question_id
int32 1
4k
| article_id
int32 665
954k
| context
stringlengths 75
87.2k
| question
stringlengths 11
135
| answers
sequence |
---|---|---|---|---|
1,328 | 48,524 | เอจิ โยะชิกะวะ เอจิ โยะชิกะวะ () นักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น ผู้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งในวงการวรรณกรรมญี่ปุ่น และทั่วโลก มีชื่อจริงว่า ฮิเดสึงุ โยชิคาวะ () เกิดในปี ค.ศ. 1892 ที่เขตคุรากิ (ปัจจุบันคือ โยโกฮาม่า) จังหวัดคานางาว่า (Kanagawa Prefecture) ใกล้กับกรุงโตเกียว เริ่มเข้าสู่วงการนักเขียนเมื่ออายุ 22 ปี ช่วงอายุ 30-40 ปี เขาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์พร้อมๆ กับทำงานเขียนต่างๆ และนวนิยายไปด้วย ผลงานของเขาถูกตีพิมพ์ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ และนิตยสารชื่อดังต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1962 ด้วยโรคมะเร็งปอด เอจิ โยะชิกะวะ ก็กลายเป็นนักเขียนที่มีคนรู้จักและเป็นที่รักที่สุดคนหนึ่งของวงการวรรณกรรมญี่ปุ่น เขาเคยได้รับเหรียญรางวัลด้านวัฒนธรรมซึ่งนับเป็นรางวัลสูงสุดสำหรับคนในวงการนักเขียน และยังได้รับรางวัลอื่นๆ ทางด้านวัฒนธรรมอีกหลายรางวัล ผลงานที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกจนถูกนำมาแปลในอีกหลายภาษา และถูกดัดแปลงนำมาสร้างผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายทั้ง ภาพยนตร์, เกม และ การ์ตูน ก็คือผลงานชุด "มุซาชิ (Musashi) "ผลงานของ เอจิ โยะชิกะวะนวนิยายชุด "Musashi (1971) "ผลงานของ เอจิ โยะชิกะวะ. นวนิยายชุด "Musashi (1971) ". - ลำดับที่ 1 Musashi : The Way of the Samurai (1989) - ลำดับที่ 2 Musashi : The Art of War (1989) - ลำดับที่ 3 Musashi : The Way of the Sword (1989) - ลำดับที่ 4 Musashi : The Bushido Code (1989) - ลำดับที่ 5 Musashi : The Way of Life and Death (1989)นวนิยายนวนิยาย. - The Heike Story (1956) - Taiko (1967)ไม่ใช่นวนิยายไม่ใช่นวนิยาย. - Fragments of a Past: A Memoir
| เอจิ โยะชิกะวะ เสียชีวิตด้วยโรคอะไร | {
"answer": [
"มะเร็งปอด"
],
"answer_begin_position": [
615
],
"answer_end_position": [
624
]
} |
1,329 | 111,468 | ภาษามากัสซาร์ ภาษามากัสซาร์ หรือ ภาษามากาซาร์ เป็นทั้งชื่อของภาษาและระบบการเขียนในเกาะซูลาเวซี ประเทศอินโดนีเซีย อยู่ในตระกูลออสโตรนีเซียน ใกล้เคียงกับภาษาบูกิส ในอดีตเขียนด้วยอักษรลนตารา/มากาซาร์ ซึ่งเคยใช้เขียนภาษาบูกิสและภาษามันดาร์ด้วย ปัจจุบันนิยมเขียนด้วยอักษรละตินมากกว่า
| ภาษามากัสซาร์มีความใกล้เคียงกับภาษาใด | {
"answer": [
"บูกิส"
],
"answer_begin_position": [
243
],
"answer_end_position": [
248
]
} |
1,330 | 122,399 | น้ำพริก น้ำพริก เป็น อาหารไทยประเภทเครื่องจิ้มชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่ใช้รับประทานคู่กับผัก ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ พริก ที่ต้องตำละเอียด มีอยู่หลายอย่างเรียกตามส่วนประกอบที่ใส่ลงไป น้ำพริกยังเป็นผลิตภัณฑ์ส่งขายออกนอกประเทศด้วย โดยน้ำพริกแม่ศรีเป็นผู้จำหน่ายแรก เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517ประวัติของน้ำพริก ประวัติของน้ำพริก. คนในสมัยก่อนนิยมรับประทานสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก จึงอาจคิดค้นน้ำพริกขึ้น เพื่อเพิ่มรสชาติและดับกลิ่นคาวต่าง ๆ น้ำพริก ถูกใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ หรือใช้ในการรับประทาน เป็นกับข้าว ก็ได้ และยังได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับน้ำพริก แบบที่ใช้เป็นเครื่องปรุงส่วนผสมนั้น เกิดขึ้นเพราะอาหารไทยจำพวกแกง จำเป็นที่จะต้องมีส่วนประกอบ หรือกรรมวิธีการทำที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ปรุงจึงคิดทำน้ำพริกขึ้น เพื่อรวบรวมส่วนผสมต่าง ๆ นั้นเข้าด้วยกัน เป็นการลดขั้นตอนการปรุงลง และยังสามารถทำเก็บไว้ได้ในจำนวนมากความหลากหลายของน้ำพริกความหลากหลายของน้ำพริก. - น้ำพริกทางภาคใต้เรียกว่า น้ำชุบ องค์ประกอบหลักคือ พริก หอมและกะปิ มีเอกลักษณ์ คือ ไม่ผสมน้ำมะนาวหรือน้ำตาล จึงมีลักษณะแห้ง ถ้าผสมให้เข้ากันด้วยมือเรียกน้ำชุบหยำหรือน้ำชุบโจร ถ้าตำให้เข้ากันเรียกน้ำชุบเยาะ ถ้าตำแล้วผัดให้สุกเรียกว่าน้ำชุบผัดหรือน้ำชุบคั่วเคี่ยว น้ำชุบของภาคใต้นี้กินกับผักหลายชนิดทั้งผักสดและผักลวก เหตุที่ไม่ผสมน้ำมะนาว เนื่องจาก ชาวประมงในภาคใต้เมื่อออกเรือเป็นเวลาแรมเดือน หามะนาวได้ยาก จึงประกอบน้ำพริกโดยไม่ผสมน้ำมะนาว และเหตุที่เรียกว่า น้ำชุบ คือ การที่นำผักมาชุบกับน้ำพริกแห้ง - น้ำพริกภาคเหนือ เครื่องปรุงทุกอย่างต้องย่างหรือเผาให้สุกก่อน ปรุงรสด้วยเกลือเป็นหลัก - น้ำพริกภาคอีสาน ที่สำคัญมีสามอย่างคือ- ป่น เป็นน้ำพริกที่ประกอบด้วยพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม โขลกผสมกับปลา เห็ด หรือเนื้อสัตว์อื่น ใส่น้ำปลาร้า ลักษณะค่อนข้างข้นเพื่อให้จิ้มผัก - แจ่ว เป็นน้ำพริกพื้นฐานของภาคอีสาน ส่วนผสมหลักคือน้ำปลาร้าผสมกับพริก ใช้จิ้มทั้งผักและเนื้อสัตว์ ต่อมาจึงเพิ่มเครื่องปรุงอื่นเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เช่น หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ - ซุบ เป็นอาหารที่พัฒนามาจากแจ่ว โดยมาจากคำว่า ชุบ ซึ่งหมายถึงจุ่มหรือจิ้ม มาจากการที่นำผักที่ใช้จิ้มแจ่วมาผสมลงในแจ่ว แล้วเติมข้าวคั่วรายชื่อน้ำพริกรายชื่อน้ำพริก. - น้ำพริกกะปิ - น้ำพริกกากหมู - น้ำพริกกุ้งเสียบ - น้ำพริกกุ้งจ่อม - น้ำพริกกุ้งสด - น้ำพริกข่า - น้ำพริกแจ่ว - น้ำพริกโจร - น้ำพริกแดง - น้ำพริกตาแดง - น้ำพริกนรก - น้ำพริกปลากระป๋อง - น้ำพริกปลาดุกฟู - น้ำพริกปลาต้ม - น้ำพริกปลาย่าง - น้ำพริกปลาย่างมะขามเปียก - น้ำพริกปลาร้า - น้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง- น้ำพริกปลาสลิดป่น - น้ำพริกปลาสลิด - น้ำพริกปักษ์ใต้ - น้ำพริกผัดพริกขิง - น้ำพริกเผา - น้ำพริกเผาถั่วเขียวงา - น้ำพริกมะเขือพวง - น้ำพริกมะขาม - น้ำพริกมะขามเปียก - น้ำพริกมะขามสด - น้ำพริกมะม่วง - น้ำพริกมะอึก - น้ำพริกมันกุ้ง - น้ำพริกแมงดา - น้ำพริกระกำ - น้ำพริกลงเรือ - น้ำพริกสวรรค์ - น้ำพริกหนุ่ม - น้ำพริกอ่อง - น้ำพริกปลาทู
| น้ำพริกทางภาคใต้เรียกว่าอะไร | {
"answer": [
"น้ำชุบ"
],
"answer_begin_position": [
986
],
"answer_end_position": [
992
]
} |
1,331 | 50,092 | ไกรทอง ไกรทอง เป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลางของไทย ที่มีตัวเอกชื่อ ไกรทอง เล่าไว้หลายสำนวนด้วยกัน ภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครสำหรับละครนอก และได้รับความนิยม ยกย่องเป็นฉบับมาตรฐานฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับคนและจระเข้เรื่องย่อ เรื่องย่อ. กาลครั้งหนึ่ง มีถ้ำแก้ววิเศษเป็นที่อยู่ของจระเข้(ใต้) ในถ้ำมีลูกแก้ววิเศษที่ส่องแสงดุจเวลากลางวัน จระเข้ทุกตัวที่เข้ามาในถ้ำจะกลายเป็นมนุษย์ มีท้าวรำไพ เป็นจระเข้เฒ่าผู้ทรงศีล ไม่กินเนื้อมนุษย์และสัตว์ มีบุตรชื่อ ท้าวโคจร ซึ่งนิสัยแตกต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง ท้าวโคจรมีบุตรชื่อ ชาละวัน วันหนึ่ง ท้าวโคจร เกิดทะเลาะวิวาทกับท้าวแสนตาและพญาพันวัง(เหนือ) ท้าวโคจรโกรธที่ท้าวแสนตาฆ่าลูกน้องของตนจึงเข้ามาขอท้าสู้ แต่ท้าวแสนตาก็ไม่อาจสู้กำลังของท้าวโคจรได้ พญาพันวังโมโหที่ท้าวโคจรฆ่าพี่ชายของตนจึงขึ้นมาสู้กับท้าวโคจร สุดท้ายทั้งสามก็จบชีวิตลงจากบาดแผลที่เกิดจากการสู้รบกัน หลังจากนั้น พญาชาละวัน บุตรของท้าวโคจร ก็ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองถ้ำบาดาลโดยไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจ และได้จระเข้สาวสองตัวเป็นเมียคือ วิมาลา กับ เลื่อมลายวรรณ ด้วยความลุ่มหลงในอำนาจ ชาละวันจึงมีนิสัยดุร้ายต้องการกินเนื้อมนุษย์ และไม่รักษาศีลเหมือนท้าวรำไพผู้เป็นปู่แต่อย่างใด เพราะถือว่าตนเป็นผู้ปกครองถ้ำ มีอำนาจอยากจะทำอะไรก็ได้ ณ เมืองพิจิตร มีเหตุการณ์จระเข้อาละวาดออกมากินคนที่อยู่ใกล้คลอง วันหนึ่ง พี่น้องคู่หนึ่ง ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทอง ผู้น้อง ทั้งสองเป็นธิดาของเศรษฐี อยากที่จะลงไปเล่นน้ำที่คลอง เศรษฐีห้ามแต่สองพี่น้องก็ยังรบเร้าที่จะไปโดยบอกว่ามีพี่เลี้ยงลงไปด้วย เศรษฐีจึงใจอ่อนยอมให้ตะเภาแก้วและตะเภาทองลงไปเล่นน้ำ ในเวลานั้น ชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นจระเข้ยักษ์นิสัยอันธพาล ได้ออกจากถ้ำอาละวาดล่าหามนุษย์เป็นเหยื่อ สร้างความวุ่นวายไปทั่วเมือง และได้ว่ายน้ำผ่านมาเห็นตะเภาทองที่แม่น้ำแถวบ้านท่านเศรษฐี ก็เกิดความลุ่มหลงทันทีจึงคาบตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทองด้วยความเหิมลำพอง เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา ก็ตกตะลึงในความสวยของถ้ำ และได้เห็นพญาชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นชายรูปงาม ชาละวันเกี้ยวพาราสีแต่นางไม่สนใจ ชาละวันจึงใช้เวทมนตร์สะกดให้นางหลงรักและยอมเป็นภรรยา เมียของชาละวันคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่พอใจและหึงหวงแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้ ท่านเศรษฐีเสียใจมาก จึงประกาศไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงานกับนางตะเภาแก้ว แต่ไม่ว่าจะมีผู้มีอาคมอาคมมาปราบชาละวันกี่คน ก็จะตกเป็นเหยื่อให้ชาละวันเอาไปนั่งกินเล่นทุกราย และแล้วก็ได้ ไกรทอง หนุ่มรูปหล่อจากเมืองนนทบุรี ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ฤทธิ์อาคมแกร่ง ได้รับอาสามาปราบชาละวัน ก่อนพบเจอเหตุร้าย ชาละวันได้นอนฝันว่า มีไฟลุกไหม้และน้ำท่วมทะลักเข้าถ้ำ เกิดแผ่นดินไหวแปรปรวน ทันใดนั้น ได้ปรากฏร่างเทวดาฟันคอชาละวันขาดกระเด็น จึงได้นำความฝันไปบอกกล่าวกับปู่ท้าวรำไพ เพราะเหตุการณ์ในความฝันเป็นลางร้าย ชาละวันต้องจำศีลในถ้ำ 7 วัน ถ้าออกไปนอกถ้ำจะพบภัยพิบัติถึงชีวิต วิมาลาจึงรับสั่งให้บริวารจระเข้คาบก้อนหินมาปิดปากถ้ำเอาไว้ เพื่อไม่ให้มนุษย์เข้ามาในถ้ำ รุ่งเช้าไกรทองเริ่มตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมท่องคาถา ทำให้ชาละวันเกิดอาการร้อนรุ่ม วิมาลาได้แต่คอยปลอบใจให้ชาละวันอดทนเข้าไว้ แต่สุดท้ายชาละวันก็ต้องออกจากถ้ำ แปลงกายเป็นจระเข้ขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อต่อสู้กับไกรทอง การต่อสู้ของคนกับจระเข้จึงเริ่มขึ้นไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ชาละวันอย่างรวดเร็วและแทงด้วยหอกสัตตโลหะ ทำให้อาคมของเขี้ยวเพชรเสื่อม หอกอาคมได้ทิ่มแทงชาละวันจนบาดเจ็บสาหัส และมันได้รีบหนีกลับไปที่ถ้ำทองทันที แต่ไกรทองก็ใช้เทียนระเบิดน้ำเปิดทางน้ำ ตามลงไปที่ถ้ำทันที วิมาลาและเลื่อมลายวรรณต้องการของร้องให้ปู่ท้าวรำไพช่วย แต่ท้าวรำไพก็ไม่สามารถช่วยได้ เมื่อมาถึงถ้ำไกรทองได้พบกับ วิมาลา ด้วยความเจ้าชู้จึงเกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ จนนางตกใจวิ่งหนีเข้าถ้ำ ไกรทองจึงตามนางไป ส่วนชาละวันที่นอนบาดเจ็บอยู่ก็รีบออกมาจากที่ซ่อนตัวและได้ต่อสู้กับไกรทองต่อในถ้ำ จนชาละวันสู้ไม่ไหวในที่สุดก็พลาดเสียท่าถูกแทงจนสิ้นใจตายตรงนั้น (บางสำนวนก็บอกว่า ชาละวันถูกหอกอาคมของไกรทองแทงกลางหลัง แล้วร่างก็เปลี่ยนเป็นจระเข้ยักษ์นอนตายอยู่กลางถ้ำทอง) และไกรทองก็ได้พานางตะเภาทองกลับขึ้นมา เศรษฐีดีใจมากที่ลูกสาวยังไม่ตาย จึงจัดงานแต่งงานให้ไกรทองกับนางตะเภาแก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แถมนางตะเภาทองให้อีกคน ใจของไกรทองกลับนึกถึงนางวิมาลา จึงไปหาอยู่กินด้วย โดยทำพิธีทำให้นางยังคงเป็นมนุษย์แม้ออกนอกถ้ำทอง นางตะเภาแก้วและนางตะเภาทอง จับได้ว่า สามีไปมาหาสู่ นางจระเข้จึงไปหาเรื่องกับนางในร่างมนุษย์จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับ ร่างเป็นจระเข้และไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ให้เมียตีกันและอำลาจากนางวิมาลาด้วยใจอาวรณ์ สุดท้ายไกรทองก็ปรับความเข้าใจได้กับทั้งสองฝ่าย ทั้งมนุษย์และจระเข้อยู่อย่างสันติตำนานจระเข้ชาละวัน ตำนานจระเข้ชาละวัน. ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่งแม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยที่พิจิตรมีเจ้าเมืองปกครอง ตามตำนานกล่าวว่า มีตายายสองสามีภรรยา ออกไปหาปลาพบไข่จระเข้ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงเก็บมาฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ เพราะยายอยากเลี้ยงไว้แทนลูก ต่อมาจระเข้ตัวใหญ่ขึ้นจึงนำไปเลี้ยงไว้ในสระใกล้บ้านหาปลามาให้เป็นประจำ ต่อมาตายายหาปลามาให้เป็นอาหารไม่พออิ่ม จระเข้ตัวนั้นจึงกินตายายเป็นอาหาร เมื่อขาดคนเลี้ยงดูให้อาหาร จระเข้ใหญ่จึงออกจากสระไปอาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ห่างจากสระตายายประมาณ 500 เมตร แม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลานานาชนิดและมีน้ำบริบูรณ์ตลอดปี ขณะนั้นไหลผ่านบ้านวังกระดี่ทอง บ้านดงเศรษฐี ล่องไปทางใต้ ไหลผ่านบ้านดงชะพลู บ้านคะเชนทร์ บ้านเมืองพิจิตรเก่า บ้านท่าข่อย จนถึงบ้านบางคลาน จระเข้ใหญ่ก็เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแม่น้ำตั้งแต่ย่านเหนือเขตวังกระดี่ทอง ดงชะพลู จนถึงเมืองเก่า แต่ด้วยจระเข้ใหญ่ของตายายได้เคยลิ้มเนื้อมนุษย์แล้ว จึงเที่ยวอาละวาดกัดกินคนทั้งบนบกและในน้ำไม่มีเว้นแต่ละวัน จึงถูกขนานนามว่า "ไอ้ตาละวัน" ตามสำเนียงภาษาพูดของชาวบ้านที่เรียกตามความดุร้ายที่มันทำร้ายคน ไม่เว้นแต่ละวัน ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเสียงเป็น "ไอ้ชาละวัน" และเขียนเป็น "ชาลวัน" ตามเนื้อเรื่องในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชื่อของชาละวันแพร่สะพัดไปทั่วเพราะเจ้าชาละวันไปคาบเอาบุตรสาวคนหนึ่งของเศรษฐีเมืองพิจิตรขณะกำลังอาบน้ำอยู่ที่แพท่าน้ำหน้าบ้าน เศรษฐีจึงประกาศให้สินบนหลายสิบชั่ง พร้อมทั้งยกลูกสาวที่มีอยู่อีกคนหนึ่งให้แก่ผู้ที่ฆ่าชาละวันได้ ไกรทอง พ่อค้าจากเมืองล่าง สันนิษฐานว่าจากเมืองนนทบุรี รับอาสาปราบจระเข้ใหญ่ด้วยหอกลงอาคมหมอจระเข้ ถ้ำชาละวันสันนิษฐานว่าอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่า ปัจจุบันอยู่ห่างจากที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน บ้านวังกระดี่ทอง ตำบลย่านยาว ไปทางใต้ประมาณ 300 เมตร ทางลงปากถ้ำเป็นโพรงลึกเป็นรูปวงกลมมีขนาดพอดี จระเข้ขนาดใหญ่มากเข้าได้อย่างสบาย คนรุ่นเก่าได้เล่าถึงความใหญ่โตของชาละวันว่า เวลามันอวดศักดาลอยตัวปริ่มน้ำขวางคลอง ลำตัวของมันจะยาวคับคลอง กล่าวคือ หากหัวอยู่ฝั่งนี้ หางจะอยู่อีกฝั่ง เรื่องชาละวันเป็นเรื่องที่เลื่องลือมาก จนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกเรื่อง "ไกรทอง" และให้นามจระเข้ใหญ่ว่า "พญาชาลวัน"เรื่องเล่านายไกรทอง ชาวเมืองนนทบุรี เรื่องเล่านายไกรทอง ชาวเมืองนนทบุรี. ส่วนนายไกรทองหมอปราบจระเข้ สันนิษฐานตามหลักฐานว่า เป็นบุคคลที่มาจากเมืองนนทบุรี ประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำ และเคยรับอาสาปราบจระเข้ยักษ์ที่คร่าคนในพิจิตร และภายหลังชาวเมืองนนทบุรีได้ทราบข่าวการสร้างวีรกรรมปราบจระเข้ที่เมืองพิจิตร และได้สร้างศาสนสถานขึ้นคือ วัดบางไกรใน เพื่อเป็นเกียรติแก่ความหาญกล้าของไกรทองภาพยนตร์และละครภาพยนตร์และละคร. - ไกรทอง (2501) ภาพยนตร์ เนื้อเรื่องจะเหมือนกับในหนังสือนิทาน เป็นภาพยนตร์ 16 มม. นำแสดงโดย อดุลย์ ดุลยรัตน์ รับบท ไกรทอง, ชนะ ศรีอุบล รับบท ชาละวัน พร้อมด้วย สวลี ผกาพันธุ์, ประภาพรรณ นากทอง, วงทอง ผลานุสนธ์ และ แขไข สุริยา ให้เสียงพากษ์โดย รุจิรา-มารศรี ออกฉายที่โรงภาพยนตร์เอ็มไพร์ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2501- ชาละวัน (2515) ภาพยนตร์ เนื้อเรื่องจะเหมือนกับในหนังสือนิทาน ไกรทอง เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัท ไชโย โดยสมโภชน์ แสงเดือนฉาย ประมาณปี พ.ศ. 2515 นำแสดงโดย ปรีดา จุลละมณฑล รับบทเป็น ไกรทอง และ ดามพ์ ดัสกร รับบทเป็น ชาละวัน- ไกรทอง (2523) ภาพยนตร์ เนื้อเรื่องจะเหมือนกับในหนังสือนิทาน สร้างโดย ไชโยภาพยนตร์ กำกับการแสดงโดย เนรมิต และ ฉลวย ศรีรัตนา นำแสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี รับบท ไกรทอง, สมบัติ เมทะนี รับบท ชาละวัน, อรัญญา นามวงศ์ รับบท วิมาลา, อำภา ภูษิต รับบท ตะเภาแก้ว, สุพรรษา เนื่องภิรมย์ รับบท ตะเภาทอง และ ดวงชีวัน โกมลเสน รับบท เลื่อมลายวรรณ- ไกรทอง 2 (2528) เป็นทีมผู้สร้างและผู้แสดงหน้าเดิมจากภาคแรก เนื้อเรื่องมีความสนุกตื่นเต้นมากขึ้น มีตัวละครร่วมอย่าง ไอ้เคี่ยม (จระเข้น้ำเค็ม) ซึ่งแสดงโดย ลักษณ์ อภิชาติ- ไกรทอง (ละครพื้นบ้าน ช่อง 7) ปี 2538 ซึ่งเนื้อเรื่องก็นำมาจากในหนังสือนิทาน นำแสดงโดย ฉัตรมงคล บำเพ็ญ รับบทเป็น ชาละวัน, สิปปนนท์ คชชาคร รับบทเป็น ไกรทอง, ธิติยา นพพงษากิจ รับบทเป็น ตะเภาทอง, สุดธิดา หาญถนอม รับบทเป็น ตะเภาแก้ว, พรพิมล รักธรรม รับบทเป็น วิมาลา, กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ รับบทเป็น เลื่อมลายวรรณ- ไกรทอง (2544) ภาพยนตร์ ฉบับเอาเนื้อเรื่องนิทานมารีเมคใหม่ ผลงานกำกับของ สุทัศน์ อินทรานุปกรณ์ นำแสดงโดย วินัย ไกรบุตร, วรรณษา ทองวิเศษ, ปรายฟ้า สิริวิชชา, แชมเปญ เอ็กซ์, ชุติมา เอเวอรี่, เจ็ท ผดุงธรรม ออกฉายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544- ไกรทอง (2560) ละครพื้นบ้านช่อง 7 ฉบับนี้จะเป็นการนำละครพื้นบ้านอย่างไกรทองกลับมารีเมคใหม่โดยมี โอภาภูมิ ชิตาพัณณ์ เป็นนักแสดงนำ รับบทเป็น ชาละวัน กชกร ส่งแสงเติม รับบทเป็น ตะเภาทอง โดยจะออกอากาศทางช่อง 7ไกรทองพิชิตชาละวัน (สำนวนแบบที่ 2) ไกรทองพิชิตชาละวัน (สำนวนแบบที่ 2). หลังจากที่ทำพิธีท่องมนต์เรียกชาละวัน ให้ขึ้นมาต่อสู้กันบนผิวน้ำ และชาละวันถอยหนีเพราะถูกหอกสัตตโลหะทิ่มแทงจนบาดเจ็บ ไกรทองทำพิธีและใช้เทียนเบิกน้ำเปิดทางไปยังถ้ำบาดาลของจระเข้ เขาได้พบกับวิมาลาด้วยความตกใจนางเลยวิ่งหนีเข้าไปหลบในถ้ำ และได้พบกับชาละวันอีกครั้ง และเกิดจากต่อสู้กันและชาละวันสู้ไม่ได้จึงยอมแพ้ ไกรทองจึงใช้เวทมนตร์สะกดจิตชาละวัน บังคับให้มันกลายร่างเป็นจระเข้ไปส่งตนกับตะเภาทองที่เมืองบน หลังจากนั้นจุดจบเคราะห์กรรมของชาละวันก็มาถึง เพื่อความสบายใจของชาวบ้านทุกคน ไกรทองจึงท่องมนต์คาถาพร้อมกับใช้หอกอาคมแทงลงบนหัวชาละวันจนสิ้นชีพ และร่างของมันก็จมลงหายไปในน้ำ มีเลือดไหลผุดขึ้นมาตรงบริเวณที่มันจมให้เห็น ในช่วงเวลานั้นชาวบ้านทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจในความกล้าของไกรทอง ท่านเศรษฐีเตรียมจัดงานแต่งของตะเภาทอง ตะเภาแก้ว และไกรทอง พร้อมกับมอบสมบัติให้เป็นรางวัล
| ภาพยนตร์ ไกรทอง ฉบับปี 2544 มีผู้กำกับชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"สุทัศน์ อินทรานุปกรณ์"
],
"answer_begin_position": [
8217
],
"answer_end_position": [
8238
]
} |
1,332 | 604,812 | ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) ( ชื่อย่อ: BBC) เป็นอดีตธนาคาร ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 โดยผู้บริหารธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ได้ยุติการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2541 โดยมีการโอนกิจการของธนาคารฯ ไปยัง ธนาคารกรุงไทย เฉพาะสินทรัพย์และเงินฝากของลูกค้าที่มีคุณภาพดี และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เฉพาะสินทรัพย์และลูกหนี้ที่มีความด้อยคุณภาพ (หมายถึง บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2542) ซึ่งทำให้ธนาคารฯ แปลงสภาพเป็นบริษัทลูกหนี้ ภายใต้ชื่อ บริษัท กรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) แต่ในที่สุดก็ปิดกิจการลงเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2546 เนื่องจากศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ล้มละลาย อนึ่ง วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยึดใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ ของธนาคารฯ ด้วยสาเหตุจากการมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ซึ่งปัญหาการเงินและสืบเนื่องมาถึงปิดตัวของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การนั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 สำหรับตราสัญลักษณ์ของธนาคารฯ ได้ใช้รูปเหรียญสตางค์ด้านหลัง ที่เป็นรูปตราจักรเฉียงจากทางซ้ายไปทางขวา 8 ซีก โดยมีคำว่า พ.ศ. ๒๔๘๗ อยู่ในวงกลมด้านบนของตราจักร ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสัญลักษณ์เหรียญสตางค์ตราจักรเป็นสีเหลือง และถูกประดับด้วยกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน ซึ่งปรับเปลี่ยนประมาณปี พ.ศ. 2537เป็นรูปแบบสุดท้ายก่อนที่จะปิดกิจการลง
| ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) มีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร | {
"answer": [
"BBC"
],
"answer_begin_position": [
177
],
"answer_end_position": [
180
]
} |
1,333 | 142,962 | พระที่นั่งไกรสรสีหราช (พระที่นั่งเย็น) พระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือ พระที่นั่งเย็น หรือ พระตำหนักทะเลชุบศร เป็นพระที่นั่งที่ประทับอีกแห่งหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ เมืองลพบุรี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเพื่อทรงสำราญพระราชอิริยาบถ โดยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. 2228 นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ของประเทศไทย เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้เป็นสถานที่ศึกษาจันทรุปราคา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228 ร่วมกับบาทหลวงเยซูอิตและบุคคลในคณะทูตชุดแรกที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งมาเจริญสัมพันธไมตรี เหตุที่ใช้พระที่นั่งเย็นเป็นที่ศึกษาจันทรุปราคามีบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมมองท้องฟ้าได้ทุกด้าน มีพื้นที่กว้างพอในการติดตั้งเครื่องมือ มีหลักฐานภาพวาดการศึกษาจันทรุปราคาที่วาดโดยชาวฝรั่งเศสแสดงภาพสมเด็จพระนารายณ์ทรงสวมลอมพอก ทรงกล้องยาวบนขา ตั้งทอดพระเนตรดวงจันทร์จากสีหบัญชรและตรงเฉลียงหน้าสีหบัญชรด้านหนึ่งมีขุนนางหมอบกราบ อีกด้านหนึ่งมีนักดาราศาสตร์กำลังสังเกตการณ์โดยใช้กล้องส่องดาว กล่าวได้ว่าการศึกษาดาราศาสตร์เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ พระที่นั่งเย็นเมืองลพบุรีนี่เอง ปัจจุบัน พระที่นั่งไกรสรสีหราชมีราษฎรบุกรุกสร้างบ้านเรือนอยู่ในเขตรัศมีใกล้ชิดโบราณสถาน
| พระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือ พระที่นั่งเย็น หรือ พระตำหนักทะเลชุบศร เป็นพระที่นั่งที่ประทับของใคร | {
"answer": [
"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"
],
"answer_begin_position": [
256
],
"answer_end_position": [
278
]
} |
1,782 | 142,962 | พระที่นั่งไกรสรสีหราช (พระที่นั่งเย็น) พระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือ พระที่นั่งเย็น หรือ พระตำหนักทะเลชุบศร เป็นพระที่นั่งที่ประทับอีกแห่งหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ เมืองลพบุรี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเพื่อทรงสำราญพระราชอิริยาบถ โดยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. 2228 นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ของประเทศไทย เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้เป็นสถานที่ศึกษาจันทรุปราคา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228 ร่วมกับบาทหลวงเยซูอิตและบุคคลในคณะทูตชุดแรกที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งมาเจริญสัมพันธไมตรี เหตุที่ใช้พระที่นั่งเย็นเป็นที่ศึกษาจันทรุปราคามีบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมมองท้องฟ้าได้ทุกด้าน มีพื้นที่กว้างพอในการติดตั้งเครื่องมือ มีหลักฐานภาพวาดการศึกษาจันทรุปราคาที่วาดโดยชาวฝรั่งเศสแสดงภาพสมเด็จพระนารายณ์ทรงสวมลอมพอก ทรงกล้องยาวบนขา ตั้งทอดพระเนตรดวงจันทร์จากสีหบัญชรและตรงเฉลียงหน้าสีหบัญชรด้านหนึ่งมีขุนนางหมอบกราบ อีกด้านหนึ่งมีนักดาราศาสตร์กำลังสังเกตการณ์โดยใช้กล้องส่องดาว กล่าวได้ว่าการศึกษาดาราศาสตร์เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ พระที่นั่งเย็นเมืองลพบุรีนี่เอง ปัจจุบัน พระที่นั่งไกรสรสีหราชมีราษฎรบุกรุกสร้างบ้านเรือนอยู่ในเขตรัศมีใกล้ชิดโบราณสถาน
| สมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้พระที่นั่งไกรสรสีหราชเป็นสถานที่ศึกษาจันทรุปราคา เมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"11"
],
"answer_begin_position": [
531
],
"answer_end_position": [
533
]
} |
1,334 | 221,305 | แฟรงค์ บรูโน แฟรงค์ บรูโน () อดีตแชมป์โลกเฮฟวี่เวทผิวดำชาวอังกฤษ มีชื่อจริงว่า แฟรงกลิน รอย บรูโน (Franklin Roy Bruno) เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1961 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บรูโนชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 ทำสถิติชนะน็อกและชนะที.เค.โอ. 21 ครั้งรวด ก่อนจะแพ้ที.เค.โอ.ยก 10 กับ เจมส์ สมิธ นักมวยชาวอเมริกัน ที่สนามเวมบลีย์ ถิ่นของบรูโนเอง จากนั้นบรูโนกลับมาทำฟอร์มชนะรวดอีก 7 ครั้ง และเป็นการชนะน็อกอีก 6 ครั้ง ก่อนจะมาแพ้ที.เค.โอ.ในยกทื่ 11 ต่อ ทิม วิทเธอร์สปูน นักมวยชาวอเมริกัน ที่สนามเวมบลีย์ และบรูโนก็กลับมาชนะน็อกอีก 5 ครั้ง ก่อนที่จะขึ้นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท 3 สถาบันหลัก กับนักมวยอันตรายแห่งยุค ไมค์ ไทสัน ถึงลาสเวกัส ผลการชกบรูโนเป็นฝ่ายแพ้ที.เค.โอ.เพียงยกที่ 5 แก่ไทสันเท่านั้นเอง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 หลังจากนั้นบรูโนก็กลับมาทำฟอร์มชนะน็อกรวดอีก 5 ครั้ง ก่อนที่จะชิงแชมป์โลกอีกครั้งเฉพาะของสถาบันสภามวยโลก (WBC) กับ เลนน็อก ลูอิส นักมวยชาวอังกฤษด้วยกัน ผลการชกบรูโนไม่อาจจะทนทานลูอิสไหว จึงเป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในยกที่ 7 เท่านั้น จากนั้นบรูโนก็ยังเคลื่อนไหวชกอีกเรื่อย ๆ แต่ก็ทิ้งระยะห่างออกไปในแต่ละปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1995 ที่ลูอิสเสียแชมป์โลก WBC ให้แก่ โอลิเวอร์ แมคคอลล์ นักมวยชาวอเมริกันอย่างไม่น่าเชื่อ บรูโนก็ได้โอกาสชิงแชมป์โลกเป็นครั้งที่ 3 กับ แมคคอลล์ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1995 ปรากฏว่าบรูโนสามารถที่จะเอาชนะคะแนนแมคคอล์ไปได้ กลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WBC คนใหม่ จากการได้แชมป์โลกเฮฟวี่เวทของบรูโนนั้น ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาทันที และกลายเป็นนักกีฬาขวัญใจชาวอังกฤษไปเลยทีเดียว เพราะบรูโนกลายเป็นนักมวยชาวอังกฤษแท้ ๆ คนที่ 2 ที่สามารถคว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวทมาได้ หลังจากคนแรกคือ บ๊อบ ฟิตซิมมอนส์ ในปี ค.ศ. 1897 นับเป็นเวลานานถึง 98 ปี (ไม่นับ เลนน็อก ลูอิส เพราะลูอิสมีเชื้อสายจาไมก้า) ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวินเทียบเท่ากับท่านเซอร์ ให้แก่ บรูโน ด้วย แฟรงค์ บรูโน ต้องป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกกับ ไมค์ ไทสัน อดีตคู่ปรับเก่าที่เคยแพ้น็อกมาแล้วในอดีต ซึ่งคราวนี้ไทสันคืนหวนกลับมาบนเวทีอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากต้องโทษจำคุกอยู่นาน 3 ปี และเมื่อพบกันอีกครั้ง บรูโนก็ทนทานความดุดันของไทสันไม่ไหว แพ้น็อกไปเพียงแค่ยกที่ 3 เท่านั้น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1996 ที่ลาสเวกัส หลังจากนั้นบรูโนก็แขวนนวมไปโดยไม่ได้ขึ้นชกอีกเลย แฟรงก์ บรูโน แม้จะเป็นนักมวยรูปร่างสูงใหญ่ ดูบึกบึนและมีสถิติชนะน็อกหลายครั้ง แต่เมื่อพบกับนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็มักจะแพ้น็อกเพียงยกต้น ๆ อยู่ตลอด และถึงแม้ว่าจะเคยเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทก็ตาม แต่ก็ไม่เคยป้องกันตำแหน่งได้เลยและต้องใช้โอกาสถึง 3 ครั้ง จึงจะได้แชมป์มา ซึ่งในหลายปีต่อมา มีการจัดอันดับแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่ได้ชื่อว่าอ่อนแอที่สุด มีชื่อของบรูโนติดอยู่ในอันดับด้วย
| แฟรงค์ บรูโน นักมวยสากลชาวอังกฤษมีชื่อจริงว่าอะไร | {
"answer": [
"แฟรงกลิน รอย บรูโน"
],
"answer_begin_position": [
166
],
"answer_end_position": [
184
]
} |
1,335 | 221,305 | แฟรงค์ บรูโน แฟรงค์ บรูโน () อดีตแชมป์โลกเฮฟวี่เวทผิวดำชาวอังกฤษ มีชื่อจริงว่า แฟรงกลิน รอย บรูโน (Franklin Roy Bruno) เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1961 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บรูโนชกมวยสากลอาชีพครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 ทำสถิติชนะน็อกและชนะที.เค.โอ. 21 ครั้งรวด ก่อนจะแพ้ที.เค.โอ.ยก 10 กับ เจมส์ สมิธ นักมวยชาวอเมริกัน ที่สนามเวมบลีย์ ถิ่นของบรูโนเอง จากนั้นบรูโนกลับมาทำฟอร์มชนะรวดอีก 7 ครั้ง และเป็นการชนะน็อกอีก 6 ครั้ง ก่อนจะมาแพ้ที.เค.โอ.ในยกทื่ 11 ต่อ ทิม วิทเธอร์สปูน นักมวยชาวอเมริกัน ที่สนามเวมบลีย์ และบรูโนก็กลับมาชนะน็อกอีก 5 ครั้ง ก่อนที่จะขึ้นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท 3 สถาบันหลัก กับนักมวยอันตรายแห่งยุค ไมค์ ไทสัน ถึงลาสเวกัส ผลการชกบรูโนเป็นฝ่ายแพ้ที.เค.โอ.เพียงยกที่ 5 แก่ไทสันเท่านั้นเอง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 หลังจากนั้นบรูโนก็กลับมาทำฟอร์มชนะน็อกรวดอีก 5 ครั้ง ก่อนที่จะชิงแชมป์โลกอีกครั้งเฉพาะของสถาบันสภามวยโลก (WBC) กับ เลนน็อก ลูอิส นักมวยชาวอังกฤษด้วยกัน ผลการชกบรูโนไม่อาจจะทนทานลูอิสไหว จึงเป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในยกที่ 7 เท่านั้น จากนั้นบรูโนก็ยังเคลื่อนไหวชกอีกเรื่อย ๆ แต่ก็ทิ้งระยะห่างออกไปในแต่ละปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1995 ที่ลูอิสเสียแชมป์โลก WBC ให้แก่ โอลิเวอร์ แมคคอลล์ นักมวยชาวอเมริกันอย่างไม่น่าเชื่อ บรูโนก็ได้โอกาสชิงแชมป์โลกเป็นครั้งที่ 3 กับ แมคคอลล์ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1995 ปรากฏว่าบรูโนสามารถที่จะเอาชนะคะแนนแมคคอล์ไปได้ กลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WBC คนใหม่ จากการได้แชมป์โลกเฮฟวี่เวทของบรูโนนั้น ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาทันที และกลายเป็นนักกีฬาขวัญใจชาวอังกฤษไปเลยทีเดียว เพราะบรูโนกลายเป็นนักมวยชาวอังกฤษแท้ ๆ คนที่ 2 ที่สามารถคว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวทมาได้ หลังจากคนแรกคือ บ๊อบ ฟิตซิมมอนส์ ในปี ค.ศ. 1897 นับเป็นเวลานานถึง 98 ปี (ไม่นับ เลนน็อก ลูอิส เพราะลูอิสมีเชื้อสายจาไมก้า) ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวินเทียบเท่ากับท่านเซอร์ ให้แก่ บรูโน ด้วย แฟรงค์ บรูโน ต้องป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกกับ ไมค์ ไทสัน อดีตคู่ปรับเก่าที่เคยแพ้น็อกมาแล้วในอดีต ซึ่งคราวนี้ไทสันคืนหวนกลับมาบนเวทีอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากต้องโทษจำคุกอยู่นาน 3 ปี และเมื่อพบกันอีกครั้ง บรูโนก็ทนทานความดุดันของไทสันไม่ไหว แพ้น็อกไปเพียงแค่ยกที่ 3 เท่านั้น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1996 ที่ลาสเวกัส หลังจากนั้นบรูโนก็แขวนนวมไปโดยไม่ได้ขึ้นชกอีกเลย แฟรงก์ บรูโน แม้จะเป็นนักมวยรูปร่างสูงใหญ่ ดูบึกบึนและมีสถิติชนะน็อกหลายครั้ง แต่เมื่อพบกับนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็มักจะแพ้น็อกเพียงยกต้น ๆ อยู่ตลอด และถึงแม้ว่าจะเคยเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทก็ตาม แต่ก็ไม่เคยป้องกันตำแหน่งได้เลยและต้องใช้โอกาสถึง 3 ครั้ง จึงจะได้แชมป์มา ซึ่งในหลายปีต่อมา มีการจัดอันดับแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่ได้ชื่อว่าอ่อนแอที่สุด มีชื่อของบรูโนติดอยู่ในอันดับด้วย
| ครั้งแรกของการขึ้นชกมวยสากลของ แฟรงค์ บรูโน เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ใด | {
"answer": [
"ค.ศ. 1982"
],
"answer_begin_position": [
304
],
"answer_end_position": [
313
]
} |
1,336 | 954,314 | อนุวัต เฟื่องทองแดง อนุวัต เฟื่องทองแดง ชื่อเล่น หนุ่ม เป็นผู้ประกาศข่าวสังกัดช่อง7HD เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2519 จบจากปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มีพี่น้อง 5 คน เป็นบุตรของนายไพศาล และ นางสำราญ เฟื่องทองแดง บ้านเกิดอยู่ที่ จังหวัดปทุมธานี จีงเริ่มเข้าวงการบันเทิงเป็นผู้ประกาศข่าวและประวัติการทำงาน อนุวัตได้เข้าทำงานครั้งแรกที่บริษัทแปซิฟิคก่อนฝึกงานเป็นเจ้าหน้าที่โดยสมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นเจ้าของร่วมกับปีย์ มาลากุล ณ อยุธยาต่อมาได้เข้าเป็นผู้ประกาศข่าวไอทีวีเป็นระยะเวลา 8 ปีผลงานผู้ประกาศข่าวผลงานผู้ประกาศข่าว. - สารคดี บ.แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด - บ. แปซิฟิค คอปอร์เรชั่น จำกัด ศูนย์ข่าวแปซิฟิค, บ. ไอทีวี จำกัด มหาชน- ผู้ประกาศรายการสนามข่าว/ อนุวัตจัดให้ ดูผู้ประกาศข่าวทั้งหมดผลงานพิธีกรผลงานพิธีกร. - รายการ คู่ซ่าพาแซ่บรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลผู้ประกาศข่าวนาฏราชครั้งที่6
| อนุวัต เฟื่องทองแดง เป็นผู้ประกาศข่าวสังกัดช่องใด | {
"answer": [
"ช่อง7HD"
],
"answer_begin_position": [
172
],
"answer_end_position": [
179
]
} |
1,337 | 954,314 | อนุวัต เฟื่องทองแดง อนุวัต เฟื่องทองแดง ชื่อเล่น หนุ่ม เป็นผู้ประกาศข่าวสังกัดช่อง7HD เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2519 จบจากปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มีพี่น้อง 5 คน เป็นบุตรของนายไพศาล และ นางสำราญ เฟื่องทองแดง บ้านเกิดอยู่ที่ จังหวัดปทุมธานี จีงเริ่มเข้าวงการบันเทิงเป็นผู้ประกาศข่าวและประวัติการทำงาน อนุวัตได้เข้าทำงานครั้งแรกที่บริษัทแปซิฟิคก่อนฝึกงานเป็นเจ้าหน้าที่โดยสมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นเจ้าของร่วมกับปีย์ มาลากุล ณ อยุธยาต่อมาได้เข้าเป็นผู้ประกาศข่าวไอทีวีเป็นระยะเวลา 8 ปีผลงานผู้ประกาศข่าวผลงานผู้ประกาศข่าว. - สารคดี บ.แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด - บ. แปซิฟิค คอปอร์เรชั่น จำกัด ศูนย์ข่าวแปซิฟิค, บ. ไอทีวี จำกัด มหาชน- ผู้ประกาศรายการสนามข่าว/ อนุวัตจัดให้ ดูผู้ประกาศข่าวทั้งหมดผลงานพิธีกรผลงานพิธีกร. - รายการ คู่ซ่าพาแซ่บรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - รางวัลผู้ประกาศข่าวนาฏราชครั้งที่6
| ผลงานการเป็นพิธีกรครั้งแรกของอนุวัต เฟื่องทองแดงคือรายการอะไร | {
"answer": [
"รายการ คู่ซ่าพาแซ่บ"
],
"answer_begin_position": [
840
],
"answer_end_position": [
859
]
} |
1,338 | 888,124 | เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสว่างแดนดิน โดยเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการประจำอำเภอและศูนย์กลางเศรษฐกิจชุมชน เป็นต้นข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทั่วไป. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสกลนคร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้- ทิศเหนือ ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน - ทิศใต้ ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน - ทิศตะวันออก ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลทรายมูล - ทิศตะวันตก ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน ประวัติความเป็นมา เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2498 เป็นสุขาภิบาลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2542 กระทรวงมหาดไทยประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเป็น เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน จนปัจจุบันการปกครอง การปกครอง. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสว่างแดนดิน ได้แก่ จัดตั้งตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองส่วนท้องที่ พ.ศ. 2497- หมู่ 1 บ้านหัน - หมู่ 3 บ้านสนามชัย - หมู่ 11 บ้านสว่างแดนดิน - หมู่ 12 บ้านโคกกลาง - หมู่ 20 บ้านโคกกลางประชากร ประชากร. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน มีจำนวนประชากร ทั้งหมด 8,689 คน โดยแยกได้ดังนี้
| เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดอะไร | {
"answer": [
"จังหวัดสกลนคร"
],
"answer_begin_position": [
196
],
"answer_end_position": [
209
]
} |
1,912 | 888,124 | เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสว่างแดนดิน โดยเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการประจำอำเภอและศูนย์กลางเศรษฐกิจชุมชน เป็นต้นข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทั่วไป. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสกลนคร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้- ทิศเหนือ ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน - ทิศใต้ ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน - ทิศตะวันออก ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลทรายมูล - ทิศตะวันตก ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลสว่างแดนดิน ประวัติความเป็นมา เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2498 เป็นสุขาภิบาลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2542 กระทรวงมหาดไทยประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเป็น เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน จนปัจจุบันการปกครอง การปกครอง. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสว่างแดนดิน ได้แก่ จัดตั้งตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองส่วนท้องที่ พ.ศ. 2497- หมู่ 1 บ้านหัน - หมู่ 3 บ้านสนามชัย - หมู่ 11 บ้านสว่างแดนดิน - หมู่ 12 บ้านโคกกลาง - หมู่ 20 บ้านโคกกลางประชากร ประชากร. เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน มีจำนวนประชากร ทั้งหมด 8,689 คน โดยแยกได้ดังนี้
| เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน อยู่ในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"31"
],
"answer_begin_position": [
730
],
"answer_end_position": [
732
]
} |
1,339 | 44,926 | วังประมวญ วังประมวญ เป็นวังที่ประทับของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ต้นราชสกุลรัชนี พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ตั้งอยู่ที่ถนนประมวญ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ในอดีตราชสกุลรัชนีมีวังอยู่ที่ริมคลองบางหลวง ใกล้สะพานเจริญพาศน์ ตัวตำหนักทำด้วยไม้ ภายในมีเฟอร์นิเจอร์แบบ อาดัมส์ สไตล์อังกฤษ ต่อมาได้รับที่พระราชทานที่ ถ.ประมวญ จำนวน 12 ไร่ จึงรื้อตำหนักริมคลองบางหลวงมาสร้างเป็นโรงพิมพ์ ชื่อ โรงพิมพ์ประมวณมาร์ค และ มีการสร้างตำหนักใหม่ขึ้น เป็นตำหนักตึก 2 ชั้นออกแบบโดยหม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ สิ่งปลูกสร้างในปัจจุบันของวังประมวญประกอบด้วย1. ตำหนักใหม่ เป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี และหม่อมราชวงศ์ดัชรีรัช รัชนี (วรวรรณ) 2. บ้านของครอบครัวหม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ 3. บ้านของครอบครัวหม่อมราชวงศ์ดัจฉราพิมล ตุงคนาค 4. ร้านอาหารกัลปพฤกษ์
| วังประมวญตั้งอยู่ที่ถนนประมวญ แขวงสีลม เป็นวังที่ประทับของใคร | {
"answer": [
"พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์"
],
"answer_begin_position": [
121
],
"answer_end_position": [
156
]
} |
2,611 | 44,926 | วังประมวญ วังประมวญ เป็นวังที่ประทับของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ต้นราชสกุลรัชนี พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ตั้งอยู่ที่ถนนประมวญ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ในอดีตราชสกุลรัชนีมีวังอยู่ที่ริมคลองบางหลวง ใกล้สะพานเจริญพาศน์ ตัวตำหนักทำด้วยไม้ ภายในมีเฟอร์นิเจอร์แบบ อาดัมส์ สไตล์อังกฤษ ต่อมาได้รับที่พระราชทานที่ ถ.ประมวญ จำนวน 12 ไร่ จึงรื้อตำหนักริมคลองบางหลวงมาสร้างเป็นโรงพิมพ์ ชื่อ โรงพิมพ์ประมวณมาร์ค และ มีการสร้างตำหนักใหม่ขึ้น เป็นตำหนักตึก 2 ชั้นออกแบบโดยหม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ สิ่งปลูกสร้างในปัจจุบันของวังประมวญประกอบด้วย1. ตำหนักใหม่ เป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี และหม่อมราชวงศ์ดัชรีรัช รัชนี (วรวรรณ) 2. บ้านของครอบครัวหม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ 3. บ้านของครอบครัวหม่อมราชวงศ์ดัจฉราพิมล ตุงคนาค 4. ร้านอาหารกัลปพฤกษ์
| พระบิดาของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ มีพระนามว่าอะไร | {
"answer": [
"กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ"
],
"answer_begin_position": [
182
],
"answer_end_position": [
205
]
} |
1,340 | 219,982 | ฝอยทอง ฝอยทอง (, ฟีอุชดือโอวุช, "เส้นด้ายที่ทำจากไข่") เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส ฝอยทองเป็นที่รู้จักในประเทศสเปนว่า อูเอโบอิลาโด ( "ไข่ที่ปั่นเป็นเส้นด้าย"), ญี่ปุ่นว่า เครังโซเม็ง ( "เส้นไข่ไก่"), กัมพูชาว่า วาวี และมาเลเซียว่า จาลามัซ ( "ตาข่ายทอง") ฝอยทองแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น ทั้งนี้ฝอยทอง ปรากฏอยู่ใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระราชนิพนธ์ชมเชยฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ความว่าประวัติ
| ฝอยทองเป็นขนมของประเทศอะไร | {
"answer": [
"โปรตุเกส"
],
"answer_begin_position": [
143
],
"answer_end_position": [
151
]
} |
1,341 | 219,982 | ฝอยทอง ฝอยทอง (, ฟีอุชดือโอวุช, "เส้นด้ายที่ทำจากไข่") เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส ฝอยทองเป็นที่รู้จักในประเทศสเปนว่า อูเอโบอิลาโด ( "ไข่ที่ปั่นเป็นเส้นด้าย"), ญี่ปุ่นว่า เครังโซเม็ง ( "เส้นไข่ไก่"), กัมพูชาว่า วาวี และมาเลเซียว่า จาลามัซ ( "ตาข่ายทอง") ฝอยทองแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น ทั้งนี้ฝอยทอง ปรากฏอยู่ใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระราชนิพนธ์ชมเชยฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ความว่าประวัติ
| ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใครเป็นคนนำขนมฝอยทองเข้ามาในประเทศไทย | {
"answer": [
"มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา"
],
"answer_begin_position": [
685
],
"answer_end_position": [
709
]
} |
1,342 | 276,052 | พรายมหากาฬ พรายมหากาฬ หรือ อินทรีย์แดง ตอน พรายมหากาฬ เป็นภาพยนตร์ไทย สร้างดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเศก ดุสิต เรื่องอินทรีแดง ตอนที่ 2 เรื่อง พรายมหากาฬ พิมพ์ครั้งแรกปี 2500 สำนักพิมพ์ บรรลือสาสน์ 10 เล่มจบ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม นำมาพิมพ์ใหม่ 4 เล่มจบ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ประเสริฐ ศรีสมทรัพย์ สร้างโดย พาราไดซ์ฟิล์ม กำกับการแสดงโดย ส.อาสนจินดา นำแสดงโดย กรุง ศรีวิไล อรัญญา นามวงศ์ นิรุตต์ ศิริจรรยา สายัณห์ จันทรวิบูลย์ เมตตา รุ่งรัตน์ และลักษณ์ อภิชาติ ออกฉายเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. คืนวันหนึ่ง มีผู้ร้ายเข้าปล้นโกดังเก็บของในบริเวณท่าเรือแห่งหนึ่ง โรม ฤทธิไกรหรืออินทรีแดง เข้าขัดขวาง เกิดการยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผู้ร้ายส่วนหนึ่งขับรถบรรทุกของที่ปล้นได้หนีไป เมื่อถึงด่านตรวจรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้หยุดรถแต่คนร้ายขัดขืนไม่ยอมหยุด จึงฝ่าที่กั้นถนนและขับชนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก ตำรวจที่ด่านวิทยุจึงแจ้งศูนย์รวมข่าว รถวิทยุตำรวจในบังคับบัญชาของ ร.ต.ต.นิพนธ์ เข้าสกัดกั้นแล้วเกิดการต่อสู้ ในระหว่างนั้นพรายมหากาฬก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าปล่อยแสงมฤตยูทำลายรถบรรทุกของคนร้าย ท่ามกลางความตะลึงของตำรวจและคนร้าย ซึ่งโรมขับรถตามมาเห็นพอดี พรายมหากาฬก็ลอยอยู่เหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พ.ต.ต.มนตรี เสรีกุลและพ.ต.ท.ชาติ วุฒิไกร พร้อมกำลังเสริมอื่นๆ มาบริเวณอนุสาวรีย์ แสงมฤตยูจากพรายมหากาฬเกิดทำลายกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์รวมข่าวได้รับแจ้งการปล้นเพชร มนตรีจึงให้ชาติอยู่บัญชาการที่อนุสาวรีย์ ส่วนมนตรีจึงไปยังที่เกิดเหตุการปล้นเพชรทันที จังหวะพอดีกับดร.เฮล เทเลอร์ (ซึ่งปลอมตัวเป็นอับเดล) กับไววิทย์ ขับรถเลี้ยวออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุตัดหน้ารถของมนตรีอย่างรวดเร็วโดยมีพิรุธ มนตรีจึงตามรถของอับเดลไป อับเดลจึงใช้วิชาสะกดจิตหนีรอดการจับกุมไปได้แล้วทิ้งกะโหลกผีสีเขียวไว้เป็นปริศนาให้กับมนตรี ในตอนกลางคืน โรมจึงเห็นปั้นมนุษย์วานรเข้าไปในบ้านดร.เฮล โรมจึงลอบเข้าไปในบ้านแล้วสงสัยว่าต้องเกี่ยวข้องกับพรายมหากาฬแน่ โรมจึงลงไปในห้องใต้ดินพบพรรณพิไล ซึ่งมีหน้าตาคล้ายวาสนา คนรักของตน โรมจึงออกจากบ้านดร. เฮลด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นตัวการของพรายมหากาฬอย่างแน่นอน โรมจึงวางแผนจะจับตัวพรรณพิไลแล้วให้วาสนาปลอมตัวเป็นพรรณพิไลแทน พ.ต.ท.ชาติประกาศท้าให้อินทรีแดงขโมยของในบ้านเขาให้ได้จึงจะยอมรับว่าเก่งจริง ต่อมาวันกำหนดนัดของอินทรีแดง มีเหล่าตำรวจและนักข่าวมาที่บ้านของชาติ โรมซึ่งได้ปลอมตัวเป็นนักข่าวปะปนเข้าไปอยู่ในบ้านของชาติแล้วขโมยของของชาติตามคำท้า ทำให้ชาติจึงเสียหน้าให้กับอินทรีแดง ในงานวันเกิดของคุณหญิงพิทักษ์ ประชากร ซึ่งมีแขกต่างๆมาร่วมอวยพรกันมากมาย รวมถึงโรมด้วย ดร.เฮลวางแผนปล้นเพชรของคุณหญิงพิทักษ์โดยใช้เครื่องมือสะกดจิตคนทั้งงาน รวมถึงคุณหญิงพิทักษ์ จึงถูกสะกดให้หยิบเครื่องเพชร แต่อินทรีแดงมาช่วยไว้ทัน เป็นที่สงสัยแก่มนตรีแต่ก็รอดพ้นจากการสงสัยไปได้ ต่อมาโรมได้มาทำธุระในขณะนั่งรถกลับนั้นจิตรกับไววิทย์ได้แอบเอากล่องใส่มือโดยที่ไม่เห็น เมื่อโรมเปิดกล่องนั้นออกก็เป็นเพชรเม็ดใหญ่ ทำให้โรมประหลาดใจและตื่นเต้นมาก โรมในสภาพอินทรีแดงลอบมาที่โรงงานทำแก้ว ในขณะเดียวกันดร.เฮล, ไววิทย์และปั้นกำลังขู่เข็ญจิตรให้บอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องเตาหลอมระเบิดซึ่งดร.เฮลโมโหมากเพราะเชื่อว่าจิตรต้องพบเพชรจากการระเบิดนั้นแต่จิตรปฏิเสธ ดร.เฮลจึงให้นำจิตรไปขังไว้และประชุมสมุนนักเลงมือดีให้ติดตามอินทรีแดง มนตรีเจอพรรณพิไลกับโรมในไนท์คลับแห่งหนึ่ง แล้วมนตรีพาพรรณพิไลไปส่งที่บ้าน มนตรีถูกลอบทำร้ายและโดนขู่แต่ชาติก็ได้ช่วยเอาไว้ ซึ่งไม่ไว้วางใจพรรณพิไลแต่ชาติโดนไววิทย์เล่นงานอีก อินทรีแดงก็ปรากฏตัวช่วยเหลือเอาไว้ทัน คนร้ายจึงกลายเป็นผู้ต้องหาของมนตรีและชาติ โดยทั้งหมดเป็นแผนการของดร.เฮล โรมจึงรู้ว่าพรรณพิไลถูกดร.เฮลบังคับให้ทำด้วยจำใจและกลัวเพราะมีสิ่งที่เธอรักอยู่กับดร.เฮล ถ้าขัดขืนดร.เฮลก็จะทำลายพร้อมกับฆ่าเธออีกด้วย ดร.เฮลวางแผนจะเข้าปล้นเพชรที่บ้านคุณหญิงพิทักษ์อีกครั้งหนึ่ง อินทรีแดงได้ลอบเข้าไปในบ้านคุณหญิงพิทักษ์เพื่อป้องกัน ส่วนมนตรี, ชาติและนิพนธ์ได้วางกำลังตำรวจไว้พร้อมแล้วเกิดการต่อสู้กันแล้วหนีไปได้ พรรณพิไลซึ่งกลับตัวแล้วพร้อมจะบอกว่าจะพบดร.เฮลกับพวกในที่ไนท์คลับมนตรี, ชาติและนิพนธ์จึงนำตำรวจไปซุ่มที่คลับทันทีแล้วได้พบกับสมุนของดร.เฮลและพวก แต่คนร้ายรู้ตัวก่อนจึงขับรถหนีไป มนตรี, ชาติและนิพนธ์ตามไปแต่ถูกสะกดจิต เมื่อรู้สึกตัว คนร้ายก็หลบหนีไปแล้ว โรมได้ลอบเข้าไปในตึกร้างของดร.เฮล อินทรีแดงเห็นจิตรจึงช่วยพาออกไปจากที่คุมขังได้สำเร็จและให้มนตรีคุ้มครองเอาไว้ หลังจากนั้นอินทรีต่อสู้กับหน้ากากผีของดร.เฮล แต่หน้ากากผีถูกทำลายเพราะฝีมือของตัวมันเอง อินทรีแดงพาพรรณพิไลพบกับจิตรผู้เป็นพ่อของพรรณพิไลด้วยความดีใจ ความลับของดร.เฮล ถูกเปิดเผยออกจากปากจิตรว่า ดร.เฮลคือศาสตราจารย์โชติ ที่หายสาบสูญไปนาน และปั้นมนุษย์วานรเป็นผู้ช่วย เกิดจากการทดลองของศาสตราจารย์โชติ ทั้งสองร่วมมือฆ่าคนหาเลือดมาทำเซรุ่มยาอายุวัฒนะเพื่อต่ออายุของตน มนตรี, ชาติและนิพนธ์เข้าล้อมตึกร้างของดร.เฮล ด้วยความช่วยเหลือของอินทรีแดงและทำลายรังของคนร้ายได้สำเร็จ เหล่าสมุนทั้งหลายถูกตำรวจยิงตาย มนตรีเจอกับดร.เฮลในห้องทดลองแต่ร่างกายของดร.เฮลก็สลายเหลือแต่โครงกระดูกไปเสียแล้ว
| พรายมหากาฬเป็นภาพยนตร์ไทยที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของใคร | {
"answer": [
"เศก ดุสิต"
],
"answer_begin_position": [
183
],
"answer_end_position": [
192
]
} |
2,693 | 276,052 | พรายมหากาฬ พรายมหากาฬ หรือ อินทรีย์แดง ตอน พรายมหากาฬ เป็นภาพยนตร์ไทย สร้างดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเศก ดุสิต เรื่องอินทรีแดง ตอนที่ 2 เรื่อง พรายมหากาฬ พิมพ์ครั้งแรกปี 2500 สำนักพิมพ์ บรรลือสาสน์ 10 เล่มจบ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม นำมาพิมพ์ใหม่ 4 เล่มจบ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ประเสริฐ ศรีสมทรัพย์ สร้างโดย พาราไดซ์ฟิล์ม กำกับการแสดงโดย ส.อาสนจินดา นำแสดงโดย กรุง ศรีวิไล อรัญญา นามวงศ์ นิรุตต์ ศิริจรรยา สายัณห์ จันทรวิบูลย์ เมตตา รุ่งรัตน์ และลักษณ์ อภิชาติ ออกฉายเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. คืนวันหนึ่ง มีผู้ร้ายเข้าปล้นโกดังเก็บของในบริเวณท่าเรือแห่งหนึ่ง โรม ฤทธิไกรหรืออินทรีแดง เข้าขัดขวาง เกิดการยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผู้ร้ายส่วนหนึ่งขับรถบรรทุกของที่ปล้นได้หนีไป เมื่อถึงด่านตรวจรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้หยุดรถแต่คนร้ายขัดขืนไม่ยอมหยุด จึงฝ่าที่กั้นถนนและขับชนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก ตำรวจที่ด่านวิทยุจึงแจ้งศูนย์รวมข่าว รถวิทยุตำรวจในบังคับบัญชาของ ร.ต.ต.นิพนธ์ เข้าสกัดกั้นแล้วเกิดการต่อสู้ ในระหว่างนั้นพรายมหากาฬก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าปล่อยแสงมฤตยูทำลายรถบรรทุกของคนร้าย ท่ามกลางความตะลึงของตำรวจและคนร้าย ซึ่งโรมขับรถตามมาเห็นพอดี พรายมหากาฬก็ลอยอยู่เหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พ.ต.ต.มนตรี เสรีกุลและพ.ต.ท.ชาติ วุฒิไกร พร้อมกำลังเสริมอื่นๆ มาบริเวณอนุสาวรีย์ แสงมฤตยูจากพรายมหากาฬเกิดทำลายกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์รวมข่าวได้รับแจ้งการปล้นเพชร มนตรีจึงให้ชาติอยู่บัญชาการที่อนุสาวรีย์ ส่วนมนตรีจึงไปยังที่เกิดเหตุการปล้นเพชรทันที จังหวะพอดีกับดร.เฮล เทเลอร์ (ซึ่งปลอมตัวเป็นอับเดล) กับไววิทย์ ขับรถเลี้ยวออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุตัดหน้ารถของมนตรีอย่างรวดเร็วโดยมีพิรุธ มนตรีจึงตามรถของอับเดลไป อับเดลจึงใช้วิชาสะกดจิตหนีรอดการจับกุมไปได้แล้วทิ้งกะโหลกผีสีเขียวไว้เป็นปริศนาให้กับมนตรี ในตอนกลางคืน โรมจึงเห็นปั้นมนุษย์วานรเข้าไปในบ้านดร.เฮล โรมจึงลอบเข้าไปในบ้านแล้วสงสัยว่าต้องเกี่ยวข้องกับพรายมหากาฬแน่ โรมจึงลงไปในห้องใต้ดินพบพรรณพิไล ซึ่งมีหน้าตาคล้ายวาสนา คนรักของตน โรมจึงออกจากบ้านดร. เฮลด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นตัวการของพรายมหากาฬอย่างแน่นอน โรมจึงวางแผนจะจับตัวพรรณพิไลแล้วให้วาสนาปลอมตัวเป็นพรรณพิไลแทน พ.ต.ท.ชาติประกาศท้าให้อินทรีแดงขโมยของในบ้านเขาให้ได้จึงจะยอมรับว่าเก่งจริง ต่อมาวันกำหนดนัดของอินทรีแดง มีเหล่าตำรวจและนักข่าวมาที่บ้านของชาติ โรมซึ่งได้ปลอมตัวเป็นนักข่าวปะปนเข้าไปอยู่ในบ้านของชาติแล้วขโมยของของชาติตามคำท้า ทำให้ชาติจึงเสียหน้าให้กับอินทรีแดง ในงานวันเกิดของคุณหญิงพิทักษ์ ประชากร ซึ่งมีแขกต่างๆมาร่วมอวยพรกันมากมาย รวมถึงโรมด้วย ดร.เฮลวางแผนปล้นเพชรของคุณหญิงพิทักษ์โดยใช้เครื่องมือสะกดจิตคนทั้งงาน รวมถึงคุณหญิงพิทักษ์ จึงถูกสะกดให้หยิบเครื่องเพชร แต่อินทรีแดงมาช่วยไว้ทัน เป็นที่สงสัยแก่มนตรีแต่ก็รอดพ้นจากการสงสัยไปได้ ต่อมาโรมได้มาทำธุระในขณะนั่งรถกลับนั้นจิตรกับไววิทย์ได้แอบเอากล่องใส่มือโดยที่ไม่เห็น เมื่อโรมเปิดกล่องนั้นออกก็เป็นเพชรเม็ดใหญ่ ทำให้โรมประหลาดใจและตื่นเต้นมาก โรมในสภาพอินทรีแดงลอบมาที่โรงงานทำแก้ว ในขณะเดียวกันดร.เฮล, ไววิทย์และปั้นกำลังขู่เข็ญจิตรให้บอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องเตาหลอมระเบิดซึ่งดร.เฮลโมโหมากเพราะเชื่อว่าจิตรต้องพบเพชรจากการระเบิดนั้นแต่จิตรปฏิเสธ ดร.เฮลจึงให้นำจิตรไปขังไว้และประชุมสมุนนักเลงมือดีให้ติดตามอินทรีแดง มนตรีเจอพรรณพิไลกับโรมในไนท์คลับแห่งหนึ่ง แล้วมนตรีพาพรรณพิไลไปส่งที่บ้าน มนตรีถูกลอบทำร้ายและโดนขู่แต่ชาติก็ได้ช่วยเอาไว้ ซึ่งไม่ไว้วางใจพรรณพิไลแต่ชาติโดนไววิทย์เล่นงานอีก อินทรีแดงก็ปรากฏตัวช่วยเหลือเอาไว้ทัน คนร้ายจึงกลายเป็นผู้ต้องหาของมนตรีและชาติ โดยทั้งหมดเป็นแผนการของดร.เฮล โรมจึงรู้ว่าพรรณพิไลถูกดร.เฮลบังคับให้ทำด้วยจำใจและกลัวเพราะมีสิ่งที่เธอรักอยู่กับดร.เฮล ถ้าขัดขืนดร.เฮลก็จะทำลายพร้อมกับฆ่าเธออีกด้วย ดร.เฮลวางแผนจะเข้าปล้นเพชรที่บ้านคุณหญิงพิทักษ์อีกครั้งหนึ่ง อินทรีแดงได้ลอบเข้าไปในบ้านคุณหญิงพิทักษ์เพื่อป้องกัน ส่วนมนตรี, ชาติและนิพนธ์ได้วางกำลังตำรวจไว้พร้อมแล้วเกิดการต่อสู้กันแล้วหนีไปได้ พรรณพิไลซึ่งกลับตัวแล้วพร้อมจะบอกว่าจะพบดร.เฮลกับพวกในที่ไนท์คลับมนตรี, ชาติและนิพนธ์จึงนำตำรวจไปซุ่มที่คลับทันทีแล้วได้พบกับสมุนของดร.เฮลและพวก แต่คนร้ายรู้ตัวก่อนจึงขับรถหนีไป มนตรี, ชาติและนิพนธ์ตามไปแต่ถูกสะกดจิต เมื่อรู้สึกตัว คนร้ายก็หลบหนีไปแล้ว โรมได้ลอบเข้าไปในตึกร้างของดร.เฮล อินทรีแดงเห็นจิตรจึงช่วยพาออกไปจากที่คุมขังได้สำเร็จและให้มนตรีคุ้มครองเอาไว้ หลังจากนั้นอินทรีต่อสู้กับหน้ากากผีของดร.เฮล แต่หน้ากากผีถูกทำลายเพราะฝีมือของตัวมันเอง อินทรีแดงพาพรรณพิไลพบกับจิตรผู้เป็นพ่อของพรรณพิไลด้วยความดีใจ ความลับของดร.เฮล ถูกเปิดเผยออกจากปากจิตรว่า ดร.เฮลคือศาสตราจารย์โชติ ที่หายสาบสูญไปนาน และปั้นมนุษย์วานรเป็นผู้ช่วย เกิดจากการทดลองของศาสตราจารย์โชติ ทั้งสองร่วมมือฆ่าคนหาเลือดมาทำเซรุ่มยาอายุวัฒนะเพื่อต่ออายุของตน มนตรี, ชาติและนิพนธ์เข้าล้อมตึกร้างของดร.เฮล ด้วยความช่วยเหลือของอินทรีแดงและทำลายรังของคนร้ายได้สำเร็จ เหล่าสมุนทั้งหลายถูกตำรวจยิงตาย มนตรีเจอกับดร.เฮลในห้องทดลองแต่ร่างกายของดร.เฮลก็สลายเหลือแต่โครงกระดูกไปเสียแล้ว
| ภาพยนตร์ไทยพรายมหากาฬ หรือ อินทรีย์แดงตอนพรายมหากาฬ กำกับโดย ส.อาสนจินดา ออกฉายเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"2"
],
"answer_begin_position": [
574
],
"answer_end_position": [
575
]
} |
1,343 | 344,285 | เฉลิมเดช ชมพูนุท พลตำรวจเอก เฉลิมเดช ชมพูนุท อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรประวัติ ประวัติ. เฉลิมเดช ชมพูนุท สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 21 รุ่นเดียวกับ นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ อชิรวิทย์ สุวรรณเภสัช และผ่านการอบรมหลักสูตรจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 39 รุ่นเดียวกับวิษณุ เครืองามการทำงาน การทำงาน. เฉลิมเดช ชมพูนุท เริ่มรับราชการตำรวจในปี พ.ศ. 2511 เคยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา และตำแหน่งอื่นๆ อีกหลายตำแหน่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2548 พลตำรวจเอก เฉลิมเดช ชมพูนุท ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2540 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. ไม่ปรากฎ - เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1
| พลตำรวจเอกเฉลิมเดช ชมพูนุชได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกสำนักรัฐมนตรีในปีใด | {
"answer": [
"พ.ศ. 2548"
],
"answer_begin_position": [
684
],
"answer_end_position": [
693
]
} |
1,835 | 344,285 | เฉลิมเดช ชมพูนุท พลตำรวจเอก เฉลิมเดช ชมพูนุท อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรประวัติ ประวัติ. เฉลิมเดช ชมพูนุท สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 21 รุ่นเดียวกับ นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ อชิรวิทย์ สุวรรณเภสัช และผ่านการอบรมหลักสูตรจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 39 รุ่นเดียวกับวิษณุ เครืองามการทำงาน การทำงาน. เฉลิมเดช ชมพูนุท เริ่มรับราชการตำรวจในปี พ.ศ. 2511 เคยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา และตำแหน่งอื่นๆ อีกหลายตำแหน่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2548 พลตำรวจเอก เฉลิมเดช ชมพูนุท ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2540 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. ไม่ปรากฎ - เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1
| พลตำรวจเอกเฉลิมเดช ชมพูนุช สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอะไร | {
"answer": [
"โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า"
],
"answer_begin_position": [
253
],
"answer_end_position": [
282
]
} |
1,344 | 543,852 | พงศกร มหาเปารยะ พงศกร มหาเปารยะ (6 มีนาคม พ.ศ. 2525) ชื่อเล่น แต๊งค์ เป็นนักแสดงชาวไทย มีชื่อเสียงผลงานละครเรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ และพิธีกรรายการ 5 อภินิหาร และไฮเฟรนด์ประวัติ ประวัติ. พงศกรเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2525 เป็นบุตรคนโตของวรกร จาติกวณิช (สกุลเดิม: สูตะบุตร) กับกฤษณะพงษ์ มหาเปารยะ มีน้องชายร่วมบิดามารดาคือ พันธิตร มหาเปารยะ (ติ๊งค์) พ่อแม่แยกทางกันเมื่อเขาอายุ 9 ขวบ ต่อมาเมื่อเขาอายุ 14 ปี วรกรได้สมรสใหม่กับกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีน้องชายและน้องสาวต่างบิดาสองคนคือ กานต์ (แจม) และไกรสิริ จาติกวณิช (จอม) พงศกรศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ลาออกไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบจิวเวลรี จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรอาชีพและการงาน อาชีพและการงาน. พงศกรเริ่มต้นงานวงการบันเทิงด้วยผลงานละคร กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ โดยรับบทเป็นปกป้อง ตามด้วยงานพิธีกรหลายรายการ เช่น 5 อภินิหาร, ไฮเฟรนด์ และอื่น ๆ ปัจจุบัน ออกจากวงการแล้ว เขามีธุรกิจส่วนตัวด้านเครื่องเพชรพลอย เป็นเจ้าของแบรนด์ชื่อ Thank Godชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. พงศกรเคยมีข่าวกับเทย่า โรเจอร์ นักแสดงชาวไทย แต่ปฏิเสธ โดยว่าเขาคบแฟนนอกวงการอยู่ ต่อมาพงศกรคบหากับภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ แต่ต่อมาทั้งสองเลิกรากัน พงศกรได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดยานนาวา เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 มีฉายาว่า "พุทธิญาโณ" แปลว่า ญาณแห่งความรู้ และลาสิกขาเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 รวมสองพรรษา จากเดิมตั้งใจบวชสามอาทิตย์ และเขายังว่า อาจบวชอีกครั้ง ในปลายปี พ.ศ. 2557 พงศกรออกมาสัมภาษณ์ในรายการ คนดังนั่งเคลียร์ ว่าเขาจะบวชอีกครั้งก่อนสมรสกับแฟนนอกวงการ ทั้งยังกล่าวอีกว่าจะไม่มีลูก ด้วยมองว่าเป็นการสร้างทุกข์ผลงานผลงานละครผลงาน. ผลงานละคร. - กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ รับบท ปกป้อง - รักเกินพิกัดแค้น รับบท สันธาน - ละครซีรีส์ เซน...สื่อรักสื่อวิญญาณ ตอน รักแย่งร่าง (รับเชิญ)มิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - สอน — นภัสสร บุรณศิริ - ทำไมต้องคนนี้ — บาซูงานพิธีกรงานพิธีกร. - 5 อภินิหาร - ไฮเฟรนด์ - Celebrity Wanted ทางช่องทรูวิชันส์ - ไทยทาวน์ ทางช่องนิวทีวีลำดับสาแหรก
| พงศกร มหาเปารยะ มีชื่อเสียงจากผลงานละครเรื่องอะไร | {
"answer": [
"กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้"
],
"answer_begin_position": [
204
],
"answer_end_position": [
225
]
} |
1,345 | 543,852 | พงศกร มหาเปารยะ พงศกร มหาเปารยะ (6 มีนาคม พ.ศ. 2525) ชื่อเล่น แต๊งค์ เป็นนักแสดงชาวไทย มีชื่อเสียงผลงานละครเรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ และพิธีกรรายการ 5 อภินิหาร และไฮเฟรนด์ประวัติ ประวัติ. พงศกรเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2525 เป็นบุตรคนโตของวรกร จาติกวณิช (สกุลเดิม: สูตะบุตร) กับกฤษณะพงษ์ มหาเปารยะ มีน้องชายร่วมบิดามารดาคือ พันธิตร มหาเปารยะ (ติ๊งค์) พ่อแม่แยกทางกันเมื่อเขาอายุ 9 ขวบ ต่อมาเมื่อเขาอายุ 14 ปี วรกรได้สมรสใหม่กับกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีน้องชายและน้องสาวต่างบิดาสองคนคือ กานต์ (แจม) และไกรสิริ จาติกวณิช (จอม) พงศกรศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็ลาออกไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบจิวเวลรี จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรอาชีพและการงาน อาชีพและการงาน. พงศกรเริ่มต้นงานวงการบันเทิงด้วยผลงานละคร กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ โดยรับบทเป็นปกป้อง ตามด้วยงานพิธีกรหลายรายการ เช่น 5 อภินิหาร, ไฮเฟรนด์ และอื่น ๆ ปัจจุบัน ออกจากวงการแล้ว เขามีธุรกิจส่วนตัวด้านเครื่องเพชรพลอย เป็นเจ้าของแบรนด์ชื่อ Thank Godชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. พงศกรเคยมีข่าวกับเทย่า โรเจอร์ นักแสดงชาวไทย แต่ปฏิเสธ โดยว่าเขาคบแฟนนอกวงการอยู่ ต่อมาพงศกรคบหากับภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ แต่ต่อมาทั้งสองเลิกรากัน พงศกรได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดยานนาวา เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 มีฉายาว่า "พุทธิญาโณ" แปลว่า ญาณแห่งความรู้ และลาสิกขาเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556 รวมสองพรรษา จากเดิมตั้งใจบวชสามอาทิตย์ และเขายังว่า อาจบวชอีกครั้ง ในปลายปี พ.ศ. 2557 พงศกรออกมาสัมภาษณ์ในรายการ คนดังนั่งเคลียร์ ว่าเขาจะบวชอีกครั้งก่อนสมรสกับแฟนนอกวงการ ทั้งยังกล่าวอีกว่าจะไม่มีลูก ด้วยมองว่าเป็นการสร้างทุกข์ผลงานผลงานละครผลงาน. ผลงานละคร. - กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ รับบท ปกป้อง - รักเกินพิกัดแค้น รับบท สันธาน - ละครซีรีส์ เซน...สื่อรักสื่อวิญญาณ ตอน รักแย่งร่าง (รับเชิญ)มิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - สอน — นภัสสร บุรณศิริ - ทำไมต้องคนนี้ — บาซูงานพิธีกรงานพิธีกร. - 5 อภินิหาร - ไฮเฟรนด์ - Celebrity Wanted ทางช่องทรูวิชันส์ - ไทยทาวน์ ทางช่องนิวทีวีลำดับสาแหรก
| สาวในวงการบันเทิงที่พงศกร มหาเปารยะ เคยคบหาด้วยคือใคร | {
"answer": [
"ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์"
],
"answer_begin_position": [
1343
],
"answer_end_position": [
1364
]
} |
1,346 | 97,982 | สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย หรือ The Consulting Engineers Association of Thailand มีชื่อย่อว่า ว.ป.ท. หรือ C.E.A.T. ได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นศูนย์กลาง และตัวแทนของวิศวกรที่ปรึกษาในประเทศไทย ในอันที่จะประสานความร่วมมือกันในวิชาชีพระหว่างสมาชิก เสริมสร้างและพัฒนาวิชาชีพวิศวกรที่ปรึกษาของไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศ ในปี พ.ศ. 2528 ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์วิศวกรที่ปรึกษาสากล International Federation of Consulting Engineers นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน คือ คุณสุพจน์ โล่ห์วัชรินทร์ (2558-2560)วัตถุประสงค์วัตถุประสงค์. - เป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรที่ปรึกษา - ส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม - ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ทางวิชาชีพ รักษาสิทธิ และผลประโยชน์ของสมาชิก - ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา งานวิจัย และเผยแพร่งานวิชาชีพวิศวกรรม - ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก - กำกับดูแลการดำเนินงานของสมาชิกให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณและมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ - ให้ความร่วมมือ คำปรึกษา และข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงานวิศวกรรมแก่รัฐ และองค์กรสาธารณะ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
| ใครเป็นนายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทยช่วงปี 2558-2560 | {
"answer": [
"คุณสุพจน์ โล่ห์วัชรินทร์"
],
"answer_begin_position": [
654
],
"answer_end_position": [
678
]
} |
1,766 | 97,982 | สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย หรือ The Consulting Engineers Association of Thailand มีชื่อย่อว่า ว.ป.ท. หรือ C.E.A.T. ได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นศูนย์กลาง และตัวแทนของวิศวกรที่ปรึกษาในประเทศไทย ในอันที่จะประสานความร่วมมือกันในวิชาชีพระหว่างสมาชิก เสริมสร้างและพัฒนาวิชาชีพวิศวกรที่ปรึกษาของไทยให้ทัดเทียมอารยประเทศ ในปี พ.ศ. 2528 ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์วิศวกรที่ปรึกษาสากล International Federation of Consulting Engineers นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน คือ คุณสุพจน์ โล่ห์วัชรินทร์ (2558-2560)วัตถุประสงค์วัตถุประสงค์. - เป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรที่ปรึกษา - ส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม - ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ทางวิชาชีพ รักษาสิทธิ และผลประโยชน์ของสมาชิก - ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา งานวิจัย และเผยแพร่งานวิชาชีพวิศวกรรม - ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก - กำกับดูแลการดำเนินงานของสมาชิกให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณและมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ - ให้ความร่วมมือ คำปรึกษา และข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงานวิศวกรรมแก่รัฐ และองค์กรสาธารณะ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
| สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย หรือ The Consulting Engineers Association of Thailand ใช้ชื่อย่อว่าอะไร | {
"answer": [
"ว.ป.ท."
],
"answer_begin_position": [
241
],
"answer_end_position": [
247
]
} |
1,347 | 457,426 | นิเวศน์ นันทจิต ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ นิเวศน์ นันทจิต อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานมูลนิธิโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (สวนดอก) และได้รับคัดเลือกเป็นนักศึกษาเก่าดีเด่นสาขาบริหารองค์กรการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัย รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิตได้มีการผลักดันให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) โดยความร่วมมือกับทางไอบีเอ็มตั้งแต่ปี 2553 ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติประวัติการศึกษาประวัติการศึกษา. - พ.ศ. 2514 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2517 แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (อายุรศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล - พ.ศ. 2521 วุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาอายุรศาสตร์ แพทยสภาตำแหน่งทางการบริหารตำแหน่งทางการบริหาร. - พ.ศ. 2529-2531 ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2531-2533 ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2537-2541 รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2537-2541 รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 ผู้อำนวยการสถานบริการสุขภาพพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2548-2552 นายกสมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2549-2555 คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2549-2559 อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผลงาน ผลงาน. ในช่วงการดำรงตำแหน่ง คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่บริหารงานในช่วงปี พ.ศ. 2549-2555 ที่ผ่านมา ได้ประสานความร่วมมือภายในและภายนอกองค์กรอย่างกว้างขวาง สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และได้รับความร่วมมือจากบุคลากรภายในและภายนอกคณะเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้องค์กรพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ดังนี้- ด้านการศึกษา รองศาสตราจารย์ นายแพทย์นิเวศน์ ได้เร่งพัฒนากระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ทำให้ผลการประเมินคุณภาพการศึกษา (QA) สูงมากกว่า 90% มาตลอด เป็นอันดับต้นของมหาวิทยาลัย และผลการสอบจากศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ศรว.) ของนักศึกษาแพทย์ โดยแพทยสภาดีขึ้นตามลำดับ มีผู้สอบได้ 100% สำหรับขั้นตอนที่ 3 - ด้านการวิจัย มีการสร้างบรรยากาศการวิจัยอย่างถาวร จัดหาทุนสนับสนุนงานวิจัย มีผลงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ และได้รับการอ้างอิงในระดับนานาชาติเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง - ด้านการบริการรักษาพยาบาล มีการพัฒนาองค์กรอย่างก้าวกระโดด ทั้งทางด้านความรวดเร็วในการให้บริการ และคุณภาพการรักษาพยาบาล มีการจัดหาเครื่องมือที่ทันสมัย จัดซื้อที่ดินและการก่อสร้างอาคารเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการให้บริการ การสร้างเครือข่ายการรักษาพยาบาล ทำให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบที่มีผู้มาศึกษาดูงานจำนวนมาก และจากการประเมินจากภายในและภายนอก ทำให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับรางวัลต่างๆ ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ - ด้านโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากองค์การสหประชาชาติ ในสาขาการปรับปรุงการให้บริการ (Improving the delivery of service) โดยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ได้รับรางวัล จากประมาณ 700 หน่วยงาน ที่ส่งเข้าประกวดจากทั่วโลก นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ - ได้รับรางวัล Excellence Awards ของ Hospital Management of Asia 2011 เป็นรางวัลที่มอบให้กับโรงพยาบาลในเอเชียที่มีผลงานดีเด่น โรงพยาบาลมหารานครเชียงใหม่ ได้รับ Excellence Awards 2 รางวัล จากโครงการ “Improvement of Outpatient Service System by DigiCards” สาขา Facilities Improvement Project และโครงการ “Music therapy for physically disabled children” สาขา Corporate Social Responsibility (CSR) - ด้านการเงิน ตลอดระยะเวลาที่รับผิดชอบในการบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้บริหารจัดการสมัยใหม่ ทำให้ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ได้แสวงหาความร่วมมือและการสนับสนุนจากบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ภายนอกคณะ ทำให้ได้รับความร่วมมือและได้รับเงินบริจาคสูงขึ้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2557 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.) - เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.) - เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1
| รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต เป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยอะไร | {
"answer": [
"มหาวิทยาลัยเชียงใหม่"
],
"answer_begin_position": [
162
],
"answer_end_position": [
182
]
} |
1,348 | 457,426 | นิเวศน์ นันทจิต ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ นิเวศน์ นันทจิต อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานมูลนิธิโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (สวนดอก) และได้รับคัดเลือกเป็นนักศึกษาเก่าดีเด่นสาขาบริหารองค์กรการศึกษาจากทางมหาวิทยาลัย รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิตได้มีการผลักดันให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) โดยความร่วมมือกับทางไอบีเอ็มตั้งแต่ปี 2553 ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติประวัติการศึกษาประวัติการศึกษา. - พ.ศ. 2514 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2517 แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (อายุรศาสตร์) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล - พ.ศ. 2521 วุฒิบัตรแสดงความรู้หรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาอายุรศาสตร์ แพทยสภาตำแหน่งทางการบริหารตำแหน่งทางการบริหาร. - พ.ศ. 2529-2531 ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2531-2533 ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2537-2541 รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2537-2541 รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ - พ.ศ. 2541-2545 ผู้อำนวยการสถานบริการสุขภาพพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2548-2552 นายกสมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2549-2555 คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พ.ศ. 2549-2559 อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผลงาน ผลงาน. ในช่วงการดำรงตำแหน่ง คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่บริหารงานในช่วงปี พ.ศ. 2549-2555 ที่ผ่านมา ได้ประสานความร่วมมือภายในและภายนอกองค์กรอย่างกว้างขวาง สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และได้รับความร่วมมือจากบุคลากรภายในและภายนอกคณะเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้องค์กรพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ดังนี้- ด้านการศึกษา รองศาสตราจารย์ นายแพทย์นิเวศน์ ได้เร่งพัฒนากระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ทำให้ผลการประเมินคุณภาพการศึกษา (QA) สูงมากกว่า 90% มาตลอด เป็นอันดับต้นของมหาวิทยาลัย และผลการสอบจากศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ศรว.) ของนักศึกษาแพทย์ โดยแพทยสภาดีขึ้นตามลำดับ มีผู้สอบได้ 100% สำหรับขั้นตอนที่ 3 - ด้านการวิจัย มีการสร้างบรรยากาศการวิจัยอย่างถาวร จัดหาทุนสนับสนุนงานวิจัย มีผลงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ และได้รับการอ้างอิงในระดับนานาชาติเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง - ด้านการบริการรักษาพยาบาล มีการพัฒนาองค์กรอย่างก้าวกระโดด ทั้งทางด้านความรวดเร็วในการให้บริการ และคุณภาพการรักษาพยาบาล มีการจัดหาเครื่องมือที่ทันสมัย จัดซื้อที่ดินและการก่อสร้างอาคารเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการให้บริการ การสร้างเครือข่ายการรักษาพยาบาล ทำให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบที่มีผู้มาศึกษาดูงานจำนวนมาก และจากการประเมินจากภายในและภายนอก ทำให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับรางวัลต่างๆ ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ - ด้านโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากองค์การสหประชาชาติ ในสาขาการปรับปรุงการให้บริการ (Improving the delivery of service) โดยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ได้รับรางวัล จากประมาณ 700 หน่วยงาน ที่ส่งเข้าประกวดจากทั่วโลก นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ - ได้รับรางวัล Excellence Awards ของ Hospital Management of Asia 2011 เป็นรางวัลที่มอบให้กับโรงพยาบาลในเอเชียที่มีผลงานดีเด่น โรงพยาบาลมหารานครเชียงใหม่ ได้รับ Excellence Awards 2 รางวัล จากโครงการ “Improvement of Outpatient Service System by DigiCards” สาขา Facilities Improvement Project และโครงการ “Music therapy for physically disabled children” สาขา Corporate Social Responsibility (CSR) - ด้านการเงิน ตลอดระยะเวลาที่รับผิดชอบในการบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้บริหารจัดการสมัยใหม่ ทำให้ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ได้แสวงหาความร่วมมือและการสนับสนุนจากบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ภายนอกคณะ ทำให้ได้รับความร่วมมือและได้รับเงินบริจาคสูงขึ้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2557 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.) - เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.) - เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1
| ในปี 2557 รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกอะไร | {
"answer": [
"สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ"
],
"answer_begin_position": [
524
],
"answer_end_position": [
552
]
} |
1,349 | 671,210 | ไมค์ พอร์ตนอย ไมเคิล สตีเฟน "ไมค์" พอร์ตนอย () เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1967 เป็นโปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกันที่รู้จักในฐานะอดีตมือกลอง นักร้องประสาน และผู้ร่วมก่อตั้งของวงดนตรีโพรเกรสซิฟเมทัล/ร็อก ที่ชื่อ ดรีมเธียร์เตอร์ เขาเป็นที่รู้จักด้วยความสามารถทางเทคนิคของเขาในฐานะมือกลอง โดยได้ชนะรางวัลจากนิตยสารโมเดิร์นดรัมเมอร์จำนวน 29 รางวัล เขาได้เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์เพลงให้กับอัลบั้มของดรีมเธียร์เตอร์ 6 อัลบั้ม ด้วยกันกับมือกีตาร์ John Petrucci
| รางวัลที่ไมค์ พอร์ตนอย โปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกันได้รับจากนิตยสารโมเดิร์นดรัมเมอร์จำนวนกี่รางวัล | {
"answer": [
"29 รางวัล"
],
"answer_begin_position": [
421
],
"answer_end_position": [
430
]
} |
1,892 | 671,210 | ไมค์ พอร์ตนอย ไมเคิล สตีเฟน "ไมค์" พอร์ตนอย () เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1967 เป็นโปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกันที่รู้จักในฐานะอดีตมือกลอง นักร้องประสาน และผู้ร่วมก่อตั้งของวงดนตรีโพรเกรสซิฟเมทัล/ร็อก ที่ชื่อ ดรีมเธียร์เตอร์ เขาเป็นที่รู้จักด้วยความสามารถทางเทคนิคของเขาในฐานะมือกลอง โดยได้ชนะรางวัลจากนิตยสารโมเดิร์นดรัมเมอร์จำนวน 29 รางวัล เขาได้เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์เพลงให้กับอัลบั้มของดรีมเธียร์เตอร์ 6 อัลบั้ม ด้วยกันกับมือกีตาร์ John Petrucci
| ไมเคิล สตีเฟน หรือ ไมค์ พอร์ตนอย โปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"20"
],
"answer_begin_position": [
151
],
"answer_end_position": [
153
]
} |
1,350 | 817,169 | เพลงชาติรัฐเกรนาดา เพลงชาติรัฐเกรเนดา เป็นเพลงชาติของเกรเนดาระหว่าง ค.ศ. 1967 จนถึงการประกาศเอกราชเมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักร ภายใต้พระราชบัญญัติการจัดตั้งรัฐสัมพันธ์ ค.ศ. 1967 ประพันธ์บทร้องโดย โรลส์ตาน เพอร์ซิลวาล จาวาฮาร์ อดัมส์ (ค.ศ. 1946 – 2008) เรียบเรียงเสียงประสานโดย ดร. จอห์น จอร์จ เฟรทเชอร์ (D.Mus., F.R.C.O. (C.H.M.), A.D.C.M., F.T.C.L., L.R.A.M., A.R.C.M., L.R.S.M.) (ค.ศ. 1931 – 2015)เนื้อร้องภูมิหลัง ภูมิหลัง. ภายหลังการยุบเลิก สหพันธรัฐเวสต์อินดิส ในปี ค.ศ. 1962 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีความพยายามในการรวมเขตปกครองตนเองเป็นแคริบเบียนตะวันออก แต่การรวมตัวในครั้งที่ 2 นี้ไม่เป็นผล โดยสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศแคริเบียนได้จัดตั้งกรอบความร่วมมือในฐานะ สมาคมรัฐสัมพันธ์ ด้วยการผ่านร่างพระราชบัญญัติออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1967 เกรนาดาจึงมีสถานะเป็นรัฐสัมพันธ์ มีอำนาจปกครองตนเอง และประกาศใช้ ธงชาติและเพลงชาติของตน มีนายกรัฐมนตรีคนแรกคือเฮอร์เบิรต์ บาลีสต์ ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงสิงหาคม ค.ศ. 1967
| เพลงชาติรัฐเกรนาดา ประพันธ์บทร้องโดยใคร | {
"answer": [
"โรลส์ตาน เพอร์ซิลวาล จาวาฮาร์ อดัมส์"
],
"answer_begin_position": [
319
],
"answer_end_position": [
355
]
} |
1,906 | 817,169 | เพลงชาติรัฐเกรนาดา เพลงชาติรัฐเกรเนดา เป็นเพลงชาติของเกรเนดาระหว่าง ค.ศ. 1967 จนถึงการประกาศเอกราชเมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักร ภายใต้พระราชบัญญัติการจัดตั้งรัฐสัมพันธ์ ค.ศ. 1967 ประพันธ์บทร้องโดย โรลส์ตาน เพอร์ซิลวาล จาวาฮาร์ อดัมส์ (ค.ศ. 1946 – 2008) เรียบเรียงเสียงประสานโดย ดร. จอห์น จอร์จ เฟรทเชอร์ (D.Mus., F.R.C.O. (C.H.M.), A.D.C.M., F.T.C.L., L.R.A.M., A.R.C.M., L.R.S.M.) (ค.ศ. 1931 – 2015)เนื้อร้องภูมิหลัง ภูมิหลัง. ภายหลังการยุบเลิก สหพันธรัฐเวสต์อินดิส ในปี ค.ศ. 1962 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีความพยายามในการรวมเขตปกครองตนเองเป็นแคริบเบียนตะวันออก แต่การรวมตัวในครั้งที่ 2 นี้ไม่เป็นผล โดยสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศแคริเบียนได้จัดตั้งกรอบความร่วมมือในฐานะ สมาคมรัฐสัมพันธ์ ด้วยการผ่านร่างพระราชบัญญัติออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1967 เกรนาดาจึงมีสถานะเป็นรัฐสัมพันธ์ มีอำนาจปกครองตนเอง และประกาศใช้ ธงชาติและเพลงชาติของตน มีนายกรัฐมนตรีคนแรกคือเฮอร์เบิรต์ บาลีสต์ ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงสิงหาคม ค.ศ. 1967
| รัฐเกรนาดามีอำนาจปกครองตนเองและประกาศใช้ธงชาติและเพลงชาติของตนเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"3"
],
"answer_begin_position": [
863
],
"answer_end_position": [
864
]
} |
1,351 | 847,415 | โฮเซ เป. เลาเรล โฮเซ ปาเซียโน เลาเรล อี การ์ซิอา (; 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 - 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502) เป็นนักการเมืองและผู้พิพากษาชาวฟิลิปปินส์ เขาเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่สองซึ่งเป็นประเทศหุ่นเชิดของญี่ปุ่นเมื่อถูกยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 ถึง พ.ศ. 2488 นับตั้งแต่การบริหารของประธานาธิบดีดิออสดาโด มากาปากัล (1961-1965) ลอเรลได้รับการยอมรับว่าเป็นประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศฟิลิปปินส์
| โฮเซ เป. เลาเรล เป็นนักการเมืองและผู้พิพากษาชาวอะไร | {
"answer": [
"ชาวฟิลิปปินส์"
],
"answer_begin_position": [
214
],
"answer_end_position": [
227
]
} |
1,725 | 847,415 | โฮเซ เป. เลาเรล โฮเซ ปาเซียโน เลาเรล อี การ์ซิอา (; 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 - 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502) เป็นนักการเมืองและผู้พิพากษาชาวฟิลิปปินส์ เขาเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่สองซึ่งเป็นประเทศหุ่นเชิดของญี่ปุ่นเมื่อถูกยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 ถึง พ.ศ. 2488 นับตั้งแต่การบริหารของประธานาธิบดีดิออสดาโด มากาปากัล (1961-1965) ลอเรลได้รับการยอมรับว่าเป็นประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศฟิลิปปินส์
| โฮเซ เป. เลาเรล เป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2 โดยเป็นหุ่นเชิดให้กับประเทศอะไร | {
"answer": [
"ญี่ปุ่น"
],
"answer_begin_position": [
301
],
"answer_end_position": [
308
]
} |
1,352 | 363,107 | อันโตนิโอ อาดัน อันโตนิโอ อาดัน การ์ริโด () เกิด 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 ที่มาดริด เป็นนักฟุตบอลชาวสเปน ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับสโมสรเรอัลเบติสอาชีพนักฟุตบอล อาชีพนักฟุตบอล. อาดันเข้าร่วมสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในตำแหน่งผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ตั้งแต่ทีมสำรองชุดเซของเรอัลมาดริดในฤดูกาล 2004-2005 ลงเล่นทั้งหมด 36 นัด อาดันลงเล่นในลาลิกานัดแรกเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011 จากการเปลี่ยนตัวลงไปแทนที่อิเกร์ กาซิยัส ในครึ่งหลังของนัดที่เอาชนะอัสปัญญ็อล 1–0 และได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งในนัดถัดมา โดยที่เรอัลมาดริดเปิดบ้านรับการมาเยือนของเลบันเต และอาดันสามารถเก็บคลีนชีตได้ในนัดนี้ เมื่อเรอัลมาดริดสามารถเอาชนะได้ 2–0
| อันโตนิโอ อาดัน การ์ริโดเป็นนักฟุตบอลชาวอะไร | {
"answer": [
"ชาวสเปน"
],
"answer_begin_position": [
183
],
"answer_end_position": [
190
]
} |
1,847 | 363,107 | อันโตนิโอ อาดัน อันโตนิโอ อาดัน การ์ริโด () เกิด 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 ที่มาดริด เป็นนักฟุตบอลชาวสเปน ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับสโมสรเรอัลเบติสอาชีพนักฟุตบอล อาชีพนักฟุตบอล. อาดันเข้าร่วมสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดในตำแหน่งผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ตั้งแต่ทีมสำรองชุดเซของเรอัลมาดริดในฤดูกาล 2004-2005 ลงเล่นทั้งหมด 36 นัด อาดันลงเล่นในลาลิกานัดแรกเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011 จากการเปลี่ยนตัวลงไปแทนที่อิเกร์ กาซิยัส ในครึ่งหลังของนัดที่เอาชนะอัสปัญญ็อล 1–0 และได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งในนัดถัดมา โดยที่เรอัลมาดริดเปิดบ้านรับการมาเยือนของเลบันเต และอาดันสามารถเก็บคลีนชีตได้ในนัดนี้ เมื่อเรอัลมาดริดสามารถเอาชนะได้ 2–0
| อันโตนิโอ อาดัน การ์ริโด นักฟุตบอลชาวสเปน เกิดเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"13"
],
"answer_begin_position": [
139
],
"answer_end_position": [
141
]
} |
1,354 | 279,342 | เจ้าฟ้าสุทัศน์ เจ้าฟ้าสุทัศน์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเอกาทศรถที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี พระองค์มีพระอนุชาร่วมพระมารดา 1 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช หลังจากนั้น เจ้าฟ้าสุทัศน์กราบบังคมทูลสมเด็จพระเอกาทศรถว่า ขอพิจารณาคนออก สมเด็จพระเอกาทศรสจึงตรัสว่า "จะเป็นขบถหรือ" เป็นเหตุให้เจ้าฟ้าสุทัศน์เกิดความเกรงพระราชอาญาจากสมเด็จพระราชบิดา เมื่อพระองค์ออกจากที่เฝ้าและเสด็จมายังพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว พระองค์ได้เสวยยาพิษและเสด็จสวรรคตลง ความทราบถึงสมเด็จพระเอกาทศรถทำให้พระองค์ทรงพระโทมนัสเป็นอันมากและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพตามพระอิสริยยศพระมหาอุปราช ซึ่งพระองค์ทรงตั้งพระทัยบำเพ็ญทานกุศลเป็นอเนกประการราชตระกูล
| เจ้าฟ้าสุทัศน์ เป็นพระราชโอรสของผู้ใด | {
"answer": [
"สมเด็จพระเอกาทศรถ"
],
"answer_begin_position": [
146
],
"answer_end_position": [
163
]
} |
1,355 | 279,342 | เจ้าฟ้าสุทัศน์ เจ้าฟ้าสุทัศน์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเอกาทศรถที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี พระองค์มีพระอนุชาร่วมพระมารดา 1 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช หลังจากนั้น เจ้าฟ้าสุทัศน์กราบบังคมทูลสมเด็จพระเอกาทศรถว่า ขอพิจารณาคนออก สมเด็จพระเอกาทศรสจึงตรัสว่า "จะเป็นขบถหรือ" เป็นเหตุให้เจ้าฟ้าสุทัศน์เกิดความเกรงพระราชอาญาจากสมเด็จพระราชบิดา เมื่อพระองค์ออกจากที่เฝ้าและเสด็จมายังพระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว พระองค์ได้เสวยยาพิษและเสด็จสวรรคตลง ความทราบถึงสมเด็จพระเอกาทศรถทำให้พระองค์ทรงพระโทมนัสเป็นอันมากและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชทานเพลิงพระศพตามพระอิสริยยศพระมหาอุปราช ซึ่งพระองค์ทรงตั้งพระทัยบำเพ็ญทานกุศลเป็นอเนกประการราชตระกูล
| สถานที่ที่เจ้าฟ้าสุทัศน์ทรงเสวยยาพิษและสวรรคตลงคือที่ไหน | {
"answer": [
"พระราชวังบวรสถานมงคล"
],
"answer_begin_position": [
555
],
"answer_end_position": [
575
]
} |
1,356 | 517,724 | กร็องปาแล เลอกร็องปาแลเดช็องเซลีเซ () หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า กร็องปาแล เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของกรุงปารีส และยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการด้วย ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1897 ภายหลังจากการรื้ออาคารปาแลเดอแล็งดุสทรี (Palais de l'Industrie) เพื่อเตรียมการจัดงานนิทรรศการโลกในปีค.ศ.1900 (Universal Exposition of 1900) ซึ่งยังรวมถึงการก่อสร้าง เปอติ ปาแล และสะพานอะเลคซันดร์ที่ 3 ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย กร็องปาแล เคยถูกผ่านการใช้งานเป็นโรงพยาบาลทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังเคยเป็นที่จัดแสดงการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี ถึง 2 ครั้ง ในช่วงที่ปารีสถูกเยอรมนียึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอาคารมีลักษณะแบบสถาปัตยกรรมโบซาร์ตามแบบที่มีการสอนในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเด่นคือรายละเอียดโดยรอบบนหน้าบันที่สลักจากหิน และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ทันสมัย รวมทั้งการใช้นวัตกรรมใหม่ในการก่อสร้าง อาทิเช่น โครงหลังคาเหล็กน้ำหนักเบาประดับกระจก และการใช้คอนกรีตเสริมแรงในการก่อสร้างอีกด้วยประวัติ ประวัติ. ห้องหลักภายในอาคารมีความยาวถึง 240 เมตร ซึ่งประกอบด้วยหลังคากระจก ซึ่งทำจากโครงเหล็ก ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจมากจากคริสตัลพาเลส ในกรุงลอนดอน โดยจุดประสงค์หลักคือเพื่อให้แสงสว่าง อันเป็นสิ่งจำเป็นในอาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารนิทรรศการในยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่าง ด้านนอกอาคารประกอบไปด้วยหน้าบันสลักจากหิน และงานโลหะชั้นเลิศแบบนวศิลป์ และรูปปั้นอีกจำนวนมากโดย Paul Gasq, Camille Lefèvre, Alfred Boucher, Alphonse-Amédée Cordonnier และ Raoul Verlet บริเวณด้านหน้าอาคาร ทั้งมุมซ้ายและขวามีงานสำริดขนาดใหญ่ข้างละ 1 ชุด กร็องปาแลได้ทำการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1900 โดยใช้เป็นอาคารจัดแสดงนวัตกรรมยุคใหม่(ในสมัยนั้น) อาทิ รถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งมีการจัดงานทุกปีจนกระทั่งปีค.ศ.1947 เป็นปีสุดท้าย และในภายหลังตัวอาคารได้ใช้เป็นที่จัดงานแสดงศิลปะของอ็องรี มาติส ในช่วงเดือนเมษายน ถึงกันยายน ค.ศ.1970 ตัวโครงสร้างอาคารเคยมีปัญหาการทรุดตัวหลายครั้งช่วงขณะการก่อสร้าง จึงต้องมีการเสริมรากฐานเพิ่มเติมในขณะที่การก่อสร้างต้องเป็นไปอย่างรีบเร่ง และเมื่อเวลาผ่านไปโครงสร้างเหล็กต่างๆเริ่มเกิดสนิมในโครงสร้าง ทำให้ในที่สุดหลังคากระจกได้พังทลายลงมาในปีค.ศ.1993 จึงต้องมีการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่จนมาเปิดอีกครั้งในปีค.ศ.2007 ในปัจจุบัน กร็องปาแลยังเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ ที่อยู่ในชั้นใต้ดิน เพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อยในยามที่มีงานนิทรรศการต่าง ๆ ในส่วนปีกตะวันตกของอาคาร เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หรือเรียกว่า ปาแลเดอลาเดกูแวร์ต (Palais de la Découverte)
| อาคารกร็องปาแล เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของที่ใด | {
"answer": [
"กรุงปารีส"
],
"answer_begin_position": [
214
],
"answer_end_position": [
223
]
} |
1,357 | 517,724 | กร็องปาแล เลอกร็องปาแลเดช็องเซลีเซ () หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า กร็องปาแล เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของกรุงปารีส และยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการด้วย ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1897 ภายหลังจากการรื้ออาคารปาแลเดอแล็งดุสทรี (Palais de l'Industrie) เพื่อเตรียมการจัดงานนิทรรศการโลกในปีค.ศ.1900 (Universal Exposition of 1900) ซึ่งยังรวมถึงการก่อสร้าง เปอติ ปาแล และสะพานอะเลคซันดร์ที่ 3 ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย กร็องปาแล เคยถูกผ่านการใช้งานเป็นโรงพยาบาลทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และยังเคยเป็นที่จัดแสดงการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี ถึง 2 ครั้ง ในช่วงที่ปารีสถูกเยอรมนียึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอาคารมีลักษณะแบบสถาปัตยกรรมโบซาร์ตามแบบที่มีการสอนในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเด่นคือรายละเอียดโดยรอบบนหน้าบันที่สลักจากหิน และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ทันสมัย รวมทั้งการใช้นวัตกรรมใหม่ในการก่อสร้าง อาทิเช่น โครงหลังคาเหล็กน้ำหนักเบาประดับกระจก และการใช้คอนกรีตเสริมแรงในการก่อสร้างอีกด้วยประวัติ ประวัติ. ห้องหลักภายในอาคารมีความยาวถึง 240 เมตร ซึ่งประกอบด้วยหลังคากระจก ซึ่งทำจากโครงเหล็ก ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจมากจากคริสตัลพาเลส ในกรุงลอนดอน โดยจุดประสงค์หลักคือเพื่อให้แสงสว่าง อันเป็นสิ่งจำเป็นในอาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารนิทรรศการในยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่าง ด้านนอกอาคารประกอบไปด้วยหน้าบันสลักจากหิน และงานโลหะชั้นเลิศแบบนวศิลป์ และรูปปั้นอีกจำนวนมากโดย Paul Gasq, Camille Lefèvre, Alfred Boucher, Alphonse-Amédée Cordonnier และ Raoul Verlet บริเวณด้านหน้าอาคาร ทั้งมุมซ้ายและขวามีงานสำริดขนาดใหญ่ข้างละ 1 ชุด กร็องปาแลได้ทำการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1900 โดยใช้เป็นอาคารจัดแสดงนวัตกรรมยุคใหม่(ในสมัยนั้น) อาทิ รถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งมีการจัดงานทุกปีจนกระทั่งปีค.ศ.1947 เป็นปีสุดท้าย และในภายหลังตัวอาคารได้ใช้เป็นที่จัดงานแสดงศิลปะของอ็องรี มาติส ในช่วงเดือนเมษายน ถึงกันยายน ค.ศ.1970 ตัวโครงสร้างอาคารเคยมีปัญหาการทรุดตัวหลายครั้งช่วงขณะการก่อสร้าง จึงต้องมีการเสริมรากฐานเพิ่มเติมในขณะที่การก่อสร้างต้องเป็นไปอย่างรีบเร่ง และเมื่อเวลาผ่านไปโครงสร้างเหล็กต่างๆเริ่มเกิดสนิมในโครงสร้าง ทำให้ในที่สุดหลังคากระจกได้พังทลายลงมาในปีค.ศ.1993 จึงต้องมีการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่จนมาเปิดอีกครั้งในปีค.ศ.2007 ในปัจจุบัน กร็องปาแลยังเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ ที่อยู่ในชั้นใต้ดิน เพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อยในยามที่มีงานนิทรรศการต่าง ๆ ในส่วนปีกตะวันตกของอาคาร เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หรือเรียกว่า ปาแลเดอลาเดกูแวร์ต (Palais de la Découverte)
| ปีใดเป็นปีสุดท้ายที่ใช้อาคารกร็องปาแลในการจัดแสดงนวัตกรรมยุคใหม่ก่อนจะเป็นสถานที่จัดงานศิลปะ | {
"answer": [
"ค.ศ.1947"
],
"answer_begin_position": [
1778
],
"answer_end_position": [
1786
]
} |
1,358 | 153,930 | ธงชาติอัฟกานิสถาน ธงชาติสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน แบบปัจจุบันนี้ ประกาศใช้ในสมัยรัฐบาลชุดถ่ายโอนอำนาจของรัฐอิสลามของอัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2547) ลักษณะเป็นธงสามสี รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งตามแนวตั้ง เป็นสีดำ-แดง-เขียว กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน กลางธงมีรูปตราแผ่นดินของอัฟกานิสถาน ในลักษณะภาพลายเส้นสีขาว ลักษณะของธงชาติยุคนี้ คล้ายคลึงกับธงชาติในสมัยราชอาณาจักรอัฟกานิสถาน ช่วง พ.ศ. 2473 - พ.ศ. 2516 โดยมีความแตกต่างสำคัญที่มีการบรรจุภาพอักษรที่เรียกว่า ชะฮาดะฮ์ เป็นข้อความซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "ข้าพเจ้านับถือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากอัลลอหฺ และศาสดามุฮัมมัดคือศาสนทูตแห่งอัลลอหฺ" ที่ตอนบนของภาพตรา วันที่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการคือวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ในยุดก่อนสมัยการปกครองของกลุ่มตอลิบานและแนวร่วมอิสลามเพื่อการปลดปล่อยอัฟกานิสถาน ธงชาติในยุคนี้มีการใช้ภาพตราแผ่นดินแบบเดียวกับกับธงยุคปัจจุบัน แต่แถบสีนั้นเป็นแถบสีดำ-ขาว-เขียว เรืยงแถบสีธงตามแนวนอน ประเทศอัฟกานิสถาน ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธงชาติในสมัยต่างๆ ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มากครั้งที่สุด มากกว่าชาติอื่นใดในโลกนี้ประวัติเอมิเรตอัฟกานิสถาน ประวัติ. เอมิเรตอัฟกานิสถาน. ธงชาติอัฟกานิสถานยุคแรก เริ่มใช้ในสมัยราชวงศ์โฮทาคิ มีลักษณะเป็นธงพื้นสีดำเกลี้ยง ต่อมาในสมัยการปกครองของอับดุร์ เราะห์มาน ข่าน (Abdur Rahman Khan) ได้มีการรื้อฟื้นธงพื้นสีดำเกลี้ยงใช้เป็นธงชาติอย่างเป็นทางการ ในสมัยการปกครองของฮาบิบุลเลาะห์ ข่าน (Habibullah Khan) ได้เพิ่มรูปตราแผ่นดินที่กลางผืนธง ต่อมา อมานุลเลาะห์ (Amanullah Khan) มีการแก้ไขแบบตรา โดยเพิ่มรัศมี 8 ทิศ ล้อมรอบรูปตราแผ่นดิน เป็นธงชาติผืนแรกในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2469 (ต่อมาสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าชาห์ (Shah) เมื่อเปลี่ยนรูปแบบประเทศเป็นราชอาณาจักร)จักรวรรดิดูรานีราชอาณาจักรอัฟกานิสถานพ.ศ. 2471 - 2472 ราชอาณาจักรอัฟกานิสถาน. พ.ศ. 2471 - 2472. ธงชาติผืนที่ 2 ได้มีการนำแบบธงยุคก่อนหน้าธงเมื่อ พ.ศ. 2462 มาปรับแก้ไข โดยยกเอารัศมีล้อมภาพออก และ ปรับขนาดแบบตรา โดยขยายตราให้ใหญ่ขึ้น ประกอบช่อชัยพฤกษ์รองรับที่ด้านล่างของตรา ธงชาติผืนที่ 3 พระเจ้าอมานุลเลาะห์ ได้มีการแก้ไขแบบธงในปี พ.ศ. 2471 ให้มีลักษณะเป็นธงสามสีแบ่งตามแนวนอน พื้นสีดำ-แดง-เขียว หมายถึงเลือดที่หลั่งออกมาเพื่อเอกราช ในสงครามอังกฤษ-อัฟกัน ครั้งที่ 3 และ ความหวังต่ออนาคตเบื้องหน้า กลางธงมีตราแผ่นดินยุค พ.ศ. 2462 แบบธงนี้เป็นไปได้ว่า พระเจ้าอมานูเลาะห์ชาห์จะทรงได้รับอิทธิพล จากธงชาติเยอรมนี (ธงสีดำ-แดง-ทอง) ภายหลังที่พระองค์เสด็จประพาสยุโรปเมื่อ พ.ศ. 2470 ธงชาติผืนที่ 4 ได้แก้ไขแบบธงจ่าก ธงแถบแนวนอนเป็นธงแถบแนวตั้ง ประกอบตราแผ่นดินแบบใหม่ ตราแผ่นดินมีลักษระเป็นภาพยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ เบื้องหลังเป็นพระอาทิตย์อุทัย หมายถึง การเริ่มต้นของราชอาณาจักรใหม่ซึ่งมีเอกราชของตนเองพ.ศ. 2472 พ.ศ. 2472. ธงชาติในรัชสมัยพระเจ้าฮาบิบุลเลาะห์คาลาคานี หรือฮาบิบุลเลาะห์ข่าน (Habibullah Khan) พระนามอย่างเป็นทางการคือ บาชา-อี-ซาเกา (Bacha-i-Saqao) ลักษณะธงสามสี แดง-ดำ-ขาวนี้ เป็นธงของอัฟกานิสถาน อย่างที่เคยใช้ในสมัยการยึดครองโดยจักรวรรดิมองโกล ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยประมาณพ.ศ. 2472 - 2516 พ.ศ. 2472 - 2516. ธงชาติในรัชสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์สมัยแรก ในยุคนี้ธงสามสี สีดำ-แดง-เขียว ถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนภาพตราแผ่นดินกลางธงนั้น ใช้ตราอย่างธงชาติในสมัย พ.ศ. 2462 ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์สมัยหลัง และพระเจ้ามูฮัมหมัด ซาฮีร์ ชาห์ ธงนี้ปรับปรุงจากธงในสมัย พ.ศ. 2472 โดยยกเอารัศมีแปดทิศออก และขยายตราให้ใหญ่ขึ้น ที่ระหว่างรูปสุเหร่าและช่อรวงข้าวที่ล้อมตราสัญลักษณ์นั้น มีเลขฮิจเราะห์ศักราชที่ 1348 เขียนด้วยอักษรอาหรับ (١٣٤٨) ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์ เสวยราชสมบัติ (ตรงกับ ค.ศ. 1929 ตามปฏิทินเกรกอเรียน หรือ พ.ศ. 2472 โดยประมาณ)สาธารณรัฐ สาธารณรัฐ. ธงชาติแบบแรกของสาธารณรัฐ เป็นการเอาธงในสมัยก่อนหน้ามาใช้เป็นการชั่วคราว โดยลบเลข ฮ.ศ. 1348 ออกเสีย ต่อมามีการแก้ไขแแบบธง สำหรับใช้เป็นธงของสาธารณรัฐแบบที่ 2 ใช้สีอย่างธงชาติเดิม แต่เรียงแถบสีใหม่ตามแนวนอน เป็นสีดำ-แดง-เขียว ตามลำดับ แถบสีเขียวนั้นกว้างเป็นสองเท่าของแถบสีดำและแดง ที่มุมธงบนด้านคันธงใช้ภาพตราสัญลักษณ์ใหม่ เป็นตรานกอินทรีสยายปีกมีรัศมีเปล่งที่ศีรษะ (หมายถึงสาธารณรัฐที่เกิดใหม่) มีรูปที่นั่งแสดงธรรมที่อกนก (หมายถึงสุเหร่า ศาสนาสถานในศาสนาอิสลาม) ล้อมรอบด้วยช่อรวงข้าว รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง สีธงชาติในสมัยนี้มีการนิยามไว้ว่า สีดำหมายถึงประวัติศาสตร์แห่งความมืดมนและทุกข์ยากของชาติ สีแดงหมายถึงเลือดที่หลั่งรินเพื่อเอกราช และสีเขียวหมายถึงความมั่งคั่งจากการทำเกษตรกรรมสาธารณรัฐประชาธิปไตย สาธารณรัฐประชาธิปไตย. เมื่อผู้นำของสาธารณรัฐ ถูกสังหารในการรัฐประหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลระบอบใหม่ของพรรคดังกล่าว จึงได้ยกเอาสัญลักษณ์ในธงชาติของสาธารณรัฐเดิมออกเสีย ธงในยุคนี้ใช้ธงแดงมีรูปสัญลักษณ์ประกอบที่มุมธงบนด้านคันธง ตามความนิยมของประเทศที่ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์โดยทั่วไป รูปสัญลักษณ์นั้น มีลักษณะเป็นรูปช่อรวงข้าวมีแพรแถบข้อความที่ตอนล่าง เหนือดวงตรามีรูปดาวสีเหลือง (หมายถึงชนชาติหลัก 5 ชนชาติของประเทศ) ภายในช่อรวงข้าวมีอักษรอาหรับ เป็นข้อความว่า "คาลก์" ("Khalq") แปลว่า ประชาชน ธงนี้เป็นธงเดียวกับธงของกลุ่มคาลก์ ของพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี นูร์ มูฮัมหมัด ตะรากี จนกระทั่งเขาถูกลอบสังหารเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 ธงนี้ใช้อยู่ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 ในสมัยที่ประเทศอยู่ภายใต้การนำของฮะฟีซอลลาห์ อะมีน ลักษณะเป็นธงแดง ภายในมีตรารูปฟันเฟืองกับรวงข้าวซ้อนทับกัน (หมายถึงการเกษตร) ซึ่งธงนี้เดิมก็ได้ใช้เป็นธงประจำพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถานด้วย การเข้ายึดครองอัฟกานิสถานโดยสหภาพโซเวียต ในเดือนธันวาคมของปีนั้น ทำให้รัฐบาลของนายฮะฟีซอลลาห์ อะมีน สิ้นสภาพลง หลังจากการโค่นล้มรัฐบาลกลุ่มคาล์กของนายฮะฟีซอลลาห์ อะมีน โดยกลุ่มปาร์ชาม ภายใต้การนำของนายบาบรัค คาร์มาล ด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต รัฐบาลใหม่ได้นำธงสามสี ดำ-แดง-เขียว กลับมาใช้อีกครั้ง มีความหมายถึงประวัติศาสตร์ของชาติ การเสียสละเพื่อเอกราช และศาสนาอิสลาม ตามลำดับ ที่มุมธงบนด้านคันธง มีรูปตราสัญลักษณ์ใหม่ แสดงภาพพระอาทิตย์อุทัย (ตามนามเดิมของประเทศ ซึ่งมีชื่อว่า โคระส่าน (Khorasan) แปลว่า แดนแห่งพระอาทิตย์อุทัย) ภาพแท่นแสดงธรรมและคัมภีร์อัลกุรอาน (หมายถึง ศาสนาอิสลาม) ฟันเฟืองอันเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรม ดาวแดงแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งหมดล้อมด้วยรูปช่อรวงข้าว พันด้วยแพรแถบสีธงชาติสาธารณรัฐที่ 2 สาธารณรัฐที่ 2. ธงในสมัยสาธารณรัฐที่ 2 ใช้ธงลักษณะอย่างธงยุคก่อนหน้า แต่รายละเอียดในตราสัญลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ โดยรูปดาวแดงและคัมภีร์อัลกุรอานถูกยกออกไป ย้ายรูปฟันเฟืองมาไว้ตอนล่าง และพื้นสีเขียวในตรานั้นเป็นรูปโค้งแสดงขอบฟ้า ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตรัฐอิสลาม รัฐอิสลาม. ธงชาติในสมัยรัฐอิสลาม เมื่อ พ.ศ. 2535 ลักษณะเป็นธงสามสีแถบสีดำ-ขาว-เขียว แบ่งตามแนวนอน บนแถบสีดำมีข้อความภาษาอาหรับว่า "อัลลอหฺ อัคบาร์" (อัลลอหฺทรงยิ่งใหญ่ที่สุด) แถบกลางมีรูปอักษรที่เรียกว่า ชะฮาดะฮ์ ซึ่งเป็นข้อความภาษาอาหรับ แปลความได้ว่า "ข้าพเจ้านับถือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากอัลลอหฺ และศาสดามุฮัมมัดคือศาสนทูตแห่งอัลลอหฺ" ในภายหลังได้มีการแก้ไขแบบธง โดยเพิ่มรูปตราแผ่นดินแบบลายเส้นสีทองที่กลางธง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2544 ได้เพิ่มข้อความภาษาอาหรับสีฟ้าอยู่ระหว่างตราแผ่นดินบนแถบสีขาว ความว่าเอมิเรตอิสลาม เอมิเรตอิสลาม. ธงชาติในสมัยเอมิเรตอิสลาม กลุ่มตอลิบานใช้ธงพื้นขาวเกลี้ยง เป็นธงชาติอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตนเอง ภายหลังมีการเพิ่มอักษรชะฮาดะฮ์ได้มีการเพิ่มลงบนธงพื้นสีขาวในสมัยนี้รัฐบาลเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล. ธงชาติในสมัยรัฐบาลเฉพาะกาล ชุดถ่ายโอนอำนาจ ใช้ธงลักษณะคล้ายกับธงในสมัยราชอาณาจักรยุค พ.ศ. 2472 เป็นพื้นสีดำ-แดง-เขียว แบ่งตามแนวตั้ง กลางธงมีตราแผ่นดินแบบลายเส้นสี ธงนี้แตกต่างจากธงเดิม ตรงที่มีการเพิ่มรูปอักษรชะฮาดะฮ์ที่ตอนบนของตรา และเลขบนปีฮิจเราะห์ศักราชเป็นปี ฮ.ศ. 1298 (١۲۹٨) ตรงกับปี ค.ศ. 1919 หรือ พ.ศ. 2472 ตามปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งเป็นปีที่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร ในส่วนราชการใช้ตราแผ่นดินแบบลายเส้นสีทองบนธง อัตราส่วน 1:2สาธารณรัฐอิสลาม สาธารณรัฐอิสลาม. ธงชาติที่ใช้อยู่นี้ เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ลักษณะคล้ายธงก่อนหน้า แต่ปรับขนาดอัตราส่วนธงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มรูปอักษร "ชาฮาดาห์" ลงในตอนบนของตราด้วย ในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการปรับแก้ในรายละเอียดของธงในบางประการ
| ธงชาติอัฟกานิสถานยุคแรกมีลักษณะเป็นธงพื้นสีดำเกลี้ยง เริ่มใช้ในสมัยราชวงศ์อะไร | {
"answer": [
"ราชวงศ์โฮทาคิ"
],
"answer_begin_position": [
1214
],
"answer_end_position": [
1227
]
} |
1,784 | 153,930 | ธงชาติอัฟกานิสถาน ธงชาติสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน แบบปัจจุบันนี้ ประกาศใช้ในสมัยรัฐบาลชุดถ่ายโอนอำนาจของรัฐอิสลามของอัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2547) ลักษณะเป็นธงสามสี รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งตามแนวตั้ง เป็นสีดำ-แดง-เขียว กว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน กลางธงมีรูปตราแผ่นดินของอัฟกานิสถาน ในลักษณะภาพลายเส้นสีขาว ลักษณะของธงชาติยุคนี้ คล้ายคลึงกับธงชาติในสมัยราชอาณาจักรอัฟกานิสถาน ช่วง พ.ศ. 2473 - พ.ศ. 2516 โดยมีความแตกต่างสำคัญที่มีการบรรจุภาพอักษรที่เรียกว่า ชะฮาดะฮ์ เป็นข้อความซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "ข้าพเจ้านับถือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากอัลลอหฺ และศาสดามุฮัมมัดคือศาสนทูตแห่งอัลลอหฺ" ที่ตอนบนของภาพตรา วันที่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการคือวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ในยุดก่อนสมัยการปกครองของกลุ่มตอลิบานและแนวร่วมอิสลามเพื่อการปลดปล่อยอัฟกานิสถาน ธงชาติในยุคนี้มีการใช้ภาพตราแผ่นดินแบบเดียวกับกับธงยุคปัจจุบัน แต่แถบสีนั้นเป็นแถบสีดำ-ขาว-เขียว เรืยงแถบสีธงตามแนวนอน ประเทศอัฟกานิสถาน ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธงชาติในสมัยต่างๆ ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มากครั้งที่สุด มากกว่าชาติอื่นใดในโลกนี้ประวัติเอมิเรตอัฟกานิสถาน ประวัติ. เอมิเรตอัฟกานิสถาน. ธงชาติอัฟกานิสถานยุคแรก เริ่มใช้ในสมัยราชวงศ์โฮทาคิ มีลักษณะเป็นธงพื้นสีดำเกลี้ยง ต่อมาในสมัยการปกครองของอับดุร์ เราะห์มาน ข่าน (Abdur Rahman Khan) ได้มีการรื้อฟื้นธงพื้นสีดำเกลี้ยงใช้เป็นธงชาติอย่างเป็นทางการ ในสมัยการปกครองของฮาบิบุลเลาะห์ ข่าน (Habibullah Khan) ได้เพิ่มรูปตราแผ่นดินที่กลางผืนธง ต่อมา อมานุลเลาะห์ (Amanullah Khan) มีการแก้ไขแบบตรา โดยเพิ่มรัศมี 8 ทิศ ล้อมรอบรูปตราแผ่นดิน เป็นธงชาติผืนแรกในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2469 (ต่อมาสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าชาห์ (Shah) เมื่อเปลี่ยนรูปแบบประเทศเป็นราชอาณาจักร)จักรวรรดิดูรานีราชอาณาจักรอัฟกานิสถานพ.ศ. 2471 - 2472 ราชอาณาจักรอัฟกานิสถาน. พ.ศ. 2471 - 2472. ธงชาติผืนที่ 2 ได้มีการนำแบบธงยุคก่อนหน้าธงเมื่อ พ.ศ. 2462 มาปรับแก้ไข โดยยกเอารัศมีล้อมภาพออก และ ปรับขนาดแบบตรา โดยขยายตราให้ใหญ่ขึ้น ประกอบช่อชัยพฤกษ์รองรับที่ด้านล่างของตรา ธงชาติผืนที่ 3 พระเจ้าอมานุลเลาะห์ ได้มีการแก้ไขแบบธงในปี พ.ศ. 2471 ให้มีลักษณะเป็นธงสามสีแบ่งตามแนวนอน พื้นสีดำ-แดง-เขียว หมายถึงเลือดที่หลั่งออกมาเพื่อเอกราช ในสงครามอังกฤษ-อัฟกัน ครั้งที่ 3 และ ความหวังต่ออนาคตเบื้องหน้า กลางธงมีตราแผ่นดินยุค พ.ศ. 2462 แบบธงนี้เป็นไปได้ว่า พระเจ้าอมานูเลาะห์ชาห์จะทรงได้รับอิทธิพล จากธงชาติเยอรมนี (ธงสีดำ-แดง-ทอง) ภายหลังที่พระองค์เสด็จประพาสยุโรปเมื่อ พ.ศ. 2470 ธงชาติผืนที่ 4 ได้แก้ไขแบบธงจ่าก ธงแถบแนวนอนเป็นธงแถบแนวตั้ง ประกอบตราแผ่นดินแบบใหม่ ตราแผ่นดินมีลักษระเป็นภาพยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ เบื้องหลังเป็นพระอาทิตย์อุทัย หมายถึง การเริ่มต้นของราชอาณาจักรใหม่ซึ่งมีเอกราชของตนเองพ.ศ. 2472 พ.ศ. 2472. ธงชาติในรัชสมัยพระเจ้าฮาบิบุลเลาะห์คาลาคานี หรือฮาบิบุลเลาะห์ข่าน (Habibullah Khan) พระนามอย่างเป็นทางการคือ บาชา-อี-ซาเกา (Bacha-i-Saqao) ลักษณะธงสามสี แดง-ดำ-ขาวนี้ เป็นธงของอัฟกานิสถาน อย่างที่เคยใช้ในสมัยการยึดครองโดยจักรวรรดิมองโกล ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยประมาณพ.ศ. 2472 - 2516 พ.ศ. 2472 - 2516. ธงชาติในรัชสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์สมัยแรก ในยุคนี้ธงสามสี สีดำ-แดง-เขียว ถูกนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนภาพตราแผ่นดินกลางธงนั้น ใช้ตราอย่างธงชาติในสมัย พ.ศ. 2462 ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์สมัยหลัง และพระเจ้ามูฮัมหมัด ซาฮีร์ ชาห์ ธงนี้ปรับปรุงจากธงในสมัย พ.ศ. 2472 โดยยกเอารัศมีแปดทิศออก และขยายตราให้ใหญ่ขึ้น ที่ระหว่างรูปสุเหร่าและช่อรวงข้าวที่ล้อมตราสัญลักษณ์นั้น มีเลขฮิจเราะห์ศักราชที่ 1348 เขียนด้วยอักษรอาหรับ (١٣٤٨) ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้ามูฮัมหมัด นาดีร์ ชาห์ เสวยราชสมบัติ (ตรงกับ ค.ศ. 1929 ตามปฏิทินเกรกอเรียน หรือ พ.ศ. 2472 โดยประมาณ)สาธารณรัฐ สาธารณรัฐ. ธงชาติแบบแรกของสาธารณรัฐ เป็นการเอาธงในสมัยก่อนหน้ามาใช้เป็นการชั่วคราว โดยลบเลข ฮ.ศ. 1348 ออกเสีย ต่อมามีการแก้ไขแแบบธง สำหรับใช้เป็นธงของสาธารณรัฐแบบที่ 2 ใช้สีอย่างธงชาติเดิม แต่เรียงแถบสีใหม่ตามแนวนอน เป็นสีดำ-แดง-เขียว ตามลำดับ แถบสีเขียวนั้นกว้างเป็นสองเท่าของแถบสีดำและแดง ที่มุมธงบนด้านคันธงใช้ภาพตราสัญลักษณ์ใหม่ เป็นตรานกอินทรีสยายปีกมีรัศมีเปล่งที่ศีรษะ (หมายถึงสาธารณรัฐที่เกิดใหม่) มีรูปที่นั่งแสดงธรรมที่อกนก (หมายถึงสุเหร่า ศาสนาสถานในศาสนาอิสลาม) ล้อมรอบด้วยช่อรวงข้าว รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง สีธงชาติในสมัยนี้มีการนิยามไว้ว่า สีดำหมายถึงประวัติศาสตร์แห่งความมืดมนและทุกข์ยากของชาติ สีแดงหมายถึงเลือดที่หลั่งรินเพื่อเอกราช และสีเขียวหมายถึงความมั่งคั่งจากการทำเกษตรกรรมสาธารณรัฐประชาธิปไตย สาธารณรัฐประชาธิปไตย. เมื่อผู้นำของสาธารณรัฐ ถูกสังหารในการรัฐประหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลระบอบใหม่ของพรรคดังกล่าว จึงได้ยกเอาสัญลักษณ์ในธงชาติของสาธารณรัฐเดิมออกเสีย ธงในยุคนี้ใช้ธงแดงมีรูปสัญลักษณ์ประกอบที่มุมธงบนด้านคันธง ตามความนิยมของประเทศที่ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์โดยทั่วไป รูปสัญลักษณ์นั้น มีลักษณะเป็นรูปช่อรวงข้าวมีแพรแถบข้อความที่ตอนล่าง เหนือดวงตรามีรูปดาวสีเหลือง (หมายถึงชนชาติหลัก 5 ชนชาติของประเทศ) ภายในช่อรวงข้าวมีอักษรอาหรับ เป็นข้อความว่า "คาลก์" ("Khalq") แปลว่า ประชาชน ธงนี้เป็นธงเดียวกับธงของกลุ่มคาลก์ ของพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี นูร์ มูฮัมหมัด ตะรากี จนกระทั่งเขาถูกลอบสังหารเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 ธงนี้ใช้อยู่ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 ในสมัยที่ประเทศอยู่ภายใต้การนำของฮะฟีซอลลาห์ อะมีน ลักษณะเป็นธงแดง ภายในมีตรารูปฟันเฟืองกับรวงข้าวซ้อนทับกัน (หมายถึงการเกษตร) ซึ่งธงนี้เดิมก็ได้ใช้เป็นธงประจำพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถานด้วย การเข้ายึดครองอัฟกานิสถานโดยสหภาพโซเวียต ในเดือนธันวาคมของปีนั้น ทำให้รัฐบาลของนายฮะฟีซอลลาห์ อะมีน สิ้นสภาพลง หลังจากการโค่นล้มรัฐบาลกลุ่มคาล์กของนายฮะฟีซอลลาห์ อะมีน โดยกลุ่มปาร์ชาม ภายใต้การนำของนายบาบรัค คาร์มาล ด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต รัฐบาลใหม่ได้นำธงสามสี ดำ-แดง-เขียว กลับมาใช้อีกครั้ง มีความหมายถึงประวัติศาสตร์ของชาติ การเสียสละเพื่อเอกราช และศาสนาอิสลาม ตามลำดับ ที่มุมธงบนด้านคันธง มีรูปตราสัญลักษณ์ใหม่ แสดงภาพพระอาทิตย์อุทัย (ตามนามเดิมของประเทศ ซึ่งมีชื่อว่า โคระส่าน (Khorasan) แปลว่า แดนแห่งพระอาทิตย์อุทัย) ภาพแท่นแสดงธรรมและคัมภีร์อัลกุรอาน (หมายถึง ศาสนาอิสลาม) ฟันเฟืองอันเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรม ดาวแดงแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งหมดล้อมด้วยรูปช่อรวงข้าว พันด้วยแพรแถบสีธงชาติสาธารณรัฐที่ 2 สาธารณรัฐที่ 2. ธงในสมัยสาธารณรัฐที่ 2 ใช้ธงลักษณะอย่างธงยุคก่อนหน้า แต่รายละเอียดในตราสัญลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ โดยรูปดาวแดงและคัมภีร์อัลกุรอานถูกยกออกไป ย้ายรูปฟันเฟืองมาไว้ตอนล่าง และพื้นสีเขียวในตรานั้นเป็นรูปโค้งแสดงขอบฟ้า ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตรัฐอิสลาม รัฐอิสลาม. ธงชาติในสมัยรัฐอิสลาม เมื่อ พ.ศ. 2535 ลักษณะเป็นธงสามสีแถบสีดำ-ขาว-เขียว แบ่งตามแนวนอน บนแถบสีดำมีข้อความภาษาอาหรับว่า "อัลลอหฺ อัคบาร์" (อัลลอหฺทรงยิ่งใหญ่ที่สุด) แถบกลางมีรูปอักษรที่เรียกว่า ชะฮาดะฮ์ ซึ่งเป็นข้อความภาษาอาหรับ แปลความได้ว่า "ข้าพเจ้านับถือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากอัลลอหฺ และศาสดามุฮัมมัดคือศาสนทูตแห่งอัลลอหฺ" ในภายหลังได้มีการแก้ไขแบบธง โดยเพิ่มรูปตราแผ่นดินแบบลายเส้นสีทองที่กลางธง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2544 ได้เพิ่มข้อความภาษาอาหรับสีฟ้าอยู่ระหว่างตราแผ่นดินบนแถบสีขาว ความว่าเอมิเรตอิสลาม เอมิเรตอิสลาม. ธงชาติในสมัยเอมิเรตอิสลาม กลุ่มตอลิบานใช้ธงพื้นขาวเกลี้ยง เป็นธงชาติอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตนเอง ภายหลังมีการเพิ่มอักษรชะฮาดะฮ์ได้มีการเพิ่มลงบนธงพื้นสีขาวในสมัยนี้รัฐบาลเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล. ธงชาติในสมัยรัฐบาลเฉพาะกาล ชุดถ่ายโอนอำนาจ ใช้ธงลักษณะคล้ายกับธงในสมัยราชอาณาจักรยุค พ.ศ. 2472 เป็นพื้นสีดำ-แดง-เขียว แบ่งตามแนวตั้ง กลางธงมีตราแผ่นดินแบบลายเส้นสี ธงนี้แตกต่างจากธงเดิม ตรงที่มีการเพิ่มรูปอักษรชะฮาดะฮ์ที่ตอนบนของตรา และเลขบนปีฮิจเราะห์ศักราชเป็นปี ฮ.ศ. 1298 (١۲۹٨) ตรงกับปี ค.ศ. 1919 หรือ พ.ศ. 2472 ตามปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งเป็นปีที่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร ในส่วนราชการใช้ตราแผ่นดินแบบลายเส้นสีทองบนธง อัตราส่วน 1:2สาธารณรัฐอิสลาม สาธารณรัฐอิสลาม. ธงชาติที่ใช้อยู่นี้ เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ลักษณะคล้ายธงก่อนหน้า แต่ปรับขนาดอัตราส่วนธงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มรูปอักษร "ชาฮาดาห์" ลงในตอนบนของตราด้วย ในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการปรับแก้ในรายละเอียดของธงในบางประการ
| วันที่ประกาศใช้ธงชาติสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถานอย่างเป็นทางการคือวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"4"
],
"answer_begin_position": [
755
],
"answer_end_position": [
756
]
} |
1,359 | 133,246 | สุชาดา ถิระวัฒน์ คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ (20 มิถุนายน พ.ศ. 2467 — ) อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ท่านที่ ๕ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการท่านแรก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าประวัติ ประวัติ. คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2467 เป็นธิดาของพระพิบูลย์ไอศวรรย์ (เปรียบ สุจริตกุล)อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นพี่ชายของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และนางพิบูลย์ไอศวรรย์ (โสภา สุจริตกุล) คุณหญิงสุชาดาเป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล)กับท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล)และเป็นเหลนทวดของพระยาราชภักดี (โค) ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม)ซึ่งเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ของพระมหากษัตริย์ไทยสองพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังเป็นพระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และคุณหญิงราชภักดี (ทองศุข สุจริตกุล) คุณหญิงสุชาดา สมรสกับนายประพจน์ ถิระวัฒน์อดีตประธานศาลฎีกาการศึกษา การศึกษา. คุณหญิงสุชาดาเข้าศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาปี พ.ศ. 2481 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (เป็นนักเรียนรุ่นที่ 1 ของโรงเรียน) ต่อมาเข้าศึกษาต่อชั้นอุดมศึกษา และได้รับปริญญาตรี อักษรศาสตรบัณฑิต (อ.บ) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ศึกษาด้วยตนเองได้รับวุฒิทางครู พ.ป และ พ.มรับราชการ รับราชการ. ในปี พ.ศ. 2490 คุณหญิงเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนมัธยมวัดนวลวรดิศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 ได้ตามพระพิบูลย์ไอศวรรย์ (เปรียบ สุจริตกุล) บิดา ไปเป็นครูโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ครั้นในปี พ.ศ. 2494 คุณหญิงสุชาดา สุจริตกุล ได้สมรสกับนายประพจน์ ถิระวัฒน์ อดีตประธานศาลฎีกา จึงย้ายไปเป็นครูในต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง เป็นเวลากว่า 12 ปี ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2506 ย้ายกลับมายังกรุงเทพมหานคร และไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนสตรีวิทยา ระหว่างปี พ.ศ. 2509 - พ.ศ. 2519 คุณหญิงได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2510 ได้ดำเนินการโครงการทดลองหลักสูตรมัธยมแบบประสมเป็นแห่งแรกที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยและประสบความสำเร็จอย่างมาก มีนักเรียนสอบไล่เป็นชั้นประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายได้เป็นที่ 1 ของประเทศไทย และได้รับคะแนนยอดเยี่ยม 3 แผนก ถึง 17 คน ซึ่งยังมีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เริ่มใช้หลักสูตรกว้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2521 เป็นอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ทั้งฝ่ายประถมศึกษาและมัธยมศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่ง (ฝ่ายประถมดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2525) และในปี พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2522 คุณหญิงได้กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2519 ได้เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 2 (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการอีกตำแหน่งหนึ่ง) และในปี พ.ศ. 2522 - พ.ศ. 2524 ดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ต่อมาปี พ.ศ. 2524 - พ.ศ. 2527 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ จวบจนเกษียณอายุราชการ ในระหว่างการรับราชการของคุณหญิงนั้น ท่านยังได้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์และการกุศลต่างๆ มากมาย อาทิเช่น- รองประธานกรรมการจัดตั้งโรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ - ประธานกรรมการจัดทุนการศึกษาในระบบโรงเรียนของมูลนิธิร่วมจิตรน้อมเกล้าเพื่อเยาวชน - รองประธานกรรมการดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชะประทรรศนีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว - ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ - ประธานกรรมการมูลนิธิโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย - รองประธานกรรมการมูลนิธิกตเวทิน - รองประธานกรรมการคนที่ 4 มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ - กรรมการมูลนิธิราชประชาสมาสัย - กรรมการมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย - ประธานกรรมการที่ปรึกษาสมาคมผู้ปกครองและครูเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2534 - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 4
| คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนอะไร | {
"answer": [
"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า"
],
"answer_begin_position": [
362
],
"answer_end_position": [
394
]
} |
1,778 | 133,246 | สุชาดา ถิระวัฒน์ คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ (20 มิถุนายน พ.ศ. 2467 — ) อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ท่านที่ ๕ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการท่านแรก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าประวัติ ประวัติ. คุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2467 เป็นธิดาของพระพิบูลย์ไอศวรรย์ (เปรียบ สุจริตกุล)อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นพี่ชายของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และนางพิบูลย์ไอศวรรย์ (โสภา สุจริตกุล) คุณหญิงสุชาดาเป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล)กับท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล)และเป็นเหลนทวดของพระยาราชภักดี (โค) ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม)ซึ่งเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ของพระมหากษัตริย์ไทยสองพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังเป็นพระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และคุณหญิงราชภักดี (ทองศุข สุจริตกุล) คุณหญิงสุชาดา สมรสกับนายประพจน์ ถิระวัฒน์อดีตประธานศาลฎีกาการศึกษา การศึกษา. คุณหญิงสุชาดาเข้าศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาปี พ.ศ. 2481 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (เป็นนักเรียนรุ่นที่ 1 ของโรงเรียน) ต่อมาเข้าศึกษาต่อชั้นอุดมศึกษา และได้รับปริญญาตรี อักษรศาสตรบัณฑิต (อ.บ) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ศึกษาด้วยตนเองได้รับวุฒิทางครู พ.ป และ พ.มรับราชการ รับราชการ. ในปี พ.ศ. 2490 คุณหญิงเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนมัธยมวัดนวลวรดิศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 ได้ตามพระพิบูลย์ไอศวรรย์ (เปรียบ สุจริตกุล) บิดา ไปเป็นครูโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ครั้นในปี พ.ศ. 2494 คุณหญิงสุชาดา สุจริตกุล ได้สมรสกับนายประพจน์ ถิระวัฒน์ อดีตประธานศาลฎีกา จึงย้ายไปเป็นครูในต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง เป็นเวลากว่า 12 ปี ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2506 ย้ายกลับมายังกรุงเทพมหานคร และไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนสตรีวิทยา ระหว่างปี พ.ศ. 2509 - พ.ศ. 2519 คุณหญิงได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2510 ได้ดำเนินการโครงการทดลองหลักสูตรมัธยมแบบประสมเป็นแห่งแรกที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยและประสบความสำเร็จอย่างมาก มีนักเรียนสอบไล่เป็นชั้นประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายได้เป็นที่ 1 ของประเทศไทย และได้รับคะแนนยอดเยี่ยม 3 แผนก ถึง 17 คน ซึ่งยังมีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เริ่มใช้หลักสูตรกว้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2521 เป็นอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ทั้งฝ่ายประถมศึกษาและมัธยมศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่ง (ฝ่ายประถมดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2525) และในปี พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2522 คุณหญิงได้กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2519 ได้เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 2 (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการอีกตำแหน่งหนึ่ง) และในปี พ.ศ. 2522 - พ.ศ. 2524 ดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ต่อมาปี พ.ศ. 2524 - พ.ศ. 2527 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ จวบจนเกษียณอายุราชการ ในระหว่างการรับราชการของคุณหญิงนั้น ท่านยังได้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์และการกุศลต่างๆ มากมาย อาทิเช่น- รองประธานกรรมการจัดตั้งโรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ - ประธานกรรมการจัดทุนการศึกษาในระบบโรงเรียนของมูลนิธิร่วมจิตรน้อมเกล้าเพื่อเยาวชน - รองประธานกรรมการดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชะประทรรศนีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว - ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ - ประธานกรรมการมูลนิธิโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย - รองประธานกรรมการมูลนิธิกตเวทิน - รองประธานกรรมการคนที่ 4 มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ - กรรมการมูลนิธิราชประชาสมาสัย - กรรมการมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย - ประธานกรรมการที่ปรึกษาสมาคมผู้ปกครองและครูเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2534 - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 4
| โรงเรียนที่สุชาดา ถิระวัฒน์ได้เข้าไปเป็นอาจารย์ใหญ่ในพ.ศ. 2517 ถึง พ.ศ. 25218 คือโรงเรียนอะไร | {
"answer": [
"โรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์"
],
"answer_begin_position": [
2527
],
"answer_end_position": [
2567
]
} |
1,360 | 378,749 | ราศี วัชราพลเมฆ ราศี ดิศกุล ณ อยุธยา เกิดวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เป็นนางแบบ,นักแสดงหญิงชาวไทยประวัติ ประวัติ. ราศี วัชราพลเมฆ (Rasee Wacharapolmek) ชื่อเล่น ออร์แกน (Organ) เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2521 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะมนุษยศาสตร์ เอกการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เธอเข้าวงการโดยการเป็นนางแบบด้วยส่วนสูง 176 เซนติเมตร ปัจจุบันเป็นนักแสดง-นางแบบเป็นหลัก เป็นนักแสดงอิสระ ไม่มีสังกัด มีความสามารถพิเศษเล่นเครื่องดนตรีไทย ได้แก่ ขิม และเครื่องดนตรีสากล ได้แก่ อิเล็กโทน เปียโน กลองชุด นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องประดับ ร้าน ANGEL ตั้งอยู่ที่ crystalpark เฟส2 ด้านชีวิตส่วนตัว ราศี วัชราพลเมฆ ได้สมรสกับหม่อมราชวงศ์พันธุ์ดิศ ดิศกุล เมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 หลังจากคบหาดูใจมามากกว่า 10 ปี โดยหม่อมราชวงศ์พันธุ์ดิศ ดิศกุล เป็นบิดาของหม่อมหลวงอรรถดิศ ดิศกุล (หมูตั้ง)เส้นทางอาชีพในวงการบันเทิง เส้นทางอาชีพในวงการบันเทิง. ราศี วัชราพลเมฆ ส่วนใหญ่จะเน้นงานการเดินแบบและถ่ายแบบเป็นหลัก ส่วนงานทางการแสดงและ พิธีกร อาจจะมีไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับนักแสดงทั่วๆไป แต่ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องงานเดินแบบ-ถ่ายแบบ งานเดินแบบ-ถ่ายแบบ. เข้าวงการโดยเริ่มต้นจากการเป็นนางแบบ ปีพ.ศ. 2540 เข้าประกวดเปรียว ซุปเปอร์โมเดล 1997 ได้เป็น สาวเปรียว รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จัดโดยนิตยสารเปรียวเป็นปีแรก จากนั้นก็เริ่มมีงานถ่ายแบบและเดินแบบเรื่อยมา พ.ศ. 2550-2551 ได้รับโอกาสร่วมงานเดินแฟชั่นโชว์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ในงานปารีสแฟชั่น วีค สปริง-ซัมเมอร์ 2008 และ 2009 นับเป็นความภาคภูมิใจและประทับใจหนึ่งในอาชีพเดินแบบของเธอ พ.ศ. 2552 ห้องเสื้อ THEATRE (เธียเตอร์) โดย ศิริชัย ทหรานนท์ ครบรอบ 25 ปี จัดงาน Now & Then Towards the Art Futurism 2009 ราศี วัชราพลเมฆ ได้เดินแบบในชุด “PICASSO” ผ้าตาข่ายพิมพ์ลายประดับเลื่อม สวมกับชุดกระโปรงยาวผ้าไหมออร์แกนดี้ตัดต่อผ้าไหมเมทัลลิก ถือเป็นการเดินแบบสุดแปลกซึ่งไม่เคยมีใครในวงการเดินแบบแนวนี้มาก่อน นางแบบสวมหน้ากากหล่อวาดหน้าตาบูดเบี้ยวโดยได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การวาดภาพจิตรกรเอกของโลกปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ จนไม่มีใครสามารถดูออกและจดจำหน้าตาเดิมได้ เนื่องด้วยเหตุผลว่ามีกะโหลกศีรษะสวย และด้วยประสบการณ์คร่ำวอดในการเดินแบบมาอย่างยาวนาน ราศี วัชราพลเมฆ ร่วมกับ น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ จึงได้รับความไว้วางใจจากกองประกวดนางสาวไทย ประจำปี 2555 ให้เป็นวิทยากรอบรมบุคลิกภาพ การเดินบนเวที แก่ผู้เข้าประกวด ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อตัดสินทั้ง 18 คน ให้มีการเดินที่สวยงาม กระฉับกระเฉง และมั่นใจ การเดินแบบครั้งแรกหลังจากดังเปรี้ยงจากกระแสละครสงครามนางงามซีซั่น 2 จบลง ราศี วัชราพลเมฆ ได้เดินแบบงานแฟชั่นโชว์ "เส้นทางผ้าไทย เส้นใยภูมิปัญญา เทิดไท้องค์องค์ราชินี" จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ ลานพาร์ค พารากอน ในวันที่ 20 สิงหาคม 2559 เวลา 18.30 น. โดยเดินแบบให้กับคอลเลคชั่นชุดผ้าไทยของ Young Designer จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นงานเดินแบบครั้งแรกที่มีแฟนคลับ#ทีมเมียอลิส #ทีมเมียพี่แกน ไปให้กำลังใจ เป็นนางแบบคนเดียวในงานที่มีแฟนคลับยกชื่อป้ายไฟส่งเสียงเชียร์กรี๊ดดังสนั่นอยู่ข้างรันเวย์ และรุมล้อมขอถ่ายรูปอย่างล้นหลามหลังจบงานประหนึ่งราวกับมางานมินิคอนเสิร์ต น่าจะเป็นนางแบบคนแรกๆของไทยทีมีปรากฏการณ์เช่นนี้งานแสดง-พิธีกร งานแสดง-พิธีกร. สำหรับงานด้านการแสดงมีผลงานโดดเด่นแจ้งเกิดจากการแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรก คือ ละคร เรื่อง เลือดหงส์ (พ.ศ. 2544) จากบท “อพัชชา” เป็นนางร้ายของเรื่อง ร่วมด้วยนักแสดงหน้าใหม่ในตอนนั้นอีก 4 คน คือ บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ เพื่อนสนิทและเป็นนางเอกของเรื่อง , ติว สันติภาพ สุวรรณพิมพ์ (พระเอก) , ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ และ กริช หิรัญพฤกษ์ แสดงซิตคอมเรื่องแรก เฮง เฮง เฮง รับบทเป็น “อาบุ๊ง” ลูกสาวนคนคนโตของอาฮวดและอาเจง แห่งบ้านตระกูลเฮง ด้วยระยะเวลาการแสดงยาวนานถึง 15 ปี (พ.ศ. 2545 -2559) จึงทำให้ผู้ชมละครรู้สึกรักและผูกพันกับตัวละครและจดจำบทบาทการแสดงของเธอได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นผลงานโดดเด่นอีกเรื่องหนึ่ง และอีกผลงานที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักได้รับการกล่าวขานถึง คือละครซีรีส์ เรื่อง สงครามนางงาม (พ.ศ. 2557) รับบทเป็น อลิสา วชิรปัทมา หรือ “อลิส” ผู้ช่วยของ นัสริน รวิรังสี (รับบทโดยลูกเกด เมทินี กิ่งพโยม) ผู้จัดการกองประกวดนางงามเวที Miss Beauty & Talent Thailand 2014 ด้วยความทะเยอะทะยานทำให้ยอมทรยศเป็นหนอนบ่อนไส้คอยบอกข้อมูลสำคัญกับเวทีคู่แข่งแลกกับตำแหน่งผู้จัดการกองประกวด Miss Elegant Thailand แต่โดนหักหลัง สุดท้ายกลับใจเป็นคนดีช่วยกอบกู้สถานการณ์และได้รับการอภัยจากนัสรินให้ทำงานร่วมด้วยต่อไป และเมื่อมีการสร้าง สงครามนางงามซีซั่น 2 (พ.ศ. 2559) ทำให้ชื่อของ ออร์แกน ราศี กลับมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้รับความนิยมชื่นชมอย่างสูง โดยยังคงรับบทเป็น “อลิส” เช่นเดิม ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการกองประกวดนางงามเวที Miss Beauty & Talent Thailand 2016 โดยมีเป็นนัสริน (รับบทโดยลูกเกด เมทินี กิ่งพโยม) เป็นผู้อำนวยการกองประกวด ที่มาพร้อมกับปมแผลในใจที่รอวันถูกเปิดเผย ปมดังกล่าวนับเป็นการพลิกบทบาทเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือรับบทแสดงเป็นหญิงรักหญิงหรือเลสเบี้ยนเรื่องแรกที่แอบมีใจหวั่นไหวให้กับลูกน้ำ หรือ อาโป กองสินแก้ว (รับบทโดย ซีแนน กุลธิดา พริ้งเกษมชัย) ผู้เข้าประกวดนางงามรุ่นน้องจนเลยเถิดมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แต่สุดท้ายเป็นเพียงการถูกหลอกใช้ และอลิสยังมีอดีตเคยเป็นตัวเก็งผู้เข้าประกวดนางงาม Miss Beauty & Talent Thailand 2001 แต่ก็ถูกแกล้งขัดขาให้ตกบันไดจากลดา โคมราตรี (รับบทโดย บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) เพื่อนนางงามคนรักที่เข้าประกวดทำให้บาดเจ็บหลังหักไม่สามารถประกวดต่อได้ ซึ่งต่อมาลดากลับมาเจออลิสอีกในฐานะผู้อำนวยการกองประกวดแทนนัสรินที่ถูกรถชนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผลงานเป็นพิธีกรรายโทรทัศน์และอีเว้นบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นแขกรับเชิญ รายการวาไรตี้ ทอลฺคโชว์ สัมภาษณ์ และร่วมเล่นเกมโชว์ ส่วนผลงานภาพยนตร์ ออร์แกน ราศีได้แสดงภาพยนตร์สั้น หรือ หนังสั้น เรื่อง "Lost and Love" กำกับโดย ณฐ ทองศรีพงศ์ แสดงประกบคู่กับ เอก จิรพัฒน์ สุตตปัญญา ในเรื่องยังมีคู่ สินจัย เปล่งพานิช และ พันโทวันชนะ สวัสดี แสดงร่วมด้วย ฉายครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์สกาล่า วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2557 เพียงรอบเดียว ภาพยนตร์พูดถึงเกี่ยวกับความรักของคู่รัก 2 วัย คือ คู่รักรุ่นใหญ่ (สินจัย-พันโทวันชนะ) เป็นคนรักเก่าที่กลับมาพบกันอีกครั้ง และ คู่รักรุ่นเด็กวัยรุ่น (ราศี-จิรพัฒน์) ที่ออกเดทชมความงามยามค่ำคืนของกรุงเทพบริเวณเขตพระนครผลงานมิวสิกวิดีโอผลงาน. มิวสิกวิดีโอ. - เพลง "บอกอะไรป่านนี้" ของโบ สุนิตา ลีติกุล อัลบั้ม มิราเคิล (Sunita Miracle) พ.ศ. 2542 - เพลง "หมาเห่าเครื่องบิน" ของโลโซ อัลบั้ม โลโซ แลนด์ ( LOSO LAND) พ.ศ. 2544 - เพลง "คือฉันรักเธอ" ของแมว จิระศักดิ์ ปานพุ่ม อัลบั้ม อะเวก (CATAROCK No.4 AWAKE) พ.ศ. 2544ภาพยนตร์สั้น (Short film)ภาพยนตร์สั้น (Short film). - Lost and Love (2557) กำกับโดย ณฐ ทองศรีพงศ์ แสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, พันโทวันชนะ สวัสดี, จิรพัฒน์ สุตตปัญญา และ ราศี วัชราพลเมฆละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์. - เลือดหงส์ (แก้วล้อมเพชร) (ช่อง 5) (2544) - เมื่อวันฟ้าเปลี่ยนสี (ช่อง 5) (2548) - สองปรารถนา (ช่อง 5) (2553) (รับเชิญ) - สงครามนางงาม (ช่องวัน) (2557) - สงครามนางงาม 2 (ช่องวัน) (2559) - Club Friday Celeb's Stories ตอน แย่งชิง (จีเอ็มเอ็ม 25) (2560) - เมืองมายา Live (ช่องวัน) (2561) - กาหลมหรทึก (ช่องวัน) (2561) - บาปรัก (ช่องวัน) (2561)รายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์. รายการดังกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างผลงานรายการโทรทัศน์บางส่วนเท่านั้นที่ราศี วัชราพลเมฆมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้รู้จักความรู้ ความสามารถ และทัศนคติของเธอในแง่มุมต่างๆเพิ่มขึ้นสื่อสิ่งพิมพ์ : Hard Copy และ Digital Publishing & Electronics Publishing สื่อสิ่งพิมพ์ : Hard Copy และ Digital Publishing & Electronics Publishing. Hard Copy- นิตยสาร HELLO! ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 มิถุนายน 2559 เปิดเรือนหอสไตล์ยุโรป ม.ร.ว.พันธุ์ดิศ และออร์แกน ดิศกุล คณชายที่เคยดุมากๆ สารภาพ 'แกนทำให้ผมใจเย็นขึ้น' (ขึ้นปก) - นิตยสาร EP Emporium & Paragon ปีที่ 8 ฉบับที่ 28 พฤษภาคม-มิถุนายน 2558 NOTORIOUS แฟชั่น หัวข้อ#9 CRAZY (ด้านใน) - นิตยสาร ดิฉัน ปีที่ 38 ฉบับที่ 912 กุมภาพันธ์ 2558 (ปก แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด) / บทสัมภาษณ์ใน คอลัมน์ "ดิฉันเปิดอก : ราศี วัชราพลเมฆ วิวาห์หวานที่ริมหาดหัวหิน" - นิตยสาร HELLO! ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 มกราคม 2558 EXCLUSIVE วิวาห์ฤดูหนาวริมทะเล ราชสกุลต้อนรับสะใภ้ซูเปอร์โมเดล ออร์แกน วัชราพลเมฆ & ม.ร.ว.พันธุ์ดิศ ดิศกุล เผยเหตุที่ต้องรอถึง 12 ปี (ขึ้นปก) - นิตยสาร ทีวีพูล ปีที่ 25 ฉบับที่ 1281 ธันวาคม 2557 Angel Or Devil? 'สงครามนางฟ้า'ฮอท'ลูกเกด-ออร์แกน' (ขึ้นปก คู่กับ เมทินี กิ่งโพยม) - นิตยสาร WE ปีที่ 11 ฉบับที่ 121 พฤษภาคม 2557 ครบรอบ 10 ปี (ปก จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา) / แฟชั่น หัวข้อ พาเรดชุดแต่งงานสวยมาก...ก ฉลอง WE 10 ขวบ (ด้านใน) - นิตยสาร VOGUE THAILAND ปีที่ 1 ฉบับที่ 12 มกราคม 2557 (ปก EVA HERZIGOVA) / แฟชั่น หัวข้อ VOGUE Beauty (ด้านใน) - นิตยสาร เปรียว ปีที่ 34 ฉบับที่ 711 พฤศจิกายน 2556 ครบรอบ 33 ปี (ปก อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ) / แฟชั่น หัวข้อ "The Legend" (ด้านใน คู่กับ สาวเปรียว แอม และ ซาร่า) - นิตยสาร VOLUME ปีที่ 6 ฉบับที่ 138 มกราคม 2554 CHINOI SERIE (ปก กรรณ ชลัช ปุณยาฤทธิ์ & กิ๊บซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์) / แฟชั่น หัวข้อ "มารยา" (ด้านใน) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 มกราคม 2553 THE WAY FORWARD (ปก ศรีริต้า เจนเซ่น) / แฟชั่น หัวข้อ "The Way Old Friends Do" (ด้านใน) - นิตยสาร กุลสตรี ปีที่ 39 ฉบับที่ 930 ตุลาคม 2552 สัมภาษณ์นางฟ้าทรงพลัง ขนิษฐา มะคงสุข แอร์สาวแชมป์เพาะกาย สูตรอาหารง่ายๆ สำหรับน้องหมา ฯลฯ (ขึ้นปก คู่กับ บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) - นิตยสาร เพื่อนเดินทาง ปีที่ 1 ฉบับที่ 332 สิงหาคม 2550 FRANCE Discover Alsace and Rhone Alps Club Med Opio Strasbourg St.Paul de Vence Grasse St.Tropez Cannes Nice (ขึ้นปก) - นิตยสาร พลอยแกมเพชร ปีที่ 16 ฉบับที่ 379 พฤศจิกายน 2550 สายรัก...สายสวาท (ขึ้นปก) - นิตยสาร FOLO ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม 2548 EDITION 2 SUMMER 2005 (ปกหลัง) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 18 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2548 THE WAY FORWARD (ปก ซอนย่า คูลลิ่ง วัชรสินธุ์) / แฟชั่น หัวข้อ "GEISHA" (ด้านใน) - นิตยสาร CENTRAL PREMIERE ปีที่ 16 ฉบับที่ 95 พฤษภาคม 2548 THE FASHION MAKERS (ขึ้นปก) - นิตยสาร แพรว ปีที่ 25 ฉบับที่ 594 พฤษภาคม 2547 หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล กับผลงานออกแบบแฟชั่นฝีพระหัตถ์ RED HOBBY (ขึ้นปก) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 16 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2546 THE WAY FORWARD (ปก ศิลปินนักร้อง ค่าย GRAMMY]) / แฟชั่น หัวข้อ "BED & BREAKFAST" (ด้านใน) - นิตยสาร ขวัญเรือน ปีที่ 34 ฉบับที่ 742 : ปักษ์หลัง - ตุลาคม 2545 (ขึ้นปก คู่กับ เข็ม รุจิรา ช่วยเกื้อ) กับแฟชั่นสวย ๆ ด้วยผ้าแม่ฟ้าหลวง จากฝีมือการออกแบบของ 4 ดีไซเนอร์ จากห้องเสื้อ SANTINI, ACT-CLOTH, THE LEGEND และ JAKRARAT - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 15 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2545 THE WAY FORWARD (ขึ้นปก) / แฟชั่น หัวข้อ "Eastern Classic" (ด้านใน คู่ แอ๊นท์ ธรัญญา สัตตบุศย์) Digital Publishing & Electronics Publishing- นิตยสาร GQ Magazine : GQThailand.COM บทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ คอลัมน์ "GQ Let's talk with Bee + Organ" (Available Online 11 / 08 / 2016) - นิตยสาร Vogue Thailand January 2014 (e-books - PDF)โซเชียลมีเดียโซเชียลมีเดีย. - Official IG : https://www.instagram.com/organ_rasee - Organ Rasee (FANCLUB) Official Fanpage of Organ Rasee 1) IG : https://www.instagram.com/organfanclub 2) TWT : https://twitter.com/Organ_Fanclub 3) FB : https://www.facebook.com/OrganFanclubOfficial 4) Youtube ORGAN FANCLUB CHANNEL : https://www.youtube.com/channel/UCNq3_ahc6HRUXb8bHc5uvpwรางวัลเกียรติยศรางวัลเกียรติยศ. - สาวเปรียว รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เปรียว ซุปเปอร์โมเดล 1997 จัดโดยนิตยสารเปรียว - รางวัลลูกตัวอย่างดีเด่น โครงการเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน เทิดทูนเกียรติ "แม่ของแผ่นดิน" ครั้งที่ 4 ประจำปีพุทธศักราช 2559 สาขาลูกดีเด่น (จัดมอบใน วันที่ 8 สิงหาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์)
| ราศี วัชราพลเมฆ หรือ ราศี ดิศกุล ณ อยุธยา นักแสดงหญิงชาวไทยมีชื่อเล่นว่าอะไร | {
"answer": [
"ออร์แกน"
],
"answer_begin_position": [
249
],
"answer_end_position": [
256
]
} |
1,854 | 378,749 | ราศี วัชราพลเมฆ ราศี ดิศกุล ณ อยุธยา เกิดวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เป็นนางแบบ,นักแสดงหญิงชาวไทยประวัติ ประวัติ. ราศี วัชราพลเมฆ (Rasee Wacharapolmek) ชื่อเล่น ออร์แกน (Organ) เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2521 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะมนุษยศาสตร์ เอกการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เธอเข้าวงการโดยการเป็นนางแบบด้วยส่วนสูง 176 เซนติเมตร ปัจจุบันเป็นนักแสดง-นางแบบเป็นหลัก เป็นนักแสดงอิสระ ไม่มีสังกัด มีความสามารถพิเศษเล่นเครื่องดนตรีไทย ได้แก่ ขิม และเครื่องดนตรีสากล ได้แก่ อิเล็กโทน เปียโน กลองชุด นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องประดับ ร้าน ANGEL ตั้งอยู่ที่ crystalpark เฟส2 ด้านชีวิตส่วนตัว ราศี วัชราพลเมฆ ได้สมรสกับหม่อมราชวงศ์พันธุ์ดิศ ดิศกุล เมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 หลังจากคบหาดูใจมามากกว่า 10 ปี โดยหม่อมราชวงศ์พันธุ์ดิศ ดิศกุล เป็นบิดาของหม่อมหลวงอรรถดิศ ดิศกุล (หมูตั้ง)เส้นทางอาชีพในวงการบันเทิง เส้นทางอาชีพในวงการบันเทิง. ราศี วัชราพลเมฆ ส่วนใหญ่จะเน้นงานการเดินแบบและถ่ายแบบเป็นหลัก ส่วนงานทางการแสดงและ พิธีกร อาจจะมีไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับนักแสดงทั่วๆไป แต่ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องงานเดินแบบ-ถ่ายแบบ งานเดินแบบ-ถ่ายแบบ. เข้าวงการโดยเริ่มต้นจากการเป็นนางแบบ ปีพ.ศ. 2540 เข้าประกวดเปรียว ซุปเปอร์โมเดล 1997 ได้เป็น สาวเปรียว รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จัดโดยนิตยสารเปรียวเป็นปีแรก จากนั้นก็เริ่มมีงานถ่ายแบบและเดินแบบเรื่อยมา พ.ศ. 2550-2551 ได้รับโอกาสร่วมงานเดินแฟชั่นโชว์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ในงานปารีสแฟชั่น วีค สปริง-ซัมเมอร์ 2008 และ 2009 นับเป็นความภาคภูมิใจและประทับใจหนึ่งในอาชีพเดินแบบของเธอ พ.ศ. 2552 ห้องเสื้อ THEATRE (เธียเตอร์) โดย ศิริชัย ทหรานนท์ ครบรอบ 25 ปี จัดงาน Now & Then Towards the Art Futurism 2009 ราศี วัชราพลเมฆ ได้เดินแบบในชุด “PICASSO” ผ้าตาข่ายพิมพ์ลายประดับเลื่อม สวมกับชุดกระโปรงยาวผ้าไหมออร์แกนดี้ตัดต่อผ้าไหมเมทัลลิก ถือเป็นการเดินแบบสุดแปลกซึ่งไม่เคยมีใครในวงการเดินแบบแนวนี้มาก่อน นางแบบสวมหน้ากากหล่อวาดหน้าตาบูดเบี้ยวโดยได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การวาดภาพจิตรกรเอกของโลกปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ จนไม่มีใครสามารถดูออกและจดจำหน้าตาเดิมได้ เนื่องด้วยเหตุผลว่ามีกะโหลกศีรษะสวย และด้วยประสบการณ์คร่ำวอดในการเดินแบบมาอย่างยาวนาน ราศี วัชราพลเมฆ ร่วมกับ น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ จึงได้รับความไว้วางใจจากกองประกวดนางสาวไทย ประจำปี 2555 ให้เป็นวิทยากรอบรมบุคลิกภาพ การเดินบนเวที แก่ผู้เข้าประกวด ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อตัดสินทั้ง 18 คน ให้มีการเดินที่สวยงาม กระฉับกระเฉง และมั่นใจ การเดินแบบครั้งแรกหลังจากดังเปรี้ยงจากกระแสละครสงครามนางงามซีซั่น 2 จบลง ราศี วัชราพลเมฆ ได้เดินแบบงานแฟชั่นโชว์ "เส้นทางผ้าไทย เส้นใยภูมิปัญญา เทิดไท้องค์องค์ราชินี" จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ ลานพาร์ค พารากอน ในวันที่ 20 สิงหาคม 2559 เวลา 18.30 น. โดยเดินแบบให้กับคอลเลคชั่นชุดผ้าไทยของ Young Designer จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นงานเดินแบบครั้งแรกที่มีแฟนคลับ#ทีมเมียอลิส #ทีมเมียพี่แกน ไปให้กำลังใจ เป็นนางแบบคนเดียวในงานที่มีแฟนคลับยกชื่อป้ายไฟส่งเสียงเชียร์กรี๊ดดังสนั่นอยู่ข้างรันเวย์ และรุมล้อมขอถ่ายรูปอย่างล้นหลามหลังจบงานประหนึ่งราวกับมางานมินิคอนเสิร์ต น่าจะเป็นนางแบบคนแรกๆของไทยทีมีปรากฏการณ์เช่นนี้งานแสดง-พิธีกร งานแสดง-พิธีกร. สำหรับงานด้านการแสดงมีผลงานโดดเด่นแจ้งเกิดจากการแสดงละครโทรทัศน์เรื่องแรก คือ ละคร เรื่อง เลือดหงส์ (พ.ศ. 2544) จากบท “อพัชชา” เป็นนางร้ายของเรื่อง ร่วมด้วยนักแสดงหน้าใหม่ในตอนนั้นอีก 4 คน คือ บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ เพื่อนสนิทและเป็นนางเอกของเรื่อง , ติว สันติภาพ สุวรรณพิมพ์ (พระเอก) , ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ และ กริช หิรัญพฤกษ์ แสดงซิตคอมเรื่องแรก เฮง เฮง เฮง รับบทเป็น “อาบุ๊ง” ลูกสาวนคนคนโตของอาฮวดและอาเจง แห่งบ้านตระกูลเฮง ด้วยระยะเวลาการแสดงยาวนานถึง 15 ปี (พ.ศ. 2545 -2559) จึงทำให้ผู้ชมละครรู้สึกรักและผูกพันกับตัวละครและจดจำบทบาทการแสดงของเธอได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นผลงานโดดเด่นอีกเรื่องหนึ่ง และอีกผลงานที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักได้รับการกล่าวขานถึง คือละครซีรีส์ เรื่อง สงครามนางงาม (พ.ศ. 2557) รับบทเป็น อลิสา วชิรปัทมา หรือ “อลิส” ผู้ช่วยของ นัสริน รวิรังสี (รับบทโดยลูกเกด เมทินี กิ่งพโยม) ผู้จัดการกองประกวดนางงามเวที Miss Beauty & Talent Thailand 2014 ด้วยความทะเยอะทะยานทำให้ยอมทรยศเป็นหนอนบ่อนไส้คอยบอกข้อมูลสำคัญกับเวทีคู่แข่งแลกกับตำแหน่งผู้จัดการกองประกวด Miss Elegant Thailand แต่โดนหักหลัง สุดท้ายกลับใจเป็นคนดีช่วยกอบกู้สถานการณ์และได้รับการอภัยจากนัสรินให้ทำงานร่วมด้วยต่อไป และเมื่อมีการสร้าง สงครามนางงามซีซั่น 2 (พ.ศ. 2559) ทำให้ชื่อของ ออร์แกน ราศี กลับมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้รับความนิยมชื่นชมอย่างสูง โดยยังคงรับบทเป็น “อลิส” เช่นเดิม ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการกองประกวดนางงามเวที Miss Beauty & Talent Thailand 2016 โดยมีเป็นนัสริน (รับบทโดยลูกเกด เมทินี กิ่งพโยม) เป็นผู้อำนวยการกองประกวด ที่มาพร้อมกับปมแผลในใจที่รอวันถูกเปิดเผย ปมดังกล่าวนับเป็นการพลิกบทบาทเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือรับบทแสดงเป็นหญิงรักหญิงหรือเลสเบี้ยนเรื่องแรกที่แอบมีใจหวั่นไหวให้กับลูกน้ำ หรือ อาโป กองสินแก้ว (รับบทโดย ซีแนน กุลธิดา พริ้งเกษมชัย) ผู้เข้าประกวดนางงามรุ่นน้องจนเลยเถิดมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แต่สุดท้ายเป็นเพียงการถูกหลอกใช้ และอลิสยังมีอดีตเคยเป็นตัวเก็งผู้เข้าประกวดนางงาม Miss Beauty & Talent Thailand 2001 แต่ก็ถูกแกล้งขัดขาให้ตกบันไดจากลดา โคมราตรี (รับบทโดย บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) เพื่อนนางงามคนรักที่เข้าประกวดทำให้บาดเจ็บหลังหักไม่สามารถประกวดต่อได้ ซึ่งต่อมาลดากลับมาเจออลิสอีกในฐานะผู้อำนวยการกองประกวดแทนนัสรินที่ถูกรถชนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผลงานเป็นพิธีกรรายโทรทัศน์และอีเว้นบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นแขกรับเชิญ รายการวาไรตี้ ทอลฺคโชว์ สัมภาษณ์ และร่วมเล่นเกมโชว์ ส่วนผลงานภาพยนตร์ ออร์แกน ราศีได้แสดงภาพยนตร์สั้น หรือ หนังสั้น เรื่อง "Lost and Love" กำกับโดย ณฐ ทองศรีพงศ์ แสดงประกบคู่กับ เอก จิรพัฒน์ สุตตปัญญา ในเรื่องยังมีคู่ สินจัย เปล่งพานิช และ พันโทวันชนะ สวัสดี แสดงร่วมด้วย ฉายครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์สกาล่า วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2557 เพียงรอบเดียว ภาพยนตร์พูดถึงเกี่ยวกับความรักของคู่รัก 2 วัย คือ คู่รักรุ่นใหญ่ (สินจัย-พันโทวันชนะ) เป็นคนรักเก่าที่กลับมาพบกันอีกครั้ง และ คู่รักรุ่นเด็กวัยรุ่น (ราศี-จิรพัฒน์) ที่ออกเดทชมความงามยามค่ำคืนของกรุงเทพบริเวณเขตพระนครผลงานมิวสิกวิดีโอผลงาน. มิวสิกวิดีโอ. - เพลง "บอกอะไรป่านนี้" ของโบ สุนิตา ลีติกุล อัลบั้ม มิราเคิล (Sunita Miracle) พ.ศ. 2542 - เพลง "หมาเห่าเครื่องบิน" ของโลโซ อัลบั้ม โลโซ แลนด์ ( LOSO LAND) พ.ศ. 2544 - เพลง "คือฉันรักเธอ" ของแมว จิระศักดิ์ ปานพุ่ม อัลบั้ม อะเวก (CATAROCK No.4 AWAKE) พ.ศ. 2544ภาพยนตร์สั้น (Short film)ภาพยนตร์สั้น (Short film). - Lost and Love (2557) กำกับโดย ณฐ ทองศรีพงศ์ แสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, พันโทวันชนะ สวัสดี, จิรพัฒน์ สุตตปัญญา และ ราศี วัชราพลเมฆละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์. - เลือดหงส์ (แก้วล้อมเพชร) (ช่อง 5) (2544) - เมื่อวันฟ้าเปลี่ยนสี (ช่อง 5) (2548) - สองปรารถนา (ช่อง 5) (2553) (รับเชิญ) - สงครามนางงาม (ช่องวัน) (2557) - สงครามนางงาม 2 (ช่องวัน) (2559) - Club Friday Celeb's Stories ตอน แย่งชิง (จีเอ็มเอ็ม 25) (2560) - เมืองมายา Live (ช่องวัน) (2561) - กาหลมหรทึก (ช่องวัน) (2561) - บาปรัก (ช่องวัน) (2561)รายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์. รายการดังกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างผลงานรายการโทรทัศน์บางส่วนเท่านั้นที่ราศี วัชราพลเมฆมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้รู้จักความรู้ ความสามารถ และทัศนคติของเธอในแง่มุมต่างๆเพิ่มขึ้นสื่อสิ่งพิมพ์ : Hard Copy และ Digital Publishing & Electronics Publishing สื่อสิ่งพิมพ์ : Hard Copy และ Digital Publishing & Electronics Publishing. Hard Copy- นิตยสาร HELLO! ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 มิถุนายน 2559 เปิดเรือนหอสไตล์ยุโรป ม.ร.ว.พันธุ์ดิศ และออร์แกน ดิศกุล คณชายที่เคยดุมากๆ สารภาพ 'แกนทำให้ผมใจเย็นขึ้น' (ขึ้นปก) - นิตยสาร EP Emporium & Paragon ปีที่ 8 ฉบับที่ 28 พฤษภาคม-มิถุนายน 2558 NOTORIOUS แฟชั่น หัวข้อ#9 CRAZY (ด้านใน) - นิตยสาร ดิฉัน ปีที่ 38 ฉบับที่ 912 กุมภาพันธ์ 2558 (ปก แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด) / บทสัมภาษณ์ใน คอลัมน์ "ดิฉันเปิดอก : ราศี วัชราพลเมฆ วิวาห์หวานที่ริมหาดหัวหิน" - นิตยสาร HELLO! ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 มกราคม 2558 EXCLUSIVE วิวาห์ฤดูหนาวริมทะเล ราชสกุลต้อนรับสะใภ้ซูเปอร์โมเดล ออร์แกน วัชราพลเมฆ & ม.ร.ว.พันธุ์ดิศ ดิศกุล เผยเหตุที่ต้องรอถึง 12 ปี (ขึ้นปก) - นิตยสาร ทีวีพูล ปีที่ 25 ฉบับที่ 1281 ธันวาคม 2557 Angel Or Devil? 'สงครามนางฟ้า'ฮอท'ลูกเกด-ออร์แกน' (ขึ้นปก คู่กับ เมทินี กิ่งโพยม) - นิตยสาร WE ปีที่ 11 ฉบับที่ 121 พฤษภาคม 2557 ครบรอบ 10 ปี (ปก จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา) / แฟชั่น หัวข้อ พาเรดชุดแต่งงานสวยมาก...ก ฉลอง WE 10 ขวบ (ด้านใน) - นิตยสาร VOGUE THAILAND ปีที่ 1 ฉบับที่ 12 มกราคม 2557 (ปก EVA HERZIGOVA) / แฟชั่น หัวข้อ VOGUE Beauty (ด้านใน) - นิตยสาร เปรียว ปีที่ 34 ฉบับที่ 711 พฤศจิกายน 2556 ครบรอบ 33 ปี (ปก อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ) / แฟชั่น หัวข้อ "The Legend" (ด้านใน คู่กับ สาวเปรียว แอม และ ซาร่า) - นิตยสาร VOLUME ปีที่ 6 ฉบับที่ 138 มกราคม 2554 CHINOI SERIE (ปก กรรณ ชลัช ปุณยาฤทธิ์ & กิ๊บซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์) / แฟชั่น หัวข้อ "มารยา" (ด้านใน) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 มกราคม 2553 THE WAY FORWARD (ปก ศรีริต้า เจนเซ่น) / แฟชั่น หัวข้อ "The Way Old Friends Do" (ด้านใน) - นิตยสาร กุลสตรี ปีที่ 39 ฉบับที่ 930 ตุลาคม 2552 สัมภาษณ์นางฟ้าทรงพลัง ขนิษฐา มะคงสุข แอร์สาวแชมป์เพาะกาย สูตรอาหารง่ายๆ สำหรับน้องหมา ฯลฯ (ขึ้นปก คู่กับ บี น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) - นิตยสาร เพื่อนเดินทาง ปีที่ 1 ฉบับที่ 332 สิงหาคม 2550 FRANCE Discover Alsace and Rhone Alps Club Med Opio Strasbourg St.Paul de Vence Grasse St.Tropez Cannes Nice (ขึ้นปก) - นิตยสาร พลอยแกมเพชร ปีที่ 16 ฉบับที่ 379 พฤศจิกายน 2550 สายรัก...สายสวาท (ขึ้นปก) - นิตยสาร FOLO ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม 2548 EDITION 2 SUMMER 2005 (ปกหลัง) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 18 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2548 THE WAY FORWARD (ปก ซอนย่า คูลลิ่ง วัชรสินธุ์) / แฟชั่น หัวข้อ "GEISHA" (ด้านใน) - นิตยสาร CENTRAL PREMIERE ปีที่ 16 ฉบับที่ 95 พฤษภาคม 2548 THE FASHION MAKERS (ขึ้นปก) - นิตยสาร แพรว ปีที่ 25 ฉบับที่ 594 พฤษภาคม 2547 หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล กับผลงานออกแบบแฟชั่นฝีพระหัตถ์ RED HOBBY (ขึ้นปก) - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 16 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2546 THE WAY FORWARD (ปก ศิลปินนักร้อง ค่าย GRAMMY]) / แฟชั่น หัวข้อ "BED & BREAKFAST" (ด้านใน) - นิตยสาร ขวัญเรือน ปีที่ 34 ฉบับที่ 742 : ปักษ์หลัง - ตุลาคม 2545 (ขึ้นปก คู่กับ เข็ม รุจิรา ช่วยเกื้อ) กับแฟชั่นสวย ๆ ด้วยผ้าแม่ฟ้าหลวง จากฝีมือการออกแบบของ 4 ดีไซเนอร์ จากห้องเสื้อ SANTINI, ACT-CLOTH, THE LEGEND และ JAKRARAT - นิตยสาร IMAGE ปีที่ 15 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2545 THE WAY FORWARD (ขึ้นปก) / แฟชั่น หัวข้อ "Eastern Classic" (ด้านใน คู่ แอ๊นท์ ธรัญญา สัตตบุศย์) Digital Publishing & Electronics Publishing- นิตยสาร GQ Magazine : GQThailand.COM บทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ คอลัมน์ "GQ Let's talk with Bee + Organ" (Available Online 11 / 08 / 2016) - นิตยสาร Vogue Thailand January 2014 (e-books - PDF)โซเชียลมีเดียโซเชียลมีเดีย. - Official IG : https://www.instagram.com/organ_rasee - Organ Rasee (FANCLUB) Official Fanpage of Organ Rasee 1) IG : https://www.instagram.com/organfanclub 2) TWT : https://twitter.com/Organ_Fanclub 3) FB : https://www.facebook.com/OrganFanclubOfficial 4) Youtube ORGAN FANCLUB CHANNEL : https://www.youtube.com/channel/UCNq3_ahc6HRUXb8bHc5uvpwรางวัลเกียรติยศรางวัลเกียรติยศ. - สาวเปรียว รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เปรียว ซุปเปอร์โมเดล 1997 จัดโดยนิตยสารเปรียว - รางวัลลูกตัวอย่างดีเด่น โครงการเฉลิมพระเกียรติองค์ราชัน เทิดทูนเกียรติ "แม่ของแผ่นดิน" ครั้งที่ 4 ประจำปีพุทธศักราช 2559 สาขาลูกดีเด่น (จัดมอบใน วันที่ 8 สิงหาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์)
| ราศี ดิศกุล ณ อยุธยา นางแบบและนักแสดงหญิงชาวไทย เกิดวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"5"
],
"answer_begin_position": [
138
],
"answer_end_position": [
139
]
} |
1,361 | 274,752 | แอนนี ลีเบอวิตซ์ แอนนี ลีเบอวิตซ์ () หรือชื่อเดิม แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ เป็นช่างถ่ายภาพประวัติ ประวัติ. แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ เกิดวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ใน Westbury รัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอมีพี่น้องทั้งหมดหกคนด้วยกัน จาก แซม ร้อยโทกองทัพอากาศ พ่อของเธอ และ มาลิลีน ลีเบอวิตซ์ นักสอนเต้นรำร่วมสมัย แม่ของเธอ ต่อมา ในปี 1967 แอนนาได้สมัครไปที่ สถาบันสอนศิลปะซานฟรานซิสโก (แม้ว่าเริ่มแรกจะไปเรียนจิตรกรรม) แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เธอรัก และ พัฒนาฝีมือการถ่ายภาพของเธอ หลังจากที่อยู่ใน นิคมอิสราเอลได้ซักพัก, ลีเบอวิตซ์ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่อเมริกาอีกครั้ง และในปี 1970, เธอก็เริ่มทำงานให้กับนิตยสารร๊อคหน้าใหม่ ชื่อ rolling Stone . ผลงานของลีเบอวิตซ์ ทำให้บรรณาธิการ Jann Wenner ประทับใจมาก จน เสนอให้เธอเป็นช่างภาพของเธอ. ภายในสองปี เมื่อเธออายุ 23 ลีเบอวิตซ์ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างภาพ และเธอก็ต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ไปอีกสิบปี ตำแหน่งที่เธออยู่นี้ ทำให้เธอได้มีโอกาสที่จะ ทัวร์ต่างประเทศกับ วง Rolling stone ใน ปี 1975 ด้วย ในขณะที่ทำงานกับ rolling stone , ลีเบอวิตซ์ก็พัฒนาเทคนิคต่างๆ และ สร้างเอกลักษณ์ให้กับงานของตัวเองเรื่อยๆอย่างการเน้นสี หรือการโพสที่ปลกๆ Jann Wenner ให้เครดิตเธอในการทำ Rolling stone หลายปกมากสำหรับนักเก็บสะสม และที่น่าจดจำที่สุดก็คือปกที่เป็นปกเปลือยของ john Lennon ที่โค้งโก่งตัวและกอดรัด โยโกะ โอโนะภรรยาของเขา และถ่ายภาพการรวมตัวของ the Beatle ในวันที่ที่ 8 ธันวาคม 1980 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต ในปี 1983, ลีเบอวิตซ์ออกจาก Rolling Stone และเริ่มทำงานให้กับนิตยสารบันเทิง Vanity Fair กับการถ่ายภาพแบบของ ลีเบอวิตซ์ ช่างภาพของ vanity Fair ก็ทำให้ Vanity Fair เป็นนิตยสารแถวหน้าที่เป็นกระแสนิยมให้กับวัยรุ่น จนวันนี้มีภาพปกฝีมือของลีเบอวิตซ์จำนวนมาก ที่สวยงามและทำให้ตะลึง และมักจะเป็นประเด็นให้คนพูดถึงภาพพอทเทรตของดาราคนนั้นกัน อย่าง เดมี่ มัวร์ Demi Moore (ถ่ายรูปตอนที่ท้องใหญ่มากแบบนู้ดมาก) และ Whoopi Goldberg (ที่จุ่มครึ่งตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำนม) รูปสองนักแสดงนี้จะเป็นรูปที่คนโปรดปรานและจดจำมากที่สุดในปกนิตยสารปีล่าสุด และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีความสามารถในการวาดภาพจิตรกรรม สิ่งนั้นทำให้มีงานเกี่ยวข้องกับร่างกายในงานหนึ่งเป็นภาพพอทเทรท มีชื่อเสียงมากที่สุดของลีเบอวิตซ์ เป็นภาพของศิลปิน Keith Haring ที่เปลือยเพ้นท์ตัวเองเหมือนเป็นผ้าใบเพื่อถ่ายภาพ ในช่วงปลาย 1980, ลีเบอวิตซ์เริ่มต้นทำงานในแคมเปญโฆษณาที่เป็นเป้าสายตาต่อสาธารณะมาก และงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือแคมเปญของ 'บัตรสมาชิกAmerican Express' ที่เป็นภาพของดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาเป็นสมาชิกบัตร American Express เช่น Elmore Leonard, Tom Selleck และ Luciano Pavarotti และงานนี้ก็ทำให้เธอได้รางวัล Clio award ในปี 1987 ใน 1991 คอลเลคชั่นของลีเบอวิตซ์ ภาพสี และขาวดำกว่า 200 ภาพ ได้ถูกนำไปจัดแสดงที่ Nation Portrait Gallery วอชิงตันดีซี หลังจากปีนั้นก็มีหนังสือถูกตีพิมพ์ออกมา เป็นผลงานรวมเล่ม ชื่อว่า Photographs: Annie Leibovitz 1970-1990 . ในปี1996, ลีเบอวิตซ์ ถูกเลือกให้เป็นช่างภาพอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกแอตแลนต้า,จอร์เจีย การรวบรวมภาพถ่ายขาว-ดำ ของพอทเทรท นักกีฬาอเมริกันของเธอ รวมถึงภาพของ Carl Lewis และ Michael Johnson ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ Olympic Portraits (1991).
| แอนนี ลีเบอวิตซ์ หรือชื่อเดิม แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ มีอาชีพเป็นอะไร | {
"answer": [
"ช่างถ่ายภาพ"
],
"answer_begin_position": [
165
],
"answer_end_position": [
176
]
} |
2,692 | 274,752 | แอนนี ลีเบอวิตซ์ แอนนี ลีเบอวิตซ์ () หรือชื่อเดิม แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ เป็นช่างถ่ายภาพประวัติ ประวัติ. แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ เกิดวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ใน Westbury รัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอมีพี่น้องทั้งหมดหกคนด้วยกัน จาก แซม ร้อยโทกองทัพอากาศ พ่อของเธอ และ มาลิลีน ลีเบอวิตซ์ นักสอนเต้นรำร่วมสมัย แม่ของเธอ ต่อมา ในปี 1967 แอนนาได้สมัครไปที่ สถาบันสอนศิลปะซานฟรานซิสโก (แม้ว่าเริ่มแรกจะไปเรียนจิตรกรรม) แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เธอรัก และ พัฒนาฝีมือการถ่ายภาพของเธอ หลังจากที่อยู่ใน นิคมอิสราเอลได้ซักพัก, ลีเบอวิตซ์ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่อเมริกาอีกครั้ง และในปี 1970, เธอก็เริ่มทำงานให้กับนิตยสารร๊อคหน้าใหม่ ชื่อ rolling Stone . ผลงานของลีเบอวิตซ์ ทำให้บรรณาธิการ Jann Wenner ประทับใจมาก จน เสนอให้เธอเป็นช่างภาพของเธอ. ภายในสองปี เมื่อเธออายุ 23 ลีเบอวิตซ์ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างภาพ และเธอก็ต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ไปอีกสิบปี ตำแหน่งที่เธออยู่นี้ ทำให้เธอได้มีโอกาสที่จะ ทัวร์ต่างประเทศกับ วง Rolling stone ใน ปี 1975 ด้วย ในขณะที่ทำงานกับ rolling stone , ลีเบอวิตซ์ก็พัฒนาเทคนิคต่างๆ และ สร้างเอกลักษณ์ให้กับงานของตัวเองเรื่อยๆอย่างการเน้นสี หรือการโพสที่ปลกๆ Jann Wenner ให้เครดิตเธอในการทำ Rolling stone หลายปกมากสำหรับนักเก็บสะสม และที่น่าจดจำที่สุดก็คือปกที่เป็นปกเปลือยของ john Lennon ที่โค้งโก่งตัวและกอดรัด โยโกะ โอโนะภรรยาของเขา และถ่ายภาพการรวมตัวของ the Beatle ในวันที่ที่ 8 ธันวาคม 1980 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต ในปี 1983, ลีเบอวิตซ์ออกจาก Rolling Stone และเริ่มทำงานให้กับนิตยสารบันเทิง Vanity Fair กับการถ่ายภาพแบบของ ลีเบอวิตซ์ ช่างภาพของ vanity Fair ก็ทำให้ Vanity Fair เป็นนิตยสารแถวหน้าที่เป็นกระแสนิยมให้กับวัยรุ่น จนวันนี้มีภาพปกฝีมือของลีเบอวิตซ์จำนวนมาก ที่สวยงามและทำให้ตะลึง และมักจะเป็นประเด็นให้คนพูดถึงภาพพอทเทรตของดาราคนนั้นกัน อย่าง เดมี่ มัวร์ Demi Moore (ถ่ายรูปตอนที่ท้องใหญ่มากแบบนู้ดมาก) และ Whoopi Goldberg (ที่จุ่มครึ่งตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำนม) รูปสองนักแสดงนี้จะเป็นรูปที่คนโปรดปรานและจดจำมากที่สุดในปกนิตยสารปีล่าสุด และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีความสามารถในการวาดภาพจิตรกรรม สิ่งนั้นทำให้มีงานเกี่ยวข้องกับร่างกายในงานหนึ่งเป็นภาพพอทเทรท มีชื่อเสียงมากที่สุดของลีเบอวิตซ์ เป็นภาพของศิลปิน Keith Haring ที่เปลือยเพ้นท์ตัวเองเหมือนเป็นผ้าใบเพื่อถ่ายภาพ ในช่วงปลาย 1980, ลีเบอวิตซ์เริ่มต้นทำงานในแคมเปญโฆษณาที่เป็นเป้าสายตาต่อสาธารณะมาก และงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือแคมเปญของ 'บัตรสมาชิกAmerican Express' ที่เป็นภาพของดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาเป็นสมาชิกบัตร American Express เช่น Elmore Leonard, Tom Selleck และ Luciano Pavarotti และงานนี้ก็ทำให้เธอได้รางวัล Clio award ในปี 1987 ใน 1991 คอลเลคชั่นของลีเบอวิตซ์ ภาพสี และขาวดำกว่า 200 ภาพ ได้ถูกนำไปจัดแสดงที่ Nation Portrait Gallery วอชิงตันดีซี หลังจากปีนั้นก็มีหนังสือถูกตีพิมพ์ออกมา เป็นผลงานรวมเล่ม ชื่อว่า Photographs: Annie Leibovitz 1970-1990 . ในปี1996, ลีเบอวิตซ์ ถูกเลือกให้เป็นช่างภาพอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกแอตแลนต้า,จอร์เจีย การรวบรวมภาพถ่ายขาว-ดำ ของพอทเทรท นักกีฬาอเมริกันของเธอ รวมถึงภาพของ Carl Lewis และ Michael Johnson ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ Olympic Portraits (1991).
| แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ หรือชื่อเดิม แอนนา-ลู-ลีเบอวิตซ์ เป็นช่างถ่ายภาพ เกิดวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"2"
],
"answer_begin_position": [
224
],
"answer_end_position": [
225
]
} |
1,362 | 896,751 | ริกะ อิชิเกะ ริกะ อิชิเกะ (; ) เป็นนักต่อสู้แบบผสมหญิงลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ได้รับการถือว่าเป็นนักสู้แบบผสมหญิงชาวไทยคนแรกในสังเวียน MMA ระดับอาชีพ นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้แบบผสม รวมถึงเป็นผู้ฝึกสอนมวยไทยประวัติ ประวัติ. ริกะ อิชิเกะ เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย เธอเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งไอกิโด, คาราเต้ และเทควันโด ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ภายหลังได้พักช่วง เพื่อให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันการบินพลเรือน และทำงานออฟฟิศประมาณปีเศษ ก่อนที่จะลาออกมาเนื่องด้วยความสนใจด้านกีฬามากกว่า วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560 ริกะเข้าแข่งขันในศึกวันแชมเปียนชิพ: วอริเออร์คิงดอม ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ในสังเวียนระดับอาชีพครั้งแรกของเธอ โดยเป็นฝ่ายชนะออเดรย์ลอรา โบนิเฟซ ซึ่งเป็นนักเทควันโดสายดำชาวมาเลเซีย ในยกที่ 1 ต่อมา ในวันที่ 26 พฤษภาคม ของปีเดียวกัน เธอได้เข้าแข่งขันรายการวันแชมเปียนชิพ: ไดนาสตีออฟฮีโรส์ ที่จัดขึ้น ณ สนามกีฬาในร่มสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ โดยเป็นฝ่ายชนะนิตา เดีย จากประเทศอินโดนีเซีย ด้วยท่าเฮดล็อค จนอีกฝ่ายขอยอมแพ้ ส่วนวันที่ 5 สิงหาคม ของปีดังกล่าว ริกะเป็นฝ่ายแพ้ต่อโจมารี ตอร์เรส ซึ่งเป็นนักสู้ชาวฟิลิปปินส์ ในศึกวันแชมเปียนชิพ: วอริเออร์คิงดอม ที่จัดขึ้น ณ โคไทอารีนา มาเก๊า ในยกที่ 2 ส่วนในวันที่ 9 ธันวาคม เธอเป็นฝ่ายชนะโรม ตรินิแดด ซึ่งเป็นนักสู้ชาวฟิลิปปินส์เช่นกัน ด้วยการหักรัดให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน ในยกที่ 2 ของรายการวัน: วอริเออร์ออฟเดอะเวิลด์ ที่จัดขึ้น ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานีชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ริกะ อิชิเกะ มีบิดาเป็นผู้ฝึกสอนยูโดชาวญี่ปุ่น ซึ่งเสียชีวิตแล้ว ส่วนมารดาเป็นชาวไทย ริกะมีพี่น้อง 3 คน โดยเธอเป็นลูกสาวคนกลาง นอกจากนี้ เธอยังมีพี่สาวเป็นอายุรแพทย์ที่ได้รับการฝึกวิชาเทควันโด ด้านชีวิตคู่ ริกะคบหากับชนนภัทร วิรัชชัย (ครูตอง) ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนของเธอเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - บราซิลเลียนยิวยิตสู - รางวัลเหรียญทอง รายการโกปาเดบางกอก ซึ่งเป็นการแข่งขันบราซิลเลียนยิวยิตสูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสถิติการต่อสู้แบบผสม
| ริกะ อิชิเกะ เกิดและเติบโตที่ประเทศอะไร | {
"answer": [
"ประเทศไทย"
],
"answer_begin_position": [
357
],
"answer_end_position": [
366
]
} |
1,363 | 896,751 | ริกะ อิชิเกะ ริกะ อิชิเกะ (; ) เป็นนักต่อสู้แบบผสมหญิงลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ได้รับการถือว่าเป็นนักสู้แบบผสมหญิงชาวไทยคนแรกในสังเวียน MMA ระดับอาชีพ นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้แบบผสม รวมถึงเป็นผู้ฝึกสอนมวยไทยประวัติ ประวัติ. ริกะ อิชิเกะ เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย เธอเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งไอกิโด, คาราเต้ และเทควันโด ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ภายหลังได้พักช่วง เพื่อให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันการบินพลเรือน และทำงานออฟฟิศประมาณปีเศษ ก่อนที่จะลาออกมาเนื่องด้วยความสนใจด้านกีฬามากกว่า วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560 ริกะเข้าแข่งขันในศึกวันแชมเปียนชิพ: วอริเออร์คิงดอม ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ในสังเวียนระดับอาชีพครั้งแรกของเธอ โดยเป็นฝ่ายชนะออเดรย์ลอรา โบนิเฟซ ซึ่งเป็นนักเทควันโดสายดำชาวมาเลเซีย ในยกที่ 1 ต่อมา ในวันที่ 26 พฤษภาคม ของปีเดียวกัน เธอได้เข้าแข่งขันรายการวันแชมเปียนชิพ: ไดนาสตีออฟฮีโรส์ ที่จัดขึ้น ณ สนามกีฬาในร่มสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ โดยเป็นฝ่ายชนะนิตา เดีย จากประเทศอินโดนีเซีย ด้วยท่าเฮดล็อค จนอีกฝ่ายขอยอมแพ้ ส่วนวันที่ 5 สิงหาคม ของปีดังกล่าว ริกะเป็นฝ่ายแพ้ต่อโจมารี ตอร์เรส ซึ่งเป็นนักสู้ชาวฟิลิปปินส์ ในศึกวันแชมเปียนชิพ: วอริเออร์คิงดอม ที่จัดขึ้น ณ โคไทอารีนา มาเก๊า ในยกที่ 2 ส่วนในวันที่ 9 ธันวาคม เธอเป็นฝ่ายชนะโรม ตรินิแดด ซึ่งเป็นนักสู้ชาวฟิลิปปินส์เช่นกัน ด้วยการหักรัดให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน ในยกที่ 2 ของรายการวัน: วอริเออร์ออฟเดอะเวิลด์ ที่จัดขึ้น ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานีชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ริกะ อิชิเกะ มีบิดาเป็นผู้ฝึกสอนยูโดชาวญี่ปุ่น ซึ่งเสียชีวิตแล้ว ส่วนมารดาเป็นชาวไทย ริกะมีพี่น้อง 3 คน โดยเธอเป็นลูกสาวคนกลาง นอกจากนี้ เธอยังมีพี่สาวเป็นอายุรแพทย์ที่ได้รับการฝึกวิชาเทควันโด ด้านชีวิตคู่ ริกะคบหากับชนนภัทร วิรัชชัย (ครูตอง) ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนของเธอเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - บราซิลเลียนยิวยิตสู - รางวัลเหรียญทอง รายการโกปาเดบางกอก ซึ่งเป็นการแข่งขันบราซิลเลียนยิวยิตสูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสถิติการต่อสู้แบบผสม
| การต่อสู้ในสังเวียนครั้งแรกของริกะ อิชิเกาะโดยมีคู่ต่อสู้คือใคร | {
"answer": [
"ออเดรย์ลอรา โบนิเฟซ"
],
"answer_begin_position": [
797
],
"answer_end_position": [
816
]
} |
1,364 | 87,565 | นก (ภาพยนตร์) นก () เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดแนวระทึกขวัญ กำกับโดย อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ฉายในปี ค.ศ. 1963 นำแสดงโดย ทิปปี้ เฮเดรน, ร็อด เทเลอร์, เจสสิก้า แทนดี้, ซูซาน เพลเซ็ตต์ ความยาว 120 นาทีเนื้อเรื่องย่อ เนื้อเรื่องย่อ. เมลานี เดเนี่ยลส์ (ทิปปี้ เฮเดรน) ลูกสาวแสนสวยของเจ้าของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของซานฟรานซิสโก ผู้ใช้ชีวิตหมดไปกับการกระทำไร้สาระไปวัน ๆ ได้เข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยง และพบเจอกับ มิท (ร็อด เทเลอร์) ทนายความหนุ่ม เมลานีเกิดชอบมิททันทีที่ได้เห็น และสั่งนกเลิฟเบิร์ด 2 ตัว เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่น้องสาวของมิท ต่อมา เมลานีได้เดินทางไปถึงเมือง โบเดก้า เบย์ เมืองชายฝั่งทะเล เพื่อแอบเอานกเลิฟเบิร์ดไปให้เป็นของขวัญแก่เคธี่ น้องสาวของมิท โดยไม่ให้ครอบครัวของมิทรู้ตัว และได้พักอยู่ที่บ้านของแอนนี่ (ซูซาน เพลเซ็ตต์) อดีตแฟนสาวของมิทและครูประจำชั้นของเคธี่ ขณะที่เมลานี่กำลังขับเรือกลับอยู่นั้นนกนางนวลตัวหนึ่งได้โฉบมาจิกเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ เมลานีได้ใกล้ชิดกับครอบครัวของมิท โดยที่ลิเดีย แม่ของมิท (เจสสิก้า แทนดี้) ไม่ชอบใจในเมลานี ด้วยกลัวว่าเธอจะมาแย่งลูกชายไป ในงานฉลองวันเกิดของเคธี่ เช้าวันที่ บรรดานกทั้งหลายที่อยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็น อีกา, นกนางนวล หรือแม้กระทั่งนกกระจอกได้รวมกลุ่มกันและอาละวาดโจมตีผู้คนจนกลายเป็นความหายนะของเมือง โดยไม่มีใครรู้สาเหตุปรากฏการณ์ภาพยนตร์ ปรากฏการณ์ภาพยนตร์. The Birds เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ ดาฟเน่ต์ ดู เมอริเอ เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อออกฉาย โดย อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จจาก Psycho ภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านั้น โดยที่ฉบับนวนิยายนั้น ผู้เขียนตั้งใจจะให้เป็นนวนิยายที่สามารถตีความได้ทางจิตวิทยา โดยให้นกเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนความหึงหวงของผู้หญิง (เมลานีที่กำลังจะมาเป็นแฟนของมิทขณะที่ลิเดียเกรงกลัวจะเสียลูกชายไป) โดยฮิตช์ค็อกได้รับแรงบันดาลใจมาจากข่าวแปลกประหลาดที่ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแถบซานตาครูซชิ้นหนึ่งในปี ค.ศ. 1961 ถึงเหตุการณ์ที่ฝูงนกจมูกหลอดสีเขม่าที่เพิ่งกินปลากะตักไปใหม่ ๆ บินชนกระจกหน้าต่างร่วงตกลงมาตายเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้ทำเป็นภาพยนตร์แล้ว ฮิตช์ค็อกไม่ได้ตีความในประเด็นนี้อย่างชัดแจ้ง แต่เน้นไปในการสร้างบรรยายกาศระทึกขวัญจนเกือบจะเป็นสยองขวัญ มีหลายฉากที่สามารถระทึกใจผู้ชม เช่น ฉากที่เมลานีนั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียวขณะที่กำลังรอเคธี่ อีกาข้างหลังก็บินมาเกาะโครงเหล็กเพียงไม่กี่ตัว แต่เมื่อตัดมาอีกครั้งกลายมาเป็นฝูงอีกานับร้อยตัวและพร้อมจะโจมตีผู้คน หรือ ฉากที่ฝูงนกได้โจมตีเด็ก ๆ ที่กำลังหลบหนีจากโรงเรียนเข้าบ้าน ซึ่งไม่มีช็อตไหนหรือซีนไหนเลยที่ให้เห็นปากของนกจิกลงไปในเนื้อตัวของเด็ก ๆ แต่เพราะฉากที่ถ่ายทำออกมาชวนให้ผู้ชมคล้อยตามภาพยนตร์ไปนั่นเอง ซึ่งเหมือนกับฉากฆาตกรรมในห้องน้ำที่ลือลั่นของไซโค ที่แท้ที่จริงแล้วมีดไม่ได้ปักลงไปในตัวของแมเรี่ยน เครน เลย The Birds เป็นภาพยนตร์ที่ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างของภาพยนตร์แนวสยองขวัญสัตว์โจมตีมนุษย์อีกหลายต่อหลายเรื่องต่อมา เช่น Jaws ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก, Alien ของ ริดลีย์ สก็อตต์ เป็นต้น
| นก หรือ The Birds ฉายในปี ค.ศ. 1963 เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดแนวระทึกขวัญมีความยาวกี่นาที | {
"answer": [
"120 นาที"
],
"answer_begin_position": [
266
],
"answer_end_position": [
274
]
} |
1,365 | 87,565 | นก (ภาพยนตร์) นก () เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดแนวระทึกขวัญ กำกับโดย อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ฉายในปี ค.ศ. 1963 นำแสดงโดย ทิปปี้ เฮเดรน, ร็อด เทเลอร์, เจสสิก้า แทนดี้, ซูซาน เพลเซ็ตต์ ความยาว 120 นาทีเนื้อเรื่องย่อ เนื้อเรื่องย่อ. เมลานี เดเนี่ยลส์ (ทิปปี้ เฮเดรน) ลูกสาวแสนสวยของเจ้าของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของซานฟรานซิสโก ผู้ใช้ชีวิตหมดไปกับการกระทำไร้สาระไปวัน ๆ ได้เข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยง และพบเจอกับ มิท (ร็อด เทเลอร์) ทนายความหนุ่ม เมลานีเกิดชอบมิททันทีที่ได้เห็น และสั่งนกเลิฟเบิร์ด 2 ตัว เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่น้องสาวของมิท ต่อมา เมลานีได้เดินทางไปถึงเมือง โบเดก้า เบย์ เมืองชายฝั่งทะเล เพื่อแอบเอานกเลิฟเบิร์ดไปให้เป็นของขวัญแก่เคธี่ น้องสาวของมิท โดยไม่ให้ครอบครัวของมิทรู้ตัว และได้พักอยู่ที่บ้านของแอนนี่ (ซูซาน เพลเซ็ตต์) อดีตแฟนสาวของมิทและครูประจำชั้นของเคธี่ ขณะที่เมลานี่กำลังขับเรือกลับอยู่นั้นนกนางนวลตัวหนึ่งได้โฉบมาจิกเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ เมลานีได้ใกล้ชิดกับครอบครัวของมิท โดยที่ลิเดีย แม่ของมิท (เจสสิก้า แทนดี้) ไม่ชอบใจในเมลานี ด้วยกลัวว่าเธอจะมาแย่งลูกชายไป ในงานฉลองวันเกิดของเคธี่ เช้าวันที่ บรรดานกทั้งหลายที่อยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็น อีกา, นกนางนวล หรือแม้กระทั่งนกกระจอกได้รวมกลุ่มกันและอาละวาดโจมตีผู้คนจนกลายเป็นความหายนะของเมือง โดยไม่มีใครรู้สาเหตุปรากฏการณ์ภาพยนตร์ ปรากฏการณ์ภาพยนตร์. The Birds เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ ดาฟเน่ต์ ดู เมอริเอ เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อออกฉาย โดย อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จจาก Psycho ภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านั้น โดยที่ฉบับนวนิยายนั้น ผู้เขียนตั้งใจจะให้เป็นนวนิยายที่สามารถตีความได้ทางจิตวิทยา โดยให้นกเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนความหึงหวงของผู้หญิง (เมลานีที่กำลังจะมาเป็นแฟนของมิทขณะที่ลิเดียเกรงกลัวจะเสียลูกชายไป) โดยฮิตช์ค็อกได้รับแรงบันดาลใจมาจากข่าวแปลกประหลาดที่ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแถบซานตาครูซชิ้นหนึ่งในปี ค.ศ. 1961 ถึงเหตุการณ์ที่ฝูงนกจมูกหลอดสีเขม่าที่เพิ่งกินปลากะตักไปใหม่ ๆ บินชนกระจกหน้าต่างร่วงตกลงมาตายเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้ทำเป็นภาพยนตร์แล้ว ฮิตช์ค็อกไม่ได้ตีความในประเด็นนี้อย่างชัดแจ้ง แต่เน้นไปในการสร้างบรรยายกาศระทึกขวัญจนเกือบจะเป็นสยองขวัญ มีหลายฉากที่สามารถระทึกใจผู้ชม เช่น ฉากที่เมลานีนั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียวขณะที่กำลังรอเคธี่ อีกาข้างหลังก็บินมาเกาะโครงเหล็กเพียงไม่กี่ตัว แต่เมื่อตัดมาอีกครั้งกลายมาเป็นฝูงอีกานับร้อยตัวและพร้อมจะโจมตีผู้คน หรือ ฉากที่ฝูงนกได้โจมตีเด็ก ๆ ที่กำลังหลบหนีจากโรงเรียนเข้าบ้าน ซึ่งไม่มีช็อตไหนหรือซีนไหนเลยที่ให้เห็นปากของนกจิกลงไปในเนื้อตัวของเด็ก ๆ แต่เพราะฉากที่ถ่ายทำออกมาชวนให้ผู้ชมคล้อยตามภาพยนตร์ไปนั่นเอง ซึ่งเหมือนกับฉากฆาตกรรมในห้องน้ำที่ลือลั่นของไซโค ที่แท้ที่จริงแล้วมีดไม่ได้ปักลงไปในตัวของแมเรี่ยน เครน เลย The Birds เป็นภาพยนตร์ที่ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างของภาพยนตร์แนวสยองขวัญสัตว์โจมตีมนุษย์อีกหลายต่อหลายเรื่องต่อมา เช่น Jaws ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก, Alien ของ ริดลีย์ สก็อตต์ เป็นต้น
| นวนิยาย The Birds ที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ The Birds ฉายในปี ค.ศ. 1963 แต่งขึ้นโดยใคร | {
"answer": [
"ดาฟเน่ต์ ดู เมอริเอ"
],
"answer_begin_position": [
1361
],
"answer_end_position": [
1380
]
} |
1,367 | 675,351 | วอลเลย์บอลชายชิงแชมป์นอร์เซกา 2001 วอลเลย์บอลชายชิงแชมป์นอร์เซกา 2001 (2001 Men's NORCECA Volleyball Championship) เป็นครั้งที่17 ของการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 07–12 กันยายน ณ บริดจ์ทาวน์, บาร์เบโดสการแบ่งกลุ่ม การแบ่งกลุ่ม. รอบคัดเลือกกลุ่ม A รอบคัดเลือก. กลุ่ม A. - Friday 2001-09-21 - Saturday 2001-09-22 - Sunday 2001-09-23 กลุ่ม B กลุ่ม B. - Friday 2001-09-21 - Saturday 2001-09-22 - Sunday 2001-09-23รอบที่2รอบที่2. - Monday 2001-09-24- รอบก่อนรองชนะเลิศ รอบสุดท้ายรอบสุดท้าย. - Tuesday 2001-09-25- รอบชิงอันดับ 5 - รอบรองชนะเลิศ - Wednesday 2001-09-26- รอบชิงเหรียญทองแดง - รอบชิงเหรียญทอง อันดับการแข่งขันรางวัลรางวัล. - ผู้เล่นทรงคุณค่า- อังเค เดนนิส - ทำคะแนนยอดเยี่ยม- เซบาสเตียน Ruette - ตบยอดเยี่ยม- เอลวิส คอนเทรราส - บล็อกยอดเยี่ยม- Steve Brinkman- เสิร์ฟยอดเยี่ยม- อังเค เดนนิส - รับลูกตบยอดเยี่ยม- Ihosvany Chambers - เซ็ตยอดเยี่ยม- อะแลง รอกา - รับลูกเสิร์ฟยอดเยี่ยม- ริชาร์ด ลัมบอร์น
| การแข่งขันวอลเลย์บอลชายชิงแชมป์นอร์เซกาครั้งที่17 ในปีค.ศ. 2001 จัดขึ้นที่ประเทศใด | {
"answer": [
"บาร์เบโดส"
],
"answer_begin_position": [
296
],
"answer_end_position": [
305
]
} |
1,368 | 31,653 | PSU PSU, Psu หรือ psu สามารถหมายถึง- มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (Prince of Songkla University) มหาวิทยาลัยของรัฐในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา- โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ - มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต (Pennsylvania State University) มหาวิทยาลัยในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา - โพลีซัลโฟน (Polysulfone) พอลิเมอร์ชนิดหนึ่ง - แหล่งจ่ายไฟ (power supply) อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
| มหาวิทยาลัยในไทยชื่อว่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตั้งอยู่ในจังหวัดใด | {
"answer": [
"จังหวัดสงขลา"
],
"answer_begin_position": [
201
],
"answer_end_position": [
213
]
} |
1,369 | 98,722 | จงโคร่ง และวงศ์หมาน้ำ จงโคร่ง หรือ หมาน้ำ หรือ กง หรือ กระทาหอง หรือ กระหอง (ปักษ์ใต้) (อังกฤษ: Giant jungle toad, Asian giant toad; ชื่อวิทยาศาสตร์: Phrynoidis aspera) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกคางคกขนาดใหญ่ที่พบในประเทศไทยชนิดหนึ่ง จงโคร่งนับเป็นคางคกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย บริเวณหลังมีน้ำพิษเห็นเป็นปุ่มชักเจน ตาใหญ่ ตัวมีสีน้ำตาลดำ ตัวผู้มักปรากฏลายสีเข้มเป็นแถบทั้งขาหน้า และขาหลัง บริเวณใต้ท้องมีสีขาวหม่น ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 22 เซนติเมตร ขายาว 6-8 นิ้ว ขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง นิ้วเท้ามี 4 นิ้ว สามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตามสภาพแวดล้อม โดยตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ จงโคร่งเป็นสัตว์ที่พบได้เฉพาะในป่าดิบชื้น โดยจะอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำในป่า เช่น ลำธารน้ำตกหรือลำห้วย โดยมักใช้ชีวิตอยู่ในน้ำมากกว่าอยู่บนบก มักหลบอยู่ตามขอนไม้หรือก้อนหินขนาดใหญ่ หากินในเวลากลางคืน อาหารหลักได้แก่ แมลงและสัตว์น้ำขนาดเล็ก มีเสียงร้องคล้ายสุนัขเห่า จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "หมาน้ำ" โดยมีพฤติกรรมร้องเป็นจังหวะ ๆ ละ 6-10 วินาที ลักษณะไข่เป็นฟองกลม ๆ อาจติดอยู่ตามขอบแหล่งน้ำที่อาศัย โดยฤดูกาลผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าดิบชื้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้ในภาคเหนือ, ภาคตะวันตกและภาคใต้ ในความเชื่อของคนปักษ์ใต้ จงโคร่งหรือกงเป็นสัตว์นำโชค หากเข้าบ้านใครถือเป็นลางมงคล แต่ในบางท้องถิ่นมีการเอาหนังของจงโคร่งมาตากแห้งแล้วมวนผสมกับใบยาสูบสูบเหมือนยาสูบทั่วไป มีฤทธิ์แรงกว่ายาสูบหรือบุหรี่ทั่วไป โดยมีความแรงเทียบเท่ากับกัญชา ในฟิลิปปินส์ก็นิยมทำเช่นเดียวกัน ปัจจุบัน มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
| จงโคร่งเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกใด | {
"answer": [
"คางคก"
],
"answer_begin_position": [
278
],
"answer_end_position": [
283
]
} |
1,370 | 216,728 | นิมิตของอัศวิน (ราฟาเอล) มโนทัศน์ของอัศวิน (ภาษาอังกฤษ: Vision of a Knight หรือ The Dream of Scipio หรือ Allegory) เป็นจิตรกรรมที่เขียนโดยราฟาเอลจิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติในกรุงลอนดอนในอังกฤษ ราฟาเอลเขียนภาพ “มโนทัศน์ของอัศวิน” ราวปี ค.ศ. 1504 เป็นภาพเขียนขนาดเล็กที่เขียนด้วยสีฝุ่นผสมไข่บนไม้พ็อพพลา อาจจะเป็นภาพคู่กับแผงเทพสามองค์ที่ปัจจุบันเป็นของพิพิธภัณฑ์ของวังชองตีย์ (Château de Chantilly) แก่นความคิดของภาพเป็นที่โต้เถียงกัน บ้างก็ว่าเป็นภาพอัศวินนอนหลับคือนายพลโรมันสคิปิโอ อาฟริคานัส (Scipio Africanus) (236 - 184 ก.ค.ศ.) ผู้นอนฝันว่าจะต้องเลือกระหว่าง “คุณธรรม” ที่ด้านหลังเป็นเขาสูงและ “ความสำราญ” ที่แต่งตัวอย่างรุ่ยร่าย แต่สตรีสองคนในภาพมิได้มีแสดงความแก่งแย่งกันในตัวอัศวิน แต่สตรีทั้งสองอาจจะเป็นสัญลักษณ์แทนคุณสมบัติที่เป็นอุดมคติของความเป็นอัศวินที่ประกอบด้วย: หนังสือ, ดาบ และดอกไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นผู้มีการศึกษา, ความเป็นทหาร และความรักซึ่งเป็นคุณลักษณะต่างๆ ที่อัศวินควรจะเป็นเจ้าของ
| มโนทัศน์ของอัศวิน หรือ Vision of a Knight เป็นจิตรกรรมที่เขียนขึ้นโดยจิตรกรชาวอิตาลีที่มีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"ราฟาเอล"
],
"answer_begin_position": [
237
],
"answer_end_position": [
244
]
} |
1,371 | 919,036 | ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 26 ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 26 () เป็นการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอล NFL นัดตัดสินในฤดูกาล 1993 เป็นการแข่งขันระหว่างแชมป์เนชันแนลฟุตบอลคอนเฟอเร็นซ์ (NFC) Washington Redskins กับแชมป์อเมริกันฟุตบอลคอนเฟอเร็นซ์ (AFC) Buffalo Bills โดยทีม Washington Redskins เอาชนะ ทีม Buffalo Bills ในคะแนน 37–24 เกมนี้จัดในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1992 ที่สนามHubert H. Humphrey Metrodome ในเมืองMinneapolis, Minnesota
| ทีมใดเป็นผู้ชนะในการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอล NFL หรือซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 26 ในปีค.ศ. 1992 | {
"answer": [
"Washington Redskins"
],
"answer_begin_position": [
268
],
"answer_end_position": [
287
]
} |
1,372 | 919,036 | ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 26 ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 26 () เป็นการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอล NFL นัดตัดสินในฤดูกาล 1993 เป็นการแข่งขันระหว่างแชมป์เนชันแนลฟุตบอลคอนเฟอเร็นซ์ (NFC) Washington Redskins กับแชมป์อเมริกันฟุตบอลคอนเฟอเร็นซ์ (AFC) Buffalo Bills โดยทีม Washington Redskins เอาชนะ ทีม Buffalo Bills ในคะแนน 37–24 เกมนี้จัดในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1992 ที่สนามHubert H. Humphrey Metrodome ในเมืองMinneapolis, Minnesota
| สนามแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอล Hubert H. Humphrey Metrodome ตั้งอยู่ในรัฐใดของประเทศสหรัฐอเมริกา | {
"answer": [
"Minnesota"
],
"answer_begin_position": [
510
],
"answer_end_position": [
519
]
} |
1,373 | 337,353 | มหาบุรุษ จางจวีเจิ้ง มหาบุรุษ จางจวีเจิ้ง () เป็นละครโทรทัศน์ของจีนในประเทศไทยทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยได้นำมาฉายทุกวันเสาร์-อาทิตย์เวลา 13.00น.-14.00น.รายชื่อนักแสดงรายชื่อนักแสดง. - ถัง กั๋วเฉียง แสดงเป็น จาง จวีเจิ้ง - ฟ๋ง ยุ่นเจี้ยง แสดงเป็น ฝง เป่า - จี ยีตง แสดงเป็น เกา ก่ง - เหมย ติง แสดงเป็น หลี่ไทเฮา - เหมย เหนียนเจีย แสดงเป็น จักรพรรดิว่านลี่ - หยาง ซุย แสดงเป็น ยู่ เหนียงรายชื่อตอนรายชื่อตอน. - ตอน แผนสร้างอำนาจ - ตอน ความแตกแยกในราชสำนัก - ตอน โอสถตะวันจันทรา - ตอน หลักฐานชิ้นสำคัญ - ตอน อิทธิพลในวังหลวง - ตอน สิ้นองค์เหนือหัว - ตอน ฮ่องเต้น้อย - ตอน ศึกระหว่างสองเสือ - ตอน มหาอำมาตย์คนใหม่ - ตอน ประหารหวังจิ่วซือ - ตอน ขบวนการทุจริต - ตอน ตัวประกัน - ตอน วิกฤตท้องพระคลัง - ตอน การสำรวจทรัพย์สินข้าราชการ - ตอน วิกฤตพริกไทย - ตอน วิกฤตพริกไทย2 - ตอน พิธีศพขบวนแห่งลางร้าย - ตอน ศึกขุนนางสองขั้วอำนาจ - ตอน เพลิงผลาญปักกิ่ง - ตอน ความสำเร็จขั้นแรกของการปฏิรูป - ตอน ขันทีผู้ฉ้อราษฏร์บังหลวง - ตอน แพะรับบาป - ตอน ภาษีที่นาพระราชทาน - ตอน เหยียบถ้ำเสือ - ตอน จิงโจวแดนสนธยา - ตอน ความลับที่ถูกเปิดเผย - ตอน แผนลอบสังหาร - ตอน เสื้อกันหนาวมรณะ - ตอน สำเร็จโทษพระสัสสุระ - ตอน ธรรมเนียมการตัดญาติ - ตอน แผนชั่วของสี่ฉงเฉิง - ตอน แววแห่งความอำมหิต - ตอน กลับสู่มาตุภูมิ - ตอน การพบกันอีกครั้งของสองมหาอำมาตย์ - ตอน การปฏิรูปการศึกษา - ตอน ฮ่องเต้ผู้เริ่มเปลี่ยนไป - ตอน ความเหิมเกริมของฮ่องเต้ - ตอน ความแค้นที่หยั่งรากลึก - ตอน แผนสังหารจางจวีเจิ้ง - ตอน ภารกิจครั้งสุดท้าย - ตอน เปลี่ยนขั้วอำนาจ - ตอน ทรราชครองเมือง
| มหาบุรุษจางจวีเจิ้ง เป็นละครโทรทัศน์ของประเทศใด | {
"answer": [
"จีน"
],
"answer_begin_position": [
159
],
"answer_end_position": [
162
]
} |
1,374 | 492,432 | หอคอยเจิ้งหยวน หอคอยเจิ้งหยวน () ตั้งอยู่ในเมืองเจิ้งโจว เมืองหลวงของมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน หอคอยนี้ครอบคลุมพื้นที่ 141 เฮกตาร์ และพื้นที่การก่อสร้าง 58,000 ตารางเมตร ด้วยการลงทุนรวมประมาณ 836 ล้านหยวน ความสูงของหอคอย คือ 388 เมตร ซึ่งเป็นหอคอยเหล็กที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากโตเกียวสกายทรี และเป็นหอคอยที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก หอคอยแห่งนี้ถูกพิจารณาให้เป็นสถานที่สำคัญของมณฑลเหอหนานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยมีหน้าที่เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ รวมถึงศูนย์วัฒนธรรมและการศึกษาของเมือง
| หอคอยเจิ้งหยวนตั้งอยู่ในมณฑลใดของประเทศจีน | {
"answer": [
"เหอหนาน"
],
"answer_begin_position": [
162
],
"answer_end_position": [
169
]
} |
1,375 | 668,171 | อะระชิยะมะ อะระชิยะมะ () เป็นพื้นที่ชานเมืองทางตะวันตกของนครเคียวโตะ ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่บริเวณนี้เป็นทิวเขาขนานไปกับแม่น้ำโออิ ซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงามและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก นอกจากนี้ อะระชิยะมะ ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของชาติญี่ปุ่นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง. - สวนลิงอิวะตะยะมะ (嵐山モンキーパーク อะระชิยะมะ มังกี ปากุ) ตั้งอยู่บนเนินเขาอะระชิ มีลิงกว่า 170 ตัวอาศัยอยู่ที่นี่ แม้ว่าลิงที่นี่จะเป็นสัตว์ป่าแต่พวกมันก็คุ้นชินกับมนุษย์ สวนลิงตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟซะงะ-อะระชิยะมะ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าใกล้และถ่ายรูปกับพวกลิง และยังสามารถให้อาหารได้ด้วย - สะพานโทะเงะสึ (渡月橋 โทะเงะสึ-เกียว) เป็นสะพานไม้โบราณที่มีความเป็นมามากกว่าพันปี แต่ตัวสะพานปัจจุบันสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2477 มีความยาวกว่า 155 เมตร กว้าง 11 เมตร การก่อสร้างเป็นการเข้าลิ่มไม้ทั้งหมดโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ดอกเดียว จากสะพานนี้จะสามารถมองเห็นทิวต้นซะกุระและใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขา - วัดเท็นรีว (天龍寺 เท็นรีว-จิ) เป็นหนึ่งในวัดพุทธทั้ง 15 สาขาของศาสนวิชชาลัยรินไซ และเป็นหนึ่งในวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เคียวโตะโบราณ - คิโยะตะกิ (清滝) เป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่มีทัศนียภาพที่งดงาม ตั้งอยู่ในหุบเขาอะตะโงะโดยมีแม้น้ำไหลผ่านกลางหุบเขา - ศาลเจ้ามะสึโอะ (松尾大社 มะสึโอะ-ไทฉะ) ราว 800 เมตรทางใต้จากอะระชิยะมะเป็นที่ตั้งของหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในเคียวโตะ มีอายุกว่า 1,300 ปี ในฤดูใบไม้ผลิผู้ศรัทธามักจะนำสาเก และ มิโซะท้องถิ่น มาบูชาศาลเจ้าและขอพรให้ผลผลิตและการค้าดี - สวนคะเมะยะมะ (亀山公園 คะเมะยะมะ-โคเอ็ง) มีแท่งหินที่เป็นอนุสรณ์ต่อ โจว เอินไหล เมื่อครั้งเขามาเยี่ยมชมและได่แต่งบทกวีไว้ ซึ่งบทกวีนี้จารึกอยู่บนหินอนุสรณ์ว่า "อะระชิยะมะในสายฝน" - ป่าไผ่ซะงะโนะ ( 嵯峨野 竹林 ซะงะโนะ ชิกุริง) หนึ่งในป่าไผ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตลอดทางเดิน 500 เมตร ทั้งสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยต้นไผ่ที่สูงกว่า 15 เมตร - โอโกชิ ซันโซ (大河内山荘) บ้านพักตากอากาศพร้อมสวนญี่ปุ่นของผู้กำกับ เด็นจิโร โอโกชิการเดินทาง การเดินทาง. จากตัวเมืองเคียวโตะสามารถเดินทางสู่อะระชิยะมะได้โดยรถไฟฟ้าเคฟุกุ และจากสถานีคะสึระโดยรถไฟฮันกีว สายฮันกีว อะระชิยะมะ ซึ่งที่สถานีคะสึระนี้ยังมีรถไฟเชื่อมต่อกับสถานีคะระซุมะ ที่สามารถเดินทางไปในตัวเมืองเคียวโตะ หรือจะเดินทางไปยังนครโอซะกะได้
| อุทยานประวัติศาสตร์อะระชิยะมะซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของนครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ขนานกับแม่น้ำอะไร | {
"answer": [
"โออิ"
],
"answer_begin_position": [
209
],
"answer_end_position": [
213
]
} |
1,376 | 521,509 | ลูอิส โฮลต์บี ลูอิส แฮร์รี โฮลต์บี () เกิดวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1990 เป็นนักฟุตบอลชาวเยอรมัน เล่นตำแหน่งกองกลางให้กับสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ในพรีเมียร์ลีก
| ตำแหน่งในสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ที่ ลูอิส แฮร์รี โฮลต์บี เล่นคือตำแหน่งอะไร | {
"answer": [
"กองกลาง"
],
"answer_begin_position": [
193
],
"answer_end_position": [
200
]
} |
1,377 | 751,364 | ทไวซ์ ทไวซ์ (; ) เป็นกลุ่มดนตรีเคป็อปหญิงล้วนคละสัญชาติ ซึ่งบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 ผ่านรีแอลลิตีโชว์ชื่อ ซิกซ์ทีน โดยคัดสรรจากคณะนักแสดงฝึกหัดสิบหกคนของบริษัท ปัจจุบันมีสมาชิกเก้าคน ห้าคนเป็นชาวเกาหลีใต้ สามคนเป็นชาวญี่ปุ่น อีกหนึ่งคนเป็นชาวไต้หวัน ส่วนชื่อกลุ่มซึ่งแปลว่า สองครั้ง นั้นสื่อความหมายว่า ผู้ชมย่อมได้รับความประทับใจจากกลุ่มถึงสองหน คือ ประทับใจเมื่อได้ยิน และประทับใจเมื่อได้ยล ทไวซ์เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2015 พร้อมเอกซ์เทนเดดเพลย์ชื่อ เดอะสตอรีบีกินส์ ในปลายปีนั้นเอง แม้เปิดตัวมาได้เพียงเดือนกว่า ทไวซ์ก็ได้รับรางวัลสำคัญ เป็นต้นว่า เอ็มเน็ตเอเชียนมิวสิกอะวอดส์สำหรับศิลปินหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และซิมพลีเคป็อปอะวอดส์สำหรับกลุ่มศิลปินหญิงดาวรุ่งยอดเยี่ยมประวัติก่อนเปิดตัว ประวัติ. ก่อนเปิดตัว. วันที่ 19 ธันวาคม 2013 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์แถลงว่า จะตั้งกลุ่มดนตรีหญิงล้วนกลุ่มใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2014 นับเป็นกลุ่มดนตรีหญิงกลุ่มแรกที่บริษัทจัดตั้งขึ้นในรอบสี่ปี ครั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2014 มีการยืนยันว่า เลนา (Lena) นักแสดงฝึกหัดของบริษัท จะเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ทั้งเป็นที่ร่ำลือทั่วไปว่า นักแสดงฝึกหัดคนอื่น ๆ เช่น นาย็อน จ็องย็อน จีซู (Jisoo ปัจจุบันใช้ชื่อว่า จีฮโย) ซะนะ และมินย็อง (Minyoung) ก็จะได้เป็นสมาชิกกลุ่มนี้ด้วย ทว่า ภายหลังมีปัญหาเพราะเลนาออกจากบริษัท การจัดตั้งกลุ่มดนตรีดังกล่าวจึงเลิกล้มไป วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2015 พัก จิน-ย็อง ประธานบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ ประกาศว่า จะคัดเลือกสมาชิกของกลุ่มดนตรีข้างต้นผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อ ซิกซ์ทีน ซึ่งจะออกอากาศทางช่องเอ็มเน็ตภายในปีนั้น พัก จิน-ย็อง คาดหมายว่า กลุ่มดนตรีใหม่นี้จะมีสมาชิกที่มีความเป็นธรรมชาติและกระปรี้กระเปร่าเหมือนวงวันเดอร์เกิลส์และมิสเอ แต่ปรารถนาให้มีด้านที่คึกคะนองและกระฉับกระเฉงยิ่งกว่า เขายังกล่าวว่า ตั้งใจจะยกระดับกลุ่มใหม่นี้โดยเพิ่มองค์ประกอบบางประการอย่างฮิปฮ็อปและแรป รายการ ซิกซ์ทีน เริ่มฉายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2015 และที่สุดแล้วได้ผลว่า สมาชิกของกลุ่มดนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่นั้น ได้แก่ นาย็อน ซะนะ ดาฮย็อน จื่อ-อฺวี๋ แชย็อง มินะ จีฮโย จ็องย็อน และโมะมะ เก้าคน ให้ชื่อกลุ่มว่า ทไวซ์ ตั้งใจจะเปิดตัวปลายปี 2015 สำหรับดาฮย็อนนั้นเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะมีการเผยแพร่วีดิทัศน์เธอร้องและเต้นเพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟยัวร์เลิฟ" (The Power of Your Love) ของฮิลซอง (Hillsong) อยู่ในโบสถ์เมื่อปี 2012 สาธารณชนจึงขนานนามเธอว่า "แม่ชีที่เต้นแร้งเต้นกาในโบสถ์" (Eagle Dance Church Sister) และยิ่งตำหนิเธอหนักขึ้นอีกเมื่อเห็นเธอในวีดิทัศน์ทีเซอร์สำหรับเพลง "สต็อปสต็อปอิต" (Stop Stop It) ของวงก็อตเซเวน (Got7) เมื่อปี 2014 ครั้นวันที่ 10 กรกฎาคม 2015 ทไวซ์เปิดบัญชีอินสตาแกรมของตนอย่างเป็นทางการ ลงภาพแรกเป็นภาพสมาชิกทั้งเก้าจับกลุ่มถ่ายรูปกัน อนึ่ง บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ยังระบุว่า จะออกรายการทางอินเทอร์เน็ตชื่อ ทไวซ์ทีวี (TwiceTV) เพื่อแสดงให้เห็นความมุ่งหวังและเรื่องราวต่าง ๆ ของสมาชิกทั้งเก้าผ่านบทสัมภาษณ์และการเตรียมเปิดตัว2015 เปิดตัว 2015 เปิดตัว. วันที่ 7 ตุลาคม 2015 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ก่อตั้งเว็บไซต์ทไวซ์อย่างเป็นทางการ และประกาศว่า ทไวซ์จะเปิดตัวด้วยมินิอัลบั้มชื่อ เดอะสตอรีบิกินส์ (The Story Begins) พร้อมเพลงหลัก คือ "ไลก์อูห์อาห์" (Like OOH-AHH) เป็นเพลงเต้นที่มีองค์ประกอบทางฮิปฮ็อป ร็อก กับอาร์แอนด์บี วันที่ 20 ตุลาคม 2015 จึงออกอัลบั้มและมิวสิกวิดีโอเพลงข้างต้นทางอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในวันนั้น ทไวซ์ยังออกแสดงเพลงบางเพลงจากอัลบั้มดังกล่าว และหนึ่งเดือนให้หลังก็มีผู้เข้าชมมิวสิกวิดีโอเช่นว่านั้นกว่าสิบล้านครั้ง วันที่ 2 ธันวาคม 2015 มีรายงานว่า ทไวซ์ได้รับการว่าจ้างจากหลายบริษัท คำนวณรายได้ได้ราวหนึ่งพันแปดร้อยล้านวอน นับเป็นรายได้ที่มากที่สุดสำหรับกลุ่มดนตรีที่เปิดตัวมาได้เพียงเดือนกว่า วันที่ 27 ธันวาคม 2015 ทไวซ์แสดงเพลง "ไลก์อูห์อาห์" แบบรีมิกซ์ ณ การประชันดนตรีเอสบีเอส นับเป็นครั้งแรกที่ทไวซ์ร่วมรายการดนตรีตอนสิ้นปีสมาชิกนาย็อน สมาชิก. นาย็อน. อิม นา-ย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า นาย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 15 กันยายน 2010 นาย็อนเข้ารับการคัดเลือกนักแสดงปลายเปิดครั้งที่ 7 ของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ และได้เป็นนักแสดงฝึกหักของบริษัท ครั้นปี 2013 เธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกของซิกซ์มิกซ์ (6mix) กลุ่มดนตรีที่ล้มเลิกไปก่อนจะได้เปิดตัวจริง ๆ ต่อมา เธอได้แสดงในโฆษณาทางโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ และละครโทรทัศน์จำนวนหนึ่ง เช่น มิวสิกวิดีโอเพลง "โนเลิฟ" (No Love) ของจุน. เค เพลง "เกิลส์เกิลส์เกิลส์" (Girls Girls Girls) เพลง "เอ" (A) และเพลง "สต็อปสต็อปอิต" (Stop Stop It) ของก็อตเซเวน เพลง "โอนลียู" (Only You) ของมิสเอ และละครเรื่อง ดรีมไฮ 2 (Dream High 2) ของช่องเคบีเอส2 ก่อนจะได้ร่วมรายการ ซิกซ์ทีน และเป็นสมาชิกของทไวซ์จ็องย็อน จ็องย็อน. ยู จ็อง-ย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า จ็องย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองซูว็อน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นน้องสาวของคง ซึง-ย็อน (Gong Seung-yeon) นักแสดงหญิง วันที่ 1 มีนาคม 2010 จ็องย็อนเข้ารับการคัดเลือกนักแสดงปลายเปิดครั้งที่ 6 ของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ และได้เป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัท เธอ พร้อมด้วยนาย็อน และจีฮโย ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของซิกซ์มิกซ์ (6mix) กลุ่มดนตรีที่มิเคยได้เปิดตัวจริง ครั้นปี 2014 เธอกับนาย็อนได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "เกิลส์เกิลส์เกิลส์" ของก็อตเซเวน ในปีถัดมา ทั้งคู่ยังได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "โอนลียู" ของมิสเอโมะโมะ โมะโมะ. โมะโมะ ฮิระอิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า โมะโมะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองเคียวโตะ ประเทศญี่ปุ่น เธอเป็นผู้เต้นหลักของกลุ่มทไวซ์ เธอเรียนเต้นแต่เด็ก และตกลงปลงใจจะเป็นนักร้องอย่างนะมิเอะ อะมุโระ แต่เมื่อได้ชมการแสดงของเรนและอี ฮโยรี ก็ผันใจไปชอบวัฒนธรรมเคป็อปแทน ในปี 2012 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ชมวิดีโอการเต้นของเธอกับพี่สาว จึงเชื้อเชิญคนทั้งสองให้มารับการคัดเลือกเป็นนักแสดง แต่เธอผ่านการคัดเลือกผู้เดียว ในปี 2014 เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน และเพลง "ฟีล" (Feel) ของอี จุนโฮ ครั้นปี 2015 เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโออีกจำนวนหนึ่ง เช่น เพลง "อา.โอ.เอส.อี" (R.O.S.E) ของชัง อู-ย็อง และเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ เมื่อได้ร่วมรายการ ซิกซ์ทีน แล้ว เธอถูกคัดออกจากการแข่งขัน แต่เมื่อจัดตั้งกลุ่มทไวซ์ จึงนำเธอกลับมาซะนะ ซะนะ. ซะนะ มินะโตะซะกิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า ซะนะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองโอซะกะ ประเทศญี่ปุ่น ซะนะสนใจวัฒนธรรมเคป็อปในช่วงที่กลุ่มเกิลส์เจเนอเรชันและคารากำลังโด่งดังในญี่ปุ่น เมื่อเธอเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายปีสุดท้าย บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์พบเธอขณะเดินอยู่บนท้องถนน จึงชี้ชวนเธอมารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2012 เธอจึงได้แสดงในมิวสิกวิดีโอจำนวนหนึ่งก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ เช่น เพลง "เอ" ของก็อตเซเวน และเพลง "ฟีล" ของอี จุนโฮจีฮโย จีฮโย. พัก จี-ฮโย (; ) ชื่อในการแสดงว่า จีฮโย (; ) เป็นหัวหน้ากลุ่มทไวซ์ เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองคูรี จังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 15 กรกฎาคม 2005 เธอเข้าเป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ สิบปีผ่านไปจึงได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ ก่อนได้เป็นสมาชิกนั้น เธอยังได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "โอนลียู" ของมิสเอด้วยมินะ มินะ. มินะ เมียวอิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า มินะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้ไม่นานแล้วจึงย้ายไปอาศัยยังนครโคเบะ ประเทศญี่ปุ่น เธอเรียนบัลเลต์สิบเอ็ดปี แล้วเรียนการเต้นสมัยใหม่ ณ โรงเรียนสอนเต้นยูริซิป (Urizip) ในปี 2013 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์พบเธอขณะไปจ่ายตลาดกับมารดา จึงชักชวนเธอมาเป็นนักแสดงของบริษัท เธอเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงซึ่งจัดขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 แล้วจึงได้เข้ารับการฝึกเป็นนักแสดงในประเทศเกาหลีใต้ ภายหลัง ได้แสดงในมิวสิกวิดีโอของก็อตเซเวน อี จุนโฮ ชัง อูย็อง และมิสเอ แล้วจึงได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ดาฮย็อน ดาฮย็อน. คิม ดา-ฮย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า ดาฮย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองซ็องนัม จังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ เธอเป็นที่สนใจของสาธารณชนเพราะวิดีโอที่เธอเต้นในโบสถ์ซึ่งเผยแพร่ลงยูทูบเมื่อปี 2011 และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน ต่อมา เธอเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2012 และได้เป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัท ทั้งได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน และเพลง "อาร์.โอ.เอส.อี" ของชัง อูย็อง ก่อนได้เป็นสมาชิกทไวซ์แชย็อง แชย็อง. ซน แช-ย็อง (; ) ชื่อในการแสดงว่า แชย็อง (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เธอผ่านการคัดเลือกเป็นนักแสดงของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2012 แล้วได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน กับเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ ก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์จื่อ-อฺวี๋ จื่อ-อฺวี๋. โจว จื่อ-อฺวี๋ (; ) ชื่อในการแสดงว่า จื่อ-อฺวี๋ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ นครไถหนัน ประเทศไต้หวัน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 เธอเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้เพื่อเป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน กับเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ ก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ ปัจจุบัน เธอศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนพหุศิลป์ฮันลิม (Hanlim Multi Art School) ประเทศเกาหลีใต้ผลงานเพลงผลงานเพลง. - เดอะสตอรีบีกินส์ (2015) - เพจทูว์ (2016) - (2016) - (2017) - วอตส์ทไวซ์ (2017) - ซิกแนล (2017) - วอตอิสเลิฟ (2018)ผลงานการแสดงละครวาไรตีโชว์มิวสิกวิดีโอรางวัลโกลเดนดิสก์อะวอดส์ซิมพลีเคป็อปอะวอดส์โซลมิวสิกอะวอดส์เนเวอร์วีแอ็ปอะวอดส์ฟิลิปปินเคป็อปอะวอดส์เอ็มเน็ตเอเชียนมิวสิกอะวอดส์
| วงดนตรีเคป็อปหญิง ทไวซ์ เป็นวงดนตรีภายใต้บริษัทอะไร | {
"answer": [
"เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์"
],
"answer_begin_position": [
146
],
"answer_end_position": [
169
]
} |
1,378 | 751,364 | ทไวซ์ ทไวซ์ (; ) เป็นกลุ่มดนตรีเคป็อปหญิงล้วนคละสัญชาติ ซึ่งบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 ผ่านรีแอลลิตีโชว์ชื่อ ซิกซ์ทีน โดยคัดสรรจากคณะนักแสดงฝึกหัดสิบหกคนของบริษัท ปัจจุบันมีสมาชิกเก้าคน ห้าคนเป็นชาวเกาหลีใต้ สามคนเป็นชาวญี่ปุ่น อีกหนึ่งคนเป็นชาวไต้หวัน ส่วนชื่อกลุ่มซึ่งแปลว่า สองครั้ง นั้นสื่อความหมายว่า ผู้ชมย่อมได้รับความประทับใจจากกลุ่มถึงสองหน คือ ประทับใจเมื่อได้ยิน และประทับใจเมื่อได้ยล ทไวซ์เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2015 พร้อมเอกซ์เทนเดดเพลย์ชื่อ เดอะสตอรีบีกินส์ ในปลายปีนั้นเอง แม้เปิดตัวมาได้เพียงเดือนกว่า ทไวซ์ก็ได้รับรางวัลสำคัญ เป็นต้นว่า เอ็มเน็ตเอเชียนมิวสิกอะวอดส์สำหรับศิลปินหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และซิมพลีเคป็อปอะวอดส์สำหรับกลุ่มศิลปินหญิงดาวรุ่งยอดเยี่ยมประวัติก่อนเปิดตัว ประวัติ. ก่อนเปิดตัว. วันที่ 19 ธันวาคม 2013 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์แถลงว่า จะตั้งกลุ่มดนตรีหญิงล้วนกลุ่มใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2014 นับเป็นกลุ่มดนตรีหญิงกลุ่มแรกที่บริษัทจัดตั้งขึ้นในรอบสี่ปี ครั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2014 มีการยืนยันว่า เลนา (Lena) นักแสดงฝึกหัดของบริษัท จะเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ทั้งเป็นที่ร่ำลือทั่วไปว่า นักแสดงฝึกหัดคนอื่น ๆ เช่น นาย็อน จ็องย็อน จีซู (Jisoo ปัจจุบันใช้ชื่อว่า จีฮโย) ซะนะ และมินย็อง (Minyoung) ก็จะได้เป็นสมาชิกกลุ่มนี้ด้วย ทว่า ภายหลังมีปัญหาเพราะเลนาออกจากบริษัท การจัดตั้งกลุ่มดนตรีดังกล่าวจึงเลิกล้มไป วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2015 พัก จิน-ย็อง ประธานบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ ประกาศว่า จะคัดเลือกสมาชิกของกลุ่มดนตรีข้างต้นผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อ ซิกซ์ทีน ซึ่งจะออกอากาศทางช่องเอ็มเน็ตภายในปีนั้น พัก จิน-ย็อง คาดหมายว่า กลุ่มดนตรีใหม่นี้จะมีสมาชิกที่มีความเป็นธรรมชาติและกระปรี้กระเปร่าเหมือนวงวันเดอร์เกิลส์และมิสเอ แต่ปรารถนาให้มีด้านที่คึกคะนองและกระฉับกระเฉงยิ่งกว่า เขายังกล่าวว่า ตั้งใจจะยกระดับกลุ่มใหม่นี้โดยเพิ่มองค์ประกอบบางประการอย่างฮิปฮ็อปและแรป รายการ ซิกซ์ทีน เริ่มฉายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2015 และที่สุดแล้วได้ผลว่า สมาชิกของกลุ่มดนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่นั้น ได้แก่ นาย็อน ซะนะ ดาฮย็อน จื่อ-อฺวี๋ แชย็อง มินะ จีฮโย จ็องย็อน และโมะมะ เก้าคน ให้ชื่อกลุ่มว่า ทไวซ์ ตั้งใจจะเปิดตัวปลายปี 2015 สำหรับดาฮย็อนนั้นเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะมีการเผยแพร่วีดิทัศน์เธอร้องและเต้นเพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟยัวร์เลิฟ" (The Power of Your Love) ของฮิลซอง (Hillsong) อยู่ในโบสถ์เมื่อปี 2012 สาธารณชนจึงขนานนามเธอว่า "แม่ชีที่เต้นแร้งเต้นกาในโบสถ์" (Eagle Dance Church Sister) และยิ่งตำหนิเธอหนักขึ้นอีกเมื่อเห็นเธอในวีดิทัศน์ทีเซอร์สำหรับเพลง "สต็อปสต็อปอิต" (Stop Stop It) ของวงก็อตเซเวน (Got7) เมื่อปี 2014 ครั้นวันที่ 10 กรกฎาคม 2015 ทไวซ์เปิดบัญชีอินสตาแกรมของตนอย่างเป็นทางการ ลงภาพแรกเป็นภาพสมาชิกทั้งเก้าจับกลุ่มถ่ายรูปกัน อนึ่ง บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ยังระบุว่า จะออกรายการทางอินเทอร์เน็ตชื่อ ทไวซ์ทีวี (TwiceTV) เพื่อแสดงให้เห็นความมุ่งหวังและเรื่องราวต่าง ๆ ของสมาชิกทั้งเก้าผ่านบทสัมภาษณ์และการเตรียมเปิดตัว2015 เปิดตัว 2015 เปิดตัว. วันที่ 7 ตุลาคม 2015 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ก่อตั้งเว็บไซต์ทไวซ์อย่างเป็นทางการ และประกาศว่า ทไวซ์จะเปิดตัวด้วยมินิอัลบั้มชื่อ เดอะสตอรีบิกินส์ (The Story Begins) พร้อมเพลงหลัก คือ "ไลก์อูห์อาห์" (Like OOH-AHH) เป็นเพลงเต้นที่มีองค์ประกอบทางฮิปฮ็อป ร็อก กับอาร์แอนด์บี วันที่ 20 ตุลาคม 2015 จึงออกอัลบั้มและมิวสิกวิดีโอเพลงข้างต้นทางอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในวันนั้น ทไวซ์ยังออกแสดงเพลงบางเพลงจากอัลบั้มดังกล่าว และหนึ่งเดือนให้หลังก็มีผู้เข้าชมมิวสิกวิดีโอเช่นว่านั้นกว่าสิบล้านครั้ง วันที่ 2 ธันวาคม 2015 มีรายงานว่า ทไวซ์ได้รับการว่าจ้างจากหลายบริษัท คำนวณรายได้ได้ราวหนึ่งพันแปดร้อยล้านวอน นับเป็นรายได้ที่มากที่สุดสำหรับกลุ่มดนตรีที่เปิดตัวมาได้เพียงเดือนกว่า วันที่ 27 ธันวาคม 2015 ทไวซ์แสดงเพลง "ไลก์อูห์อาห์" แบบรีมิกซ์ ณ การประชันดนตรีเอสบีเอส นับเป็นครั้งแรกที่ทไวซ์ร่วมรายการดนตรีตอนสิ้นปีสมาชิกนาย็อน สมาชิก. นาย็อน. อิม นา-ย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า นาย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 15 กันยายน 2010 นาย็อนเข้ารับการคัดเลือกนักแสดงปลายเปิดครั้งที่ 7 ของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ และได้เป็นนักแสดงฝึกหักของบริษัท ครั้นปี 2013 เธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกของซิกซ์มิกซ์ (6mix) กลุ่มดนตรีที่ล้มเลิกไปก่อนจะได้เปิดตัวจริง ๆ ต่อมา เธอได้แสดงในโฆษณาทางโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ และละครโทรทัศน์จำนวนหนึ่ง เช่น มิวสิกวิดีโอเพลง "โนเลิฟ" (No Love) ของจุน. เค เพลง "เกิลส์เกิลส์เกิลส์" (Girls Girls Girls) เพลง "เอ" (A) และเพลง "สต็อปสต็อปอิต" (Stop Stop It) ของก็อตเซเวน เพลง "โอนลียู" (Only You) ของมิสเอ และละครเรื่อง ดรีมไฮ 2 (Dream High 2) ของช่องเคบีเอส2 ก่อนจะได้ร่วมรายการ ซิกซ์ทีน และเป็นสมาชิกของทไวซ์จ็องย็อน จ็องย็อน. ยู จ็อง-ย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า จ็องย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองซูว็อน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นน้องสาวของคง ซึง-ย็อน (Gong Seung-yeon) นักแสดงหญิง วันที่ 1 มีนาคม 2010 จ็องย็อนเข้ารับการคัดเลือกนักแสดงปลายเปิดครั้งที่ 6 ของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ และได้เป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัท เธอ พร้อมด้วยนาย็อน และจีฮโย ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของซิกซ์มิกซ์ (6mix) กลุ่มดนตรีที่มิเคยได้เปิดตัวจริง ครั้นปี 2014 เธอกับนาย็อนได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "เกิลส์เกิลส์เกิลส์" ของก็อตเซเวน ในปีถัดมา ทั้งคู่ยังได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "โอนลียู" ของมิสเอโมะโมะ โมะโมะ. โมะโมะ ฮิระอิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า โมะโมะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองเคียวโตะ ประเทศญี่ปุ่น เธอเป็นผู้เต้นหลักของกลุ่มทไวซ์ เธอเรียนเต้นแต่เด็ก และตกลงปลงใจจะเป็นนักร้องอย่างนะมิเอะ อะมุโระ แต่เมื่อได้ชมการแสดงของเรนและอี ฮโยรี ก็ผันใจไปชอบวัฒนธรรมเคป็อปแทน ในปี 2012 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ชมวิดีโอการเต้นของเธอกับพี่สาว จึงเชื้อเชิญคนทั้งสองให้มารับการคัดเลือกเป็นนักแสดง แต่เธอผ่านการคัดเลือกผู้เดียว ในปี 2014 เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน และเพลง "ฟีล" (Feel) ของอี จุนโฮ ครั้นปี 2015 เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโออีกจำนวนหนึ่ง เช่น เพลง "อา.โอ.เอส.อี" (R.O.S.E) ของชัง อู-ย็อง และเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ เมื่อได้ร่วมรายการ ซิกซ์ทีน แล้ว เธอถูกคัดออกจากการแข่งขัน แต่เมื่อจัดตั้งกลุ่มทไวซ์ จึงนำเธอกลับมาซะนะ ซะนะ. ซะนะ มินะโตะซะกิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า ซะนะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองโอซะกะ ประเทศญี่ปุ่น ซะนะสนใจวัฒนธรรมเคป็อปในช่วงที่กลุ่มเกิลส์เจเนอเรชันและคารากำลังโด่งดังในญี่ปุ่น เมื่อเธอเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายปีสุดท้าย บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์พบเธอขณะเดินอยู่บนท้องถนน จึงชี้ชวนเธอมารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2012 เธอจึงได้แสดงในมิวสิกวิดีโอจำนวนหนึ่งก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ เช่น เพลง "เอ" ของก็อตเซเวน และเพลง "ฟีล" ของอี จุนโฮจีฮโย จีฮโย. พัก จี-ฮโย (; ) ชื่อในการแสดงว่า จีฮโย (; ) เป็นหัวหน้ากลุ่มทไวซ์ เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองคูรี จังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 15 กรกฎาคม 2005 เธอเข้าเป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ สิบปีผ่านไปจึงได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ ก่อนได้เป็นสมาชิกนั้น เธอยังได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "โอนลียู" ของมิสเอด้วยมินะ มินะ. มินะ เมียวอิ (; ) ชื่อในการแสดงว่า มินะ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้ไม่นานแล้วจึงย้ายไปอาศัยยังนครโคเบะ ประเทศญี่ปุ่น เธอเรียนบัลเลต์สิบเอ็ดปี แล้วเรียนการเต้นสมัยใหม่ ณ โรงเรียนสอนเต้นยูริซิป (Urizip) ในปี 2013 บริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์พบเธอขณะไปจ่ายตลาดกับมารดา จึงชักชวนเธอมาเป็นนักแสดงของบริษัท เธอเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงซึ่งจัดขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 แล้วจึงได้เข้ารับการฝึกเป็นนักแสดงในประเทศเกาหลีใต้ ภายหลัง ได้แสดงในมิวสิกวิดีโอของก็อตเซเวน อี จุนโฮ ชัง อูย็อง และมิสเอ แล้วจึงได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ดาฮย็อน ดาฮย็อน. คิม ดา-ฮย็อน (; ) ชื่อในการแสดงว่า ดาฮย็อน (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ เมืองซ็องนัม จังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ เธอเป็นที่สนใจของสาธารณชนเพราะวิดีโอที่เธอเต้นในโบสถ์ซึ่งเผยแพร่ลงยูทูบเมื่อปี 2011 และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน ต่อมา เธอเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักแสดงของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2012 และได้เป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัท ทั้งได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน และเพลง "อาร์.โอ.เอส.อี" ของชัง อูย็อง ก่อนได้เป็นสมาชิกทไวซ์แชย็อง แชย็อง. ซน แช-ย็อง (; ) ชื่อในการแสดงว่า แชย็อง (; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เธอผ่านการคัดเลือกเป็นนักแสดงของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2012 แล้วได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน กับเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ ก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์จื่อ-อฺวี๋ จื่อ-อฺวี๋. โจว จื่อ-อฺวี๋ (; ) ชื่อในการแสดงว่า จื่อ-อฺวี๋ (; ; ) เกิดเมื่อวันที่ ณ นครไถหนัน ประเทศไต้หวัน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 เธอเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้เพื่อเป็นนักแสดงฝึกหัดของบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ เธอได้แสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "สต็อปสต็อปอิต" ของก็อตเซเวน กับเพลง "โอนลียู" ของมิสเอ ก่อนได้เป็นสมาชิกของทไวซ์ ปัจจุบัน เธอศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนพหุศิลป์ฮันลิม (Hanlim Multi Art School) ประเทศเกาหลีใต้ผลงานเพลงผลงานเพลง. - เดอะสตอรีบีกินส์ (2015) - เพจทูว์ (2016) - (2016) - (2017) - วอตส์ทไวซ์ (2017) - ซิกแนล (2017) - วอตอิสเลิฟ (2018)ผลงานการแสดงละครวาไรตีโชว์มิวสิกวิดีโอรางวัลโกลเดนดิสก์อะวอดส์ซิมพลีเคป็อปอะวอดส์โซลมิวสิกอะวอดส์เนเวอร์วีแอ็ปอะวอดส์ฟิลิปปินเคป็อปอะวอดส์เอ็มเน็ตเอเชียนมิวสิกอะวอดส์
| ทไวซ์ ซึ่งเป็นวงดนตรีเคป็อปหญิง คละสัญชาติ ภายใต้สังกัดเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ ได้ออกมินิอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่าอะไร | {
"answer": [
"เดอะสตอรีบิกินส์"
],
"answer_begin_position": [
2950
],
"answer_end_position": [
2966
]
} |
1,379 | 758,656 | เน็ตฟลิกซ์ เน็ตฟลิกซ์ () เป็นบริษัทข้ามชาติผู้ให้บริการสื่อแบบส่งต่อเนื่องตามคำขอทางอินเทอร์เน็ตทั่วโลก (ยกเว้นในบางพื้นที่) และผู้ให้บริการเช่ายืมดีวีดีและแผ่นบลูเรย์ทางไปรษณีย์ในสหรัฐอเมริกา บริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแกทัส รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีออฟฟิศในอีกหลายประเทศเช่นเนเธอร์แลนด์ บราซิล อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เน็ตฟลิกซ์เริ่มเปิดรับสมัครสมาชิกแบบเสียค่าบริการในปี พ.ศ. 2542 เมื่อถึงปี พ.ศ. 2552 บริษัทมีดีวีดีให้เลือกเช่ายืมประมาณ 100,000 ชื่อเรื่อง และมีสมาชิกผู้เช่าและผู้รับบริการมากกว่า 10 ล้านราย ในปี พ.ศ. 2556 บริษัทเริ่มขยายธุรกิจไปยังการผลิตภาพยนตร์และซีรีส์ จนถึงพ.ศ. 2559 เน็ตฟลิกซ์ผลิตซี่รีย์และหนังแล้วกว่า 126 เรื่อง มากกว่าช่องโทรทัศน์และเคเบิลใด ๆ
| เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการเช่ายืมดีวีดีและแผ่นบลูเรย์ทางไปรษณีย์ในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2540"
],
"answer_begin_position": [
314
],
"answer_end_position": [
318
]
} |
1,380 | 65,650 | ทงบังชินกี ทงบังชินกี () หรือชื่อจีนว่า ตงฟังเฉินฉี่ (; ) และชื่อญี่ปุ่นว่า โทะโฮะชิงกิ () เป็นบอยแบนด์จากเกาหลีใต้ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 2003 ในสังกัดเอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ชื่อวงแปลว่า "เหล่าเทวาผู้เจิดจรัสแห่งบุรพทิศ" (The Rising Gods of the East) แรกก่อตั้ง วงประกอบด้วยสมาชิก 5 คน คือ ยู-โนว์ ยุนโฮ หัวหน้าวง, แมกซ์ ชางมิน, ฮีโร แจจุง, มิกกี ยูชอน และเซีย จุนซู กระทั่งเดือนกรกฎาคม 2009 แจจุง ยูชอน และจุนซู ฟ้องร้องตันสังกัด กิจกรรมต่าง ๆ ของวงจึงหยุดเป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน ภายหลัง สมาชิกทั้งสามลาออกไปตั้งวงใหม่ชื่อ เจวายเจ (JYJ) สังกัดซีเจสเอนเตอร์เทนเมนต์ (C-JeS Entertainment) ทงบังชินกีจึงกลายเป็นกลุ่มนักร้องคู่โดยเหลือสมาชิกคือ ยุนโฮ และ ชางมิน โดยวางจำหน่ายอัลบั้มภาษาเกาหลีที่ห้าในชื่อ Keep Your Head Down เมื่อมกราคม ค.ศ. 2011 ด้วยยอดขายอัลบั้มมากกว่า 12 ล้านชุดตั้งแต่ปี 2004 ทำให้วงทงบังชินกีเป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดวงหนึ่งในเอเชีย โดยมักถูกเรียกว่า "ดาวแห่งเอเชีย" และ "ราชาแห่งเค-ป๊อป" สำหรับความสำเร็จอย่างกว้างขวางและคุณูปการต่อวงการเพลงป๊อปเกาหลี ทงบังชินกีเป็นวงคนตรีต่างประเทศวงแรกที่มี ซิงเกิลติดอันดับหนึ่งจำนวน 13 ซิงเกิลในโอริกอนชาร์ต ประเทศญี่ปุ่น และทัวร์คอนเสิร์ต ในญี่ปุ่นนั้น เป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี 2013 เป็นวงดูโอต่างประเทศวงแรกที่แสดงโดมทั่วประเทศจำนวนห้าโดมและแสดงที่ Nissan Stadium บิลบอร์ด ได้เรียกวงทงบังชินกีว่าเป็น "K-pop royalty"ประวัติ2003-2005: เปิดตัวครั้งแรก, อัลบั้ม Tri-angle และ Rising Sun ประวัติ. 2003-2005: เปิดตัวครั้งแรก, อัลบั้ม Tri-angle และ Rising Sun. ก่อนจะเดบิวนั้นทางวง ลังเลว่าจะตัดสินใจใช้ชื่อวงว่าอะไรดี ซึ่งได้แก่ O Jang Yukbu ( lit. The Five Visceras), Jeonseoleul Meokgo Saneun Gorae ( lit. A Whale That Eats Legends), และ Dong Bang Bul Pae (, the Korean title of Invincible East) จนตัดสินใจเลือกชื่อ Dong Bang Bul Pae แต่ก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากตัวอักษรฮันจาดูไม่สวยงาม สุดท้ายตัดสินใช้ชื่อ Dong Bang Shin Gi ซึ่งแนะนำโดยคนรู้จักของ Lee Soo Man ทงบังชินกีได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2003 ในโชว์เคสของโบอา และบริทนีย์ สเปียรส์ แสดงโชว์ด้วยเพลงเดบิว "Hug" และเพลงอะคัพเพลล่า "O Holy Night" พร้อมกับโบอา ทางวงได้วางจำหน่ายซิงเกิลแรก "Hug" เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2004 โดยติดอันดับที่ 4 ในชาร์ตประจำเดือนและมียอดจำหน่าย 169,532 ชุดและยังติดอันดับที่ 14 ในชาร์ตประจำปีด้วย ซิงเกิลที่สอง "The Way U Are" วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2004 มียอดจำหน่าย 214,069 ชุดติดอันดับที่ 2 ในชาร์ตและอันดับที่ 9 ในชาร์ตประจำปี และอัลบั้มแรก Tri-Angle วางจำหน่ายเมื่อ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2004 ติดชาร์ตอันดับสูงสุดด้วยยอดจำหน่าย 242,580 ชุดและอันดับที่ 8 ในชาร์ตประจำปี เมื่อเดือนเมษายน ปี 2005 วงทงบังชินกีก็ได้เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น โดยในอยู่สังกัด Avex ในเครือของ Rhythm Zone ด้วยซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น "Stay with Me Tonight". ต่อมา ก็ได้วางจำหน่ายซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น ซิงเกิลที่สองคือ "Somebody to Love" ก่อนที่กลับไปที่เกาหลีเพื่อวางจำหน่ายอัลบั้ม Rising Sun โดยติดอันดับสูงสุดในชาร์ตและอยู่ในอันดับที่ 4 ของยอดจำหน่ายประจำปี 2005 ด้วยจำนวน 222,472 ชุด ในปลายปี ทางวงจำหน่ายซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น ซิงเกิลที่สาม "My Destiny" และซิงเกิลภาษาเกาหลี โดยร่วมกับวง Super Junior ในชื่อซิงเกิล "Show Me Your Love" โดยมียอดจำหน่าย 49,945 ชุด ติดอันดับที่ 35 ในยอดจำหน่ายประจำปี อีกทั้งทางวงยังได้รับรางวัล Best Music Video award ด้วยเพลง "Rising Sun" และยังได้รับรางวัล People's Choice Award จากงาน Mnet KM Music Video Festival2006-2007: อัลบั้ม Heart, Mind and Soul และ "O"-Jung.Ban.Hap. 2006-2007: อัลบั้ม Heart, Mind and Soul และ "O"-Jung.Ban.Hap.. ในต้นปี 2006 วงทงบังชินกีได้เปิดทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในชื่อ "Rising Sun 1st Asia Tour" โดยเริ่มที่ประเทศเกาหลีใต้ ก่อนที่จะไปยัง ประเทศจีน, ไทยและมาเลเซีย โดยถือเป็นวงเกาหลีวงแรกที่มาเปิดคอนเสิร์ตในมาเลเซีย ในเดือนมีนาคม ได้มีการวางจำหน่ายซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นที่สี่ในชื่อ "Asu wa Kuru Kara" () และอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นอัลบั้มแรกในชื่อ Heart, Mind and Soul โดยอัลบั้มติดอันดับที่ 25 ในชาร์ตโอริกอน ด้วยยอดจำหน่าย 9,554 ชุด ต่อมาก็ได้วางจำหน่ายซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นที่ห้าในชื่อ "Rising Sun/Heart, Mind and Soul" ติดอันดับที่ 22 ในชาร์ตโอริกอน เพื่อเป็นการส่งเสริมยอดจำหน่ายอัลบั้ม ทางวงก็จัดทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่นในชื่อ 1st Live Tour 2006: Heart, Mind and Soul ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน และได้วางจำหน่ายซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นอีกสองชุดในชื่อ "Begin" และ "Sky" โดยเป็นซิงเกิลแรกที่ติด 10 อันดับแรกอีกด้วย ในฤดูร้อนนั้น ทางวงไปแสดงในงานประจำปีของ Avex ชื่อ A-Nation หลังจากนั้นก็ได้กลับมาที่เกาหลีเพื่อที่ทำการวางจำหน่ายอัลบั้มที่สามในชื่อ "O"-Jung.Ban.Hap. ("O"-正.反.合. lit. "O"-Thesis.Antithesis.Synthesis) ในเดือนกันยายน 2006 ก็เป็นเหมือนอย่างที่เคยอัลบั้มของพวกเขาติดอันดับสูงสุดในชาร์ตด้วยยอดจำหน่าย 349,317 ชุดและยังได้อันดับสูงสุดในยอดจำหน่ายประจำปีอีกด้วย หลังจากนั้น สองเดือนต่อมาก็ได้วางจำหน่าซิงเกิลญี่ปุ่นในชื่อ "Miss You/"O" - Sei-Han-Gō" () เปิดตัวด้วยการติดอันดับที่ 3 ในชาร์ตและเป็นซิงเกิลแรกที่ติด 5 อันดับแรก ในงาน MKMF Music Festival ประจำปี 2006 ทางวงได้รับรางวัลถึงสี่รางวัลได้แก่ "Best Artist of the Year", "Best Group", "Mnet.com" และ "Mnet Plus Mobile People's Choice Award" และยังได้รับรางวัล "Daesang" และ "Bonsang" จากงาน 16th Music Seoul Festival (เฉพาะ "Daesang"), 21st Golden Disk Awards 2006 และ SBS Gayo Awards 20062008–2009: ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น, อัลบั้ม Mirotic และ The Secret Code2009–2010: คดีความ, อัลบั้ม Best Selection 2010 และการแยกวง2011: การกลับมาเป็นวงดูโอ, อัลบั้ม Keep Your Head Down และ TONE 2011: การกลับมาเป็นวงดูโอ, อัลบั้ม Keep Your Head Down และ TONE. อัลบั้มแรกหลังจากกลายเป็นวงดูโอคือ Keep Your Head Down วางจำหน่ายที่เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2011 โดยได้อันดับสูงสุดในชาร์ต Gaon เป็นเวลาสองสัปดาห์หลังวางจำหน่าย และยังได้อันดับสูงสุดในชาร์ตครึ่งปีแรกของ Gaon โดยมียอดจำหน่าย 230,922 ชุด และอัลบั้มรีแพคเกจ ยังได้อันดับที่ 9 ในชาร์ตเดียวกัน มียอดจำหน่ายอีก 55,243 ชุด รวมทั้งสิ้น 286,185 ชุด ซิงเกิลแรกหลังจากกลายเป็นวงดูโอคือ "Why? (Keep Your Head Down)" วางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2011 โดยAvex Trax มียอดจำหน่าย 231,000 ชุดในสัปดาห์แรกและยังได้อันดับสูงสุดในชาร์ตโอริกอนประจำวัน, สัปดาห์และเดือน ต่อมาในวันที่ 20 กรกฎาคมได้วางจำหน่ายซิงเกิล "Superstar" มียอดจำหน่าย 184,000 ชุด ได้รับการพิจารณาจาก RIAJ ได้อยู่ในระดับ Gold2012-13: ประสบความสำเร็จสูงสุดที่ญี่ปุ่น, การออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก, อัลบั้ม Catch Me และ Time2014-ปัจจุบัน: อัลบั้ม Tense, Tree, With, ทัวร์ครบรอบสิบปีและการรับใช้ชาติ 2014-ปัจจุบัน: อัลบั้ม Tense, Tree, With, ทัวร์ครบรอบสิบปีและการรับใช้ชาติ. วงทงบังชินกี ได้ประกาศชื่ออัลบั้มภาษาเกาหลีลำดับที่ 7 ใหม่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 ในชื่อ Tense โดยเป็นอัลบั้มฉลองครบรอบ 10 ปีก่อตั้งวงทงบังชินกี วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2014 โดยมียอดขายขึ้นอันดับ 1 ใน Gaon Albums Chart และ Hanteo Albums Chart อยู่ที่ 73,100 ชุด และมียอดขาย 194,198 ชุดในเดือนแรกที่วางจำหน่าย ทำให้กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในเดือนมกราคม 2014 ในเกาหลีใต้ โดยมีนักวิจารณ์เพลงจัดอัลบั้ม Tense อยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีความเห็นตรงกันว่าเป็นอัลบั้มดูโอที่ดีที่สุด ในด้านดนตรี มีส่วนผสมของ นีโอโซล และเพลงป๊อปสมัยก่อน และมีเนื้อเพลงที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในส่วนซิงเกิลนำนั้นคือเพลง "Something" เป็นแนว ป๊อปสวิงแจ๊ซ โดยเปิดตัวติดชาร์ตอันดับที่ 4 ใน Gaon Singles Chart และอันดับ 7 ใน Billboard Korea K-Pop Hot 100, ในญี่ปุ่นได้วางจำหน่ายเพลง "Something" รูปแบบภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับซิงเกิล "Hide & Seek" เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2014 ต่อมาทงบังชินกี ได้วางจำหน่ายซิงเกิลและอัลบั้มชื่อ "Spellbound" ซึ่งเป็นอัลบั้มรีแพคเกจของ Tense เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2014 โดยติดอันดับ 2 ใน Gaon Albums Chart และมียอดขาย 61,405 ชุดภายใน 2 วัน อัลบั้มภาษาญี่ปุ่นอับดับที่ 7 ชื่อ Tree วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2014 เปิดตัวอันดับ 1 ใน Oricon Albums Chart โดยมียอดขาย 225,00 ชุดในสัปดาห์แรก ทำให้ทงบังชินกีกลายเป็นวงดนตรีที่เป็นคนต่างประเทศที่ทำยอดขายในสัปดาห์แรกมากกว่า 200,000 ชุด ติดต่อกันสามอัลบั้ม ทำลายสถิติของ บองโจวี เมื่อสิบสามปีที่แล้ว วงทงบังชินกีได้แยกวงอีกครั้ง หลังยุนโฮได้รายงานตัวเป็นทหารในสังกัดของกองทัพสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2015 โดยก่อนหน้านั้น 1 วันได้ออกอัลบั้มภาษาเกาหลีอันดับที่ 8 Rise as God ต่อมาชางมินก็ได้สมัครเป็นตำรวจเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 โดยทั้งคู่คาดว่าจะปลดประจำการแล้วกลับมาในช่วงปลายปี 2017สมาชิกผลงานอัลบั้ม ผลงานอัลบั้ม. อัลบั้มภาษาเกาหลี- Tri-Angle (2004) - Rising Sun (2005) - "O"-Jung.Ban.Hap. (2006) - Mirotic (2008) - Keep Your Head Down (2011) - Catch Me (2012) - Tense (2014) - Rise as God (2015) อัลบั้มภาษาญี่ปุ่น- Heart, Mind and Soul (2006) - Five in the Black (2007) - T (2008) - The Secret Code (2009) - Tone (2011) - Time (2013) - Tree (2014) - With (2014)คอนเสิร์ตและทัวร์แสดงนำคอนเสิร์ตและทัวร์. แสดงนำ. - ทัวร์ต่างประเทศ - Rising Sun: The 1st Asia Tour (2006) - "O": The 2nd Asia Tour (2007–08) - Mirotic: The 3rd Asia Tour (2009) - (2012–13)- โชว์ในประเทศ - SMTOWN Week: Time Slip (2013)- ทัวร์ประเทศญี่ปุ่น - Heart, Mind and Soul: 1st Live Tour (2006) - Five in the Black: 2nd Live Tour (2007) - T: 3rd Live Tour (2008) - The Secret Code: 4th Live Tour (2009) - (2012) - (2013) - (2014)แสดงร่วมแสดงร่วม. - SMTown Live '08 (2008–09) - SMTown Live '10 World Tour (2010–11) - SMTown Live World Tour III (2012–13)รางวัลและความสำเร็จ
| บอยแบนด์จากประเทศเกาหลีใต้ชื่อว่า ทงบังชินกี มีชื่อเรียกในประเทศญี่ปุ่นว่าอะไร | {
"answer": [
"โทะโฮะชิงกิ"
],
"answer_begin_position": [
159
],
"answer_end_position": [
170
]
} |
1,381 | 42,861 | ชินฮวา ชินฮวา (; ) เป็นวงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลี ในวงประกอบด้วยสมาชิก 6 คน (นักร้องนำ 3 คน และ แร็ปเปอร์ 3 คน) พวกเขาเดบิวท์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1998 พวกเขามีความสุขกับความสำเร็จอย่างมหาศาลร่วมกับวงอย่าง god, Sechs Kies, Baby Vox, Fin. K.L., H.O.T. และ S.E.S. แต่ในขณะที่วงอื่นๆได้ต่างแยกย้ายกันไป ชินฮวาก็ยังคงวางแผงอัลบั้มด้วยยอดขายถล่มทลาย คำว่าชินฮวานั้นเป็นคำในภาษาเกาหลีที่แปลว่า ตำนาน ถูกจดจำในฐานะวงที่ยืนหยัดมายาวนานที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ วงชินฮวาได้วางแผง 13 สตูดิโออัลบั้ม (12 อัลบั้มในภาษาเกาหลี และ หนึ่งอัลบั้มเต็มในภาษาญี่ปุ่น) อัลบั้มรวมฮิต 1 อัลบั้ม อัลบั้มพิเศษ 4 อัลบั้ม และซิงเกิลอีก 4 ซิงเกิล (ซิงเกิลภาษาเกาหลี 3 ซิงเกิล และ ซิงเกิลในภาษาญี่ปุ่น 1 ซิงเกิล) ซึ่งแนวเพลงของวงนั้นได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผลงานของพวกเขาที่ผ่านมานั้น มีทั้งร็อก แร็ป ป็อป บัลลาดและอาร์แอนด์บี ก่อตั้งขึ้นโดยดั้งเดิมภายใต้สังกัด SM Entertainment พวกเขาได้เซ็นต์สัญญากับต้นสังกัดใหม่ Good Entertainment ใน กรกฎาคม ค.ศ. 2003 โดยขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้สังกัด Good Entertainmentในนามชินฮวา สมาชิกทุกคน(ยกเว้น ชินฮเยซอง) ได้ออกจากสังกัดมาตั้งบริษัทของตนเพื่อทุ่มเทให้กับผลงานเดี่ยวของพวกเขา ตั้งแต่การแสดงไปจนถึงการเป็นศิลปินเดี่ยว โดยนอกจากการร้องเพลงและการแสดงในฐานะกลุ่มและเดี่ยวรวมไปถึงการแสดง ชินฮวายังเป็นที่ปรึกษาให้กับวงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลี Battle อีกด้วย ชินฮวายังเป็นที่รู้จักนอกขอบเขตของประเทศเกาหลีอีกด้วย ในฐานะหนึ่งในวงที่มีฐานแฟนคลับที่กระตือรือร้นมากที่สุดทั้งในประเทศเกาหลีและทั่วเอเชีย ที่มีชื่ออย่างเหมาะสมว่า "ชินฮวาชางโจ"(신화창조 ความหมายโดยรูปศัพท์แปลว่า "ผู้สร้างตำนาน") และมีสีประจำวงอย่างเป็นทางการคือ สีส้ม โดยชินฮวาชางโจจะใช้สัญลักษณ์ในการเชียร์เป็นลูกโป่งสีส้มหรือแท่งไฟสีส้ม ในขณะที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในทวีปเอเชีย พวกเขาก็ยังได้แสดงในประเทศต่างๆรอบโลก รวมไปถึง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน เกาหลีเหนือ(แม้ว่าการแสดงจะไม่ได้เป็นที่สนใจนัก) สิงคโปร์ ไทย(แต่ตอนนี้ที่ประเทศไทยก็เป็นที่น่าสนใจนะ) และญี่ปุ่น ปี2008 ชินฮวาแสดงคอนเสร์ตครั้งสุดท้ายที่โอลิมปิกสเตเดียมในโซล พร้อมสัญญากับชางโจว่าจะกลับมาในอีก4ปี เนื่องจากทุกคนต้องเข้ากรมรับใช้ชาติ ระหว่างนั้น ทุกคนก็ทำกิจกรรมเดี่ยวของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละคร หนัง หรือออกอัลบัมเดี่ยว จากนั้นในวันที่24 มีนาคม 2012 ชินฮวาก็กลับมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับแฟนเพลงทุกคน พวกเขาถือเป็นบอยแบนด์ระดับตำนาน ที่ไอดอลรุ่นหลังให้ความเคารพ และเป็นวงเดียว ที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนสมาชิก ซึ่งการกลับมาครั้งนี้บัตรคอนเสิร์ตมากกว่า25000 ที่ ขายหมดภายในเวลา40นาที นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีชินฮวาก็ยังเป็นที่นิยมเสมอ นอกจากนี้ในปี2012 ชินฮวาก็ได้ทำรายการวาไรตี้โชว์ของตัวเอง ชื่อว่า Shinhwa Broadcast(ชินฮวาบังซง) ซึ่งได้รับเรตติ้งดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยดำเนินการภายใต้บริษัท Shinhwa Company บริษัทของวง ซึ่งเป็นเครื่องการัยตีได้ว่าพวกเขามาไกลขนาดไหน และไม่รู้ว่าในอนาคต จะมีวงเกาหลีซักกี่วงที่จะทำได้แบบพวกเขาสมาชิก สมาชิก. ชินฮวามีสมาชิกทั้งหมดรวม 6 คนด้วยกันเอริค มุนเอริค มุน. - ชื่อในวงการ : เอริค มุน () - ชื่อจริง: มุน จองฮยอก (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : (หัวหน้าวง) แร็ปเปอร์หลักอีมินอูอีมินอู. - ชื่อในวงการ : อี มินอู (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : นักร้องเสริม นักเต้นหลักคิมดงวานคิมดงวาน. - ชื่อในวงการ : คิม ดงวาน (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : นักร้องเสียงหลักชินฮเยซองชินฮเยซอง. - ชื่อในวงการ : ชิน ฮเยซอง (; ) - ชื่อจริง: จอง พิล-กโย (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : นักร้องนำจอนจินจอนจิน. - ชื่อในวงการ : จอนจิน (; ) - ชื่อจริง: ปาร์ค ชูง แจ (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : แร็ปเปอร์นำ ร้องเสริม นักเต้นนำแอนดี้แอนดี้. - ชื่อในวงการ : แอนดี้ (; ) - ชื่อจริง: อี ซอนโฮ (; ) - วันเกิด : - ตำแหน่งในวง : แร็ปเปอร์หลัก , มักเน่ผลงานอัลบั้มอัลบั้มภาษาเกาหลีผลงานอัลบั้ม. อัลบั้มภาษาเกาหลี. - 해결사 (9 พ.ค. 1998) - T.O.P (4 เม.ย. 1999) - Only One (27 พ.ค. 2000) - Hey, Come On! (28 ก.ค. 2001) - Perfect Man (29 มี.ค. 2002) - Wedding (6 ธ.ค. 2002) - Brand New (27 ส.ค. 2004) - State of the Art (11 พ.ค. 2006) - Shinhwa Vol.9 (3 เม.ย. 2008) - The Return (22 มี.ค. 2012) - This Classic Vol.11 (16 พ.ค.2013) - We Vol.12 (3 ก.พ. 2015) - Unchanging Touch Vol.13 (2 ม.ค. 2017)ซิงเกิลภาษาเกาหลีซิงเกิลภาษาเกาหลี. - How Do I Say (8 ส.ค. 2004) - Hey, Dude (4 เม.ย. 2005) - Summer Story Tropical 2005 (10 ส.ค. 2005)อัลบั้มภาษาญี่ปุ่นอัลบั้มภาษาญี่ปุ่น. - Inspiration #1 (16 ส.ค. 2006)ซิงเกิลภาษาญี่ปุ่นซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น. - Bokura no Kokoro ni wa Taiyō ga Aru [This Is The Sun In Our Hearts] (14 มิ.ย. 2006)อัลบั้มรวม (Winter Stories)อัลบั้มรวม (Winter Stories). - Winter Story 2003-2004 (30 ธ.ค. 2003) - Winter Story 2004-2005 (20 ธ.ค. 2004) - Winter Story 2006-2007 (25 ม.ค. 2007) - Winter Story 2007-2008 (6 ธ.ค. 2007)อัลบั้มรวมฮิตอัลบั้มรวมฮิต. - My Choice (31 ม.ค. 2002) อัลบั้มล่าสุด หลังห่างหายไป 4ปี
| สีประจำวงของวงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลี ชินฮวา คือสีอะไร | {
"answer": [
"ส้ม"
],
"answer_begin_position": [
1605
],
"answer_end_position": [
1608
]
} |
1,382 | 596,732 | ก็อตเซเวน ก็อตเซเวน (; ) เป็นกลุ่มดนตรีชายเกาหลีใต้ สังกัดค่ายเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวนเจ็ดคนคือ เจบี, มาร์ก, แจ็กสัน, จินย็อง, ย็องแจ, แบมแบม และยูกย็อม เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม 2557 กับอีพีชื่อ กอตอิต ? (Got It?) ซึ่งขึ้นสูงสุดที่อันดับที่ 2 บน กาออนอัลบั้มชาร์ต และอันดับที่ 1 บนชาร์ต บิลบอร์ด เวิลด์อัลบั้มชาร์ต กลุ่มได้รับความสนใจจากการแสดงบนเวทีของพวกเขา ซึ่งรวมถึงองค์ประกอบศิลปะการต่อสู้แบบทริกกิง (martial arts tricking) ที่ทำให้กลุ่มกลายเป็นที่รู้จักประวัติปี 2557 : การเปิดตัวของวง ประวัติ. ปี 2557 : การเปิดตัวของวง. เมื่อวันที่ 16 มกราคม ปี 2557 วงก็อตเซเวนได้เปิดตัวด้วยมินิอัลบั้มชื่อ 'ก็อตอิต? (Got it?) 'กับเพลง 'เกิร์ล เกิร์ล เกิร์ล' ต่อมาเดือนมิถุนายน ปี 2557 ได้ปล่อยมินิอัลบั้มที่สอง 'ก็อตเลิฟ โดยมีเพลง ''เอ'' เป็นเพลงไทเทิล ปลายปี 2557 ก็อตเซเวนเซ็นสัญญากับโซนีมิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์เจแปน และได้เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นเพื่อเปิดตัวซิงเกิลภาษาญี่ปุ่น "อราวน์เดอะเวิลด์" เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2557 พวกเขากลับมาที่เกาหลีใต้เพื่อออกสตูดิโออัลบั้ม 'ไอเดนทิฟาย' ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของวงกอตเซเวน โดยมีเพลงไทเทิลชื่อ 'Stop Stop It'ปี 2558 : ลุคที่หลากหลาย ปี 2558 : ลุคที่หลากหลาย. ในปี 2558 ก็อตเซเวนเปิดตัวมินิอัลบั้มที่สามชื่อ จัสต์ไรต์ และมีเพลงไทเทิลชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม ซึ่งเป็นเพลงที่ให้กำลังใจผู้ที่ฟังเพลง พร้อมทั้งมีแนวคิดเพลงและเสื้อผ้าที่แสดงให้เห็นความน่ารักสดใสขี้เล่นของสมาชิกในวง เมื่อ 30 กันยายน 2558 ได้ออกมินิอัลบั้มที่สี่ แมด โดยมีเพลง 'อิฟ ยู ดู (If You Do)' เป็นเพลงไทเทิล และเป็นอัลบั้มแรกที่มีปรับคอนเซ็ปท์มาเป็นลุคหนุ่มเท่และดูโตขึ้น ในอดีตกลุ่มประสบความล้มเหลวในชาร์ตเพลงมาโดยตลอด แต่ซิงเกิลเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการตอบรับเชิงพาณิชย์ คือ เพลง"จัสต์ไรต์"ปี 2559 : บทเริ่มต้นไตรภาค Flight Log ปี 2559 : บทเริ่มต้นไตรภาค Flight Log. ในปี 2559 กลุ่มได้ออกสตูดิโออัลบั้มเป็นภาษาญี่ปุ่นชื่อว่า Moriagatteyo เปิดตัวที่อันดับที่ 3 บนออริคอนอัลบั้มชาร์ต เมื่อ 21 มีนาคม 2559 พวกเขาปล่อยมินิอัลบั้มที่ห้า ซึ่งมีเพลง 'ฟลาย (Fly)' เป็นเพลงไทเทิล เมื่อ 27 กันยายน 2559 ได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่สอง ซึ่งมีเพลง 'ฮาร์ดแครี่ (Hard Carry)' เป็นเพลงไทเทิลปี 2560 : บทอวสานไตรภาค Flight Log และมิตรภาพของพวกเขาทั้ง 7 คน ปี 2560 : บทอวสานไตรภาค Flight Log และมิตรภาพของพวกเขาทั้ง 7 คน. ในเดือนมีนาคม 2560 มิวสิกวิดีโอเพลง "จัสต์ไรต์" มียอดการชมผ่านยูทูบเกิน 100 ล้านครั้ง ทำให้ก็อตเซเวนเป็นกลุ่มดนตรีชายของเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์กลุ่มแรกที่ได้ความสำเร็จครั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560 ปล่อยมินิอัลบั้มที่หก โดยมีเพลงไตเติล "เนเวอร์เอฟเวอร์" เป็นเพลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ อัลบั้มนี้นับเป็นครั้งที่สามและเป็นอัลบั้มสุดท้ายของชุด ไฟลต์ล็อก เมื่อ 10 ตุลาคม 2560 ได้ปล่อยมินิอัลบั้มที่ 7 ชื่อ '7 ฟอร์ 7 (7 FOR 7)' ซึ่งมีคอนเซ็ปท์เกี่ยวกับมิตรภาพของทั้ง 7 คน และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม ซึ่งเรื่องราวในมิวสิควีดีโอของเพลง 'ยู อาร์ (You Are)' ซึ่งเป็นเพลงไทเทิล เป็นการเล่าถึงที่ความเป็นมาของวง จนมารวมกันเป็น 7 คน โดยแต่ละคนจะมีสร้อยที่มีจี้เป็นทรงสามเหลี่ยมที่เมื่อนำมาต่อกันจะได้เป็นรูปเจ็ดเหลี่ยม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวงก็อตเซเวน นอกจากนี้ ในอัลบั้มมีทั้งหมด 7 เพลง และเป็นการคัมแบ็คในรอบ 7 เดือนสมาชิกผลงานเพลงผลงานเพลง. - อัลบั้มเกาหลี - ไอเดนทิฟาย (2557) - (2559)- อัลบั้มญี่ปุ่น - โมริกัตเตโย (Moriagatteyo) (2559)ผลงานการแสดงละครโทรทัศน์ผลงานการแสดง. ละครโทรทัศน์. - Dream Knight (2558)คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต. เวิลด์ทัวร์. - Fly Tour (2016) - Got7 World Tour 'Eyes On You' (2018)รางวัล
| วงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลี ก็อตเซเวน เปิดตัวเมื่อปีพ.ศ.ใด | {
"answer": [
"2557"
],
"answer_begin_position": [
615
],
"answer_end_position": [
619
]
} |
1,383 | 442,495 | เอ็กโซ (วงดนตรี) เอ็กโซ (; เขียนเป็น EXO) วงดนตรีบอยแบนด์สัญชาติจีนและเกาหลีใต้ ก่อตั้งขึ้นที่โซล ภายใต้สังกัด SM เอนเตอร์เทนเมนต์ EXO ฟอร์มวงขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 2011 และเปิดตัวในปี 2012 มีสมาชิกทั้งหมด 9 คน คือ ซูโฮ, แบ็กฮย็อน, ชันย็อล, ดี.โอ., ไค, เซฮุน, ซิ่วหมิน, เลย์ และ เฉิน พวกเขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความแปลกใหม่ของแนวเพลง ซึ่งเป็นที่ยอมรับและถูกชื่นชมในการนำดนตรีที่หลากหลายเข้ามาใช้ในการผลิตผลงาน ไม่ว่าจะเป็น ป็อป, ฮิปฮอป, อาร์แอนด์บี, อีดีเอ็ม รวมถึง เฮาส์, แทร็ป และ ซินท์ป็อป EXO ทำการแสดงดนตรีในภาษาเกาหลี, แมนดาริน และญี่ปุ่น ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พวกเขาถูกจัดอันดับให้เป็นที่สุดของกลุ่มคนผู้มีชื่อเสียงในการจัดอันดับผู้ทรงอิทธิพลในเกาหลีโดยนิตยสารฟอบส์ ในปี 2014 และในปี 2015 EXO ก็ถูกยกย่องให้เป็น "บอยแบนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" โดยสื่อสาธารณะ เดิมที EXO เปิดตัวด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน แยกเป็นสองกลุ่มย่อย คือ เอ็กโซ-เค (EXO-K) (ซูโฮ, แบ็กฮย็อน, ชันย็อล, ดี.โอ., ไค, เซฮุน) และ เอ็กโซ-เอ็ม (EXO-M) (ซิ่วหมิน, เลย์, เฉิน และอดีตสมาชิก คริส ลู่หาน เทา) โดยมีจุดมุ่งหมายเดิมคือให้โปรโมทแยกกันระหว่างเกาหลีใต้-จีน อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่มีการแยกกันโปรโมทเพลงคือในช่วงปี ค.ศ. 2014 หลังจากนั้นเป็นต้นมา EXO ก็ได้ปฏิบัติงานในฐานะวงเดี่ยวพร้อมทั้งทำการแสดงและปล่อยผลงานในหลากหลายภาษามาโดยตลอด อัลบั้มเต็มชุดแรกของ EXO 'XOXO' (ปี 2013) กับซิงเกิลยอดฮิตอย่าง "'Growl" ได้สร้างชื่อเสียงเป็นปรากฏการณ์ให้กับวงอย่างมากมาย EXO ชนะรางวัลแดซังในงาน Golden Disc Awards ครั้งที่ 28 และรางวัล Album of the Year (อัลบั้มแห่งปี) ในงาน Mnet Asian Music Awards ครั้งที่ 15 ตัวอัลบั้มสามารถทำยอดขายได้ถึงหนึ่งล้านชุด ส่งผลให้ EXO เป็นกลุ่มไอดอลที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดในรอบ 12 ปี รวมถึงอัลบั้มและผลงานถัด ๆ มา พวกเขาก็ยังสามารถรักษายอดขายไว้ได้อย่างต่อเนื่อง อัลบั้มเต็มชุดที่สอง 'EXODUS' (ปี 2015) และอัลบั้มชุดที่สามของพวกเขา 'EX'ACT' (ปี 2016) ก็ยังสามารถจำหน่ายได้หลักล้านชุดเช่นเดียวกัน ผลงานอัลบั้มนี้รวมถึงอีพี Overdose (ปี 2014) ของพวกเขาชนะรางวัลมากมายไมว่าจะเป็นรางวัลแดซัง สาขาอัลบั้ม สามครั้งติดต่อกันในงาน Golden Disc Awards ครั้งที่ 29, 30 และ 31ชนะรางวัล Album of the Year สามครั้งติดในงาน Mnet Asian Music Awards ครั้งที่ 16, 17 และ 18 เช่นเดียวกันกับรางวัลแดซังในงานประกาศรางวัล Seoul Music Awards ครั้งที่ 24, 25 และ 26 อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ของพวกเขา 'The War (ปี 2017) กลายเป็นอัลบั้มที่สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากที่สุดของ EXO ด้วยตัวเลขกว่า 1 ล้าน 6 แสน ชุด ในประเทศเกาหลีใต้ EXO ยังคงขึ้นรับรางวัล Artist of the Year (ศิลปินแห่งปี) เป็นปีที่สอง ในงาน Melon Music Awards ครั้งที่ 9 และสามารถรักษามาตรฐานของตนโดยมุ่งหน้าทำลายสถิติของตนเองด้วยการคว้ารางวัล Album of the Year ได้เป็นปีที่ 5 ได้ในงานประกาศรางวัล Mnet Asian Music Awards ครั้งที่ 19 นอกจากนั้นเองอัลบั้ม The War ก็ยังเป็นอัลบั้มที่ขึ้นอันดับสูงสุดบนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ของพวกเขาประวัติ2006-2012: การก่อตั้งวงและการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ประวัติ. 2006-2012: การก่อตั้งวงและการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ. หัวหน้าของกลุ่ม EXO-K ซูโฮ เป็นคนแรกที่ได้เข้ามารับการฝึกฝนในค่าย SM เอนเตอร์เทนเมนต์ หลังจากออดิชั่นผ่านในระบบแคสติ้งเมื่อปี ค.ศ. 2006 ในปีถัดมา ไค ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทางครอบครัวในเส้นทางนี้เองก็ได้ชนะการออดิชั่นในการประกวด SM Youth Best Contest และได้เซ็นสัญญาเข้ามาในทันที เช่นเดียวกับ ชันย็อล ซึ่งได้อันดับที่ 2 ในการประกวด Smart Model Contest พร้อมทั้ง เซฮุน ที่ถูกพบและทาบทามโดยแมวมองของทางค่ายและได้รับการแคสติ้งเข้ามาภายในบริษัท ภายในปี 2008 และในปี 2010 ดี.โอ. ซึ่งได้รับข้อเสนอในการเซ็นสัญญาจากทางค่ายหลังจากที่เห็นคุณสมบัติในตัวเขาจากการออดิชั่นก็ได้เข้าสังกัดเป็นลำดับถัดมา โดยสมาชิกคนสุดท้ายของฝั่ง EXO-K ก็คือ แบ็กฮย็อน ซึ่งได้เข้ามาในบริษัทด้วยระบบแคสติ้งภายในปี 2011 และใช้เวลาฝึกฝนอยู่ประมาณเพียงหนึ่งปีเท่านั้นจึงเดบิวต์สู่สายตาสาธารณชน สำหรับฝั่ง EXO-M คริส ได้ผ่านการออดิชั่น Global Audition จากประเทศแคนาดาในปี ค.ศ. 2008 เขาได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้เพื่อฝึกฝนเพื่อเป็นศิลปิน เช่นเดียวกันในปีเดียวกันนั้นเอง เลย์ ก็ได้ผ่านการออดิชั่นจากฉางชาและย้ายมาในประเทศเกาหลี ในขณะที่ ซิ่วหมิน เองก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกันกับเพื่อนของเขาและชนะอันดับที่ 2 ในการออดิชั่นได้ในปี 2010 ลู่หาน นั้นถูกทาบทามเข้ามาในสังกัดโดยตัวแทนของทางค่ายในขณะที่เขาเดินเที่ยวอยู่ในมย็องดงและผ่านการออดิชั่นเข้ามาในเวลาถัดมา เช่นเดียวกับ เทา ซึ่งถูกทาบทามจากรายการโชว์ทักษะพิเศษ และสมาชิกคนสุดท้ายซึ่งก็คือ เฉิน เขาผ่านเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกได้โดยผ่านการแคสติ้งจากทางค่ายในปี ค.ศ. 2011 สมาชิก เลย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการแข่งขันจัดหาศิลปินในประเทศจีน Idol Producer เกี่ยวกับการก่อตั้งวง EXO ว่า จากเด็กฝึกหัดทั้งหมด 120 คน 20 คนนั้นตกรอบเหลือเพียง 100 คน 60 คนเป็นผู้ถูกเลือกหลังจากนั้นก็มีการทดสอบคัดเหลือผู้ที่มีคุณสมบัติเพียง 24 คนเท่านั้น ในแต่ละอาทิตย์จะมีการทดสอบซึ่งจะมีหนึ่งคนถูกตัดออกเสมอ จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเมมเบอร์ 12 คนที่ได้กลายเป็น EXO โดยในเดือนมกราคม 2011 อี ซู-มัน ได้ประกาศว่าจะมีการเปิดตัวบอยแบนด์กลุ่มใหม่ในเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2011ซึ่งรูปของสมาชิก 7 คนที่ได้ใช้ชื่อกลุ่มว่า M1 ขณะที่กำลังซ้อมเต้นอยู่ได้รั่วไหลทางสื่อออนไลน์ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2011 อี ซู-มัน ได้พูดถึงวงดังกล่าวกับกระแสธุรกิจฮันรยูในการสัมมนา ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งในการสัมมนาครั้งนั้นเอง เขาได้อธิบายเหตุผลในการแบ่งกลุ่มดังกล่าวเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ M1 และ M2 โดยจะทำการโปรโมทด้วยเพลงเดียวกันทั้งในเกาหลีและจีน ซึ่งนายอีเองได้วางแผนไว้ว่าจะเปิดตัววงดังกล่าวได้ในเดือนพฤษภาคม 2011 แต่การเปิดตัวต้องล่าช้าออกไป รวมทั้งไม่มีข่าวคราวของวงดังกล่าวจนถึงเดือนตุลาคม 2011 เมื่อถึงเดือนธันวาคม ปี 2011 ทางกลุ่มได้ถูกเปิดตัวภายใต้ใช้ชื่อว่า EXO (เอ็กโซ) พร้อมกับสมาชิก 12 คน โดยมีการเผยแพร่คลิปทีเซอร์ที่อัปโหลดผ่านในยูทูบทั้งหมด 23 คลิป ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2011 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2012เป็นการเปิดตัว โดยที่ ไค, เฉิน รวมถึงอดีตสมาชิกอย่าง ลู่หาน และ เทา เป็นสมาชิก 4 คนแรกที่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกในรายการ Gayo Daejun ของสถานีโทรทัศน์ SBS ในวันที่ 29 ธันวาคม 2011 EXO-K และ EXO-M ได้ปล่อยซิงเกิลเปิดตัว MAMA ในวันที่ 8 เมษายนตามมาด้วยการปล่อยอีพี MAMA ในวันที่ 9 เมษายน โดยในวันก่อนหน้านั้น EXO-K ได้มีการแสดงเปิดตัวในรายการ ดิ มิวสิก เทรนด์ ในขณะที่ EXO-M ก็ได้แสดงในงาน China's 12th Yinyue Fengyun Bang Awards ในวันเดียวกัน หลายวันถัดมา เพลงดังกล่าวก็อยู่ในอันดับที่ 1 ของเว็บไซต์เพลงออนไลน์ และชาร์ตเพลงในจีนโดยอัลบั้มของ EXO-M อยู่ในอันดับที่ 2 บน ซินา อัลบั้ม ชาร์ต ของจีน ,อันดับที่ 5 บน กาอน ซิงเกิล ชาร์ต ของเกาหลีใต้ และอันดับที่ 12 บน บิลบอร์ด เวิลด์ อัลบั้ม ชาร์ตส่วนอัลบั้มของ EXO-K อยู่ในอันดับที่ 1 บน กาอน ซิงเกิล ชาร์ต และอันดับที่ 8 บน บิลบอร์ด เวิลด์ อัลบั้ม ชาร์ตในขณะที่มิวสิกวีดีโอ MAMA ของ EXO-M อยู่ในอันดับที่ 1 ของเว็บสตรีมมิงของจีน ส่วนของ EXO-K ก็อยู่ในอันดับที่ 7 บน ยูทูบ โกลบอล ชาร์ต2013-2014: อัลบั้มสตูดิโอชุดแรกและทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก, การประสบความสำเร็จ, คริสและลู่หานยื่นฟ้องต่อสังกัด 2013-2014: อัลบั้มสตูดิโอชุดแรกและทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก, การประสบความสำเร็จ, คริสและลู่หานยื่นฟ้องต่อสังกัด. 31 พฤษภาคม 2013 EXO comeback เพลง Wolf ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรก XOXO หลังจากห่างหายไปนานเกือบ 1 ปี บนเวที M countdown ซึ่งการ comeback ครั้งนี้ EXO-K และ EXO-M ได้กลับมารวมตัวกันทั้ง 12 คน หลังจากจบการโปรโมตเพลง Wolf บนเวที Inkigayo ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2013 EXO ได้ comeback อีกครั้ง ในเพลง Growl ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม Repackage XOXO ซึ่งอัลบั้มนี้ได้เพิ่มเพลงใหม่ 3 เพลง ได้แก่ Growl, Lucky, XOXO และในวันที่ 1 สิงหาคม 2013 EXO ได้ comeback stage บนเวที M countdown และในเดือนกันยายน เป็นช่วงจบการโปรโมตของเพลง Growl บนเวที Music Core ในวันที้ 7 กันยายน 2013 ซึ่งเพลง Growl ได้ความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ EXO ได้รับรางวัลจากงานต่างๆมากมาย เช่น Song Of The Years หรือ Album Of The Years ซึ่งอัลบั้ม Repackage XOXO มียอดขาย 500,000 ก๊อปปี้ สร้างสถิติกลุ่มศิลปินที่ขายอัลบั้มได้มากที่สุดในปี 2013 จนกระทั่ง EXO comeback อีกครั้ง ในมินิอัลบั้ม Miracle In December โดย โปรโมตเพลง Miracle In December ซึ่งในช่วงแรก จะมีแค่ แบคฮยอน, เฉิน และดีโอ มาโปรโมต ต่อมาก็ได้มี ลู่หาน และ เลย์ มาสมทบด้วย และในช่วงหลังๆการโปรโมตเพลง Miracle In December ก็จะมีเพลง Christmas day เป็น Special satge ซึ่งได้โปรโมตทั้ง 12 คน และในวันที่ 5 ธันวาคม 2013 EXO ได้ comeback stage บนเวที M! Countdown วันที่ 1 เมษายน 2014 SM เอนเตอร์เทนเมนต์ ได้แถลงว่า EXO จะเริ่มโปรโมทมินิอัลบัมใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยได้ปล่อยรูปทีเซอร์เดี่ยวออกมา และมีชื่อของเพลงไตเติ้ลว่า "Overdose" ในวันที่ 15 เมษายน 2014 เวลาราว 20:00 น. EXO ได้แสดง comeback showcase โดยออกอากาศผ่านทาง Samsung Music ในระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นที่แรกในการปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง Overdose ให้แฟนๆได้รับชม รวมทั้งได้แสดงเพลงฮิตเก่าๆ ของพวกเขาในโชว์เคสครั้งนี้ด้วย โดย EXO ได้โปรโมทมินิอัลบัมนี้ทั้ง 2 ประเทศ คือ เกาหลีและจีนไปพร้อมกันเช่นเคย แต่ด้วยสถานการณ์ของเกาหลีใต้เรื่องอุบัติเหตุเรือเฟอร์รี่ในเวลานั้น ทำให้ EXO-K ต้องเลื่อนโปรโมทที่เกาหลีใต้ออกไปก่อน ส่วนทางด้าน EXO-M ได้คัมแบ็คที่จีนในวันที่ 19 เมษายน 2014 บนเวที Global Chinese Music โดยในตอนแรกมินิอัลบัมนี้จะถูกปล่อยออนไลน์ในวันที่ 21 เมษายน แต่ถูกเลื่อนออกไปเป็น 7 พฤษภาคม 2014 จึงทำให้เพลง Overdose ของพวกเขาได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากชาร์ตเพลง จนได้รับ "All-kill" ภายในเวลา 7 ชั่วโมงหลังจากที่ปล่อยเพลงออกมา2015-2017: ผลงานเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวาง, เทายื่นฟ้องต่อสังกัด, คริสและลู่หานถอนตัวออกจากวง2018–ปัจจุบัน: อัลบั้มเต็มชุดแรกในประเทศญี่ปุ่น, การแสดงสดที่สนามกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวและการได้รับการยอมรับ 2018–ปัจจุบัน: อัลบั้มเต็มชุดแรกในประเทศญี่ปุ่น, การแสดงสดที่สนามกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวและการได้รับการยอมรับ. ในวันที่ 16 มกราคม "Power" ได้ถูกนำไปเปิดในงานแสดงน้ำพุแห่งดูไบ ณ ทะเลสาบบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นเพลงสัญชาติเกาหลีเพลงแรกที่ได้ใช้ในงานแสดงนี้ การแสดงน้ำพุจะควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แสดงประกอบดนตรีพร้อมแสงสีอย่างอลังการ สมาชิกวง EXO ทั้ง 7 คน (ไม่รวม ดี.โอ. และ เลย์) เองก็ได้เดินทางเพื่อไปชมงานแสดงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยตามกำหนดแล้วนั้นเพลง "Power" จะถูกเปิดในการแสดงน้ำพุนี้ไปจนสิ้นเดือนมกราคม อย่างไรก็ตามกำหนดการดังกล่าวได้ถูกเลื่อนขยายออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม จึงนับได้ว่าโชว์น้ำพุนั้นใช้เพลงนี้ในการทำการแสดงทั้งหมด 5 ครั้งต่อสัปดาห์ด้วยกัน ในวันที่ 31 มกราคม EXO ได้ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขาในประเทศญี่ปุ่น ชื่อว่า COUNTDOWN อัลบั้มได้เปิดตัวบนชาร์ตรายสัปดาห์ด้วยอันดับที่ 1 บนชาร์ตชื่อดังอย่าง ออริคอน โดยสามารถทำยอดขายรวมได้ประมาณ 89,000 ชุด ทำให้ EXO เป็นศิลปินต่างชาติกลุ่มแรกในญี่ปุ่นที่สามารถนำผลงานทั้งซิงเกิลและอัลบั้มเต็มขึ้นสู่อันดับที่ 1 บนชาร์ตรายสัปดาห์ของออริคอนได้ โดยภายใน 10 วันหลังจากเปิดตัวอัลบั้ม ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ COUNTDOWN ก็ได้รับการรับรองอยู่ในระดับ 'ทองคำ' โดยสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงของญี่ปุ่น ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ได้มีการประกาศว่า EXO ได้เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงปิดงาน โอลิมปิกฤดูหนาว 2018 ที่เมืองพย็องชังในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ในฐานะตัวแทนของอุตสาหกรรมเพลงเคป็อปร่วมกับ ซีแอล EXO ได้เปิดฉากการแสดงที่ยอดเยี่ยมด้วยการโชว์เพลงยอดฮิตอย่าง Growl และ Power การแสดงครั้งนี้ได้ยกระดับอุตสาหกรรมวงการเพลงของเคป็อปไปอีกขั้น โดยได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้คนทั่วโลกและถือได้ว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงเกาหลีที่ไม่มีกลุ่มใดเคยทำมาก่อน และก่อนหน้านั้นเอง แบ็กฮย็อนหนึ่งในสมาชิกวง EXO ได้รับเกียรติให้ร่วมขับร้องเพลงชาติในพิธีเปิดงานต้อนรับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งวง EXO นั้นก็ได้ทำการแสดงบนเวทีพิเศษในคอนเสิร์ตนับถอยหลัง 100 วัน สู่วันเปิดงาน โอลิมปิกฤดูหนาว 2018 ไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2017 ด้วยเช่นกัน ในเดือนมีนาคมถัดมา โรงกษาปณ์แห่งชาติเกาหลีที่ได้รับผิดชอบในการผลิตเหรียญรางวัลงานแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวได้ออกมาประกาศว่าจะผลิตเหรียญที่ระลึกขึ้นสำหรับ EXO เพื่อเป็นเกียรติให้กับการที่พวกเขาได้ขึ้นเป็นจุดศูนย์กลางของกระแสความนิยมในวงการเพลงเกาหลีใต้ ซึ่ง EXO เป็นศิลปินกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวในขณะนี้ที่ได้รับเกียรตินี้จากหน่วยงานของรัฐบาล โดยทางโรงกษาปณ์มีแผนที่จะปล่อยเหรียญที่ระลึกออกมาในช่วงกลางเดือนเมษายนสมาชิกยูนิตย่อยและกิจกรรมเดี่ยวของสมาชิก ยูนิตย่อยและกิจกรรมเดี่ยวของสมาชิก. ในวันที่ 5 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2016 ทางบริษัท SM เอนเตอร์เทนเมนต์ได้ประกาศเปิดตัวยูนิตย่อยแรกของ EXO ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสามคนคือ เฉิน, แบ็กฮย็อน และซิ่วหมิน ที่ได้มีผลงานร่วมกันร้องเพลงประกอบละครหลัก เพลง "For You" ให้กับละครโทรทัศน์สถานี SBS เรื่อง ข้ามมิติ ลิขิตสวรรค์ ไปก่อนหน้าไม่นานนัก โดยในวันที่ 24 ภายในเดือนเดียวกัน ทางยูนิตก็ได้ถูกเปิดเผยในชื่อที่เรียกว่า EXO-CBX ซึ่ง "CBX" นั้นมีความหมายจากการนำตัวอักษรภาษาอังกฤษพยัญชนะแรกของทั้งสามคน (Chen, Baekhyun และ Xiumin มาย่อเหลือเป็น CBX โดยสามารถเรียกชื่อในภาษาอังกฤษคือ ซีบีเอกซ์ หรือภาษาเกาหลี เฉินแบ็กชิ) EXO-CBX ได้ปรากฏตัวสู่สายตาสาธารณะชนครั้งแรกด้วยผลงานเพลงเอกซ์เทนเดดเพลย์ เพลง "Hey Mama!" และมิวสิกวิดีโอในชื่อเพลงเดียวกันก็ได้ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 31 ตุลาคม อัลบั้มของพวกเขาจัดว่าอยู่ในขั้นประสบความสำเร็จโดยสามารถทำยอดขายได้มากที่สุดในหมวดศิลปินยูนิตย่อยในปี 2016 ด้วยตัวเลขกว่า 275,191 ชุดด้วยกัน EXO-CBX ได้เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 24 พฤษภาคมปี 2017 ด้วยผลงานเอกซ์เทนเดดเพลย์ Girls ซึ่งก่อนปรากฏตัวในประเทศญี่ปุ่นนั้น พวกเขาได้ปล่อยมิวสิกวิดีโอของเพลงโปรโมทหลัก "Ka-CHING!" มาก่อนแล้วในวันที่ 30 เมษายน ปี 2017 โดยหลังปล่อยตัวอัลบั้มออกมาแล้วเอง พวกเขาสามารถทำยอดขายได้กว่า 60,000 ชุด และสามารถขึ้นไปสู่อันดับต้น ๆ ในชาร์ตการจัดอันดับอัลบั้มของชาร์ตแกออนประเทศเกาหลีใต้ได้ด้วยเช่นกันบทบาทด้านอื่นในวงการพรีเซนเตอร์โฆษณา บทบาทด้านอื่นในวงการ. พรีเซนเตอร์โฆษณา. ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 2013 EXO ได้มีบทบาทในการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์เสื้อผ้า โคลอนสปอร์ต ทางแบรนด์ได้ตั้งชื่อรุ่นรองเท้าตามชื่อของพวกเขาคือ MOVE-XOนอกจากนี้เองทางวงก็ได้เปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองที่เรียกว่า Boy Who Cried Wolf (BWCW) ซึ่งเป็นการหุ้นกับแบรนด์เสื้อผ้าสไตล์สตรีทหลากหลายยี่ห้อด้วยกัน โดยร้านค้าของแบรนด์นั้นตั้งอยู่ที่ OUTLAB ถนนชินซาดงคาโรซูกิล อีกทั้ง EXO ก็ได้มีสัญญาเป็นจำนวนสองปีกับแบรนด์เครื่องสำอางค์ Nature Republic ด้วยเช่นกันปัจจุบันวง EXO ได้ทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์สินค้ามากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง, แบรนด์เสื้อผ้า SPAO, ไอศกรีมบาสกิ้น รอบบิ้นส์, ชุดนักเรียนไอวีคลับ, แบรนด์แฟชั่น MCM, ขนมเปเปโร, ลอตเต้เวิลด์, ห้างสรรพสินค้าปลอดภาษีลอตเต้ดิวตี้ฟรี, ชาเย็นคังชือฝุ, หมวกแฮทส์ออน, ไก่กุมเน, และรองเท้ากีฬาสเก็ตเชอร์สการช่วยเหลือสังคม การช่วยเหลือสังคม. สมาชิกฝั่ง EXO-K ได้รับเกียรติให้เป็นทูตสันถวไมตรีสำหรับงาน Red Cross Youth ในประเทศเกาหลีใต้ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2012 EXO และ นักแสดงสาว แพ ดู-นา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีร่วมกันอย่างเป็นทางการในงาน Fashion-KODE ปี 2014 ซึ่งมีกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยวของเกาหลีและหน่วยงานจัดงานเทศกาลแฟชั่นของเกาหลีร่วมกันเป็นเจ้าภาพในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2014 และในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน บริษัทซัมซุงได้ประกาศให้ EXO เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน 2014 ในปี ค.ศ. 2015 EXO ได้เข้าร่วมโปรเจกต์ "Smile for U" ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างบริษัท SM เอนเตอร์เทนเมนต์ และ ยูนิเซฟ ที่ได้จัดโครงการการกุศลทางด้านการศึกษาสาขาดนตรีเพื่อเยาวชนในทวีปเอเชีย โดยทางสังกัดได้นำเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากอัลบั้มฤดูหนาวชุดที่สอง Sing for You และอัลบั้มเต็มชุดที่สามของพวกเขา EX'ACT บริจาคเพื่อส่วนรวม ทั้งนี้เองสมาชิกที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้ก็คือ ไค และ เซฮุนผลงานเพลงอัลบั้มเกาหลีผลงานเพลง. อัลบั้มเกาหลี. - XOXO (2013) - EXODUS (2015) - EX'ACT (2016) - The War (2017)อัลบั้มญี่ปุ่นอัลบั้มญี่ปุ่น. - COUNTDOWN (2018)ผลงานด้านการแสดง ผลงานด้านการแสดง. รายการเรียลลิตี้- 2013: EXO's Showtime - 2014: XOXO EXO - 2014: - 2015: SurpLines EXO (ไลน์ทีวี) (เข้าร่วมโดย ซิ่วหมิน, ชันย็อล, ไค, เซฮุน และอดีตสมาชิก เทา) - 2015: EXO Channel - 2017: EXO Tourgram ละครโทรทัศน์- 2015: EXO Next Door ดีวีดี- 2014: EXO's First Box - 2015: EXO FROM. EXOPLANET #1 - THE LOST PLANET in Japan - 2015: EXO FROM. EXOPLANET #1 - THE LOST PLANET in Seoul - 2015: EXO's Second Box - 2016: EXOPLANET 2 - The EXO'luXion in Japan - 2016: EXOPLANET 2 - The EXO'luXion in Seoul - 2017: EXOPLANET 3 - The EXO'rDIUM in Japan - 2017: EXOPLANET 3 - The EXO'rDIUM in Seoul - 2017: From Happinessทัวร์คอนเสิร์ตคอนเสิร์ตเดี่ยวทัวร์คอนเสิร์ต. คอนเสิร์ตเดี่ยว. - 2014-2015: EXO FROM. EXOPLANET #1 - THE LOST PLANET - 2015-2016: EXOPLANET 2 - The EXO'luXion - 2016-2017: EXOPLANET 3 - The EXO'rDIUM - 2017-: EXOPLANET 4 - The EℓyXiOnคอนเสิร์ตร่วมคอนเสิร์ตร่วม. - 2012-2013 : SM Town Live World Tour III - 2014-2015: SMTown Live World Tour IV - 2015: SM Town Live World Tour Vคอนเสิร์ตพิเศษคอนเสิร์ตพิเศษ. - 2013: SM Town Week: Christmas Wonderlandแขกรับเชิญแขกรับเชิญ. - 2012: Super Junior – Super Show 4รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง. EXO ได้รับรางวัลมากมายจากทั้งเกาหลีใต้และจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาชนะรางวัลแรกให้กับวงในรายการเพลงของประเทศเกาหลีใต้ มิวสิกแบงก์ ด้วยซิงเกิลเพลง "Wolf" ในวันที่ 14 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2013 ปีถัดมาหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพวกเขา หลังจากนั้น EXO ก็ได้ทำสถิติในการรับรางวัลกว่า 100 รางวัล เป็นศิลปินชายกลุ่มเดียวหลังจากเกิร์ลกรุปรุ่นพี่อย่าง โซนยอชีแดEXO ชนะรางวัลใหญ่จากงานประกาศรางวัลอย่าง 'แดซัง' ทั้งหมด 23 ครั้งด้วยกัน ซึ่งรางวัลที่โดดเด่นนั้นมาจากแดซังที่ขึ้นรับภายในงานประกาศรางวัล Mnet Asian Music Awards ที่ได้ถูกบันทึกใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บุ๊ก ในเรื่องของ "วงที่ชนะแดซังมากที่สุด" ปี ค.ศ. 2018 โดยรางวัลแดซังนั้นถือว่าเป็นรางวัลที่มีเกียรติและถือเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมวงการเพลงของเกาหลีใต้ประเด็นทางกฎหมาย
| เอ็กโซ หรือ EXO วงดนตรีบอยแบนด์สัญชาติจีนและเกาหลีใต้ อยู่ภายใต้บริษัทอะไร | {
"answer": [
"SM เอนเตอร์เทนเมนต์"
],
"answer_begin_position": [
202
],
"answer_end_position": [
221
]
} |
1,384 | 734,016 | คอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ประเทศไทย การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ (: TOI) เป็นหนึ่งในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระดับชาติของประเทศไทย ที่จัดขั้นเป็นประจำทุกปีประวัติ ประวัติ. การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ เริ่มต้นจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2548 โดยใช้ชื่อว่า การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก สอวน. ครั้งที่ 1(The First POSN Olympiad in Informatics 2005: 1st POSN – OI 2005) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร และได้เปลี่ยนชื่อเป็น การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ในการแข่งขันครั้งที่ 5 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราชกติกาและรูปแบบการแข่งขัน กติกาและรูปแบบการแข่งขัน. การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติโครงการจัดการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไขโจทย์ปัญหาในด้านการคำนวณเชิงตัวเลข วิทยาการคอมพิวเตอร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยยึดรูปแบบตามธรรมนูญการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ โดยการสอบทั้งหมดมี 2 รอบ ข้อสอบอยู่ในระดับค่อนข้างยาก ผู้เข้าสอบต้องมีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรม และการแก้ปัญหาโดยใช้คอมพิวเตอร์ การออกข้อสอบจะดำเนินการโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกข้อสอบตามประกาศมูลนิธิ สอวน. ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการจากศูนย์ต่างๆ โดยการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติครั้งที่ 11 คณะกรรมการวิชาการมาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และคณะที่ปรึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี การตรวจข้อสอบ การตัดสิน และรับรองผลการสอบ จะดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ และคณะอนุกรรมการฝ่ายรับรองข้อสอบ และตัดสินผลสอบ ซึ่งประกอบด้วยคณะอนุกรรมการจากมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งอาจารย์ผู้ควบคุมทีมซึ่งเป็นผู้แทนจากแต่ละศูนย์ สอวน. ทุกศูนย์ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์จากแต่ละศูนย์ สามารถอุทธรณ์เพื่อปรับคะแนนของนักเรียนในศูนย์ของตนให้เหมาะสมการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติที่ผ่านมา
| การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร | {
"answer": [
"พ.ศ. 2548"
],
"answer_begin_position": [
365
],
"answer_end_position": [
374
]
} |
1,385 | 734,016 | คอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ประเทศไทย การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ (: TOI) เป็นหนึ่งในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระดับชาติของประเทศไทย ที่จัดขั้นเป็นประจำทุกปีประวัติ ประวัติ. การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ เริ่มต้นจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2548 โดยใช้ชื่อว่า การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก สอวน. ครั้งที่ 1(The First POSN Olympiad in Informatics 2005: 1st POSN – OI 2005) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร และได้เปลี่ยนชื่อเป็น การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ในการแข่งขันครั้งที่ 5 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราชกติกาและรูปแบบการแข่งขัน กติกาและรูปแบบการแข่งขัน. การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติโครงการจัดการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไขโจทย์ปัญหาในด้านการคำนวณเชิงตัวเลข วิทยาการคอมพิวเตอร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยยึดรูปแบบตามธรรมนูญการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ โดยการสอบทั้งหมดมี 2 รอบ ข้อสอบอยู่ในระดับค่อนข้างยาก ผู้เข้าสอบต้องมีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรม และการแก้ปัญหาโดยใช้คอมพิวเตอร์ การออกข้อสอบจะดำเนินการโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกข้อสอบตามประกาศมูลนิธิ สอวน. ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการจากศูนย์ต่างๆ โดยการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติครั้งที่ 11 คณะกรรมการวิชาการมาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และคณะที่ปรึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี การตรวจข้อสอบ การตัดสิน และรับรองผลการสอบ จะดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ และคณะอนุกรรมการฝ่ายรับรองข้อสอบ และตัดสินผลสอบ ซึ่งประกอบด้วยคณะอนุกรรมการจากมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมทั้งอาจารย์ผู้ควบคุมทีมซึ่งเป็นผู้แทนจากแต่ละศูนย์ สอวน. ทุกศูนย์ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์จากแต่ละศูนย์ สามารถอุทธรณ์เพื่อปรับคะแนนของนักเรียนในศูนย์ของตนให้เหมาะสมการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติที่ผ่านมา
| ในการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 5 จัดขึ้นที่ใด | {
"answer": [
"มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์"
],
"answer_begin_position": [
641
],
"answer_end_position": [
662
]
} |
1,386 | 475,906 | เจ้าราชบุตร (น้อยดาวแก้ว) เจ้าราชบุตรดาวแก้ว หรือ เจ้าน้อยดาวแก้ว (พ.ศ. 2409- พ.ศ. 2444) เป็นราชบุตรในเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 7 กับแม่เจ้าบุเทวีพระประวัติ พระประวัติ. เจ้าน้อยดาวแก้ว เป็นราชบุตรองค์ที่ 7 ในเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน กับแม่เจ้าบุ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2409 เมื่อเยาว์วัยได้บรรพชาเป็นสามเณร และเข้าศึกษาที่วัดพระเจดีย์หลวง จนสำเร็จการศึกษาจึงได้ลาสิกขาออกมาอาศัยอยู่กับเจ้าบิดา เจ้าน้อยดาวแก้ว ได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนคลัง เมื่อปี พ.ศ. 2422 และในปี พ.ศ. 2430 ได้ไปรับราชการเป็นข้าหลวงกองแผน ไปตรวจเขตแดน หลังจากกลับจากตรวจเขตแดนก็ได้ลาออกจากหน้าที่ราชการ และในปี พ.ศ. 2436 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น "เจ้าราชบุตร" ชื่อว่า "เจ้าราชบุตรดาวแก้ว" และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ วิจิตราภรณ์ 1 ดวง กับเครื่องยศ คือ พานเงิน เครื่องในเงินถมยาเขียว คนโทเงินถมดำ กระโถนเงินถมดำ และกลับไปรับราชการที่นครลำพูน ในปีถัดมาได้รับแต่งตั้งให้รับราชการทหารประจำนครลำพูน และได้รับพระราชทานเหรียญรัชฎาภิเศก เหรียญประพาศมาลา ในปี พ.ศ. 2441 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2443 ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาทหารยศชั้น ตรี เจ้าราชบุตรดาวแก้ว ป่วยด้วยโรคฝี ในปลายปี พ.ศ. 2443 และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2444 เวลาทุ่มเศษ และมีพิธีศพตามประเพณีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2444เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2441 - เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา - พ.ศ. 2441 - เหรียญประพาสมาลาพงศาวลี
| เจ้าน้อยดาวแก้ว เป็นราชบุตรของใคร | {
"answer": [
"เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน"
],
"answer_begin_position": [
202
],
"answer_end_position": [
251
]
} |
1,387 | 475,906 | เจ้าราชบุตร (น้อยดาวแก้ว) เจ้าราชบุตรดาวแก้ว หรือ เจ้าน้อยดาวแก้ว (พ.ศ. 2409- พ.ศ. 2444) เป็นราชบุตรในเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 7 กับแม่เจ้าบุเทวีพระประวัติ พระประวัติ. เจ้าน้อยดาวแก้ว เป็นราชบุตรองค์ที่ 7 ในเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน กับแม่เจ้าบุ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2409 เมื่อเยาว์วัยได้บรรพชาเป็นสามเณร และเข้าศึกษาที่วัดพระเจดีย์หลวง จนสำเร็จการศึกษาจึงได้ลาสิกขาออกมาอาศัยอยู่กับเจ้าบิดา เจ้าน้อยดาวแก้ว ได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนคลัง เมื่อปี พ.ศ. 2422 และในปี พ.ศ. 2430 ได้ไปรับราชการเป็นข้าหลวงกองแผน ไปตรวจเขตแดน หลังจากกลับจากตรวจเขตแดนก็ได้ลาออกจากหน้าที่ราชการ และในปี พ.ศ. 2436 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น "เจ้าราชบุตร" ชื่อว่า "เจ้าราชบุตรดาวแก้ว" และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ วิจิตราภรณ์ 1 ดวง กับเครื่องยศ คือ พานเงิน เครื่องในเงินถมยาเขียว คนโทเงินถมดำ กระโถนเงินถมดำ และกลับไปรับราชการที่นครลำพูน ในปีถัดมาได้รับแต่งตั้งให้รับราชการทหารประจำนครลำพูน และได้รับพระราชทานเหรียญรัชฎาภิเศก เหรียญประพาศมาลา ในปี พ.ศ. 2441 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2443 ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาทหารยศชั้น ตรี เจ้าราชบุตรดาวแก้ว ป่วยด้วยโรคฝี ในปลายปี พ.ศ. 2443 และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2444 เวลาทุ่มเศษ และมีพิธีศพตามประเพณีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2444เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2441 - เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา - พ.ศ. 2441 - เหรียญประพาสมาลาพงศาวลี
| ในปลายปี พ.ศ. 2443 เจ้าราชบุตรดาวแก้วป่วยเป็นโรคอะไร | {
"answer": [
"โรคฝี"
],
"answer_begin_position": [
1186
],
"answer_end_position": [
1191
]
} |
1,390 | 158,710 | วัดพร้าว (จังหวัดตาก) วัดพร้าว ตั้งอยู่ที่บ้านวัดพร้าว ตำบลหนองหลวง อำเภอเมือง จังหวัดตาก สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีพื้นที่ 3 ไร่เศษ อยู่ติดกับแม่ปิง มีธรณีสงฆ์สองแปลง พื้นที่ 12 ไร่เศษประวัติ ประวัติ. วัดพร้าว สร้างเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2396 ต่อมาทางคณะสงฆ์ และข้าราชการได้ให้รวมวัดดอนไชยเข้าเป็นวัดเดียวกันกับวัดพร้าว เมื่อปี พ.ศ. 2489 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2501 อุโบสถสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2401 มีขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 8 เมตร ศาลาการเปรียญสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509 มีขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร หอสวดมนต์สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2476 มีขนาดกว้าง 6 เมตรยาว 14 เมตร นอกจากนี้ยังมีหอระฆัง ศาลาบาตร วิหาร และศาลาบำเพ็ญกุศล
| วัดพร้าว ในจังหวัดตาก สร้างขึ้นเมื่อปีอะไร | {
"answer": [
"พ.ศ. 2396"
],
"answer_begin_position": [
325
],
"answer_end_position": [
334
]
} |
1,391 | 158,710 | วัดพร้าว (จังหวัดตาก) วัดพร้าว ตั้งอยู่ที่บ้านวัดพร้าว ตำบลหนองหลวง อำเภอเมือง จังหวัดตาก สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีพื้นที่ 3 ไร่เศษ อยู่ติดกับแม่ปิง มีธรณีสงฆ์สองแปลง พื้นที่ 12 ไร่เศษประวัติ ประวัติ. วัดพร้าว สร้างเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2396 ต่อมาทางคณะสงฆ์ และข้าราชการได้ให้รวมวัดดอนไชยเข้าเป็นวัดเดียวกันกับวัดพร้าว เมื่อปี พ.ศ. 2489 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2501 อุโบสถสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2401 มีขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 8 เมตร ศาลาการเปรียญสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509 มีขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร หอสวดมนต์สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2476 มีขนาดกว้าง 6 เมตรยาว 14 เมตร นอกจากนี้ยังมีหอระฆัง ศาลาบาตร วิหาร และศาลาบำเพ็ญกุศล
| คณะสงฆ์และข้าราชการได้ให้รวมวัดดอนไชยเข้าเป็นวัดเดียวกับวัดพร้าวเมื่อปีอะไร | {
"answer": [
"พ.ศ. 2489"
],
"answer_begin_position": [
420
],
"answer_end_position": [
429
]
} |
1,396 | 344,733 | หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม: วสุวัต; 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2438 – 30 กันยายน พ.ศ. 2534) เป็นครู และนักเขียน มีผลงานเรื่องสั้น และนวนิยาย เจ้าของนามปากกา "วรรณสิริ" ผู้เขียน วนิดา, นางทาส และนางครวญ ที่ได้รับความนิยม มีผู้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์หลายครั้งประวัติ ประวัติ. หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เป็นธิดาของหลวงนิธิพิมล (พลอย วสุวัต) กับสุ่น ราชนิธิพิมล จบการศึกษาจากโรงเรียนราชินี และประกอบอาชีพครูสอนภาษาไทย และเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนวรรณวิทย์ เสกสมรสกับ ร้อยเอก หม่อมเจ้าทินทัต สุขสวัสดิ์ ผู้รั้งผู้บังคับการกรมทหารบกม้ากรุงเทพรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโอรสองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมแช่ม สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา มีธิดากับหม่อมเจ้าชายทินทัต สุขสวัสดิ์ 3 คน คือ1. ท่านผู้หญิงทินะประภา อิศรเสนา (2 มิถุนายน พ.ศ. 2460 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555) สมรสกับศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา มีบุตรสองคน 2. หม่อมราชวงศ์กานดาศรี สุขสวัสดิ์ 3. หม่อมราชวงศ์รุจีสมร สุขสวัสดิ์ แต่ภายหลังหม่อมเจ้าทินทัตสิ้นชีพิตักศัย เมื่อ พ.ศ. 2463 หม่อมผิวก็ต้องย้ายออกจากกรมทหารม้ามาอยู่ที่ถนนพระอาทิตย์ เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 หม่อมผิวจึงได้อพยพครอบครัวมาอยู่นอกเมือง คือ ซอยปรีดา ถนนสุขุมวิท หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2534 สิริอายุรวม 96 ปี 4 เดือน พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพ หม่อมผิว ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา ณ เมรุวัดธาตุทอง วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534
| หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ผู้เขียนเรื่องวนิดา โดยใช้นามปากกาว่าอะไร | {
"answer": [
"วรรณสิริ"
],
"answer_begin_position": [
290
],
"answer_end_position": [
298
]
} |
1,836 | 344,733 | หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม: วสุวัต; 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2438 – 30 กันยายน พ.ศ. 2534) เป็นครู และนักเขียน มีผลงานเรื่องสั้น และนวนิยาย เจ้าของนามปากกา "วรรณสิริ" ผู้เขียน วนิดา, นางทาส และนางครวญ ที่ได้รับความนิยม มีผู้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์หลายครั้งประวัติ ประวัติ. หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เป็นธิดาของหลวงนิธิพิมล (พลอย วสุวัต) กับสุ่น ราชนิธิพิมล จบการศึกษาจากโรงเรียนราชินี และประกอบอาชีพครูสอนภาษาไทย และเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนวรรณวิทย์ เสกสมรสกับ ร้อยเอก หม่อมเจ้าทินทัต สุขสวัสดิ์ ผู้รั้งผู้บังคับการกรมทหารบกม้ากรุงเทพรักษาพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระโอรสองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุขสวัสดี กรมหลวงอดิศรอุดมเดช กับหม่อมแช่ม สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา มีธิดากับหม่อมเจ้าชายทินทัต สุขสวัสดิ์ 3 คน คือ1. ท่านผู้หญิงทินะประภา อิศรเสนา (2 มิถุนายน พ.ศ. 2460 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555) สมรสกับศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา มีบุตรสองคน 2. หม่อมราชวงศ์กานดาศรี สุขสวัสดิ์ 3. หม่อมราชวงศ์รุจีสมร สุขสวัสดิ์ แต่ภายหลังหม่อมเจ้าทินทัตสิ้นชีพิตักศัย เมื่อ พ.ศ. 2463 หม่อมผิวก็ต้องย้ายออกจากกรมทหารม้ามาอยู่ที่ถนนพระอาทิตย์ เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 หม่อมผิวจึงได้อพยพครอบครัวมาอยู่นอกเมือง คือ ซอยปรีดา ถนนสุขุมวิท หม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2534 สิริอายุรวม 96 ปี 4 เดือน พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพ หม่อมผิว ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา ณ เมรุวัดธาตุทอง วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534
| บิดาของหม่อมผิว สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา คือผู้ใด | {
"answer": [
"หลวงนิธิพิมล"
],
"answer_begin_position": [
460
],
"answer_end_position": [
472
]
} |
1,398 | 394,933 | พระครูสังวรโสภณ (สาย ติสสโร) หลวงพ่อสาย (มีนาคม พ.ศ. 2397 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489) เป็นหนึ่งในพระคณาจารย์ทั้ง 3 พระองค์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชรูปที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงยกย่องขณะเสด็จมาตรวจที่เมืองลพบุรี ทั้ง 3 รูปคือ1. หลวงพ่อสาย วัดพยัคฆาราม 2. หลวงพ่อรุ่ง วัดเชิงท่า 3. หลวงพ่อเรือง ประวัติและพระเกียรติคุณของท่านปรากฏในหนังสือ ระยะทางสมเด็จพระมหาสมณะเสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ในมณฑลในกรุงเก่า ปีพุทธศักราช 2457 มีข้อความเกี่ยวกับหลวงพ่อและวัดเสือดังนี้ วันที่ 26 มีนาคม... เวลา 1 ยามเศษ เสด็จขึ้นที่ประทับที่พระครูสายจัดกุฏิของท่านไว้ถวาย...พระครูสายวัดนี้ มีรูปสมบัติเป็นสง่าทั้งมีมารยาทงามน่านับถือ มีชาวบ้านชั้นคฤหบดี มีวัยผู้ใหญ่มาอยู่ช่วยพระครูรับเสด็จหลายคน มิกิริยาอัธยาศัยอันเรียบร้อย น่าชม สมกับทั้งเจ้าวัดและลูกบ้าน...ประวัติ ประวัติ. หลวงพ่อสาย ติสสโร ท่านเกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2397 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร์มหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นบุตรของนายปั้น และนางเกลี้ยง ปั้นสะอาด ได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2418 ณ วัดพยัคฆาราม มีหลวงพ่อพุก เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อก๋ง วัดเขาสมอคอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อพระอุปัชฌาย์พุก ได้มรณภาพแล้ว หลวงพ่อสายจึงได้สืบเป็นสมภารต่อมา หลวงพ่อได้พัฒนาและช่วยก่อสร้างเสนาสนะทั้งภายในและภายนอกวัด อนึ่ง ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คณะศิษย์นำโดยพระปลัดเชื้อและพระมหารื่นได้ศรัทธาขออนุญาตหล่อรูปเหมือนของท่านประดิษฐานไว้ ณ วัดพยัคฆาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 ในปี พ.ศ. 2462 หลวงพ่อสายได้ปลุกเสกและแจกเหรียญรูปไข่ขนาดเล็กให้ศิษยานุศิษย์เป็นครั้งแรก มีผู้ประจักษ์ในกิตติคุณกันเป็นจำนวนมาก เหรียญรุ่นนี้มีราคาสูงหลายหมื่นบาท สภาพสวยถึงหลักแสน นอกจากนี้ยังมีตะกรุด ผ้าประเจียด ระบุปี 2482 พระพิมพ์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ฯลฯ มีพุทธคุณครบทุกอย่างคือ เมตตา แคล้วคลาด และคงกระพัน ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2489 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี รวมสิริอายุได้ 91 ปี 71 พรรษา
| หลวงพ่อสาย ติสสโร พระวัดพยัคฆาราม จังหวัดลพบุรี เกิดเมื่อปีใด | {
"answer": [
"พ.ศ. 2397"
],
"answer_begin_position": [
935
],
"answer_end_position": [
944
]
} |
1,968 | 394,933 | พระครูสังวรโสภณ (สาย ติสสโร) หลวงพ่อสาย (มีนาคม พ.ศ. 2397 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489) เป็นหนึ่งในพระคณาจารย์ทั้ง 3 พระองค์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชรูปที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงยกย่องขณะเสด็จมาตรวจที่เมืองลพบุรี ทั้ง 3 รูปคือ1. หลวงพ่อสาย วัดพยัคฆาราม 2. หลวงพ่อรุ่ง วัดเชิงท่า 3. หลวงพ่อเรือง ประวัติและพระเกียรติคุณของท่านปรากฏในหนังสือ ระยะทางสมเด็จพระมหาสมณะเสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ในมณฑลในกรุงเก่า ปีพุทธศักราช 2457 มีข้อความเกี่ยวกับหลวงพ่อและวัดเสือดังนี้ วันที่ 26 มีนาคม... เวลา 1 ยามเศษ เสด็จขึ้นที่ประทับที่พระครูสายจัดกุฏิของท่านไว้ถวาย...พระครูสายวัดนี้ มีรูปสมบัติเป็นสง่าทั้งมีมารยาทงามน่านับถือ มีชาวบ้านชั้นคฤหบดี มีวัยผู้ใหญ่มาอยู่ช่วยพระครูรับเสด็จหลายคน มิกิริยาอัธยาศัยอันเรียบร้อย น่าชม สมกับทั้งเจ้าวัดและลูกบ้าน...ประวัติ ประวัติ. หลวงพ่อสาย ติสสโร ท่านเกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2397 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร์มหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นบุตรของนายปั้น และนางเกลี้ยง ปั้นสะอาด ได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2418 ณ วัดพยัคฆาราม มีหลวงพ่อพุก เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อก๋ง วัดเขาสมอคอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อพระอุปัชฌาย์พุก ได้มรณภาพแล้ว หลวงพ่อสายจึงได้สืบเป็นสมภารต่อมา หลวงพ่อได้พัฒนาและช่วยก่อสร้างเสนาสนะทั้งภายในและภายนอกวัด อนึ่ง ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คณะศิษย์นำโดยพระปลัดเชื้อและพระมหารื่นได้ศรัทธาขออนุญาตหล่อรูปเหมือนของท่านประดิษฐานไว้ ณ วัดพยัคฆาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 ในปี พ.ศ. 2462 หลวงพ่อสายได้ปลุกเสกและแจกเหรียญรูปไข่ขนาดเล็กให้ศิษยานุศิษย์เป็นครั้งแรก มีผู้ประจักษ์ในกิตติคุณกันเป็นจำนวนมาก เหรียญรุ่นนี้มีราคาสูงหลายหมื่นบาท สภาพสวยถึงหลักแสน นอกจากนี้ยังมีตะกรุด ผ้าประเจียด ระบุปี 2482 พระพิมพ์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ฯลฯ มีพุทธคุณครบทุกอย่างคือ เมตตา แคล้วคลาด และคงกระพัน ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2489 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี รวมสิริอายุได้ 91 ปี 71 พรรษา
| มารดาของหลวงพ่อสาย พระวัดพยัคฆาราม จังหวัดลพบุรี คือใคร | {
"answer": [
"นางเกลี้ยง ปั้นสะอาด"
],
"answer_begin_position": [
1069
],
"answer_end_position": [
1089
]
} |
1,406 | 17,348 | แมจิก จอห์นสัน เออร์วิน "แมจิก" จอห์นสัน () เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1959 เป็นนักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน เขาเป็นนักบาสที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งในลีกบาสเก็ตบอลอาชีพอย่าง เอ็นบีเอ ด้วยความสูงถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว หนัก 255 ปอนด์ เออร์วิน จอห์นสัน เป็นผู้เล่นตำแหน่ง พอยท์การ์ด ที่ตัวสูงที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งๆที่ปกติตำแหน่งนี้เหมาะกับคนตัวเล็กๆเพราะจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงลูกครองบอล ซึ่งปกติคนตัวสูงๆจะทำไม่ได้ดีนัก แต่สำหรับ แมจิก จอห์นสัน คนนี้แล้ว มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาเลย ด้วยความสามารถของเขาที่หาจับตัวได้ยาก เออร์วิน จอห์นสัน ได้ฉายา แมจิก ซึ่งก็สมควรจะถูกขนานนามอย่างนั้น เพราะการที่สามารถควบคุมบอลได้คล่องแล้วราวกับคนตัวเล็กๆ, ความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ และ นิสัยอารมณ์ดี ทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นฮีโร่ในดวงใจของเด็กๆหรือเหล่านักบาสทั่วโลก ในสมัยที่ แมจิก จอห์นสัน เล่นให้กับมหาวิทยาลัยอย่าง มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต แมจิก จอห์นสัน เป็นเหมือนกับคู่แข่งกับตำนานอีกคนอย่าง แลรี่ เบิร์ด ทั้งคู่สู้กันมาตั้งแต่เกมระดับ เอ็นซีดับเบิลเอ (NCAA ลีกระดับมหาวิทยาลัย) จนกระทั่งไปถึง เอ็นบีเอ เลยทีเดียว โดย แมจิก จอห์นสัน ถูกดราฟท์โดยทีมชื่อดังอย่าง ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ในปี 1991 เขาออกมาประกาศว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี พร้อมยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวมากหน้าหลายตา แต่ภรรยาและลูกของเขามีผลการตรวจเลือดเป็นลบ (Negative) จากนั้นก็เขาได้ประกาศรีไทร์ ปัจจุบันเขายังมีร่างกายแข็งแรง และยังทำหน้าที่รณรงค์การป้องกันโรคเอดส์ตลอดมารางวัลเกียรติยศรางวัลเกียรติยศ. - พาทีมสหรัฐอเมริกาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก - พาทีม เลเกอรส์คว้าแชมป์ 5 สมัย - ได้รางวัล เอ็นบีเอ ไฟนอล เอ็มวีพี 3 ครั้ง - เอ็นบีเอ เอ็มวีพี 3 ครั้ง - ติดทีม ออล สตาร์ 12 ครั้ง - ออล สตาร์ เอ็มวีพี 2 ครั้ง - ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 นักบาสยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ของ เอ็นบีเอ
| เออร์วิน แมจิก จอห์นสัน ชาวอเมริกัน เล่นกีฬาอะไร | {
"answer": [
"บาสเกตบอล"
],
"answer_begin_position": [
175
],
"answer_end_position": [
184
]
} |
2,444 | 17,348 | แมจิก จอห์นสัน เออร์วิน "แมจิก" จอห์นสัน () เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1959 เป็นนักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน เขาเป็นนักบาสที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งในลีกบาสเก็ตบอลอาชีพอย่าง เอ็นบีเอ ด้วยความสูงถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว หนัก 255 ปอนด์ เออร์วิน จอห์นสัน เป็นผู้เล่นตำแหน่ง พอยท์การ์ด ที่ตัวสูงที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งๆที่ปกติตำแหน่งนี้เหมาะกับคนตัวเล็กๆเพราะจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงลูกครองบอล ซึ่งปกติคนตัวสูงๆจะทำไม่ได้ดีนัก แต่สำหรับ แมจิก จอห์นสัน คนนี้แล้ว มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาเลย ด้วยความสามารถของเขาที่หาจับตัวได้ยาก เออร์วิน จอห์นสัน ได้ฉายา แมจิก ซึ่งก็สมควรจะถูกขนานนามอย่างนั้น เพราะการที่สามารถควบคุมบอลได้คล่องแล้วราวกับคนตัวเล็กๆ, ความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ และ นิสัยอารมณ์ดี ทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นฮีโร่ในดวงใจของเด็กๆหรือเหล่านักบาสทั่วโลก ในสมัยที่ แมจิก จอห์นสัน เล่นให้กับมหาวิทยาลัยอย่าง มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต แมจิก จอห์นสัน เป็นเหมือนกับคู่แข่งกับตำนานอีกคนอย่าง แลรี่ เบิร์ด ทั้งคู่สู้กันมาตั้งแต่เกมระดับ เอ็นซีดับเบิลเอ (NCAA ลีกระดับมหาวิทยาลัย) จนกระทั่งไปถึง เอ็นบีเอ เลยทีเดียว โดย แมจิก จอห์นสัน ถูกดราฟท์โดยทีมชื่อดังอย่าง ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ในปี 1991 เขาออกมาประกาศว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี พร้อมยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวมากหน้าหลายตา แต่ภรรยาและลูกของเขามีผลการตรวจเลือดเป็นลบ (Negative) จากนั้นก็เขาได้ประกาศรีไทร์ ปัจจุบันเขายังมีร่างกายแข็งแรง และยังทำหน้าที่รณรงค์การป้องกันโรคเอดส์ตลอดมารางวัลเกียรติยศรางวัลเกียรติยศ. - พาทีมสหรัฐอเมริกาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก - พาทีม เลเกอรส์คว้าแชมป์ 5 สมัย - ได้รางวัล เอ็นบีเอ ไฟนอล เอ็มวีพี 3 ครั้ง - เอ็นบีเอ เอ็มวีพี 3 ครั้ง - ติดทีม ออล สตาร์ 12 ครั้ง - ออล สตาร์ เอ็มวีพี 2 ครั้ง - ถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 นักบาสยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ของ เอ็นบีเอ
| เออร์วิน แมจิก จอห์นสัน เป็นนักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"14"
],
"answer_begin_position": [
147
],
"answer_end_position": [
149
]
} |
1,408 | 25,428 | พระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้าม (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) หรือพระราชวังกู้กง จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน () เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: 故宫博物院; พินอิน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963 พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้ ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987)ชื่อ ชื่อ. พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (จีน: 故宫; พินอิน: Gùgōng) ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไปประวัติ ประวัติ. สถานที่ที่ตั้งของพระราชวังโบราณนี้แต่เดิมนั้นก็คือพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ซึ่งต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลงแล้วมีราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ซึ่งต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั้งเดิม และทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงเสียหายไป และเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อจากราชวงศ์หมิง ทางราชวงศ์ชิงก็ได้ก่อสร้างสร้างขึ้นมาใหม่บนฐานสิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งหนึ่งเรื่อยมาจนถึงการล่มสลายของราชวงศ์ชิง และการเปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐโครงสร้างและสถาปัตยกรรม โครงสร้างและสถาปัตยกรรม. พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่บนหัวใจปักกิ่ง (the heart of Beijing) นักดาราศาสตร์ชาวจีนโบราณสร้างให้ที่ตั้งนี้เป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้เป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน การตัดและการขนย้ายเป็นเรื่องสุดโหด ไม้เมื่อตัดแล้ว จะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดมันลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง หินที่ใช้ในการก่อสร้าง นำมาจากฟ่างซาน การขนย้ายต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 2,000 คน หินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านภูมิภาคที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง ต้องใช้ม้าและล่อลากหินเป็นพันๆ ตัว อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นมีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วมปีกำแพงและประตูวัง กำแพงและประตูวัง. ประตูทั้ง 4 ทิศของพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามมีประตู 4 แห่ง ประตูใหญ่เรียกว่า "อู่เหมิน" มีรูปร่างเหมือนอักษรตัว "ยู" ของภาษาอังกฤษยิ่งใหญ่หรูหราอลังการ หลังประตู "อู่เหมิน" มีสะพานหินอ่อน 5 แห่งทอดไปสู่ประตู "ไท่เหอเหมิน" ส่วนประตูทิศตะวันออกมีชื่อว่า "ตงหวาเหมิน" ประตูทิศตะวันตกชื่อว่า "ซีหวาเหมิน" และประตูทิศเหนือชื่อว่า "เสินอู่เหมิน" ที่มุมสี่ด้านของพระราชวังต้องห้ามมี "ป้อม" ที่วิจิตรประณีต ซึ่งมีความสูง 27.5 เมตร มีหลังคารูปไม้กางเขน สามชั้น มีชายคายื่นออกมาเป็นชั้นๆ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์พิเศษในด้านการออกแบบ ประตู "อู่เหมิน" ซึ่งเป็นประตูใหญ่ของพระราชวังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "อู่เฟิ่งโหลว" เชื่อมด้วยกำแพงที่มีความสูง 12 เมตรในทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ ที่ล้อมรอบจัตุรัสรูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางเป็นพลับพลาสองชั้น ด้านหน้าเป็นพระที่นั่งที่มีความกว้างเท่ากับห้อง 9 ห้อง มีหลังคาสองชั้น นอกจากนี้ ยังมีพลับพลาอีก 4 แห่งตามกำแพงทั้งสองข้าง และสร้างระเบียงเชื่อมกันไว้ด้วย หอพลับพลาแบบนี้เรียกว่า "ประตูพลับพลา" เป็นประตูระดับสูงสุดในสมัยโบราณของจีน สิ่งก่อสร้างแห่งนี้มีความสง่างามมาก เป็นจุดสูงที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ประตู "อู่เหมิน" เป็นที่ประกาศพระบรมราชโองการและประกาศสงครามกับต่างประเทศ เมื่อมีพระบรมราชโองการของจักรพรรดิหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ ข้าราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นล้วนต้องรวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสหน้าประตู "อู่เหมิน" เพื่อฟังอย่างพร้อมเพรียวกัน ช่องกลางของประตู "อู่เหมิน" มีแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าออกได้ ยกเวิ้นพระมเหสีสามารถเดินผ่านประตูได้ในระหว่างพิธีอภิเษกสมรสจอหงวน ปางั่ง ถ้ำฮวยผู้สอบได้สามอันดับแรกในการสอบจอหงวนที่พระที่นั่ง "เป่าเหอ" สามารถเดินออกประตูนี้ได้หนึ่งครั้ง ด้านข้าราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นต้องเดินเข้าออกประตูทิศตะวันออก ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ต้องเข้าออกประตูทิศตะวันตก ประตู "เสินอู่เหมิน" เป็นประตูหลัง ในสมัยราชวงศ์หมิง เรียกว่าประตู "เฮียนบู๊" ตามชื่อของสัตว์สิริมงคลที่คอยเฝ้าทิศทั้งสี่ในสมัยโบราณของจีน ความเชื่อเดิมนั้นระบุว่า ซ้ายเช็งเล้ง หรือมังกรดำ ขวาแปะโฮ้ว หรือเสือขาว ด้านหน้าจูเจียก หรือหงษ์แดง ส่วนด้านหลังคือเฮียนบู๊ หรือเต่าเขียว เป็นผู้อาลักขาทิศเหนือ ด้วยเหตุนี้ ประตูทิศเหนือของพระราชวังในสมัยโบราณจีนส่วนใหญ่ตั้งชื่อว่า "เฮียนบู๊" ในรัชสมัยคังซีฮ่องเต้ เนื่องจากคำนี้มีเสียงพ้องกับชื่อของจักรพรรดิคังซี จึงเปลี่ยนชื่อเป็นประตู "เสินอู่เหมิน" ประตูแห่งนี้ก็เป็นประตูแบบมีพลับพลาอีกแห่งหนึ่ง สร้างเป็นหลังคาสองชั้นซึ่งมีระดับสูงสุดในสมัยโบราณของจีน แต่พระที่นั่งที่อยู่บนกำแพงมีความกว้างเพียงแค่ 5 ห้อง แถมไม่มีกำแพงยืดออกไปข้างๆ ด้วย จึงนับว่ามีระดับต่ำกว่าประตู "อู่เหมิน" ประตู "เสินอู่เหมิน" เป็นประตูที่ใช้เป็นประจำของพระราชวังต้องห้าม ปัจจุบันเป็นประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์กู้กง ประตู "ตงหวาเหมิน" และประตู "ซีหวาเหมิน" ตั้งอยู่ที่ปีกสองฝั่งของพระราชวังต้องห้าม หน้าประตู "ซีหวาเหมิน" มีหินที่เป็นสัญลักษณ์ว่าให้ลงม้า หลังประตูมี "แม่น้ำทอง" ไหลจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ และมีสะพานหินแห่งหนึ่ง จากสะพานไปทิศเหนือมีประตูเล็กอีกสามแห่ง ประตู "ตงหวาเหมิน" และ "ซีหวาเหมิน" เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกัน มีฐานสีแดง มีลายสลักรูปเขาพระสุเมรุทำด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด ในตอนกลางเปิดประตู 3 แห่ง มีกำแพงสองชั้น ชั้นนอกทรงสี่เหลี่ยม ชั้นในทรงกลม และบนกำแพงได้สร้างหอพลับพลาไว้ มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองและหลังคาสองชั้น มีความกว้างเท่ากับห้อง 5 ห้อง ความลึกเท่ากับห้อง 3 ห้อง ภายหลังจักรพรรดิสิ้นพระชนม์แล้ว ต้องส่งพระศพออกทางประตู "ตงหวาเหมิน" จึงเรียกแบบไม่สุภาพว่า "ประตูผี" ภายในประตู "อู่เหมิน" มีลานที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง และมีสะพานอยู่เหนือ "แม่น้ำทอง" ที่ทอดตัวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก จากที่นี่ไปทางทิศเหนือก็มาถึงประตู "ไท่เหอเหมิน" สองข้างมีห้องพักของข้าราชการและระเบียง มีสะพานอยู่เหนือ "แม่น้ำทอง" 5แห่ง ประกอบด้วยราวสะพานหินอ่อนสีขาว เสมือนสายหยกเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นนอก. วังหน้ามี 3 ตำหนัก เป็นศูนย์กลางที่สร้างอยู่บนเส้นแกนตรงกันเป็นเส้นตรง ดังนี้ 1.ตำหนักไถ่เหอ เป็นตำหนักด้านหน้าที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวง ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาวยกพื้นสูง 2 เมตรเศษ ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นเมฆ มังกร และหงส์ สร้างในปีค.ศ. 1420 สมัยของพระเจ้าหย่งเล่อ กว้าง 11 เมตร ลึก 5 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น สูง 35 เมตร พื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ปูด้วยอิฐ(ที่นวดด้วยแป้งทองคำ) ตรงกลางมีบัลลังก์มังกรสีทอง(มังกร 5 เล็บ สัญลักษณ์ของฮ่องเต้อันสูงส่ง) ใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดินรับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ หลังคามุงกระเบื้องสีทอง(สีเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น) 2.ตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 2 อยู่ด้านหลังตำหนักไถ่เหอ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน รวมทั้งพิธีการจัดงานเข้าเฝ้า หากมีงานพิธีแต่งตั้งพระราชินีและจัดงานใหญ่ในพระราชวังจะต้องตรวจเอกสารความเรียบร้อยของงาน ณ ตำหนักแห่งนี้ล่วงหน้า 1 วัน 3.ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 3 อยู่หลังตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักใหญ่ มีพื้นที่เท่ากับตำหนักไถ่เหอ ภายในมีบัลลังก์ก่อสร้างโดยไม่มีเสาแถวที่ 2 ทำให้ห้องโถงด้านหน้าท้องพระโรงกว้างขึ้น ไม่บังสายพระเนตรพระองค์ฮ่องเต้ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองบรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันที่ 30 เดือน 12 (วันสิ้นปีของจีน) พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง โดยสอบในห้องท้องพระโรงแห่งนี้เขตพระราชฐานชั้นใน เขตพระราชฐานชั้นใน. • เขตพระราชวังชั้นใน(วังใน) ประกอบด้วยตำหนักเฉียนชิงกง เจียวไถ่เตี่ยน คุนหมิงกง ตำหนักตะวันออกและตะวันตก เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ดำเนินการประจำวันทางการเมือง อาทิ ตรวจเอกสาร ลงพระนามอนุมัติ ตัดสินความ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพระราชวงศ์ พระราชินี พระสนม พระโอรส และพระธิดา รวมไปถึงมีพระราชอุทยานของฮ่องเต้ เขตวังในจะมีพระตำหนักที่มีความสำคัญอยู่ 2 หลังคือ • เฉียนชิงกง เป็นตำหนักด้านหน้าของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ เพื่อตรวจเอกสารลงพระนามอนุมัติราชการแผ่นดินประจำวัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1644 ทหารและชาวนาของหลี่จื้อเฉินทำการปฏิวัติ นำกำลังบุกเข้าปักกิ่ง ซึ่งตรงกับรัชกาลฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง จักรพรรดิฉงเจินชักกระบี่ฟันพระธิดาของพระองค์จนขาดสะพายแล่ง แล้วทรงหนีออกจากพระราชวังไปแขวนคอตายที่ต้นสน ณ ภูเขาเหมยซาน(ปัจจุบันเรียกว่า ภูเขาจิ่งซาน) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง • หย่างซินเตี้ยน เป็นตำหนักอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ นัดพบปะพูดคุยกับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องการเมืองและการทหารในรัชสมัยจักรพรรดิถงจื้อและกวางซี่ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา รวมทั้งในสมัยฮ่องเต้องค์สุด ท้าย เมื่อครั้งที่ ดร.ซุนยัดเซ็นทำการปฏิวัติ จักพรรดิปูยีก็ทรงสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1962 ณ ตำหนักแห่งนี้เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก. พระราชวังต้องห้ามได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 เมื่อปี พ.ศ. 2530 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมาในปี พ.ศ. 2547 พระราชวังเฉิ่นหยาง พระราชวังพักตากอากาศของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง ได้ลงทะเบียนร่วมกับพระราชวังต้องห้ามภายใต้ชื่อ "พระราชวังแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง" ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้- (i) - เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์ - (ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม - (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว - (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
| พระราชวังต้องห้าม หรือ พระราชวังกู้กง แปลตามตัวอักษรภาษาจีนได้ว่าอะไร | {
"answer": [
"เมืองต้องห้ามสีม่วง"
],
"answer_begin_position": [
251
],
"answer_end_position": [
270
]
} |
2,448 | 25,428 | พระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้าม (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) หรือพระราชวังกู้กง จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน () เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: 故宫博物院; พินอิน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963 พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า "พระราชวังต้องห้าม" จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้ ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987)ชื่อ ชื่อ. พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (จีน: 故宫; พินอิน: Gùgōng) ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไปประวัติ ประวัติ. สถานที่ที่ตั้งของพระราชวังโบราณนี้แต่เดิมนั้นก็คือพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ซึ่งต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลงแล้วมีราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ซึ่งต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั้งเดิม และทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงเสียหายไป และเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อจากราชวงศ์หมิง ทางราชวงศ์ชิงก็ได้ก่อสร้างสร้างขึ้นมาใหม่บนฐานสิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งหนึ่งเรื่อยมาจนถึงการล่มสลายของราชวงศ์ชิง และการเปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐโครงสร้างและสถาปัตยกรรม โครงสร้างและสถาปัตยกรรม. พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่บนหัวใจปักกิ่ง (the heart of Beijing) นักดาราศาสตร์ชาวจีนโบราณสร้างให้ที่ตั้งนี้เป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้เป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน การตัดและการขนย้ายเป็นเรื่องสุดโหด ไม้เมื่อตัดแล้ว จะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดมันลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง หินที่ใช้ในการก่อสร้าง นำมาจากฟ่างซาน การขนย้ายต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 2,000 คน หินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านภูมิภาคที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง ต้องใช้ม้าและล่อลากหินเป็นพันๆ ตัว อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นมีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วมปีกำแพงและประตูวัง กำแพงและประตูวัง. ประตูทั้ง 4 ทิศของพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามมีประตู 4 แห่ง ประตูใหญ่เรียกว่า "อู่เหมิน" มีรูปร่างเหมือนอักษรตัว "ยู" ของภาษาอังกฤษยิ่งใหญ่หรูหราอลังการ หลังประตู "อู่เหมิน" มีสะพานหินอ่อน 5 แห่งทอดไปสู่ประตู "ไท่เหอเหมิน" ส่วนประตูทิศตะวันออกมีชื่อว่า "ตงหวาเหมิน" ประตูทิศตะวันตกชื่อว่า "ซีหวาเหมิน" และประตูทิศเหนือชื่อว่า "เสินอู่เหมิน" ที่มุมสี่ด้านของพระราชวังต้องห้ามมี "ป้อม" ที่วิจิตรประณีต ซึ่งมีความสูง 27.5 เมตร มีหลังคารูปไม้กางเขน สามชั้น มีชายคายื่นออกมาเป็นชั้นๆ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์พิเศษในด้านการออกแบบ ประตู "อู่เหมิน" ซึ่งเป็นประตูใหญ่ของพระราชวังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "อู่เฟิ่งโหลว" เชื่อมด้วยกำแพงที่มีความสูง 12 เมตรในทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ ที่ล้อมรอบจัตุรัสรูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางเป็นพลับพลาสองชั้น ด้านหน้าเป็นพระที่นั่งที่มีความกว้างเท่ากับห้อง 9 ห้อง มีหลังคาสองชั้น นอกจากนี้ ยังมีพลับพลาอีก 4 แห่งตามกำแพงทั้งสองข้าง และสร้างระเบียงเชื่อมกันไว้ด้วย หอพลับพลาแบบนี้เรียกว่า "ประตูพลับพลา" เป็นประตูระดับสูงสุดในสมัยโบราณของจีน สิ่งก่อสร้างแห่งนี้มีความสง่างามมาก เป็นจุดสูงที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ประตู "อู่เหมิน" เป็นที่ประกาศพระบรมราชโองการและประกาศสงครามกับต่างประเทศ เมื่อมีพระบรมราชโองการของจักรพรรดิหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ ข้าราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นล้วนต้องรวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสหน้าประตู "อู่เหมิน" เพื่อฟังอย่างพร้อมเพรียวกัน ช่องกลางของประตู "อู่เหมิน" มีแต่จักรพรรดิเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าออกได้ ยกเวิ้นพระมเหสีสามารถเดินผ่านประตูได้ในระหว่างพิธีอภิเษกสมรสจอหงวน ปางั่ง ถ้ำฮวยผู้สอบได้สามอันดับแรกในการสอบจอหงวนที่พระที่นั่ง "เป่าเหอ" สามารถเดินออกประตูนี้ได้หนึ่งครั้ง ด้านข้าราชการฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นต้องเดินเข้าออกประตูทิศตะวันออก ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ต้องเข้าออกประตูทิศตะวันตก ประตู "เสินอู่เหมิน" เป็นประตูหลัง ในสมัยราชวงศ์หมิง เรียกว่าประตู "เฮียนบู๊" ตามชื่อของสัตว์สิริมงคลที่คอยเฝ้าทิศทั้งสี่ในสมัยโบราณของจีน ความเชื่อเดิมนั้นระบุว่า ซ้ายเช็งเล้ง หรือมังกรดำ ขวาแปะโฮ้ว หรือเสือขาว ด้านหน้าจูเจียก หรือหงษ์แดง ส่วนด้านหลังคือเฮียนบู๊ หรือเต่าเขียว เป็นผู้อาลักขาทิศเหนือ ด้วยเหตุนี้ ประตูทิศเหนือของพระราชวังในสมัยโบราณจีนส่วนใหญ่ตั้งชื่อว่า "เฮียนบู๊" ในรัชสมัยคังซีฮ่องเต้ เนื่องจากคำนี้มีเสียงพ้องกับชื่อของจักรพรรดิคังซี จึงเปลี่ยนชื่อเป็นประตู "เสินอู่เหมิน" ประตูแห่งนี้ก็เป็นประตูแบบมีพลับพลาอีกแห่งหนึ่ง สร้างเป็นหลังคาสองชั้นซึ่งมีระดับสูงสุดในสมัยโบราณของจีน แต่พระที่นั่งที่อยู่บนกำแพงมีความกว้างเพียงแค่ 5 ห้อง แถมไม่มีกำแพงยืดออกไปข้างๆ ด้วย จึงนับว่ามีระดับต่ำกว่าประตู "อู่เหมิน" ประตู "เสินอู่เหมิน" เป็นประตูที่ใช้เป็นประจำของพระราชวังต้องห้าม ปัจจุบันเป็นประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์กู้กง ประตู "ตงหวาเหมิน" และประตู "ซีหวาเหมิน" ตั้งอยู่ที่ปีกสองฝั่งของพระราชวังต้องห้าม หน้าประตู "ซีหวาเหมิน" มีหินที่เป็นสัญลักษณ์ว่าให้ลงม้า หลังประตูมี "แม่น้ำทอง" ไหลจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ และมีสะพานหินแห่งหนึ่ง จากสะพานไปทิศเหนือมีประตูเล็กอีกสามแห่ง ประตู "ตงหวาเหมิน" และ "ซีหวาเหมิน" เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกัน มีฐานสีแดง มีลายสลักรูปเขาพระสุเมรุทำด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด ในตอนกลางเปิดประตู 3 แห่ง มีกำแพงสองชั้น ชั้นนอกทรงสี่เหลี่ยม ชั้นในทรงกลม และบนกำแพงได้สร้างหอพลับพลาไว้ มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองและหลังคาสองชั้น มีความกว้างเท่ากับห้อง 5 ห้อง ความลึกเท่ากับห้อง 3 ห้อง ภายหลังจักรพรรดิสิ้นพระชนม์แล้ว ต้องส่งพระศพออกทางประตู "ตงหวาเหมิน" จึงเรียกแบบไม่สุภาพว่า "ประตูผี" ภายในประตู "อู่เหมิน" มีลานที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง และมีสะพานอยู่เหนือ "แม่น้ำทอง" ที่ทอดตัวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก จากที่นี่ไปทางทิศเหนือก็มาถึงประตู "ไท่เหอเหมิน" สองข้างมีห้องพักของข้าราชการและระเบียง มีสะพานอยู่เหนือ "แม่น้ำทอง" 5แห่ง ประกอบด้วยราวสะพานหินอ่อนสีขาว เสมือนสายหยกเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นนอก. วังหน้ามี 3 ตำหนัก เป็นศูนย์กลางที่สร้างอยู่บนเส้นแกนตรงกันเป็นเส้นตรง ดังนี้ 1.ตำหนักไถ่เหอ เป็นตำหนักด้านหน้าที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวง ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาวยกพื้นสูง 2 เมตรเศษ ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นเมฆ มังกร และหงส์ สร้างในปีค.ศ. 1420 สมัยของพระเจ้าหย่งเล่อ กว้าง 11 เมตร ลึก 5 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น สูง 35 เมตร พื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ปูด้วยอิฐ(ที่นวดด้วยแป้งทองคำ) ตรงกลางมีบัลลังก์มังกรสีทอง(มังกร 5 เล็บ สัญลักษณ์ของฮ่องเต้อันสูงส่ง) ใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดินรับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ หลังคามุงกระเบื้องสีทอง(สีเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น) 2.ตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 2 อยู่ด้านหลังตำหนักไถ่เหอ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน รวมทั้งพิธีการจัดงานเข้าเฝ้า หากมีงานพิธีแต่งตั้งพระราชินีและจัดงานใหญ่ในพระราชวังจะต้องตรวจเอกสารความเรียบร้อยของงาน ณ ตำหนักแห่งนี้ล่วงหน้า 1 วัน 3.ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 3 อยู่หลังตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักใหญ่ มีพื้นที่เท่ากับตำหนักไถ่เหอ ภายในมีบัลลังก์ก่อสร้างโดยไม่มีเสาแถวที่ 2 ทำให้ห้องโถงด้านหน้าท้องพระโรงกว้างขึ้น ไม่บังสายพระเนตรพระองค์ฮ่องเต้ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองบรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันที่ 30 เดือน 12 (วันสิ้นปีของจีน) พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง โดยสอบในห้องท้องพระโรงแห่งนี้เขตพระราชฐานชั้นใน เขตพระราชฐานชั้นใน. • เขตพระราชวังชั้นใน(วังใน) ประกอบด้วยตำหนักเฉียนชิงกง เจียวไถ่เตี่ยน คุนหมิงกง ตำหนักตะวันออกและตะวันตก เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ดำเนินการประจำวันทางการเมือง อาทิ ตรวจเอกสาร ลงพระนามอนุมัติ ตัดสินความ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพระราชวงศ์ พระราชินี พระสนม พระโอรส และพระธิดา รวมไปถึงมีพระราชอุทยานของฮ่องเต้ เขตวังในจะมีพระตำหนักที่มีความสำคัญอยู่ 2 หลังคือ • เฉียนชิงกง เป็นตำหนักด้านหน้าของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ เพื่อตรวจเอกสารลงพระนามอนุมัติราชการแผ่นดินประจำวัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1644 ทหารและชาวนาของหลี่จื้อเฉินทำการปฏิวัติ นำกำลังบุกเข้าปักกิ่ง ซึ่งตรงกับรัชกาลฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง จักรพรรดิฉงเจินชักกระบี่ฟันพระธิดาของพระองค์จนขาดสะพายแล่ง แล้วทรงหนีออกจากพระราชวังไปแขวนคอตายที่ต้นสน ณ ภูเขาเหมยซาน(ปัจจุบันเรียกว่า ภูเขาจิ่งซาน) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง • หย่างซินเตี้ยน เป็นตำหนักอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ นัดพบปะพูดคุยกับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องการเมืองและการทหารในรัชสมัยจักรพรรดิถงจื้อและกวางซี่ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา รวมทั้งในสมัยฮ่องเต้องค์สุด ท้าย เมื่อครั้งที่ ดร.ซุนยัดเซ็นทำการปฏิวัติ จักพรรดิปูยีก็ทรงสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1962 ณ ตำหนักแห่งนี้เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก. พระราชวังต้องห้ามได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 เมื่อปี พ.ศ. 2530 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมาในปี พ.ศ. 2547 พระราชวังเฉิ่นหยาง พระราชวังพักตากอากาศของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง ได้ลงทะเบียนร่วมกับพระราชวังต้องห้ามภายใต้ชื่อ "พระราชวังแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง" ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้- (i) - เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์ - (ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม - (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว - (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
| พระราชวังต้องห้ามได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 เมื่อปี พ.ศ. ใด | {
"answer": [
"พ.ศ. 2530"
],
"answer_begin_position": [
10792
],
"answer_end_position": [
10801
]
} |
1,414 | 51,656 | ใหม่ เจริญปุระ ใหม่ เจริญปุระ (เกิด 5 มกราคม พ.ศ. 2512) เป็นนักร้องและนักแสดงชาวไทยระดับซุปเปอร์สตาร์หญิงแถวหน้าของเมืองไทย มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ขอแค่คิดถึง ในปี พ.ศ. 2527 โดยใช้ชื่อว่า "ใหม่ สิริวิมล" และประเดิมละครเรื่องแรก คนเริงเมือง พ.ศ. 2531 ให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 อัลบั้มชุดแรก ไม้ม้วน ในปี พ.ศ. 2532 ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลนักร้องหน้าใหม่จากเวทีสีสันอะวอดส์ และในปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ความลับสุดขอบฟ้า สามารถทำสถิติ นักร้องหญิงของแกรมมี่คนแรกที่สร้างยอดขายเทปทะลุ 2 ล้านตลับ เธอยังสามารถคว้ารางวัลจากสีสันอะวอดส์อีกครั้งในฐานะศิลปินหญิงยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" ในปี พ.ศ. 2541 และใหม่ยังได้รับฉายา Queen of poprock ยุค 90 อีกด้วยประวัติ ประวัติ. ใหม่ เจริญปุระ เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนาย สุรินทร์ เจริญปุระ (รุจน์ รณภพ) และนางวินีย์ สนธิกุล มีพี่สาว 3 คน คือ เวณิก เจริญปุระ (แมว), พลอย เจริญปุระ (ปู), วิภาวี เจริญปุระ (กุ้ง) มีน้องสาวต่างมารดาคือ ทราย เจริญปุระ ใหม่ เจริญปุระ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2512 เริ่มเรียนหนังสือชั้นต้นที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่แฟรีทั่นสคูล เมืองเค้นนอกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ความฝันของใหม่ในยามนั้นคือ "จิตรกรเอก" แต่เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางสายเลือดจากคุณพ่อ ทำให้เธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการดูหนัง ร้องเพลงและ เล่นละครให้คนทางบ้านดู และเมื่อครอบครัวไปทานข้าวที่โรงแรมมณเทียร ค่ำคืนนั้นได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์ และ สมบัติ เมทะนี พระเอกภาพยนตร์เรื่องนี้เคยรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของใหม่จึงชักชวนให้ไปร่วมงาน หลังจากงานเลิกแล้วเธอจึงรวบรวมความกล้าของตัวเอง เดินเข้าไปสมัครเล่นหนังเอง กับ ไพจิตร ศุภวารี โดยมิได้บอกว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร และในปี 2527 ก็กำเนิดดาวดวงใหม่ขึ้นในวงการภาพยนตร์ไทยในชื่อ "ใหม่ สิริวิมล"วงการบันเทิงวงการบันเทิง. - พ.ศ. 2527 - ใหม่ เจริญปุระ โดยเข้าสู่วงการภาพยนตร์จากการชักชวนของ ไพจิตร ศุภวารี ค่ายพี.ดีโปรโมชั่น ในเรื่อง "ขอแค่คิดถึง ร่วมกับ สุชาติ ชวางกูร นักแสดง นักร้องชายดาวรุ่งในขณะนั้น และ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย" ซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทย ด้วยวัยเพียง 15 ปี ใช้ชื่อในการแสดงว่า "ใหม่ สิริวิมล" เรื่องนี้ได้ยกกองไปถ่ายทำที่ประเทศอังกฤษในขณะนั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงจนมีเรื่องเล่าในกองถ่ายว่าในขณะที่แสงของวันใกล้หมดและฟิล์มที่เหลืออยู่ไม่มากจึงลองขอถ่ายนางเอกน้องใหม่ดู และเลือดศิลปินของใหม่ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ความสามารถของใหม่ทำให้ทุกคนในกองกล่าวขานเธอว่านางเอก "เทคเดียวผ่าน" ไม่เสียชื่อทายาทผู้กำกับดัง - พ.ศ. 2528 - กลายเป็นนางเอกที่มีงานชุก เพราะมีภาพยนตร์ที่เข้าฉายมากถึง 8 เรื่องภายในปีเดียว และ ในภาพยนตร์เรื่อง "ดวงยิหวา" เธอฉีกตัวเองจากบทสาววัยใส พระเอกตามง้อนางเอก และ เป็นบทที่เปิดโอกาสให้ใหม่ได้แสดงอารมณ์ในแบบลึกๆ ออกมาแทนเด็กสาวสดใส ความสามารถของใหม่ในครั้งนั้นทำให้เธอได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี ในปีนั้นสร้างชื่อของเธอให้เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางและถูกจับตามองถึงฝีมือในการแสดงของใหม่ในฐานะนักแสดงมากความสามารถ - พ.ศ. 2529 ผลงานเรื่อง "พยาบาลที่รัก" เธอเปลี่ยนบทบาทกลับมาเป็นพยาบาลวัยใสอีกครั้งก่อนหมดยุคของเด็กสาวช่างฝัน หลังจากนั้นเธอก็หันไปหาประสบการณ์กับละครเวทีจากเรื่อง "ไร่แสนสุข" ร่วมกับ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ - พ.ศ. 2530 - เธอหวนกลับสู่วงการอีกครั้งและได้รับการชักชวนจากสังกัดใหม่ และใช้ชื่อ "ใหม่ เจริญปุระ" แทน "ใหม่ สิริวิมล"ในภาพยนตร์เรื่อง "นางนวล" ใหม่รับบทนวล เด็กสาวชาวใต้ที่ฝันอยากเป็นนักแสดงโดยยอมเอาตัวเข้าแลกกับผู้กำกับ และถัดจากดวงยิหวา นี่คือหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชของใหม่ และในการประกาศรางวัลตุ๊กตาทองในครั้งนั้นการแสดงของใหม่ที่ใครๆคาดหวังว่าเธอจะได้รับรางวัลและแม้เธอจะพลาดไป เธอก็ได้รางวัลดาราทองซึ่งเป็นรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับนักแสดงคู่สถาบันนี้เป็นต้นมา และต่อด้วยผลงานละครเวทีระดับคุณภาพเรื่อง "บ้าก็บ้าวะ" คู่กับ ศรัญญู วงศ์กระจ่าง - พ.ศ. 2531 - ผลงานโดดเด่นและทิ้งทวนวงการภาพยนตร์คือเรื่อง "เรือมนุษย์" เธอรับบท อีเกียวเด็กสาวยากจน ปากกล้าที่ต้องเข้ามาอยู่ในสังคมของมนุษย์หลากหลายประเภท หนังเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีโดยเฉพาะใหม่ และ น้อย โพธิ์งาม ที่เล่นเป็นแม่ลูกได้อย่างเข้าขาและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดารานำหญิงตุ๊กตาทองเป็นปีที่สองติดต่อกันและถัดมาใหม่ประเดิมละคร "คนเริงเมือง" เป็นเรื่องแรก ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง - พ.ศ. 2532 ใหม่เป็นนักแสดงที่ก้าวเข้ามาประสบความสำเร็จอย่างดีในฐานะนักร้อง เสียงโทนแหบต่ำของใหม่ไม่เป็นปัญหาในการนำเสนอเพลงที่เหมาะกับตัวเธอ อัลบั้มแรก "ไม้ม้วน" เป็นอัลบั้มที่เสนอบุคลิกของนักร้องและแนวเพลงได้อย่างกลมกลืนที่สุดชุดนึงงานดนตรีในแนวป๊อปร็อคและการถ่ายทอดอารมณ์เพลงตามแบบฉบับของใหม่นั้นทำให้เธอได้รับได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "แหบเสน่ห์" จริงใจไว้ก่อนประสบความสำเร็จในฐานะเพลงเต้นรำขณะที่'ไม่อยากให้เธอรู้ ทำให้สาวๆหลายคนน้ำตาซึมและความสำเร็จนี้ทำให้เพลงทุกเพลงฮิตทั้งอัลบั้มจนต้องถูกถ่ายทำเอ็มวีทุกเพลง ถือเป็นศิลปินหญิงคนแรก ที่มีรีวิวประกอบเพลงเอ็มวีของตัวเองทั้งอัลบั้ม และเพลงจริงใจไว้ก่อนก็ได้รับ มิวสิควิดีโอเพลงดีเด่นประจำปี 2532 จากรางวัลโทรทัศน์ทองคำและในอัลบั้มแรกของเธอมียอดขายสูงถึง 8.4 แสนตลับ และในปีเดียวกัน เธอได้ขึ้นรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จากนิตยสารสีสัน และครองตำแหน่งนักร้อง ยอดนิยมอันดับ 1 นานถึง 2 เดือนติดต่อกันจากรายการ สตาร์ มิวสิก และใหม่ยังถือเป็นผู้นำด้านแฟชั่นในปีนั้นอีกด้วยกับภาพลักษณ์ ผู้หญิงผมยาวดัดฟู กับ เสื้อลูกไม้ และกางเกงยีนลีวาย 501 ซึ่งถือว่าฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง - พ.ศ. 2533 - และในปีถัดมาอัลบั้ม "ไม้ขีดไฟ" ก็ตามออกมาตามเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ด้วยแนวเพลง ที่หนักแน่น และชัดเจน อัลบั้มชุดนี้ฉีกภาพไม้ม้วนไปเพื่อหลีกหนีภาพความจำเจ แต่ยังคงแนวเพลงเต้นรำที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น และในชุดนี้มีเพลงดังอีกมากเช่น "ควักหัวใจ" , "อยากจะร้องไห้" , "กลับดึก" , “ยังไงไม่รู้ซิ” ,"ฟังซิฟัง"และแฟชั่นใหม่ยังคงฮิตถูกใจวัยรุ่นในพ.ศ นี้กับแนวอวกาศ เสื้อตาข่าย และที่คาดผมอันใหญ่สีดำและไม่เพียงเท่านี้ใหม่ยังได้รับการคัดเลือกตัวเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปร่วมงาน SUMMER WORLD FESTIVAL ที่ประเทศญี่ปุ่น โดย ทาง NHK. เพื่อเข้าร่วมร้องเพลงในมหกรรมดังกล่าว โดยมีนักร้องจากประเทศต่างๆ อีก 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ - พ.ศ. 2534 - และเธอก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกหลังจากออกอัลบั้มมาแล้ว 2 ชุด ด้วยกระแสตอบรับที่ดีมากจากแฟนเพลงในชื่อว่า "คอนเสิร์ต ใหม่ ร้อง เต้น เล่นละคร" ณ MBK Hall หรือ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ในปัจจุบันตัวคอนเสิร์ตที่นอกจากจะได้รับการตอบรับที่ดียังมีแขกรับเชิญคนสำคัญของใหม่ รุจณ์ รณภพ และคุณพ่อของเธอนั่นเอง ในปีนี้ใหม่มีทัวร์คอนเสิรตอย่างหนักและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในต่างประเทศและผลงานการแสดงทิ้งทวนเรื่อง "ผู้หญิงแถวหน้า" กับค่ายกันตนาโดยแสดงนำคู่กับ นพพล โกมารชุน และ จอนนี่ แอนโฟเน่ ก็ไม่สามารถถ่ายทำในตอนจบ ซึ่งตอนหลังความกระจ่างขึ้นเมื่อมีข่าวใหม่ชนะคดีกับตำรวจในแอลเอซึ่งได้เข้าใจผิดในตัวเธอลงหน้าหนึ่งไทยรัฐ- พ.ศ. 2535 - ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอใหม่กลับมามีผลงานละครอีกครั้ง ในเรื่อง "วังน้ำวน" ประชันบทบาทกับ มาช่า วัฒนพานิช และ ณหทัย พิจิตรา ซึ่งดังเป็นพลุแตกจากบทอาโป พร้อมทั้งเพลงประกอบโฆษณารถยนต์โตโยต้า รักแล้วรักเลย ก็ส่งผลให้ชื่อของใหม่กลับมาดังสุดๆอีกครั้ง และใหม่ยังกลับมาสานต่อความดังด้วยผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่ 3 ในชื่อ "ความลับสุดขอบฟ้า" ก็ตามติดออกมาอีกเช่นกัน อัลบั้มนี้ได้ยกไปถ่ายทำมิวสิควิดีโอถึงประเทศอียิปต์และเธอเปิดอัลบั้มนี้ด้วยเพลง "เสียใจได้ยินไหม" มิวสิควิดีตัวแรกเป็นภาพหญิงสาวผมหยิกสั้นยืนพิงกำแพง ร้องเพลงสื่ออารมณ์ เรียบง่ายจนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้เข้าชิงมิวสิควิดีโอ MTV Video Music Award – International Viewer's Choice แม้จะพลาดรางวัลไป แต่อัลบั้มนี้ยังคงได้รับการตอบรับอย่างถล่มทะลายที่สุดในปีนั้นและใหม่ยังเป็นนักร้องหญิงไทยคนแรกที่มียอดขายเกินสองล้านตลับและมียอดรวมทั้งหมดที่ 2.6 ล้านตลับ เพลงดังๆ เกือบทั้งอัลบั้มที่ติดหูคนฟังทั่วประเทศได้แก่ "รักแล้วรักเลย",“เธอรู้หรือเปล่า” , “ไม่มีปัญหา” , “หนักเกินไปแล้ว” , “สุดฤทธิ์สุดเดช "ต่อไปนี้ไม่มีใคร” ฯลฯ แถมใหม่ยังมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองถึง 2 ครั้ง คือ "คอนเสิร์ต Mai สุดขอบ"ที่ใหม่ได้ร้องและเต้นแบบสุดขอบและยังได้รับการต้อนรับจากแฟนๆอย่างเป็นอย่างดีจนต้องจัดคอนเสิร์ตเพื่อขอบคุณแฟนๆอีกครั้ง ในชื่อว่า"คอนเสิร์ต Mai Encore for Thank You" จัดขึ้นที่ MBK Hall และเธอเป็นตัวแทนนักร้องหญิงของประเทศไทยได้ร่วมขึ้นร้องเพลงสากลบนเวทีนางงามจักรวาล ปี1992 ที่จัดขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย และในปีนี้เองสื่อมวลชนก็ได้ยกย่องเธอเป็นซุปเปอร์สตาร์หญิงอีกคนของเมืองไทย เรียกได้ว่าเป็นปีทองของผู้หญิงคนนี้จริงๆ- พ.ศ. 2536 - จากกระแสงานเพลงที่ยังแรงข้ามปี จนทำใหม่เธอต้องขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ร่วมกับ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ซึ่งแอมก็ถือเป็นไอดอลคนนึงของใหม่เช่นกัน นอกจากนี้ เธอก็ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในศิลปิน "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" ออกอัลบั้มฉลอง 10 ปีแกรมมี่ ทำอัลบั้มพิเศษ "ซน" โดยใหม่นำเพลง "ด้วยรักและผูกพัน" ของ ธงไชย แมคอินไตย์ มาขับร้องใหม่ในสไตล์เต้นรำแบบเร็กเก้ - พ.ศ. 2537 - หลังจากหายไป 2 ปีก็กลับมามีอัลบั้ม "ผีเสื้อกับพายุ" เป็นชุดที่ 4 โดยแนวเพลงในอัลบั้มชุดนี้เต็มไปด้วยดนตรีที่เข้มข้น ร้อนแรง ร้อนลึก จัดจ้าน กว่าผลงานทุกชุดที่ผ่านมา อัลบั้มชุดนี้จึงมีแนวทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีเพลงดังๆ อาทิ "อ๋อเหรอ" "ขอร้อง" "สัญญา" "ไม่ลืม"ฯลฯ ภายใต้การตอบรับอย่างดีของแฟนๆจนมีการจัดคอนเสิร์ต ""ผีเสื้ออารมณ์ใหม่ ตอน พายุพาเย้ว" วันที่ 26 พฤศจิกายน 2537 (2รอบ) ณ เอ็ม.บี.เค.ฮอลล์ และเป็นนักร้องหญิงคนเดียวที่ได้มีโอกาสขึ้นคอนเสิร์ต Rock on Eart ร่วมกับนักร้องชายฝ่าย rock ของแกรมมี่ที่จัดขึ้นที่สนามกีฬากองทัพบก - พ.ศ. 2538 - ใหม่มีโอกาสเป็นศิลปินรับเชิญในอัลบั้ม "ขนนกกับดอกไม้" ของ ธงไชย แมคอินไตย์ ร่วมกับศิลปินสาวอีกหลายท่าน และใหม่ก็ได้ร่วมร้องเพลงกับเบิร์ด-ธงไชย โดยหยิบเพลง "ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ" ของ อินคา (วงดนตรี) มาร้องร่วมกัน และใหม่ยังมีอัลบั้มรวมเพลงละคร "จุดนัดฝัน"ซึ่งใหม่ได้ร้องเพลง "โลกแห่งความฝัน"นับเป็นเพลงเพราะและได้รับความนิยมอย่างมาก อีกด้วย - พ.ศ. 2539 - ใหม่กลับมาสู่จอแก้วอีกครั้งในละคร "แผ่นดินของเรา" เป็นผลงานละครพีเรียดสุดปราณีตและเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่ใหม่รักมากอีกด้วย ซึ่งแสดงร่วมกับ ยุรนันท์ ภมรมนตรี, จอนนี่ แอนโฟเน่, ภัสสร บุณยเกียรติ และ จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นการกำกับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ก่อนจะมีข่าวภาพหลุดลงหน้าหนังสือพิมพ์ สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่ใหม่ก็ได้รับกำลังใจจากแฟนเพลงที่เรียกร้องให้ใหม่กลับสู่งานเพลงอีกครั้ง - พ.ศ. 2540 - อัลบั้ม "ชีวิตใหม่" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 5 ของเธอ ในครั้งนี้เป็นการบอกกับทุกคนว่าเธอไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ที่ภาพสยิวและข่าวด้านลบที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำให้ใหม่มีอัลบั้มมาให้ทุกคนได้ฟังกัน ครั้งนี้เธอมาพร้อมกับภาพใหม่ สดใส ไม่ร้อนแรงหรือหวือหวา เพลงในอัลบั้มนี้ดูจะเบาลงบ้าง มีเพลงอย่าง "อยากให้รู้ว่ารักเธอ "เรียนรู้" "ถนนสายนี้" "ชีวิตใหม่" และเพลง "ขอ" ที่เธอเป็นคนแต่ง เนื้อร้องเอง ซึ่งถือว่าเป็นอีกอัลบั้มที่มีเมโลดี้ที่ลงตัวและสวยงามที่สุดของเธอก็ว่าได้ - พ.ศ. 2541 - อัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" ที่ยกให้เป็นงานที่สร้างสีสันใหม่จากเธอ ซึ่งได้มีโปรดิวเซอร์ฝีมือดีชาวอิตาเลียน ชื่อ “บรูโน บรูญาโน” แนวป๊อปร็อกประจำตัวของ "ใหม่" ให้เข้ากับแนว ร็อกแอนด์โรล ยุคทศวรรษที่ 70's มีเพลงดังอย่าง "แพ้ใจ" ที่ทำให้เธอก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลพระภิฆเนศทอง พระราชทาน และเพลง MV."ไม่เห็นเป็นไร"ก็ได้ถูกเสนอเข้าชิง MTV Video Music Award – International Viewer's Choice อีกครั้งแม้จะพลาดรางวัลในระดับสากล แต่ เธอยังได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ด นักร้องหญิงยอดเยี่ยม ส่งผลให้เธอก้าวขึ้นมายืนในทำเนียบนักร้องหญิงแถวหน้าของเมืองไทยและขึ้นทำเนียบ Queen of poprock ด้วยยอดขายเทป 8 แสนกว่าตลับ - พ.ศ. 2542 - ใหม่เปิดตัวอัลบั้มภาพพร้อมเรื่องราวครั้งแรกในชีวิตที่ชื่อ "Mai 's Life" ซึ่งจัดทำขึ้นโดยนิตยสาร Image นอกจากภาพถ่ายสวยๆแล้วยังรวบรวมช่างภาพ ช่างแต่งหน้ามืออาชีพพร้อมทั้งบอกเล่าประวัติและความในใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตพร้อมคำขอบคุณต่อแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของเธอมาตลอดสิบกว่าปี - พ.ศ. 2543 - โปรเจกต์พิเศษ "Rock for Life" ที่นำเอาเพลงเพื่อชีวิตมาทำดนตรีใหม่ในสไตล์ rock หลากหลายรูปแบบ และ "ลงเอย...พี่น้องร้องเพลง" ก็เป็นอีกผลงานที่เธอทำร่วมกับศิลปินร่วมค่าย เป็นช่วงคั่นเวลาในการทำเพลงชุดต่อไป และเธอยังได้รวมตัวกับเพื่อนศิลปินสาวๆ นักร้องจากค่ายแกรมมี่แกรนด์ ทั้ง 7 คนประกอบด้วย เสาวลักษณ์ ลีละบุตร,หฤทัย ม่วงบุญศรี,มาช่า วัฒนพานิช,นิโคล เทริโอ,นัท มีเรีย และตอง ภัครมัย ออกอัลบั้มพิเศษ "Seven" จนเกิดกระแสความนิยมในอัลบั้มนี้ถล่มทะลายที่มียดขายเกินล้านชุด และแฟชั่นเสื้อเชิ๊ตขาวกางเกงยีนต์ที่เป็นปรากฏการณ์ Seven Fever และมีเพลง "ดอกไม้กับแจกัน" ที่ใหม่ร้องเดี่ยวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก - พ.ศ. 2544 - ใหม่ และเพื่อนศิลปินสาวๆ ทั้ง 7 คนประกอบด้วย เสาวลักษณ์ ลีละบุตร,หฤทัย ม่วงบุญศรี,มาช่า วัฒนพานิช,นิโคล เทริโอ,นัท มีเรีย และตอง ภัครมัย รวมตัวกันขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ที่ชื่อ "Seven Live in Bankok" จัดขึ้นที่ อินดอร์สเตเดียม สนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตสุดประทับใจแห่งปี และ ในปีนี้ใหม่ยังได้รับโอกาสสำคัญในการแสดงภาพยนตร์ที่เป็นเกียรติประวัติในชีวิตการแสดงของเธอ โดยภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำนานกว่าสามปี และถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยอีกเรื่อง สุริโยทัย ในบทบาทของท้าวศรีสุดาจันทร์ " - พ.ศ. 2545 - เธอได้ออกผลงานเพลงชุดที่ 7 "คนเดียวในหัวใจ" เปิดตัวด้วยเพลง "เรื่องของเธอ" เพลงเร็ว หนักด้วยดนตรีร็อกและเพลงช้าอย่าง "น้ำค้างตอนเช้า" และยังมีเพลง "ใครสักคน" ที่ถูกนำมาประกอบภาพยนตร์ "Three อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต" นอกจากนี้ เพลง "คนเดียวในหัวใจ" ก็ยังทำให้ใหม่คว้ารางวัลพระภิฆเนศทอง พระราชทาน อีกครั้งกับรางวัลผู้ขับร้องหญิงยอดเยี่ยม - พ.ศ. 2546 - เธอมีอัลบั้มพิเศษ"พุ่มพวงในดวงใจ" ชุด 1-2 ที่รวบรวมเพลงที่ดีที่สุดของ "พุ่มพวง ดวงจันทร์-ราชินีลูกทุ่ง" มาร้องและเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด โดยได้โปรดิวเซอร์ 9 คน มาดูช่วยแลผลงานเพลงชุดนี้ เช่น วรฤทธิ์ เล่ห์วิสุทธิ์, ชนชิต จรรย์สืบศรี, พิเชษฐ์ เครือวัลย์, วุฒิไกร อิ่มเจริญ, อดิศร ปานสมบัติ, สมคิด ประดิษฐ์ฝัน, อภิสิษฏ์ ณ ตะกั่วทุ่ง, บุญฤทธิ์ สุขเสรีทรัพย์ และกรรณศิริ อาญาเมือง แนวดนตรีผสมผสานหลากหลายทั้ง ร็อก ละติน อะคูสติก ฯลฯ - พ.ศ. 2547 - สานต่ออัลบั้ม "พุ่มพวงในดวงใจ" ด้วยอัลบั้มชุดที่ 3 และ 4 แถมต่อยอดไปถึงคอนเสิร์ตใหญ่ "Mai in Memories Live Concert" จัดแสดงที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนเวทีใหม่ยังแสดงโชว์ได้อย่างมืออาชีพ สมบูรณ์แบบไปกับผลงานเพลงตลอด 15 ปีของเธอ ที่คัดเอาโชว์เด็ดๆ ทั้งเพลงสตริง และลูกทุ่ง เธอขนขึ้นไปโชว์อย่างอลังการงานสร้าง สมศักดิ์ศรีซุปเปอร์สตาร์หญิงของไทย - พ.ศ. 2548 - เธอกลับมาร้องเพลงให้ทุกคนได้ฟังกันอีกครั้ง ในอัลบั้มพิเศษ "Then And Now" ซึ่งเอาเพลงเก่าๆ ของตัวเองมา Cover ใหม่ถึง 2 อัลบั้ม - พ.ศ. 2549 - หลังจากห่างหายไปถึง 4 ปี นับจากอัลบั้มเดี่ยวชุดล่าสุด ใน "Always ใหม่เสมอ" ที่ "ใหม่" ทุ่มสุดตัว เพราะเธอได้เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการทำงาน และเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง กับโปรดิวเซอร์ อภิไชย เย็นพูนสุข ซึ่งเคยโปรดิวซ์ให้ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 1 จนถึงชุดที่ 4 แล้วยังเป็นผู้ดูแลคำร้อง-เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้ด้วยได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง - พ.ศ. 2550 - เธอรวมตัวกับ เจตริน วรรธนะสิน, คริสติน่า อากีล่าร์ และ โดม ปกรณ์ ลัม ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ "Dare to Dance Concert" จัดขึ้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี - พ.ศ. 2551 - กลับมาแสดงภาพยนตร์ ใน "เมมโมรี่ รักหลอน" แสดงคู่กับ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ในบทที่ยาก ท้าทายอาชีพนักแสดงอย่างเธอ แต่ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้ใหม่ชนะใจกรรมการ จนคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ด ในขณะเดียวกัน ใหม่ก็กลับมาจับไมค์ออกอัลบั้มอีกครั้ง เป็นการนำบทเพลงของ อัสนี โชติกุล มาขับร้องใหม่ ในชื่อชุด "Mai Sings Asanee" - พ.ศ. 2552 - ในฐานะ Queen of Pop Rock เธอจับมือกับ"คริสติน่า อากีล่าร์" Queen of Dance อีกครั้ง เปิดคอนเสิร์ตใหญ่ในชื่อ "Mai & Tina Beauty on the Beat Concert" จัดขึ้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมด้วยอัลบั้มพิเศษ "Mai & Tina Beauty on the Beat" ช่วงปลายปี ซึ่งมีเพลง "Burn" เปิดตัวคู่กับคริสติน่า และเพลงเดี่ยวได้แก่เพลง "ฝุ่น" และ "มีใจก็รักกันได้" ที่ร้องในอัลบั้มนี้ - พ.ศ. 2553 - ใหม่กลับมารับงานภาพยนตร์เรื่อง "ตายโหง" ซึ่งกำกับการแสดงโดย พจน์ อานนท์ ในชื่อตอน "ขึ้นครู" ใหม่แสดงร่วมกับ คชาภา ตันเจริญ และ รัชชานนท์ สุขประกอบ และมีปาร์ตี้คอนเสิร์ตเดี่ยวริมทะเลครั้งแรกของเธอใน "Concert Mai on the Beach" ที่ "Ocian Marina Yacht Club Pattaya" - พ.ศ. 2554 - ใหม่จัดนิทรรศการครบรอบ 27 ปีของเธอในชื่อ "Born 2 Love U" ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งแสดงรูปถ่ายในงานตั้งแต่วันแรกที่ใหม่เข้าวงการ แถมยังมีแฟชั่นเซทใหม่สุดหวือหวาจัดแสดงในงานด้วย หลังจากนั้นใหม่ก็ปล่อยพ็อคเก็ตบุ๊คเต็มรูปแบบอีกครั้งที่ชื่อเดียวกับงาน "Born 2 Love U" เป็นเรื่องราวแบบเจาะลึกตลอด 27 ปีของเธอ อาทิเรื่องวิกฤติชีวิตทัวร์คอนเสิร์ตในแอลเอ เรื่องราวรักๆ แบบลับๆ และเปิดเผยหมดเปลือก เจาะลึกทุกคำถามที่หลายคนอยากรู้ !!! พร้อมออกผลิตภัณฑ์น้ำดื่มและน้ำแร่ ภายใต้ชื่อของตัวเอง จนได้รับการตีพิมพ์อีกเป็นครั้งที่สอง - พ.ศ. 2555 - เธอประเดิมขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ ใน "คอนเสิร์ต Dee & Seefa : The Lyrics of Love" ซึ่งนำบทเพลงจากปลายปากกาของ นิติพงษ์ ห่อนาค และ นิ่ม สีฟ้า มาขับร้อง ร่วมแสดงกับศิลปินมากมาย และเป็นแขกรับเชิญใน "คอนเสิร์ต I am What I Amp 30 Year of Saowaluck" ของ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ร่วมกับเพื่อนสาวในอัลบั้ม "Seven" ได้แก่ หฤทัย ม่วงบุญศรี, มาช่า วัฒนพานิช, นิโคล เทริโอ, นัท มีเรีย และภัครมัย โปตระนันท์ ก่อนที่เธอจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีนับจากวันที่เธอเริ่มต้นเข้ามาทำงานเพลงชุดแรกกับ "คอนเสิร์ต 25 ปี สุดหัวใจ Mai ไม้ม้วน" ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี - พ.ศ. 2556 - ร่วมคอนเสิร์ตมือขวาสามัคคี รียูเนี่ยน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมกับศิลปินร็อคระดับตำนาน อาทิ อำพล ลำพูน บิลลี่ โอแกน ฐิติมา สุตสุนทร นูโว และคอนเสิร์ต GREEN CONCERT หมายเลข 16 SEVEN RETURN ณ Royal Paragon Hall เป็นการกลับมาพบกับเพื่อนสาวทั้ง 6 คนได้แก่ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร มาช่า วัฒนพานิช นิโคล เทริโอ หฤทัย ม่วงบุญศรี ภัครมัย โปตระนันท์ - พ.ศ. 2557 - ครั้งแรกกับการสวมบทบาท Commentator รายการ ร้องสู้ไฟคู่กับคิงออฟแดนซ์ เจตริน วรรธนะสิน - พ.ศ. 2558 - ใหม่ห่างหายจากละครเวทีไปนานและในปีนี้เธอกลับมาพร้อมกับบทประพันธ์ที่เธอรักที่สุดเรื่องหนึ่งกับละครเวที แผ่นดินของเรา The Musical ร่วมกับนักร้องนักแสดงฝีมือขั้นเทพอาทิ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ดอม เหตระกูล ปนัดดา เรืองวุฒิ รัดเกล้า อามระดิษ - พ.ศ. 2559 - ในฐานะศิลปินหญิงยอดขายถล่มทลาย เธอจึงมีโอกาสร่วมคอนเสิร์ต ล้านตลับ ณ Royal Paragon Hall ในวาระของ 6 ศิลปินหญิงของยุค 90's ที่มียอดจำหน่ายเกินล้านตลับ ร่วมกับ คริสติน่า อากีล่าร์ (ศิลปินหญิงล้านตลับคนแรก) นิโคล เทริโอ (ศิลปินหญิงล้านตลับคนสุดท้าย) ทาทา ยัง (ศิลปินหญิงล้านตลับที่อายุน้อยที่สุด) นัท มีเรีย (ศิลปินหญิงล้านตลับต้นฉบับสไตล์ R&B) สุนิตา ลีติกุล (ศิลปินหญิงล้านตลับที่ทำสถิติเร็วที่สุด) จัดขึ้นในวันที่ 7-8-9 ตุลาคม 2559ละครละคร. - ปี 2531 ละคร คนเริงเมือง รับบท อีพริ้ง - ปี 2533 ละคร ผู้หญิงแถวหน้า รับบท วปุน - ปี 2535 ละคร วังน้ำวน รับบทเป็น อาโป - ปี 2539 ละคร แผ่นดินของเรา รับบทเป็น ภัคคินี - ปี 2545 ละคร คนเริงเมือง รับบทเป็น อีพริ้ง - ปี 2546 ละคร ปมรักนวลฉวี รับบทเป็น นวลฉวี รุ่งเพชร / นวลฉวี ราชเดช - ปี 2547 ละคร ละครพิเศษ ลักส์ ดาวค้นดาว ตอน รักแล้วรักเลย รับบทเป็น เมย์ คู่กับ อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ - ปี 2561 ละคร กรงกรรม รับบทเป็น นางย้อยภาพยนตร์ภาพยนตร์. 1. ปี 2527 ขอแค่คิดถึง 2. ปี 2528 ผัวเชลย 3. ปี 2528 วันแห่งความรัก 4. ปี 2528 ดั่งเม็ดทราย 5. ปี 2528 พยาบาลที่รัก 6. ปี 2528 รักนี้เราจอง 7. ปี 2528 ฝันที่เป็นจริง 8. ปี 2528 เปิดโลกมหาสนุก 9. ปี 2528 ไอ้หนูภูธร 10. ปี 2529 ดวงยิหวา 11. ปี 2529 ร้อยป่า 12. ปี 2529 วัยร็อคเพลงร้อน 13. ปี 2529 เขยเต็กกอ 14. ปี 2530 นางนวล 15. ปี 2531 เรือมนุษย์ 16. ปี 2544 - สุริโยไท รับบท ท้าวศรีสุดาจันทร์ 17. ปี 2551 - เมมโมรี่ รัก หลอน รับบท อิงอร 18. ปี 2552 - เชือดก่อนชิม รับบท บุษ 19. ปี 2553 - ตายโหง ตอนที่ 4 ขึ้นครู รับบท ดาว 20. ปี 2554 - ใหม่กับหม่ำ โดนกับโดน รับบท ใหม่ละครซิทคอมละครซิทคอม. - ปี 2532 ละครซิทคอม ตะกายดาว ช่อง 9ละครเวทีละครเวที. - ปี 2529 ละครเวที ไร่แสนสุข - ปี 2530 ละครเวที บ้าก็บ้าวะ - ปี 2558 ละครเวที แผ่นดินของเรา เดอะมิวสิคัลอัลบั้มเดี่ยว (ปกติ)อัลบั้มเดี่ยว (พิเศษ)อัลบั้มเฉพาะกิจร่วมกับศิลปินอื่นอัลบั้มเฉพาะกิจร่วมกับศิลปินอื่น. - ปี 2536 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "ตะกายดาว" - ปี 2536 อัลบั้ม งาน "ซน" คนดนตรี นานที 10 ปีหน - ปี 2538 อัลบั้ม ขนนกกับดอกไม้ (แขกรับเชิญของเบิร์ด ธงไชย) - ปี 2538 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "จุดรวมฝัน" - ปี 2538 อัลบั้ม Rock Zone Vol. 1-2 - ปี 2539 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "มงกุฎดอกส้ม" - ปี 2542 อัลบั้ม X-Change - ปี 2542 อัลบั้ม The Spesial 4 - ปี 2543 อัลบั้ม Rock For Life - ปี 2543 อัลบั้ม "ลงเอย" พี่น้องร้องเพลง อัสนี-วสันต์ - ปี 2543 อัลบั้ม Seven Vol. 1-2 - ปี 2551 อัลบั้ม Sleepless Society Vol.3 By Narongwit "One Night Stand" - ปี 2552 อัลบั้ม Mai & Tina Beauty On The Beat - ปี 2552 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "น้ำตาลไหม้" - ปี 2553 อัลบั้ม Forever Love Song Vol. 1 - ปี 2554 อัลบั้ม Forever Love Song Vol. 2 - ปี 2555 อัลบั้ม Endless Love - ปี 2556 อัลบั้ม เพลงดังหนังละคร 2556 - ปี 2559 อัลบั้ม Your Songs Club Fridays Vol. 2คอนเสิร์ต (เดี่ยว)คอนเสิร์ต (เดี่ยว). - ปี 2534 คอนเสิร์ต Mai ร้อง เต้น เล่นละคร (1 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2535 คอนเสิร์ต Mai สุดขอบ (2 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2536 คอนเสิร์ต Mai อังกอร์ฟอร์แทงค์กิ้ว MBK HALL (1 รอบ) มาบุญครอง - ปี 2537 คอนเสิร์ต ผีเสื้ออารมณ์ใหม่ ตอน...พายุพาเย้ว (2 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2541 คอนเสิร์ต Green Concert Vol.4 ทำด้วยหัวใจ (1 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2547 คอนเสิร์ต Mai In Memories Live Concert (1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2549 คอนเสิร์ต Mai The Return Of Green Concert (1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2555 คอนเสิร์ต 25 ปี สุดหัวใจ ใหม่ ไม้ม้วน (2 รอบ+เฉพาะลูกค้า SCB 1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2561 คอนเสิร์ต I - A M - M A I Concert (2 รอบ) รอยัลพารากอนฮอลล์คอนเสิร์ต (เดี่ยวพิเศษ)คอนเสิร์ต (เดี่ยวพิเศษ). - ปี 2553 คอนเสิร์ต Mai OnThe Beach (1รอบ) โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ พัทยา จ.ชลบุรีคอนเสิร์ต (ร่วมกับศิลปินอื่นและแขกรับเชิญ)คอนเสิร์ต (ร่วมกับศิลปินอื่นและแขกรับเชิญ). - ปี 2533 คอนเสริ์ต SUMMER WORLD FESTIVAL ที่ประเทศญี่ปุ่น - ปี 2533 คอนเสิร์ต มือขวา สามัคคี - ปี 2536 คอนเสิร์ต ฮิปปี้ฮิป ปาร์ตี้ คู่กับ แอม เสาวลักษณ์ - ปี 2537 คอนเสิร์ต ปาร์ตี้ 10 ปี แกรมมี่ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก - คอนเสิร์ต ร๊อคลอยฟ้า ร่วมกับ วายน็อตเซเว่น - ปี 2538 คอนเสิร์ต ปาร์ตี้ขนนกกับดอกไม้ - ปี 2544 คอนเสิร์ต Seven Live In Bangkok อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก- ปี 2546 คอนเสิร์ต Mai & Pang พี่ขอร้อง & น้องขอเต้น หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ - ปี 2547 คอนเสิร์ต สีฟ้า Love Song She Wrote อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก- ปี 2549 คอนเสิร์ต Seefa Vol. 2 Deep Blue Concert อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก - ปี 2550 คอนเสิร์ต Dare to Dance Concert อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2551 คอนเสิร์ต 25 ปี นิติพงษ์ ห่อนาค (รอบวันเสาร์) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2552 คอนเสิร์ต Mai & Tina Beauty on the Beat Concert ร่วมกับ คริสติน่า อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2552 คอนเสิร์ต ธงไชยคอนเสิร์ต แฟนซีแฟนซน อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ)- ปี 2552 คอนเสิร์ต Seefah Music On The Beach (แขกรับเชิญ) - ปี 2553 คอนเสิร์ต 25 ปี ไมโคร อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ)- ปี 2553 คอนเสิร์ต "พอนด์ส ตามหารักแท้ ซูเปอร์สตาร์วาไรตี้ โชว์" เซนทารา แกรนด์ & บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์,MCC HALL เดอะมอลล์ นครราชสีมา จ.นครราชสีมา,ฮอลล์ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น จ.ขอนแก่น, ห้องบ้านล้านตอง โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ และศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา - ปี 2553 คอนเสิร์ต “แฮปปี้ เมมโมรี่ คอนเสิร์ต” ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2554 คอนเสิร์ต เบิร์ด ธงไชยอาสาสนุก อังกอร์พลัส 3 รอบ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ) - ปี 2554 คอนเสิร์ต ซุป’ตาร์ On Stage 17 ปี โพลีพลัส อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2555 คอนเสิร์ต Dee & Seefa : “The Lyrics of Love” Royal Paragon Hall - ปี 2555 คอนเสิร์ต I Am What I Amp 30 ปี แอม เสาวลักษณ์ ณ Royal Paragon Hall (แขกรับเชิญ)- ปี 2556 คอนเสิร์ต มือขวา สามัคคี Reunion (2 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2556 คอนเสิร์ต GREEN CONCERT หมายเลข 16 SEVEN RETURN 2 รอบ ณ Royal Paragon Hall - ปี 2557 คอนเสิร์ต Give me Five อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญของ ณเดชน์ คูกิมิยะ) - ปี 2558 คอนเสิร์ต The Masterpiece 30 ปี นิติพงษ์ ห่อนาค ณ Royal Paragon Hall - ปี 2558 คอนเสิร์ต ขนนกกับดอกไม้ The Original Returns ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี2559 คอนเสิร์ต ล้านตลับ (3รอบ) รอยัลพารากอนฮอลล์ - ปี 2560 คอนเสิร์ต ร็อคเธอเสมอ ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ) - ปี 2560 คอนเสิร์ต หัวขบวน กับ คาราบาวและอื่นๆ เมืองทองธานี - ปี 2560 คอนเสิร์ต pink park รอยัลพารากอนฮอลล์เพลงประกอบละครพ็อคเก็ตบุ๊คพ็อคเก็ตบุ๊ค. - ปี 2542 Mai's Life - ปี 2554 Mai Born 2 Love Uรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ปี 2528 รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี จากภาพยนตร์เรื่อง "ดวงยิหวา" - ปี 2530 รางวัลพิเศษ “ดาราทอง” ฝ่ายหญิง - ปี 2532 รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "ไม้ม้วน" - ปี 2532 รางวัลนักร้องยอดนิยม สตาร์มิวสิกอะวอร์ด จากอัลบั้ม "ไม้ม้วน" - ปี 2532 ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 9 สาวเปรี้ยวประจำปี - ปี 2532 รางวัลเพลงดีเด่นเพลง จริงใจไว้ก่อน จากงานรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 4 ปี2532 - ปี 2541 รางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" - ปี 2541 รางวัลเพลงไทยสากลหญิงยอดเยี่ยม พระภิฆเนศทองพระราชทาน จากเพลง "แพ้ใจ" - ปี 2545 เข้าชิงรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "คนเดียวในหัวใจ" - ปี 2545 รางวัลเพลงไทยสากลหญิงยอดเยี่ยม พระภิฆเนศทองพระราชทาน จากเพลง "คนเดียวในหัวใจ" - ปี 2547 รางวัลศิลปินรุ่นใหญ่ที่มียอดจำหน่ายสูง จากงานครบรอบ 16 ปี งานเลี้ยงปีใหม่พนักงานแกรมมี่โกลด์ - ปี 2552 รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สาขา ภาพยนตร์ สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ด ครั้งที่ 7 (2551) จากภาพยนตร์เรื่อง เมมโมรี่ รักหลอน - ปี 2552 รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สาขา ภาพยนตร์ จากนิตยสารสยามดารา จากเรื่อง "เชือดก่อนชิม" - ปี 2556 รางวัลคนดีศรีสยาม ได้รับเลือกเป็นบุคคลตัวอย่าง ประจำปี 2556 สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ประเภท ดารานักร้อง - ปี 2557 รางวัลพระกินนรี ได้รับเลือกเป็นบุคคลตัวอย่าง คนดี คิดดี สังคมดี ตามรอยพระยุคลบาท ประจำปี 2557 ประเภทดารานักร้อง - ปี 2558 รางวัล คนดีเพื่อพ่อ ประจำปี2558 สาขา บุคคลที่ได้ทำคุณประโยชน์และเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคม ประเภท ดารานักร้อง - ปี 2560 รางวัล น้ำใจไมตรี ประจำปี 2560 สาขา ผู้ได้ร่วมปฏิบัติงานบริการประชาชน ด้วยน้ำใจไมตรีที่ท้องสวนหลวง ประเภทดารานักร้อง - ปี 2560 รางวัล Best Jeanist Award 2017 สาขา บุคคลในวงการบันเทิง ประเภท ดารานักร้อง ประจำปี 2017
| แม่ของ ใหม่ เจริญปุระ คือใคร | {
"answer": [
"นางวินีย์ สนธิกุล"
],
"answer_begin_position": [
835
],
"answer_end_position": [
852
]
} |
1,415 | 51,656 | ใหม่ เจริญปุระ ใหม่ เจริญปุระ (เกิด 5 มกราคม พ.ศ. 2512) เป็นนักร้องและนักแสดงชาวไทยระดับซุปเปอร์สตาร์หญิงแถวหน้าของเมืองไทย มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ขอแค่คิดถึง ในปี พ.ศ. 2527 โดยใช้ชื่อว่า "ใหม่ สิริวิมล" และประเดิมละครเรื่องแรก คนเริงเมือง พ.ศ. 2531 ให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 อัลบั้มชุดแรก ไม้ม้วน ในปี พ.ศ. 2532 ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลนักร้องหน้าใหม่จากเวทีสีสันอะวอดส์ และในปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ความลับสุดขอบฟ้า สามารถทำสถิติ นักร้องหญิงของแกรมมี่คนแรกที่สร้างยอดขายเทปทะลุ 2 ล้านตลับ เธอยังสามารถคว้ารางวัลจากสีสันอะวอดส์อีกครั้งในฐานะศิลปินหญิงยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" ในปี พ.ศ. 2541 และใหม่ยังได้รับฉายา Queen of poprock ยุค 90 อีกด้วยประวัติ ประวัติ. ใหม่ เจริญปุระ เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนาย สุรินทร์ เจริญปุระ (รุจน์ รณภพ) และนางวินีย์ สนธิกุล มีพี่สาว 3 คน คือ เวณิก เจริญปุระ (แมว), พลอย เจริญปุระ (ปู), วิภาวี เจริญปุระ (กุ้ง) มีน้องสาวต่างมารดาคือ ทราย เจริญปุระ ใหม่ เจริญปุระ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2512 เริ่มเรียนหนังสือชั้นต้นที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ แล้วจึงย้ายไปเรียนต่อที่แฟรีทั่นสคูล เมืองเค้นนอกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ความฝันของใหม่ในยามนั้นคือ "จิตรกรเอก" แต่เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางสายเลือดจากคุณพ่อ ทำให้เธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการดูหนัง ร้องเพลงและ เล่นละครให้คนทางบ้านดู และเมื่อครอบครัวไปทานข้าวที่โรงแรมมณเทียร ค่ำคืนนั้นได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์ และ สมบัติ เมทะนี พระเอกภาพยนตร์เรื่องนี้เคยรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของใหม่จึงชักชวนให้ไปร่วมงาน หลังจากงานเลิกแล้วเธอจึงรวบรวมความกล้าของตัวเอง เดินเข้าไปสมัครเล่นหนังเอง กับ ไพจิตร ศุภวารี โดยมิได้บอกว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร และในปี 2527 ก็กำเนิดดาวดวงใหม่ขึ้นในวงการภาพยนตร์ไทยในชื่อ "ใหม่ สิริวิมล"วงการบันเทิงวงการบันเทิง. - พ.ศ. 2527 - ใหม่ เจริญปุระ โดยเข้าสู่วงการภาพยนตร์จากการชักชวนของ ไพจิตร ศุภวารี ค่ายพี.ดีโปรโมชั่น ในเรื่อง "ขอแค่คิดถึง ร่วมกับ สุชาติ ชวางกูร นักแสดง นักร้องชายดาวรุ่งในขณะนั้น และ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย" ซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทย ด้วยวัยเพียง 15 ปี ใช้ชื่อในการแสดงว่า "ใหม่ สิริวิมล" เรื่องนี้ได้ยกกองไปถ่ายทำที่ประเทศอังกฤษในขณะนั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงจนมีเรื่องเล่าในกองถ่ายว่าในขณะที่แสงของวันใกล้หมดและฟิล์มที่เหลืออยู่ไม่มากจึงลองขอถ่ายนางเอกน้องใหม่ดู และเลือดศิลปินของใหม่ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ความสามารถของใหม่ทำให้ทุกคนในกองกล่าวขานเธอว่านางเอก "เทคเดียวผ่าน" ไม่เสียชื่อทายาทผู้กำกับดัง - พ.ศ. 2528 - กลายเป็นนางเอกที่มีงานชุก เพราะมีภาพยนตร์ที่เข้าฉายมากถึง 8 เรื่องภายในปีเดียว และ ในภาพยนตร์เรื่อง "ดวงยิหวา" เธอฉีกตัวเองจากบทสาววัยใส พระเอกตามง้อนางเอก และ เป็นบทที่เปิดโอกาสให้ใหม่ได้แสดงอารมณ์ในแบบลึกๆ ออกมาแทนเด็กสาวสดใส ความสามารถของใหม่ในครั้งนั้นทำให้เธอได้รับรางวัลตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี ในปีนั้นสร้างชื่อของเธอให้เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางและถูกจับตามองถึงฝีมือในการแสดงของใหม่ในฐานะนักแสดงมากความสามารถ - พ.ศ. 2529 ผลงานเรื่อง "พยาบาลที่รัก" เธอเปลี่ยนบทบาทกลับมาเป็นพยาบาลวัยใสอีกครั้งก่อนหมดยุคของเด็กสาวช่างฝัน หลังจากนั้นเธอก็หันไปหาประสบการณ์กับละครเวทีจากเรื่อง "ไร่แสนสุข" ร่วมกับ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ - พ.ศ. 2530 - เธอหวนกลับสู่วงการอีกครั้งและได้รับการชักชวนจากสังกัดใหม่ และใช้ชื่อ "ใหม่ เจริญปุระ" แทน "ใหม่ สิริวิมล"ในภาพยนตร์เรื่อง "นางนวล" ใหม่รับบทนวล เด็กสาวชาวใต้ที่ฝันอยากเป็นนักแสดงโดยยอมเอาตัวเข้าแลกกับผู้กำกับ และถัดจากดวงยิหวา นี่คือหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชของใหม่ และในการประกาศรางวัลตุ๊กตาทองในครั้งนั้นการแสดงของใหม่ที่ใครๆคาดหวังว่าเธอจะได้รับรางวัลและแม้เธอจะพลาดไป เธอก็ได้รางวัลดาราทองซึ่งเป็นรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับนักแสดงคู่สถาบันนี้เป็นต้นมา และต่อด้วยผลงานละครเวทีระดับคุณภาพเรื่อง "บ้าก็บ้าวะ" คู่กับ ศรัญญู วงศ์กระจ่าง - พ.ศ. 2531 - ผลงานโดดเด่นและทิ้งทวนวงการภาพยนตร์คือเรื่อง "เรือมนุษย์" เธอรับบท อีเกียวเด็กสาวยากจน ปากกล้าที่ต้องเข้ามาอยู่ในสังคมของมนุษย์หลากหลายประเภท หนังเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีโดยเฉพาะใหม่ และ น้อย โพธิ์งาม ที่เล่นเป็นแม่ลูกได้อย่างเข้าขาและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดารานำหญิงตุ๊กตาทองเป็นปีที่สองติดต่อกันและถัดมาใหม่ประเดิมละคร "คนเริงเมือง" เป็นเรื่องแรก ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง - พ.ศ. 2532 ใหม่เป็นนักแสดงที่ก้าวเข้ามาประสบความสำเร็จอย่างดีในฐานะนักร้อง เสียงโทนแหบต่ำของใหม่ไม่เป็นปัญหาในการนำเสนอเพลงที่เหมาะกับตัวเธอ อัลบั้มแรก "ไม้ม้วน" เป็นอัลบั้มที่เสนอบุคลิกของนักร้องและแนวเพลงได้อย่างกลมกลืนที่สุดชุดนึงงานดนตรีในแนวป๊อปร็อคและการถ่ายทอดอารมณ์เพลงตามแบบฉบับของใหม่นั้นทำให้เธอได้รับได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "แหบเสน่ห์" จริงใจไว้ก่อนประสบความสำเร็จในฐานะเพลงเต้นรำขณะที่'ไม่อยากให้เธอรู้ ทำให้สาวๆหลายคนน้ำตาซึมและความสำเร็จนี้ทำให้เพลงทุกเพลงฮิตทั้งอัลบั้มจนต้องถูกถ่ายทำเอ็มวีทุกเพลง ถือเป็นศิลปินหญิงคนแรก ที่มีรีวิวประกอบเพลงเอ็มวีของตัวเองทั้งอัลบั้ม และเพลงจริงใจไว้ก่อนก็ได้รับ มิวสิควิดีโอเพลงดีเด่นประจำปี 2532 จากรางวัลโทรทัศน์ทองคำและในอัลบั้มแรกของเธอมียอดขายสูงถึง 8.4 แสนตลับ และในปีเดียวกัน เธอได้ขึ้นรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จากนิตยสารสีสัน และครองตำแหน่งนักร้อง ยอดนิยมอันดับ 1 นานถึง 2 เดือนติดต่อกันจากรายการ สตาร์ มิวสิก และใหม่ยังถือเป็นผู้นำด้านแฟชั่นในปีนั้นอีกด้วยกับภาพลักษณ์ ผู้หญิงผมยาวดัดฟู กับ เสื้อลูกไม้ และกางเกงยีนลีวาย 501 ซึ่งถือว่าฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง - พ.ศ. 2533 - และในปีถัดมาอัลบั้ม "ไม้ขีดไฟ" ก็ตามออกมาตามเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ด้วยแนวเพลง ที่หนักแน่น และชัดเจน อัลบั้มชุดนี้ฉีกภาพไม้ม้วนไปเพื่อหลีกหนีภาพความจำเจ แต่ยังคงแนวเพลงเต้นรำที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น และในชุดนี้มีเพลงดังอีกมากเช่น "ควักหัวใจ" , "อยากจะร้องไห้" , "กลับดึก" , “ยังไงไม่รู้ซิ” ,"ฟังซิฟัง"และแฟชั่นใหม่ยังคงฮิตถูกใจวัยรุ่นในพ.ศ นี้กับแนวอวกาศ เสื้อตาข่าย และที่คาดผมอันใหญ่สีดำและไม่เพียงเท่านี้ใหม่ยังได้รับการคัดเลือกตัวเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปร่วมงาน SUMMER WORLD FESTIVAL ที่ประเทศญี่ปุ่น โดย ทาง NHK. เพื่อเข้าร่วมร้องเพลงในมหกรรมดังกล่าว โดยมีนักร้องจากประเทศต่างๆ อีก 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ - พ.ศ. 2534 - และเธอก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกหลังจากออกอัลบั้มมาแล้ว 2 ชุด ด้วยกระแสตอบรับที่ดีมากจากแฟนเพลงในชื่อว่า "คอนเสิร์ต ใหม่ ร้อง เต้น เล่นละคร" ณ MBK Hall หรือ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ในปัจจุบันตัวคอนเสิร์ตที่นอกจากจะได้รับการตอบรับที่ดียังมีแขกรับเชิญคนสำคัญของใหม่ รุจณ์ รณภพ และคุณพ่อของเธอนั่นเอง ในปีนี้ใหม่มีทัวร์คอนเสิรตอย่างหนักและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในต่างประเทศและผลงานการแสดงทิ้งทวนเรื่อง "ผู้หญิงแถวหน้า" กับค่ายกันตนาโดยแสดงนำคู่กับ นพพล โกมารชุน และ จอนนี่ แอนโฟเน่ ก็ไม่สามารถถ่ายทำในตอนจบ ซึ่งตอนหลังความกระจ่างขึ้นเมื่อมีข่าวใหม่ชนะคดีกับตำรวจในแอลเอซึ่งได้เข้าใจผิดในตัวเธอลงหน้าหนึ่งไทยรัฐ- พ.ศ. 2535 - ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอใหม่กลับมามีผลงานละครอีกครั้ง ในเรื่อง "วังน้ำวน" ประชันบทบาทกับ มาช่า วัฒนพานิช และ ณหทัย พิจิตรา ซึ่งดังเป็นพลุแตกจากบทอาโป พร้อมทั้งเพลงประกอบโฆษณารถยนต์โตโยต้า รักแล้วรักเลย ก็ส่งผลให้ชื่อของใหม่กลับมาดังสุดๆอีกครั้ง และใหม่ยังกลับมาสานต่อความดังด้วยผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่ 3 ในชื่อ "ความลับสุดขอบฟ้า" ก็ตามติดออกมาอีกเช่นกัน อัลบั้มนี้ได้ยกไปถ่ายทำมิวสิควิดีโอถึงประเทศอียิปต์และเธอเปิดอัลบั้มนี้ด้วยเพลง "เสียใจได้ยินไหม" มิวสิควิดีตัวแรกเป็นภาพหญิงสาวผมหยิกสั้นยืนพิงกำแพง ร้องเพลงสื่ออารมณ์ เรียบง่ายจนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้เข้าชิงมิวสิควิดีโอ MTV Video Music Award – International Viewer's Choice แม้จะพลาดรางวัลไป แต่อัลบั้มนี้ยังคงได้รับการตอบรับอย่างถล่มทะลายที่สุดในปีนั้นและใหม่ยังเป็นนักร้องหญิงไทยคนแรกที่มียอดขายเกินสองล้านตลับและมียอดรวมทั้งหมดที่ 2.6 ล้านตลับ เพลงดังๆ เกือบทั้งอัลบั้มที่ติดหูคนฟังทั่วประเทศได้แก่ "รักแล้วรักเลย",“เธอรู้หรือเปล่า” , “ไม่มีปัญหา” , “หนักเกินไปแล้ว” , “สุดฤทธิ์สุดเดช "ต่อไปนี้ไม่มีใคร” ฯลฯ แถมใหม่ยังมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองถึง 2 ครั้ง คือ "คอนเสิร์ต Mai สุดขอบ"ที่ใหม่ได้ร้องและเต้นแบบสุดขอบและยังได้รับการต้อนรับจากแฟนๆอย่างเป็นอย่างดีจนต้องจัดคอนเสิร์ตเพื่อขอบคุณแฟนๆอีกครั้ง ในชื่อว่า"คอนเสิร์ต Mai Encore for Thank You" จัดขึ้นที่ MBK Hall และเธอเป็นตัวแทนนักร้องหญิงของประเทศไทยได้ร่วมขึ้นร้องเพลงสากลบนเวทีนางงามจักรวาล ปี1992 ที่จัดขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย และในปีนี้เองสื่อมวลชนก็ได้ยกย่องเธอเป็นซุปเปอร์สตาร์หญิงอีกคนของเมืองไทย เรียกได้ว่าเป็นปีทองของผู้หญิงคนนี้จริงๆ- พ.ศ. 2536 - จากกระแสงานเพลงที่ยังแรงข้ามปี จนทำใหม่เธอต้องขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ร่วมกับ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ซึ่งแอมก็ถือเป็นไอดอลคนนึงของใหม่เช่นกัน นอกจากนี้ เธอก็ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในศิลปิน "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" ออกอัลบั้มฉลอง 10 ปีแกรมมี่ ทำอัลบั้มพิเศษ "ซน" โดยใหม่นำเพลง "ด้วยรักและผูกพัน" ของ ธงไชย แมคอินไตย์ มาขับร้องใหม่ในสไตล์เต้นรำแบบเร็กเก้ - พ.ศ. 2537 - หลังจากหายไป 2 ปีก็กลับมามีอัลบั้ม "ผีเสื้อกับพายุ" เป็นชุดที่ 4 โดยแนวเพลงในอัลบั้มชุดนี้เต็มไปด้วยดนตรีที่เข้มข้น ร้อนแรง ร้อนลึก จัดจ้าน กว่าผลงานทุกชุดที่ผ่านมา อัลบั้มชุดนี้จึงมีแนวทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีเพลงดังๆ อาทิ "อ๋อเหรอ" "ขอร้อง" "สัญญา" "ไม่ลืม"ฯลฯ ภายใต้การตอบรับอย่างดีของแฟนๆจนมีการจัดคอนเสิร์ต ""ผีเสื้ออารมณ์ใหม่ ตอน พายุพาเย้ว" วันที่ 26 พฤศจิกายน 2537 (2รอบ) ณ เอ็ม.บี.เค.ฮอลล์ และเป็นนักร้องหญิงคนเดียวที่ได้มีโอกาสขึ้นคอนเสิร์ต Rock on Eart ร่วมกับนักร้องชายฝ่าย rock ของแกรมมี่ที่จัดขึ้นที่สนามกีฬากองทัพบก - พ.ศ. 2538 - ใหม่มีโอกาสเป็นศิลปินรับเชิญในอัลบั้ม "ขนนกกับดอกไม้" ของ ธงไชย แมคอินไตย์ ร่วมกับศิลปินสาวอีกหลายท่าน และใหม่ก็ได้ร่วมร้องเพลงกับเบิร์ด-ธงไชย โดยหยิบเพลง "ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ" ของ อินคา (วงดนตรี) มาร้องร่วมกัน และใหม่ยังมีอัลบั้มรวมเพลงละคร "จุดนัดฝัน"ซึ่งใหม่ได้ร้องเพลง "โลกแห่งความฝัน"นับเป็นเพลงเพราะและได้รับความนิยมอย่างมาก อีกด้วย - พ.ศ. 2539 - ใหม่กลับมาสู่จอแก้วอีกครั้งในละคร "แผ่นดินของเรา" เป็นผลงานละครพีเรียดสุดปราณีตและเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่ใหม่รักมากอีกด้วย ซึ่งแสดงร่วมกับ ยุรนันท์ ภมรมนตรี, จอนนี่ แอนโฟเน่, ภัสสร บุณยเกียรติ และ จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นการกำกับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ก่อนจะมีข่าวภาพหลุดลงหน้าหนังสือพิมพ์ สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่ใหม่ก็ได้รับกำลังใจจากแฟนเพลงที่เรียกร้องให้ใหม่กลับสู่งานเพลงอีกครั้ง - พ.ศ. 2540 - อัลบั้ม "ชีวิตใหม่" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 5 ของเธอ ในครั้งนี้เป็นการบอกกับทุกคนว่าเธอไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ที่ภาพสยิวและข่าวด้านลบที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำให้ใหม่มีอัลบั้มมาให้ทุกคนได้ฟังกัน ครั้งนี้เธอมาพร้อมกับภาพใหม่ สดใส ไม่ร้อนแรงหรือหวือหวา เพลงในอัลบั้มนี้ดูจะเบาลงบ้าง มีเพลงอย่าง "อยากให้รู้ว่ารักเธอ "เรียนรู้" "ถนนสายนี้" "ชีวิตใหม่" และเพลง "ขอ" ที่เธอเป็นคนแต่ง เนื้อร้องเอง ซึ่งถือว่าเป็นอีกอัลบั้มที่มีเมโลดี้ที่ลงตัวและสวยงามที่สุดของเธอก็ว่าได้ - พ.ศ. 2541 - อัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" ที่ยกให้เป็นงานที่สร้างสีสันใหม่จากเธอ ซึ่งได้มีโปรดิวเซอร์ฝีมือดีชาวอิตาเลียน ชื่อ “บรูโน บรูญาโน” แนวป๊อปร็อกประจำตัวของ "ใหม่" ให้เข้ากับแนว ร็อกแอนด์โรล ยุคทศวรรษที่ 70's มีเพลงดังอย่าง "แพ้ใจ" ที่ทำให้เธอก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลพระภิฆเนศทอง พระราชทาน และเพลง MV."ไม่เห็นเป็นไร"ก็ได้ถูกเสนอเข้าชิง MTV Video Music Award – International Viewer's Choice อีกครั้งแม้จะพลาดรางวัลในระดับสากล แต่ เธอยังได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ด นักร้องหญิงยอดเยี่ยม ส่งผลให้เธอก้าวขึ้นมายืนในทำเนียบนักร้องหญิงแถวหน้าของเมืองไทยและขึ้นทำเนียบ Queen of poprock ด้วยยอดขายเทป 8 แสนกว่าตลับ - พ.ศ. 2542 - ใหม่เปิดตัวอัลบั้มภาพพร้อมเรื่องราวครั้งแรกในชีวิตที่ชื่อ "Mai 's Life" ซึ่งจัดทำขึ้นโดยนิตยสาร Image นอกจากภาพถ่ายสวยๆแล้วยังรวบรวมช่างภาพ ช่างแต่งหน้ามืออาชีพพร้อมทั้งบอกเล่าประวัติและความในใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตพร้อมคำขอบคุณต่อแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของเธอมาตลอดสิบกว่าปี - พ.ศ. 2543 - โปรเจกต์พิเศษ "Rock for Life" ที่นำเอาเพลงเพื่อชีวิตมาทำดนตรีใหม่ในสไตล์ rock หลากหลายรูปแบบ และ "ลงเอย...พี่น้องร้องเพลง" ก็เป็นอีกผลงานที่เธอทำร่วมกับศิลปินร่วมค่าย เป็นช่วงคั่นเวลาในการทำเพลงชุดต่อไป และเธอยังได้รวมตัวกับเพื่อนศิลปินสาวๆ นักร้องจากค่ายแกรมมี่แกรนด์ ทั้ง 7 คนประกอบด้วย เสาวลักษณ์ ลีละบุตร,หฤทัย ม่วงบุญศรี,มาช่า วัฒนพานิช,นิโคล เทริโอ,นัท มีเรีย และตอง ภัครมัย ออกอัลบั้มพิเศษ "Seven" จนเกิดกระแสความนิยมในอัลบั้มนี้ถล่มทะลายที่มียดขายเกินล้านชุด และแฟชั่นเสื้อเชิ๊ตขาวกางเกงยีนต์ที่เป็นปรากฏการณ์ Seven Fever และมีเพลง "ดอกไม้กับแจกัน" ที่ใหม่ร้องเดี่ยวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก - พ.ศ. 2544 - ใหม่ และเพื่อนศิลปินสาวๆ ทั้ง 7 คนประกอบด้วย เสาวลักษณ์ ลีละบุตร,หฤทัย ม่วงบุญศรี,มาช่า วัฒนพานิช,นิโคล เทริโอ,นัท มีเรีย และตอง ภัครมัย รวมตัวกันขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ที่ชื่อ "Seven Live in Bankok" จัดขึ้นที่ อินดอร์สเตเดียม สนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตสุดประทับใจแห่งปี และ ในปีนี้ใหม่ยังได้รับโอกาสสำคัญในการแสดงภาพยนตร์ที่เป็นเกียรติประวัติในชีวิตการแสดงของเธอ โดยภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำนานกว่าสามปี และถือว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยอีกเรื่อง สุริโยทัย ในบทบาทของท้าวศรีสุดาจันทร์ " - พ.ศ. 2545 - เธอได้ออกผลงานเพลงชุดที่ 7 "คนเดียวในหัวใจ" เปิดตัวด้วยเพลง "เรื่องของเธอ" เพลงเร็ว หนักด้วยดนตรีร็อกและเพลงช้าอย่าง "น้ำค้างตอนเช้า" และยังมีเพลง "ใครสักคน" ที่ถูกนำมาประกอบภาพยนตร์ "Three อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต" นอกจากนี้ เพลง "คนเดียวในหัวใจ" ก็ยังทำให้ใหม่คว้ารางวัลพระภิฆเนศทอง พระราชทาน อีกครั้งกับรางวัลผู้ขับร้องหญิงยอดเยี่ยม - พ.ศ. 2546 - เธอมีอัลบั้มพิเศษ"พุ่มพวงในดวงใจ" ชุด 1-2 ที่รวบรวมเพลงที่ดีที่สุดของ "พุ่มพวง ดวงจันทร์-ราชินีลูกทุ่ง" มาร้องและเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด โดยได้โปรดิวเซอร์ 9 คน มาดูช่วยแลผลงานเพลงชุดนี้ เช่น วรฤทธิ์ เล่ห์วิสุทธิ์, ชนชิต จรรย์สืบศรี, พิเชษฐ์ เครือวัลย์, วุฒิไกร อิ่มเจริญ, อดิศร ปานสมบัติ, สมคิด ประดิษฐ์ฝัน, อภิสิษฏ์ ณ ตะกั่วทุ่ง, บุญฤทธิ์ สุขเสรีทรัพย์ และกรรณศิริ อาญาเมือง แนวดนตรีผสมผสานหลากหลายทั้ง ร็อก ละติน อะคูสติก ฯลฯ - พ.ศ. 2547 - สานต่ออัลบั้ม "พุ่มพวงในดวงใจ" ด้วยอัลบั้มชุดที่ 3 และ 4 แถมต่อยอดไปถึงคอนเสิร์ตใหญ่ "Mai in Memories Live Concert" จัดแสดงที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนเวทีใหม่ยังแสดงโชว์ได้อย่างมืออาชีพ สมบูรณ์แบบไปกับผลงานเพลงตลอด 15 ปีของเธอ ที่คัดเอาโชว์เด็ดๆ ทั้งเพลงสตริง และลูกทุ่ง เธอขนขึ้นไปโชว์อย่างอลังการงานสร้าง สมศักดิ์ศรีซุปเปอร์สตาร์หญิงของไทย - พ.ศ. 2548 - เธอกลับมาร้องเพลงให้ทุกคนได้ฟังกันอีกครั้ง ในอัลบั้มพิเศษ "Then And Now" ซึ่งเอาเพลงเก่าๆ ของตัวเองมา Cover ใหม่ถึง 2 อัลบั้ม - พ.ศ. 2549 - หลังจากห่างหายไปถึง 4 ปี นับจากอัลบั้มเดี่ยวชุดล่าสุด ใน "Always ใหม่เสมอ" ที่ "ใหม่" ทุ่มสุดตัว เพราะเธอได้เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการทำงาน และเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง กับโปรดิวเซอร์ อภิไชย เย็นพูนสุข ซึ่งเคยโปรดิวซ์ให้ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 1 จนถึงชุดที่ 4 แล้วยังเป็นผู้ดูแลคำร้อง-เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้ด้วยได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง - พ.ศ. 2550 - เธอรวมตัวกับ เจตริน วรรธนะสิน, คริสติน่า อากีล่าร์ และ โดม ปกรณ์ ลัม ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ "Dare to Dance Concert" จัดขึ้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี - พ.ศ. 2551 - กลับมาแสดงภาพยนตร์ ใน "เมมโมรี่ รักหลอน" แสดงคู่กับ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ในบทที่ยาก ท้าทายอาชีพนักแสดงอย่างเธอ แต่ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้ใหม่ชนะใจกรรมการ จนคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ด ในขณะเดียวกัน ใหม่ก็กลับมาจับไมค์ออกอัลบั้มอีกครั้ง เป็นการนำบทเพลงของ อัสนี โชติกุล มาขับร้องใหม่ ในชื่อชุด "Mai Sings Asanee" - พ.ศ. 2552 - ในฐานะ Queen of Pop Rock เธอจับมือกับ"คริสติน่า อากีล่าร์" Queen of Dance อีกครั้ง เปิดคอนเสิร์ตใหญ่ในชื่อ "Mai & Tina Beauty on the Beat Concert" จัดขึ้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมด้วยอัลบั้มพิเศษ "Mai & Tina Beauty on the Beat" ช่วงปลายปี ซึ่งมีเพลง "Burn" เปิดตัวคู่กับคริสติน่า และเพลงเดี่ยวได้แก่เพลง "ฝุ่น" และ "มีใจก็รักกันได้" ที่ร้องในอัลบั้มนี้ - พ.ศ. 2553 - ใหม่กลับมารับงานภาพยนตร์เรื่อง "ตายโหง" ซึ่งกำกับการแสดงโดย พจน์ อานนท์ ในชื่อตอน "ขึ้นครู" ใหม่แสดงร่วมกับ คชาภา ตันเจริญ และ รัชชานนท์ สุขประกอบ และมีปาร์ตี้คอนเสิร์ตเดี่ยวริมทะเลครั้งแรกของเธอใน "Concert Mai on the Beach" ที่ "Ocian Marina Yacht Club Pattaya" - พ.ศ. 2554 - ใหม่จัดนิทรรศการครบรอบ 27 ปีของเธอในชื่อ "Born 2 Love U" ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งแสดงรูปถ่ายในงานตั้งแต่วันแรกที่ใหม่เข้าวงการ แถมยังมีแฟชั่นเซทใหม่สุดหวือหวาจัดแสดงในงานด้วย หลังจากนั้นใหม่ก็ปล่อยพ็อคเก็ตบุ๊คเต็มรูปแบบอีกครั้งที่ชื่อเดียวกับงาน "Born 2 Love U" เป็นเรื่องราวแบบเจาะลึกตลอด 27 ปีของเธอ อาทิเรื่องวิกฤติชีวิตทัวร์คอนเสิร์ตในแอลเอ เรื่องราวรักๆ แบบลับๆ และเปิดเผยหมดเปลือก เจาะลึกทุกคำถามที่หลายคนอยากรู้ !!! พร้อมออกผลิตภัณฑ์น้ำดื่มและน้ำแร่ ภายใต้ชื่อของตัวเอง จนได้รับการตีพิมพ์อีกเป็นครั้งที่สอง - พ.ศ. 2555 - เธอประเดิมขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ ใน "คอนเสิร์ต Dee & Seefa : The Lyrics of Love" ซึ่งนำบทเพลงจากปลายปากกาของ นิติพงษ์ ห่อนาค และ นิ่ม สีฟ้า มาขับร้อง ร่วมแสดงกับศิลปินมากมาย และเป็นแขกรับเชิญใน "คอนเสิร์ต I am What I Amp 30 Year of Saowaluck" ของ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ร่วมกับเพื่อนสาวในอัลบั้ม "Seven" ได้แก่ หฤทัย ม่วงบุญศรี, มาช่า วัฒนพานิช, นิโคล เทริโอ, นัท มีเรีย และภัครมัย โปตระนันท์ ก่อนที่เธอจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีนับจากวันที่เธอเริ่มต้นเข้ามาทำงานเพลงชุดแรกกับ "คอนเสิร์ต 25 ปี สุดหัวใจ Mai ไม้ม้วน" ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี - พ.ศ. 2556 - ร่วมคอนเสิร์ตมือขวาสามัคคี รียูเนี่ยน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมกับศิลปินร็อคระดับตำนาน อาทิ อำพล ลำพูน บิลลี่ โอแกน ฐิติมา สุตสุนทร นูโว และคอนเสิร์ต GREEN CONCERT หมายเลข 16 SEVEN RETURN ณ Royal Paragon Hall เป็นการกลับมาพบกับเพื่อนสาวทั้ง 6 คนได้แก่ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร มาช่า วัฒนพานิช นิโคล เทริโอ หฤทัย ม่วงบุญศรี ภัครมัย โปตระนันท์ - พ.ศ. 2557 - ครั้งแรกกับการสวมบทบาท Commentator รายการ ร้องสู้ไฟคู่กับคิงออฟแดนซ์ เจตริน วรรธนะสิน - พ.ศ. 2558 - ใหม่ห่างหายจากละครเวทีไปนานและในปีนี้เธอกลับมาพร้อมกับบทประพันธ์ที่เธอรักที่สุดเรื่องหนึ่งกับละครเวที แผ่นดินของเรา The Musical ร่วมกับนักร้องนักแสดงฝีมือขั้นเทพอาทิ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ดอม เหตระกูล ปนัดดา เรืองวุฒิ รัดเกล้า อามระดิษ - พ.ศ. 2559 - ในฐานะศิลปินหญิงยอดขายถล่มทลาย เธอจึงมีโอกาสร่วมคอนเสิร์ต ล้านตลับ ณ Royal Paragon Hall ในวาระของ 6 ศิลปินหญิงของยุค 90's ที่มียอดจำหน่ายเกินล้านตลับ ร่วมกับ คริสติน่า อากีล่าร์ (ศิลปินหญิงล้านตลับคนแรก) นิโคล เทริโอ (ศิลปินหญิงล้านตลับคนสุดท้าย) ทาทา ยัง (ศิลปินหญิงล้านตลับที่อายุน้อยที่สุด) นัท มีเรีย (ศิลปินหญิงล้านตลับต้นฉบับสไตล์ R&B) สุนิตา ลีติกุล (ศิลปินหญิงล้านตลับที่ทำสถิติเร็วที่สุด) จัดขึ้นในวันที่ 7-8-9 ตุลาคม 2559ละครละคร. - ปี 2531 ละคร คนเริงเมือง รับบท อีพริ้ง - ปี 2533 ละคร ผู้หญิงแถวหน้า รับบท วปุน - ปี 2535 ละคร วังน้ำวน รับบทเป็น อาโป - ปี 2539 ละคร แผ่นดินของเรา รับบทเป็น ภัคคินี - ปี 2545 ละคร คนเริงเมือง รับบทเป็น อีพริ้ง - ปี 2546 ละคร ปมรักนวลฉวี รับบทเป็น นวลฉวี รุ่งเพชร / นวลฉวี ราชเดช - ปี 2547 ละคร ละครพิเศษ ลักส์ ดาวค้นดาว ตอน รักแล้วรักเลย รับบทเป็น เมย์ คู่กับ อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ - ปี 2561 ละคร กรงกรรม รับบทเป็น นางย้อยภาพยนตร์ภาพยนตร์. 1. ปี 2527 ขอแค่คิดถึง 2. ปี 2528 ผัวเชลย 3. ปี 2528 วันแห่งความรัก 4. ปี 2528 ดั่งเม็ดทราย 5. ปี 2528 พยาบาลที่รัก 6. ปี 2528 รักนี้เราจอง 7. ปี 2528 ฝันที่เป็นจริง 8. ปี 2528 เปิดโลกมหาสนุก 9. ปี 2528 ไอ้หนูภูธร 10. ปี 2529 ดวงยิหวา 11. ปี 2529 ร้อยป่า 12. ปี 2529 วัยร็อคเพลงร้อน 13. ปี 2529 เขยเต็กกอ 14. ปี 2530 นางนวล 15. ปี 2531 เรือมนุษย์ 16. ปี 2544 - สุริโยไท รับบท ท้าวศรีสุดาจันทร์ 17. ปี 2551 - เมมโมรี่ รัก หลอน รับบท อิงอร 18. ปี 2552 - เชือดก่อนชิม รับบท บุษ 19. ปี 2553 - ตายโหง ตอนที่ 4 ขึ้นครู รับบท ดาว 20. ปี 2554 - ใหม่กับหม่ำ โดนกับโดน รับบท ใหม่ละครซิทคอมละครซิทคอม. - ปี 2532 ละครซิทคอม ตะกายดาว ช่อง 9ละครเวทีละครเวที. - ปี 2529 ละครเวที ไร่แสนสุข - ปี 2530 ละครเวที บ้าก็บ้าวะ - ปี 2558 ละครเวที แผ่นดินของเรา เดอะมิวสิคัลอัลบั้มเดี่ยว (ปกติ)อัลบั้มเดี่ยว (พิเศษ)อัลบั้มเฉพาะกิจร่วมกับศิลปินอื่นอัลบั้มเฉพาะกิจร่วมกับศิลปินอื่น. - ปี 2536 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "ตะกายดาว" - ปี 2536 อัลบั้ม งาน "ซน" คนดนตรี นานที 10 ปีหน - ปี 2538 อัลบั้ม ขนนกกับดอกไม้ (แขกรับเชิญของเบิร์ด ธงไชย) - ปี 2538 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "จุดรวมฝัน" - ปี 2538 อัลบั้ม Rock Zone Vol. 1-2 - ปี 2539 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "มงกุฎดอกส้ม" - ปี 2542 อัลบั้ม X-Change - ปี 2542 อัลบั้ม The Spesial 4 - ปี 2543 อัลบั้ม Rock For Life - ปี 2543 อัลบั้ม "ลงเอย" พี่น้องร้องเพลง อัสนี-วสันต์ - ปี 2543 อัลบั้ม Seven Vol. 1-2 - ปี 2551 อัลบั้ม Sleepless Society Vol.3 By Narongwit "One Night Stand" - ปี 2552 อัลบั้ม Mai & Tina Beauty On The Beat - ปี 2552 อัลบั้ม รวมเพลงละคร "น้ำตาลไหม้" - ปี 2553 อัลบั้ม Forever Love Song Vol. 1 - ปี 2554 อัลบั้ม Forever Love Song Vol. 2 - ปี 2555 อัลบั้ม Endless Love - ปี 2556 อัลบั้ม เพลงดังหนังละคร 2556 - ปี 2559 อัลบั้ม Your Songs Club Fridays Vol. 2คอนเสิร์ต (เดี่ยว)คอนเสิร์ต (เดี่ยว). - ปี 2534 คอนเสิร์ต Mai ร้อง เต้น เล่นละคร (1 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2535 คอนเสิร์ต Mai สุดขอบ (2 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2536 คอนเสิร์ต Mai อังกอร์ฟอร์แทงค์กิ้ว MBK HALL (1 รอบ) มาบุญครอง - ปี 2537 คอนเสิร์ต ผีเสื้ออารมณ์ใหม่ ตอน...พายุพาเย้ว (2 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2541 คอนเสิร์ต Green Concert Vol.4 ทำด้วยหัวใจ (1 รอบ) MBK HALL มาบุญครอง - ปี 2547 คอนเสิร์ต Mai In Memories Live Concert (1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2549 คอนเสิร์ต Mai The Return Of Green Concert (1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2555 คอนเสิร์ต 25 ปี สุดหัวใจ ใหม่ ไม้ม้วน (2 รอบ+เฉพาะลูกค้า SCB 1 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี - ปี 2561 คอนเสิร์ต I - A M - M A I Concert (2 รอบ) รอยัลพารากอนฮอลล์คอนเสิร์ต (เดี่ยวพิเศษ)คอนเสิร์ต (เดี่ยวพิเศษ). - ปี 2553 คอนเสิร์ต Mai OnThe Beach (1รอบ) โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ พัทยา จ.ชลบุรีคอนเสิร์ต (ร่วมกับศิลปินอื่นและแขกรับเชิญ)คอนเสิร์ต (ร่วมกับศิลปินอื่นและแขกรับเชิญ). - ปี 2533 คอนเสริ์ต SUMMER WORLD FESTIVAL ที่ประเทศญี่ปุ่น - ปี 2533 คอนเสิร์ต มือขวา สามัคคี - ปี 2536 คอนเสิร์ต ฮิปปี้ฮิป ปาร์ตี้ คู่กับ แอม เสาวลักษณ์ - ปี 2537 คอนเสิร์ต ปาร์ตี้ 10 ปี แกรมมี่ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก - คอนเสิร์ต ร๊อคลอยฟ้า ร่วมกับ วายน็อตเซเว่น - ปี 2538 คอนเสิร์ต ปาร์ตี้ขนนกกับดอกไม้ - ปี 2544 คอนเสิร์ต Seven Live In Bangkok อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก- ปี 2546 คอนเสิร์ต Mai & Pang พี่ขอร้อง & น้องขอเต้น หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ - ปี 2547 คอนเสิร์ต สีฟ้า Love Song She Wrote อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก- ปี 2549 คอนเสิร์ต Seefa Vol. 2 Deep Blue Concert อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก - ปี 2550 คอนเสิร์ต Dare to Dance Concert อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2551 คอนเสิร์ต 25 ปี นิติพงษ์ ห่อนาค (รอบวันเสาร์) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2552 คอนเสิร์ต Mai & Tina Beauty on the Beat Concert ร่วมกับ คริสติน่า อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2552 คอนเสิร์ต ธงไชยคอนเสิร์ต แฟนซีแฟนซน อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ)- ปี 2552 คอนเสิร์ต Seefah Music On The Beach (แขกรับเชิญ) - ปี 2553 คอนเสิร์ต 25 ปี ไมโคร อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ)- ปี 2553 คอนเสิร์ต "พอนด์ส ตามหารักแท้ ซูเปอร์สตาร์วาไรตี้ โชว์" เซนทารา แกรนด์ & บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์,MCC HALL เดอะมอลล์ นครราชสีมา จ.นครราชสีมา,ฮอลล์ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น จ.ขอนแก่น, ห้องบ้านล้านตอง โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ และศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา - ปี 2553 คอนเสิร์ต “แฮปปี้ เมมโมรี่ คอนเสิร์ต” ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2554 คอนเสิร์ต เบิร์ด ธงไชยอาสาสนุก อังกอร์พลัส 3 รอบ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ) - ปี 2554 คอนเสิร์ต ซุป’ตาร์ On Stage 17 ปี โพลีพลัส อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2555 คอนเสิร์ต Dee & Seefa : “The Lyrics of Love” Royal Paragon Hall - ปี 2555 คอนเสิร์ต I Am What I Amp 30 ปี แอม เสาวลักษณ์ ณ Royal Paragon Hall (แขกรับเชิญ)- ปี 2556 คอนเสิร์ต มือขวา สามัคคี Reunion (2 รอบ) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี 2556 คอนเสิร์ต GREEN CONCERT หมายเลข 16 SEVEN RETURN 2 รอบ ณ Royal Paragon Hall - ปี 2557 คอนเสิร์ต Give me Five อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญของ ณเดชน์ คูกิมิยะ) - ปี 2558 คอนเสิร์ต The Masterpiece 30 ปี นิติพงษ์ ห่อนาค ณ Royal Paragon Hall - ปี 2558 คอนเสิร์ต ขนนกกับดอกไม้ The Original Returns ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี - ปี2559 คอนเสิร์ต ล้านตลับ (3รอบ) รอยัลพารากอนฮอลล์ - ปี 2560 คอนเสิร์ต ร็อคเธอเสมอ ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (แขกรับเชิญ) - ปี 2560 คอนเสิร์ต หัวขบวน กับ คาราบาวและอื่นๆ เมืองทองธานี - ปี 2560 คอนเสิร์ต pink park รอยัลพารากอนฮอลล์เพลงประกอบละครพ็อคเก็ตบุ๊คพ็อคเก็ตบุ๊ค. - ปี 2542 Mai's Life - ปี 2554 Mai Born 2 Love Uรางวัลที่ได้รับรางวัลที่ได้รับ. - ปี 2528 รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ตุ๊กตาทองพระสุรัสวดี จากภาพยนตร์เรื่อง "ดวงยิหวา" - ปี 2530 รางวัลพิเศษ “ดาราทอง” ฝ่ายหญิง - ปี 2532 รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "ไม้ม้วน" - ปี 2532 รางวัลนักร้องยอดนิยม สตาร์มิวสิกอะวอร์ด จากอัลบั้ม "ไม้ม้วน" - ปี 2532 ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 9 สาวเปรี้ยวประจำปี - ปี 2532 รางวัลเพลงดีเด่นเพลง จริงใจไว้ก่อน จากงานรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 4 ปี2532 - ปี 2541 รางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "แผลงฤทธิ์" - ปี 2541 รางวัลเพลงไทยสากลหญิงยอดเยี่ยม พระภิฆเนศทองพระราชทาน จากเพลง "แพ้ใจ" - ปี 2545 เข้าชิงรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ จากอัลบั้ม "คนเดียวในหัวใจ" - ปี 2545 รางวัลเพลงไทยสากลหญิงยอดเยี่ยม พระภิฆเนศทองพระราชทาน จากเพลง "คนเดียวในหัวใจ" - ปี 2547 รางวัลศิลปินรุ่นใหญ่ที่มียอดจำหน่ายสูง จากงานครบรอบ 16 ปี งานเลี้ยงปีใหม่พนักงานแกรมมี่โกลด์ - ปี 2552 รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สาขา ภาพยนตร์ สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ด ครั้งที่ 7 (2551) จากภาพยนตร์เรื่อง เมมโมรี่ รักหลอน - ปี 2552 รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สาขา ภาพยนตร์ จากนิตยสารสยามดารา จากเรื่อง "เชือดก่อนชิม" - ปี 2556 รางวัลคนดีศรีสยาม ได้รับเลือกเป็นบุคคลตัวอย่าง ประจำปี 2556 สาขาผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ประเภท ดารานักร้อง - ปี 2557 รางวัลพระกินนรี ได้รับเลือกเป็นบุคคลตัวอย่าง คนดี คิดดี สังคมดี ตามรอยพระยุคลบาท ประจำปี 2557 ประเภทดารานักร้อง - ปี 2558 รางวัล คนดีเพื่อพ่อ ประจำปี2558 สาขา บุคคลที่ได้ทำคุณประโยชน์และเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคม ประเภท ดารานักร้อง - ปี 2560 รางวัล น้ำใจไมตรี ประจำปี 2560 สาขา ผู้ได้ร่วมปฏิบัติงานบริการประชาชน ด้วยน้ำใจไมตรีที่ท้องสวนหลวง ประเภทดารานักร้อง - ปี 2560 รางวัล Best Jeanist Award 2017 สาขา บุคคลในวงการบันเทิง ประเภท ดารานักร้อง ประจำปี 2017
| ใหม่ เจริญปุระ เกิดเดือนอะไร | {
"answer": [
"มกราคม"
],
"answer_begin_position": [
1016
],
"answer_end_position": [
1022
]
} |
1,416 | 52,382 | สโมสรฟุตบอลจังหวัดขอนแก่น สโมสรฟุตบอลจังหวัดขอนแก่น เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย ลงเล่นในระดับไทยลีก 2 โดยเป็นทีมจาก จังหวัดขอนแก่น โดยในอดีต เคยเลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันใน ไทยลีก เมื่อ ฤดูกาล 2554 ในฐานะ รองชนะเลิศดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2553ประวัติสโมสรยุคก่อนก่อตั้งสโมสร ประวัติสโมสร. ยุคก่อนก่อตั้งสโมสร. สมาคมกีฬาจังหวัดขอนแก่นได้เริ่มตันส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล โปรวินเชียลลีก ขึ้น ในปี พ.ศ. 2548 โดยเริ่มทำการแข่งขันในระดับ โปรลีก 2 โดยสมาคมกีฬาฯ ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยได้ตำแหน่ง รองชนะเลิศ ของการแข่งขันพร้อมได้สิทธิ์เลื่อนชั้นแข่งขัน โปรลีก 2549 ต่อมา เมื่อสมาคมกีฬาฯได้สิทธิ์แข่งขัน ผลงานในปีนั้น จบด้วยอันดับที่ 11 จาก 16 ทีม มี 35 คะแนน จาก 30 นัด รอดพ้นการตกชั้นได้เข้าสู่การรวมลีก เข้าสู่การรวมลีก. ต่อมาทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีนโยบายในการรวมลีกเข้าด้วยกัน ทำให้ทางสมาคมกีฬาฯ ต้องทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ทำให้ทางสมาคมกีฬาฯต้อง ปรับปรุงสโมสรให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น จึงได้จัดตั้ง บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด เพื่อทำการบริหารสโมสร ส่งลงทำการแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 1 โดยได้จดทะเบียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ทะเบียนการค้าเลขที่ 0405550000730 และได้ทำบันทึกช่วยจำ ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย และ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกที่ทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดการแข่งขันผลงานสู่ไทยลีก ผลงานสู่ไทยลีก. หลังจากที่ทำการรวมลีกเสร็จสี้น สโมสรฯได้เลื่อนชั้น ทำการแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 1 ฤดูกาล 2550 โดยอยู่ในสาย เอ และใช้ สนามกีฬากลางจังหวัดขอนแก่น เป็นสนามเหย้า โดยจบอันดับที่ 4 จาก 12 ทีม มี 29 คะแนน จาก 22 นัด หลังจากนั้นผลงานของสโมสรฯมีโอกาสในการลุ้น เลื่อนชั้นมากที่สุด โดยใน ฤดูกาล 2552 สโมสรฯจบอันดับที่ 4 พลาดโอกาสในการเลื่อนชั้นโดยห่างจากทีมอันดับที่ 3 ในปีนั้นอย่าง สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เพียง 3 คะแนน แตทว่า นักฟุตบอลในสโมสรอย่าง อิสระพงษ์ ลิละคร ได้รับการจับตามอง และถูกเรียกติด ทีมชาติไทย ในเวลาต่อมาอีกด้วย จนกระทั่ง ฤดูกาลต่อมา (ฤดูกาล 2553) สโมสรฯ ภายใต้การคุมทีมของ ณรงค์ ท้วมไธสง สามารถนำสโมสรฯ เลื่อนชั้นไปเล่นในการแข่งขัน ไทยพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ โดยจบด้วยตำแหน่ง รองชนะเลิศตกต่ำ ตกต่ำ. หลังจากที่ สโมสรฯ เลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันได้สำเร็จ ผลงานในลีกของสโมสรฯ ไม่ดีอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ด้วย ประสบการณ์ที่เป็นครั้งแรกของสโมสรฯ ทำให้สโมสรฯ มีอันต้องตกชั้น จากไทยลีก โดยในฤดูกาลนั้น (ฤดูกาล 2554) สโมสรฯ จบด้วยอันดับที่ 18 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย โดยชนะแค่ 6 นัด แต่แพ้ถึง 19 นัด ตกชั้นพร้อมกับ สโมสรราชนาวี และ สโมสรศรีราชา ซูซูกิ อย่างไรก็ดีในปีนั้น นักฟุตบอลของสโมสรฯ ได้รับการยอมรับและได้รับการจับตามองหลายคน เช่น สุรชาติ สิงห์โหง่น, เริ่มรัตน์ งามเจริญ, จัตตุพล สิทธิเลาะ เจ้าของสถิติยิงประตูไกลที่สุดใน ไทยพรีเมียร์ลีก โดยยิงจากแดนตัวเอง พุ่งเข้าประตูอย่างสวยงามในเกม ที่พบกับ สโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด รวมไปถึงนักฟุตบอลทีมชาติลาว อีกสองคน คือ คำแพง สายวุฒิ และ กัลยา สายสมหวัง อีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 สโมสรฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางฟุตบอลร่วมกับ คอนซาโดเล ซัปโปะโระ ในการพัฒนาสโมสรในด้านต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนนักเตะและผู้ฝึกสอน การไปดูงานพัฒนาสโมสร และ ร่วมกันจัดการแข่งขันกระชับมิตรอีกด้วย แต่ทว่าผลงานของสโมสรฯ กลับสวนทางกับการพัฒนาไว้ โดยสโมสรต้องตกชั้น ไปแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 2 เป็นครั้งแรก ใน ฤดูกาล 2557ปัจจุบัน ปัจจุบัน. หลังจากที่ตกชั้นในปี พ.ศ. 2559 สโมสรฯเริ่มประสบปัญหาด้านแรงสนับสนุนจากคนในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดี สโมสรก็ยังทำผลงานได้อยู่ในโซนบนของตาราง โดยจบอันดับที่ 8 จาก 18 ทีม แต่ใน ฤดูกาล 2559 เมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯมีดำริที่จะจัดตั้งลีกระดับ ที่สามแทนที่ดิวิชั่น 2 โดยคัดเลือกสโมสรที่จบ สี่อันดับแรก เลื่อนชั้น เพื่อจัดตั้งลีกใหม่ (ไทยลีกแชมเปียนชิป) โดยโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้โค้วต้า 5 สโมสร โดยในปีนั้น สโมสรฯ จบ อันดับที่ 5 ได้สิทธิ์เลื่อนขั้นไปแข่งขันใน ไทยลีกแชมเปียนชิป ทันทีผลงานของสโมสรในแต่ละฤดูกาลที่ตั้งสโมสรและสนามเหย้าผู้เล่นชุดปัจจุบันทีมงานประจำสโมสรทีมงานประจำสโมสร. - บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด - ประธานที่ปรึกษาสโมสร: พงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) - ประธานสโมสร: ผศ.ดร. กษม ชนะวงศ์ - รองประธานสโมสร: มนต์สิทธิ์ สันติภาพมณฑล, เจษฎ์ โทณวณิก, วุฒิชัย สุขสุเมธ- สโมสรฟุตบอลขอนแก่น - ผู้จัดการทีม: พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ (นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น) - ผู้จัดการทั่วไป: องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ - ผู้ช่วยผู้จัดการทีม: มนต์ชัย ศรีวิไลลักษณ์- ทีมงานผู้ฝึกสอน - หัวหน้าผู้ฝึกสอน: พัฒฐณพงศ์ ศรีปราโมช - ผู้ฝึกสอน: นิรุจน์ สุระเสียง, จักรกริช บุญคำ - ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู: สถิติ แพงมา - ผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนส: วัฒนะ นุตทัศน์- ทีมงานแพทย์ - หัวหน้า Medical Team: ดร.อชิระ หิรัญตระกูล - นักกายภาพบำบัด: สิทธิศักดิ์ ศรีวิจารย์- ทีมงานอื่นๆ - เจ้าหน้าที่สโมสร: วีระศิลป์ วงศ์วีระชัย, นพดล อินทะโก, ไกรสร ทรัพย์สิน, หนึ่งฤทัย ไพรเขตอดีตนักฟุตบอลของสโมสรอดีตนักฟุตบอลของสโมสร. - อิสระพงษ์ ลิละคร - Gamara Yamoussa - วานิช หยองเอ่น - วุฒิศักดิ์ มูลมณี - Kimiaki Kinomura - Kwayep Romeo - จัตตุพล สิทธิเลาะ - สันต์ ตันกุล - อภิศักดิ์ อาสายุทธ - เริ่มรัตน์ งามเจริญ - สุรชาติ สิงห์โหง่น - คำแพง สายวุฒิ - กัลยา สายสมหวัง - พีรวิส ฤทธิ์ศรีบูรณ์ - Amadu Tidjani - อรรณพ ชัยศิริ - กฤษฎา เหมวิพัฒน์ - Rafael Palma Tomilheiro - สุพจน์ จดจำ - พิพัฒน์ พิลารักษ์ - ศักดิ์สิทธิ์ ยืนชีวิตสโมสรพันธมิตรพันธมิตรในประเทศสโมสรพันธมิตร. พันธมิตรในประเทศ. - สโมสรบางกอกกล๊าสพันธมิตรต่างประเทศพันธมิตรต่างประเทศ. - คอนซาโดเล ซัปโปะโระ
| บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"21"
],
"answer_begin_position": [
1185
],
"answer_end_position": [
1187
]
} |
1,417 | 52,382 | สโมสรฟุตบอลจังหวัดขอนแก่น สโมสรฟุตบอลจังหวัดขอนแก่น เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย ลงเล่นในระดับไทยลีก 2 โดยเป็นทีมจาก จังหวัดขอนแก่น โดยในอดีต เคยเลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันใน ไทยลีก เมื่อ ฤดูกาล 2554 ในฐานะ รองชนะเลิศดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2553ประวัติสโมสรยุคก่อนก่อตั้งสโมสร ประวัติสโมสร. ยุคก่อนก่อตั้งสโมสร. สมาคมกีฬาจังหวัดขอนแก่นได้เริ่มตันส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล โปรวินเชียลลีก ขึ้น ในปี พ.ศ. 2548 โดยเริ่มทำการแข่งขันในระดับ โปรลีก 2 โดยสมาคมกีฬาฯ ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยได้ตำแหน่ง รองชนะเลิศ ของการแข่งขันพร้อมได้สิทธิ์เลื่อนชั้นแข่งขัน โปรลีก 2549 ต่อมา เมื่อสมาคมกีฬาฯได้สิทธิ์แข่งขัน ผลงานในปีนั้น จบด้วยอันดับที่ 11 จาก 16 ทีม มี 35 คะแนน จาก 30 นัด รอดพ้นการตกชั้นได้เข้าสู่การรวมลีก เข้าสู่การรวมลีก. ต่อมาทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีนโยบายในการรวมลีกเข้าด้วยกัน ทำให้ทางสมาคมกีฬาฯ ต้องทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ทำให้ทางสมาคมกีฬาฯต้อง ปรับปรุงสโมสรให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น จึงได้จัดตั้ง บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด เพื่อทำการบริหารสโมสร ส่งลงทำการแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 1 โดยได้จดทะเบียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ทะเบียนการค้าเลขที่ 0405550000730 และได้ทำบันทึกช่วยจำ ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย และ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกที่ทาง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดการแข่งขันผลงานสู่ไทยลีก ผลงานสู่ไทยลีก. หลังจากที่ทำการรวมลีกเสร็จสี้น สโมสรฯได้เลื่อนชั้น ทำการแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 1 ฤดูกาล 2550 โดยอยู่ในสาย เอ และใช้ สนามกีฬากลางจังหวัดขอนแก่น เป็นสนามเหย้า โดยจบอันดับที่ 4 จาก 12 ทีม มี 29 คะแนน จาก 22 นัด หลังจากนั้นผลงานของสโมสรฯมีโอกาสในการลุ้น เลื่อนชั้นมากที่สุด โดยใน ฤดูกาล 2552 สโมสรฯจบอันดับที่ 4 พลาดโอกาสในการเลื่อนชั้นโดยห่างจากทีมอันดับที่ 3 ในปีนั้นอย่าง สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ เพียง 3 คะแนน แตทว่า นักฟุตบอลในสโมสรอย่าง อิสระพงษ์ ลิละคร ได้รับการจับตามอง และถูกเรียกติด ทีมชาติไทย ในเวลาต่อมาอีกด้วย จนกระทั่ง ฤดูกาลต่อมา (ฤดูกาล 2553) สโมสรฯ ภายใต้การคุมทีมของ ณรงค์ ท้วมไธสง สามารถนำสโมสรฯ เลื่อนชั้นไปเล่นในการแข่งขัน ไทยพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ โดยจบด้วยตำแหน่ง รองชนะเลิศตกต่ำ ตกต่ำ. หลังจากที่ สโมสรฯ เลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันได้สำเร็จ ผลงานในลีกของสโมสรฯ ไม่ดีอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ด้วย ประสบการณ์ที่เป็นครั้งแรกของสโมสรฯ ทำให้สโมสรฯ มีอันต้องตกชั้น จากไทยลีก โดยในฤดูกาลนั้น (ฤดูกาล 2554) สโมสรฯ จบด้วยอันดับที่ 18 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย โดยชนะแค่ 6 นัด แต่แพ้ถึง 19 นัด ตกชั้นพร้อมกับ สโมสรราชนาวี และ สโมสรศรีราชา ซูซูกิ อย่างไรก็ดีในปีนั้น นักฟุตบอลของสโมสรฯ ได้รับการยอมรับและได้รับการจับตามองหลายคน เช่น สุรชาติ สิงห์โหง่น, เริ่มรัตน์ งามเจริญ, จัตตุพล สิทธิเลาะ เจ้าของสถิติยิงประตูไกลที่สุดใน ไทยพรีเมียร์ลีก โดยยิงจากแดนตัวเอง พุ่งเข้าประตูอย่างสวยงามในเกม ที่พบกับ สโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด รวมไปถึงนักฟุตบอลทีมชาติลาว อีกสองคน คือ คำแพง สายวุฒิ และ กัลยา สายสมหวัง อีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 สโมสรฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางฟุตบอลร่วมกับ คอนซาโดเล ซัปโปะโระ ในการพัฒนาสโมสรในด้านต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนนักเตะและผู้ฝึกสอน การไปดูงานพัฒนาสโมสร และ ร่วมกันจัดการแข่งขันกระชับมิตรอีกด้วย แต่ทว่าผลงานของสโมสรฯ กลับสวนทางกับการพัฒนาไว้ โดยสโมสรต้องตกชั้น ไปแข่งขัน ไทยลีกดิวิชัน 2 เป็นครั้งแรก ใน ฤดูกาล 2557ปัจจุบัน ปัจจุบัน. หลังจากที่ตกชั้นในปี พ.ศ. 2559 สโมสรฯเริ่มประสบปัญหาด้านแรงสนับสนุนจากคนในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดี สโมสรก็ยังทำผลงานได้อยู่ในโซนบนของตาราง โดยจบอันดับที่ 8 จาก 18 ทีม แต่ใน ฤดูกาล 2559 เมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯมีดำริที่จะจัดตั้งลีกระดับ ที่สามแทนที่ดิวิชั่น 2 โดยคัดเลือกสโมสรที่จบ สี่อันดับแรก เลื่อนชั้น เพื่อจัดตั้งลีกใหม่ (ไทยลีกแชมเปียนชิป) โดยโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้โค้วต้า 5 สโมสร โดยในปีนั้น สโมสรฯ จบ อันดับที่ 5 ได้สิทธิ์เลื่อนขั้นไปแข่งขันใน ไทยลีกแชมเปียนชิป ทันทีผลงานของสโมสรในแต่ละฤดูกาลที่ตั้งสโมสรและสนามเหย้าผู้เล่นชุดปัจจุบันทีมงานประจำสโมสรทีมงานประจำสโมสร. - บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด - ประธานที่ปรึกษาสโมสร: พงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น) - ประธานสโมสร: ผศ.ดร. กษม ชนะวงศ์ - รองประธานสโมสร: มนต์สิทธิ์ สันติภาพมณฑล, เจษฎ์ โทณวณิก, วุฒิชัย สุขสุเมธ- สโมสรฟุตบอลขอนแก่น - ผู้จัดการทีม: พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ (นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น) - ผู้จัดการทั่วไป: องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ - ผู้ช่วยผู้จัดการทีม: มนต์ชัย ศรีวิไลลักษณ์- ทีมงานผู้ฝึกสอน - หัวหน้าผู้ฝึกสอน: พัฒฐณพงศ์ ศรีปราโมช - ผู้ฝึกสอน: นิรุจน์ สุระเสียง, จักรกริช บุญคำ - ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู: สถิติ แพงมา - ผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนส: วัฒนะ นุตทัศน์- ทีมงานแพทย์ - หัวหน้า Medical Team: ดร.อชิระ หิรัญตระกูล - นักกายภาพบำบัด: สิทธิศักดิ์ ศรีวิจารย์- ทีมงานอื่นๆ - เจ้าหน้าที่สโมสร: วีระศิลป์ วงศ์วีระชัย, นพดล อินทะโก, ไกรสร ทรัพย์สิน, หนึ่งฤทัย ไพรเขตอดีตนักฟุตบอลของสโมสรอดีตนักฟุตบอลของสโมสร. - อิสระพงษ์ ลิละคร - Gamara Yamoussa - วานิช หยองเอ่น - วุฒิศักดิ์ มูลมณี - Kimiaki Kinomura - Kwayep Romeo - จัตตุพล สิทธิเลาะ - สันต์ ตันกุล - อภิศักดิ์ อาสายุทธ - เริ่มรัตน์ งามเจริญ - สุรชาติ สิงห์โหง่น - คำแพง สายวุฒิ - กัลยา สายสมหวัง - พีรวิส ฤทธิ์ศรีบูรณ์ - Amadu Tidjani - อรรณพ ชัยศิริ - กฤษฎา เหมวิพัฒน์ - Rafael Palma Tomilheiro - สุพจน์ จดจำ - พิพัฒน์ พิลารักษ์ - ศักดิ์สิทธิ์ ยืนชีวิตสโมสรพันธมิตรพันธมิตรในประเทศสโมสรพันธมิตร. พันธมิตรในประเทศ. - สโมสรบางกอกกล๊าสพันธมิตรต่างประเทศพันธมิตรต่างประเทศ. - คอนซาโดเล ซัปโปะโระ
| บริษัท สโมสรฟุตบอลขอนแก่น จำกัด จดเลขทะเบียนการค้าเลขอะไร | {
"answer": [
"0405550000730"
],
"answer_begin_position": [
1227
],
"answer_end_position": [
1240
]
} |
1,418 | 52,438 | กรณ์ จาติกวณิช กรณ์ จาติกวณิช (เกิด: 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507) เป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากรูปร่างที่สูงถึง 193 เซนติเมตร ทำให้ได้สมญานามจากสื่อมวลชนว่า "หล่อโย่ง" ซึ่งตั้งให้เข้าชุดกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสมญานาม "หล่อใหญ่" และสมาชิกพรรครุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่น อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อเล็ก" และหม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อจิ๋ว" ต้นปี พ.ศ. 2549 กรณ์ จาติกวณิช มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ปของ ตระกูลชินวัตร และดามาพงษ์ โดยได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งการขายหุ้นดังกล่าวถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในประเด็นการซุกหุ้น และหลีกเลี่ยงภาษี ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 กรณ์ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ในเขตเลือกตั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร (เขตวัฒนา คลองเตย สาทร บางคอแหลม และยานนาวา) และภายหลังการจัดตั้ง รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ มีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์จึงประกาศจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีเงา หรือ ครม.เงา ขึ้น เพื่อติดตามตรวจสอบ และเสนอแนะการบริหารงานของรัฐบาล ตามรูปแบบที่มีในต่างประเทศ กรณ์ในฐานะแกนนำทีมเศรษฐกิจ ได้รับเลือกจากทางพรรคให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตามข้อบังคับพรรค และ กรณ์ จาติกวณิช ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับผิดชอบดูแลพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ต่อมาเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กรณ์ จาติกวณิช ได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ครม.คณะที่ 59)ประวัติ ประวัติ. กรณ์ จาติกวณิชเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ที่ Princess Beatrice Hospital ถนน Brompton ประเทศอังกฤษ มีชื่อเล่นว่า "ดอน" เป็นบุตรคนกลางของ นายไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กับ นางรัมภา จาติกวณิช (นามสกุลเดิม พรหโมบล บุตรี พระยาบุเรศผดุงกิจ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ) กรณ์ จาติกวณิช สมรสกับวรกร จาติกวณิช (สกุลเดิม: สูตะบุตร) มีบุตรธิดาด้วยกัน คือ กานต์ จาติกวณิช (แจม) และไกรสิริ จาติกวณิช (จอม) นอกจากนี้วรกรยังมีลูกจากการสมรสครั้งก่อนอีก 2 คน คือ พงศกร มหาเปารยะ (แต๊งค์) และพันธิตร มหาเปารยะ (ติ๊งค์) ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 นาย พันธมิตร มหาเปารยะ ถูกตำรวจจับพร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 2 หรือ โคเคน 1 ถุง น้ำหนัก 0.920 กรัมประวัติการศึกษา ประวัติการศึกษา. กรณ์ จาติกวณิช สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) หลังจากนั้นศึกษาต่อปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่ เซนต์จอห์น (St.John's) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) จนสำเร็จการศึกษาได้รับ เกียรตินิยมอันดับสอง- พ.ศ. 2511 : อนุบาล 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสมถวิล ราชดำริ - พ.ศ. 2517 : ประถมศึกษาปีที่ 5-6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน - พ.ศ. 2518 : เข้าศึกษาที่ วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) ประเทศอังกฤษ - พ.ศ. 2525 : จบมัธยมศึกษาตอนปลายจาก วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) ประเทศอังกฤษ - พ.ศ. 2528 : สำเร็จการศึกษา ปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับสอง) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษครอบครัวครอบครัว. - ต้นตระกูลทางฝ่ายบิดาของ กรณ์ จาติกวณิช เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนที่มาตั้งรกรากในประเทศสยาม - นามสกุล "จาติกวณิช" หรือ "Chatikavanij" เป็นนามสกุลพระราชทานสมัยรัชกาลที่ 6 ลำดับที่ 1211 ที่พระราชทานแก่ พระอธิกรณประกาศ (หลุย) เจ้ากรมกองตระเวณในขณะนั้น โดยระบุว่าพระอธิกรณประกาศมีปู่คือ พระอภัยวานิช (จาด) และเนื่องจากเป็นสกุลพ่อค้า จีงมีคำว่า "วณิช" ในนามสกุล - คุณปู่คือ พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช หรือ ซอเทียนหลุย) ได้เข้ารับราชการและดำรงตำแหน่งเป็น อธิบดีกรมตำรวจ คนที่ 2 ของไทย และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น องคมนตรี ในสภากรรมการองคมนตรี สมัยรัชกาลที่ 7 - คุณตาคือ พระยาบุเรศผดุงกิจ (รวย พรหโมบล) อดีตอธิบดีกรมตำรวจ คนที่ 3 ที่ดำรงตำแหน่งต่อจาก พระยาอธิกรณ์ประกาศ ซึ่งเป็นคุณปู่ของกรณ์ - พระยาอธิกรณ์ประกาศ มีภรรยา 2 คน ภรรยาคนแรก มีบุตรชาย คือ นายแพทย์กษาน จาติกวณิช คุณหญิงเสงี่ยมภรรยาคนที่สอง มีบุตรชาย 2 คน คือ เกษม จาติกวณิช และ ไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากรและกรมสรรพากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งเป็นบิดาของกรณ์ - คุณลุง คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์กษาน จาติกวณิช อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (สมรสกับ ท่านผู้หญิงสุมาลี (ยุกตะเสวี) จาติกวณิช มีบุตรสาวคือ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) - คุณลุงอีกคนคือ นายเกษม จาติกวณิช หรือ "ซูเปอร์เค" เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ว่าการคนแรกของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเป็นประธานรถไฟฟ้า BTS สมรสกับ คุณหญิงชัชนี จาติกวณิช (ล่ำซำ) ผู้บริหารกลุ่ม “ล็อกซเล่ย์” - คุณย่าเป็นคนเหนือจากจังหวัดลำปาง - คุณตา (พระยาบุเรศผดุงกิจ) สืบเชื้อสายโดยตรงจาก เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ - คุณยาย เป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย - กรณ์ มีเชื้อสายดัตช์ แต่เกิดที่กรุงลอนดอน และเดินทางกลับมาประเทศไทยตั้งแต่อายุ 3 ปี และปักหลักเป็นชาวกรุงเทพมหานครมาจนถึงปัจจุบัน - กรณ์ มีพี่น้องเป็นชายล้วน 3 คน คือ อธิไกร กรณ์ และอนุตร ซึ่งอนุตรมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกรณ์มาก ขนาดที่มีคนจำผิดมาแล้วมากมายผลงานการทำงาน ผลงานการทำงาน. กรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัดพ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530- พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530) - พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535) - พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543) - พ.ศ. 2544 :- ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว - ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548) - พ.ศ. 2548 : ลาออกจาก JP Morgan เพื่อเข้าสู่วงการเมืองในวัย 40 ปีผลงานทางการเมือง ผลงานทางการเมือง. กรณ์ จาติกวณิช เข้าสู่วงการการเมืองจากการชักชวนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อนนักเรียนเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่อังกฤษ โดยชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. เขต 7 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตยานนาวาและเขตสาทรบางแขวงของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ด้วยคะแนนเสียง 36,010 คะแนน เป็น 1 ใน 4 ของ ส.ส.กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์ กรณ์ จาติกวณิช เคยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยติดต่อกัน กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาเขาได้ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่ม กปปส. ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี โดยกรณ์ ได้รับฉายาว่า "โย่งคาเฟ่" จากผลงานการแสดงบทบาทพันตรีประจักษ์ คู่กับทักษอร ภักดิ์สุขเจริญในภาพยนตร์โฆษณา และการเปิดผับเชียร์ฟุตบอลผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปีจำนวน 116,700 ล้านบาท อันไปใช้ในโครงการดังกล่าว1. มาตรการเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐรวมทั้ง ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้น้อย วงเงินประมาณ 19,000 ล้านบาท 2. การให้เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุ วงเงิน 9,000 ล้านบาท 3. การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่นการต่ออายุ 6 เดือน 6 มาตรการ ยกเว้นการเก็บภาษีสรรสามิตน้ำมัน จำนวน 11,000 กว่าล้านบาท 4. กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปช่วยเหลือลดค่าครองชีพอีก 1,000 ล้านบาท 5. มาตรการการเรียนฟรี วงเงิน 19,000 ล้านบาท 6. การดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาการว่างงาน ผู้เสี่ยงถูกเลิกจ้าง ผู้ถูกเลิกจ้างและบัณฑิตจบใหม่ วงเงิน 6,900 ล้านบาท 7. การสนับสนุนภาคการผลิตในบางโครงการ แต่เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ยกเว้นกรณีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยเสริมในส่วนของภาคชนบทและภาคการ เกษตรที่จะใช้วงเงิน 15,200 ล้านบาท 8. มาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2552 จำนวน 1.43 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้านบาท เป็นการลงทุนระหว่างปี 2552-2555 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนในระยะยาว ได้แก่1. โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท 2. โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท 3. โครงการด้านการศึกษา จำนวน 137,975 ล้านบาท 4. โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท 5. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาทกรณ์ จาติกวณิช กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณ์ จาติกวณิช กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ. วิถีชีวิตของ กรณ์ จาติกวณิช และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อย ตั้งแต่ที่ทั้งคู่ถือกำเนิดในตระกูลเก่าแก่ มีบรรพบุรุษทางบิดาเป็นชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศสยาม ทั้งนามสกุล "จาติกวณิช" และ "เวชชาชีวะ" ต่างก็เป็นนามสกุลพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 6 บิดาของกรณ์และอภิสิทธิ์ ต่างสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในระดับประเทศ ทั้งกรณ์และอภิสิทธิ์เกิดในต่างประเทศ โดยกรณ์เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2507 ขณะที่ อภิสิทธิ์ เกิดที่ เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ในปีเดียวกัน แม้เกิดที่อังกฤษแต่ทั้งคู่ถือสัญชาติไทย ต่อมาทั้งคู่ได้กลับมาเมืองไทยตั้งแต่ยังเล็กเรียนหนังสือระดับประถมศึกษาที่ประเทศไทยเหมือนกัน กรณ์กลับไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุ 11 ปี ขณะที่อภิสิทธิ์ ก็กลับไปเรียนต่ออังกฤษในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยอภิสิทธิได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนอีตัน ส่วนกรณ์เรียนที่โรงเรียนวินเชสเตอร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนคู่แข่งกัน ระหว่างการเรียนกรณ์ได้ทราบกิตติศัพท์ว่า อภิสิทธิ์ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนอีตัน เรียนหนังสือเก่งมาก ต่อมาเมื่อเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้ให้ทุนการศึกษาเพื่อดึงนักศึกษาที่เรียนเก่งเข้ามาสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยทำให้อภิสิทธิ์และกรณ์ได้มาเรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และมีโอกาสได้รู้จักสนิทสนมกัน ต่อมาอภิสิทธิ์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ส่วนกรณ์ก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเดียวกัน ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 หลังจากสำเร็จการศึกษา กรณ์และอภิสิทธิ์ได้แยกย้ายกันไปทำงานแตกต่างกัน โดยอภิสิทธิ์ทำงานเป็นอาจารย์ ส่วนกรณ์ทำงานในสายการเงิน แต่ทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอีก เมื่อกรณ์แต่งงานกับ วรกร จาติกวณิช เนื่องจากภรรยาของกรณ์คนนี้เป็นญาติกับอภิสิทธิ์เพราะว่านามสกุลเดิมของเธอคือ สูตะบุตร เช่นเดียวกับมารดาของอภิสิทธิ์ นอกจากนี้ วรกร จาติกวณิชซึ่งเป็นภรรยาของกรณ์ยังสนิทกับ งามพรรณ เวชชาชีวะ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ที่เป็นพี่สาวของอภิสิทธิ์อีกด้วย นอกจากนี้ คุณลุงของกรณ์ คือ ศ.นพ.กษาน จาติกวณิช กับบิดาของอภิสิทธิ์ คือ ศ.เกียรติคุณ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างก็เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลมาแล้วเช่นกัน ในที่สุดทั้งอภิสิทธิ์และกรณ์ได้เข้าสู่วงการเมือง ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน และได้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารพรรคด้วยกันในเวลาต่อมา และหลังจากนั้นอภิสิทธิ์ได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย โดยมีกรณ์ำดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังการดำรงตำแหน่งอื่นการดำรงตำแหน่งอื่น. - กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - กรรมการบริษัทจาร์ดีน เฟลมมิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด - กรรมการสมาคมบริษัทตลาดหลักทรัพย์ - กรรมการบริษัทอยุธยา ซีเอ็มจี แอสชัวรันส์ จำกัด (มหาชน) - กรรมการบริษัทไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) - กรรมการบริษัทไทยยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) - กรรมการสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทยรางวัลเกียรติยศทางสังคมเปรียวอวอร์ด รางวัลเกียรติยศทางสังคม. เปรียวอวอร์ด. กรณ์ จาติกวณิช ได้รับรางวัล "เปรียว อวอร์ด 2005" ที่นิตยสารเปรียวมอบให้ 10 บุคคลคุณภาพแห่งปี ซึ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมไทย โดยมีการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ จากหลากหลายวิชาชีพมาทำหน้าที่เป็น คณะกรรมการคัดเลือก และตัดสิน ภายใต้หลักเกณฑ์สำคัญคือ จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติพร้อม ทั้งเรื่องบุคลิกภาพ, สัมพันธภาพ, ความฉลาด, ความสง่างาม และมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในสังคม โดย กรณ์ จาติกวณิช ได้รับรางวัลพร้อมกับผู้ได้รับรางวัลชาย อีก 4 คน คือ- สราวุฒิ มาตรทอง นักแสดงและนักเขียน - เรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยาเจเอฟ จำกัด - เจษฎ์ โทณวณิก นักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา - จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ผู้บริหาร หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ได้รับรางวัลหญิง อีก 5 คน คือ- กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ผู้บริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด - แคทลีน มาลีนนท์ กิจโอธาน ผู้บริหาร บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) - นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด - พลอย จริยะเวช คอลัมนิสน์ นักเขียน นักแปล ชื่อดัง - สุธาสินี พุทธินันทน์ นักร้องนักแสดง ทายาทของ เรวัติ พุทธินันทน์รัฐมนตรีคลังโลก รัฐมนตรีคลังโลก. เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553 นิตยสาร The Banker นิตยสารชั้นนำของประเทศอังกฤษ คัดเลือกให้กรณ์ จาติกวณิช เป็น "รัฐมนตรีคลังโลก ปี 2010" และ "รัฐมนตรีคลังเอเชียแห่งปี 2010" โดยคัดเลือกจากรัฐมนตรีคลังในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 5 ภูมิภาค ได้แก่ อเมริกา ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลางเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2554 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
| กรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกิด พ.ศ. อะไร | {
"answer": [
"2507"
],
"answer_begin_position": [
143
],
"answer_end_position": [
147
]
} |
1,419 | 52,438 | กรณ์ จาติกวณิช กรณ์ จาติกวณิช (เกิด: 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507) เป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากรูปร่างที่สูงถึง 193 เซนติเมตร ทำให้ได้สมญานามจากสื่อมวลชนว่า "หล่อโย่ง" ซึ่งตั้งให้เข้าชุดกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสมญานาม "หล่อใหญ่" และสมาชิกพรรครุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่น อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อเล็ก" และหม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อจิ๋ว" ต้นปี พ.ศ. 2549 กรณ์ จาติกวณิช มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ปของ ตระกูลชินวัตร และดามาพงษ์ โดยได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งการขายหุ้นดังกล่าวถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในประเด็นการซุกหุ้น และหลีกเลี่ยงภาษี ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 กรณ์ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ในเขตเลือกตั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร (เขตวัฒนา คลองเตย สาทร บางคอแหลม และยานนาวา) และภายหลังการจัดตั้ง รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ มีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์จึงประกาศจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีเงา หรือ ครม.เงา ขึ้น เพื่อติดตามตรวจสอบ และเสนอแนะการบริหารงานของรัฐบาล ตามรูปแบบที่มีในต่างประเทศ กรณ์ในฐานะแกนนำทีมเศรษฐกิจ ได้รับเลือกจากทางพรรคให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตามข้อบังคับพรรค และ กรณ์ จาติกวณิช ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับผิดชอบดูแลพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ต่อมาเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กรณ์ จาติกวณิช ได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ครม.คณะที่ 59)ประวัติ ประวัติ. กรณ์ จาติกวณิชเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ที่ Princess Beatrice Hospital ถนน Brompton ประเทศอังกฤษ มีชื่อเล่นว่า "ดอน" เป็นบุตรคนกลางของ นายไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กับ นางรัมภา จาติกวณิช (นามสกุลเดิม พรหโมบล บุตรี พระยาบุเรศผดุงกิจ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ) กรณ์ จาติกวณิช สมรสกับวรกร จาติกวณิช (สกุลเดิม: สูตะบุตร) มีบุตรธิดาด้วยกัน คือ กานต์ จาติกวณิช (แจม) และไกรสิริ จาติกวณิช (จอม) นอกจากนี้วรกรยังมีลูกจากการสมรสครั้งก่อนอีก 2 คน คือ พงศกร มหาเปารยะ (แต๊งค์) และพันธิตร มหาเปารยะ (ติ๊งค์) ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 นาย พันธมิตร มหาเปารยะ ถูกตำรวจจับพร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 2 หรือ โคเคน 1 ถุง น้ำหนัก 0.920 กรัมประวัติการศึกษา ประวัติการศึกษา. กรณ์ จาติกวณิช สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) หลังจากนั้นศึกษาต่อปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่ เซนต์จอห์น (St.John's) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) จนสำเร็จการศึกษาได้รับ เกียรตินิยมอันดับสอง- พ.ศ. 2511 : อนุบาล 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสมถวิล ราชดำริ - พ.ศ. 2517 : ประถมศึกษาปีที่ 5-6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน - พ.ศ. 2518 : เข้าศึกษาที่ วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) ประเทศอังกฤษ - พ.ศ. 2525 : จบมัธยมศึกษาตอนปลายจาก วินเชสเตอร์ คอลเลจ (Winchester College) ประเทศอังกฤษ - พ.ศ. 2528 : สำเร็จการศึกษา ปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับสอง) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษครอบครัวครอบครัว. - ต้นตระกูลทางฝ่ายบิดาของ กรณ์ จาติกวณิช เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนที่มาตั้งรกรากในประเทศสยาม - นามสกุล "จาติกวณิช" หรือ "Chatikavanij" เป็นนามสกุลพระราชทานสมัยรัชกาลที่ 6 ลำดับที่ 1211 ที่พระราชทานแก่ พระอธิกรณประกาศ (หลุย) เจ้ากรมกองตระเวณในขณะนั้น โดยระบุว่าพระอธิกรณประกาศมีปู่คือ พระอภัยวานิช (จาด) และเนื่องจากเป็นสกุลพ่อค้า จีงมีคำว่า "วณิช" ในนามสกุล - คุณปู่คือ พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช หรือ ซอเทียนหลุย) ได้เข้ารับราชการและดำรงตำแหน่งเป็น อธิบดีกรมตำรวจ คนที่ 2 ของไทย และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น องคมนตรี ในสภากรรมการองคมนตรี สมัยรัชกาลที่ 7 - คุณตาคือ พระยาบุเรศผดุงกิจ (รวย พรหโมบล) อดีตอธิบดีกรมตำรวจ คนที่ 3 ที่ดำรงตำแหน่งต่อจาก พระยาอธิกรณ์ประกาศ ซึ่งเป็นคุณปู่ของกรณ์ - พระยาอธิกรณ์ประกาศ มีภรรยา 2 คน ภรรยาคนแรก มีบุตรชาย คือ นายแพทย์กษาน จาติกวณิช คุณหญิงเสงี่ยมภรรยาคนที่สอง มีบุตรชาย 2 คน คือ เกษม จาติกวณิช และ ไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากรและกรมสรรพากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งเป็นบิดาของกรณ์ - คุณลุง คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์กษาน จาติกวณิช อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (สมรสกับ ท่านผู้หญิงสุมาลี (ยุกตะเสวี) จาติกวณิช มีบุตรสาวคือ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) - คุณลุงอีกคนคือ นายเกษม จาติกวณิช หรือ "ซูเปอร์เค" เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ว่าการคนแรกของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเป็นประธานรถไฟฟ้า BTS สมรสกับ คุณหญิงชัชนี จาติกวณิช (ล่ำซำ) ผู้บริหารกลุ่ม “ล็อกซเล่ย์” - คุณย่าเป็นคนเหนือจากจังหวัดลำปาง - คุณตา (พระยาบุเรศผดุงกิจ) สืบเชื้อสายโดยตรงจาก เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ - คุณยาย เป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย - กรณ์ มีเชื้อสายดัตช์ แต่เกิดที่กรุงลอนดอน และเดินทางกลับมาประเทศไทยตั้งแต่อายุ 3 ปี และปักหลักเป็นชาวกรุงเทพมหานครมาจนถึงปัจจุบัน - กรณ์ มีพี่น้องเป็นชายล้วน 3 คน คือ อธิไกร กรณ์ และอนุตร ซึ่งอนุตรมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกรณ์มาก ขนาดที่มีคนจำผิดมาแล้วมากมายผลงานการทำงาน ผลงานการทำงาน. กรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัดพ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530- พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530) - พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535) - พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543) - พ.ศ. 2544 :- ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว - ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548) - พ.ศ. 2548 : ลาออกจาก JP Morgan เพื่อเข้าสู่วงการเมืองในวัย 40 ปีผลงานทางการเมือง ผลงานทางการเมือง. กรณ์ จาติกวณิช เข้าสู่วงการการเมืองจากการชักชวนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อนนักเรียนเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่อังกฤษ โดยชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. เขต 7 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตยานนาวาและเขตสาทรบางแขวงของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ด้วยคะแนนเสียง 36,010 คะแนน เป็น 1 ใน 4 ของ ส.ส.กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์ กรณ์ จาติกวณิช เคยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยติดต่อกัน กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาเขาได้ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่ม กปปส. ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี โดยกรณ์ ได้รับฉายาว่า "โย่งคาเฟ่" จากผลงานการแสดงบทบาทพันตรีประจักษ์ คู่กับทักษอร ภักดิ์สุขเจริญในภาพยนตร์โฆษณา และการเปิดผับเชียร์ฟุตบอลผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปีจำนวน 116,700 ล้านบาท อันไปใช้ในโครงการดังกล่าว1. มาตรการเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐรวมทั้ง ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้น้อย วงเงินประมาณ 19,000 ล้านบาท 2. การให้เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุ วงเงิน 9,000 ล้านบาท 3. การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่นการต่ออายุ 6 เดือน 6 มาตรการ ยกเว้นการเก็บภาษีสรรสามิตน้ำมัน จำนวน 11,000 กว่าล้านบาท 4. กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปช่วยเหลือลดค่าครองชีพอีก 1,000 ล้านบาท 5. มาตรการการเรียนฟรี วงเงิน 19,000 ล้านบาท 6. การดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาการว่างงาน ผู้เสี่ยงถูกเลิกจ้าง ผู้ถูกเลิกจ้างและบัณฑิตจบใหม่ วงเงิน 6,900 ล้านบาท 7. การสนับสนุนภาคการผลิตในบางโครงการ แต่เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ยกเว้นกรณีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยเสริมในส่วนของภาคชนบทและภาคการ เกษตรที่จะใช้วงเงิน 15,200 ล้านบาท 8. มาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2552 จำนวน 1.43 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้านบาท เป็นการลงทุนระหว่างปี 2552-2555 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนในระยะยาว ได้แก่1. โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท 2. โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท 3. โครงการด้านการศึกษา จำนวน 137,975 ล้านบาท 4. โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท 5. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาทกรณ์ จาติกวณิช กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณ์ จาติกวณิช กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ. วิถีชีวิตของ กรณ์ จาติกวณิช และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อย ตั้งแต่ที่ทั้งคู่ถือกำเนิดในตระกูลเก่าแก่ มีบรรพบุรุษทางบิดาเป็นชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศสยาม ทั้งนามสกุล "จาติกวณิช" และ "เวชชาชีวะ" ต่างก็เป็นนามสกุลพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 6 บิดาของกรณ์และอภิสิทธิ์ ต่างสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในระดับประเทศ ทั้งกรณ์และอภิสิทธิ์เกิดในต่างประเทศ โดยกรณ์เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2507 ขณะที่ อภิสิทธิ์ เกิดที่ เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ในปีเดียวกัน แม้เกิดที่อังกฤษแต่ทั้งคู่ถือสัญชาติไทย ต่อมาทั้งคู่ได้กลับมาเมืองไทยตั้งแต่ยังเล็กเรียนหนังสือระดับประถมศึกษาที่ประเทศไทยเหมือนกัน กรณ์กลับไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุ 11 ปี ขณะที่อภิสิทธิ์ ก็กลับไปเรียนต่ออังกฤษในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยอภิสิทธิได้เข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนอีตัน ส่วนกรณ์เรียนที่โรงเรียนวินเชสเตอร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนคู่แข่งกัน ระหว่างการเรียนกรณ์ได้ทราบกิตติศัพท์ว่า อภิสิทธิ์ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนอีตัน เรียนหนังสือเก่งมาก ต่อมาเมื่อเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้ให้ทุนการศึกษาเพื่อดึงนักศึกษาที่เรียนเก่งเข้ามาสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยทำให้อภิสิทธิ์และกรณ์ได้มาเรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และมีโอกาสได้รู้จักสนิทสนมกัน ต่อมาอภิสิทธิ์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ส่วนกรณ์ก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเดียวกัน ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 หลังจากสำเร็จการศึกษา กรณ์และอภิสิทธิ์ได้แยกย้ายกันไปทำงานแตกต่างกัน โดยอภิสิทธิ์ทำงานเป็นอาจารย์ ส่วนกรณ์ทำงานในสายการเงิน แต่ทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอีก เมื่อกรณ์แต่งงานกับ วรกร จาติกวณิช เนื่องจากภรรยาของกรณ์คนนี้เป็นญาติกับอภิสิทธิ์เพราะว่านามสกุลเดิมของเธอคือ สูตะบุตร เช่นเดียวกับมารดาของอภิสิทธิ์ นอกจากนี้ วรกร จาติกวณิชซึ่งเป็นภรรยาของกรณ์ยังสนิทกับ งามพรรณ เวชชาชีวะ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ที่เป็นพี่สาวของอภิสิทธิ์อีกด้วย นอกจากนี้ คุณลุงของกรณ์ คือ ศ.นพ.กษาน จาติกวณิช กับบิดาของอภิสิทธิ์ คือ ศ.เกียรติคุณ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างก็เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลมาแล้วเช่นกัน ในที่สุดทั้งอภิสิทธิ์และกรณ์ได้เข้าสู่วงการเมือง ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน และได้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารพรรคด้วยกันในเวลาต่อมา และหลังจากนั้นอภิสิทธิ์ได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย โดยมีกรณ์ำดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังการดำรงตำแหน่งอื่นการดำรงตำแหน่งอื่น. - กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - กรรมการบริษัทจาร์ดีน เฟลมมิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด - กรรมการสมาคมบริษัทตลาดหลักทรัพย์ - กรรมการบริษัทอยุธยา ซีเอ็มจี แอสชัวรันส์ จำกัด (มหาชน) - กรรมการบริษัทไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) - กรรมการบริษัทไทยยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) - กรรมการสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทยรางวัลเกียรติยศทางสังคมเปรียวอวอร์ด รางวัลเกียรติยศทางสังคม. เปรียวอวอร์ด. กรณ์ จาติกวณิช ได้รับรางวัล "เปรียว อวอร์ด 2005" ที่นิตยสารเปรียวมอบให้ 10 บุคคลคุณภาพแห่งปี ซึ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมไทย โดยมีการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ จากหลากหลายวิชาชีพมาทำหน้าที่เป็น คณะกรรมการคัดเลือก และตัดสิน ภายใต้หลักเกณฑ์สำคัญคือ จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติพร้อม ทั้งเรื่องบุคลิกภาพ, สัมพันธภาพ, ความฉลาด, ความสง่างาม และมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในสังคม โดย กรณ์ จาติกวณิช ได้รับรางวัลพร้อมกับผู้ได้รับรางวัลชาย อีก 4 คน คือ- สราวุฒิ มาตรทอง นักแสดงและนักเขียน - เรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยาเจเอฟ จำกัด - เจษฎ์ โทณวณิก นักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา - จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ผู้บริหาร หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ได้รับรางวัลหญิง อีก 5 คน คือ- กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ผู้บริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด - แคทลีน มาลีนนท์ กิจโอธาน ผู้บริหาร บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) - นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด - พลอย จริยะเวช คอลัมนิสน์ นักเขียน นักแปล ชื่อดัง - สุธาสินี พุทธินันทน์ นักร้องนักแสดง ทายาทของ เรวัติ พุทธินันทน์รัฐมนตรีคลังโลก รัฐมนตรีคลังโลก. เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553 นิตยสาร The Banker นิตยสารชั้นนำของประเทศอังกฤษ คัดเลือกให้กรณ์ จาติกวณิช เป็น "รัฐมนตรีคลังโลก ปี 2010" และ "รัฐมนตรีคลังเอเชียแห่งปี 2010" โดยคัดเลือกจากรัฐมนตรีคลังในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 5 ภูมิภาค ได้แก่ อเมริกา ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลางเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2554 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
| กรณ์ จาติกวณิช เกิดที่โรงพยาบาลอะไร | {
"answer": [
"Princess Beatrice Hospital"
],
"answer_begin_position": [
2106
],
"answer_end_position": [
2132
]
} |
1,420 | 52,547 | วีระ ธีรภัทร วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ และพิธีกรชาวไทย ผู้มีลีลาและเอกลักษณ์เป็นของตัวเองประวัติ ประวัติ. มีชื่อจริงว่า วีระ ธีระภัทรานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2500 ที่จังหวัดพิจิตร ชีวิตครอบครัวสมรสแล้ว แต่ยังไม่มีบุตร ปัจจุบันมีบ้านพักอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี มีกิจกรรมยามว่างที่ชื่นชอบคือ การว่ายน้ำการศึกษา การศึกษา. วีระจบการศึกษาจากโรงเรียนลาซาลโชติรวีนครสวรรค์ และจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อปีการศึกษา พ.ศ. 2516 และสำเร็จปริญญารัฐศาสตรบัณฑิต (ทฤษฎีการเมือง และปรัชญาการเมือง) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2521การทำงาน การทำงาน. วีระเริ่มการทำงานโดยเป็น ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ในปี พ.ศ. 2522 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่ฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในปี พ.ศ. 2527 เนื่องจากมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ จึงมีโอกาสติดตามคณะ ผู้บริหารประเทศและนักการเมือง ไปทำข่าวยังต่างประเทศ และมีความสนิทสนมกับหลายคน ในยุคที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งเมื่อเดลินิวส์เปิดหน้าข่าวเศรษฐกิจขึ้น ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจคนแรก มีคอลัมน์ประจำชื่อ "ปากท้องชาวบ้าน" ในทุกวันจันทร์-วันศุกร์ โดยศึกษาเรื่องเศรษฐกิจด้วยตนเอง และเข้ารับการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ จนแตกฉาน เช่นหลักสูตรนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นต้น จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางตลาดหลักทรัพย์คนหนึ่ง มีผลงานหนังสือหลายเล่ม ทั้งที่เขียนเอง และแปลจากภาษาอังกฤษ ทั้งเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ระหว่างปี พ.ศ. 2531-2532 ต่อมาราวปี พ.ศ. 2537 วีระลาออกจากเดลินิวส์ ไปดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอำนวยการหนังสือพิมพ์วัฏจักร และจัดรายการวิทยุเป็นครั้งแรก เมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ตซ์ ในชื่อรายการ "คุยเฟื่องเรื่องเงิน" ทุกวันศุกร์ เวลา 09.00-11.00 น. จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 หนังสือพิมพ์วัฏจักรปิดกิจการ วีระจึงออกมาจัดรายการ "คุยกันจันทร์ถึงศุกร์" ทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์ "ตรีนิตีเรดิโอ" (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น แฟมิลีเรดิโอ) ในช่วงบ่ายวันทำงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ซึ่งสามารถตอบปัญหาให้ผู้โทรศัพท์เข้ารายการได้ทุกเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง สังคม หรือเรื่องปกิณกะอื่น ๆ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น คือโผงผางเสียงดัง ทั้งยังตำหนิผู้โทรศัพท์เข้ารายการบางรายด้วย โดยในช่วง พ.ศ. 2541-2543 กล่าวกันว่าเป็นรายการวิทยุ ที่มีผู้ฟังมากที่สุดในช่วงบ่ายในคลื่นเอฟเอ็ม ที่มิใช่รายการเพลง และยังจัดรายการ "เงินทองต้องรู้" ทางวิทยุเนชั่น เอฟเอ็ม 90.5 เมกะเฮิร์ตซ์ เวลา 10.00-11.30 น. อีกรายการหนึ่ง จากนั้นในราวปี พ.ศ. 2542-2544 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "เงินทองต้องรู้" และ "ปากท้องของเรา" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และเขียนคอลัมน์ "หอมปากหอมคอ" ประจำในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกด้วย นอกจากนั้น วีระยังเคยเป็นวิทยากรในรายการ "บ้านเลขที่ 5" อยู่ช่วงหนึ่ง รวมถึงเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์กับอุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส ในช่วงสายวันเสาร์ และยังเป็นวิทยากรคุยเรื่องเศรษฐกิจ ในรายการ "สยามเช้านี้" และ "สยามทูเดย์" ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ออกอากาศทาง ททบ.5 ระยะต่อมา เข้าร่วมเป็นพิธีกรรายการ "ตาสว่าง" เริ่มตั้งแต่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ระยะหลัง วีระลดความร้อนแรงในการจัดรายการลง โดยให้เหตุผลว่าเบื่อและอิ่มตัวแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อรายการทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์เป็น "คุยได้คุยดี" และเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น การเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งต่อมารายการยุติลง ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรายการ หมดสัญญาเช่าคลื่นกับสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จากนั้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ร่วมจัดรายการ "ข่าวเป็นข่าว" เพิ่มขึ้นทางเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ทซ์ "วิสดอมเรดิโอ" กับหลานชายคือ ณัฐพงษ์ ธีระภัทรานนท์ ในเวลา 08.00-09.00 น. ต่อมารายการยุติลงเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากณัฐพงษ์เปลี่ยนไปทำงานผู้ประกาศและพิธีกรข่าวทางโทรทัศน์ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551 วีระเป็นวิทยากรเศรษฐกิจในรายการตลาดเช้าข่าวสด ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ในทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดีเวลา 06.00-07.30 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ และตัวรายการเปลี่ยนชื่อไปแล้ว, วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ไปร่วมจัดรายการ เช้านี้...ที่หมอชิต ทางช่อง 7 ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 06.00-07.30 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยเขาร่วมรายการในช่วงข่าวเศรษฐกิจ เฉพาะวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ เวลา 06.50-07.00 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ ในวันที่ 30 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า งานมากเกินไปจนทำไม่ไหว จากนั้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นพิธีกรสนทนารายการ "คุยนอกทำเนียบ" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. ปัจจุบันยุติรายการแล้ว เริ่มจัดรายการคุยได้คุยดี Talk News & Music ทางสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ คลื่นความคิด เอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 14.00-16.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 โดยหลังจากนั้นสามวัน ทางรายการสัมภาษณ์พิเศษ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 4 กันยายน นอกจากนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีของรายการนี้ จึงมีการจัดทำคอมแพ็กต์ดิสก์ บันทึกเสียงที่เจ้าตัวเล่าประวัติการทำงานของตนเอง เพื่อแจกให้ผู้ฟังรายการ โดยให้เหตุผลว่า ประวัติของตนที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มีความคลาดเคลื่อนในหลายส่วน วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "สีซอให้ควายฟัง" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็น "เล่าเท่าที่รู้" โดยให้เหตุผลว่า คนอ่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าผู้เขียนว่าคนอ่านเป็นควาย ต่อมาเจ้าตัวเขียนในคอลัมน์ว่า จะยุติการเขียนคอลัมน์นี้ ในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เป็นวันสุดท้าย เนื่องจากงานรัดตัว และช่วงนี้ไม่มีประเด็นน่าสนใจที่จะเขียนถึงคณะกรรมการ ปปง. คณะกรรมการ ปปง.. วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอรายชื่อบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จำนวน 9 คน และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยวีระเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อด้วย วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้ง 9 คน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอีกชั้นหนึ่ง หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองวันที่ 19 พฤษภาคม ปีเดียวกัน วีระกล่าวทางรายการวิทยุที่ตนจัดหลายรายการว่าจะทยอยเลิกงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากรู้สึกว่าสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และความรู้สึกของตนเอง ไม่เหมาะสมที่จะจัดรายการแบบนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามในเดือนตุลาคมเจ้าตัวกล่าวว่าจะไม่เลิกจัดรายการคุยได้คุยดีแต่จะหยุดพักสองเดือนหรือหยุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและกลับมาจัดใหม่ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2554 วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่ ครม.เสนอมาและคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อ จำนวน 9 คน ด้วยวิธีลงคะแนนลับผ่านซองลงคะแนน ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก โดย รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ได้ 245 คะแนนต่อ 88 งดออกเสียง 5 นายถาวร พานิชพันธ์ ได้ 242 ต่อ 88 งดออกเสียง 6 นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ ได้ 237 ต่อ 90 งดออกเสียง 6 นายบัญชา เสือวรรณศรี ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ได้ 200 ต่อ 126 งดออกเสียง 12 พล.ต.อ.สมชาย ประภัสภักดี ได้ 339 ต่อ 8 งดออกเสียง 5 รศ.จุราพร ไวยนันท์ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ได้ 344 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และ นายมนัส สุขสวัสดิ์ได้ 354 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และขั้นตอนต่อจากนี้จะเสนอให้วุฒิสภาเห็นชอบต่อไป วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553 วุฒิสภาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554 วีระกลับมาจัดรายการคุยได้คุยดี Talk News & Music ทางคลื่น 96.5 จนถึงปัจจุบัน และยังมีรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจการเงิน ทางคลื่น 96.5 ของอสมทด้วยงานเขียนและงานแปลที่เคยตีพิมพ์งานเขียนและงานแปลที่เคยตีพิมพ์. - โลกแห่งชีวิต - คนใหม่ - บันทึกแห่งชีวิต - เปิดโปงเขี้ยวเล็บโซเวียต - รวมข้อเขียนชุด รวยด้วยหุ้น (4 เล่ม) - รวยแล้วถึงรู้ - รวยได้ถ้ารู้มาก่อน - รวยคนเดียว - คุยเฟื่องเรื่องเงิน (2 เล่ม) - เกิดมารวย - พูดจาภาษาน้ำมัน - เงินทองต้องรู้ (3 เล่ม) - เรื่องเก่าเล่าใหม่ รวมคอลัมน์ในกรุงเทพธุรกิจ - ปากท้องชาวบ้าน - ปากท้องของเรา - เล่าเรื่องเงินปนเรื่องหุ้น- คุยเฟื่องเรื่องทอง :คู่มือเพื่อการลงทุนกับทอง - จากยุ่งกลายเป็นรุ่ง บทเรียนเศรษฐกิจไทย พิสิฐ ลี้อาธรรม เขียน วีระ ธีรภัทร แปล - หอมปาก หอมคอ (6 เล่ม) - เที่ยวเขมร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 1 ตอน กำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 2 ตอน เหตุแห่งสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 3 ตอน สงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 4 ตอน อวสานสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เล่าเท่าที่รู้ วิพากษ์เศรษฐกิจโลก วิจารณ์เศรษฐกิจไทย ในสถานการณ์วิกฤต - เล่าเท่าที่รู้ 2 วิพากษ์เศรษฐกิจโลก วิจารณ์เศรษฐกิจไทย ในสถานการณ์วิกฤต
| วีระ ธีระภัทรานนท์ เกิดที่จังหวัดอะไร | {
"answer": [
"พิจิตร"
],
"answer_begin_position": [
295
],
"answer_end_position": [
301
]
} |
1,421 | 52,547 | วีระ ธีรภัทร วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ และพิธีกรชาวไทย ผู้มีลีลาและเอกลักษณ์เป็นของตัวเองประวัติ ประวัติ. มีชื่อจริงว่า วีระ ธีระภัทรานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2500 ที่จังหวัดพิจิตร ชีวิตครอบครัวสมรสแล้ว แต่ยังไม่มีบุตร ปัจจุบันมีบ้านพักอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี มีกิจกรรมยามว่างที่ชื่นชอบคือ การว่ายน้ำการศึกษา การศึกษา. วีระจบการศึกษาจากโรงเรียนลาซาลโชติรวีนครสวรรค์ และจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อปีการศึกษา พ.ศ. 2516 และสำเร็จปริญญารัฐศาสตรบัณฑิต (ทฤษฎีการเมือง และปรัชญาการเมือง) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2521การทำงาน การทำงาน. วีระเริ่มการทำงานโดยเป็น ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ในปี พ.ศ. 2522 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่ฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในปี พ.ศ. 2527 เนื่องจากมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ จึงมีโอกาสติดตามคณะ ผู้บริหารประเทศและนักการเมือง ไปทำข่าวยังต่างประเทศ และมีความสนิทสนมกับหลายคน ในยุคที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งเมื่อเดลินิวส์เปิดหน้าข่าวเศรษฐกิจขึ้น ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจคนแรก มีคอลัมน์ประจำชื่อ "ปากท้องชาวบ้าน" ในทุกวันจันทร์-วันศุกร์ โดยศึกษาเรื่องเศรษฐกิจด้วยตนเอง และเข้ารับการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ จนแตกฉาน เช่นหลักสูตรนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นต้น จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางตลาดหลักทรัพย์คนหนึ่ง มีผลงานหนังสือหลายเล่ม ทั้งที่เขียนเอง และแปลจากภาษาอังกฤษ ทั้งเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ระหว่างปี พ.ศ. 2531-2532 ต่อมาราวปี พ.ศ. 2537 วีระลาออกจากเดลินิวส์ ไปดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอำนวยการหนังสือพิมพ์วัฏจักร และจัดรายการวิทยุเป็นครั้งแรก เมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ตซ์ ในชื่อรายการ "คุยเฟื่องเรื่องเงิน" ทุกวันศุกร์ เวลา 09.00-11.00 น. จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 หนังสือพิมพ์วัฏจักรปิดกิจการ วีระจึงออกมาจัดรายการ "คุยกันจันทร์ถึงศุกร์" ทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์ "ตรีนิตีเรดิโอ" (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น แฟมิลีเรดิโอ) ในช่วงบ่ายวันทำงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ซึ่งสามารถตอบปัญหาให้ผู้โทรศัพท์เข้ารายการได้ทุกเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง สังคม หรือเรื่องปกิณกะอื่น ๆ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น คือโผงผางเสียงดัง ทั้งยังตำหนิผู้โทรศัพท์เข้ารายการบางรายด้วย โดยในช่วง พ.ศ. 2541-2543 กล่าวกันว่าเป็นรายการวิทยุ ที่มีผู้ฟังมากที่สุดในช่วงบ่ายในคลื่นเอฟเอ็ม ที่มิใช่รายการเพลง และยังจัดรายการ "เงินทองต้องรู้" ทางวิทยุเนชั่น เอฟเอ็ม 90.5 เมกะเฮิร์ตซ์ เวลา 10.00-11.30 น. อีกรายการหนึ่ง จากนั้นในราวปี พ.ศ. 2542-2544 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "เงินทองต้องรู้" และ "ปากท้องของเรา" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และเขียนคอลัมน์ "หอมปากหอมคอ" ประจำในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกด้วย นอกจากนั้น วีระยังเคยเป็นวิทยากรในรายการ "บ้านเลขที่ 5" อยู่ช่วงหนึ่ง รวมถึงเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์กับอุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส ในช่วงสายวันเสาร์ และยังเป็นวิทยากรคุยเรื่องเศรษฐกิจ ในรายการ "สยามเช้านี้" และ "สยามทูเดย์" ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ออกอากาศทาง ททบ.5 ระยะต่อมา เข้าร่วมเป็นพิธีกรรายการ "ตาสว่าง" เริ่มตั้งแต่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ระยะหลัง วีระลดความร้อนแรงในการจัดรายการลง โดยให้เหตุผลว่าเบื่อและอิ่มตัวแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อรายการทางเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์เป็น "คุยได้คุยดี" และเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น การเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งต่อมารายการยุติลง ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรายการ หมดสัญญาเช่าคลื่นกับสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จากนั้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 ร่วมจัดรายการ "ข่าวเป็นข่าว" เพิ่มขึ้นทางเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ทซ์ "วิสดอมเรดิโอ" กับหลานชายคือ ณัฐพงษ์ ธีระภัทรานนท์ ในเวลา 08.00-09.00 น. ต่อมารายการยุติลงเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากณัฐพงษ์เปลี่ยนไปทำงานผู้ประกาศและพิธีกรข่าวทางโทรทัศน์ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551 วีระเป็นวิทยากรเศรษฐกิจในรายการตลาดเช้าข่าวสด ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ในทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดีเวลา 06.00-07.30 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ และตัวรายการเปลี่ยนชื่อไปแล้ว, วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ไปร่วมจัดรายการ เช้านี้...ที่หมอชิต ทางช่อง 7 ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 06.00-07.30 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยเขาร่วมรายการในช่วงข่าวเศรษฐกิจ เฉพาะวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ เวลา 06.50-07.00 น. ต่อมายุติการร่วมรายการ ในวันที่ 30 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า งานมากเกินไปจนทำไม่ไหว จากนั้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นพิธีกรสนทนารายการ "คุยนอกทำเนียบ" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. ปัจจุบันยุติรายการแล้ว เริ่มจัดรายการคุยได้คุยดี Talk News & Music ทางสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ คลื่นความคิด เอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 14.00-16.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 โดยหลังจากนั้นสามวัน ทางรายการสัมภาษณ์พิเศษ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 4 กันยายน นอกจากนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีของรายการนี้ จึงมีการจัดทำคอมแพ็กต์ดิสก์ บันทึกเสียงที่เจ้าตัวเล่าประวัติการทำงานของตนเอง เพื่อแจกให้ผู้ฟังรายการ โดยให้เหตุผลว่า ประวัติของตนที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มีความคลาดเคลื่อนในหลายส่วน วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551 วีระเริ่มเขียนคอลัมน์ "สีซอให้ควายฟัง" ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อคอลัมน์เป็น "เล่าเท่าที่รู้" โดยให้เหตุผลว่า คนอ่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าผู้เขียนว่าคนอ่านเป็นควาย ต่อมาเจ้าตัวเขียนในคอลัมน์ว่า จะยุติการเขียนคอลัมน์นี้ ในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เป็นวันสุดท้าย เนื่องจากงานรัดตัว และช่วงนี้ไม่มีประเด็นน่าสนใจที่จะเขียนถึงคณะกรรมการ ปปง. คณะกรรมการ ปปง.. วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอรายชื่อบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จำนวน 9 คน และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยวีระเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อด้วย วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้ง 9 คน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอีกชั้นหนึ่ง หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองวันที่ 19 พฤษภาคม ปีเดียวกัน วีระกล่าวทางรายการวิทยุที่ตนจัดหลายรายการว่าจะทยอยเลิกงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากรู้สึกว่าสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และความรู้สึกของตนเอง ไม่เหมาะสมที่จะจัดรายการแบบนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามในเดือนตุลาคมเจ้าตัวกล่าวว่าจะไม่เลิกจัดรายการคุยได้คุยดีแต่จะหยุดพักสองเดือนหรือหยุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและกลับมาจัดใหม่ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2554 วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณารายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่ ครม.เสนอมาและคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อ จำนวน 9 คน ด้วยวิธีลงคะแนนลับผ่านซองลงคะแนน ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก โดย รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ได้ 245 คะแนนต่อ 88 งดออกเสียง 5 นายถาวร พานิชพันธ์ ได้ 242 ต่อ 88 งดออกเสียง 6 นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ ได้ 237 ต่อ 90 งดออกเสียง 6 นายบัญชา เสือวรรณศรี ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ได้ 200 ต่อ 126 งดออกเสียง 12 พล.ต.อ.สมชาย ประภัสภักดี ได้ 339 ต่อ 8 งดออกเสียง 5 รศ.จุราพร ไวยนันท์ได้ 342 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ได้ 344 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และ นายมนัส สุขสวัสดิ์ได้ 354 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 และขั้นตอนต่อจากนี้จะเสนอให้วุฒิสภาเห็นชอบต่อไป วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553 วุฒิสภาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน 9 คน ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554 วีระกลับมาจัดรายการคุยได้คุยดี Talk News & Music ทางคลื่น 96.5 จนถึงปัจจุบัน และยังมีรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจการเงิน ทางคลื่น 96.5 ของอสมทด้วยงานเขียนและงานแปลที่เคยตีพิมพ์งานเขียนและงานแปลที่เคยตีพิมพ์. - โลกแห่งชีวิต - คนใหม่ - บันทึกแห่งชีวิต - เปิดโปงเขี้ยวเล็บโซเวียต - รวมข้อเขียนชุด รวยด้วยหุ้น (4 เล่ม) - รวยแล้วถึงรู้ - รวยได้ถ้ารู้มาก่อน - รวยคนเดียว - คุยเฟื่องเรื่องเงิน (2 เล่ม) - เกิดมารวย - พูดจาภาษาน้ำมัน - เงินทองต้องรู้ (3 เล่ม) - เรื่องเก่าเล่าใหม่ รวมคอลัมน์ในกรุงเทพธุรกิจ - ปากท้องชาวบ้าน - ปากท้องของเรา - เล่าเรื่องเงินปนเรื่องหุ้น- คุยเฟื่องเรื่องทอง :คู่มือเพื่อการลงทุนกับทอง - จากยุ่งกลายเป็นรุ่ง บทเรียนเศรษฐกิจไทย พิสิฐ ลี้อาธรรม เขียน วีระ ธีรภัทร แปล - หอมปาก หอมคอ (6 เล่ม) - เที่ยวเขมร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 1 ตอน กำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 2 ตอน เหตุแห่งสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 3 ตอน สงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ เล่ม 4 ตอน อวสานสงครามบนทุ่งกุรุเกษตร - เล่าเท่าที่รู้ วิพากษ์เศรษฐกิจโลก วิจารณ์เศรษฐกิจไทย ในสถานการณ์วิกฤต - เล่าเท่าที่รู้ 2 วิพากษ์เศรษฐกิจโลก วิจารณ์เศรษฐกิจไทย ในสถานการณ์วิกฤต
| วีระ ธีระภัทรานนท์ เกิดเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"22"
],
"answer_begin_position": [
265
],
"answer_end_position": [
267
]
} |
1,423 | 53,245 | สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองงา สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองกา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ตูโปอู และทรงเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งตองกา เพียงพระองค์เดียว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2443 เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2และสมเด็จพระราชินีลาวิเนีย เวอิออนโก ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ทรงพัฒนาธุรกิจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถือเป็นกษัตริย์นักพัฒนาอีกพระองค์หนึ่งนอกจากพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 จึงทำให้ยุคของพระนางเป็นยุคทองของประเทศตองงา นอกจากรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ วิเลียมี ตังกิ ไมเลฟีฮี พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2461 และสวรรคตในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2508
| สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองกา ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"13"
],
"answer_begin_position": [
345
],
"answer_end_position": [
347
]
} |
1,971 | 53,245 | สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองงา สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองกา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ตูโปอู และทรงเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งตองกา เพียงพระองค์เดียว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2443 เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2และสมเด็จพระราชินีลาวิเนีย เวอิออนโก ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ทรงพัฒนาธุรกิจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถือเป็นกษัตริย์นักพัฒนาอีกพระองค์หนึ่งนอกจากพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 จึงทำให้ยุคของพระนางเป็นยุคทองของประเทศตองงา นอกจากรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ วิเลียมี ตังกิ ไมเลฟีฮี พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2461 และสวรรคตในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2508
| สมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 แห่งตองกา ขึ้นครองราชย์ในวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"5"
],
"answer_begin_position": [
753
],
"answer_end_position": [
754
]
} |
1,424 | 53,814 | ทวี อัมพรมหา ทวี อัมพรมหา หรือ ขาวผ่อง สิทธิชูชัย เป็นนักมวยชาวไทยคนแรกที่ได้เหรียญเงินจากการแข่งขันชกมวยในโอลิมปิก ครั้งที่ 23 ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2527 เมื่อแพ้ต่อ เจอร์รี่ เพจ นักมวยชาวอเมริกันเจ้าถิ่น ในการชกรอบชิงชนะเลิศ ได้ครองเหรียญเงิน ถือเป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกที่มีโอกาสได้เข้าชิงเหรียญในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เป็นคนที่ 2 ต่อจาก พเยาว์ พูนธรัตน์ประวัติ ประวัติ. ทวี อัมพรมหา เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เป็นบุตรของนายสง่า - นางถวิล อัมพรมหา สมรสกับนางณัชทิภา อัมพรมหา มีบุตรชายชื่อ ชยุตม์ อัมพรมหา ( น้องวินเนอร์ ) กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบุตรสาวชื่อ พชรกมล อัมพรมหา ( น้องน้ำหวาน ) และเมื่อวันที่ 10 มี.ค.61 ทวี อัมพรมหา ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขาวิชามวยไทยศึกษาและพลศึกษาจาก ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในฐานะผู้มีองค์ความรู้ทางด้านมวยไทย และสามารถถ่ายทอดศิลปะมวยไทยทั้งในและต่างประเทศได้อย่างสัมฤทธิ์ผลนักมวยไทยชื่อดัง นักมวยไทยชื่อดัง. ทวี อัมพรมหา เริ่มชกมวยไทยครั้งแรกเมื่ออายุได้ 15 ปี ใช้ชื่อในการชกมวยไทยว่า ขาวผ่อง สิทธิชูชัย สังกัดค่ายมวยสิทธิชูชัยของ ครูชีพ เพียรพยายาม เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในสังเวียนภาคตะวันออก มีชื่อติดอันดับของสนามมวยเวทีลุมพินี เมื่อ พ.ศ. 2518 จนได้เข้ามาชกที่สนามมวยเวทีลุมพินี ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 – 2525 เคยชกชนะนักมวยที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น แสงศักดา กิตติเกษม ขุนพลน้อย เกียรติสุริยา น่านฟ้า สีหราชเดโช รักแท้ เมืองสุรินทร์ ผุดผาดน้อย วรวุฒิ วิชาญน้อย พรทวี ผลัดแพ้ชนะกับสกัด พรทวี ดีเซลน้อย ช.ธนสุกาญจน์ และครองแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์) ทวีชกมวยไทยครั้งสุดท้ายเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ชนะคะแนน ครองศักดิ์ ณ ธีรวงศ์มวยสากลสมัครเล่น: เหรียญเงินโอลิมปิก มวยสากลสมัครเล่น: เหรียญเงินโอลิมปิก. ต่อมา ร.ท.ไฉน ผ่องสุภา ได้ชักชวนให้หันมาชกมวยสากลสมัครเล่น ทวีเริ่มชกมวยสากลสมัครเล่นตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ขึ้นชกในนามของสโมสรโอสถสภา สามารถคว้าแชมป์มวยสากลชิงแชมป์ประเทศไทย และอีกหลายรายการ เช่น เหรียญเงินเอเชียนเกมส์ 1982 ที่ประเทศอินเดีย, เหรียญทองซีเกมส์ 1983 ที่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ได้มีโอกาสไปชกมวยโอลิมปิกที่ สหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2527 เป็นครั้งแรก ทวีได้ไปชกในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวท รอบแรก ชนะ จัสซัล ปราดัน จากอินเดีย เมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 รอบสอง ชนะ ชาร์ลส์ โอวิโซ จากเคนยา เมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบสาม ชนะ เดฟ กริฟฟิท จาก สหราชอาณาจักร เมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบ 8 คนสุดท้าย ชนะ จอร์จ มายโซเนต จากเปอร์โตริโก เมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบรองชนะเลิศ ชนะ มีร์เซีย ฟุลเกอร์ จากโรมาเนีย เมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบชิงชนะเลิศ แพ้ เจอร์รี เพจ จากสหรัฐ เมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ได้เหรียญเงิน จากผลงานนี้ บริษัทโอสถสภาจึงรับทวีเข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จนถึงปัจจุบัน และเมื่อได้เหรียญเงินมาแล้ว ทวีกลายเป็นนักมวยชื่อดัง ได้มีผู้สร้างภาพยนตร์สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ ทวี อัมพรมหา ด้วย ในชื่อ ขาวผ่อง เจ้าสังเวียน นำแสดงโดย ทวี อัมพรมหา, ล้อต๊อก, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก ปัจจุบัน ทวี อัมพรมหา ทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด บริษัทโอสถสภา จำกัด เป็นผู้บริหารทีมฟุตบอลของบริษัทด้วย คือ ทีมโอสถสภา และเป็นผู้ฝึกสอนมวยสากลสมัครเล่นให้กับนักมวยทีมชาติลาว อีกทั้งยังเป็นผู้บรรยายร่วมในรายการ ศึกจ้าวมวยไทย รายการถ่ายสอดการชกมวยไทยทางช่อง 3 รวมถึงเป็นพิธีกรเสริมในรายการศึกมวยไทยลุมพินีเกริกไกร ทาง ช่อง 5 ในบางสัปดาห์แทนที่พินิจ พลขัน ที่ติดภารกิจไม่สามารถมาทำหน้าที่ได้ จนกระทั่งรายการนั้นย้ายไปถ่ายทอดสดทาง ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี และเปลี่ยนชื่อรายการ ทวีจึงเข้ามาร่วมบรรยายเต็มตัว และร่วมแสดงในฐานะนักแสดงประกอบ หรือรับเชิญในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์เรื่องต่าง ๆ ด้วยผลงานละครโทรทัศน์ผลงานละครชุดซิทคอมผลงานละครเวทีภาพยนตร์ผลงานพิธีกรผลงาน. ผลงานพิธีกร. - รายการ ศึกจ้าวมวยไทย (BOSS BOXING 2000 CO., LTD.) (พิธีกรร่วม ดำรงค์ ต่ายทอง (สมิงขาว เดลินิวส์), องอาจ ใจทัศน์กุล (พี่ใหญ่), เชื้อชาย นิลกาญจน์ (นก ปัตตานี), ประสิทธิ์ ดิษฐ์อำไพ (แจ็ค สยามกีฬา), ศิรินทรา นิยากร (ทรา)) ทุกวันเสาร์ เวลา 12.15 น.- 14.00 น. ทาง ช่อง 3 (เริ่มวันเสาร์ที่ เดือน พ.ศ. 2536) - รายการ ศึกมวยไทยลุมพีนี TKO (WORLD SPORT GROUP CO., LTD.) (พิธีกรร่วม ดำรงค์ ต่ายทอง (สมิงขาว เดลินิวส์), พินิจ พลขัน (Mr.ป๋อง)) ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 น.- 18.00 น. ทาง ช่อง 9 (เริ่มวันเสาร์ที่ 17 เดือนกันยายน พ.ศ. 2559)โฆษณาธุรกิจส่วนตัว
| ขาวผ่อง สิทธิชูชัย เป็นนักมวยชาวไทยคนแรกที่ได้เหรียญเงินจากการแข่งขันชกมวยในโอลิมปิก ครั้งที่ 23 จัดขึ้นที่ประเทศอะไร | {
"answer": [
"สหรัฐอเมริกา"
],
"answer_begin_position": [
237
],
"answer_end_position": [
249
]
} |
1,425 | 53,814 | ทวี อัมพรมหา ทวี อัมพรมหา หรือ ขาวผ่อง สิทธิชูชัย เป็นนักมวยชาวไทยคนแรกที่ได้เหรียญเงินจากการแข่งขันชกมวยในโอลิมปิก ครั้งที่ 23 ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2527 เมื่อแพ้ต่อ เจอร์รี่ เพจ นักมวยชาวอเมริกันเจ้าถิ่น ในการชกรอบชิงชนะเลิศ ได้ครองเหรียญเงิน ถือเป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกที่มีโอกาสได้เข้าชิงเหรียญในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เป็นคนที่ 2 ต่อจาก พเยาว์ พูนธรัตน์ประวัติ ประวัติ. ทวี อัมพรมหา เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เป็นบุตรของนายสง่า - นางถวิล อัมพรมหา สมรสกับนางณัชทิภา อัมพรมหา มีบุตรชายชื่อ ชยุตม์ อัมพรมหา ( น้องวินเนอร์ ) กำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบุตรสาวชื่อ พชรกมล อัมพรมหา ( น้องน้ำหวาน ) และเมื่อวันที่ 10 มี.ค.61 ทวี อัมพรมหา ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขาวิชามวยไทยศึกษาและพลศึกษาจาก ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในฐานะผู้มีองค์ความรู้ทางด้านมวยไทย และสามารถถ่ายทอดศิลปะมวยไทยทั้งในและต่างประเทศได้อย่างสัมฤทธิ์ผลนักมวยไทยชื่อดัง นักมวยไทยชื่อดัง. ทวี อัมพรมหา เริ่มชกมวยไทยครั้งแรกเมื่ออายุได้ 15 ปี ใช้ชื่อในการชกมวยไทยว่า ขาวผ่อง สิทธิชูชัย สังกัดค่ายมวยสิทธิชูชัยของ ครูชีพ เพียรพยายาม เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในสังเวียนภาคตะวันออก มีชื่อติดอันดับของสนามมวยเวทีลุมพินี เมื่อ พ.ศ. 2518 จนได้เข้ามาชกที่สนามมวยเวทีลุมพินี ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 – 2525 เคยชกชนะนักมวยที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น แสงศักดา กิตติเกษม ขุนพลน้อย เกียรติสุริยา น่านฟ้า สีหราชเดโช รักแท้ เมืองสุรินทร์ ผุดผาดน้อย วรวุฒิ วิชาญน้อย พรทวี ผลัดแพ้ชนะกับสกัด พรทวี ดีเซลน้อย ช.ธนสุกาญจน์ และครองแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์) ทวีชกมวยไทยครั้งสุดท้ายเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ชนะคะแนน ครองศักดิ์ ณ ธีรวงศ์มวยสากลสมัครเล่น: เหรียญเงินโอลิมปิก มวยสากลสมัครเล่น: เหรียญเงินโอลิมปิก. ต่อมา ร.ท.ไฉน ผ่องสุภา ได้ชักชวนให้หันมาชกมวยสากลสมัครเล่น ทวีเริ่มชกมวยสากลสมัครเล่นตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ขึ้นชกในนามของสโมสรโอสถสภา สามารถคว้าแชมป์มวยสากลชิงแชมป์ประเทศไทย และอีกหลายรายการ เช่น เหรียญเงินเอเชียนเกมส์ 1982 ที่ประเทศอินเดีย, เหรียญทองซีเกมส์ 1983 ที่ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ได้มีโอกาสไปชกมวยโอลิมปิกที่ สหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2527 เป็นครั้งแรก ทวีได้ไปชกในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวท รอบแรก ชนะ จัสซัล ปราดัน จากอินเดีย เมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 รอบสอง ชนะ ชาร์ลส์ โอวิโซ จากเคนยา เมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบสาม ชนะ เดฟ กริฟฟิท จาก สหราชอาณาจักร เมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบ 8 คนสุดท้าย ชนะ จอร์จ มายโซเนต จากเปอร์โตริโก เมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบรองชนะเลิศ ชนะ มีร์เซีย ฟุลเกอร์ จากโรมาเนีย เมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2527 รอบชิงชนะเลิศ แพ้ เจอร์รี เพจ จากสหรัฐ เมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ได้เหรียญเงิน จากผลงานนี้ บริษัทโอสถสภาจึงรับทวีเข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จนถึงปัจจุบัน และเมื่อได้เหรียญเงินมาแล้ว ทวีกลายเป็นนักมวยชื่อดัง ได้มีผู้สร้างภาพยนตร์สร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ ทวี อัมพรมหา ด้วย ในชื่อ ขาวผ่อง เจ้าสังเวียน นำแสดงโดย ทวี อัมพรมหา, ล้อต๊อก, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก ปัจจุบัน ทวี อัมพรมหา ทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด บริษัทโอสถสภา จำกัด เป็นผู้บริหารทีมฟุตบอลของบริษัทด้วย คือ ทีมโอสถสภา และเป็นผู้ฝึกสอนมวยสากลสมัครเล่นให้กับนักมวยทีมชาติลาว อีกทั้งยังเป็นผู้บรรยายร่วมในรายการ ศึกจ้าวมวยไทย รายการถ่ายสอดการชกมวยไทยทางช่อง 3 รวมถึงเป็นพิธีกรเสริมในรายการศึกมวยไทยลุมพินีเกริกไกร ทาง ช่อง 5 ในบางสัปดาห์แทนที่พินิจ พลขัน ที่ติดภารกิจไม่สามารถมาทำหน้าที่ได้ จนกระทั่งรายการนั้นย้ายไปถ่ายทอดสดทาง ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี และเปลี่ยนชื่อรายการ ทวีจึงเข้ามาร่วมบรรยายเต็มตัว และร่วมแสดงในฐานะนักแสดงประกอบ หรือรับเชิญในภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์เรื่องต่าง ๆ ด้วยผลงานละครโทรทัศน์ผลงานละครชุดซิทคอมผลงานละครเวทีภาพยนตร์ผลงานพิธีกรผลงาน. ผลงานพิธีกร. - รายการ ศึกจ้าวมวยไทย (BOSS BOXING 2000 CO., LTD.) (พิธีกรร่วม ดำรงค์ ต่ายทอง (สมิงขาว เดลินิวส์), องอาจ ใจทัศน์กุล (พี่ใหญ่), เชื้อชาย นิลกาญจน์ (นก ปัตตานี), ประสิทธิ์ ดิษฐ์อำไพ (แจ็ค สยามกีฬา), ศิรินทรา นิยากร (ทรา)) ทุกวันเสาร์ เวลา 12.15 น.- 14.00 น. ทาง ช่อง 3 (เริ่มวันเสาร์ที่ เดือน พ.ศ. 2536) - รายการ ศึกมวยไทยลุมพีนี TKO (WORLD SPORT GROUP CO., LTD.) (พิธีกรร่วม ดำรงค์ ต่ายทอง (สมิงขาว เดลินิวส์), พินิจ พลขัน (Mr.ป๋อง)) ทุกวันเสาร์ เวลา 16.30 น.- 18.00 น. ทาง ช่อง 9 (เริ่มวันเสาร์ที่ 17 เดือนกันยายน พ.ศ. 2559)โฆษณาธุรกิจส่วนตัว
| ทวี อัมพรมหา หรือ ขาวผ่อง สิทธิชูชัย เกิดเมื่อวันที่เท่าไร | {
"answer": [
"15"
],
"answer_begin_position": [
530
],
"answer_end_position": [
532
]
} |
1,428 | 61,486 | ณัฐพงษ์ สมณะ ณัฐพงษ์ สมณะ นักฟุตบอลทีมชาติไทย สังกัดสโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี ในตำแหน่งกองหลังประวัติ ประวัติ. ณัฐพงษ์ สมณะ เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นบุตรคนสุดท้อง สมัยเด็กศึกษาที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม
| ณัฐพงษ์ สมณะ นักฟุตบอลทีมชาติไทย มีพี่น้องทั้งหมดกี่คน | {
"answer": [
"3 คน"
],
"answer_begin_position": [
280
],
"answer_end_position": [
284
]
} |
1,429 | 61,486 | ณัฐพงษ์ สมณะ ณัฐพงษ์ สมณะ นักฟุตบอลทีมชาติไทย สังกัดสโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี ในตำแหน่งกองหลังประวัติ ประวัติ. ณัฐพงษ์ สมณะ เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน เป็นบุตรคนสุดท้อง สมัยเด็กศึกษาที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ปัจจุบันศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม
| ณัฐพงษ์ สมณะ นักฟุตบอลทีมชาติไทย เกิดเดือนอะไร | {
"answer": [
"มิถุนายน"
],
"answer_begin_position": [
224
],
"answer_end_position": [
232
]
} |
1,431 | 72,677 | อำเภอลับแล อำเภอลับแล หรือ เมืองลับแล เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2444 ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อำเภอลับแลนอกจากจะมีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดประวัติเมืองลับแล ประวัติเมืองลับแล. จากหลักฐานศิลาจารึกเจดีย์พิหาร ขุดได้ที่หน้าวิหารวัดเจดีย์คีรีวิหาร ซึ่งมหาอำมาตย์ตรี พระยานครพระราม ส่งเข้าหอสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2473 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ให้ความเห็นว่าเนื้อหาจารึกน่าจะกล่าวตั้งแต่ครั้งเมื่อพระยาลิไทยขึ้นเสวยราชย์ เป็นหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่าอาณาบริเวณเมืองลับแลปัจจุบัน เป็นชุมชนที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย นอกจากนี้ ทางด้านเหนือและตะวันตกของเมืองกัมโพช มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ตะวันจะยังไม่ตกดินก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า "ป่าลับแลง" (แลง เป็นภาษาล้านนาแปลว่า เวลาเย็น) ต่อมาเพี้ยนเป็น "ลับแล" ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ที่ตั้งของลับแลได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้งในอาณาจักรสุโขทัย จนในปี พ.ศ. 1981 เมืองทุ่งยั้ง ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรอยุธยา ที่ตั้งของลับแลก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้งมาโดยตลอด ในด้านชาติพันธ์คนลับแลที่ใช้ภาษาถิ่นล้านนานั้น จากข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้สันนิษฐานจากชาติพันธ์และภาษาของผู้คนในที่ตั้งเมืองลับแลในปัจจุบัน ว่าเดิมเป็นชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย ประกอบกับตำนานท้องถิ่น ระบุว่าได้มีผู้คนจากอาณาจักรโยนกเชียงแสน อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาแถบลับแล และตั้งชื่อว่า บ้านเชียงแสน ต่อมาคนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายกันไปหักล้างถางดงสร้างบ้านเมือง ขึ้นกระจัดกระจายตามที่ราบและไหล่เขาต่าง ๆ ซึ่งปรากฏว่าได้มีตำนานการอัญเชิญ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าเรืองชัยธิราช จากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน ถูกสร้างขึ้นอีกในช่วงหลัง ประกอบกับชุมชนลับแลมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังปรากฏหลักฐานการสร้างศาสนสถานวัดป่าสัก ซึ่งมีศิลปะเอกลักษณ์แบบอยุธยาผสมล้านนา ทำให้เมืองลับแล กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีผู้ใช้ภาษาถิ่นล้านนามาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในราว พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์ และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2444 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งที่บางโพ และยุบเมืองทุ่งยั้งรวมกับลับแล และสถาปนาเมืองลับแลขึ้นเป็นอำเภอ ส่วนอาคารที่ทำการยังตั้งอยู่ที่เมืองทุ่งยั้ง บริเวณใกล้เวียงเจ้าเงาะ ต่อมาพระพิศาลคีรี ได้ย้ายอาคารที่ทำการไปตั้งที่ม่อนจำศีลในปีเดียวกันนี้ (ห่างจากที่ว่าการ อำเภอปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร) ครั้นถึง พ.ศ. 2457 สมัย พระศรีพนมมาศ (เมื่อครั้งเป็นหลวงศรีพนมมาศ) เห็นว่าห่างไกลจากตัวเมืองลำบากแก่ราษฎรไปติดต่อ ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะสงวนที่ ม่อนจำศีล เป็นที่ประดิษฐานพระเหลือ (พระพุทธรูปที่สร้างจากทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลก) เพราะทรงเห็นว่าทิวทัศน์ของม่อนจำศีลคล้ายกับเมืองชวา จึงได้ย้ายอาคารที่ทำการจากม่อนจำศีล มาอยู่ที่ ม่อนสยามินทร์ (ชาวบ้านเรียกม่อนสามินทร์) เพราะเคยเป็นที่ตั้งพลับพลารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอในปัจจุบันศิลปะวัฒนธรรม ศิลปะวัฒนธรรม. ชาวเมืองลับแลดั้งเดิม มีภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ คือในชุมชนรอบพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ตำบลทุ่งยั้ง ตำบลไผ่ล้อม ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ปรากฏหลักฐานในสมัยสุโขทัย และชุมชนเดิมในพื้นที่ตั้งตัวอำเภอลับแล ก่อนที่จะถูกทิ้งร้าง ปรากฏหลักฐานศิลาจารึกการสถาปนาพระธาตุเจดีย์พิหารในสมัยพระยาลิไทย สันนิษฐานว่าแถบที่ตั้งเมืองลับแลทั้งหมด เป็นชุมชนที่ใช้ภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณมาก่อนนับ ๗๐๐ ปี ก่อนที่จะมีการอพยพชาวไทยวนจากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสนมาในสมัยหลัง ซึ่งปัจจุบันชาวไทยวนในอำเภอลับแลส่วนใหญ่อยู่ในเขตตอนเหนือของอำเภอ และที่ตั้งตัวอำเภอ ส่วนเขตทางใต้ของอำเภอลับแล ยังคงเป็นชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณอยู่ ดังนั้นชาวลับแลจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ทั้ง 2 วัฒนธรรม คือชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ และชุมชนภาษาถิ่นล้านนา มีภาษาพูด ภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นแบบล้านนา ที่มีใช้อยู่ในแถบล้านนาตะวันออก เช่น แพร่ น่าน เชียงราย และพะเยา เป็นต้นบุคคลสำคัญบุคคลสำคัญ. 1. เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร - วีรบุรุษในตำนานของลับแล 2. พระศรีพนมมาศ (ทองอิน แซ่ตัน) - อดีตนายอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลที่ 5ตำนานเมืองลับแล ตำนานเมืองลับแล. เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้วๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก้กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก้ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก้หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิมอาณาเขตอาณาเขต. - ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่) - ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอตรอน และอำเภอศรีสัชนาลัย (จังหวัดสุโขทัย) - ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอศรีสัชนาลัย (จังหวัดสุโขทัย)การแบ่งเขตการปกครองการปกครองส่วนภูมิภาค การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. อำเภอลับแลแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 8 ตำบล 57 หมู่บ้าน ได้แก่การปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. ท้องที่อำเภอลับแลประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่ง ได้แก่- เทศบาลตำบลศรีพนมมาศ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศรีพนมมาศทั้งตำบล - เทศบาลตำบลทุ่งยั้ง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลไผ่ล้อมและตำบลทุ่งยั้ง - เทศบาลตำบลหัวดง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลแม่พูล - เทศบาลตำบลพระเสด็จ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งยั้ง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง) - องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พูล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่พูล (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลหัวดง) - องค์การบริหารส่วนตำบลนานกกก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนานกกกทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลฝายหลวง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฝายหลวงทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลชัยจุมพล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลชัยจุมพลทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ล้อม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไผ่ล้อม (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง) - องค์การบริหารส่วนตำบลด่านแม่คำมัน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลด่านแม่คำมันทั้งตำบลสภาพทางภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. สภาพพื้นที่ มีลักษณะพื้นที่ราบลุ่มทางตอนใต้ ค่อนสูงขึ้นทางตอนกลางและเป็นภูเขาทางตอนเหนือและทางตะวันตก มีพื้นที่ราบประมาณ 117 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ภูเขาประมาณ 306 ตารางกิโลเมตร ไม่มีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่าน แต่มีลำน้ำที่เกิดจากเทือกเขาน้อยใหญ่ทางตอนเหนือ เช่น คลองแม่พร่อง หนองพระแล หนองนาเกลือ บึงมาย คลองพระเสด็จภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ลักษณะทางภูมิอากาศเป็นแบบมรสุม มี 3 ฤดู- ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคม - เดือนมิถุนายน - ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม - เดือนตุลาคม - ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์การเดินทาง การเดินทาง. อำเภอลับแล อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ 9 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ 5 กิโลเมตร เข้าเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล หรือไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 (ถนนอินใจมี) ประมาณ 7 กิโลเมตร ผ่านตำบลท่าเสา อำเภอเมือง และเข้าสู่ตำบลศรีพนมาศ อำเภอลับแล
| เมืองลับแล หรืออำเภอลับแล เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอะไร | {
"answer": [
"อุตรดิตถ์"
],
"answer_begin_position": [
144
],
"answer_end_position": [
153
]
} |
1,432 | 72,677 | อำเภอลับแล อำเภอลับแล หรือ เมืองลับแล เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2444 ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อำเภอลับแลนอกจากจะมีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดประวัติเมืองลับแล ประวัติเมืองลับแล. จากหลักฐานศิลาจารึกเจดีย์พิหาร ขุดได้ที่หน้าวิหารวัดเจดีย์คีรีวิหาร ซึ่งมหาอำมาตย์ตรี พระยานครพระราม ส่งเข้าหอสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2473 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ให้ความเห็นว่าเนื้อหาจารึกน่าจะกล่าวตั้งแต่ครั้งเมื่อพระยาลิไทยขึ้นเสวยราชย์ เป็นหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่าอาณาบริเวณเมืองลับแลปัจจุบัน เป็นชุมชนที่มีความเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย นอกจากนี้ ทางด้านเหนือและตะวันตกของเมืองกัมโพช มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ตะวันจะยังไม่ตกดินก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า "ป่าลับแลง" (แลง เป็นภาษาล้านนาแปลว่า เวลาเย็น) ต่อมาเพี้ยนเป็น "ลับแล" ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ที่ตั้งของลับแลได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้งในอาณาจักรสุโขทัย จนในปี พ.ศ. 1981 เมืองทุ่งยั้ง ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรอยุธยา ที่ตั้งของลับแลก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้งมาโดยตลอด ในด้านชาติพันธ์คนลับแลที่ใช้ภาษาถิ่นล้านนานั้น จากข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้สันนิษฐานจากชาติพันธ์และภาษาของผู้คนในที่ตั้งเมืองลับแลในปัจจุบัน ว่าเดิมเป็นชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย ประกอบกับตำนานท้องถิ่น ระบุว่าได้มีผู้คนจากอาณาจักรโยนกเชียงแสน อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาแถบลับแล และตั้งชื่อว่า บ้านเชียงแสน ต่อมาคนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายกันไปหักล้างถางดงสร้างบ้านเมือง ขึ้นกระจัดกระจายตามที่ราบและไหล่เขาต่าง ๆ ซึ่งปรากฏว่าได้มีตำนานการอัญเชิญ เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าเรืองชัยธิราช จากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน ถูกสร้างขึ้นอีกในช่วงหลัง ประกอบกับชุมชนลับแลมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังปรากฏหลักฐานการสร้างศาสนสถานวัดป่าสัก ซึ่งมีศิลปะเอกลักษณ์แบบอยุธยาผสมล้านนา ทำให้เมืองลับแล กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีผู้ใช้ภาษาถิ่นล้านนามาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในราว พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์ และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2444 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งที่บางโพ และยุบเมืองทุ่งยั้งรวมกับลับแล และสถาปนาเมืองลับแลขึ้นเป็นอำเภอ ส่วนอาคารที่ทำการยังตั้งอยู่ที่เมืองทุ่งยั้ง บริเวณใกล้เวียงเจ้าเงาะ ต่อมาพระพิศาลคีรี ได้ย้ายอาคารที่ทำการไปตั้งที่ม่อนจำศีลในปีเดียวกันนี้ (ห่างจากที่ว่าการ อำเภอปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร) ครั้นถึง พ.ศ. 2457 สมัย พระศรีพนมมาศ (เมื่อครั้งเป็นหลวงศรีพนมมาศ) เห็นว่าห่างไกลจากตัวเมืองลำบากแก่ราษฎรไปติดต่อ ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะสงวนที่ ม่อนจำศีล เป็นที่ประดิษฐานพระเหลือ (พระพุทธรูปที่สร้างจากทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลก) เพราะทรงเห็นว่าทิวทัศน์ของม่อนจำศีลคล้ายกับเมืองชวา จึงได้ย้ายอาคารที่ทำการจากม่อนจำศีล มาอยู่ที่ ม่อนสยามินทร์ (ชาวบ้านเรียกม่อนสามินทร์) เพราะเคยเป็นที่ตั้งพลับพลารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอในปัจจุบันศิลปะวัฒนธรรม ศิลปะวัฒนธรรม. ชาวเมืองลับแลดั้งเดิม มีภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ คือในชุมชนรอบพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ตำบลทุ่งยั้ง ตำบลไผ่ล้อม ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ปรากฏหลักฐานในสมัยสุโขทัย และชุมชนเดิมในพื้นที่ตั้งตัวอำเภอลับแล ก่อนที่จะถูกทิ้งร้าง ปรากฏหลักฐานศิลาจารึกการสถาปนาพระธาตุเจดีย์พิหารในสมัยพระยาลิไทย สันนิษฐานว่าแถบที่ตั้งเมืองลับแลทั้งหมด เป็นชุมชนที่ใช้ภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณมาก่อนนับ ๗๐๐ ปี ก่อนที่จะมีการอพยพชาวไทยวนจากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสนมาในสมัยหลัง ซึ่งปัจจุบันชาวไทยวนในอำเภอลับแลส่วนใหญ่อยู่ในเขตตอนเหนือของอำเภอ และที่ตั้งตัวอำเภอ ส่วนเขตทางใต้ของอำเภอลับแล ยังคงเป็นชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณอยู่ ดังนั้นชาวลับแลจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ทั้ง 2 วัฒนธรรม คือชุมชนภาษาถิ่นแบบสำเนียงสุโขทัยโบราณ และชุมชนภาษาถิ่นล้านนา มีภาษาพูด ภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นแบบล้านนา ที่มีใช้อยู่ในแถบล้านนาตะวันออก เช่น แพร่ น่าน เชียงราย และพะเยา เป็นต้นบุคคลสำคัญบุคคลสำคัญ. 1. เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร - วีรบุรุษในตำนานของลับแล 2. พระศรีพนมมาศ (ทองอิน แซ่ตัน) - อดีตนายอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลที่ 5ตำนานเมืองลับแล ตำนานเมืองลับแล. เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้วๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก้กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก้ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก้หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิมอาณาเขตอาณาเขต. - ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่) - ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอตรอน และอำเภอศรีสัชนาลัย (จังหวัดสุโขทัย) - ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอศรีสัชนาลัย (จังหวัดสุโขทัย)การแบ่งเขตการปกครองการปกครองส่วนภูมิภาค การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. อำเภอลับแลแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 8 ตำบล 57 หมู่บ้าน ได้แก่การปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. ท้องที่อำเภอลับแลประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่ง ได้แก่- เทศบาลตำบลศรีพนมมาศ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศรีพนมมาศทั้งตำบล - เทศบาลตำบลทุ่งยั้ง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลไผ่ล้อมและตำบลทุ่งยั้ง - เทศบาลตำบลหัวดง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลแม่พูล - เทศบาลตำบลพระเสด็จ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งยั้ง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง) - องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พูล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่พูล (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลหัวดง) - องค์การบริหารส่วนตำบลนานกกก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนานกกกทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลฝายหลวง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฝายหลวงทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลชัยจุมพล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลชัยจุมพลทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ล้อม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไผ่ล้อม (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง) - องค์การบริหารส่วนตำบลด่านแม่คำมัน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลด่านแม่คำมันทั้งตำบลสภาพทางภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. สภาพพื้นที่ มีลักษณะพื้นที่ราบลุ่มทางตอนใต้ ค่อนสูงขึ้นทางตอนกลางและเป็นภูเขาทางตอนเหนือและทางตะวันตก มีพื้นที่ราบประมาณ 117 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ภูเขาประมาณ 306 ตารางกิโลเมตร ไม่มีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่าน แต่มีลำน้ำที่เกิดจากเทือกเขาน้อยใหญ่ทางตอนเหนือ เช่น คลองแม่พร่อง หนองพระแล หนองนาเกลือ บึงมาย คลองพระเสด็จภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ลักษณะทางภูมิอากาศเป็นแบบมรสุม มี 3 ฤดู- ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคม - เดือนมิถุนายน - ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม - เดือนตุลาคม - ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์การเดินทาง การเดินทาง. อำเภอลับแล อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ 9 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ 5 กิโลเมตร เข้าเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล หรือไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 (ถนนอินใจมี) ประมาณ 7 กิโลเมตร ผ่านตำบลท่าเสา อำเภอเมือง และเข้าสู่ตำบลศรีพนมาศ อำเภอลับแล
| พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมายังเมืองลับแลจังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อปี พ.ศ. ใด | {
"answer": [
"2444"
],
"answer_begin_position": [
260
],
"answer_end_position": [
264
]
} |
1,433 | 75,216 | วัดกันมาตุยาราม วัดกันมาตุยาราม เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็ก สังกัดธรรมยุตินิกาย ตั้งอยู่ริมถนนมังกร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร แวดล้อมด้วยชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดกุศลสมาครของฝ่ายอนัมนิกาย และวัดบำเพ็ญจีนพรตของฝ่ายจีนนิกาย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยนางกลีบ สาครวาสี ได้อุทิศสวนดอกไม้สร้างเป็นวัดขึ้น ต่อมาบุตรของนางกลีบ คือ พระดรุณรักษา (กัน สาครวาสี) ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว นางกลีบ ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า"วัดกันมาตุยาราม" อันหมายถึง วัดที่มารดาของนายกันเป็นผู้สร้าง บริเวณวัดแห่งนี้ค่อนข้างคับแคบ ปูชนียสถานสำคัญมีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบลังกาสร้างเลียนแบบธัมเมกขสถูปในประเทศอินเดีย และในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ วัดนี้เคยเป็นที่จำพรรษาของ สุชีโวภิกขุ หรือ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาคนหนึ่งของประเทศไทย
| วัดกันมาตุยารามตั้งอยู่เขตสัมพันธวงศ์เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็ก สังกัดนิกายใด | {
"answer": [
"ธรรมยุตินิกาย"
],
"answer_begin_position": [
148
],
"answer_end_position": [
161
]
} |
2,459 | 75,216 | วัดกันมาตุยาราม วัดกันมาตุยาราม เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็ก สังกัดธรรมยุตินิกาย ตั้งอยู่ริมถนนมังกร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร แวดล้อมด้วยชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดกุศลสมาครของฝ่ายอนัมนิกาย และวัดบำเพ็ญจีนพรตของฝ่ายจีนนิกาย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยนางกลีบ สาครวาสี ได้อุทิศสวนดอกไม้สร้างเป็นวัดขึ้น ต่อมาบุตรของนางกลีบ คือ พระดรุณรักษา (กัน สาครวาสี) ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว นางกลีบ ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า"วัดกันมาตุยาราม" อันหมายถึง วัดที่มารดาของนายกันเป็นผู้สร้าง บริเวณวัดแห่งนี้ค่อนข้างคับแคบ ปูชนียสถานสำคัญมีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบลังกาสร้างเลียนแบบธัมเมกขสถูปในประเทศอินเดีย และในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ วัดนี้เคยเป็นที่จำพรรษาของ สุชีโวภิกขุ หรือ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาคนหนึ่งของประเทศไทย
| วัดกันมาตุยารามที่ตั้งงอยู่ริมถนนมังกร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ใด | {
"answer": [
"พ.ศ. 2407"
],
"answer_begin_position": [
351
],
"answer_end_position": [
360
]
} |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.