question_id
int32
1
4k
article_id
int32
665
954k
context
stringlengths
75
87.2k
question
stringlengths
11
135
answers
sequence
1,436
98,947
แมกกี จิลเลนฮอล มาร์กาลี รูธ "แมกกี" จิลเลนฮอล (); เกิด 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520) เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เธอเป็นลูกสาวของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ และเป็นพี่สาวของเจค จิลเลนฮอล เธอเริ่มอาชีพนักแสดงกับผลงานของพ่อเขา และเป็นที่รู้จักในภาพยนตร์สยองขวัญจิตวิทยาเรื่อง Donnie Darko (2001) เธอได้รับการยกย่องในบท ลี ฮอลโลเวย์ ในภาพยนตร์เรื่อง เปลือยรัก อารมณ์พิลึก (2006) ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลกอีกด้วย สำหรับการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Sherrybaby (2006) เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดรามา นอกจากนี้ เธอยังได้รับการยอมรับในบทแรเชล ดอว์สในภาพยนตร์ แบทแมน อัศวินรัตติกาล (2008) อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ดรามาเรื่อง Crazy Heart (2009) หลังจากนั้น เธอก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Nanny McPhee and the Big Bang (2010), Won't Back Down (2012) และ Frank (2014) ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบริติชอินดีเพนเดนต์ฟิล์มอวอร์ดส์ ในปี 2014 เธอได้แสดงละครบรอดเวย์ครั้งแรกใน The Real Thing และยังได้แสดงในละครโทรทัศน์บีบีซีเรื่อง The Honourable Woman สำหรับการแสดงในละครเรื่องนี้ เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีผลงาน
มาร์กาลี รูธ แมกกี จิลเลนฮอล เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน มีน้องสางชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เจค จิลเลนฮอล" ], "answer_begin_position": [ 286 ], "answer_end_position": [ 299 ] }
1,437
98,947
แมกกี จิลเลนฮอล มาร์กาลี รูธ "แมกกี" จิลเลนฮอล (); เกิด 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520) เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เธอเป็นลูกสาวของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ และเป็นพี่สาวของเจค จิลเลนฮอล เธอเริ่มอาชีพนักแสดงกับผลงานของพ่อเขา และเป็นที่รู้จักในภาพยนตร์สยองขวัญจิตวิทยาเรื่อง Donnie Darko (2001) เธอได้รับการยกย่องในบท ลี ฮอลโลเวย์ ในภาพยนตร์เรื่อง เปลือยรัก อารมณ์พิลึก (2006) ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลกอีกด้วย สำหรับการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Sherrybaby (2006) เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดรามา นอกจากนี้ เธอยังได้รับการยอมรับในบทแรเชล ดอว์สในภาพยนตร์ แบทแมน อัศวินรัตติกาล (2008) อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ดรามาเรื่อง Crazy Heart (2009) หลังจากนั้น เธอก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Nanny McPhee and the Big Bang (2010), Won't Back Down (2012) และ Frank (2014) ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบริติชอินดีเพนเดนต์ฟิล์มอวอร์ดส์ ในปี 2014 เธอได้แสดงละครบรอดเวย์ครั้งแรกใน The Real Thing และยังได้แสดงในละครโทรทัศน์บีบีซีเรื่อง The Honourable Woman สำหรับการแสดงในละครเรื่องนี้ เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีผลงาน
มาร์กาลี รูธ แมกกี จิลเลนฮอล เกิดเดือนอะไร
{ "answer": [ "พฤศจิกายน" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 156 ] }
1,450
137,152
คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์ คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (ภาษาเยอรมนี: Christoph Dientzenhofer; ภาษาเช็ก: Kryštof Dientzenhofer) เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1665 ที่เมืองเซ็นต์มากาเร็ตเธ็น (St. Margarethen) รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ตายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1722 ที่เมืองปราก (Prague) สาธารณรัฐเช็ก คริสตอฟเป็นสถาปนิกบาโรกแบบโบฮีเมีย เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์ซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงทางสถาปัตยกรรม และเป็นพ่อของ คิลเลียน อิกนาซ (Kilian Ignaz) คริสตอฟเป็นลูกชายคนหนึ่งในเจ็ดคนของ จอร์จ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Georg Dientzenhofer) และ แอนนา แธนเนอร์ (Anna Thanner)ตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์ ตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์. พี่น้องที่เป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงด้วยกันก็มี:- จอร์จ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Georg Dientzenhofer) (ค.ศ. 1643 – 11 สิงหาคม ค.ศ. 1689) - วูฟกัง ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Wolfgang Dientzenhofer) (16 มีนาคม ค.ศ. 1648 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1706) - เลินฮาร์ด ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Leonhard Dientzenhofer) (20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1660 – 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1707) - โจฮาน ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Johann Dientzenhofer) (25 พฤษภาคม ค.ศ. 1663 – 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1726) นอกจากนั้นก็ยังมี:- จัสตุส ไฮน์ริช ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Justus Heinrich Dientzenhofer) (5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1702 – 4 ธันวาคม 1744) - ลูกของโจฮาน - คิลเลียน อิกนาซ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Kilian Ignaz Dientzenhofer) (1 กันยายน ค.ศ. 1689 – 18 ธันวาคม ค.ศ. 1751 ) - ลูกของคริสตอฟ คริสตอฟ และ คิลเลียน เป็นสถาปนิกที่มีบทบาทสำคัญต่อสถาปัตยกรรมแบบบาโรกในสาธารณรัฐเช็กที่ มิได้สร้างแต่สิ่งก่อสร้างใหญ่ๆอย่างเช่นมหาวิหาร หรือวัด แต่ยังสร้างบ้านเรือนหรือสิ่งก่อสร้างขนาดย่อมทั่วไปในสาธารณรัฐเช็กงานสถาปัตยกรรมในสาธารณรัฐเช็กงานสถาปัตยกรรมในสาธารณรัฐเช็ก. - วัดเซ็นต์นิโคลัส (ปราก) (ค.ศ. 1703 - ค.ศ. 1711) เสร็จโดย คินเลียน - อารามเบรฟนอฟ (Brevnov Monastery) (ปราก) (ค.ศ. 1708– ค.ศ. 1721) - หอนาฬิกา ที่วัดลอเร็ตตา (St. Loreta) ที่ปราสาทปราก - Jesuit Gymnasium (ปราก) (ค.ศ. 1711) - อารามบราวเนา (Kloster Braunau) (ปราก) (ค.ศ. 1709 - ค.ศ. 1711) - Buštěhrad: Schloss (ปราก) - วัดเซ็นต์คลารา แห่ง เอเกอร์ (เช็บ) (Cheb)) (ค.ศ. 1708 - ค.ศ. 1711) - วัดเซ็นต์แมรี (Chlum Svaté Maří) (Tschechien) (ค.ศ. 1690 - ค.ศ. 1697) - ชาเปลของปราสาท (Smiřice) (1699-1713) - วัดโฮลีทรินิตี (Dreifaltigkeitskirche) (Teplá)
แม่ของคริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์สถาปนิกบาโรกแบบโบฮีเมีย คือใคร
{ "answer": [ "แอนนา แธนเนอร์" ], "answer_begin_position": [ 641 ], "answer_end_position": [ 655 ] }
1,451
137,152
คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์ คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (ภาษาเยอรมนี: Christoph Dientzenhofer; ภาษาเช็ก: Kryštof Dientzenhofer) เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1665 ที่เมืองเซ็นต์มากาเร็ตเธ็น (St. Margarethen) รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ตายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1722 ที่เมืองปราก (Prague) สาธารณรัฐเช็ก คริสตอฟเป็นสถาปนิกบาโรกแบบโบฮีเมีย เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์ซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงทางสถาปัตยกรรม และเป็นพ่อของ คิลเลียน อิกนาซ (Kilian Ignaz) คริสตอฟเป็นลูกชายคนหนึ่งในเจ็ดคนของ จอร์จ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Georg Dientzenhofer) และ แอนนา แธนเนอร์ (Anna Thanner)ตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์ ตระกูลดินเซนฮอฟเฟอร์. พี่น้องที่เป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงด้วยกันก็มี:- จอร์จ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Georg Dientzenhofer) (ค.ศ. 1643 – 11 สิงหาคม ค.ศ. 1689) - วูฟกัง ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Wolfgang Dientzenhofer) (16 มีนาคม ค.ศ. 1648 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1706) - เลินฮาร์ด ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Leonhard Dientzenhofer) (20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1660 – 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1707) - โจฮาน ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Johann Dientzenhofer) (25 พฤษภาคม ค.ศ. 1663 – 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1726) นอกจากนั้นก็ยังมี:- จัสตุส ไฮน์ริช ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Justus Heinrich Dientzenhofer) (5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1702 – 4 ธันวาคม 1744) - ลูกของโจฮาน - คิลเลียน อิกนาซ ดินเซนฮอฟเฟอร์ (Kilian Ignaz Dientzenhofer) (1 กันยายน ค.ศ. 1689 – 18 ธันวาคม ค.ศ. 1751 ) - ลูกของคริสตอฟ คริสตอฟ และ คิลเลียน เป็นสถาปนิกที่มีบทบาทสำคัญต่อสถาปัตยกรรมแบบบาโรกในสาธารณรัฐเช็กที่ มิได้สร้างแต่สิ่งก่อสร้างใหญ่ๆอย่างเช่นมหาวิหาร หรือวัด แต่ยังสร้างบ้านเรือนหรือสิ่งก่อสร้างขนาดย่อมทั่วไปในสาธารณรัฐเช็กงานสถาปัตยกรรมในสาธารณรัฐเช็กงานสถาปัตยกรรมในสาธารณรัฐเช็ก. - วัดเซ็นต์นิโคลัส (ปราก) (ค.ศ. 1703 - ค.ศ. 1711) เสร็จโดย คินเลียน - อารามเบรฟนอฟ (Brevnov Monastery) (ปราก) (ค.ศ. 1708– ค.ศ. 1721) - หอนาฬิกา ที่วัดลอเร็ตตา (St. Loreta) ที่ปราสาทปราก - Jesuit Gymnasium (ปราก) (ค.ศ. 1711) - อารามบราวเนา (Kloster Braunau) (ปราก) (ค.ศ. 1709 - ค.ศ. 1711) - Buštěhrad: Schloss (ปราก) - วัดเซ็นต์คลารา แห่ง เอเกอร์ (เช็บ) (Cheb)) (ค.ศ. 1708 - ค.ศ. 1711) - วัดเซ็นต์แมรี (Chlum Svaté Maří) (Tschechien) (ค.ศ. 1690 - ค.ศ. 1697) - ชาเปลของปราสาท (Smiřice) (1699-1713) - วัดโฮลีทรินิตี (Dreifaltigkeitskirche) (Teplá)
คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์ เป็นสถาปนิกบาโรกแบบโบฮีเมีย เกิดที่เมืองใดในประเทศเยอรมนี
{ "answer": [ "เซ็นต์มากาเร็ตเธ็น" ], "answer_begin_position": [ 259 ], "answer_end_position": [ 277 ] }
1,454
140,777
สโมสรฟุตบอลศุลกากร ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลเอ็มโอเอฟ ศุลกากร ยูไนเต็ด เป็นสโมสร ฟุตบอล ใน ประเทศไทย โดยมี กรมศุลกากร เป็นเจ้าของสโมสรประวัติสโมสร ประวัติสโมสร. สโมสรศุลกากร ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พนักงานในองค์กรมีสุขภาพแข็งแรง และต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาไทย สโมสรเคยส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน "ถ้วยน้อย" ซึ่งจัดโดย สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เมื่อ พ.ศ. 2511 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ยุติมิได้ส่งทีมฯ เข้าร่วมแข่งขันอีกเลย จวบจนเมื่อ พ.ศ. 2536 ได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศขึ้น โดยมี ฮ่องกง เป็นเจ้าภาพการแข่งขันครั้งแรก โดยทีมฟุตบอล สโมสรศุลกากร จึงได้ส่งทีมและเข้าร่วมแข่งขันตลอดมาตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปีปัจจุบันก้าวสู่วงการลูกหนังแบบเต็มตัว ก้าวสู่วงการลูกหนังแบบเต็มตัว. ต่อมา สโมสรฯ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในปี พ.ศ. 2541 และได้ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ทุกชั้น ทั้ง ถ้วย ง., ถ้วย ค. และ ถ้วย ข. ตามระบบคัดกรอง นอกจากนั้นยังได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลกระทรวงและการแข่งขันทุกรายการที่มีโอกาส โดยในปีแรกที่ส่งทีมเข้าแข่งขัน สโมสรทำผลงานได้ดีจนคว้าตำแหน่งชนะเลิศ "ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง." ได้ทันที ทำให้ทีมได้รับการจับตามองมากขึ้น และในปีเดียวกัน สโมสรยังชนะเลิศ "ฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ครั้งที่ 6" ซึ่งจัดขึ้นที่ ฮ่องกง ได้อีกด้วย ก่อนปีต่อมาจะชนะเลิศการแข่งขันนี้ใน ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทยไต่เต้าสู่ลีกสูงสุด ไต่เต้าสู่ลีกสูงสุด. ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2545 สโมสรฯ มีผลงานในสนามที่ดีขึ้น จนเป็นที่จับตามองของคนสื่อมากทีเดียว โดยในระหว่างนั้น สโมสรกรมศุลกากร ได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันต่างๆ มากมาย อาทิ- ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ค. ปี พ.ศ. 2543 - ชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2544 ที่ มาเก๊า - ชนะเลิศกีฬาฟุตบอลข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2545 - ชนะเลิศฟุตบอลข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2545 - ชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. 2545 ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะมาพลาด ได้แค่รองชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2545 ที่ สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สโมสรกรมศุลกากร ผลงานแผ่วไปนักสู่ลีกสูงสุด สู่ลีกสูงสุด. สโมสรกรมศุลกากรได้รองชนะเลิศในการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ข. พร้อมกับสิทธิ์ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกรองของประเทศอย่าง "ดิวิชั่น 1" ทันที ในปี พ.ศ. 2547 แถมยังหนีบถ้วยชนะเลิศฟุตบอลภายใน กระทรวงการคลัง (วายุภักษ์เกมส์) พ.ศ. 2547 อีกด้วย สโมสรกรมศุลกากร ใช้เวลาอยู่ในลีกดิวิชั่น 1 เพียง 3 ปี ก่อนจะชนะเลิศการแข่งขัน พร้อมกับเลื่อนชั้นไปเล่นใน "ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" ได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 2552 แต่ทว่าผลงานของสโมสรฯ ไม่ดีนัก โดยอันด้วยอันดับที่ 16 มีเพียง 20 คะแนน จาก 30 นัด ตกชั้นพร้อมกันกับ ยอดทีมอย่าง ธนาคารกรุงเทพ และ ทหารบก ในที่สุดหลังจากตกชั้น หลังจากตกชั้น. หลังจากการตกชั้นในปี 2552 สโมสรฯ ก็ได้ทำการเปลื่ยนชื่อเป็น สมาคมสโมสรสุวรรณภูมิ ศุลกากร ซึ่งทำผลงานได้ดี โดยได้อันดับที่ 7 เกือบที่จะได้ร่วมเพลย์ออฟเลื่อนชั้น เนื่องจากในฤดูกาลนั้น ทาง ไทยพรีเมียร์ลีก ต้องการเพิ่มทีม เป็น 18 ทีม ภายหลังในฤดูกาล 2554 สโมสรกรมศุลกากรได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ จังหวัดสมุทรปราการ จึงได้เปลื่ยนชื่อมาเป็น สโมสรฟุตบอลสมุทรปราการ ศุลกากร ยูไนเต็ด โดยที่ทีมบริหารทั้งหมดยังเป็นของกรมศุลกากร และมีเป้าหมายคือ ปฏิเสธการซื้อผู้เล่นที่ราคาแพงเกินจริง เพื่อสวนทางกับระบบทำลายเพดานเงินเดือนของทีมใหญ่ๆในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเน้นสร้างผู้เล่นดาวรุ่งสู่ทีมชุดใหญ่ วางรากฐานระบบจัดการแบบมืออาชีพ ซึ่งเพราะเหตุผลนี้ ทำให้ผลงานของทีมไม่ดีนัก จนตกชั้นไปเล่น ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ในปี 2554สู่ไทยลีก 3 สู่ไทยลีก 3. หลังจากที่เล่นในดิวิชั่น 2 มาเป็นเวลาถึง 5 ปี โดยลงแข่งขันในโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใน ดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 2559 ในโซน สโมสรฯ ทำผลงานจบด้วยอันดับที่ 2 ของสาย ทำให้ผ่านเข้ารอบ แซมเปี้ยนลีก แต่ สโมสรก็แพ้ สโมสรราชประชา จากการดวลจุดโทษ ทำให้ไม่สามารถ เข้าไปเล่นใน ไทยลีก 2 อย่างไรก็ดี ด้วยนโยบายของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่จะจัดตั้งลีกระดับ 3 แทนที่ ทำให้สโมสรได้ลงเล่นใน ไทยลีก 3 โซนตอนบนของประเทศ ในปี 2560ชื่อและอัตลักษณ์ของสโมสรผู้เล่นชุดปัจจุบันผลงานการแข่งขันภายใต้สมาคมฯผลงาน. การแข่งขันภายใต้สมาคมฯ. - ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก - ร่วมแข่งขัน - 2551 - ไทยลีกดิวิชัน 1 - ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2550 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ข รองชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2547 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ค ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2543 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ง ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2541ผลงานอื่นๆผลงานอื่นๆ. - ฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ - ชนะเลิศ 3 ครั้ง 2541 (ฮ่องกง), 2542 (ไทย), 2544 (มาเก๊า) - กีฬาฟุตบอลข้าราชการพลเรือน - ชนะเลิศ พ.ศ. 2545 - ฟุตบอลศุลกากรลุ่มแม่น้ำโขง - ชนะเลิศ พ.ศ. 2545 ที่เชียงใหม่ - ฟุตบอลภายในกระทรวงการคลัง (วายุภักษ์เกมส์) - ชนะเลิศ พ.ศ. 2547
กรมศุลกากร เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เอ็มโอเอฟ ศุลกากร ยูไนเต็ด" ], "answer_begin_position": [ 141 ], "answer_end_position": [ 167 ] }
1,455
140,777
สโมสรฟุตบอลศุลกากร ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลเอ็มโอเอฟ ศุลกากร ยูไนเต็ด เป็นสโมสร ฟุตบอล ใน ประเทศไทย โดยมี กรมศุลกากร เป็นเจ้าของสโมสรประวัติสโมสร ประวัติสโมสร. สโมสรศุลกากร ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พนักงานในองค์กรมีสุขภาพแข็งแรง และต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาไทย สโมสรเคยส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน "ถ้วยน้อย" ซึ่งจัดโดย สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เมื่อ พ.ศ. 2511 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ยุติมิได้ส่งทีมฯ เข้าร่วมแข่งขันอีกเลย จวบจนเมื่อ พ.ศ. 2536 ได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศขึ้น โดยมี ฮ่องกง เป็นเจ้าภาพการแข่งขันครั้งแรก โดยทีมฟุตบอล สโมสรศุลกากร จึงได้ส่งทีมและเข้าร่วมแข่งขันตลอดมาตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปีปัจจุบันก้าวสู่วงการลูกหนังแบบเต็มตัว ก้าวสู่วงการลูกหนังแบบเต็มตัว. ต่อมา สโมสรฯ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในปี พ.ศ. 2541 และได้ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ทุกชั้น ทั้ง ถ้วย ง., ถ้วย ค. และ ถ้วย ข. ตามระบบคัดกรอง นอกจากนั้นยังได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลกระทรวงและการแข่งขันทุกรายการที่มีโอกาส โดยในปีแรกที่ส่งทีมเข้าแข่งขัน สโมสรทำผลงานได้ดีจนคว้าตำแหน่งชนะเลิศ "ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง." ได้ทันที ทำให้ทีมได้รับการจับตามองมากขึ้น และในปีเดียวกัน สโมสรยังชนะเลิศ "ฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ครั้งที่ 6" ซึ่งจัดขึ้นที่ ฮ่องกง ได้อีกด้วย ก่อนปีต่อมาจะชนะเลิศการแข่งขันนี้ใน ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทยไต่เต้าสู่ลีกสูงสุด ไต่เต้าสู่ลีกสูงสุด. ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2545 สโมสรฯ มีผลงานในสนามที่ดีขึ้น จนเป็นที่จับตามองของคนสื่อมากทีเดียว โดยในระหว่างนั้น สโมสรกรมศุลกากร ได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันต่างๆ มากมาย อาทิ- ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ค. ปี พ.ศ. 2543 - ชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2544 ที่ มาเก๊า - ชนะเลิศกีฬาฟุตบอลข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2545 - ชนะเลิศฟุตบอลข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2545 - ชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. 2545 ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะมาพลาด ได้แค่รองชนะเลิศฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2545 ที่ สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สโมสรกรมศุลกากร ผลงานแผ่วไปนักสู่ลีกสูงสุด สู่ลีกสูงสุด. สโมสรกรมศุลกากรได้รองชนะเลิศในการแข่งขัน ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ข. พร้อมกับสิทธิ์ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกรองของประเทศอย่าง "ดิวิชั่น 1" ทันที ในปี พ.ศ. 2547 แถมยังหนีบถ้วยชนะเลิศฟุตบอลภายใน กระทรวงการคลัง (วายุภักษ์เกมส์) พ.ศ. 2547 อีกด้วย สโมสรกรมศุลกากร ใช้เวลาอยู่ในลีกดิวิชั่น 1 เพียง 3 ปี ก่อนจะชนะเลิศการแข่งขัน พร้อมกับเลื่อนชั้นไปเล่นใน "ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" ได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 2552 แต่ทว่าผลงานของสโมสรฯ ไม่ดีนัก โดยอันด้วยอันดับที่ 16 มีเพียง 20 คะแนน จาก 30 นัด ตกชั้นพร้อมกันกับ ยอดทีมอย่าง ธนาคารกรุงเทพ และ ทหารบก ในที่สุดหลังจากตกชั้น หลังจากตกชั้น. หลังจากการตกชั้นในปี 2552 สโมสรฯ ก็ได้ทำการเปลื่ยนชื่อเป็น สมาคมสโมสรสุวรรณภูมิ ศุลกากร ซึ่งทำผลงานได้ดี โดยได้อันดับที่ 7 เกือบที่จะได้ร่วมเพลย์ออฟเลื่อนชั้น เนื่องจากในฤดูกาลนั้น ทาง ไทยพรีเมียร์ลีก ต้องการเพิ่มทีม เป็น 18 ทีม ภายหลังในฤดูกาล 2554 สโมสรกรมศุลกากรได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ จังหวัดสมุทรปราการ จึงได้เปลื่ยนชื่อมาเป็น สโมสรฟุตบอลสมุทรปราการ ศุลกากร ยูไนเต็ด โดยที่ทีมบริหารทั้งหมดยังเป็นของกรมศุลกากร และมีเป้าหมายคือ ปฏิเสธการซื้อผู้เล่นที่ราคาแพงเกินจริง เพื่อสวนทางกับระบบทำลายเพดานเงินเดือนของทีมใหญ่ๆในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเน้นสร้างผู้เล่นดาวรุ่งสู่ทีมชุดใหญ่ วางรากฐานระบบจัดการแบบมืออาชีพ ซึ่งเพราะเหตุผลนี้ ทำให้ผลงานของทีมไม่ดีนัก จนตกชั้นไปเล่น ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ในปี 2554สู่ไทยลีก 3 สู่ไทยลีก 3. หลังจากที่เล่นในดิวิชั่น 2 มาเป็นเวลาถึง 5 ปี โดยลงแข่งขันในโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใน ดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 2559 ในโซน สโมสรฯ ทำผลงานจบด้วยอันดับที่ 2 ของสาย ทำให้ผ่านเข้ารอบ แซมเปี้ยนลีก แต่ สโมสรก็แพ้ สโมสรราชประชา จากการดวลจุดโทษ ทำให้ไม่สามารถ เข้าไปเล่นใน ไทยลีก 2 อย่างไรก็ดี ด้วยนโยบายของ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่จะจัดตั้งลีกระดับ 3 แทนที่ ทำให้สโมสรได้ลงเล่นใน ไทยลีก 3 โซนตอนบนของประเทศ ในปี 2560ชื่อและอัตลักษณ์ของสโมสรผู้เล่นชุดปัจจุบันผลงานการแข่งขันภายใต้สมาคมฯผลงาน. การแข่งขันภายใต้สมาคมฯ. - ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก - ร่วมแข่งขัน - 2551 - ไทยลีกดิวิชัน 1 - ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2550 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ข รองชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2547 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ค ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2543 - ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ง ชนะเลิศ 1 ครั้ง - 2541ผลงานอื่นๆผลงานอื่นๆ. - ฟุตบอลศุลกากรระหว่างประเทศ - ชนะเลิศ 3 ครั้ง 2541 (ฮ่องกง), 2542 (ไทย), 2544 (มาเก๊า) - กีฬาฟุตบอลข้าราชการพลเรือน - ชนะเลิศ พ.ศ. 2545 - ฟุตบอลศุลกากรลุ่มแม่น้ำโขง - ชนะเลิศ พ.ศ. 2545 ที่เชียงใหม่ - ฟุตบอลภายในกระทรวงการคลัง (วายุภักษ์เกมส์) - ชนะเลิศ พ.ศ. 2547
สโมสรฟุตบอลเอ็มโอเอฟ ศุลกากร ยูไนเต็ด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2497" ], "answer_begin_position": [ 292 ], "answer_end_position": [ 296 ] }
1,456
141,136
พระราชวังคย็องบก พระราชวังคย็องบก () ตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยราชวงศ์โชซ็อน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1937 (ค.ศ. 1394) โดยช็อง โด-จ็อน และได้กลายเป็นพระราชวังหลวงหรือวังหลักสำหรับประทับว่าราชการของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของเกาหลีมาโดยตลอด และได้รับการต่อเติมโดยพระเจ้าแทจงและพระเจ้าเซจงมหาราช แต่บางส่วนของพระราชวังนั้นถูกเพลิงเผาวอดในช่วงที่ญี่ปุ่นบุกประเทศเกาหลี พระราชวังมีเนื้อที่ 5.4 ล้านตารางฟุต โดยในช่วงต้นราชวงศ์โชซ็อนมีตำหนักอาคารมากถึง 200 อาคาร กระทั่งปี พ.ศ. 2135 ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกประเทศเกาหลี ตำหนักต่าง ๆ ได้ถูกทุบทำลาย ถูกเผาทิ้งไปเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะได้รับการบูรณะซ่อมแซมและสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับเดิม โดยในปัจจุบันมีตำหนักทั้งสิ้น 10 ตำหนัก คำว่า "คย็องบกกุง" ในภาษาเกาหลี แปลว่า "พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง (The Palace of Shining Blessings)"สิ่งก่อสร้างประตูหลักสิ่งก่อสร้าง. ประตูหลัก. - ประตูควางฮวา (ประตูแรกที่เข้าสู่พระราชวังหรือประตูทิศใต้) - ประตูฮึงนเย (ประตูที่สองเข้าสู่พระราชวัง) - ประตูคึนจอง (ประตูที่สามเข้าสู่พระราชวัง) - ประตูซินมู (ประตูทิศเหนือ) - ประตูคอนชุน (ประตูทิศตะวันออก) - ประตูยองชู (ประตูทิศตะวันตก)เขตพระราชฐานชั้นนอกเขตพระราชฐานชั้นนอก. - ประตูคึนจอง (ประตูที่สามเข้าสู่พระราชวัง) - พระที่นั่งคึนจอง - พระที่นั่งซาจอง (สถานที่ทรงงานของกษัตริย์) - พระที่นั่งซูจอง - พระที่นั่งชอนชู - พระที่นั่งมันชูนเขตพระราชฐานชั้นในเขตพระราชฐานชั้นใน. - พระที่นั่งคังนยอง (สถานที่ประทับของกษัตริย์) - พระที่นั่งคโยแท (สถานที่ประทับของราชินี) - พระที่นั่งจาคยอง (สถานที่ประทับของพระราชมารดาของกษัตริย์)วังตะวันออก (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมาร)วังตะวันออก (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมาร). - พระตำหนักจาซอน (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมารและพระชายา) - ตำหนักพีฮยอน (สถานที่ศึกษาเล่าเรียนของมกุฎราชกุมาร)สถานที่อื่นๆสถานที่อื่นๆ. - ศาลาคยองเฮรู (สถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงของพระราชวัง) - ศาลาฮยางวอนจองสะพานสะพาน. - สะพานยองเจ - สะพานชวีฮยาง
พระราชวังคย็องบก ตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "1937" ], "answer_begin_position": [ 245 ], "answer_end_position": [ 249 ] }
1,457
141,136
พระราชวังคย็องบก พระราชวังคย็องบก () ตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยราชวงศ์โชซ็อน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1937 (ค.ศ. 1394) โดยช็อง โด-จ็อน และได้กลายเป็นพระราชวังหลวงหรือวังหลักสำหรับประทับว่าราชการของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของเกาหลีมาโดยตลอด และได้รับการต่อเติมโดยพระเจ้าแทจงและพระเจ้าเซจงมหาราช แต่บางส่วนของพระราชวังนั้นถูกเพลิงเผาวอดในช่วงที่ญี่ปุ่นบุกประเทศเกาหลี พระราชวังมีเนื้อที่ 5.4 ล้านตารางฟุต โดยในช่วงต้นราชวงศ์โชซ็อนมีตำหนักอาคารมากถึง 200 อาคาร กระทั่งปี พ.ศ. 2135 ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกประเทศเกาหลี ตำหนักต่าง ๆ ได้ถูกทุบทำลาย ถูกเผาทิ้งไปเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะได้รับการบูรณะซ่อมแซมและสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับเดิม โดยในปัจจุบันมีตำหนักทั้งสิ้น 10 ตำหนัก คำว่า "คย็องบกกุง" ในภาษาเกาหลี แปลว่า "พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง (The Palace of Shining Blessings)"สิ่งก่อสร้างประตูหลักสิ่งก่อสร้าง. ประตูหลัก. - ประตูควางฮวา (ประตูแรกที่เข้าสู่พระราชวังหรือประตูทิศใต้) - ประตูฮึงนเย (ประตูที่สองเข้าสู่พระราชวัง) - ประตูคึนจอง (ประตูที่สามเข้าสู่พระราชวัง) - ประตูซินมู (ประตูทิศเหนือ) - ประตูคอนชุน (ประตูทิศตะวันออก) - ประตูยองชู (ประตูทิศตะวันตก)เขตพระราชฐานชั้นนอกเขตพระราชฐานชั้นนอก. - ประตูคึนจอง (ประตูที่สามเข้าสู่พระราชวัง) - พระที่นั่งคึนจอง - พระที่นั่งซาจอง (สถานที่ทรงงานของกษัตริย์) - พระที่นั่งซูจอง - พระที่นั่งชอนชู - พระที่นั่งมันชูนเขตพระราชฐานชั้นในเขตพระราชฐานชั้นใน. - พระที่นั่งคังนยอง (สถานที่ประทับของกษัตริย์) - พระที่นั่งคโยแท (สถานที่ประทับของราชินี) - พระที่นั่งจาคยอง (สถานที่ประทับของพระราชมารดาของกษัตริย์)วังตะวันออก (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมาร)วังตะวันออก (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมาร). - พระตำหนักจาซอน (สถานที่ประทับของมกุฎราชกุมารและพระชายา) - ตำหนักพีฮยอน (สถานที่ศึกษาเล่าเรียนของมกุฎราชกุมาร)สถานที่อื่นๆสถานที่อื่นๆ. - ศาลาคยองเฮรู (สถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงของพระราชวัง) - ศาลาฮยางวอนจองสะพานสะพาน. - สะพานยองเจ - สะพานชวีฮยาง
คำว่า "คย็องบกกุง" ในภาษาเกาหลี แปลว่าอะไร
{ "answer": [ "พระราชวังแห่งพรที่ส่องสว่าง" ], "answer_begin_position": [ 864 ], "answer_end_position": [ 891 ] }
1,458
146,906
เดอะคาร์เพนเทอส์ เดอะคาร์เพนเทอส์ () เป็นวงดนตรีสัญชาติอเมริกันซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นพี่น้องกัน คือ แคเรน คาร์เพนเทอร์ และ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ หนึ่งในสุดยอดวงดนตรียุค 70 แม้ว่าในช่วงยุคทศวรรษที่ 70 จะนิยมเพลงร็อกหนัก ๆ แต่ ริชาร์ดและแคเรน ก็ทำเพลงในสไตล์ที่แตกต่าง ด้วยคุณภาพของน้ำเสียงที่เป็นหนึ่งในยุค 70s ของแคเรนและการเรียบเรียงเสียงประสานอันสุดยอดของริชาร์ด ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้และสามารถทำยอดขายมากที่สุดตลอดกาลประวัติจุดเริ่มต้น ประวัติ. จุดเริ่มต้น. ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ([Richard Carpenter]) เกิดวันที่ 15 ตุลาคม 1946 ที่เมือง New Heaven Connecticut ส่วนแคเรน คาร์เพนเทอร์ ([Karen Carpenter]) ผู้เป็นน้องสาว เกิดวันที่ 2 มีนาคม 1950 ที่เมือง New Heaven Connecticut เช่นกัน ครอบครัวประกอบไปด้วย Harold Carpenter ผู้เป็นพ่อ และ Agnes Carpenter ผู้เป็นแม่ เป็นครอบครัวคนชั้นกลางในอเมริกา ตั้งแต่สมัยเด็ก ริชาร์ดชอบที่จะขลุกอยู่กับห้องเก็บแผ่นเสียงของพ่อซึ่งเป็นคนที่ชอบสะสมแผ่นเสียงต่าง ๆ โดยริชาร์ดจะชอบฝึกเล่นเปียโนมากกว่าออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเด็กคนอื่น แต่เขาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีให้เห็นตั้งอายุยังน้อย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของ Agnes ผู้เป็นแม่เป็นอย่างมาก ว่าลูกชายเป็นคนเก่งและมีความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี ถึงแม้ว่าแคเรนจะมีพรสวรรค์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครมองเห็น เมื่อริชาร์ดเริ่มเรียนในสาขาดนตรี เขาสนใจในการแต่งและเรียบเรียงเสียงประสาน ในขณะที่แคเรนผู้เป็นน้องสาวจะมีลักษณะเป็นทอมบอยที่ชอบออกไปเล่นกีฬากลางแจ้ง เธอมักจะตามริชาร์ดเสมอ เพราะริชาร์ดคือคนที่เธอเชื่อและเหมือนไอดอล เมื่อริชาร์ดเริ่มเล่นดนตรีจึงเป็นแรงผลักดันให้เธอเล่นดนตรีด้วย โดยในปี 1965 แคเรนฝึกเล่นกลองชุดเพื่อให้สามารถร่วมวงกับพี่ชายได้ นอกจากนี้เธอยังสามารถเล่นเบสได้ จากการสอนของ Gary Sims ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวง และยังเป็นเพื่อนชายของเธอ ณ ขณะนั้นด้วยปี 1965-1968: Richard Carpenter Trio - Spectrum ปี 1965-1968: Richard Carpenter Trio - Spectrum. เริ่มก่อตั้งวงครั้งแรกในปี ค.ศ.1965 โดยมีสมาชิก 3 คน คือ ริชาร์ด, แคเรน และ เวส จาคอปส์ ซึ่งเป็นเพื่อนของริชาร์ด ชื่อว่า "วงริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ทริโอ" เล่นเพลงแจ๊ส (ริชาร์ด: เปียโน, แคเรน: กลอง และ เวส จาคอปส์: เบสและทูบา) ในปี 1966 โจ ออสบอร์น ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายเพลง Magic Lamp Records ที่เป็นค่ายเพลงเล็ก ๆ (สำนักงานดัดแปลงจากโรงรถ) สนใจในน้ำเสียงของแคเรน จึงได้รับเป็นศิลปินในสังกัด และได้ออกซิงเกิลชื่อ Looking For Love ประมาณ 500 แผ่นเท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดการโปรโมตของค่าย ในกลางปี 1966 วงริชาร์ดคาร์เพนเทอร์ทริโอได้เข้าแข่งขันรายการ Hollywood Bowl Battle of the Bands และชนะเลิศในรายการดังกล่าว ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและเซ็นสัญญาเข้าสังกัด RCA Records พวกเขาได้บันทึกเสียงหลายเพลงด้วยกัน แต่เนื่องจากรูปแบบที่ทำออกมาไม่ได้เป็นไปตามกระแสนิยมของตลาดช่วงนั้น ซึ่งเพลงร็อกแอนด์โรลยังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทำให้พวกเขาถูกระงับการออกอัลบั้ม ในปี 1967 ริชาร์ดได้ตั้งวงขึ้นมาใหม่ในชื่อ Spectrum และยุบวงในปี 1968ปี 1969-1970: Offering - Close To You ปี 1969-1970: Offering - Close To You. แต่อย่างไรก็ดี ริชาร์ดได้ตัดสินใจทำงานดนตรีทั้งหมดด้วยตัวเองขึ้นมา ในชื่อ "คาร์เพนเทอร์ส" (ตั้งชื่อไม่ให้มี "เดอะ" นำหน้า เนื่องจากไม่ต้องการให้เหมือนชื่อวงดนตรีอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมขณะนั้น โดยพวกเขา (ริชาร์ดและแคเรน) ทำงานกันเองทั้งหมด ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียงดนตรี บรรเลง ร้องนำ และ ร้องประสาน ด้วยความที่ริชาร์ดเชื่อมั่นในน้ำเสียงของแคเรน ว่าสามารถเป็นนักร้องนำได้ เขาได้ส่งเทปเดโมไปยังค่ายเพลงต่าง ๆ จนในที่สุด Herb Alpert เจ้าของค่าย A&M Records ได้สะดุดกับการเรียบเรียงดนตรีของริชาร์ด และน้ำเสียงของแคเรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงของแคเรนประทับใจ Herb Alpert เป็นอย่างมาก ทำให้ Herb Alpert ตกลงใจที่จะรับให้พวกเขาเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดในต้นปี 1969 และในปลายปีนั้นเองก็ได้ออกอัลบั้มแรกในนามของวงคาร์เพนเทอร์ส Offering (เปลี่ยนชื่อและปกเป็น Ticket To Ride ตามซิงเกิลแรกที่ได้รับความนิยมในปี 1970) เป็นอัลบั้มแรกของพวกเขา โดยมีเพลง Ticket To Ride ซึ่ง cover มาจาก The Beatles ปล่อยมาเป็นซิงเกิลแรก โดยได้นำมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ทั้งหมด จากเพลงเร็วกลายเป็นบัลลาดช้า ๆ ที่ไม่เหมือนของเดิมเลย Ticket To Ride ติดชาร์ทอันดับที่ 54 ของอเมริกา อัลบั้มดังกล่าวมียอดขายที่ไม่มากนัก (ภายหลังมีการออกจำหน่ายใหม่โดยมีการเปลี่ยนปกและชื่ออัลบั้มเป็น "Ticket To Ride" แทน) แต่อย่างไรก็ดี Herb Alpert ก็ไม่ได้ให้เขาออกจากสังกัด แต่ยังให้โอกาสกับพวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 อีกด้วย ในขณะเดียวกันนั้น Burt Bacharach ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงมือฉมัง ที่แต่งเพลงฮิตให้กับ Dionne Warwick มากมายหลายเพลง ได้ยินเพลง Ticket To Ride ในเวอร์ชันของคาร์เพนเทอร์สและสนใจพรสวรรค์ในการเรียบเรียงเสียงประสานของพวกเขา จึงได้ติดต่อกับ Herb ว่า เขาต้องการให้วงคาร์เพนเทอร์สซึ่งเป็นศิลปินในสังกัดได้ร่วมเปิดการแสดงให้เขาในงานคอนเสิร์ทการกุศล โดยให้พวกเขาเล่นเพลงที่แต่งโดย Burt Bacharach และ Hal David ซึ่งทาง Herb ก็ยินดีและได้ให้ชีทเพลงของ Bacharach และ David กับริชาร์ดหลายเพลงเพื่อนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้แสดงในงานงานคอนเสิร์ตการกุศลดังกล่าว Herb ได้ถามริชาร์ดว่ารู้จักเพลง (They Long To Be) Close To You หรือไม่ เพราะจะให้นำมาใช้เล่นเป็นเมดเล่ย์ในคอนเสิร์ตด้วย แต่ริชาร์ดเองก็ไม่คุ้นเคยกับเพลงดังกล่าวอย่างใด เนื่องจากเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงที่ฮิตของ Bacharach และ David แต่หลังจากที่ริชาร์ดได้นำชีทเพลงนี้ไป เขากลับมาบอกกับ Herb ว่าเปลี่ยนใจที่จะนำใช้แสดงในคอนเสิร์ต แต่จะนำมาทำเป็นเพลงของคาร์เพนเทอร์สเอง โดยหลังจากความพยายามของการเรียบเรียงและการปรับแก้ของ Herb ถึงสามครั้ง สุดท้ายสำเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการ (They Long To Be) Close To You ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลที่ 2 ของพวกเขา เพียงไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นสู่อันดับที่ 1 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของอเมริกา และครองอันดับ 1 ได้นานถึง 4 สัปดาห์ เป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกของพวกเขา และสามารถขึ้นชาร์ทอันดับที่ 6 ในอังกฤษได้ ทำให้พวกเขากลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ได้รับการความนิยมอย่างมาก อัลบั้ม Close To You กลายเป็นอัลบั้มขายดีขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ของอเมริกา และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 We've Only Just Begun จากอัลบั้มนั้นเอง ก็ได้รับความนิยมมากไม่ต่างจาก (They Long To Be) Close To You โดยขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของอเมริกาได้นานถึง 4 สัปดาห์ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สองของพวกเขาในปีเดียวกัน อัลบั้ม Close To You สามารถขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐ และ 23 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 1 ล้านแผ่น (ณ ขณะนั้น) และเพลง (They Long To Be) Close To You ก็ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 2 รางวัลในปี 1970 คือ Best New Artist (ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) และ Best Contemporary Vocal Performance by a Duo, Group or Chorus (ปัจจุบันทั้ง (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ถูกบรรจุไว้ใน Grammy Hall of Fame awards) ซึ่งตำนานของวงคาร์เพนเทอร์สได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนั้นเอง นอกจากนี้ยังมีเพลงหลายเพลงในชุด Close To You ที่ได้รับเช่น Reason To Believe (ริชาร์ดชอบเพลงนี้เป็นพิเศษและคิดจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปด้วย), Maybe It's You (เป็นเพลงจากช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ และกลายเป็นเพลงไฮไลทของชุดทีเดียว), Mr. Guder (เป็นเพลงที่ริชาร์และ John แต่งเพื่อร้องล้อเลียนนาย Guder ซึ่งเป็นหัวหน้างานของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำงานพิเศษร้องเพลงในดิสนีแลนด์ แต่เนื่องจากไปร้องเพลงของ Beatle ตามคำขอของนักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องในดิสนี่แลนด์ทำให้พวกเขาถูกไล่ออก!!! เพลงนี้ได้รับความนิยมจากคนดูคอนเสิร์ทมาก), Love Is Surrender และ Help (ในครั้งแรกเพลงนี้ถูกวางแผนให้ตัดเป็นซิงเกิลแรกของชุด แต่หลังจากที่ Herb ได้ยินเพลง (They Long To Be) Close To You แล้วจึงเปลี่ยนความคิดทันที)ปี 1971: Carpenters ปี 1971: Carpenters. ปลายปี 1970 พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ตามมาคือ Merry Christmas, Darling ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยเพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในคริสต์มาส ชาร์ทในปี 1970 และ 1971 หลังจากความสำเร็จอย่างท้วมท้นของซิงเกิล (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ทำให้พวกเขาค่อนข้างเครียดกันมากว่าเพลงอะไรจะเป็นซิงเกิลต่อไปของพวกเขา เป็นปัญหาที่ริชาร์ดแก้ไม่ตกที่เดียว จนกระทั่งคืนที่พวกเขาไปแสดงเปิดคอนเสิร์ทให้กับ Engelbert Humperdinck ขณะช่วงเวลาพักผู้จัดการส่วนตัวของพวกเขาได้แนะนำให้พวกเขาไปผ่อนคลายด้วยการดูภาพยนตร์เรื่อง Lovers and Other Strangers เมื่อริชาร์ดได้ฟังเพลงประกอบภาพยนตร์นั่นเองทำให้เขาพบกับทางออกของปัญหา นั่นคือเพลง For All We Know ในเรื่องสะดุดหูริชาร์ดเป็นอย่างมากเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่ใช่แค่เหมาะกับเสียงร้องของแคเรนเท่านั้นแต่ยังเหมาะกับสไตล์ของวงอีกด้วย ทั้งคู่จดจำท่วงทำนองและนำกลับมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ในแนวของคาร์เพนเทอส์ ซึ่งก็แน่นอนหลังจากเพลงนี้ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลก็เริ่มไต่สู่ชาร์ท For All We Know กลายเป็นเพลงฮิตเพลงที่ 3 ของพวกเขา ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 3 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สาม ด้วยความดังของเพลงนี้ในเวอร์ชันคาร์เพนเทอส์ ทำให้เวอร์ชันเพลงประกอบภาพยนตร์ได้รับอิทธิพลไปด้วย ทำให้เพลงนี้ชนะรางวัลออสกาสาขา Academy Award for Best Original Song ในปี 1971 จากนั้นก็ได้เวลาของอัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา "Carpenters" อัลบั๊มนี้นอกจากจะมีเพลง For All We Know แล้ว ยังมีซิงเกิลฮิตอีก 2 เพลงตามมาคือ Rainy Days And Mondays และ Superstar ซึ่งทั้ง 2 เพลงก็เป็นเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมสูงมาก ขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สี่และห้าของพวกเขาอีกด้วย สำหรับอัลบั๊ม Carpenters เป็นอัลบั๊มแรกที่พวกเขาเริ่มใช้โลโก้ "Carpenters" ที่คุ้นตาไว้บนหน้าปกอย่างเป็นทางการอีกด้วย อัลบั๊ม Carpenters ขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทอัลบั๊ม 100 อันดับของอเมริกา ทำยอดขายได้เกินล้านแผ่น และได้รับรางวัล Grammy "Best Pop Vocal Performance by a Duo or Group" ในปี 1971 อีกด้วย ซึ่งนอกจาก 3 ซิงเกิลดังแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ เพลงที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลงเช่น Let Me Be The One, (A Place To) Hideaway และ One Love เพลง Let Me Be The One เป็นเพลงหนึ่งที่ริชาร์ดรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษและคิดว่าถ้าหากตัดเป็นซิงเกิล เพลงคงจะเป็นหนึ่งในเพลงดังของวงอย่างแน่นอน (Let Me Be The One ถูกตัดเป็นแผ่นซิงเกิลในปี 1991 เพื่อโปรโมทอัลบั้มชุด "From The Top") เพลง (A Place To) Hideaway เป็นเพลงที่แฟนเพลงคาร์เพนเทอส์หลายคนโหวตว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดของวงเพลงหนึ่งเลยทีเดียวปี 1972: A Song For You ปี 1972: A Song For You. ด้วยการที่พวกเขามีอัลบั้มฮิตต่อเนื่อง 2 ชุด (Close To You และ Carpenters) รวมกับ 5 ซิงเกิลแผ่นเสียงทองคำ ทำให้สถานภาพและอนาคตของวงราบรื่นทีเดียว ซิงเกิลถัดไปเริ่มด้วย Hurting Each Other ซึ่ง cover จากวง Ruby and the Romantics ออกจำหน่ายปลายปี 1971 เป็นการเปิดตัวอัลบั๊มที่ 4 ของพวกเขา A Song For You โดยออกจำหน่ายก่อนอัลบั๊มนานถึง 9 เดือน Hurting Each Other กลายเป็นเพลงฮิตเพลงถัดไปของพวกเขา โดยขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่หก ตามมาด้วย It's Going To Take Some Time ซึ่ง cover งานของ Carole King และนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซิงเกิล Ticket To Ride ที่ซิงเกิลของพวกเขาไต่ไม่ถึง 3 อันดับแรกของชาร์ท It's Going To Take Some Time ขึ้นอันดับ 12 ในอเมริกา และตามด้วยซิงเกิลลำดับที่ 3 Goodbye To Love ซึ่งเป็นเพลงที่ริชาร์ดและเพื่อนสนิทของเขา John Bettis แต่งขึ้น เป็นเพลงแรกที่ริชาร์ด โดยให้ Tony Peluso หนึ่งในสมาชิกหลักของวงซึ่งริชาร์ดพึ่งชวนเข้ามาร่วมงานในวง โซโลกีต้าร์ในช่วงกลางและท้ายเพลง ด้วยการโซโลกีต้าร์ที่ดุเดือด โดยเฉพาะท่อนโซโลท้ายเพลงที่นานกว่า 2 นาที ทำให้เพลง Goodbye To Love ออกมาเหมือนเป็นเพลงร็อกมากกว่าเพลงในสไตล์ที่วงเคยทำออกมา ทำให้พวกเขาได้รับจดหมายต่อว่าจากเพลงเป็นจำนวนมากว่าพวกเขาดังแล้วเปลี่ยนสไตล์ ไม่รักษารูปแบบเดิมอย่างที่ควรเป็น แต่อย่างไรก็ดี Goodbye To Love ก็กลายเป็นเพลงฮิต ขึ้นอันดับ 7 ในอเมริกา และ 9 ในอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเพลงป๊อปที่มีการโซโลกีต้าร์ที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งด้วย และการโซโลกีต้าร์ของ Tony Peluso ก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวงไปด้วย อัลบั๊ม A Song For You ขึ้นอันดับ 4 ของชาร์ทอเมริกา และมียอดจำหน่ายเกินล้านชุด นอกจากนี้ยังมีเพลงฮิตอื่น ๆ ในชุดรวมอยู่ด้วยเช่น Bless The Beasts And Children ซึ่งเป็นเพลง ost จากภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน โดยเพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในด้านบี (side B) ของ Superstar โดยสามารถขึ้นอันดับที่ 67 ในสหรัฐ และยังได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบด้วยเช่นเดียวกันกับ For All We Know แต่ไม่ได้รางวัล A Song For You เป็นเพลงแรกของแผ่นโดยแฟนเพลงส่วนใหญ่จะรู้จักเพลงนี้ดีอยู่แล้ว เป็นงานโคฟเวอร์ที่แฟนเพลงส่วนใหญ่คิดว่าเพลงนี้น่าจะถูกตัดเป็นซิงเกิลด้วยเช่นกัน, Crytal Lullaby, I Won't Last A Day Without You และ Top Of The World (สองเพลงหลังตัดเป็นซิงเกิลในช่วงเวลาต่อ)ปี 1973: Now And Then และ The Singles 1969-1973 ปี 1973: Now And Then และ The Singles 1969-1973. จากการที่พวกเขาประสบความสำเร็จต่อเนื่องอย่างสุด ๆ ทำให้ตั้งแต่ปลายปี 1970 จนถึง 1972 พวกเขาแถบไม่มีเวลาสำหรับการเขียนหรือหาเพลงที่จะมาทำในอัลบั้มใหม่เลย ทั้งจากการทัวร์คอนเสิร์ทตลอดทั้งปี การแสดง รายการโทรทัศน์ มาถึงปี 1973 งานเก่าในสมัยที่เป็นวง Specturm ถูกนำมาใช้กับอัลบั้มชุด Ticket To Ride, Close To You, Carpenters และ A Song For You จนหมด แต่จากการแสดงสดในปี 1972 พวกเขาได้เลือกเอาเพลงดังในยุคปี 1960s มาแสดงด้วยและก็ได้รับการตอบรับอย่างสูง ริชาร์ดเองก็ได้คอนเซ็ปจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาใช้ในการนำเสนออัลบั้มถัดไปนั่นคือแบ่งเพลงในอัลบั้มถัดไปเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าแรกจะเป็นเพลงใหม่ตามปกติ ส่วนหน้าหลังจะเป็นเมดเล่ย์เพลงดังในยุค 1960s โดยได้คอนเซ็ปนั้นมาเป็นเพลง Yesterday Once More ซึ่งบรรยายถึงความรู้สีกดี ๆ ที่มีต่อเพลงรักเก่า ๆ ที่เคยร้องคลอตาม เมื่อกลับมาได้ยินอีกครั้ง อัลบั้มที่ห้านี้ใช้ชื่อว่า Now And Then ตามที่ Agnes มารดาของพวกเขาได้ตั้งให้ โดยมีเพลง Sing เป็นซิงเกิลเปิดตัว Sing เป็นเพลงจากรายการเด็ก Sesame Street ทำให้สต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M ว่าพวกเขาที่บ้าไปแล้วที่ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิล แต่อย่างไรก็ดีหลังจาก Sing ออกจำหน่ายก็ได้รัยความนิยมอย่างมากทันที โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 3 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เจ็ดของพวกเขา และตามมาด้วย Yesterday Once More ซึ่งแต่งโดยริชาร์ดและ John Bettis กลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดของพวกเขา ณ ขณะนั้น โดย โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 2 ในอเมริกาและ 2 อังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่แปด เพลงนี้ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่มียอดจำหน่ายสูงสุดตลอดกาลเพลงหนึ่งในญี่ปุ่นทีเดียว นอกจากนี้อัลบั้ม Now And Then ยังมี highlight ที่เมดเล่ย์ oldies ในหน้าที่ 2 ที่รวมเอาเพลงดัง ๆ จากยุค 60s มา cover รวมกัน โดยทำให้เหมือนกับการฟังวิทยุที่มีดีเจดำเนินรายการ (Tony Peluso) คอยเปิดและแนะนำเพลงและมีคนเข้ามาร่วมทายปัญหาในรายการด้วยโดยมีเพลง Yesterday Once More เป็นเพลงนำเข้าและปิดเมดเล่ย์ อัลบั้ม Now And Then ประสบความสำเร็จขึ้นสู่อันดับ 2 ทั้งในอเมริกาและอังกฤษ มียอดจำหน่ายเกินกว่าล้านแผ่น และประสบความสำเร็จอย่างมากในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้วงคาร์เพนเทอส์เป็นที่นิยมสูงสุดในญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากสองเพลงดังแล้วยังมีเพลงฮิต (ที่ไม่ได้ถูดตัดเป็นซิงเกิลด้วย) ได้แก่ Jambalaya (On The Bayou) และ This Masquerade ซึ่งทั้งสองเพลงกลายเป็นเพลงฮิตที่แฟนเพลงทุกคนต้องรู้จัก ซิงเกิลถัดไปพวกเขาเลือกที่จะปล่อยคือ Top Of The World ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม A Song For You ในปี 1972 ซึ่งก็ได้รับการค้านจากสต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M อีกเช่นกันเนื่องจากเป็นเพลงจากอัลบั้มเก่าเมื่อปีที่แล้ว และนอกจากนี้เพลงที่ตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You ก็มีมากแล้ว (Hurting Each Other, It's Going To Take Some Time และ Goodbye To Love รวมถึง Bless The Beasts And Children ที่เป็น B-side ของซิงเกิล Superstar ด้วย) แต่ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวกับเพลง Top Of The World ทำให้ริชาร์ดเชื่อว่าเพลงนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเพลงดังเพลงต่อไปของพวกเขา เช่นการได้รับการตอบรับเหมือนเป็นเพลงฮิตเมื่อพวกเขาเล่นในคอนเสิร์ท, Lynn Anderson นักร้องเพลงคันทรี cover เพลงนี้และสามารถไต่ขึ้นอันดับ 2 ของคันทรีชาร์ทได้, สถานีวิทยุต่าง ๆ ขึ้นชาร์ทเพลงนี้จากการขอเพลงทางวิทยุเพียงอย่างเดียว, มีการตัดเพลงนี้ออกเป็นซิงเกิลในญี่ปุ่นและมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำ รวมถึงแฟนเพลงต่างก็เรียกร้องให้ริชาร์ทตัดเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล อย่างไรก็ดีริชาร์ดเองรู้สีกไม่พอใจกับ steel กีต้าร์ในเวอร์ชันเดิม รวมทั้งตัวแคเรนก็ยังไม่พอใจกับการร้องของตัวเอง จึงได้บันทึกเสียงเพลงนี้ใหม่ (เฉพาะเสียงร้องนำของแคเรน และ steel guitar เท่านั้น) ผลปรากฏว่า Top Of The World ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 1 ในอเมริกา และ 5 ในอังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เก้า ด้วยความดังของเพลง Top Of The World ทำให้ A&M ต้องออกอัลบั้มรวมฮิต The Singles 1969-1973 รวมผลงานซิงเกิลจากปี 1969 จนถึงเพลงล่าสุด แคเรนเองไม่พอใจกับการร้องของตัวเองในอัลบั้ม Ticket To Ride มาก โดยเธอได้บันทึกเสียงร้องและกลองใหม่ (แคเรนเล่นตำแหน่งกลองด้วยในการบันทึกเสียงชุด Ticket To Ride) ส่วนริชาร์ดเองก็ได้ให้ Tony Peluso เพิ่มเติมเสียงกีต้าร์ลงในเพลง Ticket To Ride ด้วย ซึ่งก็กลายมาเป็นเวอร์ชันที่คุ้นหูที่สุด (ในอัลบั้มรวมฮิตทั้งหมดจะเป็นเวอร์ชันนี้) อัลบั้ม The Singles 1969-1973 มียอดจำหน่ายถล่มทลาย สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ทั้งในอังกฤษและอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษอัลบั้มนี้สามารถครองอันดับ 1 ได้นานถึง 17 สัปดาห์ กลายเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอัลบั้มหนึ่งในยุค 70s ทีเดียวปี 1974: Live In Japan ปี 1974: Live In Japan. หลังจากที่ Top Of The World ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นแล้ว ทีมงาน A&M ได้ปล่อยเพลง Jambalaya (On The Bayou) จากอัลบั้ม Now And Then ซึ่ง cover งานเพลงเก่าของราชาเพลงคันทรี Hang William ออกเป็นซิงเกิลจำหน่ายในหลายประเทศยกเว้นที่อเมริกา (ซึ่งริชาร์ดอาจจะไม่ได้คิดถึงในจุดนี้) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเกินคาดเพราะสามารถขึ้นอันดับที่ 12 ได้ในอังกฤษ รวมถึงมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำในประเทศญี่ปุ่นและฮอลแลนด์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮอลแลนด์ Jambalaya (On The Bayou) กลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของคาร์เพนเทอส์ทีเดียว หลังจากออกอัลบั้ม Now And Then แล้วพวกเขาแทบไม่มีวัตถุดิบในการทำงานชุดใหม่เหลือเลย อีกทั้งยังเหนื่อยมากจากการทัวร์คอนเสิร์ทที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ด้วยเหตุนี้ในปี 1974 นี้ พวกเขาจึงยังไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา แต่มีซิงเกิลใหม่ตามออกมานั่นคือ I Won't Last A Day Without You เพลงจากอัลบั้ม A Song For You ในปี 1972 ด้วยเหตุผลที่คล้ายกันกับ Top Of The World ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ 6 ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You (นับรวม Bless The Beasts And Children) I Won't Last A Day Without You ประสบความสำเร็จอย่างดี เมื่อขึ้นชาร์ทอันดับที่ 11 ในอเมริกา และ 32 ในอังกฤษ (เพลงนี้ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 9 ในอังกฤษพร้อมกันกับ Goodbye To Love ในปี 1972 มาแล้วครั้งหนึ่ง) นอกจากนี้เพลงนี้ยังชนะรางวัล "World Disc Grand Prix" ในสาขาซิงเกิลแห่งปี 1974 ในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่ง ณ ขณะนี้ความนิยมของวงคาร์เพนเทอส์ในญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นมากในระดับที่เทียบเท่ากับวง The Beattle ซึ่งในปีนั้นเองพวกเขาได้มีกำหนดการที่จะออกทัวร์คอนเสิร์ทตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ทีมงาน A&M ประจำญี่ปุ่นนำการแสดงสดดังกล่าวมาทำและจัดจำหน่ายเป็นอัลบั้มคู่ Live In Japan ซึ่งก็ได้รับความนิยมและจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำเช่นกัน ในปลายปี 1974 พวกเขากลับเขาสตูดิโออีกครั้งพร้อมกับบันทึกเสียงซิงเกิลใหม่ Please Mr. Postman เพลง cover จากกลุ่มนักร้องสาวผิวสี Marvelettes โดยได้เรียบเรียงเสียใหม่ให้มีความกระชับกว่าเดิม ผลปรากฏว่า Please Mr. Postman ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ในอเมริกาเป็นเพลงที่ 3 และยังขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ในอังกฤษ และในอีกหลาย ๆ ประเทศ เพลงนี้ได้รับแผ่นเสียงทองคำในอเมริกาเป็นเพลงที่ 10 ของพวกเขา ริชาร์ดกล่าวว่า เขาเคยคิดว่าเพลง Yesterday Once More เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมที่สุดของพวกเขา แต่ตอนนี้ Please Mr. Postman คือเพลงที่โด่งดังที่สุดของพวกเขา หลังจากนี้พวกเขายังปล่อยเพลง Santa Claus Is Comin' To Town ซึ่งเป็นเพลงคริสต์มาสต์เพลงที่ 2 ของพวกเขาเป็นซิงเกิลถัดมา แม้จะไม่ได้รับความนิยมมากเท่า Merry Christmas, Darling แต่เพลงนี้ก็ยังขึ้นอันดับ 35 ในฝั่งอังกฤษ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง เป็นช่วงที่แคแรนเริ่มอาการของแอนนอริเซีย เนฟโวซา (Anorexia nervosa) ซึ่งเป็นโรคกลุ่มอาการผิดปกติในเรื่องการกินอาหารปี 1975: Horizon ปี 1975: Horizon. หลังจาก Please Mr. Postman ประสบความสำเร็จโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ซิงเกิลถัดมา Only Yesterday ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู John Bettis เช่นเคย เพลงนี้ขึ้นอันดับ 4 ในอเมริกา และ 7 ในอังกฤษ และโด่งดังในหลาย ๆ ประเทศ (โดยเพลงนี้ทำให้ริชาร์ดต้องเสียเงินค่าพนันจำนวน 1,000 เหรียญให้กับนักวิศวกรเสียง ด้วยเหตุว่าเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่น่าจะดัง) และตามมาด้วยอัลบั้มที่ 6 ของพวกเขา Horizon แต่ช่วงกลางยุค 70s บรรยากาศแนวดนตรีเริ่มเปลี่ยนไป รวมถึงมีนักร้องคลื่นลูกใหม่ออกมาก เช่น ดิ อีเกิ้ล ทำให้ความนิยมของวงคาร์เพ็นเตอร์สในอเมริกาเริ่มลดลง โดยเห็นได้จากชาร์ตอัลบั้มที่ขึ้นไปที่อันดับ 13 แต่ความดังของพวกเขากับเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อังกฤษและญึ่ปุ่น ที่ Horizon สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ ซิงเกิลที่ 3 ที่ตัดออกมา Solitaire ขึ้นอันดับ 17 ในอเมริกา และ 32 ในอังกฤษ อย่างไรก็ดี อัลบั้มดังกล่าวก็ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแพลตินั่มในอเมริกา (เกินล้านแผ่น) อีกทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ชื่นชมกับอัลบั้มชุดนี้มากเกี่ยวกับน้ำเสียงและเทคนิคที่แคเรนร้อง (แคเรนใช้คีย์เสียงในระดับฐานของเสียง ซึ่งริชาร์ดบอกไว้ว่าเป็นคีย์เสียงที่ดีและไพเราะที่สุดของแคเรน) ทั้งบทเพลงและดนตรีที่ลงตัว รวมถึงการมิกซ์เสียง แต่อาจเนื่องจากเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มชุดนี้จะเป็นบัลลาดหนัก ๆ เสียส่วนใหญ่ ทำให้ในยุคนั้นคนยังนิยมเพลงแนวบุพพาชนเสียส่วนใหญ่ และนอกจากนี้ด้วยคอนเซ็ปของชุดนี้ที่เริ่มจากเพลง Arora และปิดท้ายด้วย Eventide ซึ่งทั้ง 2 เพลงมีทำนองและดนตรีเหมือนกันต่างเพียงเนื้อร้องและด้วยความที่มีความยาวของเพลงสั้นประมาณ 1:33 นาที ทำให้ทั้ง 2 เพลงเหมือนเป็น jingle ที่ทำหน้าที่เปิดและปิดอัลบั้มเท่านั้น ทำให้คนฟังมีความรู้สึกเหมือนว่าชุดนี้มีเพลงเพียงแค่ 8 เพลง แทนที่จะมี 10 เพลงเป็นอย่างน้อยเหมือนชุดอื่น ๆ ส่วนเพลงอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลง เช่น (I'm Caught Between) Goodbye And I Love You, Happy (เป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วกว่าเพลงอื่นในชุด ทำให้ริชาร์ดคิดว่าถ้าตัดสินใจใหม่ได้จะเลือกเพลงนี้เป็นซิงเกิลแทน Solitaire), Love Me For What I Am และ Desperado (งานโคฟเวอร์ของดิ อีเกิ้ล ซึ่งครั้งแรกที่ริชาร์ดได้ยินเพลงนี้หลังการมิกซ์เสร็จก็ตัดสินใจที่จะเลือกเป็นซิงเกิลถัดไปเช่นกัน แต่เนื่องจากมีศิลปินมากมายนำไปโคฟเวอร์แล้ว ความคิดดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป)ปี 1976: A Kind Of Hush ปี 1976: A Kind Of Hush. ในปี 1976 ริชาร์ดค่อนข้างกังวลกับปัญหาในเรื่องของความนิยมต่อวงคาร์เพนเทอส์ในอเมริกาที่กำลังลดลง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะหวังกับอัลบั้มถัดไปอย่างมาก โดยปล่อยเพลง There's A Kind Of Hush ซึ่งเป็นการโคฟเวอร์งานเก่าของวง Herman's Hermits ออกมาเป็นซิงเกิลแรก ซึ่งก็ขึ้นชาร์ท 12 ในอเมริกา และ 22 ในอังกฤษ และตามมาด้วย I Need To Be In Love ซิงเกิลที่สองอันเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู ซึ่งตัวริชาร์ดเองค่อนข้างหวังไว้กับเพลงนี้สูงมาก เนื่องจากเป็นเพลงที่เขาตั้งใจแต่งและเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่แคเรนชอบมากที่สุดที่เธอได้ร้องไว้ แต่ผลจากความนิยมที่ลดลง ทำให้เพลงดังกล่าวขึ้นชาร์ทได้เพียงอันดับที่ 25 ในอเมริกา และ 36 ในอังกฤษ (อย่างไรก็ดีเพลงนี้ถูกนำมาตัดเป็นซิงเกิลใหม่ในปี 1995 ในญี่ปุ่น สามารถขึ้นสู่ชาร์ดได้ในอันดับที่ 5 และมียอดจำหน่ายกว่า 4 ล้านแผ่น ซึ่งสูงสุดในยอดจำหน่ายของปีนั้นที่เดียว สร้างปรากฏการณ์ที่หน้าประหลาดใจให้กับริชาร์ดเป็นอย่างมาก) และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 Goofus ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงทั่วโลกในการเลือกเพลงนี้มาเป็นซิงเกิล โดยชาร์ทที่ตามมาก็ไม่น่าประหลาดใจ อยู่ในอันดับที่ 56 ในอเมริกา ทำให้อัลบั้มที่ 7 ของพวกเขา A Kind Of Hush ขึ้นอันดับที่ 33 ในอเมริกา แต่ยังสามารถรักษาความนิยมในอังกฤษได้อันดับที่ 3 อย่างไรก็ดี A Kind Of Hush ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแผ่นเสียงทองคำในอเมริกาอยู่ เพลงที่ได้รับความนิยมเพลงอื่น ๆ ได้แก่ You เป็นงานโคฟเวอร์เช่นกัน แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของวงด้วย ด้วยเสียงร้องที่โด่ดเด่นไพเราะของแคเรน เพลงนี้ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น โดยมีแฟนเพลงจำนวนมากคิดว่าเพลงนี้น่าจะออกเป็นซิงเกิล แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เพลงนี้ไม่ได้ถูกทำเป็นซิงเกิลแต่เลือกเพลง Breaking Up Is Hard To Do เป็นซิงเกิลที่ 3 สำหรับญี่ปุ่นแทน (สร้างความผิดหวังให้กับแฟนเพลงหลายคนทีเดียว ใครทราบสาเหตุรบกวนเล่าให้ฟังด้วยครับ), Sandy เป็นเพลงโปรดเพลงหนึ่งของริชาร์ด เขาแต่งเพื่อบรรยายถึงแซนดี้ ซึ่งเป็นช่างผมช่างแต่งตัวให้กับแคเรนและเขาก็เคยมีเดทกันนิดหน่อย (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเลิกกันไปสาเหตุเพราะแคเรนและแอกเนส), Can't Smile Without You เป็นเพลงที่อยู่แผนการตัดเป็นซิงเกิลเช่นกัน โดยมีการทำออกมาเวอร์ชันในปี 1978 และในปีเดียวกันนั้น Berry Manilow ได้โคฟเวอร์เพลงนี้จนทำให้กลายเป็นเพลงดังที่คนรู้จัก และ I Have You ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้เองวงคาร์เพนเทอส์มีงานทัวร์คอนเซิร์ททั่วโลกทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นแทบเต็มตาราง ทำให้อาการป่วยของแคเรนจากโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา เริ่มแสดงอาการให้เห็นจากการที่เธอเป็นลมล้มลงกลางเวทีหลังจากร้องเพลง Top Of The World จนสุดท้ายต้องยกเลิกการแสดงทัวร์ที่ญี่ปุ่นไป ขณะเดียวกันริชาร์ดก็เริ่มใช้และติดยานอนหลับด้วยปี 1977: Passage ปี 1977: Passage. เนื่องจากปัญหาความนิยมของวงที่ลดลงในสหรัฐอเมริกา (ทั้งยอดจำหน่ายอัลบั้มและชาร์ทซิงเกิล) รวมถึงขณะนั้นเป็นยุคทองของเพลงดิสโก้ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันที่มหาศาลกับ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทุก ๆ อย่างในการผลิตอัลบั้มของวงเรื่อยมา ทำให้อัลบั้มใหม่นี้เขาไม่ต้องการให้ความนิยมของวงตกลงโดยไม่ได้มีการจัดการอะไร... นั่นจึงเป็นที่มาของอัลบั้ม Passage ซึ่งเขาลดบทบาทของเขาลงหลายอย่างและทดลองเพลงหลาย ๆ แนวในชุดนี้โดยที่พยายามคงความเป็นวงคาร์เพนเทอส์เอาไว้ไม่ให้อิงไปกับกระแสดิสโก้ เช่นการใช้วงซิมโฟนี่และการประสานเสียงเต็มวง (เพลง Don't Cry For Me Argentina และ Calling Occupants Of Interplanetary Craft) รวมถึงเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีเพลงที่เขาและคู่หูแต่งอยู่เลย โดยเพลงในชุดนี้จะมีความหลากหลายของแนวเพลงมากที่สุด โดยที่มีเพลง All You Get From Love Is A Love Song เป็นซิงเกิลแรก ซึ่งขึ้นชาร์ทได้ 35 ในสหรัฐ และตามมาด้วย Calling Occupants Of Interplanetary Craft (ซิงเกิลที่แปลกที่สุดและยาวที่สุดของวง) เป็นซิงเกิลที่ 2 ซึ่งขึ้นชาร์ทที่ 32 ในสหรัฐ แต่สามารถขึ้นชาร์ทที่ 9 ได้ทั้งในอังกฤษและออสเตรเลีย สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก ถัดมาเป็นเพลงคริสต์มาส The Christmas Song (Chestnut Roasting On An Open Fire) (ไม่ได้บรรจุในชุด Passage) และตามด้วยเพลง Sweet, Sweet Smile ในต้นปี 1978 ซึ่งขึ้นอันดับ 44 ในสหรัฐและ 40 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่เพลงของวงสามารถขึ้นชาร์ทเพลงครันทรีได้ (อันดับที่ 9) นอกจากนี้ในอัลบั้ม Passage ยังมีเพลงที่น่าสนใจอีกเพลงคือ I Just Fall In Love Again ซึ่งจริง ๆ แล้วริชาร์ดต้องการจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปมากกว่า แต่เนี่องจากช่วงเวลาดังกล่าวดีเจที่เปิดแผ่นจะไม่เปิดเพลงที่มีความยาวเกินกว่า 4 นาที (I Just Fall In Love Again มีความยาว 4:04) ทำให้เพลงนี้ถูกลืมไป แต่อย่างไรก็ดีในปี 1978 แอน เมอร์เรย์ ได้โคฟเวอร์เพลงดังกล่าวและสามารถขึ้นชาร์ทลำดับที่ 12 ในสหรัฐได้ (ทำให้ริชาร์ดทราบว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับเพลงนี้ผิดไป) อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะมีความพยายามที่จะทำให้เกิดความแปลกใหม่อย่างมากมาย แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย Passage ขึ้นอันดับ 49 ในสหรัฐและ 12 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่ยอดจำหน่ายของอัลบั้มต่ำกว่าระดับแผ่นเสียงทองคำ (ตั้งแต่ Close To You จนถึง A Kind Of Hush ทุกชุดมียอดจำหน่ายเกินทั้งหมด)ปี 1978: Christmas Portait ปี 1978: Christmas Portait. ในปี 1978 พวกเขาเตรียมทำอัลบั้มคริสต์มาสโดยมีการทำรายการทีวีออกมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตามมาด้วยอัลบั้มเต็ม Christmas Portait ซึ่งในชุดนี้มีเพลง Merry Christmas, Darling ที่ได้ตัดเป็นซิงเกิลออกมาตั้งแต่ปี 1970 บรรจุอยู่ (ขับร้องใหม่โดยแคเรนในปี 1978) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 145 ในสหรัฐ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า หนึ่งล้านแผ่นเลยทีเดียว ในยุคนั้นโดยปกติแล้วมีศิลปินไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำอัลบั้มคริสต์มาสแล้วจะได้รับการตอบรับและประสบความสำหรับ ซึ่ง Christmas Portait เป็นหนึ่งในอัลบั้มดังกล่าวที่ปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมเปิดกันในเทศกาลคริสต์มาสจนถึงทุกวันนี้ เพลงอื่น ๆ ที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ได้แก่ Ave Maria, White Christmas, Silent Night, Have Youself A Merry Little Christmas และ Christmas Waltz ปลายปี 1978 พวกเขาได้บันทึกเสียงเพลงใหม่ ๆ สำหรับเตรียมออกอัลบั้มใหม่ และได้ออกซิงเกิลเพลงใหม่หนึ่งเพลงคือ I Believe You ซึ่งขึ้นอันดับ 68 ในสหรัฐ นอกจากนี้ยังออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตชุดที่ 2 "The Singles 1974-1978" ซึ่งออกจำหน่ายเฉพาะในอังกฤษ และสามารถขึ้นชาร์ทได้ในอันดับที่ 2 (ขณะนั้นความนิยมของวงในอเมริกาลดลงจึงไม่ได้ออกจำหน่าย)ปี 1979-1980: อัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter) ปี 1979-1980: อัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter). ในช่วงต้นปี 1979 สุขภาพของทั้งคู่ย่ำแย่ลง ทั้งอาการติดยานอนหลับอย่างรุนแรงของริชาร์ด และอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็พัฒนาอาการไปอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งจะเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากหนังสือพิมพ์ วิดีโอ ทีวี) จนริชาร์ดตัดสินใจว่าเขาจะหยุดพักงานเพื่อบำบัดอาการติดยานอนหลับของเขาให้หายดีก่อน รวมถึงอาการป่วยของแคเรนด้วย แล้วจึงค่อยกลับเข้าห้องอัดใหม่ โดยที่แคเรนเองก็ต้องเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งตัวแคเรนไม่ค่อยเห็นด้วยกับพี่ชายนักในเรื่องการพักการออกอัลบั้มใหม่ ทำให้เธอตัดสินใจทำงานเดี่ยวไปด้วยในช่วงที่เธอพักรักษาตัว โดยได้ฟิล รามอน มาเป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงานเพลงที่แต่งเองจากนักดนตรีที่ร่วมงานในขณะนั้นทำให้เพลงส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ อีกทั้งฟิล รามอน เองก็อยากให้เสียงร้องของแคเรนในงานเดี่ยวมีความแตกต่างจากที่เป็นแคเรนของวงคาร์เพนเทอส์ ดังนั้นเมื่ออัลบั้มเสร็จออกมาจึงมีความแตกต่างจากงานที่เคยทำร่วมกับพี่ชายมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี การเรียบเรียง เนื้อเพลง รวมถึงวิธีการร้องของแคเรนด้วย (ชุดนี้มีกลิ่นไอของดิสโก้อยู่มาก ซึ่งริชาร์ดได้เคยพูดห้ามในเรื่องนี้เอาไว้) ผลคือทำให้เมื่อนำเดโมที่เสร็จแล้วไปให้ริชาร์ดและผู้บริหารบริษัทเอแอนด์เอ็มฟัง ก็ไม่เป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะระงับการจำหน่ายอัลบั้มเดี่ยวดังกล่าวของเธอ (ซึ่งสร้างความสะเทือนใจกับแคเรนเป็นอย่างมาก) การทำอัลบั้มดังกล่าวยังใช้เงินส่วนตัวของแคเรนไปถึง 400,000 เหรียญสหรัฐด้วย อัลบั้มดังกล่าวเสร็จสิ้นในปี 1980 แต่ถึงแม้ว่าแคเรนจะเสียชีวิตแล้วในปี 1983 ไปแล้วก็ตามแต่อัลบั้มดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจำหน่าย แม้ว่าแฟนเพลงจำนวนมาก (ที่ทราบว่าอัลบั้มดังกล่าวมีอยู่จริง ๆ) ได้เขียนจดหมายถึงริชาร์ดว่าต้องการให้ออกจำหน่าย ซึ่งสุดท้ายแล้วอัลบั้ม Karen Carpenter ก็ได้ฤกษ์ออกจำหน่ายในปี 1996 ซึ่งหลาย ๆ เพลงในชุด Karen Carpenter ก็มิได้แย่จนถึงขั้นที่จะต้องถูกระงับการจำหน่ายเลย ในอัลบั้มนี้มีซิงเกิลหนึ่งเพลงคือ If I Had You (ริชาร์ดได้ให้ความคิดเห็นว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชุด แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกชอบ My Body Keeps Changing My Mind และ Making Love In The Afternoon มากกว่า) อย่างไรก็ดีริชาร์ดได้นำเอาเพลง 4 เพลงจากงานเดี่ยวดังกล่าวมาบรรจุไว้ในอัลบั้ม Lovelines (1989) ของวงคาร์เพนเทอส์ด้วย (Lovelines, If We Try, Remember When Lovin' Took All Night และ If I Had You) ในกลางปี 1980 แคเรนได้พบรักและแต่งงานกับนักธุรกิจ โทมมัส เบอริส โดยงานจัดที่ Crystal Room of the Beverly Hills Hotel และมีเพลงที่แต่งสำหรับงานดังกล่าว Because We Are in Love (The Wedding Song) ซึ่งบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Made In Americaปี 1981: Made In America ปี 1981: Made In America. หลังจากการบำบัดอาการติดยานอนหลับของริชาร์ดจนหายดี และการเสร็จสิ้นการรักษาอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรน (ซึ่งยังไม่ได้หายขาด) พวกเขาก็เตรียมตัวเข้าห้องอัดเพื่อออกอัลบั้มใหม่เลย นั่นคือ Made In America โดยเริ่มจากเพลง Touch Me When We're Dancing เป็นซิงเกิลที่ 2 (I Believe You เป็นซิงเกิลแรก) ได้รับการตอบรับดีในระดับหนึ่ง (อันดับ 16 ในสหรัฐ และเป็นเพลงฮิต top 20 เพลงสุดท้าย) โดยริชาร์ดไม่ค่อยพอใจกับอันดับชาร์ทมากนักเนื่องจากเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีที่น่าจะสามารถได้รับความนิยมในระดับ top 5 ได้ แต่เนื่องจากขณะนั้นมันพ้นช่วงยุคทองของวงไปแล้ว (ดีเจไม่ค่อยโปรโมทเพลงของวงคาร์เพนเทอส์ เพราะไม่ใช่เพลงในแนวกระแสในช่วงยุค 80) เพลงถัดมา (Want You) Back in My Life Again ขึ้นอันดับ 72 ในสหรัฐ ตามมาด้วย Those Good Old Dreams ขึ้นอันดับ 63 ในสหรัฐ (ริชาร์ดให้ความเห็นเกี่ยวกับเพลงนี้ว่าน่าจะขึ้นชาร์ทได้สูงกว่านี้) และ Beechwood 4-5789 ขึ้นอันดับ 74 ในสหรัฐ (และเป็นเพลงสุดท้ายที่สามารถขึ้นชาร์ท top 100 ในสหรัฐได้) Made In America ไต่ชาร์ทอันดับที่ 52 ในสหรัฐและ 12 ในอังกฤษปี 1983: Voice Of The Heart แคเรนเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจ ปี 1983: Voice Of The Heart แคเรนเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจ. ปลายปี 1982 อาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากน้ำหนักของแคเรนที่ลดลงอย่างมาก (ประมาณ 35 กิโลกรัม) ประกอบกับการที่เธอไม่ได้กลับมาทานอาหารอย่างปกติ แต่ใช้วิธีการฉีดสารอาหารเข้าสู่หลอดเลือดทำให้น้ำหนักของเธอกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพฤติกรรมการไม่ทานอาหาร การใช้สารทำให้อาเจียร (บูลิเมียร์) หลังจากทานอาหารเสร็จ รวมถึงการใช้การกลุ่มกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานก็ยังเป็นอยู่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อทั้งหลอดเสียงของเธอ ยังทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดแดงที่หัวใจบางและเปาะ รวมถึงกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก (ปกติแล้วร่างกายคนที่ขาดอาหารจะไปลดอัตราการเต้นของหัวใจรวมถึงเมตตาบอริซึ่มเพื่อลดการใช้พลังงานลง แต่การใช้สารกระตุ้นการทำงานของหัวใจกับสภาพร่างกายของแคเรนที่ขาดสารอาหารยิ่งไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานมากขึ้น) ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะสมและค่อย ๆ ทำลายกล้ามเนื้อหัวใจของเธอเรื่อยมาจนวันหนึ่ง ในคืนก่อนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1983 แคเรนได้โทรศัทพ์ไปคุยกับ ฟิล รามอน โดยเธอถามถึงอัลบั้มเดี่ยวที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ โดยถามเขาว่าอัลบั้มดังกล่าวมันแย่มากเลยเหรอ? ก่อนที่จะได้รับคำตอบแล้วจบบทสนธนาสุดท้ายกันไป และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ก่อนวันเกิดครบรอบ 33 ปีของแคเรนไม่กี่อาทิตย์ เธอล้มฟุบลงกับพื้นห้องแต่งตัวที่บ้านของ แอกเนส แม่ของเธอ ก่อนที่จะมีคนพบและเรียกรถพยาบาลมารับตัวเธอ ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่เธอต้องไปจดทะเบียนหย่าโดยมีแอกเนสไปเป็นเพื่อน หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าเธอได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลว ซึ่งข่าวดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกทั้งเรื่องการเสียชีวิตของเธอ และโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในอเมริกาอย่างมากมาย (ประมาณ 50% ของผู้หญิงทั้งหมด) ซึ่งทำให้อเมริกาตื่นตัวกับโรคดังกล่าวอย่างจริง ๆ จัง ๆ และที่หน้าหลุมฝังศพของเธอมีการจารึกไว้ว่า "A star on earth - A star in heaven" และในเดือนตุลาคม 1983 วงคาร์เพนเทอส์ก็ได้รับการจารึกชื่อไว้ที่ star on the Hollywood Walk of Fame ด้วย ในปี 1983 ริชาร์ดได้ออกอัลบั้ม Voice Of The Heart ซึ่งเป็นการรวบรวมงานเพลงที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพลงที่ถูกคัดออกจากอัลบั้มต่าง ๆ จากปี 1976 จนถึง 1981 โดยมีเพลงที่ร้องใหม่สำหรับชุดนี้จริง ๆ 2 เพลง (แคเรนร้องไว้ก่อนเสียชีวิต) คือ Now (เพลงสุดท้ายที่แคเรนร้องในห้องอัดเสียง) และ Your Baby Doesn't Love You Anymore (จากคำวิจารณ์ของแฟนเพลงหลายคนรวมถึงผู้เขียนต่างเห็นฟ้องต้องกันว่าเพลงในชุดนี้หลายเพลงมีคุณภาพดีกว่า Made In America หรือ Passage ด้วยซ้ำ) ซิงเกิลแรกของชุดนี้คือ Make Believe It's Your First Time (101 ในสหรัฐ และ 60 ในอังกฤษ) และตามมาด้วย Your Baby Doesn't Love You Anymore เป็นซิงเกิลที่ 2 Voice Of The Heart ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 46 ในสหรัฐ และ 6 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีเพลงที่สำคัญเพลงอื่น ๆ ได้แก่ Look To Your Dreams (เป็นเพลงที่แคเรนขอร้องให้ริชาร์ดแต่งให้ แต่เนื่องจากตัวเพลงมีกลิ่นไอเพลงเก่าทำให้เพลงนี้ไม่ถูกนำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ Look To Your Dreams กลายเป็นเพลงที่แอกเนส มารดาของพวกเขาชอบมากที่สุด), At The End Of A Song, Sailing On The Tide และ You're Enoughปี 1984: An Old-Fashioned Christmas ปี 1984: An Old-Fashioned Christmas. เนื่องจากโครงการทำอัลบั้ม Christmas Portrait พวกเขาได้บันทึกเสียงไปจำนวนหลายเพลงมาก ทำให้มีหลายเพลงที่ยังไม่ได้นำมาใช้ ในปีถัดมา ริชาร์ดได้จัดการมิกซ์ดนตรีของเพลงที่เหลือซึ่งแคแรนร้องไว้จำนวน 6 เพลง รวมกับที่ริชาร์ดบันทึกเสียงใหม่อีก 7 เพลง และอีก 1 เพลงเก่าที่พวกเขาเคยตัดเป็นซิงเกิลไว้แล้วในปี 1974 Santa Claus Is Comin' to Town มารวมไว้ในอัลบั้มคริสต์มาสชุดที่ 2 An Old-Fashioned Christmas ซึ่งชุดนี้มีเพลง Little Altar Boy ตัดเป็นซิงเกิล โดยมีเพลง Do You Hear What I Hear? เป็น B-sideปี 1989: Lovelines ปี 1989: Lovelines. ในปี 1989 ได้มีการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "The Karen Carpenter Story" ซึ่งได้รับความนิยมสูง ทำให้อัลบั้มเก่าต่าง ๆ ของวงคาร์เพนเทอส์ได้รับความสนใจอย่างมากและทำให้ยอดจำหน่ายสูง (ตั้งแต่ปี 1989 - 1991) สื่อต่าง ๆ ให้การยอมรับผลงานของพวกเขาในด้านความไพเราะความเป็นอมตะมากขึ้น ในปีนั้นเองริชาร์ดได้วางแผนออกอัลบั้มถัดมาของวง Lovelines อัลบั้มนี้คล้ายกับ Voice Of The Heart คือเป็นเพลงที่ถูกคัดทิ้ง (ไม่ได้ถูกนำมาใช้) มีหลายเพลงที่นำมาจากทีวีซีรีส์ที่คาร์เพนเทอส์เป็นโฮส และอีก 4 เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter) ซึ่งซิงเกิลในชุดนี้คือ Honolulu City Lights ซื่งได้ตัดออกมาแล้วในปี 1985 เพลงหลายเพลงในชุดนี้กลายเป็นเพลงที่แฟนเพลงชื่นชอบ เช่น Where Do I Go From Here?, When I Fall In Love, Little Girl Blue, Slow Dance, You're The One และ Kiss Me The Way You Did Last Night (Kiss Me The Way You Did Last Night บันทึกเสียงในช่วงอัลบั้ม Made In America แต่ด้วยความที่เพลงนี้ยากต่อการมิกซ์เสียงและสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย ทำให้ไม่ได้บรรจุอยู่อัลบั้มดังกล่าว แต่หลังจากที่มีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยเพลงนี้จึงมีโอกาสให้แฟนเพลงได้รับฟังกัน) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 73 ในอังกฤษ โดยแฟนเพลงหลายคนให้คำวิจารณ์ชื่นชอบอัลบั้มชุดนี้เช่นกันปี 1994: Interpretations ปี 1994: Interpretations. ด้วยเหตุที่ริชาร์ดมีโปรเจกต์การออกอัลบั้ม Karaoke เพื่อจำหน่ายในญี่ปุ่น ในช่วงที่เตรียมเทปมาสเตอร์สำหรับโปรเจกต์ ริชาร์ดได้รื้อพบเทปที่ถูกลาเบลไว้ว่า "Only Yesterday" ซึ่งเมื่อนำมาตรวจสอบดูพบว่า เป็นเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ที่แคเรนเคยร้องไว้ในปี 1975 ช่วงทำอัลบั้ม Horizon ซึ่งไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในชุดนั้น แต่จากการลาเบลผิดและเก็บไว้ผิดที่จึงทำให้ต้นฉบับเพลงนี้ถูกลืม เพลง Tryin' To Get The Feeling Again ถูกร้องไว้ครั้งแรกโดยแคเรน แต่เนื่องจากไม่ได้บรรจุใน Horizon และถูกเก็บลืม ซึ่งแคเรนได้ร้องเอาไว้ก่อนที่ Berry Manilow จะบันทึกเสียงและได้รับความนิยมในปี 1978 (3 ปีให้หลัง) จากเหตุผลนี้เองจึงเป็นที่มาของอัลบั้มชุดนี้ "Interpretations" และนอกจากนี้ยังเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปี ที่วงคาร์เพนเทอส์ได้เซ็นสัญญาอยู่กับค่าย A&M ด้วย ภาพรวมของชุดนี้จะประกอบไปด้วยเพลงเก่าที่ริชาร์ดไม่ได้แต่งเอง 18 เพลง ทั้งที่เป็นเพลงฮิตและไม่ใช่ (หมายถึงการตีความหมายของเพลงที่พวกเขาเอามาร้องตามสไตล์ของคาร์เพนเทอส์) รวมกับ 3 เพลงใหม่ โดยที่ 2 เพลงจะมาจากรายการทีวี และเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ซึ่งถูกตัดเป็นซิงเกิลออกมา สามารถขึ้นอันดับ 44 ในอังกฤษ อัลบั้มขึ้นได้ถึงอันดับที่ 29 ในอังกฤษปี 1996: Karen Carpenters ปี 1996: Karen Carpenters. จากผลงานอัลบั้มเดี่ยวในปี 1979-1980 ของแคเรนที่ถูกระงับการจำหน่าย ด้วยการตกลงกันอย่างลงตัวระหว่างโปรดิวเซอร์ ฟิล รามอน และริชาร์ด ทำให้อัลบั้ม Karen Carpenter มีโอกาสได้ออกจำหน่ายจริง ๆ ในปี 1996 ซึ่งแฟนเพลงจำนวนเผ้ารออัลบั้มชุดนี้ตลอด นอกจาก If I Had You ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลในปี 1989 แล้ว ยังมีเพลง Make Believe It's Your First Time (ในเวอร์ชันก่อน Voice Of The Heart) ที่จำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น เพลงที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ ได้แก่ My Body Keeps Changing My Mind, Making Love In The Afternoon, Still Crazy After All These Years Lovelines และ If We Try นอกจากนี้ยังมีเพลงที่เหลือจากโปรเจกต์งานโซโลเดี่ยวนี้อีกนับสิบเพลงที่ยังไม่ได้มีการมิกซ์เสียง (ลองหาดาวน์โหลดฟังดู) ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมาการปล่อยออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการหรือไม่ปี 2001: As Time Goes By ปี 2001: As Time Goes By. ริชาร์ดได้กล่าวไว้ว่าอัลบั้ม As Time Goes By เป็นสตูริโออัลบั้มสุดท้ายของวงคาร์เพนเทอส์ เพลงส่วนใหญ่ถูกนำมาจากรายการทีวีต่าง ๆ บางเพลงเป็นเดโมสมัยช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ (ก่อน 1969) บางเพลงมาจากการร้องสดในห้องส่ง โดยมี 2 เพลงเป็นเพลงที่ถูกคัดทิ้งจากชุด Made In America และกลายเป็นซิงเกิลหนึ่งเดียวที่ทำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่น คือ The Rainbow Connection เพลงนี้เพลงเป็นหนึ่งที่แฟนเพลงได้ส่งจดหมายไปหาริชาร์ดให้นำเพลงนี้ออกมาจำหน่าย เนื่องจากมีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งทราบว่าแคเรนได้ร้องเอาไว้แต่ไม่ได้นำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มชุดใด เพลงนี้ขึ้นอันดับ 47 ในญี่ปุ่น อัลบั้มนี้สามารถขึ้นอันดับ 18 ในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเพลงที่น่าสนใจ เช่น Leave Yesterday Behind, You're Just In Love และ And When He Smile (ร้องสด) และใน As Time Goes By จะมีเพลงเมดเลย์ที่แคเรนได้ร้องดูเอ็ดไว้กับสุดยอดนักร้องหญิงอเมริกัน Ella Fitzgerald ผู้ที่ได้รับสมญาว่า The First Lady Of Song อีกด้วยรางวัลและความสำเร็จ รางวัลและความสำเร็จ. คาร์เพนเทอส์ มีเพลงอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดอยู่ 3 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของฝั่งอเมริกา ได้แก่ (They Long To Be) Close To You, Top Of The World และ Please Mr.Postman มีเพลงอันดับท๊อป 10 อยู่ 9 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับ ได้แก่ We've Only Just Begun (2), For All We Know (3), Rainy Days And Mondays (2), Superstar (2), Hurting Each Other (2), Goodbye To Love (7), Sing (3), Yesterday Once More (2) และ Only Yesterday (4) และ อันดับ 1 อีก 15 เพลงบนชาร์ท Adult Contemporary Singles Charts คาร์เพนเทอส์มียอดขายอัลบั้มและซิงเกิล รวมกันมากกว่า 100 ล้านชุด ปัจจุบันเพลง We've Only Just Begun และ (They Long To Be) Close To You ได้ถูกบรรจุอยู่ใน Hall of fame ตลอดเวลา 14 ปี คาร์เพนเทอส์ออกอัลบั้มอยู่ 11 ชุด มี 4 อัลบั้มที่มีเพลงติดใน 5 อันดับแรกบนชาร์ทคือ Close to You (2), Carpenters (2), A Song for You (4) และ Now & Then (2) โดยมีอัลบั้มรวมเพลง The Singles 1969-1973 ขึ้นอันดับหนึ่งทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษ และออกซิงเกิล 40 ซิงเกิล , รายการโทรทัศน์ภาคพิเศษ 5 ครั้ง และออกละครโทรทัศน์ 1 ครั้ง พวกเขายังทัวร์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยม จนกระทั่งแคเรนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1983 ปัจจุบันพวกเขามียอดจำหน่ายแผ่นมากกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลกอัลบั้มซิงเกิล
ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ หรือ Richard Carpenter สมาชิกวงเดอะคาร์เพนเทอส์ เกิดวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "15" ], "answer_begin_position": [ 629 ], "answer_end_position": [ 631 ] }
1,459
146,906
เดอะคาร์เพนเทอส์ เดอะคาร์เพนเทอส์ () เป็นวงดนตรีสัญชาติอเมริกันซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นพี่น้องกัน คือ แคเรน คาร์เพนเทอร์ และ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ หนึ่งในสุดยอดวงดนตรียุค 70 แม้ว่าในช่วงยุคทศวรรษที่ 70 จะนิยมเพลงร็อกหนัก ๆ แต่ ริชาร์ดและแคเรน ก็ทำเพลงในสไตล์ที่แตกต่าง ด้วยคุณภาพของน้ำเสียงที่เป็นหนึ่งในยุค 70s ของแคเรนและการเรียบเรียงเสียงประสานอันสุดยอดของริชาร์ด ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้และสามารถทำยอดขายมากที่สุดตลอดกาลประวัติจุดเริ่มต้น ประวัติ. จุดเริ่มต้น. ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ([Richard Carpenter]) เกิดวันที่ 15 ตุลาคม 1946 ที่เมือง New Heaven Connecticut ส่วนแคเรน คาร์เพนเทอร์ ([Karen Carpenter]) ผู้เป็นน้องสาว เกิดวันที่ 2 มีนาคม 1950 ที่เมือง New Heaven Connecticut เช่นกัน ครอบครัวประกอบไปด้วย Harold Carpenter ผู้เป็นพ่อ และ Agnes Carpenter ผู้เป็นแม่ เป็นครอบครัวคนชั้นกลางในอเมริกา ตั้งแต่สมัยเด็ก ริชาร์ดชอบที่จะขลุกอยู่กับห้องเก็บแผ่นเสียงของพ่อซึ่งเป็นคนที่ชอบสะสมแผ่นเสียงต่าง ๆ โดยริชาร์ดจะชอบฝึกเล่นเปียโนมากกว่าออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเด็กคนอื่น แต่เขาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีให้เห็นตั้งอายุยังน้อย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของ Agnes ผู้เป็นแม่เป็นอย่างมาก ว่าลูกชายเป็นคนเก่งและมีความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี ถึงแม้ว่าแคเรนจะมีพรสวรรค์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครมองเห็น เมื่อริชาร์ดเริ่มเรียนในสาขาดนตรี เขาสนใจในการแต่งและเรียบเรียงเสียงประสาน ในขณะที่แคเรนผู้เป็นน้องสาวจะมีลักษณะเป็นทอมบอยที่ชอบออกไปเล่นกีฬากลางแจ้ง เธอมักจะตามริชาร์ดเสมอ เพราะริชาร์ดคือคนที่เธอเชื่อและเหมือนไอดอล เมื่อริชาร์ดเริ่มเล่นดนตรีจึงเป็นแรงผลักดันให้เธอเล่นดนตรีด้วย โดยในปี 1965 แคเรนฝึกเล่นกลองชุดเพื่อให้สามารถร่วมวงกับพี่ชายได้ นอกจากนี้เธอยังสามารถเล่นเบสได้ จากการสอนของ Gary Sims ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวง และยังเป็นเพื่อนชายของเธอ ณ ขณะนั้นด้วยปี 1965-1968: Richard Carpenter Trio - Spectrum ปี 1965-1968: Richard Carpenter Trio - Spectrum. เริ่มก่อตั้งวงครั้งแรกในปี ค.ศ.1965 โดยมีสมาชิก 3 คน คือ ริชาร์ด, แคเรน และ เวส จาคอปส์ ซึ่งเป็นเพื่อนของริชาร์ด ชื่อว่า "วงริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ทริโอ" เล่นเพลงแจ๊ส (ริชาร์ด: เปียโน, แคเรน: กลอง และ เวส จาคอปส์: เบสและทูบา) ในปี 1966 โจ ออสบอร์น ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายเพลง Magic Lamp Records ที่เป็นค่ายเพลงเล็ก ๆ (สำนักงานดัดแปลงจากโรงรถ) สนใจในน้ำเสียงของแคเรน จึงได้รับเป็นศิลปินในสังกัด และได้ออกซิงเกิลชื่อ Looking For Love ประมาณ 500 แผ่นเท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดการโปรโมตของค่าย ในกลางปี 1966 วงริชาร์ดคาร์เพนเทอร์ทริโอได้เข้าแข่งขันรายการ Hollywood Bowl Battle of the Bands และชนะเลิศในรายการดังกล่าว ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและเซ็นสัญญาเข้าสังกัด RCA Records พวกเขาได้บันทึกเสียงหลายเพลงด้วยกัน แต่เนื่องจากรูปแบบที่ทำออกมาไม่ได้เป็นไปตามกระแสนิยมของตลาดช่วงนั้น ซึ่งเพลงร็อกแอนด์โรลยังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทำให้พวกเขาถูกระงับการออกอัลบั้ม ในปี 1967 ริชาร์ดได้ตั้งวงขึ้นมาใหม่ในชื่อ Spectrum และยุบวงในปี 1968ปี 1969-1970: Offering - Close To You ปี 1969-1970: Offering - Close To You. แต่อย่างไรก็ดี ริชาร์ดได้ตัดสินใจทำงานดนตรีทั้งหมดด้วยตัวเองขึ้นมา ในชื่อ "คาร์เพนเทอร์ส" (ตั้งชื่อไม่ให้มี "เดอะ" นำหน้า เนื่องจากไม่ต้องการให้เหมือนชื่อวงดนตรีอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมขณะนั้น โดยพวกเขา (ริชาร์ดและแคเรน) ทำงานกันเองทั้งหมด ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียงดนตรี บรรเลง ร้องนำ และ ร้องประสาน ด้วยความที่ริชาร์ดเชื่อมั่นในน้ำเสียงของแคเรน ว่าสามารถเป็นนักร้องนำได้ เขาได้ส่งเทปเดโมไปยังค่ายเพลงต่าง ๆ จนในที่สุด Herb Alpert เจ้าของค่าย A&M Records ได้สะดุดกับการเรียบเรียงดนตรีของริชาร์ด และน้ำเสียงของแคเรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงของแคเรนประทับใจ Herb Alpert เป็นอย่างมาก ทำให้ Herb Alpert ตกลงใจที่จะรับให้พวกเขาเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดในต้นปี 1969 และในปลายปีนั้นเองก็ได้ออกอัลบั้มแรกในนามของวงคาร์เพนเทอร์ส Offering (เปลี่ยนชื่อและปกเป็น Ticket To Ride ตามซิงเกิลแรกที่ได้รับความนิยมในปี 1970) เป็นอัลบั้มแรกของพวกเขา โดยมีเพลง Ticket To Ride ซึ่ง cover มาจาก The Beatles ปล่อยมาเป็นซิงเกิลแรก โดยได้นำมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ทั้งหมด จากเพลงเร็วกลายเป็นบัลลาดช้า ๆ ที่ไม่เหมือนของเดิมเลย Ticket To Ride ติดชาร์ทอันดับที่ 54 ของอเมริกา อัลบั้มดังกล่าวมียอดขายที่ไม่มากนัก (ภายหลังมีการออกจำหน่ายใหม่โดยมีการเปลี่ยนปกและชื่ออัลบั้มเป็น "Ticket To Ride" แทน) แต่อย่างไรก็ดี Herb Alpert ก็ไม่ได้ให้เขาออกจากสังกัด แต่ยังให้โอกาสกับพวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 อีกด้วย ในขณะเดียวกันนั้น Burt Bacharach ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงมือฉมัง ที่แต่งเพลงฮิตให้กับ Dionne Warwick มากมายหลายเพลง ได้ยินเพลง Ticket To Ride ในเวอร์ชันของคาร์เพนเทอร์สและสนใจพรสวรรค์ในการเรียบเรียงเสียงประสานของพวกเขา จึงได้ติดต่อกับ Herb ว่า เขาต้องการให้วงคาร์เพนเทอร์สซึ่งเป็นศิลปินในสังกัดได้ร่วมเปิดการแสดงให้เขาในงานคอนเสิร์ทการกุศล โดยให้พวกเขาเล่นเพลงที่แต่งโดย Burt Bacharach และ Hal David ซึ่งทาง Herb ก็ยินดีและได้ให้ชีทเพลงของ Bacharach และ David กับริชาร์ดหลายเพลงเพื่อนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้แสดงในงานงานคอนเสิร์ตการกุศลดังกล่าว Herb ได้ถามริชาร์ดว่ารู้จักเพลง (They Long To Be) Close To You หรือไม่ เพราะจะให้นำมาใช้เล่นเป็นเมดเล่ย์ในคอนเสิร์ตด้วย แต่ริชาร์ดเองก็ไม่คุ้นเคยกับเพลงดังกล่าวอย่างใด เนื่องจากเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงที่ฮิตของ Bacharach และ David แต่หลังจากที่ริชาร์ดได้นำชีทเพลงนี้ไป เขากลับมาบอกกับ Herb ว่าเปลี่ยนใจที่จะนำใช้แสดงในคอนเสิร์ต แต่จะนำมาทำเป็นเพลงของคาร์เพนเทอร์สเอง โดยหลังจากความพยายามของการเรียบเรียงและการปรับแก้ของ Herb ถึงสามครั้ง สุดท้ายสำเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการ (They Long To Be) Close To You ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลที่ 2 ของพวกเขา เพียงไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นสู่อันดับที่ 1 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของอเมริกา และครองอันดับ 1 ได้นานถึง 4 สัปดาห์ เป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกของพวกเขา และสามารถขึ้นชาร์ทอันดับที่ 6 ในอังกฤษได้ ทำให้พวกเขากลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ได้รับการความนิยมอย่างมาก อัลบั้ม Close To You กลายเป็นอัลบั้มขายดีขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ของอเมริกา และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 We've Only Just Begun จากอัลบั้มนั้นเอง ก็ได้รับความนิยมมากไม่ต่างจาก (They Long To Be) Close To You โดยขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของอเมริกาได้นานถึง 4 สัปดาห์ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สองของพวกเขาในปีเดียวกัน อัลบั้ม Close To You สามารถขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐ และ 23 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 1 ล้านแผ่น (ณ ขณะนั้น) และเพลง (They Long To Be) Close To You ก็ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 2 รางวัลในปี 1970 คือ Best New Artist (ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) และ Best Contemporary Vocal Performance by a Duo, Group or Chorus (ปัจจุบันทั้ง (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ถูกบรรจุไว้ใน Grammy Hall of Fame awards) ซึ่งตำนานของวงคาร์เพนเทอร์สได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนั้นเอง นอกจากนี้ยังมีเพลงหลายเพลงในชุด Close To You ที่ได้รับเช่น Reason To Believe (ริชาร์ดชอบเพลงนี้เป็นพิเศษและคิดจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปด้วย), Maybe It's You (เป็นเพลงจากช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ และกลายเป็นเพลงไฮไลทของชุดทีเดียว), Mr. Guder (เป็นเพลงที่ริชาร์และ John แต่งเพื่อร้องล้อเลียนนาย Guder ซึ่งเป็นหัวหน้างานของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำงานพิเศษร้องเพลงในดิสนีแลนด์ แต่เนื่องจากไปร้องเพลงของ Beatle ตามคำขอของนักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องในดิสนี่แลนด์ทำให้พวกเขาถูกไล่ออก!!! เพลงนี้ได้รับความนิยมจากคนดูคอนเสิร์ทมาก), Love Is Surrender และ Help (ในครั้งแรกเพลงนี้ถูกวางแผนให้ตัดเป็นซิงเกิลแรกของชุด แต่หลังจากที่ Herb ได้ยินเพลง (They Long To Be) Close To You แล้วจึงเปลี่ยนความคิดทันที)ปี 1971: Carpenters ปี 1971: Carpenters. ปลายปี 1970 พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ตามมาคือ Merry Christmas, Darling ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยเพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในคริสต์มาส ชาร์ทในปี 1970 และ 1971 หลังจากความสำเร็จอย่างท้วมท้นของซิงเกิล (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ทำให้พวกเขาค่อนข้างเครียดกันมากว่าเพลงอะไรจะเป็นซิงเกิลต่อไปของพวกเขา เป็นปัญหาที่ริชาร์ดแก้ไม่ตกที่เดียว จนกระทั่งคืนที่พวกเขาไปแสดงเปิดคอนเสิร์ทให้กับ Engelbert Humperdinck ขณะช่วงเวลาพักผู้จัดการส่วนตัวของพวกเขาได้แนะนำให้พวกเขาไปผ่อนคลายด้วยการดูภาพยนตร์เรื่อง Lovers and Other Strangers เมื่อริชาร์ดได้ฟังเพลงประกอบภาพยนตร์นั่นเองทำให้เขาพบกับทางออกของปัญหา นั่นคือเพลง For All We Know ในเรื่องสะดุดหูริชาร์ดเป็นอย่างมากเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่ใช่แค่เหมาะกับเสียงร้องของแคเรนเท่านั้นแต่ยังเหมาะกับสไตล์ของวงอีกด้วย ทั้งคู่จดจำท่วงทำนองและนำกลับมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ในแนวของคาร์เพนเทอส์ ซึ่งก็แน่นอนหลังจากเพลงนี้ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลก็เริ่มไต่สู่ชาร์ท For All We Know กลายเป็นเพลงฮิตเพลงที่ 3 ของพวกเขา ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 3 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สาม ด้วยความดังของเพลงนี้ในเวอร์ชันคาร์เพนเทอส์ ทำให้เวอร์ชันเพลงประกอบภาพยนตร์ได้รับอิทธิพลไปด้วย ทำให้เพลงนี้ชนะรางวัลออสกาสาขา Academy Award for Best Original Song ในปี 1971 จากนั้นก็ได้เวลาของอัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา "Carpenters" อัลบั๊มนี้นอกจากจะมีเพลง For All We Know แล้ว ยังมีซิงเกิลฮิตอีก 2 เพลงตามมาคือ Rainy Days And Mondays และ Superstar ซึ่งทั้ง 2 เพลงก็เป็นเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมสูงมาก ขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สี่และห้าของพวกเขาอีกด้วย สำหรับอัลบั๊ม Carpenters เป็นอัลบั๊มแรกที่พวกเขาเริ่มใช้โลโก้ "Carpenters" ที่คุ้นตาไว้บนหน้าปกอย่างเป็นทางการอีกด้วย อัลบั๊ม Carpenters ขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทอัลบั๊ม 100 อันดับของอเมริกา ทำยอดขายได้เกินล้านแผ่น และได้รับรางวัล Grammy "Best Pop Vocal Performance by a Duo or Group" ในปี 1971 อีกด้วย ซึ่งนอกจาก 3 ซิงเกิลดังแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ เพลงที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลงเช่น Let Me Be The One, (A Place To) Hideaway และ One Love เพลง Let Me Be The One เป็นเพลงหนึ่งที่ริชาร์ดรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษและคิดว่าถ้าหากตัดเป็นซิงเกิล เพลงคงจะเป็นหนึ่งในเพลงดังของวงอย่างแน่นอน (Let Me Be The One ถูกตัดเป็นแผ่นซิงเกิลในปี 1991 เพื่อโปรโมทอัลบั้มชุด "From The Top") เพลง (A Place To) Hideaway เป็นเพลงที่แฟนเพลงคาร์เพนเทอส์หลายคนโหวตว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดของวงเพลงหนึ่งเลยทีเดียวปี 1972: A Song For You ปี 1972: A Song For You. ด้วยการที่พวกเขามีอัลบั้มฮิตต่อเนื่อง 2 ชุด (Close To You และ Carpenters) รวมกับ 5 ซิงเกิลแผ่นเสียงทองคำ ทำให้สถานภาพและอนาคตของวงราบรื่นทีเดียว ซิงเกิลถัดไปเริ่มด้วย Hurting Each Other ซึ่ง cover จากวง Ruby and the Romantics ออกจำหน่ายปลายปี 1971 เป็นการเปิดตัวอัลบั๊มที่ 4 ของพวกเขา A Song For You โดยออกจำหน่ายก่อนอัลบั๊มนานถึง 9 เดือน Hurting Each Other กลายเป็นเพลงฮิตเพลงถัดไปของพวกเขา โดยขึ้นอันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่หก ตามมาด้วย It's Going To Take Some Time ซึ่ง cover งานของ Carole King และนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซิงเกิล Ticket To Ride ที่ซิงเกิลของพวกเขาไต่ไม่ถึง 3 อันดับแรกของชาร์ท It's Going To Take Some Time ขึ้นอันดับ 12 ในอเมริกา และตามด้วยซิงเกิลลำดับที่ 3 Goodbye To Love ซึ่งเป็นเพลงที่ริชาร์ดและเพื่อนสนิทของเขา John Bettis แต่งขึ้น เป็นเพลงแรกที่ริชาร์ด โดยให้ Tony Peluso หนึ่งในสมาชิกหลักของวงซึ่งริชาร์ดพึ่งชวนเข้ามาร่วมงานในวง โซโลกีต้าร์ในช่วงกลางและท้ายเพลง ด้วยการโซโลกีต้าร์ที่ดุเดือด โดยเฉพาะท่อนโซโลท้ายเพลงที่นานกว่า 2 นาที ทำให้เพลง Goodbye To Love ออกมาเหมือนเป็นเพลงร็อกมากกว่าเพลงในสไตล์ที่วงเคยทำออกมา ทำให้พวกเขาได้รับจดหมายต่อว่าจากเพลงเป็นจำนวนมากว่าพวกเขาดังแล้วเปลี่ยนสไตล์ ไม่รักษารูปแบบเดิมอย่างที่ควรเป็น แต่อย่างไรก็ดี Goodbye To Love ก็กลายเป็นเพลงฮิต ขึ้นอันดับ 7 ในอเมริกา และ 9 ในอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเพลงป๊อปที่มีการโซโลกีต้าร์ที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งด้วย และการโซโลกีต้าร์ของ Tony Peluso ก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวงไปด้วย อัลบั๊ม A Song For You ขึ้นอันดับ 4 ของชาร์ทอเมริกา และมียอดจำหน่ายเกินล้านชุด นอกจากนี้ยังมีเพลงฮิตอื่น ๆ ในชุดรวมอยู่ด้วยเช่น Bless The Beasts And Children ซึ่งเป็นเพลง ost จากภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน โดยเพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในด้านบี (side B) ของ Superstar โดยสามารถขึ้นอันดับที่ 67 ในสหรัฐ และยังได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบด้วยเช่นเดียวกันกับ For All We Know แต่ไม่ได้รางวัล A Song For You เป็นเพลงแรกของแผ่นโดยแฟนเพลงส่วนใหญ่จะรู้จักเพลงนี้ดีอยู่แล้ว เป็นงานโคฟเวอร์ที่แฟนเพลงส่วนใหญ่คิดว่าเพลงนี้น่าจะถูกตัดเป็นซิงเกิลด้วยเช่นกัน, Crytal Lullaby, I Won't Last A Day Without You และ Top Of The World (สองเพลงหลังตัดเป็นซิงเกิลในช่วงเวลาต่อ)ปี 1973: Now And Then และ The Singles 1969-1973 ปี 1973: Now And Then และ The Singles 1969-1973. จากการที่พวกเขาประสบความสำเร็จต่อเนื่องอย่างสุด ๆ ทำให้ตั้งแต่ปลายปี 1970 จนถึง 1972 พวกเขาแถบไม่มีเวลาสำหรับการเขียนหรือหาเพลงที่จะมาทำในอัลบั้มใหม่เลย ทั้งจากการทัวร์คอนเสิร์ทตลอดทั้งปี การแสดง รายการโทรทัศน์ มาถึงปี 1973 งานเก่าในสมัยที่เป็นวง Specturm ถูกนำมาใช้กับอัลบั้มชุด Ticket To Ride, Close To You, Carpenters และ A Song For You จนหมด แต่จากการแสดงสดในปี 1972 พวกเขาได้เลือกเอาเพลงดังในยุคปี 1960s มาแสดงด้วยและก็ได้รับการตอบรับอย่างสูง ริชาร์ดเองก็ได้คอนเซ็ปจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาใช้ในการนำเสนออัลบั้มถัดไปนั่นคือแบ่งเพลงในอัลบั้มถัดไปเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าแรกจะเป็นเพลงใหม่ตามปกติ ส่วนหน้าหลังจะเป็นเมดเล่ย์เพลงดังในยุค 1960s โดยได้คอนเซ็ปนั้นมาเป็นเพลง Yesterday Once More ซึ่งบรรยายถึงความรู้สีกดี ๆ ที่มีต่อเพลงรักเก่า ๆ ที่เคยร้องคลอตาม เมื่อกลับมาได้ยินอีกครั้ง อัลบั้มที่ห้านี้ใช้ชื่อว่า Now And Then ตามที่ Agnes มารดาของพวกเขาได้ตั้งให้ โดยมีเพลง Sing เป็นซิงเกิลเปิดตัว Sing เป็นเพลงจากรายการเด็ก Sesame Street ทำให้สต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M ว่าพวกเขาที่บ้าไปแล้วที่ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิล แต่อย่างไรก็ดีหลังจาก Sing ออกจำหน่ายก็ได้รัยความนิยมอย่างมากทันที โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 3 ในอเมริกา และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เจ็ดของพวกเขา และตามมาด้วย Yesterday Once More ซึ่งแต่งโดยริชาร์ดและ John Bettis กลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดของพวกเขา ณ ขณะนั้น โดย โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 2 ในอเมริกาและ 2 อังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่แปด เพลงนี้ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่มียอดจำหน่ายสูงสุดตลอดกาลเพลงหนึ่งในญี่ปุ่นทีเดียว นอกจากนี้อัลบั้ม Now And Then ยังมี highlight ที่เมดเล่ย์ oldies ในหน้าที่ 2 ที่รวมเอาเพลงดัง ๆ จากยุค 60s มา cover รวมกัน โดยทำให้เหมือนกับการฟังวิทยุที่มีดีเจดำเนินรายการ (Tony Peluso) คอยเปิดและแนะนำเพลงและมีคนเข้ามาร่วมทายปัญหาในรายการด้วยโดยมีเพลง Yesterday Once More เป็นเพลงนำเข้าและปิดเมดเล่ย์ อัลบั้ม Now And Then ประสบความสำเร็จขึ้นสู่อันดับ 2 ทั้งในอเมริกาและอังกฤษ มียอดจำหน่ายเกินกว่าล้านแผ่น และประสบความสำเร็จอย่างมากในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้วงคาร์เพนเทอส์เป็นที่นิยมสูงสุดในญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากสองเพลงดังแล้วยังมีเพลงฮิต (ที่ไม่ได้ถูดตัดเป็นซิงเกิลด้วย) ได้แก่ Jambalaya (On The Bayou) และ This Masquerade ซึ่งทั้งสองเพลงกลายเป็นเพลงฮิตที่แฟนเพลงทุกคนต้องรู้จัก ซิงเกิลถัดไปพวกเขาเลือกที่จะปล่อยคือ Top Of The World ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม A Song For You ในปี 1972 ซึ่งก็ได้รับการค้านจากสต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M อีกเช่นกันเนื่องจากเป็นเพลงจากอัลบั้มเก่าเมื่อปีที่แล้ว และนอกจากนี้เพลงที่ตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You ก็มีมากแล้ว (Hurting Each Other, It's Going To Take Some Time และ Goodbye To Love รวมถึง Bless The Beasts And Children ที่เป็น B-side ของซิงเกิล Superstar ด้วย) แต่ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวกับเพลง Top Of The World ทำให้ริชาร์ดเชื่อว่าเพลงนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเพลงดังเพลงต่อไปของพวกเขา เช่นการได้รับการตอบรับเหมือนเป็นเพลงฮิตเมื่อพวกเขาเล่นในคอนเสิร์ท, Lynn Anderson นักร้องเพลงคันทรี cover เพลงนี้และสามารถไต่ขึ้นอันดับ 2 ของคันทรีชาร์ทได้, สถานีวิทยุต่าง ๆ ขึ้นชาร์ทเพลงนี้จากการขอเพลงทางวิทยุเพียงอย่างเดียว, มีการตัดเพลงนี้ออกเป็นซิงเกิลในญี่ปุ่นและมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำ รวมถึงแฟนเพลงต่างก็เรียกร้องให้ริชาร์ทตัดเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล อย่างไรก็ดีริชาร์ดเองรู้สีกไม่พอใจกับ steel กีต้าร์ในเวอร์ชันเดิม รวมทั้งตัวแคเรนก็ยังไม่พอใจกับการร้องของตัวเอง จึงได้บันทึกเสียงเพลงนี้ใหม่ (เฉพาะเสียงร้องนำของแคเรน และ steel guitar เท่านั้น) ผลปรากฏว่า Top Of The World ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 1 ในอเมริกา และ 5 ในอังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เก้า ด้วยความดังของเพลง Top Of The World ทำให้ A&M ต้องออกอัลบั้มรวมฮิต The Singles 1969-1973 รวมผลงานซิงเกิลจากปี 1969 จนถึงเพลงล่าสุด แคเรนเองไม่พอใจกับการร้องของตัวเองในอัลบั้ม Ticket To Ride มาก โดยเธอได้บันทึกเสียงร้องและกลองใหม่ (แคเรนเล่นตำแหน่งกลองด้วยในการบันทึกเสียงชุด Ticket To Ride) ส่วนริชาร์ดเองก็ได้ให้ Tony Peluso เพิ่มเติมเสียงกีต้าร์ลงในเพลง Ticket To Ride ด้วย ซึ่งก็กลายมาเป็นเวอร์ชันที่คุ้นหูที่สุด (ในอัลบั้มรวมฮิตทั้งหมดจะเป็นเวอร์ชันนี้) อัลบั้ม The Singles 1969-1973 มียอดจำหน่ายถล่มทลาย สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ทั้งในอังกฤษและอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษอัลบั้มนี้สามารถครองอันดับ 1 ได้นานถึง 17 สัปดาห์ กลายเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอัลบั้มหนึ่งในยุค 70s ทีเดียวปี 1974: Live In Japan ปี 1974: Live In Japan. หลังจากที่ Top Of The World ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นแล้ว ทีมงาน A&M ได้ปล่อยเพลง Jambalaya (On The Bayou) จากอัลบั้ม Now And Then ซึ่ง cover งานเพลงเก่าของราชาเพลงคันทรี Hang William ออกเป็นซิงเกิลจำหน่ายในหลายประเทศยกเว้นที่อเมริกา (ซึ่งริชาร์ดอาจจะไม่ได้คิดถึงในจุดนี้) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเกินคาดเพราะสามารถขึ้นอันดับที่ 12 ได้ในอังกฤษ รวมถึงมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำในประเทศญี่ปุ่นและฮอลแลนด์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮอลแลนด์ Jambalaya (On The Bayou) กลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของคาร์เพนเทอส์ทีเดียว หลังจากออกอัลบั้ม Now And Then แล้วพวกเขาแทบไม่มีวัตถุดิบในการทำงานชุดใหม่เหลือเลย อีกทั้งยังเหนื่อยมากจากการทัวร์คอนเสิร์ทที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ด้วยเหตุนี้ในปี 1974 นี้ พวกเขาจึงยังไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา แต่มีซิงเกิลใหม่ตามออกมานั่นคือ I Won't Last A Day Without You เพลงจากอัลบั้ม A Song For You ในปี 1972 ด้วยเหตุผลที่คล้ายกันกับ Top Of The World ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ 6 ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You (นับรวม Bless The Beasts And Children) I Won't Last A Day Without You ประสบความสำเร็จอย่างดี เมื่อขึ้นชาร์ทอันดับที่ 11 ในอเมริกา และ 32 ในอังกฤษ (เพลงนี้ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 9 ในอังกฤษพร้อมกันกับ Goodbye To Love ในปี 1972 มาแล้วครั้งหนึ่ง) นอกจากนี้เพลงนี้ยังชนะรางวัล "World Disc Grand Prix" ในสาขาซิงเกิลแห่งปี 1974 ในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่ง ณ ขณะนี้ความนิยมของวงคาร์เพนเทอส์ในญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นมากในระดับที่เทียบเท่ากับวง The Beattle ซึ่งในปีนั้นเองพวกเขาได้มีกำหนดการที่จะออกทัวร์คอนเสิร์ทตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ทีมงาน A&M ประจำญี่ปุ่นนำการแสดงสดดังกล่าวมาทำและจัดจำหน่ายเป็นอัลบั้มคู่ Live In Japan ซึ่งก็ได้รับความนิยมและจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำเช่นกัน ในปลายปี 1974 พวกเขากลับเขาสตูดิโออีกครั้งพร้อมกับบันทึกเสียงซิงเกิลใหม่ Please Mr. Postman เพลง cover จากกลุ่มนักร้องสาวผิวสี Marvelettes โดยได้เรียบเรียงเสียใหม่ให้มีความกระชับกว่าเดิม ผลปรากฏว่า Please Mr. Postman ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ในอเมริกาเป็นเพลงที่ 3 และยังขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ในอังกฤษ และในอีกหลาย ๆ ประเทศ เพลงนี้ได้รับแผ่นเสียงทองคำในอเมริกาเป็นเพลงที่ 10 ของพวกเขา ริชาร์ดกล่าวว่า เขาเคยคิดว่าเพลง Yesterday Once More เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมที่สุดของพวกเขา แต่ตอนนี้ Please Mr. Postman คือเพลงที่โด่งดังที่สุดของพวกเขา หลังจากนี้พวกเขายังปล่อยเพลง Santa Claus Is Comin' To Town ซึ่งเป็นเพลงคริสต์มาสต์เพลงที่ 2 ของพวกเขาเป็นซิงเกิลถัดมา แม้จะไม่ได้รับความนิยมมากเท่า Merry Christmas, Darling แต่เพลงนี้ก็ยังขึ้นอันดับ 35 ในฝั่งอังกฤษ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง เป็นช่วงที่แคแรนเริ่มอาการของแอนนอริเซีย เนฟโวซา (Anorexia nervosa) ซึ่งเป็นโรคกลุ่มอาการผิดปกติในเรื่องการกินอาหารปี 1975: Horizon ปี 1975: Horizon. หลังจาก Please Mr. Postman ประสบความสำเร็จโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ซิงเกิลถัดมา Only Yesterday ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู John Bettis เช่นเคย เพลงนี้ขึ้นอันดับ 4 ในอเมริกา และ 7 ในอังกฤษ และโด่งดังในหลาย ๆ ประเทศ (โดยเพลงนี้ทำให้ริชาร์ดต้องเสียเงินค่าพนันจำนวน 1,000 เหรียญให้กับนักวิศวกรเสียง ด้วยเหตุว่าเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่น่าจะดัง) และตามมาด้วยอัลบั้มที่ 6 ของพวกเขา Horizon แต่ช่วงกลางยุค 70s บรรยากาศแนวดนตรีเริ่มเปลี่ยนไป รวมถึงมีนักร้องคลื่นลูกใหม่ออกมาก เช่น ดิ อีเกิ้ล ทำให้ความนิยมของวงคาร์เพ็นเตอร์สในอเมริกาเริ่มลดลง โดยเห็นได้จากชาร์ตอัลบั้มที่ขึ้นไปที่อันดับ 13 แต่ความดังของพวกเขากับเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อังกฤษและญึ่ปุ่น ที่ Horizon สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ ซิงเกิลที่ 3 ที่ตัดออกมา Solitaire ขึ้นอันดับ 17 ในอเมริกา และ 32 ในอังกฤษ อย่างไรก็ดี อัลบั้มดังกล่าวก็ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแพลตินั่มในอเมริกา (เกินล้านแผ่น) อีกทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ชื่นชมกับอัลบั้มชุดนี้มากเกี่ยวกับน้ำเสียงและเทคนิคที่แคเรนร้อง (แคเรนใช้คีย์เสียงในระดับฐานของเสียง ซึ่งริชาร์ดบอกไว้ว่าเป็นคีย์เสียงที่ดีและไพเราะที่สุดของแคเรน) ทั้งบทเพลงและดนตรีที่ลงตัว รวมถึงการมิกซ์เสียง แต่อาจเนื่องจากเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มชุดนี้จะเป็นบัลลาดหนัก ๆ เสียส่วนใหญ่ ทำให้ในยุคนั้นคนยังนิยมเพลงแนวบุพพาชนเสียส่วนใหญ่ และนอกจากนี้ด้วยคอนเซ็ปของชุดนี้ที่เริ่มจากเพลง Arora และปิดท้ายด้วย Eventide ซึ่งทั้ง 2 เพลงมีทำนองและดนตรีเหมือนกันต่างเพียงเนื้อร้องและด้วยความที่มีความยาวของเพลงสั้นประมาณ 1:33 นาที ทำให้ทั้ง 2 เพลงเหมือนเป็น jingle ที่ทำหน้าที่เปิดและปิดอัลบั้มเท่านั้น ทำให้คนฟังมีความรู้สึกเหมือนว่าชุดนี้มีเพลงเพียงแค่ 8 เพลง แทนที่จะมี 10 เพลงเป็นอย่างน้อยเหมือนชุดอื่น ๆ ส่วนเพลงอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลง เช่น (I'm Caught Between) Goodbye And I Love You, Happy (เป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วกว่าเพลงอื่นในชุด ทำให้ริชาร์ดคิดว่าถ้าตัดสินใจใหม่ได้จะเลือกเพลงนี้เป็นซิงเกิลแทน Solitaire), Love Me For What I Am และ Desperado (งานโคฟเวอร์ของดิ อีเกิ้ล ซึ่งครั้งแรกที่ริชาร์ดได้ยินเพลงนี้หลังการมิกซ์เสร็จก็ตัดสินใจที่จะเลือกเป็นซิงเกิลถัดไปเช่นกัน แต่เนื่องจากมีศิลปินมากมายนำไปโคฟเวอร์แล้ว ความคิดดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป)ปี 1976: A Kind Of Hush ปี 1976: A Kind Of Hush. ในปี 1976 ริชาร์ดค่อนข้างกังวลกับปัญหาในเรื่องของความนิยมต่อวงคาร์เพนเทอส์ในอเมริกาที่กำลังลดลง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะหวังกับอัลบั้มถัดไปอย่างมาก โดยปล่อยเพลง There's A Kind Of Hush ซึ่งเป็นการโคฟเวอร์งานเก่าของวง Herman's Hermits ออกมาเป็นซิงเกิลแรก ซึ่งก็ขึ้นชาร์ท 12 ในอเมริกา และ 22 ในอังกฤษ และตามมาด้วย I Need To Be In Love ซิงเกิลที่สองอันเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู ซึ่งตัวริชาร์ดเองค่อนข้างหวังไว้กับเพลงนี้สูงมาก เนื่องจากเป็นเพลงที่เขาตั้งใจแต่งและเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่แคเรนชอบมากที่สุดที่เธอได้ร้องไว้ แต่ผลจากความนิยมที่ลดลง ทำให้เพลงดังกล่าวขึ้นชาร์ทได้เพียงอันดับที่ 25 ในอเมริกา และ 36 ในอังกฤษ (อย่างไรก็ดีเพลงนี้ถูกนำมาตัดเป็นซิงเกิลใหม่ในปี 1995 ในญี่ปุ่น สามารถขึ้นสู่ชาร์ดได้ในอันดับที่ 5 และมียอดจำหน่ายกว่า 4 ล้านแผ่น ซึ่งสูงสุดในยอดจำหน่ายของปีนั้นที่เดียว สร้างปรากฏการณ์ที่หน้าประหลาดใจให้กับริชาร์ดเป็นอย่างมาก) และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 Goofus ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงทั่วโลกในการเลือกเพลงนี้มาเป็นซิงเกิล โดยชาร์ทที่ตามมาก็ไม่น่าประหลาดใจ อยู่ในอันดับที่ 56 ในอเมริกา ทำให้อัลบั้มที่ 7 ของพวกเขา A Kind Of Hush ขึ้นอันดับที่ 33 ในอเมริกา แต่ยังสามารถรักษาความนิยมในอังกฤษได้อันดับที่ 3 อย่างไรก็ดี A Kind Of Hush ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแผ่นเสียงทองคำในอเมริกาอยู่ เพลงที่ได้รับความนิยมเพลงอื่น ๆ ได้แก่ You เป็นงานโคฟเวอร์เช่นกัน แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของวงด้วย ด้วยเสียงร้องที่โด่ดเด่นไพเราะของแคเรน เพลงนี้ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น โดยมีแฟนเพลงจำนวนมากคิดว่าเพลงนี้น่าจะออกเป็นซิงเกิล แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เพลงนี้ไม่ได้ถูกทำเป็นซิงเกิลแต่เลือกเพลง Breaking Up Is Hard To Do เป็นซิงเกิลที่ 3 สำหรับญี่ปุ่นแทน (สร้างความผิดหวังให้กับแฟนเพลงหลายคนทีเดียว ใครทราบสาเหตุรบกวนเล่าให้ฟังด้วยครับ), Sandy เป็นเพลงโปรดเพลงหนึ่งของริชาร์ด เขาแต่งเพื่อบรรยายถึงแซนดี้ ซึ่งเป็นช่างผมช่างแต่งตัวให้กับแคเรนและเขาก็เคยมีเดทกันนิดหน่อย (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเลิกกันไปสาเหตุเพราะแคเรนและแอกเนส), Can't Smile Without You เป็นเพลงที่อยู่แผนการตัดเป็นซิงเกิลเช่นกัน โดยมีการทำออกมาเวอร์ชันในปี 1978 และในปีเดียวกันนั้น Berry Manilow ได้โคฟเวอร์เพลงนี้จนทำให้กลายเป็นเพลงดังที่คนรู้จัก และ I Have You ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้เองวงคาร์เพนเทอส์มีงานทัวร์คอนเซิร์ททั่วโลกทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นแทบเต็มตาราง ทำให้อาการป่วยของแคเรนจากโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา เริ่มแสดงอาการให้เห็นจากการที่เธอเป็นลมล้มลงกลางเวทีหลังจากร้องเพลง Top Of The World จนสุดท้ายต้องยกเลิกการแสดงทัวร์ที่ญี่ปุ่นไป ขณะเดียวกันริชาร์ดก็เริ่มใช้และติดยานอนหลับด้วยปี 1977: Passage ปี 1977: Passage. เนื่องจากปัญหาความนิยมของวงที่ลดลงในสหรัฐอเมริกา (ทั้งยอดจำหน่ายอัลบั้มและชาร์ทซิงเกิล) รวมถึงขณะนั้นเป็นยุคทองของเพลงดิสโก้ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันที่มหาศาลกับ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทุก ๆ อย่างในการผลิตอัลบั้มของวงเรื่อยมา ทำให้อัลบั้มใหม่นี้เขาไม่ต้องการให้ความนิยมของวงตกลงโดยไม่ได้มีการจัดการอะไร... นั่นจึงเป็นที่มาของอัลบั้ม Passage ซึ่งเขาลดบทบาทของเขาลงหลายอย่างและทดลองเพลงหลาย ๆ แนวในชุดนี้โดยที่พยายามคงความเป็นวงคาร์เพนเทอส์เอาไว้ไม่ให้อิงไปกับกระแสดิสโก้ เช่นการใช้วงซิมโฟนี่และการประสานเสียงเต็มวง (เพลง Don't Cry For Me Argentina และ Calling Occupants Of Interplanetary Craft) รวมถึงเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีเพลงที่เขาและคู่หูแต่งอยู่เลย โดยเพลงในชุดนี้จะมีความหลากหลายของแนวเพลงมากที่สุด โดยที่มีเพลง All You Get From Love Is A Love Song เป็นซิงเกิลแรก ซึ่งขึ้นชาร์ทได้ 35 ในสหรัฐ และตามมาด้วย Calling Occupants Of Interplanetary Craft (ซิงเกิลที่แปลกที่สุดและยาวที่สุดของวง) เป็นซิงเกิลที่ 2 ซึ่งขึ้นชาร์ทที่ 32 ในสหรัฐ แต่สามารถขึ้นชาร์ทที่ 9 ได้ทั้งในอังกฤษและออสเตรเลีย สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก ถัดมาเป็นเพลงคริสต์มาส The Christmas Song (Chestnut Roasting On An Open Fire) (ไม่ได้บรรจุในชุด Passage) และตามด้วยเพลง Sweet, Sweet Smile ในต้นปี 1978 ซึ่งขึ้นอันดับ 44 ในสหรัฐและ 40 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่เพลงของวงสามารถขึ้นชาร์ทเพลงครันทรีได้ (อันดับที่ 9) นอกจากนี้ในอัลบั้ม Passage ยังมีเพลงที่น่าสนใจอีกเพลงคือ I Just Fall In Love Again ซึ่งจริง ๆ แล้วริชาร์ดต้องการจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปมากกว่า แต่เนี่องจากช่วงเวลาดังกล่าวดีเจที่เปิดแผ่นจะไม่เปิดเพลงที่มีความยาวเกินกว่า 4 นาที (I Just Fall In Love Again มีความยาว 4:04) ทำให้เพลงนี้ถูกลืมไป แต่อย่างไรก็ดีในปี 1978 แอน เมอร์เรย์ ได้โคฟเวอร์เพลงดังกล่าวและสามารถขึ้นชาร์ทลำดับที่ 12 ในสหรัฐได้ (ทำให้ริชาร์ดทราบว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับเพลงนี้ผิดไป) อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะมีความพยายามที่จะทำให้เกิดความแปลกใหม่อย่างมากมาย แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย Passage ขึ้นอันดับ 49 ในสหรัฐและ 12 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่ยอดจำหน่ายของอัลบั้มต่ำกว่าระดับแผ่นเสียงทองคำ (ตั้งแต่ Close To You จนถึง A Kind Of Hush ทุกชุดมียอดจำหน่ายเกินทั้งหมด)ปี 1978: Christmas Portait ปี 1978: Christmas Portait. ในปี 1978 พวกเขาเตรียมทำอัลบั้มคริสต์มาสโดยมีการทำรายการทีวีออกมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตามมาด้วยอัลบั้มเต็ม Christmas Portait ซึ่งในชุดนี้มีเพลง Merry Christmas, Darling ที่ได้ตัดเป็นซิงเกิลออกมาตั้งแต่ปี 1970 บรรจุอยู่ (ขับร้องใหม่โดยแคเรนในปี 1978) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 145 ในสหรัฐ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า หนึ่งล้านแผ่นเลยทีเดียว ในยุคนั้นโดยปกติแล้วมีศิลปินไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำอัลบั้มคริสต์มาสแล้วจะได้รับการตอบรับและประสบความสำหรับ ซึ่ง Christmas Portait เป็นหนึ่งในอัลบั้มดังกล่าวที่ปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมเปิดกันในเทศกาลคริสต์มาสจนถึงทุกวันนี้ เพลงอื่น ๆ ที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ได้แก่ Ave Maria, White Christmas, Silent Night, Have Youself A Merry Little Christmas และ Christmas Waltz ปลายปี 1978 พวกเขาได้บันทึกเสียงเพลงใหม่ ๆ สำหรับเตรียมออกอัลบั้มใหม่ และได้ออกซิงเกิลเพลงใหม่หนึ่งเพลงคือ I Believe You ซึ่งขึ้นอันดับ 68 ในสหรัฐ นอกจากนี้ยังออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตชุดที่ 2 "The Singles 1974-1978" ซึ่งออกจำหน่ายเฉพาะในอังกฤษ และสามารถขึ้นชาร์ทได้ในอันดับที่ 2 (ขณะนั้นความนิยมของวงในอเมริกาลดลงจึงไม่ได้ออกจำหน่าย)ปี 1979-1980: อัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter) ปี 1979-1980: อัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter). ในช่วงต้นปี 1979 สุขภาพของทั้งคู่ย่ำแย่ลง ทั้งอาการติดยานอนหลับอย่างรุนแรงของริชาร์ด และอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็พัฒนาอาการไปอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งจะเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากหนังสือพิมพ์ วิดีโอ ทีวี) จนริชาร์ดตัดสินใจว่าเขาจะหยุดพักงานเพื่อบำบัดอาการติดยานอนหลับของเขาให้หายดีก่อน รวมถึงอาการป่วยของแคเรนด้วย แล้วจึงค่อยกลับเข้าห้องอัดใหม่ โดยที่แคเรนเองก็ต้องเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งตัวแคเรนไม่ค่อยเห็นด้วยกับพี่ชายนักในเรื่องการพักการออกอัลบั้มใหม่ ทำให้เธอตัดสินใจทำงานเดี่ยวไปด้วยในช่วงที่เธอพักรักษาตัว โดยได้ฟิล รามอน มาเป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงานเพลงที่แต่งเองจากนักดนตรีที่ร่วมงานในขณะนั้นทำให้เพลงส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ อีกทั้งฟิล รามอน เองก็อยากให้เสียงร้องของแคเรนในงานเดี่ยวมีความแตกต่างจากที่เป็นแคเรนของวงคาร์เพนเทอส์ ดังนั้นเมื่ออัลบั้มเสร็จออกมาจึงมีความแตกต่างจากงานที่เคยทำร่วมกับพี่ชายมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี การเรียบเรียง เนื้อเพลง รวมถึงวิธีการร้องของแคเรนด้วย (ชุดนี้มีกลิ่นไอของดิสโก้อยู่มาก ซึ่งริชาร์ดได้เคยพูดห้ามในเรื่องนี้เอาไว้) ผลคือทำให้เมื่อนำเดโมที่เสร็จแล้วไปให้ริชาร์ดและผู้บริหารบริษัทเอแอนด์เอ็มฟัง ก็ไม่เป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะระงับการจำหน่ายอัลบั้มเดี่ยวดังกล่าวของเธอ (ซึ่งสร้างความสะเทือนใจกับแคเรนเป็นอย่างมาก) การทำอัลบั้มดังกล่าวยังใช้เงินส่วนตัวของแคเรนไปถึง 400,000 เหรียญสหรัฐด้วย อัลบั้มดังกล่าวเสร็จสิ้นในปี 1980 แต่ถึงแม้ว่าแคเรนจะเสียชีวิตแล้วในปี 1983 ไปแล้วก็ตามแต่อัลบั้มดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจำหน่าย แม้ว่าแฟนเพลงจำนวนมาก (ที่ทราบว่าอัลบั้มดังกล่าวมีอยู่จริง ๆ) ได้เขียนจดหมายถึงริชาร์ดว่าต้องการให้ออกจำหน่าย ซึ่งสุดท้ายแล้วอัลบั้ม Karen Carpenter ก็ได้ฤกษ์ออกจำหน่ายในปี 1996 ซึ่งหลาย ๆ เพลงในชุด Karen Carpenter ก็มิได้แย่จนถึงขั้นที่จะต้องถูกระงับการจำหน่ายเลย ในอัลบั้มนี้มีซิงเกิลหนึ่งเพลงคือ If I Had You (ริชาร์ดได้ให้ความคิดเห็นว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชุด แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกชอบ My Body Keeps Changing My Mind และ Making Love In The Afternoon มากกว่า) อย่างไรก็ดีริชาร์ดได้นำเอาเพลง 4 เพลงจากงานเดี่ยวดังกล่าวมาบรรจุไว้ในอัลบั้ม Lovelines (1989) ของวงคาร์เพนเทอส์ด้วย (Lovelines, If We Try, Remember When Lovin' Took All Night และ If I Had You) ในกลางปี 1980 แคเรนได้พบรักและแต่งงานกับนักธุรกิจ โทมมัส เบอริส โดยงานจัดที่ Crystal Room of the Beverly Hills Hotel และมีเพลงที่แต่งสำหรับงานดังกล่าว Because We Are in Love (The Wedding Song) ซึ่งบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Made In Americaปี 1981: Made In America ปี 1981: Made In America. หลังจากการบำบัดอาการติดยานอนหลับของริชาร์ดจนหายดี และการเสร็จสิ้นการรักษาอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรน (ซึ่งยังไม่ได้หายขาด) พวกเขาก็เตรียมตัวเข้าห้องอัดเพื่อออกอัลบั้มใหม่เลย นั่นคือ Made In America โดยเริ่มจากเพลง Touch Me When We're Dancing เป็นซิงเกิลที่ 2 (I Believe You เป็นซิงเกิลแรก) ได้รับการตอบรับดีในระดับหนึ่ง (อันดับ 16 ในสหรัฐ และเป็นเพลงฮิต top 20 เพลงสุดท้าย) โดยริชาร์ดไม่ค่อยพอใจกับอันดับชาร์ทมากนักเนื่องจากเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีที่น่าจะสามารถได้รับความนิยมในระดับ top 5 ได้ แต่เนื่องจากขณะนั้นมันพ้นช่วงยุคทองของวงไปแล้ว (ดีเจไม่ค่อยโปรโมทเพลงของวงคาร์เพนเทอส์ เพราะไม่ใช่เพลงในแนวกระแสในช่วงยุค 80) เพลงถัดมา (Want You) Back in My Life Again ขึ้นอันดับ 72 ในสหรัฐ ตามมาด้วย Those Good Old Dreams ขึ้นอันดับ 63 ในสหรัฐ (ริชาร์ดให้ความเห็นเกี่ยวกับเพลงนี้ว่าน่าจะขึ้นชาร์ทได้สูงกว่านี้) และ Beechwood 4-5789 ขึ้นอันดับ 74 ในสหรัฐ (และเป็นเพลงสุดท้ายที่สามารถขึ้นชาร์ท top 100 ในสหรัฐได้) Made In America ไต่ชาร์ทอันดับที่ 52 ในสหรัฐและ 12 ในอังกฤษปี 1983: Voice Of The Heart แคเรนเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจ ปี 1983: Voice Of The Heart แคเรนเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจ. ปลายปี 1982 อาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากน้ำหนักของแคเรนที่ลดลงอย่างมาก (ประมาณ 35 กิโลกรัม) ประกอบกับการที่เธอไม่ได้กลับมาทานอาหารอย่างปกติ แต่ใช้วิธีการฉีดสารอาหารเข้าสู่หลอดเลือดทำให้น้ำหนักของเธอกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพฤติกรรมการไม่ทานอาหาร การใช้สารทำให้อาเจียร (บูลิเมียร์) หลังจากทานอาหารเสร็จ รวมถึงการใช้การกลุ่มกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานก็ยังเป็นอยู่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อทั้งหลอดเสียงของเธอ ยังทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดแดงที่หัวใจบางและเปาะ รวมถึงกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก (ปกติแล้วร่างกายคนที่ขาดอาหารจะไปลดอัตราการเต้นของหัวใจรวมถึงเมตตาบอริซึ่มเพื่อลดการใช้พลังงานลง แต่การใช้สารกระตุ้นการทำงานของหัวใจกับสภาพร่างกายของแคเรนที่ขาดสารอาหารยิ่งไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานมากขึ้น) ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะสมและค่อย ๆ ทำลายกล้ามเนื้อหัวใจของเธอเรื่อยมาจนวันหนึ่ง ในคืนก่อนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1983 แคเรนได้โทรศัทพ์ไปคุยกับ ฟิล รามอน โดยเธอถามถึงอัลบั้มเดี่ยวที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ โดยถามเขาว่าอัลบั้มดังกล่าวมันแย่มากเลยเหรอ? ก่อนที่จะได้รับคำตอบแล้วจบบทสนธนาสุดท้ายกันไป และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ก่อนวันเกิดครบรอบ 33 ปีของแคเรนไม่กี่อาทิตย์ เธอล้มฟุบลงกับพื้นห้องแต่งตัวที่บ้านของ แอกเนส แม่ของเธอ ก่อนที่จะมีคนพบและเรียกรถพยาบาลมารับตัวเธอ ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่เธอต้องไปจดทะเบียนหย่าโดยมีแอกเนสไปเป็นเพื่อน หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าเธอได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลว ซึ่งข่าวดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกทั้งเรื่องการเสียชีวิตของเธอ และโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในอเมริกาอย่างมากมาย (ประมาณ 50% ของผู้หญิงทั้งหมด) ซึ่งทำให้อเมริกาตื่นตัวกับโรคดังกล่าวอย่างจริง ๆ จัง ๆ และที่หน้าหลุมฝังศพของเธอมีการจารึกไว้ว่า "A star on earth - A star in heaven" และในเดือนตุลาคม 1983 วงคาร์เพนเทอส์ก็ได้รับการจารึกชื่อไว้ที่ star on the Hollywood Walk of Fame ด้วย ในปี 1983 ริชาร์ดได้ออกอัลบั้ม Voice Of The Heart ซึ่งเป็นการรวบรวมงานเพลงที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพลงที่ถูกคัดออกจากอัลบั้มต่าง ๆ จากปี 1976 จนถึง 1981 โดยมีเพลงที่ร้องใหม่สำหรับชุดนี้จริง ๆ 2 เพลง (แคเรนร้องไว้ก่อนเสียชีวิต) คือ Now (เพลงสุดท้ายที่แคเรนร้องในห้องอัดเสียง) และ Your Baby Doesn't Love You Anymore (จากคำวิจารณ์ของแฟนเพลงหลายคนรวมถึงผู้เขียนต่างเห็นฟ้องต้องกันว่าเพลงในชุดนี้หลายเพลงมีคุณภาพดีกว่า Made In America หรือ Passage ด้วยซ้ำ) ซิงเกิลแรกของชุดนี้คือ Make Believe It's Your First Time (101 ในสหรัฐ และ 60 ในอังกฤษ) และตามมาด้วย Your Baby Doesn't Love You Anymore เป็นซิงเกิลที่ 2 Voice Of The Heart ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 46 ในสหรัฐ และ 6 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีเพลงที่สำคัญเพลงอื่น ๆ ได้แก่ Look To Your Dreams (เป็นเพลงที่แคเรนขอร้องให้ริชาร์ดแต่งให้ แต่เนื่องจากตัวเพลงมีกลิ่นไอเพลงเก่าทำให้เพลงนี้ไม่ถูกนำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ Look To Your Dreams กลายเป็นเพลงที่แอกเนส มารดาของพวกเขาชอบมากที่สุด), At The End Of A Song, Sailing On The Tide และ You're Enoughปี 1984: An Old-Fashioned Christmas ปี 1984: An Old-Fashioned Christmas. เนื่องจากโครงการทำอัลบั้ม Christmas Portrait พวกเขาได้บันทึกเสียงไปจำนวนหลายเพลงมาก ทำให้มีหลายเพลงที่ยังไม่ได้นำมาใช้ ในปีถัดมา ริชาร์ดได้จัดการมิกซ์ดนตรีของเพลงที่เหลือซึ่งแคแรนร้องไว้จำนวน 6 เพลง รวมกับที่ริชาร์ดบันทึกเสียงใหม่อีก 7 เพลง และอีก 1 เพลงเก่าที่พวกเขาเคยตัดเป็นซิงเกิลไว้แล้วในปี 1974 Santa Claus Is Comin' to Town มารวมไว้ในอัลบั้มคริสต์มาสชุดที่ 2 An Old-Fashioned Christmas ซึ่งชุดนี้มีเพลง Little Altar Boy ตัดเป็นซิงเกิล โดยมีเพลง Do You Hear What I Hear? เป็น B-sideปี 1989: Lovelines ปี 1989: Lovelines. ในปี 1989 ได้มีการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "The Karen Carpenter Story" ซึ่งได้รับความนิยมสูง ทำให้อัลบั้มเก่าต่าง ๆ ของวงคาร์เพนเทอส์ได้รับความสนใจอย่างมากและทำให้ยอดจำหน่ายสูง (ตั้งแต่ปี 1989 - 1991) สื่อต่าง ๆ ให้การยอมรับผลงานของพวกเขาในด้านความไพเราะความเป็นอมตะมากขึ้น ในปีนั้นเองริชาร์ดได้วางแผนออกอัลบั้มถัดมาของวง Lovelines อัลบั้มนี้คล้ายกับ Voice Of The Heart คือเป็นเพลงที่ถูกคัดทิ้ง (ไม่ได้ถูกนำมาใช้) มีหลายเพลงที่นำมาจากทีวีซีรีส์ที่คาร์เพนเทอส์เป็นโฮส และอีก 4 เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter) ซึ่งซิงเกิลในชุดนี้คือ Honolulu City Lights ซื่งได้ตัดออกมาแล้วในปี 1985 เพลงหลายเพลงในชุดนี้กลายเป็นเพลงที่แฟนเพลงชื่นชอบ เช่น Where Do I Go From Here?, When I Fall In Love, Little Girl Blue, Slow Dance, You're The One และ Kiss Me The Way You Did Last Night (Kiss Me The Way You Did Last Night บันทึกเสียงในช่วงอัลบั้ม Made In America แต่ด้วยความที่เพลงนี้ยากต่อการมิกซ์เสียงและสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย ทำให้ไม่ได้บรรจุอยู่อัลบั้มดังกล่าว แต่หลังจากที่มีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยเพลงนี้จึงมีโอกาสให้แฟนเพลงได้รับฟังกัน) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 73 ในอังกฤษ โดยแฟนเพลงหลายคนให้คำวิจารณ์ชื่นชอบอัลบั้มชุดนี้เช่นกันปี 1994: Interpretations ปี 1994: Interpretations. ด้วยเหตุที่ริชาร์ดมีโปรเจกต์การออกอัลบั้ม Karaoke เพื่อจำหน่ายในญี่ปุ่น ในช่วงที่เตรียมเทปมาสเตอร์สำหรับโปรเจกต์ ริชาร์ดได้รื้อพบเทปที่ถูกลาเบลไว้ว่า "Only Yesterday" ซึ่งเมื่อนำมาตรวจสอบดูพบว่า เป็นเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ที่แคเรนเคยร้องไว้ในปี 1975 ช่วงทำอัลบั้ม Horizon ซึ่งไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในชุดนั้น แต่จากการลาเบลผิดและเก็บไว้ผิดที่จึงทำให้ต้นฉบับเพลงนี้ถูกลืม เพลง Tryin' To Get The Feeling Again ถูกร้องไว้ครั้งแรกโดยแคเรน แต่เนื่องจากไม่ได้บรรจุใน Horizon และถูกเก็บลืม ซึ่งแคเรนได้ร้องเอาไว้ก่อนที่ Berry Manilow จะบันทึกเสียงและได้รับความนิยมในปี 1978 (3 ปีให้หลัง) จากเหตุผลนี้เองจึงเป็นที่มาของอัลบั้มชุดนี้ "Interpretations" และนอกจากนี้ยังเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปี ที่วงคาร์เพนเทอส์ได้เซ็นสัญญาอยู่กับค่าย A&M ด้วย ภาพรวมของชุดนี้จะประกอบไปด้วยเพลงเก่าที่ริชาร์ดไม่ได้แต่งเอง 18 เพลง ทั้งที่เป็นเพลงฮิตและไม่ใช่ (หมายถึงการตีความหมายของเพลงที่พวกเขาเอามาร้องตามสไตล์ของคาร์เพนเทอส์) รวมกับ 3 เพลงใหม่ โดยที่ 2 เพลงจะมาจากรายการทีวี และเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ซึ่งถูกตัดเป็นซิงเกิลออกมา สามารถขึ้นอันดับ 44 ในอังกฤษ อัลบั้มขึ้นได้ถึงอันดับที่ 29 ในอังกฤษปี 1996: Karen Carpenters ปี 1996: Karen Carpenters. จากผลงานอัลบั้มเดี่ยวในปี 1979-1980 ของแคเรนที่ถูกระงับการจำหน่าย ด้วยการตกลงกันอย่างลงตัวระหว่างโปรดิวเซอร์ ฟิล รามอน และริชาร์ด ทำให้อัลบั้ม Karen Carpenter มีโอกาสได้ออกจำหน่ายจริง ๆ ในปี 1996 ซึ่งแฟนเพลงจำนวนเผ้ารออัลบั้มชุดนี้ตลอด นอกจาก If I Had You ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลในปี 1989 แล้ว ยังมีเพลง Make Believe It's Your First Time (ในเวอร์ชันก่อน Voice Of The Heart) ที่จำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น เพลงที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ ได้แก่ My Body Keeps Changing My Mind, Making Love In The Afternoon, Still Crazy After All These Years Lovelines และ If We Try นอกจากนี้ยังมีเพลงที่เหลือจากโปรเจกต์งานโซโลเดี่ยวนี้อีกนับสิบเพลงที่ยังไม่ได้มีการมิกซ์เสียง (ลองหาดาวน์โหลดฟังดู) ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมาการปล่อยออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการหรือไม่ปี 2001: As Time Goes By ปี 2001: As Time Goes By. ริชาร์ดได้กล่าวไว้ว่าอัลบั้ม As Time Goes By เป็นสตูริโออัลบั้มสุดท้ายของวงคาร์เพนเทอส์ เพลงส่วนใหญ่ถูกนำมาจากรายการทีวีต่าง ๆ บางเพลงเป็นเดโมสมัยช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ (ก่อน 1969) บางเพลงมาจากการร้องสดในห้องส่ง โดยมี 2 เพลงเป็นเพลงที่ถูกคัดทิ้งจากชุด Made In America และกลายเป็นซิงเกิลหนึ่งเดียวที่ทำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่น คือ The Rainbow Connection เพลงนี้เพลงเป็นหนึ่งที่แฟนเพลงได้ส่งจดหมายไปหาริชาร์ดให้นำเพลงนี้ออกมาจำหน่าย เนื่องจากมีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งทราบว่าแคเรนได้ร้องเอาไว้แต่ไม่ได้นำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มชุดใด เพลงนี้ขึ้นอันดับ 47 ในญี่ปุ่น อัลบั้มนี้สามารถขึ้นอันดับ 18 ในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเพลงที่น่าสนใจ เช่น Leave Yesterday Behind, You're Just In Love และ And When He Smile (ร้องสด) และใน As Time Goes By จะมีเพลงเมดเลย์ที่แคเรนได้ร้องดูเอ็ดไว้กับสุดยอดนักร้องหญิงอเมริกัน Ella Fitzgerald ผู้ที่ได้รับสมญาว่า The First Lady Of Song อีกด้วยรางวัลและความสำเร็จ รางวัลและความสำเร็จ. คาร์เพนเทอส์ มีเพลงอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดอยู่ 3 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของฝั่งอเมริกา ได้แก่ (They Long To Be) Close To You, Top Of The World และ Please Mr.Postman มีเพลงอันดับท๊อป 10 อยู่ 9 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับ ได้แก่ We've Only Just Begun (2), For All We Know (3), Rainy Days And Mondays (2), Superstar (2), Hurting Each Other (2), Goodbye To Love (7), Sing (3), Yesterday Once More (2) และ Only Yesterday (4) และ อันดับ 1 อีก 15 เพลงบนชาร์ท Adult Contemporary Singles Charts คาร์เพนเทอส์มียอดขายอัลบั้มและซิงเกิล รวมกันมากกว่า 100 ล้านชุด ปัจจุบันเพลง We've Only Just Begun และ (They Long To Be) Close To You ได้ถูกบรรจุอยู่ใน Hall of fame ตลอดเวลา 14 ปี คาร์เพนเทอส์ออกอัลบั้มอยู่ 11 ชุด มี 4 อัลบั้มที่มีเพลงติดใน 5 อันดับแรกบนชาร์ทคือ Close to You (2), Carpenters (2), A Song for You (4) และ Now & Then (2) โดยมีอัลบั้มรวมเพลง The Singles 1969-1973 ขึ้นอันดับหนึ่งทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษ และออกซิงเกิล 40 ซิงเกิล , รายการโทรทัศน์ภาคพิเศษ 5 ครั้ง และออกละครโทรทัศน์ 1 ครั้ง พวกเขายังทัวร์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยม จนกระทั่งแคเรนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1983 ปัจจุบันพวกเขามียอดจำหน่ายแผ่นมากกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลกอัลบั้มซิงเกิล
แคเรน คาร์เพนเทอร์ หรือ Karen Carpenter สมาชิกวงเดอะคาร์เพนเทอส์ เกิดเดือนอะไร
{ "answer": [ "มีนาคม" ], "answer_begin_position": [ 747 ], "answer_end_position": [ 753 ] }
1,461
151,821
ยูตะ โมะชิซุกิ ยูตะ โมจิซึกิ () เป็น อดีตนักแสดงและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2510 ที่จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น กรุ๊ปเลือด O สูง 177 ซม. เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์แนวโทคุซัทสึเรื่อง ขบวนการเทพนักสู้ จูเรนเจอร์ผลงานละครผลงาน. ละคร. - ขบวนการวิหคสายฟ้าเจ็ทแมน รับบทเป็น นีโอเจ็ทแมน J1 - ขบวนการเทพนักสู้ จูเรนเจอร์ รับบทเป็น เกคิ / ไทแรนโนเรนเจอร์ - บีไฟเตอร์คาบูโตะ รับบทเป็น ชุนสุเกะ - วอยซ์ลักเกอร์ รับบทเป็น เทราโนะ หรือ วอยซ์แมนภาพยนตร์ภาพยนตร์. - คาเมนไรเดอร์ J และ มาสค์ไรเดอร์ สเปเชี่ยล รับบทเป็น เซงาวะ โคจิ หรือ คาเมนไรเดอร์ J - จูเดนเซนไท เคียวริวเจอร์ VS โกบัสเตอร์ส ศึกชี้ขาดไดโนเสาร์! ลาก่อนเพื่อนอันเป็นนิรันดร์ รับบทเป็น เกคิ / ไทแรนโนเรนเจอร์ละครเวทีเซเลอร์มูนคุนไซต์ละครเวทีเซเลอร์มูน. คุนไซต์. - 1993 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen (外伝 ダーク・キングダム復活篇, Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen?)ชิบะ มาโมรุ / หน้ากากทักซิโด้ชิบะ มาโมรุ / หน้ากากทักซิโด้. - 1994 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen [Kaiteiban] (外伝 ダーク・キングダム復活篇(改訂版), Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen [Kaiteiban]?)- Bishoujo Senshi Sailor Moon Super Spring Festival - 1994 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Usagi - Ai no Senshi e no Michi (うさぎ・愛の戦士への道, Usagi - Ai no Senshi e no Michi?)- 1995 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Henshin - Super Senshi e no Michi (変身・スーパー戦士への道, Henshin - Super Senshi e no Michi?)- 1995 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Henshin - Super Senshi e no Michi [Kaiteiban] (変身・スーパー戦士への道(改訂版), Henshin - Super Senshi e no Michi [Kaiteiban]?)- 1995 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS Yume Senshi - Ai - Eien ni... (夢戦士・愛・永遠に…, Yume Senshi - Ai - Eien ni...?)- 1996 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS [Kaiteiban] Yume Senshi - Ai - Eien ni... Saturn Fukkatsu Hen! (夢戦士・愛・永遠に…サターン復活篇!, Yume Senshi - Ai - Eien ni... Saturn Fukkatsu Hen!?) Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS Special Musical Show- 1996 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Sailor Stars - 1997 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Sailor Stars [Kaiteiban] - 1997 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Eien Densetsu (永遠伝説, Eien Densetsu?) - 1998 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Eien Densetsu [Kaiteiban] (永遠伝説[改訂版], Eien Densetsu [Kaiteiban]?) The Final First Stage!!คิงเอ็นดิเมียนคิงเอ็นดิเมียน. - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon 1998 Golden Week Fan Kansha Event - 1998 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Shin - Densetsu Kourin BEGINNING OF THE NEW LEGENDคิงเอ็นดิเมียน / สเปซไนท์คิงเอ็นดิเมียน / สเปซไนท์. - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon1999 Oshougatsu Fan Kansha Event - 1999 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kaguya Shima Densetsu - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon 1999 Golden Week Fan Kansha Event- 1999 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kaguya Shima Densetsu Kaiteiban Natsuyasumi! Houseki Tankentaiเคานต์ดราคูลล้าเคานต์ดราคูลล้า. - 2000 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Shin / Henshin - Super Senshi e no Michi Last Dracul Jokyoku - 2000 Musical Bishoujo Senshi Sailor MoonFan Kansha Event - 2001 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kessen / Transylvania no Mori [Kaiteiban]- Saikyou no Kataki Dark Cain no Nazo- - 2001 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Dai 1 Bu - Last Dracul Saishuu Shou Chou Wakusei Death Vulcan no Fuuinงานพากย์งานพากย์. - สาวแกร่งแรงเกินร้อย พากย์เสียงของ มิมาซากะ อากิระ - Digimon Tamers Movie 6: The Runaway Digimon Express พากย์เสียงของ โรโคมอน - แม่มดน้อยโดเรมี พากย์เสียงของ ฮารุคาเซะ เคสุเกะ (พ่อของโดเรมี) - ยูเมะ โนะ เครยอน โอโคคุ พากย์เสียงของ โทโมโรฟุสกี้ - Ashita no Nadja พากย์เสียงของ เทียร์รี่ ร็อดสไชลด์
บ้านเกิดของอดีตนักแสดงและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ ยูตะ โมจิซึกิอยู่ที่จังหวัดใด
{ "answer": [ "คานางาวะ" ], "answer_begin_position": [ 208 ], "answer_end_position": [ 216 ] }
2,468
151,821
ยูตะ โมะชิซุกิ ยูตะ โมจิซึกิ () เป็น อดีตนักแสดงและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2510 ที่จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น กรุ๊ปเลือด O สูง 177 ซม. เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์แนวโทคุซัทสึเรื่อง ขบวนการเทพนักสู้ จูเรนเจอร์ผลงานละครผลงาน. ละคร. - ขบวนการวิหคสายฟ้าเจ็ทแมน รับบทเป็น นีโอเจ็ทแมน J1 - ขบวนการเทพนักสู้ จูเรนเจอร์ รับบทเป็น เกคิ / ไทแรนโนเรนเจอร์ - บีไฟเตอร์คาบูโตะ รับบทเป็น ชุนสุเกะ - วอยซ์ลักเกอร์ รับบทเป็น เทราโนะ หรือ วอยซ์แมนภาพยนตร์ภาพยนตร์. - คาเมนไรเดอร์ J และ มาสค์ไรเดอร์ สเปเชี่ยล รับบทเป็น เซงาวะ โคจิ หรือ คาเมนไรเดอร์ J - จูเดนเซนไท เคียวริวเจอร์ VS โกบัสเตอร์ส ศึกชี้ขาดไดโนเสาร์! ลาก่อนเพื่อนอันเป็นนิรันดร์ รับบทเป็น เกคิ / ไทแรนโนเรนเจอร์ละครเวทีเซเลอร์มูนคุนไซต์ละครเวทีเซเลอร์มูน. คุนไซต์. - 1993 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen (外伝 ダーク・キングダム復活篇, Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen?)ชิบะ มาโมรุ / หน้ากากทักซิโด้ชิบะ มาโมรุ / หน้ากากทักซิโด้. - 1994 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen [Kaiteiban] (外伝 ダーク・キングダム復活篇(改訂版), Gaiden Dark Kingdom Fukkatsu Hen [Kaiteiban]?)- Bishoujo Senshi Sailor Moon Super Spring Festival - 1994 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Usagi - Ai no Senshi e no Michi (うさぎ・愛の戦士への道, Usagi - Ai no Senshi e no Michi?)- 1995 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Henshin - Super Senshi e no Michi (変身・スーパー戦士への道, Henshin - Super Senshi e no Michi?)- 1995 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon S Henshin - Super Senshi e no Michi [Kaiteiban] (変身・スーパー戦士への道(改訂版), Henshin - Super Senshi e no Michi [Kaiteiban]?)- 1995 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS Yume Senshi - Ai - Eien ni... (夢戦士・愛・永遠に…, Yume Senshi - Ai - Eien ni...?)- 1996 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS [Kaiteiban] Yume Senshi - Ai - Eien ni... Saturn Fukkatsu Hen! (夢戦士・愛・永遠に…サターン復活篇!, Yume Senshi - Ai - Eien ni... Saturn Fukkatsu Hen!?) Bishoujo Senshi Sailor Moon SuperS Special Musical Show- 1996 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Sailor Stars - 1997 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Sailor Stars [Kaiteiban] - 1997 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Eien Densetsu (永遠伝説, Eien Densetsu?) - 1998 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Eien Densetsu [Kaiteiban] (永遠伝説[改訂版], Eien Densetsu [Kaiteiban]?) The Final First Stage!!คิงเอ็นดิเมียนคิงเอ็นดิเมียน. - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon 1998 Golden Week Fan Kansha Event - 1998 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Shin - Densetsu Kourin BEGINNING OF THE NEW LEGENDคิงเอ็นดิเมียน / สเปซไนท์คิงเอ็นดิเมียน / สเปซไนท์. - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon1999 Oshougatsu Fan Kansha Event - 1999 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kaguya Shima Densetsu - Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon 1999 Golden Week Fan Kansha Event- 1999 Summer Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kaguya Shima Densetsu Kaiteiban Natsuyasumi! Houseki Tankentaiเคานต์ดราคูลล้าเคานต์ดราคูลล้า. - 2000 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Shin / Henshin - Super Senshi e no Michi Last Dracul Jokyoku - 2000 Musical Bishoujo Senshi Sailor MoonFan Kansha Event - 2001 Winter Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Kessen / Transylvania no Mori [Kaiteiban]- Saikyou no Kataki Dark Cain no Nazo- - 2001 Spring Special Musical Bishoujo Senshi Sailor Moon Dai 1 Bu - Last Dracul Saishuu Shou Chou Wakusei Death Vulcan no Fuuinงานพากย์งานพากย์. - สาวแกร่งแรงเกินร้อย พากย์เสียงของ มิมาซากะ อากิระ - Digimon Tamers Movie 6: The Runaway Digimon Express พากย์เสียงของ โรโคมอน - แม่มดน้อยโดเรมี พากย์เสียงของ ฮารุคาเซะ เคสุเกะ (พ่อของโดเรมี) - ยูเมะ โนะ เครยอน โอโคคุ พากย์เสียงของ โทโมโรฟุสกี้ - Ashita no Nadja พากย์เสียงของ เทียร์รี่ ร็อดสไชลด์
ยูตะ โมจิซึกิ อดีตนักแสดงและนักพากย์ชายชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "14" ], "answer_begin_position": [ 178 ], "answer_end_position": [ 180 ] }
1,469
197,981
วรายุฑ มิลินทจินดา วรายุฑ มิลินทจินดา เกิดวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2498 เป็นนักแสดง ผู้จัดละครชาวไทยประวัติ ประวัติ. วรายุฑ เกิดที่กรุงเทพ เป็นบุตรของ นายวิวัฒน์ มิลินทจินดา และ นางดารา มิลินทจินดา จบการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนสุพมาศพิทยาคม ระดับประถมศึกษาปีที่ 5-7 โรงเรียนวัดตองปุ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โรงเรียนช่างศิลป์ กรุงเทพมหานคร หลังจากเรียนจบเข้าไปเป็นพนักงานประจำช่างศิลป์ โรงพิมพ์ยานนาวา ทำหน้าที่จัดทำ และออกแบบการ์ด นามบัตร แผ่นปลิว ต่าง ๆ จากนั้นอีก 2 ปี ทำหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายช่างศิลป์และติดสติกเกอร์ฉลากโรงงานน้ำปลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ทำงานบริษัทสีเคนีเท็กซ์ จำกัด ทำหน้าที่หลายอย่างทั้งเป็นเซลล์และจัดหน้าร้าน และยังรับผิดชอบออกแบบถุงยางอนามัยให้กับบริษัทคิงส์เท็กซ์ จำกัด เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีผู้บริหารเป็นคนเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ทำงานให้กับบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลคอสเมติกส์ จำกัด ทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลปกรรมด้านการออกแบบชุดชั้นในผู้หญิง จัดหน้าร้าน จัดตู้โชว์และทำแพ็กเกจเครื่องสำอางเพี๊ยซ จากนั้นในปี พ.ศ. 2524 ทำงานที่โรงแรมมณเฑียร ด้านกราฟิกดีไซน์ ออกแบบ ชื่อห้องอาหาร เมนู ป้ายเวทีในงาน จัดเลี้ยงต่าง ๆ หลังจากนั้นได้รับการติดต่อมาเป็นผู้ช่วยของ คุณภัทราวดี (ศรีไตรรัตน์) มีชูธน ซึ่งเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ และละครเวที โดยคุณณพ-วงเดือน (อินทรวุธ) ยนตรรักษ์ เป็นผู้ติดต่อ ตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ก้าวเข้าสู่ละครโทรทัศน์ และตัดสินใจลาออกจากงาน ในปี พ.ศ. 2525 โดยได้ทำงานด้านการแสดงการแต่งหน้า การออกแบบเสื้อผ้า การจัดฉาก ช่วยกำกับการแสดงตลอดจนด้านธุรกิจต่าง ๆ ในการจัดสร้างละคร จากนั้นได้ร่วมจัด ละครโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ อย่าง ละครโทรทัศน์เรื่องความรัก, ภาพยนตร์เรื่องรักริษยา, ละครโทรทัศน์ เรื่อง เซียวฮื่อยี้ เทพบุตรผู้ไร้ทวน โดยทำหน้าที่ แต่งหน้าตัวละคร จัดเสื้อผ้า จัดฉากและอุปกรณ์ประกอบฉาก จากความสำเร็จกับการเป็นผู้จัดละคร เรื่อง ทะเลเลือด จึงได้ก่อตั้งบริษัท ไอแอม โปรดักชั่น จำกัด (ปัจจุบันคือ บริษัท ฮู แอนด์ ฮู จำกัด) ผลิตละครโทรทัศน์อีกมากมายจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ วรายุฑยังก่อตั้งบริษัท รีมายน์ จำกัด ผลิตรายการโทรทัศน์ป้อนให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 รายการที่มีชื่อเสียง เช่น ดาวล้านดวง อลหม่านจานเด็ด เป็นต้นผลงานผู้จัดละครผลงาน. ผู้จัดละคร. - ปราสาทมืด - ตุ๊กตาเริงระบำ - คุณหญิงจอมแก่น - สายรักสายสวาท - เหมือนคนละฟากฟ้า - นิมิตแห่งรัก (ละครสั้นฉลองครบรอบ 25 ปี ช่อง 3) - ไฟต่างสี - รักเดียวของเจนจิรา - ทรายสีเพลิง (2539) - ปริศนา - เจ้าสาวของอานนท์ (2531) - ทะเลเลือด - รัตนาวดี - สี่แผ่นดิน - วนิดา (2534) - ในฝัน - ไฟลวง (2538) - ร่มฉัตร (2538) - เรือนมยุรา (2539) - ตามหัวใจไปสุดหล้า (2540) - รุ้งสามสาย (2540) - จากฝัน...สู่นิรันดร (2541) - กัลปังหา (2541) - บ้านทรายทอง (2543) - ดอกแก้วการะบุหนิง (2543) - นางร้าย (2544) - ราชินีหมอลำ (2548) - เหยื่อมาร (2549) - กรุงเทพราตรี (2550) - สู่ฝันนิรันดร (2551) - ดาวจรัสฟ้า (2551) - เชลยศักดิ์ (2553) - ดวงตาสวรรค์ (2554) - แค้นเสน่หา (2556) - พ่อไก่แจ้ (2557) - มาลีเริงระบำ (2557) - เจ้าบ้าน เจ้าเรือน (2559) - นารีริษยา (2559) - แรงตะวัน (2559) - ม่านดอกงิ้ว (2559) - เหยื่อพยาบาท (2560) - เด็ดปีกนางฟ้า (2561) - บ่วงนฤมิต (2561) - ดั่งดวงหฤทัย (2561) - สัตยาธิษฐาน (2561) - หนี้รักในกรงไฟ (2561)แสดงภาพยนตร์แสดงภาพยนตร์. - หญิงก็มีหัวใจ (2524) - มาดามยี่หุบ (2525) - น.ส. เย็นฤดี (2526) - เพื่อน-แพง (2526) - กองพันทหารเกณฑ์ (2527) - ลูกหนี้ทีเด็ด (2527) - คนกลางเมือง (2530) - ผู้ชายป้ายเหลือง (2530) - บ้านทรายทอง พจมานสว่างวงศ์ (2530) ... พจนา - ตุ๊ ต๊ะ ต๋อม แต๋ม สุภาพบุรุษตัว ต. (2537)แสดงละคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3แสดงละคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3. - ประชาชนชาวแฟลต (2521) - ดงมนุษย์ (2523) - สงครามพิศวาส (2525) - เพลงพรหม (2527) - เบญจรงค์ห้าสี (2528) รับเชิญ - รัตนาวดี (2531) - นิยายรักนักศึกษา (2533) - สิ้นสวาท (2536) - ไฟสิ้นเชื้อ (2537) - เหมือนคนละฟากฟ้า (2538) - ไฟต่างสี (2538) รับเชิญ - เรือนมยุรา (2540) - นางโชว์ (2546) - ราชินีหมอลำ (2548) - นางฟ้าไซเบอร์ (2548) - กรุงเทพราตรี (2550) - ดาวจรัสฟ้า (2551) - พระจันทร์สีรุ้ง (2552) - แฝดนะยะ (2553) - กลรักลวงใจ (2554) - มาลีเริงระบำ (2557) - เด็ดปีกนางฟ้า (2561) รับเชิญ - บ่วงนฤมิต (2561)แสดงละคร ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์แสดงละคร ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์. - คนเดินดิน (2526) - มนุษย์ (2527) - รักริมทาง (2527) - ตัวประกอบอดทน (2531) - เหลี่ยมลูกไม้ (2536)
วรายุฑ มิลินทจินดา เกิดวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "16" ], "answer_begin_position": [ 142 ], "answer_end_position": [ 144 ] }
1,470
197,981
วรายุฑ มิลินทจินดา วรายุฑ มิลินทจินดา เกิดวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2498 เป็นนักแสดง ผู้จัดละครชาวไทยประวัติ ประวัติ. วรายุฑ เกิดที่กรุงเทพ เป็นบุตรของ นายวิวัฒน์ มิลินทจินดา และ นางดารา มิลินทจินดา จบการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนสุพมาศพิทยาคม ระดับประถมศึกษาปีที่ 5-7 โรงเรียนวัดตองปุ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โรงเรียนช่างศิลป์ กรุงเทพมหานคร หลังจากเรียนจบเข้าไปเป็นพนักงานประจำช่างศิลป์ โรงพิมพ์ยานนาวา ทำหน้าที่จัดทำ และออกแบบการ์ด นามบัตร แผ่นปลิว ต่าง ๆ จากนั้นอีก 2 ปี ทำหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายช่างศิลป์และติดสติกเกอร์ฉลากโรงงานน้ำปลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ทำงานบริษัทสีเคนีเท็กซ์ จำกัด ทำหน้าที่หลายอย่างทั้งเป็นเซลล์และจัดหน้าร้าน และยังรับผิดชอบออกแบบถุงยางอนามัยให้กับบริษัทคิงส์เท็กซ์ จำกัด เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีผู้บริหารเป็นคนเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ทำงานให้กับบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลคอสเมติกส์ จำกัด ทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลปกรรมด้านการออกแบบชุดชั้นในผู้หญิง จัดหน้าร้าน จัดตู้โชว์และทำแพ็กเกจเครื่องสำอางเพี๊ยซ จากนั้นในปี พ.ศ. 2524 ทำงานที่โรงแรมมณเฑียร ด้านกราฟิกดีไซน์ ออกแบบ ชื่อห้องอาหาร เมนู ป้ายเวทีในงาน จัดเลี้ยงต่าง ๆ หลังจากนั้นได้รับการติดต่อมาเป็นผู้ช่วยของ คุณภัทราวดี (ศรีไตรรัตน์) มีชูธน ซึ่งเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ และละครเวที โดยคุณณพ-วงเดือน (อินทรวุธ) ยนตรรักษ์ เป็นผู้ติดต่อ ตรงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ก้าวเข้าสู่ละครโทรทัศน์ และตัดสินใจลาออกจากงาน ในปี พ.ศ. 2525 โดยได้ทำงานด้านการแสดงการแต่งหน้า การออกแบบเสื้อผ้า การจัดฉาก ช่วยกำกับการแสดงตลอดจนด้านธุรกิจต่าง ๆ ในการจัดสร้างละคร จากนั้นได้ร่วมจัด ละครโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ อย่าง ละครโทรทัศน์เรื่องความรัก, ภาพยนตร์เรื่องรักริษยา, ละครโทรทัศน์ เรื่อง เซียวฮื่อยี้ เทพบุตรผู้ไร้ทวน โดยทำหน้าที่ แต่งหน้าตัวละคร จัดเสื้อผ้า จัดฉากและอุปกรณ์ประกอบฉาก จากความสำเร็จกับการเป็นผู้จัดละคร เรื่อง ทะเลเลือด จึงได้ก่อตั้งบริษัท ไอแอม โปรดักชั่น จำกัด (ปัจจุบันคือ บริษัท ฮู แอนด์ ฮู จำกัด) ผลิตละครโทรทัศน์อีกมากมายจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ วรายุฑยังก่อตั้งบริษัท รีมายน์ จำกัด ผลิตรายการโทรทัศน์ป้อนให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 รายการที่มีชื่อเสียง เช่น ดาวล้านดวง อลหม่านจานเด็ด เป็นต้นผลงานผู้จัดละครผลงาน. ผู้จัดละคร. - ปราสาทมืด - ตุ๊กตาเริงระบำ - คุณหญิงจอมแก่น - สายรักสายสวาท - เหมือนคนละฟากฟ้า - นิมิตแห่งรัก (ละครสั้นฉลองครบรอบ 25 ปี ช่อง 3) - ไฟต่างสี - รักเดียวของเจนจิรา - ทรายสีเพลิง (2539) - ปริศนา - เจ้าสาวของอานนท์ (2531) - ทะเลเลือด - รัตนาวดี - สี่แผ่นดิน - วนิดา (2534) - ในฝัน - ไฟลวง (2538) - ร่มฉัตร (2538) - เรือนมยุรา (2539) - ตามหัวใจไปสุดหล้า (2540) - รุ้งสามสาย (2540) - จากฝัน...สู่นิรันดร (2541) - กัลปังหา (2541) - บ้านทรายทอง (2543) - ดอกแก้วการะบุหนิง (2543) - นางร้าย (2544) - ราชินีหมอลำ (2548) - เหยื่อมาร (2549) - กรุงเทพราตรี (2550) - สู่ฝันนิรันดร (2551) - ดาวจรัสฟ้า (2551) - เชลยศักดิ์ (2553) - ดวงตาสวรรค์ (2554) - แค้นเสน่หา (2556) - พ่อไก่แจ้ (2557) - มาลีเริงระบำ (2557) - เจ้าบ้าน เจ้าเรือน (2559) - นารีริษยา (2559) - แรงตะวัน (2559) - ม่านดอกงิ้ว (2559) - เหยื่อพยาบาท (2560) - เด็ดปีกนางฟ้า (2561) - บ่วงนฤมิต (2561) - ดั่งดวงหฤทัย (2561) - สัตยาธิษฐาน (2561) - หนี้รักในกรงไฟ (2561)แสดงภาพยนตร์แสดงภาพยนตร์. - หญิงก็มีหัวใจ (2524) - มาดามยี่หุบ (2525) - น.ส. เย็นฤดี (2526) - เพื่อน-แพง (2526) - กองพันทหารเกณฑ์ (2527) - ลูกหนี้ทีเด็ด (2527) - คนกลางเมือง (2530) - ผู้ชายป้ายเหลือง (2530) - บ้านทรายทอง พจมานสว่างวงศ์ (2530) ... พจนา - ตุ๊ ต๊ะ ต๋อม แต๋ม สุภาพบุรุษตัว ต. (2537)แสดงละคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3แสดงละคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3. - ประชาชนชาวแฟลต (2521) - ดงมนุษย์ (2523) - สงครามพิศวาส (2525) - เพลงพรหม (2527) - เบญจรงค์ห้าสี (2528) รับเชิญ - รัตนาวดี (2531) - นิยายรักนักศึกษา (2533) - สิ้นสวาท (2536) - ไฟสิ้นเชื้อ (2537) - เหมือนคนละฟากฟ้า (2538) - ไฟต่างสี (2538) รับเชิญ - เรือนมยุรา (2540) - นางโชว์ (2546) - ราชินีหมอลำ (2548) - นางฟ้าไซเบอร์ (2548) - กรุงเทพราตรี (2550) - ดาวจรัสฟ้า (2551) - พระจันทร์สีรุ้ง (2552) - แฝดนะยะ (2553) - กลรักลวงใจ (2554) - มาลีเริงระบำ (2557) - เด็ดปีกนางฟ้า (2561) รับเชิญ - บ่วงนฤมิต (2561)แสดงละคร ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์แสดงละคร ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์. - คนเดินดิน (2526) - มนุษย์ (2527) - รักริมทาง (2527) - ตัวประกอบอดทน (2531) - เหลี่ยมลูกไม้ (2536)
พ่อของไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา คือใคร
{ "answer": [ "นายวิวัฒน์ มิลินทจินดา" ], "answer_begin_position": [ 241 ], "answer_end_position": [ 263 ] }
1,478
232,737
อลานิส มอริสเซตต์ อลานิส นาดีน มอริสเซตต์ () เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1974 เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง ชาวแคนาดา/อเมริกัน เป็นโปรดิวเซอร์เพลง และในบางครั้งยังเป็นนักแสดง เธอได้รับรางวัลจูโน่มา 12 ครั้งและได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ เธอมียอดขายอัลบั้มรวม 60 ล้านชุด ทั่วโลก มอริสเซตต์เริ่มอาชีพที่แคนาดา ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยมีผลงานอัลบั้มแนวแด๊นส์-ป็อป 2 ชุด ชื่อชุด Alanis และ Now Is the Time ภายใต้สังกัดเอ็มซีเอ จากนั้นออกผลงานในระดับนานาชาติในแนวร็อก ชุด Jagged Little Pill ที่ถือสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวของศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวทั่วโลกที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี กับยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก ข้อมูลจาก RIAA เธอถือเป็นศิลปินร็อกหญิงที่มียอดขายมากที่สุด และต่อมาเธอมีผลงานอัลบั้มอย่าง Supposed Former Infatuation Junkie ออกขายในปี 1998 และประสบความสำเร็จอย่างดี ในผลงานชุดต่อมาเธอยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ อย่างผลงานชุด Under Rug Swept, So-Called Chaos และ Flavors of Entanglement และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2005 มอริสเซตต์ ถือสัญชาติอเมริกัน ขณะที่ยังคงถือสัญชาติแคนาดาเช่นกันผลงานอัลบั้มผลงานอัลบั้ม. - Alanis (1991) - Now Is the Time (1992) - Jagged Little Pill (1995) - Supposed Former Infatuation Junkie (1998) - Under Rug Swept (2002) - So-Called Chaos (2004) - Flavors of Entanglement (2008)
อลานิส นาดีน มอริสเซตต์ เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "1" ], "answer_begin_position": [ 153 ], "answer_end_position": [ 154 ] }
1,479
232,737
อลานิส มอริสเซตต์ อลานิส นาดีน มอริสเซตต์ () เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1974 เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง ชาวแคนาดา/อเมริกัน เป็นโปรดิวเซอร์เพลง และในบางครั้งยังเป็นนักแสดง เธอได้รับรางวัลจูโน่มา 12 ครั้งและได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ เธอมียอดขายอัลบั้มรวม 60 ล้านชุด ทั่วโลก มอริสเซตต์เริ่มอาชีพที่แคนาดา ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยมีผลงานอัลบั้มแนวแด๊นส์-ป็อป 2 ชุด ชื่อชุด Alanis และ Now Is the Time ภายใต้สังกัดเอ็มซีเอ จากนั้นออกผลงานในระดับนานาชาติในแนวร็อก ชุด Jagged Little Pill ที่ถือสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวของศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวทั่วโลกที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี กับยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก ข้อมูลจาก RIAA เธอถือเป็นศิลปินร็อกหญิงที่มียอดขายมากที่สุด และต่อมาเธอมีผลงานอัลบั้มอย่าง Supposed Former Infatuation Junkie ออกขายในปี 1998 และประสบความสำเร็จอย่างดี ในผลงานชุดต่อมาเธอยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ อย่างผลงานชุด Under Rug Swept, So-Called Chaos และ Flavors of Entanglement และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2005 มอริสเซตต์ ถือสัญชาติอเมริกัน ขณะที่ยังคงถือสัญชาติแคนาดาเช่นกันผลงานอัลบั้มผลงานอัลบั้ม. - Alanis (1991) - Now Is the Time (1992) - Jagged Little Pill (1995) - Supposed Former Infatuation Junkie (1998) - Under Rug Swept (2002) - So-Called Chaos (2004) - Flavors of Entanglement (2008)
อัลบั้ม Supposed Former Infatuation Junkie ที่ร้องโดยอลานิส นาดีน มอริสเซตต์ ออกขายในปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "1998" ], "answer_begin_position": [ 884 ], "answer_end_position": [ 888 ] }
1,482
258,975
จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส (; ) (25 มีนาคม ค.ศ. 1297 – 15 มิถุนายน ค.ศ. 1341) อันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอสทรงเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ของราชวงศ์พาลาโอโลกอส ผู้ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1328 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1341 โดยมีพระราชโอรสจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสเป็นผู้ครองราชย์ต่อมา อันโดรนิคอสเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1297 เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิมิคาเอลที่ 9 และ เจ้าหญิงริตาแห่งอาร์มีเนียผู้เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าเลวอนที่ 2 แห่งอาร์มีเนีย และ พระราชินีเครันแห่งอาร์มีเนีย
จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "15" ], "answer_begin_position": [ 387 ], "answer_end_position": [ 389 ] }
1,483
258,975
จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส (; ) (25 มีนาคม ค.ศ. 1297 – 15 มิถุนายน ค.ศ. 1341) อันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอสทรงเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ของราชวงศ์พาลาโอโลกอส ผู้ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1328 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1341 โดยมีพระราชโอรสจักรพรรดิจอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอสเป็นผู้ครองราชย์ต่อมา อันโดรนิคอสเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1297 เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิมิคาเอลที่ 9 และ เจ้าหญิงริตาแห่งอาร์มีเนียผู้เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าเลวอนที่ 2 แห่งอาร์มีเนีย และ พระราชินีเครันแห่งอาร์มีเนีย
จักรพรรดิอันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส เสด็จพระราชสมภพในเดือนอะไร
{ "answer": [ "มีนาคม" ], "answer_begin_position": [ 518 ], "answer_end_position": [ 524 ] }
1,490
288,740
รินลณี ศรีเพ็ญ รินลณี ศรีเพ็ญ เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เป็นนักแสดง พิธีกรรายการ สตาร์สเตจ และ เปรี้ยวปาก และนางแบบชาวไทยประวัติ ประวัติ. รินลณี เข้าสู่วงการบันเทิง ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 เมื่อ ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา ผู้จัดละคร กำลังมองหานางเอกสาวหน้าใหม่มารับบท "พจมาน" ในละครบ้านทรายทอง ระหว่างที่รอการเตรียมงานละครเรื่อง บ้านทรายทอง จอย รินลณี รับงานถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแบบ มิวสิกวิดีโอ (เพลงยอม ของ เจมส์ เรืองศักดิ์) และเรียนการแสดงกับภัทราวดี มีชูธน และยิ่งยศ ปัญญา ก่อนจะรับบทนางเอกในละครกัลปังหา ตามด้วยบ้านทรายทองคู่กับหนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ หลังจากนั้นก็มีละครอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วงปัจจุบันนี้ละครส่วนใหญ่ที่จอยมีบทบาท จะรับบทเป็นนางร้าย และบทบาทที่มีคนดูทั่วประเทศพูดถึงมากที่สุด คือ เยนหลิง (คุณนายที่ 2) จากเรื่อง มงกุฎดอกส้ม และ ดอกส้มสีทอง ซึ่งละครทั้งสองเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นความร้ายกาจของคุณนายที่ 2 ผลงานล่าสุดที่จบไปคือละครเรื่อง ดวงใจพิสุทธิ์ รับบทเป็นชลีกร ซึ่งเป็นบทบาททางการแสดงที่มีผู้ชมกล่าวถึงเป็นอย่างมาก และเป็นตัวละครที่ทำให้จอยได้รับรางวัล นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากงาน คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 14 ด้านการศึกษา ศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนหอวัง ระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(เกียรตินิยมอันดับ2) คณะบริหารธุรกิจ (การเงิน) และระดับปริญญาโทที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สกุลศรีเพ็ญ ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยมีพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) เป็นต้นสกุลผลงานละครโทรทัศน์ ผลงาน. ละครโทรทัศน์. ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3พิธีกรพิธีกร. - พิธีกรรายการเปรี้ยวปาก ช่อง 3 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 08.15 น. - พิธีกรรายการสิงห์เหนือเสือใต้ ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 น. (2547) - พิธีกรรายการรักจั๊กจี้ ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ เวลา 17.00 น.(2548) - พิธีกรร่วมรายการ The voice season 2-5 ช่อง 3 - พิธีกรร่วมรายการ The voice kids ช่อง 3 - พิธีกรเรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ ช่อง 3 ช่วง ครอบครัวบันเทิง ทุกวันเสาร์ - วันอาทิตย์ - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงบอลคู่จิ้น) (ร่วมกับ ธีรเดช เมธาวรายุทธ ) - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงคอนเสิร์ตหล่อทะลุโลก) (ร่วมกับ สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล ) - พิธีกรรายการ Channel3Runway2016 (ร่วมกับ สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล ) - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงคอนเสิร์ตรักล้นจอ) (ร่วมกับ เปรมณัช สุวรรณานนท์ )มิวสิกวิดีโอรางวัล
ต้นสกุล ศรีเพ็ญ คือใคร
{ "answer": [ "พระยาศรีสหเทพ" ], "answer_begin_position": [ 1429 ], "answer_end_position": [ 1442 ] }
1,491
288,740
รินลณี ศรีเพ็ญ รินลณี ศรีเพ็ญ เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เป็นนักแสดง พิธีกรรายการ สตาร์สเตจ และ เปรี้ยวปาก และนางแบบชาวไทยประวัติ ประวัติ. รินลณี เข้าสู่วงการบันเทิง ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 เมื่อ ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา ผู้จัดละคร กำลังมองหานางเอกสาวหน้าใหม่มารับบท "พจมาน" ในละครบ้านทรายทอง ระหว่างที่รอการเตรียมงานละครเรื่อง บ้านทรายทอง จอย รินลณี รับงานถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแบบ มิวสิกวิดีโอ (เพลงยอม ของ เจมส์ เรืองศักดิ์) และเรียนการแสดงกับภัทราวดี มีชูธน และยิ่งยศ ปัญญา ก่อนจะรับบทนางเอกในละครกัลปังหา ตามด้วยบ้านทรายทองคู่กับหนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ หลังจากนั้นก็มีละครอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วงปัจจุบันนี้ละครส่วนใหญ่ที่จอยมีบทบาท จะรับบทเป็นนางร้าย และบทบาทที่มีคนดูทั่วประเทศพูดถึงมากที่สุด คือ เยนหลิง (คุณนายที่ 2) จากเรื่อง มงกุฎดอกส้ม และ ดอกส้มสีทอง ซึ่งละครทั้งสองเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นความร้ายกาจของคุณนายที่ 2 ผลงานล่าสุดที่จบไปคือละครเรื่อง ดวงใจพิสุทธิ์ รับบทเป็นชลีกร ซึ่งเป็นบทบาททางการแสดงที่มีผู้ชมกล่าวถึงเป็นอย่างมาก และเป็นตัวละครที่ทำให้จอยได้รับรางวัล นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากงาน คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 14 ด้านการศึกษา ศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนหอวัง ระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(เกียรตินิยมอันดับ2) คณะบริหารธุรกิจ (การเงิน) และระดับปริญญาโทที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สกุลศรีเพ็ญ ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยมีพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) เป็นต้นสกุลผลงานละครโทรทัศน์ ผลงาน. ละครโทรทัศน์. ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3พิธีกรพิธีกร. - พิธีกรรายการเปรี้ยวปาก ช่อง 3 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 08.15 น. - พิธีกรรายการสิงห์เหนือเสือใต้ ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 น. (2547) - พิธีกรรายการรักจั๊กจี้ ช่อง 5 ทุกวันเสาร์ เวลา 17.00 น.(2548) - พิธีกรร่วมรายการ The voice season 2-5 ช่อง 3 - พิธีกรร่วมรายการ The voice kids ช่อง 3 - พิธีกรเรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ ช่อง 3 ช่วง ครอบครัวบันเทิง ทุกวันเสาร์ - วันอาทิตย์ - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงบอลคู่จิ้น) (ร่วมกับ ธีรเดช เมธาวรายุทธ ) - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงคอนเสิร์ตหล่อทะลุโลก) (ร่วมกับ สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล ) - พิธีกรรายการ Channel3Runway2016 (ร่วมกับ สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล ) - พิธีกรรายการ งานมหกรรมฟุตบอลไทยทีวีสีช่อง 3 (ช่วงคอนเสิร์ตรักล้นจอ) (ร่วมกับ เปรมณัช สุวรรณานนท์ )มิวสิกวิดีโอรางวัล
จอย รินลณี ศรีเพ็ญ นักแสดง เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "24" ], "answer_begin_position": [ 135 ], "answer_end_position": [ 137 ] }
1,492
294,014
วัดกัทลีพนาราม วัดกัทลีพนาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่เลขที่ 65 หมู่ 4 ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีประวัติ ประวัติ. วัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) อยู่ห่างจากตลาดอำเภอบ้านหมี่ ประมาณ 2 กิโลเมตร เดิมชื่อว่า วัดบ้านกล้วย ต่อมาเปลี่ยนเชื่อเป็น '"วัดกัทลีพนาราม"' สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2360 มีเนื้อที่ 23 ไร่ 1 งาน 16 ตารางวา เป็นวัดสำคัญของชุมชนชาวไทยพวน สิ่งที่น่าสนใจ ของวัดนี้คือ พระอุโบสถขนาดใหญ่แบบจตุรมุขที่สวยงาม มีวิหารเก่าแก่หลังเล็กและเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองรูปทรง งดงามมาก ศาลาการเปรียญมีลวดลายฉลุไม้ตกแต่งสวยงาม ภายในมีธรรมาสน์เก่าประดับเครื่องพุทธบูชาแบบของ ชาวไทยพวนคือ "ธงแว่น" วันที่ 25 กรกฎาคม 2512 เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยก ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบรีประเพณีที่สำคัญ ประเพณีที่สำคัญ. นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาวไทยพวนบ้านหมี่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน วัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี จึงได้จัดประเพณีกำฟ้าขึ้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์ส่งเสริมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงเป็นการฟื้นฟูและเผยแพร่ประเพณีของชาวไทยพวน และเพื่อเป็นการแสดงความรักความสามัคคีของชาวบ้านในพื้นที่ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ใส่บาตรข้าวจี่ ข้าวหลาม อาหารคาวหวาน , พิธีบายศรีสู่ขวัญข้าวการแสดงชุดแห่ข้าวพันก้อนประเพณีเส่อกระจาด เซิ้งโป๊ นางด้ง เซิ้งฟัดข้าว , การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน , มีการออกร้านผ้าทอพื้นเมืองอีกด้วย
วัดกัทลีพนาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่เลขที่ 65 หมู่ 4 ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดอะไร
{ "answer": [ "ลพบุรี" ], "answer_begin_position": [ 189 ], "answer_end_position": [ 195 ] }
1,493
294,014
วัดกัทลีพนาราม วัดกัทลีพนาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่เลขที่ 65 หมู่ 4 ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีประวัติ ประวัติ. วัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) อยู่ห่างจากตลาดอำเภอบ้านหมี่ ประมาณ 2 กิโลเมตร เดิมชื่อว่า วัดบ้านกล้วย ต่อมาเปลี่ยนเชื่อเป็น '"วัดกัทลีพนาราม"' สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2360 มีเนื้อที่ 23 ไร่ 1 งาน 16 ตารางวา เป็นวัดสำคัญของชุมชนชาวไทยพวน สิ่งที่น่าสนใจ ของวัดนี้คือ พระอุโบสถขนาดใหญ่แบบจตุรมุขที่สวยงาม มีวิหารเก่าแก่หลังเล็กและเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองรูปทรง งดงามมาก ศาลาการเปรียญมีลวดลายฉลุไม้ตกแต่งสวยงาม ภายในมีธรรมาสน์เก่าประดับเครื่องพุทธบูชาแบบของ ชาวไทยพวนคือ "ธงแว่น" วันที่ 25 กรกฎาคม 2512 เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยก ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบรีประเพณีที่สำคัญ ประเพณีที่สำคัญ. นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาวไทยพวนบ้านหมี่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน วัดกัทลีพนาราม (วัดบ้านกล้วย) ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี จึงได้จัดประเพณีกำฟ้าขึ้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์ส่งเสริมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงเป็นการฟื้นฟูและเผยแพร่ประเพณีของชาวไทยพวน และเพื่อเป็นการแสดงความรักความสามัคคีของชาวบ้านในพื้นที่ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ใส่บาตรข้าวจี่ ข้าวหลาม อาหารคาวหวาน , พิธีบายศรีสู่ขวัญข้าวการแสดงชุดแห่ข้าวพันก้อนประเพณีเส่อกระจาด เซิ้งโป๊ นางด้ง เซิ้งฟัดข้าว , การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน , มีการออกร้านผ้าทอพื้นเมืองอีกด้วย
วัดกัทลีพนาราม หรือ วัดบ้านกล้วย ตั้งอยู่ตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สร้างขึ้นปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2360" ], "answer_begin_position": [ 372 ], "answer_end_position": [ 376 ] }
1,495
297,325
วัดพุน้อย วัดพุน้อย เป็นวัดใน ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีประวัติ ประวัติ. วัดพุน้อย 3 หมุ่ที่ 1 ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรี แต่เดิม พุน้อยเป็นชื่อของ น้ำที่ผุดขึ้นมาคล้ายน้ำพุตลอดทั้งปี ไม่มีวันแห้ง จึงเป็นชื่อเรียกขานหมู่บ้านแห่งนี้ วันที่25 เมษายน พศ 2515 หมอเคลือบ และนาง บุญมา เหมือนเอี่ยม ได้มอบถวายที่ดิน จำนวน 6 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา เพื่อสร้างวัดพุน้อย หลวงพ่อชื้น บุญยกาโม นำชาวบ้านพุน้อยร่วมก่อสร้าง ได้ 4 พรรษาท่านจึงมรณภาพ ต่อมาปี พศ.2519 หลวงปู่แบน จนฺทสโร มาอยู่จำพรรษา และได้ซื้อที่ดินเพิ่มอีก15 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา จนกระทั่งท่านได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2543 หลวงปู่แบน จนังทสโร ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น ได้ร่วมกับชาวบ้านพุน้อยพัฒนาวัดจนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้วัดที่ไม่มีคนรู้จัก กลายเป็นวัดที่มีคนเชื่อถือเลือมใสศรัทธาเดินทางมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสาย เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี การเดินทางไปยังวัดพุน้อย มีถนนลาดยางถึงวัด สะดวกสบายตลอดการเดินทาง วัดพุน้อยก็มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุถายในวัดแทบจะครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ และอื่นๆอีกจำนวนมาก จากวัดเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญ กลายเป็นวัดที่มีประชาชนรู้จักกันเกือบทั้งประเทศ มีการนำกฐินและผ้าป่าสามัคคี มาทอดกันอย่างล้นหลาม ตลอดจนการปฏิบัติธรรมปัจจุบัน พระครูสมุห์สุทิน สุทินนังโน เจ้าอาวาสวัดพุน้อย ท่านยังคงสืบสานวิชาอาคม ที่รับจากหลวงปู่แบน จนฺงทสโร ในเรื่องเมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการค้าขาย ที่หลวงปู่แบนได้สร้างเรือพุทธคุณขึ้นมา ซึ่งใครได้ไปบูชาจะประสบผลสำเร็จกันแทบทุกคน จึงมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาที่วัดพุน้อยกันอย่างเนืองแน่นในแต่ละวัน วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552 เวลา 15.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จไปทรงเป็นประธานทอดจุลกฐินสามัคคีโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวฯ ที่วัดพุน้อย ในการดำเนินการประกอบพิธีทำผ้าจุลกฐินซึ่งเป็นการทำผ้าไตรจีวรให้แล้ว เสร็จทันประกอบพิธีทอดกฐินสามัคคี โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ฯภายในวันเดียวนี้ วัดพุน้อยได้รับแรงศรัทธา ตลอดจนความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากประชาชนในอำเภอ บ้านหมี่และอำเภอต่างๆของจังหวัดลพบุรี รวมถึงพุทธศาสนิกชนจากจังหวัดใกล้เคียงและ ผู้ที่อยู่ห่างไกล หลั่งไหลมาร่วมในพิธีการทำผ้าจุลกฐินโดยเสด็จพระราชกุศลกันอย่าง เนืองแน่น ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดประเพณีจุลกฐินที่วัดพุน้อยต่อเนื่องเป็นปีที่ ๓ โดยชาวบ้าน และผู้มาร่วมงานต่างเริ่มช่วยกันเก็บฝ้ายตั้งแต่กลางวันวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคมและเริ่มดำเนินการหลังเวลา ๒๔.๐๐น.ตามขั้นตอนอิ้วฝ้าย ตีฝ้าย เข้าใจฝ้าย กรอหลอดฝ้าย เดิน เส้นด้าย ใส่กี่ เก็บตะกอ ทอเป็นผืน ตัดขันฝ้าย เย็บย้อมและซักรีดเป็นผ้าไตรจีวร จำนวน ๑ ชุด แล้วเสร็จภายในช่วงเวลาบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคมสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับวัด สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับวัด. วัดพุน้อยนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคาราพนับถือของชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศก็คือการยกเรือ การสร้างเรือ เพื่อถวายแด่แม่ตะเคียนทองสำหรับคนที่ชอบการเสี่ยงทายมักจะได้เดินทางมาที่วัดพุน้อยได้ขอโชคลาภด้วยการบนบานขอให้ถูกหวย พร้อมกันนี้ก็จะนำผ้าไหมซึ่งตัดเป็นชุดไทยกับตัวหุ่น นำมาถวายแม่ตะเคียนทองเพื่อเป็นการแก้บน ทำให้ปัจจุบันวัดพุน้อยชุดผ้าไหมไทย มากมายหลายหลากสีและมีความสวยงามมีจำนวนนับเป็น หมื่นชุด จนทางวัดต้องสร้างห้อง ไว้เก็บโดยเฉพาะ สำหรับชุดผ้าไหมไทย
หมอเคลือบและนางบุญมา เหมือนเอี่ยม ได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดพุน้อยเป็นจำนวนเท่าไร
{ "answer": [ "6 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา" ], "answer_begin_position": [ 424 ], "answer_end_position": [ 446 ] }
1,496
297,325
วัดพุน้อย วัดพุน้อย เป็นวัดใน ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีประวัติ ประวัติ. วัดพุน้อย 3 หมุ่ที่ 1 ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรี แต่เดิม พุน้อยเป็นชื่อของ น้ำที่ผุดขึ้นมาคล้ายน้ำพุตลอดทั้งปี ไม่มีวันแห้ง จึงเป็นชื่อเรียกขานหมู่บ้านแห่งนี้ วันที่25 เมษายน พศ 2515 หมอเคลือบ และนาง บุญมา เหมือนเอี่ยม ได้มอบถวายที่ดิน จำนวน 6 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา เพื่อสร้างวัดพุน้อย หลวงพ่อชื้น บุญยกาโม นำชาวบ้านพุน้อยร่วมก่อสร้าง ได้ 4 พรรษาท่านจึงมรณภาพ ต่อมาปี พศ.2519 หลวงปู่แบน จนฺทสโร มาอยู่จำพรรษา และได้ซื้อที่ดินเพิ่มอีก15 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา จนกระทั่งท่านได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2543 หลวงปู่แบน จนังทสโร ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น ได้ร่วมกับชาวบ้านพุน้อยพัฒนาวัดจนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้วัดที่ไม่มีคนรู้จัก กลายเป็นวัดที่มีคนเชื่อถือเลือมใสศรัทธาเดินทางมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสาย เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี การเดินทางไปยังวัดพุน้อย มีถนนลาดยางถึงวัด สะดวกสบายตลอดการเดินทาง วัดพุน้อยก็มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุถายในวัดแทบจะครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ และอื่นๆอีกจำนวนมาก จากวัดเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญ กลายเป็นวัดที่มีประชาชนรู้จักกันเกือบทั้งประเทศ มีการนำกฐินและผ้าป่าสามัคคี มาทอดกันอย่างล้นหลาม ตลอดจนการปฏิบัติธรรมปัจจุบัน พระครูสมุห์สุทิน สุทินนังโน เจ้าอาวาสวัดพุน้อย ท่านยังคงสืบสานวิชาอาคม ที่รับจากหลวงปู่แบน จนฺงทสโร ในเรื่องเมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการค้าขาย ที่หลวงปู่แบนได้สร้างเรือพุทธคุณขึ้นมา ซึ่งใครได้ไปบูชาจะประสบผลสำเร็จกันแทบทุกคน จึงมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาที่วัดพุน้อยกันอย่างเนืองแน่นในแต่ละวัน วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552 เวลา 15.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จไปทรงเป็นประธานทอดจุลกฐินสามัคคีโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวฯ ที่วัดพุน้อย ในการดำเนินการประกอบพิธีทำผ้าจุลกฐินซึ่งเป็นการทำผ้าไตรจีวรให้แล้ว เสร็จทันประกอบพิธีทอดกฐินสามัคคี โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ฯภายในวันเดียวนี้ วัดพุน้อยได้รับแรงศรัทธา ตลอดจนความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากประชาชนในอำเภอ บ้านหมี่และอำเภอต่างๆของจังหวัดลพบุรี รวมถึงพุทธศาสนิกชนจากจังหวัดใกล้เคียงและ ผู้ที่อยู่ห่างไกล หลั่งไหลมาร่วมในพิธีการทำผ้าจุลกฐินโดยเสด็จพระราชกุศลกันอย่าง เนืองแน่น ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดประเพณีจุลกฐินที่วัดพุน้อยต่อเนื่องเป็นปีที่ ๓ โดยชาวบ้าน และผู้มาร่วมงานต่างเริ่มช่วยกันเก็บฝ้ายตั้งแต่กลางวันวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคมและเริ่มดำเนินการหลังเวลา ๒๔.๐๐น.ตามขั้นตอนอิ้วฝ้าย ตีฝ้าย เข้าใจฝ้าย กรอหลอดฝ้าย เดิน เส้นด้าย ใส่กี่ เก็บตะกอ ทอเป็นผืน ตัดขันฝ้าย เย็บย้อมและซักรีดเป็นผ้าไตรจีวร จำนวน ๑ ชุด แล้วเสร็จภายในช่วงเวลาบ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคมสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับวัด สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับวัด. วัดพุน้อยนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคาราพนับถือของชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศก็คือการยกเรือ การสร้างเรือ เพื่อถวายแด่แม่ตะเคียนทองสำหรับคนที่ชอบการเสี่ยงทายมักจะได้เดินทางมาที่วัดพุน้อยได้ขอโชคลาภด้วยการบนบานขอให้ถูกหวย พร้อมกันนี้ก็จะนำผ้าไหมซึ่งตัดเป็นชุดไทยกับตัวหุ่น นำมาถวายแม่ตะเคียนทองเพื่อเป็นการแก้บน ทำให้ปัจจุบันวัดพุน้อยชุดผ้าไหมไทย มากมายหลายหลากสีและมีความสวยงามมีจำนวนนับเป็น หมื่นชุด จนทางวัดต้องสร้างห้อง ไว้เก็บโดยเฉพาะ สำหรับชุดผ้าไหมไทย
วัดพุน้อย ที่ตั้งอยู่ หมู่ 1 ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดอะไร
{ "answer": [ "ลพบุรี" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 153 ] }
1,499
311,650
คิส มี ไฟฟ์ คิส มี ไฟว์ () เป็นเกิร์ลกรุปสังกัดค่ายกามิกาเซ่ ในเครืออาร์เอส มีสมาชิกในวงจำนวน 5 คน ต่อมา คิทตี้ หรือ ชิชา อมาตยกุล (ชื่อเดิม: กัลยวีร์ ภูมิสิริดล) ได้ถอนตัวออกเพราะติดเรียนต้องศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับทีมงานและโปรดิวเซอร์แล้ว นอกจากนี้สมาชิกที่เหลือก็ได้กล่าวไว้ว่า ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากร่วมงานกับคิทตี้อีก ทำให้คิสมีไฟฟ์เหลือสมาชิกเพียงแค่4คน คือ มายด์,แบม,โบว์,เกล ปัจจุบัน kiss me five ได้ประกาศยุบวงไปแล้วรายชื่อสมาชิกระยะเวลาสมาชิกผลงานเพลงอัลบั้มปกติอัลบั้มโปรเจกต์พิเศษ sevendays2 ( เฉพาะโบว์ แบม )ผลงานร่วมผลงานการแสดงละครพิธีกรมิวสิกวิดีโอคอนเสิร์ต
คิส มี ไฟว์ เป็นเกิร์ลกรุปสังกัดค่ายกามิกาเซ่ในเครือบริษัทอาร์เอส มีสมาชิกในวงจำนวนกี่คน
{ "answer": [ "5 คน" ], "answer_begin_position": [ 180 ], "answer_end_position": [ 184 ] }
1,963
311,650
คิส มี ไฟฟ์ คิส มี ไฟว์ () เป็นเกิร์ลกรุปสังกัดค่ายกามิกาเซ่ ในเครืออาร์เอส มีสมาชิกในวงจำนวน 5 คน ต่อมา คิทตี้ หรือ ชิชา อมาตยกุล (ชื่อเดิม: กัลยวีร์ ภูมิสิริดล) ได้ถอนตัวออกเพราะติดเรียนต้องศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกับทีมงานและโปรดิวเซอร์แล้ว นอกจากนี้สมาชิกที่เหลือก็ได้กล่าวไว้ว่า ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากร่วมงานกับคิทตี้อีก ทำให้คิสมีไฟฟ์เหลือสมาชิกเพียงแค่4คน คือ มายด์,แบม,โบว์,เกล ปัจจุบัน kiss me five ได้ประกาศยุบวงไปแล้วรายชื่อสมาชิกระยะเวลาสมาชิกผลงานเพลงอัลบั้มปกติอัลบั้มโปรเจกต์พิเศษ sevendays2 ( เฉพาะโบว์ แบม )ผลงานร่วมผลงานการแสดงละครพิธีกรมิวสิกวิดีโอคอนเสิร์ต
คิทตี้ หรือ ชิชา อมาตยกุล สมาชิกในวงคิส มี ไฟว์ เกิร์ลกรุปสังกัดค่ายกามิกาเซ่ มีชื่อเดิมว่าอะไร
{ "answer": [ "กัลยวีร์ ภูมิสิริดล" ], "answer_begin_position": [ 228 ], "answer_end_position": [ 247 ] }
1,503
326,413
สุคนธวา เกิดนิมิตร สุคนธวา เกิดนิมิตร เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 เป็น นักแสดง นางแบบ และพิธีกร ชาวไทย เข้าสู่วงการบันเทิง จากการประกวด ดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2002 พ.ศ. 2545 ได้ตำแหน่งเป็นดัชชี่เกิร์ล ร่วมกับ บิ๊ก - ภุชิสสะ ธนพัฒน์ ในฐานะดัชชี่บอย เป็นนักแสดงชาวไทย มีผลงานละครเรื่องแรกทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เรื่อง นารีลุยไฟ แสดงร่วมกับพระเอกและนางเอก บี๋ - สวิช เพชรวิเศษศิริ และ ทราย เจริญปุระ ด้านการศึกษา เริ่มเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาจากโรงเรียนการัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนสตรีนนทบุรี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สุคนธวา เคยคบหาดูใจกับหนุ่มนักแข่งรถนอกวงการ ตรัยธนิษฐ์ ฉิมตะวัน หรือ ตรัย เป็นระยะเวลาทั้งหมด 6 ปี ปัจจุบัน เลิกรากันแล้ว เนื่องจาก ทัศนคติไม่ตรงกัน , ปัจจุบัน สุคนธวา กำลังคบหาดูใจกับ ดีเจต้น สรพงษ์ จิตต์สุนทรผลงานละครช่อง 3 เอชดีละครช่อง 3 เอสดีละครช่อง 5ละครช่อง 7ละครช่อง 8ละครช่องเวิร์คพอยท์ละครไทยรัฐทีวีละครจีเอ็มเอ็ม 25ละครทรูโฟร์ยูละครพีพีทีวีละครช่องวันมิวสิกวีดีโอละครซีรีส์ผลงานพิธีกรผลงาน. ผลงานพิธีกร. - รายการ คริส ดิลิเวอรี่ ช่วง ซิทคอม รับบท เบลล์ (เมษายน-มิถุนายน 2552) - รายการ สดใหม่ไทยแลนด์ - รายการ ซุปตาร์ตลาดแตก ช่อง 8 ร่วมกับ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ (พ.ศ. 2560)ผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์จากบริษัทพระนครฟิล์มผลงานภาพยนตร์. ผลงานภาพยนตร์จากบริษัทพระนครฟิล์ม. - เปิงมาง กลองผีหนังมนุษย์ (2550) ...ฉายผลงานภาพยนตร์จากบริษัทฟิล์ม กูรูผลงานภาพยนตร์จากบริษัทฟิล์ม กูรู. - หอแต๋วแตก (2550) ...ข้าวตูผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - ก๊อกน้ำ ซันวาผลงานถ่ายแบบผลงานถ่ายแบบ. - ผู้หญิง vol. 1 no. 520 March 2008 - MAXIM vol. 3 no. 30 June 2007 - FHM vol. 1 no. 36 April 2006ผลงานพากย์เสียงผลงานพากย์เสียง. - Kung fu panda (2551) ...ให้เสียง ไวเปอร์ อสรพิษไฟ (ไทย)รางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลชนะเลิศ การประกวดดัชชี่Girl ปี พ.ศ. 2545 - รางวัลดาราดาวรุ่งสมาคมนักข่าวบันเทิงฯ ปี พ.ศ. 2547รางวัลที่ได้เข้าชิงรางวัลที่ได้เข้าชิง. - ท็อปอวอร์ด 2003 ดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง กุหลาบเล่นไฟ ช่อง7ซิทคอมซิทคอม. - เป็นต่อ (รับเชิญ) - ผู้กองเจ้าเสน่ห์ (รับเชิญ) - หมู่ 7 เด็ดสะระตี่ รับบท ส้มจิ๊ด
ใหม่ สุคนธวา เกิดนิมิตร เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "23" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 149 ] }
1,504
326,413
สุคนธวา เกิดนิมิตร สุคนธวา เกิดนิมิตร เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 เป็น นักแสดง นางแบบ และพิธีกร ชาวไทย เข้าสู่วงการบันเทิง จากการประกวด ดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2002 พ.ศ. 2545 ได้ตำแหน่งเป็นดัชชี่เกิร์ล ร่วมกับ บิ๊ก - ภุชิสสะ ธนพัฒน์ ในฐานะดัชชี่บอย เป็นนักแสดงชาวไทย มีผลงานละครเรื่องแรกทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เรื่อง นารีลุยไฟ แสดงร่วมกับพระเอกและนางเอก บี๋ - สวิช เพชรวิเศษศิริ และ ทราย เจริญปุระ ด้านการศึกษา เริ่มเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาจากโรงเรียนการัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนสตรีนนทบุรี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สุคนธวา เคยคบหาดูใจกับหนุ่มนักแข่งรถนอกวงการ ตรัยธนิษฐ์ ฉิมตะวัน หรือ ตรัย เป็นระยะเวลาทั้งหมด 6 ปี ปัจจุบัน เลิกรากันแล้ว เนื่องจาก ทัศนคติไม่ตรงกัน , ปัจจุบัน สุคนธวา กำลังคบหาดูใจกับ ดีเจต้น สรพงษ์ จิตต์สุนทรผลงานละครช่อง 3 เอชดีละครช่อง 3 เอสดีละครช่อง 5ละครช่อง 7ละครช่อง 8ละครช่องเวิร์คพอยท์ละครไทยรัฐทีวีละครจีเอ็มเอ็ม 25ละครทรูโฟร์ยูละครพีพีทีวีละครช่องวันมิวสิกวีดีโอละครซีรีส์ผลงานพิธีกรผลงาน. ผลงานพิธีกร. - รายการ คริส ดิลิเวอรี่ ช่วง ซิทคอม รับบท เบลล์ (เมษายน-มิถุนายน 2552) - รายการ สดใหม่ไทยแลนด์ - รายการ ซุปตาร์ตลาดแตก ช่อง 8 ร่วมกับ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ (พ.ศ. 2560)ผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์จากบริษัทพระนครฟิล์มผลงานภาพยนตร์. ผลงานภาพยนตร์จากบริษัทพระนครฟิล์ม. - เปิงมาง กลองผีหนังมนุษย์ (2550) ...ฉายผลงานภาพยนตร์จากบริษัทฟิล์ม กูรูผลงานภาพยนตร์จากบริษัทฟิล์ม กูรู. - หอแต๋วแตก (2550) ...ข้าวตูผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - ก๊อกน้ำ ซันวาผลงานถ่ายแบบผลงานถ่ายแบบ. - ผู้หญิง vol. 1 no. 520 March 2008 - MAXIM vol. 3 no. 30 June 2007 - FHM vol. 1 no. 36 April 2006ผลงานพากย์เสียงผลงานพากย์เสียง. - Kung fu panda (2551) ...ให้เสียง ไวเปอร์ อสรพิษไฟ (ไทย)รางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลชนะเลิศ การประกวดดัชชี่Girl ปี พ.ศ. 2545 - รางวัลดาราดาวรุ่งสมาคมนักข่าวบันเทิงฯ ปี พ.ศ. 2547รางวัลที่ได้เข้าชิงรางวัลที่ได้เข้าชิง. - ท็อปอวอร์ด 2003 ดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง กุหลาบเล่นไฟ ช่อง7ซิทคอมซิทคอม. - เป็นต่อ (รับเชิญ) - ผู้กองเจ้าเสน่ห์ (รับเชิญ) - หมู่ 7 เด็ดสะระตี่ รับบท ส้มจิ๊ด
สุคนธวา เกิดนิมิตร เข้าประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2002 ในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2545" ], "answer_begin_position": [ 274 ], "answer_end_position": [ 278 ] }
1,507
335,989
สโรชา วาทิตตพันธ์ สโรชา วาทิตตพันธ์ ชื่อเล่น เต๋า เกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เป็นนักแสดงและพิธีกรหญิงชาวไทย เป็นคนกรุงเทพตั้งแต่กำเนิด เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัววาทิตตพันธ์ โดยเต๋ามีพี่ชาย 2 คนประวัติ ประวัติ. สโรชา วาทิตตพันธ์ เข้าศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนบพิตรวิทยา จากนั้นจึงมาต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนดาราคาม ขณะที่เข้าสู่วงการบันเทิงในช่วงแรกของการเป็นนักแสดงเธอศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง และเข้าวงการครั้งแรกด้วยการเป็นนางเอกมิวสิควิดีโอเพลง "รักคืออะไร" ของโป้ง วราวุธ บูรพาชยานนท์ ในสังกัดกลิทซ์ ของแกรมมี่ เมือช่วงเดือน พ.ย.2537 (อายุใกล้ 16 ปี) โดยการชักนำ ของ พจน์ อานนท์ ในรุ่นเดียวกับ โด่ง สิทธิพร นิยม ชาช่า อัลเทอร์เมทฌัชฌา รุจินานนท์ เคยได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำสาขานักแสดงสนับสนุนหญิงดีเด่น จากละคร รักแผลงฤทธิ์ สโรชา วาทิตตพันธ์ ได้รับการกล่าวขานว่าหน้าตาเหมือน ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ผสมกับ สุวนันท์ คงยิ่ง ด้านชีวิตส่วนตัว ได้สมรสกับหนุ่มนอกวงการ “เบอร์ - มนตรี ศิริชู” ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด โดยจัดพิธีทางศาสนาคริสต์ตามที่เจ้าบ่าวนับถือ ที่โรงแรมเดอะสยาม เมื่อเช้าวันจันทร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558ผลงานละครโทรทัศน์ละครซีรีส์ละครสั้นผลงาน. ละครสั้น. - พี่รักน้องเลี้ยง (ละครสั้นปากกาทอง) ช่อง 7 (2540) - โจร (ละครสั้นยมบาลเจ้าขา) ช่อง 7 (2557)ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอ - กู๊ดบายซัมเมอร์ เอ้อเหอ...เทอมเดียว - เขี้ยวอาฆาต - 18 ฝนคนอันตราย - สติแตกสุดขั้วโลกภาพยนตร์สั้นภาพยนตร์สั้น. - ไทยนิยม เรื่อง เจ้าชายป้อมละครเวทีละครเวที. - พินัยกรรมกำกวม - สามสาวทรามทรามมิวสิควิดีโอเพลงประกอบละครเพลงประกอบละคร. - เพลง แค่คำร่ำลา OST.แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอโฆษณาโฆษณา. - พิซซ่าฮัทพิธีกรพิธีกร. - รายการสโร-โก ( saro-go ) ทางช่อง travel channel true vision ช่อง 73อื่นๆอื่นๆ. - หัวหน้าทีมสอนการแสดงรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 12รางวัลรางวัล. - รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 19 สาขานักแสดงสนับสนุนหญิงดีเด่น จากละครเรื่อง รักแผลงฤทธิ์ (ช่อง 3) - เข้าชิงรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 2 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เรือนไม้สีเบจ (ช่อง3) - เข้าชิงรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 4 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง นางบาป (ช่อง3)
สามีของเต๋า สโรชา วาทิตตพันธ์ คือใคร
{ "answer": [ "มนตรี ศิริชู" ], "answer_begin_position": [ 992 ], "answer_end_position": [ 1004 ] }
1,508
335,989
สโรชา วาทิตตพันธ์ สโรชา วาทิตตพันธ์ ชื่อเล่น เต๋า เกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เป็นนักแสดงและพิธีกรหญิงชาวไทย เป็นคนกรุงเทพตั้งแต่กำเนิด เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัววาทิตตพันธ์ โดยเต๋ามีพี่ชาย 2 คนประวัติ ประวัติ. สโรชา วาทิตตพันธ์ เข้าศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนบพิตรวิทยา จากนั้นจึงมาต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนดาราคาม ขณะที่เข้าสู่วงการบันเทิงในช่วงแรกของการเป็นนักแสดงเธอศึกษาชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง และเข้าวงการครั้งแรกด้วยการเป็นนางเอกมิวสิควิดีโอเพลง "รักคืออะไร" ของโป้ง วราวุธ บูรพาชยานนท์ ในสังกัดกลิทซ์ ของแกรมมี่ เมือช่วงเดือน พ.ย.2537 (อายุใกล้ 16 ปี) โดยการชักนำ ของ พจน์ อานนท์ ในรุ่นเดียวกับ โด่ง สิทธิพร นิยม ชาช่า อัลเทอร์เมทฌัชฌา รุจินานนท์ เคยได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำสาขานักแสดงสนับสนุนหญิงดีเด่น จากละคร รักแผลงฤทธิ์ สโรชา วาทิตตพันธ์ ได้รับการกล่าวขานว่าหน้าตาเหมือน ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ผสมกับ สุวนันท์ คงยิ่ง ด้านชีวิตส่วนตัว ได้สมรสกับหนุ่มนอกวงการ “เบอร์ - มนตรี ศิริชู” ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ บริษัท เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด โดยจัดพิธีทางศาสนาคริสต์ตามที่เจ้าบ่าวนับถือ ที่โรงแรมเดอะสยาม เมื่อเช้าวันจันทร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558ผลงานละครโทรทัศน์ละครซีรีส์ละครสั้นผลงาน. ละครสั้น. - พี่รักน้องเลี้ยง (ละครสั้นปากกาทอง) ช่อง 7 (2540) - โจร (ละครสั้นยมบาลเจ้าขา) ช่อง 7 (2557)ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอ - กู๊ดบายซัมเมอร์ เอ้อเหอ...เทอมเดียว - เขี้ยวอาฆาต - 18 ฝนคนอันตราย - สติแตกสุดขั้วโลกภาพยนตร์สั้นภาพยนตร์สั้น. - ไทยนิยม เรื่อง เจ้าชายป้อมละครเวทีละครเวที. - พินัยกรรมกำกวม - สามสาวทรามทรามมิวสิควิดีโอเพลงประกอบละครเพลงประกอบละคร. - เพลง แค่คำร่ำลา OST.แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอโฆษณาโฆษณา. - พิซซ่าฮัทพิธีกรพิธีกร. - รายการสโร-โก ( saro-go ) ทางช่อง travel channel true vision ช่อง 73อื่นๆอื่นๆ. - หัวหน้าทีมสอนการแสดงรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 12รางวัลรางวัล. - รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 19 สาขานักแสดงสนับสนุนหญิงดีเด่น จากละครเรื่อง รักแผลงฤทธิ์ (ช่อง 3) - เข้าชิงรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 2 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เรือนไม้สีเบจ (ช่อง3) - เข้าชิงรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 4 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง นางบาป (ช่อง3)
สโรชา วาทิตตพันธ์ ชื่อเล่น เต๋า เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "30" ], "answer_begin_position": [ 158 ], "answer_end_position": [ 160 ] }
1,511
336,919
หวง เสี่ยวหมิง หวง เสี่ยวหมิง (จีนตัวเต็ม: 黃曉明; จีนตัวย่อ: 黄晓明; ; พินอิน: Huáng Xiǎomíng) เป็นนักแสดงและนักร้องชาวจีนที่มีชื่อเสียง เกิดเมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1977 ที่เมืองชิงเต่า มณฑลชานตง ประเทศจีน หวง เสี่ยวหมิง เข้าสู่แวดวงบันเทิงด้วยการศึกษาจบปริญญาตรี เอกการแสดง จากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง เอกการแสดง โดยเริ่มจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณานม ในช่วงเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 2 และมีโอกาสแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกชื่อ Ai Ging Bu Shi You Xi (ความรักไม่ใช่เกมส์) ในปี ค.ศ. 1998 โดยบัดนั้นจนถึง ได้แสดงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ต่าง ๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 20 เรื่อง และด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา บวกด้วยฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมทำให้ หวง เสี่ยวหมิงได้รับความชื่นชอบจากแฟน ๆ และได้รับรางวัลการแสดงต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่มากมาย หวง เสี่ยวหมิง มีนักแสดงที่ชื่นชอบ คือ โจว เหวินฟะ, เหลียง เจียฮุย และจอร์จ คลูนีย์ ในปี ค.ศ. 2002 มีผลงานละครโทรทัศน์ออกอากาศในจีนแผ่นดินใหญ่ติดต่อกันถึง 3 เรื่องภายในเวลา 1 ปี แต่โชคร้ายช่วงปลายปีต่อมา เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเขตเทือกเขา ในขณะที่เขากำลังเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ใส่เฝือกกลับมาเข้าฉากภาพยนตร์ต่อ ทำให้เป็นที่ชื่นชมของสื่อมวลชนและแฟน ๆ นอกจากการแสดงแล้ว ด้านการร้องเพลงและดนตรี เคยออกอัลบั้มชุดแรกชื่อ It's Ming เป็นภาษาจีนกลาง ในปลายปี ค.ศ. 2007 และในละครโทรทัศน์ชุด New Shanghai Bund (เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หักเหลี่ยมมังกร) หวงเสี่ยวหมิง ยังได้ร้องเพลงประกบคู่กับ ซุน ลี่ นักแสดงนำหญิงในเรื่อง ชื่อเพลง Even If there is No Tomorrow เป็นเพลงปิดท้ายด้วยผลงานในด้านการแสดงภาพยนตร์ละครโทรทัศน์
หวง เสี่ยวหมิง เป็นนักแสดงและนักร้องชาวจีนที่มีชื่อเสียง เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "13" ], "answer_begin_position": [ 231 ], "answer_end_position": [ 233 ] }
1,512
336,919
หวง เสี่ยวหมิง หวง เสี่ยวหมิง (จีนตัวเต็ม: 黃曉明; จีนตัวย่อ: 黄晓明; ; พินอิน: Huáng Xiǎomíng) เป็นนักแสดงและนักร้องชาวจีนที่มีชื่อเสียง เกิดเมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1977 ที่เมืองชิงเต่า มณฑลชานตง ประเทศจีน หวง เสี่ยวหมิง เข้าสู่แวดวงบันเทิงด้วยการศึกษาจบปริญญาตรี เอกการแสดง จากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง เอกการแสดง โดยเริ่มจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณานม ในช่วงเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 2 และมีโอกาสแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรกชื่อ Ai Ging Bu Shi You Xi (ความรักไม่ใช่เกมส์) ในปี ค.ศ. 1998 โดยบัดนั้นจนถึง ได้แสดงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ต่าง ๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 20 เรื่อง และด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา บวกด้วยฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมทำให้ หวง เสี่ยวหมิงได้รับความชื่นชอบจากแฟน ๆ และได้รับรางวัลการแสดงต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่มากมาย หวง เสี่ยวหมิง มีนักแสดงที่ชื่นชอบ คือ โจว เหวินฟะ, เหลียง เจียฮุย และจอร์จ คลูนีย์ ในปี ค.ศ. 2002 มีผลงานละครโทรทัศน์ออกอากาศในจีนแผ่นดินใหญ่ติดต่อกันถึง 3 เรื่องภายในเวลา 1 ปี แต่โชคร้ายช่วงปลายปีต่อมา เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเขตเทือกเขา ในขณะที่เขากำลังเข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ใส่เฝือกกลับมาเข้าฉากภาพยนตร์ต่อ ทำให้เป็นที่ชื่นชมของสื่อมวลชนและแฟน ๆ นอกจากการแสดงแล้ว ด้านการร้องเพลงและดนตรี เคยออกอัลบั้มชุดแรกชื่อ It's Ming เป็นภาษาจีนกลาง ในปลายปี ค.ศ. 2007 และในละครโทรทัศน์ชุด New Shanghai Bund (เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หักเหลี่ยมมังกร) หวงเสี่ยวหมิง ยังได้ร้องเพลงประกบคู่กับ ซุน ลี่ นักแสดงนำหญิงในเรื่อง ชื่อเพลง Even If there is No Tomorrow เป็นเพลงปิดท้ายด้วยผลงานในด้านการแสดงภาพยนตร์ละครโทรทัศน์
หวง เสี่ยวหมิง เข้าสู่แวดวงบันเทิงด้วยการศึกษาจบปริญญาตรีเอกการแสดง จากมหาวิทยาลัยอะไร
{ "answer": [ "ปักกิ่ง" ], "answer_begin_position": [ 381 ], "answer_end_position": [ 388 ] }
1,520
352,401
ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ () เป็นอาจารย์ประจำวิชาเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว อาศัยอยู่ในเขตชิบุยะ และเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์อะกิตะตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ฮะชิโก สุนัขยอดกตัญญู อุเอะโนะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภรรยาและลูก ๆ ไม่ทราบชื่อ เวลาทำงานนั้นมักเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโตเกียวโดยไปทางรถไฟซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของเขา และกลับมาในช่วงเวลา 15.00 น. การพบกันระหว่างอุเอะโนะกับฮะชิโกนั้นได้เริ่มขึ้นต้นในเดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2467 ซึ่งฮะชิโคนั้นมีอายุ 2 เดือน อุเอะโนะก็ดูแลเจ้าฮะชิโคเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2467 อุเอโนโนะทั้งรักและภาคภูมิใจในตัวฮะชิมากเพราะสุนัขพันธุ์อะกิตะสมัยยุคเมจินั้นเป็นสายพันธุ์ที่หายากมากที่สุดในญี่ปุ่น อุเอะโนะก็ภูมิใจในตัวฮะชิมากขึ้นเมื่อฮะชิมักจะคอยไปส่งเขาทุกเช้า และกลับมารอรับในช่วงเวลา 15.00 น.มันทำแบบนั้นเป็นประจำทุก ๆ วันการเสียชีวิต การเสียชีวิต. อุเอะโนะ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2468 ด้วยโรคหัวใจวายหรือความดันโลหิตสูงเส้นเหลืองสมองแตก ขณะกำลังสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโตเกียว หลังจากการเสียชีวิต ครอบครัวของอุเอะโนะได้ย้ายบ้านไปเหลือเพียงแต่ฮะชิโกก็ได้ไปรอที่สถานีรถไฟชิบุยะเป็นเวลา 10 ปีจนตายในที่สุด ศพของฮะชิโกก็ได้รับการฝังอยู่ข้างหลุมศพอุเอโนะ แต่เรื่องราวของความรักและจงรักภักดีของฮะชิโกที่มีต่ออุเอะโนะนั้นได้กลายเป็นตำนานที่ติดตรึงใจต่อชาวญี่ปุ่นและคนทั่วโลกตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้
ศาสตราจารย์ ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ เสียชีวิตลงในวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "21" ], "answer_begin_position": [ 935 ], "answer_end_position": [ 937 ] }
1,521
352,401
ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ () เป็นอาจารย์ประจำวิชาเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว อาศัยอยู่ในเขตชิบุยะ และเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์อะกิตะตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ฮะชิโก สุนัขยอดกตัญญู อุเอะโนะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภรรยาและลูก ๆ ไม่ทราบชื่อ เวลาทำงานนั้นมักเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโตเกียวโดยไปทางรถไฟซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของเขา และกลับมาในช่วงเวลา 15.00 น. การพบกันระหว่างอุเอะโนะกับฮะชิโกนั้นได้เริ่มขึ้นต้นในเดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2467 ซึ่งฮะชิโคนั้นมีอายุ 2 เดือน อุเอะโนะก็ดูแลเจ้าฮะชิโคเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2467 อุเอโนโนะทั้งรักและภาคภูมิใจในตัวฮะชิมากเพราะสุนัขพันธุ์อะกิตะสมัยยุคเมจินั้นเป็นสายพันธุ์ที่หายากมากที่สุดในญี่ปุ่น อุเอะโนะก็ภูมิใจในตัวฮะชิมากขึ้นเมื่อฮะชิมักจะคอยไปส่งเขาทุกเช้า และกลับมารอรับในช่วงเวลา 15.00 น.มันทำแบบนั้นเป็นประจำทุก ๆ วันการเสียชีวิต การเสียชีวิต. อุเอะโนะ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2468 ด้วยโรคหัวใจวายหรือความดันโลหิตสูงเส้นเหลืองสมองแตก ขณะกำลังสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโตเกียว หลังจากการเสียชีวิต ครอบครัวของอุเอะโนะได้ย้ายบ้านไปเหลือเพียงแต่ฮะชิโกก็ได้ไปรอที่สถานีรถไฟชิบุยะเป็นเวลา 10 ปีจนตายในที่สุด ศพของฮะชิโกก็ได้รับการฝังอยู่ข้างหลุมศพอุเอโนะ แต่เรื่องราวของความรักและจงรักภักดีของฮะชิโกที่มีต่ออุเอะโนะนั้นได้กลายเป็นตำนานที่ติดตรึงใจต่อชาวญี่ปุ่นและคนทั่วโลกตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้
ศาสตราจารย์ ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยอะไร
{ "answer": [ "โตเกียว" ], "answer_begin_position": [ 195 ], "answer_end_position": [ 202 ] }
1,522
353,324
ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ (ชื่อเล่น โต๊ะ) เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เป็นนักพากย์ภาพยนตร์จีน ที่เป็นที่รู้จักคนหนึ่งของเมืองไทย ในนามทีมพากย์พันธมิตร จะเป็นผู้ให้เสียงพากย์ โจว ซิงฉือ, เจ็ต ลี และ เฉินหลง ต่อจากทีมพากย์อินทรี เป็นผู้ก่อตั้งทีมพากย์พันธมิตร และเป็นหัวหน้าทีม เขาเริ่มงานพากย์จากการพากย์หนังกลางแปลง สถานที่แรกที่เขาเริ่มพากย์ คือ อ่าวลึกเหนือ จังหวัดกระบี่ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาพากย์คือ ภาพยนตร์อินเดียเรื่อง สายน้ำวิปโยค และต่อมาก็ได้พากย์หนังในโรงภาพยนตร์ ต่อมา เขาก็มาเริ่มพากย์ให้กับทางช่อง 3ในปี พ.ศ. 2523 และหลังจากที่ได้พากย์หนังให้กับช่อง 3 ได้ 10 ปีจึงออกมาตั้งทีมพากย์ของตนเอง ชื่อว่า ทีมพากย์พันธมิตร ปัจจุบันมีสมาชิกหลักคือ อรนุช ลาดพันนา, เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง, สุรพร ใจรัก, สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล, อรรคพล วิมลพัชร, ประพัฒน์ สินธพวรกุล โดยเขาหาสมาชิกจากการทาบทามให้เข้ามาช่วยพากย์ จนกระทั่งได้เข้ามาพากย์กันเป็นทีมโดยสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เขามักจะได้พากย์เป็นตัวพระเอกทุกเรื่องของทีม โดยมีเสียงหล่อเป็นเอกลักษณ์ เป็นเจ้าของเสียงตอนขึ้นชื่อเรื่องของหนังในแต่ละเรื่อง "ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร"ผลงานการ์ตูนญี่ปุ่นผลงาน. การ์ตูนญี่ปุ่น. - เดธโน้ต พากย์เป็น ยางามิ ไลท์ - Sengoku Basaraการ์ตูนอินเดียการ์ตูนอินเดีย. - Bal Ganesh พระพิฆเนศ มหาเทพแห่งปัญญา พากย์เป็น พระศิวะ - Ramayana: The Epic รามเกียรติ์ 3D Animation พากย์เป็น พระราม, หนุมานหนังจีนชุดกำลังภายใน ช่อง 3 หนังจีนชุดกำลังภายใน ช่อง 3. ตอนทำงานอยู่ช่อง 3- ไซอิ๋ว (TVB) พากย์เป็น ซุนหงอคง แสดงโดย จางเหว่ยเจี้ยน - เปาบุ้นจิ้น พากย์เป็น จั่นเจา พากย์ในนามทีมพากย์พันธมิตรภาพยนตร์เอเซียภาพยนตร์เอเซีย. - ยาจกซู ไม้เท้าประกาศิต พากย์เป็น ยาจกซู (โจว ซิงฉือ), ฮ่องเต้ - ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ พากย์เป็น ถังไป่หู่ (โจว ซิงฉือ) - ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ พากย์เป็น ตี๋เหรินเจี๋ย (หลิว เต๋อหัว) - ตี๋เหรินเจี๋ย ผจญกับดักเทพมังกร พากย์เป็น ตี๋เหรินเจี๋ย (เจ้า โย่วถิง) - ใหญ่ทับใหญ่ พากย์เป็น แจ๊กกี้(เฉินหลง)(หนังเฉินหลงเรื่องแรกที่พากย์ในนามพันธมิตรต่อจากทีมพากย์อินทรีที่หมดสัญญากับสหมงคลฟิล์ม) - สายไม่ลับคังคังโป้ย - มังกรน่ำปั๊ก - สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ / อวสานสมุดมรณะ พากย์เป็น ยางามิ ไลท์ (ฟุจิวะระ ทัตสึยะ) - ยิปมัน เจ้ากังฟูสู้ยิบตา / ยิปมัน 2 อาจารย์บรู๊ซ ลี / ยิปมัน 3 พากย์เป็น ยิปมัน (เจิน จื่อตัน‎), วอลเลซ (ชาร์ลส์ เมเยอร์) - นักเตะเซี้ยวลิ้มยี่ พากย์เป็น ซิง (โจว ซิงฉือ) - คนเล็กหมัดเทวดา พากย์เป็น ซิง (โจว ซิงฉือ) - ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม / ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 2 พากย์เป็น โนะริฟุมิ ซุซุกิ (ชินอิจิ สึสึมิ) - ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 3 พากย์เป็น จะงะวะ รีวโนะสุเกะ (ฮิเดะตะกะ โยะชิโอะกะ) - สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ พากย์เป็น ขงเบ้ง, จูล่ง, ซุนกวน - มู่หลาน วีรสตรีโลกจารึก พากย์เป็น เหวินไถ้, เสียวหู่ - ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า / ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า 2 พากย์เป็น ปู้จิ้งอวิ๋น, เนี่ยฟง, ฮ่องเต้หมิง - ไซอิ๋ว ตอนกำเนิดราชาวานร พากย์เป็น ซุนหงอคง (ดอนนี่ เยน), ปีศาจวัว (กัว ฟู่เฉิง) - ไซอิ๋ว 2 และ 3 พากย์เป็น ซุนหงอคง (กัว ฟู่เฉิง) - ภาพยนตร์ค่ายมงคลเมเจอร์ทุกเรื่อง และเอ็มพิคเจอร์ (บางเรื่อง)ภาพยนตร์ต่างประเทศภาพยนตร์ต่างประเทศ. - แบทแมน (1989) พากย์เป็น บรูซ เวย์น/แบทแมน (เสียงโรง) (ไมเคิล คีตัน) - โคตรคนทีมมหากาฬ พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - โคตรคนทีมเอ็กซ์เพนเดเบิ้ล พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - โคตรคนทีมมหากาฬ 3 พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก พากย์เป็น นายอำเภอ เรย์ โอเวนส์ (อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์) - คนอึดต้องกลับมาอึด พากย์เป็น ฟรานซิส "แฟรงก์" โมเสส (บรูซ วิลลิส) - คนอึดต้องกลับมาอึด 2 พากย์เป็น ฟรานซิส "แฟรงก์" โมเสส (บรูซ วิลลิส) - สามทหารเสือ ดาบทะลุจอ พากย์เป็น ดยุกแห่งบักกิงแฮม (ออร์แลนโด บลูม), ดาตาญัง (โลแกน เลอร์แมน), พลันเช็ต (เจมส์ กอร์เดน), Cagliostro (Til Schweiger) - เมืองคนตายยาก พากย์เป็น เดอะแมน (จอช ฮาร์ทเน็ทท์), จอห์น ฮาร์ติแกน (บรูซ วิลลิส), แจ็คกีบอย แรฟเฟอร์ตี (เบนีเซียว เดล โตโร), ดไวต์ แมคคาร์ธี (ไคลฟ์ โอเวน) - ขบวนโหดนครโฉด พากย์เป็น มาร์ฟ (มิกกีย์ รูร์ก), จอห์นนี (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์), จอห์น ฮาร์ติแกน (บรูซ วิลลิส), ดาเมียน ลอร์ด (มาร์ตัน คโซเคส), มอร์ท (คริสโตเฟอร์ เมโลนิ) - สตอร์มเบรกเกอร์ ยอดจารชนดับแผนล้างโลก พากย์เป็น อเล็กซ์ ไรเดอร์ - ยำหนังจี้หวีดดีไหมหว่า - คัมภีร์หยุดกระสุน พากย์เป็น พระไม่มีชื่อ (โจว เหวินฟะ) - คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด พากย์เป็น นักสืบ ลี (แจ็คกี้ ชาน) - วิ่งโขยงฟัด พากย์เป็น บ็อบ โฮ (แจ็คกี้ ชาน) - เกรียนโคตร มหาประลัย พากย์เป็น เดฟ ไลซูวสกี (แอรอน จอห์นสัน) - ผีชีวะ พากย์เป็น แมทท์, สเปน - ผีชีวะ 2 ผ่าวิกฤตไวรัสสยองโลก พากย์เป็น คาร์ลอส โอลิเวร่า - ผีชีวะ 3 สงครามสูญพันธุ์ไวรัส พากย์เป็น คาร์โลส โอลิเวร่า, ไอแซค - ผีชีวะ 4 สงครามแตกพันธุ์ไวรัส พากย์เป็น คริส เรดฟิลด์ (เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์) - แวมไพร์ ทไวไลท์ , 2 นิวมูน , 3 อีคลิปส์ พากย์เป็น เอ็ดเวิร์ด คัลเลน (โรเบิร์ต แพตตินสัน) ปริตอน - จอห์นวิค แรงกว่านรก ภาค 1, 2 พากย์เป็น จอห์นวิค (เคอานู รีฟส์) - เร็วแรงทะลุนรก ซิ่งแหกพิกัดโตเกียว พากย์เป็น ฌอน บอสเวลล์ (ลูคัส แบล็ค) - ภาพยนตร์ค่ายมงคลเมเจอร์ทุกเรื่อง และเอ็มพิคเจอร์ (บางเรื่อง) ไม่ได้พากย์ในนามทีมพากย์พันธมิตรเฉพาะภาค2และ3- ภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ พากย์เป็น เลโกลัส (ออร์แลนโด บลูม), เอลรอนด์ (ฮิวโก วีฟวิง), โบโรเมียร์ (ฌอน บีน)กำกับภาพพยนตร์กำกับภาพพยนตร์. - รักสุดทีน - มนต์เลิฟสิบหมื่น - นายไข่เจียวเสียวตอร์ปิโดเกมเกม. - ฟุตบอลซิตี้สตาร์ - โทนี่ จา ต้มยำกุ้ง เดอะเกม - TalesRunner พากย์เป็น ซุนหงอคงซีรีส์อินเดียซีรีส์อินเดีย. - พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก พากย์เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ - พระพุทธเจ้า (ฮีมานซู โซนิ) - พระศิวะ พากย์เป็น พระศิวะ - ทศกัณฐ์ - นาคิน - อัคบาร์ จอมจักรพรรดิอินเดีย พากย์เป็น เจ้าชายอัคบาร์ - โปรุส ศึกสองราชันย์ พากย์เป็น พระเจ้าโปรุส (ลักช์ ลาลวานี), พระเจ้าอัมพิราชา
ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ มีชื่อเล่นว่า โต๊ะ เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "24" ], "answer_begin_position": [ 163 ], "answer_end_position": [ 165 ] }
1,523
353,324
ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ (ชื่อเล่น โต๊ะ) เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เป็นนักพากย์ภาพยนตร์จีน ที่เป็นที่รู้จักคนหนึ่งของเมืองไทย ในนามทีมพากย์พันธมิตร จะเป็นผู้ให้เสียงพากย์ โจว ซิงฉือ, เจ็ต ลี และ เฉินหลง ต่อจากทีมพากย์อินทรี เป็นผู้ก่อตั้งทีมพากย์พันธมิตร และเป็นหัวหน้าทีม เขาเริ่มงานพากย์จากการพากย์หนังกลางแปลง สถานที่แรกที่เขาเริ่มพากย์ คือ อ่าวลึกเหนือ จังหวัดกระบี่ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาพากย์คือ ภาพยนตร์อินเดียเรื่อง สายน้ำวิปโยค และต่อมาก็ได้พากย์หนังในโรงภาพยนตร์ ต่อมา เขาก็มาเริ่มพากย์ให้กับทางช่อง 3ในปี พ.ศ. 2523 และหลังจากที่ได้พากย์หนังให้กับช่อง 3 ได้ 10 ปีจึงออกมาตั้งทีมพากย์ของตนเอง ชื่อว่า ทีมพากย์พันธมิตร ปัจจุบันมีสมาชิกหลักคือ อรนุช ลาดพันนา, เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง, สุรพร ใจรัก, สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล, อรรคพล วิมลพัชร, ประพัฒน์ สินธพวรกุล โดยเขาหาสมาชิกจากการทาบทามให้เข้ามาช่วยพากย์ จนกระทั่งได้เข้ามาพากย์กันเป็นทีมโดยสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เขามักจะได้พากย์เป็นตัวพระเอกทุกเรื่องของทีม โดยมีเสียงหล่อเป็นเอกลักษณ์ เป็นเจ้าของเสียงตอนขึ้นชื่อเรื่องของหนังในแต่ละเรื่อง "ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร"ผลงานการ์ตูนญี่ปุ่นผลงาน. การ์ตูนญี่ปุ่น. - เดธโน้ต พากย์เป็น ยางามิ ไลท์ - Sengoku Basaraการ์ตูนอินเดียการ์ตูนอินเดีย. - Bal Ganesh พระพิฆเนศ มหาเทพแห่งปัญญา พากย์เป็น พระศิวะ - Ramayana: The Epic รามเกียรติ์ 3D Animation พากย์เป็น พระราม, หนุมานหนังจีนชุดกำลังภายใน ช่อง 3 หนังจีนชุดกำลังภายใน ช่อง 3. ตอนทำงานอยู่ช่อง 3- ไซอิ๋ว (TVB) พากย์เป็น ซุนหงอคง แสดงโดย จางเหว่ยเจี้ยน - เปาบุ้นจิ้น พากย์เป็น จั่นเจา พากย์ในนามทีมพากย์พันธมิตรภาพยนตร์เอเซียภาพยนตร์เอเซีย. - ยาจกซู ไม้เท้าประกาศิต พากย์เป็น ยาจกซู (โจว ซิงฉือ), ฮ่องเต้ - ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ พากย์เป็น ถังไป่หู่ (โจว ซิงฉือ) - ตี๋เหรินเจี๋ย ดาบทะลุคนไฟ พากย์เป็น ตี๋เหรินเจี๋ย (หลิว เต๋อหัว) - ตี๋เหรินเจี๋ย ผจญกับดักเทพมังกร พากย์เป็น ตี๋เหรินเจี๋ย (เจ้า โย่วถิง) - ใหญ่ทับใหญ่ พากย์เป็น แจ๊กกี้(เฉินหลง)(หนังเฉินหลงเรื่องแรกที่พากย์ในนามพันธมิตรต่อจากทีมพากย์อินทรีที่หมดสัญญากับสหมงคลฟิล์ม) - สายไม่ลับคังคังโป้ย - มังกรน่ำปั๊ก - สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ / อวสานสมุดมรณะ พากย์เป็น ยางามิ ไลท์ (ฟุจิวะระ ทัตสึยะ) - ยิปมัน เจ้ากังฟูสู้ยิบตา / ยิปมัน 2 อาจารย์บรู๊ซ ลี / ยิปมัน 3 พากย์เป็น ยิปมัน (เจิน จื่อตัน‎), วอลเลซ (ชาร์ลส์ เมเยอร์) - นักเตะเซี้ยวลิ้มยี่ พากย์เป็น ซิง (โจว ซิงฉือ) - คนเล็กหมัดเทวดา พากย์เป็น ซิง (โจว ซิงฉือ) - ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม / ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 2 พากย์เป็น โนะริฟุมิ ซุซุกิ (ชินอิจิ สึสึมิ) - ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 3 พากย์เป็น จะงะวะ รีวโนะสุเกะ (ฮิเดะตะกะ โยะชิโอะกะ) - สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ พากย์เป็น ขงเบ้ง, จูล่ง, ซุนกวน - มู่หลาน วีรสตรีโลกจารึก พากย์เป็น เหวินไถ้, เสียวหู่ - ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า / ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า 2 พากย์เป็น ปู้จิ้งอวิ๋น, เนี่ยฟง, ฮ่องเต้หมิง - ไซอิ๋ว ตอนกำเนิดราชาวานร พากย์เป็น ซุนหงอคง (ดอนนี่ เยน), ปีศาจวัว (กัว ฟู่เฉิง) - ไซอิ๋ว 2 และ 3 พากย์เป็น ซุนหงอคง (กัว ฟู่เฉิง) - ภาพยนตร์ค่ายมงคลเมเจอร์ทุกเรื่อง และเอ็มพิคเจอร์ (บางเรื่อง)ภาพยนตร์ต่างประเทศภาพยนตร์ต่างประเทศ. - แบทแมน (1989) พากย์เป็น บรูซ เวย์น/แบทแมน (เสียงโรง) (ไมเคิล คีตัน) - โคตรคนทีมมหากาฬ พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - โคตรคนทีมเอ็กซ์เพนเดเบิ้ล พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - โคตรคนทีมมหากาฬ 3 พากย์เป็น บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) - นายอำเภอคนพันธุ์เหล็ก พากย์เป็น นายอำเภอ เรย์ โอเวนส์ (อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์) - คนอึดต้องกลับมาอึด พากย์เป็น ฟรานซิส "แฟรงก์" โมเสส (บรูซ วิลลิส) - คนอึดต้องกลับมาอึด 2 พากย์เป็น ฟรานซิส "แฟรงก์" โมเสส (บรูซ วิลลิส) - สามทหารเสือ ดาบทะลุจอ พากย์เป็น ดยุกแห่งบักกิงแฮม (ออร์แลนโด บลูม), ดาตาญัง (โลแกน เลอร์แมน), พลันเช็ต (เจมส์ กอร์เดน), Cagliostro (Til Schweiger) - เมืองคนตายยาก พากย์เป็น เดอะแมน (จอช ฮาร์ทเน็ทท์), จอห์น ฮาร์ติแกน (บรูซ วิลลิส), แจ็คกีบอย แรฟเฟอร์ตี (เบนีเซียว เดล โตโร), ดไวต์ แมคคาร์ธี (ไคลฟ์ โอเวน) - ขบวนโหดนครโฉด พากย์เป็น มาร์ฟ (มิกกีย์ รูร์ก), จอห์นนี (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์), จอห์น ฮาร์ติแกน (บรูซ วิลลิส), ดาเมียน ลอร์ด (มาร์ตัน คโซเคส), มอร์ท (คริสโตเฟอร์ เมโลนิ) - สตอร์มเบรกเกอร์ ยอดจารชนดับแผนล้างโลก พากย์เป็น อเล็กซ์ ไรเดอร์ - ยำหนังจี้หวีดดีไหมหว่า - คัมภีร์หยุดกระสุน พากย์เป็น พระไม่มีชื่อ (โจว เหวินฟะ) - คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด พากย์เป็น นักสืบ ลี (แจ็คกี้ ชาน) - วิ่งโขยงฟัด พากย์เป็น บ็อบ โฮ (แจ็คกี้ ชาน) - เกรียนโคตร มหาประลัย พากย์เป็น เดฟ ไลซูวสกี (แอรอน จอห์นสัน) - ผีชีวะ พากย์เป็น แมทท์, สเปน - ผีชีวะ 2 ผ่าวิกฤตไวรัสสยองโลก พากย์เป็น คาร์ลอส โอลิเวร่า - ผีชีวะ 3 สงครามสูญพันธุ์ไวรัส พากย์เป็น คาร์โลส โอลิเวร่า, ไอแซค - ผีชีวะ 4 สงครามแตกพันธุ์ไวรัส พากย์เป็น คริส เรดฟิลด์ (เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์) - แวมไพร์ ทไวไลท์ , 2 นิวมูน , 3 อีคลิปส์ พากย์เป็น เอ็ดเวิร์ด คัลเลน (โรเบิร์ต แพตตินสัน) ปริตอน - จอห์นวิค แรงกว่านรก ภาค 1, 2 พากย์เป็น จอห์นวิค (เคอานู รีฟส์) - เร็วแรงทะลุนรก ซิ่งแหกพิกัดโตเกียว พากย์เป็น ฌอน บอสเวลล์ (ลูคัส แบล็ค) - ภาพยนตร์ค่ายมงคลเมเจอร์ทุกเรื่อง และเอ็มพิคเจอร์ (บางเรื่อง) ไม่ได้พากย์ในนามทีมพากย์พันธมิตรเฉพาะภาค2และ3- ภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ พากย์เป็น เลโกลัส (ออร์แลนโด บลูม), เอลรอนด์ (ฮิวโก วีฟวิง), โบโรเมียร์ (ฌอน บีน)กำกับภาพพยนตร์กำกับภาพพยนตร์. - รักสุดทีน - มนต์เลิฟสิบหมื่น - นายไข่เจียวเสียวตอร์ปิโดเกมเกม. - ฟุตบอลซิตี้สตาร์ - โทนี่ จา ต้มยำกุ้ง เดอะเกม - TalesRunner พากย์เป็น ซุนหงอคงซีรีส์อินเดียซีรีส์อินเดีย. - พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก พากย์เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ - พระพุทธเจ้า (ฮีมานซู โซนิ) - พระศิวะ พากย์เป็น พระศิวะ - ทศกัณฐ์ - นาคิน - อัคบาร์ จอมจักรพรรดิอินเดีย พากย์เป็น เจ้าชายอัคบาร์ - โปรุส ศึกสองราชันย์ พากย์เป็น พระเจ้าโปรุส (ลักช์ ลาลวานี), พระเจ้าอัมพิราชา
ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ นักพากย์ภาพยนตร์ เริ่มพากย์ให้กับทางช่อง 3 ในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2523" ], "answer_begin_position": [ 642 ], "answer_end_position": [ 646 ] }
1,525
148,263
วิลลี่ แมคอินทอช วิลลี่ แมคอินทอช หรือ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพฯ เป็นลูกครึ่ง ไทย-สก็อต และชาติจีน มีอาชีพนักแสดง นายแบบ, พิธีกร ปัจจุบันเป็นประธานบริษัท ลักษ์ 666 มีคุณพ่อชาวสก็อต ชื่อคุณวิลเลียม แมคอินทอชซึ่งเมื่อครั้งยังหนุ่มเป็นนักรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประจำฝ่ายบิน เมื่อหมดสงคราม จึงไปสมัครเข้าสายการบินเอส.เอ.เอสของเดนมาร์ค การบินไทยเช่าเครื่องบินจากบริษัทนี้ และยังเป็นหุ้นส่วนกันด้วย ต่อมามิสเตอร์วิลเลี่ยม แมคอินทอชจึงถูกส่งตัวมาทำงานกับการบินไทย และได้เจอกับคุณแม่ของเขาคุณยุรภรณ์ มีน้องสาวเป็นนักแสดง พิธีกร คือ คัทลียา แมคอินทอช สมรสกับนางแบบชื่อดัง เยลหลี ริคอร์เดล มีผลงานชิ้นแรกคือ ธัญญา แม่มดยอดยุ่ง (คู่กับ หมิว ลลิตา) วิลลี่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้านชีวิตส่วนตัว สมรสกับ เยลหลี ริคอร์เดล อดีตนางแบบและพิธีกรชื่อดัง มีบุตรคนแรกชื่อ ธาดาฤทธิ์ แมคอินทอช (วิน) เป็นบุตรชาย คลอดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2554 เวลา 06.40 น.ผลงานผลงานละครผลงาน. ผลงานละคร. - 2536 เรือนแรม รับบท พระนายแสนใจภักดิ์ (คุณม่วง) (ภพรัชกาลที่3) / หลวงพจน์สุนทร (คุณประพาส) (ภพรัชกาลที่5) / วิลลี่ (ภพปัจจุบัน) (คู่กับ กมลชนก โกมลฐิติ) ช่อง 7 - 2537 ปราสาทมืด รับบท นายแพทย์ภะรต ภารตรักษ์ (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2538 เหมือนคนละฟากฟ้า รับบท ชิดณรงค์ (คู่กับ จินตหรา สุขพัฒน์) ช่อง 3 - 2538 นิมิตแห่งรัก (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2538 ไฟต่างสี รับบท ไมค์ (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2539 รักเดียวของเจนจิรา รับบท จ้าวรังสิมันตุ์ (คู่กับ ศิริลักษณ์ ผ่องโชค) ช่อง 3 - 2539 ทรายสีเพลิง รับบท ชาร์ลส์ หว่อง (ฌาณ) (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2540 ตามหัวใจไปสุดหล้า รับบท การิม (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2541 ไฟลวง รับบท นพรุจ (คู่กับ สโรชา วาทิตตพันธ์) ช่อง 3 - 2541 พ่อปลาไหล รับบท อุลิต (คู่กับ สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์) ช่อง 3 - 2541 จากฝันสู่นิรันดร รับบท ตรัย (คู่กับ แอน ทองประสม) ช่อง 3 - 2542 ละครเทิดพระเกียรติเรื่อง พ่อ (ละครโทรทัศน์) ตอน ความฝันอันสูงสุด รับบท เมทิศ คู่กับ จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์) ช่อง 5 - 2542 รักเล่ห์เพทุบาย รับบท ตราภูมิ (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2543 มณีหยาดฟ้า รับบท นาวาโทชาญชล พิริยะผล (คู่กับ แอน ทองประสม) ช่อง 3 - 2544 กากเพชร รับบท เทวา (คู่กับ บัวชมพู ฟอร์ด) ช่อง 3 - 2544 นางร้าย รับบท ภวาภพ (คู่กับ จันทร์จิรา จูแจ้ง) ช่อง 3 - 2545 5 คม รับบท พ.ต.ต. ดรล์ ปรเมศ (คู่กับ สุนิสา เจทท์) ช่อง 3 - 2545 วิวาห์สลับรัก รับบท อวัช (คู่กับแองจี้ เฮสติ้งส์) ช่อง 3 - 2546 2 ผู้ยิ่งใหญ่ (คู่กับ ณัทธมนกาญจน์ ศรีนิกรโชติ) ช่อง 3 - 2547 ขอพลิกฟ้าตามล่าเธอ (คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช) ช่อง 3 - 2548 เจ๊ดัน ฉันรักเธอ รับบท ปีใหม่ (คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช) ช่อง 3 - 2548 สะใภ้กาฝาก รับบท ตรัยคุณ (คู่กับ พรชิตา ณ สงขลา) ช่อง 3 - 2551 สู่ฝันนิรันดร รับบท กวิน (คู๋กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2552 สูตรเสน่หา รับบทเป็น อนุชา โสพัฒน์ / เล็ก (คู่กับ ซอนย่า คูลลิ่ง ช่อง 3 - 2554 หมวดโอภาส รับบทเป็น หมอวุฒิ รับเชิญตอน บัวขวัญเธออยู่ไหน (แสดงร่วมกับ หนูนา หนึ่งธิดา และ เต๋อ ฉันทวิชช์) ช่อง 9 - 2558 Club Friday The Series 5 ตอน ความลับของเรา 3 คน รับบทเป็น กรณ์ (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 - 2558 สื่อริษยา รับบทเป็น ภาสกร หิรัญกุล (คู่กับ ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ช่องวัน - 2558 ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด รับบท โรเบิร์ต แอร์รี่ (นายช่างบ๊อบ) (คู่กับ ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ช่องวัน - 2559 กรุงเทพ..มหานครซ้อนรัก รับบท ศรัณย์ (Sandy Cohen) (คู่กับ นุสบา ปุณณกันต์) ช่องวัน - 2559 ฟิตเนสสะเด็ดยาด ช่อง 9 - 2559 ปาฏิหาริย์ เดอะซีรีส์ ตอน รักไม่มีวันตาย รับบท มนัส คู่กับ สินจัย เปล่งพานิช ช่องพีพีทีวี - 2560 ป่ากามเทพ รับบท สดมภ์ สหัชชะ คู่กับ (ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 - 2560 ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ รับบท ธนทัต (ตัวร้าย) ช่องวัน - 2560 ละครชุด ภารกิจรัก เรื่อง เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน รับบท มิสเตอร์เจสัน (รับเชิญ) ช่อง 7 - 2560 The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง รับบท ชิษณุ คู่กับ (จิตตาภา แจ่มปฐม) ช่อง 3 - 2560 Yes, I do คอร์สลัด พิสูจน์เลิฟ รับบท ดร.จอห์น ช่องวัน - 2560 ละครชุด ภารกิจรัก เรื่อง ยึดฟ้าหาพิกัดรัก รับบท มิสเตอร์เจสัน ช่อง 7 - 2560 Club Friday Celeb's Stories ตอน การกลับมา รับบท นิจ นิรันดร์ คู่กับ (เอมี่ กลิ่นประทุม) ช่อง จีเอ็มเอ็ม 25 - 2560 เสือ ชะนี เก้ง รับบท สตีฟ (รับเชิญ) คู่กับ (รฐา โพธิ์งาม) ช่องวัน - 2560 Ways To Protect Relationship จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 ละครชุด น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ตอน สิ่งที่พ่อทำ รับบท พ่อมารีน่า (รับเชิญ) ช่อง 3 - 2561 สัมผัสรัตติกาล รับบท ประทิน เดชกําแหง จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 ดวงใจในไฟหนาว รับบท มิสเตอร์แฟรงค์ ช่อง 3 - 2561 คุณพ่อจอมซ่าส์ รับบท พันอิน คู่กับ ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 บาปรัก รับบท เลอยศ คู่กับ สุวนันท์ ปุณณกันต์ ช่องวันผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - ธัญญาแม่มดยอดยุ่ง (2532) - หนุ่มสาว (2533) - มหัศจรรย์แห่งรัก (2537) (แสดงร่วมกับ ศรัณยู วงศ์กระจ่าง, สินจัย หงษ์ไทย, สันติสุข พรหมศิริ, นุสบา วานิชอังกูร) - สุดขีด: มังกรเจ้าพระยา ภาค 2 (2538) (แสดงร่วมกับ ทอม ดันดี, แวร์ โซว) - สาระแนห้าวเป้ง (2552) (ร่วมแสดง, ควบคุมการผลิต) - สาระแนสิบล้อ (2553) (ร่วมแสดง, ควบคุมการผลิต) - สาระแนเห็นผี (2553) (ร่วมแสดง, อำนวยการสร้าง) - สาระแน โอเซกไก (2555) (ร่วมแสดง, อำนวยการสร้าง) - สาระแน เลิฟยูววว (2560) (ร่วมแสดง)ผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - พรีเซ็นเตอร์ บัตรเที่ยวสวนสนุก ซูเปอร์ฮอลิเดย์ (สวนสยาม ทะเล-กรุงเทพฯ) 2529 - พรีเซ็นเตอร์ ผลิตภัณฑ์ โลชั่น นีเวีย (Nivea) (ร่วมกับ จันทร์จิรา จูแจ้ง) 2532 - พรีเซ็นเตอร์ แชมพู รีจอยส์ 2535 - พรีเซ็นเตอร์ คลอเร็ท (ร่วมกับ หม่ำ จ๊กมก และ นาคร ศิลาชัย) 2537 - 2544 - พรีเซ็นเตอร์ แชมพู แครอล 2538 - พรีเซ็นเตอร์ ชาลิปตัน 2538 - พรีเซ็นเตอร์ รถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ (ร่วมกับ ลลิตา ศศิประภา) 2539 - พรีเซ็นเตอร์ ยาย้อมผม บีเง็น 2544 - พรีเซ็นเตอร์ ผงซักฟอก โอโมพลัส 2550 - 2555 - พรีเซ็นเตอร์ ขนมทอดกรอบ ตะวัน 2549 - 2554 (ร่วมกับ นาคร ศิลาชัย และ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค)รายการโทรทัศน์รายการโทรทัศน์. - สืบสะเด็ด ช่อง 5 (2538 - 2540) - เกมโซน ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. (2539 - 2545) - 100 แวง ตะแคง 15 ช่อง 5 (2541 - 2542) - แฟนตาซีมีหาง ช่อง 5 (2542 - 2543) - รัด ชัด นิวส์ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2545 - 2546) - เป๋าตุง (อำนวยการผลิต) ไอทีวี (2547 - 2549) - ทีวีพูดได้ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2548 - 2549) - สงครามเขาและเธอ โมเดิร์นไนน์ (2545 - 2546) - สาระแน (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2541 - ปัจจุบัน) - นั่งยางโชว์ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2543 - ปัจจุบัน) - ฮวงจุ้ยดีดี (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 9 (2548 - 2550) - สมาคมชมดาว เดอะ วิลลี่ ช่อง 3 (2549 - 2550) - I See U (พิธีกร และ ควบคุมการผลิต) ช่อง 3 (2546 - 2549) - บางจะเกร็ง (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) โมเดิร์นไนน์ (2552) - ฮาจะเกร็ง (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) โมเดิร์นไนน์ (2553 - ปัจจุบัน) - ฮวงจุ้ย (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 5 (2554 - ปัจจุบัน) - TORE เกมพีระมิดปริศนา (พิธีกร) ช่อง 9 (2557) - ซุป'ตาร์ปาร์ตี้ Celebrity Game Night (พิธีกร) ช่อง วัน (2557 - 2559) , (2560 - ปัจจุบัน) - เกาะแก้วพิสดาร ช่อง 3 (2557 - 2558) - หอยเจอลี่ ไทยรัฐทีวี (2557 - 2558) - งานเข้าที่เล้าเป็ด (พิธีกร) ช่อง วัน (2558) - 7 ดาวประจัญบาน ช่อง 7 สี (2558) - เอ๊ะใครหว่า ช่อง 8 (2558) - I Love Thailand ช่อง 3 (2559) - BOOM! Thailand (พิธีกร) ช่อง 9 (2560) - ศึกเมนูพิชิตใจ ช่อง 3 (2560) - MY HOMEMADE SHOW สู้เพื่อฝันกันทั้งบ้าน (พิธีกร) ช่อง ThaiPBS - HOLLYWOOD GAME NIGHT THAILAND (พิธีกร) ช่อง 3 - หลงเสียงเธอ MY WIFE IS A SINGER (พิธีกร) ช่อง 7 สีรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - 10 ดาราหนุ่มเซ็กซี่ปี 1998 - หนุ่มมีชื่อเสียงที่แต่งกายดีเด่น ปี 2000 - ปี 2544 เอแบคโพลล์ พระเอกยอดนิยม - คุณงามความดีเพื่อสังคม - นำทีมเพื่อนดาราร่วมรณรงค์ช่วยเหลือ"เมาไม่ขับกลับบ้านปลอดภัย" หวังลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์รายการอ้างอิงรายการอ้างอิง. - ประวัติ: วิลลี่ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช MSN บันเทิง
วิลลี่ แมคอินทอช หรือ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "4" ], "answer_begin_position": [ 166 ], "answer_end_position": [ 167 ] }
1,526
148,263
วิลลี่ แมคอินทอช วิลลี่ แมคอินทอช หรือ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพฯ เป็นลูกครึ่ง ไทย-สก็อต และชาติจีน มีอาชีพนักแสดง นายแบบ, พิธีกร ปัจจุบันเป็นประธานบริษัท ลักษ์ 666 มีคุณพ่อชาวสก็อต ชื่อคุณวิลเลียม แมคอินทอชซึ่งเมื่อครั้งยังหนุ่มเป็นนักรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประจำฝ่ายบิน เมื่อหมดสงคราม จึงไปสมัครเข้าสายการบินเอส.เอ.เอสของเดนมาร์ค การบินไทยเช่าเครื่องบินจากบริษัทนี้ และยังเป็นหุ้นส่วนกันด้วย ต่อมามิสเตอร์วิลเลี่ยม แมคอินทอชจึงถูกส่งตัวมาทำงานกับการบินไทย และได้เจอกับคุณแม่ของเขาคุณยุรภรณ์ มีน้องสาวเป็นนักแสดง พิธีกร คือ คัทลียา แมคอินทอช สมรสกับนางแบบชื่อดัง เยลหลี ริคอร์เดล มีผลงานชิ้นแรกคือ ธัญญา แม่มดยอดยุ่ง (คู่กับ หมิว ลลิตา) วิลลี่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้านชีวิตส่วนตัว สมรสกับ เยลหลี ริคอร์เดล อดีตนางแบบและพิธีกรชื่อดัง มีบุตรคนแรกชื่อ ธาดาฤทธิ์ แมคอินทอช (วิน) เป็นบุตรชาย คลอดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2554 เวลา 06.40 น.ผลงานผลงานละครผลงาน. ผลงานละคร. - 2536 เรือนแรม รับบท พระนายแสนใจภักดิ์ (คุณม่วง) (ภพรัชกาลที่3) / หลวงพจน์สุนทร (คุณประพาส) (ภพรัชกาลที่5) / วิลลี่ (ภพปัจจุบัน) (คู่กับ กมลชนก โกมลฐิติ) ช่อง 7 - 2537 ปราสาทมืด รับบท นายแพทย์ภะรต ภารตรักษ์ (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2538 เหมือนคนละฟากฟ้า รับบท ชิดณรงค์ (คู่กับ จินตหรา สุขพัฒน์) ช่อง 3 - 2538 นิมิตแห่งรัก (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2538 ไฟต่างสี รับบท ไมค์ (คู่กับ ลลิตา ปัญโญภาส) ช่อง 3 - 2539 รักเดียวของเจนจิรา รับบท จ้าวรังสิมันตุ์ (คู่กับ ศิริลักษณ์ ผ่องโชค) ช่อง 3 - 2539 ทรายสีเพลิง รับบท ชาร์ลส์ หว่อง (ฌาณ) (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2540 ตามหัวใจไปสุดหล้า รับบท การิม (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2541 ไฟลวง รับบท นพรุจ (คู่กับ สโรชา วาทิตตพันธ์) ช่อง 3 - 2541 พ่อปลาไหล รับบท อุลิต (คู่กับ สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์) ช่อง 3 - 2541 จากฝันสู่นิรันดร รับบท ตรัย (คู่กับ แอน ทองประสม) ช่อง 3 - 2542 ละครเทิดพระเกียรติเรื่อง พ่อ (ละครโทรทัศน์) ตอน ความฝันอันสูงสุด รับบท เมทิศ คู่กับ จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์) ช่อง 5 - 2542 รักเล่ห์เพทุบาย รับบท ตราภูมิ (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2543 มณีหยาดฟ้า รับบท นาวาโทชาญชล พิริยะผล (คู่กับ แอน ทองประสม) ช่อง 3 - 2544 กากเพชร รับบท เทวา (คู่กับ บัวชมพู ฟอร์ด) ช่อง 3 - 2544 นางร้าย รับบท ภวาภพ (คู่กับ จันทร์จิรา จูแจ้ง) ช่อง 3 - 2545 5 คม รับบท พ.ต.ต. ดรล์ ปรเมศ (คู่กับ สุนิสา เจทท์) ช่อง 3 - 2545 วิวาห์สลับรัก รับบท อวัช (คู่กับแองจี้ เฮสติ้งส์) ช่อง 3 - 2546 2 ผู้ยิ่งใหญ่ (คู่กับ ณัทธมนกาญจน์ ศรีนิกรโชติ) ช่อง 3 - 2547 ขอพลิกฟ้าตามล่าเธอ (คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช) ช่อง 3 - 2548 เจ๊ดัน ฉันรักเธอ รับบท ปีใหม่ (คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช) ช่อง 3 - 2548 สะใภ้กาฝาก รับบท ตรัยคุณ (คู่กับ พรชิตา ณ สงขลา) ช่อง 3 - 2551 สู่ฝันนิรันดร รับบท กวิน (คู๋กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่อง 3 - 2552 สูตรเสน่หา รับบทเป็น อนุชา โสพัฒน์ / เล็ก (คู่กับ ซอนย่า คูลลิ่ง ช่อง 3 - 2554 หมวดโอภาส รับบทเป็น หมอวุฒิ รับเชิญตอน บัวขวัญเธออยู่ไหน (แสดงร่วมกับ หนูนา หนึ่งธิดา และ เต๋อ ฉันทวิชช์) ช่อง 9 - 2558 Club Friday The Series 5 ตอน ความลับของเรา 3 คน รับบทเป็น กรณ์ (คู่กับ ลลิตา ศศิประภา) ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 - 2558 สื่อริษยา รับบทเป็น ภาสกร หิรัญกุล (คู่กับ ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ช่องวัน - 2558 ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด รับบท โรเบิร์ต แอร์รี่ (นายช่างบ๊อบ) (คู่กับ ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ช่องวัน - 2559 กรุงเทพ..มหานครซ้อนรัก รับบท ศรัณย์ (Sandy Cohen) (คู่กับ นุสบา ปุณณกันต์) ช่องวัน - 2559 ฟิตเนสสะเด็ดยาด ช่อง 9 - 2559 ปาฏิหาริย์ เดอะซีรีส์ ตอน รักไม่มีวันตาย รับบท มนัส คู่กับ สินจัย เปล่งพานิช ช่องพีพีทีวี - 2560 ป่ากามเทพ รับบท สดมภ์ สหัชชะ คู่กับ (ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 - 2560 ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ รับบท ธนทัต (ตัวร้าย) ช่องวัน - 2560 ละครชุด ภารกิจรัก เรื่อง เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน รับบท มิสเตอร์เจสัน (รับเชิญ) ช่อง 7 - 2560 The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง รับบท ชิษณุ คู่กับ (จิตตาภา แจ่มปฐม) ช่อง 3 - 2560 Yes, I do คอร์สลัด พิสูจน์เลิฟ รับบท ดร.จอห์น ช่องวัน - 2560 ละครชุด ภารกิจรัก เรื่อง ยึดฟ้าหาพิกัดรัก รับบท มิสเตอร์เจสัน ช่อง 7 - 2560 Club Friday Celeb's Stories ตอน การกลับมา รับบท นิจ นิรันดร์ คู่กับ (เอมี่ กลิ่นประทุม) ช่อง จีเอ็มเอ็ม 25 - 2560 เสือ ชะนี เก้ง รับบท สตีฟ (รับเชิญ) คู่กับ (รฐา โพธิ์งาม) ช่องวัน - 2560 Ways To Protect Relationship จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 ละครชุด น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ตอน สิ่งที่พ่อทำ รับบท พ่อมารีน่า (รับเชิญ) ช่อง 3 - 2561 สัมผัสรัตติกาล รับบท ประทิน เดชกําแหง จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 ดวงใจในไฟหนาว รับบท มิสเตอร์แฟรงค์ ช่อง 3 - 2561 คุณพ่อจอมซ่าส์ รับบท พันอิน คู่กับ ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ จีเอ็มเอ็ม 25 - 2561 บาปรัก รับบท เลอยศ คู่กับ สุวนันท์ ปุณณกันต์ ช่องวันผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - ธัญญาแม่มดยอดยุ่ง (2532) - หนุ่มสาว (2533) - มหัศจรรย์แห่งรัก (2537) (แสดงร่วมกับ ศรัณยู วงศ์กระจ่าง, สินจัย หงษ์ไทย, สันติสุข พรหมศิริ, นุสบา วานิชอังกูร) - สุดขีด: มังกรเจ้าพระยา ภาค 2 (2538) (แสดงร่วมกับ ทอม ดันดี, แวร์ โซว) - สาระแนห้าวเป้ง (2552) (ร่วมแสดง, ควบคุมการผลิต) - สาระแนสิบล้อ (2553) (ร่วมแสดง, ควบคุมการผลิต) - สาระแนเห็นผี (2553) (ร่วมแสดง, อำนวยการสร้าง) - สาระแน โอเซกไก (2555) (ร่วมแสดง, อำนวยการสร้าง) - สาระแน เลิฟยูววว (2560) (ร่วมแสดง)ผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - พรีเซ็นเตอร์ บัตรเที่ยวสวนสนุก ซูเปอร์ฮอลิเดย์ (สวนสยาม ทะเล-กรุงเทพฯ) 2529 - พรีเซ็นเตอร์ ผลิตภัณฑ์ โลชั่น นีเวีย (Nivea) (ร่วมกับ จันทร์จิรา จูแจ้ง) 2532 - พรีเซ็นเตอร์ แชมพู รีจอยส์ 2535 - พรีเซ็นเตอร์ คลอเร็ท (ร่วมกับ หม่ำ จ๊กมก และ นาคร ศิลาชัย) 2537 - 2544 - พรีเซ็นเตอร์ แชมพู แครอล 2538 - พรีเซ็นเตอร์ ชาลิปตัน 2538 - พรีเซ็นเตอร์ รถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ (ร่วมกับ ลลิตา ศศิประภา) 2539 - พรีเซ็นเตอร์ ยาย้อมผม บีเง็น 2544 - พรีเซ็นเตอร์ ผงซักฟอก โอโมพลัส 2550 - 2555 - พรีเซ็นเตอร์ ขนมทอดกรอบ ตะวัน 2549 - 2554 (ร่วมกับ นาคร ศิลาชัย และ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค)รายการโทรทัศน์รายการโทรทัศน์. - สืบสะเด็ด ช่อง 5 (2538 - 2540) - เกมโซน ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. (2539 - 2545) - 100 แวง ตะแคง 15 ช่อง 5 (2541 - 2542) - แฟนตาซีมีหาง ช่อง 5 (2542 - 2543) - รัด ชัด นิวส์ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2545 - 2546) - เป๋าตุง (อำนวยการผลิต) ไอทีวี (2547 - 2549) - ทีวีพูดได้ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2548 - 2549) - สงครามเขาและเธอ โมเดิร์นไนน์ (2545 - 2546) - สาระแน (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2541 - ปัจจุบัน) - นั่งยางโชว์ (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 3 (2543 - ปัจจุบัน) - ฮวงจุ้ยดีดี (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 9 (2548 - 2550) - สมาคมชมดาว เดอะ วิลลี่ ช่อง 3 (2549 - 2550) - I See U (พิธีกร และ ควบคุมการผลิต) ช่อง 3 (2546 - 2549) - บางจะเกร็ง (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) โมเดิร์นไนน์ (2552) - ฮาจะเกร็ง (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) โมเดิร์นไนน์ (2553 - ปัจจุบัน) - ฮวงจุ้ย (พิธีกร และ อำนวยการผลิต) ช่อง 5 (2554 - ปัจจุบัน) - TORE เกมพีระมิดปริศนา (พิธีกร) ช่อง 9 (2557) - ซุป'ตาร์ปาร์ตี้ Celebrity Game Night (พิธีกร) ช่อง วัน (2557 - 2559) , (2560 - ปัจจุบัน) - เกาะแก้วพิสดาร ช่อง 3 (2557 - 2558) - หอยเจอลี่ ไทยรัฐทีวี (2557 - 2558) - งานเข้าที่เล้าเป็ด (พิธีกร) ช่อง วัน (2558) - 7 ดาวประจัญบาน ช่อง 7 สี (2558) - เอ๊ะใครหว่า ช่อง 8 (2558) - I Love Thailand ช่อง 3 (2559) - BOOM! Thailand (พิธีกร) ช่อง 9 (2560) - ศึกเมนูพิชิตใจ ช่อง 3 (2560) - MY HOMEMADE SHOW สู้เพื่อฝันกันทั้งบ้าน (พิธีกร) ช่อง ThaiPBS - HOLLYWOOD GAME NIGHT THAILAND (พิธีกร) ช่อง 3 - หลงเสียงเธอ MY WIFE IS A SINGER (พิธีกร) ช่อง 7 สีรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - 10 ดาราหนุ่มเซ็กซี่ปี 1998 - หนุ่มมีชื่อเสียงที่แต่งกายดีเด่น ปี 2000 - ปี 2544 เอแบคโพลล์ พระเอกยอดนิยม - คุณงามความดีเพื่อสังคม - นำทีมเพื่อนดาราร่วมรณรงค์ช่วยเหลือ"เมาไม่ขับกลับบ้านปลอดภัย" หวังลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์รายการอ้างอิงรายการอ้างอิง. - ประวัติ: วิลลี่ เริงฤทธิ์ แมคอินทอช MSN บันเทิง
ภรรยาของวิลลี่ แมคอินทอช คือใคร
{ "answer": [ "เยลหลี ริคอร์เดล" ], "answer_begin_position": [ 862 ], "answer_end_position": [ 878 ] }
1,540
538,616
เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2400 เป็นธิดาของพระยาสุรินทรราชเสนี (จั่น สุกุมลจันทร์) กับ คุณหญิงกลิ่น สุรินทรราชเสนี (สกุลเดิม รักตประจิต) ท่านมีพี่น้องที่ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน ดังนี้- ท้าววนิดาพิจาริณี (เจ้าจอมมารดาสุ่น ในรัชกาลที่ 4) - เจ้าจอมมารดาสุด ในรัชกาลที่ 5 ท่านได้ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ให้ประสูติกาลพระองค์เจ้าหญิงไม่มีพระนามหนึ่งพระองค์ ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2424 และสิ้นพระชนม์ในวันต่อมา เจ้าจอมมารดาสาย ขึ้นชื่อว่าเป็น "นางเอกละครแถวหน้า" อีกท่านหนึ่งในราชสำนักรัชกาลที่ ๔-๕ ด้วยเพราะรูปร่างหน้าตาสะสวย และมีความสามารถในการรำที่โดดเด่น เมื่อมีการประดิษฐ์ท่ารำ ชุด ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมมารดาสาย ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดท่ารำ และคาดว่าน่าจะเป็นตัวแสดงฉุยฉายนี้คู่กับเจ้าจอมละม้าย สุวรรณทัต ด้วยเพราะท่านทั้งสองเป็นนางละครรุ่นเดียวกัน มีความสามารถโดดเด่นเหมือนกัน และเป็นที่ร่ำลือเรื่องความงามของหน้าตา เจ้าจอมมารดาสายเป็นนางละครหลวงรุ่นเล็ก ในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ 5 และคณะละครวังสวนกุหลาบอีกด้วย มีความสามารถสูงในการรำบทบาทตัวละครเอกในเรื่องต่างๆ วิชาความรู้จากเจ้าจอมมารดาสาย ที่ตกทอดมายังกรมศิลปากร และวิทยาลัยนาฏศิลป ตลอดจนสถาบันการศึกษาด้านนาฏศิลป์อื่นๆ และยึดเป็นรูปแบบมาถึงปัจจุบัน มีดังนี้ ๑ รำที่มีกิ่งไม้เงินทองประดับ เช่น รำกลมกิ่งไม้เงินทอง รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ๒ รำฝรั่งคู่ ทั้งตัวพระ และตัวนาง ๓ ท่ารำอวดฝีมือของตัวละครเอกต่างๆ เช่นพระอุณรุฑ และนางอุษา จากละครใน เรื่อง อุณรุฑ , พระอรชุน และนางเมขลา จากละครใน เรื่อง รามเกียรติ์ เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อประมาณ พ.ศ. 2460 อัฐิของท่านบรรจุไว้ที่เจดีย์หน้าศาลาวรลักษณาวดี วัดพระยายัง กรุงเทพมหานครเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 3 (จ.ป.ร.3)
พระบิดาของเจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 คือใคร
{ "answer": [ "พระยาสุรินทรราชเสนี" ], "answer_begin_position": [ 195 ], "answer_end_position": [ 214 ] }
2,328
538,616
เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2400 เป็นธิดาของพระยาสุรินทรราชเสนี (จั่น สุกุมลจันทร์) กับ คุณหญิงกลิ่น สุรินทรราชเสนี (สกุลเดิม รักตประจิต) ท่านมีพี่น้องที่ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน ดังนี้- ท้าววนิดาพิจาริณี (เจ้าจอมมารดาสุ่น ในรัชกาลที่ 4) - เจ้าจอมมารดาสุด ในรัชกาลที่ 5 ท่านได้ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ให้ประสูติกาลพระองค์เจ้าหญิงไม่มีพระนามหนึ่งพระองค์ ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2424 และสิ้นพระชนม์ในวันต่อมา เจ้าจอมมารดาสาย ขึ้นชื่อว่าเป็น "นางเอกละครแถวหน้า" อีกท่านหนึ่งในราชสำนักรัชกาลที่ ๔-๕ ด้วยเพราะรูปร่างหน้าตาสะสวย และมีความสามารถในการรำที่โดดเด่น เมื่อมีการประดิษฐ์ท่ารำ ชุด ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมมารดาสาย ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดท่ารำ และคาดว่าน่าจะเป็นตัวแสดงฉุยฉายนี้คู่กับเจ้าจอมละม้าย สุวรรณทัต ด้วยเพราะท่านทั้งสองเป็นนางละครรุ่นเดียวกัน มีความสามารถโดดเด่นเหมือนกัน และเป็นที่ร่ำลือเรื่องความงามของหน้าตา เจ้าจอมมารดาสายเป็นนางละครหลวงรุ่นเล็ก ในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาได้เป็นครูละครหลวงในรัชกาลที่ 5 และคณะละครวังสวนกุหลาบอีกด้วย มีความสามารถสูงในการรำบทบาทตัวละครเอกในเรื่องต่างๆ วิชาความรู้จากเจ้าจอมมารดาสาย ที่ตกทอดมายังกรมศิลปากร และวิทยาลัยนาฏศิลป ตลอดจนสถาบันการศึกษาด้านนาฏศิลป์อื่นๆ และยึดเป็นรูปแบบมาถึงปัจจุบัน มีดังนี้ ๑ รำที่มีกิ่งไม้เงินทองประดับ เช่น รำกลมกิ่งไม้เงินทอง รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ๒ รำฝรั่งคู่ ทั้งตัวพระ และตัวนาง ๓ ท่ารำอวดฝีมือของตัวละครเอกต่างๆ เช่นพระอุณรุฑ และนางอุษา จากละครใน เรื่อง อุณรุฑ , พระอรชุน และนางเมขลา จากละครใน เรื่อง รามเกียรติ์ เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อประมาณ พ.ศ. 2460 อัฐิของท่านบรรจุไว้ที่เจดีย์หน้าศาลาวรลักษณาวดี วัดพระยายัง กรุงเทพมหานครเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 3 (จ.ป.ร.3)
มารดาของของเจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 คือใคร
{ "answer": [ "คุณหญิงกลิ่น สุรินทรราชเสนี" ], "answer_begin_position": [ 239 ], "answer_end_position": [ 266 ] }
1,541
543,443
เจ้าชายปารัส มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล (; พระราชสมภพ: 30 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เป็นอดีตมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรเนปาล ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึงการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี พ.ศ. 2551 เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ ประสูติที่กรุงกาฐมาณฑุ ราชอาณาจักรเนปาล เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ กับสมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะชีวิตส่วนพระองค์ ชีวิตส่วนพระองค์. พระองค์เสกสมรสกับเจ้าหญิงหิมานี มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ ได้แก่1. เจ้าหญิงปูรณิกาแห่งเนปาล 2. เจ้าชายหริทเยนทระแห่งเนปาล 3. เจ้าหญิงกฤติกาแห่งเนปาล เมื่อครั้งที่อยู่ในประเทศเนปาลพระองค์เป็นที่โจษจันของทวยราษฎร์ว่าเป็น "เจ้าชายเพลย์บอย จอมซิ่งรถ และดำรงพระองค์สุรุ่ยสุร่าย" ครั้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์ได้รับการหมิ่นพระเกียรติจากแขกสองคนที่เข้ามาพักในรีสอร์ตแห่งหนึ่งภายในประเทศเนปาล ด้วยทรงพระโกรธพระองค์จึงยิงปืนขึ้นฟ้า และบริภาษแขกที่เข้ามาพักท่านอื่นอีก ภายหลังพระองค์ได้มาพำนักประเทศสิงคโปร์กับพระชายา ก่อนเข้ามาอยู่ประเทศไทยโดยประทับอยู่ในกรุงเทพมหานครและภูเก็ต และทรงตัดขาดกับพระชายา โดยคบหากับหญิงไทยชื่อ กรรณิกา ไชยสาร พระองค์ถูกตำรวจไทยจับกุมสามครั้งเนื่องจากมีกัญชาและยาไอซ์ไว้ในครอบครองในท้องที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี พ.ศ. 2555 กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2557 และจังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2557 ตามลำดับ มกุฎราชกุมารปารัส ได้เสด็จกลับประเทศเนปาลเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558 โดยจะประทับที่พระตำหนักของพระราชบิดา และไม่มีกำหนดกลับไปกรุงเทพมหานคร
เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล พระราชสมภพเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "30" ], "answer_begin_position": [ 209 ], "answer_end_position": [ 211 ] }
1,542
543,443
เจ้าชายปารัส มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล (; พระราชสมภพ: 30 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เป็นอดีตมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรเนปาล ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึงการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี พ.ศ. 2551 เจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ ประสูติที่กรุงกาฐมาณฑุ ราชอาณาจักรเนปาล เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ กับสมเด็จพระราชินีโกมลราชยลักษมีเทวีศาหะชีวิตส่วนพระองค์ ชีวิตส่วนพระองค์. พระองค์เสกสมรสกับเจ้าหญิงหิมานี มกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล มีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ ได้แก่1. เจ้าหญิงปูรณิกาแห่งเนปาล 2. เจ้าชายหริทเยนทระแห่งเนปาล 3. เจ้าหญิงกฤติกาแห่งเนปาล เมื่อครั้งที่อยู่ในประเทศเนปาลพระองค์เป็นที่โจษจันของทวยราษฎร์ว่าเป็น "เจ้าชายเพลย์บอย จอมซิ่งรถ และดำรงพระองค์สุรุ่ยสุร่าย" ครั้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์ได้รับการหมิ่นพระเกียรติจากแขกสองคนที่เข้ามาพักในรีสอร์ตแห่งหนึ่งภายในประเทศเนปาล ด้วยทรงพระโกรธพระองค์จึงยิงปืนขึ้นฟ้า และบริภาษแขกที่เข้ามาพักท่านอื่นอีก ภายหลังพระองค์ได้มาพำนักประเทศสิงคโปร์กับพระชายา ก่อนเข้ามาอยู่ประเทศไทยโดยประทับอยู่ในกรุงเทพมหานครและภูเก็ต และทรงตัดขาดกับพระชายา โดยคบหากับหญิงไทยชื่อ กรรณิกา ไชยสาร พระองค์ถูกตำรวจไทยจับกุมสามครั้งเนื่องจากมีกัญชาและยาไอซ์ไว้ในครอบครองในท้องที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี พ.ศ. 2555 กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2557 และจังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2557 ตามลำดับ มกุฎราชกุมารปารัส ได้เสด็จกลับประเทศเนปาลเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558 โดยจะประทับที่พระตำหนักของพระราชบิดา และไม่มีกำหนดกลับไปกรุงเทพมหานคร
พระบิดาของเจ้าชายปารัสวีรพิกรมศาหเทวะ มกุฎราชกุมารแห่งเนปาล มีพระนามว่าอะไร
{ "answer": [ "สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทรวีรวิกรมศาหเทวะ" ], "answer_begin_position": [ 424 ], "answer_end_position": [ 465 ] }
1,547
579,589
หลุยส์ เฮส์ดาร์ซัน หลุยส์ เฮสดาร์ซัน เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เป็นนักแสดงชาวไทย เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เข้าสู่วงการบันเทิงโดยการเล่น MV และเล่นภาพยนตร์เรื่อง After School วิ่งสู้ฝัน เมื่อปี 2553 จากนั้นเขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัด ช่อง7 เป็นเวลาทั้งสิ้น 7 ปี ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ปัจจุบันจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน สถาบันการศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยรามคำแหงและรับราชการทหาร กองพันทหารราบ มณฑลทหารราบที่ 11 เขาตั้งใจจะสอบเป็นนายร้อยด้วยผลงานผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ผลงานละครโทรทัศน์. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5ผลงานภาพยนตร์
หลุยส์ เฮสดาร์ซัน นักแสดงลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "21" ], "answer_begin_position": [ 146 ], "answer_end_position": [ 148 ] }
1,548
579,589
หลุยส์ เฮส์ดาร์ซัน หลุยส์ เฮสดาร์ซัน เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เป็นนักแสดงชาวไทย เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เข้าสู่วงการบันเทิงโดยการเล่น MV และเล่นภาพยนตร์เรื่อง After School วิ่งสู้ฝัน เมื่อปี 2553 จากนั้นเขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัด ช่อง7 เป็นเวลาทั้งสิ้น 7 ปี ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ปัจจุบันจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน สถาบันการศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยรามคำแหงและรับราชการทหาร กองพันทหารราบ มณฑลทหารราบที่ 11 เขาตั้งใจจะสอบเป็นนายร้อยด้วยผลงานผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ผลงานละครโทรทัศน์. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5ผลงานภาพยนตร์
หลุยส์ เฮสดาร์ซัน เล่นภาพยนตร์เรื่อง After School วิ่งสู้ฝัน เมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2553" ], "answer_begin_position": [ 296 ], "answer_end_position": [ 300 ] }
1,550
590,943
ซะโอะริ ทะกะฮะชิ ซะโอะริ ทะกะฮะชิ (; เกิด: 9 ธันวาคม 1992) เป็นนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น เล่นลีกอาชีพให้กับสโมสรฮิตะชิรีวาเล เธอเล่นให้กับทีมชาติครั้งแรกในการแข่งขัน มอนเทร็กซ์ วอลเลย์ มาสเตอร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013สโมสรสโมสร. - โรงเรียนประถมวะกะ-ฮิกะชิ - โรงเรียนมัธยมหญิงโมริโอะกะ - ฮิตะชิรีวาเล (2011-ปัจจุบัน)รางวัลบุคคลรางวัล. บุคคล. - 2013 - วี.ชาลเลนจ์ลีก ผู้เล่นยอดเยี่ยมผลงานกับสโมสรฮิตะชิรีวาเลผลงานกับสโมสรฮิตะชิรีวาเล. - 2012-2013 วี.ชาลเลนจ์ลีก - อันดับที่ 2
ซะโอะริ ทะกะฮะชิ เป็นนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "9" ], "answer_begin_position": [ 134 ], "answer_end_position": [ 135 ] }
1,551
590,943
ซะโอะริ ทะกะฮะชิ ซะโอะริ ทะกะฮะชิ (; เกิด: 9 ธันวาคม 1992) เป็นนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น เล่นลีกอาชีพให้กับสโมสรฮิตะชิรีวาเล เธอเล่นให้กับทีมชาติครั้งแรกในการแข่งขัน มอนเทร็กซ์ วอลเลย์ มาสเตอร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013สโมสรสโมสร. - โรงเรียนประถมวะกะ-ฮิกะชิ - โรงเรียนมัธยมหญิงโมริโอะกะ - ฮิตะชิรีวาเล (2011-ปัจจุบัน)รางวัลบุคคลรางวัล. บุคคล. - 2013 - วี.ชาลเลนจ์ลีก ผู้เล่นยอดเยี่ยมผลงานกับสโมสรฮิตะชิรีวาเลผลงานกับสโมสรฮิตะชิรีวาเล. - 2012-2013 วี.ชาลเลนจ์ลีก - อันดับที่ 2
ซะโอะริ ทะกะฮะชิ เล่นทีมชาติครั้งแรกในการแข่งขัน มอนเทร็กซ์วอลเลย์มาสเตอร์ เมื่อเดือนอะไร
{ "answer": [ "พฤษภาคม" ], "answer_begin_position": [ 301 ], "answer_end_position": [ 308 ] }
1,553
598,462
คริสเตียนีและนีลเส็น บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ:Christiani & Nielsen ชื่อย่อ:CNT) ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2447 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รังสิตประวัติ ประวัติ. ก่อตั้งโดยวิศวกรชาวเดนมาร์กชื่อ รูดอฟ คริสเตียนี และกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก อาเจ้ นีลเส็น ในปี พ.ศ. 2447 ที่ประเทศเดนมาร์ก โดยรับเหมาก่อสร้างสะพาน งานโครงสร้างเหล็ก งานต่อเรือ และ โครงสร้างคอนกรีต หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1ได้ขยายการรับงานไปทั่วโลก อาทิ อังกฤษ ภูมิภาคอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และ แอฟริกา ได้เข้ามาก่อตั้ง บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (สยาม) จำกัด เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี พ.ศ. 2534ผลงานผลงาน. - อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย - ท่าเรือคลองเตย - สะพานกรุงเทพ (ซับคอนแทคเตอร์) - สะพานกรุงธน (ซับคอนแทคเตอร์) - สะพานนนทบุรี (ซับคอนแทคเตอร์) - สนามมวยราชดำเนิน
บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น จำกัด มหาชน ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2447" ], "answer_begin_position": [ 248 ], "answer_end_position": [ 252 ] }
1,554
598,462
คริสเตียนีและนีลเส็น บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ:Christiani & Nielsen ชื่อย่อ:CNT) ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2447 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รังสิตประวัติ ประวัติ. ก่อตั้งโดยวิศวกรชาวเดนมาร์กชื่อ รูดอฟ คริสเตียนี และกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก อาเจ้ นีลเส็น ในปี พ.ศ. 2447 ที่ประเทศเดนมาร์ก โดยรับเหมาก่อสร้างสะพาน งานโครงสร้างเหล็ก งานต่อเรือ และ โครงสร้างคอนกรีต หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1ได้ขยายการรับงานไปทั่วโลก อาทิ อังกฤษ ภูมิภาคอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และ แอฟริกา ได้เข้ามาก่อตั้ง บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (สยาม) จำกัด เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี พ.ศ. 2534ผลงานผลงาน. - อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย - ท่าเรือคลองเตย - สะพานกรุงเทพ (ซับคอนแทคเตอร์) - สะพานกรุงธน (ซับคอนแทคเตอร์) - สะพานนนทบุรี (ซับคอนแทคเตอร์) - สนามมวยราชดำเนิน
บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น จำกัด มหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2534" ], "answer_begin_position": [ 817 ], "answer_end_position": [ 821 ] }
1,559
683,648
วัดกะพังสุรินทร์ วัดกะพังสุรินทร์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ปัจจุบันมีพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) (เจ้าคณะใหญ่หนใต้) เป็นเจ้าอาวาสประวัติ ประวัติ. วัดกะพังสุรินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2440 โดยมีเจ้าเส เป็นผู้บริจาคที่ดินสร้างวัด ได้รับวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2480 และผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ ภายในวัดมีพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เสาไม้ฝาก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วต่างๆ ระดับสองชั้น ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที 17 มีนาคม พ.ศ. 2542 วัดกะพังสุรินทร์เป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมสหประชาสรรค์ และศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เจ้าอาวาสรูปแรกคือ พระครูวิเชียร ปัจจุบันมีพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เป็นเจ้าอาวาสและดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ พระราชวรากร (สงบ วรเสรี) เป็นรองเจ้าอาวาส และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดตรังสิ่งก่อสร้างภายในวัดพระอุโบสถ สิ่งก่อสร้างภายในวัด. พระอุโบสถ. ภายในวัดมีพระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เสาไม้ฝาก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วต่างๆ ระดับสองชั้น กว้าง 9.50 เมตร ยาว 15.40 เมตร วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2480 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 24 เมตร ยาว 36 เมตร อุโบสถถูกสร้างขึ้นในสมัยพระอธิการแย้มเป็นเจ้าอาวาส และสร้างเรื่อยมาจนถึงพระอธิการเพื่อม ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีกุน (ปีนี้เป็นอธิกมาส) โครงสร้างเสาไม้ ฝาผนังหล่อปูน หลังคา 2 ชั้น มุงกระเบื้องปูนชนิด 4 เหลี่ยม ต่อมาชำรุดไปตามกาลเวลา ซึ่งในปี พ.ศ. 2525 จัดการบูรณะเสียใหม่ในส่วนหลังคาในสมัยพระพรหมจริยาจารย์ (ครั้งดำรงสมณศกดิ์ที่พระปิฎกคุณาภรณ์) เป็นเจ้าอาวาส พ.ศ.2525 รูปทรงยังคงรูปเดิมไว้ กระเบื้องหลังคาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนเล็กใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะความเก่าแก่มานาน กรมศิลปากรจึงขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2542 มีพื้นที่ 1 งาน 94 ตารางวาศาลาการเปรียญ ศาลาการเปรียญ. ศาลาการเปรียญ กว้าง 11 เมตร ยาว 18 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2495 สมัยพระอธิการเพื่อม เป็นเจ้าอาวาส โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้งานมาเป็นเวลาหลายปีจนชำรุดไปตามสภาพ ต่อมาภายหลังสมัยพระพรหมจริยาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส รื้อออกสร้างใหม่ในนามเดิม กว้าง 17 เมตร ยาว 28 เมตร เป็นอาคาร 2 ชั้น
วัดกะพังสุรินทร์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2440" ], "answer_begin_position": [ 310 ], "answer_end_position": [ 314 ] }
1,560
683,648
วัดกะพังสุรินทร์ วัดกะพังสุรินทร์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ปัจจุบันมีพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) (เจ้าคณะใหญ่หนใต้) เป็นเจ้าอาวาสประวัติ ประวัติ. วัดกะพังสุรินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2440 โดยมีเจ้าเส เป็นผู้บริจาคที่ดินสร้างวัด ได้รับวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2480 และผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ ภายในวัดมีพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เสาไม้ฝาก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วต่างๆ ระดับสองชั้น ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที 17 มีนาคม พ.ศ. 2542 วัดกะพังสุรินทร์เป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมสหประชาสรรค์ และศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เจ้าอาวาสรูปแรกคือ พระครูวิเชียร ปัจจุบันมีพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เป็นเจ้าอาวาสและดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ พระราชวรากร (สงบ วรเสรี) เป็นรองเจ้าอาวาส และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดตรังสิ่งก่อสร้างภายในวัดพระอุโบสถ สิ่งก่อสร้างภายในวัด. พระอุโบสถ. ภายในวัดมีพระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เสาไม้ฝาก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วต่างๆ ระดับสองชั้น กว้าง 9.50 เมตร ยาว 15.40 เมตร วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2480 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 24 เมตร ยาว 36 เมตร อุโบสถถูกสร้างขึ้นในสมัยพระอธิการแย้มเป็นเจ้าอาวาส และสร้างเรื่อยมาจนถึงพระอธิการเพื่อม ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีกุน (ปีนี้เป็นอธิกมาส) โครงสร้างเสาไม้ ฝาผนังหล่อปูน หลังคา 2 ชั้น มุงกระเบื้องปูนชนิด 4 เหลี่ยม ต่อมาชำรุดไปตามกาลเวลา ซึ่งในปี พ.ศ. 2525 จัดการบูรณะเสียใหม่ในส่วนหลังคาในสมัยพระพรหมจริยาจารย์ (ครั้งดำรงสมณศกดิ์ที่พระปิฎกคุณาภรณ์) เป็นเจ้าอาวาส พ.ศ.2525 รูปทรงยังคงรูปเดิมไว้ กระเบื้องหลังคาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนเล็กใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะความเก่าแก่มานาน กรมศิลปากรจึงขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2542 มีพื้นที่ 1 งาน 94 ตารางวาศาลาการเปรียญ ศาลาการเปรียญ. ศาลาการเปรียญ กว้าง 11 เมตร ยาว 18 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2495 สมัยพระอธิการเพื่อม เป็นเจ้าอาวาส โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้งานมาเป็นเวลาหลายปีจนชำรุดไปตามสภาพ ต่อมาภายหลังสมัยพระพรหมจริยาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส รื้อออกสร้างใหม่ในนามเดิม กว้าง 17 เมตร ยาว 28 เมตร เป็นอาคาร 2 ชั้น
วัดกะพังสุรินทร์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ได้รับวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 385 ], "answer_end_position": [ 386 ] }
1,564
743,286
ตาอูร์ มาตัน รูอัก ตาอูร์ มาตัน รูอัก (เกิด 10 ตุลาคม พ.ศ. 2499) เป็นนักการเมืองชาวติมอร์-เลสเต และเป็นประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตตั้งแต่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ก่อนที่จะเข้าสู่การเมือง เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพติมอร์-เลสเตจาก พ.ศ. 2545 จนถึง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554 หลังจากพ้นจากราชการทหารในปีพ.ศ. 2554 เขาได้เป็นผู้สมัครอิสระในการเลือกตั้งประธานาธิบดีติมอร์-เลสเต พ.ศ. 2555 และชนะเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555
ตาอูร์ มาตัน รูอัก เป็นประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตตั้งแต่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "10" ], "answer_begin_position": [ 137 ], "answer_end_position": [ 139 ] }
1,565
743,286
ตาอูร์ มาตัน รูอัก ตาอูร์ มาตัน รูอัก (เกิด 10 ตุลาคม พ.ศ. 2499) เป็นนักการเมืองชาวติมอร์-เลสเต และเป็นประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตตั้งแต่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ก่อนที่จะเข้าสู่การเมือง เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพติมอร์-เลสเตจาก พ.ศ. 2545 จนถึง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554 หลังจากพ้นจากราชการทหารในปีพ.ศ. 2554 เขาได้เป็นผู้สมัครอิสระในการเลือกตั้งประธานาธิบดีติมอร์-เลสเต พ.ศ. 2555 และชนะเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555
ตาอูร์ มาตัน รูอัก เป็นประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตตั้งแต่ปี พ.ศ. อะไร
{ "answer": [ "2555" ], "answer_begin_position": [ 244 ], "answer_end_position": [ 248 ] }
1,568
767,910
เจสัน จอร์แดน นาธาน อีเวอร์ฮาร์ต (Nathan Everhart) เกิด 28 กันยายน ค.ศ. 1988 นักมวยปล้ำอาชีพและนักมวยปล้ำสมัครเล่นชาวอเมริกันที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEภายใต้ชื่อ เจสัน จอร์แดน (Jason Jordan) เปิดตัวในFCWก่อนจะเปลี่ยนเป็นNXTต่อมาก็ได้ร่วมทีมกับแชด เกเบิลในนามอเมริกันอัลฟาคว้าแชมป์แท็กทีม NXTร่วมกัน 1สมัย ปี2016 ได้ขึ้นค่ายหลักพร้อมเกเบิลโดยสังกัดSmackDown และคว้าแชมป์สแมคดาวน์แท็กทีม WWEร่วมกันอีก 1สมัย ปี 2017 เขาได้เปิดตัวในบทลูกชายของผู้จัดการทั่วไปของRaw เคิร์ต แองเกิลทำให้ต้องแยกกับเกเบิล และยังได้แชมป์รอว์แท็กทีม WWEร่วมกับเซท โรลลินส์ ทำให้จอร์แดนเป็นคนแรกที่ได้แชมป์แท็กทีมทั้งสามค่าย Raw, SmackDown และ NXTแชมป์และรางวัลแชมป์และรางวัล. - Florida Championship Wrestling- FCW Florida Tag Team Championship (1 time) – with CJ Parker - Pro Wrestling Illustrated- Ranked 103 of the top 500 singles wrestlers in the PWI 500 in 2017 - WWE- WWE Raw Tag Team Championship (1 time) – with Seth Rollins - WWE SmackDown Tag Team Championship (1 time) – with Chad Gable - WWE NXT- NXT Tag Team Championship (1 time) – with Chad Gable
นาธาน อีเวอร์ฮาร์ต นักมวยปล้ำอาชีพ ปัจจุบันเซ็นสัญญากับ WWE ภายใต้ชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เจสัน จอร์แดน" ], "answer_begin_position": [ 250 ], "answer_end_position": [ 263 ] }
1,569
767,910
เจสัน จอร์แดน นาธาน อีเวอร์ฮาร์ต (Nathan Everhart) เกิด 28 กันยายน ค.ศ. 1988 นักมวยปล้ำอาชีพและนักมวยปล้ำสมัครเล่นชาวอเมริกันที่ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWEภายใต้ชื่อ เจสัน จอร์แดน (Jason Jordan) เปิดตัวในFCWก่อนจะเปลี่ยนเป็นNXTต่อมาก็ได้ร่วมทีมกับแชด เกเบิลในนามอเมริกันอัลฟาคว้าแชมป์แท็กทีม NXTร่วมกัน 1สมัย ปี2016 ได้ขึ้นค่ายหลักพร้อมเกเบิลโดยสังกัดSmackDown และคว้าแชมป์สแมคดาวน์แท็กทีม WWEร่วมกันอีก 1สมัย ปี 2017 เขาได้เปิดตัวในบทลูกชายของผู้จัดการทั่วไปของRaw เคิร์ต แองเกิลทำให้ต้องแยกกับเกเบิล และยังได้แชมป์รอว์แท็กทีม WWEร่วมกับเซท โรลลินส์ ทำให้จอร์แดนเป็นคนแรกที่ได้แชมป์แท็กทีมทั้งสามค่าย Raw, SmackDown และ NXTแชมป์และรางวัลแชมป์และรางวัล. - Florida Championship Wrestling- FCW Florida Tag Team Championship (1 time) – with CJ Parker - Pro Wrestling Illustrated- Ranked 103 of the top 500 singles wrestlers in the PWI 500 in 2017 - WWE- WWE Raw Tag Team Championship (1 time) – with Seth Rollins - WWE SmackDown Tag Team Championship (1 time) – with Chad Gable - WWE NXT- NXT Tag Team Championship (1 time) – with Chad Gable
นาธาน อีเวอร์ฮาร์ต หรือ Nathan Everhart นักมวยปล้ำอาชีพ เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "28" ], "answer_begin_position": [ 144 ], "answer_end_position": [ 146 ] }
1,574
806,233
พรรคชาติสามัคคี พรรคชาติสามัคคี ( , ชื่อย่อ : CSP , ชสม.) พรรคการเมืองของไทยที่จดทะเบียนตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541ประวัติ ประวัติ. พรรคชาติสามัคคีจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เป็นลำดับที่ 14/2549 มีนายนพดล ไชยฤทธิเดชเป็นหัวหน้าพรรคการเลือกตั้ง การเลือกตั้ง. พรรคชาติสามัคคีได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งยุบพรรค ยุบพรรค. พรรคชาติสามัคคีถูกยุบตามคำสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เนื่องจากไม่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของพรรคการเมือง
พรรคชาติสามัคคีได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "23" ], "answer_begin_position": [ 481 ], "answer_end_position": [ 483 ] }
1,575
806,233
พรรคชาติสามัคคี พรรคชาติสามัคคี ( , ชื่อย่อ : CSP , ชสม.) พรรคการเมืองของไทยที่จดทะเบียนตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541ประวัติ ประวัติ. พรรคชาติสามัคคีจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เป็นลำดับที่ 14/2549 มีนายนพดล ไชยฤทธิเดชเป็นหัวหน้าพรรคการเลือกตั้ง การเลือกตั้ง. พรรคชาติสามัคคีได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งยุบพรรค ยุบพรรค. พรรคชาติสามัคคีถูกยุบตามคำสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เนื่องจากไม่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของพรรคการเมือง
พรรคชาติสามัคคีจดทะเบียนก่อตั้งพรรคเมื่อ พ.ศ. อะไร
{ "answer": [ "2549" ], "answer_begin_position": [ 316 ], "answer_end_position": [ 320 ] }
1,581
888,140
อาเมรีกานา (รัฐเซาเปาลู) อาเมรีกานา () เป็นเทศบาลในรัฐเซาเปาลู ประเทศบราซิล มีประชากร 229,322 คน (ค.ศ. 2015) มีพื้นที่ 133.91 ตร.กม. พื้นที่ตั้งถิ่นฐานเดิมพัฒนาขึ้นรอบสถานีรถไฟ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1875 และมีการพัฒนาโรงงานทอผ้าฝ้ายใกล้กับฟาร์ม ชื่อเมืองเนื่องจากการตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกันจากรัฐฝ่ายใต้ที่อพยพเข้าไปภายหลังแพ้สงครามกลางเมืองอเมริกา
อาเมรีกานา เป็นเทศบาลในรัฐเซาเปาลู ประเทศบราซิล ก่อตั้งในปี ค.ศ. ใด
{ "answer": [ "1875" ], "answer_begin_position": [ 293 ], "answer_end_position": [ 297 ] }
1,582
888,140
อาเมรีกานา (รัฐเซาเปาลู) อาเมรีกานา () เป็นเทศบาลในรัฐเซาเปาลู ประเทศบราซิล มีประชากร 229,322 คน (ค.ศ. 2015) มีพื้นที่ 133.91 ตร.กม. พื้นที่ตั้งถิ่นฐานเดิมพัฒนาขึ้นรอบสถานีรถไฟ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1875 และมีการพัฒนาโรงงานทอผ้าฝ้ายใกล้กับฟาร์ม ชื่อเมืองเนื่องจากการตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกันจากรัฐฝ่ายใต้ที่อพยพเข้าไปภายหลังแพ้สงครามกลางเมืองอเมริกา
อาเมรีกานา เป็นเทศบาลในรัฐเซาเปาลู ประเทศอะไร
{ "answer": [ "บราซิล" ], "answer_begin_position": [ 168 ], "answer_end_position": [ 174 ] }
1,586
936,352
อะพอลโล 13 อะพอลโล 13 () เป็นภารกิจมีคนควบคุมภารกิจที่ 7 ในโครงการอวกาศอะพอลโลและเป็นโครงการที่สามที่ตั้งใจลงจอดบนดวงจันทร์ มีการปล่อยยานสู่อวกาศในวันที่ 11 เมษายน 1970 เมื่อเวลา 14:13 เวลามาตรฐานตะวันออกจากศูนย์อวกาศเคนเนดี รัฐฟลอริดา แต่การลงจอดดวงจันทร์ถูกยกเลิกหลังถังออกซิเจนระเบิดอีกสองวันให้หลัง ทำให้มอดูลบริการ (Service Module) ซึ่งมอดูลสั่งการ (Command Module) อาศัยใช้การไม่ได้ แม้ลูกเรือประสบความยากลำบากมหันต์จากพลังงานจำกัด การเสียความร้อนในเคบิน การขาดแคลนน้ำพกพาได้และความจำเป็นวิกฤตต้องซ่อมแซมทดแทนชั่วคราวซึ่งระบบกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ลูกเรือสามารถกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัยในวันที่ 17 เมษายน 1970 หกวันหลังปล่อยยาน ยานผ่านด้านไกลของดวงจันทร์ที่ความสูง 254 กิโลเมตรเหนือผิวดวงันทร์ และห่างจากโลก 400,171 กิโลเมตร เป็นสถิติมนุษย์ที่เดินทางห่างจากโลกมากที่สุด ภารกิจดังกล่าวมีเจมส์ เอ. โลเวลล์เป็นผู้บัญชาการ โดยมีจอห์น แอล. "แจ็ก" สวีเกิร์ต (John L. "Jack" Swigert) เป็นนักบินมอดูลสั่งการและเฟรด ดับเบิลยู. เฮสเป็นนักบินมอดูลดวงจันทร์ สวีเกิร์ตมาแทนเค็น แมตทิงลีในช่วงท้ายซึ่งถูกศัลยแพทย์การบินสั่งห้ามบินหลังได้รับโรคหัดเยอรมัน
ยานอะพอลโล 13 กลับสู่โลกอย่างปลอดภัยได้เมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "17" ], "answer_begin_position": [ 688 ], "answer_end_position": [ 690 ] }
1,587
936,352
อะพอลโล 13 อะพอลโล 13 () เป็นภารกิจมีคนควบคุมภารกิจที่ 7 ในโครงการอวกาศอะพอลโลและเป็นโครงการที่สามที่ตั้งใจลงจอดบนดวงจันทร์ มีการปล่อยยานสู่อวกาศในวันที่ 11 เมษายน 1970 เมื่อเวลา 14:13 เวลามาตรฐานตะวันออกจากศูนย์อวกาศเคนเนดี รัฐฟลอริดา แต่การลงจอดดวงจันทร์ถูกยกเลิกหลังถังออกซิเจนระเบิดอีกสองวันให้หลัง ทำให้มอดูลบริการ (Service Module) ซึ่งมอดูลสั่งการ (Command Module) อาศัยใช้การไม่ได้ แม้ลูกเรือประสบความยากลำบากมหันต์จากพลังงานจำกัด การเสียความร้อนในเคบิน การขาดแคลนน้ำพกพาได้และความจำเป็นวิกฤตต้องซ่อมแซมทดแทนชั่วคราวซึ่งระบบกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ลูกเรือสามารถกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัยในวันที่ 17 เมษายน 1970 หกวันหลังปล่อยยาน ยานผ่านด้านไกลของดวงจันทร์ที่ความสูง 254 กิโลเมตรเหนือผิวดวงันทร์ และห่างจากโลก 400,171 กิโลเมตร เป็นสถิติมนุษย์ที่เดินทางห่างจากโลกมากที่สุด ภารกิจดังกล่าวมีเจมส์ เอ. โลเวลล์เป็นผู้บัญชาการ โดยมีจอห์น แอล. "แจ็ก" สวีเกิร์ต (John L. "Jack" Swigert) เป็นนักบินมอดูลสั่งการและเฟรด ดับเบิลยู. เฮสเป็นนักบินมอดูลดวงจันทร์ สวีเกิร์ตมาแทนเค็น แมตทิงลีในช่วงท้ายซึ่งถูกศัลยแพทย์การบินสั่งห้ามบินหลังได้รับโรคหัดเยอรมัน
อะพอลโล 13 ถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "11" ], "answer_begin_position": [ 239 ], "answer_end_position": [ 241 ] }
1,589
117,348
ไก่ดำ ไก่ดำ คือไก่พื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดมาจากมองโกลเลียส่วนนอก มีรูปร่างสวยงาม มีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามีสีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั้นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสมข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ แต่ลักษณะไก่ดำพันธุ์แท้นั้นจะต้องมีเนื้อสีดำ หนังสีดำ โดยเฉพาะทั้งแปดอย่างนั้นคือ ปาก ลิ้น หน้า หงอน เล็บ แข้ง ขา และกระดูกนั้นจะต้องดำสนิท แต่ว่าไก่ดำนั้นขนไม่มีความจำเป็นต้องมีสีดำเพียงอย่างเดียวด้วยก็ได้
ไก่ดำ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด
{ "answer": [ "มองโกลเลีย" ], "answer_begin_position": [ 126 ], "answer_end_position": [ 136 ] }
1,590
4,336
แฮร์รี่ พอตเตอร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดนวนิยายแฟนตาซีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดวัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดศาสตร์มืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ที่ต้องการจะมีชีวิตอมตะ มีเป้าหมายเพื่อพิชิตมักเกิ้ล หรือประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมดและทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ หนังสือเล่มแรกในชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายในฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และนับแต่นั้น หนังสือก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งได้รับการยกย่องอย่างสำคัญและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก อย่างไรก็ดี ชุดนวนิยายดังกล่าวก็มีข้อวิจารณ์บ้าง รวมถึงความกังวลถึงโทนเรื่องที่มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ชุดหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ทำยอดขายไปมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก ซึ่งเป็นชุดหนังสือที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล และมีการแปลไปเป็นภาษาต่าง ๆ รวม 73 ภาษา หนังสือสี่เล่มสุดท้ายของชุดยังได้สร้างสถิติเป็นหนังสือที่จำหน่ายออกหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหนังสือเล่มสุดท้ายของชุดมียอดขายกว่า 11 ล้านเล่มในสหรัฐและสหราชอาณาจักรภายในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกที่วางขาย ชุดนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์สามารถจัดเป็นวรรณกรรมได้หลายประเภท (genre) รวมทั้งแฟนตาซีและการเปลี่ยนผ่านของวัย (coming of age) โดยมีองค์ประกอบของวรรณกรรมประเภทลึกลับ ตื่นเต้นสยองขวัญ ผจญภัย และโรแมนซ์ และมีความหมายและการสื่อถึงวัฒนธรรมหลายอย่าง ตามข้อมูลของโรว์ลิง แก่นเรื่องหลักของเรื่อง คือ ความตาย แม้โดยพื้นฐานแล้วหนังสือชุดนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานวรรณกรรมเด็ก นอกจากนี้ยังมีแก่นเรื่องอื่นอีกมากมายในชุด เช่น ความรักและอคติ หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน "พอตเตอร์มอร์" ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์, สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วยจักรวาลของเรื่อง จักรวาลของเรื่อง. โลกในนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น เป็นโลกของพวกพ่อมดและแม่มดที่อยู่ร่วมกันกับโลกของมนุษย์เรานี้ในลักษณะคู่ขนาน ในเรื่องจะเรียกพวกมนุษย์ทั่วไปว่า มักเกิ้ล หรือมนุษย์ผู้ไร้เวทมนตร์ โลกพ่อมดจะมีอาณาเขตที่เชื่อมต่อกับโลกของมักเกิ้ลโดยมีสิ่งต่าง ๆ เช่นกำแพง เป็นสิ่งที่กั้นขอบเขตระหว่างทั้งสองโลก พ่อมดสามารถไปมาหาสู่กันได้โดยการผ่านกำแพงกั้นระหว่างโลกมักเกิ้ลกับโลกพ่อมด เช่นการผ่านแผงกั้นชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ พวกมักเกิ้ลจะไม่สามารถเห็นแผงกั้นระหว่างทั้งสองโลกได้ หรืออาจจะเห็นแต่ก็จะเห็นเป็นกำแพงหรือสิ่งของธรรมดาเท่านั้น มักเกิ้ลไม่มีทางเข้าสู่โลกพ่อมดได้แม้ว่าวิธีใด ๆ ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นกับมักเกิ้ลบางคนที่มีพลังเวทมนตร์ เช่น เฮอร์ไมโอนี่ เป็นต้น แต่สถานที่บางแห่งก็ไม่มีเขตกั้นระหว่างทั้งสองโลก พวกมักเกิ้ลสามารถเดินเข้าไปในโลกของพ่อมดได้ ทำให้บ่อยครั้งที่มีผู้พบเห็นพวกสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ที่ไม่มีเขตกั้น พวกพ่อมดแม่มดนอกจากจะมีโลกที่เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีสถานที่ที่แอบซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ ของโลกมักเกิ้ลอีกด้วย มีทั้งซ่อนไว้ใต้ดิน แต่ละที่มีเพียงพ่อมดแม่มดเท่านั้นที่จะมองเห็นและเข้าไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ แต่กระทรวงเวทมนตร์เป็นข้อยกเว้นเนื่องจากมักเกิ้ลมักพบเห็นพ่อมดเสกเวทมนตร์คาถาอยู่บ่อย ๆ จึงต้องพาตัวมักเกิ้ลมาที่กระทรวงเพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องโลกเวทมนตร์เพื่อไม่ให้ความลับเรื่องโลกเวทมนตร์ถูกเปิดเผย นอกจากนั้นพวกพ่อมดแม่มดยังใช้สถานที่ของมักเกิ้ลเป็นที่จัดการแข่งขันกีฬาควิดดิชอีกด้วย กีฬาประเภทนี้มักจัดตามที่ราบต่าง ๆ หรือตามป่าที่ไม่มีมักเกิ้ลอาศัยอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกพ่อมดก็ไม่อาจวางใจได้ พวกเขาต้องตั้งแนวป้องกันด้วยคาถาต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมักเกิ้ลที่บังเอิญหลงทางมาพบเห็นเข้า นอกจากนั้นพวกพ่อมดยังมีคาถาที่ทำให้มักเกิ้ลที่เข้ามาใกล้เปลี่ยนใจเดินออกไปให้ไกลได้อีกด้วย การป้องกันมักเกิ้ลถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อพวกพ่อมดแม่มด เพราะหากมีมักเกิ้ลพบเห็นว่าพวกเขาเสกเวทมนตร์ ความลับเรื่องเวทมนตร์ที่พวกเขาปกปิดก็อาจจะถูกเปิดเผย ฉะนั้นจึงต้องมีพ่อมดที่คอยป้องกันมักเกิ้ลไว้เสมอ นอกจากจะมีการป้องกันมักเกิ้ลไม่ให้พบพวกพ่อมดเสกเวทมนตร์แล้ว พวกพ่อมดยังต้องป้องกันไม่ให้มักเกิ้ลพบเห็นสัตว์วิเศษ เช่น มังกร ยูนิคอร์น เอลฟ์ โทรลล์ เพราะสัตว์บางพวกอาจทำร้ายมักเกิ้ลได้ลำดับเวลา ลำดับเวลา. เหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีการระบุถึงปีตามปฏิทินจริงมากนัก อย่างไรก็ตามมีการอ้างอิงถึงปีจริงบางส่วนในเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้สามารถวางเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ตามปีปฏิทินจริงได้ ซึ่งต่อมาข้อมูลได้รับการยืนยันจากการยอมรับของผู้แต่ง ลำดับเวลาซึ่งนำเสนอในดีวีดีภาพยนตร์ และแผนผังตระกูลแบล็กซึ่งผู้แต่งได้นำออกประมูลการกุศล ลำดับเวลาที่ยอมรับกันทั่วไปคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดในปี พ.ศ. 2523 และเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2534 โดยเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทราบลำดับเวลาของนิยายได้ก็คือเหตุการณ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ บทที่ 8 ซึ่งเรื่องราวหนังสือเล่มที่สองเกิดขึ้นในเวลาหนึ่งปีให้หลังหนังสือเล่มแรก โดยในบทนี้แฮร์รี่ได้เข้าร่วม"งานเลี้ยงวันตาย ปีที่ห้าร้อย" ของตัวละครนิกหัวเกือบขาด และมีการระบุปีบนเค้กวันตายว่า "ตายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1492" (พ.ศ. 2035) เมื่อบวกจำนวนปีแล้วจึงทำให้ทราบว่าเรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งก็หมายความว่าเรื่องของหนังสือเล่มแรกนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2534 อย่างแน่นอนโครงเรื่อง โครงเรื่อง. นวนิยายเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กกำพร้าผู้พบว่าตนเองเป็นพ่อมดเมื่ออายุได้สิบเอ็ดปี อาศัยอยู่ในโลกแห่งผู้ไม่มีอำนาจวิเศษหรือมักเกิล ซึ่งถือเป็นประชากรปกติ ความสามารถของเขานั้นมีมาโดยกำเนิดและเด็กจำพวกนี้จึงได้รับเชิญให้เข้าศึกษาในโรงเรียนซึ่งสอนทักษะที่จำเป็นแก่การประสบความสำเร็จในโลกพ่อมด แฮร์รี่กลายมาเป็นนักเรียนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ในนวนิยายเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อแฮร์รี่เติบโตขึ้นผ่านช่วงวัยรุ่น เขาเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เผชิญกับเขา ทั้งทางเวทมนตร์ สังคมและอารมณ์ รวมทั้งความท้าทายอย่างวัยรุ่นทั่วไป เช่น มิตรภาพและการสอบ ตลอดจนบททดสอบอันยิ่งใหญ่กว่าที่เตรียมพร้อมเขาสำหรับการเผชิญหน้าที่คอยอยู่เบื้องหน้า หนังสือแต่ละเล่มบันทึกเหตุการณ์หนึ่งปีในชีวิตของแฮร์รี่ โดยเนื้อเรื่องหลักเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1991-98 หนังสือยังมีการเล่าย้อนไปในอดีตหลายครั้ง ซึ่งมักอธิบายโดยตัวละครมองความทรงจำในอุปกรณ์ที่เรียกว่า เพนซิฟ สภาพแวดล้อมที่เจ. เค. โรว์ลิงสร้างขึ้นนั้นแยกจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง แต่ยังเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ขณะที่ดินแดนแฟนตาซีแห่งนาร์เนียเป็นอีกเอกภพหนึ่ง และมัชฌิมโลกแห่งลอร์ดออฟเดอะริงส์เป็นตำนานโบราณ โลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดขึ้นคู่ขนานกับโลกแห่งความจริง และจึงเป็นว่า โลกของพอตเตอร์มีแบบเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกับชีวิตประจำวัน สถาบันและสถานที่หลายแห่งนั้นมีอยู่จริง เช่น กรุงลอนดอน สถานที่ในโลกเวทมนตร์นั้นได้กระจัดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น ถนนที่ถูกซ่อน ผับเก่าแก่ที่ถูกมองข้าม คฤหาสน์ชนบทที่โดดเดี่ยว และปราสาทที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซึ่งประชากรมักเกิลไม่อาจมองเห็นได้ช่วงปีแรก ช่วงปีแรก. เมื่อเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์เปิดฉากขึ้น เป็นที่แน่ชัดว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้นในโลกพ่อมด แม้แต่มักเกิลเองก็ยังสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่างได้ เบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องและบุคลิกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ค่อยๆ เปิดเผยออกมาตลอดทั้งเรื่อง ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ โดยแฮร์รี่ได้ค้นพบว่า เมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาได้เป็นพยานการฆาตกรรมบิดามารดาของตนโดยพ่อมดมืดผู้หลงใหลในอำนาจ ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ซึ่งขณะนั้นพยายามฆ่าเขาด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เปิดเผยในทันที คาถาที่โวลเดอมอร์พยายามปลิดชีพแฮร์รี่สะท้อนกลับไปยังตัวเขาเอง แฮร์รี่รอดชีวิตโดยหลงเหลือแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และโวลเดอมอร์ได้หายสาบสูญไป ด้วยการเป็นวีรบุรุษโดยไม่ได้ตั้งใจจากการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ได้กลายมาเป็นตำนานมีชีวิตในโลกพ่อมด อย่างไรก็ดี ด้วยคำสั่งของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แฮร์รี่ซึ่งกำพร้าพ่อแม่ ถูกทิ้งไว้ในบ้านของญาติมักเกิลผู้ไม่น่าพิสมัยของเขา ครอบครัวเดอร์สลีย์ พวกเดอร์สลีย์ให้ความคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยแต่ปกปิดพลังที่แท้จริงจากเขาด้วยหวังว่าเขาจะเติบโตขึ้น "อย่างปกติ" เมื่อย่างใกล้วันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ พ่อมดครึ่งยักษ์ รูเบอัส แฮกริด เปิดเผยประวัติของแฮร์รี่และนำเขาเข้าสู่โลกเวทมนตร์ ด้วยความช่วยเหลือของแฮกริด แฮร์รี่เตรียมตัวและเข้าเรียนในปีแรกที่ฮอกวอตส์ เมื่อแฮร์รี่เริ่มต้นสำรวจโลกเวทมนตร์นั้น เรื่องราวได้ระบุสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ใช้ตลอดเนื้อเรื่อง แฮร์รี่พบกับตัวละครหลักส่วนใหญ่ และมีเพื่อนรักที่สุดสองคนคือ รอน วีสลีย์ สมาชิกที่รักสนุกแห่งครอบครัวพ่อมดที่ใหญ่ เก่าแก่ มีความสุขแต่ยากจน และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ แม่มดที่มีพรสวรรค์ เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีเวทมนตร์และจริงจังกับการเรียน แฮร์รี่ยังพบกับอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของโรงเรียน เซเวอร์รัส สเนป ผู้แสดงความไม่ชอบอย่างลึกซึ้งมั่นคงแก่เขา โครงเรื่องสรุปเมื่อแฮร์รี่เผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์ครั้งที่สอง ผู้ซึ่งกำลังตามหาความเป็นอมตะ โดยปรารถนาการได้รับอำนาจแห่งศิลาอาถรรพ์ แต่สุดท้ายก็เป็นแฮร์รี่ที่ได้รับชัยชนะและโวลเดอมอร์ก็ได้หายสาบสูญไปอีกครั้งหนึ่ง เรื่องราวดำเนินต่อด้วยแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวในปีที่สองของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ เขาและเพื่อนได้สืบสวนตำนานอายุ 50 ปีซึ่งกลายเป็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลางร้ายล่าสุดที่โรงเรียน น้องสาวของรอน จินนี่ วีสลีย์ ซึ่งกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่งที่ฮอกวอตส์ พบสมุดบันทึกซึ่งเป็นบันทึกของโวลเดอมอร์เมื่อครั้งเป็นนักเรียน จินนี่ถูกครอบงำโดยโวลเดอมอร์ผ่านบันทึก และเปิด "ห้องแห่งความลับ" ปลดปล่อยบาซิลิสก์ สัตว์ประหลาดโบราณซึ่งเริ่มโจมตีนักเรียนที่ฮอกวอตส์ ตอนนี้เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ฮอกวอตส์และตำนานที่เกี่ยวข้องกับห้องลับแห่งนี้ เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่ตระหนักถึงอคติด้านชาติกำเนิดว่ามีอยู่ในโลกพ่อมด และเขาเรียนรู้ว่า ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์นั้นมักมุ่งไปยังพ่อมดผู้สืบเชื้อสายจากมักเกิล เขายังพบความสามารถของตนในการพูดภาษาพาร์เซล ซึ่งเป็นภาษาของงู ที่พบได้ยากและมักเกี่ยวข้องกันกับศาสตร์มืด นิยายเล่มนี้จบลงหลังแฮร์รี่ช่วยชีวิตของจินนี่โดยการฆ่าบาซิลิสก์และทำลายสมุดบันทึกที่โวลเดอมอร์เก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาไว้ (แฮร์รี่ไม่ทราบเรื่องนี้จนกระทั่งเปิดเผยภายหลัง) แนวคิดการเก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณไว้ในวัตถุเพื่อป้องกันความตายนั้นปรากฏครั้งแรกในนิยายเล่มที่หกในชื่อของ "ฮอร์ครักซ์" นิยายเล่มที่สาม แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ดำเนินเนื้อเรื่องในปีที่สามของแฮร์รี่ในการศึกษาเวทมนตร์ และเป็นเพียงเล่มเดียวในเรื่องที่มิได้มีโวลเดอมอร์ปรากฏ เขาต้องรับมือกับข้อมูลที่ว่าเขาตกเป็นเป้าหมายของซิเรียส แบล็ก ฆาตกรหลบหนีจากคุกอัซคาบัน ผู้เป็นพ่อทูนหัวของแฮร์รี่และถูกเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ เมื่อแฮร์รี่ได้ต่อสู้กับปฏิกิริยาต่อผู้คุมวิญญาณ สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มีความสามารถในการกลืนกินวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งกำลังคุ้มครองโรงเรียนอยู่ เขาก็ได้พบกับรีมัส ลูปิน ครูสอนวิชาการป้องกันต้องจากศาสตร์มืดคนใหม่ ซึ่งเปิดเผยภายหลังว่าเป็นมนุษย์หมาป่า ลูปินสอนมาตรการป้องกันแก่แฮร์รี่ ซึ่งเหนือไปจากระดับเวทมนตร์ที่มักพบในบุคคลที่มีอายุเท่าเขา แฮร์รี่พบว่าทั้งลูปินและแบล็กเคยเป็นเพื่อนสนิทของบิดา และแบล็กนั้นบริสุทธิ์ เพราะเขาถูกใส่ร้ายโดยเพื่อนคนที่สี่ ปีเตอร์ เพ็ตดิกรูว์ ผู้ขายความลับของพ่อแม่แฮร์รี่แก่โวลเดอมอร์ ในเล่มนี้ มีการเน้นย้ำแก่นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำอีกประการหนึ่งตลอดเรื่อง คือ ทุกเล่มจะต้องมีครูสอนการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่เสมอและไม่มีคนใดทำงานอยู่ได้นานเกินหนึ่งปีการหวนคืนของโวลเดอมอร์ การหวนคืนของโวลเดอมอร์. ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ระหว่างปีที่สี่ของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันการประลองเวทไตรภาคีโดยไม่เต็มใจ ซึ่งเป็นการประลองอันตรายที่แฮร์รี่จะต้องแข่งขันกับตัวแทนพ่อมดและแม่มดจากโรงเรียนที่มาเยือน เช่นเดียวกับเซดริก ดิกกอรี่ ตัวแทนของฮอกวอตส์อีกคนหนึ่ง แฮร์รี่ได้รับการชี้นำผ่านการประลองโดยศาสตราจารย์อลาสเตอร์ "แม้ด-อาย" มู้ดดี้ แต่ภายหลังกลับกลายเป็นว่าเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ซึ่งก็คือบาร์ตี้ เคร้าช์ จูเนียร์ หนึ่งในผู้สนับสนุนของโวลเดอมอร์ จุดที่ปริศนาคลายปมออกนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง โดยแผนการของโวลเดอมอร์คือให้เคร้าช์อาศัยการประลองในครั้งนี้เพื่อนำตัวแฮร์รี่มาให้โวลเดอมอร์สังหาร และแม้ว่าแฮร์รี่จะสามารถหลบหนีจากเขามาได้แต่เซดริก ดิกกอรี่ได้ถูกถูกสังหารโดยโวลเดอมอร์ที่ได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง ในหนังสือเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ แฮร์รี่ต้องเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ที่คืนชีพขึ้นมา และเพื่อเป็นการรับมือ ดัมเบิลดอร์ได้ให้ภาคีนกฟีนิกซ์กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ภาคีนั้นเป็นสมาคมลับที่ดำเนินงานโดยอาศัยบ้านลึกลับประจำตระกูลของซิเรียส แบล็กเป็นกองบัญชาการ เพื่อเอาชนะสมุนของโวลเดอมอร์และให้ความคุ้มครองเป้าหมายของโวลเดอมอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ อย่างไรก็ตามรายละเอียดของแฮร์รี่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของโวลเดอมอร์ ได้ถูกกระทรวงเวทมนตร์และคนส่วนใหญ่ในโลกเวทมนตร์ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าโวลเดอมอร์ได้หวนกลับคืนอีกครั้ง ด้วยความพยายามที่จะตอบโต้และทำลายชื่อเสียงดัมเบิลดอร์ ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างแฮร์รี่และถือเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่สุดในโลกเวทมนตร์ในการพยายามเตือนภัยถึงการกลับมาของโวลเดอมอร์ กระทรวงจึงได้แต่งตั้งโดโลเรส อัมบริดจ์ ขึ้นเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่แห่งฮอกวอตส์ เธอได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในโรงเรียนไปอย่างเข้มงวดและปฏิเสธที่จะอนุญาตให้นักเรียนเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองจากเวทมนตร์มืด แฮร์รี่ได้ก่อตั้ง "กองทัพดัมเบิลดอร์" กลุ่มเรียนลับเพื่อสอนทักษะการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดระดับสูงที่เขาเคยเรียนมาแก่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ภายหลังมีการเปิดเผยถึงคำพยากรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแฮร์รี่และโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ค้นพบว่าเขากับโวลเดอมอร์สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ และทำให้แฮร์รี่ได้เห็นการกระทำบางอย่างของโวลเดอมอร์ผ่านทางกระแสจิต ในช่างท้ายของเรื่อง แฮร์รี่กับเพื่อนได้เผชิญหน้ากับผู้เสพความตายของโวลเดอมอร์ แม้การมาถึงทันเวลาของสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์จะช่วยชีวิตของเด็กๆได้ แต่ซิเรียส แบล็กก็ถูกสังหารไปในคราวเดียวกัน โวลเดอมอร์เริ่มทำสงครามอย่างเปิดเผยในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม แม้แฮร์รี่กับเพื่อนจะค่อนข้างได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายเป็นอย่างดีที่ฮอกวอตส์ แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงวัยรุ่นหลายอย่าง แฮร์รี่เริ่มต้นออกเดทกับจินนี่ วีสลีย์ รอนเองก็หลงใหลในตัวลาเวนเดอร์ บราวน์ เพื่อนสาวของเขาอย่างรุนแรง ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่าเธอนั้นรักรอน ในช่วงต้นของนิยายแฮร์รี่ได้รับหนังสือเรียนปรุงยาเล่มเก่าซึ่งเต็มไปด้วยความเห็นประกอบและข้อแนะนำที่เขียนโดยนักเขียนลึกลับชื่อ เจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ยังได้เรียนพิเศษเป็นการส่วนตัวกับดัมเบิลดอร์ ที่ได้แสดงให้เขาเห็นความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตช่วงต้นของโวลเดอมอร์ผ่านเพนซิฟ พร้อมแสดงให้เห็นว่าวิญญาณของโวลเดอมอร์ได้ถูกแยกไปอยู่ในฮอร์ครักซ์หลายชิ้น ซึ่งเป็นวัตถุวิเศษชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ยังที่ต่างๆ ในช่วงท้ายของของเรื่อง เดรโก มัลฟอย คู่ปรับของแฮร์รี่ พยายามโจมตีดัมเบิลดอร์ และหนังสือจบลงด้วยการสังหารดัมเบิลดอร์โดยศาสตราจารย์สเนป ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อเจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต นิยายเล่มสุดท้ายในชุด ดำเนินเรื่องต่อจากหลังเหตุการณ์ในหนังสือเล่มก่อนในทันที โวลเดอมอร์ประสบความสำเร็จในการเถลิงอำนาจและควบคุมกระทรวงเวทมนตร์ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนีออกจากโรงเรียนเพื่อที่พวกเขาจะสามารถค้นหาและทำลายฮอร์ครักซ์ที่เหลืออยู่ของโวลเดอมอร์ เพื่อเป็นการประกันความปลอดภัยของพวกตน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของครอบครัวและเพื่อนฝูง พวกเขาถูกบีบให้แยกตัวออกจากทุกคน ระหว่างการค้นหาฮอร์ครักซ์ ซึ่งทั้งสามได้ค้นพบและทำลายไปได้หลายชิ้น นอกจากนี้ได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของดัมเบิลดอร์และไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ หนึ่งในเครื่องรางยมทูตที่โวลเดอมอร์ได้ตามหาและชิงมาจากหลุมศพของดัมเบิลดอร์ด้วยความเชื่อที่ว่าพลังของไม้จะสามารถฆ่าแฮร์รี่ได้ แต่ด้วยความหวาดระแวงว่าสเนปผู้ฆ่าดัมเบิลดอร์นั้นคือเจ้าของไม้ที่แท้จริง เขาจึงสังหารสเนปลง ภายหลังแฮร์รี่ได้ทราบเจตนาที่แท้จริงของสเนป ที่ทำภารกิจตามความต้องการของดัมเบิลดอร์นับแต่แม่ของแฮร์รี่ถูกฆาตกรรม นิยายเดินทางมาถึงจุดสำคัญในการต่อสู้ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี ร่วมกับสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์ ตลอดจนครูและนักเรียนหลายคน ได้ป้องกันฮอกวอตส์จากโวลเดอมอร์ ผู้เสพความตายของเขา และสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ทั้งหลาย ตัวละครหลักหลายคนถูกสังหารในการต่อสู้ระลอกแรก รวมถึงรีมัส ลูปินและเฟร็ด วีสลีย์ และหลังทราบว่าตัวเขาเองเป็นฮอร์ครักซ์ แฮร์รี่มอบตัวต่อโวลเดอมอร์ที่ป่าต้องห้าม ซึ่งได้ร่ายคำสาปพิฆาตเพื่อปลิดชีพเขาและเป็นการทำลายฮอร์ครักซ์อีกชิ้นลงในเวลาเดียวกัน โวลเดอมอร์ได้ประกาศถึงการตายของแฮร์รี่ต่อทุกคน อย่างไรก็ดี กลุ่มป้องกันฮอกวอตส์ยังไม่ยอมจำนนแม้จะทราบถึงข้อเท็จจริงนี้และยังคงสู้ต่อไป หลังกลับมาจากความตาย แฮร์รี่ได้เผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ ซึ่งฮอร์ครักซ์ทั้งหมดได้ถูกทำลายลงแล้ว ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อโวลเดอมอร์เนื่องจากเขาไม่ใช่นายที่แท้จริงของมัน ทำให้คำสาปพิฆาตขของโวลเดอมอร์ถูกคาถาปลดอาวุธของแฮร์รี่สะท้อนกลับและฆ่าโวลเดอมอร์เองในที่สุด ในบทส่งท้ายซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอีก 19 ปีให้หลัง นิยายได้อธิบายถึงชีวิตของตัวละครที่เหลือรอด โดยแฮร์รี่ได้แต่งงานและมีลูกกับจินนี่ ส่วนรอนนั้นแต่งงานและมีลูกกับเฮอร์ไมโอนี่ ทั้งสี่คนได้มาส่งลูกๆของพวกเขาไปเรียนที่ฮอกวอตส์ ณ ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ ซึ่งภายหลังการตายของโวลเดอมอร์ โลกเวทมนตร์ก็ได้กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งและไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับแฮร์รี่อีกเลยงานสมทบ งานสมทบ. โรว์ลิงขยายจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยหนังสือเรื่องสั้นหลายเล่มซึ่งผลิตออกมาให้การกุศลหลายอย่าง ใน พ.ศ. 2544 เธอวางจำหน่ายสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (หนังสือที่สมมติขึ้นว่าเป็นหนังสือเรียนในฮอกวอตส์) และควิดดิชในยุคต่าง ๆ (หนังสือที่แฮร์รี่อ่านเอาสนุก) รายได้จากการขายหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้มอบให้แก่มูลนิธิคอมมิครีลิฟ ใน พ.ศ. 2550 โรว์ลิงประพันธ์นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับเขียนด้วยมือเจ็ดเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเทพนิยายซึ่งปรากฏในเล่มสุดท้าย หนึ่งในนั้นถูกประมูลขายเพื่อระดมทุนแก่ชิลเดรนส์ไฮเลเวลกรุ๊ป กองทุนเพื่อเด็กพิการในประเทศยากจน หนังสือนี้ได้รับตีพิมพ์ระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โรว์ลิงได้เขียนพลีเควล 800 คำ ใน พ.ศ. 2551 เป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนซึ่งจัดโดยร้านขายหนังสือวอเทอร์สโตนส์ ใน พ.ศ. 2554 โรว์ลิงออกเว็บไซต์ใหม่ในชื่อ พอตเตอร์มอร์ ซึ่งเป็นการรวบรวมเนื้อหาต่างๆที่ไม่ได้รับการเปิดเผยในหนังสือโครงสร้างและประเภท โครงสร้างและประเภท. นวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์จัดอยู่ในประเภทวรรณกรรมแฟนตาซี อย่างไรก็ดี ในหลายแง่มุม ยังเป็นนวนิยายการศึกษา (bildungsromans) หรือการเปลี่ยนผ่านของวัย และมีส่วนที่เป็นประเภทลึกลับ ตื่นเต้นเขย่าขวัญ และโรแมนซ์ นวนิยายชุดนี้อาจถูกมองว่าเป็นประเภทโรงเรียนกินนอนเด็กของอังกฤษ เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่ในชุดเกิดขึ้นในฮอกวอตส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนอังกฤษสำหรับพ่อมดในนวนิยาย โดยมีหลักสูตรรวมถึงการใช้เวทมนตร์ด้วย ชุดนวนิยายนี้ยังเป็นประเภทที่สตีเฟน คิงใช้คำว่า "เรื่องลึกลับหลักแหลม" และแต่ละเล่มมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับการผจญภัยลึกลับแบบเชอร์ล็อก โฮมส์ เรื่องราวเล่าโดยบุคคลที่สามจำกัดมุมมองโดยมีข้อยกเว้นเล็กน้อย (เช่น บทแรก ๆ ของศิลาอาถรรพ์และเครื่องรางยมทูต และสองบทแรกของเจ้าชายเลือดผสม) ช่วงกลางของหนังสือแต่ละเล่ม แฮร์รี่ต่อสู้กับปัญหาที่เขาประสบ และการจัดการปัญหาเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับความต้องการละเมิดกฎโรงเรียนบางข้อ หากนักเรียนถูกจับได้ว่าละเมิดกฎ พวกเขาจะถูกลงโทษโดยศาสตราจารย์ฮอกวอตส์ ซึ่งใช้รูปแบบวิธีการลงโทษที่มักพบในประเภทย่อยโรงเรียนกินนอน อย่างไรก็ดี เรื่องราวถึงจุดสูงสุดในช่วงภาคเรียนฤดูร้อน ช่วงใกล้หรือช่วงเพิ่งสอบปลายภาคเรียนเสร็จ โดยมีเหตุการณ์บานปลายขึ้นเกินการวิวาทและการดิ้นรนอยู่ในโรงเรียน และแฮร์รี่ต้องเผชิญกับโวลเดอมอร์หรือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา ผู้เสพความตาย โดยเดิมพันเรื่องคอขาดบาดตาย ประเด็นหนึ่งเน้นย้ำว่า เมื่อเรื่องราวดำเนินไป มีตัวละครหนึ่งตัวหรือมากกว่าถูกฆ่าในแต่ละเล่มในสี่เล่มสุดท้าย หลังจากนั้น เขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญผ่านการชี้แจงและการอภิปรายกับอาจารย์ใหญ่และที่ปรึกษา อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ในนวนิยายเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต แฮร์รี่กับเพื่อนใช้เวลาส่วนใหญ่นอกฮอกวอตส์ และเพียงกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ในตอนจบ ด้วยรูปแบบนวนิยายการศึกษา ในส่วนนี้แฮร์รี่ต้องเติบโตขึ้นก่อนวัยอันควร ละทิ้งโอกาสปีสุดท้ายในฐานะนักเรียนโรงเรียนและจำต้องปฏิบัติตนเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งคนอื่นต้องพึ่งพาการตัดสินใจของเขา ซึ่งรวมถึงผู้ใหญ่ด้วยแก่นเรื่อง แก่นเรื่อง. โรว์ลิงว่า แก่นเรื่องหลักของชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์คือ ความตาย "หนังสือของฉันเกี่ยวข้องกับความตายเป็นส่วนใหญ่ เรื่องราวเกิดขึ้นด้วยการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ มีความคิดครอบงำของโวลเดอมอร์เรื่องการพิชิตความตายและภารกิจของเขาเพื่อความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม เป้าหมายของทุกคนที่มีเวทมนตร์ ฉันเข้าใจดีว่าทำไมโวลเดอมอร์ต้องการพิชิตความตาย เราทุกคนกลัวมัน" อาจารย์และนักหนังสือพิมพ์ได้พัฒนาการตีความแก่นเรื่องอื่นอีกมากในหนังสือ บ้างก็ซับซ้อนกว่าแนวคิดอื่น และบ้างก็รวมถึงการแฝงนัยทางการเมืองด้วย แก่นเรื่องนี้อย่างเช่น ปกติวิสัย การครอบงำ การอยู่รอด และการก้าวข้ามความแปลกประหลาดที่เพิ่มขึ้นมาล้วนถูกมองว่าพบเห็นได้บ่อยตลอดทั้งเรื่อง โรว์ลิงว่า หนังสือของเธอประกอบด้วย "ข้อพิสูจน์ยืดเยื้อแก่ความอดกลั้น คำขอร้องยาวนานให้ยุติความเชื่อไร้เหตุผล" และว่ายังผ่านข้อความเพื่อ "ตั้งคำถามถึงทางการและ ... ไม่สันนิษฐานว่าสถาบันหรือสื่อบอกความจริงแก่คุณทั้งหมด" ขณะที่อาจกล่าวได้ว่าหนังสือนั้นประกอบด้วยแก่นเรื่องอื่นอีกหลากหลาย เช่น อำนาจ การละเมิดอำนาจ, ความรัก, อคติ และทางเลือกเสรี ซึ่งทั้งหมดนี้ ตามคำกล่าวของเจ. เค. โรว์ลิง ว่า "ฝังลึกอยู่ในโครงเรื่องทั้งหมด" ผู้เขียนยังพึงใจปล่อยให้แก่นเรื่อง "การเติบโตทางชีวิต" มากกว่านั่งลงและเจตนาพยายามที่จะบอกแนวคิดนั้นแก่ผู้อ่านของเธอ ในบรรดาแก่นเรื่องนั้นคือ แก่นเรื่องที่มีอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับวัยรุ่น ซึ่งในการพรรณนา โรว์ลิงมีจุดประสงค์ในการรับรองเพศภาพตัวละครของเธอและไม่ทิ้งให้แฮร์รี่ ตามคำพูดของเธอ "ติดอยู่ในสภาพก่อนวัยหนุ่มสาวไปตลอดกาล" โรว์ลิงกล่าวว่า สำหรับเธอ ความสำคัญทางศีลธรรมของเรื่องนี้ดู "ชัดเจนมากอย่างที่สุด" สิ่งสำคัญสำหรับเธอคือทางเลือกระหว่างสิ่งที่ง่ายกับสิ่งที่ถูก "เพราะว่า ... คือสิ่งที่ทรราชเริ่มต้น โดยคนไม่ยินดียินร้ายและเลือกเส้นทางที่ง่าย และทันใดนั้นก็พบว่าตนเองอยู่ในปัญหาร้ายแรง"จุดกำเนิดและประวัติการตีพิมพ์ จุดกำเนิดและประวัติการตีพิมพ์. ใน พ.ศ. 2533 เจ. เค. โรว์ลิงอยู่ในรถไฟที่มีคนเนืองแน่นจากแมนเชสเตอร์ไปยังลอนดอน เมื่อแนวคิดแฮร์รี่ "ตกลงมาใส่หัวของเธอ" ทันใดนั้นเอง โรว์ลิงเล่าถึงประสบการณ์บนเว็บไซต์ของเธอโดยระบุว่า โรว์ลิงเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์เสร็จใน พ.ศ. 2538 และต้นฉบับถูกส่งไปยังตัวแทนผู้ซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือหลายคน (prospective agent) ตัวแทนคนที่สอง คริสโตเฟอร์ ลิตเตล เสนอเป็นตัวแทนเธอและส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์บลูมส์บรี หลังสำนักพิมพ์อื่นแปดสำนักปฏิเสธศิลาอาถรรพ์ บลูมส์บรีเสนอค่าตอบแทนล่วงหน้าเป็นเงิน 2,500 ปอนด์แก่โรว์ลิงเป็นค่าจัดพิมพ์ แม้เธอจะไม่ได้วางกลุ่มอายุเป้าหมายไว้ในใจเมื่อเริ่มต้นเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ สำนักพิมพ์เดิมตั้งเป้าไว้ที่เด็กอายุระหว่างเก้าถึงสิบเอ็ดปี วันก่อนวันจัดพิมพ์ โรว์ลิงได้รับการร้องขอจากสำนักพิมพ์ให้ใช้นามปากกาที่ไม่บ่งบอกเพศมากกว่านี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มอายุที่เป็นชายมากขึ้น ด้วยกลัวว่าพวกเขาอาจไม่สนใจอ่านนวนิยายที่พวกเขารู้ว่าผู้หญิงเขียน เธอเลือกใช้ชื่อ เจ. เค. โรว์ลิง (โจแอนน์ แคทลีน โรว์ลิง) โดยใช้ชื่อย่าของเธอเป็นชื่อที่สอง เพราะเธอไม่มีชื่อกลาง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone) ได้รับตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บรี ผู้จัดพิมพ์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกเล่มในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2541 ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สกอแลสติก สำนักพิมพ์หนังสือของอเมริกา ในชื่อ Harry Potter and the Sorcerer's Stone หลังโรว์ลิงได้รับเงิน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับหนังสือเด็กโดยนักเขียนที่ขณะนั้นยังไร้ชื่อ ด้วยกลัวว่าผู้อ่านชาวอเมริกันจะไม่เชื่อมโยงคำว่า "philosopher" (นักปราชญ์) กับแก่นเรื่องเวทมนตร์ (แม้ศิลานักปราชญ์จะเกี่ยวข้องกับการเล่นแร่แปรธาตุก็ตาม) สกอแลสติกจึงยืนยันว่าหนังสือควรให้ชื่อนี้สำหรับตลาดอเมริกัน หนังสือเล่มที่สอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 และในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันตีพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 และในสหรัฐอเมริกา 8 กันยายน ปีเดียวกัน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีตีพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลาเดียวกันทั้งบลูมส์บรีและสกอแลสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์เป็นหนังสือเล่มยาวที่สุดในชุด ด้วยความหนา 766 หน้าในรุ่นสหราชอาณาจักร และ 870 หน้าในรุ่นสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ทั่วโลกในภาษาอังกฤษเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมตีพิมพ์วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ทำยอดขาย 9 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกทั่วโลก นิยายเล่มที่เจ็ดและสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ทำยอดขาย 11 ล้านเล่มในช่วงวางขาย 24 ชั่วโมงแรก แบ่งเป็น 2.7 ล้านเล่มในสหราชอาณาจักร และ 8.3 ล้านเล่มในสหรัฐอเมริกาการแปล การแปล. หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นอีกอย่างน้อย 73 ภาษา เล่มแรกนั้นได้รับการแปลเป็นภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ โดยเป็นงานเขียนภาษากรีกโบราณที่ยาวที่สุดนับแต่นวนิยายของเฮลิโอโดรัสแห่งอีเมซาในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ทำให้โรว์ลิงเป็นผู้ประพันธ์ที่ผลงานได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นมากที่สุดในโลก การแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีความยากลำบากหลายประการ เช่น จากการถ่ายทอดวัฒนธรรมโรงเรียนประจำแบบอังกฤษ การใช้ภาษาที่แสดงถึงบุคลิกภาพหรือสำเนียง รวมถึงการคิดค้นศัพท์ใหม่ ๆ ของผู้แต่งด้วย นักแปลบางคนที่ได้รับว่าจ้างมาแปลหนังสือนั้นเป็นผู้ประพันธ์มีชื่อเสียงก่อนมีผลงานกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ วิกตอร์ โกลูเชฟ ผู้ควบคุมการแปลหนังสือเล่มที่ห้าเป็นภาษารัสเซีย การแปลหนังสือเล่มสองถึงเจ็ดเป็นภาษาตุรกีอยู่ภายใต้การดูแลของเซวิน ออคเย นักวิจารณ์วรรณกรรมและผู้บรรยายวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม ด้วยเหตุผลด้านความลับ การแปลสามารถเริ่มต้นได้เฉพาะหลังหนังสือนั้นออกมาในภาษาอังกฤษแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้รุ่นภาษาอังกฤษถูกขายให้แก่แฟนที่รอไม่ไหวในประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกที จนทำให้เล่มที่ห้าในชุดกลายมาเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกและเล่มเดียวที่ขึ้นเป็นที่หนึ่งของรายการหนังสือขายดีในฝรั่งเศส รุ่นสหรัฐอเมริกาของนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องผ่านการดัดแปลงข้อความเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเสียก่อน เพราะคำหลายคำและหลายแนวคิดที่ใช้โดยตัวละครในนวนิยายนั้นอาจไม่เป็นที่เข้าใจแก่ผู้อ่านชาวอเมริกัน ผลงานในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับแปลภาษาไทยได้รับการจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ในขณะที่ฉบับภาษาอังกฤษได้ออกมาแล้วสี่เล่ม โดยต้องเร่งแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งสี่เล่มให้เสร็จโดยเร็วเพื่อง่ายต่อการแปลแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่ห้า ซึ่งโรว์ลิงยังเขียนไม่เสร็จ มีผู้แปลทั้งสิ้นสามคน ได้แก่ สุมาลี บำรุงสุขแปลเล่มที่หนึ่ง สอง ห้า หกและเจ็ด วลีพร หวังซื่อกุลแปลเล่มที่สาม และงามพรรณ เวชชาชีวะแปลเล่มที่สี่ หน้าปกฉบับภาษาไทยนั้นใช้ภาพแบบเดียวกับหน้าปกฉบับอเมริกัน ซึ่งเป็นผลงานของแมรี กรองด์เปรความสำเร็จแรงกระทบทางวัฒนธรรม ความสำเร็จ. แรงกระทบทางวัฒนธรรม. บรรดานักอ่านผู้ชื่นชอบนิยายชุดนี้ล้วนเฝ้ารอการวางจำหน่ายตอนล่าสุดที่ร้านหนังสือทั่วโลก เริ่มจัดงานให้ตรงกับวันวางจำหน่ายวันแรกตอนเที่ยงคืน เริ่มตั้งแต่การตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีใน พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา กิจกรรมพิเศษระหว่างรอจำหน่ายมีมากมาย เช่น การแต่งกายเลียนแบบตัวละคร เล่นเกม ระบายสีหน้า และการแสดงอื่น ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนพอตเตอร์และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงดูดแฟนและขายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมได้เกือบ 9 ล้านเล่ม จากจำนวนที่พิมพ์ไว้ครั้งแรก 10.8 ล้านเล่ม ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการวางแผง หนังสือเล่มสุดท้ายของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขายได้ 11 ล้านเล่มในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่าย นวนิยายชุดนี้ยังสามารถครองใจกลุ่มนักอ่านผู้ใหญ่ได้ด้วย ทำให้มีการจัดพิมพ์หนังสือออกเป็น 2 ฉบับในแต่ละเล่ม ซึ่งในนั้นมีเนื้อหาเหมือนกันหมด เพียงแต่ฉบับหนึ่งทำปกสำหรับเด็ก อีกฉบับหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่ นอกเหนือไปจากการพบปะกันออนไลน์ผ่านบล็อก พ็อตแคสต์และแฟนไซต์แล้ว แฟนผู้คลั่งไคล้แฮร์รี่ พอตเตอร์ยังสามารถพบปะกันที่สัมมนาแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ด้วย คำว่า "มักเกิ้ล" (Muggle) ได้แพร่ออกไปนอกเหนือจากการใช้ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ และกลายเป็นหนึ่งในคำวัฒนธรรมสมัยนิยมไม่กี่คำได้บรรจุลงพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด แฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ฟังพ็อตแคสต์เป็นประจำ โดยมากทุกสัปดาห์ เพื่อเข้าใจการอภิปรายล่าสุดในหมู่แฟน ทั้งมักเกิ้ลแคสต์และพอตเตอร์แคสต์ ได้แตะระดับอันดับสูงสุดของไอทูนส์และได้รับการจัดอันดับอยู่ในพ็อตแคสต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 50 อันดับแรกรางวัลและเกียรติยศ รางวัลและเกียรติยศ. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ตั้งแต่การพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ครั้งแรก รวมทั้งรางวัลหนังสือวิตเทกเกอร์แพลตินัมสี่รางวัล (ทั้งหมดได้รับเมื่อ พ.ศ. 2544) รางวัลหนังสือเนสเล่สมาร์ตตีส์สามรางวัล (พ.ศ. 2540-42), รางวัลหนังสือสภาศิลปะสกอตสองรางวัล (พ.ศ. 2542 และ 2544), รางวัลหนังสือเด็กแห่งปีวิตเบรดเล่มแรก (พ.ศ. 2542), และหนังสือแห่งปีดับเบิลยูเอชสมิท (พ.ศ. 2549) และอื่น ๆ ใน พ.ศ. 2543 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโกนวนิยายยอดเยี่ยม และใน พ.ศ. 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีได้รับรางวัลดังกล่าว เกียรติยศที่ได้นั้นมีทั้งการมอบเหรียญรางวัลคาร์เนกี (พ.ศ. 2540), รายชื่อสั้นสำหรับรางวัลเด็กการ์เดี้ยน (พ.ศ. 2541) และอยู่ในรายการหนังสือมีชื่อเสียง หนังสือที่คัดเลือกโดยบรรณาธิการ และรายการหนังสือดีที่สุดของสมาคมหอสมุดอเมริกา, เดอะนิวยอร์กไทมส์, หอสมุดสาธารณะชิคาโก และพับลิชเชอร์วีกลีความสำเร็จทางการค้า ความสำเร็จทางการค้า. ความสำเร็จของนวนิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ "มหาเศรษฐี" ของโลก มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน สามารถติดอันดับเป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลในทุกภาคที่เข้าฉาย ชุดภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นได้รับการต่อยอดไปสู่รูปแบบวิดีโอเกมและสินค้าจดลิขสิทธิ์กว่า 400 รายการ ซึ่งมูลค่าโดยประมาณของแบรนด์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่ากว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ความต้องการอย่างสูงในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ นิวยอร์กไทมส์ ตัดสินใจเปิดอันดับหนังสือขายดีอีก 1 ประเภทสำหรับวรรณกรรมเด็กโดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ก่อนการวางจำหน่าย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และหนังสือของโรว์ลิงก็อยู่บนอันดับหนังสือขายดีนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 79 สัปดาห์ โดยที่ทั้งสามเล่มแรกเป็นหนังสือขายดีในประเภทหนังสือปกแข็งด้วย การจัดส่งหนังสือชุด ถ้วยอัคนี ต้องใช้รถบรรทุกของเฟดเอกซ์กว่า 9,000 คันเพื่อการส่งหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ร้านหนังสือ บาร์นส์แอนด์โนเบิล ประกาศว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิติหนังสือจองผ่านเว็บไซต์โดยมียอดจองมากกว่า 500,000 เล่ม เมื่อนับรวมทั้งเว็บของบาร์นส์แอนด์โนเบิล กับอเมซอนดอตคอม จะเป็นยอดจองล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 700,000 เล่ม แต่เดิมสถิติการพิมพ์หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8 ล้านเล่ม แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำลายสถิตินี้ด้วยยอดพิมพ์ครั้งแรก 8.5 ล้านเล่ม และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติลงอีกด้วย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม ที่ 10.8 ล้านเล่ม ในจำนวนนี้ได้ขายออกไป 6.9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากวางจำหน่าย ส่วนในอังกฤษได้ขายออกไป 2 ล้านชุดภายในวันแรก อย่างไรก็ตามหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ก็ได้ทำลายสถิติก่อนหน้าลง ด้วยยอดขายกว่า 11 ล้านเล่ม ในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการจำหน่าย โดยมียอดสั่งจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์อเมซอนและร้านหนังสือบาร์นส์แอนด์โนเบิลกว่า 1 ล้านเล่มคำชื่นชมและวิจารณ์การวิจารณ์ทางวรรณกรรม คำชื่นชมและวิจารณ์. การวิจารณ์ทางวรรณกรรม. ในช่วงแรก ๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ทำให้นวนิยายชุดนี้ขยายฐานผู้อ่านออกไปอย่างมาก หนังสือเล่มแรกของชุดคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้จุดประเด็นความสนใจแก่หนังสือพิมพ์ของสกอตแลนด์หลายเล่ม เช่น The Scotsman บอกว่าหนังสือเล่มนี้ "มีทุกอย่างของความคลาสสิก" หรือ The Glasgow Herald ตั้งสมญาให้ว่าเป็น "สิ่งมหัศจรรย์" ไม่นานหนังสือพิมพ์ของทางอังกฤษก็เข้าร่วมวงด้วย มีหนังสือพิมพ์มากกว่า 1 เล่มเปรียบเทียบงานเขียนชุดนี้กับงานของโรอัลด์ ดาห์ล หนังสือพิมพ์ The Mail on Sunday เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น "งานเขียนที่เปี่ยมจินตนาการนับแต่ยุคของโรอัลด์ ดาห์ล" ส่วน The Guardian เรียกหนังสือนี้ว่า "นวนิยายอันงดงามที่สร้างโดยนักประดิษฐ์อัจฉริยะ" ครั้นเมื่อหนังสือออกวางจำหน่ายถึงเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ นวนิยายก็ได้รับการวิจารณ์ที่หนักหน่วงขึ้นจากเหล่านักวิชาการด้านวรรณกรรม เฮโรลด์ บลูม ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล นักวิชาการวรรณศิลป์และนักวิจารณ์ เป็นผู้ยกประเด็นการวิจารณ์วรรณกรรมเกี่ยวกับศีลธรรม เขากล่าวว่า "ในใจของโรว์ลิงมีแต่เรื่องอุปมาเกี่ยวกับความตายวนไปวนมา ไม่มีลีลาการเขียนแบบอื่นเลย" เอ. เอส. ไบแอต นักเขียนประจำนิวยอร์กไทมส์ บอกว่าจักรวาลในเรื่องของโรว์ลิงสร้างขึ้นจากจินตนาการที่ผสมปนเปจากวรรณกรรมเด็กหลาย ๆ เรื่อง และเขียนขึ้นเพื่อคนที่มีจินตนาการหมกมุ่นกับการ์ตูนทีวี โลกในฟองสบู่ที่เว่อร์เกินจริง รายการรีแอลิตี และข่าวซุบซิบดารา นักวิจารณ์ชื่อ แอนโทนี โฮลเดน เขียนความรู้สึกของเขาจากการตัดสินรางวัลวิทเบรด ปี พ.ศ. 2542 ส่วนที่เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ไว้ใน The Observer โดยที่ค่อนข้างมีมุมมองไม่ค่อยดี เขากล่าวว่า "มหากาพย์พอตเตอร์เป็นงานอนุรักษนิยม ย้อนยุค โหยหาความเป็นอดีตและระบบอุปถัมภ์ในอดีตของอังกฤษที่ผ่านไปแล้ว" เขายังวิจารณ์อีกว่าเป็น "งานเขียนร้อยแก้วที่ผิดไวยากรณ์ ใช้สำนวนตลาด" แต่ในทางตรงกันข้าม เฟย์ เวลดอน นักเขียนผู้ยอมรับว่านวนิยายชุดนี้ "ไม่ใช่งานที่กวีจะชื่นชอบ" แต่ก็ยอมรับว่า "มันไม่ใช่กวีนิพนธ์ มันเป็นร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัน และขายได้" เอ. เอ็น. วิลสัน นักวิจารณ์วรรณกรรม ยกย่องนวนิยายชุดนี้ใน The Times โดยระบุว่า "มีนักเขียนไม่มากนักเหมือนอย่างเจ. เค. ผู้มีความสามารถดังหนึ่งดิกคินส์ ที่ทำให้เราต้องรีบพลิกอ่านหน้าต่อไป ทำให้เราร้องไห้อย่างไม่อาย พอไม่กี่หน้าถัดไปเราก็ต้องหัวเราะกับมุกตลกที่แทรกอยู่สม่ำเสมอ ... เรามีชีวิตอยู่ตลอดทศวรรษที่เฝ้าติดตามงานตีพิมพ์อันมีชีวิตชีวาที่สุด สนุกสนานที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ชาลส์ เทย์เลอร์ แห่ง salon.com นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เห็นด้วยกับความคิดของไบแอต แต่เขาก็ยอมรับว่าผู้ประพันธ์อาจจะ "มีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือความเป็นวัยรุ่น มันเป็นแรงกระตุ้นของพวกเราที่จะเข้าใจความเหลวไหลของยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างกับความซับซ้อนของศิลปะยุคเดิม" สตีเฟน คิง เรียกนวนิยายชุดนี้ว่า "ความกล้าหาญซึ่งผู้มีจินตนาการอันล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะทำได้" และยกย่องการเล่นถ้อยคำสำนวนตลอดจนอารมณ์ขันของโรว์ลิงในนิยายชุดนี้ว่า "โดดเด่น" แม้เขาจะบอกว่านิยายชุดนี้จัดว่าเป็นนิยายที่ดี แต่ก็บอกด้วยว่า ในตอนต้นของหนังสือทั้งเจ็ดเล่มที่พบแฮร์รี่ที่บ้านลุงกับป้านั้นค่อนข้างน่าเบื่อ คิงยังว่า "โรว์ลิงจะไม่ใช้คำขยายความที่เธอไม่ชอบ!" เขายังทำนายด้วยว่า นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ "จะยืนยงท้าทายการทดสอบของกาลเวลา และอยู่บนหิ้งที่เก็บหนังสือดีที่สุดเท่านั้น ผมคิดว่าแฮร์รี่ได้เทียบขั้นกับอลิซ, ฮัค, โฟรโด และโดโรธีแล้ว นิยายชุดนี้จะไม่โด่งดังเพียงทศวรรษนี้ แต่จะยืนยงตลอดกาล"การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม. นิตยสารไทมส์ประกาศให้โรว์ลิงเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์เป็น "บุคคลแห่งปี" ของไทมส์ในปี พ.ศ. 2550 ในฐานะที่มีผลงานโดดเด่นทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากต่อกลุ่มแฟนคลับของเธอ ทว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อนิยายชุดนี้ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกัน นักวิจารณ์หนังสือจากวอชิงตันโพสต์ รอน ชาลส์ แสดงความเห็นของเขาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่าจำนวนผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนมากซึ่งอ่านหนังสืออื่นค่อนข้างน้อย อาจสะท้อนถึงตัวอย่างที่ไม่ดีของวัฒนธรรมวัยเด็ก รูปแบบการนำเสนอแบบตรงไปตรงมาในเรื่องที่แยกระหว่าง "ความดี-ความเลว" อย่างชัดเจนนั้นก็เป็นแนวทางแบบเด็ก ๆ เขายังบอกว่า ไม่ใช่ความผิดของโรว์ลิงเลย แต่วิธีทางการตลาดแบบ "ฮีสทีเรีย" (กรี๊ดกร๊าดคลั่งไคล้อย่างรุนแรง) ที่ปรากฏให้เห็นในการตีพิมพ์หนังสือเล่มหลัง ๆ "ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่พากันหลงใหลเสียงกรีดร้องในโรงมหรสพ ประสบการณ์สื่อแบบมหาชนซึ่งนิยายอื่นอาจจะทำให้ไม่ได้" เจนนี่ ซอว์เยอร์ เขียนไว้ใน Christian Science Monitor เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่า หนังสือชุดนี้เป็นตัวแทนถึง "จุดเปลี่ยนค่านิยมการเล่านิทานและสังคมตะวันตก" โดยที่ในนิยายชุดนี้ "หัวใจแห่งศีลธรรมกำลังเหือดหายไปจากวัฒนธรรมยุคใหม่... หลังจากผ่านไป 10 ปี, 4195 หน้า และ 375 ล้านเล่ม ท่ามกลางความสำเร็จอย่างสูงยิ่งของ เจ. เค. โรว์ลิง แต่เสาหลักของวรรณกรรมเด็กอันยิ่งใหญ่กลับขาดหายไป นั่นคือการเดินทางของวีรบุรุษเพื่อยืนหยัดความถูกต้อง" ซอว์เยอร์กล่าวว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่เคยประสบความท้าทายทางศีลธรรม ไม่เคยตกอยู่ใต้ภาวะลำบากระหว่างความถูกผิด ดังนั้นจึง "ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่ความถูกผิดไม่เป็นสีขาวและสีดำ" คริส ซุลเลนทรอพ ให้ความเห็นคล้ายคลึงกันใน Slate Magazine เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เขาเปรียบพอตเตอร์ว่าเป็น "เด็กผู้เป็นที่ไว้วางใจและชื่นชมที่โรงเรียน อันเป็นผลงานส่วนมากจากของขวัญที่เพื่อนและครอบครัวทุ่มเทให้" เขาสังเกตว่า ในนิยายของโรว์ลิงนั้น ศักยภาพและความสามารถทางเวทมนตร์เป็น "สิ่งที่คุณเกิดมาพร้อมกับมัน ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไขว่คว้ามาได้" ซุลเลนทรอพเขียนว่า คำคมของดัมเบิลดอร์ที่ว่า "เราต้องเลือกเองที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงที่ยิ่งใหญ่กว่าความสามารถของเรา" เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ในเมื่อโรงเรียนที่ดัมเบิลดอร์บริหารอยู่นั้นให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดมากกว่าอะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ดี ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 คริสโตเฟอร์ ฮิทเชนส์ รีวิว แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยยกย่องโรว์ลิงว่าได้ปรับเปลี่ยน "นิทานเกี่ยวกับโรงเรียนในอังกฤษ" ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ที่เคยมีแต่เรื่องเพ้อฝัน ความร่ำรวย ชนชั้น และความเป็นผู้ดี ให้กลายเป็น "โลกของประชาธิปไตยและความเปลี่ยนแปลงของวัยหนุ่มสาว"การโต้แย้งต่าง ๆ การโต้แย้งต่าง ๆ. หนังสือชุดนี้ตกเป็นประเด็นโต้แย้งทางกฎหมายมากมายหลายคดี มีทั้งการฟ้องร้องจากกลุ่มคริสเตียนอเมริกันว่าการใช้เวทมนตร์คาถาในหนังสือเป็นการเชิดชูศิลปะของพวกพ่อมดแม่มดให้แพร่หลายในหมู่เด็ก ๆ รวมถึงข้อขัดแย้งอีกหลายคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า การที่นวนิยายชุดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากและครอบครองมูลค่าตลาดสูงมาก ทำให้โรว์ลิง สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ของเธอ รวมถึงวอร์เนอร์ บราเธอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ของตน ทั้งนี้รวมถึงการห้ามจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหล่าเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ใช้ชื่อโดเมนคาบเกี่ยวกับคำว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์" พวกเขายังฟ้องนักเขียนอีกคนหนึ่งคือ แนนซี สโตฟเฟอร์ เพื่อตอบโต้การที่เธอออกมากล่าวอ้างว่า โรว์ลิงลอกเลียนแบบงานเขียนของเธอ กลุ่มนักอนุรักษนิยมทางศาสนาจำนวนมากอ้างว่า หนังสือชุดนี้เชิดชูศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังมีนักวิจารณ์อีกจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังสือชุดนี้มีแง่มุมทางการเมืองซ่อนอยู่หลายประการการดัดแปลงไปยังสื่ออื่นภาพยนตร์ การดัดแปลงไปยังสื่ออื่น. ภาพยนตร์. ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษบริเตนในบทสนทนา ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์ บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความซื่อตรงต่อหนังสือ ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน ภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ถูกแบ่งเป็นสองตอน กำกับโดยเดวิด เยตส์และสตีฟ โคลฟ ทำหน้าที่เขียนบทเช่นเดิม และทาง เจ. เค. โรว์ลิงยังได้มีส่วนร่วมในการควบคุมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของภาพยนตร์ภาคสุดท้ายในฐานะผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย รวมแล้วตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้ายใช้ในการถ่ายทำเวลานานกว่า 10 ปี ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องรายได้ของภาพยนตร์ทั้ง 8 ภาค ทำรายได้รวมมากกว่า 7,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐและภาพยนตร์ชุดที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่สองรองจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล โดยภาคที่ทำรายได้ไปมากที่สุดคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์แต่ละภาคได้รับคำวิจารณ์จากแฟนหนังสือมากมาย ในภาคแรกและภาคที่สองซึ่งกำกับโดยคริส โคลัมบัส ตัวภาพยนตร์เองได้รับการดัดแปลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเนื้อเรื่องในหนังสือไว้ แต่เนื้อหาของภาพยนตร์ก็เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับเด็ก จึงทำให้เด็กชมภาพยนตร์ภาคแรกและภาคสองมากกว่าผู้ใหญ่ ในภาคที่สามกำกับโดยอัลฟอนโซ กวารอน ที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวปราสาทฮอกวอตส์และใช้บรรยากาศแบบมืดครื้ม แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องมากกว่าเดิมทำให้ฉากแอ็กชันที่มีในหนังสือลดลงไป ส่วนในภาคที่สี่กำกับโดยไมค์ นิวเวลล์ เน้นหนักในเรื่องฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แต่การทำฉากแอ็กชันมากเกินไป จึงทำให้เนื้อหาและบทบาทตัวละครในเรื่องลดลงตามไปด้วย และในภาคที่ห้าที่กำกับโดยเดวิด เยตส์ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและตัดเนื้อเรื่องบางตอนออกไป เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือที่มากกว่าเล่มอื่น ๆ ฉากแอ็กชันจึงลดลงทำให้ภาพยนตร์ออกมาในแนวดรามา แต่ทางทีมงานก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษมากกว่าภาคก่อน ๆ ทำให้ภาพยนตร์ภาคที่ห้านี้ทำรายได้ไปถึง 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในภาคที่หกเดวิด เยตส์ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เช่นเคยโดยจะเน้นบทดรามามากกว่าฉากแอ็กชันซึ่งมีอยู่น้อยมากและจะเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ แทน ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ภาคที่หกนี้ก็ได้สร้างสถิติใหม่นั่นก็คือ ภาพยนตร์ทำเงินทั่วโลกสูงสุดในสัปดาห์แรก โดยทำเงินไปทั้งสิ้น 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐทำลายสถิติของไอ้แมงมุม 3ที่เปิดตัวด้วยรายรับทั่วโลก 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้รวมไป 934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1เข้าฉายและทำรายได้รวม 955 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการเดินทางตามหาฮอร์ครักซ์ของพวกแฮร์รี่และจบลงที่การตายของด๊อบบี้ ทำให้โทนหนังของภาคนี้จะเป็นแนวโร้ดมูฟวี่หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินเสียเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าฉายก็ได้สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์ที่เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดการ ทำรายได้วันแรกสูงถึง 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำลายสถิติเดิมของแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์ที่สูงสุดทำลายสถิติของแบทแมน อัศวินรัตติกาล โดยทำรายได้สัปดาห์แรกที่ 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งต่อมาถูกทำลายสถิติโดยดิ อเวนเจอร์สและไอรอนแมน 3 และทำลายสถิติภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกสัปดาห์แรกของที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคหกเคยทำไว้ โดยทำเงินรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์เปิดตัว และทำรายได้ปิดที่ 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลเป็นรองเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องอวตารและไททานิกเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างล้นหลาม โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สูงถึง 96%ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงถือว่าภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ก็ว่าได้วิดีโอเกม วิดีโอเกม. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ถูกดัดแปลงในรูปแบบของวิดีโอเกมหลังจากที่ภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เข้าฉายได้ไม่นานนัก ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทเกมอิเลคโทรนิค อาร์ตที่ผลิตออกมาเป็นเกมรูปแบบผจญภัย ในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับวิดีโอเกมที่สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และต่อมาได้พัฒนาจนสามารถเล่นได้ทั้งเครื่องเอกซ์บอกซ์ 360, วี เป็นต้น ปัจจุบันได้มีการผลิตเกมที่ดำเนินตามเนื้องเรื่องในภาพยนตร์ออกมาแล้วจำนวนหกเกม นอกจากนี้ยังมีเกมควิดดิชเวิลด์คัพซึ่งไม่ได้ดำเนินตามเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ แต่จะเป็นรูปแบบเกมกีฬาแทน ผลิตโดยบริษัทอิเลคโทรนิค อาร์ตเช่นกัน โดยเกมควิดดิชเวิลด์คัพนี้สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และเอกซ์บอกซ์ เกมชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการสร้างภาคต่อขึ้นและมีการพัฒนารูปแบบของเกมไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ภาค เช่น การทำภาพสมจริง และเสียงประกอบ เป็นต้น นอกจากนั้นตัวละครในเกมบางส่วนยังได้รับเสียงพากย์จากนักแสดงตัวจริงที่แสดงในภาพยนตร์อีกด้วยละครเวที ละครเวที. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการวางแผนให้ได้รับการดัดแปลงในรูปแบบละครเวทีซึ่งจะนำเนื้อหาจากหนังสือนิยายต้นฉบับมาดัดแปลง โดยจะใช้การร้องเพลงเป็นตัวดำเนินเรื่องและในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เจ.เค.โรว์ลิ่งได้ประกาศว่าเธอกำลังทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างของแฮร์รี่ พอตเตอร์ในรูปแบบละครเวที โดยเธอระบุว่าเนื้อหาของละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวซึ่งยังไม่เคยถูกเล่า เกิดในช่วงก่อนที่แฮร์รี่จะกำพร้าพ่อแม่และถูกพวกเดอร์สลีย์รับมาเลี้ยง โรว์ลิ่งได้เปิดเผยข้อมูลผ่านทวิตเตอร์ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการวางแผงหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกว่าละครเวทีแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นจะใช้ชื่อการแสดงว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป" โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มเปิดการแสดงในช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ ซึ่งบัตรเข้าชมในช่วงสี่เดือนแรกหรือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนถูกขายหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดจำหน่าย ภายหลังในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ได้มีการเปิดเผยผ่านเว็บไซต์พอตเตอร์มอร์ว่าบทละครจะถูกตีพิมพ์จำหน่ายในรูปแบบหนังสือหนึ่งวันหลังรอบปฐมทัศน์โลกของละครเวที และเหตุการณ์ในเรื่องจะเกิดขึ้นสิบเก้าปีให้หลังจากบทจบของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยบางกลุ่มได้จัดบทละครที่จะถูกตีพิมพ์นี้เป็นหนังสือเล่มที่แปด แม้จะไม่ได้ถูกเขียนโดยเจ. เค. โรว์ลิ่งที่ก็ตามอิทธิพลและผลสืบเนื่องวงดนตรี อิทธิพลและผลสืบเนื่อง. วงดนตรี. แฮร์รี่ พอตเตอร์มีอิทธิพลต่อสื่อทางด้านวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นชายเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีผลสำรวจว่ามีวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจหรืออิทธิพลจากแฮร์รี่ พอตเตอร์มากมายหลายร้อยวงด้วยกัน วงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือวง "แฮร์รีแอนด์เดอะพอตเตอร์ส" ซึ่งเป็นวงดนตรีอินดี้ร็อกที่นำเสนอเพลงแบบเรียบง่าย พวกเขาได้นำเนื้อหาบางส่วนในหนังสือมาแต่งเป็นบทเพลงของตนสวนสนุก สวนสนุก. หลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ไม่นานนัก ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการวางแผนและทำแบบแปลนการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจำลองสถานที่ต่างๆ ในวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ในโลกเวทมนตร์เช่น ฮอกวอตส์และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นต้น สวนสนุกแห่งนี้วางแผนการสร้างโดย จิม ฮิล มีแบบจำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวมไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ผู้สร้างสวนสนุกยังได้เชิญ เจ. เค. โรว์ลิง ให้มาร่วมทำการเนรมิตสวนสนุกแห่งนี้ เพื่อทำให้เหมือนกับสถานที่ในหนังสือของเธอให้มากที่สุด ซึ่งโรว์ลิงก็ตอบตกลง สวนสนุกตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ซึ่งเป็นเกาะรวมเครื่องเล่นแนวผจญภัยของยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต โดยได้ใช้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่าโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเปิดให้เข้าชมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553 โดยมีทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) และทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย และด้วยความสำเร็จของสวนสนุกที่สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้มากกว่า 36เปอร์เซ็นต์ ทางผู้สร้างจึงได้ริเริ่มโครงการที่สอง เป็นการสร้างส่วนขยายของสวนสนุกโดยการได้ทำการสร้างขึ้นในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล ฟลอริดา ในส่วนของโครงการที่สองได้มีการสร้างสถานที่ในโลกเวทมนตร์อย่างตรอกไดแอกอน ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ รวมถึงธนาคารกริงก็อตส์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเครื่องเล่นว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์กับการหลบหนีจากกริงก็อตส์ และยังรวมไปถึงสถานนีรถไฟของรถด่วนขบวนพิเศษฮอกวอตส์ซึ่งสร้างเชื่อมกับไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวก โดยในส่วนของสถานีรถไฟได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 และตามด้วยการเปิดตัวของตรอกไดแอกอนในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้มีการขยายสาขาไปเปิดยังต่างประเทศ ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซล ฮอลลีวูด ใกล้กับเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ภายใต้การก่อสร้างและมีกำหนดเปิดตัวในปีพ.ศ. 2559
ผู้ใดประพันธ์นวนิยายแฟนตาซีที่มีชื่อว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์
{ "answer": [ "เจ. เค. โรว์ลิง" ], "answer_begin_position": [ 185 ], "answer_end_position": [ 200 ] }
1,591
4,336
แฮร์รี่ พอตเตอร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดนวนิยายแฟนตาซีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดวัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดศาสตร์มืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ที่ต้องการจะมีชีวิตอมตะ มีเป้าหมายเพื่อพิชิตมักเกิ้ล หรือประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมดและทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ หนังสือเล่มแรกในชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายในฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และนับแต่นั้น หนังสือก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งได้รับการยกย่องอย่างสำคัญและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก อย่างไรก็ดี ชุดนวนิยายดังกล่าวก็มีข้อวิจารณ์บ้าง รวมถึงความกังวลถึงโทนเรื่องที่มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ชุดหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ทำยอดขายไปมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก ซึ่งเป็นชุดหนังสือที่มียอดขายมากที่สุดตลอดกาล และมีการแปลไปเป็นภาษาต่าง ๆ รวม 73 ภาษา หนังสือสี่เล่มสุดท้ายของชุดยังได้สร้างสถิติเป็นหนังสือที่จำหน่ายออกหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยหนังสือเล่มสุดท้ายของชุดมียอดขายกว่า 11 ล้านเล่มในสหรัฐและสหราชอาณาจักรภายในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกที่วางขาย ชุดนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์สามารถจัดเป็นวรรณกรรมได้หลายประเภท (genre) รวมทั้งแฟนตาซีและการเปลี่ยนผ่านของวัย (coming of age) โดยมีองค์ประกอบของวรรณกรรมประเภทลึกลับ ตื่นเต้นสยองขวัญ ผจญภัย และโรแมนซ์ และมีความหมายและการสื่อถึงวัฒนธรรมหลายอย่าง ตามข้อมูลของโรว์ลิง แก่นเรื่องหลักของเรื่อง คือ ความตาย แม้โดยพื้นฐานแล้วหนังสือชุดนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานวรรณกรรมเด็ก นอกจากนี้ยังมีแก่นเรื่องอื่นอีกมากมายในชุด เช่น ความรักและอคติ หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน "พอตเตอร์มอร์" ได้มีการต่อยอดความสำเร็จของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปในหลายรูปแบบ อาทิเช่น สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์, สตูดิโอทัวร์ในลอนดอน, ภาพยนตร์ภาคแยกซึ่งดัดแปลงมาจากเนื้อหาของหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ และภายหลังได้มีการดัดแปลงแฮร์รี่ พอตเตอร์สู่รูปแบบละครเวที ใช้ชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป เปิดการแสดงในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ เมืองลอนดอน โดยบทละครเวทียังได้ถูกพิมพ์จำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เดียวกันที่ตีพิมพ์นิยายผู้ใหญ่ของโรว์ลิ่งภายใต้ชื่อ โรเบิร์ต กัลเบรธอีกด้วยจักรวาลของเรื่อง จักรวาลของเรื่อง. โลกในนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น เป็นโลกของพวกพ่อมดและแม่มดที่อยู่ร่วมกันกับโลกของมนุษย์เรานี้ในลักษณะคู่ขนาน ในเรื่องจะเรียกพวกมนุษย์ทั่วไปว่า มักเกิ้ล หรือมนุษย์ผู้ไร้เวทมนตร์ โลกพ่อมดจะมีอาณาเขตที่เชื่อมต่อกับโลกของมักเกิ้ลโดยมีสิ่งต่าง ๆ เช่นกำแพง เป็นสิ่งที่กั้นขอบเขตระหว่างทั้งสองโลก พ่อมดสามารถไปมาหาสู่กันได้โดยการผ่านกำแพงกั้นระหว่างโลกมักเกิ้ลกับโลกพ่อมด เช่นการผ่านแผงกั้นชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ พวกมักเกิ้ลจะไม่สามารถเห็นแผงกั้นระหว่างทั้งสองโลกได้ หรืออาจจะเห็นแต่ก็จะเห็นเป็นกำแพงหรือสิ่งของธรรมดาเท่านั้น มักเกิ้ลไม่มีทางเข้าสู่โลกพ่อมดได้แม้ว่าวิธีใด ๆ ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นกับมักเกิ้ลบางคนที่มีพลังเวทมนตร์ เช่น เฮอร์ไมโอนี่ เป็นต้น แต่สถานที่บางแห่งก็ไม่มีเขตกั้นระหว่างทั้งสองโลก พวกมักเกิ้ลสามารถเดินเข้าไปในโลกของพ่อมดได้ ทำให้บ่อยครั้งที่มีผู้พบเห็นพวกสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ที่ไม่มีเขตกั้น พวกพ่อมดแม่มดนอกจากจะมีโลกที่เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีสถานที่ที่แอบซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ ของโลกมักเกิ้ลอีกด้วย มีทั้งซ่อนไว้ใต้ดิน แต่ละที่มีเพียงพ่อมดแม่มดเท่านั้นที่จะมองเห็นและเข้าไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ แต่กระทรวงเวทมนตร์เป็นข้อยกเว้นเนื่องจากมักเกิ้ลมักพบเห็นพ่อมดเสกเวทมนตร์คาถาอยู่บ่อย ๆ จึงต้องพาตัวมักเกิ้ลมาที่กระทรวงเพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องโลกเวทมนตร์เพื่อไม่ให้ความลับเรื่องโลกเวทมนตร์ถูกเปิดเผย นอกจากนั้นพวกพ่อมดแม่มดยังใช้สถานที่ของมักเกิ้ลเป็นที่จัดการแข่งขันกีฬาควิดดิชอีกด้วย กีฬาประเภทนี้มักจัดตามที่ราบต่าง ๆ หรือตามป่าที่ไม่มีมักเกิ้ลอาศัยอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกพ่อมดก็ไม่อาจวางใจได้ พวกเขาต้องตั้งแนวป้องกันด้วยคาถาต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมักเกิ้ลที่บังเอิญหลงทางมาพบเห็นเข้า นอกจากนั้นพวกพ่อมดยังมีคาถาที่ทำให้มักเกิ้ลที่เข้ามาใกล้เปลี่ยนใจเดินออกไปให้ไกลได้อีกด้วย การป้องกันมักเกิ้ลถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อพวกพ่อมดแม่มด เพราะหากมีมักเกิ้ลพบเห็นว่าพวกเขาเสกเวทมนตร์ ความลับเรื่องเวทมนตร์ที่พวกเขาปกปิดก็อาจจะถูกเปิดเผย ฉะนั้นจึงต้องมีพ่อมดที่คอยป้องกันมักเกิ้ลไว้เสมอ นอกจากจะมีการป้องกันมักเกิ้ลไม่ให้พบพวกพ่อมดเสกเวทมนตร์แล้ว พวกพ่อมดยังต้องป้องกันไม่ให้มักเกิ้ลพบเห็นสัตว์วิเศษ เช่น มังกร ยูนิคอร์น เอลฟ์ โทรลล์ เพราะสัตว์บางพวกอาจทำร้ายมักเกิ้ลได้ลำดับเวลา ลำดับเวลา. เหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีการระบุถึงปีตามปฏิทินจริงมากนัก อย่างไรก็ตามมีการอ้างอิงถึงปีจริงบางส่วนในเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้สามารถวางเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ตามปีปฏิทินจริงได้ ซึ่งต่อมาข้อมูลได้รับการยืนยันจากการยอมรับของผู้แต่ง ลำดับเวลาซึ่งนำเสนอในดีวีดีภาพยนตร์ และแผนผังตระกูลแบล็กซึ่งผู้แต่งได้นำออกประมูลการกุศล ลำดับเวลาที่ยอมรับกันทั่วไปคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดในปี พ.ศ. 2523 และเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2534 โดยเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทราบลำดับเวลาของนิยายได้ก็คือเหตุการณ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ บทที่ 8 ซึ่งเรื่องราวหนังสือเล่มที่สองเกิดขึ้นในเวลาหนึ่งปีให้หลังหนังสือเล่มแรก โดยในบทนี้แฮร์รี่ได้เข้าร่วม"งานเลี้ยงวันตาย ปีที่ห้าร้อย" ของตัวละครนิกหัวเกือบขาด และมีการระบุปีบนเค้กวันตายว่า "ตายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1492" (พ.ศ. 2035) เมื่อบวกจำนวนปีแล้วจึงทำให้ทราบว่าเรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งก็หมายความว่าเรื่องของหนังสือเล่มแรกนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2534 อย่างแน่นอนโครงเรื่อง โครงเรื่อง. นวนิยายเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กกำพร้าผู้พบว่าตนเองเป็นพ่อมดเมื่ออายุได้สิบเอ็ดปี อาศัยอยู่ในโลกแห่งผู้ไม่มีอำนาจวิเศษหรือมักเกิล ซึ่งถือเป็นประชากรปกติ ความสามารถของเขานั้นมีมาโดยกำเนิดและเด็กจำพวกนี้จึงได้รับเชิญให้เข้าศึกษาในโรงเรียนซึ่งสอนทักษะที่จำเป็นแก่การประสบความสำเร็จในโลกพ่อมด แฮร์รี่กลายมาเป็นนักเรียนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ในนวนิยายเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อแฮร์รี่เติบโตขึ้นผ่านช่วงวัยรุ่น เขาเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เผชิญกับเขา ทั้งทางเวทมนตร์ สังคมและอารมณ์ รวมทั้งความท้าทายอย่างวัยรุ่นทั่วไป เช่น มิตรภาพและการสอบ ตลอดจนบททดสอบอันยิ่งใหญ่กว่าที่เตรียมพร้อมเขาสำหรับการเผชิญหน้าที่คอยอยู่เบื้องหน้า หนังสือแต่ละเล่มบันทึกเหตุการณ์หนึ่งปีในชีวิตของแฮร์รี่ โดยเนื้อเรื่องหลักเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1991-98 หนังสือยังมีการเล่าย้อนไปในอดีตหลายครั้ง ซึ่งมักอธิบายโดยตัวละครมองความทรงจำในอุปกรณ์ที่เรียกว่า เพนซิฟ สภาพแวดล้อมที่เจ. เค. โรว์ลิงสร้างขึ้นนั้นแยกจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง แต่ยังเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ขณะที่ดินแดนแฟนตาซีแห่งนาร์เนียเป็นอีกเอกภพหนึ่ง และมัชฌิมโลกแห่งลอร์ดออฟเดอะริงส์เป็นตำนานโบราณ โลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดขึ้นคู่ขนานกับโลกแห่งความจริง และจึงเป็นว่า โลกของพอตเตอร์มีแบบเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกับชีวิตประจำวัน สถาบันและสถานที่หลายแห่งนั้นมีอยู่จริง เช่น กรุงลอนดอน สถานที่ในโลกเวทมนตร์นั้นได้กระจัดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น ถนนที่ถูกซ่อน ผับเก่าแก่ที่ถูกมองข้าม คฤหาสน์ชนบทที่โดดเดี่ยว และปราสาทที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซึ่งประชากรมักเกิลไม่อาจมองเห็นได้ช่วงปีแรก ช่วงปีแรก. เมื่อเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์เปิดฉากขึ้น เป็นที่แน่ชัดว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้นในโลกพ่อมด แม้แต่มักเกิลเองก็ยังสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่างได้ เบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องและบุคลิกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ค่อยๆ เปิดเผยออกมาตลอดทั้งเรื่อง ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ โดยแฮร์รี่ได้ค้นพบว่า เมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาได้เป็นพยานการฆาตกรรมบิดามารดาของตนโดยพ่อมดมืดผู้หลงใหลในอำนาจ ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ซึ่งขณะนั้นพยายามฆ่าเขาด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เปิดเผยในทันที คาถาที่โวลเดอมอร์พยายามปลิดชีพแฮร์รี่สะท้อนกลับไปยังตัวเขาเอง แฮร์รี่รอดชีวิตโดยหลงเหลือแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และโวลเดอมอร์ได้หายสาบสูญไป ด้วยการเป็นวีรบุรุษโดยไม่ได้ตั้งใจจากการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ได้กลายมาเป็นตำนานมีชีวิตในโลกพ่อมด อย่างไรก็ดี ด้วยคำสั่งของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แฮร์รี่ซึ่งกำพร้าพ่อแม่ ถูกทิ้งไว้ในบ้านของญาติมักเกิลผู้ไม่น่าพิสมัยของเขา ครอบครัวเดอร์สลีย์ พวกเดอร์สลีย์ให้ความคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยแต่ปกปิดพลังที่แท้จริงจากเขาด้วยหวังว่าเขาจะเติบโตขึ้น "อย่างปกติ" เมื่อย่างใกล้วันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ พ่อมดครึ่งยักษ์ รูเบอัส แฮกริด เปิดเผยประวัติของแฮร์รี่และนำเขาเข้าสู่โลกเวทมนตร์ ด้วยความช่วยเหลือของแฮกริด แฮร์รี่เตรียมตัวและเข้าเรียนในปีแรกที่ฮอกวอตส์ เมื่อแฮร์รี่เริ่มต้นสำรวจโลกเวทมนตร์นั้น เรื่องราวได้ระบุสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ใช้ตลอดเนื้อเรื่อง แฮร์รี่พบกับตัวละครหลักส่วนใหญ่ และมีเพื่อนรักที่สุดสองคนคือ รอน วีสลีย์ สมาชิกที่รักสนุกแห่งครอบครัวพ่อมดที่ใหญ่ เก่าแก่ มีความสุขแต่ยากจน และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ แม่มดที่มีพรสวรรค์ เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีเวทมนตร์และจริงจังกับการเรียน แฮร์รี่ยังพบกับอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของโรงเรียน เซเวอร์รัส สเนป ผู้แสดงความไม่ชอบอย่างลึกซึ้งมั่นคงแก่เขา โครงเรื่องสรุปเมื่อแฮร์รี่เผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์ครั้งที่สอง ผู้ซึ่งกำลังตามหาความเป็นอมตะ โดยปรารถนาการได้รับอำนาจแห่งศิลาอาถรรพ์ แต่สุดท้ายก็เป็นแฮร์รี่ที่ได้รับชัยชนะและโวลเดอมอร์ก็ได้หายสาบสูญไปอีกครั้งหนึ่ง เรื่องราวดำเนินต่อด้วยแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวในปีที่สองของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ เขาและเพื่อนได้สืบสวนตำนานอายุ 50 ปีซึ่งกลายเป็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลางร้ายล่าสุดที่โรงเรียน น้องสาวของรอน จินนี่ วีสลีย์ ซึ่งกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่งที่ฮอกวอตส์ พบสมุดบันทึกซึ่งเป็นบันทึกของโวลเดอมอร์เมื่อครั้งเป็นนักเรียน จินนี่ถูกครอบงำโดยโวลเดอมอร์ผ่านบันทึก และเปิด "ห้องแห่งความลับ" ปลดปล่อยบาซิลิสก์ สัตว์ประหลาดโบราณซึ่งเริ่มโจมตีนักเรียนที่ฮอกวอตส์ ตอนนี้เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ฮอกวอตส์และตำนานที่เกี่ยวข้องกับห้องลับแห่งนี้ เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่ตระหนักถึงอคติด้านชาติกำเนิดว่ามีอยู่ในโลกพ่อมด และเขาเรียนรู้ว่า ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์นั้นมักมุ่งไปยังพ่อมดผู้สืบเชื้อสายจากมักเกิล เขายังพบความสามารถของตนในการพูดภาษาพาร์เซล ซึ่งเป็นภาษาของงู ที่พบได้ยากและมักเกี่ยวข้องกันกับศาสตร์มืด นิยายเล่มนี้จบลงหลังแฮร์รี่ช่วยชีวิตของจินนี่โดยการฆ่าบาซิลิสก์และทำลายสมุดบันทึกที่โวลเดอมอร์เก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาไว้ (แฮร์รี่ไม่ทราบเรื่องนี้จนกระทั่งเปิดเผยภายหลัง) แนวคิดการเก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณไว้ในวัตถุเพื่อป้องกันความตายนั้นปรากฏครั้งแรกในนิยายเล่มที่หกในชื่อของ "ฮอร์ครักซ์" นิยายเล่มที่สาม แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ดำเนินเนื้อเรื่องในปีที่สามของแฮร์รี่ในการศึกษาเวทมนตร์ และเป็นเพียงเล่มเดียวในเรื่องที่มิได้มีโวลเดอมอร์ปรากฏ เขาต้องรับมือกับข้อมูลที่ว่าเขาตกเป็นเป้าหมายของซิเรียส แบล็ก ฆาตกรหลบหนีจากคุกอัซคาบัน ผู้เป็นพ่อทูนหัวของแฮร์รี่และถูกเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ เมื่อแฮร์รี่ได้ต่อสู้กับปฏิกิริยาต่อผู้คุมวิญญาณ สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มีความสามารถในการกลืนกินวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งกำลังคุ้มครองโรงเรียนอยู่ เขาก็ได้พบกับรีมัส ลูปิน ครูสอนวิชาการป้องกันต้องจากศาสตร์มืดคนใหม่ ซึ่งเปิดเผยภายหลังว่าเป็นมนุษย์หมาป่า ลูปินสอนมาตรการป้องกันแก่แฮร์รี่ ซึ่งเหนือไปจากระดับเวทมนตร์ที่มักพบในบุคคลที่มีอายุเท่าเขา แฮร์รี่พบว่าทั้งลูปินและแบล็กเคยเป็นเพื่อนสนิทของบิดา และแบล็กนั้นบริสุทธิ์ เพราะเขาถูกใส่ร้ายโดยเพื่อนคนที่สี่ ปีเตอร์ เพ็ตดิกรูว์ ผู้ขายความลับของพ่อแม่แฮร์รี่แก่โวลเดอมอร์ ในเล่มนี้ มีการเน้นย้ำแก่นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำอีกประการหนึ่งตลอดเรื่อง คือ ทุกเล่มจะต้องมีครูสอนการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่เสมอและไม่มีคนใดทำงานอยู่ได้นานเกินหนึ่งปีการหวนคืนของโวลเดอมอร์ การหวนคืนของโวลเดอมอร์. ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ระหว่างปีที่สี่ของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันการประลองเวทไตรภาคีโดยไม่เต็มใจ ซึ่งเป็นการประลองอันตรายที่แฮร์รี่จะต้องแข่งขันกับตัวแทนพ่อมดและแม่มดจากโรงเรียนที่มาเยือน เช่นเดียวกับเซดริก ดิกกอรี่ ตัวแทนของฮอกวอตส์อีกคนหนึ่ง แฮร์รี่ได้รับการชี้นำผ่านการประลองโดยศาสตราจารย์อลาสเตอร์ "แม้ด-อาย" มู้ดดี้ แต่ภายหลังกลับกลายเป็นว่าเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ซึ่งก็คือบาร์ตี้ เคร้าช์ จูเนียร์ หนึ่งในผู้สนับสนุนของโวลเดอมอร์ จุดที่ปริศนาคลายปมออกนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง โดยแผนการของโวลเดอมอร์คือให้เคร้าช์อาศัยการประลองในครั้งนี้เพื่อนำตัวแฮร์รี่มาให้โวลเดอมอร์สังหาร และแม้ว่าแฮร์รี่จะสามารถหลบหนีจากเขามาได้แต่เซดริก ดิกกอรี่ได้ถูกถูกสังหารโดยโวลเดอมอร์ที่ได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง ในหนังสือเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ แฮร์รี่ต้องเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ที่คืนชีพขึ้นมา และเพื่อเป็นการรับมือ ดัมเบิลดอร์ได้ให้ภาคีนกฟีนิกซ์กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ภาคีนั้นเป็นสมาคมลับที่ดำเนินงานโดยอาศัยบ้านลึกลับประจำตระกูลของซิเรียส แบล็กเป็นกองบัญชาการ เพื่อเอาชนะสมุนของโวลเดอมอร์และให้ความคุ้มครองเป้าหมายของโวลเดอมอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ อย่างไรก็ตามรายละเอียดของแฮร์รี่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของโวลเดอมอร์ ได้ถูกกระทรวงเวทมนตร์และคนส่วนใหญ่ในโลกเวทมนตร์ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าโวลเดอมอร์ได้หวนกลับคืนอีกครั้ง ด้วยความพยายามที่จะตอบโต้และทำลายชื่อเสียงดัมเบิลดอร์ ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างแฮร์รี่และถือเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่สุดในโลกเวทมนตร์ในการพยายามเตือนภัยถึงการกลับมาของโวลเดอมอร์ กระทรวงจึงได้แต่งตั้งโดโลเรส อัมบริดจ์ ขึ้นเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่แห่งฮอกวอตส์ เธอได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในโรงเรียนไปอย่างเข้มงวดและปฏิเสธที่จะอนุญาตให้นักเรียนเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองจากเวทมนตร์มืด แฮร์รี่ได้ก่อตั้ง "กองทัพดัมเบิลดอร์" กลุ่มเรียนลับเพื่อสอนทักษะการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดระดับสูงที่เขาเคยเรียนมาแก่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ภายหลังมีการเปิดเผยถึงคำพยากรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแฮร์รี่และโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ค้นพบว่าเขากับโวลเดอมอร์สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ และทำให้แฮร์รี่ได้เห็นการกระทำบางอย่างของโวลเดอมอร์ผ่านทางกระแสจิต ในช่างท้ายของเรื่อง แฮร์รี่กับเพื่อนได้เผชิญหน้ากับผู้เสพความตายของโวลเดอมอร์ แม้การมาถึงทันเวลาของสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์จะช่วยชีวิตของเด็กๆได้ แต่ซิเรียส แบล็กก็ถูกสังหารไปในคราวเดียวกัน โวลเดอมอร์เริ่มทำสงครามอย่างเปิดเผยในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม แม้แฮร์รี่กับเพื่อนจะค่อนข้างได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายเป็นอย่างดีที่ฮอกวอตส์ แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงวัยรุ่นหลายอย่าง แฮร์รี่เริ่มต้นออกเดทกับจินนี่ วีสลีย์ รอนเองก็หลงใหลในตัวลาเวนเดอร์ บราวน์ เพื่อนสาวของเขาอย่างรุนแรง ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่าเธอนั้นรักรอน ในช่วงต้นของนิยายแฮร์รี่ได้รับหนังสือเรียนปรุงยาเล่มเก่าซึ่งเต็มไปด้วยความเห็นประกอบและข้อแนะนำที่เขียนโดยนักเขียนลึกลับชื่อ เจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ยังได้เรียนพิเศษเป็นการส่วนตัวกับดัมเบิลดอร์ ที่ได้แสดงให้เขาเห็นความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตช่วงต้นของโวลเดอมอร์ผ่านเพนซิฟ พร้อมแสดงให้เห็นว่าวิญญาณของโวลเดอมอร์ได้ถูกแยกไปอยู่ในฮอร์ครักซ์หลายชิ้น ซึ่งเป็นวัตถุวิเศษชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ยังที่ต่างๆ ในช่วงท้ายของของเรื่อง เดรโก มัลฟอย คู่ปรับของแฮร์รี่ พยายามโจมตีดัมเบิลดอร์ และหนังสือจบลงด้วยการสังหารดัมเบิลดอร์โดยศาสตราจารย์สเนป ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อเจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต นิยายเล่มสุดท้ายในชุด ดำเนินเรื่องต่อจากหลังเหตุการณ์ในหนังสือเล่มก่อนในทันที โวลเดอมอร์ประสบความสำเร็จในการเถลิงอำนาจและควบคุมกระทรวงเวทมนตร์ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนีออกจากโรงเรียนเพื่อที่พวกเขาจะสามารถค้นหาและทำลายฮอร์ครักซ์ที่เหลืออยู่ของโวลเดอมอร์ เพื่อเป็นการประกันความปลอดภัยของพวกตน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของครอบครัวและเพื่อนฝูง พวกเขาถูกบีบให้แยกตัวออกจากทุกคน ระหว่างการค้นหาฮอร์ครักซ์ ซึ่งทั้งสามได้ค้นพบและทำลายไปได้หลายชิ้น นอกจากนี้ได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของดัมเบิลดอร์และไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ หนึ่งในเครื่องรางยมทูตที่โวลเดอมอร์ได้ตามหาและชิงมาจากหลุมศพของดัมเบิลดอร์ด้วยความเชื่อที่ว่าพลังของไม้จะสามารถฆ่าแฮร์รี่ได้ แต่ด้วยความหวาดระแวงว่าสเนปผู้ฆ่าดัมเบิลดอร์นั้นคือเจ้าของไม้ที่แท้จริง เขาจึงสังหารสเนปลง ภายหลังแฮร์รี่ได้ทราบเจตนาที่แท้จริงของสเนป ที่ทำภารกิจตามความต้องการของดัมเบิลดอร์นับแต่แม่ของแฮร์รี่ถูกฆาตกรรม นิยายเดินทางมาถึงจุดสำคัญในการต่อสู้ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี ร่วมกับสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์ ตลอดจนครูและนักเรียนหลายคน ได้ป้องกันฮอกวอตส์จากโวลเดอมอร์ ผู้เสพความตายของเขา และสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ทั้งหลาย ตัวละครหลักหลายคนถูกสังหารในการต่อสู้ระลอกแรก รวมถึงรีมัส ลูปินและเฟร็ด วีสลีย์ และหลังทราบว่าตัวเขาเองเป็นฮอร์ครักซ์ แฮร์รี่มอบตัวต่อโวลเดอมอร์ที่ป่าต้องห้าม ซึ่งได้ร่ายคำสาปพิฆาตเพื่อปลิดชีพเขาและเป็นการทำลายฮอร์ครักซ์อีกชิ้นลงในเวลาเดียวกัน โวลเดอมอร์ได้ประกาศถึงการตายของแฮร์รี่ต่อทุกคน อย่างไรก็ดี กลุ่มป้องกันฮอกวอตส์ยังไม่ยอมจำนนแม้จะทราบถึงข้อเท็จจริงนี้และยังคงสู้ต่อไป หลังกลับมาจากความตาย แฮร์รี่ได้เผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ ซึ่งฮอร์ครักซ์ทั้งหมดได้ถูกทำลายลงแล้ว ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อโวลเดอมอร์เนื่องจากเขาไม่ใช่นายที่แท้จริงของมัน ทำให้คำสาปพิฆาตขของโวลเดอมอร์ถูกคาถาปลดอาวุธของแฮร์รี่สะท้อนกลับและฆ่าโวลเดอมอร์เองในที่สุด ในบทส่งท้ายซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอีก 19 ปีให้หลัง นิยายได้อธิบายถึงชีวิตของตัวละครที่เหลือรอด โดยแฮร์รี่ได้แต่งงานและมีลูกกับจินนี่ ส่วนรอนนั้นแต่งงานและมีลูกกับเฮอร์ไมโอนี่ ทั้งสี่คนได้มาส่งลูกๆของพวกเขาไปเรียนที่ฮอกวอตส์ ณ ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ ซึ่งภายหลังการตายของโวลเดอมอร์ โลกเวทมนตร์ก็ได้กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งและไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับแฮร์รี่อีกเลยงานสมทบ งานสมทบ. โรว์ลิงขยายจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยหนังสือเรื่องสั้นหลายเล่มซึ่งผลิตออกมาให้การกุศลหลายอย่าง ใน พ.ศ. 2544 เธอวางจำหน่ายสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (หนังสือที่สมมติขึ้นว่าเป็นหนังสือเรียนในฮอกวอตส์) และควิดดิชในยุคต่าง ๆ (หนังสือที่แฮร์รี่อ่านเอาสนุก) รายได้จากการขายหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้มอบให้แก่มูลนิธิคอมมิครีลิฟ ใน พ.ศ. 2550 โรว์ลิงประพันธ์นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับเขียนด้วยมือเจ็ดเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเทพนิยายซึ่งปรากฏในเล่มสุดท้าย หนึ่งในนั้นถูกประมูลขายเพื่อระดมทุนแก่ชิลเดรนส์ไฮเลเวลกรุ๊ป กองทุนเพื่อเด็กพิการในประเทศยากจน หนังสือนี้ได้รับตีพิมพ์ระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โรว์ลิงได้เขียนพลีเควล 800 คำ ใน พ.ศ. 2551 เป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนซึ่งจัดโดยร้านขายหนังสือวอเทอร์สโตนส์ ใน พ.ศ. 2554 โรว์ลิงออกเว็บไซต์ใหม่ในชื่อ พอตเตอร์มอร์ ซึ่งเป็นการรวบรวมเนื้อหาต่างๆที่ไม่ได้รับการเปิดเผยในหนังสือโครงสร้างและประเภท โครงสร้างและประเภท. นวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์จัดอยู่ในประเภทวรรณกรรมแฟนตาซี อย่างไรก็ดี ในหลายแง่มุม ยังเป็นนวนิยายการศึกษา (bildungsromans) หรือการเปลี่ยนผ่านของวัย และมีส่วนที่เป็นประเภทลึกลับ ตื่นเต้นเขย่าขวัญ และโรแมนซ์ นวนิยายชุดนี้อาจถูกมองว่าเป็นประเภทโรงเรียนกินนอนเด็กของอังกฤษ เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่ในชุดเกิดขึ้นในฮอกวอตส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนอังกฤษสำหรับพ่อมดในนวนิยาย โดยมีหลักสูตรรวมถึงการใช้เวทมนตร์ด้วย ชุดนวนิยายนี้ยังเป็นประเภทที่สตีเฟน คิงใช้คำว่า "เรื่องลึกลับหลักแหลม" และแต่ละเล่มมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับการผจญภัยลึกลับแบบเชอร์ล็อก โฮมส์ เรื่องราวเล่าโดยบุคคลที่สามจำกัดมุมมองโดยมีข้อยกเว้นเล็กน้อย (เช่น บทแรก ๆ ของศิลาอาถรรพ์และเครื่องรางยมทูต และสองบทแรกของเจ้าชายเลือดผสม) ช่วงกลางของหนังสือแต่ละเล่ม แฮร์รี่ต่อสู้กับปัญหาที่เขาประสบ และการจัดการปัญหาเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับความต้องการละเมิดกฎโรงเรียนบางข้อ หากนักเรียนถูกจับได้ว่าละเมิดกฎ พวกเขาจะถูกลงโทษโดยศาสตราจารย์ฮอกวอตส์ ซึ่งใช้รูปแบบวิธีการลงโทษที่มักพบในประเภทย่อยโรงเรียนกินนอน อย่างไรก็ดี เรื่องราวถึงจุดสูงสุดในช่วงภาคเรียนฤดูร้อน ช่วงใกล้หรือช่วงเพิ่งสอบปลายภาคเรียนเสร็จ โดยมีเหตุการณ์บานปลายขึ้นเกินการวิวาทและการดิ้นรนอยู่ในโรงเรียน และแฮร์รี่ต้องเผชิญกับโวลเดอมอร์หรือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา ผู้เสพความตาย โดยเดิมพันเรื่องคอขาดบาดตาย ประเด็นหนึ่งเน้นย้ำว่า เมื่อเรื่องราวดำเนินไป มีตัวละครหนึ่งตัวหรือมากกว่าถูกฆ่าในแต่ละเล่มในสี่เล่มสุดท้าย หลังจากนั้น เขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญผ่านการชี้แจงและการอภิปรายกับอาจารย์ใหญ่และที่ปรึกษา อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ในนวนิยายเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต แฮร์รี่กับเพื่อนใช้เวลาส่วนใหญ่นอกฮอกวอตส์ และเพียงกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ในตอนจบ ด้วยรูปแบบนวนิยายการศึกษา ในส่วนนี้แฮร์รี่ต้องเติบโตขึ้นก่อนวัยอันควร ละทิ้งโอกาสปีสุดท้ายในฐานะนักเรียนโรงเรียนและจำต้องปฏิบัติตนเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งคนอื่นต้องพึ่งพาการตัดสินใจของเขา ซึ่งรวมถึงผู้ใหญ่ด้วยแก่นเรื่อง แก่นเรื่อง. โรว์ลิงว่า แก่นเรื่องหลักของชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์คือ ความตาย "หนังสือของฉันเกี่ยวข้องกับความตายเป็นส่วนใหญ่ เรื่องราวเกิดขึ้นด้วยการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ มีความคิดครอบงำของโวลเดอมอร์เรื่องการพิชิตความตายและภารกิจของเขาเพื่อความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม เป้าหมายของทุกคนที่มีเวทมนตร์ ฉันเข้าใจดีว่าทำไมโวลเดอมอร์ต้องการพิชิตความตาย เราทุกคนกลัวมัน" อาจารย์และนักหนังสือพิมพ์ได้พัฒนาการตีความแก่นเรื่องอื่นอีกมากในหนังสือ บ้างก็ซับซ้อนกว่าแนวคิดอื่น และบ้างก็รวมถึงการแฝงนัยทางการเมืองด้วย แก่นเรื่องนี้อย่างเช่น ปกติวิสัย การครอบงำ การอยู่รอด และการก้าวข้ามความแปลกประหลาดที่เพิ่มขึ้นมาล้วนถูกมองว่าพบเห็นได้บ่อยตลอดทั้งเรื่อง โรว์ลิงว่า หนังสือของเธอประกอบด้วย "ข้อพิสูจน์ยืดเยื้อแก่ความอดกลั้น คำขอร้องยาวนานให้ยุติความเชื่อไร้เหตุผล" และว่ายังผ่านข้อความเพื่อ "ตั้งคำถามถึงทางการและ ... ไม่สันนิษฐานว่าสถาบันหรือสื่อบอกความจริงแก่คุณทั้งหมด" ขณะที่อาจกล่าวได้ว่าหนังสือนั้นประกอบด้วยแก่นเรื่องอื่นอีกหลากหลาย เช่น อำนาจ การละเมิดอำนาจ, ความรัก, อคติ และทางเลือกเสรี ซึ่งทั้งหมดนี้ ตามคำกล่าวของเจ. เค. โรว์ลิง ว่า "ฝังลึกอยู่ในโครงเรื่องทั้งหมด" ผู้เขียนยังพึงใจปล่อยให้แก่นเรื่อง "การเติบโตทางชีวิต" มากกว่านั่งลงและเจตนาพยายามที่จะบอกแนวคิดนั้นแก่ผู้อ่านของเธอ ในบรรดาแก่นเรื่องนั้นคือ แก่นเรื่องที่มีอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับวัยรุ่น ซึ่งในการพรรณนา โรว์ลิงมีจุดประสงค์ในการรับรองเพศภาพตัวละครของเธอและไม่ทิ้งให้แฮร์รี่ ตามคำพูดของเธอ "ติดอยู่ในสภาพก่อนวัยหนุ่มสาวไปตลอดกาล" โรว์ลิงกล่าวว่า สำหรับเธอ ความสำคัญทางศีลธรรมของเรื่องนี้ดู "ชัดเจนมากอย่างที่สุด" สิ่งสำคัญสำหรับเธอคือทางเลือกระหว่างสิ่งที่ง่ายกับสิ่งที่ถูก "เพราะว่า ... คือสิ่งที่ทรราชเริ่มต้น โดยคนไม่ยินดียินร้ายและเลือกเส้นทางที่ง่าย และทันใดนั้นก็พบว่าตนเองอยู่ในปัญหาร้ายแรง"จุดกำเนิดและประวัติการตีพิมพ์ จุดกำเนิดและประวัติการตีพิมพ์. ใน พ.ศ. 2533 เจ. เค. โรว์ลิงอยู่ในรถไฟที่มีคนเนืองแน่นจากแมนเชสเตอร์ไปยังลอนดอน เมื่อแนวคิดแฮร์รี่ "ตกลงมาใส่หัวของเธอ" ทันใดนั้นเอง โรว์ลิงเล่าถึงประสบการณ์บนเว็บไซต์ของเธอโดยระบุว่า โรว์ลิงเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์เสร็จใน พ.ศ. 2538 และต้นฉบับถูกส่งไปยังตัวแทนผู้ซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือหลายคน (prospective agent) ตัวแทนคนที่สอง คริสโตเฟอร์ ลิตเตล เสนอเป็นตัวแทนเธอและส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์บลูมส์บรี หลังสำนักพิมพ์อื่นแปดสำนักปฏิเสธศิลาอาถรรพ์ บลูมส์บรีเสนอค่าตอบแทนล่วงหน้าเป็นเงิน 2,500 ปอนด์แก่โรว์ลิงเป็นค่าจัดพิมพ์ แม้เธอจะไม่ได้วางกลุ่มอายุเป้าหมายไว้ในใจเมื่อเริ่มต้นเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ สำนักพิมพ์เดิมตั้งเป้าไว้ที่เด็กอายุระหว่างเก้าถึงสิบเอ็ดปี วันก่อนวันจัดพิมพ์ โรว์ลิงได้รับการร้องขอจากสำนักพิมพ์ให้ใช้นามปากกาที่ไม่บ่งบอกเพศมากกว่านี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มอายุที่เป็นชายมากขึ้น ด้วยกลัวว่าพวกเขาอาจไม่สนใจอ่านนวนิยายที่พวกเขารู้ว่าผู้หญิงเขียน เธอเลือกใช้ชื่อ เจ. เค. โรว์ลิง (โจแอนน์ แคทลีน โรว์ลิง) โดยใช้ชื่อย่าของเธอเป็นชื่อที่สอง เพราะเธอไม่มีชื่อกลาง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone) ได้รับตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บรี ผู้จัดพิมพ์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกเล่มในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2541 ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สกอแลสติก สำนักพิมพ์หนังสือของอเมริกา ในชื่อ Harry Potter and the Sorcerer's Stone หลังโรว์ลิงได้รับเงิน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับหนังสือเด็กโดยนักเขียนที่ขณะนั้นยังไร้ชื่อ ด้วยกลัวว่าผู้อ่านชาวอเมริกันจะไม่เชื่อมโยงคำว่า "philosopher" (นักปราชญ์) กับแก่นเรื่องเวทมนตร์ (แม้ศิลานักปราชญ์จะเกี่ยวข้องกับการเล่นแร่แปรธาตุก็ตาม) สกอแลสติกจึงยืนยันว่าหนังสือควรให้ชื่อนี้สำหรับตลาดอเมริกัน หนังสือเล่มที่สอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 และในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันตีพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 และในสหรัฐอเมริกา 8 กันยายน ปีเดียวกัน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีตีพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลาเดียวกันทั้งบลูมส์บรีและสกอแลสติก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์เป็นหนังสือเล่มยาวที่สุดในชุด ด้วยความหนา 766 หน้าในรุ่นสหราชอาณาจักร และ 870 หน้าในรุ่นสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ทั่วโลกในภาษาอังกฤษเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2546 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมตีพิมพ์วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ทำยอดขาย 9 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกทั่วโลก นิยายเล่มที่เจ็ดและสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ทำยอดขาย 11 ล้านเล่มในช่วงวางขาย 24 ชั่วโมงแรก แบ่งเป็น 2.7 ล้านเล่มในสหราชอาณาจักร และ 8.3 ล้านเล่มในสหรัฐอเมริกาการแปล การแปล. หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นอีกอย่างน้อย 73 ภาษา เล่มแรกนั้นได้รับการแปลเป็นภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ โดยเป็นงานเขียนภาษากรีกโบราณที่ยาวที่สุดนับแต่นวนิยายของเฮลิโอโดรัสแห่งอีเมซาในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ทำให้โรว์ลิงเป็นผู้ประพันธ์ที่ผลงานได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นมากที่สุดในโลก การแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีความยากลำบากหลายประการ เช่น จากการถ่ายทอดวัฒนธรรมโรงเรียนประจำแบบอังกฤษ การใช้ภาษาที่แสดงถึงบุคลิกภาพหรือสำเนียง รวมถึงการคิดค้นศัพท์ใหม่ ๆ ของผู้แต่งด้วย นักแปลบางคนที่ได้รับว่าจ้างมาแปลหนังสือนั้นเป็นผู้ประพันธ์มีชื่อเสียงก่อนมีผลงานกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ วิกตอร์ โกลูเชฟ ผู้ควบคุมการแปลหนังสือเล่มที่ห้าเป็นภาษารัสเซีย การแปลหนังสือเล่มสองถึงเจ็ดเป็นภาษาตุรกีอยู่ภายใต้การดูแลของเซวิน ออคเย นักวิจารณ์วรรณกรรมและผู้บรรยายวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม ด้วยเหตุผลด้านความลับ การแปลสามารถเริ่มต้นได้เฉพาะหลังหนังสือนั้นออกมาในภาษาอังกฤษแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้รุ่นภาษาอังกฤษถูกขายให้แก่แฟนที่รอไม่ไหวในประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกที จนทำให้เล่มที่ห้าในชุดกลายมาเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกและเล่มเดียวที่ขึ้นเป็นที่หนึ่งของรายการหนังสือขายดีในฝรั่งเศส รุ่นสหรัฐอเมริกาของนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องผ่านการดัดแปลงข้อความเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเสียก่อน เพราะคำหลายคำและหลายแนวคิดที่ใช้โดยตัวละครในนวนิยายนั้นอาจไม่เป็นที่เข้าใจแก่ผู้อ่านชาวอเมริกัน ผลงานในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับแปลภาษาไทยได้รับการจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ในขณะที่ฉบับภาษาอังกฤษได้ออกมาแล้วสี่เล่ม โดยต้องเร่งแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งสี่เล่มให้เสร็จโดยเร็วเพื่อง่ายต่อการแปลแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่ห้า ซึ่งโรว์ลิงยังเขียนไม่เสร็จ มีผู้แปลทั้งสิ้นสามคน ได้แก่ สุมาลี บำรุงสุขแปลเล่มที่หนึ่ง สอง ห้า หกและเจ็ด วลีพร หวังซื่อกุลแปลเล่มที่สาม และงามพรรณ เวชชาชีวะแปลเล่มที่สี่ หน้าปกฉบับภาษาไทยนั้นใช้ภาพแบบเดียวกับหน้าปกฉบับอเมริกัน ซึ่งเป็นผลงานของแมรี กรองด์เปรความสำเร็จแรงกระทบทางวัฒนธรรม ความสำเร็จ. แรงกระทบทางวัฒนธรรม. บรรดานักอ่านผู้ชื่นชอบนิยายชุดนี้ล้วนเฝ้ารอการวางจำหน่ายตอนล่าสุดที่ร้านหนังสือทั่วโลก เริ่มจัดงานให้ตรงกับวันวางจำหน่ายวันแรกตอนเที่ยงคืน เริ่มตั้งแต่การตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีใน พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา กิจกรรมพิเศษระหว่างรอจำหน่ายมีมากมาย เช่น การแต่งกายเลียนแบบตัวละคร เล่นเกม ระบายสีหน้า และการแสดงอื่น ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนพอตเตอร์และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงดูดแฟนและขายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมได้เกือบ 9 ล้านเล่ม จากจำนวนที่พิมพ์ไว้ครั้งแรก 10.8 ล้านเล่ม ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการวางแผง หนังสือเล่มสุดท้ายของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขายได้ 11 ล้านเล่มในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่าย นวนิยายชุดนี้ยังสามารถครองใจกลุ่มนักอ่านผู้ใหญ่ได้ด้วย ทำให้มีการจัดพิมพ์หนังสือออกเป็น 2 ฉบับในแต่ละเล่ม ซึ่งในนั้นมีเนื้อหาเหมือนกันหมด เพียงแต่ฉบับหนึ่งทำปกสำหรับเด็ก อีกฉบับหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่ นอกเหนือไปจากการพบปะกันออนไลน์ผ่านบล็อก พ็อตแคสต์และแฟนไซต์แล้ว แฟนผู้คลั่งไคล้แฮร์รี่ พอตเตอร์ยังสามารถพบปะกันที่สัมมนาแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ด้วย คำว่า "มักเกิ้ล" (Muggle) ได้แพร่ออกไปนอกเหนือจากการใช้ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ และกลายเป็นหนึ่งในคำวัฒนธรรมสมัยนิยมไม่กี่คำได้บรรจุลงพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด แฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ฟังพ็อตแคสต์เป็นประจำ โดยมากทุกสัปดาห์ เพื่อเข้าใจการอภิปรายล่าสุดในหมู่แฟน ทั้งมักเกิ้ลแคสต์และพอตเตอร์แคสต์ ได้แตะระดับอันดับสูงสุดของไอทูนส์และได้รับการจัดอันดับอยู่ในพ็อตแคสต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 50 อันดับแรกรางวัลและเกียรติยศ รางวัลและเกียรติยศ. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ตั้งแต่การพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ครั้งแรก รวมทั้งรางวัลหนังสือวิตเทกเกอร์แพลตินัมสี่รางวัล (ทั้งหมดได้รับเมื่อ พ.ศ. 2544) รางวัลหนังสือเนสเล่สมาร์ตตีส์สามรางวัล (พ.ศ. 2540-42), รางวัลหนังสือสภาศิลปะสกอตสองรางวัล (พ.ศ. 2542 และ 2544), รางวัลหนังสือเด็กแห่งปีวิตเบรดเล่มแรก (พ.ศ. 2542), และหนังสือแห่งปีดับเบิลยูเอชสมิท (พ.ศ. 2549) และอื่น ๆ ใน พ.ศ. 2543 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโกนวนิยายยอดเยี่ยม และใน พ.ศ. 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีได้รับรางวัลดังกล่าว เกียรติยศที่ได้นั้นมีทั้งการมอบเหรียญรางวัลคาร์เนกี (พ.ศ. 2540), รายชื่อสั้นสำหรับรางวัลเด็กการ์เดี้ยน (พ.ศ. 2541) และอยู่ในรายการหนังสือมีชื่อเสียง หนังสือที่คัดเลือกโดยบรรณาธิการ และรายการหนังสือดีที่สุดของสมาคมหอสมุดอเมริกา, เดอะนิวยอร์กไทมส์, หอสมุดสาธารณะชิคาโก และพับลิชเชอร์วีกลีความสำเร็จทางการค้า ความสำเร็จทางการค้า. ความสำเร็จของนวนิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ "มหาเศรษฐี" ของโลก มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน สามารถติดอันดับเป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลในทุกภาคที่เข้าฉาย ชุดภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นได้รับการต่อยอดไปสู่รูปแบบวิดีโอเกมและสินค้าจดลิขสิทธิ์กว่า 400 รายการ ซึ่งมูลค่าโดยประมาณของแบรนด์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่ากว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ความต้องการอย่างสูงในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ นิวยอร์กไทมส์ ตัดสินใจเปิดอันดับหนังสือขายดีอีก 1 ประเภทสำหรับวรรณกรรมเด็กโดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ก่อนการวางจำหน่าย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และหนังสือของโรว์ลิงก็อยู่บนอันดับหนังสือขายดีนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 79 สัปดาห์ โดยที่ทั้งสามเล่มแรกเป็นหนังสือขายดีในประเภทหนังสือปกแข็งด้วย การจัดส่งหนังสือชุด ถ้วยอัคนี ต้องใช้รถบรรทุกของเฟดเอกซ์กว่า 9,000 คันเพื่อการส่งหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ร้านหนังสือ บาร์นส์แอนด์โนเบิล ประกาศว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิติหนังสือจองผ่านเว็บไซต์โดยมียอดจองมากกว่า 500,000 เล่ม เมื่อนับรวมทั้งเว็บของบาร์นส์แอนด์โนเบิล กับอเมซอนดอตคอม จะเป็นยอดจองล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 700,000 เล่ม แต่เดิมสถิติการพิมพ์หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8 ล้านเล่ม แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำลายสถิตินี้ด้วยยอดพิมพ์ครั้งแรก 8.5 ล้านเล่ม และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติลงอีกด้วย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม ที่ 10.8 ล้านเล่ม ในจำนวนนี้ได้ขายออกไป 6.9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากวางจำหน่าย ส่วนในอังกฤษได้ขายออกไป 2 ล้านชุดภายในวันแรก อย่างไรก็ตามหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ก็ได้ทำลายสถิติก่อนหน้าลง ด้วยยอดขายกว่า 11 ล้านเล่ม ในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการจำหน่าย โดยมียอดสั่งจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์อเมซอนและร้านหนังสือบาร์นส์แอนด์โนเบิลกว่า 1 ล้านเล่มคำชื่นชมและวิจารณ์การวิจารณ์ทางวรรณกรรม คำชื่นชมและวิจารณ์. การวิจารณ์ทางวรรณกรรม. ในช่วงแรก ๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ทำให้นวนิยายชุดนี้ขยายฐานผู้อ่านออกไปอย่างมาก หนังสือเล่มแรกของชุดคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้จุดประเด็นความสนใจแก่หนังสือพิมพ์ของสกอตแลนด์หลายเล่ม เช่น The Scotsman บอกว่าหนังสือเล่มนี้ "มีทุกอย่างของความคลาสสิก" หรือ The Glasgow Herald ตั้งสมญาให้ว่าเป็น "สิ่งมหัศจรรย์" ไม่นานหนังสือพิมพ์ของทางอังกฤษก็เข้าร่วมวงด้วย มีหนังสือพิมพ์มากกว่า 1 เล่มเปรียบเทียบงานเขียนชุดนี้กับงานของโรอัลด์ ดาห์ล หนังสือพิมพ์ The Mail on Sunday เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น "งานเขียนที่เปี่ยมจินตนาการนับแต่ยุคของโรอัลด์ ดาห์ล" ส่วน The Guardian เรียกหนังสือนี้ว่า "นวนิยายอันงดงามที่สร้างโดยนักประดิษฐ์อัจฉริยะ" ครั้นเมื่อหนังสือออกวางจำหน่ายถึงเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ นวนิยายก็ได้รับการวิจารณ์ที่หนักหน่วงขึ้นจากเหล่านักวิชาการด้านวรรณกรรม เฮโรลด์ บลูม ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล นักวิชาการวรรณศิลป์และนักวิจารณ์ เป็นผู้ยกประเด็นการวิจารณ์วรรณกรรมเกี่ยวกับศีลธรรม เขากล่าวว่า "ในใจของโรว์ลิงมีแต่เรื่องอุปมาเกี่ยวกับความตายวนไปวนมา ไม่มีลีลาการเขียนแบบอื่นเลย" เอ. เอส. ไบแอต นักเขียนประจำนิวยอร์กไทมส์ บอกว่าจักรวาลในเรื่องของโรว์ลิงสร้างขึ้นจากจินตนาการที่ผสมปนเปจากวรรณกรรมเด็กหลาย ๆ เรื่อง และเขียนขึ้นเพื่อคนที่มีจินตนาการหมกมุ่นกับการ์ตูนทีวี โลกในฟองสบู่ที่เว่อร์เกินจริง รายการรีแอลิตี และข่าวซุบซิบดารา นักวิจารณ์ชื่อ แอนโทนี โฮลเดน เขียนความรู้สึกของเขาจากการตัดสินรางวัลวิทเบรด ปี พ.ศ. 2542 ส่วนที่เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ไว้ใน The Observer โดยที่ค่อนข้างมีมุมมองไม่ค่อยดี เขากล่าวว่า "มหากาพย์พอตเตอร์เป็นงานอนุรักษนิยม ย้อนยุค โหยหาความเป็นอดีตและระบบอุปถัมภ์ในอดีตของอังกฤษที่ผ่านไปแล้ว" เขายังวิจารณ์อีกว่าเป็น "งานเขียนร้อยแก้วที่ผิดไวยากรณ์ ใช้สำนวนตลาด" แต่ในทางตรงกันข้าม เฟย์ เวลดอน นักเขียนผู้ยอมรับว่านวนิยายชุดนี้ "ไม่ใช่งานที่กวีจะชื่นชอบ" แต่ก็ยอมรับว่า "มันไม่ใช่กวีนิพนธ์ มันเป็นร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัน และขายได้" เอ. เอ็น. วิลสัน นักวิจารณ์วรรณกรรม ยกย่องนวนิยายชุดนี้ใน The Times โดยระบุว่า "มีนักเขียนไม่มากนักเหมือนอย่างเจ. เค. ผู้มีความสามารถดังหนึ่งดิกคินส์ ที่ทำให้เราต้องรีบพลิกอ่านหน้าต่อไป ทำให้เราร้องไห้อย่างไม่อาย พอไม่กี่หน้าถัดไปเราก็ต้องหัวเราะกับมุกตลกที่แทรกอยู่สม่ำเสมอ ... เรามีชีวิตอยู่ตลอดทศวรรษที่เฝ้าติดตามงานตีพิมพ์อันมีชีวิตชีวาที่สุด สนุกสนานที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา" ชาลส์ เทย์เลอร์ แห่ง salon.com นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เห็นด้วยกับความคิดของไบแอต แต่เขาก็ยอมรับว่าผู้ประพันธ์อาจจะ "มีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือความเป็นวัยรุ่น มันเป็นแรงกระตุ้นของพวกเราที่จะเข้าใจความเหลวไหลของยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างกับความซับซ้อนของศิลปะยุคเดิม" สตีเฟน คิง เรียกนวนิยายชุดนี้ว่า "ความกล้าหาญซึ่งผู้มีจินตนาการอันล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะทำได้" และยกย่องการเล่นถ้อยคำสำนวนตลอดจนอารมณ์ขันของโรว์ลิงในนิยายชุดนี้ว่า "โดดเด่น" แม้เขาจะบอกว่านิยายชุดนี้จัดว่าเป็นนิยายที่ดี แต่ก็บอกด้วยว่า ในตอนต้นของหนังสือทั้งเจ็ดเล่มที่พบแฮร์รี่ที่บ้านลุงกับป้านั้นค่อนข้างน่าเบื่อ คิงยังว่า "โรว์ลิงจะไม่ใช้คำขยายความที่เธอไม่ชอบ!" เขายังทำนายด้วยว่า นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ "จะยืนยงท้าทายการทดสอบของกาลเวลา และอยู่บนหิ้งที่เก็บหนังสือดีที่สุดเท่านั้น ผมคิดว่าแฮร์รี่ได้เทียบขั้นกับอลิซ, ฮัค, โฟรโด และโดโรธีแล้ว นิยายชุดนี้จะไม่โด่งดังเพียงทศวรรษนี้ แต่จะยืนยงตลอดกาล"การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม. นิตยสารไทมส์ประกาศให้โรว์ลิงเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์เป็น "บุคคลแห่งปี" ของไทมส์ในปี พ.ศ. 2550 ในฐานะที่มีผลงานโดดเด่นทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากต่อกลุ่มแฟนคลับของเธอ ทว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อนิยายชุดนี้ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกัน นักวิจารณ์หนังสือจากวอชิงตันโพสต์ รอน ชาลส์ แสดงความเห็นของเขาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่าจำนวนผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนมากซึ่งอ่านหนังสืออื่นค่อนข้างน้อย อาจสะท้อนถึงตัวอย่างที่ไม่ดีของวัฒนธรรมวัยเด็ก รูปแบบการนำเสนอแบบตรงไปตรงมาในเรื่องที่แยกระหว่าง "ความดี-ความเลว" อย่างชัดเจนนั้นก็เป็นแนวทางแบบเด็ก ๆ เขายังบอกว่า ไม่ใช่ความผิดของโรว์ลิงเลย แต่วิธีทางการตลาดแบบ "ฮีสทีเรีย" (กรี๊ดกร๊าดคลั่งไคล้อย่างรุนแรง) ที่ปรากฏให้เห็นในการตีพิมพ์หนังสือเล่มหลัง ๆ "ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่พากันหลงใหลเสียงกรีดร้องในโรงมหรสพ ประสบการณ์สื่อแบบมหาชนซึ่งนิยายอื่นอาจจะทำให้ไม่ได้" เจนนี่ ซอว์เยอร์ เขียนไว้ใน Christian Science Monitor เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่า หนังสือชุดนี้เป็นตัวแทนถึง "จุดเปลี่ยนค่านิยมการเล่านิทานและสังคมตะวันตก" โดยที่ในนิยายชุดนี้ "หัวใจแห่งศีลธรรมกำลังเหือดหายไปจากวัฒนธรรมยุคใหม่... หลังจากผ่านไป 10 ปี, 4195 หน้า และ 375 ล้านเล่ม ท่ามกลางความสำเร็จอย่างสูงยิ่งของ เจ. เค. โรว์ลิง แต่เสาหลักของวรรณกรรมเด็กอันยิ่งใหญ่กลับขาดหายไป นั่นคือการเดินทางของวีรบุรุษเพื่อยืนหยัดความถูกต้อง" ซอว์เยอร์กล่าวว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่เคยประสบความท้าทายทางศีลธรรม ไม่เคยตกอยู่ใต้ภาวะลำบากระหว่างความถูกผิด ดังนั้นจึง "ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่ความถูกผิดไม่เป็นสีขาวและสีดำ" คริส ซุลเลนทรอพ ให้ความเห็นคล้ายคลึงกันใน Slate Magazine เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เขาเปรียบพอตเตอร์ว่าเป็น "เด็กผู้เป็นที่ไว้วางใจและชื่นชมที่โรงเรียน อันเป็นผลงานส่วนมากจากของขวัญที่เพื่อนและครอบครัวทุ่มเทให้" เขาสังเกตว่า ในนิยายของโรว์ลิงนั้น ศักยภาพและความสามารถทางเวทมนตร์เป็น "สิ่งที่คุณเกิดมาพร้อมกับมัน ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไขว่คว้ามาได้" ซุลเลนทรอพเขียนว่า คำคมของดัมเบิลดอร์ที่ว่า "เราต้องเลือกเองที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงที่ยิ่งใหญ่กว่าความสามารถของเรา" เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ในเมื่อโรงเรียนที่ดัมเบิลดอร์บริหารอยู่นั้นให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดมากกว่าอะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ดี ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 คริสโตเฟอร์ ฮิทเชนส์ รีวิว แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยยกย่องโรว์ลิงว่าได้ปรับเปลี่ยน "นิทานเกี่ยวกับโรงเรียนในอังกฤษ" ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ที่เคยมีแต่เรื่องเพ้อฝัน ความร่ำรวย ชนชั้น และความเป็นผู้ดี ให้กลายเป็น "โลกของประชาธิปไตยและความเปลี่ยนแปลงของวัยหนุ่มสาว"การโต้แย้งต่าง ๆ การโต้แย้งต่าง ๆ. หนังสือชุดนี้ตกเป็นประเด็นโต้แย้งทางกฎหมายมากมายหลายคดี มีทั้งการฟ้องร้องจากกลุ่มคริสเตียนอเมริกันว่าการใช้เวทมนตร์คาถาในหนังสือเป็นการเชิดชูศิลปะของพวกพ่อมดแม่มดให้แพร่หลายในหมู่เด็ก ๆ รวมถึงข้อขัดแย้งอีกหลายคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า การที่นวนิยายชุดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากและครอบครองมูลค่าตลาดสูงมาก ทำให้โรว์ลิง สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ของเธอ รวมถึงวอร์เนอร์ บราเธอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ของตน ทั้งนี้รวมถึงการห้ามจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหล่าเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ใช้ชื่อโดเมนคาบเกี่ยวกับคำว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์" พวกเขายังฟ้องนักเขียนอีกคนหนึ่งคือ แนนซี สโตฟเฟอร์ เพื่อตอบโต้การที่เธอออกมากล่าวอ้างว่า โรว์ลิงลอกเลียนแบบงานเขียนของเธอ กลุ่มนักอนุรักษนิยมทางศาสนาจำนวนมากอ้างว่า หนังสือชุดนี้เชิดชูศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังมีนักวิจารณ์อีกจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังสือชุดนี้มีแง่มุมทางการเมืองซ่อนอยู่หลายประการการดัดแปลงไปยังสื่ออื่นภาพยนตร์ การดัดแปลงไปยังสื่ออื่น. ภาพยนตร์. ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษบริเตนในบทสนทนา ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์ บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความซื่อตรงต่อหนังสือ ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ แสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน ภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ถูกแบ่งเป็นสองตอน กำกับโดยเดวิด เยตส์และสตีฟ โคลฟ ทำหน้าที่เขียนบทเช่นเดิม และทาง เจ. เค. โรว์ลิงยังได้มีส่วนร่วมในการควบคุมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของภาพยนตร์ภาคสุดท้ายในฐานะผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย รวมแล้วตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้ายใช้ในการถ่ายทำเวลานานกว่า 10 ปี ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องรายได้ของภาพยนตร์ทั้ง 8 ภาค ทำรายได้รวมมากกว่า 7,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐและภาพยนตร์ชุดที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่สองรองจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล โดยภาคที่ทำรายได้ไปมากที่สุดคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์แต่ละภาคได้รับคำวิจารณ์จากแฟนหนังสือมากมาย ในภาคแรกและภาคที่สองซึ่งกำกับโดยคริส โคลัมบัส ตัวภาพยนตร์เองได้รับการดัดแปลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเนื้อเรื่องในหนังสือไว้ แต่เนื้อหาของภาพยนตร์ก็เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับเด็ก จึงทำให้เด็กชมภาพยนตร์ภาคแรกและภาคสองมากกว่าผู้ใหญ่ ในภาคที่สามกำกับโดยอัลฟอนโซ กวารอน ที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวปราสาทฮอกวอตส์และใช้บรรยากาศแบบมืดครื้ม แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องมากกว่าเดิมทำให้ฉากแอ็กชันที่มีในหนังสือลดลงไป ส่วนในภาคที่สี่กำกับโดยไมค์ นิวเวลล์ เน้นหนักในเรื่องฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แต่การทำฉากแอ็กชันมากเกินไป จึงทำให้เนื้อหาและบทบาทตัวละครในเรื่องลดลงตามไปด้วย และในภาคที่ห้าที่กำกับโดยเดวิด เยตส์ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและตัดเนื้อเรื่องบางตอนออกไป เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือที่มากกว่าเล่มอื่น ๆ ฉากแอ็กชันจึงลดลงทำให้ภาพยนตร์ออกมาในแนวดรามา แต่ทางทีมงานก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษมากกว่าภาคก่อน ๆ ทำให้ภาพยนตร์ภาคที่ห้านี้ทำรายได้ไปถึง 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในภาคที่หกเดวิด เยตส์ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เช่นเคยโดยจะเน้นบทดรามามากกว่าฉากแอ็กชันซึ่งมีอยู่น้อยมากและจะเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ แทน ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ภาคที่หกนี้ก็ได้สร้างสถิติใหม่นั่นก็คือ ภาพยนตร์ทำเงินทั่วโลกสูงสุดในสัปดาห์แรก โดยทำเงินไปทั้งสิ้น 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐทำลายสถิติของไอ้แมงมุม 3ที่เปิดตัวด้วยรายรับทั่วโลก 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้รวมไป 934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1เข้าฉายและทำรายได้รวม 955 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการเดินทางตามหาฮอร์ครักซ์ของพวกแฮร์รี่และจบลงที่การตายของด๊อบบี้ ทำให้โทนหนังของภาคนี้จะเป็นแนวโร้ดมูฟวี่หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินเสียเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าฉายก็ได้สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์ที่เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดการ ทำรายได้วันแรกสูงถึง 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำลายสถิติเดิมของแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์ที่สูงสุดทำลายสถิติของแบทแมน อัศวินรัตติกาล โดยทำรายได้สัปดาห์แรกที่ 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งต่อมาถูกทำลายสถิติโดยดิ อเวนเจอร์สและไอรอนแมน 3 และทำลายสถิติภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกสัปดาห์แรกของที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคหกเคยทำไว้ โดยทำเงินรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์เปิดตัว และทำรายได้ปิดที่ 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลเป็นรองเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องอวตารและไททานิกเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างล้นหลาม โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สูงถึง 96%ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงที่สุดในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงถือว่าภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ก็ว่าได้วิดีโอเกม วิดีโอเกม. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ถูกดัดแปลงในรูปแบบของวิดีโอเกมหลังจากที่ภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เข้าฉายได้ไม่นานนัก ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทเกมอิเลคโทรนิค อาร์ตที่ผลิตออกมาเป็นเกมรูปแบบผจญภัย ในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับวิดีโอเกมที่สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และต่อมาได้พัฒนาจนสามารถเล่นได้ทั้งเครื่องเอกซ์บอกซ์ 360, วี เป็นต้น ปัจจุบันได้มีการผลิตเกมที่ดำเนินตามเนื้องเรื่องในภาพยนตร์ออกมาแล้วจำนวนหกเกม นอกจากนี้ยังมีเกมควิดดิชเวิลด์คัพซึ่งไม่ได้ดำเนินตามเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ แต่จะเป็นรูปแบบเกมกีฬาแทน ผลิตโดยบริษัทอิเลคโทรนิค อาร์ตเช่นกัน โดยเกมควิดดิชเวิลด์คัพนี้สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และเอกซ์บอกซ์ เกมชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการสร้างภาคต่อขึ้นและมีการพัฒนารูปแบบของเกมไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ภาค เช่น การทำภาพสมจริง และเสียงประกอบ เป็นต้น นอกจากนั้นตัวละครในเกมบางส่วนยังได้รับเสียงพากย์จากนักแสดงตัวจริงที่แสดงในภาพยนตร์อีกด้วยละครเวที ละครเวที. แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการวางแผนให้ได้รับการดัดแปลงในรูปแบบละครเวทีซึ่งจะนำเนื้อหาจากหนังสือนิยายต้นฉบับมาดัดแปลง โดยจะใช้การร้องเพลงเป็นตัวดำเนินเรื่องและในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เจ.เค.โรว์ลิ่งได้ประกาศว่าเธอกำลังทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างของแฮร์รี่ พอตเตอร์ในรูปแบบละครเวที โดยเธอระบุว่าเนื้อหาของละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวซึ่งยังไม่เคยถูกเล่า เกิดในช่วงก่อนที่แฮร์รี่จะกำพร้าพ่อแม่และถูกพวกเดอร์สลีย์รับมาเลี้ยง โรว์ลิ่งได้เปิดเผยข้อมูลผ่านทวิตเตอร์ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการวางแผงหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกว่าละครเวทีแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นจะใช้ชื่อการแสดงว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเด็กต้องคำสาป" โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มเปิดการแสดงในช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2559 ที่โรงละครพาเลซเธียเตอร์ ซึ่งบัตรเข้าชมในช่วงสี่เดือนแรกหรือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนถูกขายหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดจำหน่าย ภายหลังในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ได้มีการเปิดเผยผ่านเว็บไซต์พอตเตอร์มอร์ว่าบทละครจะถูกตีพิมพ์จำหน่ายในรูปแบบหนังสือหนึ่งวันหลังรอบปฐมทัศน์โลกของละครเวที และเหตุการณ์ในเรื่องจะเกิดขึ้นสิบเก้าปีให้หลังจากบทจบของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยบางกลุ่มได้จัดบทละครที่จะถูกตีพิมพ์นี้เป็นหนังสือเล่มที่แปด แม้จะไม่ได้ถูกเขียนโดยเจ. เค. โรว์ลิ่งที่ก็ตามอิทธิพลและผลสืบเนื่องวงดนตรี อิทธิพลและผลสืบเนื่อง. วงดนตรี. แฮร์รี่ พอตเตอร์มีอิทธิพลต่อสื่อทางด้านวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นชายเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีผลสำรวจว่ามีวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจหรืออิทธิพลจากแฮร์รี่ พอตเตอร์มากมายหลายร้อยวงด้วยกัน วงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือวง "แฮร์รีแอนด์เดอะพอตเตอร์ส" ซึ่งเป็นวงดนตรีอินดี้ร็อกที่นำเสนอเพลงแบบเรียบง่าย พวกเขาได้นำเนื้อหาบางส่วนในหนังสือมาแต่งเป็นบทเพลงของตนสวนสนุก สวนสนุก. หลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ไม่นานนัก ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการวางแผนและทำแบบแปลนการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจำลองสถานที่ต่างๆ ในวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ในโลกเวทมนตร์เช่น ฮอกวอตส์และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นต้น สวนสนุกแห่งนี้วางแผนการสร้างโดย จิม ฮิล มีแบบจำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวมไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ผู้สร้างสวนสนุกยังได้เชิญ เจ. เค. โรว์ลิง ให้มาร่วมทำการเนรมิตสวนสนุกแห่งนี้ เพื่อทำให้เหมือนกับสถานที่ในหนังสือของเธอให้มากที่สุด ซึ่งโรว์ลิงก็ตอบตกลง สวนสนุกตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ซึ่งเป็นเกาะรวมเครื่องเล่นแนวผจญภัยของยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต โดยได้ใช้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่าโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเปิดให้เข้าชมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553 โดยมีทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) และทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย และด้วยความสำเร็จของสวนสนุกที่สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้มากกว่า 36เปอร์เซ็นต์ ทางผู้สร้างจึงได้ริเริ่มโครงการที่สอง เป็นการสร้างส่วนขยายของสวนสนุกโดยการได้ทำการสร้างขึ้นในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล ฟลอริดา ในส่วนของโครงการที่สองได้มีการสร้างสถานที่ในโลกเวทมนตร์อย่างตรอกไดแอกอน ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ รวมถึงธนาคารกริงก็อตส์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเครื่องเล่นว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์กับการหลบหนีจากกริงก็อตส์ และยังรวมไปถึงสถานนีรถไฟของรถด่วนขบวนพิเศษฮอกวอตส์ซึ่งสร้างเชื่อมกับไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวก โดยในส่วนของสถานีรถไฟได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 และตามด้วยการเปิดตัวของตรอกไดแอกอนในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้มีการขยายสาขาไปเปิดยังต่างประเทศ ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซล ฮอลลีวูด ใกล้กับเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ภายใต้การก่อสร้างและมีกำหนดเปิดตัวในปีพ.ศ. 2559
ชุดนวนิยายแฟนตาซี แฮรี่ พอตเตอร์ มีจำนวนทั้งหมดกี่เล่ม
{ "answer": [ "เจ็ด" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 151 ] }
1,592
14,288
สตีฟ จอบส์ช่วงแรกของชีวิต ช่วงแรกของชีวิต. สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของพอล แรนโฮลด์ จอบส์ กับคลารา จอบส์ (สกุลเดิม ฮาโกเพียน) ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพทรีเชีย "แพตตี" แอน จอบส์ บิดามารดาที่แท้จริงของจอบส์ เขามีบิดาชื่อ อับดุลฟัตตะห์ "จอห์น" จันดาลี () ชาวซีเรียมุสลิม นักศึกษา (ในขณะนั้น) แต่ต่อมาได้ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์ กับโจแอน แคโรลด์ ชีเบิล () ที่มีเชื้อสายสวิสและนับถือคาทอลิก นักศึกษาในขณะนั้น ต่อมาได้ทำงานเป็นวิทยากรในการบำบัด ขณะที่จอบส์เกิด พ่อแม่ที่แท้จริงของเขายังมิได้สมรสกัน จันดาลี กล่าวว่า เขาไม่มีทางเลือกที่ยกทารกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น เนื่องจากของครอบครัวของโจแอน ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของตน ต่อมาภายหลังบิดามารดาได้สมรสกันและให้กำเนิดน้องสาวร่วมสายเลือดของจอบส์ คือ โมนา ซิมป์สัน นักแต่งนวนิยาย ในปีค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจากโฮมสตีดไฮสคูล ในเมืองคิวเปอร์ทีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเพราะเขาลาพักเรียนไป จึงมีเวลาเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ "ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้" จอบส์กล่าวก่อตั้งแอปเปิ้ล ก่อตั้งแอปเปิ้ล. ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง"บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666 ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่องApple IIออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่องApple IIIออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่องApple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์ ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์. ในขณะที่จอบส์ได้กลายเป็นนักบุญผู้มีบุคลิกโดดเด่นและมีส่วนผลักดันโครงการต่างๆของแอปเปิล เหล่านักวิจารณ์มักจะอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการที่มีบุคลิกแปลกประหลาดและโมโหร้าย ในปีค.ศ. 1985 ภายหลังจากประสบปัญหาขัดแย้งเรื่องอำนาจภายในบริษัท จอบส์ถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ลาออกในที่สุด หลังจากออกจากแอปเปิล จอบส์ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ NeXT เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา เน็กซ์มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันไม่เคยเข้าสู่กระแสความนิยมหลักได้เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว สำหรับผู้ที่มีเงินพอจะซื้อหามาเป็นเจ้าของได้นั้น เทคโนโลยีของเน็กซ์ทำให้มีกลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากเนื่องจากความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของมัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นได้แก่ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ จอบส์ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ของเน็กซ์โดยเน้นไปที่สาขาวิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา เนื่องจากมันได้ผนวกเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเชิงนวัตกรรม และทดลองค้นคว้ารวมอยู่ด้วย (เป็นต้นว่า เคอร์เนลมัค (Mach kernel) และแผงวงจรดีเอสพี) เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเน็กซ์คิวบ์(NeXT Cube) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดทางปรัชญาของจอบส์ในเรื่องของ "คอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล" ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญหลังจากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น นั่นคือ หากคอมพิวเตอร์สามารถให้มนุษย์สื่อสารและประสานงานกันอย่างง่ายดายแล้ว มันจะสามารถแก้ปัญหามากมายที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเคยประสบมา จอบส์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่เขาไม่ได้รวมเอาคุณลักษณะทางเครือข่ายเข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอชรุ่นดั้งเดิม (และเรียกมันว่า "สายรกที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับบริษัท") และเขาตั้งใจว่าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก ในช่วงเวลาที่อีเมลสำหรับคนส่วนมากยังคงเป็นระบบตัวหนังสือล้วน จอบส์รักที่จะทำการแสดงการสาธิต "เน็กซ์เมล" ระบบอีเมลของบริษัทเน็กซ์เพื่อให้เห็นถึงปรัชญาของเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล เน็กซ์เมลเป็นอีเมลระบบแรกๆที่สนับสนุนการมองเห็นกราฟิกส์และเสียงที่ฝังอยู่ในอีเมลได้จากทุกแห่ง และยังสามารถคลิกได้อีกด้วย จอบส์บริหารงานที่บริษัทเน็กซ์โดยเล็งผลเลิศแม้ว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม สายตาที่สอดส่องการทำงานทุกกระเบียดนิ้วคู่นี้ได้เป็นตัวบ่อนทำลายแผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน มันยังเป็นการแสดงให้โลกได้รู้ว่าจอบส์สามารถออกแบบเครื่องแมคอินทอช ที่ดีกว่ารุ่นดั้งเดิมในแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ กล่องเครื่อง เน็กซ์คิวบ์ที่ทำจากแมกนีเซียมตัดด้วยเลเซอร์ได้ชื่อว่าเป็นความสวยงามที่ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็จะต้องได้มา เช่นเดียวกับที่จอบส์แข่งขันกับไอบีเอ็มในช่วงที่งานอยู่ที่แอปเปิล จอบส์ต่อสู้กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ราวกับว่าซันเป็นจักรวรรดิปิศาจในช่วงเขาทำงานอยู่ที่เน็กซ์ ต่อมา หลังจากที่แผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ถูกปลด จอบส์กับสก็อต แมคนีลลีแห่งซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้เปิดตัว OPENSTEP ด้วยกัน ในช่วงที่จอบส์ทำงานอยู่ที่เน็กซ์นั้นมักจะไม่มีผู้กล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์ แต่จอบส์ได้อุทิศประโยชน์ไว้ในเหตุการณ์สำคัญยิ่งสองเหตุการณ์ด้วยกัน1. กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ ชื่อเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกกับ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ได้พัฒนาระบบต้นแบบของเวิลด์ไวด์เว็บของสถาบันวิจัยเซิร์นในสถานีวิจัยย่อยของเซิร์นโดยใช้เครื่องเน็กซ์ จุดยืนของจอบส์ที่ว่าคนธรรมดาน่าจะสามารถเขียนแอปพลิเคชันใดๆที่ "จำเป็นยิ่งยวดต่อภารกิจ" ได้กลายเป็นหลักเบื้องต้นในการสร้าง Interface Builder อันเป็นโปรแกรมที่ทิม เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เขียนโปรแกรมที่มีชื่อว่า "World-Wide Web 1.0" 2. การกลับมาของแอปเปิล คอมพิวเตอร์: การที่แอปเปิลอิงกับซอฟต์แวร์ดั้งเดิม และการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด ทำให้บริษัทเองเกือบจะล้มละลาย ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 จุดยืนของจอบส์ที่ยืนหยัดจะพัฒนาคอมพิวเตอร์จากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์อย่างต่อเนื่อง ได้ถูกมองว่าทะเยอทะยานเกินไปและเป็นแนวคิดที่ล้าหลังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่ทางเลือกของจอบส์ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบปฏิบัติการที่เสถียรและสามารถขยายตัวได้ แอปเปิลจะต้องการซอฟต์แวร์ตัวนี้ในเวลาต่อมาภายใต้การนำของจอบส์ และได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการเกิดใหม่ เทคโนโลยีของเน็กซ์ยังได้ช่วยในการพัฒนาก้าวหน้าของเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นต้นว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ การแสดงผลโพสต์สคริปต์ และอุปกรณ์ออพติก-แม่เหล็กกลับมาสู่แอปเปิล กลับมาสู่แอปเปิล. ในปีค.ศ. 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัทเน็กซ์ คอมพิวเตอร์ด้วยราคา 402ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปีค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง"ชั่วคราว"ของแอปเปิล หลังจากที่ผู้จัดการหลายคนเสียความเชื่อมั่นในตัว จิล อะเมลิโอ ผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นที่ถูกถอดออก ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จอบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า "ไอซีอีโอ" (iCEO) ด้วยการซื้อกิจการของเน็กซ์ เทคโนโลยีหลายตัวของบริษัทได้แจ้งเกิดในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mac OS X ที่พัฒนามาจาก NeXTSTEP ภายใต้การนำของจอบส์ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค (iMac) นับแต่นั้นเป็นต้นมา การออกแบบที่ดึงดูดใจ และยี่ห้อสินค้าที่มีพลังเป็นผลดีต่อแอปเปิลอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ได้ขยายกิจการไปหลายสาขา ด้วยการเปิดตัวไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอทูนส์ ซอฟต์แวร์สำหรับดนตรีดิจิทัล รวมไปถึงร้านดนตรีไอทูนส์ แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการยึดหัวหาดด้านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ส่วนบุคคล และร้านขายดนตรีออนไลน์ ด้วยแรงผลักดันทางนวัตกรรม จอบส์มักจะเตือนพนักงานของเขาว่า "ศิลปินที่แท้จริงต้องส่งงาน" ซึ่งหมายความว่าการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงเวลานั้น มีความสำคัญพอๆกับนวัตกรรมและการออกแบบที่โดนใจผู้ใช้ จอบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกกินเนสส์ว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก ในการเป็นองค์นำปาฐกถาที่งานแมคเวิลด์เอกซ์โป (Macworld Expo) ในนครซานฟรานซิสโก บริษัทได้ตัดคำว่า "ชั่วคราว" ออกจากตำแหน่งของเขา แต่เงินค่าจ้างของเขาที่แอปเปิลก็ยังคงเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเขาจะได้รับของขวัญพิเศษจำนวนมากที่สร้างรายได้แก่เขาจากคณะกรรมการบริหารตามธรรมเนียม รวมถึงเครื่องบินเจ็ต Gulfstream V มูลค่า 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีค.ศ. 1999 และหุ้นมูลค่าเกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นปุริมสิทธิ์ในปีค.ศ. 2000 - ค.ศ. 2002 ดังนั้น จอบส์จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงามสำหรับความพยายามของเขาที่แอปเปิล แม้จะได้ชื่อว่ามีค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม จอบส์ได้รับทั้งคำชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทักษะด้านการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคของเขา ซึ่งถูกแทนที่ด้วยคำว่า "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" ซึ่งเห็นได้ชัดอย่างยิ่งระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยในงานแมคเวิลด์เอกซ์โป เกราะกำบังด้วย "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" เป็นคำเปรียบเปรย ที่ใช้กับแอปเปิลด้วยในช่วงที่ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในขณะที่เครื่อง G4 cube มีราคาแพงเกินไป บริษัทก็ยังตัดสินใจสวนกระแสความต้องการของตลาด ด้วยการกำจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลอกแบบจากเครื่องแมคอินทอช การตัดสินใจของจอบส์ไม่ได้รับฉันทมติจากคนส่วนใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความพยายามทางการตลาดของแอปเปิลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เป็นเลิศในแง่เทคนิค แต่กลับเป็นแนวคิดแปลกแยกในหมู่นักลงทุนที่เล่นหุ้นของบริษัท ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หันไปซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของแอปเปิลตกลงฮวบฮาบ ไมโครซอฟท์ก็ซ้ำเติมการเสียตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลด้วยการพัฒนาส่วนประสานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งก็บดบังความร้อนแรงของหุ้นแอปเปิลและครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุดร่วมก่อตั้งพิกซาร์ ร่วมก่อตั้งพิกซาร์. ในปีค.ศ. 1986 จอบส์ได้ร่วมกับเอ็ดวิน แคทมัลล์ก่อตั้งพิกซาร์ ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ของบริษัทลูคัสฟิล์มเดิม ซึ่งจอบส์ได้ซื้อกิจการต่อมาจากจอร์จ ลูคัส ผู้ก่อตั้ง ด้วยราคา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหนึ่งในสามของราคาที่ตั้งไว้ พิกซาร์ได้กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในอีกหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแหวกแนว เรื่อง"ทอย สตอรี่" และจากนั้นก็ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลประกวดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์" ในปีค.ศ. 1998 "ทอย สตอรี่ 2" ในปีค.ศ. 1999 "มอนสเตอร์ส อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด" ในปีค.ศ. 2001 "นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต" ในปีค.ศ. 2003 และ "รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก" ในปีค.ศ. 2004 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของพิกซาร์คือเรื่อง "Cars2" มีกำหนดออกฉายในต้นเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2011 นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต และ รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก ต่างได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกันชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับโจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ "iCon Steve Jobs" กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกติดตรึงใจสนใจหล่อน เนื่องจากโจอาน แบเอซเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลน นักดนตรีขวัญใจของเขา และยังเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมฮิปปี้ (Beat Generation) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัยๆว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด (แล้วเอาไปพูดต่อ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร จอบส์เป็นมังสวิรัติที่ยังรับประทานปลา (ไม่ใช่มังสวิรัติ หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน) — แม้ว่าเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขากินปลาในบางครั้ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกจากตับอ่อน เขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนซึ่งในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า "เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย " (islet cell neuroendocrine tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดแต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน ในปีค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์วิลลีย์ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า "" เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่าการเสียชีวิตของสติฟ จอบส์ การเสียชีวิตของสติฟ จอบส์. ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัวไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ประกาศว่า สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อนรุมเร้ามาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี โดยในว้นที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2011 แอปเปิลได้จัดงานรำลึกถึงสตีฟ จอบส์ขึ้นมา โดยมีทิม คุก พูดถึงชีวิตของจอบส์ในแง่ต่างๆ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่ผ่านๆ มาของจอบส์ ณ Apple Campus เมืองคูเปอร์ทิโน รัฐแคลิฟอร์เนียข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์. บุคลิกก้าวร้าวและชอบเรียกร้องของสตีฟ าาามมมมมเล่ม เป็นต้นว่า "The Little Kingdom" โดย ไมเคิล โมริทซ์ "" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง "The Second Coming of Steve Jobs" โดย อลัน ดอยช์แมน และ "iCon Steve Jobs" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน ในสารคดี ชัยชนะของพวกเนิร์ด คนจำนวนมากกล่าวถึงเหตุการณ์อันโด่งดังเมื่อสตีฟ จอบส์ถูก ผู้บริหารระดับสูง จอห์น สกัลลีย์ และ คณะกรรมการผู้จัดการของแอปเปิลไล่ออก:- คริส เอสปิโนซา: "แผนการมโหฬารที่จะให้แมคอินทอชเป็นอย่างไรในอนาคตนั้น ช่างห่างไกลจากความจริงที่สินค้าชิ้นนี้เป็นอยู่ และความจริงที่สินค้านี้เป็นอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ยังสามารถกู้สถานการณ์ได้ แต่ช่องว่างระหว่างสิ่งทั้งสองนั้นมีมากเหลือเกิน จนต้องมีใครสักคนหนึ่งทำอะไรกับมัน และใครคนนั้นในตอนนั้นก็คือจอห์น สกัลลีย์" - จอห์น สกัลลีย์: "คณะกรรมการจะต้องตัดสินใจเลือก และผมพูดว่า เอาละ มันเป็นบริษัทของสตีฟ ผมมาที่นี่เพื่อช่วย ถ้าคุณต้องการให้เขาบริหารงาน ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร และทุกคนต้องหนุนหลังมันอยู่ ... และในที่สุดแล้วเมื่อคณะกรรมการได้พูดกับสตีฟ และกับผม เราตัดสินใจที่จะเดินหน้าแผนการของผมต่อไป และสตีฟก็จากไป" - สตีฟ จอบส์: "ผมจะพูดอะไรได้? ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิลหากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ" - แลรี เทสเลอร์: "คนในบริษัทรู้สึกกันไปต่างๆนานากับเรื่องนี้ ทุกคนต่างเคยถูกสตีฟ จอบส์เล่นงานมาไม่ว่าช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาก็โล่งใจที่ผู้ก่อการร้ายจะไปเสียที แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ผมคิดว่าคนเดียวกันมีความเคารพในตัวจอบส์อย่างมาก และเราทุกคนต่างเป็นกังวลอย่างมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทนี้ต่อไปเมื่อปราศจากวิสัยทัศน์ ปราศจากผู้ก่อตั้ง ปราศจากผู้มีบุคลิกโดดเด่น" - แอนดี เฮิร์ทซเฟลด์: "เขาถือว่ามันเป็นการจู่โจมส่วนบุคคล โดยเริ่มจากการโจมตีสกัลลีย์ ซึ่งมันทำให้เขาจนมุม เพราะเขาแน่ใจว่าคณะกรรมการจะสนับสนุนเขา ไม่ใช่สกัลลีย์...แอปเปิลไม่เคยฟื้นตัวจากการสูญเสียสตีฟ สตีฟเป็นหัวใจ จิตวิญญาณ และแรงขับเคลื่อน ที่นั่นคงเป็นที่ๆต่างๆไปจากนั้นในเวลานี้ พวกเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาไป"
สตีฟ จอบส์เสียชีวิตจากโรคใด
{ "answer": [ "มะเร็งตับอ่อน" ], "answer_begin_position": [ 13748 ], "answer_end_position": [ 13761 ] }
1,593
14,288
สตีฟ จอบส์ช่วงแรกของชีวิต ช่วงแรกของชีวิต. สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของพอล แรนโฮลด์ จอบส์ กับคลารา จอบส์ (สกุลเดิม ฮาโกเพียน) ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพทรีเชีย "แพตตี" แอน จอบส์ บิดามารดาที่แท้จริงของจอบส์ เขามีบิดาชื่อ อับดุลฟัตตะห์ "จอห์น" จันดาลี () ชาวซีเรียมุสลิม นักศึกษา (ในขณะนั้น) แต่ต่อมาได้ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์ กับโจแอน แคโรลด์ ชีเบิล () ที่มีเชื้อสายสวิสและนับถือคาทอลิก นักศึกษาในขณะนั้น ต่อมาได้ทำงานเป็นวิทยากรในการบำบัด ขณะที่จอบส์เกิด พ่อแม่ที่แท้จริงของเขายังมิได้สมรสกัน จันดาลี กล่าวว่า เขาไม่มีทางเลือกที่ยกทารกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น เนื่องจากของครอบครัวของโจแอน ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของตน ต่อมาภายหลังบิดามารดาได้สมรสกันและให้กำเนิดน้องสาวร่วมสายเลือดของจอบส์ คือ โมนา ซิมป์สัน นักแต่งนวนิยาย ในปีค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจากโฮมสตีดไฮสคูล ในเมืองคิวเปอร์ทีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเพราะเขาลาพักเรียนไป จึงมีเวลาเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ "ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้" จอบส์กล่าวก่อตั้งแอปเปิ้ล ก่อตั้งแอปเปิ้ล. ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายังรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม"เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน" กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่านกหวีดของเล่นที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อแคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทางไกลของเอทีแอนด์ทีได้ โดยไม่รอช้า ในปีค.ศ. 1974จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง"บลูบ็อกซ์" จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในปีค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับสตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่องApple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666 ในปีค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่องApple IIออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็นบริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้นำเครื่องApple IIIออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปีค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า "คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?" ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด ในปีค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่องแมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคินและทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่องApple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์ ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์. ในขณะที่จอบส์ได้กลายเป็นนักบุญผู้มีบุคลิกโดดเด่นและมีส่วนผลักดันโครงการต่างๆของแอปเปิล เหล่านักวิจารณ์มักจะอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการที่มีบุคลิกแปลกประหลาดและโมโหร้าย ในปีค.ศ. 1985 ภายหลังจากประสบปัญหาขัดแย้งเรื่องอำนาจภายในบริษัท จอบส์ถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่างๆที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ลาออกในที่สุด หลังจากออกจากแอปเปิล จอบส์ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ NeXT เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา เน็กซ์มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันไม่เคยเข้าสู่กระแสความนิยมหลักได้เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว สำหรับผู้ที่มีเงินพอจะซื้อหามาเป็นเจ้าของได้นั้น เทคโนโลยีของเน็กซ์ทำให้มีกลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากเนื่องจากความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของมัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นได้แก่ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ จอบส์ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ของเน็กซ์โดยเน้นไปที่สาขาวิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา เนื่องจากมันได้ผนวกเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเชิงนวัตกรรม และทดลองค้นคว้ารวมอยู่ด้วย (เป็นต้นว่า เคอร์เนลมัค (Mach kernel) และแผงวงจรดีเอสพี) เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเน็กซ์คิวบ์(NeXT Cube) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดทางปรัชญาของจอบส์ในเรื่องของ "คอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล" ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญหลังจากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น นั่นคือ หากคอมพิวเตอร์สามารถให้มนุษย์สื่อสารและประสานงานกันอย่างง่ายดายแล้ว มันจะสามารถแก้ปัญหามากมายที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเคยประสบมา จอบส์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่เขาไม่ได้รวมเอาคุณลักษณะทางเครือข่ายเข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอชรุ่นดั้งเดิม (และเรียกมันว่า "สายรกที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับบริษัท") และเขาตั้งใจว่าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก ในช่วงเวลาที่อีเมลสำหรับคนส่วนมากยังคงเป็นระบบตัวหนังสือล้วน จอบส์รักที่จะทำการแสดงการสาธิต "เน็กซ์เมล" ระบบอีเมลของบริษัทเน็กซ์เพื่อให้เห็นถึงปรัชญาของเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล เน็กซ์เมลเป็นอีเมลระบบแรกๆที่สนับสนุนการมองเห็นกราฟิกส์และเสียงที่ฝังอยู่ในอีเมลได้จากทุกแห่ง และยังสามารถคลิกได้อีกด้วย จอบส์บริหารงานที่บริษัทเน็กซ์โดยเล็งผลเลิศแม้ว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม สายตาที่สอดส่องการทำงานทุกกระเบียดนิ้วคู่นี้ได้เป็นตัวบ่อนทำลายแผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน มันยังเป็นการแสดงให้โลกได้รู้ว่าจอบส์สามารถออกแบบเครื่องแมคอินทอช ที่ดีกว่ารุ่นดั้งเดิมในแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ กล่องเครื่อง เน็กซ์คิวบ์ที่ทำจากแมกนีเซียมตัดด้วยเลเซอร์ได้ชื่อว่าเป็นความสวยงามที่ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็จะต้องได้มา เช่นเดียวกับที่จอบส์แข่งขันกับไอบีเอ็มในช่วงที่งานอยู่ที่แอปเปิล จอบส์ต่อสู้กับซัน ไมโครซิสเต็มส์ราวกับว่าซันเป็นจักรวรรดิปิศาจในช่วงเขาทำงานอยู่ที่เน็กซ์ ต่อมา หลังจากที่แผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ถูกปลด จอบส์กับสก็อต แมคนีลลีแห่งซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้เปิดตัว OPENSTEP ด้วยกัน ในช่วงที่จอบส์ทำงานอยู่ที่เน็กซ์นั้นมักจะไม่มีผู้กล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์ แต่จอบส์ได้อุทิศประโยชน์ไว้ในเหตุการณ์สำคัญยิ่งสองเหตุการณ์ด้วยกัน1. กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ ชื่อเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกกับ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ได้พัฒนาระบบต้นแบบของเวิลด์ไวด์เว็บของสถาบันวิจัยเซิร์นในสถานีวิจัยย่อยของเซิร์นโดยใช้เครื่องเน็กซ์ จุดยืนของจอบส์ที่ว่าคนธรรมดาน่าจะสามารถเขียนแอปพลิเคชันใดๆที่ "จำเป็นยิ่งยวดต่อภารกิจ" ได้กลายเป็นหลักเบื้องต้นในการสร้าง Interface Builder อันเป็นโปรแกรมที่ทิม เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เขียนโปรแกรมที่มีชื่อว่า "World-Wide Web 1.0" 2. การกลับมาของแอปเปิล คอมพิวเตอร์: การที่แอปเปิลอิงกับซอฟต์แวร์ดั้งเดิม และการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด ทำให้บริษัทเองเกือบจะล้มละลาย ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 จุดยืนของจอบส์ที่ยืนหยัดจะพัฒนาคอมพิวเตอร์จากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์อย่างต่อเนื่อง ได้ถูกมองว่าทะเยอทะยานเกินไปและเป็นแนวคิดที่ล้าหลังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 แต่ทางเลือกของจอบส์ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบปฏิบัติการที่เสถียรและสามารถขยายตัวได้ แอปเปิลจะต้องการซอฟต์แวร์ตัวนี้ในเวลาต่อมาภายใต้การนำของจอบส์ และได้เรียนรู้ประสบการณ์ของการเกิดใหม่ เทคโนโลยีของเน็กซ์ยังได้ช่วยในการพัฒนาก้าวหน้าของเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นต้นว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ การแสดงผลโพสต์สคริปต์ และอุปกรณ์ออพติก-แม่เหล็กกลับมาสู่แอปเปิล กลับมาสู่แอปเปิล. ในปีค.ศ. 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัทเน็กซ์ คอมพิวเตอร์ด้วยราคา 402ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปีค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง"ชั่วคราว"ของแอปเปิล หลังจากที่ผู้จัดการหลายคนเสียความเชื่อมั่นในตัว จิล อะเมลิโอ ผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นที่ถูกถอดออก ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จอบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า "ไอซีอีโอ" (iCEO) ด้วยการซื้อกิจการของเน็กซ์ เทคโนโลยีหลายตัวของบริษัทได้แจ้งเกิดในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mac OS X ที่พัฒนามาจาก NeXTSTEP ภายใต้การนำของจอบส์ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค (iMac) นับแต่นั้นเป็นต้นมา การออกแบบที่ดึงดูดใจ และยี่ห้อสินค้าที่มีพลังเป็นผลดีต่อแอปเปิลอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ได้ขยายกิจการไปหลายสาขา ด้วยการเปิดตัวไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอทูนส์ ซอฟต์แวร์สำหรับดนตรีดิจิทัล รวมไปถึงร้านดนตรีไอทูนส์ แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการยึดหัวหาดด้านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ส่วนบุคคล และร้านขายดนตรีออนไลน์ ด้วยแรงผลักดันทางนวัตกรรม จอบส์มักจะเตือนพนักงานของเขาว่า "ศิลปินที่แท้จริงต้องส่งงาน" ซึ่งหมายความว่าการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงเวลานั้น มีความสำคัญพอๆกับนวัตกรรมและการออกแบบที่โดนใจผู้ใช้ จอบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกกินเนสส์ว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก ในการเป็นองค์นำปาฐกถาที่งานแมคเวิลด์เอกซ์โป (Macworld Expo) ในนครซานฟรานซิสโก บริษัทได้ตัดคำว่า "ชั่วคราว" ออกจากตำแหน่งของเขา แต่เงินค่าจ้างของเขาที่แอปเปิลก็ยังคงเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเขาจะได้รับของขวัญพิเศษจำนวนมากที่สร้างรายได้แก่เขาจากคณะกรรมการบริหารตามธรรมเนียม รวมถึงเครื่องบินเจ็ต Gulfstream V มูลค่า 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีค.ศ. 1999 และหุ้นมูลค่าเกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากหุ้นปุริมสิทธิ์ในปีค.ศ. 2000 - ค.ศ. 2002 ดังนั้น จอบส์จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงามสำหรับความพยายามของเขาที่แอปเปิล แม้จะได้ชื่อว่ามีค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐก็ตาม จอบส์ได้รับทั้งคำชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทักษะด้านการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคของเขา ซึ่งถูกแทนที่ด้วยคำว่า "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" ซึ่งเห็นได้ชัดอย่างยิ่งระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยในงานแมคเวิลด์เอกซ์โป เกราะกำบังด้วย "พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน" เป็นคำเปรียบเปรย ที่ใช้กับแอปเปิลด้วยในช่วงที่ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในขณะที่เครื่อง G4 cube มีราคาแพงเกินไป บริษัทก็ยังตัดสินใจสวนกระแสความต้องการของตลาด ด้วยการกำจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลอกแบบจากเครื่องแมคอินทอช การตัดสินใจของจอบส์ไม่ได้รับฉันทมติจากคนส่วนใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความพยายามทางการตลาดของแอปเปิลในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เป็นเลิศในแง่เทคนิค แต่กลับเป็นแนวคิดแปลกแยกในหมู่นักลงทุนที่เล่นหุ้นของบริษัท ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หันไปซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของแอปเปิลตกลงฮวบฮาบ ไมโครซอฟท์ก็ซ้ำเติมการเสียตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลด้วยการพัฒนาส่วนประสานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งก็บดบังความร้อนแรงของหุ้นแอปเปิลและครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุดร่วมก่อตั้งพิกซาร์ ร่วมก่อตั้งพิกซาร์. ในปีค.ศ. 1986 จอบส์ได้ร่วมกับเอ็ดวิน แคทมัลล์ก่อตั้งพิกซาร์ ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ของบริษัทลูคัสฟิล์มเดิม ซึ่งจอบส์ได้ซื้อกิจการต่อมาจากจอร์จ ลูคัส ผู้ก่อตั้ง ด้วยราคา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหนึ่งในสามของราคาที่ตั้งไว้ พิกซาร์ได้กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในอีกหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแหวกแนว เรื่อง"ทอย สตอรี่" และจากนั้นก็ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลประกวดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์" ในปีค.ศ. 1998 "ทอย สตอรี่ 2" ในปีค.ศ. 1999 "มอนสเตอร์ส อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด" ในปีค.ศ. 2001 "นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต" ในปีค.ศ. 2003 และ "รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก" ในปีค.ศ. 2004 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของพิกซาร์คือเรื่อง "Cars2" มีกำหนดออกฉายในต้นเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2011 นีโม่...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต และ รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก ต่างได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกันชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับโจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ "iCon Steve Jobs" กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกติดตรึงใจสนใจหล่อน เนื่องจากโจอาน แบเอซเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลน นักดนตรีขวัญใจของเขา และยังเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมฮิปปี้ (Beat Generation) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัยๆว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด (แล้วเอาไปพูดต่อ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร จอบส์เป็นมังสวิรัติที่ยังรับประทานปลา (ไม่ใช่มังสวิรัติ หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน) — แม้ว่าเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขากินปลาในบางครั้ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกจากตับอ่อน เขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนซึ่งในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า "เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย " (islet cell neuroendocrine tumor) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดแต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน ในปีค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์วิลลีย์ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า "" เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่าการเสียชีวิตของสติฟ จอบส์ การเสียชีวิตของสติฟ จอบส์. ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัวไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ประกาศว่า สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรคมะเร็งตับอ่อนรุมเร้ามาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี โดยในว้นที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2011 แอปเปิลได้จัดงานรำลึกถึงสตีฟ จอบส์ขึ้นมา โดยมีทิม คุก พูดถึงชีวิตของจอบส์ในแง่ต่างๆ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่ผ่านๆ มาของจอบส์ ณ Apple Campus เมืองคูเปอร์ทิโน รัฐแคลิฟอร์เนียข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์. บุคลิกก้าวร้าวและชอบเรียกร้องของสตีฟ าาามมมมมเล่ม เป็นต้นว่า "The Little Kingdom" โดย ไมเคิล โมริทซ์ "" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง "The Second Coming of Steve Jobs" โดย อลัน ดอยช์แมน และ "iCon Steve Jobs" โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน ในสารคดี ชัยชนะของพวกเนิร์ด คนจำนวนมากกล่าวถึงเหตุการณ์อันโด่งดังเมื่อสตีฟ จอบส์ถูก ผู้บริหารระดับสูง จอห์น สกัลลีย์ และ คณะกรรมการผู้จัดการของแอปเปิลไล่ออก:- คริส เอสปิโนซา: "แผนการมโหฬารที่จะให้แมคอินทอชเป็นอย่างไรในอนาคตนั้น ช่างห่างไกลจากความจริงที่สินค้าชิ้นนี้เป็นอยู่ และความจริงที่สินค้านี้เป็นอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ยังสามารถกู้สถานการณ์ได้ แต่ช่องว่างระหว่างสิ่งทั้งสองนั้นมีมากเหลือเกิน จนต้องมีใครสักคนหนึ่งทำอะไรกับมัน และใครคนนั้นในตอนนั้นก็คือจอห์น สกัลลีย์" - จอห์น สกัลลีย์: "คณะกรรมการจะต้องตัดสินใจเลือก และผมพูดว่า เอาละ มันเป็นบริษัทของสตีฟ ผมมาที่นี่เพื่อช่วย ถ้าคุณต้องการให้เขาบริหารงาน ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร และทุกคนต้องหนุนหลังมันอยู่ ... และในที่สุดแล้วเมื่อคณะกรรมการได้พูดกับสตีฟ และกับผม เราตัดสินใจที่จะเดินหน้าแผนการของผมต่อไป และสตีฟก็จากไป" - สตีฟ จอบส์: "ผมจะพูดอะไรได้? ผมจ้างคนผิด เขาทำลายทุกสิ่งที่ผมสร้างไว้ด้วยการทำงานยาวนานถึง 10 ปี ทุกอย่างเริ่มที่ตัวผมเอง แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าเศร้าที่สุด ผมคงจะยินดีออกจากแอปเปิลหากว่าแอปเปิลยอมทำอย่างที่ผมต้องการ" - แลรี เทสเลอร์: "คนในบริษัทรู้สึกกันไปต่างๆนานากับเรื่องนี้ ทุกคนต่างเคยถูกสตีฟ จอบส์เล่นงานมาไม่ว่าช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาก็โล่งใจที่ผู้ก่อการร้ายจะไปเสียที แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ผมคิดว่าคนเดียวกันมีความเคารพในตัวจอบส์อย่างมาก และเราทุกคนต่างเป็นกังวลอย่างมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทนี้ต่อไปเมื่อปราศจากวิสัยทัศน์ ปราศจากผู้ก่อตั้ง ปราศจากผู้มีบุคลิกโดดเด่น" - แอนดี เฮิร์ทซเฟลด์: "เขาถือว่ามันเป็นการจู่โจมส่วนบุคคล โดยเริ่มจากการโจมตีสกัลลีย์ ซึ่งมันทำให้เขาจนมุม เพราะเขาแน่ใจว่าคณะกรรมการจะสนับสนุนเขา ไม่ใช่สกัลลีย์...แอปเปิลไม่เคยฟื้นตัวจากการสูญเสียสตีฟ สตีฟเป็นหัวใจ จิตวิญญาณ และแรงขับเคลื่อน ที่นั่นคงเป็นที่ๆต่างๆไปจากนั้นในเวลานี้ พวกเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาไป"
ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิลกับสตีฟ จอบส์มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "สตีฟ วอซเนียก" ], "answer_begin_position": [ 2220 ], "answer_end_position": [ 2233 ] }
1,594
936
ประเทศไทย ประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมมีชื่อว่า "สยาม" รัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2482 ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินและนครใหญ่สุดของประเทศ และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 76 จังหวัด แม้จะมีการสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในปี 2475 แต่กองทัพยังมีบทบาทในการเมืองไทยสูง ล่าสุด เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีการปกครองแบบเผด็จการทหารนับแต่นั้น พบหลักฐานการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันตั้งแต่ 20,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวไทเริ่มอพยพเข้าสู่บริเวณนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 แล้วเข้ามาตั้งแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนาและอาณาจักรอยุธยา นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย ต่อมาอาณาจักรอยุธยาค่อย ๆ เรืองอำนาจมากขึ้นจนเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 การติดต่อกับชาติตะวันตกเริ่มด้วยผู้แทนทางทูตชาวโปรตุเกสในปี 2054 อาณาจักรรุ่งเรืองอย่างมากในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี 2199–2231) แต่หลังจากนั้นค่อย ๆ เสื่อมอำนาจโดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการผลัดแผ่นดินที่มีการนองเลือดหลายรัชกาล จนสุดท้ายกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายสิ้นเชิงในปี 2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงรวบรวมแผ่นดินที่แตกออกเป็นก๊กต่าง ๆ และสถาปนาอาณาจักรธนบุรีที่มีอายุ 15 ปี ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักรนำไปสู่การสำเร็จโทษพระองค์โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมหลายฉบับ กระนั้น สยามไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกชาติใด มีการปรับให้สยามทันสมัยและรวมอำนาจปกครองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ปี 2411–53) สยามเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี 2460; ในปี 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยไม่เสียเลือดเนื้อ คณะราษฎรมีบทบาทนำทางการเมือง และในพุทธทศวรรษ 2480 นายกรัฐมนตรี จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบายชาตินิยมเข้มข้น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยเข้ากับฝ่ายอักษะ แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการประกาศสงคราม ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทหารมาก รัฐประหารที่มีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้าคณะในปี 2500 ทำให้คณะราษฎรหมดอำนาจ รัฐบาลฟื้นฟูพระราชอำนาจและมีมาตรการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ผลของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ทำให้เกิดประชาธิปไตยระบบรัฐสภาช่วงสั้น ๆ ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2531 หลังพุทธทศวรรษ 2540 มีวิกฤตการเมืองระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมาจนปัจจุบัน รวมทั้งเกิดรัฐประหารสองครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดในปี 2557 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 20 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 หลังมีการลงประชามติรับร่างเมื่อหนึ่งปีก่อน ประเทศไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เอเปก อีกทั้งเป็นร่วมผู้ก่อตั้งอาเซียน ประเทศไทยเป็นพันธมิตรของสหรัฐตั้งแต่สนธิสัญญาซีโต้ในปี 2497 ถือเป็นประเทศอำนาจนำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอำนาจปานกลางในเวทีโลก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-สูงและประเทศอุตสาหกรรมใหม่ มีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้มีการอพยพเข้าสู่เมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตามประมาณการในปี 2560 จีดีพีของประเทศไทยมีมูลค่าราว 432,898 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับที่ 26 ของโลกชื่อเรียก ชื่อเรียก. ชาวต่างชาติเรียกอาณาจักรอยุธยาว่า "สยาม" เมื่อราวปี 2000 ยอร์ช เซเดส์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เขียนว่ามีการพาดพิงทาสหรือเชลยศึกซีเอม (Syam) ในจารึกอาณาจักรจามปาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" เลย ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่า ชาวอยุธยาเรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว เดิมประเทศไทยเคยใช้ชื่อว่า สยาม มาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนในปี 2399 ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยม ฉบับที่ 1 เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ซึ่งจอมพล ป. ต้องการบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทยมิใช่ของเชื้อชาติอื่นตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับเป็นสยามอีกช่วงสั้น ๆ เมื่อปี 2488 และเปลี่ยนกลับมาใช้ว่าไทยอีกครั้งเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ในความหมายอย่างเคร่งครัด คำว่า "ไทย" หมายถึงประเทศไทยในช่วงหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศหลังปี 2482 โดยเว้นช่วงสั้น ๆ ที่เปลี่ยนกลับไปเป็นชื่อ "สยาม" ระหว่างปี 2488–91 ดังกล่าวข้างต้น ทว่าในความหมายอย่างกว้าง คำว่า "ไทย" อาจใช้หมายถึงราชอาณาจักรทั้งหลายซึ่งเป็นราชธานีของคนไทยตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคหินเก่าอย่างน้อยราว 20,000 ปี พบหลักฐานการปลูกข้าวเก่าแก่สุดเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล สำริดปรากฏระหว่าง 1,250–1,000 ปีก่อนคริสตกาลโดยคาดว่ารับมาจากตอนใต้ของจีน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในจังหวัดอุดรธานีจัดเป็นศูนย์การผลิตทองแดงและสำริดเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลเริ่มปรากฏการใช้เหล็ก อาณาจักรฟูนันเป็นอาณาจักรแรกสุดและทรงอำนาจที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจริญขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ต่อมา ชาวมอญอาศัยช่วงที่ฟูนันเสื่อมลงตั้งอาณาจักรของตน คือ อาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรหริภุญชัยในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ส่วนชาวเขมรตั้งอาณาจักรใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ที่อังกอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 อาณาจักรตามพรลิงก์เป็นรัฐมลายูที่ควบคุมการค้าผ่านช่องแคบมะละกาที่ทรงอำนาจที่สุด เจริญขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไทยสยามจัดอยู่ในกลุ่มชาวไท (Tai people) ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียแผ่นดินใหญ่ โดยมีภาษาร่วมกัน หลักฐานจีนบันทึกถึงชาวไทครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เดิมมีแนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทอยู่หลายแนวคิด เดวิด เค. ไวแอต (David K. Wyatt) ระบุว่าบรรพบุรุษของชาวไทในประเทศลาว ไทย พม่า อินเดียและจีนปัจจุบันเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในแถบเดียนเบียนฟูในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 8 ราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 เริ่มมีคนไทมาอยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันซึ่งในเวลานั้นมีอาณาจักรมอญและเขมรอยู่ ทำให้วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มอญและเขมรอาณาจักรสุโขทัยและแคว้นต่าง ๆ อาณาจักรสุโขทัยและแคว้นต่าง ๆ. เมื่อจักรวรรดิขแมร์และอาณาจักรพุกามเสื่อมอำนาจเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน อาณาจักรของชาวไทกินอาณาบริเวณตั้งแต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียปัจจุบันจนถึงทิศเหนือของลาว และลงไปถึงคาบสมุทรมลายู ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีประชากรชาวไทอาศัยอยู่มั่นคงในอดีตดินแดนแกนกลางของอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรลพบุรี จนถึงดินแดนนครศรีธรรมราช แต่ไม่มีบันทึกรายละเอียดการเข้ามาของชาวไท ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1240 (ประมาณปี 1780) พ่อขุนบางกลางหาวรวบรวมกำลังกบฏต่อเขมร และราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์สุโขทัยพระองค์แรก อาณาจักรสุโขทัยแผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จรดน่านและหลวงพระบางทางทิศเหนือ นครศรีธรรมราชทางทิศใต้ พุกามและมะตะบันทางทิศตะวันตก อย่างไรก็ดี อาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้น่าจะเกิดจากการสวามิภักดิ์ของเจ้าท้องถิ่นมากกว่า นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประดิษฐ์อักษรไทย มีเครื่องดินเผาสวรรคโลกเป็นสินค้าออกสำคัญ แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ ในรัชกาลพญาลิไท อาณาจักรรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ส่วนเหนือขึ้นไป พญามังรายซึ่งสืบราชสมบัติหิรัญนครเงินยางเชียงราว ทรงตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้นในปี 1839 มีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ ทรงรวบรวมแว่นแคว้นขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำปิง พระมหากษัตริย์ล้านนาล้วนสืบเชื้อสายจากพระองค์ต่อเนื่องกันกว่าสองศตวรรษ และสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการแต่งงานกับเจ้าเมืองต่าง ๆ จรดแม่น้ำน่านทางทิศตะวันออกและเหนือแม่น้ำโขงขึ้นไป ส่วนบริเวณเมืองท่าบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง มีการตั้งสหพันธรัฐในบริเวณเพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรีและอยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 11อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น. อาณาจักรอยุธยากำเนิดจากจากลพบุรีและสุพรรณบุรีที่อยู่ใกล้เคียง พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี 1893 ในเขตเมืองอโยธยาเดิม การปกครองของอาณาจักรอยุธยามีลักษณะเป็นเครือข่ายราชรัฐและจังหวัดบรรณาการที่สวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์อยุธยาตามระบบมณฑล เนื่องจากขาดกฎสืบราชสมบัติ เมื่อใดที่มีการผลัดแผ่นดินจะมีเจ้าหรือขุนนางทรงอำนาจยกทัพเข้าเมืองหลวงเพื่ออ้างสิทธิ์ทำให้เกิดการนองเลือดบ่อยครั้ง การขยายอาณาเขตช่วงแรกอาศัยการพิชิตดินแดนและการอภิเษกทางการเมือง ในปี 1912, 1931 และ 1974 อาณาจักรอยุธยายกทัพไปตีเมืองพระนคร (นครธม) เมืองหลวงของจักรวรรดิขแมร์ ได้ทั้งสามครั้ง ทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นมหาอำนาจแทนจักรวรรดิขแมร์ การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้สุโขทัยตกเป็นประเทศราชและส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตามลำดับ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ ซึ่งบางส่วนได้ใช้มาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาระบบศักดินา ก่อให้เกิดระบบไพร่ซึ่งเป็นแรงงานเกณฑ์ให้ราชการปีละหกเดือน อย่างไรก็ดี การพยายามขยายอำนาจไปยังรัฐสุลต่านมะละกาทางใต้ และอาณาจักรล้านนาไม่ประสบความสำเร็จ การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี 2054 ทำให้กรุงศรีอยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตก การชิงความเป็นใหญ่ระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรพม่าเหนือเชียงใหม่และมอญทำให้ทั้งสองขัดแย้งกัน ขณะเดียวกัน ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น กระทั่งขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนอง หลังจากนั้น กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในปี 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น กรุงศรีอยุธยายังมุ่งเพิ่มความสัมพันธ์กับชาติยุโรปต่อมาอีกหลายรัชกาล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส ฮอลันดา และอังกฤษ ผู้เดินทางชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ยกอาณาจักรอยุธยาว่าเป็นสามมหาอำนาจแห่งเอเชียร่วมกับจีนและอินเดีย อิทธิพลของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยาที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความเกลียดกลัวต่างชาติ จนลงเอยด้วยการปฏิวัติในปี 2231 อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์กับชาติยุโรปอื่นยังเป็นปกติและต่อมาบาทหลวงฝรั่งเศสก็กลับมามีอิสระในการเผยแผ่ศาสนา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศถือเป็น "สมัยบ้านเมืองดี" ในกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ความขัดแย้งภายในติด ๆ กันหลายรัชกาล และการสงครามกับราชวงศ์คองบอง (อลองพญา) จนส่งผลให้เสียกรุงครั้งที่สองเมื่อปี 2310 ซึ่งก่อนหน้านั้นกรุงศรีอยุธยาว่างเว้นจากศึกสงครามมากว่า 150 ปี หลังจากนั้นบ้านเมืองแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ารวมทั้งสิ้น 5 ก๊ก ในปีเดียวกัน เจ้าตากได้รวบรวมไพร่พลขับไล่พม่า และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี พระองค์ทรงรวบรวมแผ่นดินให้อยู่ภายใต้พระองค์ ด้านสงครามภายนอก กองทัพธนบุรีสามารถขับไล่พม่าออกจากล้านนาได้ในปี 2319 และยึดกรุงเวียงจันทน์ได้ในปี 2321 อาณาจักรธนบุรีมีอายุเพียง 15 ปีและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว หลังเกิดความขัดแย้งช่วงปลายรัชกาล พระองค์และพระราชโอรสทั้งหลายทรงถูกสำเร็จโทษโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325การปรับให้ทันสมัยและการรวมอำนาจปกครอง การปรับให้ทันสมัยและการรวมอำนาจปกครอง. ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรุงรัตนโกสินทร์สามารถป้องกันการเข้าตีของพม่า และยุติการบุกครองของพม่า ก่อนพระองค์สวรรคตสามารถสถาปนาอำนาจปกครองเหนือพื้นที่ไพศาลอันเป็นที่ตั้งของประเทศลาวและกัมพูชาปัจจุบัน ในปี 2364 จอห์น ครอว์เฟิร์ดถูกส่งมาเจรจาความตกลงการค้าฉบับใหม่กับกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของปัญหาที่จะครอบงำการเมืองสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมฉบับแรก ๆ อันนำมาสู่การทำสนธิสัญญากับชาติอื่นด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน หากก็นำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครและการค้าระหว่างประเทศ ต่อมา การคุกคามของจักรวรรดินิยมทำให้สยามยอมยกดินแดนประเทศราชให้ฝรั่งเศสและบริเตนในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และดำรงบทบาทของตนเป็นรัฐกันชนระหว่างเจ้าอาณานิคมทั้งสอง หากแม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากชาติมหาอำนาจ สยามก็ยังสามารถธำรงตนเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่ก็ต้องรับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้ามาอย่างมาก จนนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมและวัฒนธรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาระบบมณฑลเทศาภิบาลซึ่งมีการส่งข้าหลวงจากส่วนกลางไปปกครองดินแดนส่วนต่าง ๆ และยุติอำนาจของเจ้าท้องถิ่น รวมทั้งการเลิกทาสและไพร่ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ขึ้นชื่อที่สุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมีอธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น. สืบจากปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และราคาข้าวตกลงอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีการลดรายจ่ายภาครัฐอย่างมากทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่อภิชน วันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรนำปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาททางการเมือง ปลายปี 2476 เกิดกบฏบวรเดช ซึ่งหวังเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับสู่สมบูรณาญาสิทธิราช แต่ล้มเหลว ปี 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลจึงทรงสละราชสมบัติในปี สภาผู้แทนราษฎรเลือกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เดือนธันวาคม 2481 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และกองทัพเริ่มมีอำนาจมากขึ้น รัฐบาลมีแนวคิดชาตินิยมและปรับให้เป็นตะวันตก และเริ่มดำเนินนโยบายต่อต้านจีนและฝรั่งเศส วันที่ 23 มิถุนายน 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ในปี 2484 เกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นระหว่างวิชีฝรั่งเศสกับไทย ทำให้ไทยได้ดินแดนเพิ่มจากลาวและกัมพูชา วันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นบุกครองไทย และรัฐบาลลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐและสหราชอาณาจักร มีการตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นทั้งในและต่างประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาลและการยึดครองของญี่ปุ่น ในปี 2487 กรุงเทพมหานครถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์และประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ประเทศญี่ปุ่นยอมจำนนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2488 หลังสงคราม ประเทศไทยลงนามความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อเลิกสถานะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในเดือนมิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างเป็นปริศนา และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชทรงสืบราชสมบัติต่อมา ในปี 2497 ประเทศไทยลงนามเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้) เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ ในปี 2500 เกิดรัฐประหารโดยมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ทำให้คณะราษฎรหมดอำนาจ จอมพลสฤษดิ์เพิ่มพูนอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และรื้อฟื้นพระราชประเพณีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีแรกนาขวัญ การมอบกราบ เป็นต้น และในปี 2504 หลังสหรัฐเข้าสงครามเวียดนาม รัฐบาลไทยทำข้อตกลงลับโดยส่งทหารเข้าสู่ประเทศลาวและเวียดนาม รวมทั้งอนุญาตให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพอากาศในประเทศเพื่อใช้ทิ้งระเบิดประเทศเวียดนามเหนือ ฝ่ายเวียดนามเหนือตอบโต้โดยให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สงครามเวียดนามเร่งให้เกิดการทำให้ทันสมัยและการกลายเป็นตะวันตกของสังคมไทย ประเทศไทยเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก มีการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างมากและมีการอพยพจากชนบทสู่เมืองเพื่อหางาน แต่ราษฎรในชนบทยังยากจน มีการเคลื่อนไหวคัดค้านรัฐบาลของนิสิตนักศึกษาที่เรียก ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เริ่มในปี 2511 และในเดือนตุลาคม 2514 มีการชุมนุมใหญ่และมีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต ที่เรียก "เหตุการณ์ 14 ตุลา" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีนับว่าพระมหากษัตริย์เข้ามาบทบาททางการเมืองโดยตรงครั้งแรกนับแต่ปี 2475 ผลของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดประชาธิปไตยระบบรัฐสภาช่วงสั้น ๆ ที่มักเรียกว่า "ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน"ร่วมสมัย ร่วมสมัย. ปลายปี 2519 การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเอียงเป็นฝ่ายซ้ายมากขึ้น ฝ่ายกองทัพและพรรคการเมืองฝ่ายขวาเริ่มโฆษณาชวนเชื่อกล่าวหาว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ความตึงเครียดระหว่างคนงานและเจ้าของโรงงานรุนแรงขึ้นและขบวนการสิทธิพลเมืองเคลื่อนไหวมากขึ้นหลังปี 2516 เหตุการณ์ลงเอยด้วยการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน "เหตุการณ์ 6 ตุลา" วันเดียวกัน เกิดรัฐประหาร แล้วมีการแต่งตั้งธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวคิดขวาจัด เขาดำเนินการกวาดล้างมหาวิทยาลัย สื่อและข้าราชการ มีปัญญาชน ฝ่ายซ้ายและนักศึกษาเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปีต่อมา เกิดรัฐประหารอีกครั้งแล้วเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2521 รัฐบาลเกรียงศักดิ์เสนอนิรโทษกรรมต่อนักคอมมิวนิสต์ไทย และเขาเยือนประเทศจีนและทำข้อตกลงเพื่อยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การสู้รบกับคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 2523 ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2531 ในปี 2534 คณะทหารที่เรียก คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ รัฐประหารโค่นรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนัก หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2535 พรรคร่วมรัฐบาลเสนอชื่อพลเอก สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ปฏิเสธก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เกิดการสลายการชุมนุมทำให้มีผู้เสียชีวิต เรียก "พฤษภาทมิฬ" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรับสั่งให้พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้า แล้วหลังจากนั้นพลเอกสุจินดาก็ลาออก ปี 2540 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เรียก "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ยุติการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องกัน 40 ปี ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่อมา ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ได้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจจนประสบผลหลายอย่าง แต่ก็ตกเป็นที่กล่าวหาอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในปี 2547 เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มภาคใต้และเริ่มต้นความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ต้องการให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในปี 2549 มีรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลทหารปกครองประเทศหนึ่งปีจนมีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี 2550 พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี 2550 และจัดตั้งรัฐบาล ต่อมา พธม. จัดการชุมนุมใหญ่ในปี 2551 ซึ่งมีการปิดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรครัฐบาล 3 พรรค หลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ ชุมนุมประท้วงรัฐบาลในปี 2552 และ 2553 ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ในปีเดียวกัน เกิดมหาอุทกภัย มีพื้นที่ประสบภัย 65 จังหวัด ปลายปี 2556 เกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ มีสาเหตุหลักจากสภาผู้แทนราษฎรผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนการเลือกตั้ง วันที่ 20 พฤษภาคม กองทัพบกประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ และอีกสองวันต่อมาได้ ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ต่อมาระหว่างการปกครองของรัฐบาลทหาร ในปี 2560 มีการออกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุดหลังการลงประชามติเมื่อปีก่อนภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. ประเทศไทยตั้งอยู่กลางคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังอยู่บนคาบสมุทรมลายูด้วย อยู่ระหว่างละติจูด 5° ถึง 21° เหนือ และลองติจูด 97° ถึง 106° ตะวันออก มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 51 ของโลกและอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (maritime zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 กว่า 320,000 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้นกว่า 3,101 กิโลเมตร ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดสูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเกิดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มลายู ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขา อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามันภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ภูมิอากาศของไทยส่วนใหญ่เป็นแบบ "ภูมิอากาศร้อนชื้นเขตร้อนหรือสะวันนา" ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ส่วนปลายใต้สุดและตะวันออกสุดของประเทศมีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 18–34 °C ภูมิอากาศของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตามฤดูกาล ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมมีลักษณะเป็นการเคลื่อนของอากาศอุ่นชื้นจากมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณส่วนใหญ่ของประเทศ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์นำพาอากาศเย็นแห้งจากประเทศจีนปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนในภาคใต้ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือนำอากาศแบบไม่รุนแรงและฝนตกหนักในชายฝั่งตะวันออก สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ฤดูแรกเป็นฤดูฝนหรือฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม) ฝนตกหนักที่สุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งทำให้เกิดอุทกภัยบางครั้ง นอกจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ร่องความกดอากาศต่ำ (Intertropical Convergence Zone) และพายุหมุนเขตร้อนก็มีส่วนทำให้เกิดฝนตกหนักในฤดูฝนด้วย กระนั้น ปกติมีช่วงปลอดฝนสั้น ๆ 1 ถึง 2 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากร่องความกดอากาศต่ำเคลื่อนขึ้นเหนือไปภาคใต้ของประเทศจีน ฤดูหนาวหรือฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศแห้งและอุณหภูมิไม่ร้อนมาก ยกเว้นภาคใต้ที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ส่วนฤดูร้อนหรือฤดูก่อนมรสุมกินเวลาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคมซึ่งมีอากาศร้อน เนื่องจากที่ตั้งในแผ่นดินและละติจูด ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลางและตะวันออกของประเทศไทยประสบอากาศร้อนเป็นเวลานาน เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี ปกติอุณหภูมิมักสูงถึง 40 °C โดยยกเว้นพื้นที่ชายฝั่งที่ลมทะเลทำให้อุณหภูมิตอนกลางวันไม่ร้อนเกินไป ในทางตรงข้าม การพัดของลมเย็นจากประเทศจีนทำให้อุณหภูมิต่ำลง ซึ่งบางกรณีอาจเข้าใกล้หรือต่ำกว่า 0 °C ได้ ภาคใต้มีอากาศไม่รุนแรงตลอดปี มีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกลางคืนและระหว่างฤดูกาลน้อยเนื่องจากอิทธิพลของทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนตกเฉลี่ยทั้งปี 1,200 ถึง 1,600 มิลลิเมตร แต่ในบางพื้นที่ที่เป็นฝั่งรับลมของภูเขา เช่น จังหวัดระนองและจังหวัดตราดมีปริมาณฝนกว่า 4,500 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนบริเวณแห้งแล้งคือฝั่งรับลมของหุบเขาภาคกลางและส่วนเหนือสุดของภาคใต้ซึ่งมีปริมาณฝนเฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า 1,200 มิลลิเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศแห้งระหว่างมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและฝนตกในมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในภาคใต้ ฝนตกหนักเกิดทั้งในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีมากสุดในเดือนกันยายนในฝั่งตะวันตก และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมในฝั่งตะวันออกความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคเกษตรกรรม และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด พื้นที่ราว 29% ของประเทศเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก การลักลอบล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ยังเป็นปัญหาสำคัญ นักล่ามักฆ่าสัตว์อย่างเสือโคร่ง เสือดาวและแมวใหญ่อื่นเพื่อเอาหนัง มีการเลี้ยงหรือล่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้งเสือโคร่ง หมี จระเข้และงูจงอางเพื่อเอาเนื้อ แม้การค้าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ผิดกฎหมาย แต่ตลาดนัดจตุจักรในกรุงเทพมหานครยังขึ้นชื่อเรื่องการขายสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อยู่การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เดิมประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา มีการปกครองแบบรวมศูนย์เด็ดขาดตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรปฏิวัติในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในปี 2560 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นับเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมืองสูงและมีรัฐประหารหลายครั้ง หลังเปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีการเปลี่ยนสมดุลอำนาจฝ่ายการปกครองเรื่อยมา นอกจากนี้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังเปลี่ยนไปตามรัฐธรรมนูญด้วย ประเทศไทยมีรัฐประหารมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2559 "ประเทศไทยมีทหารหรืออดีตทหารเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยเป็นเวลา 57 จาก 85 ปีนับแต่ล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475" ในทางพฤตินัย ปัจจุบันประเทศไทยปกครองในระบอบเผด็จการทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ต่อมาในปี 2560 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ในรัฐธรรมนูญดังกล่าว ระบุว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือใช้ว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้- อำนาจนิติบัญญัติ มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกินสองร้อยห้าสิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ไม่มีระบุวาระ เดิมสภานิติบัญญัติของไทยได้แก่รัฐสภา ซึ่งใช้ระบบสภาคู่ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา - อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นไม่เกินสามสิบห้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ ไม่มีระบุวาระ นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจและเป็นหัวหน้ารัฐบาล - อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน สำหรับราชการส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นและสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแทบทุกระดับ ระบบพรรคการเมืองของไทยเป็นแบบหลายพรรค นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ก็มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหารหลายคน หลัง พ.ศ. 2544 มีพรรคการเมืองครอบงำสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเปลี่ยนมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทยตามลำดับ และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งตั้งแต่ปีนั้น พรรคการเมืองอื่น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้นการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น (1) ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง, ทบวง และกรม (2) ราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล จังหวัดล่าสุดของประเทศไทย คือ จังหวัดบึงกาฬซึ่งแยกจากจังหวัดหนองคายในปี 2554 และ (3) ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ปัจจุบัน ประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐมาตั้งแต่การลงนามองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2497 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และมีความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมือง และด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความร่วมมือกับองค์การท้องถิ่น อาทิ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป ประเทศไทยลงนามความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับประเทศบาห์เรน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ชิลี และเปรู และความตกลงการค้าเสรีกับประเทศอาเซียน และความตกลงการค้าพหุภาคี (ในฐานะอาเซียน) กับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าประเทศไทยจะเลิกรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศและทำงานร่วมกับประเทศผู้บริจาคเพื่อช่ว่ยพัฒนาประเทศพื้นบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทักษิณมุ่งให้ประเทศไทยเป็นผู้นำภูมิภาค แต่เขาก็สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผด็จการทหารพม่า รวมทั้งการให้สินเชื่อ ในสมัยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเทศไทยมีข้อพิพาทกับประเทศกัมพูชาเหนือความเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร เกิดกรณีพิพาทพรมแดนระหว่างปี 2551–2554 หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับชาติตะวันตกเสื่อมลง และไทยหันไปเข้ากับประเทศจีนและประเทศรัสเซียมากขึ้นกองทัพ กองทัพ. พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยนิตินัย ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ กองทัพไทยแบ่งออกเป็น 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้น 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย ในปี 2558 เครดิตสวิสจัดอันดับว่าประเทศไทยมีดัชนีกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลก งบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 78,100 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 207,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559 คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.5 ของจีดีพี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร โดยชายสัญชาติไทยต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปีที่อายุย่างเข้าสิบแปดปี และจักมีสภาพเป็นทหารกองเกิน กองทัพจะเรียกเกณฑ์ทหารกองเกินชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี ส่วนทหารกองเกินที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารจะได้รับการยกเว้นการเรียกเข้ามาตรวจเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการในยามปกติ ประเทศไทยยังเคยส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก, อัฟกานิสถาน, อิรัก, บุรุนดี และปัจจุบัน ในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน กองทัพไทยขึ้นชื่อเรื่องมีทหารทุจริต เช่น จากกรณีการซื้อยุทธภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานหรือแพงเกิน การลักลอบค้ามนุษย์ รวมทั้งการใช้เส้นสายฝากตั้งญาติเป็นนายทหาร ซึ่งพลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม แถลงว่า หลายคนในกองทัพก็ทำอาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย. คดีอาชญากรรมรวมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละประมาณร้อยละ 1.3 ระหว่างเดือนมกราคม 2540 – ธันวาคม 2554 ในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร (กุมภาพันธ์–เมษายน 2546) อาชญากรรมยาเสพติดลดลงร้อยละ 64.6 แต่การฆ่าคนและอาชญากรรมอื่นต่อบุคคลเพิ่มขึ้น จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีอาชญากรรมสูงสุดสองอันดับแรก แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชญากรรมรุนแรง อัตราชำระคดี (clear-up) ของตำรวจโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 86.78 ระหว่างปี 2550–2554 จำนวนแรงงานเข้าเมืองมิชอบด้วยกฎหมายแปรผันตรงกับอัตราอาชญากรรมถ่วงน้ำหนัก ส่วนคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ จำนวนพระภิกษุและความหนาแน่นของประชากรแปรผกผันกับอัตราอาชญากรรมถ่วงน้ำหนัก ประเทศไทยมีปัญหาจำนวนอาวุธปืน ชาวไทยประมาณร้อยละ 10 เป็นเจ้าของปืน และมีอัตราการเสียชีวิตเกี่ยวกับปืนที่มีรายงานสูงสุดในทวีปเอเชีย สหประชาชาติวิจารณ์ประเทศไทยว่าไม่สามารถขจัดความเป็นทาสและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคประมง จำนวนผู้ต้องขังในประเทศไทยนั้นมากที่สุดในอาเซียน และมากเป็นอันดับที่ 3 ของทวีปเอเซีย สถิติปี 2555 พบว่าชาวไทยประสบเหตุอาชญากรรม 152,228 คน เป็นอาชญากรรมต่อทรัพย์สินมากที่สุด (ร้อยละ 92.5) ทรัพย์สินที่ถูกขโมยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำติดตัวไปได้ นอกจากนั้นเป็นเครื่องใช้นอกและในบ้าน เครื่องประดับ เป็นต้น ประสบเหตุอาชญากรรมต่อชีวิตและร่างกาย 7,879 คน เป็นการถูกทำร้ายร่างกายมากที่สุด (ร้อยละ 79.8) ส่วนใหญ่ผู้ประสบเหตุอาชญากรรมไม่ได้แจ้งตำรวจ โดยเฉลี่ยร้อยละ 66.6 ยกเว้นอาชญากรรมทางเพศและอาชญากรรมต่อชีวิตและร่างกายที่มีการแจ้งตำรวจเกินครึ่ง (ร้อยละ 67.2 และ 55 ตามลำดับ) สาเหตุที่ไม่แจ้งส่วนใหญ่ (ร้อยละ 64.8) ระบุว่า คิดว่าตำรวจไม่สามารถช่วยได้ มีรายงานว่า กำลังความมั่นคงบางครั้งใช้กำลังเกินกว่าเหตุและถึงตายต่อผู้ต้องสงสัยและมีวิสามัญฆาตกรรม การฆ่าคนตามอำเภอใจและการฆ่าคนไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งมีรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทรมานและทุบตีผู้ต้องสงสัยเพื่อรีดคำสารภาพ และหนังสือพิมพ์รายงานกรณีที่พลเมืองกล่าวหาเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกรณีดังกล่าว ประเทศไทยมีผู้ต้องขังประมาณ 306,000 คนในปี 2559 ผู้ต้องขังก่อนพิจารณาคดีในศาลคิดเป็นร้อยละ 18 ของประชากรเรือนจำ ในปีงบประมาณ 2559 มีผู้เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว 762 คน ประกาศ คสช. ให้อำนาจทหารกักขังบุคคลได้โดยไม่ตั้งข้อหาหรือการพิจารณาคดีไม่เกินเจ็ดวัน นอกจากนี้ ยังมีประกาศ คสช. ให้อำนาจทหารยศร้อยโทขึ้นไปมีอำนาจของตำรวจในคดีอาญา 27 ชนิด มีหลายกรณีที่กล่าวหาว่าตำรวจใช้อำนาจมิชอบ แต่ผู้ถูกกล่าวหามักไม่ถูกลงโทษ ในศาลพลเรือน รัฐบาลจัดหาความช่วยเหลือทางกฎหมาย แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวมีรายงานว่ามีคุณภาพต่ำ ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงในหลายภาคส่วนของประเทศ ธุรกิจระบุว่ามีการจ่ายสินบนเพื่อให้ได้คำวินิจฉัยที่เป็นประโยชน์กับตน หลังรัฐประหารปี 2557 ฝ่ายตุลาการถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองอย่างสูง กระบวนการทางกฎหมายในประเทศไทยมักช้าและบางทีมีการใช้วิธีการนอกกฎหมายเพื่อมีผลต่อคำพิพากษา ฝ่ายความมั่นคงในประเทศไทยมีชื่อเสียงว่าเป็นสถาบันที่ฉ้อฉลที่สุดในประเทศเนื่องจากความพัวพันกับการเมืองและระบบอุปถัมภ์ บริษัทที่ไม่จ่ายค่าอำนวยความสะดวกแก่ข้าราชการอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันเทียบกับบริษัทอื่น มีรายงานว่าการฮั้วประมูลทำให้เกิดการแข่งขันประมูลสัมปทานของรัฐอย่างไม่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยมีความผันแปรและการดำเนินคดีการฉ้อราษฎร์บังหลวงระดับสูงมีรายงานว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยมีการเรียกว่า "อาจเป็นกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาทที่รุนแรงที่สุดในโลก" และ "โหด" องค์การนิรโทษกรรมสากลถือว่าผู้ถูกจำคุกฐานดังกล่าวเป็นนักโทษการเมือง คณะทำงานว่าด้วยการกักขังโดยพลการของสหประชาชาติถือว่าการกักขังก่อนพิจารณาคดีถือว่าละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดให้ประเทศไทยเป็น "ผู้ประสบความสำเร็จสูง" ในเอเชียตะวันออก ในปี 2556 ประเทศไทยมีดัชนีการรับรู้การทุจริตค่อนข้างต่ำ โดยอยู่อันดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ ธนาคารโลกจัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศมีรายได้ปานกลาง-สูงในปี 2554 ในปี 2556 จีดีพีมาจากการใช้จ่ายของครัวเรือน 54.4% การใช้จ่ายของรัฐบาล 13.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 26.7% การส่งออกเป็นสัดส่วน 74% ของจีดีพี ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพีมากที่สุดคือ 38.1% ภาคการค้าส่ง ค้าปลีกมีสัดส่วนต่อจีดีพี 13.4% ภาคการขนส่งและการสื่อสารมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10.2% ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพี 8.3% ในปี 2552–2553 ประเทศไทยส่งชิ้นส่วนและส่วนประกอบออก ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ มูลค่า 48,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 25% ของมูลค่าการส่งสินค้าออก ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย ฮ่องกงและเกาหลีใต้ เครื่องจักรเป็นทั้งสินค้านำเข้าและส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย ในปี 2556 ประเทศไทยมีการส่งออกสุทธิ 390,957 ล้านบาท องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) เป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทย ประเทศไทยมีกำลังแรงงาน 39.38 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด 15.41 ล้านคน หรือ 39.1% ของกำลังแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท อัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 1.2% ซึ่งน้อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่แนวโน้มแรงงานกว่าครึ่งประกอบอาชีพที่ไม่มั่นคงหรืออาชีพที่ไม่เป็นทางการ กับทั้ง 40% มีปัญหาการทำงานต่ำระดับ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยเป็นประเทศยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยซบเซามาอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษ ระหว่างปี 2508 ถึง 2539 ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้นต่อคนเติบโตร้อยละ 7 ต่อปี และระหว่างปี 2530 ถึง 2539 เรียกว่าเป็นช่วง "เศรษฐกิจบูม" เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วที่สุดในโลก ซึ่งมาจากการลงทุนระดับสูงมาก การเติบโตของหุ้นเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจเติบโตกว่าครึ่ง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในช่วงเศรษฐกิจบูมเป็นการไหลเข้าของทุนระยะสั้นร้อยละ 23 วิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 มีสาเหตุระยะยาวหลายอย่าง แต่ชนวนเหตุที่บั่นทอนความเชื่อมั่นเกิดจากการเติบโตของการส่งออกลดลงจากร้อยละ 20 ในปี 2538 เหลือประมาณร้อยละ 0 ในปี 2539 จีดีพีของไทยหดตัวร้อยละ 10.5 ในปี 2541 ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินในปี 2546 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิของไทยล่าช้าเพราะขาดอุปทานรวม ระหว่างปี 2542 ถึง 2550 จีดีพีไทยเติบโตระหว่างร้อยละ 2.1 ถึง 7.1 ต่อปี ด้วยการขาดเสถียรภาพจากการประท้วงใหญ่ในปี 2553 การเติบโตของจีดีพีของประเทศไทยอยู่ที่ราวร้อยละ 4–5 ลดลงจากร้อยละ 5–7 ในรัฐบาลพลเรือนก่อน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค หลังรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แรงงานต่างด้าวกัมพูชาหลบหนีกลับประเทศจำนวน 180,000 คนหลังรัฐบาลประกาศจะปราบปรามความมั่งคั่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ความมั่งคั่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ. ประเทศไทยมีความมั่งคั่งมัธยฐานต่อผู้ใหญ่หนึ่งคน 1,469 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 605 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2543 ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 55 ของดัชนีความมั่นคงทางอาหารโลกในปี 2560 หลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ภาคครัวเรือนยังมีสภาพคล่องดี และมีความสามารถในการดำรงการบริโภคได้ แม้มีรายได้สุทธิต่อค่าใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับปี 2549 แต่การบริโภคไม่ได้ลดลง ในปี 2559 ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของไทยอยู่ในอันดับที่ 87 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับความเหลื่อมล้ำแล้วอยู่อันดับที่ 70 กรุงเทพมหานครซึ่งมีผลิตภัณฑ์จังหวัดสูงสุดมีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดเป็น 406.9 เท่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีน้อยที่สุด ในปี 2560 ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 26,946 บาท ครัวเรือนที่มีรายได้สูงสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 45.0 และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 7.1 กลุ่มประชากรร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุดมีรายได้ต่ำกว่า 5,344 บาทต่อคนต่อเดือนมีจำนวน 26.9 ล้านคน ในปี 2556 ผู้ประท้วงกลุ่ม กปปส. ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 32) มีรายได้ครัวเรือนเกิน 50,000 บาทต่อเดือน ส่วน นปช. ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 27) มีรายได้ครัวเรือน 10,000–20,000 บาทต่อเดือน ในปี 2559 สถาบันการเงินเครดิตสวิสรายงานว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากประเทศรัสเซียและอินเดีย คนรวยสุดร้อยละ 10 ถือครองทรัพย์สินร้อยละ 79 ของประเทศ คนรวยสุดร้อยละ 1 ครอบครองความมั่งคั่งร้อยละ 58 ของเศรษฐกิจ มหาเศรษฐีไทย 50 ครอบครัวแรกมีมูลค่าทรัพย์สินรวมคิดเป็นร้อยละ 30 ของจีดีพีไทย ในปี 2559 ประเทศไทยมีคนยากจน 5.81 ล้านคน หรือร้อยละ 8.6 ของประชากร แต่หากนับรวม "คนเกือบจน" (near poor) ด้วยจะเพิ่มเป็น 11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 17.2 ของประชากร ในปี 2559 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือมีสัดส่วนคนจนร้อยละ 12.96, 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลำดับ ในปี 2560 มีผู้มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย (รายได้น้อยกว่า 100,000 บาทต่อปี) เพื่อรับสวัสดิการจากรัฐเป็นจำนวน 14 ล้านคน ปลายปี 2560 ประเทศไทยมีหนี้สินครัวเรือน 11.76 ล้านล้านบาท ในปี 2553 ครัวเรือนที่มีปัญหาล้มละลาย (ทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน) คิดเป็นร้อยละ 3 ของครัวเรือนทั้งประเทศ ในปี 2560 ครัวเรือนที่มีที่อยู่อาศัยถาวรคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.69 ของครัวเรือนทั้งประเทศ ในปี 2559 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพประมาณการว่ามีคนไร้บ้านทั่วประเทศ 30,000 คนเกษตรกรรม เกษตรกรรม. การพัฒนาการเกษตรตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ในพื้นที่ชนบท อาชีพเกษตรกรรมคิดเป็นกึ่งหนึ่งของการจ้างงาน ในปี 2555 ประเทศไทยมีที่ดินเพาะปลูกได้ 165,600 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 32.3% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้ปลูกข้าว ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกราว 10 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก ข้าวเป็นพืชผลสำคัญสุดของประเทศ และประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งมาช้านาน จนประเทศอินเดียและเวียดนามแซงเมื่อไม่นานนี้ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของยางธรรมชาติโลก พืชที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุดอื่น ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง เนื้อไก่ เนื้อหมู มะม่วง มังคุด ฝรั่ง สัปปะรด รวมทั้งพวกผลไม้เขตร้อน กุ้ง ข้าวโพดและถั่วเหลือง ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่สุดในอาเซียนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. บริษัทเกือบทั้งหมดของไทย กว่า 2.7 ล้านวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 99.7 จัดเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในปี 2560 SME คิดเป็นการจ้างงานร้อยละ 80.3 ของการจ้างงานทั้งหมด (13 ล้านคน) ในปี 2556 สัดส่วนต่อจีดีพีของ SME อยู่ที่ร้อยละ 37.4 มีรายงานว่า SME ร้อยละ 70 ปิดกิจการภายใน "ไม่กี่ปี" อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาคส่งออกใหญ่สุดของไทย คิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2557 การส่งออกดังกล่าวรวมมูลค่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีคนงานประมาณ 780,000 คนในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 12.2 ของการจ้างงานทั้งหมดในภาคการผลิต แต่ผู้ผลิตกำลังย้ายการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าประเทศไทย อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีการจ้างงานประมาณ 417,000 ตำแหน่งในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 10 ของจีดีพีประเทศ คนงานกว่าร้อยละ 70 ในทั้งสองภาคมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียงานให้กับหุ่นยนต์พลังงาน พลังงาน. ประเทศไทยเป็นผู้นำน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเข้าสุทธิ มีการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันน้อยและต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค แม้ว่ามีปริมาณสำรองแก๊สธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วขนาดใหญ่ แต่ยังต้องนำเข้าเพื่อให้ทันอุปทานในประเทศ การบริโภคพลังงานหลักของประเทศไทยมาจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ คิดเป็นกว่า 80% ของทั้งหมด ในปี 2553 ประเทศไทยบริโภคพลังงานจากน้ำมันมากที่สุด (39%) รองลงมาคือ แก๊สธรรมชาติ (31%) ชีวมวลและของเสีย (16%) และถ่านหิน (13%) ในเดือนมกราคม 2556 ออยล์แอนด์แก๊สเจอร์นัล ว่า ประเทศไทยมีน้ำมันสำรอง 453 ล้านบาร์เรลและมีแก๊สธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว 10.1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศสิงคโปร์ เชื้อเพลิงดีเซลเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์น้ำมัน และเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการขนส่ง ในปี 2554 ประเทศไทยมีสมรรถภาพติดตั้งผลิตไฟฟ้าประมาณ 32.4 กิกะวัตต์ โดยผลิตจากแก๊สธรรมชาติมากที่สุด (71%) ประเทศไทยคิดสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เพื่อลดการพึ่งพาแก๊สธรรมชาติ แต่หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปีนั้น ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกที่เสนอถูกเลื่อนไปหลังปี 2569การขนส่ง การขนส่ง. ประเทศไทยมีทางหลวงความยาว 390,000 กิโลเมตร และมีเครือข่ายถนน 462,133 สาย ในปี 2560 ประเทศไทยมียานพาหนะจดทะเบียน 37 ล้านคัน เป็นรถจักรยานยนต์ 20 ล้านคัน และมีที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกหลายล้านคัน ในปี 2559 ประเทศไทยเป็นประเทศที่การจราจรติดขัดมากที่สุดในโลก สหประชาชาติจัดอันดับถนนในประเทศไทยว่าอันตรายสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากยานพาหนะกว่า 30,000 คนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศลิเบีย ผู้เสียชีวิตร้อยละ 73 เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ ประเทศไทยมีรางรถไฟยาว 4,034 กิโลเมตร และการขนส่งสินค้าทางรางคิดเป็นร้อยละ 1.4 ของน้ำหนักบรรทุกทั้งหมดในปี 2558 ในปี 2555 มีผู้โดยสารทางราง 40.8 ล้านคน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้ดำเนินการเส้นทางรางแห่งชาติของประเทศ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพและไม่ยอมเปลี่ยนแปลง รถไฟมักช้าและอุปกรณ์ส่วนใหญ่เก่าและมีการบำรุงรักษาไม่ดี ความพยายามของรัฐบาลในการจัดโครงสร้างใหม่และโอนเป็นของเอกชนถูกสหภาพคัดค้านอย่างหนักตลอดมา ในช่วงปีหลัง มีความพยายามก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ประเทศไทยมีท่าอากาศยานพาณิชย์ 38 แห่ง ในปี 2559 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดของประเทศและเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ประเทศไทยมีทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้ 3,700 กิโลเมตร แม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบเป็นวิธีการขนส่งทางน้ำหลัก มีผู้โดยสารกว่า 360,000 คนต่อวัน ท่าเรือหลักของไทย คือ ท่าเรือคลองเตยและแหลมฉบังการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ในปี 2560 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 35.38 ล้านคน จำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมที่มีชาวต่างชาติ 336,000 ราย และทหารที่เข้ามาพัก 54,000 นายในปี 2510 ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและลาว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศตั้งขึ้นในปี 2522 นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการจัดตั้งตำรวจท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประเทศไทยมีแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก 5 แหล่ง ได้แก่ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลกในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2559 รายงานความสามารถแข่งขันการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2558 จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 จาก 141 ประเทศ โดยประเทศไทยมีคะแนนสูงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและโครงสร้างพื้นฐานบริการนักท่องเที่ยว แต่มีคะแนนต่ำในด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยและความมั่นคง การค้าประเวณีและการท่องเที่ยวทางเพศถือเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ ประมาณการในปี 2546 ระบุมูลค่าไว้ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณร้อยละ 3 ของเศรษฐกิจ เชื่อว่าเงินนักท่องเที่ยวอย่างน้อยร้อยละ 10 ใช้ค้าประเวณีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ประเทศไทยจัดเป็นประเทศนวัตกรรมมากที่สุดอันดับที่ 45 ในดัชนีนวัตกรรมบลูมเบิร์กปี 2561 ในปี 2556 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของจีดีพี เป็นรายจ่ายจากภาครัฐร้อยละ 51.3 และจากภาคเอกชนร้อยละ 48.7 รัฐบาลมีแผนใช้สิ่งจูงใจภาษีเพื่อเพิ่มการลงทุนของเอกชน การวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยมีสัดส่วนงานวิจัยประยุกต์สูงกว่างานวิจัยพื้นฐานมาก ข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยมีนักวิจัย 38,500 คนหรือเทียบเท่าเต็มเวลา (FTE) 22,000 คน ประเทศไทยมีจำนวนงานวิจัยตีพิมพ์มากเป็นอันดับสามในอาเซียน รองจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ในปี 2553 มีผู้ขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทย 1,925 ฉบับ และมีการออกให้ 772 ฉบับ เกินครึ่งของผู้ขอจดสิทธิบัตรไม่ใช่พลเมือง และคิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของสิทธิบัตรที่ออกให้ ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ลงนามองค์การความร่วมมืออวกาศเอเชีย-แปซิฟิก (APSCO) ซึ่งมีประเทศจีนเป็นผู้นำ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2551 องค์กรส่งเสริมการวิจัยสำคัญอย่าง สวทช., สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ช่วยประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัท อุตสาหกรรมการผลิตของไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการผลิตท้องถิ่นของบริษัทต่างชาติ ทำให้มีผลลัพธ์การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีน้อย จุดแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยอยู่ในสายอาหาร-เทคโนโลยีชีวภาพ-ชีววิทยาศาสตร์-เกษตรศาสตร์ เทคโนโลยีพลังงาน และการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เศรษฐกิจเงา เศรษฐกิจเงา. ฟรีดริช ชไนเดอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย กล่าวว่า เศรษฐกิจเงาของประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เขาประมาณการเศรษฐกิจเงาของประเทศไทยไว้ที่ร้อยละ 40.9 ของจีดีพีจริงในปี 2557 โดยรวมการพนันและอาวุธเบา แต่ไม่รวมยาเสพติด เขานิยามว่า "เศรษฐกิจเงา" หมายถึง สินค้าและบริการชอบด้วยกฎหมายแต่ถูกปิดบังจากทางการ เขาประมาณการว่ามีผู้ให้กู้อย่างไม่เป็นทางการประมาณ 200,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงมาก ทำให้เกิดภาระต่อผู้กู้ยืมรายได้น้อยประชากรศาสตร์ประชากร ประชากรศาสตร์. ประชากร. กระทรวงมหาดไทยประมาณว่า ประเทศไทยมีประชากร 65,931,550 คน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่คาดว่าประชากรจะลดลงก่อนปี 2563 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อัตราเจริญพันธุ์ลดลงเร็วที่สุดในโลก ระหว่างปี 2513 ถึง 2533 อัตราเจริญพันธุ์ระหว่างประเทศลดลงจาก 5.5 เหลือ 2.2 สาเหตุจากการคุมกำเนิด ขนาดครอบครัวที่ปรารถนาลดลง สัดส่วนผู้สมรสลดลง และการสมรสช้า ในปี 2552 อัตราเจริญพันธุ์รวมของไทยอยู่ที่ 1.5 ในปี 2553 อัตราการเกิดอย่างหยาบอยู่ที่ 13 ต่อ 1,000 คาดว่าจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 ภายในปี 2573 จำนวนประชากรในวัยทำงานทั้งหมดจะเริ่มลดลงหลังปี 2563 จำนวนการเกิดของวัยรุ่นสูงขึ้น โดยสถิติหญิงอายุ 15–19 ปีที่เคยสมรสในปี 2553 มีประมาณ 330,000 คน และในปี 2552 มีจำนวนการเกิดจากแม่อายุไม่เกิน 19 ปีจำนวน 765,000 คน การทำแท้งไม่ชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทย ยกเว้นผู้ประกอบกิจแพทย์ภายใต้บางเงื่อนไขเท่านั้น ในปี 2549–2552 มีการทำแท้งชักนำเกิน 60,000 คนต่อปี ประเทศไทยถือว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ราวร้อยละ 75–95 ของประชากรเป็นชาติพันธุ์ไท ซึ่งรวมสี่ภูมิภาคหลัก คือ ไทยกลางร้อยละ 30 อีสานหรือลาวร้อยละ 22 ล้านนาร้อยละ 9 และใต้ร้อยละ 7 และมีไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 14 ของประชากร ที่เหลือเป็นไทยเชื้อสายมลายู ชาวมอญ ชาวเขมร และชาวเขาหลายเผ่า ไทยที่มีบรรพบุรุษจีนบางส่วนมีถึง ร้อยละ 40 ของประชากร ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่รัฐบาลรับรอง 62 กลุ่ม ในปี 2553 ประเทศไทยมีการมีลักษณะแบบเมืองร้อยละ 34 ซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีเครื่องชี้ภาวะการพัฒนาพอ ๆ กัน การเคลื่อนย้ายของประชากรส่วนใหญ่เป็นแบบชั่วคราวตามฤดูกาล กรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่างสุดโต่งของความเป็นเอกนคร (urban primacy) โดยในปี 2536 กรุงเทพมหานครมีประชากรมากกว่านครใหญ่ที่สุดสามอันดับถัดมารวมกันระหว่าง 7.5 ถึง 11 เท่า ผู้ย้ายออกชาวไทยส่วนมากเป็นลูกจ้างทักษะต่ำ โดยม่เดินทางไปประเทศปลายทางเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้อยลง แต่ตะวันออกกลางและประเทศตะวันตกเพิ่มขึ้น เมื่อปลายปี 2550 มีประมาณการว่าคนต่างด้าวที่อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยมี 2.8 ล้านคน ซึ่งจำนวนนี้รวมผู้มีใบอนุญาตทำงานในประเทศ นักเรียนนักศึกษา ผู้มีคู่สมรสชาวไทยและผู้ตั้งถิ่นฐานหลังเกษียณ ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่อยู่เกินวีซ่า เมื่อปี 2553 ในประชากรอายุมากกว่า 13 ปี มีผู้สมรส 38,001,676 คน หม้าย 3,833,699 คน หย่า 670,030 คน และไม่เคยสมรส 16,957,651 คนนครใหญ่ศาสนา ศาสนา. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ระบุศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาของพลเมืองไทยทุกคน แต่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท กฎหมายห้ามกล่าวหมิ่นประมาทศาสนาพุทธรวมถึงพระสงฆ์ และคุ้มครองศาสนสถานและศาสนพิธีของศาสนาอื่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า "รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท [...] และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด" ในช่วงปีหลังมีการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2557 ประชากรไทยนับถือศาสนาพุทธ ประมาณร้อยละ 94.6 ส่วนใหญ่นับถือนิกายเถรวาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยโดยพฤตินัย ทั้งนี้ ประเทศไทยถือได้ว่ามีผู้นับถือศาสนาพุทธมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 2559 ประเทศไทยมีวัดทั้งสิ้น 40,580 วัด มีพระสงฆ์ 33,749 รูป และสามเณร 6,708 รูปทั่วประเทศ นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศไทยจากอินเดียในรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะในช่วงคริสต์สหัสวรษที่ 1 ศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือรองลงมา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 4.2 เป็นนิกายซุนนีร้อยละ 99 มุสลิมอาศัยอยู่ในจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลาและสตูล มากที่สุด แต่มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คิดเป็นเพียงร้อยละ 18 ของมุสลิมในประเทศไทย ทั่วประเทศมีมัสยิด 3,406 แห่ง มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู ซึ่งสะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกับประเทศมาเลเซีย เชื่อว่ามีการเผยแผ่ศาสนาอิสลามสู่คาบสมุทรมลายูโดยพ่อค้าอาหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 54.56) นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อมิชชันนารีชาวโปรตุเกสจากมะละกาเข้ามาเผยแผ่ศาสนา นอกจากนี้ ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนายูดาห์ ศาสนาบาไฮ รวมประมาณร้อยละ 0.1 ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนพอสมควรยังคงถือศาสนาของชาติพันธุ์จีน รวมทั้งเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพื้นบ้านจีน (เช่น อนุตตรธรรมและเต๋อเจี่ยฮุ่ย) ศาสนาเหล่านี้ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และในการศึกษาทางสถิตินับสาวกเป็นพุทธเถรวาท สำหรับประชาคมชาวยิวนั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 การสำรวจของเครือข่ายอิสระทั่วโลก/สมาคมแกลลัประหว่างประเทศ (WIN/GIA) ในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือศาสนามากที่สุดในโลก โดยมีผู้ระบุตนว่าเป็นศาสนิกชนร้อยละ 98 ไม่เป็นศาสนิกชนร้อยละ 1 และผู้เชื่ออเทวนิยมอีกร้อยละ 1ภาษา ภาษา. ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาทางการ เป็นภาษาหลักที่ใช้ติดต่อสื่อสาร การศึกษาและเป็นภาษาพูดที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยใช้อักษรไทยเป็นรูปแบบมาตรฐานในการเขียน นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ภาษาไทยสำเนียงอื่นยังมีการใช้งานในแต่ละภูมิภาคเช่น ภาษาไทยถิ่นเหนือ ถิ่นใต้ และถิ่นอีสาน รัฐบาลรับรอง 5 ตระกูลภาษา 62 ภาษาในประเทศไทย นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น ภาษาอังกฤษมีสอนในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่ผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องในประเทศไทยยังมีน้อยอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมืองและในครอบครัวมีการศึกษาดีเท่านั้น สำหรับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น จากที่ไทยเคยอยู่ในระดับแนวหน้าในปี 2540 แต่เมื่อกลางปี 2549 กลับล้าหลังประเทศลาวและเวียดนามการศึกษา การศึกษา. การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี 2464 กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับกำหนดไว้ 9 ปี (ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3) ในปีการศึกษา 2555 มีผู้เรียนในและนอกระบบโรงเรียน 16,376,906 คน แบ่งเป็นในระบบ 13,931,095 คน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 2,445,811 คน นักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบโรงเรียนมีสัดส่วนในสถานศึกษารัฐบาลมากกว่าเอกชน ผู้เรียนร้อยละ 99 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 85 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประมาณร้อยละ 75 เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับนักเรียนทุก 100 คนในโรงเรียนประถม มี 85.6 คนศึกษาต่อระดับ ม. 1; 79.6 คนศึกษาต่อถึงชั้น ม. 3 และเพียง 54.8 คนศึกษาต่อถึงระดับ ม. 6 หรือสถาบันอาชีวะ อัตรารู้หนังสือของไทยอยู่ที่ร้อยละ 93.5 มหาวิทยาลัยของไทย 5 แห่งติดอันดับ 100 มหาวิทยาลัยดีที่สุดในทวีปเอเชีย ในปีงบประมาณ 2556 งบประมาณการศึกษาไทยเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ของจีดีพี และร้อยละ 20.6 ของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมากเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า สภาเศรษฐกิจโลกจัดให้คุณภาพการศึกษาของไทยต่ำสุดใน 8 ประเทศอาเซียนที่พิจารณา นักเรียนไทยกว่าครึ่งในโรงเรียนไม่ได้ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จของตนและการพัฒนาประเทศ ยูเนสโกและโออีซีดีแนะนำให้ประเทศไทยมีการทบทวนหลักสูตร เพิ่มการกวดขันกระบวนการพัฒนาการทดสอบมาตรฐาน ให้ครูใช้ยุทธศาสตร์การสอนและประเมินผลที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งเพิ่มเวลาสอนและลดหน้าที่บริหาร ในการสำรวจเด็กไทย 72,780 คนระหว่างเดือนธันวาคม 2553 ถึงมกราคม 2554 ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนชาวไทยมีระดับเชาวน์ปัญญาเฉลี่ย 98.53 ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานระหว่างประเทศที่ 100 อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต ว่า ไม่ควรโทษระบบการศึกษาไทยว่าทำให้เยาวชนไทยมีเชาวน์ปัญญาต่ำ เพราะสาเหตุหลักเกิดจากการพร่องไอโอดีน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นอย่างขาดความอบอุ่นในครอบครัว ถูกแยกจากธรรมชาติและอาหารไม่เหมาะสม ผลการศึกษาล่าสุดเสนอว่าความบกพร่องทางสติปัญญาในพื้นที่ชนบทบางแห่งอาจสูงถึงร้อยละ 10 สถานที่เกิดเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการทำนายความสำเร็จทางการศึกษาในประเทศไทย นักเรียนจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ทุรกันดารมีการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพต่ำกว่านักเรียนในเมือง คาดว่าเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรศึกษาอย่างไม่เท่าเทียม การฝึกครูที่อ่อน ความยากจน และการไม่รู้ภาษาไทยกลางในกรณีของชนกลุ่มน้อยสาธารณสุข สาธารณสุข. ในปี 2558 ประเทศไทยมีความคาดหมายคงชีพเมื่อเกิด 75 ปี (ชาย 71 ปี หญิง 79 ปี) ในปี 2558 ประเทศไทยมีอัตราตายทารก 10.8 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ระหว่างปี 2548–2551 สาเหตุการตายอันดับแรกในประเทศไทย คือ เส้นเลือดในสมองแตกทั้งชายและหญิง โรคที่พบอันดับถัดมาในชาย ได้แก่ อุบัติเหตุบนท้องถนน เอดส์ หัวใจขาดเลือด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และตับแข็ง ในหญิง ได้แก่ โรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด เอดส์ ไตวายเรื้อรังและปอดอักเสบ สาเหุตการป่วยที่พบมาก เช่น กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ, กลุ่มโรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ, กลุ่มโรคระบบทางเดินอาหาร, กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มโรคของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น สาเหตุความพิการที่พบมาก เช่น สายตาเลือนลางทั้ง 2 ข้าง, สายตาเลือนลางข้างเดียว, หูตึง 2 ข้าง, อัมพฤกษ์ และแขนขาลีบ/เหยียดงอไม่ได้ โรคเอดส์เป็นปัญหาการเสียปีสุขภาวะของคนไทยเป็นอันดับแรก รองลงมาในชายคือ อุบัติเหตุจราจรและติดสุรา รองลงมาในหญิงคือเอดส์และเบาหวาน ประเทศไทยมีอุบัติการณ์มะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลก ในปี 2552 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า ทุก 1,000 การคลอดมีชีพ เกิดจากมารดาวัยรุ่น 60 การคลอด ในปี 2555 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านสาธารณสุขคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของจีดีพี หรือร้อยละ 14.2 ของรายจ่ายภาครัฐทั้งหมด ประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งครอบคลุมคนไทยร้อยละ 99 ในปี 2552 รายจ่ายด้านสาธารสุขของประเทศร้อยละ 75.8 มาจากภาครัฐ และร้อยละ 24.2 มาจากภาคเอกชน ในปี 2547 ประเทศไทยมีความหนาแน่นของแพทย์อยู่ที่ 2.98 ต่อประชากร 10,000 คน ตั้งแต่ปี 2533 กฎหมายกำหนดให้บุคคลที่ไม่ได้ทำงานรับราชการต้องส่งเงินเข้า สำนักงานประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคมจะกำหนดสถานพยาบาลให้ผู้ประกันตนเลือกในแต่ละปี ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่สังกัดสำนักงานประกันสังคมมีไม่เพียงพอต่อผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบดังกล่าว กล่าวคือ ผู้ประกันตนจำนวนกว่า 13 ล้านคน แต่มีโรงพยาบาลเพียง 159 โรง ข้าราชการมีสิทธิใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สิทธินี้รวมถึงบิดามารดาของข้าราชการด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรม. วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลหลักจากวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอม ตลอดจนวิญญาณนิยม ศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู วัฒนธรรมแห่งชาติของไทยเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ ซึ่งวัฒนธรรมไทยที่ยึดถือกันในปัจจุบันไม่มีอยู่เมื่อกว่าร้อยปีก่อน บ่อเกิดสามารถสืบย้อนไปได้ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพิบูลสงครามสนับสนุนการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกลางเป็นวัฒนธรรมแห่งชาตินิยามและยับยั้งมิให้ชนกลุ่มน้อยแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของตน วัฒนธรรมพลเมืองของไทยปัจจุบันนิยามว่าประเทศไทยเป็นดินแดนของคนไทยกลาง มีศาสนาเดียวคือ พุทธนิกายเถรวาท และปกครองโดยราชวงศ์จักรี ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเน้นว่า คนส่วนใหญ่ไม่สามารถตรัสรู้และไปถึงนิพพาน และดีที่สุดที่ทำได้คือ การสะสมบุญผ่านการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมอย่างสูง เช่น การถวายอาหารพระสงฆ์และการบริจาคเงินเข้าวัด คำสอนทางศาสนาถูกเลือกให้สนับสนุนมุมมองทางโลกแบบศาสนาขงจื๊อใหม่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สามเสาหลัก ศาสนาพุทธของไทยยังรวมการบูชาวิญญาณของกัมพูชาและความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ นอกจากนี้ยังเน้นรูปแบบมากกว่าแก่นสาร คนไทยเน้นและให้คุณค่ารูปแบบมารยาทภายนอกอย่างยิ่งเพื่อรักษาความสัมพันธ์ สังคมไทยเป็นสังคมไม่เผชิญหน้าที่เลี่ยงการวิจารณ์ในที่สาธารณะ การเสียหน้าเป็นความเสื่อมเสียแก่คนไทย จึงมุ่งประนีประนอมในสถานการณ์ลำบาก การไหว้เป็นแบบการทักทายและแสดงความเคารพของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ตามประเพณีและมีแบบพิธีเข้มงวด คนไทยเคารพความสัมพันธ์แบบมีลำดับชั้น เมื่อคนไทยพบคนแปลกหน้าจะพยายามจัดให้อยู่ในลำดับชั้นทันทีเพื่อให้ทราบว่าควรปฏิบัติด้วยอย่างไร มักโดยถามเรื่องที่วัฒนธรรมอื่นมองว่าเป็นคำถามส่วนตัวอย่างยิ่ง สถานภาพมีเสื้อผ้า ลักษณะปรากฏทั่วไป อายุ อาชีพ การศึกษา นามสกุลและความเชื่อมโยงทางสังคมเป็นตัวกำหนด ความสนุกเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตประจำวันของคนไทย คนไทยมีอารมณ์ขันในเกือบทุกสถานการณ์ บางคนมองว่าความสนุกเป็นการแสดงออกซึ่งปัจเจกนิยมในสังคมที่มีการทำตามกันอย่างสูง รวมทั้งเป็นสิ่งรบกวนจากเรื่องที่จริงจังในชีวิต เช่น อนิจจังและความรับผิดชอบศิลปะ ศิลปะ. ศิลปะไทยมีลักษณะที่ยืมหรือรับมาจากศิลปะอื่น เช่น อินเดีย มอญ-เขมร สิงหล จีน เป็นต้น มีคุณสมบัติเอกลักษณ์หลายอย่าง ศิลปะและงานฝีมือของอินเดียเป็นต้นแบบของศิลปะพุทธในประเทศไทย นอกจากนี้ ศิลปะพุทธในประเทศไทยยังเป็นผลของเชื้อชาติต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มาแต่โบราณ ศิลปะทวารวดีเป็นสำนักศิลปะพุทธแรกในประเทศไทย ศิลปะพุทธในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็นห้าสำนักตามยุค ได้แก่ เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง อยุธยาและกรุงเทพมหานคร ศิลปะพุทธไทยยังมีร่องรอยของศิลปะทวารวดี สุวรรณภูมิและลพบุรีอยู่บ้าง แต่ศิลปะพุทธไทยมีความเป็นปัจเจกและเอกเทศ นอกจากนี้ ศิลปะพุทธไทยยังได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียเพียงบางส่วน มิใช่ทั้งหมดดังศิลปะก่อนไทยช่วงแรก ศิลปะไทยสมัยใหม่เริ่มด้วยการทำลายรูปแบบเดิมของสังคมหลังการปฏิวัติปี 2475 อิทธิพลศิลปะในสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากงานของศิลป์ พีระศรี วัฒนธรรมอเมริกันยังมีอิทธิพลต่อศิลปินไทยที่ศึกษาในสหรัฐและภาพยนตร์ฮอลลีวูด ศิลปินสมัยใหม่อย่างกมล ทัศนาญชลีรวมความคิดแบบอเมริกันเข้าสู่ศิลปะไทย เครื่องปั้นเผาของไทยเป็นส่วนสำคัญของการค้าระหว่างคนไทยและอาณาจักรใกล้เคียงในยุคเจ้าขุนมูลนาย เครื่องปั้นเผาเก่าแก่สุดของไทย ได้แก่ เครื่องปั้นเผาบ้านเชียง มีอายุกว่า 3,600 ปีอาหาร อาหาร. ปัจจุบันข้าวและพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของอาหารไทย ส่วนประกอบอื่น เช่น กระเทียม น้ำมะนาว และน้ำปลา อาหารไทยมีข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือเป็นพื้น ตามสถิติพบว่า ชาวไทยรับประทานข้าวขาวมากกว่า 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด อาหารไทยหลายชนิดใส่กะทิและขมิ้นสดคล้ายกับอาหารอินเดีย มาเลเซียและอินโดนีเซีย อาหารไทยหลายชนิดเดิมเป็นอาหารจีน เช่น โจ๊ก ซาลาเปา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าและข้าวขาหมู เต้าเจี้ยว ซอสถั่วเหลืองและเต้าหู้ เครื่องจิ้มกินกับผักดิบหรือผักสดเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมื้ออาหารไทย อาหารไทยกินกับน้ำจิ้มและเครื่องปรุงหลายชนิด เช่น พริกน้ำปลา พริกป่น น้ำจิ้มไก่ พริกน้ำส้ม ด้านเดวิด ทอมป์สัน พ่อครัวชาวออสเตรเลีย กล่าวว่า อาหารไทยไม่เรียบง่าย แต่เน้น "การจัดเรียงส่วนที่ไม่เข้ากันให้เกิดอาหารที่กลมกล่อม" ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงทั่วโลกอย่างหนึ่ง ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารข้างถนนและกรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงอาหารข้างถนนโลก อาหารข้างถนนมีลักษณะเป็นอาหารตามสั่งที่ประกอบได้รวดเร็ว เช่น ผัดกะเพรา ผัดคะน้า ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น เมื่อปี 2554 เว็บไซต์ CNNgo ได้จัดอันดับ 50 เมนูอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกโดยการลงคะแนนเสียงทางเฟซบุ๊ก ปรากฏว่า แกงมัสมั่นได้รับเลือกให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกภาพยนตร์ ภาพยนตร์. ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในประเทศไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย ในปี 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่คนไทยสร้าง ช่วงหลังปี 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์ไทยก็ซบเซาลง กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมืองและสังคมระหว่าง พ.ศ. 2516–2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี 2530–2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสในสหรัฐ และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์ ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัลปาล์มทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ปัจจุบันภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ที่ออกฉายในปี 2556 เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศ โดยทางจีทีเอช ผู้ผลิต ประมาณว่าภาพยนตร์ทำรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาทดนตรีและนาฏศิลป์ ดนตรีและนาฏศิลป์. ดนตรีไทยเดิมช่วงแรกได้รับอิทธิพลจากดนตรีจีน อินเดียและเขมร ต่อมา รับเอาลักษณะของดนตรีประเทศใกล้เคียงอย่างพม่าและมาเลย์เข้ามาด้วย อิทธิพลสมัยหลังมาจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก "เถา" เป็นเทคนิคการประพันธ์ที่สำคัญที่สุดและใช้บ่อยที่สุดในดนตรีไทยเป็นเวลาหลายร้อยปี เป็นเทคนิคที่รับมาจากปัลลาวีในภาคใต้ของอินเดีย ดนตรีไทยเดิมมีสามกลุ่มวงหลัก ได้แก่ วงปี่พาทย์ วงเครื่องสายและวงมโหรี ดนตรีไทยสมัยสุโขทัยเครื่องสายเรียบง่าย ปี่ไม้ไผ่ กลองและการขับลำนำ มนตรี ตราโมทเขียนว่า ชาวอยุธยาทุกคนเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกและกิจกรรมยามว่าง นอกจากนี้ ในสมัยอยุธยาเกิดเครื่องดนตรีใหม่ ได้แก่ ระนาดและฆ้องวง ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1800 (ประมาณปี 2340) ถึงปี 2475 ถือเป็นสมัย "คลาสสิก" ของดนตรีไทยเดิม ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ประเทศตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น และรัฐบาลขัดขวางหรือปิดกั้นการบรรเลงดนตรีไทยในที่สาธารณะ หลังจากนั้นมีความพยายามรื้อฟื้นดนตรีไทย มีการแสดงละครที่ใช้ดนตรีไทยในโรงละครแห่งชาติทุกปีแต่ผู้ชมเป็นคนต่าวด้าวมากกว่าคนไทย รำไทยแบ่งได้เป็นสองชนิดหลัก คือ รำพื้นบ้านและรำคลาสสิก รำพื้นบ้านมีความแตกต่างกันในสี่ภาค รำคลาสสิกมีท่าเคลื่อนไหว 108 ท่า ละครรำถือกำเนิดจากรามเกียรติ์ ในสมัยอยุธยา โขนเป็นละครรำของไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด โขนมีการเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงและเป็นทางการ มีเครื่องแต่งกายสีสันวิจิตร และสวมหน้ากาก ส่วนละครเป็นรำไทยที่เป็นทางการน้อยกว่า แบ่งชนิดหลักได้เป็นละครชาตรี ละครนอกและละครใน สังข์ทอง เป็นตัวอย่างละครที่มีลักษณะของละครรำที่ดี คือ โรแมนซ์ ความรัก สงคราม การแก้แค้น เหนือธรรมชาติและการไถ่บาป ละครรำพื้นบ้าน ได้แก่ ลิเกและมโนห์รา การแสดงหุ่นกระบอกของไทยเก่าแก่กว่าละครรำทุกชนิด ตัวอย่างเช่น หนังใหญ่และหนังตะลุง รำพื้นบ้าน เช่น ฟ้อนเทียนในภาคเหนือ ฟ้อนภูไท รำวงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนงิ้วก็ยังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้เทศกาลประเพณี เทศกาลประเพณี. สมัยกรุงศรีอยุธยา พระราชวังจัดประเพณีหลวงทุกเดือน เรียก "พระราชพิธีสิบสองเดือน" เช่น พิธีจรดพระราชนังคัล (พิธีแรกนา), พิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม วันสงกรานต์ เป็นต้น พระราชพิธีสิบสองเดือนมีการรับศาสนาฮินดูเข้ามาผสมผสาน ส่วนประเพณีราษฎร์มีเกือบตลอดปี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก "ฮีตสิบสอง" นอกจากนี้ ยังมีประเพณีขอฝนต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีพิรุณศาสตร์ขอฝน พิธีแห่นางแมว พิธีจุดบั้งไฟ เป็นต้น ประเพณีหลวงส่วนใหญ่ยกเลิกไปแล้ว ประเพณีราษฎร์ที่ยังคงปฏิบัติสืบเนื่องมาอยู่ เช่น ประเพณีขอฝน ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น ประเทศไทยจัดเทศกาลพุทธที่สำคัญและเป็นวันหยุดราชการ ได้แก่ มาฆบูชาในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม วิสาขบูชาในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน อาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาในเดือนกรกฎาคม ออกพรรษาในเดือนตุลาคม มีเทศกาลทำบุญ คือ ทอดกฐินในช่วงออกพรรษา และวันสารทเดือนสิบในกลางเดือนกันยายน นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลที่ริเริ่มใหม่ที่กลุ่มสังคมและองค์การธุรกิจสนับสนุน ทั้งเป็นการแสดง นิทรรศการ งานบันเทิงต่าง ๆ เช่น งานช้างสุรินทร์ที่เริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1960 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังส่งเสริมงานจัดแสดงสินค้าท้องถิ่นวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมไทยสามารถแบ่งได้เป็นสี่สมัยใหญ่ ๆ ตามราชธานี วรรณกรรมสุโขทัยเน้นกล่าวถึงวัฒนธรรมและศาสนาเป็นหลัก จารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นงานวรรณกรรมแรกที่ใช้อักษรไทย ไตรภูมิพระร่วงแจกแจงปรัชญาพุทธจากคัมภีร์ต่าง ๆ และอาจถือได้เป็นวาทนิพนธ์วิจัยแรกของไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีร้อยกรองรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ลิลิต กาพย์ห่อโคลง กาพย์เห่เรือ กลอนกลบทและเพลงยาว งานวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยนี้ เช่น ลิลิตยวนพ่าย, ลิลิตพระลอ, จินดามณีซึ่งเป็นตำราเรียนแรกของไทย, ตำนานศรีธนนชัย รวมทั้งงานวรรณคดีนาฏกรรมอย่างอิเหนาและรามเกียรติ์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีงานเกี่ยวกับสงคราม เช่น การแปลสามก๊กและราชาธิราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์นักกวี ทรงประพันธ์และทำให้แพร่หลายซึ่งละครและนิยายพื้นบ้านหลายเรื่องอย่างอิเหนา ไกรทอง และสังข์ทอง พระอภัยมณีเป็นผลงานสำคัญของกวีเอกสุนทรภู่ นอกจากนี้งานสำคัญอื่น เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน ต่อมา ในห้วงที่มีการตั้งแท่นพิมพ์ในปี 2387 พบการเขียนลีลาตะวันตกในนิตยสารและบทความหนังสือพิมพ์ เรื่องสั้น นวนิยายและการแปลวรรณกรรม หลังการปฏิวัติสยามปี 2475 วรรณกรรมเปลี่ยนเป็นวรรณกรรมประชานิยม (popular literature) โดยนวนิยายได้รับความนิยมอย่างมาก นักเขียนสมัยใหม่ที่สำคัญ เช่น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน, สุภา สิริสิงห, กัณหา เคียงศิริ (ก.สุรางคนางค์), จิระนันท์ พิตรปรีชา, จิตร ภูมิศักดิ์, ชาติ กอบจิตติ และกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา)กีฬา กีฬา. มวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติไทย นักมวยไทยมักเป็นแชมเปียนระดับไลต์เวทของสมาคมมวยโลกเสมอ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศไทยรับกีฬาตะวันตกเข้ามาหลายชนิด โดยเริ่มมีการแข่งขันในโรงเรียนในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตามมาด้วยในระบบการศึกษาสมัยใหม่ ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมในประเทศไทย โดยทีมชาติไทยได้แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 4 สมัย แต่ยังไม่เคยผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนสนุกเกอร์ แบดมินตัน เทนนิส รักบี้ กีฬาขี่ม้าและกีฬาทางน้ำได้รับความนิยมรองลงมา สำหรับกีฬาไทยเดิมที่ได้รับความนิยมนั้น ได้แก่ ว่าวพนัน (kite fighting) แข่งเรือและตะกร้อ ประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกในปี 2495 และกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2545 ประเทศไทยทำผลงานดีที่สุดในกีฬาชกมวย นักมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ คำสิงห์เป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกผู้คว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 นักกีฬาไทยทำผลงานได้ดีในกีฬาซีเกมส์ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง (ในปี 2509, 2513, 2521 และ 2541) และซีเกมส์ 6 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนคัพและฟุตบอลโลกหญิงเยาวชนอีกด้วยสื่อมวลชน สื่อมวลชน. ในรายงานเสรีภาพสื่อปี 2558 ของฟรีดอมเฮาส์ระบุว่าสื่อไทย "ไม่เสรี" และจัดอยู่ในอันดับที่ 166 จาก 199 ประเทศในด้านเสรีภาพสื่อ หลังรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 สื่อไทยถูกจำกัดและมีการตรวจพิจารณา ปัจจุบันโทรทัศน์เป็นสื่อยอดนิยมในประเทศไทย ประมาณการว่าชาวไทยเกือบร้อยละ 80 ยึดโทรทัศน์เป็นแหล่งข่าวหลัก สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินจำนวนหกแห่งมีรัฐบาลเป็นเจ้าของ ละครโทรทัศน์ไทยเป็นรูปแบบรายการที่ได้รับความนิยม มีเอกลักษณ์ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องชนชั้นสูงในสังคมไทย ตัวละครแบ่งดีเลวชัดเจน สามารถเดาตอนจบของเรื่องได้ง่าย มักจบแบบสุข มีการนำมาทำซ้ำกันบ่อยครั้ง พระเอกนางเอกมักเป็นคนฐานะดี ประเทศไทยมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายร้อยฉบับทุกสัปดาห์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมียอดจำหน่ายประมาณ 1 ล้านฉบับต่อวัน ส่วน มติชน มียอดขาย 900,000 ฉบับ จำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารลดลง โดยชาวไทยอายุ 15–24 ปีร้อยละ 50.1 ระบุว่าตนอ่านนิตยสารในปี 2558 ลดลงจากร้อยละ 61.7 ในปี 2556 การบอกรับสมาชิกสิ่งพิมพ์ลดลงเมื่อมีผู้อ่านทางอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น ในปี 2559 ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต รวมผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ 43.87 ล้านคน รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560 พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 6 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน ในปี 2559 พบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปใช้สมาร์ทโฟนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากที่สุด (90.4%) รองลงมาได้แก่ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (50.1%) คอมพิวเตอร์พกพา (24.9%) และแท็บเล็ด (15.2%)
ประเทศไทย เดิมมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "สยาม" ], "answer_begin_position": [ 210 ], "answer_end_position": [ 214 ] }
1,595
936
ประเทศไทย ประเทศไทย มีชื่ออย่างเป็นทางราชการว่า ราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐชาติอันตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมมีชื่อว่า "สยาม" รัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2482 ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินและนครใหญ่สุดของประเทศ และการปกครองส่วนภูมิภาค จัดระเบียบเป็น 76 จังหวัด แม้จะมีการสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในปี 2475 แต่กองทัพยังมีบทบาทในการเมืองไทยสูง ล่าสุด เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และมีการปกครองแบบเผด็จการทหารนับแต่นั้น พบหลักฐานการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันตั้งแต่ 20,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวไทเริ่มอพยพเข้าสู่บริเวณนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 แล้วเข้ามาตั้งแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนาและอาณาจักรอยุธยา นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย ต่อมาอาณาจักรอยุธยาค่อย ๆ เรืองอำนาจมากขึ้นจนเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 การติดต่อกับชาติตะวันตกเริ่มด้วยผู้แทนทางทูตชาวโปรตุเกสในปี 2054 อาณาจักรรุ่งเรืองอย่างมากในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี 2199–2231) แต่หลังจากนั้นค่อย ๆ เสื่อมอำนาจโดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการผลัดแผ่นดินที่มีการนองเลือดหลายรัชกาล จนสุดท้ายกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายสิ้นเชิงในปี 2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงรวบรวมแผ่นดินที่แตกออกเป็นก๊กต่าง ๆ และสถาปนาอาณาจักรธนบุรีที่มีอายุ 15 ปี ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักรนำไปสู่การสำเร็จโทษพระองค์โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมหลายฉบับ กระนั้น สยามไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกชาติใด มีการปรับให้สยามทันสมัยและรวมอำนาจปกครองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ปี 2411–53) สยามเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี 2460; ในปี 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยไม่เสียเลือดเนื้อ คณะราษฎรมีบทบาทนำทางการเมือง และในพุทธทศวรรษ 2480 นายกรัฐมนตรี จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบายชาตินิยมเข้มข้น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยเข้ากับฝ่ายอักษะ แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการประกาศสงคราม ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทหารมาก รัฐประหารที่มีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้าคณะในปี 2500 ทำให้คณะราษฎรหมดอำนาจ รัฐบาลฟื้นฟูพระราชอำนาจและมีมาตรการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ผลของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ทำให้เกิดประชาธิปไตยระบบรัฐสภาช่วงสั้น ๆ ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2531 หลังพุทธทศวรรษ 2540 มีวิกฤตการเมืองระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมาจนปัจจุบัน รวมทั้งเกิดรัฐประหารสองครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดในปี 2557 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 20 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 หลังมีการลงประชามติรับร่างเมื่อหนึ่งปีก่อน ประเทศไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เอเปก อีกทั้งเป็นร่วมผู้ก่อตั้งอาเซียน ประเทศไทยเป็นพันธมิตรของสหรัฐตั้งแต่สนธิสัญญาซีโต้ในปี 2497 ถือเป็นประเทศอำนาจนำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอำนาจปานกลางในเวทีโลก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-สูงและประเทศอุตสาหกรรมใหม่ มีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้มีการอพยพเข้าสู่เมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตามประมาณการในปี 2560 จีดีพีของประเทศไทยมีมูลค่าราว 432,898 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับที่ 26 ของโลกชื่อเรียก ชื่อเรียก. ชาวต่างชาติเรียกอาณาจักรอยุธยาว่า "สยาม" เมื่อราวปี 2000 ยอร์ช เซเดส์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เขียนว่ามีการพาดพิงทาสหรือเชลยศึกซีเอม (Syam) ในจารึกอาณาจักรจามปาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทว่าคนไทยไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" หรือ "ชาวสยาม" เลย ส่วนคำว่า "คนไทย" นั้น จดหมายเหตุลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่า ชาวอยุธยาเรียกตนเองเช่นนั้นมานานแล้ว เดิมประเทศไทยเคยใช้ชื่อว่า สยาม มาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏใช้เป็นชื่อประเทศชัดเจนในปี 2399 ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยม ฉบับที่ 1 เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ซึ่งจอมพล ป. ต้องการบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทยมิใช่ของเชื้อชาติอื่นตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับเป็นสยามอีกช่วงสั้น ๆ เมื่อปี 2488 และเปลี่ยนกลับมาใช้ว่าไทยอีกครั้งเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ในความหมายอย่างเคร่งครัด คำว่า "ไทย" หมายถึงประเทศไทยในช่วงหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศหลังปี 2482 โดยเว้นช่วงสั้น ๆ ที่เปลี่ยนกลับไปเป็นชื่อ "สยาม" ระหว่างปี 2488–91 ดังกล่าวข้างต้น ทว่าในความหมายอย่างกว้าง คำว่า "ไทย" อาจใช้หมายถึงราชอาณาจักรทั้งหลายซึ่งเป็นราชธานีของคนไทยตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. ยุคก่อนประวัติศาสตร์. มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคหินเก่าอย่างน้อยราว 20,000 ปี พบหลักฐานการปลูกข้าวเก่าแก่สุดเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล สำริดปรากฏระหว่าง 1,250–1,000 ปีก่อนคริสตกาลโดยคาดว่ารับมาจากตอนใต้ของจีน แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในจังหวัดอุดรธานีจัดเป็นศูนย์การผลิตทองแดงและสำริดเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลเริ่มปรากฏการใช้เหล็ก อาณาจักรฟูนันเป็นอาณาจักรแรกสุดและทรงอำนาจที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจริญขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ต่อมา ชาวมอญอาศัยช่วงที่ฟูนันเสื่อมลงตั้งอาณาจักรของตน คือ อาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรหริภุญชัยในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ส่วนชาวเขมรตั้งอาณาจักรใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ที่อังกอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 อาณาจักรตามพรลิงก์เป็นรัฐมลายูที่ควบคุมการค้าผ่านช่องแคบมะละกาที่ทรงอำนาจที่สุด เจริญขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไทยสยามจัดอยู่ในกลุ่มชาวไท (Tai people) ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียแผ่นดินใหญ่ โดยมีภาษาร่วมกัน หลักฐานจีนบันทึกถึงชาวไทครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เดิมมีแนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทอยู่หลายแนวคิด เดวิด เค. ไวแอต (David K. Wyatt) ระบุว่าบรรพบุรุษของชาวไทในประเทศลาว ไทย พม่า อินเดียและจีนปัจจุบันเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในแถบเดียนเบียนฟูในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 8 ราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 เริ่มมีคนไทมาอยู่อาศัยในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบันซึ่งในเวลานั้นมีอาณาจักรมอญและเขมรอยู่ ทำให้วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มอญและเขมรอาณาจักรสุโขทัยและแคว้นต่าง ๆ อาณาจักรสุโขทัยและแคว้นต่าง ๆ. เมื่อจักรวรรดิขแมร์และอาณาจักรพุกามเสื่อมอำนาจเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลาไล่เลี่ยกัน อาณาจักรของชาวไทกินอาณาบริเวณตั้งแต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียปัจจุบันจนถึงทิศเหนือของลาว และลงไปถึงคาบสมุทรมลายู ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีประชากรชาวไทอาศัยอยู่มั่นคงในอดีตดินแดนแกนกลางของอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรลพบุรี จนถึงดินแดนนครศรีธรรมราช แต่ไม่มีบันทึกรายละเอียดการเข้ามาของชาวไท ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1240 (ประมาณปี 1780) พ่อขุนบางกลางหาวรวบรวมกำลังกบฏต่อเขมร และราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์สุโขทัยพระองค์แรก อาณาจักรสุโขทัยแผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จรดน่านและหลวงพระบางทางทิศเหนือ นครศรีธรรมราชทางทิศใต้ พุกามและมะตะบันทางทิศตะวันตก อย่างไรก็ดี อาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้น่าจะเกิดจากการสวามิภักดิ์ของเจ้าท้องถิ่นมากกว่า นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประดิษฐ์อักษรไทย มีเครื่องดินเผาสวรรคโลกเป็นสินค้าออกสำคัญ แต่เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ ในรัชกาลพญาลิไท อาณาจักรรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ส่วนเหนือขึ้นไป พญามังรายซึ่งสืบราชสมบัติหิรัญนครเงินยางเชียงราว ทรงตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้นในปี 1839 มีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ ทรงรวบรวมแว่นแคว้นขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำปิง พระมหากษัตริย์ล้านนาล้วนสืบเชื้อสายจากพระองค์ต่อเนื่องกันกว่าสองศตวรรษ และสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการแต่งงานกับเจ้าเมืองต่าง ๆ จรดแม่น้ำน่านทางทิศตะวันออกและเหนือแม่น้ำโขงขึ้นไป ส่วนบริเวณเมืองท่าบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง มีการตั้งสหพันธรัฐในบริเวณเพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรีและอยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 11อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น. อาณาจักรอยุธยากำเนิดจากจากลพบุรีและสุพรรณบุรีที่อยู่ใกล้เคียง พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี 1893 ในเขตเมืองอโยธยาเดิม การปกครองของอาณาจักรอยุธยามีลักษณะเป็นเครือข่ายราชรัฐและจังหวัดบรรณาการที่สวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์อยุธยาตามระบบมณฑล เนื่องจากขาดกฎสืบราชสมบัติ เมื่อใดที่มีการผลัดแผ่นดินจะมีเจ้าหรือขุนนางทรงอำนาจยกทัพเข้าเมืองหลวงเพื่ออ้างสิทธิ์ทำให้เกิดการนองเลือดบ่อยครั้ง การขยายอาณาเขตช่วงแรกอาศัยการพิชิตดินแดนและการอภิเษกทางการเมือง ในปี 1912, 1931 และ 1974 อาณาจักรอยุธยายกทัพไปตีเมืองพระนคร (นครธม) เมืองหลวงของจักรวรรดิขแมร์ ได้ทั้งสามครั้ง ทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นมหาอำนาจแทนจักรวรรดิขแมร์ การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้สุโขทัยตกเป็นประเทศราชและส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตามลำดับ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ ซึ่งบางส่วนได้ใช้มาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาระบบศักดินา ก่อให้เกิดระบบไพร่ซึ่งเป็นแรงงานเกณฑ์ให้ราชการปีละหกเดือน อย่างไรก็ดี การพยายามขยายอำนาจไปยังรัฐสุลต่านมะละกาทางใต้ และอาณาจักรล้านนาไม่ประสบความสำเร็จ การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี 2054 ทำให้กรุงศรีอยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตก การชิงความเป็นใหญ่ระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรพม่าเหนือเชียงใหม่และมอญทำให้ทั้งสองขัดแย้งกัน ขณะเดียวกัน ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น กระทั่งขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนอง หลังจากนั้น กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในปี 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น กรุงศรีอยุธยายังมุ่งเพิ่มความสัมพันธ์กับชาติยุโรปต่อมาอีกหลายรัชกาล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส ฮอลันดา และอังกฤษ ผู้เดินทางชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ยกอาณาจักรอยุธยาว่าเป็นสามมหาอำนาจแห่งเอเชียร่วมกับจีนและอินเดีย อิทธิพลของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยาที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความเกลียดกลัวต่างชาติ จนลงเอยด้วยการปฏิวัติในปี 2231 อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์กับชาติยุโรปอื่นยังเป็นปกติและต่อมาบาทหลวงฝรั่งเศสก็กลับมามีอิสระในการเผยแผ่ศาสนา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศถือเป็น "สมัยบ้านเมืองดี" ในกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ความขัดแย้งภายในติด ๆ กันหลายรัชกาล และการสงครามกับราชวงศ์คองบอง (อลองพญา) จนส่งผลให้เสียกรุงครั้งที่สองเมื่อปี 2310 ซึ่งก่อนหน้านั้นกรุงศรีอยุธยาว่างเว้นจากศึกสงครามมากว่า 150 ปี หลังจากนั้นบ้านเมืองแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ารวมทั้งสิ้น 5 ก๊ก ในปีเดียวกัน เจ้าตากได้รวบรวมไพร่พลขับไล่พม่า และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี พระองค์ทรงรวบรวมแผ่นดินให้อยู่ภายใต้พระองค์ ด้านสงครามภายนอก กองทัพธนบุรีสามารถขับไล่พม่าออกจากล้านนาได้ในปี 2319 และยึดกรุงเวียงจันทน์ได้ในปี 2321 อาณาจักรธนบุรีมีอายุเพียง 15 ปีและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว หลังเกิดความขัดแย้งช่วงปลายรัชกาล พระองค์และพระราชโอรสทั้งหลายทรงถูกสำเร็จโทษโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325การปรับให้ทันสมัยและการรวมอำนาจปกครอง การปรับให้ทันสมัยและการรวมอำนาจปกครอง. ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรุงรัตนโกสินทร์สามารถป้องกันการเข้าตีของพม่า และยุติการบุกครองของพม่า ก่อนพระองค์สวรรคตสามารถสถาปนาอำนาจปกครองเหนือพื้นที่ไพศาลอันเป็นที่ตั้งของประเทศลาวและกัมพูชาปัจจุบัน ในปี 2364 จอห์น ครอว์เฟิร์ดถูกส่งมาเจรจาความตกลงการค้าฉบับใหม่กับกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของปัญหาที่จะครอบงำการเมืองสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมฉบับแรก ๆ อันนำมาสู่การทำสนธิสัญญากับชาติอื่นด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน หากก็นำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครและการค้าระหว่างประเทศ ต่อมา การคุกคามของจักรวรรดินิยมทำให้สยามยอมยกดินแดนประเทศราชให้ฝรั่งเศสและบริเตนในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และดำรงบทบาทของตนเป็นรัฐกันชนระหว่างเจ้าอาณานิคมทั้งสอง หากแม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากชาติมหาอำนาจ สยามก็ยังสามารถธำรงตนเป็นรัฐเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่ก็ต้องรับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกเข้ามาอย่างมาก จนนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมและวัฒนธรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาระบบมณฑลเทศาภิบาลซึ่งมีการส่งข้าหลวงจากส่วนกลางไปปกครองดินแดนส่วนต่าง ๆ และยุติอำนาจของเจ้าท้องถิ่น รวมทั้งการเลิกทาสและไพร่ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ขึ้นชื่อที่สุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมีอธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น. สืบจากปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และราคาข้าวตกลงอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีการลดรายจ่ายภาครัฐอย่างมากทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่อภิชน วันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรนำปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาททางการเมือง ปลายปี 2476 เกิดกบฏบวรเดช ซึ่งหวังเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับสู่สมบูรณาญาสิทธิราช แต่ล้มเหลว ปี 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลจึงทรงสละราชสมบัติในปี สภาผู้แทนราษฎรเลือกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เดือนธันวาคม 2481 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และกองทัพเริ่มมีอำนาจมากขึ้น รัฐบาลมีแนวคิดชาตินิยมและปรับให้เป็นตะวันตก และเริ่มดำเนินนโยบายต่อต้านจีนและฝรั่งเศส วันที่ 23 มิถุนายน 2482 มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย" ในปี 2484 เกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นระหว่างวิชีฝรั่งเศสกับไทย ทำให้ไทยได้ดินแดนเพิ่มจากลาวและกัมพูชา วันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นบุกครองไทย และรัฐบาลลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐและสหราชอาณาจักร มีการตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นทั้งในและต่างประเทศเพื่อต่อต้านรัฐบาลและการยึดครองของญี่ปุ่น ในปี 2487 กรุงเทพมหานครถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์และประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ประเทศญี่ปุ่นยอมจำนนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2488 หลังสงคราม ประเทศไทยลงนามความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อเลิกสถานะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในเดือนมิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างเป็นปริศนา และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชทรงสืบราชสมบัติต่อมา ในปี 2497 ประเทศไทยลงนามเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้) เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ ในปี 2500 เกิดรัฐประหารโดยมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ทำให้คณะราษฎรหมดอำนาจ จอมพลสฤษดิ์เพิ่มพูนอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และรื้อฟื้นพระราชประเพณีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีแรกนาขวัญ การมอบกราบ เป็นต้น และในปี 2504 หลังสหรัฐเข้าสงครามเวียดนาม รัฐบาลไทยทำข้อตกลงลับโดยส่งทหารเข้าสู่ประเทศลาวและเวียดนาม รวมทั้งอนุญาตให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพอากาศในประเทศเพื่อใช้ทิ้งระเบิดประเทศเวียดนามเหนือ ฝ่ายเวียดนามเหนือตอบโต้โดยให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สงครามเวียดนามเร่งให้เกิดการทำให้ทันสมัยและการกลายเป็นตะวันตกของสังคมไทย ประเทศไทยเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก มีการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างมากและมีการอพยพจากชนบทสู่เมืองเพื่อหางาน แต่ราษฎรในชนบทยังยากจน มีการเคลื่อนไหวคัดค้านรัฐบาลของนิสิตนักศึกษาที่เรียก ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เริ่มในปี 2511 และในเดือนตุลาคม 2514 มีการชุมนุมใหญ่และมีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต ที่เรียก "เหตุการณ์ 14 ตุลา" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีนับว่าพระมหากษัตริย์เข้ามาบทบาททางการเมืองโดยตรงครั้งแรกนับแต่ปี 2475 ผลของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดประชาธิปไตยระบบรัฐสภาช่วงสั้น ๆ ที่มักเรียกว่า "ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน"ร่วมสมัย ร่วมสมัย. ปลายปี 2519 การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเอียงเป็นฝ่ายซ้ายมากขึ้น ฝ่ายกองทัพและพรรคการเมืองฝ่ายขวาเริ่มโฆษณาชวนเชื่อกล่าวหาว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ความตึงเครียดระหว่างคนงานและเจ้าของโรงงานรุนแรงขึ้นและขบวนการสิทธิพลเมืองเคลื่อนไหวมากขึ้นหลังปี 2516 เหตุการณ์ลงเอยด้วยการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน "เหตุการณ์ 6 ตุลา" วันเดียวกัน เกิดรัฐประหาร แล้วมีการแต่งตั้งธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวคิดขวาจัด เขาดำเนินการกวาดล้างมหาวิทยาลัย สื่อและข้าราชการ มีปัญญาชน ฝ่ายซ้ายและนักศึกษาเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปีต่อมา เกิดรัฐประหารอีกครั้งแล้วเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2521 รัฐบาลเกรียงศักดิ์เสนอนิรโทษกรรมต่อนักคอมมิวนิสต์ไทย และเขาเยือนประเทศจีนและทำข้อตกลงเพื่อยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การสู้รบกับคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 2523 ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2531 ในปี 2534 คณะทหารที่เรียก คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ รัฐประหารโค่นรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนัก หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2535 พรรคร่วมรัฐบาลเสนอชื่อพลเอก สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ปฏิเสธก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เกิดการสลายการชุมนุมทำให้มีผู้เสียชีวิต เรียก "พฤษภาทมิฬ" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรับสั่งให้พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้า แล้วหลังจากนั้นพลเอกสุจินดาก็ลาออก ปี 2540 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เรียก "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ยุติการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องกัน 40 ปี ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่อมา ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ได้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจจนประสบผลหลายอย่าง แต่ก็ตกเป็นที่กล่าวหาอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในปี 2547 เกิดคลื่นสึนามิพัดถล่มภาคใต้และเริ่มต้นความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ต้องการให้ทักษิณพ้นจากตำแหน่งระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในปี 2549 มีรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลทหารปกครองประเทศหนึ่งปีจนมีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี 2550 พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในปี 2550 และจัดตั้งรัฐบาล ต่อมา พธม. จัดการชุมนุมใหญ่ในปี 2551 ซึ่งมีการปิดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรครัฐบาล 3 พรรค หลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ ชุมนุมประท้วงรัฐบาลในปี 2552 และ 2553 ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ในปีเดียวกัน เกิดมหาอุทกภัย มีพื้นที่ประสบภัย 65 จังหวัด ปลายปี 2556 เกิดวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ มีสาเหตุหลักจากสภาผู้แทนราษฎรผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ เกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนการเลือกตั้ง วันที่ 20 พฤษภาคม กองทัพบกประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ และอีกสองวันต่อมาได้ ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ต่อมาระหว่างการปกครองของรัฐบาลทหาร ในปี 2560 มีการออกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุดหลังการลงประชามติเมื่อปีก่อนภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. ประเทศไทยตั้งอยู่กลางคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังอยู่บนคาบสมุทรมลายูด้วย อยู่ระหว่างละติจูด 5° ถึง 21° เหนือ และลองติจูด 97° ถึง 106° ตะวันออก มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา ทิศใต้เป็นแดนต่อแดนประเทศมาเลเซียและอ่าวไทย ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า และทิศเหนือติดประเทศพม่าและลาว มีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร เป็นอันดับที่ 51 ของโลกและอันดับที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (maritime zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 กว่า 320,000 ตารางกิโลเมตร มีความยาวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้นกว่า 3,101 กิโลเมตร ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดสูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่ค่อยเอื้อต่อการเพาะปลูก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเกิดจากแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ทำให้ภาคกลางเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มลายู ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขา อ่าวไทยมีพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร รองรับน้ำซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ นอกจากนี้ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะมีท่าเรือหลักที่สัตหีบ ถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาก ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามันภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ภูมิอากาศของไทยส่วนใหญ่เป็นแบบ "ภูมิอากาศร้อนชื้นเขตร้อนหรือสะวันนา" ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ส่วนปลายใต้สุดและตะวันออกสุดของประเทศมีภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 18–34 °C ภูมิอากาศของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตามฤดูกาล ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมมีลักษณะเป็นการเคลื่อนของอากาศอุ่นชื้นจากมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณส่วนใหญ่ของประเทศ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์นำพาอากาศเย็นแห้งจากประเทศจีนปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนในภาคใต้ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือนำอากาศแบบไม่รุนแรงและฝนตกหนักในชายฝั่งตะวันออก สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ฤดูแรกเป็นฤดูฝนหรือฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม) ฝนตกหนักที่สุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งทำให้เกิดอุทกภัยบางครั้ง นอกจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ร่องความกดอากาศต่ำ (Intertropical Convergence Zone) และพายุหมุนเขตร้อนก็มีส่วนทำให้เกิดฝนตกหนักในฤดูฝนด้วย กระนั้น ปกติมีช่วงปลอดฝนสั้น ๆ 1 ถึง 2 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากร่องความกดอากาศต่ำเคลื่อนขึ้นเหนือไปภาคใต้ของประเทศจีน ฤดูหนาวหรือฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศแห้งและอุณหภูมิไม่ร้อนมาก ยกเว้นภาคใต้ที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ส่วนฤดูร้อนหรือฤดูก่อนมรสุมกินเวลาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคมซึ่งมีอากาศร้อน เนื่องจากที่ตั้งในแผ่นดินและละติจูด ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลางและตะวันออกของประเทศไทยประสบอากาศร้อนเป็นเวลานาน เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี ปกติอุณหภูมิมักสูงถึง 40 °C โดยยกเว้นพื้นที่ชายฝั่งที่ลมทะเลทำให้อุณหภูมิตอนกลางวันไม่ร้อนเกินไป ในทางตรงข้าม การพัดของลมเย็นจากประเทศจีนทำให้อุณหภูมิต่ำลง ซึ่งบางกรณีอาจเข้าใกล้หรือต่ำกว่า 0 °C ได้ ภาคใต้มีอากาศไม่รุนแรงตลอดปี มีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกลางคืนและระหว่างฤดูกาลน้อยเนื่องจากอิทธิพลของทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนตกเฉลี่ยทั้งปี 1,200 ถึง 1,600 มิลลิเมตร แต่ในบางพื้นที่ที่เป็นฝั่งรับลมของภูเขา เช่น จังหวัดระนองและจังหวัดตราดมีปริมาณฝนกว่า 4,500 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนบริเวณแห้งแล้งคือฝั่งรับลมของหุบเขาภาคกลางและส่วนเหนือสุดของภาคใต้ซึ่งมีปริมาณฝนเฉลี่ยต่อปีน้อยกว่า 1,200 มิลลิเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศแห้งระหว่างมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและฝนตกในมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในภาคใต้ ฝนตกหนักเกิดทั้งในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีมากสุดในเดือนกันยายนในฝั่งตะวันตก และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมในฝั่งตะวันออกความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ. ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคเกษตรกรรม และประเทศไทยมีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด พื้นที่ราว 29% ของประเทศเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก ในประเทศไทย พบนก 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งมีการบันทึก การลักลอบล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ยังเป็นปัญหาสำคัญ นักล่ามักฆ่าสัตว์อย่างเสือโคร่ง เสือดาวและแมวใหญ่อื่นเพื่อเอาหนัง มีการเลี้ยงหรือล่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้งเสือโคร่ง หมี จระเข้และงูจงอางเพื่อเอาเนื้อ แม้การค้าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ผิดกฎหมาย แต่ตลาดนัดจตุจักรในกรุงเทพมหานครยังขึ้นชื่อเรื่องการขายสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อยู่การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. เดิมประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา มีการปกครองแบบรวมศูนย์เด็ดขาดตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรปฏิวัติในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในปี 2560 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นับเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในทวีปเอเชีย ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมืองสูงและมีรัฐประหารหลายครั้ง หลังเปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลทหารมักยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีการเปลี่ยนสมดุลอำนาจฝ่ายการปกครองเรื่อยมา นอกจากนี้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังเปลี่ยนไปตามรัฐธรรมนูญด้วย ประเทศไทยมีรัฐประหารมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2559 "ประเทศไทยมีทหารหรืออดีตทหารเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยเป็นเวลา 57 จาก 85 ปีนับแต่ล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475" ในทางพฤตินัย ปัจจุบันประเทศไทยปกครองในระบอบเผด็จการทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ต่อมาในปี 2560 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ในรัฐธรรมนูญดังกล่าว ระบุว่า ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือใช้ว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้- อำนาจนิติบัญญัติ มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกินสองร้อยห้าสิบคน ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ไม่มีระบุวาระ เดิมสภานิติบัญญัติของไทยได้แก่รัฐสภา ซึ่งใช้ระบบสภาคู่ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา - อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นไม่เกินสามสิบห้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ ไม่มีระบุวาระ นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจและเป็นหัวหน้ารัฐบาล - อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน สำหรับราชการส่วนท้องถิ่น มีการแบ่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นและสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแทบทุกระดับ ระบบพรรคการเมืองของไทยเป็นแบบหลายพรรค นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองต่าง ๆ แต่ก็มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐประหารหลายคน หลัง พ.ศ. 2544 มีพรรคการเมืองครอบงำสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเปลี่ยนมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทยตามลำดับ และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งตั้งแต่ปีนั้น พรรคการเมืองอื่น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้นการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น (1) ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง, ทบวง และกรม (2) ราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล จังหวัดล่าสุดของประเทศไทย คือ จังหวัดบึงกาฬซึ่งแยกจากจังหวัดหนองคายในปี 2554 และ (3) ราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. ปัจจุบัน ประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่น ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐมาตั้งแต่การลงนามองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2497 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และมีความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมือง และด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความร่วมมือกับองค์การท้องถิ่น อาทิ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป ประเทศไทยลงนามความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับประเทศบาห์เรน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ชิลี และเปรู และความตกลงการค้าเสรีกับประเทศอาเซียน และความตกลงการค้าพหุภาคี (ในฐานะอาเซียน) กับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าประเทศไทยจะเลิกรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศและทำงานร่วมกับประเทศผู้บริจาคเพื่อช่ว่ยพัฒนาประเทศพื้นบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทักษิณมุ่งให้ประเทศไทยเป็นผู้นำภูมิภาค แต่เขาก็สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผด็จการทหารพม่า รวมทั้งการให้สินเชื่อ ในสมัยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเทศไทยมีข้อพิพาทกับประเทศกัมพูชาเหนือความเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร เกิดกรณีพิพาทพรมแดนระหว่างปี 2551–2554 หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับชาติตะวันตกเสื่อมลง และไทยหันไปเข้ากับประเทศจีนและประเทศรัสเซียมากขึ้นกองทัพ กองทัพ. พระมหากษัตริย์ดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยนิตินัย ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ กองทัพไทยแบ่งออกเป็น 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้น 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย ในปี 2558 เครดิตสวิสจัดอันดับว่าประเทศไทยมีดัชนีกำลังทางทหารสูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลก งบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 78,100 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 207,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559 คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.5 ของจีดีพี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร โดยชายสัญชาติไทยต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินในปีที่อายุย่างเข้าสิบแปดปี และจักมีสภาพเป็นทหารกองเกิน กองทัพจะเรียกเกณฑ์ทหารกองเกินชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี ส่วนทหารกองเกินที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารจะได้รับการยกเว้นการเรียกเข้ามาตรวจเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการในยามปกติ ประเทศไทยยังเคยส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก, อัฟกานิสถาน, อิรัก, บุรุนดี และปัจจุบัน ในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน กองทัพไทยขึ้นชื่อเรื่องมีทหารทุจริต เช่น จากกรณีการซื้อยุทธภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานหรือแพงเกิน การลักลอบค้ามนุษย์ รวมทั้งการใช้เส้นสายฝากตั้งญาติเป็นนายทหาร ซึ่งพลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม แถลงว่า หลายคนในกองทัพก็ทำอาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย. คดีอาชญากรรมรวมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละประมาณร้อยละ 1.3 ระหว่างเดือนมกราคม 2540 – ธันวาคม 2554 ในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร (กุมภาพันธ์–เมษายน 2546) อาชญากรรมยาเสพติดลดลงร้อยละ 64.6 แต่การฆ่าคนและอาชญากรรมอื่นต่อบุคคลเพิ่มขึ้น จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีอาชญากรรมสูงสุดสองอันดับแรก แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชญากรรมรุนแรง อัตราชำระคดี (clear-up) ของตำรวจโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 86.78 ระหว่างปี 2550–2554 จำนวนแรงงานเข้าเมืองมิชอบด้วยกฎหมายแปรผันตรงกับอัตราอาชญากรรมถ่วงน้ำหนัก ส่วนคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ จำนวนพระภิกษุและความหนาแน่นของประชากรแปรผกผันกับอัตราอาชญากรรมถ่วงน้ำหนัก ประเทศไทยมีปัญหาจำนวนอาวุธปืน ชาวไทยประมาณร้อยละ 10 เป็นเจ้าของปืน และมีอัตราการเสียชีวิตเกี่ยวกับปืนที่มีรายงานสูงสุดในทวีปเอเชีย สหประชาชาติวิจารณ์ประเทศไทยว่าไม่สามารถขจัดความเป็นทาสและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคประมง จำนวนผู้ต้องขังในประเทศไทยนั้นมากที่สุดในอาเซียน และมากเป็นอันดับที่ 3 ของทวีปเอเซีย สถิติปี 2555 พบว่าชาวไทยประสบเหตุอาชญากรรม 152,228 คน เป็นอาชญากรรมต่อทรัพย์สินมากที่สุด (ร้อยละ 92.5) ทรัพย์สินที่ถูกขโมยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำติดตัวไปได้ นอกจากนั้นเป็นเครื่องใช้นอกและในบ้าน เครื่องประดับ เป็นต้น ประสบเหตุอาชญากรรมต่อชีวิตและร่างกาย 7,879 คน เป็นการถูกทำร้ายร่างกายมากที่สุด (ร้อยละ 79.8) ส่วนใหญ่ผู้ประสบเหตุอาชญากรรมไม่ได้แจ้งตำรวจ โดยเฉลี่ยร้อยละ 66.6 ยกเว้นอาชญากรรมทางเพศและอาชญากรรมต่อชีวิตและร่างกายที่มีการแจ้งตำรวจเกินครึ่ง (ร้อยละ 67.2 และ 55 ตามลำดับ) สาเหตุที่ไม่แจ้งส่วนใหญ่ (ร้อยละ 64.8) ระบุว่า คิดว่าตำรวจไม่สามารถช่วยได้ มีรายงานว่า กำลังความมั่นคงบางครั้งใช้กำลังเกินกว่าเหตุและถึงตายต่อผู้ต้องสงสัยและมีวิสามัญฆาตกรรม การฆ่าคนตามอำเภอใจและการฆ่าคนไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งมีรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทรมานและทุบตีผู้ต้องสงสัยเพื่อรีดคำสารภาพ และหนังสือพิมพ์รายงานกรณีที่พลเมืองกล่าวหาเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกรณีดังกล่าว ประเทศไทยมีผู้ต้องขังประมาณ 306,000 คนในปี 2559 ผู้ต้องขังก่อนพิจารณาคดีในศาลคิดเป็นร้อยละ 18 ของประชากรเรือนจำ ในปีงบประมาณ 2559 มีผู้เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว 762 คน ประกาศ คสช. ให้อำนาจทหารกักขังบุคคลได้โดยไม่ตั้งข้อหาหรือการพิจารณาคดีไม่เกินเจ็ดวัน นอกจากนี้ ยังมีประกาศ คสช. ให้อำนาจทหารยศร้อยโทขึ้นไปมีอำนาจของตำรวจในคดีอาญา 27 ชนิด มีหลายกรณีที่กล่าวหาว่าตำรวจใช้อำนาจมิชอบ แต่ผู้ถูกกล่าวหามักไม่ถูกลงโทษ ในศาลพลเรือน รัฐบาลจัดหาความช่วยเหลือทางกฎหมาย แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวมีรายงานว่ามีคุณภาพต่ำ ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงในหลายภาคส่วนของประเทศ ธุรกิจระบุว่ามีการจ่ายสินบนเพื่อให้ได้คำวินิจฉัยที่เป็นประโยชน์กับตน หลังรัฐประหารปี 2557 ฝ่ายตุลาการถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองอย่างสูง กระบวนการทางกฎหมายในประเทศไทยมักช้าและบางทีมีการใช้วิธีการนอกกฎหมายเพื่อมีผลต่อคำพิพากษา ฝ่ายความมั่นคงในประเทศไทยมีชื่อเสียงว่าเป็นสถาบันที่ฉ้อฉลที่สุดในประเทศเนื่องจากความพัวพันกับการเมืองและระบบอุปถัมภ์ บริษัทที่ไม่จ่ายค่าอำนวยความสะดวกแก่ข้าราชการอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันเทียบกับบริษัทอื่น มีรายงานว่าการฮั้วประมูลทำให้เกิดการแข่งขันประมูลสัมปทานของรัฐอย่างไม่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยมีความผันแปรและการดำเนินคดีการฉ้อราษฎร์บังหลวงระดับสูงมีรายงานว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยมีการเรียกว่า "อาจเป็นกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาทที่รุนแรงที่สุดในโลก" และ "โหด" องค์การนิรโทษกรรมสากลถือว่าผู้ถูกจำคุกฐานดังกล่าวเป็นนักโทษการเมือง คณะทำงานว่าด้วยการกักขังโดยพลการของสหประชาชาติถือว่าการกักขังก่อนพิจารณาคดีถือว่าละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม ประเทศไทยมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดให้ประเทศไทยเป็น "ผู้ประสบความสำเร็จสูง" ในเอเชียตะวันออก ในปี 2556 ประเทศไทยมีดัชนีการรับรู้การทุจริตค่อนข้างต่ำ โดยอยู่อันดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ ธนาคารโลกจัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศมีรายได้ปานกลาง-สูงในปี 2554 ในปี 2556 จีดีพีมาจากการใช้จ่ายของครัวเรือน 54.4% การใช้จ่ายของรัฐบาล 13.8% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 26.7% การส่งออกเป็นสัดส่วน 74% ของจีดีพี ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพีมากที่สุดคือ 38.1% ภาคการค้าส่ง ค้าปลีกมีสัดส่วนต่อจีดีพี 13.4% ภาคการขนส่งและการสื่อสารมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10.2% ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนต่อจีดีพี 8.3% ในปี 2552–2553 ประเทศไทยส่งชิ้นส่วนและส่วนประกอบออก ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ มูลค่า 48,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 25% ของมูลค่าการส่งสินค้าออก ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย ฮ่องกงและเกาหลีใต้ เครื่องจักรเป็นทั้งสินค้านำเข้าและส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทย ในปี 2556 ประเทศไทยมีการส่งออกสุทธิ 390,957 ล้านบาท องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) เป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทย ประเทศไทยมีกำลังแรงงาน 39.38 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด 15.41 ล้านคน หรือ 39.1% ของกำลังแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท อัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 1.2% ซึ่งน้อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่แนวโน้มแรงงานกว่าครึ่งประกอบอาชีพที่ไม่มั่นคงหรืออาชีพที่ไม่เป็นทางการ กับทั้ง 40% มีปัญหาการทำงานต่ำระดับ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยเป็นประเทศยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยซบเซามาอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษ ระหว่างปี 2508 ถึง 2539 ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้นต่อคนเติบโตร้อยละ 7 ต่อปี และระหว่างปี 2530 ถึง 2539 เรียกว่าเป็นช่วง "เศรษฐกิจบูม" เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วที่สุดในโลก ซึ่งมาจากการลงทุนระดับสูงมาก การเติบโตของหุ้นเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจเติบโตกว่าครึ่ง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในช่วงเศรษฐกิจบูมเป็นการไหลเข้าของทุนระยะสั้นร้อยละ 23 วิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 มีสาเหตุระยะยาวหลายอย่าง แต่ชนวนเหตุที่บั่นทอนความเชื่อมั่นเกิดจากการเติบโตของการส่งออกลดลงจากร้อยละ 20 ในปี 2538 เหลือประมาณร้อยละ 0 ในปี 2539 จีดีพีของไทยหดตัวร้อยละ 10.5 ในปี 2541 ประเทศไทยฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินในปี 2546 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิของไทยล่าช้าเพราะขาดอุปทานรวม ระหว่างปี 2542 ถึง 2550 จีดีพีไทยเติบโตระหว่างร้อยละ 2.1 ถึง 7.1 ต่อปี ด้วยการขาดเสถียรภาพจากการประท้วงใหญ่ในปี 2553 การเติบโตของจีดีพีของประเทศไทยอยู่ที่ราวร้อยละ 4–5 ลดลงจากร้อยละ 5–7 ในรัฐบาลพลเรือนก่อน ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค หลังรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แรงงานต่างด้าวกัมพูชาหลบหนีกลับประเทศจำนวน 180,000 คนหลังรัฐบาลประกาศจะปราบปรามความมั่งคั่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ความมั่งคั่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ. ประเทศไทยมีความมั่งคั่งมัธยฐานต่อผู้ใหญ่หนึ่งคน 1,469 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 605 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2543 ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 55 ของดัชนีความมั่นคงทางอาหารโลกในปี 2560 หลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ภาคครัวเรือนยังมีสภาพคล่องดี และมีความสามารถในการดำรงการบริโภคได้ แม้มีรายได้สุทธิต่อค่าใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับปี 2549 แต่การบริโภคไม่ได้ลดลง ในปี 2559 ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของไทยอยู่ในอันดับที่ 87 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับความเหลื่อมล้ำแล้วอยู่อันดับที่ 70 กรุงเทพมหานครซึ่งมีผลิตภัณฑ์จังหวัดสูงสุดมีมูลค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดเป็น 406.9 เท่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งมีน้อยที่สุด ในปี 2560 ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 26,946 บาท ครัวเรือนที่มีรายได้สูงสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 45.0 และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็นร้อยละ 7.1 กลุ่มประชากรร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุดมีรายได้ต่ำกว่า 5,344 บาทต่อคนต่อเดือนมีจำนวน 26.9 ล้านคน ในปี 2556 ผู้ประท้วงกลุ่ม กปปส. ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 32) มีรายได้ครัวเรือนเกิน 50,000 บาทต่อเดือน ส่วน นปช. ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 27) มีรายได้ครัวเรือน 10,000–20,000 บาทต่อเดือน ในปี 2559 สถาบันการเงินเครดิตสวิสรายงานว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากประเทศรัสเซียและอินเดีย คนรวยสุดร้อยละ 10 ถือครองทรัพย์สินร้อยละ 79 ของประเทศ คนรวยสุดร้อยละ 1 ครอบครองความมั่งคั่งร้อยละ 58 ของเศรษฐกิจ มหาเศรษฐีไทย 50 ครอบครัวแรกมีมูลค่าทรัพย์สินรวมคิดเป็นร้อยละ 30 ของจีดีพีไทย ในปี 2559 ประเทศไทยมีคนยากจน 5.81 ล้านคน หรือร้อยละ 8.6 ของประชากร แต่หากนับรวม "คนเกือบจน" (near poor) ด้วยจะเพิ่มเป็น 11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 17.2 ของประชากร ในปี 2559 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือมีสัดส่วนคนจนร้อยละ 12.96, 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลำดับ ในปี 2560 มีผู้มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย (รายได้น้อยกว่า 100,000 บาทต่อปี) เพื่อรับสวัสดิการจากรัฐเป็นจำนวน 14 ล้านคน ปลายปี 2560 ประเทศไทยมีหนี้สินครัวเรือน 11.76 ล้านล้านบาท ในปี 2553 ครัวเรือนที่มีปัญหาล้มละลาย (ทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน) คิดเป็นร้อยละ 3 ของครัวเรือนทั้งประเทศ ในปี 2560 ครัวเรือนที่มีที่อยู่อาศัยถาวรคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.69 ของครัวเรือนทั้งประเทศ ในปี 2559 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพประมาณการว่ามีคนไร้บ้านทั่วประเทศ 30,000 คนเกษตรกรรม เกษตรกรรม. การพัฒนาการเกษตรตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ ในพื้นที่ชนบท อาชีพเกษตรกรรมคิดเป็นกึ่งหนึ่งของการจ้างงาน ในปี 2555 ประเทศไทยมีที่ดินเพาะปลูกได้ 165,600 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 32.3% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 55% ใช้ปลูกข้าว ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกราว 10 ล้านตัน คิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก ข้าวเป็นพืชผลสำคัญสุดของประเทศ และประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งมาช้านาน จนประเทศอินเดียและเวียดนามแซงเมื่อไม่นานนี้ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของยางธรรมชาติโลก พืชที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุดอื่น ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง เนื้อไก่ เนื้อหมู มะม่วง มังคุด ฝรั่ง สัปปะรด รวมทั้งพวกผลไม้เขตร้อน กุ้ง ข้าวโพดและถั่วเหลือง ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่สุดในอาเซียนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม. บริษัทเกือบทั้งหมดของไทย กว่า 2.7 ล้านวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 99.7 จัดเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในปี 2560 SME คิดเป็นการจ้างงานร้อยละ 80.3 ของการจ้างงานทั้งหมด (13 ล้านคน) ในปี 2556 สัดส่วนต่อจีดีพีของ SME อยู่ที่ร้อยละ 37.4 มีรายงานว่า SME ร้อยละ 70 ปิดกิจการภายใน "ไม่กี่ปี" อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นภาคส่งออกใหญ่สุดของไทย คิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2557 การส่งออกดังกล่าวรวมมูลค่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีคนงานประมาณ 780,000 คนในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 12.2 ของการจ้างงานทั้งหมดในภาคการผลิต แต่ผู้ผลิตกำลังย้ายการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าประเทศไทย อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีการจ้างงานประมาณ 417,000 ตำแหน่งในปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 10 ของจีดีพีประเทศ คนงานกว่าร้อยละ 70 ในทั้งสองภาคมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียงานให้กับหุ่นยนต์พลังงาน พลังงาน. ประเทศไทยเป็นผู้นำน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเข้าสุทธิ มีการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันน้อยและต้องนำเข้าเป็นส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค แม้ว่ามีปริมาณสำรองแก๊สธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วขนาดใหญ่ แต่ยังต้องนำเข้าเพื่อให้ทันอุปทานในประเทศ การบริโภคพลังงานหลักของประเทศไทยมาจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ คิดเป็นกว่า 80% ของทั้งหมด ในปี 2553 ประเทศไทยบริโภคพลังงานจากน้ำมันมากที่สุด (39%) รองลงมาคือ แก๊สธรรมชาติ (31%) ชีวมวลและของเสีย (16%) และถ่านหิน (13%) ในเดือนมกราคม 2556 ออยล์แอนด์แก๊สเจอร์นัล ว่า ประเทศไทยมีน้ำมันสำรอง 453 ล้านบาร์เรลและมีแก๊สธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว 10.1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศสิงคโปร์ เชื้อเพลิงดีเซลเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์น้ำมัน และเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับการขนส่ง ในปี 2554 ประเทศไทยมีสมรรถภาพติดตั้งผลิตไฟฟ้าประมาณ 32.4 กิกะวัตต์ โดยผลิตจากแก๊สธรรมชาติมากที่สุด (71%) ประเทศไทยคิดสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์เพื่อลดการพึ่งพาแก๊สธรรมชาติ แต่หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปีนั้น ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกที่เสนอถูกเลื่อนไปหลังปี 2569การขนส่ง การขนส่ง. ประเทศไทยมีทางหลวงความยาว 390,000 กิโลเมตร และมีเครือข่ายถนน 462,133 สาย ในปี 2560 ประเทศไทยมียานพาหนะจดทะเบียน 37 ล้านคัน เป็นรถจักรยานยนต์ 20 ล้านคัน และมีที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกหลายล้านคัน ในปี 2559 ประเทศไทยเป็นประเทศที่การจราจรติดขัดมากที่สุดในโลก สหประชาชาติจัดอันดับถนนในประเทศไทยว่าอันตรายสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากยานพาหนะกว่า 30,000 คนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศลิเบีย ผู้เสียชีวิตร้อยละ 73 เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ ประเทศไทยมีรางรถไฟยาว 4,034 กิโลเมตร และการขนส่งสินค้าทางรางคิดเป็นร้อยละ 1.4 ของน้ำหนักบรรทุกทั้งหมดในปี 2558 ในปี 2555 มีผู้โดยสารทางราง 40.8 ล้านคน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้ดำเนินการเส้นทางรางแห่งชาติของประเทศ ซึ่งถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพและไม่ยอมเปลี่ยนแปลง รถไฟมักช้าและอุปกรณ์ส่วนใหญ่เก่าและมีการบำรุงรักษาไม่ดี ความพยายามของรัฐบาลในการจัดโครงสร้างใหม่และโอนเป็นของเอกชนถูกสหภาพคัดค้านอย่างหนักตลอดมา ในช่วงปีหลัง มีความพยายามก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ประเทศไทยมีท่าอากาศยานพาณิชย์ 38 แห่ง ในปี 2559 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมากที่สุดของประเทศและเป็นอันดับที่ 20 ของโลก ประเทศไทยมีทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้ 3,700 กิโลเมตร แม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบเป็นวิธีการขนส่งทางน้ำหลัก มีผู้โดยสารกว่า 360,000 คนต่อวัน ท่าเรือหลักของไทย คือ ท่าเรือคลองเตยและแหลมฉบังการท่องเที่ยว การท่องเที่ยว. ในปี 2560 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 35.38 ล้านคน จำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมที่มีชาวต่างชาติ 336,000 ราย และทหารที่เข้ามาพัก 54,000 นายในปี 2510 ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและลาว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศตั้งขึ้นในปี 2522 นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการจัดตั้งตำรวจท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประเทศไทยมีแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก 5 แหล่ง ได้แก่ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลกในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2559 รายงานความสามารถแข่งขันการเดินทางและการท่องเที่ยวปี 2558 จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 จาก 141 ประเทศ โดยประเทศไทยมีคะแนนสูงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและโครงสร้างพื้นฐานบริการนักท่องเที่ยว แต่มีคะแนนต่ำในด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยและความมั่นคง การค้าประเวณีและการท่องเที่ยวทางเพศถือเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ ประมาณการในปี 2546 ระบุมูลค่าไว้ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณร้อยละ 3 ของเศรษฐกิจ เชื่อว่าเงินนักท่องเที่ยวอย่างน้อยร้อยละ 10 ใช้ค้าประเวณีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ประเทศไทยจัดเป็นประเทศนวัตกรรมมากที่สุดอันดับที่ 45 ในดัชนีนวัตกรรมบลูมเบิร์กปี 2561 ในปี 2556 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของจีดีพี เป็นรายจ่ายจากภาครัฐร้อยละ 51.3 และจากภาคเอกชนร้อยละ 48.7 รัฐบาลมีแผนใช้สิ่งจูงใจภาษีเพื่อเพิ่มการลงทุนของเอกชน การวิจัยและพัฒนาในประเทศไทยมีสัดส่วนงานวิจัยประยุกต์สูงกว่างานวิจัยพื้นฐานมาก ข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยมีนักวิจัย 38,500 คนหรือเทียบเท่าเต็มเวลา (FTE) 22,000 คน ประเทศไทยมีจำนวนงานวิจัยตีพิมพ์มากเป็นอันดับสามในอาเซียน รองจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ในปี 2553 มีผู้ขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทย 1,925 ฉบับ และมีการออกให้ 772 ฉบับ เกินครึ่งของผู้ขอจดสิทธิบัตรไม่ใช่พลเมือง และคิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของสิทธิบัตรที่ออกให้ ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ลงนามองค์การความร่วมมืออวกาศเอเชีย-แปซิฟิก (APSCO) ซึ่งมีประเทศจีนเป็นผู้นำ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2551 องค์กรส่งเสริมการวิจัยสำคัญอย่าง สวทช., สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ช่วยประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัท อุตสาหกรรมการผลิตของไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการผลิตท้องถิ่นของบริษัทต่างชาติ ทำให้มีผลลัพธ์การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีน้อย จุดแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยอยู่ในสายอาหาร-เทคโนโลยีชีวภาพ-ชีววิทยาศาสตร์-เกษตรศาสตร์ เทคโนโลยีพลังงาน และการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เศรษฐกิจเงา เศรษฐกิจเงา. ฟรีดริช ชไนเดอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย กล่าวว่า เศรษฐกิจเงาของประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เขาประมาณการเศรษฐกิจเงาของประเทศไทยไว้ที่ร้อยละ 40.9 ของจีดีพีจริงในปี 2557 โดยรวมการพนันและอาวุธเบา แต่ไม่รวมยาเสพติด เขานิยามว่า "เศรษฐกิจเงา" หมายถึง สินค้าและบริการชอบด้วยกฎหมายแต่ถูกปิดบังจากทางการ เขาประมาณการว่ามีผู้ให้กู้อย่างไม่เป็นทางการประมาณ 200,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงมาก ทำให้เกิดภาระต่อผู้กู้ยืมรายได้น้อยประชากรศาสตร์ประชากร ประชากรศาสตร์. ประชากร. กระทรวงมหาดไทยประมาณว่า ประเทศไทยมีประชากร 65,931,550 คน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่คาดว่าประชากรจะลดลงก่อนปี 2563 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อัตราเจริญพันธุ์ลดลงเร็วที่สุดในโลก ระหว่างปี 2513 ถึง 2533 อัตราเจริญพันธุ์ระหว่างประเทศลดลงจาก 5.5 เหลือ 2.2 สาเหตุจากการคุมกำเนิด ขนาดครอบครัวที่ปรารถนาลดลง สัดส่วนผู้สมรสลดลง และการสมรสช้า ในปี 2552 อัตราเจริญพันธุ์รวมของไทยอยู่ที่ 1.5 ในปี 2553 อัตราการเกิดอย่างหยาบอยู่ที่ 13 ต่อ 1,000 คาดว่าจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 ภายในปี 2573 จำนวนประชากรในวัยทำงานทั้งหมดจะเริ่มลดลงหลังปี 2563 จำนวนการเกิดของวัยรุ่นสูงขึ้น โดยสถิติหญิงอายุ 15–19 ปีที่เคยสมรสในปี 2553 มีประมาณ 330,000 คน และในปี 2552 มีจำนวนการเกิดจากแม่อายุไม่เกิน 19 ปีจำนวน 765,000 คน การทำแท้งไม่ชอบด้วยกฎหมายในประเทศไทย ยกเว้นผู้ประกอบกิจแพทย์ภายใต้บางเงื่อนไขเท่านั้น ในปี 2549–2552 มีการทำแท้งชักนำเกิน 60,000 คนต่อปี ประเทศไทยถือว่ามีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ราวร้อยละ 75–95 ของประชากรเป็นชาติพันธุ์ไท ซึ่งรวมสี่ภูมิภาคหลัก คือ ไทยกลางร้อยละ 30 อีสานหรือลาวร้อยละ 22 ล้านนาร้อยละ 9 และใต้ร้อยละ 7 และมีไทยเชื้อสายจีนร้อยละ 14 ของประชากร ที่เหลือเป็นไทยเชื้อสายมลายู ชาวมอญ ชาวเขมร และชาวเขาหลายเผ่า ไทยที่มีบรรพบุรุษจีนบางส่วนมีถึง ร้อยละ 40 ของประชากร ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่รัฐบาลรับรอง 62 กลุ่ม ในปี 2553 ประเทศไทยมีการมีลักษณะแบบเมืองร้อยละ 34 ซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีเครื่องชี้ภาวะการพัฒนาพอ ๆ กัน การเคลื่อนย้ายของประชากรส่วนใหญ่เป็นแบบชั่วคราวตามฤดูกาล กรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่างสุดโต่งของความเป็นเอกนคร (urban primacy) โดยในปี 2536 กรุงเทพมหานครมีประชากรมากกว่านครใหญ่ที่สุดสามอันดับถัดมารวมกันระหว่าง 7.5 ถึง 11 เท่า ผู้ย้ายออกชาวไทยส่วนมากเป็นลูกจ้างทักษะต่ำ โดยม่เดินทางไปประเทศปลายทางเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้อยลง แต่ตะวันออกกลางและประเทศตะวันตกเพิ่มขึ้น เมื่อปลายปี 2550 มีประมาณการว่าคนต่างด้าวที่อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยมี 2.8 ล้านคน ซึ่งจำนวนนี้รวมผู้มีใบอนุญาตทำงานในประเทศ นักเรียนนักศึกษา ผู้มีคู่สมรสชาวไทยและผู้ตั้งถิ่นฐานหลังเกษียณ ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่อยู่เกินวีซ่า เมื่อปี 2553 ในประชากรอายุมากกว่า 13 ปี มีผู้สมรส 38,001,676 คน หม้าย 3,833,699 คน หย่า 670,030 คน และไม่เคยสมรส 16,957,651 คนนครใหญ่ศาสนา ศาสนา. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ระบุศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนาของพลเมืองไทยทุกคน แต่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท กฎหมายห้ามกล่าวหมิ่นประมาทศาสนาพุทธรวมถึงพระสงฆ์ และคุ้มครองศาสนสถานและศาสนพิธีของศาสนาอื่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า "รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท [...] และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด" ในช่วงปีหลังมีการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2557 ประชากรไทยนับถือศาสนาพุทธ ประมาณร้อยละ 94.6 ส่วนใหญ่นับถือนิกายเถรวาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยโดยพฤตินัย ทั้งนี้ ประเทศไทยถือได้ว่ามีผู้นับถือศาสนาพุทธมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 2559 ประเทศไทยมีวัดทั้งสิ้น 40,580 วัด มีพระสงฆ์ 33,749 รูป และสามเณร 6,708 รูปทั่วประเทศ นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศไทยจากอินเดียในรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะในช่วงคริสต์สหัสวรษที่ 1 ศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือรองลงมา ได้แก่ ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถือประมาณร้อยละ 4.2 เป็นนิกายซุนนีร้อยละ 99 มุสลิมอาศัยอยู่ในจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลาและสตูล มากที่สุด แต่มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คิดเป็นเพียงร้อยละ 18 ของมุสลิมในประเทศไทย ทั่วประเทศมีมัสยิด 3,406 แห่ง มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่มีเชื้อสายมลายู ซึ่งสะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกับประเทศมาเลเซีย เชื่อว่ามีการเผยแผ่ศาสนาอิสลามสู่คาบสมุทรมลายูโดยพ่อค้าอาหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 54.56) นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อมิชชันนารีชาวโปรตุเกสจากมะละกาเข้ามาเผยแผ่ศาสนา นอกจากนี้ ยังมีผู้นับถือศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนายูดาห์ ศาสนาบาไฮ รวมประมาณร้อยละ 0.1 ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนพอสมควรยังคงถือศาสนาของชาติพันธุ์จีน รวมทั้งเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพื้นบ้านจีน (เช่น อนุตตรธรรมและเต๋อเจี่ยฮุ่ย) ศาสนาเหล่านี้ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และในการศึกษาทางสถิตินับสาวกเป็นพุทธเถรวาท สำหรับประชาคมชาวยิวนั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 การสำรวจของเครือข่ายอิสระทั่วโลก/สมาคมแกลลัประหว่างประเทศ (WIN/GIA) ในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือศาสนามากที่สุดในโลก โดยมีผู้ระบุตนว่าเป็นศาสนิกชนร้อยละ 98 ไม่เป็นศาสนิกชนร้อยละ 1 และผู้เชื่ออเทวนิยมอีกร้อยละ 1ภาษา ภาษา. ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาทางการ เป็นภาษาหลักที่ใช้ติดต่อสื่อสาร การศึกษาและเป็นภาษาพูดที่ใช้กันทั่วประเทศ โดยใช้อักษรไทยเป็นรูปแบบมาตรฐานในการเขียน นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ภาษาไทยสำเนียงอื่นยังมีการใช้งานในแต่ละภูมิภาคเช่น ภาษาไทยถิ่นเหนือ ถิ่นใต้ และถิ่นอีสาน รัฐบาลรับรอง 5 ตระกูลภาษา 62 ภาษาในประเทศไทย นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น ภาษาอังกฤษมีสอนในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่ผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องในประเทศไทยยังมีน้อยอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมืองและในครอบครัวมีการศึกษาดีเท่านั้น สำหรับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น จากที่ไทยเคยอยู่ในระดับแนวหน้าในปี 2540 แต่เมื่อกลางปี 2549 กลับล้าหลังประเทศลาวและเวียดนามการศึกษา การศึกษา. การศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี 2464 กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับกำหนดไว้ 9 ปี (ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3) ในปีการศึกษา 2555 มีผู้เรียนในและนอกระบบโรงเรียน 16,376,906 คน แบ่งเป็นในระบบ 13,931,095 คน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 2,445,811 คน นักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบโรงเรียนมีสัดส่วนในสถานศึกษารัฐบาลมากกว่าเอกชน ผู้เรียนร้อยละ 99 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 85 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประมาณร้อยละ 75 เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับนักเรียนทุก 100 คนในโรงเรียนประถม มี 85.6 คนศึกษาต่อระดับ ม. 1; 79.6 คนศึกษาต่อถึงชั้น ม. 3 และเพียง 54.8 คนศึกษาต่อถึงระดับ ม. 6 หรือสถาบันอาชีวะ อัตรารู้หนังสือของไทยอยู่ที่ร้อยละ 93.5 มหาวิทยาลัยของไทย 5 แห่งติดอันดับ 100 มหาวิทยาลัยดีที่สุดในทวีปเอเชีย ในปีงบประมาณ 2556 งบประมาณการศึกษาไทยเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ของจีดีพี และร้อยละ 20.6 ของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมากเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า สภาเศรษฐกิจโลกจัดให้คุณภาพการศึกษาของไทยต่ำสุดใน 8 ประเทศอาเซียนที่พิจารณา นักเรียนไทยกว่าครึ่งในโรงเรียนไม่ได้ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จของตนและการพัฒนาประเทศ ยูเนสโกและโออีซีดีแนะนำให้ประเทศไทยมีการทบทวนหลักสูตร เพิ่มการกวดขันกระบวนการพัฒนาการทดสอบมาตรฐาน ให้ครูใช้ยุทธศาสตร์การสอนและประเมินผลที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งเพิ่มเวลาสอนและลดหน้าที่บริหาร ในการสำรวจเด็กไทย 72,780 คนระหว่างเดือนธันวาคม 2553 ถึงมกราคม 2554 ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนชาวไทยมีระดับเชาวน์ปัญญาเฉลี่ย 98.53 ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานระหว่างประเทศที่ 100 อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต ว่า ไม่ควรโทษระบบการศึกษาไทยว่าทำให้เยาวชนไทยมีเชาวน์ปัญญาต่ำ เพราะสาเหตุหลักเกิดจากการพร่องไอโอดีน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นอย่างขาดความอบอุ่นในครอบครัว ถูกแยกจากธรรมชาติและอาหารไม่เหมาะสม ผลการศึกษาล่าสุดเสนอว่าความบกพร่องทางสติปัญญาในพื้นที่ชนบทบางแห่งอาจสูงถึงร้อยละ 10 สถานที่เกิดเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการทำนายความสำเร็จทางการศึกษาในประเทศไทย นักเรียนจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ทุรกันดารมีการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพต่ำกว่านักเรียนในเมือง คาดว่าเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรศึกษาอย่างไม่เท่าเทียม การฝึกครูที่อ่อน ความยากจน และการไม่รู้ภาษาไทยกลางในกรณีของชนกลุ่มน้อยสาธารณสุข สาธารณสุข. ในปี 2558 ประเทศไทยมีความคาดหมายคงชีพเมื่อเกิด 75 ปี (ชาย 71 ปี หญิง 79 ปี) ในปี 2558 ประเทศไทยมีอัตราตายทารก 10.8 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ระหว่างปี 2548–2551 สาเหตุการตายอันดับแรกในประเทศไทย คือ เส้นเลือดในสมองแตกทั้งชายและหญิง โรคที่พบอันดับถัดมาในชาย ได้แก่ อุบัติเหตุบนท้องถนน เอดส์ หัวใจขาดเลือด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และตับแข็ง ในหญิง ได้แก่ โรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด เอดส์ ไตวายเรื้อรังและปอดอักเสบ สาเหุตการป่วยที่พบมาก เช่น กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ, กลุ่มโรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ, กลุ่มโรคระบบทางเดินอาหาร, กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มโรคของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น สาเหตุความพิการที่พบมาก เช่น สายตาเลือนลางทั้ง 2 ข้าง, สายตาเลือนลางข้างเดียว, หูตึง 2 ข้าง, อัมพฤกษ์ และแขนขาลีบ/เหยียดงอไม่ได้ โรคเอดส์เป็นปัญหาการเสียปีสุขภาวะของคนไทยเป็นอันดับแรก รองลงมาในชายคือ อุบัติเหตุจราจรและติดสุรา รองลงมาในหญิงคือเอดส์และเบาหวาน ประเทศไทยมีอุบัติการณ์มะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลก ในปี 2552 สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า ทุก 1,000 การคลอดมีชีพ เกิดจากมารดาวัยรุ่น 60 การคลอด ในปี 2555 ประเทศไทยมีรายจ่ายด้านสาธารณสุขคิดเป็นร้อยละ 3.9 ของจีดีพี หรือร้อยละ 14.2 ของรายจ่ายภาครัฐทั้งหมด ประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งครอบคลุมคนไทยร้อยละ 99 ในปี 2552 รายจ่ายด้านสาธารสุขของประเทศร้อยละ 75.8 มาจากภาครัฐ และร้อยละ 24.2 มาจากภาคเอกชน ในปี 2547 ประเทศไทยมีความหนาแน่นของแพทย์อยู่ที่ 2.98 ต่อประชากร 10,000 คน ตั้งแต่ปี 2533 กฎหมายกำหนดให้บุคคลที่ไม่ได้ทำงานรับราชการต้องส่งเงินเข้า สำนักงานประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคมจะกำหนดสถานพยาบาลให้ผู้ประกันตนเลือกในแต่ละปี ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่สังกัดสำนักงานประกันสังคมมีไม่เพียงพอต่อผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบดังกล่าว กล่าวคือ ผู้ประกันตนจำนวนกว่า 13 ล้านคน แต่มีโรงพยาบาลเพียง 159 โรง ข้าราชการมีสิทธิใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สิทธินี้รวมถึงบิดามารดาของข้าราชการด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรม. วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลหลักจากวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอม ตลอดจนวิญญาณนิยม ศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู วัฒนธรรมแห่งชาติของไทยเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ ซึ่งวัฒนธรรมไทยที่ยึดถือกันในปัจจุบันไม่มีอยู่เมื่อกว่าร้อยปีก่อน บ่อเกิดสามารถสืบย้อนไปได้ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพิบูลสงครามสนับสนุนการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกลางเป็นวัฒนธรรมแห่งชาตินิยามและยับยั้งมิให้ชนกลุ่มน้อยแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของตน วัฒนธรรมพลเมืองของไทยปัจจุบันนิยามว่าประเทศไทยเป็นดินแดนของคนไทยกลาง มีศาสนาเดียวคือ พุทธนิกายเถรวาท และปกครองโดยราชวงศ์จักรี ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเน้นว่า คนส่วนใหญ่ไม่สามารถตรัสรู้และไปถึงนิพพาน และดีที่สุดที่ทำได้คือ การสะสมบุญผ่านการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมอย่างสูง เช่น การถวายอาหารพระสงฆ์และการบริจาคเงินเข้าวัด คำสอนทางศาสนาถูกเลือกให้สนับสนุนมุมมองทางโลกแบบศาสนาขงจื๊อใหม่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สามเสาหลัก ศาสนาพุทธของไทยยังรวมการบูชาวิญญาณของกัมพูชาและความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ นอกจากนี้ยังเน้นรูปแบบมากกว่าแก่นสาร คนไทยเน้นและให้คุณค่ารูปแบบมารยาทภายนอกอย่างยิ่งเพื่อรักษาความสัมพันธ์ สังคมไทยเป็นสังคมไม่เผชิญหน้าที่เลี่ยงการวิจารณ์ในที่สาธารณะ การเสียหน้าเป็นความเสื่อมเสียแก่คนไทย จึงมุ่งประนีประนอมในสถานการณ์ลำบาก การไหว้เป็นแบบการทักทายและแสดงความเคารพของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ตามประเพณีและมีแบบพิธีเข้มงวด คนไทยเคารพความสัมพันธ์แบบมีลำดับชั้น เมื่อคนไทยพบคนแปลกหน้าจะพยายามจัดให้อยู่ในลำดับชั้นทันทีเพื่อให้ทราบว่าควรปฏิบัติด้วยอย่างไร มักโดยถามเรื่องที่วัฒนธรรมอื่นมองว่าเป็นคำถามส่วนตัวอย่างยิ่ง สถานภาพมีเสื้อผ้า ลักษณะปรากฏทั่วไป อายุ อาชีพ การศึกษา นามสกุลและความเชื่อมโยงทางสังคมเป็นตัวกำหนด ความสนุกเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตประจำวันของคนไทย คนไทยมีอารมณ์ขันในเกือบทุกสถานการณ์ บางคนมองว่าความสนุกเป็นการแสดงออกซึ่งปัจเจกนิยมในสังคมที่มีการทำตามกันอย่างสูง รวมทั้งเป็นสิ่งรบกวนจากเรื่องที่จริงจังในชีวิต เช่น อนิจจังและความรับผิดชอบศิลปะ ศิลปะ. ศิลปะไทยมีลักษณะที่ยืมหรือรับมาจากศิลปะอื่น เช่น อินเดีย มอญ-เขมร สิงหล จีน เป็นต้น มีคุณสมบัติเอกลักษณ์หลายอย่าง ศิลปะและงานฝีมือของอินเดียเป็นต้นแบบของศิลปะพุทธในประเทศไทย นอกจากนี้ ศิลปะพุทธในประเทศไทยยังเป็นผลของเชื้อชาติต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มาแต่โบราณ ศิลปะทวารวดีเป็นสำนักศิลปะพุทธแรกในประเทศไทย ศิลปะพุทธในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็นห้าสำนักตามยุค ได้แก่ เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง อยุธยาและกรุงเทพมหานคร ศิลปะพุทธไทยยังมีร่องรอยของศิลปะทวารวดี สุวรรณภูมิและลพบุรีอยู่บ้าง แต่ศิลปะพุทธไทยมีความเป็นปัจเจกและเอกเทศ นอกจากนี้ ศิลปะพุทธไทยยังได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียเพียงบางส่วน มิใช่ทั้งหมดดังศิลปะก่อนไทยช่วงแรก ศิลปะไทยสมัยใหม่เริ่มด้วยการทำลายรูปแบบเดิมของสังคมหลังการปฏิวัติปี 2475 อิทธิพลศิลปะในสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากงานของศิลป์ พีระศรี วัฒนธรรมอเมริกันยังมีอิทธิพลต่อศิลปินไทยที่ศึกษาในสหรัฐและภาพยนตร์ฮอลลีวูด ศิลปินสมัยใหม่อย่างกมล ทัศนาญชลีรวมความคิดแบบอเมริกันเข้าสู่ศิลปะไทย เครื่องปั้นเผาของไทยเป็นส่วนสำคัญของการค้าระหว่างคนไทยและอาณาจักรใกล้เคียงในยุคเจ้าขุนมูลนาย เครื่องปั้นเผาเก่าแก่สุดของไทย ได้แก่ เครื่องปั้นเผาบ้านเชียง มีอายุกว่า 3,600 ปีอาหาร อาหาร. ปัจจุบันข้าวและพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของอาหารไทย ส่วนประกอบอื่น เช่น กระเทียม น้ำมะนาว และน้ำปลา อาหารไทยมีข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือเป็นพื้น ตามสถิติพบว่า ชาวไทยรับประทานข้าวขาวมากกว่า 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด อาหารไทยหลายชนิดใส่กะทิและขมิ้นสดคล้ายกับอาหารอินเดีย มาเลเซียและอินโดนีเซีย อาหารไทยหลายชนิดเดิมเป็นอาหารจีน เช่น โจ๊ก ซาลาเปา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าและข้าวขาหมู เต้าเจี้ยว ซอสถั่วเหลืองและเต้าหู้ เครื่องจิ้มกินกับผักดิบหรือผักสดเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมื้ออาหารไทย อาหารไทยกินกับน้ำจิ้มและเครื่องปรุงหลายชนิด เช่น พริกน้ำปลา พริกป่น น้ำจิ้มไก่ พริกน้ำส้ม ด้านเดวิด ทอมป์สัน พ่อครัวชาวออสเตรเลีย กล่าวว่า อาหารไทยไม่เรียบง่าย แต่เน้น "การจัดเรียงส่วนที่ไม่เข้ากันให้เกิดอาหารที่กลมกล่อม" ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงทั่วโลกอย่างหนึ่ง ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารข้างถนนและกรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงอาหารข้างถนนโลก อาหารข้างถนนมีลักษณะเป็นอาหารตามสั่งที่ประกอบได้รวดเร็ว เช่น ผัดกะเพรา ผัดคะน้า ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น เมื่อปี 2554 เว็บไซต์ CNNgo ได้จัดอันดับ 50 เมนูอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกโดยการลงคะแนนเสียงทางเฟซบุ๊ก ปรากฏว่า แกงมัสมั่นได้รับเลือกให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกภาพยนตร์ ภาพยนตร์. ภาพยนตร์ไทยมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกถ่ายทำในประเทศไทย คือ เรื่อง นางสาวสุวรรณ ผู้สร้าง คือ บริษัทภาพยนตร์ ยูนิเวอร์ซัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ผู้แสดงทั้งหมดเป็นคนไทย ในปี 2470 ภาพยนตร์เรื่อง โชคสองชั้น เป็นภาพยนตร์ขนาด 35 มิลลิเมตร ขาว-ดำ ไม่มีเสียง ได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่คนไทยสร้าง ช่วงหลังปี 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์ไทยก็ซบเซาลง กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมืองและสังคมระหว่าง พ.ศ. 2516–2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี 2530–2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสในสหรัฐ และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์ ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัลปาล์มทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ปัจจุบันภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ที่ออกฉายในปี 2556 เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศ โดยทางจีทีเอช ผู้ผลิต ประมาณว่าภาพยนตร์ทำรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาทดนตรีและนาฏศิลป์ ดนตรีและนาฏศิลป์. ดนตรีไทยเดิมช่วงแรกได้รับอิทธิพลจากดนตรีจีน อินเดียและเขมร ต่อมา รับเอาลักษณะของดนตรีประเทศใกล้เคียงอย่างพม่าและมาเลย์เข้ามาด้วย อิทธิพลสมัยหลังมาจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก "เถา" เป็นเทคนิคการประพันธ์ที่สำคัญที่สุดและใช้บ่อยที่สุดในดนตรีไทยเป็นเวลาหลายร้อยปี เป็นเทคนิคที่รับมาจากปัลลาวีในภาคใต้ของอินเดีย ดนตรีไทยเดิมมีสามกลุ่มวงหลัก ได้แก่ วงปี่พาทย์ วงเครื่องสายและวงมโหรี ดนตรีไทยสมัยสุโขทัยเครื่องสายเรียบง่าย ปี่ไม้ไผ่ กลองและการขับลำนำ มนตรี ตราโมทเขียนว่า ชาวอยุธยาทุกคนเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกและกิจกรรมยามว่าง นอกจากนี้ ในสมัยอยุธยาเกิดเครื่องดนตรีใหม่ ได้แก่ ระนาดและฆ้องวง ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1800 (ประมาณปี 2340) ถึงปี 2475 ถือเป็นสมัย "คลาสสิก" ของดนตรีไทยเดิม ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ประเทศตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น และรัฐบาลขัดขวางหรือปิดกั้นการบรรเลงดนตรีไทยในที่สาธารณะ หลังจากนั้นมีความพยายามรื้อฟื้นดนตรีไทย มีการแสดงละครที่ใช้ดนตรีไทยในโรงละครแห่งชาติทุกปีแต่ผู้ชมเป็นคนต่าวด้าวมากกว่าคนไทย รำไทยแบ่งได้เป็นสองชนิดหลัก คือ รำพื้นบ้านและรำคลาสสิก รำพื้นบ้านมีความแตกต่างกันในสี่ภาค รำคลาสสิกมีท่าเคลื่อนไหว 108 ท่า ละครรำถือกำเนิดจากรามเกียรติ์ ในสมัยอยุธยา โขนเป็นละครรำของไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด โขนมีการเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงและเป็นทางการ มีเครื่องแต่งกายสีสันวิจิตร และสวมหน้ากาก ส่วนละครเป็นรำไทยที่เป็นทางการน้อยกว่า แบ่งชนิดหลักได้เป็นละครชาตรี ละครนอกและละครใน สังข์ทอง เป็นตัวอย่างละครที่มีลักษณะของละครรำที่ดี คือ โรแมนซ์ ความรัก สงคราม การแก้แค้น เหนือธรรมชาติและการไถ่บาป ละครรำพื้นบ้าน ได้แก่ ลิเกและมโนห์รา การแสดงหุ่นกระบอกของไทยเก่าแก่กว่าละครรำทุกชนิด ตัวอย่างเช่น หนังใหญ่และหนังตะลุง รำพื้นบ้าน เช่น ฟ้อนเทียนในภาคเหนือ ฟ้อนภูไท รำวงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนงิ้วก็ยังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้เทศกาลประเพณี เทศกาลประเพณี. สมัยกรุงศรีอยุธยา พระราชวังจัดประเพณีหลวงทุกเดือน เรียก "พระราชพิธีสิบสองเดือน" เช่น พิธีจรดพระราชนังคัล (พิธีแรกนา), พิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม วันสงกรานต์ เป็นต้น พระราชพิธีสิบสองเดือนมีการรับศาสนาฮินดูเข้ามาผสมผสาน ส่วนประเพณีราษฎร์มีเกือบตลอดปี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก "ฮีตสิบสอง" นอกจากนี้ ยังมีประเพณีขอฝนต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีพิรุณศาสตร์ขอฝน พิธีแห่นางแมว พิธีจุดบั้งไฟ เป็นต้น ประเพณีหลวงส่วนใหญ่ยกเลิกไปแล้ว ประเพณีราษฎร์ที่ยังคงปฏิบัติสืบเนื่องมาอยู่ เช่น ประเพณีขอฝน ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น ประเทศไทยจัดเทศกาลพุทธที่สำคัญและเป็นวันหยุดราชการ ได้แก่ มาฆบูชาในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม วิสาขบูชาในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน อาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาในเดือนกรกฎาคม ออกพรรษาในเดือนตุลาคม มีเทศกาลทำบุญ คือ ทอดกฐินในช่วงออกพรรษา และวันสารทเดือนสิบในกลางเดือนกันยายน นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลที่ริเริ่มใหม่ที่กลุ่มสังคมและองค์การธุรกิจสนับสนุน ทั้งเป็นการแสดง นิทรรศการ งานบันเทิงต่าง ๆ เช่น งานช้างสุรินทร์ที่เริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1960 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังส่งเสริมงานจัดแสดงสินค้าท้องถิ่นวรรณกรรม วรรณกรรม. วรรณกรรมไทยสามารถแบ่งได้เป็นสี่สมัยใหญ่ ๆ ตามราชธานี วรรณกรรมสุโขทัยเน้นกล่าวถึงวัฒนธรรมและศาสนาเป็นหลัก จารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นงานวรรณกรรมแรกที่ใช้อักษรไทย ไตรภูมิพระร่วงแจกแจงปรัชญาพุทธจากคัมภีร์ต่าง ๆ และอาจถือได้เป็นวาทนิพนธ์วิจัยแรกของไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีร้อยกรองรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ลิลิต กาพย์ห่อโคลง กาพย์เห่เรือ กลอนกลบทและเพลงยาว งานวรรณกรรมที่สำคัญในสมัยนี้ เช่น ลิลิตยวนพ่าย, ลิลิตพระลอ, จินดามณีซึ่งเป็นตำราเรียนแรกของไทย, ตำนานศรีธนนชัย รวมทั้งงานวรรณคดีนาฏกรรมอย่างอิเหนาและรามเกียรติ์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีงานเกี่ยวกับสงคราม เช่น การแปลสามก๊กและราชาธิราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์นักกวี ทรงประพันธ์และทำให้แพร่หลายซึ่งละครและนิยายพื้นบ้านหลายเรื่องอย่างอิเหนา ไกรทอง และสังข์ทอง พระอภัยมณีเป็นผลงานสำคัญของกวีเอกสุนทรภู่ นอกจากนี้งานสำคัญอื่น เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน ต่อมา ในห้วงที่มีการตั้งแท่นพิมพ์ในปี 2387 พบการเขียนลีลาตะวันตกในนิตยสารและบทความหนังสือพิมพ์ เรื่องสั้น นวนิยายและการแปลวรรณกรรม หลังการปฏิวัติสยามปี 2475 วรรณกรรมเปลี่ยนเป็นวรรณกรรมประชานิยม (popular literature) โดยนวนิยายได้รับความนิยมอย่างมาก นักเขียนสมัยใหม่ที่สำคัญ เช่น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน, สุภา สิริสิงห, กัณหา เคียงศิริ (ก.สุรางคนางค์), จิระนันท์ พิตรปรีชา, จิตร ภูมิศักดิ์, ชาติ กอบจิตติ และกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา)กีฬา กีฬา. มวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติไทย นักมวยไทยมักเป็นแชมเปียนระดับไลต์เวทของสมาคมมวยโลกเสมอ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศไทยรับกีฬาตะวันตกเข้ามาหลายชนิด โดยเริ่มมีการแข่งขันในโรงเรียนในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตามมาด้วยในระบบการศึกษาสมัยใหม่ ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมในประเทศไทย โดยทีมชาติไทยได้แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 4 สมัย แต่ยังไม่เคยผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนสนุกเกอร์ แบดมินตัน เทนนิส รักบี้ กีฬาขี่ม้าและกีฬาทางน้ำได้รับความนิยมรองลงมา สำหรับกีฬาไทยเดิมที่ได้รับความนิยมนั้น ได้แก่ ว่าวพนัน (kite fighting) แข่งเรือและตะกร้อ ประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกในปี 2495 และกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 2545 ประเทศไทยทำผลงานดีที่สุดในกีฬาชกมวย นักมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ คำสิงห์เป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกผู้คว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 นักกีฬาไทยทำผลงานได้ดีในกีฬาซีเกมส์ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง (ในปี 2509, 2513, 2521 และ 2541) และซีเกมส์ 6 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนคัพและฟุตบอลโลกหญิงเยาวชนอีกด้วยสื่อมวลชน สื่อมวลชน. ในรายงานเสรีภาพสื่อปี 2558 ของฟรีดอมเฮาส์ระบุว่าสื่อไทย "ไม่เสรี" และจัดอยู่ในอันดับที่ 166 จาก 199 ประเทศในด้านเสรีภาพสื่อ หลังรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 สื่อไทยถูกจำกัดและมีการตรวจพิจารณา ปัจจุบันโทรทัศน์เป็นสื่อยอดนิยมในประเทศไทย ประมาณการว่าชาวไทยเกือบร้อยละ 80 ยึดโทรทัศน์เป็นแหล่งข่าวหลัก สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินจำนวนหกแห่งมีรัฐบาลเป็นเจ้าของ ละครโทรทัศน์ไทยเป็นรูปแบบรายการที่ได้รับความนิยม มีเอกลักษณ์ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องชนชั้นสูงในสังคมไทย ตัวละครแบ่งดีเลวชัดเจน สามารถเดาตอนจบของเรื่องได้ง่าย มักจบแบบสุข มีการนำมาทำซ้ำกันบ่อยครั้ง พระเอกนางเอกมักเป็นคนฐานะดี ประเทศไทยมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายร้อยฉบับทุกสัปดาห์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมียอดจำหน่ายประมาณ 1 ล้านฉบับต่อวัน ส่วน มติชน มียอดขาย 900,000 ฉบับ จำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารลดลง โดยชาวไทยอายุ 15–24 ปีร้อยละ 50.1 ระบุว่าตนอ่านนิตยสารในปี 2558 ลดลงจากร้อยละ 61.7 ในปี 2556 การบอกรับสมาชิกสิ่งพิมพ์ลดลงเมื่อมีผู้อ่านทางอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น ในปี 2559 ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต รวมผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ 43.87 ล้านคน รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560 พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 6 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน ในปี 2559 พบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปใช้สมาร์ทโฟนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากที่สุด (90.4%) รองลงมาได้แก่ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (50.1%) คอมพิวเตอร์พกพา (24.9%) และแท็บเล็ด (15.2%)
เมืองหลวงของประเทศไทยมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "กรุงเทพมหานคร" ], "answer_begin_position": [ 418 ], "answer_end_position": [ 431 ] }
1,596
2,568
ประเทศเกาหลีใต้ สาธารณรัฐเกาหลี (; ) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เกาหลีใต้ () เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้ ในภาษาเกาหลีอ่านชื่อประเทศว่า แทฮันมินกุก (대한민국; 大韓民國) โดยเรียกสั้น ๆ ว่า ฮันกุก (한국) ที่หมายถึงเกาหลี และบางครั้งจะใช้ชื่อว่า นัมฮัน (남한) ที่หมายถึง เกาหลีทางใต้ ส่วนชาวเกาหลีเหนือจะเรียกเกาหลีใต้ว่า นัมโชซ็อน (남조선) ที่หมายถึง โชซ็อนใต้ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ตั้งอยู่ที่ ละติจูด 33-39 องศาเหนือ ลองจิจูดที่ 125-131 องศาตะวันออก 70% ของประเทศเป็นภูเขาประวัติศาสตร์ยุคเผ่าและอาณาจักรโชซ็อนโบราณ ประวัติศาสตร์. ยุคเผ่าและอาณาจักรโชซ็อนโบราณ. ในยุคแรกดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ เผ่าแรกที่ปรากฏคือเผ่าโชซ็อนโบราณ ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือ เรืองอำนาจในช่วงพ.ศ. 143 – 243 ส่วนเผ่าอื่นได้แก่เผ่าพูยอ อยู่บริเวณปากแม่น้ำซุงคารีทางแมนจูเรียเหนือ เผ่าโคกูรยออยู่ระหว่างแม่น้ำพมาก และแม่น้ำอัมนก เผ่าอกจออยู่บริเวณมณฑลฮัมกย็อง เผ่าทงเยอยู่บริเวณมณฑลคังว็อน และเผ่าสามฮั่นคือ มาฮั่น ชินฮั่น และพยอนฮั่น ที่อยู่บริเวณแม่น้ำฮั่นและแม่น้ำนักดง ทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแทแบ็ก ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซ็อนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือกวนอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮย็อนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่น ๆ จึงค่อย ๆ แยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกูรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื๊อ)ยุคสามอาณาจักร ยุคสามอาณาจักร. ในยุคนี้คาบสมุทรเกาหลีถูกปกครองโดยสามอาณาจักรที่รุ่งเรืองนับพันปีบนคาบสมุทรเกาหลี คือ- อาณาจักรโคกูรยอ มีพื้นที่ตั้งแต่บริเวณตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีตอนใต้และตอนกลางของคาบสมุทรเหลียวตง เป็นอาณาจักรที่มีกองทัพที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าดงเมียงซอง เมื่อ 37 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมโคกูรยอคืออาณาจักรพุกพูยอ พระเจ้าดงเมียงซองทรงเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรเป็นโคกูรยอ เมืองหลวงแห่งแรกคือ เมืองโจลบอน ในสมัยพระเจ้ายูริแห่งโคกูรยอได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองคุงแน และในสมัยพระเจ้าจางซูมหาราชได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองเปียงยาง อาณาจักรโคกูรยอล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 668 รัชสมัยพระเจ้าบอจาง จากการโจมตีของราชวงศ์ถังที่ปกครองประเทศจีนและอาณาจักรชิลลาที่อยู่ทางตอนใต้ อาณาจักรโคกูรยอมีอายุถึง 705 ปี - อาณาจักรแพ็กเจ ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพระเจ้าอนจอซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าดงเมียงซอง พระมเหสีโซซอโนพระราชมารดาของพระเจ้าอนจอทรงคิดจะตั้งอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นทางตอนใต้ ขึ้นเป็นอาณาจักรพี่น้องกับอาณาจักรโคกูรยอจึงได้อพยพประชาชนมาจากโคกูรยอและรวบรวมชนเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกันก่อตั้งขึ้นเป็น อาณาจักรซิปเจ ปกครองโดยพระเจ้าอนจอภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรแพ็กเจ มีเมืองหลวงแห่งแรกคือเมืองวิรเย ในรัชสมัยพระเจ้ามุนจูได้ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอุงจิน และในรัชสมัยพระเจ้าซองได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองซาบี อาณาจักรแพ็กเจล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 660 รัชสมัยพระเจ้าอึยจาจากการโจมตีของอาณาจักรชิลลา อาณาจักรแพ็กเจมีอายุถึง 678 ปี - อาณาจักรชิลลา ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 57 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพระเจ้าฮยอกกอเซกษัตริย์พระองค์แรกแห่งชิลลา ทรงรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกันจนกลายเป็นอาณาจักรชิลลา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคยองจู อาณาจักรชิลลาสามารถรวบรวมอาณาจักรแพ็กเจและอาณาจักรโคกูรยอเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันได้ในปี ค.ศ. 668 รัชสมัยพระเจ้ามูยอล - อาณาจักรคายา ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลีแถบแม่น้ำนักดง ประกอบด้วยห้าราชวงศ์ คือ ราชวงศ์กึมควันคายา ราชวงศ์โกรยองคายา ราชวงศ์พีฮวาคายา ราชวงศ์อาราคายา และราชวงศ์ซองซันคายา ราชวงศ์หลักคือราชวงศ์กึมควันคายา ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าซูโร เมื่อ 42 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีตำนานว่าพระชายาของพระเจ้าซูโรเป็นองค์หญิงที่เดินทางมาจากประเทศอินเดียพระนามว่าองค์หญิงฮอฮวางอ๊ก ในรัชสมัยพระเจ้าคูฮย็องอาณาจักรคายาได้ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรชิลลาในรัชสมัยพระเจ้าบอปฮึง อาณาจักรคายามีอายุถึง 604ยุคอาณาจักรเหนือใต้ ยุคอาณาจักรเหนือใต้. เมื่อสิ้นสุดสมัย 3 อาณาจักรนั้น อาณาจักรชิลลาถือว่าเป็นผู้มีชัยเหนืออาณาจักรอื่นบนคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ในทางประวัติศาสตร์ถือว่ายุคสมัยนี้ อาณาจักรชิลลาเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินเกาหลีให้เป็นผืนเดียวกันได้เป็นครั้งแรกนับแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา จึงเรียกว่า ยุคชิลลารวมอาณาจักร ช่วงยุคสมัยนี้นับจากปีที่อาณาจักรโคกูรยอและอาณาจักรแพ็กเจล่มสลายลงไปใน พ.ศ. 1211 และสืบเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 1478 แต่ที่จริงแล้ว อาณาจักรชิลลาไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดไว้ ที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดนั้นเพียงดินแดนทางตอนใต้เท่านั้น แม้แต่ดินแดนของโคกูรยอเดิม ชิลลาก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่เพียงที่ต้องยกคาบสมุทรเหลียวตงให้กับจีน แต่ดินแดนทางเหนือจรดไปถึงแมนจูเรียตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรเกิดใหม่อีกอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่า อาณาจักรพัลแฮ หรือเรียกว่า ป๋อไห่ ในชื่อเรียกตามภาษาจีน ในยุคสมัยนี้ นักประวัติศาสตร์บางท่านจึงจัดว่าเป็นยุคอาณาจักรเหนือใต้ของเกาหลียุคสามอาณาจักรหลัง ยุคสามอาณาจักรหลัง. หลังจากอาณาจักรพัลแฮถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกนั้นประชาชนพากันอพยพลงใต้มาบริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรพัลแฮ ก็สถาปนาอาณาจักรใหม่บริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรโคกูเรียวใหม่" แล้วสถาปนาตนเองป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ากุงเย ส่วนชาวแพ็กเจที่อยู่ในอาณาจักรรวมชิลลาก็ได้ก่อกบฏต่ออาณาจักร มีหัวหน้าคือ คยอน ฮวอน แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณอาณาจักรแพ็กเจเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรแพ็กเจใหม่" แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าคยอน ฮวอน แล้วทำการก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลา ทำให้ชิลลาเกิดความระส่ำระส่าย จึงถือเป็นยุคสามอาณาจักรยุคหลังยุคราชวงศ์โครยอ ยุคราชวงศ์โครยอ. วังฮูมาสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โคเรียวเมื่อ พ.ศ. 1486 อาณาจักรนี้เจริญสูงสุดในสมัยกษัตริย์มุนจง ยุคนี้เป็นยุคที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการทำสงครามกับพวกญี่ปุ่นและมองโกล ถูกจีนควบคุมในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่ออำนาจของราชวงศ์หยวนอ่อนแอลง อาณาจักรโครยอต้องพบกับปัญหาโจรสลัดญี่ปุ่นและการรุกรานของราชวงศ์หมิง ในที่สุดทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากขึ้นจนนำไปสู่การยึดอำนาจของนายพล อีซองกเย และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1935ยุคราชวงศ์โชซ็อน ยุคราชวงศ์โชซ็อน. นายพล ลี ซองเกสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โชซ็อน ในสมัยนี้ส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นลัทธิประจำชาติและเริ่มลดอิทธิพลของพุทธศาสนา สมัยกษัตริย์เซจงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรฮันกึลขึ้นใช้แทนอักษรจีนจักรวรรดิเกาหลี จักรวรรดิเกาหลี. จักรวรรดิเกาหลี หรือ แทฮันเจกุก (อังกฤษ: The Greater Korean Empire ; เกาหลี: 대한제국, ฮันจา: 大韓帝國, MC: Daehan Jeguk, MR: Taehan Chekuk) คือราชอาณาจักรโชซ็อนที่ประกาศยกสถานะของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นจักรวรรดิ ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าโกจง พร้อมกับการเปลี่ยนพระอิสริยยศจาก กษัตริย์ เป็น จักรพรรดิ โดยพระองค์มีพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิควางมูแห่งจักรวรรดิเกาหลี เพื่อให้ประเทศเอกราชจากจักรวรรดิชิง และยกสถานะของประเทศมีความเท่าเทียมกับจักรวรรดิชิง และ จักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าโดยพฤติการณ์แล้วสถานะของเกาหลีไม่ได้เข้าข่ายการเป็นจักรวรรดิเลยก็ตาม จนกระทั่งถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองในปี ค.ศ. 1910เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น. เมื่อ พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ผนวกเกาหลีเป็นทาสของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย เพราะมีการลงนามของกษัตริย์เกาหลี เกาหลีเป็นเมืองขึ้นจนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น มีการสร้างระบบคมนาคมแบบตะวันตก ส่วนใหญ่ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของชาวเกาหลี ญี่ปุ่นยกเลิกราชวงศ์โชซ็อน ยุบพระราชวัง ช่วยปรับปรุงระบบภาษี ให้ส่งข้าวจากเกาหลีไปช่วยญี่ปุ่น มีการใช้แรงงานทาสในการสร้างถนนและทำเหมืองแร่ หลังการสวรรคตของกษัตริย์โกจง (Gojong) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 ด้วยยาพิษ ทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชทั่วประเทศ เมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2461 ผลจากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชทำให้ชาวเกาหลีราว 7,000 คนถูกฆ่าโดยทหารและตำรวจญี่ปุ่น ชาวคริสต์เกาหลีจำนวนมากถูกฆ่าหรือเผาในโบสถ์ระหว่างการเรียกร้องเอกราชมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของเกาหลีที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หลังจากการเคลื่อนไหว 1 มีนาคม เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น การลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป เช่น การลุกฮือของนักศึกษาทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2472 จนนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. 2474 หลังจากเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2480 ญี่ปุ่นพยายามลบล้างความเป็นชาติของเกาหลี การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น สิ่งของมีค่าถุกนำออกจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่น. หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย ชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย ชาวเกาหลีในแมนจูเรียจัดตั้งขบวนการกู้เอกราชชื่อ "ทุงนิบกุน" (Dungnipgun) ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น กองทัพเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกองทัพปลดปล่อยเกาหลี เมื่อราว พ.ศ. 2483 เคลื่อนไหวในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวเกาหลีกว่าหมื่นคนเข้าร่วมในกองทัพปลดปล่อยประชาชนและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่นการแบ่งแยกประเทศ การแบ่งแยกประเทศ. หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แนวโน้มของการแบ่งประเทศเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2488 เมื่อสหรัฐเข้าควบคุมภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือ โดยใช้เส้นขนาน(ละติจูด,เส้นรุ้ง)ที่ 38 องศาเป็นเส้นแบ่ง รัฐบาลชั่วคราวถูกยกเลิกเพราะสหรัฐเห็นว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ในครั้งแรกการแบ่งแยกนี้เป็นการชั่วคราว และจะให้เอกราชแก่เกาหลีเมื่อสี่ชาติมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ และจีน จัดการปกครองในเกาหลีสำเร็จ ในการประชุมไคโรเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 กำหนดให้เกาหลีเป็นชาติอิสระ และการประชุมล่าสุดที่ยัลตาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ตกลงให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาของชาติมหาอำนาจสี่ชาติ ต่อมา 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 โซเวียตยกทัพจากไซบีเรียเข้าสู่เกาหลีโดยไม่มีการต่อต้าน ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 มีการประชุมที่มอสโกเพื่อตกลงเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลี โดยกำหนดให้เป็นรัฐในอารักขา 5 ปี และรวมส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐและโซเวียตเข้าด้วยกัน มีการประชุมกันอีกครั้งที่กรุงโซลแต่องค์การตั้งประเทศใหม่ยังไม่ลุล่วง เดือนกันยายน พ.ศ. 2490 สหรัฐส่งปัญหาเกาหลีเข้าสู่สหประชาชาติเพื่อให้เกาหลีเป็นรัฐเดียวที่มีเอกภาพ แต่ผลจากสงครามเย็นทำให้สหรัฐวางแผนคุ้มกันเกาหลีเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดการแยกประเทศเมื่อ พ.ศ. 2491 เกิดเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครองต่างกัน สหประชาชาติยอมรับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นตัวแทนเกาหลีในสหประชาชาติเพียงรัฐเดียวเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2491 สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 เมื่อเกาหลีเหนือยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาบุกเข้าโจมตีเกาหลีใต้ เป็นการยุติความพยายามในขณะนั้นที่จะรวมประเทศทั้งสองอย่างสันติ สงครามดำเนินไปจนมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496ความพยายามรวมประเทศหลังสงคราม ความพยายามรวมประเทศหลังสงคราม. เกาหลีใต้มีความพยายามที่จะรวมประเทศอย่างสันติตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดยเปิดการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเจรจาระหว่างสภากาชาดฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือเพื่อให้ครอบครัวที่พลัดพรากระหว่างสงครามได้พบหน้ากัน มีการออกแถลงการณ์ระหว่างสองประเทศเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 เพื่อยุติการกล่าวร้ายระหว่างกัน แต่การเจรจาเพื่อรวมประเทศไม่ราบรื่น ที่ประสบผลสำเร็จมีเพียงการอนุญาตให้ชาวเกาหลีทั้งสองประเทศข้ามเขตปลอดทหารไปมาหาสู่กันได้ในช่วง 20-23 กันยายน พ.ศ. 2528 และการเจรจาเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2531 ที่กรุงโซลเท่านั้น การเจรจาเรื่องอื่น ๆ หยุดชะงักลงหลัง พ.ศ. 2529 เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่พอใจเกี่ยวกับการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการขัดแย้งกับการรวมชาติ เกาหลีใต้พยายามประนีประนอมกับเกาหลีเหนือเพื่อการเจรจาจนมีการประชุมระดับผู้นำครั้งแรกเมื่อ 4 กันยายน พ.ศ. 2533 จากนั้นมีการประชุมต่อมาอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การรวมชาติเกาหลียังเป็นสิ่งที่ต้องรอคอยต่อไปจนกระทั่งปัจจุบัน จนกระทั่ง คิม จอง อึน จะร่วมการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 3 กับ มุน แจ อิน ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 ที่หมุ่บ้านปันมุนจอม ในเขตปลอดทหารเกาหลีการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2491 คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยเส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือ (มักเรียกว่าเส้นขนาน 38) โดยสหภาพโซเวียตดูแลเกาหลีเหนือมีการปกครองระบอบสังคมนิยม ส่วนสหรัฐอเมริกาดูแลเกาหลีใต้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ และศาลทำหน้าที่ทางตุลาการ ทั้งนี้ เกาหลีใต้มีการแบ่งเขตการปกครองเป็น 9 จังหวัด และ 6 เขตการปกครอง (โซล ปูซาน อินชอน แตกู ควังจู แตชอน)รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ. เกาหลีใต้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอดอีก 9 ครั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดมีขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เมื่อรัฐบาลประธานาธิบดีช็อน ดู-ฮวัน ต้องประสบกับภาวะกดดันทางการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และในที่สุด ประธานาธิบดีชุน ดู ฮวาน ก็ยินยอมให้มีการลงประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง โดยอยู่ในตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว (5 ปี) และให้มีการจัดระบบการปกครองท้องถิ่นอิสระเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญที่ได้รับการแก้ไข ยังได้ยกเลิกอำนาจการยุบสภาของประธานาธิบดี และให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งระบุว่ากองทัพต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลีฉบับปัจจุบันคือ ฉบับที่ ๑๐ มีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ๑๓๐ มาตรา ประกอบด้วย หมวด ๑ บททั่วไป (มาตรา ๑ - ๙) หมวด ๒ หน้าที่และสิทธิของพลเมือง (มาตรา ๑๐ - ๓๙) หมวด ๓ รัฐสภา (มาตรา ๔๐ - ๖๕) หมวด ๔ รัฐบาล แบ่งเป็น ส่วนที่ ๑ ประธานาธิบดี (มาตรา ๖๖ - ๘๕) ส่วนที่ ๒ ฝ่ายบริหาร (มาตรา๘๖ - ๙๓) ส่วนที่ ๓ องค์กรของรัฐบาล (มาตรา ๙๔ - ๙๖) ส่วนที่ ๔ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (มาตรา ๙๗ - ๑๐๐) หมวด ๕ ศาล (มาตรา ๑๐๑ - ๑๑๐) หมวด ๖ ศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๑๑๑ - ๑๑๓) หมวด ๗ กรรมการการเลือกตั้ง (มาตรา ๑๑๔ - ๑๑๖) หมวด ๘ การปกครองท้องถิ่น (มาตรา ๑๑๗ - ๑๑๘) หมวด ๙ เศรษฐกิจ (มาตรา ๑๑๙ - ๑๒๗) หมวด ๑๐ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๑๒๘ - ๑๓๐) (แก้ไขล่าสุดเมื่อ ๒๙ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๘๗ และประกาศใช้เมื่อ ๒๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๘)ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภา (National Assembly) เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาของเกาหลีใต้เป็นรูปแบบสภาเดียวประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 300 คน โดยสมาชิกจำนวน 246 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ สมาชิกจำนวน 54 คนมาจากการแต่งตั้งโดยจัดสรรตามสัดส่วนของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภาแห่งชาติอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี สภาจะเลือกประธาน (Speaker) และรองประธาน (Vice-Speaker) จำนวน 2 คน ตามรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า สามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีได้ หากสมาชิกรัฐสภา 1 ใน 3 เสนอขอและสมาชิกสภาข้างมากเห็นชอบตามเสนอ ซึ่งในกรณีการถอดถอนประธานาธิบดีนั้น ต้องเสนอโดยเสียงข้างมากและสมาชิกสภา 2 ใน 3 ให้ความเห็นชอบ โดยประธานฯและรองประธานรัฐสภานั้น จะมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี ซึ่งรัฐสภาชุดปัจจุบันคือสมัยที่ 20 มีนายชอง เซ กยุน เป็นประธานรัฐสภา รับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ และมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ ๒ ปี นายชอง เซ กยุน เป็นสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรค Minjoo Party (พรรคฝ่ารัฐบาล) และเป็นสมาชิกรัฐสภาตั้งแต่สมัยที่ ๑๕ – ๒๐ จำนวนทั้งสิ้น ๖ สมัย และมีรองประธานรัฐสภาจำนวน ๒ คน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาจากพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างละ ๑ คน อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของเกาหลีใต้กำหนดให้สมาชิกรัฐสภาที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาจำเป็นต้องถอนตัวออกจากการสังกัดพรรคการเมืองเป็นการชั่วคราวฝ่ายบริหารฝ่ายบริหาร. - ประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากผู้มีสิทธิออกเสียง โดยมีวาระ 5 ปี และไม่สามารถลงสมัครแข่งขันเป็นครั้งที่ 2 ได้ เพื่อเป็นการป้องกันการขยายอำนาจ ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย รวมทั้งเป็นผู้มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึก และมาตรการจำเป็นในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ประธานาธิบดีสามารถเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจยุบสภา- คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งโดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยประธานาธิบดีในด้านบริหารประเทศ รวมทั้งมีอำนาจในการพิจารณานโยบายต่าง ๆ ของประเทศ และการเข้าร่วมประชุมรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมีจำนวน 20 คน นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารยังประกอบด้วย สภาที่ปรึกษาอาวุโส สภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาการรวมประเทศ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ คณะกรรมการวางแผนและงบประมาณ คณะกรรมการเกี่ยวกับสิทธิสตรี สภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะกรรมการเกี่ยวกับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก คณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ โดยประธานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ทั้งนี้ หน่วยงานเหล่านี้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำต่อคณะรัฐบาลด้วยฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตุลาการ. ประกอบไปด้วยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โดยประธานาธิบดีแต่งตั้งประธานศาลฎีกาด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา การพิจารณาของศาลกำหนดให้เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไปได้ ยกเว้นในกรณีที่เห็นว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือเป็นเรื่องที่จะสร้างปัญหาในด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อขวัญของประชาชน คำพิพากษาจำเป็นต้องปิดเป็นความลับ นอกจากนี้ ยังมีศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีอำนาจในการพิจารณาว่ากฎหมายฉบับใดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นโมฆะ (โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเริ่มจากศาลรัฐธรรมนูญได้รับการร้องขอจากศาลชั้นต้นหรือจากกลุ่มบุคคลที่ข้อร้องเรียนได้รับการพิจารณาจากศาลชั้นต้น ให้พิจารณากฎหมายดังกล่าว) อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นองค์กรที่มีหน้าที่ตัดสินความถูกต้องทางกฎหมายของกระบวนการถอดถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และผู้พิพากษา รวมทั้งมีอำนาจสั่งยุบพรรคการเมืองตามข้อเสนอของฝ่ายบริหาร หากพบว่าพรรคการเมืองดังกล่าวดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมายพรรคการเมือง พรรคการเมือง. เมื่อ ธันวาคม พ.ศ. 2538 เกิดการรวมตัวของ 3 พรรคใหญ่ คือ1. พรรค Democratic Justice Party-DJP 2. พรรค Reunification Democratic Party-RDP และ 3. พรรค New Democratic Republican Party-NDRP และตั้งชื่อว่าพรรค New Korean Party-NKP ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ ธ.ค. 2540 ได้เกิดพรรคใหม่คือ1. พรรค Grand National Party -GNP (ซึ่งเป็นการรวมตัวของพรรค NKP กับพรรค New Party by the People) 2. พรรค Millennium Democratic Party-MDP ซึ่งมีนาย คิม แด จุง เป็นหัวหน้าพรรค และ 3. พรรค United Liberal Democrats-ULD ซึ่งมีนาย คิม จอง พิล เป็นหัวหน้าพรรค โดยพรรค MDP กับพรรค ULD ได้ร่วมกันส่งนายคิม แด จุง เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับชัยชนะ โดยนาย คิม จอง พิล ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาพรรค ULD ได้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ปัจจุบันมีพรรคฝ่ายค้าน (Grand National Party-GNP) และพรรครัฐบาล (Millennium Democratic Party-MDP) และพรรคฝ่ายค้านเสียงส่วนน้อย (United Liberal Democrats-ULD) ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้าน GNP สามารถคุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภารวม 139 ที่นั่ง ทั้งนี้เมื่อ 15 เม.ย. 2547 มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้สมัยที่ 17 โดยเป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภาทั้งสิ้น 299 ที่นั่งประกอบด้วยการเลือกตั้งโดยตรง 243 ที่นั่ง และจากสัดส่วนพรรค (party list) 56 ที่นั่ง ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการพรรค Uri ได้คะแนนเสียงข้างมากส่งผลให้พรรค Uri กลายเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในรัฐสภาเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม พรรค Uri ได้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อม 6 ครั้งในเดือนเมษายน 2548 ทำให้พรรค Uri ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังได้แพ้ในการเลือกตั้งซ่อมในเดือนตุลาคม 2548 อีก ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีปัญหามากขึ้นกระทรวง กระทรวง. สาธารณรัฐเกาหลีมีกระทรวง 17 กระทรวง โดยแต่ละกระทรวงจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นหัวหน้า โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และต้องรายงานงานต่างๆให้กับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในบางกระทรวงอาจมีหน่วยงานเทียบเท่าในสังกัด ซึ่งจะทำงานขึ้นตรงต่อทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นๆและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีด้วยรายชื่อกระทรวงการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศเกาหลีใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด () 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ () 6 มหานคร () 1 นครพิเศษ () และ 1 นครปกครองตนเองพิเศษเมืองใหญ่สุด 20 อันดับแรกกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด เป็นประเทศพัฒนาแล้ว- การเพาะปลูก : พืชสำคัญได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ แอปเปิล มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี - การเลี้ยงสัตว์ : สัตว์เลี้ยงสำคัญได้แก่ สุกร โค สัตว์ปีก และตัวไหม - การประมง : ผลผลิตทางการประมงของเกาหลีใต้มีเหลือใช้ในประเทศจนสามารถส่งเป็นสนค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่ง เกาหลีใต้สามารถจับปลาได้เป็นอันดับ 10 ของโลก (ไทยเป็นอันดับ 9 สถิติปี พ.ศ. 2535) - การทำเหมืองแร่ : เกาหลีใต้ขาดแคลนถ่านหินและน้ำมันปิโตเลียม แต่มีแร่ธาตุอื่นๆอีกหลายชนิด ได้แก่ แกรไฟต์ ดินเกาลิน และทังสเตน - อุตสาหกรรม : อุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบา ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่สำคัญได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ รถยนต์ ปิโตรเคมี และเรือเดินสมุทรการท่องเที่ยวการขนส่งประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประชากร ใน พ.ศ. 2555 ประชากรประมาณ 49,979,000 คน มีเชื้อสายมาจากเกาหลี จีน ฟิลิปปินส์ และเชื้อสายอื่นๆอีก- เชื้อชาติ : ประเทศเกาหลีแทบจะไม่มีชนชาติอื่นนอกจากคนเกาหลีเอง แต่ก็มีชาวจีนประมาณ 3 หมื่นคน ซึ่งอยู่ตามเขตเมืองหลวงมาช้านานแล้ว และยังมีชาวฟิลิปปินส์อีก 72,000 คนศาสนา ศาสนา. ประเทศเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาประจำชาติ และประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา ในปี ค.ศ. 2005 ประชากรเกาหลีใต้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธหรือคริสต์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากร พบว่าร้อยละ 29.2 นับถือศาสนาคริสต์ (ในจำนวนนี้เป็นโปรเตสแตนต์ร้อยละ 18.3 และคาทอลิกร้อยละ 10.9) รองลงมาคือร้อยละ 22.8 นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังศาสนิกของศาสนาอิสลาม ซึ่งเข้าสู่เกาหลีครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 7 รวมทั้งลัทธิเกิดใหม่อย่าง ลัทธิช็อนโด และลัทธิว็อนบุล ทั้งยังมีการปฏิบัติศาสนกิจในลัทธิเชมัน ลัทธิดั้งเดิมของเกาหลีก่อนรับศาสนาอื่น ซึ่งนับถือเทพเจ้าผู้สร้างคือ ฮวันอิน (คือ พระอินทร์ในพุทธศาสนา) ทั้งได้รับการนับถือในกลุ่มชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ด้วย ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีศาสนิกมากที่สุดในเกาหลีใต้ มีศาสนิกชนราว 13.7 ล้านคน โดยประชากรราวสองในสามนิยมเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ และประชากรร้อยละ 23 นิยมเข้าโบสถ์ของโรมันคาทอลิก อย่างไรก็ตามในช่วงปี ค.ศ. 1980 ศาสนิกชนเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ลดลง เพราะการขยายตัวของนิกายโรมันคาทอลิก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีการส่งมิชชันนารีออกเผยแผ่ศาสนามากเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในเกาหลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 372 จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2005 มีศาสนิกชนราว 10.7 ล้านคน ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ร้อยละ 90 นับถือนิกายโจ-กเย ซึ่งศาสนวัตถุของพุทธศาสนาจำนวนมากได้กลายเป็นสมบัติประจำชาติ ซึ่งตกทอดมาจากยุครัฐเหนือใต้ และยุคโครยอที่ศาสนาพุทธมีความเจริญจนถึงขีดสุด และภายหลังศาสนาพุทธได้อ่อนแอลงจากการปราบปรามของราชวงศ์โชซ็อนซึ่งนับถือลัทธิขงจื๊อ ศาสนาอิสลามเคยเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนเกาหลีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ในยุครัฐเหนือใต้ แต่ผู้สืบเชื้อสายได้หันไปนับถือศาสนาพุทธหรือเชมันแทน เนื่องจากเกาหลีขาดการติดต่อกับโลกอาหรับ ปัจจุบันจากการเผยแผ่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีชาวมุสลิมสัญชาติเกาหลีใต้ราว 30,000-35,000 คน ขณะที่อิสลามิกชนส่วนใหญ่ราว 100,000 คนในเกาหลีใต้เป็นแรงงานชาวต่างชาติ อาทิ บังกลาเทศ และปากีสถานภาษาวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ และการใช้สีอ่อนและเรียบก็ปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลีศิลปะเกาหลี ศิลปะเกาหลี. ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ และการใช้สีอ่อนและเรียบก็ปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลี วัฒนธรรมงานหัตกรรมพื้นบ้านคือศิลปะที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี งานไม้และเครื่องเขินของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความเรียบง่าย สิ่งสะดุดตาในงานไม้เกาหลีคือศิลปะการประดับมุก งานหัตกรรมโลหะทำด้วยทอง ทำด้วยสำริด ทางด้านพระพุทธศาสนามีการสร้างพระพุทธรูปสำริด ระฆังวัดที่หล่อด้วยสำริด เอกลักษณ์ของระฆังเกาหลีคือรูปร่างการออกแบบและเสียง ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา เกาหลีเป็นประเทศที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนาศิลปะด้านนี้และเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงคือ ศิลาดล เป็นเครื่องเคลือบที่มีความสดใส ฝีมือประณีต นิยมเคลือบด้วยสีขาวซึ่งพัฒนาให้สวยงามในยุคโกเรียว เพื่อการอนุรักษ์สิ่งดีงามตั้งแต่อดีต ทางการเกาหลีได้จัดตั้งโครงการสมบัติประจำชาติเกาหลีใต้ขึ้น ศิลปะของนักปราชญ์ เดิมรูปแบบตัวอักษรเกาหลีและญี่ปุ่นเป็นอักษรจีน ซึ่งเป็นตัวเขียนที่ยังใช้อยู่ในเอเชียตะวันออกร่วมพันปี แม้ว่าหลังจากที่เกาหลี ประดิษฐ์อักษรฮันกึล ในปี พ.ศ. 1989 (ค.ศ. 1446) ตัวอักษรจีนยังคงใช้ในภาษาทางการ จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตัวอักษรจีนมีอยู่นับหมื่นตัว แต่ละตัวมีความแตกต่างกัน มีวิธีเขียนหลายแบบ หลายความหมาย การเรียนอ่านและการเขียนตัวอักษรจีนไม่ใชเรื่องง่าย ศิลปะการเขียนอักษรจีนได้เข้ามาในประเทศเกาหลีเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว การเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันเกาหลีเรียกว่า "บุดกึลซี" ต้องอาศัยปัจจัย 4 ของนักปราชญ์ ได้แก่ หมึก แท่งหินฝนหมึก พู่กันและกระดาษ ศิลปินเขียนพู่กันส่วนใหญ่มักเป็นทั้งนักปราชญ์และจิตรกร ศิลปินเหล่านี้อาจใช้พู่กันเล่มเดียวกันเขียนกลอนบรรยายภาพ ภาพวาดเกาหลี เป็นศิลปะที่มีธรรมเนียมนิยมของตนเองอย่างสมบูรณ์ จิตรกรรม ภาพจิตกรรมของเกาหลีมีมานานแล้ว สถาบันภาพวาดก่อตั้งขึ้นในยุคโกกุริวสถาบันแห่งนี้เน้นภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา รูปแบบจิตรกรรมที่หลากหลายได้พัฒนาสืบต่อกันมาจนถึงสมัยโซชอน พร้อมนำรูปแบบศิลปะจีนแบบใหม่รวมทั้งเทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตก มีการใช้สีสันสดใสในภาพที่วาดเกี่ยวกับศาสนานี้เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี. ชาวเกาหลีมีชุดประจำชาติตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่า ฮันบก (ฮันหมายถึงชาวเกาหลี บกหมายถึงชุด รวมกันหมายถึงชุดของชาวเกาหลี) ฮันบกทั้งของผู้หญิงและผู้ชายมีลักษณะหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายและคล่องแคล่วไม่ใช้กระดุมหรือตะขอ แต่จะใช้ผ้าผูกไว้แทน ชุดของผู้ชาย ข้างล่างประกอบด้วย "ปันซือ" แต่สมัยใหม่เรียกว่า "แพนที" ซึ่งหมายถึงกางเกงใน ชั้นนอกสวม "บาจี" เป็นกางเกงขายาวหลวมๆรวบปลายขาไว้ด้วย "แทมิน" เป็นแถบผ้าใช้มัดขากางเกง"บันโซเม" เป็นเสื้อรัดรูปแขนสั้นไว้ข้างใน เสื้อนอกเรียกว่า "จอโกลี" เป็นเสื้อแขนยาวไม่มีปกไม่มีกระเป๋า ชุดของผู้หญิง ประกอบด้วย "แพนที" หรือกระโปรงที่อยู่ข้างใน ข้างบนใช้ "ซ็อกชีมา" เป็นแถบผ้าขนาดใหญ่ ใช้มัดทรวงอกไว้แทนเสื้อยกทรง ข้างนอกสวม "ชีมา" เป็นกระโปรงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อ "จอโกรี" เป็นเสื้อนอกแขนยาว ฮันบกเป็นภาพรวมศิลปะของเกาหลีที่สามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนของเกาหลี ราวกับถนนสายแฟชั่นของปารีส ฮันบกชุดแต่งกายประจำชาติของเกาหลีทำจากผ้าสีสันสดใส เนื้อผ้าจะขึ้นอยู่กับโอกาสและวัยของผู้ใส่ เด็กหญิงหรือหญิงสาวจะสวมกระโปรงสีแดงเสื้อสีเหลือง จะเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีแดง เสื้อสีเขียวเมื่อแต่งงานแล้ว ส่วนหญิงสูงอายุอาจเลือกสีสันต่างๆ ที่สดใส และเลือกใช้เนื้อผ้าได้หลากหลาย ปัจจุบันชุดแต่งกายวัฒนธรรมเดิมจะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ตามถนนหนทาง และรถไฟใต้ดินจะยังคงเห็นผู้คนสวมใส่กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุยังคงสวมใส่ชุดฮันบกอยู่ดนตรีเพลงอาหาร อาหาร. อาหารเกาหลี เป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีในประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ อาหารเกาหลีที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือกิมจิ (เกาหลี: 김치, MC: Gimchi, MR: Kimch'i คิมชี) ซึ่งเป็นผักดองที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาหลี
พรมแดนทางเหนือของประเทศเกาหลีใต้ติดกับประเทศใด
{ "answer": [ "เกาหลีเหนือ" ], "answer_begin_position": [ 256 ], "answer_end_position": [ 267 ] }
1,597
2,568
ประเทศเกาหลีใต้ สาธารณรัฐเกาหลี (; ) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เกาหลีใต้ () เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้ ในภาษาเกาหลีอ่านชื่อประเทศว่า แทฮันมินกุก (대한민국; 大韓民國) โดยเรียกสั้น ๆ ว่า ฮันกุก (한국) ที่หมายถึงเกาหลี และบางครั้งจะใช้ชื่อว่า นัมฮัน (남한) ที่หมายถึง เกาหลีทางใต้ ส่วนชาวเกาหลีเหนือจะเรียกเกาหลีใต้ว่า นัมโชซ็อน (남조선) ที่หมายถึง โชซ็อนใต้ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ตั้งอยู่ที่ ละติจูด 33-39 องศาเหนือ ลองจิจูดที่ 125-131 องศาตะวันออก 70% ของประเทศเป็นภูเขาประวัติศาสตร์ยุคเผ่าและอาณาจักรโชซ็อนโบราณ ประวัติศาสตร์. ยุคเผ่าและอาณาจักรโชซ็อนโบราณ. ในยุคแรกดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ เผ่าแรกที่ปรากฏคือเผ่าโชซ็อนโบราณ ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือ เรืองอำนาจในช่วงพ.ศ. 143 – 243 ส่วนเผ่าอื่นได้แก่เผ่าพูยอ อยู่บริเวณปากแม่น้ำซุงคารีทางแมนจูเรียเหนือ เผ่าโคกูรยออยู่ระหว่างแม่น้ำพมาก และแม่น้ำอัมนก เผ่าอกจออยู่บริเวณมณฑลฮัมกย็อง เผ่าทงเยอยู่บริเวณมณฑลคังว็อน และเผ่าสามฮั่นคือ มาฮั่น ชินฮั่น และพยอนฮั่น ที่อยู่บริเวณแม่น้ำฮั่นและแม่น้ำนักดง ทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแทแบ็ก ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซ็อนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือกวนอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮย็อนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่น ๆ จึงค่อย ๆ แยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกูรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื๊อ)ยุคสามอาณาจักร ยุคสามอาณาจักร. ในยุคนี้คาบสมุทรเกาหลีถูกปกครองโดยสามอาณาจักรที่รุ่งเรืองนับพันปีบนคาบสมุทรเกาหลี คือ- อาณาจักรโคกูรยอ มีพื้นที่ตั้งแต่บริเวณตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีตอนใต้และตอนกลางของคาบสมุทรเหลียวตง เป็นอาณาจักรที่มีกองทัพที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าดงเมียงซอง เมื่อ 37 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมโคกูรยอคืออาณาจักรพุกพูยอ พระเจ้าดงเมียงซองทรงเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรเป็นโคกูรยอ เมืองหลวงแห่งแรกคือ เมืองโจลบอน ในสมัยพระเจ้ายูริแห่งโคกูรยอได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองคุงแน และในสมัยพระเจ้าจางซูมหาราชได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองเปียงยาง อาณาจักรโคกูรยอล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 668 รัชสมัยพระเจ้าบอจาง จากการโจมตีของราชวงศ์ถังที่ปกครองประเทศจีนและอาณาจักรชิลลาที่อยู่ทางตอนใต้ อาณาจักรโคกูรยอมีอายุถึง 705 ปี - อาณาจักรแพ็กเจ ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพระเจ้าอนจอซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าดงเมียงซอง พระมเหสีโซซอโนพระราชมารดาของพระเจ้าอนจอทรงคิดจะตั้งอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นทางตอนใต้ ขึ้นเป็นอาณาจักรพี่น้องกับอาณาจักรโคกูรยอจึงได้อพยพประชาชนมาจากโคกูรยอและรวบรวมชนเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกันก่อตั้งขึ้นเป็น อาณาจักรซิปเจ ปกครองโดยพระเจ้าอนจอภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรแพ็กเจ มีเมืองหลวงแห่งแรกคือเมืองวิรเย ในรัชสมัยพระเจ้ามุนจูได้ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอุงจิน และในรัชสมัยพระเจ้าซองได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองซาบี อาณาจักรแพ็กเจล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 660 รัชสมัยพระเจ้าอึยจาจากการโจมตีของอาณาจักรชิลลา อาณาจักรแพ็กเจมีอายุถึง 678 ปี - อาณาจักรชิลลา ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 57 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยพระเจ้าฮยอกกอเซกษัตริย์พระองค์แรกแห่งชิลลา ทรงรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกันจนกลายเป็นอาณาจักรชิลลา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคยองจู อาณาจักรชิลลาสามารถรวบรวมอาณาจักรแพ็กเจและอาณาจักรโคกูรยอเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันได้ในปี ค.ศ. 668 รัชสมัยพระเจ้ามูยอล - อาณาจักรคายา ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลีแถบแม่น้ำนักดง ประกอบด้วยห้าราชวงศ์ คือ ราชวงศ์กึมควันคายา ราชวงศ์โกรยองคายา ราชวงศ์พีฮวาคายา ราชวงศ์อาราคายา และราชวงศ์ซองซันคายา ราชวงศ์หลักคือราชวงศ์กึมควันคายา ก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าซูโร เมื่อ 42 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีตำนานว่าพระชายาของพระเจ้าซูโรเป็นองค์หญิงที่เดินทางมาจากประเทศอินเดียพระนามว่าองค์หญิงฮอฮวางอ๊ก ในรัชสมัยพระเจ้าคูฮย็องอาณาจักรคายาได้ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรชิลลาในรัชสมัยพระเจ้าบอปฮึง อาณาจักรคายามีอายุถึง 604ยุคอาณาจักรเหนือใต้ ยุคอาณาจักรเหนือใต้. เมื่อสิ้นสุดสมัย 3 อาณาจักรนั้น อาณาจักรชิลลาถือว่าเป็นผู้มีชัยเหนืออาณาจักรอื่นบนคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ในทางประวัติศาสตร์ถือว่ายุคสมัยนี้ อาณาจักรชิลลาเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินเกาหลีให้เป็นผืนเดียวกันได้เป็นครั้งแรกนับแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา จึงเรียกว่า ยุคชิลลารวมอาณาจักร ช่วงยุคสมัยนี้นับจากปีที่อาณาจักรโคกูรยอและอาณาจักรแพ็กเจล่มสลายลงไปใน พ.ศ. 1211 และสืบเนื่องไปจนถึง พ.ศ. 1478 แต่ที่จริงแล้ว อาณาจักรชิลลาไม่ได้ครอบครองดินแดนทั้งหมดไว้ ที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดนั้นเพียงดินแดนทางตอนใต้เท่านั้น แม้แต่ดินแดนของโคกูรยอเดิม ชิลลาก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่เพียงที่ต้องยกคาบสมุทรเหลียวตงให้กับจีน แต่ดินแดนทางเหนือจรดไปถึงแมนจูเรียตกอยู่ในการควบคุมของอาณาจักรเกิดใหม่อีกอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่า อาณาจักรพัลแฮ หรือเรียกว่า ป๋อไห่ ในชื่อเรียกตามภาษาจีน ในยุคสมัยนี้ นักประวัติศาสตร์บางท่านจึงจัดว่าเป็นยุคอาณาจักรเหนือใต้ของเกาหลียุคสามอาณาจักรหลัง ยุคสามอาณาจักรหลัง. หลังจากอาณาจักรพัลแฮถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกนั้นประชาชนพากันอพยพลงใต้มาบริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรพัลแฮ ก็สถาปนาอาณาจักรใหม่บริเวณอาณาจักรโคกุเรียวเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรโคกูเรียวใหม่" แล้วสถาปนาตนเองป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้ากุงเย ส่วนชาวแพ็กเจที่อยู่ในอาณาจักรรวมชิลลาก็ได้ก่อกบฏต่ออาณาจักร มีหัวหน้าคือ คยอน ฮวอน แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณอาณาจักรแพ็กเจเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรแพ็กเจใหม่" แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าคยอน ฮวอน แล้วทำการก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลา ทำให้ชิลลาเกิดความระส่ำระส่าย จึงถือเป็นยุคสามอาณาจักรยุคหลังยุคราชวงศ์โครยอ ยุคราชวงศ์โครยอ. วังฮูมาสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โคเรียวเมื่อ พ.ศ. 1486 อาณาจักรนี้เจริญสูงสุดในสมัยกษัตริย์มุนจง ยุคนี้เป็นยุคที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการทำสงครามกับพวกญี่ปุ่นและมองโกล ถูกจีนควบคุมในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่ออำนาจของราชวงศ์หยวนอ่อนแอลง อาณาจักรโครยอต้องพบกับปัญหาโจรสลัดญี่ปุ่นและการรุกรานของราชวงศ์หมิง ในที่สุดทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากขึ้นจนนำไปสู่การยึดอำนาจของนายพล อีซองกเย และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1935ยุคราชวงศ์โชซ็อน ยุคราชวงศ์โชซ็อน. นายพล ลี ซองเกสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โชซ็อน ในสมัยนี้ส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นลัทธิประจำชาติและเริ่มลดอิทธิพลของพุทธศาสนา สมัยกษัตริย์เซจงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรฮันกึลขึ้นใช้แทนอักษรจีนจักรวรรดิเกาหลี จักรวรรดิเกาหลี. จักรวรรดิเกาหลี หรือ แทฮันเจกุก (อังกฤษ: The Greater Korean Empire ; เกาหลี: 대한제국, ฮันจา: 大韓帝國, MC: Daehan Jeguk, MR: Taehan Chekuk) คือราชอาณาจักรโชซ็อนที่ประกาศยกสถานะของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นจักรวรรดิ ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าโกจง พร้อมกับการเปลี่ยนพระอิสริยยศจาก กษัตริย์ เป็น จักรพรรดิ โดยพระองค์มีพระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิควางมูแห่งจักรวรรดิเกาหลี เพื่อให้ประเทศเอกราชจากจักรวรรดิชิง และยกสถานะของประเทศมีความเท่าเทียมกับจักรวรรดิชิง และ จักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าโดยพฤติการณ์แล้วสถานะของเกาหลีไม่ได้เข้าข่ายการเป็นจักรวรรดิเลยก็ตาม จนกระทั่งถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองในปี ค.ศ. 1910เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น. เมื่อ พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ผนวกเกาหลีเป็นทาสของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย เพราะมีการลงนามของกษัตริย์เกาหลี เกาหลีเป็นเมืองขึ้นจนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น มีการสร้างระบบคมนาคมแบบตะวันตก ส่วนใหญ่ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของชาวเกาหลี ญี่ปุ่นยกเลิกราชวงศ์โชซ็อน ยุบพระราชวัง ช่วยปรับปรุงระบบภาษี ให้ส่งข้าวจากเกาหลีไปช่วยญี่ปุ่น มีการใช้แรงงานทาสในการสร้างถนนและทำเหมืองแร่ หลังการสวรรคตของกษัตริย์โกจง (Gojong) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 ด้วยยาพิษ ทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชทั่วประเทศ เมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2461 ผลจากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชทำให้ชาวเกาหลีราว 7,000 คนถูกฆ่าโดยทหารและตำรวจญี่ปุ่น ชาวคริสต์เกาหลีจำนวนมากถูกฆ่าหรือเผาในโบสถ์ระหว่างการเรียกร้องเอกราชมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของเกาหลีที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หลังจากการเคลื่อนไหว 1 มีนาคม เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น การลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป เช่น การลุกฮือของนักศึกษาทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2472 จนนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. 2474 หลังจากเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2480 ญี่ปุ่นพยายามลบล้างความเป็นชาติของเกาหลี การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น สิ่งของมีค่าถุกนำออกจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่น. หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย ชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย ชาวเกาหลีในแมนจูเรียจัดตั้งขบวนการกู้เอกราชชื่อ "ทุงนิบกุน" (Dungnipgun) ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น กองทัพเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกองทัพปลดปล่อยเกาหลี เมื่อราว พ.ศ. 2483 เคลื่อนไหวในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวเกาหลีกว่าหมื่นคนเข้าร่วมในกองทัพปลดปล่อยประชาชนและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่นการแบ่งแยกประเทศ การแบ่งแยกประเทศ. หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แนวโน้มของการแบ่งประเทศเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2488 เมื่อสหรัฐเข้าควบคุมภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือ โดยใช้เส้นขนาน(ละติจูด,เส้นรุ้ง)ที่ 38 องศาเป็นเส้นแบ่ง รัฐบาลชั่วคราวถูกยกเลิกเพราะสหรัฐเห็นว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ในครั้งแรกการแบ่งแยกนี้เป็นการชั่วคราว และจะให้เอกราชแก่เกาหลีเมื่อสี่ชาติมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ และจีน จัดการปกครองในเกาหลีสำเร็จ ในการประชุมไคโรเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 กำหนดให้เกาหลีเป็นชาติอิสระ และการประชุมล่าสุดที่ยัลตาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ตกลงให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาของชาติมหาอำนาจสี่ชาติ ต่อมา 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 โซเวียตยกทัพจากไซบีเรียเข้าสู่เกาหลีโดยไม่มีการต่อต้าน ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 มีการประชุมที่มอสโกเพื่อตกลงเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลี โดยกำหนดให้เป็นรัฐในอารักขา 5 ปี และรวมส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐและโซเวียตเข้าด้วยกัน มีการประชุมกันอีกครั้งที่กรุงโซลแต่องค์การตั้งประเทศใหม่ยังไม่ลุล่วง เดือนกันยายน พ.ศ. 2490 สหรัฐส่งปัญหาเกาหลีเข้าสู่สหประชาชาติเพื่อให้เกาหลีเป็นรัฐเดียวที่มีเอกภาพ แต่ผลจากสงครามเย็นทำให้สหรัฐวางแผนคุ้มกันเกาหลีเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดการแยกประเทศเมื่อ พ.ศ. 2491 เกิดเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครองต่างกัน สหประชาชาติยอมรับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นตัวแทนเกาหลีในสหประชาชาติเพียงรัฐเดียวเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2491 สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 เมื่อเกาหลีเหนือยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาบุกเข้าโจมตีเกาหลีใต้ เป็นการยุติความพยายามในขณะนั้นที่จะรวมประเทศทั้งสองอย่างสันติ สงครามดำเนินไปจนมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496ความพยายามรวมประเทศหลังสงคราม ความพยายามรวมประเทศหลังสงคราม. เกาหลีใต้มีความพยายามที่จะรวมประเทศอย่างสันติตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดยเปิดการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเจรจาระหว่างสภากาชาดฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือเพื่อให้ครอบครัวที่พลัดพรากระหว่างสงครามได้พบหน้ากัน มีการออกแถลงการณ์ระหว่างสองประเทศเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 เพื่อยุติการกล่าวร้ายระหว่างกัน แต่การเจรจาเพื่อรวมประเทศไม่ราบรื่น ที่ประสบผลสำเร็จมีเพียงการอนุญาตให้ชาวเกาหลีทั้งสองประเทศข้ามเขตปลอดทหารไปมาหาสู่กันได้ในช่วง 20-23 กันยายน พ.ศ. 2528 และการเจรจาเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2531 ที่กรุงโซลเท่านั้น การเจรจาเรื่องอื่น ๆ หยุดชะงักลงหลัง พ.ศ. 2529 เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่พอใจเกี่ยวกับการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการขัดแย้งกับการรวมชาติ เกาหลีใต้พยายามประนีประนอมกับเกาหลีเหนือเพื่อการเจรจาจนมีการประชุมระดับผู้นำครั้งแรกเมื่อ 4 กันยายน พ.ศ. 2533 จากนั้นมีการประชุมต่อมาอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การรวมชาติเกาหลียังเป็นสิ่งที่ต้องรอคอยต่อไปจนกระทั่งปัจจุบัน จนกระทั่ง คิม จอง อึน จะร่วมการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 3 กับ มุน แจ อิน ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 ที่หมุ่บ้านปันมุนจอม ในเขตปลอดทหารเกาหลีการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง. หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2491 คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยเส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือ (มักเรียกว่าเส้นขนาน 38) โดยสหภาพโซเวียตดูแลเกาหลีเหนือมีการปกครองระบอบสังคมนิยม ส่วนสหรัฐอเมริกาดูแลเกาหลีใต้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ และศาลทำหน้าที่ทางตุลาการ ทั้งนี้ เกาหลีใต้มีการแบ่งเขตการปกครองเป็น 9 จังหวัด และ 6 เขตการปกครอง (โซล ปูซาน อินชอน แตกู ควังจู แตชอน)รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ. เกาหลีใต้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอดอีก 9 ครั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดมีขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เมื่อรัฐบาลประธานาธิบดีช็อน ดู-ฮวัน ต้องประสบกับภาวะกดดันทางการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และในที่สุด ประธานาธิบดีชุน ดู ฮวาน ก็ยินยอมให้มีการลงประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง โดยอยู่ในตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว (5 ปี) และให้มีการจัดระบบการปกครองท้องถิ่นอิสระเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญที่ได้รับการแก้ไข ยังได้ยกเลิกอำนาจการยุบสภาของประธานาธิบดี และให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งระบุว่ากองทัพต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลีฉบับปัจจุบันคือ ฉบับที่ ๑๐ มีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ๑๓๐ มาตรา ประกอบด้วย หมวด ๑ บททั่วไป (มาตรา ๑ - ๙) หมวด ๒ หน้าที่และสิทธิของพลเมือง (มาตรา ๑๐ - ๓๙) หมวด ๓ รัฐสภา (มาตรา ๔๐ - ๖๕) หมวด ๔ รัฐบาล แบ่งเป็น ส่วนที่ ๑ ประธานาธิบดี (มาตรา ๖๖ - ๘๕) ส่วนที่ ๒ ฝ่ายบริหาร (มาตรา๘๖ - ๙๓) ส่วนที่ ๓ องค์กรของรัฐบาล (มาตรา ๙๔ - ๙๖) ส่วนที่ ๔ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (มาตรา ๙๗ - ๑๐๐) หมวด ๕ ศาล (มาตรา ๑๐๑ - ๑๑๐) หมวด ๖ ศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๑๑๑ - ๑๑๓) หมวด ๗ กรรมการการเลือกตั้ง (มาตรา ๑๑๔ - ๑๑๖) หมวด ๘ การปกครองท้องถิ่น (มาตรา ๑๑๗ - ๑๑๘) หมวด ๙ เศรษฐกิจ (มาตรา ๑๑๙ - ๑๒๗) หมวด ๑๐ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (มาตรา ๑๒๘ - ๑๓๐) (แก้ไขล่าสุดเมื่อ ๒๙ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๘๗ และประกาศใช้เมื่อ ๒๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๘)ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ. รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภา (National Assembly) เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาของเกาหลีใต้เป็นรูปแบบสภาเดียวประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 300 คน โดยสมาชิกจำนวน 246 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ สมาชิกจำนวน 54 คนมาจากการแต่งตั้งโดยจัดสรรตามสัดส่วนของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภาแห่งชาติอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี สภาจะเลือกประธาน (Speaker) และรองประธาน (Vice-Speaker) จำนวน 2 คน ตามรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า สามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีได้ หากสมาชิกรัฐสภา 1 ใน 3 เสนอขอและสมาชิกสภาข้างมากเห็นชอบตามเสนอ ซึ่งในกรณีการถอดถอนประธานาธิบดีนั้น ต้องเสนอโดยเสียงข้างมากและสมาชิกสภา 2 ใน 3 ให้ความเห็นชอบ โดยประธานฯและรองประธานรัฐสภานั้น จะมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี ซึ่งรัฐสภาชุดปัจจุบันคือสมัยที่ 20 มีนายชอง เซ กยุน เป็นประธานรัฐสภา รับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ และมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ ๒ ปี นายชอง เซ กยุน เป็นสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรค Minjoo Party (พรรคฝ่ารัฐบาล) และเป็นสมาชิกรัฐสภาตั้งแต่สมัยที่ ๑๕ – ๒๐ จำนวนทั้งสิ้น ๖ สมัย และมีรองประธานรัฐสภาจำนวน ๒ คน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาจากพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างละ ๑ คน อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของเกาหลีใต้กำหนดให้สมาชิกรัฐสภาที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาจำเป็นต้องถอนตัวออกจากการสังกัดพรรคการเมืองเป็นการชั่วคราวฝ่ายบริหารฝ่ายบริหาร. - ประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากผู้มีสิทธิออกเสียง โดยมีวาระ 5 ปี และไม่สามารถลงสมัครแข่งขันเป็นครั้งที่ 2 ได้ เพื่อเป็นการป้องกันการขยายอำนาจ ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย รวมทั้งเป็นผู้มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึก และมาตรการจำเป็นในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ประธานาธิบดีสามารถเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจยุบสภา- คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งโดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยประธานาธิบดีในด้านบริหารประเทศ รวมทั้งมีอำนาจในการพิจารณานโยบายต่าง ๆ ของประเทศ และการเข้าร่วมประชุมรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมีจำนวน 20 คน นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารยังประกอบด้วย สภาที่ปรึกษาอาวุโส สภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาการรวมประเทศ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ คณะกรรมการวางแผนและงบประมาณ คณะกรรมการเกี่ยวกับสิทธิสตรี สภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะกรรมการเกี่ยวกับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก คณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ โดยประธานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ทั้งนี้ หน่วยงานเหล่านี้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำต่อคณะรัฐบาลด้วยฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตุลาการ. ประกอบไปด้วยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โดยประธานาธิบดีแต่งตั้งประธานศาลฎีกาด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา การพิจารณาของศาลกำหนดให้เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไปได้ ยกเว้นในกรณีที่เห็นว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือเป็นเรื่องที่จะสร้างปัญหาในด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อขวัญของประชาชน คำพิพากษาจำเป็นต้องปิดเป็นความลับ นอกจากนี้ ยังมีศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยให้ความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และมีอำนาจในการพิจารณาว่ากฎหมายฉบับใดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นโมฆะ (โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเริ่มจากศาลรัฐธรรมนูญได้รับการร้องขอจากศาลชั้นต้นหรือจากกลุ่มบุคคลที่ข้อร้องเรียนได้รับการพิจารณาจากศาลชั้นต้น ให้พิจารณากฎหมายดังกล่าว) อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นองค์กรที่มีหน้าที่ตัดสินความถูกต้องทางกฎหมายของกระบวนการถอดถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และผู้พิพากษา รวมทั้งมีอำนาจสั่งยุบพรรคการเมืองตามข้อเสนอของฝ่ายบริหาร หากพบว่าพรรคการเมืองดังกล่าวดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมายพรรคการเมือง พรรคการเมือง. เมื่อ ธันวาคม พ.ศ. 2538 เกิดการรวมตัวของ 3 พรรคใหญ่ คือ1. พรรค Democratic Justice Party-DJP 2. พรรค Reunification Democratic Party-RDP และ 3. พรรค New Democratic Republican Party-NDRP และตั้งชื่อว่าพรรค New Korean Party-NKP ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ ธ.ค. 2540 ได้เกิดพรรคใหม่คือ1. พรรค Grand National Party -GNP (ซึ่งเป็นการรวมตัวของพรรค NKP กับพรรค New Party by the People) 2. พรรค Millennium Democratic Party-MDP ซึ่งมีนาย คิม แด จุง เป็นหัวหน้าพรรค และ 3. พรรค United Liberal Democrats-ULD ซึ่งมีนาย คิม จอง พิล เป็นหัวหน้าพรรค โดยพรรค MDP กับพรรค ULD ได้ร่วมกันส่งนายคิม แด จุง เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับชัยชนะ โดยนาย คิม จอง พิล ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาพรรค ULD ได้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ปัจจุบันมีพรรคฝ่ายค้าน (Grand National Party-GNP) และพรรครัฐบาล (Millennium Democratic Party-MDP) และพรรคฝ่ายค้านเสียงส่วนน้อย (United Liberal Democrats-ULD) ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้าน GNP สามารถคุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภารวม 139 ที่นั่ง ทั้งนี้เมื่อ 15 เม.ย. 2547 มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้สมัยที่ 17 โดยเป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภาทั้งสิ้น 299 ที่นั่งประกอบด้วยการเลือกตั้งโดยตรง 243 ที่นั่ง และจากสัดส่วนพรรค (party list) 56 ที่นั่ง ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการพรรค Uri ได้คะแนนเสียงข้างมากส่งผลให้พรรค Uri กลายเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในรัฐสภาเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม พรรค Uri ได้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อม 6 ครั้งในเดือนเมษายน 2548 ทำให้พรรค Uri ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังได้แพ้ในการเลือกตั้งซ่อมในเดือนตุลาคม 2548 อีก ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีปัญหามากขึ้นกระทรวง กระทรวง. สาธารณรัฐเกาหลีมีกระทรวง 17 กระทรวง โดยแต่ละกระทรวงจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นหัวหน้า โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และต้องรายงานงานต่างๆให้กับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในบางกระทรวงอาจมีหน่วยงานเทียบเท่าในสังกัด ซึ่งจะทำงานขึ้นตรงต่อทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นๆและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีด้วยรายชื่อกระทรวงการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศเกาหลีใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด () 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ () 6 มหานคร () 1 นครพิเศษ () และ 1 นครปกครองตนเองพิเศษเมืองใหญ่สุด 20 อันดับแรกกองทัพกองกำลังกึ่งทหารเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด เป็นประเทศพัฒนาแล้ว- การเพาะปลูก : พืชสำคัญได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ แอปเปิล มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี - การเลี้ยงสัตว์ : สัตว์เลี้ยงสำคัญได้แก่ สุกร โค สัตว์ปีก และตัวไหม - การประมง : ผลผลิตทางการประมงของเกาหลีใต้มีเหลือใช้ในประเทศจนสามารถส่งเป็นสนค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่ง เกาหลีใต้สามารถจับปลาได้เป็นอันดับ 10 ของโลก (ไทยเป็นอันดับ 9 สถิติปี พ.ศ. 2535) - การทำเหมืองแร่ : เกาหลีใต้ขาดแคลนถ่านหินและน้ำมันปิโตเลียม แต่มีแร่ธาตุอื่นๆอีกหลายชนิด ได้แก่ แกรไฟต์ ดินเกาลิน และทังสเตน - อุตสาหกรรม : อุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบา ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่สำคัญได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ รถยนต์ ปิโตรเคมี และเรือเดินสมุทรการท่องเที่ยวการขนส่งประชากรศาสตร์เชื้อชาติ ประชากรศาสตร์. เชื้อชาติ. ประชากร ใน พ.ศ. 2555 ประชากรประมาณ 49,979,000 คน มีเชื้อสายมาจากเกาหลี จีน ฟิลิปปินส์ และเชื้อสายอื่นๆอีก- เชื้อชาติ : ประเทศเกาหลีแทบจะไม่มีชนชาติอื่นนอกจากคนเกาหลีเอง แต่ก็มีชาวจีนประมาณ 3 หมื่นคน ซึ่งอยู่ตามเขตเมืองหลวงมาช้านานแล้ว และยังมีชาวฟิลิปปินส์อีก 72,000 คนศาสนา ศาสนา. ประเทศเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาประจำชาติ และประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา ในปี ค.ศ. 2005 ประชากรเกาหลีใต้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธหรือคริสต์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากร พบว่าร้อยละ 29.2 นับถือศาสนาคริสต์ (ในจำนวนนี้เป็นโปรเตสแตนต์ร้อยละ 18.3 และคาทอลิกร้อยละ 10.9) รองลงมาคือร้อยละ 22.8 นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังศาสนิกของศาสนาอิสลาม ซึ่งเข้าสู่เกาหลีครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 7 รวมทั้งลัทธิเกิดใหม่อย่าง ลัทธิช็อนโด และลัทธิว็อนบุล ทั้งยังมีการปฏิบัติศาสนกิจในลัทธิเชมัน ลัทธิดั้งเดิมของเกาหลีก่อนรับศาสนาอื่น ซึ่งนับถือเทพเจ้าผู้สร้างคือ ฮวันอิน (คือ พระอินทร์ในพุทธศาสนา) ทั้งได้รับการนับถือในกลุ่มชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ด้วย ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีศาสนิกมากที่สุดในเกาหลีใต้ มีศาสนิกชนราว 13.7 ล้านคน โดยประชากรราวสองในสามนิยมเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ และประชากรร้อยละ 23 นิยมเข้าโบสถ์ของโรมันคาทอลิก อย่างไรก็ตามในช่วงปี ค.ศ. 1980 ศาสนิกชนเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ลดลง เพราะการขยายตัวของนิกายโรมันคาทอลิก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีการส่งมิชชันนารีออกเผยแผ่ศาสนามากเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในเกาหลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 372 จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2005 มีศาสนิกชนราว 10.7 ล้านคน ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ร้อยละ 90 นับถือนิกายโจ-กเย ซึ่งศาสนวัตถุของพุทธศาสนาจำนวนมากได้กลายเป็นสมบัติประจำชาติ ซึ่งตกทอดมาจากยุครัฐเหนือใต้ และยุคโครยอที่ศาสนาพุทธมีความเจริญจนถึงขีดสุด และภายหลังศาสนาพุทธได้อ่อนแอลงจากการปราบปรามของราชวงศ์โชซ็อนซึ่งนับถือลัทธิขงจื๊อ ศาสนาอิสลามเคยเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนเกาหลีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ในยุครัฐเหนือใต้ แต่ผู้สืบเชื้อสายได้หันไปนับถือศาสนาพุทธหรือเชมันแทน เนื่องจากเกาหลีขาดการติดต่อกับโลกอาหรับ ปัจจุบันจากการเผยแผ่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีชาวมุสลิมสัญชาติเกาหลีใต้ราว 30,000-35,000 คน ขณะที่อิสลามิกชนส่วนใหญ่ราว 100,000 คนในเกาหลีใต้เป็นแรงงานชาวต่างชาติ อาทิ บังกลาเทศ และปากีสถานภาษาวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ และการใช้สีอ่อนและเรียบก็ปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลีศิลปะเกาหลี ศิลปะเกาหลี. ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ และการใช้สีอ่อนและเรียบก็ปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลี วัฒนธรรมงานหัตกรรมพื้นบ้านคือศิลปะที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี งานไม้และเครื่องเขินของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความเรียบง่าย สิ่งสะดุดตาในงานไม้เกาหลีคือศิลปะการประดับมุก งานหัตกรรมโลหะทำด้วยทอง ทำด้วยสำริด ทางด้านพระพุทธศาสนามีการสร้างพระพุทธรูปสำริด ระฆังวัดที่หล่อด้วยสำริด เอกลักษณ์ของระฆังเกาหลีคือรูปร่างการออกแบบและเสียง ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา เกาหลีเป็นประเทศที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนาศิลปะด้านนี้และเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงคือ ศิลาดล เป็นเครื่องเคลือบที่มีความสดใส ฝีมือประณีต นิยมเคลือบด้วยสีขาวซึ่งพัฒนาให้สวยงามในยุคโกเรียว เพื่อการอนุรักษ์สิ่งดีงามตั้งแต่อดีต ทางการเกาหลีได้จัดตั้งโครงการสมบัติประจำชาติเกาหลีใต้ขึ้น ศิลปะของนักปราชญ์ เดิมรูปแบบตัวอักษรเกาหลีและญี่ปุ่นเป็นอักษรจีน ซึ่งเป็นตัวเขียนที่ยังใช้อยู่ในเอเชียตะวันออกร่วมพันปี แม้ว่าหลังจากที่เกาหลี ประดิษฐ์อักษรฮันกึล ในปี พ.ศ. 1989 (ค.ศ. 1446) ตัวอักษรจีนยังคงใช้ในภาษาทางการ จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตัวอักษรจีนมีอยู่นับหมื่นตัว แต่ละตัวมีความแตกต่างกัน มีวิธีเขียนหลายแบบ หลายความหมาย การเรียนอ่านและการเขียนตัวอักษรจีนไม่ใชเรื่องง่าย ศิลปะการเขียนอักษรจีนได้เข้ามาในประเทศเกาหลีเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว การเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันเกาหลีเรียกว่า "บุดกึลซี" ต้องอาศัยปัจจัย 4 ของนักปราชญ์ ได้แก่ หมึก แท่งหินฝนหมึก พู่กันและกระดาษ ศิลปินเขียนพู่กันส่วนใหญ่มักเป็นทั้งนักปราชญ์และจิตรกร ศิลปินเหล่านี้อาจใช้พู่กันเล่มเดียวกันเขียนกลอนบรรยายภาพ ภาพวาดเกาหลี เป็นศิลปะที่มีธรรมเนียมนิยมของตนเองอย่างสมบูรณ์ จิตรกรรม ภาพจิตกรรมของเกาหลีมีมานานแล้ว สถาบันภาพวาดก่อตั้งขึ้นในยุคโกกุริวสถาบันแห่งนี้เน้นภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา รูปแบบจิตรกรรมที่หลากหลายได้พัฒนาสืบต่อกันมาจนถึงสมัยโซชอน พร้อมนำรูปแบบศิลปะจีนแบบใหม่รวมทั้งเทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตก มีการใช้สีสันสดใสในภาพที่วาดเกี่ยวกับศาสนานี้เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี. ชาวเกาหลีมีชุดประจำชาติตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่า ฮันบก (ฮันหมายถึงชาวเกาหลี บกหมายถึงชุด รวมกันหมายถึงชุดของชาวเกาหลี) ฮันบกทั้งของผู้หญิงและผู้ชายมีลักษณะหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายและคล่องแคล่วไม่ใช้กระดุมหรือตะขอ แต่จะใช้ผ้าผูกไว้แทน ชุดของผู้ชาย ข้างล่างประกอบด้วย "ปันซือ" แต่สมัยใหม่เรียกว่า "แพนที" ซึ่งหมายถึงกางเกงใน ชั้นนอกสวม "บาจี" เป็นกางเกงขายาวหลวมๆรวบปลายขาไว้ด้วย "แทมิน" เป็นแถบผ้าใช้มัดขากางเกง"บันโซเม" เป็นเสื้อรัดรูปแขนสั้นไว้ข้างใน เสื้อนอกเรียกว่า "จอโกลี" เป็นเสื้อแขนยาวไม่มีปกไม่มีกระเป๋า ชุดของผู้หญิง ประกอบด้วย "แพนที" หรือกระโปรงที่อยู่ข้างใน ข้างบนใช้ "ซ็อกชีมา" เป็นแถบผ้าขนาดใหญ่ ใช้มัดทรวงอกไว้แทนเสื้อยกทรง ข้างนอกสวม "ชีมา" เป็นกระโปรงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อ "จอโกรี" เป็นเสื้อนอกแขนยาว ฮันบกเป็นภาพรวมศิลปะของเกาหลีที่สามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนของเกาหลี ราวกับถนนสายแฟชั่นของปารีส ฮันบกชุดแต่งกายประจำชาติของเกาหลีทำจากผ้าสีสันสดใส เนื้อผ้าจะขึ้นอยู่กับโอกาสและวัยของผู้ใส่ เด็กหญิงหรือหญิงสาวจะสวมกระโปรงสีแดงเสื้อสีเหลือง จะเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีแดง เสื้อสีเขียวเมื่อแต่งงานแล้ว ส่วนหญิงสูงอายุอาจเลือกสีสันต่างๆ ที่สดใส และเลือกใช้เนื้อผ้าได้หลากหลาย ปัจจุบันชุดแต่งกายวัฒนธรรมเดิมจะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ตามถนนหนทาง และรถไฟใต้ดินจะยังคงเห็นผู้คนสวมใส่กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุยังคงสวมใส่ชุดฮันบกอยู่ดนตรีเพลงอาหาร อาหาร. อาหารเกาหลี เป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีในประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ อาหารเกาหลีที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือกิมจิ (เกาหลี: 김치, MC: Gimchi, MR: Kimch'i คิมชี) ซึ่งเป็นผักดองที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาหลี
เครื่องแต่งกายประจำชาติของประเทศเกาหลีใต้มีชื่อเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ฮันบก" ], "answer_begin_position": [ 24636 ], "answer_end_position": [ 24641 ] }
1,598
44,962
ไททานิก (ภาพยนตร์) ไททานิก () เป็นภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา ออกฉายในปี ค.ศ. 1997 ผลิตโดย ทเวนตีส์เซ็นจูรีฟ็อกซ์ และ พาราเมาต์พิกเจอส์ นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดีคาปริโอ และ เคต วินสเลต กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน โดยเคยเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์อันดับที่ 1 มานานถึง 12 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 1,848,813,795 ดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2010 ภาพยนตร์ อวตาร โดยฝีมือผู้กำกับคนเดียวกัน เจมส์ คาเมรอน ทำรายได้สูงสุดแทนที่ไททานิก ปัจจุบันเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในอันดับที่ 2เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. เริ่มเรื่องขึ้นเมื่อมีการพบซากเรือที่มหาสมุทรแอตแลนติคเหนือ ปี ค.ศ. 1985 บร๊อค โลเวตนักสำรวจชาวอเมริกัน ได้ดำลงไปสำรวจหาซากเรือเพื่อหาสมบัติอันล้ำค่า แต่กลับได้พบภาพวาดลายเส้น รูปหญิงสาวเปลือยกายที่สวม สร้อยคอและจี้เพชรเท่านั้น ผู้ที่เป็นแบบในภาพวาดก็คือ โรส และเธอได้เล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง ย้อนในปี ค.ศ. 1912 แจ๊ค ดอว์สัน เด็กหนุ่มเต็ดเตร่ชาวอเมริกันได้โชคเป็นตั๋วโดยสารเรือไททานิกชั้น 3 จากการเล่นโป๊กเกอร์ นั่นทำให้เขาได้พบ โรส เดวิท บูเคเตอร์ โรส เดวิท บูเกเตอร์ สาวงามผู้เป็นบุตรีจากครอบครัวชั้นสูงและคุณหนูผู้ดีมีตระกูล ได้เดินทางมากับเรือไททานิกพร้อมแม่ ซึ่งก็คือ รูธ เดวิท บูเกเตอร์ และคู่หมั้นหนุ่ม แคล หรือเซลดอน นาธาน ฮ๊อคลี่ย์ มหาเศรษฐีผู้เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจตัวเอง ทั้งคู่จะเข้าพิธีแต่งงาน หลังเดินทางถึงฟิลลาเดลเฟีย โรสมีความอึดอัดในการใช้ชีวิตแบบสังคมชั้นสูงจากการบังคับของแม่และฮ็อคลี่ย์ และไม่พอใจที่ถูกบีบบังคับ และทนรับชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายและบีบคั้นไม่ไหว ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เธอวิ่งไปที่ด้านท้ายเรือและพยายามที่จะฆ่าตัวตาย แต่แล้วโรสก็พบกับ แจ๊ค ชายหนุ่มยากไร้ ผู้มีชีวิตเป็นอิสระ ได้เห็นเหตุการณ์ และเขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้ทันท่วงที นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้น ฮ็อกลี่ย์ได้ตอบแทนแจ๊ค ด้วยการชวนขึ้นไปร่วมดินเนอร์กับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แจ๊คโดนเยาะเย้นถากถางในระหว่างดินเนอร์ แต่เขาก็ตอบได้อย่างชาญฉลาดและเป็นตัวของเขาเอง ทำให้โรสประทับใจตัวแจ๊คมากขึ้น แจ๊คพาเธอไปรู้จักชีวิตอีกด้านที่เป็นอิสระของเขา สาวน้อยได้รับในสิ่งที่เธอขาดมาตลอด นั่นคือความเป็นอิสระในการได้ทำทุกอย่างที่ใจต้องการ โรสใช้ชีวิตที่สนุกสนานในส่วนของผู้โดยสารชั้นสาม ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคู่หมั้นหนุ่มเลวร้ายลง ในขณะที่ความสัมพันธ์กับแจ๊คได้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความริษยาให้กับ ฮ๊อคลี่ย์ จนตัดสินใจใส่ร้ายแจ๊ค และจับไปคุมขังที่ใต้ท้องเรือจนกระทั่งวาระสุดท้ายของไททานิกมาถึง ในคืนนั้นไททานิกก็พบกับความหายนะเมื่อ พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง จนบริเวณใต้ท้องเรือเกิดความเสียหายจนไม่สามารถแก้ไขได้ ความโกลาหลวุ่นวายได้เกิดขึ้น เพราะทุกชีวิตต่างดิ้นรนที่จะเอาตัวรอด ในที่สุดเรือไททานิกที่ยิ่งใหญ่ และเคยถูกเชื่อว่าไม่มีวันจม ก็ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลลึกพร้อมผู้โดยสารอีกเกือบ 1500 ชีวิต ในขณะที่แจ๊คและโรสกำลังลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันหนาวเย็น ท่ามกลางความมืด และความฝันที่กำลังสูญสิ้น โดยทั้งหมดผ่านการเล่าเรื่องจากโรสในวัยชรา ผู้โดยสารไททานิกที่รอดชีวิตคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ไททานิกในเมืองไทย ไททานิกในเมืองไทย. ไททานิกเข้าฉายในประเทศไทย ในวันแรกคือวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1997 (แต่ทุกโรงได้ฉายก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน คือวันพุธที่ 24 ธันวาคม เว้นแต่ในโรงเครืออีจีวีที่ฉายตามกำหนดเดิม) โดยไม่มีชื่อเป็นภาษาไทย และเมื่อฉายแล้วก็ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นในสังคม จนเป็นวลีที่พูดติดปากกันว่า "แจ๊คกับโรส" และโดยเฉพาะในหมู่เด็กสาว ๆ ที่คลั่งไคล้ดารานำชาย คือ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เหมือนกับหลายประเทศที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย โดยสื่อต่าง ๆ และสังคมมีการนำเสนอแง่มุมหรือเรื่องราวต่าง ๆ ของดารานำชายผู้นี้อย่างกว้างขวาง เพลงประกอบภาพยนตร์ "มายฮาร์ตวิลโกออน" ซึ่งประพันธ์โดยวิลล์ เจนนิง อำนวยเพลงโดยเจมส์ ฮอร์เนอร์ และวอลเตอร์ เอฟฟานาซีฟ ขับร้องโดยเซลีน ดิออน ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยได้รับการเปิดออกอากาศทางสถานีวิทยุนานนับเดือน กับทั้งยังส่งผลต่อฉบับลอกแบบอื่น ๆ ที่ตามอีกด้วย เช่น ฉบับบรรเลงโดย เคนนี จี หรือฉบับภาษาไทยที่มีผู้ลักลอบแปลและบันทึกเสียงออกจำหน่ายตัวละครตัวละครสมมุติ (ไม่มีจริง)ตัวละครที่มีตัวตนจริงรางวัลที่ได้รับ รางวัลที่ได้รับ. ไททานิก ได้รับรางวัลระดับแนวหน้าของโลกจำนวนมาก แต่ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด คือ การที่สามารถชนะเลิศรางวัลออสการ์ ได้ถึง 11 สาขา ซึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดที่ได้รางวัลออสการ์มากกว่า 11 สาขาเลย ส่วนภาพยนตร์ที่ได้รางวัล 11 สาขาเท่ากัน มีเพียง 3 เรื่องในประวัติศาสตร์ คือ เบนเฮอร์, ไททานิก และ รางวัลที่มีชื่อเสียงที่ภาพยนตร์เรื่องไททานิกได้รับ ได้แก่- รางวัลออสการ์ ชนะเลิศ 11 สาขา ได้แก่- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม - สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม - สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม - สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม - สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม - สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม - สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม - รางวัลลูกโลกทองคำ ชนะเลิศ 4 สาขา ได้แก่- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดรามา - สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมการกลับมาฉายใหม่ การกลับมาฉายใหม่. ในต้นเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2012 ไททานิกได้กลับมาฉายใหม่ในระบบสามมิติและไอแมกซ์ ในวาระครบรอบ 100 ปี ที่ไททานิกได้จมลง
นักแสดงนำชายในภาพยนตร์ ไททานิก มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "ลีโอนาร์โด" ], "answer_begin_position": [ 233 ], "answer_end_position": [ 243 ] }
1,599
44,962
ไททานิก (ภาพยนตร์) ไททานิก () เป็นภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา ออกฉายในปี ค.ศ. 1997 ผลิตโดย ทเวนตีส์เซ็นจูรีฟ็อกซ์ และ พาราเมาต์พิกเจอส์ นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดีคาปริโอ และ เคต วินสเลต กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน โดยเคยเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์อันดับที่ 1 มานานถึง 12 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 1,848,813,795 ดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2010 ภาพยนตร์ อวตาร โดยฝีมือผู้กำกับคนเดียวกัน เจมส์ คาเมรอน ทำรายได้สูงสุดแทนที่ไททานิก ปัจจุบันเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในอันดับที่ 2เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. เริ่มเรื่องขึ้นเมื่อมีการพบซากเรือที่มหาสมุทรแอตแลนติคเหนือ ปี ค.ศ. 1985 บร๊อค โลเวตนักสำรวจชาวอเมริกัน ได้ดำลงไปสำรวจหาซากเรือเพื่อหาสมบัติอันล้ำค่า แต่กลับได้พบภาพวาดลายเส้น รูปหญิงสาวเปลือยกายที่สวม สร้อยคอและจี้เพชรเท่านั้น ผู้ที่เป็นแบบในภาพวาดก็คือ โรส และเธอได้เล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง ย้อนในปี ค.ศ. 1912 แจ๊ค ดอว์สัน เด็กหนุ่มเต็ดเตร่ชาวอเมริกันได้โชคเป็นตั๋วโดยสารเรือไททานิกชั้น 3 จากการเล่นโป๊กเกอร์ นั่นทำให้เขาได้พบ โรส เดวิท บูเคเตอร์ โรส เดวิท บูเกเตอร์ สาวงามผู้เป็นบุตรีจากครอบครัวชั้นสูงและคุณหนูผู้ดีมีตระกูล ได้เดินทางมากับเรือไททานิกพร้อมแม่ ซึ่งก็คือ รูธ เดวิท บูเกเตอร์ และคู่หมั้นหนุ่ม แคล หรือเซลดอน นาธาน ฮ๊อคลี่ย์ มหาเศรษฐีผู้เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจตัวเอง ทั้งคู่จะเข้าพิธีแต่งงาน หลังเดินทางถึงฟิลลาเดลเฟีย โรสมีความอึดอัดในการใช้ชีวิตแบบสังคมชั้นสูงจากการบังคับของแม่และฮ็อคลี่ย์ และไม่พอใจที่ถูกบีบบังคับ และทนรับชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายและบีบคั้นไม่ไหว ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เธอวิ่งไปที่ด้านท้ายเรือและพยายามที่จะฆ่าตัวตาย แต่แล้วโรสก็พบกับ แจ๊ค ชายหนุ่มยากไร้ ผู้มีชีวิตเป็นอิสระ ได้เห็นเหตุการณ์ และเขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้ทันท่วงที นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้น ฮ็อกลี่ย์ได้ตอบแทนแจ๊ค ด้วยการชวนขึ้นไปร่วมดินเนอร์กับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แจ๊คโดนเยาะเย้นถากถางในระหว่างดินเนอร์ แต่เขาก็ตอบได้อย่างชาญฉลาดและเป็นตัวของเขาเอง ทำให้โรสประทับใจตัวแจ๊คมากขึ้น แจ๊คพาเธอไปรู้จักชีวิตอีกด้านที่เป็นอิสระของเขา สาวน้อยได้รับในสิ่งที่เธอขาดมาตลอด นั่นคือความเป็นอิสระในการได้ทำทุกอย่างที่ใจต้องการ โรสใช้ชีวิตที่สนุกสนานในส่วนของผู้โดยสารชั้นสาม ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคู่หมั้นหนุ่มเลวร้ายลง ในขณะที่ความสัมพันธ์กับแจ๊คได้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความริษยาให้กับ ฮ๊อคลี่ย์ จนตัดสินใจใส่ร้ายแจ๊ค และจับไปคุมขังที่ใต้ท้องเรือจนกระทั่งวาระสุดท้ายของไททานิกมาถึง ในคืนนั้นไททานิกก็พบกับความหายนะเมื่อ พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง จนบริเวณใต้ท้องเรือเกิดความเสียหายจนไม่สามารถแก้ไขได้ ความโกลาหลวุ่นวายได้เกิดขึ้น เพราะทุกชีวิตต่างดิ้นรนที่จะเอาตัวรอด ในที่สุดเรือไททานิกที่ยิ่งใหญ่ และเคยถูกเชื่อว่าไม่มีวันจม ก็ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลลึกพร้อมผู้โดยสารอีกเกือบ 1500 ชีวิต ในขณะที่แจ๊คและโรสกำลังลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันหนาวเย็น ท่ามกลางความมืด และความฝันที่กำลังสูญสิ้น โดยทั้งหมดผ่านการเล่าเรื่องจากโรสในวัยชรา ผู้โดยสารไททานิกที่รอดชีวิตคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ไททานิกในเมืองไทย ไททานิกในเมืองไทย. ไททานิกเข้าฉายในประเทศไทย ในวันแรกคือวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1997 (แต่ทุกโรงได้ฉายก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน คือวันพุธที่ 24 ธันวาคม เว้นแต่ในโรงเครืออีจีวีที่ฉายตามกำหนดเดิม) โดยไม่มีชื่อเป็นภาษาไทย และเมื่อฉายแล้วก็ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นในสังคม จนเป็นวลีที่พูดติดปากกันว่า "แจ๊คกับโรส" และโดยเฉพาะในหมู่เด็กสาว ๆ ที่คลั่งไคล้ดารานำชาย คือ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เหมือนกับหลายประเทศที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย โดยสื่อต่าง ๆ และสังคมมีการนำเสนอแง่มุมหรือเรื่องราวต่าง ๆ ของดารานำชายผู้นี้อย่างกว้างขวาง เพลงประกอบภาพยนตร์ "มายฮาร์ตวิลโกออน" ซึ่งประพันธ์โดยวิลล์ เจนนิง อำนวยเพลงโดยเจมส์ ฮอร์เนอร์ และวอลเตอร์ เอฟฟานาซีฟ ขับร้องโดยเซลีน ดิออน ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยได้รับการเปิดออกอากาศทางสถานีวิทยุนานนับเดือน กับทั้งยังส่งผลต่อฉบับลอกแบบอื่น ๆ ที่ตามอีกด้วย เช่น ฉบับบรรเลงโดย เคนนี จี หรือฉบับภาษาไทยที่มีผู้ลักลอบแปลและบันทึกเสียงออกจำหน่ายตัวละครตัวละครสมมุติ (ไม่มีจริง)ตัวละครที่มีตัวตนจริงรางวัลที่ได้รับ รางวัลที่ได้รับ. ไททานิก ได้รับรางวัลระดับแนวหน้าของโลกจำนวนมาก แต่ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด คือ การที่สามารถชนะเลิศรางวัลออสการ์ ได้ถึง 11 สาขา ซึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดที่ได้รางวัลออสการ์มากกว่า 11 สาขาเลย ส่วนภาพยนตร์ที่ได้รางวัล 11 สาขาเท่ากัน มีเพียง 3 เรื่องในประวัติศาสตร์ คือ เบนเฮอร์, ไททานิก และ รางวัลที่มีชื่อเสียงที่ภาพยนตร์เรื่องไททานิกได้รับ ได้แก่- รางวัลออสการ์ ชนะเลิศ 11 สาขา ได้แก่- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม - สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม - สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม - สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม - สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม - สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม - สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม - รางวัลลูกโลกทองคำ ชนะเลิศ 4 สาขา ได้แก่- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ดรามา - สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมการกลับมาฉายใหม่ การกลับมาฉายใหม่. ในต้นเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2012 ไททานิกได้กลับมาฉายใหม่ในระบบสามมิติและไอแมกซ์ ในวาระครบรอบ 100 ปี ที่ไททานิกได้จมลง
ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องไททานิกมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "เจมส์ คาเมรอน" ], "answer_begin_position": [ 279 ], "answer_end_position": [ 292 ] }
1,600
7,780
รัฐเท็กซัส เท็กซัส (, ) เป็นรัฐที่อยู่ทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ทั้งหมด 695,622 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 22.8 ล้านคน เท็กซัสเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับสองทั้งพื้นที่และประชากร รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกาเป็นลำดับที่ 28 ในปี พ.ศ. 2388 อักษรย่อของที่ทำการไปรษณีย์สหรัฐคือ TXเมืองสำคัญเมืองสำคัญ. - ฮิวสตัน (ใหญ่ที่สุด) - แซนแอนโทนีโอ - แดลลัส - ออสติน (เมืองหลวงของรัฐ)สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. มีงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายแห่งรวมถึงตึกระฟ้าในเท็กซัสทั้งสถาปัตยกรรมเดิมและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ซึ่งก่อสร้างโดยสถาปนิกระดับโลกได้แก่ อาคาร 4 แห่งของ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ พิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ทาดาโอะ อันโด พิพิธภัณฑ์ศิลปะคิมเบลล์ ออกแบบโดย ลุยส์ คาฮ์น ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ นอกจากนี้มีผลงานของ ไอ.เอ็ม. เป, ฟิลิป จอห์นสัน, นอร์แมน ฟอสเตอร์, ริชาร์ด ไมเยอร์, มีส ฟาน เดอ โร, อิซามุ โนงุจิ, ราฟาเอล มอนีโอ, และสถาปนิกชื่อดังอีกหลายท่านกีฬา กีฬา. ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียง- ดัลลัส คาวบอย - ดัลลัส แมฟเวอริกส์ - เท็กซัส เรนเจอร์ - ฮิวสตัน แอสโตร - ฮิวสตัน เทกซัน - ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ - ฮิวสตัน รอกเก็ตส์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัย. - มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน - มหาวิทยาลัยเท็กซัส อาร์ลิงก์ตัน - มหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม - มหาวิทยาลัยเท็กซัส เทค - มหาวิทยาลัยฮิวสตัน - มหาวิทยาลัยไรซ์ - มหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส
รัฐเท็กซัสเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่เท่าใดในประเทศสหรัฐอเมริกา
{ "answer": [ "สอง" ], "answer_begin_position": [ 254 ], "answer_end_position": [ 257 ] }
1,601
7,780
รัฐเท็กซัส เท็กซัส (, ) เป็นรัฐที่อยู่ทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ทั้งหมด 695,622 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 22.8 ล้านคน เท็กซัสเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับสองทั้งพื้นที่และประชากร รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกาเป็นลำดับที่ 28 ในปี พ.ศ. 2388 อักษรย่อของที่ทำการไปรษณีย์สหรัฐคือ TXเมืองสำคัญเมืองสำคัญ. - ฮิวสตัน (ใหญ่ที่สุด) - แซนแอนโทนีโอ - แดลลัส - ออสติน (เมืองหลวงของรัฐ)สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. มีงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายแห่งรวมถึงตึกระฟ้าในเท็กซัสทั้งสถาปัตยกรรมเดิมและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ซึ่งก่อสร้างโดยสถาปนิกระดับโลกได้แก่ อาคาร 4 แห่งของ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ พิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ทาดาโอะ อันโด พิพิธภัณฑ์ศิลปะคิมเบลล์ ออกแบบโดย ลุยส์ คาฮ์น ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ นอกจากนี้มีผลงานของ ไอ.เอ็ม. เป, ฟิลิป จอห์นสัน, นอร์แมน ฟอสเตอร์, ริชาร์ด ไมเยอร์, มีส ฟาน เดอ โร, อิซามุ โนงุจิ, ราฟาเอล มอนีโอ, และสถาปนิกชื่อดังอีกหลายท่านกีฬา กีฬา. ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียง- ดัลลัส คาวบอย - ดัลลัส แมฟเวอริกส์ - เท็กซัส เรนเจอร์ - ฮิวสตัน แอสโตร - ฮิวสตัน เทกซัน - ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ - ฮิวสตัน รอกเก็ตส์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัย. - มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน - มหาวิทยาลัยเท็กซัส อาร์ลิงก์ตัน - มหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม - มหาวิทยาลัยเท็กซัส เทค - มหาวิทยาลัยฮิวสตัน - มหาวิทยาลัยไรซ์ - มหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส
เมืองหลวงของรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาคือเมืองใด
{ "answer": [ "ออสติน" ], "answer_begin_position": [ 441 ], "answer_end_position": [ 447 ] }
1,602
9,702
ประธานาธิบดีสหรัฐ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (; ย่อ: POTUS) เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลแห่งสหรัฐ เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร และเป็นจอมทัพสหรัฐ รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 บัญญัติว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายส่วนกลาง รับผิดชอบแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายบริหาร ข้าราชการทูต ข้าราชการประจำ และข้าราชการตุลาการในส่วนกลาง ทั้งมีอำนาจทำสนธิสัญญาเมื่อได้รับคำแนะนำและยินยอมของวุฒิสภา นอกจากนี้ ประธานาธิบดีมีอำนาจอภัยโทษ ลดโทษ เปลี่ยนโทษ เรียกและเลื่อนประชุมสมัยวิสามัญแห่งสภาทั้งสองของรัฐสภา นับแต่สถาปนาประเทศเป็นต้นมา ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลางมีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ปัจจุบันไม่มีอำนาจนิติบัญญัติอย่างเป็นทางการนอกเหนือไปจากการลงนามและยับยั้งร่างกฎหมายที่รัฐสภาอนุมัติ แต่ประธานาธิบดีก็แบกรับความรับผิดชอบขนานใหญ่ในการกำหนดวาระประชุมพรรค รวมถึงกำหนดนโยบายการต่างประเทศและการในประเทศด้วย ประธานาธิบดีสหรัฐนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปีและสามารถอยู่ในดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระซึ่งบัญญัติไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ที่ได้รับการอนุมัติในปี ค.ศ. 1951 ภายใต้ระบบนี้ แต่ละรัฐจะได้รับการแบ่งสรรให้มีจำนวนคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) แตกต่างกัน โดยจะเท่ากับจำนวนที่นั่งในรัฐสภาทั้งสอง โดยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ต้องลงคะแนนเสียงด้วยตามที่บัญญัติไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 23 ผู้ลงคะแนนเสียงในเกือบทุกรัฐจะต้องเลือกผู้สมัครประธานาธิบดีผ่านระบบเสียงข้างมาก นั่นคือ ผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดก็จะได้คะแนนเสียงของรัฐนั้นไป จำนวนเสียงโหวตที่มากที่สุดจะเป็นการตัดสินว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี แต่ถ้าไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงเกินกว่าขีดต่ำสุดที่กำหนดไว้ การเลือกตั้งก็จะไปอยู่ที่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ที่ตัวแทนแต่ละรัฐลงคะแนนเสียงมา โดยที่ผ่านมามีประธานาธิบดีเพียง 5 คนที่ดำรงตำแหน่งครบสองสมัยถ้วน คือ ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์, โรนัลด์ เรแกน, บิล คลินตัน, จอร์จ ดับเบิลยู. บุชและบารัก โอบามา สำนักงานและจวนของประธานาธิบดีเรียกว่า ทำเนียบขาว (White House) อยู่ที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดียังได้รับสิทธิ์ในการใช้คณะทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในทำเนียบขาวอย่างเต็มที่ รวมถึงการดูแลทางด้านการแพทย์ การพักผ่อน การดูแบบบ้าน และระบบรักษาความปลอดภัย มีเครื่องบินโบอิงวีซี-25 จำนวนหนึ่งลำ (จากสองลำ) ชื่อ แอร์ฟอร์ซวัน ไว้สำหรับเดินทางระยะไกล เป็นเครื่องบินที่ดัดแปลงอย่างหรูหรามาจากโบอิง 747-200 บี ประธานาธิบดียังได้รับค่าตอบแทนทั้งสิ้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยผลประโยชน์อื่น ๆ ในแต่ละปีของการดำรงตำแหน่งอีกด้วย เนื่องด้วยความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐ ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ ดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ได้รับเลือกคนล่าสุดโดยเริ่มดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2017
POTUS เป็นคำย่อหมายถึงประธานาธิบดีของประเทศใด
{ "answer": [ "สหรัฐอเมริกา" ], "answer_begin_position": [ 122 ], "answer_end_position": [ 134 ] }
1,603
9,702
ประธานาธิบดีสหรัฐ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (; ย่อ: POTUS) เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลแห่งสหรัฐ เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร และเป็นจอมทัพสหรัฐ รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 บัญญัติว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายส่วนกลาง รับผิดชอบแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายบริหาร ข้าราชการทูต ข้าราชการประจำ และข้าราชการตุลาการในส่วนกลาง ทั้งมีอำนาจทำสนธิสัญญาเมื่อได้รับคำแนะนำและยินยอมของวุฒิสภา นอกจากนี้ ประธานาธิบดีมีอำนาจอภัยโทษ ลดโทษ เปลี่ยนโทษ เรียกและเลื่อนประชุมสมัยวิสามัญแห่งสภาทั้งสองของรัฐสภา นับแต่สถาปนาประเทศเป็นต้นมา ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลางมีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ปัจจุบันไม่มีอำนาจนิติบัญญัติอย่างเป็นทางการนอกเหนือไปจากการลงนามและยับยั้งร่างกฎหมายที่รัฐสภาอนุมัติ แต่ประธานาธิบดีก็แบกรับความรับผิดชอบขนานใหญ่ในการกำหนดวาระประชุมพรรค รวมถึงกำหนดนโยบายการต่างประเทศและการในประเทศด้วย ประธานาธิบดีสหรัฐนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปีและสามารถอยู่ในดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระซึ่งบัญญัติไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ที่ได้รับการอนุมัติในปี ค.ศ. 1951 ภายใต้ระบบนี้ แต่ละรัฐจะได้รับการแบ่งสรรให้มีจำนวนคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) แตกต่างกัน โดยจะเท่ากับจำนวนที่นั่งในรัฐสภาทั้งสอง โดยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ต้องลงคะแนนเสียงด้วยตามที่บัญญัติไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 23 ผู้ลงคะแนนเสียงในเกือบทุกรัฐจะต้องเลือกผู้สมัครประธานาธิบดีผ่านระบบเสียงข้างมาก นั่นคือ ผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดก็จะได้คะแนนเสียงของรัฐนั้นไป จำนวนเสียงโหวตที่มากที่สุดจะเป็นการตัดสินว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี แต่ถ้าไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงเกินกว่าขีดต่ำสุดที่กำหนดไว้ การเลือกตั้งก็จะไปอยู่ที่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ที่ตัวแทนแต่ละรัฐลงคะแนนเสียงมา โดยที่ผ่านมามีประธานาธิบดีเพียง 5 คนที่ดำรงตำแหน่งครบสองสมัยถ้วน คือ ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์, โรนัลด์ เรแกน, บิล คลินตัน, จอร์จ ดับเบิลยู. บุชและบารัก โอบามา สำนักงานและจวนของประธานาธิบดีเรียกว่า ทำเนียบขาว (White House) อยู่ที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดียังได้รับสิทธิ์ในการใช้คณะทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในทำเนียบขาวอย่างเต็มที่ รวมถึงการดูแลทางด้านการแพทย์ การพักผ่อน การดูแบบบ้าน และระบบรักษาความปลอดภัย มีเครื่องบินโบอิงวีซี-25 จำนวนหนึ่งลำ (จากสองลำ) ชื่อ แอร์ฟอร์ซวัน ไว้สำหรับเดินทางระยะไกล เป็นเครื่องบินที่ดัดแปลงอย่างหรูหรามาจากโบอิง 747-200 บี ประธานาธิบดียังได้รับค่าตอบแทนทั้งสิ้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยผลประโยชน์อื่น ๆ ในแต่ละปีของการดำรงตำแหน่งอีกด้วย เนื่องด้วยความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐ ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ ดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ได้รับเลือกคนล่าสุดโดยเริ่มดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2017
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินกี่วาระ
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 1041 ], "answer_end_position": [ 1042 ] }
1,617
69,877
หัตฐพร สุวรรณ หัตฐพร สุวรรณ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ของสโมสรสโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสน 10 (10)ในไทยพรีเมียร์ลีก และยังเคยเล่นให้สโมสรอิ่นๆในไทยเช่น[[สโมสรพนักงานยาสูบ]10(20)]และ[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค12(80)และ เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด]1.5(70)ประวัติ ประวัติ. หัตฐพร สุวรรณ เกิดวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2527 ที่บ้านทุ่งหัวช้าง [[อำเภอทุ่งหัวช้าง]] [[จังหวัดลำพูน]] เป็นบุตรคนเดียวของนายชุมพลและนางบัวคำ สุวรรณ เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่[[โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา]] [[จังหวัดลำพูน]] และชั้นม.ปลายที่[[โรงเรียนวัดสุทธิวราราม]] ก่อนจะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุโทรทัศน์ [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] หัตฐพร เริ่มเล่นฟุตบอลระดับสโมสรกับสมาคมกีฬาคริสเตียนไทยและได้เล่น[[ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก]]ครั้งแรกโดยการย้ายมาร่วมทีม[[สโมสรพนักงานยาสูบ]]ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้า]]และประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักบริเวณเอ็นหัวเข่าจากเกมส์[[ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก]]ช่วงปลายฤดูกาล2550 จนต้องถอนตัวออกจากทีมชาติไทยชุด[[ซีเกมส์ 2007]]ที่นครรราชสีมา และไม่ค่อยได้ลงสนามมากนักในฤดูกาลต่อมา ใน[[ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก]]ฤดูกาล 2552 หัตฐพร สุวรรณย้ายจากสโมสร[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้า]]มาร่วมทีมเมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด โดยสวมเสื้อหมายเลข8 และลงสนามนัดแรกในเกมลีกนัดที่12 เมื่อวันที่30 พฤษภาคม 2552 ในเกมส์ที่บุกชนะทีม[[สโมสรฟุตบอลชลบุรี|ชลบุรี เอฟซี]] 2-5 ที่สนามเทศบาลหนองปรือ โดยเขาเป็นคนยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ5-2 เดือนสิงหาคม 2553 ย้ายจากทีม BEC เทโรศาสน ไปเล่นให้กับ ทีมศรีสะเกษเมืองไทย FC พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างวุฒิชัย ทาทองผลงานกับทีมสโมสร ผลงานกับทีมสโมสร. แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (พนักงานยาสูบ) แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด)ผลงานกับทีมชาติไทยผลงานกับทีมชาติไทย. - ทีมชาติไทยชุดเอเชียนเกมส์ ที่กรุงโดฮา ปี2006 - ทีมชาติไทยชุด[[อาเชียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ|อาเชียน คัพ]] - ทีมชาติไทยชุดเอเชี่ยน คัพ 2007 ที่ประเทศไทย - แชมป์[[คิงส์คัพ]] [[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดลำพูน]] [[หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวไทย]] [[หมวดหมู่:นิสิตเก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] [[หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม]]
มารดาของหัตฐพร สุวรรณ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ของสโมสรสโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสน 10 คือใคร
{ "answer": [ "นางบัวคำ สุวรรณ" ], "answer_begin_position": [ 501 ], "answer_end_position": [ 516 ] }
1,618
69,877
หัตฐพร สุวรรณ หัตฐพร สุวรรณ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ของสโมสรสโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสน 10 (10)ในไทยพรีเมียร์ลีก และยังเคยเล่นให้สโมสรอิ่นๆในไทยเช่น[[สโมสรพนักงานยาสูบ]10(20)]และ[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค12(80)และ เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด]1.5(70)ประวัติ ประวัติ. หัตฐพร สุวรรณ เกิดวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2527 ที่บ้านทุ่งหัวช้าง [[อำเภอทุ่งหัวช้าง]] [[จังหวัดลำพูน]] เป็นบุตรคนเดียวของนายชุมพลและนางบัวคำ สุวรรณ เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่[[โรงเรียนเวียงเจดีย์วิทยา]] [[จังหวัดลำพูน]] และชั้นม.ปลายที่[[โรงเรียนวัดสุทธิวราราม]] ก่อนจะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุโทรทัศน์ [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] หัตฐพร เริ่มเล่นฟุตบอลระดับสโมสรกับสมาคมกีฬาคริสเตียนไทยและได้เล่น[[ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก]]ครั้งแรกโดยการย้ายมาร่วมทีม[[สโมสรพนักงานยาสูบ]]ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้า]]และประสบปัญหาอาการบาดเจ็บหนักบริเวณเอ็นหัวเข่าจากเกมส์[[ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก]]ช่วงปลายฤดูกาล2550 จนต้องถอนตัวออกจากทีมชาติไทยชุด[[ซีเกมส์ 2007]]ที่นครรราชสีมา และไม่ค่อยได้ลงสนามมากนักในฤดูกาลต่อมา ใน[[ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก]]ฤดูกาล 2552 หัตฐพร สุวรรณย้ายจากสโมสร[[สโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค|การไฟฟ้า]]มาร่วมทีมเมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด โดยสวมเสื้อหมายเลข8 และลงสนามนัดแรกในเกมลีกนัดที่12 เมื่อวันที่30 พฤษภาคม 2552 ในเกมส์ที่บุกชนะทีม[[สโมสรฟุตบอลชลบุรี|ชลบุรี เอฟซี]] 2-5 ที่สนามเทศบาลหนองปรือ โดยเขาเป็นคนยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ5-2 เดือนสิงหาคม 2553 ย้ายจากทีม BEC เทโรศาสน ไปเล่นให้กับ ทีมศรีสะเกษเมืองไทย FC พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างวุฒิชัย ทาทองผลงานกับทีมสโมสร ผลงานกับทีมสโมสร. แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (พนักงานยาสูบ) แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก (เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด)ผลงานกับทีมชาติไทยผลงานกับทีมชาติไทย. - ทีมชาติไทยชุดเอเชียนเกมส์ ที่กรุงโดฮา ปี2006 - ทีมชาติไทยชุด[[อาเชียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ|อาเชียน คัพ]] - ทีมชาติไทยชุดเอเชี่ยน คัพ 2007 ที่ประเทศไทย - แชมป์[[คิงส์คัพ]] [[หมวดหมู่:บุคคลจากจังหวัดลำพูน]] [[หมวดหมู่:นักฟุตบอลชาวไทย]] [[หมวดหมู่:นิสิตเก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]] [[หมวดหมู่:บุคคลจากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม]]
หัตฐพร สุวรรณ นักฟุตบอลทีมชาติไทย เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "23" ], "answer_begin_position": [ 396 ], "answer_end_position": [ 398 ] }
1,621
94,726
จันลูกา ซัมบรอตตา จันลูกา ซัมบรอตตา () เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1977 ประเทศอิตาลี เป็นนักฟุตบอลตำแหน่งกองหลังฝั่งซ้ายและขวา ส่วนมากจะอยู่ทางซ้ายคอยเติมเกมรุกให้กับทีม ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ เอซีมิลาน ซัมบรอตตาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี ในปี ค.ศ. 1994 เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลโกโม ในบ้านเกิดซึ่งอยู่ในลีกเซเรียบี ซึ่งเขาได้ลงเล่นเพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1995 โกโมตกชั้นไปอยู่เซเรียชิ 1 ซัมบรอตตาก็กลายเป็นตัวหลักของทีมในฤดูกาล 1995-1996 และ 1996-1997 เขาลงสนามไปทั้งหมด 47 นัด ทำได้ 6 ประตู ในปี ค.ศ. 1997 ซัมบรอตตาได้เล่นในลีกสูงสุดครั้งแรกในเซเรียอา โดยทีมบารีดึงตัวไปร่วมทีมและเป็นกำลังหลักช่วยให้ทีมบารีขึ้นชั้นไปเล่นในเซเรียอาได้สำเร็จ ซัมบรอตตาเล่นทางฝั่งซ้าย และยิงได้ 2 ประตู จากการเล่น 27 นัด ในเกมเซเรียอาครั้งแรกของเขา ในปี ค.ศ. 1999 ซัมบรอตตาติดทีมชาติอิตาลีอายุต่ำกว่า 21 ปี และได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรก ในนัดอุ่นครั้งพบกับทีมชาตินอร์เวย์ เขาเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติคนแรกในรอบ 50 ปีของสโมสรบารี ในฤดูกาล 1998-1999 ซัมบรอตตาได้ลงเล่น 32 นัด ทำได้ 4 ประตู ทำทีมใหญ่อย่างยูเวนตุสสนใจเป็นอย่างมากและได้ยื่นซื้อด้วยค่าต้ว 15.85 ล้านปอนด์
จันลูกา ซัมบรอตตา นักฟุตบอล เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "19" ], "answer_begin_position": [ 145 ], "answer_end_position": [ 147 ] }
1,622
94,726
จันลูกา ซัมบรอตตา จันลูกา ซัมบรอตตา () เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1977 ประเทศอิตาลี เป็นนักฟุตบอลตำแหน่งกองหลังฝั่งซ้ายและขวา ส่วนมากจะอยู่ทางซ้ายคอยเติมเกมรุกให้กับทีม ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ เอซีมิลาน ซัมบรอตตาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี ในปี ค.ศ. 1994 เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลโกโม ในบ้านเกิดซึ่งอยู่ในลีกเซเรียบี ซึ่งเขาได้ลงเล่นเพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1995 โกโมตกชั้นไปอยู่เซเรียชิ 1 ซัมบรอตตาก็กลายเป็นตัวหลักของทีมในฤดูกาล 1995-1996 และ 1996-1997 เขาลงสนามไปทั้งหมด 47 นัด ทำได้ 6 ประตู ในปี ค.ศ. 1997 ซัมบรอตตาได้เล่นในลีกสูงสุดครั้งแรกในเซเรียอา โดยทีมบารีดึงตัวไปร่วมทีมและเป็นกำลังหลักช่วยให้ทีมบารีขึ้นชั้นไปเล่นในเซเรียอาได้สำเร็จ ซัมบรอตตาเล่นทางฝั่งซ้าย และยิงได้ 2 ประตู จากการเล่น 27 นัด ในเกมเซเรียอาครั้งแรกของเขา ในปี ค.ศ. 1999 ซัมบรอตตาติดทีมชาติอิตาลีอายุต่ำกว่า 21 ปี และได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรก ในนัดอุ่นครั้งพบกับทีมชาตินอร์เวย์ เขาเป็นผู้เล่นที่ติดทีมชาติคนแรกในรอบ 50 ปีของสโมสรบารี ในฤดูกาล 1998-1999 ซัมบรอตตาได้ลงเล่น 32 นัด ทำได้ 4 ประตู ทำทีมใหญ่อย่างยูเวนตุสสนใจเป็นอย่างมากและได้ยื่นซื้อด้วยค่าต้ว 15.85 ล้านปอนด์
จันลูกา ซัมบรอตตา เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1994 มีอายุเท่าไร
{ "answer": [ "17 ปี" ], "answer_begin_position": [ 347 ], "answer_end_position": [ 352 ] }
1,634
142,353
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 - ) เป็น ศิลปินแห่งชาติ นักแสดง นักร้อง นักเขียน และนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการแนะนำและจัดระดับความอร่อยของร้านอาหาร ในชื่อ "เชลล์ชวนชิม" สัญลักษณ์ชามลายผักกาด ทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 โดยดัดแปลงมาจาก "มิชลินไกด์" ของผลิตภัณฑ์มิชลิน รายการโทรทัศน์ "การบินไทยไขจักรวาล", "ครอบจักรวาล" (และมีรายการวิทยุ) ติดต่อกันมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง ที่มีชื่อเสียง เช่น ข้องจิต, สีชัง, ยามรัก, หวงรัก, วนาสวาท, ระฆังทอง, โศก ฯลฯประวัติ ประวัติ. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นโอรสคนใหญ่ใน หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์ กับ หม่อมเจริญ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เกิดวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2469(ปีขาล) ที่วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์) เติบโตอยู่ภายในวังสระปทุมมีพี่สาวและน้องชาย คือ 1) เภสัชกรหญิง หม่อมราชวงศ์สนองศรี สวัสดิวัตน์ 2) หม่อมราชวงศ์เพิ่มศรี สวัสดิวัตน์ ท.ช. ,ท.ม. เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนราชินี พ.ศ. 2481 และโรงเรียนเทพศิรินทร์ พ.ศ. 2485 มีเลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.5444 จนจบชั้นมัธยมในปีต่อมา นับรุ่นคือนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์รุ่นปี 2485 แล้วศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มเข้าวงการบันเทิง เป็นนักแสดงและร้องเพลงหารายได้ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษงานด้านสื่อสารมวลชน งานด้านสื่อสารมวลชน. นักจัดรายการวิทยุ บีบีซี ภาคภาษาไทย ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับประเทศไทย ได้เป็นนักร้องให้กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมงานกับโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ด้านละครและขับเสภา/ร้องเพลงไทย เคยรับบทเด่น เป็น "ตั๋งโต๊ะ" ในงิ้วไทย "สามก๊ก" บทพระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งมี อารีย์ นักดนตรี และเทิ่ง สติเฟื่อง ร่วมแสดง พ.ศ. 2499 รวมถึงแสดงนำใน "สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน" ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์เรื่องแรกของไทย พ.ศ. 2499 ในปีเดียวกันด้วย ดาราร่วมแสดงภาพยนตร์ไทย "วนาลี" พ.ศ. 2502 และ "นางแมวผี" พ.ศ. 2503 นักแสดงรับเชิญ ร่วมกับ คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร, อิงอร ฯลฯ ในรายการ "สัมนานักสืบ" ดำเนินรายการโดย พ.อ.ถาวร ช่วยประสิทธิ์ ทางทีวีกองทัพบก ช่อง 7 ขาวดำ (ททบ.ช่อง 5 ปัจจุบัน) พ.ศ. 2508 ปรากฏตัวพิเศษฉากเพลง "ยามรัก" ในภาพยนตร์ไทยซาวด์ออนฟิล์ม เรื่อง "กลัวเมีย" ของ ศรีกรุงภาพยนตร์ (ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) พ.ศ. 2514 กำกับการแสดงโดย ขุนวิจิตรมาตรา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ ผู้จัดและดำเนินรายการวิทยุ "ครอบจักรวาล" ช่วงทศวรรษ 2520-2530 ปัจจุบัน ยังเขียนบทความประจำคอลัมน์ "ถนัดศรีชวนชิม" ให้กับหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมถึงผลิตและจัดรายการโทรทัศน์ร่วมกับบุตรชาย หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) พ.ศ. 2551งานการเมือง งานการเมือง. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516ความภูมิใจความภูมิใจ. - ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) พ.ศ. 2551- รางวัลนราธิป "นักเขียนอาวุโส" พ.ศ. 2551- รางวัลเกียรติยศคนทีวี ในงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 25 ประจำปี พ.ศ. 2551ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สมรสครั้งที่ 1 (2495 - 2501) กับ หม่อมหลวงประอร มาลากุล มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) - พลตรี หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์ (คุณจิ๋ว) มีบุตรธิดา 4 คนคือ- จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กุณฑลทิพย์ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - จิรวุฒิ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา สมรสครั้งที่ 2 (2505 - ปัจจุบัน) กับ นางโรจนา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม สวนรัตน์) มีบุตร 1 คน คือ- หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์) มีบุตร 2 คน - อรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - ภิรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2552 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2516" ], "answer_begin_position": [ 2728 ], "answer_end_position": [ 2732 ] }
1,635
142,353
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 - ) เป็น ศิลปินแห่งชาติ นักแสดง นักร้อง นักเขียน และนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการแนะนำและจัดระดับความอร่อยของร้านอาหาร ในชื่อ "เชลล์ชวนชิม" สัญลักษณ์ชามลายผักกาด ทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 โดยดัดแปลงมาจาก "มิชลินไกด์" ของผลิตภัณฑ์มิชลิน รายการโทรทัศน์ "การบินไทยไขจักรวาล", "ครอบจักรวาล" (และมีรายการวิทยุ) ติดต่อกันมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง ที่มีชื่อเสียง เช่น ข้องจิต, สีชัง, ยามรัก, หวงรัก, วนาสวาท, ระฆังทอง, โศก ฯลฯประวัติ ประวัติ. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นโอรสคนใหญ่ใน หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์ กับ หม่อมเจริญ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เกิดวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2469(ปีขาล) ที่วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์) เติบโตอยู่ภายในวังสระปทุมมีพี่สาวและน้องชาย คือ 1) เภสัชกรหญิง หม่อมราชวงศ์สนองศรี สวัสดิวัตน์ 2) หม่อมราชวงศ์เพิ่มศรี สวัสดิวัตน์ ท.ช. ,ท.ม. เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนราชินี พ.ศ. 2481 และโรงเรียนเทพศิรินทร์ พ.ศ. 2485 มีเลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.5444 จนจบชั้นมัธยมในปีต่อมา นับรุ่นคือนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์รุ่นปี 2485 แล้วศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มเข้าวงการบันเทิง เป็นนักแสดงและร้องเพลงหารายได้ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษงานด้านสื่อสารมวลชน งานด้านสื่อสารมวลชน. นักจัดรายการวิทยุ บีบีซี ภาคภาษาไทย ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับประเทศไทย ได้เป็นนักร้องให้กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมงานกับโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ด้านละครและขับเสภา/ร้องเพลงไทย เคยรับบทเด่น เป็น "ตั๋งโต๊ะ" ในงิ้วไทย "สามก๊ก" บทพระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งมี อารีย์ นักดนตรี และเทิ่ง สติเฟื่อง ร่วมแสดง พ.ศ. 2499 รวมถึงแสดงนำใน "สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน" ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์เรื่องแรกของไทย พ.ศ. 2499 ในปีเดียวกันด้วย ดาราร่วมแสดงภาพยนตร์ไทย "วนาลี" พ.ศ. 2502 และ "นางแมวผี" พ.ศ. 2503 นักแสดงรับเชิญ ร่วมกับ คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร, อิงอร ฯลฯ ในรายการ "สัมนานักสืบ" ดำเนินรายการโดย พ.อ.ถาวร ช่วยประสิทธิ์ ทางทีวีกองทัพบก ช่อง 7 ขาวดำ (ททบ.ช่อง 5 ปัจจุบัน) พ.ศ. 2508 ปรากฏตัวพิเศษฉากเพลง "ยามรัก" ในภาพยนตร์ไทยซาวด์ออนฟิล์ม เรื่อง "กลัวเมีย" ของ ศรีกรุงภาพยนตร์ (ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) พ.ศ. 2514 กำกับการแสดงโดย ขุนวิจิตรมาตรา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ ผู้จัดและดำเนินรายการวิทยุ "ครอบจักรวาล" ช่วงทศวรรษ 2520-2530 ปัจจุบัน ยังเขียนบทความประจำคอลัมน์ "ถนัดศรีชวนชิม" ให้กับหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมถึงผลิตและจัดรายการโทรทัศน์ร่วมกับบุตรชาย หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) พ.ศ. 2551งานการเมือง งานการเมือง. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516ความภูมิใจความภูมิใจ. - ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) พ.ศ. 2551- รางวัลนราธิป "นักเขียนอาวุโส" พ.ศ. 2551- รางวัลเกียรติยศคนทีวี ในงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 25 ประจำปี พ.ศ. 2551ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สมรสครั้งที่ 1 (2495 - 2501) กับ หม่อมหลวงประอร มาลากุล มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) - พลตรี หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์ (คุณจิ๋ว) มีบุตรธิดา 4 คนคือ- จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กุณฑลทิพย์ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - จิรวุฒิ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา สมรสครั้งที่ 2 (2505 - ปัจจุบัน) กับ นางโรจนา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม สวนรัตน์) มีบุตร 1 คน คือ- หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์) มีบุตร 2 คน - อรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - ภิรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2552 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นโอรสองค์โตใน หม่อมเจ้าพระองค์ใด
{ "answer": [ "หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์" ], "answer_begin_position": [ 740 ], "answer_end_position": [ 780 ] }
1,923
142,353
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 - ) เป็น ศิลปินแห่งชาติ นักแสดง นักร้อง นักเขียน และนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการแนะนำและจัดระดับความอร่อยของร้านอาหาร ในชื่อ "เชลล์ชวนชิม" สัญลักษณ์ชามลายผักกาด ทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 โดยดัดแปลงมาจาก "มิชลินไกด์" ของผลิตภัณฑ์มิชลิน รายการโทรทัศน์ "การบินไทยไขจักรวาล", "ครอบจักรวาล" (และมีรายการวิทยุ) ติดต่อกันมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง ที่มีชื่อเสียง เช่น ข้องจิต, สีชัง, ยามรัก, หวงรัก, วนาสวาท, ระฆังทอง, โศก ฯลฯประวัติ ประวัติ. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นโอรสคนใหญ่ใน หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์ กับ หม่อมเจริญ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เกิดวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2469(ปีขาล) ที่วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์) เติบโตอยู่ภายในวังสระปทุมมีพี่สาวและน้องชาย คือ 1) เภสัชกรหญิง หม่อมราชวงศ์สนองศรี สวัสดิวัตน์ 2) หม่อมราชวงศ์เพิ่มศรี สวัสดิวัตน์ ท.ช. ,ท.ม. เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนราชินี พ.ศ. 2481 และโรงเรียนเทพศิรินทร์ พ.ศ. 2485 มีเลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.5444 จนจบชั้นมัธยมในปีต่อมา นับรุ่นคือนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์รุ่นปี 2485 แล้วศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มเข้าวงการบันเทิง เป็นนักแสดงและร้องเพลงหารายได้ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษงานด้านสื่อสารมวลชน งานด้านสื่อสารมวลชน. นักจัดรายการวิทยุ บีบีซี ภาคภาษาไทย ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับประเทศไทย ได้เป็นนักร้องให้กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมงานกับโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ด้านละครและขับเสภา/ร้องเพลงไทย เคยรับบทเด่น เป็น "ตั๋งโต๊ะ" ในงิ้วไทย "สามก๊ก" บทพระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งมี อารีย์ นักดนตรี และเทิ่ง สติเฟื่อง ร่วมแสดง พ.ศ. 2499 รวมถึงแสดงนำใน "สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน" ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์เรื่องแรกของไทย พ.ศ. 2499 ในปีเดียวกันด้วย ดาราร่วมแสดงภาพยนตร์ไทย "วนาลี" พ.ศ. 2502 และ "นางแมวผี" พ.ศ. 2503 นักแสดงรับเชิญ ร่วมกับ คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร, อิงอร ฯลฯ ในรายการ "สัมนานักสืบ" ดำเนินรายการโดย พ.อ.ถาวร ช่วยประสิทธิ์ ทางทีวีกองทัพบก ช่อง 7 ขาวดำ (ททบ.ช่อง 5 ปัจจุบัน) พ.ศ. 2508 ปรากฏตัวพิเศษฉากเพลง "ยามรัก" ในภาพยนตร์ไทยซาวด์ออนฟิล์ม เรื่อง "กลัวเมีย" ของ ศรีกรุงภาพยนตร์ (ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) พ.ศ. 2514 กำกับการแสดงโดย ขุนวิจิตรมาตรา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ ผู้จัดและดำเนินรายการวิทยุ "ครอบจักรวาล" ช่วงทศวรรษ 2520-2530 ปัจจุบัน ยังเขียนบทความประจำคอลัมน์ "ถนัดศรีชวนชิม" ให้กับหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมถึงผลิตและจัดรายการโทรทัศน์ร่วมกับบุตรชาย หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) พ.ศ. 2551งานการเมือง งานการเมือง. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516ความภูมิใจความภูมิใจ. - ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) พ.ศ. 2551- รางวัลนราธิป "นักเขียนอาวุโส" พ.ศ. 2551- รางวัลเกียรติยศคนทีวี ในงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 25 ประจำปี พ.ศ. 2551ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สมรสครั้งที่ 1 (2495 - 2501) กับ หม่อมหลวงประอร มาลากุล มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) - พลตรี หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์ (คุณจิ๋ว) มีบุตรธิดา 4 คนคือ- จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กุณฑลทิพย์ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - จิรวุฒิ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา สมรสครั้งที่ 2 (2505 - ปัจจุบัน) กับ นางโรจนา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม สวนรัตน์) มีบุตร 1 คน คือ- หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์) มีบุตร 2 คน - อรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - ภิรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2552 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
พระบิดาของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ คือผู้ใด
{ "answer": [ "หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์" ], "answer_begin_position": [ 740 ], "answer_end_position": [ 780 ] }
1,924
142,353
หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (28 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 - ) เป็น ศิลปินแห่งชาติ นักแสดง นักร้อง นักเขียน และนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการแนะนำและจัดระดับความอร่อยของร้านอาหาร ในชื่อ "เชลล์ชวนชิม" สัญลักษณ์ชามลายผักกาด ทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 โดยดัดแปลงมาจาก "มิชลินไกด์" ของผลิตภัณฑ์มิชลิน รายการโทรทัศน์ "การบินไทยไขจักรวาล", "ครอบจักรวาล" (และมีรายการวิทยุ) ติดต่อกันมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง ที่มีชื่อเสียง เช่น ข้องจิต, สีชัง, ยามรัก, หวงรัก, วนาสวาท, ระฆังทอง, โศก ฯลฯประวัติ ประวัติ. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นโอรสคนใหญ่ใน หม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์ กับ หม่อมเจริญ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เกิดวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2469(ปีขาล) ที่วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์) เติบโตอยู่ภายในวังสระปทุมมีพี่สาวและน้องชาย คือ 1) เภสัชกรหญิง หม่อมราชวงศ์สนองศรี สวัสดิวัตน์ 2) หม่อมราชวงศ์เพิ่มศรี สวัสดิวัตน์ ท.ช. ,ท.ม. เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนราชินี พ.ศ. 2481 และโรงเรียนเทพศิรินทร์ พ.ศ. 2485 มีเลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.5444 จนจบชั้นมัธยมในปีต่อมา นับรุ่นคือนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์รุ่นปี 2485 แล้วศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มเข้าวงการบันเทิง เป็นนักแสดงและร้องเพลงหารายได้ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษงานด้านสื่อสารมวลชน งานด้านสื่อสารมวลชน. นักจัดรายการวิทยุ บีบีซี ภาคภาษาไทย ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับประเทศไทย ได้เป็นนักร้องให้กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมงานกับโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ด้านละครและขับเสภา/ร้องเพลงไทย เคยรับบทเด่น เป็น "ตั๋งโต๊ะ" ในงิ้วไทย "สามก๊ก" บทพระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งมี อารีย์ นักดนตรี และเทิ่ง สติเฟื่อง ร่วมแสดง พ.ศ. 2499 รวมถึงแสดงนำใน "สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน" ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์เรื่องแรกของไทย พ.ศ. 2499 ในปีเดียวกันด้วย ดาราร่วมแสดงภาพยนตร์ไทย "วนาลี" พ.ศ. 2502 และ "นางแมวผี" พ.ศ. 2503 นักแสดงรับเชิญ ร่วมกับ คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร, อิงอร ฯลฯ ในรายการ "สัมนานักสืบ" ดำเนินรายการโดย พ.อ.ถาวร ช่วยประสิทธิ์ ทางทีวีกองทัพบก ช่อง 7 ขาวดำ (ททบ.ช่อง 5 ปัจจุบัน) พ.ศ. 2508 ปรากฏตัวพิเศษฉากเพลง "ยามรัก" ในภาพยนตร์ไทยซาวด์ออนฟิล์ม เรื่อง "กลัวเมีย" ของ ศรีกรุงภาพยนตร์ (ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) พ.ศ. 2514 กำกับการแสดงโดย ขุนวิจิตรมาตรา นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ ผู้จัดและดำเนินรายการวิทยุ "ครอบจักรวาล" ช่วงทศวรรษ 2520-2530 ปัจจุบัน ยังเขียนบทความประจำคอลัมน์ "ถนัดศรีชวนชิม" ให้กับหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมถึงผลิตและจัดรายการโทรทัศน์ร่วมกับบุตรชาย หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) พ.ศ. 2551งานการเมือง งานการเมือง. หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516ความภูมิใจความภูมิใจ. - ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) พ.ศ. 2551- รางวัลนราธิป "นักเขียนอาวุโส" พ.ศ. 2551- รางวัลเกียรติยศคนทีวี ในงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 25 ประจำปี พ.ศ. 2551ชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. สมรสครั้งที่ 1 (2495 - 2501) กับ หม่อมหลวงประอร มาลากุล มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (คุณหมึกแดง) - พลตรี หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์ (คุณจิ๋ว) มีบุตรธิดา 4 คนคือ- จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - กุณฑลทิพย์ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - จิรวุฒิ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา สมรสครั้งที่ 2 (2505 - ปัจจุบัน) กับ นางโรจนา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม สวนรัตน์) มีบุตร 1 คน คือ- หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (คุณอิงค์) มีบุตร 2 คน - อรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา - ภิรดา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2552 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
มารดาของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ คือผู้ใด
{ "answer": [ "หม่อมเจริญ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา" ], "answer_begin_position": [ 785 ], "answer_end_position": [ 816 ] }
1,641
153,193
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ประสูติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2458 เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับ หม่อมเล็ก ยงใจยุทธ เมื่อประสูติทรงเป็นหม่อมเจ้าชาย ประชวรด้วยพระโรคเกี่ยวกับสมองตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ในรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2497พระเกียรติยศพระเกียรติยศ. - หม่อมเจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ภาณุพันธุ์ (9 ธันวาคม พ.ศ. 2458 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470)- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2497)เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)
พระมารดาของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ คือผู้ใด
{ "answer": [ "หม่อมเล็ก ยงใจยุทธ" ], "answer_begin_position": [ 336 ], "answer_end_position": [ 354 ] }
1,642
153,193
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ประสูติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2458 เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับ หม่อมเล็ก ยงใจยุทธ เมื่อประสูติทรงเป็นหม่อมเจ้าชาย ประชวรด้วยพระโรคเกี่ยวกับสมองตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ในรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2497พระเกียรติยศพระเกียรติยศ. - หม่อมเจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ภาณุพันธุ์ (9 ธันวาคม พ.ศ. 2458 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470)- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2497)เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ประสูติเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "9" ], "answer_begin_position": [ 222 ], "answer_end_position": [ 223 ] }
1,655
213,498
เคลลี่ ธนะพัฒน์ เคลลี่ ธนะพัฒน์ มีชื่อจริงว่า รัฐพงศ์ ธนะพัฒน์ (เกิด 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513) ชื่อเล่น เคลลี่ เป็นนักแสดงลูกครึ่ง ชาวไทยสัญชาติอเมริกัน จบการศึกษาจาก University of California San Diego ประเทศสหรัฐอเมริกา คณะวิทยาศาสตรบัณฑิต เข้าสู่วงการบันเทิงโดยบริษัท ทีวีธันเดอร์ มีผลงานละครเรื่องแรกคือ รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ ที่ก็ทำให้เคลลี่มีชื่อเสียงจากละครเรื่องนี้ ในปี 2552 ในงานแจกรางวัลท็อปอวอร์ด 2008 เขาได้รับรางวัลในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง คมแฝก งานแจกรางวัลทีวีพูลสตาร์ปาร์ตี้อวอร์ดส์ 2009 ได้รับรางวัลในสาขาพระร้ายยอดฝีมือ จากละครเรื่อง คมแฝก ด้านชีวิตส่วนตัว ปัจจุบันคบกับสาวชนุชตรา สุขสันต์ หรือ นาย นักแสดงละครจักรๆ วงศ์ๆ ทางช่อง 7 และจะสมรสกันเร็วๆนี้ผลงานภาพยนตร์ผลงาน. ภาพยนตร์. - บางคนแคร์ แคร์บางคน (ปี 2554 / SAGA STUDIO)รางวัลรางวัล. - ท็อปอวอร์ด 2008 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง คมแฝก (2551) - ทีวีพูลสตาร์ปาร์ตี้อวอร์ดส์ 2009 สาขาพระร้ายยอดฝีมือ จากละครเรื่อง คมแฝก (2552) - ท็อปอวอร์ด 2010 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว (2554) - รางวัลพิฆเนศวร ครั้งที่ 2 ประจำปี 2556 สาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง (2556) - คนไทยตัวอย่าง ประจำปี 2559 - รางวัลลูกกตัญญู ประจำปี 2560 - รางวัลนาคราช สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม จากละคร เพลิงพระนาง ประจำปี 2560 - รางวัล Top 100 International Business Style Awards 2018 ที่ ประเทศเวียดนาม (2561)เข้าชิงรางวัลเข้าชิงรางวัล. - สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2008 ครั้งที่ 7 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง คมแฝก (2551) - สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2009 ครั้งที่ 8 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง รุกฆาต (2552) - ท็อปอวอร์ด 2012 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ลูกผู้ชายไม้ตะพด (2555) - รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 12 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เงา (2558)
เคลลี่ ธนะพัฒน์ มีชื่อจริงว่า รัฐพงศ์ ธนะพัฒน์ จบการศึกษาปริญญาตรีจากที่ใด
{ "answer": [ "University of California San Diego" ], "answer_begin_position": [ 254 ], "answer_end_position": [ 288 ] }
1,656
213,498
เคลลี่ ธนะพัฒน์ เคลลี่ ธนะพัฒน์ มีชื่อจริงว่า รัฐพงศ์ ธนะพัฒน์ (เกิด 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513) ชื่อเล่น เคลลี่ เป็นนักแสดงลูกครึ่ง ชาวไทยสัญชาติอเมริกัน จบการศึกษาจาก University of California San Diego ประเทศสหรัฐอเมริกา คณะวิทยาศาสตรบัณฑิต เข้าสู่วงการบันเทิงโดยบริษัท ทีวีธันเดอร์ มีผลงานละครเรื่องแรกคือ รักนิด ๆ คิดเท่าไหร่ ที่ก็ทำให้เคลลี่มีชื่อเสียงจากละครเรื่องนี้ ในปี 2552 ในงานแจกรางวัลท็อปอวอร์ด 2008 เขาได้รับรางวัลในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง คมแฝก งานแจกรางวัลทีวีพูลสตาร์ปาร์ตี้อวอร์ดส์ 2009 ได้รับรางวัลในสาขาพระร้ายยอดฝีมือ จากละครเรื่อง คมแฝก ด้านชีวิตส่วนตัว ปัจจุบันคบกับสาวชนุชตรา สุขสันต์ หรือ นาย นักแสดงละครจักรๆ วงศ์ๆ ทางช่อง 7 และจะสมรสกันเร็วๆนี้ผลงานภาพยนตร์ผลงาน. ภาพยนตร์. - บางคนแคร์ แคร์บางคน (ปี 2554 / SAGA STUDIO)รางวัลรางวัล. - ท็อปอวอร์ด 2008 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง คมแฝก (2551) - ทีวีพูลสตาร์ปาร์ตี้อวอร์ดส์ 2009 สาขาพระร้ายยอดฝีมือ จากละครเรื่อง คมแฝก (2552) - ท็อปอวอร์ด 2010 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว (2554) - รางวัลพิฆเนศวร ครั้งที่ 2 ประจำปี 2556 สาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง (2556) - คนไทยตัวอย่าง ประจำปี 2559 - รางวัลลูกกตัญญู ประจำปี 2560 - รางวัลนาคราช สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม จากละคร เพลิงพระนาง ประจำปี 2560 - รางวัล Top 100 International Business Style Awards 2018 ที่ ประเทศเวียดนาม (2561)เข้าชิงรางวัลเข้าชิงรางวัล. - สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2008 ครั้งที่ 7 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง คมแฝก (2551) - สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2009 ครั้งที่ 8 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง รุกฆาต (2552) - ท็อปอวอร์ด 2012 สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ลูกผู้ชายไม้ตะพด (2555) - รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 12 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง เงา (2558)
เคลลี่ ธนะพัฒน์ มีชื่อจริงว่า รัฐพงศ์ ธนะพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "8" ], "answer_begin_position": [ 159 ], "answer_end_position": [ 160 ] }
1,659
225,020
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ (ดิศกุล; 24 ธันวาคม 2460) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 15 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล (ท่านหญิงเพียน) ประสูติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2460 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา (ศตะรัต) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ทรงมีเชษฐาและเชษภคินี ร่วมอุทร 5 องค์ คือ- หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล (8 เมษายน พ.ศ. 2445 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549) - พรพิลาศ บุนนาค (10 ธันวาคม พ.ศ. 2447 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2519) - หม่อมเจ้าพวงมาศผกา ดิศกุล (3 กันยายน พ.ศ. 2450 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2526) - หม่อมเจ้าศุกรวรรณดิศ ดิศกุล (14 มกราคม พ.ศ. 2453 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) - เราหิณาวดี กำภู (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 - 1 มีนาคม พ.ศ. 2527)ชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมเจริญ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา มีโอรส - ธิดา 6 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พิมลพักตร์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์จำเริญลักษณ์ โสฬสจินดา - พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ประเสริฐศักดิ์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์ดำรงเดช สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์วิไลกัญญา วิชัยดิษฐ์ - หม่อมราชวงศ์อุษณิษา สุขสวัสดิ์ ปัจจุบัน หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ยังทรงชนม์อยู่ และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ชันษาสูงที่สุดและยังทรงชนม์อยู่ โดยปัจจุบันมีชันษา ปี
พระบิดาของหม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ มีพระนามว่าอะไร
{ "answer": [ "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช" ], "answer_begin_position": [ 1169 ], "answer_end_position": [ 1227 ] }
1,660
225,020
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ (ดิศกุล; 24 ธันวาคม 2460) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 15 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล (ท่านหญิงเพียน) ประสูติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2460 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา (ศตะรัต) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ทรงมีเชษฐาและเชษภคินี ร่วมอุทร 5 องค์ คือ- หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล (8 เมษายน พ.ศ. 2445 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549) - พรพิลาศ บุนนาค (10 ธันวาคม พ.ศ. 2447 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2519) - หม่อมเจ้าพวงมาศผกา ดิศกุล (3 กันยายน พ.ศ. 2450 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2526) - หม่อมเจ้าศุกรวรรณดิศ ดิศกุล (14 มกราคม พ.ศ. 2453 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) - เราหิณาวดี กำภู (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 - 1 มีนาคม พ.ศ. 2527)ชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมเจริญ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา มีโอรส - ธิดา 6 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พิมลพักตร์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์จำเริญลักษณ์ โสฬสจินดา - พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ประเสริฐศักดิ์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์ดำรงเดช สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์วิไลกัญญา วิชัยดิษฐ์ - หม่อมราชวงศ์อุษณิษา สุขสวัสดิ์ ปัจจุบัน หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ยังทรงชนม์อยู่ และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ชันษาสูงที่สุดและยังทรงชนม์อยู่ โดยปัจจุบันมีชันษา ปี
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล หรือ ท่านหญิงเพียน ประสูติเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "24" ], "answer_begin_position": [ 457 ], "answer_end_position": [ 459 ] }
1,785
225,020
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ (ดิศกุล; 24 ธันวาคม 2460) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 15 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล (ท่านหญิงเพียน) ประสูติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2460 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา (ศตะรัต) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ทรงมีเชษฐาและเชษภคินี ร่วมอุทร 5 องค์ คือ- หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล (8 เมษายน พ.ศ. 2445 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549) - พรพิลาศ บุนนาค (10 ธันวาคม พ.ศ. 2447 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2519) - หม่อมเจ้าพวงมาศผกา ดิศกุล (3 กันยายน พ.ศ. 2450 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2526) - หม่อมเจ้าศุกรวรรณดิศ ดิศกุล (14 มกราคม พ.ศ. 2453 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) - เราหิณาวดี กำภู (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 - 1 มีนาคม พ.ศ. 2527)ชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมเจริญ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา มีโอรส - ธิดา 6 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พิมลพักตร์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์จำเริญลักษณ์ โสฬสจินดา - พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ประเสริฐศักดิ์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์ดำรงเดช สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์วิไลกัญญา วิชัยดิษฐ์ - หม่อมราชวงศ์อุษณิษา สุขสวัสดิ์ ปัจจุบัน หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ยังทรงชนม์อยู่ และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ชันษาสูงที่สุดและยังทรงชนม์อยู่ โดยปัจจุบันมีชันษา ปี
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ เสกสมรสกับผู้ใด
{ "answer": [ "หม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ" ], "answer_begin_position": [ 1132 ], "answer_end_position": [ 1159 ] }
1,786
225,020
หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ (ดิศกุล; 24 ธันวาคม 2460) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 15 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล (ท่านหญิงเพียน) ประสูติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2460 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับหม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา (ศตะรัต) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ทรงมีเชษฐาและเชษภคินี ร่วมอุทร 5 องค์ คือ- หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล (8 เมษายน พ.ศ. 2445 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549) - พรพิลาศ บุนนาค (10 ธันวาคม พ.ศ. 2447 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2519) - หม่อมเจ้าพวงมาศผกา ดิศกุล (3 กันยายน พ.ศ. 2450 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2526) - หม่อมเจ้าศุกรวรรณดิศ ดิศกุล (14 มกราคม พ.ศ. 2453 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519) - เราหิณาวดี กำภู (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 - 1 มีนาคม พ.ศ. 2527)ชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสพสุข ศุขสวัสดิ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมเจริญ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา มีโอรส - ธิดา 6 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พิมลพักตร์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์จำเริญลักษณ์ โสฬสจินดา - พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ประเสริฐศักดิ์ สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์ดำรงเดช สุขสวัสดิ์ - หม่อมราชวงศ์วิไลกัญญา วิชัยดิษฐ์ - หม่อมราชวงศ์อุษณิษา สุขสวัสดิ์ ปัจจุบัน หม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล เป็นพระธิดาเพียงองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ยังทรงชนม์อยู่ และเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ชันษาสูงที่สุดและยังทรงชนม์อยู่ โดยปัจจุบันมีชันษา ปี
พระมารดาของหม่อมเจ้ากฤษณาพักตรพิมล ศุขสวัสดิ มีนามว่าอะไร
{ "answer": [ "หม่อมแสง ดิศกุล ณ อยุธยา" ], "answer_begin_position": [ 286 ], "answer_end_position": [ 310 ] }
1,665
255,743
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ หรือชื่อเดิม จักรพรรณ์ อาบครบุรี หรือ ชื่อเล่นเดิม ก๊อต เกิดเมื่อ 13 กันยายน พ.ศ. 2513 เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน โดยมีบิดาเป็นชาวอเมริกัน ส่วนมารดาพื้นเพเป็นชาวอำเภอครบุรี ภูมิลำเนา อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อเสียงจากเพลงลูกทุ่ง และมีผลงานเพลงลูกทุ่งที่โด่งดังจำนวนมาก จนได้รับฉายา เจ้าชายลูกทุ่ง ออกอัลบั้มชุดแรก แม่ไม้เพลงไทย ในปี พ.ศ. 2533 ที่รวบรวมเพลงลูกทุ่งเก่ามาร้องใหม่ ส่วนอัลบั้มต่อมา เป็นเพลงที่แต่งใหม่ คือ ชุดที่ 2 ก๊อต ช็อต และ ชุดที่ 3 ก๊อต เพราะใจไม่เหมือนเดิม โดยเปลี่ยนเป็นเพลงไทยสากล (สตริง) ก่อนจะกลับมาร้องเพลงลูกทุ่ง ตั้งแต่อัลบั้ม หัวแก้วหัวแหวน ในปี พ.ศ. 2538 โดยเป็นอัลบั้มรวบรวมเพลงลูกทุ่งเก่ามาร้องใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้รับความนิยมมาก แม้จนออกมาถึง 5 ชุด (ภายหลังออกมาอีกจนเป็น 9 ชุด ซึ่งได้รับความนิยมทุกชุด) รวมทั้งอัลบั้มเพลงที่แต่งใหม่ ซึ่งเปลี่ยนกลับเป็นแนวลูกทุ่ง ชุดที่ 4 'เจริญ เจริญ ในปี พ.ศ. 2546 ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน จึงผลงานแนวเพลงลูกทุ่งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อัลบั้มเพลงลูกทุ่งทุกชุด ล้วนมีหนึ่งหรือหลายเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งหลายเพลงหลายอัลบั้มติดอันดับ ในชาร์ตเพลง ของคลื่นวิทยุแนวลูกทุ่ง (กระทั่งมีอัลบั้มรวมฮิตและการว่าจ้างเดินสายแสดงจำนวนมาก) อ้างอิงทุกอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง จนถึงล่าสุดคือ อัลบั้มเพลงแต่งใหม่ ชุดที่ 7 เพชรตัดเพชร, เพลงประกอบละครเธอคือดวงใจ และอัลบั้มเพลงนำมาร้องใหม่ชุด แทนความคิดถึง และเพลง วอนดีเจ ซึ่งก๊อท จักรพันธ์ร้องและแต่งเองประวัติวัยเด็ก และก่อนเข้าวงการเพลง ประวัติ. วัยเด็ก และก่อนเข้าวงการเพลง. จักรพันธ์ อาบครบุรีธีรโชติ บ้านเกิดที่ บ้านไทรโยง ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นลูกคนที่ 3 จาก 4 คน มีมารดา พื้นเพเป็นชาวอำเภอครบุรี และบิดาเป็นชาวอเมริกัน บุตรหนุ่มชื่อ น้องโอเค ชื่อจริง ด.ช. สกาวรัตน์ ครบุรีธีรโชติ เกิดเมื่อวันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554 (7 ปี) บิดาเป็นทหาร ย้ายมาประจำการที่จังหวัดนครราชสีมา จึงพบมารดาซึ่งขณะนั้นเป็นแม่ครัวในค่ายทหาร ทั้งคู่แต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน 4 คน บิดาถูกเรียกตัวกลับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เขายังเด็กมาก โดยไม่มีรูปทิ้งไว้ เขาจึงจำหน้าไม่ได้ มารดาไม่ย้ายไปด้วยตามคำชวน เพราะห่วงยายของเขา และเกรงมีปัญหาการปรับตัวเพราะด้อยการศึกษา และเพราะบิดาต้องย้ายไปประจำการอีกหลายประเทศ จึงขาดการติดต่อทางจดหมายโดยไม่รู้ชะตากรรมในที่สุด เขาจะเป็นเด็กเงียบๆ ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก เพราะบิดายากจน มีลูก 4 คน อยู่บ้านเช่า ทำงานรับจ้างได้ค่าแรงรายวันไม่มาก พี่สาวและพี่ชาย ได้เรียนแค่ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ต้องออกมาทำงานหาเงิน มารดาจึงส่งเขาไปให้อยู่กับตายายที่ อ.ครบุรี เมื่อเขาอายุ 6 ปี เขาเกือบไม่ได้เรียนหนังสือ แต่โชคดี มีคนรู้จักกันขอไปเลี้ยงดูเป็นบุตรที่จังหวัดกาญจนบุรี มารดาตัดสินใจยกให้เพื่ออนาคตของลูก บิดาบุญธรรมเป็นทหาร มารดาบุญธรรมเป็นแม่บ้าน ซึ่งดูแลอย่างดี ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนเกิดใหม่ มีห้องของตัวเองจากที่เคยนอนรวมกัน และได้เข้าโรงเรียน เขาเริ่มได้รับอิทธิพลเรื่องเพลงตั้งแต่ช่วงนั้น บิดามารดาบุญธรรมชอบฟังเพลงลูกกรุง ได้ฟังบ่อยๆ จึงซึมซับ สมัยนั้นการเดินทางการสื่อสารไม่สะดวก จึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ แม่เองก็ไม่ได้มาเพราะภาระการเงิน ซึ่งเขามักถามเสมอว่า ทำไมมารดาไม่มา อยากพบ จนปี พ.ศ. 2523 อายุ 11-12 ปี ยังไม่ทันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บิดามารดาบุญธรรมจึงอนุญาต โดยขอคนสืบให้ ใช้เวลาหลายเดือนจนรู้ว่า มารดาเช่าบ้านอยู่ ในซอยบริเวณสามแยกปักธงชัย เขาเดินทางลำพังจากจังหวัดกาญจนบุรี จนพบและกอดกันร้องไห้ดีใจ และได้รู้จัก สามีใหม่ของแม่ ซึ่งเรียกว่า "ป๋า" เมื่อทุกคนขอร้องให้อยู่ และเริ่มปรับตัวได้ จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน โดยไม่เรียนต่อ ผ่านมา 3 สัปดาห์ ก็ไปทำงานกับป๋า ที่อู่ซ่อมรถ เริ่มจากเด็กฝึกงาน จนเลื่อนเป็นช่างทำสีรถ เมื่ออายุ 13 ปี เท่านั้น ต่อมา เขาต้องออกจากงานช่าง กลับไปอยู่กับตายาย ที่อำเภอครบุรี เพราะน้าเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และช่วยเลี้ยงควาย 3 ตัว แทนน้า เขาปรับตัวใหม่อีกครั้ง บ้านยายเป็นชนบทที่กันดาร ไม่มีไฟฟ้า การเป็นลูกครึ่งในท้องที่นั้นเป็นเรื่องแปลก เพราะผิวขาวกว่าทุกคน จนปรับตัวได้ มีเพื่อนจำนวนมากที่ต้อนควายของตนไปเลี้ยงด้วยกัน ช่วงนั้น วันหนึ่งพบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมแต่มีสนิมห่อผ้าซ่อนอยู่ในที่รกกลางทุ่งนา จึงคาดว่าถูกขโมยมาซ่อนไว้แต่ลืมทิ้ง จึงเก็บมาใช้ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ผูกพันกับเพลงลูกทุ่ง โดยใช้วิทยุเป็นเสมือนครูที่เปิดฟังและร้องตาม ปี พ.ศ. 2527 อยู่กับตายายได้ 4 ปี ก็กลับไปอยู่กับแม่อีก ทำงานเป็นช่างเช่นเดิมแรกเริ่มในในวงการเพลง แรกเริ่มในในวงการเพลง. ทุกวันอาทิตย์ ในตัวจังหวัด มีการประกวดร้องเพลงที่จัดโดย นที สุนันทา ดีเจชื่อดัง ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้เข้าประกวด รายการชุมทางคนเด่น ของ ประจวบ จำปาทอง เขาไปดูทุกครั้งและอยากประกวดมากแต่ไม่กล้า ต่อมา เขาสมัครทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้กับเวทีประกวด โดยไปดูการประกวดทุกครั้งกับเพื่อนที่ชื่นชอบเหมือนกัน เขาร้องเพลงขณะทำงาน เหมือนการฝึก ซึ่งมักร้องเพลงของ สายัณห์ สัญญา หรือ ยอดรัก สลักใจ โดยใช้เพลงดังกล่าวไปประกวด และได้เข้ารอบในครั้งที่ 3 ผู้จัดให้ผู้เข้ารอบได้ร้องเพลงอัดเสียง เพื่อนำไปเปิดในรายการวิทยุให้คนทางบ้านช่วยตัดสิน ช่วงที่รอ เซลส์แมนขายเครื่องเสียงตามบ้าน มาพักที่โรงแรม ซึ่งขณะทดสอบเครื่อง ให้เขาร้องเพลงลองเสียง และชื่นชอบ จึงชวนให้ไปอยู่ด้วย ช่วยขายของ ร้องเพลงเรียกลูกค้า รับเงินเดือนประจำ เขาสนุกกับชีวิตตะลอนทัวร์ประมาณ 2 ปี โดยไม่กลับบ้าน ส่งแต่เงินกลับ จนเดินสายมาถึงจังหวัดระยอง เพื่อนของหัวหน้ากลุ่มเซลล์แมนเปิดร้านคาเฟ่ เขาเห็นคาเฟ่เป็นครั้งแรกและชอบมาก หัวหน้าฝากงานให้ แต่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟ ไม่ได้ขึ้นร้องสักคน จึงไปหางานที่พัทยา เพราะเพื่อนชวน หางานอยู่หลายที่ จนได้งานที่ร้านแห่งหนึ่ง แม้เงินเดือนไม่มาก แต่ได้ทิปหลักหมื่นต่อเดือนในสมัยนั้น จึงมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมา มีเงินส่งกลับจำนวนมากสู่แกรมมี่ ออกอัลบั้มแรก สู่แกรมมี่ ออกอัลบั้มแรก. ประมาณ 1 ปี ได้ย้ายมาประจำที่ร้านไอส์แลนด์ ว่าว อนุวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ของ คีตา เรคคอร์ดส มาพบ ให้เข้ากรุงเทพฯ ทดสอบเสียง แต่ไม่ผ่าน จึงกลับไปทำงานที่เดิม อีกประมาณ 3-4 เดือนต่อมา เต๋อ เรวัติ ผู้ก่อตั้งร่วมและโปรดิวเซอร์ของ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (ขณะนั้นชื่อ บริษัท แกรมมี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์) มาชวนออกอัลบั้ม โดยต้องเรียนเพิ่มเติม ทั้งการร้องเพลง ภาษา วิธีการทำงานในห้องอัด และอื่นๆ รวมถึงปรับปรุงบุคลิกอย่างผู้มีการศึกษาระดับสูง ตามกระแสนิยม โดยแกรมมี่เช่าอพาร์ตเมนต์ให้อยู่ มีเงินเดือนให้ รุ่นเดียวกันที่เรียนร้องเพลงคือ ใหม่ เจริญปุระ ปี พ.ศ. 2533 ช่วงการผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "แม่ไม้เพลงไทย" รวมศิลปินหลายคน ร้องเพลงเก่าที่ดังในอดีต และยังหาคนสุดท้ายไม่ได้ สำหรับแนวเพลงระดับครูของ สุรพล สมบัติเจริญ เต๋อ เรวัติ จึงเสนอชื่อเขา และได้เป็นอัลบั้มชุดแรกของเขา ชุดอัลบั้มนี้ขายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงที่เขาร้อง ในช่วงเวลาเดียวกัน เขาเริ่มมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับความนิยม และสร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมากวิสัยทัศน์ที่แม่นยำของ เต๋อ เรวัติ วิสัยทัศน์ที่แม่นยำของ เต๋อ เรวัติ. ยุคนั้น แนวเพลงไทยสากล (สตริง) มีกระแสนิยมมากกว่าแนวเพลงลูกทุ่ง เขาจึงเสนอว่าเพราะอายุยังน้อย น่าลองทำผลงานเพลงสตริงก่อน เพื่อให้ตรงกับการตลาด เรื่องนี้ เต๋อ เรวัติ ยืนยันมาตั้งแต่แรกว่า เขาเหมาะกับเพลงลูกทุ่ง แต่ก็ไม่คัดค้าน โดยพูดว่า "นายจะประสบความสำเร็จกับการร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะเราเห็น แต่ถ้าอยากจะลองทำสตริงดูก็ได้" จึงเกิด อัลบั้มชุดที่ 2 "ก๊อต ช็อต" ที่เปลี่ยนแนวเป็นสตริง และ อัลบั้มชุดที่ 3 "ก๊อต เพราะใจไม่เหมือนเดิม" เป็นเพลงฟังสบาย แต่อาจเพราะฟังยาก ไม่ติดหู จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ในปี พ.ศ. 2538 จึงกลับมาปรึกษากันใหม่ว่า อยากลองเปลี่ยนกลับมาเป็นแนวเพลงลูกทุ่ง เต๋อ เรวัติ ดีใจมาก เพราะคิดว่าเหมาะสมเข้าทาง เป็นช่วงเดียวกับที่ก่อตั้งแกรมมี่โกลด์ เป็นบริษัทในเครือ โดยแยกสายการผลิตเพลงลูกทุ่ง ออกจากแนวสากล โดย กริช ทอมมัส เป็นกรรมการผู้จัดการและหนึ่งในโปรดิวเซอร์ ทีมงานจึงผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 1-5 (ออกมาพร้อมกันถึง 5 ชุด ในเซ็ต) โดย กริช ทอมมัส เป็นโปรดิวเซอร์ประจำตัวของเขา นับแต่นั้นเรื่อยมา แม้ว่า สร้างหลายอัลบั้มพร้อมกัน แต่ก็ขายได้ถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 2 ล้านตลับ (ยุคนั้นยังจำหน่ายแต่ เทปคลาสเซ็ต) จนถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่สร้างชื่อและแจ้งเกิดในวงการลูกทุ่งของเขา (ความนิยมนั้นแม้ผ่านมา 20 ปี ก็ยังผลิตอัลบั้มรวมฮิตขายได้อยู่)จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่ง และการมีส่วนร่วมในผลงาน จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่ง และการมีส่วนร่วมในผลงาน. เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งด้วย เพราะเริ่มผสมดนตรีแบบไทยสากลในเพลงลูกทุ่งเล็กน้อย โดยก่อนหน้านั้นลูกทุ่งมีแบบแผนรูปแบบเครื่องดนตรีชัดเจน ผู้นิยมเพลงสตริง รับได้เป็นปกติ ส่วนผู้นิยมเพลงลูกทุ่งเอง ช่วงแรกยังมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อเผยแพร่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเป็นที่นิยม และยอมรับในที่สุด และในภายหลัง แนวเพลงลูกทุ่งประยุกต์นี้ กลายเป็นกระแสความนิยมที่พบได้มาก ในผลงานของศิลปินรุ่นต่อมา ทั้งค่ายเพลงนี้และค่ายเพลงอื่น ในลักษณะที่ค่อยๆ ผสมความเป็นไทยสากลมากขึ้นไปอีก ในปี พ.ศ. 2539 ทีมงานผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 4-9 ออกมาอีก ยอดขายรวมทั้ง 9 ชุด กว่า 10 ล้านตลับ ความสำเร็จที่ท่วมท้นนี้ เต๋อ เรวัติ ได้เตือนเขาว่า "ขอให้มีสติดีๆ เพราะความสำเร็จที่เข้ามาขนาดนี้ จะทำให้เราเขวได้" ซึ่งเขาจดจำยึดถือเรื่อยมา เนื่องจากในช่วงแรกของอัลบั้ม แกรมมี่ยังไม่สันทัดการจัดการแสดงบนเวทีของเพลงลูกทุ่ง นอกจากการร้อง เขาจึงมีส่วนร่วมในการผลิตอัลบั้มอยู่มาก เช่น การเลือกเพลง การเลือกดนตรี การจัดหานักเต้นประกอบ การผลิตเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ฯลฯ จนกลายเป็นแนวทางการทำงานในทุกอัลบั้มต่อมา (ในระยะหลัง ยังช่วยควบคุมด้านดนตรีด้วย) กรณีเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ผู้จัดการประจำตัวที่เขาเรียกว่า "พี่มด" ซึ่งเคยเป็นดีไซเนอร์ของอัลคาซ่ามาก่อน ได้รับผิดชอบจึงจัดหาชุดจากอัลคาซ่ามาดัดแปลงให้นักเต้นประกอบใส่ และเน้นความอลังการในการแสดง ซึ่งได้รับความนิยม จนกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงบนเวที ที่ได้วงดนตรีลูกทุ่งนิยมจัดแสดง รวมถึง ทุกอัลบั้มต่อมาของเขาเอง เขาถือว่า การแสดงบนเวทีที่อลังการเป็นหัวใจหลักของอัลบั้ม เพราะแฟนคลับชื่นชอบ อีกทั้งพัฒนาการที่ เนื้อหาเพลงหลากหลายขึ้น จึงยิ่งเพิ่มความหลากหลายเครื่องแต่งกาย และเพิ่มรูปแบบการแสดงมากขึ้น เช่น ผสมรูปแบบการแสดงแบบโรงละครเวทีบอร์ดเวย์ของต่างประเทศ ฯลฯ เขาเป็นคนที่ทำงานจริงจังมาก และชอบทำบุญ ศิลปินต้นแบบของเขา ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย เพราะสนุกกับงานเสมอ และ ตู่ นันทิดา เพราะให้กำลังใจและสอนดีมาก เขาเองก็เป็นต้นแบบของศิลปินรุ่นน้องจำนวนมากเช่นกันชีวิตหลังประสบความสำเร็จ ชีวิตหลังประสบความสำเร็จ. หลังประสบความสำเร็จ มีรายได้มากขึ้น ความเป็นอยู่ที่บ้านก็ดีขึ้น เขาดูแลช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านของแม่และน้อง ขณะช่วยเหลือพี่สาวกับพี่ชายตามโอกาส เพราะทั้งสองแต่งงานมีครอบครัวของตน ใน พ.ศ. 2549 หลังจาก อัลบั้มชุดที่ 4 "ก๊อต จักรพรรณ์ 4 เจริญ เจริญ" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ก๊อท จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ เพราะถูกทักว่า เกิดวันศุกร์ ไม่ถูกโฉลกกับ ร.เรือ หลายตัว ส่วนนามสกุล เปลี่ยนให้ความหมายดีขึ้นเป็น ครบุรีธีรโชติ แปลว่า เมืองแห่งความรุ่งเรืองของนักปราชญ์ มีช่วงหนึ่งดำเนินกิจการร้านอาหาร แต่เลิกกิจการไปเมื่อมีงานอัลบั้มต่อเนื่อง ก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความคิดถึง" และก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความผูกพัน 20 ปี หัวแก้วหัวแหวน" เขาได้พักผ่อนยาว ใช้เวลากับครอบครัว และใช้โอกาสนี้ปลูกบ้านใหม่ ที่อยู่กับแม่และน้อง โดยดูแลการก่อสร้างทั้งหมดเองผลงานต่อมา ผลงานต่อมา. นอกจาก อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาร้องใหม่แล้ว อัลบั้มของตนเอง ที่ประกอบด้วยเพลงแต่งใหม่ ซึ่งนับเป็นชุดที่ 4 ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2546 ผลิตอัลบั้ม "ก๊อต จักรพรรณ์ 4 'เจริญ เจริญ" ที่กลับมาเป็นแนวลูกทุ่งแล้ว และผลิตแต่ผลงานแนวเพลงลูกทุ่งเรื่อยมาผลงานเพลงอัลบั้มสังกัด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่สังกัด แกรมมี่โกลด์ผลงานเพลง. อัลบั้ม. สังกัด แกรมมี่โกลด์. - อัลบั้มเดี่ยว ที่ประกอบด้วยเพลงใหม่- อัลบั้มเดี่ยว ที่นำเพลงดังมาเรียบเรียงร้องใหม่- อัลบั้มเพลงประกอบละคร (ร่วมกับศิลปินอื่น)- อัลบั้มรวมฮิต เช่นคอนเสิร์ตใหญ่รางวัลเกียรติยศที่ได้รับรางวัลเกียรติยศที่ได้รับ. - รางวัล เมขลา ปี 2536 สาขานักแสดงดาวรุ่งชาย จากละครเรื่อง "วันนี้ที่รอคอย" - รางวัล ลูกกตัญญู ปี 2537 - รางวัล ครอบครัวขวัญใจประชาชน - รางวัล แต่งกายดีเด่น สาขาศิลปินนักร้อง - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 2 ปี 2540 สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม จากเพลงเรือนหอน้ำตา - รางวัล คนดีศรีโคราช ปี 2541 - รางวัล มาลัยทอง ปี 2544 สาขานักร้องชายยอดนิยม จากเพลงต้องมีสักวัน - รางวัล มาลัยทอง ปี 2546 สาขานักร้องชายยอดเยี่ยม จากเพลงใจสารภาพ - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 6 ปี 2547 สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม เพลงใจสารภาพ - รางวัล มาลัยทอง ปี 2549 สาขานักร้องชายยอดเยี่ยม จากเพลงเธอคือดวงใจ - รางวัล ขวัญใจคอเพลงลูกทุ่ง ปี 2550 จาก TV POOL และ สวนดุสิตโพล - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 7 ปี 2553 2 รางวัล สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม และเพลงยอดเยี่ยมผลงานอื่น ๆเพลงพิเศษผลงานอื่น ๆ. เพลงพิเศษ. - พ.ศ. 2536 เพลง "ลืมไปไม่รักกัน" (ต้นฉบับ วงนูโว) จากอัลบั้ม “ซน งานซนคนดนตรี นานที 10 ปี หน” - พ.ศ. 2545 เพลง รองเท้าหน้าห้อง (ต้นฉบับ สายัณห์ นิรันดร) จากอัลบั้ม 2 ทศวรรษ สลา คุณวุฒิ ชุด 2 รวมใจเหล่าผองศิษย์ - พ.ศ. 2548 เพลง อยากให้เธอเข้าใจ (ต้นฉบับ ไมค์ ภิรมย์พร) จากอัลบั้ม 10 ปี แกรมมี่ โกลด์ ดนตรีไม่มีพรมแดน ชุด 3เพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ โฆษณาเพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ โฆษณา. - พ.ศ. 2537 เพลง "สายใย" ประกอบละคร “สายรักสายสวาท” - พ.ศ. 2537 เพลง "เกมเกียรติยศ" ประกอบละคร “เกมเกียรติยศ” - พ.ศ. 2538 เพลง "ดาวดวงนี้" ประกอบละคร “ดาวแต้มดิน” - พ.ศ. 2544 (15 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “หงส์ฟ้ากับสมหวัง” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2546 (12 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “ลิเก๊ ลิเก” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2549 (16 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “เธอคือดวงใจ” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2552 เพลง "นำทางรวย" ประกอบโฆษณา “รถกระบะอีซูซุ”ผลงานละครโทรทัศน์ผลงานละครโทรทัศน์. - กำลังใจ ปี 2534 - ปี 2535 ช่อง 7 (ผลงานละครเรื่องแรก โดยเป็นละครชุดตอนเย็น) - ด้วยเนื้อนาบุญ ปี 2534 - ปี 2535 ช่อง 7 (ตัวประกอบ) - วันนี้ที่รอคอย ปี 2536 ช่อง 7 รับบทเป็น จ้าวฉินเจียง (แสดงร่วมกับ “เบิร์ด” ธงไชย แมคอินไตย์ และได้รับรางวัลเมขลาดาวรุ่งชาย) - สายรักสายสวาท ปี 2537 ช่อง 3 รับบทเป็น ภาคิไนย คู่กับ ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี - เกมเกียรติยศ ปี 2537 ช่อง 5 คู่กับ ธนาภรณ์ รัตนเสน + รัญญา ศิยานนท์ - ดาวแต้มดิน ปี 2538 ช่อง 7 รับบทเป็น ภุมวา คู่กับ สุวนันท์ คงยิ่ง - สาวใช้คนใหม่ ปี 2539 ช่อง 9 รับบทเป็น ไผท คู่กับ ชไมพร สิทธิวรนันท์ - หงส์ฟ้ากับสมหวัง ปี 2544 ช่อง 7 รับบทเป็น สมหวัง คู่กับ พิยดา อัครเศรณี - ลิเก๊..ลิเก ปี 2546 ช่อง 7 รับบทเป็น พงศ์เทพ / หลง คู่กับ ภัครมัย โปตระนันท์ - เธอคือดวงใจ ปี 2549 ช่อง 3 รับบทเป็น ปฐวี คู่กับ เข็มอัปสร สิริสุขะงานภาพยนตร์งานภาพยนตร์. - เพื่อนซื่อพาก๊อง (เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่เล่นกับ บอย อินคา กำกับการแสดงโดย ประยูร วงศ์ชื่น)ผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - ลูกอม คูก้า ปี 2537 - อีซูซุ ทรูเปอร์ ปี 2538 - อีซูซุ วิซาร์ด ปี 2541 - ปตท. ปี 2544 - อีซูซุ ปี 2550-2555 - สินเชื่อ สมหวัง เงินสั่งได้ ปี 2559
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ หรือชื่อเดิม จักรพรรณ์ อาบครบุรี เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "13" ], "answer_begin_position": [ 212 ], "answer_end_position": [ 214 ] }
1,976
255,743
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ หรือชื่อเดิม จักรพรรณ์ อาบครบุรี หรือ ชื่อเล่นเดิม ก๊อต เกิดเมื่อ 13 กันยายน พ.ศ. 2513 เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน โดยมีบิดาเป็นชาวอเมริกัน ส่วนมารดาพื้นเพเป็นชาวอำเภอครบุรี ภูมิลำเนา อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อเสียงจากเพลงลูกทุ่ง และมีผลงานเพลงลูกทุ่งที่โด่งดังจำนวนมาก จนได้รับฉายา เจ้าชายลูกทุ่ง ออกอัลบั้มชุดแรก แม่ไม้เพลงไทย ในปี พ.ศ. 2533 ที่รวบรวมเพลงลูกทุ่งเก่ามาร้องใหม่ ส่วนอัลบั้มต่อมา เป็นเพลงที่แต่งใหม่ คือ ชุดที่ 2 ก๊อต ช็อต และ ชุดที่ 3 ก๊อต เพราะใจไม่เหมือนเดิม โดยเปลี่ยนเป็นเพลงไทยสากล (สตริง) ก่อนจะกลับมาร้องเพลงลูกทุ่ง ตั้งแต่อัลบั้ม หัวแก้วหัวแหวน ในปี พ.ศ. 2538 โดยเป็นอัลบั้มรวบรวมเพลงลูกทุ่งเก่ามาร้องใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้รับความนิยมมาก แม้จนออกมาถึง 5 ชุด (ภายหลังออกมาอีกจนเป็น 9 ชุด ซึ่งได้รับความนิยมทุกชุด) รวมทั้งอัลบั้มเพลงที่แต่งใหม่ ซึ่งเปลี่ยนกลับเป็นแนวลูกทุ่ง ชุดที่ 4 'เจริญ เจริญ ในปี พ.ศ. 2546 ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน จึงผลงานแนวเพลงลูกทุ่งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อัลบั้มเพลงลูกทุ่งทุกชุด ล้วนมีหนึ่งหรือหลายเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งหลายเพลงหลายอัลบั้มติดอันดับ ในชาร์ตเพลง ของคลื่นวิทยุแนวลูกทุ่ง (กระทั่งมีอัลบั้มรวมฮิตและการว่าจ้างเดินสายแสดงจำนวนมาก) อ้างอิงทุกอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง จนถึงล่าสุดคือ อัลบั้มเพลงแต่งใหม่ ชุดที่ 7 เพชรตัดเพชร, เพลงประกอบละครเธอคือดวงใจ และอัลบั้มเพลงนำมาร้องใหม่ชุด แทนความคิดถึง และเพลง วอนดีเจ ซึ่งก๊อท จักรพันธ์ร้องและแต่งเองประวัติวัยเด็ก และก่อนเข้าวงการเพลง ประวัติ. วัยเด็ก และก่อนเข้าวงการเพลง. จักรพันธ์ อาบครบุรีธีรโชติ บ้านเกิดที่ บ้านไทรโยง ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นลูกคนที่ 3 จาก 4 คน มีมารดา พื้นเพเป็นชาวอำเภอครบุรี และบิดาเป็นชาวอเมริกัน บุตรหนุ่มชื่อ น้องโอเค ชื่อจริง ด.ช. สกาวรัตน์ ครบุรีธีรโชติ เกิดเมื่อวันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554 (7 ปี) บิดาเป็นทหาร ย้ายมาประจำการที่จังหวัดนครราชสีมา จึงพบมารดาซึ่งขณะนั้นเป็นแม่ครัวในค่ายทหาร ทั้งคู่แต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน 4 คน บิดาถูกเรียกตัวกลับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เขายังเด็กมาก โดยไม่มีรูปทิ้งไว้ เขาจึงจำหน้าไม่ได้ มารดาไม่ย้ายไปด้วยตามคำชวน เพราะห่วงยายของเขา และเกรงมีปัญหาการปรับตัวเพราะด้อยการศึกษา และเพราะบิดาต้องย้ายไปประจำการอีกหลายประเทศ จึงขาดการติดต่อทางจดหมายโดยไม่รู้ชะตากรรมในที่สุด เขาจะเป็นเด็กเงียบๆ ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก เพราะบิดายากจน มีลูก 4 คน อยู่บ้านเช่า ทำงานรับจ้างได้ค่าแรงรายวันไม่มาก พี่สาวและพี่ชาย ได้เรียนแค่ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ต้องออกมาทำงานหาเงิน มารดาจึงส่งเขาไปให้อยู่กับตายายที่ อ.ครบุรี เมื่อเขาอายุ 6 ปี เขาเกือบไม่ได้เรียนหนังสือ แต่โชคดี มีคนรู้จักกันขอไปเลี้ยงดูเป็นบุตรที่จังหวัดกาญจนบุรี มารดาตัดสินใจยกให้เพื่ออนาคตของลูก บิดาบุญธรรมเป็นทหาร มารดาบุญธรรมเป็นแม่บ้าน ซึ่งดูแลอย่างดี ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนเกิดใหม่ มีห้องของตัวเองจากที่เคยนอนรวมกัน และได้เข้าโรงเรียน เขาเริ่มได้รับอิทธิพลเรื่องเพลงตั้งแต่ช่วงนั้น บิดามารดาบุญธรรมชอบฟังเพลงลูกกรุง ได้ฟังบ่อยๆ จึงซึมซับ สมัยนั้นการเดินทางการสื่อสารไม่สะดวก จึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ แม่เองก็ไม่ได้มาเพราะภาระการเงิน ซึ่งเขามักถามเสมอว่า ทำไมมารดาไม่มา อยากพบ จนปี พ.ศ. 2523 อายุ 11-12 ปี ยังไม่ทันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บิดามารดาบุญธรรมจึงอนุญาต โดยขอคนสืบให้ ใช้เวลาหลายเดือนจนรู้ว่า มารดาเช่าบ้านอยู่ ในซอยบริเวณสามแยกปักธงชัย เขาเดินทางลำพังจากจังหวัดกาญจนบุรี จนพบและกอดกันร้องไห้ดีใจ และได้รู้จัก สามีใหม่ของแม่ ซึ่งเรียกว่า "ป๋า" เมื่อทุกคนขอร้องให้อยู่ และเริ่มปรับตัวได้ จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน โดยไม่เรียนต่อ ผ่านมา 3 สัปดาห์ ก็ไปทำงานกับป๋า ที่อู่ซ่อมรถ เริ่มจากเด็กฝึกงาน จนเลื่อนเป็นช่างทำสีรถ เมื่ออายุ 13 ปี เท่านั้น ต่อมา เขาต้องออกจากงานช่าง กลับไปอยู่กับตายาย ที่อำเภอครบุรี เพราะน้าเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และช่วยเลี้ยงควาย 3 ตัว แทนน้า เขาปรับตัวใหม่อีกครั้ง บ้านยายเป็นชนบทที่กันดาร ไม่มีไฟฟ้า การเป็นลูกครึ่งในท้องที่นั้นเป็นเรื่องแปลก เพราะผิวขาวกว่าทุกคน จนปรับตัวได้ มีเพื่อนจำนวนมากที่ต้อนควายของตนไปเลี้ยงด้วยกัน ช่วงนั้น วันหนึ่งพบวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมแต่มีสนิมห่อผ้าซ่อนอยู่ในที่รกกลางทุ่งนา จึงคาดว่าถูกขโมยมาซ่อนไว้แต่ลืมทิ้ง จึงเก็บมาใช้ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ผูกพันกับเพลงลูกทุ่ง โดยใช้วิทยุเป็นเสมือนครูที่เปิดฟังและร้องตาม ปี พ.ศ. 2527 อยู่กับตายายได้ 4 ปี ก็กลับไปอยู่กับแม่อีก ทำงานเป็นช่างเช่นเดิมแรกเริ่มในในวงการเพลง แรกเริ่มในในวงการเพลง. ทุกวันอาทิตย์ ในตัวจังหวัด มีการประกวดร้องเพลงที่จัดโดย นที สุนันทา ดีเจชื่อดัง ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้เข้าประกวด รายการชุมทางคนเด่น ของ ประจวบ จำปาทอง เขาไปดูทุกครั้งและอยากประกวดมากแต่ไม่กล้า ต่อมา เขาสมัครทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้กับเวทีประกวด โดยไปดูการประกวดทุกครั้งกับเพื่อนที่ชื่นชอบเหมือนกัน เขาร้องเพลงขณะทำงาน เหมือนการฝึก ซึ่งมักร้องเพลงของ สายัณห์ สัญญา หรือ ยอดรัก สลักใจ โดยใช้เพลงดังกล่าวไปประกวด และได้เข้ารอบในครั้งที่ 3 ผู้จัดให้ผู้เข้ารอบได้ร้องเพลงอัดเสียง เพื่อนำไปเปิดในรายการวิทยุให้คนทางบ้านช่วยตัดสิน ช่วงที่รอ เซลส์แมนขายเครื่องเสียงตามบ้าน มาพักที่โรงแรม ซึ่งขณะทดสอบเครื่อง ให้เขาร้องเพลงลองเสียง และชื่นชอบ จึงชวนให้ไปอยู่ด้วย ช่วยขายของ ร้องเพลงเรียกลูกค้า รับเงินเดือนประจำ เขาสนุกกับชีวิตตะลอนทัวร์ประมาณ 2 ปี โดยไม่กลับบ้าน ส่งแต่เงินกลับ จนเดินสายมาถึงจังหวัดระยอง เพื่อนของหัวหน้ากลุ่มเซลล์แมนเปิดร้านคาเฟ่ เขาเห็นคาเฟ่เป็นครั้งแรกและชอบมาก หัวหน้าฝากงานให้ แต่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟ ไม่ได้ขึ้นร้องสักคน จึงไปหางานที่พัทยา เพราะเพื่อนชวน หางานอยู่หลายที่ จนได้งานที่ร้านแห่งหนึ่ง แม้เงินเดือนไม่มาก แต่ได้ทิปหลักหมื่นต่อเดือนในสมัยนั้น จึงมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมา มีเงินส่งกลับจำนวนมากสู่แกรมมี่ ออกอัลบั้มแรก สู่แกรมมี่ ออกอัลบั้มแรก. ประมาณ 1 ปี ได้ย้ายมาประจำที่ร้านไอส์แลนด์ ว่าว อนุวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ของ คีตา เรคคอร์ดส มาพบ ให้เข้ากรุงเทพฯ ทดสอบเสียง แต่ไม่ผ่าน จึงกลับไปทำงานที่เดิม อีกประมาณ 3-4 เดือนต่อมา เต๋อ เรวัติ ผู้ก่อตั้งร่วมและโปรดิวเซอร์ของ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (ขณะนั้นชื่อ บริษัท แกรมมี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์) มาชวนออกอัลบั้ม โดยต้องเรียนเพิ่มเติม ทั้งการร้องเพลง ภาษา วิธีการทำงานในห้องอัด และอื่นๆ รวมถึงปรับปรุงบุคลิกอย่างผู้มีการศึกษาระดับสูง ตามกระแสนิยม โดยแกรมมี่เช่าอพาร์ตเมนต์ให้อยู่ มีเงินเดือนให้ รุ่นเดียวกันที่เรียนร้องเพลงคือ ใหม่ เจริญปุระ ปี พ.ศ. 2533 ช่วงการผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "แม่ไม้เพลงไทย" รวมศิลปินหลายคน ร้องเพลงเก่าที่ดังในอดีต และยังหาคนสุดท้ายไม่ได้ สำหรับแนวเพลงระดับครูของ สุรพล สมบัติเจริญ เต๋อ เรวัติ จึงเสนอชื่อเขา และได้เป็นอัลบั้มชุดแรกของเขา ชุดอัลบั้มนี้ขายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงที่เขาร้อง ในช่วงเวลาเดียวกัน เขาเริ่มมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับความนิยม และสร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมากวิสัยทัศน์ที่แม่นยำของ เต๋อ เรวัติ วิสัยทัศน์ที่แม่นยำของ เต๋อ เรวัติ. ยุคนั้น แนวเพลงไทยสากล (สตริง) มีกระแสนิยมมากกว่าแนวเพลงลูกทุ่ง เขาจึงเสนอว่าเพราะอายุยังน้อย น่าลองทำผลงานเพลงสตริงก่อน เพื่อให้ตรงกับการตลาด เรื่องนี้ เต๋อ เรวัติ ยืนยันมาตั้งแต่แรกว่า เขาเหมาะกับเพลงลูกทุ่ง แต่ก็ไม่คัดค้าน โดยพูดว่า "นายจะประสบความสำเร็จกับการร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะเราเห็น แต่ถ้าอยากจะลองทำสตริงดูก็ได้" จึงเกิด อัลบั้มชุดที่ 2 "ก๊อต ช็อต" ที่เปลี่ยนแนวเป็นสตริง และ อัลบั้มชุดที่ 3 "ก๊อต เพราะใจไม่เหมือนเดิม" เป็นเพลงฟังสบาย แต่อาจเพราะฟังยาก ไม่ติดหู จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ในปี พ.ศ. 2538 จึงกลับมาปรึกษากันใหม่ว่า อยากลองเปลี่ยนกลับมาเป็นแนวเพลงลูกทุ่ง เต๋อ เรวัติ ดีใจมาก เพราะคิดว่าเหมาะสมเข้าทาง เป็นช่วงเดียวกับที่ก่อตั้งแกรมมี่โกลด์ เป็นบริษัทในเครือ โดยแยกสายการผลิตเพลงลูกทุ่ง ออกจากแนวสากล โดย กริช ทอมมัส เป็นกรรมการผู้จัดการและหนึ่งในโปรดิวเซอร์ ทีมงานจึงผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 1-5 (ออกมาพร้อมกันถึง 5 ชุด ในเซ็ต) โดย กริช ทอมมัส เป็นโปรดิวเซอร์ประจำตัวของเขา นับแต่นั้นเรื่อยมา แม้ว่า สร้างหลายอัลบั้มพร้อมกัน แต่ก็ขายได้ถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 2 ล้านตลับ (ยุคนั้นยังจำหน่ายแต่ เทปคลาสเซ็ต) จนถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่สร้างชื่อและแจ้งเกิดในวงการลูกทุ่งของเขา (ความนิยมนั้นแม้ผ่านมา 20 ปี ก็ยังผลิตอัลบั้มรวมฮิตขายได้อยู่)จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่ง และการมีส่วนร่วมในผลงาน จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่ง และการมีส่วนร่วมในผลงาน. เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งด้วย เพราะเริ่มผสมดนตรีแบบไทยสากลในเพลงลูกทุ่งเล็กน้อย โดยก่อนหน้านั้นลูกทุ่งมีแบบแผนรูปแบบเครื่องดนตรีชัดเจน ผู้นิยมเพลงสตริง รับได้เป็นปกติ ส่วนผู้นิยมเพลงลูกทุ่งเอง ช่วงแรกยังมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อเผยแพร่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเป็นที่นิยม และยอมรับในที่สุด และในภายหลัง แนวเพลงลูกทุ่งประยุกต์นี้ กลายเป็นกระแสความนิยมที่พบได้มาก ในผลงานของศิลปินรุ่นต่อมา ทั้งค่ายเพลงนี้และค่ายเพลงอื่น ในลักษณะที่ค่อยๆ ผสมความเป็นไทยสากลมากขึ้นไปอีก ในปี พ.ศ. 2539 ทีมงานผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 4-9 ออกมาอีก ยอดขายรวมทั้ง 9 ชุด กว่า 10 ล้านตลับ ความสำเร็จที่ท่วมท้นนี้ เต๋อ เรวัติ ได้เตือนเขาว่า "ขอให้มีสติดีๆ เพราะความสำเร็จที่เข้ามาขนาดนี้ จะทำให้เราเขวได้" ซึ่งเขาจดจำยึดถือเรื่อยมา เนื่องจากในช่วงแรกของอัลบั้ม แกรมมี่ยังไม่สันทัดการจัดการแสดงบนเวทีของเพลงลูกทุ่ง นอกจากการร้อง เขาจึงมีส่วนร่วมในการผลิตอัลบั้มอยู่มาก เช่น การเลือกเพลง การเลือกดนตรี การจัดหานักเต้นประกอบ การผลิตเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ฯลฯ จนกลายเป็นแนวทางการทำงานในทุกอัลบั้มต่อมา (ในระยะหลัง ยังช่วยควบคุมด้านดนตรีด้วย) กรณีเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ผู้จัดการประจำตัวที่เขาเรียกว่า "พี่มด" ซึ่งเคยเป็นดีไซเนอร์ของอัลคาซ่ามาก่อน ได้รับผิดชอบจึงจัดหาชุดจากอัลคาซ่ามาดัดแปลงให้นักเต้นประกอบใส่ และเน้นความอลังการในการแสดง ซึ่งได้รับความนิยม จนกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงบนเวที ที่ได้วงดนตรีลูกทุ่งนิยมจัดแสดง รวมถึง ทุกอัลบั้มต่อมาของเขาเอง เขาถือว่า การแสดงบนเวทีที่อลังการเป็นหัวใจหลักของอัลบั้ม เพราะแฟนคลับชื่นชอบ อีกทั้งพัฒนาการที่ เนื้อหาเพลงหลากหลายขึ้น จึงยิ่งเพิ่มความหลากหลายเครื่องแต่งกาย และเพิ่มรูปแบบการแสดงมากขึ้น เช่น ผสมรูปแบบการแสดงแบบโรงละครเวทีบอร์ดเวย์ของต่างประเทศ ฯลฯ เขาเป็นคนที่ทำงานจริงจังมาก และชอบทำบุญ ศิลปินต้นแบบของเขา ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย เพราะสนุกกับงานเสมอ และ ตู่ นันทิดา เพราะให้กำลังใจและสอนดีมาก เขาเองก็เป็นต้นแบบของศิลปินรุ่นน้องจำนวนมากเช่นกันชีวิตหลังประสบความสำเร็จ ชีวิตหลังประสบความสำเร็จ. หลังประสบความสำเร็จ มีรายได้มากขึ้น ความเป็นอยู่ที่บ้านก็ดีขึ้น เขาดูแลช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านของแม่และน้อง ขณะช่วยเหลือพี่สาวกับพี่ชายตามโอกาส เพราะทั้งสองแต่งงานมีครอบครัวของตน ใน พ.ศ. 2549 หลังจาก อัลบั้มชุดที่ 4 "ก๊อต จักรพรรณ์ 4 เจริญ เจริญ" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ก๊อท จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ เพราะถูกทักว่า เกิดวันศุกร์ ไม่ถูกโฉลกกับ ร.เรือ หลายตัว ส่วนนามสกุล เปลี่ยนให้ความหมายดีขึ้นเป็น ครบุรีธีรโชติ แปลว่า เมืองแห่งความรุ่งเรืองของนักปราชญ์ มีช่วงหนึ่งดำเนินกิจการร้านอาหาร แต่เลิกกิจการไปเมื่อมีงานอัลบั้มต่อเนื่อง ก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความคิดถึง" และก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความผูกพัน 20 ปี หัวแก้วหัวแหวน" เขาได้พักผ่อนยาว ใช้เวลากับครอบครัว และใช้โอกาสนี้ปลูกบ้านใหม่ ที่อยู่กับแม่และน้อง โดยดูแลการก่อสร้างทั้งหมดเองผลงานต่อมา ผลงานต่อมา. นอกจาก อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาร้องใหม่แล้ว อัลบั้มของตนเอง ที่ประกอบด้วยเพลงแต่งใหม่ ซึ่งนับเป็นชุดที่ 4 ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2546 ผลิตอัลบั้ม "ก๊อต จักรพรรณ์ 4 'เจริญ เจริญ" ที่กลับมาเป็นแนวลูกทุ่งแล้ว และผลิตแต่ผลงานแนวเพลงลูกทุ่งเรื่อยมาผลงานเพลงอัลบั้มสังกัด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่สังกัด แกรมมี่โกลด์ผลงานเพลง. อัลบั้ม. สังกัด แกรมมี่โกลด์. - อัลบั้มเดี่ยว ที่ประกอบด้วยเพลงใหม่- อัลบั้มเดี่ยว ที่นำเพลงดังมาเรียบเรียงร้องใหม่- อัลบั้มเพลงประกอบละคร (ร่วมกับศิลปินอื่น)- อัลบั้มรวมฮิต เช่นคอนเสิร์ตใหญ่รางวัลเกียรติยศที่ได้รับรางวัลเกียรติยศที่ได้รับ. - รางวัล เมขลา ปี 2536 สาขานักแสดงดาวรุ่งชาย จากละครเรื่อง "วันนี้ที่รอคอย" - รางวัล ลูกกตัญญู ปี 2537 - รางวัล ครอบครัวขวัญใจประชาชน - รางวัล แต่งกายดีเด่น สาขาศิลปินนักร้อง - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 2 ปี 2540 สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม จากเพลงเรือนหอน้ำตา - รางวัล คนดีศรีโคราช ปี 2541 - รางวัล มาลัยทอง ปี 2544 สาขานักร้องชายยอดนิยม จากเพลงต้องมีสักวัน - รางวัล มาลัยทอง ปี 2546 สาขานักร้องชายยอดเยี่ยม จากเพลงใจสารภาพ - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 6 ปี 2547 สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม เพลงใจสารภาพ - รางวัล มาลัยทอง ปี 2549 สาขานักร้องชายยอดเยี่ยม จากเพลงเธอคือดวงใจ - รางวัล ขวัญใจคอเพลงลูกทุ่ง ปี 2550 จาก TV POOL และ สวนดุสิตโพล - รางวัล พระพิฆเนศทองพระราชทาน ครั้งที่ 7 ปี 2553 2 รางวัล สาขานักร้องลูกทุ่งชายยอดเยี่ยม และเพลงยอดเยี่ยมผลงานอื่น ๆเพลงพิเศษผลงานอื่น ๆ. เพลงพิเศษ. - พ.ศ. 2536 เพลง "ลืมไปไม่รักกัน" (ต้นฉบับ วงนูโว) จากอัลบั้ม “ซน งานซนคนดนตรี นานที 10 ปี หน” - พ.ศ. 2545 เพลง รองเท้าหน้าห้อง (ต้นฉบับ สายัณห์ นิรันดร) จากอัลบั้ม 2 ทศวรรษ สลา คุณวุฒิ ชุด 2 รวมใจเหล่าผองศิษย์ - พ.ศ. 2548 เพลง อยากให้เธอเข้าใจ (ต้นฉบับ ไมค์ ภิรมย์พร) จากอัลบั้ม 10 ปี แกรมมี่ โกลด์ ดนตรีไม่มีพรมแดน ชุด 3เพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ โฆษณาเพลงประกอบละคร ภาพยนตร์ โฆษณา. - พ.ศ. 2537 เพลง "สายใย" ประกอบละคร “สายรักสายสวาท” - พ.ศ. 2537 เพลง "เกมเกียรติยศ" ประกอบละคร “เกมเกียรติยศ” - พ.ศ. 2538 เพลง "ดาวดวงนี้" ประกอบละคร “ดาวแต้มดิน” - พ.ศ. 2544 (15 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “หงส์ฟ้ากับสมหวัง” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2546 (12 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “ลิเก๊ ลิเก” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2549 (16 เพลง ขับร้องเดี่ยวและคู่) อัลบั้ม เพลงประกอบละคร “เธอคือดวงใจ” ชุด 1–2 - พ.ศ. 2552 เพลง "นำทางรวย" ประกอบโฆษณา “รถกระบะอีซูซุ”ผลงานละครโทรทัศน์ผลงานละครโทรทัศน์. - กำลังใจ ปี 2534 - ปี 2535 ช่อง 7 (ผลงานละครเรื่องแรก โดยเป็นละครชุดตอนเย็น) - ด้วยเนื้อนาบุญ ปี 2534 - ปี 2535 ช่อง 7 (ตัวประกอบ) - วันนี้ที่รอคอย ปี 2536 ช่อง 7 รับบทเป็น จ้าวฉินเจียง (แสดงร่วมกับ “เบิร์ด” ธงไชย แมคอินไตย์ และได้รับรางวัลเมขลาดาวรุ่งชาย) - สายรักสายสวาท ปี 2537 ช่อง 3 รับบทเป็น ภาคิไนย คู่กับ ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี - เกมเกียรติยศ ปี 2537 ช่อง 5 คู่กับ ธนาภรณ์ รัตนเสน + รัญญา ศิยานนท์ - ดาวแต้มดิน ปี 2538 ช่อง 7 รับบทเป็น ภุมวา คู่กับ สุวนันท์ คงยิ่ง - สาวใช้คนใหม่ ปี 2539 ช่อง 9 รับบทเป็น ไผท คู่กับ ชไมพร สิทธิวรนันท์ - หงส์ฟ้ากับสมหวัง ปี 2544 ช่อง 7 รับบทเป็น สมหวัง คู่กับ พิยดา อัครเศรณี - ลิเก๊..ลิเก ปี 2546 ช่อง 7 รับบทเป็น พงศ์เทพ / หลง คู่กับ ภัครมัย โปตระนันท์ - เธอคือดวงใจ ปี 2549 ช่อง 3 รับบทเป็น ปฐวี คู่กับ เข็มอัปสร สิริสุขะงานภาพยนตร์งานภาพยนตร์. - เพื่อนซื่อพาก๊อง (เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่เล่นกับ บอย อินคา กำกับการแสดงโดย ประยูร วงศ์ชื่น)ผลงานโฆษณาผลงานโฆษณา. - ลูกอม คูก้า ปี 2537 - อีซูซุ ทรูเปอร์ ปี 2538 - อีซูซุ วิซาร์ด ปี 2541 - ปตท. ปี 2544 - อีซูซุ ปี 2550-2555 - สินเชื่อ สมหวัง เงินสั่งได้ ปี 2559
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ หรือชื่อเดิม จักรพรรณ์ อาบครบุรี มีชื่อเล่นเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ก๊อต" ], "answer_begin_position": [ 197 ], "answer_end_position": [ 201 ] }
1,673
285,265
โรเบิร์ต ดูวัล โรเบิร์ต เชลดอน ดูวัล นักแสดงและผู้กำกับชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลออสการ์ รางวัลเอมมี 2 รางวัล และรางวัลลูกโลกทองคำ 4 รางวัล โรเบิร์ต ดูวัลเคยเป็นนักแสดงละครเวทีมาก่อนจะเข้าสูวงการภาพยนตร์ โดยเป็นเพื่อนกับดัสติน ฮอฟแมนและยีน แฮกแมน มาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง เริ่มมีงานแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์ To Kill a Mockingbird (1962) สร้างจากบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี นำแสดงโดยเกรกอรี เป็ก และ Captain Newman, M.D. (1963) นำแสดงโดยเกรกอรี เป็ก บ็อบบี ดาริน แองจี ดิกกินสันและโทนี เคอร์ติส จากนั้นเริ่มมีชื่อเสียงจากการรับบทสำคัญในภาพยนตร์ตลก M*A*S*H (1970) และภาพยนตร์ไซไฟ THX 1138 (1971) จากนั้นได้ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ได้แก่ เดอะก็อดฟาเธอร์ (1972), เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 (1974), Network (1976), The Great Santini (1979), อะโพคาลิปส์ นาว (1979), True Confessions (1981) และ ภาพยนตร์ซีรีส์ Lonesome Dove (1989) ดูวัลเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 ครั้ง รางวัลบาฟตา 3 ครั้ง รางวัลลูกโลกทองคำ 6 ครั้ง ได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่อง Tender Mercies (1983) ได้รับรางวัลบาฟตาและลูกโลกทองคำจากเรื่อง Apocalypse Now (1979) ในระยะหลัง บทบาทการแสดงของดูวัลที่เป็นที่จดจำ ได้แก่บทนักบินอวกาศใน Deep Impact (1998) และบทโจรขโมยรถยนต์ใน Gone in 60 Seconds (2000)
ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลบาฟตาและลูกโลกทองคำ ในปี ค.ศ. 1979 คือเรื่องอะไร
{ "answer": [ "Apocalypse Now" ], "answer_begin_position": [ 1148 ], "answer_end_position": [ 1162 ] }
1,674
285,265
โรเบิร์ต ดูวัล โรเบิร์ต เชลดอน ดูวัล นักแสดงและผู้กำกับชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลออสการ์ รางวัลเอมมี 2 รางวัล และรางวัลลูกโลกทองคำ 4 รางวัล โรเบิร์ต ดูวัลเคยเป็นนักแสดงละครเวทีมาก่อนจะเข้าสูวงการภาพยนตร์ โดยเป็นเพื่อนกับดัสติน ฮอฟแมนและยีน แฮกแมน มาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง เริ่มมีงานแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์ To Kill a Mockingbird (1962) สร้างจากบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี นำแสดงโดยเกรกอรี เป็ก และ Captain Newman, M.D. (1963) นำแสดงโดยเกรกอรี เป็ก บ็อบบี ดาริน แองจี ดิกกินสันและโทนี เคอร์ติส จากนั้นเริ่มมีชื่อเสียงจากการรับบทสำคัญในภาพยนตร์ตลก M*A*S*H (1970) และภาพยนตร์ไซไฟ THX 1138 (1971) จากนั้นได้ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ได้แก่ เดอะก็อดฟาเธอร์ (1972), เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 (1974), Network (1976), The Great Santini (1979), อะโพคาลิปส์ นาว (1979), True Confessions (1981) และ ภาพยนตร์ซีรีส์ Lonesome Dove (1989) ดูวัลเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 ครั้ง รางวัลบาฟตา 3 ครั้ง รางวัลลูกโลกทองคำ 6 ครั้ง ได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่อง Tender Mercies (1983) ได้รับรางวัลบาฟตาและลูกโลกทองคำจากเรื่อง Apocalypse Now (1979) ในระยะหลัง บทบาทการแสดงของดูวัลที่เป็นที่จดจำ ได้แก่บทนักบินอวกาศใน Deep Impact (1998) และบทโจรขโมยรถยนต์ใน Gone in 60 Seconds (2000)
โรเบิร์ต ดูวัล แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1962 เป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่องอะไร
{ "answer": [ "To Kill a Mockingbird" ], "answer_begin_position": [ 427 ], "answer_end_position": [ 448 ] }
1,677
287,360
ตะวัน จารุจินดา ตะวัน จารุจินดา หรือ เติ้ล เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวไทย เป็นบุตรชายของดวงดาว จารุจินดา และ สายัณห์ จันทรวิบูลย์ เติ้ลเป็นน้องชายของตั้ม วิชญ จารุจินดา นักแสดง มีผลงานการแสดงละคร อย่างเช่นเรื่องน้ำพุ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและการกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชีวิตส่วนตัว หมั้นกับ เสาวคนธ์ พลัดพูลผล ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งทั้งคู่คบหากันมา 9 ปี ส่วนงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของทั้งคู่จัดขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ปัจจุบันมีบุตรแล้ว เป็นบุตรสาวมีชื่อว่า อะมีณยา จารุจินดา ชื่อเล่น มียาผลงานผลงานการแสดงผลงาน. ผลงานการแสดง. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7ผู้จัดละครและผู้กำกับละคร ผู้จัดละครและผู้กำกับละคร. ผลงานละครโทรทัศน์ทั้งหมดในฐานะผู้จัดละครและผู้กำกับละครช่อง 7 บริษัท มงคลการละคร จำกัดภาพยนตร์ภาพยนตร์. - หวานมันส์ ฉันคือเธอ (1987) ต้อล ตอนเด็ก สมัยอนุบาล - หลังคาแดง (1987) - สมศรี 422 อาร์ (1992) ...ตั้ม - สมศรี 422 R โปรแกรม B ปีนี้ 2 ขวบ (1993) ...ตั้ม - สมศรี 422 R โปรแกรม D ปีนี้มีน้อง (1995) ...ตั้ม - นายอโศก กับ น.ส.เพลินจิต (2003) ...เกี้ยง - อำมหิต...พิศวาส (2006) ...ขาวผลงานเพลงผลงานเพลง. - ศิลปินกลุ่ม BKK อัลบั้ม Work Shop - อัลบั้ม Club Love - อัลบั้ม เพลงประกอบละคร น้ำพุ1. พระจันทร์สีน้ำเงิน 2. หา 3. ไม่หยุดรักเธอ- เพลงประกอบละคร สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย1. ขอแค่ได้ฝัน- เพลงประกอบละคร สาวน้อยในตะเกียงแก้ว ภาค 2 ตอน แม่มดน้อยตัวป่วน1. รักคือคำตอบ- เพลงประกอบละคร คุณพ่อจำเป็น1. คุณพ่อจำเป็น ร้องคู่กับ เอมี่ กลิ่นประทุม- เพลงประกอบละคร รักในม่านเมฆ1. รักในม่านเมฆ 2. แรงใจ- เพลงประกอบละคร คุณชายตำระเบิด1. ตำระเบิด- เพลงประกอบละคร ตลาดน้ำดำเนินรัก 21. จะอยู่กับเธอ- เพลงประกอบละคร ยอดชายนายตุ๊กตุ๊ก1. ผู้บ่าวตุ๊กตุ๊กพิธีกรพิธีกร. - รายการ ดาดฟ้าท้ายกห้อง - รายการ ดาดฟ้าท้าทดลอง - พิธีกรการประกวด มิสทีนไทยแลนด์ ช่อง 7รางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลลูกกตัญญู - รางวัลนักแสดงต่อต้านยาเสพติด ของ สนง.ปปส. - (เข้าชิง) รางวัล TOP AWARDS สาขา นักแสดงชายยอดเยี่ยม ประจำปี 2547 จากละครเรื่อง อุ่นไอรัก
ตะวัน จารุจินดา หรือ เติ้ล เป็นลูกของนักแสดงคนใด
{ "answer": [ "ดวงดาว จารุจินดา" ], "answer_begin_position": [ 200 ], "answer_end_position": [ 216 ] }
1,678
287,360
ตะวัน จารุจินดา ตะวัน จารุจินดา หรือ เติ้ล เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวไทย เป็นบุตรชายของดวงดาว จารุจินดา และ สายัณห์ จันทรวิบูลย์ เติ้ลเป็นน้องชายของตั้ม วิชญ จารุจินดา นักแสดง มีผลงานการแสดงละคร อย่างเช่นเรื่องน้ำพุ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและการกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชีวิตส่วนตัว หมั้นกับ เสาวคนธ์ พลัดพูลผล ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งทั้งคู่คบหากันมา 9 ปี ส่วนงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของทั้งคู่จัดขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ปัจจุบันมีบุตรแล้ว เป็นบุตรสาวมีชื่อว่า อะมีณยา จารุจินดา ชื่อเล่น มียาผลงานผลงานการแสดงผลงาน. ผลงานการแสดง. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7ผู้จัดละครและผู้กำกับละคร ผู้จัดละครและผู้กำกับละคร. ผลงานละครโทรทัศน์ทั้งหมดในฐานะผู้จัดละครและผู้กำกับละครช่อง 7 บริษัท มงคลการละคร จำกัดภาพยนตร์ภาพยนตร์. - หวานมันส์ ฉันคือเธอ (1987) ต้อล ตอนเด็ก สมัยอนุบาล - หลังคาแดง (1987) - สมศรี 422 อาร์ (1992) ...ตั้ม - สมศรี 422 R โปรแกรม B ปีนี้ 2 ขวบ (1993) ...ตั้ม - สมศรี 422 R โปรแกรม D ปีนี้มีน้อง (1995) ...ตั้ม - นายอโศก กับ น.ส.เพลินจิต (2003) ...เกี้ยง - อำมหิต...พิศวาส (2006) ...ขาวผลงานเพลงผลงานเพลง. - ศิลปินกลุ่ม BKK อัลบั้ม Work Shop - อัลบั้ม Club Love - อัลบั้ม เพลงประกอบละคร น้ำพุ1. พระจันทร์สีน้ำเงิน 2. หา 3. ไม่หยุดรักเธอ- เพลงประกอบละคร สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย1. ขอแค่ได้ฝัน- เพลงประกอบละคร สาวน้อยในตะเกียงแก้ว ภาค 2 ตอน แม่มดน้อยตัวป่วน1. รักคือคำตอบ- เพลงประกอบละคร คุณพ่อจำเป็น1. คุณพ่อจำเป็น ร้องคู่กับ เอมี่ กลิ่นประทุม- เพลงประกอบละคร รักในม่านเมฆ1. รักในม่านเมฆ 2. แรงใจ- เพลงประกอบละคร คุณชายตำระเบิด1. ตำระเบิด- เพลงประกอบละคร ตลาดน้ำดำเนินรัก 21. จะอยู่กับเธอ- เพลงประกอบละคร ยอดชายนายตุ๊กตุ๊ก1. ผู้บ่าวตุ๊กตุ๊กพิธีกรพิธีกร. - รายการ ดาดฟ้าท้ายกห้อง - รายการ ดาดฟ้าท้าทดลอง - พิธีกรการประกวด มิสทีนไทยแลนด์ ช่อง 7รางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลลูกกตัญญู - รางวัลนักแสดงต่อต้านยาเสพติด ของ สนง.ปปส. - (เข้าชิง) รางวัล TOP AWARDS สาขา นักแสดงชายยอดเยี่ยม ประจำปี 2547 จากละครเรื่อง อุ่นไอรัก
ตะวัน จารุจินดา หรือ เติ้ล เกิดเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "7" ], "answer_begin_position": [ 149 ], "answer_end_position": [ 150 ] }
1,687
415,661
ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2535 หลังแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ตราแผ่นดินเป็นสีน้ำเงิน สีฟ้าของชาวคีร์กีซ หมายถึง ความกล้าหาญและความบริสุทธิ์ (มีนัยใกล้เคียงกับธงชาติคาซัคสถานและตราแผ่นดินของคาซัคสถาน) ด้านซ้ายและขวาของตรานั้นมีช่อดอกฝ้ายกับรวงข้าวสาลีรองรับ ที่ส่วนยอดและส่วนล่างมีนามชื่อประเทศเป็นอักษรซีริลลิกว่า ( Kyrgyz Respublikasy) ตรงกลางมีภูเขาเตียนชาน ("Tian Shan") ภายใต้แสงรัศมีของดวงอาทิตย์ช่วงรุ่งอรุณ โดยมีนกเหยี่ยวกำลังสยายปีกบินรองรับภูเขาเตียนชาน ส่วนท่าบินของนก หมายถึงวิสัยทัศน์ของชาติที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างทรงพลังประวัติ ประวัติ. ก่อนหน้าที่จะได้รับอิสรภาพจากสหภาพโซเวียต เดิมคีร์กีซสถานได้ใช้ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐโซเวียต ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ สัญลักษณ์ค้อนเคียวที่สื่อถึงการปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2460 ได้ถูกตัดออก แบบตราแผ่นดินปัจจุบันได้ดัดแปลงแก้ไขและยังคงลักษณะบางอย่างของตราเดิมในสมัยโซเวียตคีร์กีซ เช่น ช่อดอกฝ้ายกับรวงข้าวสาลี และภูเขาเตียนชาน
คีร์กีซสถาน ประกาศใช้ตราแผ่นดินอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่เท่าไร
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 185 ], "answer_end_position": [ 186 ] }
2,946
415,661
ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน ตราแผ่นดินของคีร์กีซสถาน ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2535 หลังแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ตราแผ่นดินเป็นสีน้ำเงิน สีฟ้าของชาวคีร์กีซ หมายถึง ความกล้าหาญและความบริสุทธิ์ (มีนัยใกล้เคียงกับธงชาติคาซัคสถานและตราแผ่นดินของคาซัคสถาน) ด้านซ้ายและขวาของตรานั้นมีช่อดอกฝ้ายกับรวงข้าวสาลีรองรับ ที่ส่วนยอดและส่วนล่างมีนามชื่อประเทศเป็นอักษรซีริลลิกว่า ( Kyrgyz Respublikasy) ตรงกลางมีภูเขาเตียนชาน ("Tian Shan") ภายใต้แสงรัศมีของดวงอาทิตย์ช่วงรุ่งอรุณ โดยมีนกเหยี่ยวกำลังสยายปีกบินรองรับภูเขาเตียนชาน ส่วนท่าบินของนก หมายถึงวิสัยทัศน์ของชาติที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างทรงพลังประวัติ ประวัติ. ก่อนหน้าที่จะได้รับอิสรภาพจากสหภาพโซเวียต เดิมคีร์กีซสถานได้ใช้ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐโซเวียต ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ สัญลักษณ์ค้อนเคียวที่สื่อถึงการปฏิวัติรัสเซีย พ.ศ. 2460 ได้ถูกตัดออก แบบตราแผ่นดินปัจจุบันได้ดัดแปลงแก้ไขและยังคงลักษณะบางอย่างของตราเดิมในสมัยโซเวียตคีร์กีซ เช่น ช่อดอกฝ้ายกับรวงข้าวสาลี และภูเขาเตียนชาน
เดิมคีร์กีซสถานได้ใช้ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐใด
{ "answer": [ "สาธารณรัฐโซเวียต" ], "answer_begin_position": [ 799 ], "answer_end_position": [ 815 ] }
1,693
525,247
จิรายุ ตันตระกูล จิรายุ ตันตระกูล ชื่อเล่น: ก๊อต เป็นนักแสดงชาวไทยสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เข้าวงการจากการประกวด ดิ ไอดอล โปรเจกต์ และนอกจากนี้ยังมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ณปภา ตันตระกูล ชีวิตส่วนตัว ปัจจุบันคบหาดูใจกับนักแสดงช่อง 3 โบว์ - เบญจวรรณ อาร์ดเนอร์การศึกษาการศึกษา. - มัธยมศึกษา : โรงเรียนวัดราชบพิธ - อุดมศึกษา : คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ต่อมาได้รับทุนความสามารถพิเศษด้านศิลปินจากสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต จึงย้ายมหาวิทยาลัยผลงานผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ผลงานละครโทรทัศน์. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3- ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทาง ช่อง 3 เอสดีภาพยนตร์ภาพยนตร์. - 2559 Gold รับบท แดนนี่
ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอะไร
{ "answer": [ "กรุงเทพ" ], "answer_begin_position": [ 460 ], "answer_end_position": [ 467 ] }