลมาล้อมรอบด้วย อาจอยู่ในรูปของ HO, HO, HO เป็นต้น ส่วนไอออนลบที่เหลือจากการแตกตัวก็จะมีน้ำมาล้อมรอบเช่นกัน หรืออาจทำปฏิกิริยากับสารอื่นที่ละลายปนอยู่ด้วยกัน ตัวอย่าง สมการเคมีแสดงการแตกตัวของไอออนของกรดในน้ำประเภทของกรด ประเภทของกรด. กรดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ1. กรดอินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากธรรมชาติ เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต เช่น กรดน้ำส้ม (กรดน้ำส้ม) กรดซิตริก (กรดมะนาว) กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) กรดอะมิโน ฯลฯ 2. กรดอนินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากแร่ธาตุ บางครั้งเรียกว่ากรดแร่ เช่น กรดซัลฟิวริก (กรดกำมะถัน) กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) กรดไนตริก (กรดดินประสิว) ฯลฯ หรืออาจแบ่งตามความสามารถในการแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน มี 2 ชนิดคือ กรดแก่และกรดอ่อน1. กรดแก่ กรดกลุ่มนี้มีค่า pK น้อยกว่า 1.74 เช่น กรดไฮโดรคลอริก กรดไนตริก กรดซัลฟิวริก ฯลฯ- กรดแก่ยิ่งยวด เป็นกรดแก่เช่นกัน แต่สามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออนมากกว่ากรดซัลฟิวริกเข้มข้น 100% จึงมีค่า pH น้อยกว่า 0 เช่น กรดฟลูออโรแอนติมอนิก 2. กรดอ่อน กรดกลุ่มนี้มีค่า pK ไม่น้อยกว่า 1.74 แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกลาง เช่น กรดน้ำส้ม กรดคาร์บอนิก กรดไฮโดรซัลฟิวริก ฯลฯการทดสอบกรดการทดสอบกรด. - ใช้กระดาษลิตมัส กรดจะเปลี่ยนกระดาษจากสีน้ำเงินหรือสีม่วง เป็นสีแดงหรือสีส้ม - ใช้เจนเชียนไวโอเลต (หรือเมทิลไวโอเลต) ถ้าเป็นกรดอนินทรีย์ สีของเจนเชียนไวโอเลตจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ส่วนกรดอินทรีย์จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วงทฤษฎีกรด-เบส ทฤษฎีกรด-เบส. คำว่า ‘กรด’ ในภาษาอังกฤษ (acid) มาจากภาษาละตินว่า แอซิดัส (acidus) ซึ่งแปลว่าเปรี้ยว แต่ในวิชาเคมีมีความหมายแตกต่างออกไป โดยมีทฤษฎีกรด-เบส เป็นตัวขยายความ- ทฤษฎีกรด-เบส อาร์เรเนียส (สวันเต อาร์เรเนียส) ระบุว่า กรด เมื่อละลายในน้ำแล้วจะเพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน ส่วนเบสเมื่อละลายน้ำจะเพิ่มความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออนหมายเหตุ : นิยามดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะกรดและเบสที่ละลายได้ในน้ำเท่านั้น - ทฤษฎีกรด-เบส เบรินสเตต-ลาวรี (โยฮันเนส เบรินสเตต และทอมัส ลาวรี) ระบุว่า กรด เป็นตัวให้โปรตอน และเบส เป็นตัวรับโปรตอน ซึ่งกรดและเบสที่สอดคล้องกันจะอยู่ในรูปคู่กรด-เบส หมายเหตุ : นิยามนี้สามารถใช้อธิบายความเป็นกรด-เบสของสาร โดยไม่จำเป็นต้องละลายน้ำก็ได้ - ทฤษฎีกรด-เบส ลิวอิส (กิลเบิร์ต ลิวอิส) ระบุว่า กรดเป็นตัวรับคู่อิเล็กตรอน และเบสเป็นตัวให้คู่อิเล็กตรอน (บางทีอาจเรียกกรดและเบสในทฤษฎีนี้ว่า กรดลิวอิส และเบสลิวอิส) หมายเหตุ : ทฤษฎีนี้สามารถใช้อธิบายสารที่แตกตัวแล้วไม่ได้โปรตอน เช่น ไอร์ออน (III) คลอไรด์
|
สสารชนิดใดที่มีคุณสมบัติกัดกร่อนโลหะ หินปูน หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย
|
{
"answer": [
"กรด"
],
"answer_begin_position": [
1866
],
"answer_end_position": [
1869
]
}
|
2,287 | 16,400 |
กรด กรด (อังกฤษ: acid, มาจากภาษาละติน acidus/acēre หมายถึง "เปรี้ยว") เป็นสสารซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส โดยทั่วไป กรดสามารถระบุได้ด้วยรสเปรี้ยว,สมบัติทำปฏิกิริยากับโลหะอย่างแคลเซียม และเบสอย่างโซเดียมคาร์บอเนต กรดที่ละลายน้ำมี pH น้อยกว่า 7 โดยที่กรดจะแรงขึ้นตามค่า pH ที่ลดลง และเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นแดง ตัวอย่างทั่วไปของกรด รวมไปถึง กรดน้ำส้ม (น้ำส้มสายชู), กรดซัลฟิวริก (ในแบตเตอรีรถยนต์), และกรดทาร์ทาริก (ในการทำขนม) ดังสามตัวอย่างข้างต้น กรดสามารถเป็นได้ทั้งสารละลาย ของเหลวหรือของแข็ง สำหรับแก๊ส อย่างเช่น ไฮโดรเจนคลอไรด์ ก็เป็นกรดได้เช่นกัน กรดแรงและกรดอ่อนเข้มข้นบางตัวมีฤทธิ์กัดกร่อน แต่มีข้อยกเว้น เช่น คาร์บอรีนและกรดบอริก นิยามกรดโดยทั่วไปมีสามนิยาม ได้แก่ นิยามอาร์เรเนียส นิยามเบรินสเตด-ลาวรี และนิยามลิวอิส นิยามอาร์เรเนียสกล่าววว่า กรดคือ สสารที่เพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน (HO) ในสารละลาย นิยามเบรินสเตด-ลาวรีเป็นการขยายขึ้น คือ กรดเป็นสสารซึ่งสามารถทำหน้าที่ให้โปรตอน กรดส่วนมากที่พบในชีวิตประจำวันเป็นสารละลายในน้ำ หรือสามารถละลายได้ในน้ำ และสองนิยามนี้เกี่ยวเนื่องที่สุด สาเหตุที่ pH ของกรดน้อยกว่า 7 นั้น เป็นเพราะความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนมากกว่า 10 โมลต่อลิตร เนื่องจาก pH นิยามเป็นลอการิทึมลบของความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไออน ดังนั้น กรดจึงมี pH น้อยกว่า 7 ตามนิยามเบรินสเตด-ลาวรี สารประกอบใดซึ่งสามารถให้โปรตอนง่ายสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นกรด ตัวอย่างมีแอลกอฮอล์และเอมีน ซึ่งมีหมู่ O-H หรือ N-H ในทางเคมี นิยามกรดลิวอิสเป็นนิยามที่พบมากที่สุด กรดลิวอิสเป็นตัวรับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ตัวอย่างกรดลิวอิส รวมไปถึงไอออนลบโลหะทั้งหมด และโมเลกุลอิเล็กตรอนน้อย เช่น โบรอนฟลูออไรด์ และอะลูมิเนียมไตรคลอไรด์ ไฮโดรเนียมไอออนเป็นกรดตามทั้งสามนิยามข้างต้น ที่น่าสนใจคือ แม้แอลกอฮอล์และเอมีนสามารถเป็นกรดเบรินเสตด-ลาวรีได้ตามที่อธิบายข้างต้น ทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นเบสลิวอิสได้ เนื่องจากอะตอมออกซิเจนและไนโตรเจนมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวสมบัติของกรดสมบัติของกรด. - กรดมีสมบัติกัดกร่อนโลหะ หินปูน หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย - กรดทุกชนิดนำไฟฟ้าได้ดี - กรดหลายชนิดมีรสเปรี้ยว แต่บางชนิดก็ไม่มีรสเปรี้ยว เช่น กรดคาร์บอนิก (โซดา) - กรดทำปฏิกิริยากับเบส จะสะเทินและได้น้ำกับเกลือการแตกตัวของไอออน การแตกตัวของไอออน. ในสารละลายกรดทุกชนิด จะมีไอออนที่เหมือนกันอยู่ส่วนหนึ่งคือไฮโดรเจนไอออน H เมื่อรวมกับน้ำจะได้เป็นไฮโดรเนียมไอออน HO ตัวอย่างเช่น กรดไฮโดรคลอริก (HCl) ซึ่งเกิดจากสารประกอบไฮโดรเจนคลอไรด์ HCl ละลายในน้ำ โมเลกุลของ HCl และน้ำต่างก็เป็นโมเลกุลมีขั้ว จึงเกิดแรงดึงดูดระหว่างขั้วของ HCl กับน้ำ โดยที่โปรตอน (H) ของ HCl ถูกดึงดูดโดยโมเลกุลของน้ำเกิดเป็นไฮโดรเนียมไอออน H + HO → HO ในบางครั้งเขียนแทน HO ด้วย H โดยเป็นที่เข้าใจว่า H นั้นจะอยู่รวมกับโมเลกุลของน้ำในรูป HO เสมอ ไฮโดรเนียมไอออนในน้ำไม่ได้อยู่เป็นไอออนเดียว แต่จะมีน้ำหลายโมเลกุลมาล้อมรอบด้วย อาจอยู่ในรูปของ HO, HO, HO เป็นต้น ส่วนไอออนลบที่เหลือจากการแตกตัวก็จะมีน้ำมาล้อมรอบเช่นกัน หรืออาจทำปฏิกิริยากับสารอื่นที่ละลายปนอยู่ด้วยกัน ตัวอย่าง สมการเคมีแสดงการแตกตัวของไอออนของกรดในน้ำประเภทของกรด ประเภทของกรด. กรดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ1. กรดอินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากธรรมชาติ เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต เช่น กรดน้ำส้ม (กรดน้ำส้ม) กรดซิตริก (กรดมะนาว) กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) กรดอะมิโน ฯลฯ 2. กรดอนินทรีย์ เป็นกรดที่ได้จากแร่ธาตุ บางครั้งเรียกว่ากรดแร่ เช่น กรดซัลฟิวริก (กรดกำมะถัน) กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) กรดไนตริก (กรดดินประสิว) ฯลฯ หรืออาจแบ่งตามความสามารถในการแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน มี 2 ชนิดคือ กรดแก่และกรดอ่อน1. กรดแก่ กรดกลุ่มนี้มีค่า pK น้อยกว่า 1.74 เช่น กรดไฮโดรคลอริก กรดไนตริก กรดซัลฟิวริก ฯลฯ- กรดแก่ยิ่งยวด เป็นกรดแก่เช่นกัน แต่สามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออนมากกว่ากรดซัลฟิวริกเข้มข้น 100% จึงมีค่า pH น้อยกว่า 0 เช่น กรดฟลูออโรแอนติมอนิก 2. กรดอ่อน กรดกลุ่มนี้มีค่า pK ไม่น้อยกว่า 1.74 แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกลาง เช่น กรดน้ำส้ม กรดคาร์บอนิก กรดไฮโดรซัลฟิวริก ฯลฯการทดสอบกรดการทดสอบกรด. - ใช้กระดาษลิตมัส กรดจะเปลี่ยนกระดาษจากสีน้ำเงินหรือสีม่วง เป็นสีแดงหรือสีส้ม - ใช้เจนเชียนไวโอเลต (หรือเมทิลไวโอเลต) ถ้าเป็นกรดอนินทรีย์ สีของเจนเชียนไวโอเลตจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ส่วนกรดอินทรีย์จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วงทฤษฎีกรด-เบส ทฤษฎีกรด-เบส. คำว่า ‘กรด’ ในภาษาอังกฤษ (acid) มาจากภาษาละตินว่า แอซิดัส (acidus) ซึ่งแปลว่าเปรี้ยว แต่ในวิชาเคมีมีความหมายแตกต่างออกไป โดยมีทฤษฎีกรด-เบส เป็นตัวขยายความ- ทฤษฎีกรด-เบส อาร์เรเนียส (สวันเต อาร์เรเนียส) ระบุว่า กรด เมื่อละลายในน้ำแล้วจะเพิ่มความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน ส่วนเบสเมื่อละลายน้ำจะเพิ่มความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์ไอออนหมายเหตุ : นิยามดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะกรดและเบสที่ละลายได้ในน้ำเท่านั้น - ทฤษฎีกรด-เบส เบรินสเตต-ลาวรี (โยฮันเนส เบรินสเตต และทอมัส ลาวรี) ระบุว่า กรด เป็นตัวให้โปรตอน และเบส เป็นตัวรับโปรตอน ซึ่งกรดและเบสที่สอดคล้องกันจะอยู่ในรูปคู่กรด-เบส หมายเหตุ : นิยามนี้สามารถใช้อธิบายความเป็นกรด-เบสของสาร โดยไม่จำเป็นต้องละลายน้ำก็ได้ - ทฤษฎีกรด-เบส ลิวอิส (กิลเบิร์ต ลิวอิส) ระบุว่า กรดเป็นตัวรับคู่อิเล็กตรอน และเบสเป็นตัวให้คู่อิเล็กตรอน (บางทีอาจเรียกกรดและเบสในทฤษฎีนี้ว่า กรดลิวอิส และเบสลิวอิส) หมายเหตุ : ทฤษฎีนี้สามารถใช้อธิบายสารที่แตกตัวแล้วไม่ได้โปรตอน เช่น ไอร์ออน (III) คลอไรด์
|
กรดอนินทรีย์คืออะไร
|
{
"answer": [
"กรดที่ได้จากแร่ธาตุ"
],
"answer_begin_position": [
3071
],
"answer_end_position": [
3090
]
}
|
2,288 | 223,764 |
นันท์ฐนิชา ศิริปรีดาวัชร์ นันท์ฐนิชา ศิริปรีดาวัชร์ หรือชื่อเดิม อินทิรา เกตุวรสุนทร ชื่อเล่น การ์ตูน เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2530 เป็นนักแสดง นางแบบ ชาวไทย-เยอรมัน มีพี่น้อง 2 คน เป็นลูกคนโต การ์ตูนเข้าวงการโดยการเข้าร่วมการประกวด"มิสทีนไทยแลนด์ 2003" โดยคว้ารางวัลมิสแฮร์แคร์(ตำแหน่งพิเศษ สาวผมสวย) จากการประกวดมิสทีนไทยแลนด์ปี 2003 เริ่มเข้าวงการบันเทิงโดยเล่นละครเรื่องแรกคือ รักได้ไหมถ้าหัวใจไม่เพี้ยน ต่อมาก็รับบทเด็กสาวน่าสงสาร จากเรื่องเกิดแต่ตม จากนั้นการ์ตูนเริ่มเล่นบทร้ายเรื่องสายรัก สาละวิน และในที่สุดการ์ตูนก็แจ้งเกิดในบทร้าย ในบทของ"เพียงเพ็ญ" จากเรื่องขิงก็รา ข่าก็แรง ทำให้ทุกคนรู้จักและโด่งดังมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น นอกจากงานละครแล้ว การ์ตูนก็เคยออกอัลบั้มเพลงร่วมกับเพื่อนและรุ่นพี่มิสทีนไทยแลนด์ชื่ออัลบั้มว่า"Missteen Thailand Gang" และก็เคยแสดงมิวสิควิดีโออีกหลายเพลง และมีงานถ่ายแบบ งานโฆษณา อีกหลายชิ้น ปัจจุบันเป็นนักแสดงอิสระการศึกษาการศึกษา. - ศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนสุดใจวิทยา โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ และโรงเรียนเบญจมินทร์ - ปัจจุบันจบการศึกษา ปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ สาขาเอกโฆษณา มหาวิทยาลัยรังสิตผลงานการแสดงผลงานละครโทรทัศน์ผลงานการแสดง. ผลงานละครโทรทัศน์. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7ภาพยนตร์พิธีกรพิธีกร. - รายการ เส้นทางบันเทิง ทางช่อง 7สีผลงานเพลงผลงานเพลง. - อัลบั้มเฉพาะกิจ Missteen Thailand Gangรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - มิสแฮร์แคร์ จากเวทีมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2003 - รางวัลขโมยซีนแห่งปี (นักแสดงสบทบยอดเยี่ยม) จากงาน Siamdara Star Awards 2009 (บท นวลรัตน์ จากละครเมียหลวง)
|
ละครเรื่องแรกของ นันท์ฐนิชา ศิริปรีดาวัชร์ คือเรื่องใด
|
{
"answer": [
"รักได้ไหมถ้าหัวใจไม่เพี้ยน"
],
"answer_begin_position": [
487
],
"answer_end_position": [
513
]
}
|
2,289 | 633,405 |
หวายจากจำ หวายจากจำ เป็นหวายกอเจริญเป็นพุ่ม ออกดอกแล้วตาย เกือบจะไม่มีลำต้น ไม่ปีนป่ายบนต้นไม้อื่น ใบใช้มุงหลังคา เปลือกนอกของก้านใบใช้สานตะกร้า พบทั่วไปในคาบสมุทรมลายู และตอนเหนือของเกาะสุมาตรา
|
ใบของต้นหวายจากจำสามารถนำมาทำอะไรได้
|
{
"answer": [
"มุงหลังคา"
],
"answer_begin_position": [
188
],
"answer_end_position": [
197
]
}
|
2,291 | 550,808 |
บุญชัย บำรุงพงศ์ พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 - 12 กันยายน พ.ศ. 2538) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก ลำดับที่ 20 ระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2518 - 30 กันยายน 2519 เป็นบุตรนายยัง และนางแพ บำรุงพงศ์ สมรสกับคุณหญิงจรัสลักษณ์ บำรุงพงศ์ บุญชัยสำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2477ประวัติรับราชการประวัติรับราชการ. - พ.ศ. 2480 นักเรียนทำการนายร้อย ตำแหน่งผู้บังคับหมวดประจำกองพันทหารม้าที่ 4 จังหวัดจันทบุรี - พ.ศ. 2484 สำรองราชการกองบังคับการแผนกทหารม้า นายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนนายทหารม้า - พ.ศ. 2486 ประจำแผนกทหารม้า สำรองราชการกองบังคับการกรมเสนาธิการทหารบก - พ.ศ. 2487 ประจำกรมทหารม้าที่ 45 ในกองพลทหารม้า - พ.ศ. 2489 นายทหารฝึกหัดราชการ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก - พ.ศ. 2491 นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2493 รองเสนาธิการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2494 รักษาราชการเสนาธิการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2495 เสนาธิการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2497 รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ ๑ - พ.ศ. 2499 เสนาธิการภาคทหารบกที่ ๑ - พ.ศ. 2500 เสนาธิการกองทัพภาคที่ ๑ - พ.ศ. 2503 เสนาธิการกรมยุทธศึกษาทหารบก - พ.ศ. 2503 ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสระบุรี - พ.ศ. 2506 ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า - พ.ศ. 2507 เจ้ากรมการรักษาดินแดน - พ.ศ. 2508 ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ - พ.ศ. 2510 รองเสนาธิการทหารบก - พ.ศ. 2516 เสนาธิการทหารบก - พ.ศ. 2517 รองผู้บัญชาการทหารบก - พ.ศ. 2518 ผู้บัญชาการทหารบกราชการพิเศษ หรือตำแหน่งพิเศษราชการพิเศษ หรือตำแหน่งพิเศษ. - พ.ศ. 2483 ราชการสนามในคราวสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส - พ.ศ. 2487 ราชการสนามในคราวสงครามมหาเอเชียบูรพา - พ.ศ. 2494 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ - พ.ศ. 2499 ราชองครักษ์เวร - พ.ศ. 2509 นายทหารพิเศษ ประจำกองพันทหารม้าที่ ๑ กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2511 สมาชิกวุฒิสภา - พ.ศ. 2516 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2518 นายทหารพิเศษ ประจำกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2518 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ - พ.ศ. 2518 นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ - พ.ศ. 2519 รองนายกรัฐมนตรี - พ.ศ. 2520 รองนายกรัฐมนตรีผลงานที่สำคัญผลงานที่สำคัญ. - ร่วมปฏิบัติการภาคสนามในสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยเข้าประจำกรมทหารม้า ที่ 45 ในกองพลทหารม้า ได้เคลื่อนกำลังเข้าตีข้าศึกไปจนถึงแคว้นยูนนาน - จัดโครงการช่วยเหลือประชาชน เพื่อแยกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ออกจากประชาชนทั้งในยามปกติ และยามฉุกเฉิน โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการใช้มาตรการทางทหารภายใต้สถานการณ์การปฏิบัติการก่อการร้ายของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในขณะนั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญที่ได้รับพระราชทาน. - เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามอินโดจีน - เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามมหาเอเชียบูรพา - เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 - เหรียญราชการชายแดน - เหรียญจักรมาลา - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 4 (อ.ป.ร.4) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 (ภ.ป.ร.3)
|
ใครคือผู้บัญชาการทหารบกไทย ลำดับที่ 20
|
{
"answer": [
"พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์"
],
"answer_begin_position": [
108
],
"answer_end_position": [
130
]
}
|
2,292 | 4,457 |
พฤกษศาสตร์ พฤกษศาสตร์ () หรือ ชีววิทยาของพืช () หรือ วิทยาการพืช,พืชศาสตร์ () เป็นสาขาวิชาหนึ่งของชีววิทยา ที่ศึกษาเกี่ยวกับพืชและการเจริญเติบโต พฤกษศาสตร์มีขอบเขตการศึกษาที่กว้างขวางครอบคลุมตั้งแต่พืช สาหร่าย และเห็ดรา ศึกษาทั้งในด้านโครงสร้าง การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ เมแทบอลิซึม โรค และคุณสมบัติทางเคมีและความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการระหว่างกลุ่มต่าง ๆ การศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์เริ่มต้นจากความรู้ที่สืบต่อกันมา จากการจำแนกพืชที่กินได้ พืชสมุนไพรและพืชมีพิษ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่สาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ จากความสนใจในเรื่องพืชของบรรพบุรษทำให้ปัจจุบันจำแนกสิ่งมีชีวิตในด้านพฤกษศาสตร์มากกว่า 550,000 ชนิดหรือสปีชีส์ขอบเขตและความสำคัญของพฤกษศาสตร์ ขอบเขตและความสำคัญของพฤกษศาสตร์. ดังเช่นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พืชก็สามารถศึกษาได้จากหลายแง่มุม ทั้งในด้านโมเลกุล พันธุศาสตร์ หรือชีวเคมี และศึกษาได้ตั้งแต่ระดับออร์แกเนลล์ เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ต้นพืช ประชากร ไปจนถึงระดับชุมชนหรือสังคมของพืช ในแต่ละระดับเหล่านี้ นักพฤกษศาสตร์อาจสนใจศึกษาได้ทั้งในด้านการจัดหมวดหมู่ (อนุกรมวิธาน) ด้านโครงสร้าง (กายวิภาคศาสตร์) หรือด้านหน้าที่ (สรีรวิทยา) ของส่วนต่าง ๆ ของพืช ในอดีตนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจำแนกให้อยู่ในกลุ่มพืชหรือกลุ่มสัตว์ พฤกษศาสตร์จึงครอบคลุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ไม่ได้ถูกพิจารณาให้อยู่ในกลุ่มสัตว์ สิ่งมีชีวิตบางจำพวกซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในสาขาพฤกษศาสตร์ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในอาณาจักรพืชมานานแล้วได้แก่ เห็ดรา (วิทยาเห็ดรา) แบคทีเรีย (วิทยาแบคทีเรีย) ไวรัส (วิทยาไวรัส) และสาหร่ายเซลล์เดียว ซึ่งกลุ่มสาหร่ายเซลล์เดียวถูกจัดส่วนหนึ่งของโพรทิสตาในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักพฤกษศาสตร์ยังคงให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เห็ดรา ไลเคน แบคทีเรีย และโพรทิสที่มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงยังถูกจัดให้อยู่ในวิชาพฤกษศาสตร์เบื้องต้น การศึกษาพืชมีความสำคัญมากเพราะพืชเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรก ๆ บนโลก พืชสร้างแก็สออกซิเจน อาหาร เชื้อเพลิง และยา ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่ารวมทั้งมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ พืชยังดูดกลืนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งเป็นแก๊สที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์เรือนกระจก ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพืชมีความสำคัญต่ออนาคตของสังคมมนุษย์ดังต่อไปนี้- การผลิตอาหารให้แก่ประชากรมนุษย์ที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น - ความเข้าใจในกระบวนการพื้นฐานของชีวิต - การผลิตยาและวัสดุต่าง ๆ เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บและโรคด้านอื่น ๆ - ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมการผลิตอาหารให้แก่โลก การผลิตอาหารให้แก่โลก. ความจริงแล้วอาหารทุกอย่างที่เรารับประทานล้วนมาจากพืช ทั้งโดยตรงจากอาหารหลักจำพวกแป้ง ข้าว รวมทั้งผักและผลไม้ หรือโดยอ้อมผ่านทางปศุสัตว์ซึ่งกินพืชเป็นอาหาร ความหมายอีกนัยหนึ่งคือ พืชเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหารเกือบทุกห่วงโซ่ หรือที่นักนิเวศวิทยาเรียกว่า ลำดับขั้นแรกของอาหาร ความเข้าใจในการผลิตอาหารของพืชมีความสำคัญต่อการผลิตอาหารให้แก่คนทั่วโลก และเก็บรักษาอาหารไว้สำหรับอนาคต แต่พืชไม่ได้มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทุกชนิด วัชพืชบางชนิดสร้างปัญหาในการเกษตรกรรม และนักพฤกษศาสตร์ก็พยายามศึกษาเพื่อหาวิธีลดผลกระทบให้น้อยที่สุดความเข้าใจในกระบวนการพื้นฐานของชีวิต ความเข้าใจในกระบวนการพื้นฐานของชีวิต. พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมและสะดวกต่อการศึกษากระบวนการพื้นฐานต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต (ตัวอย่างเช่น การแบ่งเซลล์ และการสังเคราะห์โปรตีน) โดยไม่มีปัญหาทางจริยธรรมจากการศึกษาในสัตว์หรือมนุษย์ กฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของเกรเกอร์ โยฮัน เมนเดล ก็ถูกค้นพบโดยการศึกษาด้วยวิธีนี้ โดยศึกษาจากการถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาการผลิตยาและวัสดุต่าง ๆ การผลิตยาและวัสดุต่าง ๆ. ยารักษาโรคและสารที่มีผลต่อประสาทอย่างเช่น กัญชา คาเฟอีน และนิโคติน ส่วนใหญ่แล้วได้มาจากพืชโดยตรง ตัวอย่างเช่น ยาแอสไพริน ซึ่งสกัดจากสารจากเปลือกของต้นหลิว อาจมีวิธีรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยใช้พืชอีกหลายวิธีที่ยังรอการค้นพบอยู่ เครื่องดื่มที่นิยมอย่างกาแฟ ช็อคโกแลต และชา ก็มาจากพืชเช่นกัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ก็ได้จากการหมักพืชอย่างเช่นข้าวบาร์เลย์ มอลต์ และองุ่น นอกจากนี้ พืชยังเป็นแหล่งของวัสดุธรรมชาติมากมาย เช่น ฝ้าย ไม้ กระดาษ ลินิน น้ำมันพืช และยาง ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการเพาะปลูกต้นหม่อน และไม่นานมานี้ อ้อยและพืชอื่น ๆ ก็ถูกใช้เป็นแหล่งของเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่นอกเหนือไปจากเชื้อเพลิงฟอสซิลความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม. พืชสามารถทำให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมได้จากหลายทาง ได้แก่- ความเข้าใจในการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย และการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญต่อการจัดหมวดหมู่และการศึกษาอนุกรมวิธานของพืชได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ - พืชมีการตอบสนองต่อรังสีอุลตราไวโอเลต จึงใช้ศึกษาและตรวจสอบการลดลงของโอโซนได้ - การศึกษาวิเคราะห์ละอองเกสรจากซากดึกดำบรรพ์ของพืช ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์จำลองสภาพภูมิอากาศในอดีต และทำนายสภาพอากาศในอนาคตได้ - การบันทึกและวิเคราะห์ช่วงเวลาของวัฎจักรชีวิตของพืช มีความสำคัญต่อการศึกษาปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ - ไลเคน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไวต่อสภาพอากาศ สามารถใช้ตรวจวัดมลภาวะได้นิรุกติศาสตร์ นิรุกติศาสตร์. พฤกษศาสตร์ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 มีความหมายว่า วิชาว่าด้วยต้นไม้ พฤกษศาสตร์มาจากคำว่า พฤกษ (พฺรึกสะ) หมายถึงต้นไม้ มีรากศัพท์มาจากภาษากึ่งบาลีกึ่งสันสกฤตจาก วฺฤกฺษ ในภาษาสันสกฤตและ รุกฺข ในภาษาบาลี กับคำว่า ศาสตร์ (สาด) หมายถึงระบบวิชาความรู้ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตประวัติศาสตร์ของพฤกษศาสตร์พฤกษศาสตร์ยุคแรก ประวัติศาสตร์ของพฤกษศาสตร์. พฤกษศาสตร์ยุคแรก. อินเดียโบราณ มีการค้นพบการจำแนกพืชขึ้นเป็นครั้งแรกในคัมภีร์ฤคเวทซึ่งแบ่งพืชออกเป็น ไม้ต้น ไม้ล้มลุกที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ และไม้เลื้อย ซึ่งในภายหลังได้ถูกแบ่งย่อยออกไปอีกเป็น 8 กลุ่มในคัมภีร์เวทอาธารวา คือ ไม้ที่กิ่งแผ่กว้าง ไม้ที่ใบเป็นกระจุกและยาว ไม้พุ่ม ไม้ที่แผ่ราบ ไม้ใบเลี้ยงเดี่ยว ไม้เลื้อย ไม้ที่มีกิ่งก้านมาก ไม้ที่มีปุ่มปมซับซ้อน ผลงานทางด้านสรีรวิทยาของพืชที่สำคัญในสมัยอินเดียตอนกลางประกอบด้วย the Prthviniraparyam of Udayana, Nyayavindutika of Dharmottara, Saddarsana-samuccaya of Gunaratna และ Upaskara of Sankaramisra จีนโบราณ บันทึกรายชื่อพืชและพืชที่นำมาปรุงยามีมาหลังสงครามระหว่างแคว้น (481-221 ก่อนคริสต์ศักราช) แพทย์จีนจำนวนมากตลอดศตวรรษได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้ทางด้านการปรุงยาสมุนไพร ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีงานเขียนของคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง และแพทย์จีน จาง จงจิ่งที่มีชื่อเสียงมากในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 นักวิทยาศาสตร์และรัฐบุรุษ ซูซ่ง และ เฉิน โค่ว ได้รวบรวมวิธีการรักษาโรคด้วยพืชสมุนไพรรวมกับการใช้แร่ธาตุอีกด้วย กรีกโรมัน ผลงานทางด้านพฤกษศาสตร์ในแถบยุโรปมีมาราว 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทีโอฟราตัสมีงานเขียนสองเล่มที่สำคัญคือ On the History of Plants และ On the Causes of Plants หนังสือสองเล่มนี้ส่งผลให้เกิดการศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์มากขึ้น นายแพทย์ชาวโรมันเขียนหนังสือรวบรวมการรักษาด้วยสมุนไพรซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความรู้ทางพฤกษศาสตร์ของกรีกโรมันพฤกษศาสตร์สมัยกลาง พฤกษศาสตร์สมัยกลาง. อัล ดินาวาริ นักพฤกษศาสตร์ชาวเคอร์ดิช เป็นผู้ก่อตั้งอาหรับพฤกษศาสตร์ ผลงานของเขาคือ หนังสือพืช เขาได้อธิบายถึงลักษณะพืชอย่างน้อย 637 ชนิดและได้อภิปรายเกี่ยวกับพัฒนาการของพืชตั้งแต่การงอกจนกระทั่งตาย อธิบายช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตของพืช การออกดอกและผลของต้นไม้แต่ละชนิด หนังสือ ฮีสทอเรีย แพลนทารัม ของทีโอฟราตัส เป็นข้อมูลที่ใช้อ้างอิงทางพฤกษศาสตร์ในหลายศตวรรษต่อมา และได้ถูกปรับปรุงขึ้นประมาณปี 1200 โดย Giovanni Bodeo da Stapelio ซึ่งได้เพิ่มข้อคิดเห็นและวาดรูปประกอบพฤกษศาสตร์สมัยใหม่มหาวิทยาลัยที่มีการเปิดสอนในประเทศไทย มหาวิทยาลัยที่มีการเปิดสอนในประเทศไทย. ปัจจุบันในประเทศไทยมีหลักสูตรการศึกษาด้านพฤกษศาสตร์ตั้งแต่ปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาเอก และหนึ่งหลักสูตรปริญญาโทนานาชาติ ในปีการศึกษา 2553 มีคณาจารย์ในสาขารวมทั้งสิ้น 66 ท่าน และนักศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวน 141 คน จาก 3 มหาวิทยาลัย- ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณาจารย์ 30 คน1. วิทยาศาสตรบัณฑิต วท.บ (พฤกษศาสตร์), B.Sc (Botany) 2. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต วท.ม (พฤกษศาสตร์), M.Sc (Botany) 3. วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต วท.ด (พฤกษศาสตร์), D.Sc (Botany)- ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณาจารย์ 19 คน1. วิทยาศาสตรบัณฑิต วท.บ (พฤกษศาสตร์), B.Sc (Botany) 2. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต วท.ม (พฤกษศาสตร์), M.Sc (Botany) 3. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ปร.ด (พฤกษศาสตร์), Ph.D (Botany)- ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณาจารย์ 12 คน1. วิทยาศาสตรบัณฑิต วท.บ (พฤกษศาสตร์), B.Sc (Plant Science) 2. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต วท.ม (วิทยาการพืช) หลักสูตรนานาชาติ, M.Sc (Plant Science) international program
|
พฤกษศาสตร์เป็นชีววิทยาสาขาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับอะไร
|
{
"answer": [
"พืช"
],
"answer_begin_position": [
205
],
"answer_end_position": [
208
]
}
|
2,293 | 360,478 |
อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ นางสาวอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ประวัติ ประวัติ. อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายวินัย กาญจนชูศักดิ์ กับ นางเสาวณี กาญจนชูศักดิ์ โดยในบรรดาพี่น้องทั้ง 5 คน มี พินิจ กาญจนชูศักดิ์ เป็นพี่ชายคนโต และได้แนะนำให้นางสาวอรอนงค์ เข้าสู่แวดวงการเมือง ด้วยการเริ่มต้นจากการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาเขตสัมพันธวงศ์ ก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานครในสมัยต่อมาและ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครการศึกษา การศึกษา. อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ระดับปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ กับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงประสบการณ์ทางการเมือง ประสบการณ์ทางการเมือง. ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 1 (เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตบางรัก เขตปทุมวัน เขตราชเทวี) โดยสวมเสื้อเบอร์ 5 สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ชนะไปด้วยคะแนน 101,135 คะแนน จากทั้งหมด 538 หน่วย ในหน่วยเลือกตั้งเขต 1 ร่วมกันกับ หม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล เบอร์ 4 ที่ได้ 105,166 คะแนน และ นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ เบอร์ 6 ที่ได้ 99,078 คะแนน ถือเป็นการชนะแบบยกทีม ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ไดมีปัญหาในการจัดตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตในกรุงเทพมหานคร ซึ่งพื้นที่ของนางสาวอรอนงค์ ทับซ้อนกับหม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล แต่ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มีมติส่งนางสาวอรอนงค์ ลงสมัครในพื้นที่เดิม และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 2 ในที่สุด ด้านประสบการณ์ทางการเมืองมีดังนี้- คณะกรรมการประสานงานและติดตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) - สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน พรรคประชาธิปัตย์ 2 สมัย (พ.ศ. 2544 - 2549) - โฆษกสภากรุงเทพมหานคร - คณะกรรมการสาธารณสุข สวัสดิการสังคม สภากรุงเทพมหานคร - คณะกรรมการรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อม สภากรุงเทพมหานคร - คณะกรรมการกิจการสภา สภากรุงเทพมหานคร - รองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณเขตปทุมวัน สัมพันธวงศ์ วัฒนา คลองเตย (งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2545) - รองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณเขตปทุมวัน สัมพันธวงศ์ วัฒนา คลองเตย (งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2547) - รองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณเขตราชเทวี ปทุมวัน บางซื่อ ห้วยขวาง (งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2548) - คณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณเขตบางรัก ปทุมวัน ยานนาวา วัฒนา(งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2549) - สมาชิกสภาเขต เขตสัมพันธวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2541-2543) - ที่ปรึกษาประธานรัฐสภา (ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค)ประสบการณ์ทางสังคมประสบการณ์ทางสังคม. - กรรมการชมรมเรารักกรุงเทพฯ เรารักสวนลุม - อดีตกรรมการการศึกษาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา - อดีตกรรมการสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ - ประธานกรรมการการศึกษาโรงเรียนปลูกจิต เขตปทุมวัน - อดีตที่ปรึกษาโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ - อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันและสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี - อดีตที่ปรึกษาโครงการมหกรรมขลุ่ยไทย เขตปทุมวัน - ประธาน อปพร. เขตปทุมวันเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) - พ.ศ. 2552 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
|
นางสาวอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดอยู่พรรคใด
|
{
"answer": [
"พรรคประชาธิปัตย์"
],
"answer_begin_position": [
191
],
"answer_end_position": [
207
]
}
|
2,294 | 586,481 |
อัจฉริยะการตลาด อัจฉริยะการตลาด (2556) เป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คการตลาดที่เขียนโดย เอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือเล่มนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นที่หนึ่งของศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศติดต่อกันกว่าครึ่งปีระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557ประมวลเรื่อง ประมวลเรื่อง. หนังสืออัจฉริยะการตลาดนั้นได้รวบรวมผลงานวิจัย และบทความทางวิชาการทางการตลาดระดับโลกมาเล่าเป็นเรื่องราว ผ่านสำนวนของ อ.เอกก์ ภทรธนกุล แห่งภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ นักวิชาการการตลาด นักจัดรายการวิทยุ และคอลัมนิสต์ โดยหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงแนวทางการตลาดที่ใช้ควบคุมลูกค้าโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างแคมเปญการตลาดสุดป่วยของนักการตลาดอัจฉริยะในอดีต และการประยุกต์ใช้ความรู้ทางการตลาดเพื่อพัฒนาชีวิต หนังสือประกอบด้วย 17 บทย่อย ที่กล่าวถึงกลยุทธ์การควบคุมลูกค้าเพื่อการดำเนินธุรกิจให้สำเร็จ ตัวอย่างเช่น “กับดักการตลาดบริการ” ที่กล่าวถึงกลยุทธ์การบริการที่ดูเหมือนจะดี แต่กลับมีอันตรายร้ายแรงต่อธุรกิจ “เหยียบให้แซ่ด” แคมเปญการตลาดสุดอัจฉริยะที่ผิดพลาดร้ายแรง ไปกระทั่งความรู้การตลาดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต “การตลาดลดพุง” ซึ่งเกี่ยวการปรับสภาพแวดล้อมในการรับประทานอาหารเพื่อปรับพฤติกรรมคนให้ทานน้อยลงแต่อิ่มเท่าเดิมเป็นต้น หนังสือเล่มนี้มีสองปกคือ ขาวและดำ โดยหนังสือเล่มนี้นำผลกำไรทั้งหมดขึ้นบำรุงสภากาชาดไทยการยอมรับ การยอมรับ. หนังสือขายดีอันดับที่ 1 ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (กันยายน 2556 ถึง เมษายน 2557) หนังสือแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
|
ใครเป็นผู้แต่งหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คการตลาดเรื่อง อัจฉริยะการตลาด
|
{
"answer": [
"เอกก์ ภทรธนกุล"
],
"answer_begin_position": [
171
],
"answer_end_position": [
185
]
}
|
2,295 | 116,945 |
เรือหลวงพระร่วง เรือรบหลวงพระร่วง เป็นเรือหลวงลำแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งข้าราชการและประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรี่ยไรทุนทรัพย์ซื้อเรือรบถวายเป็นราชพลี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการจัดตั้งจัดตั้ง ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ (The Royal Navy League of Siam) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความยินดีและเห็นชอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเรือนี้ว่า "พระร่วง" อันเป็นสิริมงคลตามวีรกษัตริย์อันเป็นที่นับถือของชาวไทยทั่วไป รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวน 80,000 บาท และพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้พร้อมใจกันออกทุนเรี่ยไรถวาย เมื่อครั้งจัดงานพระราชพิธีทวีธาภิเษกในรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังเหลือจากการใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 116,324 บาท ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานทรัพย์อีกเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท เมื่อรวมกับเงินที่เรี่ยไรทั่วพระราชอาณาจักร ได้จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,514,604 บาท 1 สตางค์ ในปี พ.ศ. 2463 นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปพร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย คณะข้าหลวงพิเศษตรวจการซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปชุดนี้โดยได้คัดเลือกเรือพิฆาตตอร์ปิโด "เอชเอ็มเอส เรเดียนท์" (HMS Radiant) ของบริษัทธอร์นิครอฟท์ (Thornycroft Co.,) สร้างที่ เมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมแก่ความต้องการของกองทัพเรือและเป็นเรือที่ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นสงครามยุติลงเมื่อ พ.ศ. 2461 อังกฤษจึงยินดีขาย คณะข้าหลวงพิเศษได้ตกลงซื้อเรือลำนี้เป็นเงิน 200,000 ปอนด์ ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้เรือนั้นได้พระราชทานให้แก่กองทัพเรือไว้สำหรับใช้สอย เรือลำนี้เดินทางจากประเทศอังกฤษเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463สมรรถนะของเรือรบหลวงพระร่วง สมรรถนะของเรือรบหลวงพระร่วง. สมรรถนะของเรือรบหลวงพระร่วงมีดังนี้ คือ มีระวางขับน้ำ 1,046 ตัน ความยาวตลอดลำ 83.57 เมตร ความกว้างสุด 8.34 เมตร กินน้ำลึก 4 เมตร อาวุธปืน 102 ม.ม. 3 กระบอก ปืน 76 ม.ม. 1 กระบอก ต่อมาติดปืน 40 ม.ม. 2 กระบอก ปืน 20 ม.ม. 2 กระบอก มีตอร์ปิโด 21 นิ้ว 4 ท่อ มีรางปล่อยระเบิดลึก และมีแท่นยิงปืนระเบิดลึก 2 แท่น เครื่องจักรเป็นแบบไอน้ำแบบ บี.ซี. เกียร์ เทอร์ไบน์ จำนวน 2 เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง 29, 000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 35 น นอต ความเร็วมัธยัสถ์ 14 นอต รัศมีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ 1,896 ไมล์ ทหารประจำเรือ 135 คน
|
เรือหลวงลำแรกในประวัติศาสตร์ไทยมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"เรือรบหลวงพระร่วง"
],
"answer_begin_position": [
106
],
"answer_end_position": [
123
]
}
|
2,296 | 285,046 |
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) (4 ธันวาคม พ.ศ. 2422-20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ) มีนามเดิมว่า อัญญานางเจียงคำ สกุลเดิม บุตโรบล เป็นเจ้านายสตรีของเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของราชอาณาสยามมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่ถวายตัวเป็นหม่อมใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักสยาม กับเจ้านายพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในช่วงที่มีนโยบายปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)ชาติกำเนิด ชาติกำเนิด. หม่อมเจียงคำ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 ที่เมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาลำดับที่ 9 หรือเป็นธิดาท่านสุดท้องของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) กับญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล หม่อมเจียงคำมีศักดิ์เป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) (บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุริยะ) กับอัญญานางทอง บุตโรบล มีศักดิ์เป็นเหลนทวด ในท้าวสีหาราช (พูลสุข หรือ พลสุข) กรมการเมืองอุบลราชธานีชั้นผู้ใหญ่ กับอัญญานางสุภา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท้าวโคต ผู้เป็นพระราชโอรสในเจ้าพระตา (เจ้าพระวรราชปิตา) ผู้ครองนครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ท้าวโคตผู้เป็นต้นสกุล บุตโรบล ยังมีศักดิ์เป็นอนุชากับเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 1 กับเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (ฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ (เมืองเก่าคันเกิง) องค์ที่ 3 ด้วยพี่น้อง พี่น้อง. หม่อมเจียงคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ดังนี้1. อัญญานางก้อนคำ สมรสกับ พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) ปลัดเมืองอุบลราชธานี บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสิทธิสาร ผู้ช่วยราชการคณะอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี 2. อัญญานางอบมา สมรสกับ ท้าววรกิติกา (คูณ) กรมการเมืองอุบลราชธานี 3. อัญญานางเหมือนตา 4. อัญญานางบุญอ้ม สมรสกับ ท้าวอักษรสุวรรณ กรมการเมืองอุบลราชธานี 5. อัญญานางหล้า 6. อัญญานางดวงคำ สมรสกับ รองอำมาตย์ตรี ขุนราชพิตรพิทักษ์ (ทองดี หิรัญภัทร์) 7. อัญญาท่านคำม้าว โกณฺฑญฺโญ อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสารพัดนึก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 8. อัญญาไม่ปรากฏนาม (ถึงแก่กรรมเมื่อวัยเยาว์) 9. อัญญานางเจียงคำ หรือหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยาเกี่ยวกับนามและสกุล เกี่ยวกับนามและสกุล. เกี่ยวกับนามของหม่อมเจียงคำนั้น คำว่า เจียง เป็นภาษาลาวโบราณ ตรงกับภาษาบาลีว่า จาป หมายถึง ธนู ศร หน้าไม้ กระสุน แล่ง (ที่ทำสำหรับวางลูกธนูหรือหน้าไม้ หรือที่ใส่ลูกธนูหน้าไม้สำหรับสะพาย) บางครั้งชาวลาวเรียกว่า หน้าเจียง หรือ เกียง ดังนั้น นามของหม่อมเจียงคำจึงหมายถึง ธนูทองคำ หม่อมเจียงคำ เดิมสกุล บุตโรบล นามสกุลบุตโรบลเป็นนามสกุลที่ทายาทบุตรหลานเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นามสกุลเลขที่ 2692 เขียนแบบอักษรโรมันคือ Putropala ตามบัญชีผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลคือ "นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นายทหารกองหนุน สังกัดกองสัสดีมณฑลอุบล ปู่ชื่อราชบุตรสุ่ย บิดาชื่อเจ้าราชบุตร (คำ)" หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา และนายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและทั้ง 2 ท่านเป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย)การถวายตัว การถวายตัว. พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอีสาณ) เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาปรับปรุงและจัดระบบราชการที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ทรงพอพระทัยต่ออาชญานางเจียงคำ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น) กรมการชั้นผู้ใหญ่ของเมือง จึงได้ทรงขออาชญานางเจียงคำ ต่อเจ้านายผู้ใหญ่ในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) และได้เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองลาวดั้งเดิม ถวายตัวเป็นหม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์ การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า วังสงัด ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลยขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ. พระเจ้าพุทธวิเศษ หรือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เป็นพระพุทธรูปศิลาแลงปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร เป็นศิลปะยุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับทวาราวดีของสยาม อายุราวพันกว่าปี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดทุ่งศรีวิไล บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นับถือกันว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านชีทวนและตำบลใกล้เคียง ประชาชนนิยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อพระพุทธวิเศษเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือวันขึ้น 14 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เรียกว่า งานปิดทองหลวงพ่อพุทธวิเศษประจำปี ส่วนบ้านชีทวนนั้นเดิมเป็นเมืองขอมโบราณเรียกว่า เมืองซีซ่วน] ภายหลังพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ผู้เป็นต้นราชตระกูลของหม่อมเจียงคำ ได้โปรดให้ท้าวโหง่นคำพร้อมราษฎร 150 ครัวเรือน ยกมาตั้งเป็นบ้านเมืองอีกครั้งที่เมืองซีซ่วน ชาวเมืองเชื่อกันสืบมาว่า ผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวมานานแล้วแต่ไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล สามีภรรยาก็มักพากันมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ตนมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จมากมาย มีตำนานเล่าสืบมาว่าครั้งหนึ่ง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ และหม่อมเจียงคำ ได้เสด็จออกไปเยี่ยมไพร่ฟ้าประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ และได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน ทราบข่าวว่าที่บ้านชีทวนมีพระพุทธศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ สามารถที่จะบนหรือขอสิ่งที่ปรารถนาได้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์พร้อมหม่อมเจียงคำก็ดำริแก่กันว่า แต่เมื่อครั้งเสกสมรสมานานแล้วก็ยังหาได้มีพระโอรสพระธิดาไว้สืบสกุล ทั้งสองพระองค์จึงทรงนำดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลวลงไปสักการบูชาขอพระโอรสพระธิดาจากหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ ต่อมาไม่นานหม่อมเจียงคำก็ทรงพระครรภ์และได้ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ ตามความปรารถนา คือหม่อมเจ้าอุปลีสานและหม่อมเจ้ากมลีสานพระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดาพระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดา. - หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) อดีตประธานกรรมการผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุทัยวงศ์ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 ท่าน คือ- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสุพัชร ชุมพล (พ.บ.) - หม่อมหลวงภัทรีศา ชุมพล - หม่อมราชวงศ์หญิงพวงแก้ว ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับนายแพทย์กุณฑล สุนทรเวช มีบุตรธิดา 3 คน คือ- ทิพย์สุดา (สุนทรเวช) ถาวรามร - พิมพ์แก้ว (สุนทรเวช) มาโกด์ - สิทธิ์สรรพ์ สุนทรเวช - หม่อมราชวงศ์จาตุรีสาณ ชุมพล สมรสกับนางชูศรี (คงเสรี) ชุมพล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล - หม่อมหลวงสุทธิมาน (ชุมพล) โภคาชัยพัฒน์ - หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง สวัสดิวัฒน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์ และหม่อมเจ้าหญิงฉวีลิลัย สวัสดิวัฒน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พะรองค์เจ้าคัคณางยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสิทธิสาณ ชุมพล - หม่อมหลวงวราภา ชุมพล - รองศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล สมรสกับนางอรพันธ์ ชาติยานนท์ มีบุตรธิดา 4 ท่าน คือ- หม่อมหลวงวรารมณ์ ชุมพล - หม่อมหลวงสมรดา ชุมพล - หม่อมหลวงกมลพฤทธิ์ ชุมพล - หม่อมหลวงรัมภาพันธุ์ ชุมพลการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์. หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ หม่อมเจียงคำและหม่อมเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ผู้เป็นบุตร ได้อุทิศที่ดินจำนวน 27 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของญาติวงศ์เจ้านายเมืองอุบลราชธานีในอดีต ได้แก่ ที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ที่ดินของพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) ที่ดินของพระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท ณ อุบล) ที่ดินของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ไว้ให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่แผ่นดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานีหลายแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง (อดีตสถานที่ถวายเพลิงพระศพเจ้าเมืองและพระราชทานเพลิงเจ้านายเมืองอุบลราชธานี) โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี (เดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช) และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เกี่ยวกับที่ดินมรดกแปลงที่ 1 เกี่ยวกับที่ดินมรดก. แปลงที่ 1. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนราชบุตร ทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท) บิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ที่ดินแปลงใหญ่นี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เดิมเป็นที่ตั้ง[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี [[กรมศิลปากร]]แปลงที่ 2 แปลงที่ 2. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนหลวง ทิศตะวันตกติดกับถนนราชบุตร (เดิมคือที่ตั้งสโมสรข้าราชการเมืองอุบลราชธานี) ที่ดินแปลงนี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) และเป็นผืนเดียวกันกับที่ดินแปลงที่ 1 เมื่อราชการขยายผังบ้านเมืองออกไปและมีการตัดถนนผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นที่ดิน 2 แปลงดังปรากฏในปัจจุบันแปลงที่ 3 แปลงที่ 3. เดิมเป็นที่ตั้งของ[[โรงเรียนนารีนุกูล]] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ[[โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี]] เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นบริเวณเดียวกันกับ[[ทุ่งศรีเมือง]] แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดถนนผ่านหน้าโรงเรียน ทำให้พื้นที่ของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีถูกแยกออกไปจากทุ่งศรีเมือง บริเวณกลางทุ่งศรีเมืองนี้เดิมเป็นสถานที่ราชการของเมือง ใช้สำหรับจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง ตลอดจนงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าเมือง คณะ[[อาญาสี่]] และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันมีทิศเหนือติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนนครบาล ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ประกอบรัฐพิธีต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี ตลอดจนประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา ประกอบพิธีทางประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัด เช่น เทศกาลวันแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นต้นแปลงที่ 4 แปลงที่ 4. ทิศเหนือติดกับถนนพิชิตรังสรรค์ ทิศใต้ติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดกับ[[วัดสุทัศนาราม]] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลจังหวัดอุบลราชธานี ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี และด้านหลังของศาลจังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณบ้านพักผู้พิพากษาศาล ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) พระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) และพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต)แปลงที่ 5 แปลงที่ 5. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย) ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี แล้วย้ายไปสร้างใหม่ ณ สำนักงานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ข้างสำนักงานธนารักษ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่แปลงที่ 6 แปลงที่ 6. ทิศเหนือติดกับ[[วัดไชยมงคล]] ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนอุปราช ทิศตะวันตกติดกับสุสานโรมันคาทอลิก เดิมเป็นที่ตั้งของกรมทหาร ต่อมาได้ใช้เป็นที่ตั้ง[[โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช]]ในปี พ.ศ. 2474 และเป็นที่ตั้งของ[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี]] แห่งที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 - 2553 ปัจจุบันทางราชการได้ย้ายศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีไปอยู่ที่ตำบลแจระแม และปรับปรุงอาคารเรียนเดิมของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่ดินแปลงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี โดยอยู่ในความดูแลของเทศบาลนครอุบลราชธานีแปลงที่ 7 แปลงที่ 7. ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมด 27 ไร่ ซึ่งตกทอดเป็นมรดกของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ คือ [[หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล]] (ท.จ.ว.) และ[[หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล]] พระโอรสทั้ง 2 ได้มอบให้ทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ[[โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์]] อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็น[[โรงพยาบาลศูนย์]]อีสานใต้ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของภาคอีสาน และมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมากอนิจกรรม อนิจกรรม. หม่อมเจียงคำ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรค[[อัมพาต]] เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2481 สิริอายุ 59 ปี ณ โฮงพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้เป็นญาติใกล้ชิดของหม่อมเจียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนพิชิตรังสรรค์ อำเภอเมือง [[จังหวัดอุบลราชธานี]] ปัจจุบันทายาทได้นำพระอัฐิของท่านบรรจุไว้ ณ บริเวณฐานตั้งใบเสมาหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) และเจ้านายญาติวงศ์เมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกันสร้างไว้ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ. 2396 ก่อนที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) จะไปราชการศึกสงครามเมืองญวนที่ประเทศเขมรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - [[ไฟล์:Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png|80px]] [[เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย]] ชั้น[[มหาวชิรมงกุฎ]] (ม.ว.ม.) - [[ไฟล์:Order of Chula Chom Klao - 2nd Class lower (Thailand) ribbon.png|80px]] [[เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า]] ชั้น[[ทุติยจุลจอมเกล้า]] ฝ่ายใน (ท.จ.) - [[ไฟล์:King Rama V Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5]] ชั้นที่ 2 (จ.ป.ร.2) - [[ไฟล์:King Rama VI Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6]] ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1) - [[ไฟล์:King Rama VII Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7]] ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)อนุสรณ์อนุสรณ์. - กลุ่มสืบสาน นำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา - อาคารหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ณ [[โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์]] อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี - วันรำลึกหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันถึงแก่อนิจกรรมของหม่อมเจียงคำ - กองทุนเครือข่ายแห่งบุญหม่อมเจียงคำอนุสรณ์พงศาวลีพงศาวลีต้นราชตระกูลพงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 1พงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 2
|
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยามีสกุลเดิมคืออะไร
|
{
"answer": [
"บุตโรบล"
],
"answer_begin_position": [
246
],
"answer_end_position": [
253
]
}
|
2,297 | 285,046 |
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) (4 ธันวาคม พ.ศ. 2422-20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ) มีนามเดิมว่า อัญญานางเจียงคำ สกุลเดิม บุตโรบล เป็นเจ้านายสตรีของเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของราชอาณาสยามมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่ถวายตัวเป็นหม่อมใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักสยาม กับเจ้านายพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในช่วงที่มีนโยบายปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)ชาติกำเนิด ชาติกำเนิด. หม่อมเจียงคำ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 ที่เมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาลำดับที่ 9 หรือเป็นธิดาท่านสุดท้องของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) กับญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล หม่อมเจียงคำมีศักดิ์เป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) (บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุริยะ) กับอัญญานางทอง บุตโรบล มีศักดิ์เป็นเหลนทวด ในท้าวสีหาราช (พูลสุข หรือ พลสุข) กรมการเมืองอุบลราชธานีชั้นผู้ใหญ่ กับอัญญานางสุภา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากท้าวโคต ผู้เป็นพระราชโอรสในเจ้าพระตา (เจ้าพระวรราชปิตา) ผู้ครองนครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ท้าวโคตผู้เป็นต้นสกุล บุตโรบล ยังมีศักดิ์เป็นอนุชากับเจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ 1 กับเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (ฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ (เมืองเก่าคันเกิง) องค์ที่ 3 ด้วยพี่น้อง พี่น้อง. หม่อมเจียงคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ดังนี้1. อัญญานางก้อนคำ สมรสกับ พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) ปลัดเมืองอุบลราชธานี บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสิทธิสาร ผู้ช่วยราชการคณะอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี 2. อัญญานางอบมา สมรสกับ ท้าววรกิติกา (คูณ) กรมการเมืองอุบลราชธานี 3. อัญญานางเหมือนตา 4. อัญญานางบุญอ้ม สมรสกับ ท้าวอักษรสุวรรณ กรมการเมืองอุบลราชธานี 5. อัญญานางหล้า 6. อัญญานางดวงคำ สมรสกับ รองอำมาตย์ตรี ขุนราชพิตรพิทักษ์ (ทองดี หิรัญภัทร์) 7. อัญญาท่านคำม้าว โกณฺฑญฺโญ อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสารพัดนึก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 8. อัญญาไม่ปรากฏนาม (ถึงแก่กรรมเมื่อวัยเยาว์) 9. อัญญานางเจียงคำ หรือหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยาเกี่ยวกับนามและสกุล เกี่ยวกับนามและสกุล. เกี่ยวกับนามของหม่อมเจียงคำนั้น คำว่า เจียง เป็นภาษาลาวโบราณ ตรงกับภาษาบาลีว่า จาป หมายถึง ธนู ศร หน้าไม้ กระสุน แล่ง (ที่ทำสำหรับวางลูกธนูหรือหน้าไม้ หรือที่ใส่ลูกธนูหน้าไม้สำหรับสะพาย) บางครั้งชาวลาวเรียกว่า หน้าเจียง หรือ เกียง ดังนั้น นามของหม่อมเจียงคำจึงหมายถึง ธนูทองคำ หม่อมเจียงคำ เดิมสกุล บุตโรบล นามสกุลบุตโรบลเป็นนามสกุลที่ทายาทบุตรหลานเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นามสกุลเลขที่ 2692 เขียนแบบอักษรโรมันคือ Putropala ตามบัญชีผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลคือ "นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นายทหารกองหนุน สังกัดกองสัสดีมณฑลอุบล ปู่ชื่อราชบุตรสุ่ย บิดาชื่อเจ้าราชบุตร (คำ)" หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา และนายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและทั้ง 2 ท่านเป็นหลานปู่ ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย)การถวายตัว การถวายตัว. พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอีสาณ) เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาปรับปรุงและจัดระบบราชการที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ทรงพอพระทัยต่ออาชญานางเจียงคำ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น) กรมการชั้นผู้ใหญ่ของเมือง จึงได้ทรงขออาชญานางเจียงคำ ต่อเจ้านายผู้ใหญ่ในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) และได้เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองลาวดั้งเดิม ถวายตัวเป็นหม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์ การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า วังสงัด ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลยขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ. พระเจ้าพุทธวิเศษ หรือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เป็นพระพุทธรูปศิลาแลงปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร เป็นศิลปะยุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับทวาราวดีของสยาม อายุราวพันกว่าปี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดทุ่งศรีวิไล บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นับถือกันว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านชีทวนและตำบลใกล้เคียง ประชาชนนิยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อพระพุทธวิเศษเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือวันขึ้น 14 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เรียกว่า งานปิดทองหลวงพ่อพุทธวิเศษประจำปี ส่วนบ้านชีทวนนั้นเดิมเป็นเมืองขอมโบราณเรียกว่า เมืองซีซ่วน] ภายหลังพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ผู้เป็นต้นราชตระกูลของหม่อมเจียงคำ ได้โปรดให้ท้าวโหง่นคำพร้อมราษฎร 150 ครัวเรือน ยกมาตั้งเป็นบ้านเมืองอีกครั้งที่เมืองซีซ่วน ชาวเมืองเชื่อกันสืบมาว่า ผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวมานานแล้วแต่ไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล สามีภรรยาก็มักพากันมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ตนมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จมากมาย มีตำนานเล่าสืบมาว่าครั้งหนึ่ง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ และหม่อมเจียงคำ ได้เสด็จออกไปเยี่ยมไพร่ฟ้าประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ และได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน ทราบข่าวว่าที่บ้านชีทวนมีพระพุทธศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ สามารถที่จะบนหรือขอสิ่งที่ปรารถนาได้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์พร้อมหม่อมเจียงคำก็ดำริแก่กันว่า แต่เมื่อครั้งเสกสมรสมานานแล้วก็ยังหาได้มีพระโอรสพระธิดาไว้สืบสกุล ทั้งสองพระองค์จึงทรงนำดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลวลงไปสักการบูชาขอพระโอรสพระธิดาจากหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ ต่อมาไม่นานหม่อมเจียงคำก็ทรงพระครรภ์และได้ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ ตามความปรารถนา คือหม่อมเจ้าอุปลีสานและหม่อมเจ้ากมลีสานพระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดาพระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดา. - หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) อดีตประธานกรรมการผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุทัยวงศ์ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 ท่าน คือ- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสุพัชร ชุมพล (พ.บ.) - หม่อมหลวงภัทรีศา ชุมพล - หม่อมราชวงศ์หญิงพวงแก้ว ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับนายแพทย์กุณฑล สุนทรเวช มีบุตรธิดา 3 คน คือ- ทิพย์สุดา (สุนทรเวช) ถาวรามร - พิมพ์แก้ว (สุนทรเวช) มาโกด์ - สิทธิ์สรรพ์ สุนทรเวช - หม่อมราชวงศ์จาตุรีสาณ ชุมพล สมรสกับนางชูศรี (คงเสรี) ชุมพล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล - หม่อมหลวงสุทธิมาน (ชุมพล) โภคาชัยพัฒน์ - หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง สวัสดิวัฒน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์ และหม่อมเจ้าหญิงฉวีลิลัย สวัสดิวัฒน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พะรองค์เจ้าคัคณางยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ- หม่อมหลวงสิทธิสาณ ชุมพล - หม่อมหลวงวราภา ชุมพล - รองศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล สมรสกับนางอรพันธ์ ชาติยานนท์ มีบุตรธิดา 4 ท่าน คือ- หม่อมหลวงวรารมณ์ ชุมพล - หม่อมหลวงสมรดา ชุมพล - หม่อมหลวงกมลพฤทธิ์ ชุมพล - หม่อมหลวงรัมภาพันธุ์ ชุมพลการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์. หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ หม่อมเจียงคำและหม่อมเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ผู้เป็นบุตร ได้อุทิศที่ดินจำนวน 27 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของญาติวงศ์เจ้านายเมืองอุบลราชธานีในอดีต ได้แก่ ที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ที่ดินของพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) ที่ดินของพระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท ณ อุบล) ที่ดินของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ไว้ให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่แผ่นดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานีหลายแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง (อดีตสถานที่ถวายเพลิงพระศพเจ้าเมืองและพระราชทานเพลิงเจ้านายเมืองอุบลราชธานี) โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี (เดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช) และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เกี่ยวกับที่ดินมรดกแปลงที่ 1 เกี่ยวกับที่ดินมรดก. แปลงที่ 1. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนราชบุตร ทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเจ้าอุปฮาช (โท) บิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ที่ดินแปลงใหญ่นี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เดิมเป็นที่ตั้ง[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี [[กรมศิลปากร]]แปลงที่ 2 แปลงที่ 2. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนหลวง ทิศตะวันตกติดกับถนนราชบุตร (เดิมคือที่ตั้งสโมสรข้าราชการเมืองอุบลราชธานี) ที่ดินแปลงนี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) และเป็นผืนเดียวกันกับที่ดินแปลงที่ 1 เมื่อราชการขยายผังบ้านเมืองออกไปและมีการตัดถนนผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นที่ดิน 2 แปลงดังปรากฏในปัจจุบันแปลงที่ 3 แปลงที่ 3. เดิมเป็นที่ตั้งของ[[โรงเรียนนารีนุกูล]] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ[[โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี]] เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นบริเวณเดียวกันกับ[[ทุ่งศรีเมือง]] แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดถนนผ่านหน้าโรงเรียน ทำให้พื้นที่ของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีถูกแยกออกไปจากทุ่งศรีเมือง บริเวณกลางทุ่งศรีเมืองนี้เดิมเป็นสถานที่ราชการของเมือง ใช้สำหรับจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง ตลอดจนงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าเมือง คณะ[[อาญาสี่]] และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันมีทิศเหนือติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนนครบาล ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ประกอบรัฐพิธีต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี ตลอดจนประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา ประกอบพิธีทางประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัด เช่น เทศกาลวันแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นต้นแปลงที่ 4 แปลงที่ 4. ทิศเหนือติดกับถนนพิชิตรังสรรค์ ทิศใต้ติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดกับ[[วัดสุทัศนาราม]] ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลจังหวัดอุบลราชธานี ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี และด้านหลังของศาลจังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณบ้านพักผู้พิพากษาศาล ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) พระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) และพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต)แปลงที่ 5 แปลงที่ 5. ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย) ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี แล้วย้ายไปสร้างใหม่ ณ สำนักงานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ข้างสำนักงานธนารักษ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่แปลงที่ 6 แปลงที่ 6. ทิศเหนือติดกับ[[วัดไชยมงคล]] ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนอุปราช ทิศตะวันตกติดกับสุสานโรมันคาทอลิก เดิมเป็นที่ตั้งของกรมทหาร ต่อมาได้ใช้เป็นที่ตั้ง[[โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช]]ในปี พ.ศ. 2474 และเป็นที่ตั้งของ[[ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี]] แห่งที่ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 - 2553 ปัจจุบันทางราชการได้ย้ายศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีไปอยู่ที่ตำบลแจระแม และปรับปรุงอาคารเรียนเดิมของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่ดินแปลงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี โดยอยู่ในความดูแลของเทศบาลนครอุบลราชธานีแปลงที่ 7 แปลงที่ 7. ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมด 27 ไร่ ซึ่งตกทอดเป็นมรดกของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ คือ [[หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล]] (ท.จ.ว.) และ[[หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล]] พระโอรสทั้ง 2 ได้มอบให้ทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ[[โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์]] อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็น[[โรงพยาบาลศูนย์]]อีสานใต้ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของภาคอีสาน และมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมากอนิจกรรม อนิจกรรม. หม่อมเจียงคำ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรค[[อัมพาต]] เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2481 สิริอายุ 59 ปี ณ โฮงพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้เป็นญาติใกล้ชิดของหม่อมเจียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนพิชิตรังสรรค์ อำเภอเมือง [[จังหวัดอุบลราชธานี]] ปัจจุบันทายาทได้นำพระอัฐิของท่านบรรจุไว้ ณ บริเวณฐานตั้งใบเสมาหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) และเจ้านายญาติวงศ์เมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกันสร้างไว้ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ. 2396 ก่อนที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) จะไปราชการศึกสงครามเมืองญวนที่ประเทศเขมรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - [[ไฟล์:Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png|80px]] [[เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย]] ชั้น[[มหาวชิรมงกุฎ]] (ม.ว.ม.) - [[ไฟล์:Order of Chula Chom Klao - 2nd Class lower (Thailand) ribbon.png|80px]] [[เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า]] ชั้น[[ทุติยจุลจอมเกล้า]] ฝ่ายใน (ท.จ.) - [[ไฟล์:King Rama V Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5]] ชั้นที่ 2 (จ.ป.ร.2) - [[ไฟล์:King Rama VI Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6]] ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1) - [[ไฟล์:King Rama VII Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png|80px|border]] [[เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7]] ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)อนุสรณ์อนุสรณ์. - กลุ่มสืบสาน นำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา - อาคารหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ณ [[โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์]] อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี - วันรำลึกหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันถึงแก่อนิจกรรมของหม่อมเจียงคำ - กองทุนเครือข่ายแห่งบุญหม่อมเจียงคำอนุสรณ์พงศาวลีพงศาวลีต้นราชตระกูลพงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 1พงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 2
|
พระอัฐิของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ถูกบรรจุไว้ที่วัดใด
|
{
"answer": [
"วัดสุทัศนาราม"
],
"answer_begin_position": [
12631
],
"answer_end_position": [
12644
]
}
|
2,298 | 118,734 |
หญ้าลอยลม หญ้าลอยลม () เป็นหญ้าที่ขึ้นตามชายหาด ลำต้นทอดเกาะติดกับผืนทราย ลำต้นเหนียวขึ้นทอดต่อกันเป็นร่างแหคลุมพื้นทราย โดยหยั่งรากยึดเป็นจุด ๆ ใบงอกจากต้นเป็นรูปดาวกระจาย เมื่อถูกทรายกลบจะแทงยอดใหม่ขึ้นมาใหม่ได้ และใบที่หลุดออกจากต้นก็จะปลิวตามลมแล้วไปงอกเป็นต้นใหม่ได้เช่นกัน ใบแข็ง ป้องกันการสูญเสียน้ำ ระบบรากและลำต้นแบบร่างแหช่วยยึดผืนทรายและหาน้ำ และคอยดักเศษไม้เศษใบไว้ย่อยสลายสะสมเป็นสารอินทรีย์หน้าผิวดิน ช่อดอกออกเป็นรัศมีทุกทาง เมื่อผลแก่ ช่อผลจะหลุดจากต้น
|
ที่ใดที่มักจะมีหญ้าลอยลมขึ้นอยู่
|
{
"answer": [
"ชายหาด"
],
"answer_begin_position": [
125
],
"answer_end_position": [
131
]
}
|
2,299 | 783,895 |
พระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน ระวังสับสนกับ จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปกครองสเปนในช่วงเวลาสั้นๆในช่วงสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน ในฐานะ ชาร์ลส์ที่ 3 พระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน หรือสำเนียงภาษาอังกฤษ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 (สเปน;การ์โลส, อิตาลี; การ์โล; 20 มกราคม ค.ศ. 1716 - 14 ธันวาคม ค.ศ. 1788 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสเปนและชาวสเปนระหว่างปี 1759 - 1788 ทรงเป็นพระโอรสพระองค์ที่ห้าในพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปน กับพระมเหสีพระองค์ที่สองเอลิซาเบธ ฟาร์เนเซ ในปี 1731 เจ้าชายการ์โลสพระชนมายุ 15 ชันษาได้กลายเป็นดยุคแห่งปาร์มาและปิอาเซนซา ในฐานะชาร์ลส์ที่ 1 หลังจากการสวรรคตของแอนโตนิโอ ฟาร์เนส ผู้เป็นพระปิตุลา ในปี 1734 ในฐานะดยุกแห่งปาร์มา ทรงได้รับชัยชนะในสงครามสืบราชบัลลังก์โปแลนด์ ทรงได้รับการราชาภิเศกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเปิลส์และซิซิลี ในปี 1735 ในฐานะ ชาร์ลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์ และ ชาร์ลส์ที่ 5 แห่งซิซิลี ในปี 1738 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมาเรีย อเมเลียแห่งแซกโซนี มีพระราชโอรสและธิดารวมทั้งสิ้น 13 พระองค์ พระเจ้าการ์โลสและมาเรีย อเมเลียทรงประทับอยู่ที่เนเปิลส์เป็นเวลา 19 ปี จนพระนางมาเรีย เมเลียสิ้นพระชนม์ในปี 1760 เมื่อเสด็จเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสเปนในวันที่ 10 สิงหาคม 1759 เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม โดยในวันที่ 6 ตุลาคม 1759 ทรงสละราชบัลลังก์เนเปิลส์และซิซิลีให้อินฟันเตเฟอร์ดินานด์ พระโอรสพระองค์ที่สามผู้ทรงโปรดปรานโดยได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งซิซิลีทั้งสอง ในฐานะกษัตริย์แห่งสเปน พระเจ้าการ์โลสที่ 3 ทรงเป็นหนึ่งกษัตริย์ผู้ได้รับอิทธิพลจากยุคเรืองปัญญา โดยทรงมีความพยายามที่จะช่วยเหลืออาณาจักรของพระองค์ที่กำลังเสื่อมสลายถึงการปฏิรูปที่อ่อนตัวลง เช่น คริสตจักรและพระราชวงศ์ ในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า การพานิชย์ และการเกษตรที่ทันสมัยและการหลีกเลี่ยงสงคราม ทรงไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจกับการควบคุมเงินและถูกบังคับให้ยืมเงินเพื่อสนองค่าใช้จ่าย ทำให้การปฏิรูปของพระองค์ได้รับการพิสูจน์ในระยะสั้นว่าหลังการสวรรคตของพระองค์การเปลี่ยนแปลงของพระองค์เห็นผล แต่พระราชมรดกของพระองค์ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์สแตนเลย์แพนรัฐการ์โลสที่ 3 ได้กล่าวว่า "อาจจะเป็นผู้ปกครองในยุโรปที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรัชสมัยของพระองค์ ทรงทำให้ความสอดคล้องความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด โดยทรงเลือกรัฐมนตรีที่มีความสามารถ...ชีวิตส่วนพระองค์ได้รับการยอมรับนับถือของประชาชน"
|
พระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปนทรงมีพระราชโอรสและธิดารวมทั้งสิ้นกี่พระองค์
|
{
"answer": [
"13"
],
"answer_begin_position": [
1034
],
"answer_end_position": [
1036
]
}
|
2,300 | 5,871 |
ปูมะพร้าว ปูมะพร้าว (; ชื่อวิทยาศาสตร์: Birgus latro) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน และเป็นสัตว์ขาปล้องขนาดใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน กิตติศัพท์ที่ว่าปูมะพร้าวสามารถเจาะลูกมะพร้าวด้วยก้ามอันทรงพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันดี ในบางครั้งปูมะพร้าวถูกเรียกว่า ปูปล้น หรือ ปาล์มขโมย (เยอรมัน: Palmendieb) ทั้งนี้เนื่องจากปูมะพร้าวมักจะขโมยข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่ส่องประกาย อย่างเช่น หม้อ หรือถ้วยสแตนเลส บางคนเรียกปูมะพร้าวว่า ปูเสฉวนบก แต่อันที่จริงนอกจากปูมะพร้าวแล้ว ยังมีปูชนิดอื่นอีกที่จัดได้ว่าเป็นปูเสฉวนบกเช่นกัน นอกจากนี้ ปูมะพร้าวอาจมีชื่อเรียกต่างกันไปอีกในแต่ละที่ เช่น ที่เกาะกวม เรียกปูมะพร้าวว่า อายูยูลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ. ขนาดตัวของปูมะพร้าวนั้นหลากหลาย ตัวเต็มวัยของปูมะพร้าวสามารถเจริญเติบโตจนมีน้ำหนัก 4 กิโลกรัม และความยาวของลำตัว 40 เซนติเมตร แต่ถ้านับรวมช่วงขาแล้วจะยาวถึง 1 เมตรได้ทีเดียว โดยทั่วไปตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีรายงานว่ามีการพบปูมะพร้าวที่หนักถึง 17 กิโลกรัม และมีความยาวของลำตัว 1 เมตร ซึ่งเป็นที่เชื่อว่านี่คือขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ของสัตว์ขาปล้องที่อยู่บนบก ปูมะพร้าวมีอายุประมาณ 30-60 ปี ลำตัวของปูมะพร้าวก็เหมือนกับสัตว์ทศบาททั่วไป คือประกอบด้วยส่วนหัวอก (เซฟาโลโทแรกซ์) และส่วนท้อง ที่มี 10 ขา ขาคู่หน้าสุดของปูมะพร้าวเป็นก้ามขนาดใหญ่ ใช้สำหรับเจาะลูกมะพร้าว และสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 29 กิโลกรัม ขาอีกสามคู่ถัดมามีลักษณะคล้ายแหนบ ใช้สำหรับเดินและปีนป่าย (ปูมะพร้าวสามารถใช้ขาทั้งสามคู่นี้ไต่ต้นมะพร้าวได้สูงถึง 6 เมตร) ส่วนขาคู่สุดท้ายนั้นเล็กมาก ใช้สำหรับทำความสะอาดอวัยวะหายใจ ขาคู่นี้มักจะอยู่ในกระดองตรงช่องที่บรรจุอวัยวะหายใจ แม้ปูมะพร้าวจะวิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน แต่มีเพียงตัวอ่อนของปูมะพร้าวเท่านั้นที่ต้องการ[[เปลือกหอย]]มาปกป้องส่วนท้อง ตัวเต็มวัยของปูมะพร้าวสามารถสร้างส่วนท้องที่แข็งแรงขึ้นได้ด้วย[[ไคติน]] และ[[ชอล์ค (แร่)|ชอล์ค]] เปลือกแข็งที่ส่วนท้องนี้ช่วยป้องกันอันตรายและลดการเสียน้ำบนพื้นดิน ปูมะพร้าวจะ[[ลอกคราบ]]เปลือกแข็งนี้ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ 1 ปี) การลอกคราบครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 วัน โดยช่วงที่ลอกคราบเสร็จใหม่ๆ ส่วนท้องของปูมะพร้าวจะอ่อนแอ และต้องการการป้องกัน ปูมะพร้าวมีอวัยวะพิเศษสำหรับหายใจ เรียกว่า branchiostegal lung อวัยวะนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นครึ่ง[[เหงือก]]ครึ่ง[[ปอด]] ตั้งอยู่ด้านหลังของส่วนหัวอก มี[[เนื้อเยื่อ]]คล้ายเหงือก แต่เนื้อเยื่อนี้ทำหน้าที่[[แลกเปลี่ยนก๊าซ]]จากในอากาศ ไม่ใช่ในน้ำ ปูมะพร้าวมีเหงือกอยู่เหมือนกัน แต่เหงือกนี้ก็ไม่สามารถรับ[[ออกซิเจน]]ได้มากนัก จึงไม่มีประโยชน์อะไร เหงือกนี้น่าจะเป็นสิ่งหลงเหลือจาก[[ทฤษฎีวิวัฒนาการ|วิวัฒนาการ]]มากกว่า ปูมะพร้าวจึงว่ายน้ำไม่เป็น และอาจจะจมน้ำตายได้ถ้าอยู่ในน้ำนานๆอาหารการกิน อาหารการกิน. อาหารหลักของปูมะพร้าวคือ[[ผลไม้]] โดยเฉพาะมะพร้าว อย่างไรก็ดี อะไรอย่างอื่นที่เป็นชีวภาพ ปูมะพร้าวสามารถกินได้หมด ไม่ว่าจะเป็น [[ใบไม้]] ผลไม้เน่า [[ไข่เต่า]] [[ซากสัตว์]] และ[[เปลือก (สัตว์)|เปลือก]]ของสัตว์อื่นๆ ปูมะพร้าวอาจกินสัตว์อื่นเป็นๆ ที่เคลื่อนไหวช้า เช่น [[เต่าทะเล]]ที่เพิ่ง[[ฟักไข่|ฟัก]]ออกจากไข่ เป็นต้น บ่อยครั้ง ปูมะพร้าวชอบที่จะขโมยอาหารจากปูมะพร้าวตัวอื่น และเอาอาหารลงไปกินใน[[รู (ที่อาศัยของสัตว์)|รู]]ของมัน ปูมะพร้าวชอบปีนต้นไม้เพื่อหาอาหาร นอกจากนั้นยังเพื่อหลบร้อนและหลีกภัย บางคนเชื่อว่าปูมะพร้าวตัดลูกมะพร้าวจากต้นแล้วลงมากินที่พื้น แต่[[ชีววิทยา|นักชีววิทยา]][[ประเทศเยอรมนี|ชาวเยอรมัน]] [[โฮลเกอร์ รัมพ์ฟ]] บอกว่าปูมะพร้าวไม่ได้ฉลาดพอที่จะคิดแผนการได้ถึงขนาดนั้น มันเพียงบังเอิญทำลูกมะพร้าวหล่นตอนที่จะกินลูกมะพร้าวบนต้นเท่านั้นเองการกระจายตัว การกระจายตัว. [[ไฟล์:DistributionCoconutCrab.png|thumb|left|300px|การกระจายตัวของปูมะพร้าว]] ปูมะพร้าวสามารถพบได้ที่[[หมู่เกาะ]]ใน[[มหาสมุทรอินเดีย]]และหมู่เกาะทางตะวันตกของ[[มหาสมุทรแปซิฟิก]] [[เกาะคริสต์มาสต์]]ในมหาสมุทรอินเดียนับได้ว่าเป็นแหล่งอาศัยของปูมะพร้าวที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด [[หมู่เกาะคุก]]ในมหาสมุทรแปซิฟิกก็นับว่ามีปูมะพร้าวจำนวนมากไม่แพ้กัน นอกจากนี้ปูมะพร้าวยังพบได้ที่อื่นอีก เช่น ใน[[ประเทศเซเชลส์|เซเชลส์]] เป็นต้น การกระจายตัวของปูมะพร้าวสามารถแสดงคร่าวๆ ได้ดังรูปด้านขวามือ ลักษณะสีของปูมะพร้าวจะต่างกันไปตามแต่ละเกาะ ตั้งแต่[[สีม่วง|สีม่วงอ่อน]] [[สีม่วง|สีม่วงเข้ม]] ไปจนถึง[[สีน้ำตาล]] เนื่องจากปูมะพร้าวว่ายน้ำได้เฉพาะช่วงที่เป็นตัวอ่อนเท่านั้น และช่วงที่ตัวอ่อนของปูมะพร้าวมีระยะเวลาเพียง 28 วัน จึงสันนิษฐานว่าการกระจายของปูมะพร้าวจากเกาะหนึ่งไปสู่อีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไกลๆ น่าจะเป็นด้วยวิธีเกาะขอนไม้ หรือสิ่งอื่นที่ลอยได้ มากกว่าจะว่ายน้ำไป การกระจายตัวในรูปพบว่ามีช่องว่างที่ช่วง[[เกาะบอร์เนียว]] และ[[ปาปัวนิวกินี]] คาดว่าที่ไม่มีปูมะพร้าวอยู่บนเกาะเหล่านี้เป็นเพราะปูมะพร้าวถูกมนุษย์จับกินหมดแล้วนั่นเองปูมะพร้าวในประเทศไทย ปูมะพร้าวในประเทศไทย. เมื่อปี [[พ.ศ. 2540]] ขณะที่[[ทหารเรือ]]จาก[[กองเรือภาคที่ 3]] เฝ้าไข่[[เต่าตนุ]]อยู่ที่[[เกาะหนึ่ง]] ในหมู่เกาะสิมิลัน พบปูมะพร้าวน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ออกมาหากินที่ชายหาดแถวนั้นเป็นประจำ โดยมีภาพถ่ายจากนาวาเอกวินัย กล่อมอินทร์ เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต ส่งทีมงานเข้าไปสำรวจหาปูมะพร้าวที่เกาะหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2542 ก็ไม่พบปูมะพร้าวแม้แต่ตัวเดียว กล่าวได้ว่าปูมะพร้าวเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ยากมากในเมืองไทย เช่นเดียวกับ [[หอยมือเสือยักษ์]] หรือ[[นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร]] เลยทีเดียว ในปี พ.ศ. 2542 เรือสำรวจแหล่ง[[ปลาทูน่า]]ใน[[ทะเลสากล]]ของ[[กรมประมง]] เมื่อเดินทางไปสำรวจมหาสมุทรอินเดียแล้ว ได้นำปูมะพร้าวจำนวน 23 ตัว จาก[[เกาะแอสซัมชัน]] ประเทศเซเชลส์ กลับมาประเทศไทยด้วย โดยเป็นตัวผู้ 4 ตัว และตัวเมีย 19 ตัว ซึ่งตอนนี้เลี้ยงไว้ที่สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต คาดว่าปูมะพร้าวที่นำมานี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาวิจัยเรื่องปูมะพร้าวในประเทศไทยต่อไป และในปีเดียวกัน มีหลักฐานการพบปูมะพร้าวใน[[ประเทศไทย]]เพียง 3 ครั้ง ครั้งแรกเป็นในปี [[พ.ศ. 2530]] เมื่อชาวประมงจับปูมะพร้าวได้ที่บริเวณ[[เกาะสี่]] ใน[[หมู่เกาะสิมิลัน]] และได้ส่งปูตัวนั้นให้[[เรือจุฬาภรณ์]]มอบต่อให้[[สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล|สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต]] ปัจจุบันปูตัวนี้แสดงอยู่ที่[[สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต]] (อะควอเรี่ยมแหลมพันวา) ส่วนหลักฐานอีกชิ้นเป็นซากสตัฟฟ์อยู่ที่ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล [[คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์]] ซึ่งเป็นปูมะพร้าวที่ค่ายมวย[[จังหวัดระนอง]]เลี้ยงไว้ โดยให้กิน[[ไขมัน|มัน]][[หมู]]เป็นอาหาร ปรากฏว่าปูชอบมากอยู่มาได้หลายปี เมื่อตายจึงส่งตัวอย่างให้ภาควิชา ในปลายปี พ.ศ. 2557 มีรายงานการพบปูมะพร้าวคู่แม่ลูก 3 ตัวด้วยกัน ที่เกาะสี่ ภายในหมู่เกาะสิมิลัน นับเป็นการกลับมาอีกครั้งของปูมะพร้าวในรอบนับ 10 ปี บ่งบอกว่ามีการแพร่ขยายพันธุ์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการอนุรักษ์ธรรมชาติ
|
ปูมะพร้าวเป็นปูที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ชนิดใด
|
{
"answer": [
"ปูเสฉวน"
],
"answer_begin_position": [
216
],
"answer_end_position": [
223
]
}
|
2,301 | 5,871 |
ปูมะพร้าว ปูมะพร้าว (; ชื่อวิทยาศาสตร์: Birgus latro) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน และเป็นสัตว์ขาปล้องขนาดใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน กิตติศัพท์ที่ว่าปูมะพร้าวสามารถเจาะลูกมะพร้าวด้วยก้ามอันทรงพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันดี ในบางครั้งปูมะพร้าวถูกเรียกว่า ปูปล้น หรือ ปาล์มขโมย (เยอรมัน: Palmendieb) ทั้งนี้เนื่องจากปูมะพร้าวมักจะขโมยข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่ส่องประกาย อย่างเช่น หม้อ หรือถ้วยสแตนเลส บางคนเรียกปูมะพร้าวว่า ปูเสฉวนบก แต่อันที่จริงนอกจากปูมะพร้าวแล้ว ยังมีปูชนิดอื่นอีกที่จัดได้ว่าเป็นปูเสฉวนบกเช่นกัน นอกจากนี้ ปูมะพร้าวอาจมีชื่อเรียกต่างกันไปอีกในแต่ละที่ เช่น ที่เกาะกวม เรียกปูมะพร้าวว่า อายูยูลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ. ขนาดตัวของปูมะพร้าวนั้นหลากหลาย ตัวเต็มวัยของปูมะพร้าวสามารถเจริญเติบโตจนมีน้ำหนัก 4 กิโลกรัม และความยาวของลำตัว 40 เซนติเมตร แต่ถ้านับรวมช่วงขาแล้วจะยาวถึง 1 เมตรได้ทีเดียว โดยทั่วไปตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีรายงานว่ามีการพบปูมะพร้าวที่หนักถึง 17 กิโลกรัม และมีความยาวของลำตัว 1 เมตร ซึ่งเป็นที่เชื่อว่านี่คือขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ของสัตว์ขาปล้องที่อยู่บนบก ปูมะพร้าวมีอายุประมาณ 30-60 ปี ลำตัวของปูมะพร้าวก็เหมือนกับสัตว์ทศบาททั่วไป คือประกอบด้วยส่วนหัวอก (เซฟาโลโทแรกซ์) และส่วนท้อง ที่มี 10 ขา ขาคู่หน้าสุดของปูมะพร้าวเป็นก้ามขนาดใหญ่ ใช้สำหรับเจาะลูกมะพร้าว และสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 29 กิโลกรัม ขาอีกสามคู่ถัดมามีลักษณะคล้ายแหนบ ใช้สำหรับเดินและปีนป่าย (ปูมะพร้าวสามารถใช้ขาทั้งสามคู่นี้ไต่ต้นมะพร้าวได้สูงถึง 6 เมตร) ส่วนขาคู่สุดท้ายนั้นเล็กมาก ใช้สำหรับทำความสะอาดอวัยวะหายใจ ขาคู่นี้มักจะอยู่ในกระดองตรงช่องที่บรรจุอวัยวะหายใจ แม้ปูมะพร้าวจะวิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน แต่มีเพียงตัวอ่อนของปูมะพร้าวเท่านั้นที่ต้องการ[[เปลือกหอย]]มาปกป้องส่วนท้อง ตัวเต็มวัยของปูมะพร้าวสามารถสร้างส่วนท้องที่แข็งแรงขึ้นได้ด้วย[[ไคติน]] และ[[ชอล์ค (แร่)|ชอล์ค]] เปลือกแข็งที่ส่วนท้องนี้ช่วยป้องกันอันตรายและลดการเสียน้ำบนพื้นดิน ปูมะพร้าวจะ[[ลอกคราบ]]เปลือกแข็งนี้ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ 1 ปี) การลอกคราบครั้งหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30 วัน โดยช่วงที่ลอกคราบเสร็จใหม่ๆ ส่วนท้องของปูมะพร้าวจะอ่อนแอ และต้องการการป้องกัน ปูมะพร้าวมีอวัยวะพิเศษสำหรับหายใจ เรียกว่า branchiostegal lung อวัยวะนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นครึ่ง[[เหงือก]]ครึ่ง[[ปอด]] ตั้งอยู่ด้านหลังของส่วนหัวอก มี[[เนื้อเยื่อ]]คล้ายเหงือก แต่เนื้อเยื่อนี้ทำหน้าที่[[แลกเปลี่ยนก๊าซ]]จากในอากาศ ไม่ใช่ในน้ำ ปูมะพร้าวมีเหงือกอยู่เหมือนกัน แต่เหงือกนี้ก็ไม่สามารถรับ[[ออกซิเจน]]ได้มากนัก จึงไม่มีประโยชน์อะไร เหงือกนี้น่าจะเป็นสิ่งหลงเหลือจาก[[ทฤษฎีวิวัฒนาการ|วิวัฒนาการ]]มากกว่า ปูมะพร้าวจึงว่ายน้ำไม่เป็น และอาจจะจมน้ำตายได้ถ้าอยู่ในน้ำนานๆอาหารการกิน อาหารการกิน. อาหารหลักของปูมะพร้าวคือ[[ผลไม้]] โดยเฉพาะมะพร้าว อย่างไรก็ดี อะไรอย่างอื่นที่เป็นชีวภาพ ปูมะพร้าวสามารถกินได้หมด ไม่ว่าจะเป็น [[ใบไม้]] ผลไม้เน่า [[ไข่เต่า]] [[ซากสัตว์]] และ[[เปลือก (สัตว์)|เปลือก]]ของสัตว์อื่นๆ ปูมะพร้าวอาจกินสัตว์อื่นเป็นๆ ที่เคลื่อนไหวช้า เช่น [[เต่าทะเล]]ที่เพิ่ง[[ฟักไข่|ฟัก]]ออกจากไข่ เป็นต้น บ่อยครั้ง ปูมะพร้าวชอบที่จะขโมยอาหารจากปูมะพร้าวตัวอื่น และเอาอาหารลงไปกินใน[[รู (ที่อาศัยของสัตว์)|รู]]ของมัน ปูมะพร้าวชอบปีนต้นไม้เพื่อหาอาหาร นอกจากนั้นยังเพื่อหลบร้อนและหลีกภัย บางคนเชื่อว่าปูมะพร้าวตัดลูกมะพร้าวจากต้นแล้วลงมากินที่พื้น แต่[[ชีววิทยา|นักชีววิทยา]][[ประเทศเยอรมนี|ชาวเยอรมัน]] [[โฮลเกอร์ รัมพ์ฟ]] บอกว่าปูมะพร้าวไม่ได้ฉลาดพอที่จะคิดแผนการได้ถึงขนาดนั้น มันเพียงบังเอิญทำลูกมะพร้าวหล่นตอนที่จะกินลูกมะพร้าวบนต้นเท่านั้นเองการกระจายตัว การกระจายตัว. [[ไฟล์:DistributionCoconutCrab.png|thumb|left|300px|การกระจายตัวของปูมะพร้าว]] ปูมะพร้าวสามารถพบได้ที่[[หมู่เกาะ]]ใน[[มหาสมุทรอินเดีย]]และหมู่เกาะทางตะวันตกของ[[มหาสมุทรแปซิฟิก]] [[เกาะคริสต์มาสต์]]ในมหาสมุทรอินเดียนับได้ว่าเป็นแหล่งอาศัยของปูมะพร้าวที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด [[หมู่เกาะคุก]]ในมหาสมุทรแปซิฟิกก็นับว่ามีปูมะพร้าวจำนวนมากไม่แพ้กัน นอกจากนี้ปูมะพร้าวยังพบได้ที่อื่นอีก เช่น ใน[[ประเทศเซเชลส์|เซเชลส์]] เป็นต้น การกระจายตัวของปูมะพร้าวสามารถแสดงคร่าวๆ ได้ดังรูปด้านขวามือ ลักษณะสีของปูมะพร้าวจะต่างกันไปตามแต่ละเกาะ ตั้งแต่[[สีม่วง|สีม่วงอ่อน]] [[สีม่วง|สีม่วงเข้ม]] ไปจนถึง[[สีน้ำตาล]] เนื่องจากปูมะพร้าวว่ายน้ำได้เฉพาะช่วงที่เป็นตัวอ่อนเท่านั้น และช่วงที่ตัวอ่อนของปูมะพร้าวมีระยะเวลาเพียง 28 วัน จึงสันนิษฐานว่าการกระจายของปูมะพร้าวจากเกาะหนึ่งไปสู่อีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไกลๆ น่าจะเป็นด้วยวิธีเกาะขอนไม้ หรือสิ่งอื่นที่ลอยได้ มากกว่าจะว่ายน้ำไป การกระจายตัวในรูปพบว่ามีช่องว่างที่ช่วง[[เกาะบอร์เนียว]] และ[[ปาปัวนิวกินี]] คาดว่าที่ไม่มีปูมะพร้าวอยู่บนเกาะเหล่านี้เป็นเพราะปูมะพร้าวถูกมนุษย์จับกินหมดแล้วนั่นเองปูมะพร้าวในประเทศไทย ปูมะพร้าวในประเทศไทย. เมื่อปี [[พ.ศ. 2540]] ขณะที่[[ทหารเรือ]]จาก[[กองเรือภาคที่ 3]] เฝ้าไข่[[เต่าตนุ]]อยู่ที่[[เกาะหนึ่ง]] ในหมู่เกาะสิมิลัน พบปูมะพร้าวน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ออกมาหากินที่ชายหาดแถวนั้นเป็นประจำ โดยมีภาพถ่ายจากนาวาเอกวินัย กล่อมอินทร์ เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต ส่งทีมงานเข้าไปสำรวจหาปูมะพร้าวที่เกาะหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2542 ก็ไม่พบปูมะพร้าวแม้แต่ตัวเดียว กล่าวได้ว่าปูมะพร้าวเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ยากมากในเมืองไทย เช่นเดียวกับ [[หอยมือเสือยักษ์]] หรือ[[นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร]] เลยทีเดียว ในปี พ.ศ. 2542 เรือสำรวจแหล่ง[[ปลาทูน่า]]ใน[[ทะเลสากล]]ของ[[กรมประมง]] เมื่อเดินทางไปสำรวจมหาสมุทรอินเดียแล้ว ได้นำปูมะพร้าวจำนวน 23 ตัว จาก[[เกาะแอสซัมชัน]] ประเทศเซเชลส์ กลับมาประเทศไทยด้วย โดยเป็นตัวผู้ 4 ตัว และตัวเมีย 19 ตัว ซึ่งตอนนี้เลี้ยงไว้ที่สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต คาดว่าปูมะพร้าวที่นำมานี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาวิจัยเรื่องปูมะพร้าวในประเทศไทยต่อไป และในปีเดียวกัน มีหลักฐานการพบปูมะพร้าวใน[[ประเทศไทย]]เพียง 3 ครั้ง ครั้งแรกเป็นในปี [[พ.ศ. 2530]] เมื่อชาวประมงจับปูมะพร้าวได้ที่บริเวณ[[เกาะสี่]] ใน[[หมู่เกาะสิมิลัน]] และได้ส่งปูตัวนั้นให้[[เรือจุฬาภรณ์]]มอบต่อให้[[สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล|สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จังหวัดภูเก็ต]] ปัจจุบันปูตัวนี้แสดงอยู่ที่[[สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต]] (อะควอเรี่ยมแหลมพันวา) ส่วนหลักฐานอีกชิ้นเป็นซากสตัฟฟ์อยู่ที่ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล [[คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์]] ซึ่งเป็นปูมะพร้าวที่ค่ายมวย[[จังหวัดระนอง]]เลี้ยงไว้ โดยให้กิน[[ไขมัน|มัน]][[หมู]]เป็นอาหาร ปรากฏว่าปูชอบมากอยู่มาได้หลายปี เมื่อตายจึงส่งตัวอย่างให้ภาควิชา ในปลายปี พ.ศ. 2557 มีรายงานการพบปูมะพร้าวคู่แม่ลูก 3 ตัวด้วยกัน ที่เกาะสี่ ภายในหมู่เกาะสิมิลัน นับเป็นการกลับมาอีกครั้งของปูมะพร้าวในรอบนับ 10 ปี บ่งบอกว่ามีการแพร่ขยายพันธุ์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการอนุรักษ์ธรรมชาติ
|
ปูมะพร้าวมีขาทั้งหมดกี่ขา
|
{
"answer": [
"10"
],
"answer_begin_position": [
1299
],
"answer_end_position": [
1301
]
}
|
2,302 | 451,316 |
วงแหวนของดาวเนปจูน วงแหวนของดาวเนปจูน () มีลักษณะมีความสว่างไม่มากนัก เพราะประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาด 1 ไมโครเมตร จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส ซึ่งนักดาราศาสตร์สำรวจพบระบบวงแหวนของดาวเนปจูนเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 60 และในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ทำให้นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วง วงแหวนของดาวเนปจูน ได้แก่ วงแหวนแอดัมส์, วงแหวนอราโก, วงแหวนแลสเซลล์, วงแหวนเลอ แวรีเย และวงแหวนกัลเลอ นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมาก ๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วง ที่อยู่ในวงโคจรเดียวกันกับดวงจันทร์แกลาเทีย และยังมีดวงจันทร์บริวารของดาวเนปจูนอีก 3 ดวง คือ เนแอด, ทาแลสซา และดิสพีนา ที่มีวงโคจรอยู่ภายในระบบวงแหวนเช่นเดียวกันประวัติการค้นพบ ประวัติการค้นพบ. วงแหวนของดาวเนปจูนไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกล้องโทรทรรศน์ขนานเล็ก โดยการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตการ์ณดาวเนปจูนกล้องโทรทรรศน์ขยายใหญ่ ซึ่งเห็นวงแหวนบางส่วน และดาวเนปจูน "กะพริบตา" เพียงเล็กน้อย จนถึงในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ปรากฏว่าวงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วย วัตถุเล็ก ๆ สีมืดคล้ำ กระจายเป็นวงรอบดาวเนปจูน วงแหวนบางส่วนเล็กและบาง จนไม่สามารถสังเกตเห็นจากโลก สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฝุ่น ที่เกิดจากเศษดาวเคราะห์พุ่งชนดาวบริวาร ของดาวเนปจูนจนฟุ้งกระจาย และถูกดาวเนปจูนดึงดูดไว้ กลายเป็นส่วนประกอบในวงแหวน ในภายหลัง นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วง วงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนมีชื่อว่า วงแหวนแอดัมส์ ส่วนชั้นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในอีก 4 วง ได้แก่ วงแหวนอราโก, วงแหวนแลสเซลล์, วงแหวนเลอ แวรีเย และวงแหวนกัลเลอ นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมาก ๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วงขนาดวงแหวน ขนาดวงแหวน. วงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาด 1 ไมโครเมตร จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร โดยวงแหวนแต่วงมีขนาด ดังนี้ข้อมูลจำเพาะวงแหวนกัลเลอ ข้อมูลจำเพาะ. วงแหวนกัลเลอ. วงแหวนกัลเลอ () เป็นวงแหวนชั้นในสุดของดาวเนปจูน โดยชื่อ "Galle" มาจาก โยฮันน์ กอทท์ฟรีด กัลเลอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ วงแหวนกัลเลอมีรัศมี 40,900 - 42,900 กม. ความกว้าง 2,000 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 40 - 70%วงแหวนเลอ แวรีเย วงแหวนเลอ แวรีเย. วงแหวนเลอ แวรีเย () เป็นวงแหวนชั้นที่สองของดาวเนปจูน ลักษณะเป็นวงแหวนที่แคบ มีรัศมี 53,200 กม. ความกว้าง 113 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 40 - 70%วงแหวนแลสเซลล์ วงแหวนแลสเซลล์. วงแหวนแลสเซลล์ () เป็นวงแหวนชั้นที่สามของดาวเนปจูน มีรัศมี 53,200 - 57,200 กม. ความกว้าง 4,000 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 20 - 40%วงแหวนอราโก วงแหวนอราโก. วงแหวนอราโก () เป็นวงแหวนชั้นที่สี่ของดาวเนปจูน มีรัศมี 57,200 กม. และมีความกว้างมากกว่า 100 กม.วงแหวนแอดัมส์ วงแหวนแอดัมส์. วงแหวนแอดัมส์ () เป็นวงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนที่ถูกค้นพบโดย ยานวอยเอเจอร์ 2 ในปี ค.ศ. 1989 โดยซึ่งได้ส่งภาพวงแหวนนี้ตรงส่วนอาร์ค มีลักษณะบิดโค้ง และประกอบด้วยอาร์ค 5 อาร์ค ชื่อ ลิเบอร์ตี้, อีควอลิตี้ 1, อีควอลิตี้ 2, เคอริจ และฟราเทอนีตี้ วงแหวนแอดัมส์มีรัศมี 62,932 กม. ความกว้าง 15 - 50 มีปริมาณเศษฝุ่น 20 - 40% และมีปริมาณเศษฝุ่นในอาร์ค 40 - 70% โดยชื่อ "Adams" มาจาก จอห์น คูช แอดัมส์ เพื่อเป็นการให้เกียรติอาร์คการจางหายไปของอาร์ค การจางหายไปของอาร์ค. ในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2ได้ส่งภาพอาร์คของวงแหวน สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน แต่ในปี ค.ศ. 2002 และ ค.ศ. 2003 Imke de Pater จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และเพื่อนร่วมงานอีก 10 คน เดินทางมาที่รัฐฮาวาย และใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องไปที่วงแหวนแอดัมส์พร้อมกับวิเคราะห์ ปรากฏว่าอาร์คของวงแหวนแอดัมส์กลับได้จางหายไป โดยพวกเขาได้เรียกอาร์คของวงแหวนแอดัมส์นั้นว่า ลิเบอร์ตี้
|
ดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบทั้งหมดกี่วง
|
{
"answer": [
"5"
],
"answer_begin_position": [
510
],
"answer_end_position": [
511
]
}
|
2,303 | 451,316 |
วงแหวนของดาวเนปจูน วงแหวนของดาวเนปจูน () มีลักษณะมีความสว่างไม่มากนัก เพราะประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาด 1 ไมโครเมตร จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส ซึ่งนักดาราศาสตร์สำรวจพบระบบวงแหวนของดาวเนปจูนเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 60 และในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ทำให้นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วง วงแหวนของดาวเนปจูน ได้แก่ วงแหวนแอดัมส์, วงแหวนอราโก, วงแหวนแลสเซลล์, วงแหวนเลอ แวรีเย และวงแหวนกัลเลอ นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมาก ๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วง ที่อยู่ในวงโคจรเดียวกันกับดวงจันทร์แกลาเทีย และยังมีดวงจันทร์บริวารของดาวเนปจูนอีก 3 ดวง คือ เนแอด, ทาแลสซา และดิสพีนา ที่มีวงโคจรอยู่ภายในระบบวงแหวนเช่นเดียวกันประวัติการค้นพบ ประวัติการค้นพบ. วงแหวนของดาวเนปจูนไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกล้องโทรทรรศน์ขนานเล็ก โดยการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตการ์ณดาวเนปจูนกล้องโทรทรรศน์ขยายใหญ่ ซึ่งเห็นวงแหวนบางส่วน และดาวเนปจูน "กะพริบตา" เพียงเล็กน้อย จนถึงในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ปรากฏว่าวงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วย วัตถุเล็ก ๆ สีมืดคล้ำ กระจายเป็นวงรอบดาวเนปจูน วงแหวนบางส่วนเล็กและบาง จนไม่สามารถสังเกตเห็นจากโลก สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฝุ่น ที่เกิดจากเศษดาวเคราะห์พุ่งชนดาวบริวาร ของดาวเนปจูนจนฟุ้งกระจาย และถูกดาวเนปจูนดึงดูดไว้ กลายเป็นส่วนประกอบในวงแหวน ในภายหลัง นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วง วงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนมีชื่อว่า วงแหวนแอดัมส์ ส่วนชั้นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในอีก 4 วง ได้แก่ วงแหวนอราโก, วงแหวนแลสเซลล์, วงแหวนเลอ แวรีเย และวงแหวนกัลเลอ นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมาก ๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วงขนาดวงแหวน ขนาดวงแหวน. วงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาด 1 ไมโครเมตร จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร โดยวงแหวนแต่วงมีขนาด ดังนี้ข้อมูลจำเพาะวงแหวนกัลเลอ ข้อมูลจำเพาะ. วงแหวนกัลเลอ. วงแหวนกัลเลอ () เป็นวงแหวนชั้นในสุดของดาวเนปจูน โดยชื่อ "Galle" มาจาก โยฮันน์ กอทท์ฟรีด กัลเลอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ วงแหวนกัลเลอมีรัศมี 40,900 - 42,900 กม. ความกว้าง 2,000 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 40 - 70%วงแหวนเลอ แวรีเย วงแหวนเลอ แวรีเย. วงแหวนเลอ แวรีเย () เป็นวงแหวนชั้นที่สองของดาวเนปจูน ลักษณะเป็นวงแหวนที่แคบ มีรัศมี 53,200 กม. ความกว้าง 113 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 40 - 70%วงแหวนแลสเซลล์ วงแหวนแลสเซลล์. วงแหวนแลสเซลล์ () เป็นวงแหวนชั้นที่สามของดาวเนปจูน มีรัศมี 53,200 - 57,200 กม. ความกว้าง 4,000 กม. และมีปริมาณเศษฝุ่น 20 - 40%วงแหวนอราโก วงแหวนอราโก. วงแหวนอราโก () เป็นวงแหวนชั้นที่สี่ของดาวเนปจูน มีรัศมี 57,200 กม. และมีความกว้างมากกว่า 100 กม.วงแหวนแอดัมส์ วงแหวนแอดัมส์. วงแหวนแอดัมส์ () เป็นวงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนที่ถูกค้นพบโดย ยานวอยเอเจอร์ 2 ในปี ค.ศ. 1989 โดยซึ่งได้ส่งภาพวงแหวนนี้ตรงส่วนอาร์ค มีลักษณะบิดโค้ง และประกอบด้วยอาร์ค 5 อาร์ค ชื่อ ลิเบอร์ตี้, อีควอลิตี้ 1, อีควอลิตี้ 2, เคอริจ และฟราเทอนีตี้ วงแหวนแอดัมส์มีรัศมี 62,932 กม. ความกว้าง 15 - 50 มีปริมาณเศษฝุ่น 20 - 40% และมีปริมาณเศษฝุ่นในอาร์ค 40 - 70% โดยชื่อ "Adams" มาจาก จอห์น คูช แอดัมส์ เพื่อเป็นการให้เกียรติอาร์คการจางหายไปของอาร์ค การจางหายไปของอาร์ค. ในปี ค.ศ. 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2ได้ส่งภาพอาร์คของวงแหวน สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน แต่ในปี ค.ศ. 2002 และ ค.ศ. 2003 Imke de Pater จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และเพื่อนร่วมงานอีก 10 คน เดินทางมาที่รัฐฮาวาย และใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องไปที่วงแหวนแอดัมส์พร้อมกับวิเคราะห์ ปรากฏว่าอาร์คของวงแหวนแอดัมส์กลับได้จางหายไป โดยพวกเขาได้เรียกอาร์คของวงแหวนแอดัมส์นั้นว่า ลิเบอร์ตี้
|
วงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนมีชื่อว่าอะไร
|
{
"answer": [
"วงแหวนแอดัมส์"
],
"answer_begin_position": [
1568
],
"answer_end_position": [
1581
]
}
|
2,304 | 132,564 |
แฟรี่แลนด์ออนไลน์ แฟรี่แลนด์ออนไลน์ () เป็นเกมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท เลเกอร์ เน็คเวิดต์ เทคโนโลยี และได้เปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2546 และได้ปิดบริการไปเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2549 ลักษณะของเกม เป็นเกม MMORPG ที่อิงเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก นิยาย และนิทานต่างๆ มาประกอบกันเป็นเกมส์ขึ้นมา โดย Thailand Fairyland Online ได้ดำเนินการให้บริการโดยบริษัท จัสซันเดย์ ไซเบอร์เนชั่น ซึ่งปัจจุบันได้ปิดทำการ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซิลเวอร์คอยน์ภาพรวม ภาพรวม. เกมแฟรี่แลนด์เป็นเกมประเภท MMORPG หรือ massively (or massive) multiplayer online role-playing game ซึ่งทำให้ผู้เล่นสามารถพบปะ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นอื่นได้หลากหลายอย่างอิสระ การเล่นเกมแฟรี่แลนด์ ผู้เล่นจะต้องเลือกที่จะเล่นเป็นตัวละครอาชีพต่างๆ (role-playing) ซึ่งตัวละครแต่ละอาชีพจะมีความสามารถ และจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป มีทั้งสายอาชีพที่สามารถเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ และสายอาชีพที่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้เล่นอื่น รวมถึงสายอาชีพเพื่อทำงานและหาเงิน พื้นฐานโดยทั่วไปของการเล่นเกมคือการกำจัดสัตว์ประหลาดเพื่อสะสมไอเทม และได้รับค่าประสบการณ์ เพื่อนำมาพัฒนาสกิล หรือพัฒนาความสามารถของตนให้สูงขึ้น หรือว่าการใช้ทักษะทำงานในการหาของเพื่อที่จะประบกอบไอเทมขึ้นมาเพื่อใช้หรือขายได้ ซึ่งผู้เล่นสามารถที่จะเลือกพัฒนาตัวละครของตัวเองได้อย่างอิสระ ทั้งความสามารถและลักษณะเด่นในตัวเองรวมทั้งการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการเล่นของตนเอง เช่น พัฒนาเพื่อสนับสนุนผู้เล่นอื่น พัฒนาเพื่อการต่อสู้ตัวต่อตัว (PK) หรือพัฒนาเพื่อต่อสู้ในสงครามป้องกันชนเผ่า ซึ่งลักษณะของการพัฒนาความสามารถ และการใช้ ไอเทมได้อย่างอิสระนี้เอง รวมทั้งสัตว์ประหลาดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถ และจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน ลักษณะในการโจมตี และการป้องกันที่แตกต่างกันไปในสัตว์ประหลาดแต่ละชนิด ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 ธาตุ จะลบกันเอง ทำให้ผู้เล่น สามารถที่จะเลือกใช้ความสามารถ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับการกำจัดสัตว์ประหลาดนั้น ผู้ที่เล่นเกมต้องทำการละทะเบียนเพื่อรับไอดีสำหรับการเล่นเกม ซึ่งสามารถทำได้ผ่านหน้าเว็บไซต์ของแฟรี่แลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลแพทช์ต่างๆของเกมแฟรี่แลนด์แพทช์ต่างๆของเกมแฟรี่แลนด์. - ออริจินอล - เมอร์เมดปริ้นเซส - อลิสอินวอนเดอร์แลนด์ - ไนท์แบกแดด - คิงด้อมออฟพาราตะ - วิสาดอิสแลนด์ - ทัมเบอร์ลินา - บิวตี้แอนด์เดอะบิส - โมโมทาโร - แคนดี้ชอประบบที่ต้องการระบบที่ต้องการ. - รายชื่อ VGA Card ที่ใช้ได้ - Chipset Nvidia Chipset MATROX Chipset ATI RADEON - GeForce 2 MX ขึ้นไป - MATROX G400 ขึ้นไป - RADEON ขึ้นไป- รายชื่อ VGA Card ที่ไม่แนะนำ ชิพเซ็ตต่อไปนี้อาจจะมีปัญหากับเกม- NVidia Riva TNT - Voodoo3 - S3 Savage - ATI Rage128, Mobility rage/radeonการปรับแต่ง การปรับแต่ง. การปรับเกมให้ทำงานได้เร็วขึ้น หากคุณพบว่าเกมมีอาการกระตุกหรือเล่นได้ไม่ราบรื่น อาจจะเป็นเพราะ PC ทำงานหนัก ให้ลองปรับแต่งดังนี้:- ใช้ความละเอียด 800 x 600 ในแบบเต็มจอ - ใช้ตัวเลือก 2D Sound - ตั้งคุณภาพของ Sprite และ Texture ไว้ที่ต่ำสุด - ปิดการใช้ Light Map และ Fogเกมเมอร์ไทย ในแฟรี่แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล เกมเมอร์ไทย ในแฟรี่แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล. หลังจากการปิดตัวไปของแฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์ไทย ทำให้มีผู้เล่นหลายคน ต้องหาเซิฟเวอร์ต่างประเทศเพื่อเข้าไปเล่น ได้แก่ แฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์อเมริกา และแฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์ไตหวัน ซึ่งต้องเสียเงินค่าใช้บริการ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2550 เซิฟเวอร์ แฟรี่แลนด์ ภาษาอังกฤษ แห่งไตหวัน ได้เปิดให้บริการเล่นฟรี ทำให้มีชาวเกมเมอร์ไทยได้เข้าไปเล่นจำนวนมาก ถึงประมาณ 35% ของผู้เล่นทั้งเซิฟเวอร์ ที่สำคัญ เล่นฟรีครับ ระบบภายในเกมเป็นเหมือนเดิมทุกประการ แต่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาที่วางไอคอนต่างๆ และศูนย์รวมการขายของอยู่ที่ ศูนย์การค้าเมืองสมบัติ (GoldBurg)ที่เซิฟเวอร์สโนไวท์4 ท่านสามารถไปซื้อของหรือขายของได้ที่นี่สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทยสมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย. - สมาคมนี้ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2547 โดยจัดตั้งเป็นเว็บรวบรวมเนื้อหาของเกมแฟรี่แลนด์ที่ http://www.thai.net/nokmeenom - ต่อมาเมื่อ มิถุนายน พ.ศ. 2547 เริ่มมีการเปลี่ยนโดเมนไปเป็นชื่อ http://www.thai.net/nokchon - ต่อมาเมื่อ พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เริ่มมีการเปลี่ยนโดเมนไปเป็นชื่อ http://www.nokchon.tk - ต่อมาเมื่อ สิงหาคม พ.ศ. 2547 เริ่มจัดตั้งเป็น http://www.fairyTH.tk - ต่อมาเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2548 ได้จัดตั้งเป็น http://www.fairyth.com เป็นศูนย์รวมของชาวแฟรี่แลนด์ และจัดตั้งเป็น สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย อย่างเป็นทางการในนาม FairyTH โดยเริ่มแรก เป็นบอร์ดศูนย์รวมเรื่องราวต่างๆ มีสมาชิกในสมาคมประมาณ 200 คน ตลอดทั้งปี 2548 - ต่อมาเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2549 เว็บไซด์ของ สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย มีสมาชิกประมาณ 300 คน - ต่อมาเมื่อ เมษายน พ.ศ. 2549 เว็บไซด์ของ สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย ปิดตัวไปอย่างไม่เป็นทางการ - ต่อมาเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2549 เกมแฟรี่แลนด์ประเทศไทย ปิดตัวไปอย่างเป็นทางการ - ต่อมาเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2550 ข่าวคราวเกมแฟรี่แลนด์ภาคภาษาอังกฤษเริ่มสะพัดในบอร์ดประมูลแฟรี่แลนด์ - ต่อมาเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 แฟรี่แลนด์ภาคภาษาอังกฤษแห่งไตหวัน ได้เปิดให้เล่นฟรีอย่างเป็นทางการ มีชาวไทยเข้าไปเล่นจำนวนมาก - ต่อมาเมื่อ วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย ได้กลับมาจัดตั้งอีกครั้งที่ Yenta4.com ที่โดเมน http://club.yenta4.com/fairyth และได้เปิดบริการอย่างเป็นทางการต่อมา - ต่อมาได้มีการเปิดเว็บให้ความรู้เกี่ยวกับเกมส์แฟรี่แลนด์ออนไลน์จากผู้อื่น ที่ http://www.fairyland.co.nr/ ซึ่งมีทั้งความรู้ในเกมส์และบอร์ทสนทนาในกลุ่ม ซึ่งคือ http://fairyland.freeforums.org/
|
เกมแฟรี่แลนด์ออนไลน์ ของบริษัท เลเกอร์ เน็คเวิดต์ เทคโนโลยี เปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ใด
|
{
"answer": [
"2546"
],
"answer_begin_position": [
245
],
"answer_end_position": [
249
]
}
|
2,305 | 132,564 |
แฟรี่แลนด์ออนไลน์ แฟรี่แลนด์ออนไลน์ () เป็นเกมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท เลเกอร์ เน็คเวิดต์ เทคโนโลยี และได้เปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2546 และได้ปิดบริการไปเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2549 ลักษณะของเกม เป็นเกม MMORPG ที่อิงเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก นิยาย และนิทานต่างๆ มาประกอบกันเป็นเกมส์ขึ้นมา โดย Thailand Fairyland Online ได้ดำเนินการให้บริการโดยบริษัท จัสซันเดย์ ไซเบอร์เนชั่น ซึ่งปัจจุบันได้ปิดทำการ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซิลเวอร์คอยน์ภาพรวม ภาพรวม. เกมแฟรี่แลนด์เป็นเกมประเภท MMORPG หรือ massively (or massive) multiplayer online role-playing game ซึ่งทำให้ผู้เล่นสามารถพบปะ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นอื่นได้หลากหลายอย่างอิสระ การเล่นเกมแฟรี่แลนด์ ผู้เล่นจะต้องเลือกที่จะเล่นเป็นตัวละครอาชีพต่างๆ (role-playing) ซึ่งตัวละครแต่ละอาชีพจะมีความสามารถ และจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป มีทั้งสายอาชีพที่สามารถเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ และสายอาชีพที่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้เล่นอื่น รวมถึงสายอาชีพเพื่อทำงานและหาเงิน พื้นฐานโดยทั่วไปของการเล่นเกมคือการกำจัดสัตว์ประหลาดเพื่อสะสมไอเทม และได้รับค่าประสบการณ์ เพื่อนำมาพัฒนาสกิล หรือพัฒนาความสามารถของตนให้สูงขึ้น หรือว่าการใช้ทักษะทำงานในการหาของเพื่อที่จะประบกอบไอเทมขึ้นมาเพื่อใช้หรือขายได้ ซึ่งผู้เล่นสามารถที่จะเลือกพัฒนาตัวละครของตัวเองได้อย่างอิสระ ทั้งความสามารถและลักษณะเด่นในตัวเองรวมทั้งการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการเล่นของตนเอง เช่น พัฒนาเพื่อสนับสนุนผู้เล่นอื่น พัฒนาเพื่อการต่อสู้ตัวต่อตัว (PK) หรือพัฒนาเพื่อต่อสู้ในสงครามป้องกันชนเผ่า ซึ่งลักษณะของการพัฒนาความสามารถ และการใช้ ไอเทมได้อย่างอิสระนี้เอง รวมทั้งสัตว์ประหลาดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถ และจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน ลักษณะในการโจมตี และการป้องกันที่แตกต่างกันไปในสัตว์ประหลาดแต่ละชนิด ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 ธาตุ จะลบกันเอง ทำให้ผู้เล่น สามารถที่จะเลือกใช้ความสามารถ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับการกำจัดสัตว์ประหลาดนั้น ผู้ที่เล่นเกมต้องทำการละทะเบียนเพื่อรับไอดีสำหรับการเล่นเกม ซึ่งสามารถทำได้ผ่านหน้าเว็บไซต์ของแฟรี่แลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนลแพทช์ต่างๆของเกมแฟรี่แลนด์แพทช์ต่างๆของเกมแฟรี่แลนด์. - ออริจินอล - เมอร์เมดปริ้นเซส - อลิสอินวอนเดอร์แลนด์ - ไนท์แบกแดด - คิงด้อมออฟพาราตะ - วิสาดอิสแลนด์ - ทัมเบอร์ลินา - บิวตี้แอนด์เดอะบิส - โมโมทาโร - แคนดี้ชอประบบที่ต้องการระบบที่ต้องการ. - รายชื่อ VGA Card ที่ใช้ได้ - Chipset Nvidia Chipset MATROX Chipset ATI RADEON - GeForce 2 MX ขึ้นไป - MATROX G400 ขึ้นไป - RADEON ขึ้นไป- รายชื่อ VGA Card ที่ไม่แนะนำ ชิพเซ็ตต่อไปนี้อาจจะมีปัญหากับเกม- NVidia Riva TNT - Voodoo3 - S3 Savage - ATI Rage128, Mobility rage/radeonการปรับแต่ง การปรับแต่ง. การปรับเกมให้ทำงานได้เร็วขึ้น หากคุณพบว่าเกมมีอาการกระตุกหรือเล่นได้ไม่ราบรื่น อาจจะเป็นเพราะ PC ทำงานหนัก ให้ลองปรับแต่งดังนี้:- ใช้ความละเอียด 800 x 600 ในแบบเต็มจอ - ใช้ตัวเลือก 2D Sound - ตั้งคุณภาพของ Sprite และ Texture ไว้ที่ต่ำสุด - ปิดการใช้ Light Map และ Fogเกมเมอร์ไทย ในแฟรี่แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล เกมเมอร์ไทย ในแฟรี่แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล. หลังจากการปิดตัวไปของแฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์ไทย ทำให้มีผู้เล่นหลายคน ต้องหาเซิฟเวอร์ต่างประเทศเพื่อเข้าไปเล่น ได้แก่ แฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์อเมริกา และแฟรี่แลนด์เซิฟเวอร์ไตหวัน ซึ่งต้องเสียเงินค่าใช้บริการ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2550 เซิฟเวอร์ แฟรี่แลนด์ ภาษาอังกฤษ แห่งไตหวัน ได้เปิดให้บริการเล่นฟรี ทำให้มีชาวเกมเมอร์ไทยได้เข้าไปเล่นจำนวนมาก ถึงประมาณ 35% ของผู้เล่นทั้งเซิฟเวอร์ ที่สำคัญ เล่นฟรีครับ ระบบภายในเกมเป็นเหมือนเดิมทุกประการ แต่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาที่วางไอคอนต่างๆ และศูนย์รวมการขายของอยู่ที่ ศูนย์การค้าเมืองสมบัติ (GoldBurg)ที่เซิฟเวอร์สโนไวท์4 ท่านสามารถไปซื้อของหรือขายของได้ที่นี่สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทยสมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย. - สมาคมนี้ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2547 โดยจัดตั้งเป็นเว็บรวบรวมเนื้อหาของเกมแฟรี่แลนด์ที่ http://www.thai.net/nokmeenom - ต่อมาเมื่อ มิถุนายน พ.ศ. 2547 เริ่มมีการเปลี่ยนโดเมนไปเป็นชื่อ http://www.thai.net/nokchon - ต่อมาเมื่อ พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เริ่มมีการเปลี่ยนโดเมนไปเป็นชื่อ http://www.nokchon.tk - ต่อมาเมื่อ สิงหาคม พ.ศ. 2547 เริ่มจัดตั้งเป็น http://www.fairyTH.tk - ต่อมาเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2548 ได้จัดตั้งเป็น http://www.fairyth.com เป็นศูนย์รวมของชาวแฟรี่แลนด์ และจัดตั้งเป็น สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย อย่างเป็นทางการในนาม FairyTH โดยเริ่มแรก เป็นบอร์ดศูนย์รวมเรื่องราวต่างๆ มีสมาชิกในสมาคมประมาณ 200 คน ตลอดทั้งปี 2548 - ต่อมาเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2549 เว็บไซด์ของ สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย มีสมาชิกประมาณ 300 คน - ต่อมาเมื่อ เมษายน พ.ศ. 2549 เว็บไซด์ของ สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย ปิดตัวไปอย่างไม่เป็นทางการ - ต่อมาเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2549 เกมแฟรี่แลนด์ประเทศไทย ปิดตัวไปอย่างเป็นทางการ - ต่อมาเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2550 ข่าวคราวเกมแฟรี่แลนด์ภาคภาษาอังกฤษเริ่มสะพัดในบอร์ดประมูลแฟรี่แลนด์ - ต่อมาเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 แฟรี่แลนด์ภาคภาษาอังกฤษแห่งไตหวัน ได้เปิดให้เล่นฟรีอย่างเป็นทางการ มีชาวไทยเข้าไปเล่นจำนวนมาก - ต่อมาเมื่อ วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 สมาคมแฟรี่แลนด์แห่งประเทศไทย ได้กลับมาจัดตั้งอีกครั้งที่ Yenta4.com ที่โดเมน http://club.yenta4.com/fairyth และได้เปิดบริการอย่างเป็นทางการต่อมา - ต่อมาได้มีการเปิดเว็บให้ความรู้เกี่ยวกับเกมส์แฟรี่แลนด์ออนไลน์จากผู้อื่น ที่ http://www.fairyland.co.nr/ ซึ่งมีทั้งความรู้ในเกมส์และบอร์ทสนทนาในกลุ่ม ซึ่งคือ http://fairyland.freeforums.org/
|
เกมแฟรี่แลนด์ออนไลน์ ของบริษัท เลเกอร์ เน็คเวิดต์ เทคโนโลยี เป็นเกมประเภทใด
|
{
"answer": [
"MMORPG"
],
"answer_begin_position": [
588
],
"answer_end_position": [
594
]
}
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.