title
stringlengths 8
870
| text
stringlengths 0
298k
| __index_level_0__
int64 0
54.3k
|
---|---|---|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 200) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 200)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (618) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(618) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ดีดี อินเตอร์แมค จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,757 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 199) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 199)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (617) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(617) ส่วน Pulp Production Departmentบริษัท ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,758 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 198) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 198)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (616) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(616) ส่วน Product Reliability and Emerging Product บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทยจํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,759 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 197) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 197)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (615) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่องรายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(615) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท มานิตย์ เจเนติกส์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,760 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 196) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 196)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (614) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(614) แผนกวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท ซันโย เอส.เอ็ม.ไอ (ไทยแลนด์) จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,761 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 195) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 195)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (613) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(613) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ไมล์ชิฟท์โรโบติกส์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,762 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 194) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 194)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (612) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(612) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม สีคิ้ว บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,763 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 193) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 193)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (611) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(611) ส่วนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม บริษัทโชติวัฒน์อุตสาหกรรมการผลิต จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,764 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 192) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 192)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (610) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(610) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท อีโฟลว์ซิส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,765 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 191) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 191)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (609) ของข้อ ๑ ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(609) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท มายา วิซาร์ด จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,766 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 190) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 190)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (608) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(608) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท ไบโอ อีควอไลซ์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,767 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 189) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 189)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (607) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(607) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท โลคัส เทเลคอมมูนิเคชั่น อิงค์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,768 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 188) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 188)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (606) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(606) แผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,769 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 187) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 187)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (543) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(543) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท ทรู อีโลจิสติกส์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,770 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 186) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 186)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (605) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(605) แผนกวิจัยและพัฒนา บริษัท น้ําใสฟาร์ม จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,771 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 185) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 185)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (604) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(604) พัฒนาสินค้า บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,772 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 184) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 184)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๙๘) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (603) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.2559
“(603) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท เอนโทรนิก้า จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563ระดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,773 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 183) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 183)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (602) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(602) แผนกควบคุมคุณภาพและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ บริษัท เอสซีจี เซรามิกซ์ จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,774 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 182) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 182)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (216) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(216) ส่วนสนับสนุนส่งเสริมการปลูกไม้ บริษัท สยามฟอเรสทรี จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2559 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,775 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 181) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 181)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (601) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(601) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,776 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 180) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 180)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (600) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(600) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท เอเมทเวิร์คส์ จํากัด (สํานักงานใหญ่)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ ๘11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,777 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 179) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 179)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (599) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายนพ.ศ.2559
“(599) Lean Process and Machine Development บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จํากัด(มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ..ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,778 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 178) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 178)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๙๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (598) ของข้อ ๑ ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ ๑) ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙
“(598) คณะทํางานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,779 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 177) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 177)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (597) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(597) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท โบนาเน็กซ์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,780 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 176) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 176)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (596) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(596) แผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์และวิจัยนวัตกรรม บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,781 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 175) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 175)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (595) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(595) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ ซิสเท็ม จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,782 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 174) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 174)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (594) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(594) หน่วยงานวิจัย บริษัท ทริปเปิล ที อินโนเวชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,783 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 173) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 173)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (593) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(593) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ทีบีเอ็น ซอฟต์แวร์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,784 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 172) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 172)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (592) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(592) หน่วยงานวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,785 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 171) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 171)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (591) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(591) วิจัยและพัฒนา บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,786 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 170) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 170)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดี
กรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (590) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(590) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ไทยวา จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,787 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 169) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 169)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (589) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(589) สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,788 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 168) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 168)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (588) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(588) หน่วยวิจัย บริษัท เอวีเอส อินโนเวชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,789 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 167) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 167)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (587) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(587) วิศวกรรม บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,790 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 166) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 166)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (586) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(586) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท อะแวร์ เทคโนโลยี โซลูชั่น คอร์ปอเรชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,791 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 165) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 165)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (585) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(585) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท อินโนพลาสซีเอ็ม จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2563
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,792 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 164) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 164)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (584) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(584) แผนกวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท บลูสโตน จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,793 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 163) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 163)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (583) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(583) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท เซอร์ทิส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,794 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 162) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 162)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (582) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(582) ส่วน Quality Assurance บริษัท สยามนิปปอน อินดัสเตรียล เปเปอร์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2563ระดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,795 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 161) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 161)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (581) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(581) แผนกวิจัยและพัฒนา บริษัท ชล โซลูชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,796 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 160) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 160)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (580) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(580) แผนกวิจัยและพัฒนา บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,797 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 159) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 159)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (579) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(579) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ห้างหุ้นส่วนจํากัด เอสเค ออโตพาร์ท”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,798 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 158) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 158)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังอไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (578) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(578) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท เอ มายด์ กรุ๊ป จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2563ระดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,799 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 157) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 157)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (577) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(577) มูลนิธิโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,800 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 156) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 156)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (576) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดี กรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(576) สถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรม บริษัท เอเวอร์กรีน เคมีคอล (ประเทศไทย) จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,801 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 155) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 155)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (575) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(575) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,802 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 154) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 154)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (574) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(574) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,803 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 153) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 153)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (573) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(573) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2563
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,804 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 152) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 152)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (572) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(572) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท เจ็นเซิฟ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,805 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 151) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 151)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (571) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(571) ศูนย์วิจัยและพัฒนา บริษัท ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,806 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 150) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 150)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (570) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(570) สํานักวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม บริษัท ข้าว ซี.พี. จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,807 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 149) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 149)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (550) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(550) ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ทีบีเอสพี จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,808 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 148) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 148)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (569) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(569) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,809 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 147) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 147)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (568) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายนพ.ศ.2559
“(568) สํานักพัฒนานวัตกรรม บริษัท ซีพีเอฟ ไอทีเซ็นเตอร์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,810 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 146) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 146)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (567) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(567) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ทรู วอยซ์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศการฯ ปฏิบัติราชการแทน
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,811 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 145) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 145)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (566) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(566) สํานักวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,812 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 144) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 144)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (565) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(565) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท ฟัน อ็อกไซด์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2563
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,813 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 143) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 143)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (564) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(564) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็ดครบวงจร บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,814 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 142) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 142)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (563) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(563) ศูนย์วิจัยแพร็กซิส”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2563ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,815 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 141) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 141)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (562) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายนพ.ศ. 2559
“(562) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท พีเอสไอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,816 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 140) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 140)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน ( 420 ) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“( 420 ) หน่วยงาน Research and Innovation Center บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,817 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 139) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 139)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (561) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(561) สํานักวิจัยเทคโนโลยี และ นวัตกรรม บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,818 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 138) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 138)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (560) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(560) ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,819 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 137) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 137)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559๙ ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (559) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(559) ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,820 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 136) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 136)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (558) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(558) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ไซแนปส์ (ประเทศไทย) จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ๑ ประกาศ ณ วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,821 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 135) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 135)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (473) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"(473) ฝ่ายนวัตกรรม บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,822 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 134) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 134)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (557) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(557) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,823 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 133) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 133)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (556) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(556) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท เอเชี่ยนเคมิคัล จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,824 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 132) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 132)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559๙ ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (555) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“( 555 ) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท เอเซีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ๑ ประกาศ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,825 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 131) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 131)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (554) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(554) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม บริษัท เจียไต๋ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,826 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 130) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 130)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (553) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(553) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท โกลบอลสตาร์เทคโนโลยี จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,827 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 129) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 129)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (552) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(552) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2559 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,828 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 128) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 128)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (551) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(551) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ซีพี รีเสิร์ช แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ เซ็นเตอร์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,829 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 127) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 127)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (550) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(550) ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไทย บริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,830 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 126) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 126)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (549) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(549) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ทรู ดิสทริบิวชั่น แอนด์ เซลส์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,831 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 125) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 125)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (548) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(548) บริษัท เคไอ วิจัยพัฒนา อ้อยและน้ําตาล จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,832 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 124) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 124)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (547) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(547) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี บริษัท ไทย เด็นทอล อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,833 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 123) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 123)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (546) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(546) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท น้ําตาลพิษณุโลก จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕61 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,834 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 122) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 122)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (545) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(545) ศูนย์วิจัย เอสอีเอซี บริษัท เอสอีเอเชีย ลีดาเวชั่น เซ็นเตอร์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,835 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 121) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 121)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (544) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(544) ฝ่ายวิจัยและพัฒนาบริษัท แพลนเนท ที แอนด์ เอส จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,836 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 120) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 120)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (543) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(543) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ทรู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จํากัด ”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,837 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓
โดยที่มาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ กําหนดให้การดําเนินการทั้งปวงเกี่ยวกับการฟ้อง การร้องสอด การเรียกบุคคล หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเป็นคู่กรณีในคดี การดําเนินกระบวนพิจารณา การรับฟังพยานหลักฐาน และการพิพากษาคดีปกครอง รวมทั้งการกําหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษานอกจากที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓”
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
“ศาล” หมายความว่า ศาลปกครอง หรือตุลาการศาลปกครอง
“ศาลปกครอง” หมายความว่า ศาลปกครองชั้นต้น หรือศาลปกครองสูงสุด
“ตุลาการหัวหน้าคณะ” หมายความว่า ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น หรือตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด
“ตุลาการเจ้าของสํานวน” หมายความว่า ตุลาการศาลปกครองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการเจ้าของสํานวน
“ตุลาการผู้แถลงคดี” หมายความว่า ตุลาการศาลปกครองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แถลงคดีปกครอง
“คําแถลงการณ์” หมายความว่า สรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเห็นของตุลาการ
ผู้แถลงคดีที่เสนอต่อองค์คณะพิจารณาพิพากษา
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักบังคับคดีปกครอง หรือสํานักงานศาลปกครองในภูมิภาค และให้หมายความรวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดี
“เจ้าพนักงานบังคับคดี” หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองที่มีคุณสมบัติตามประกาศ ก.ศป. เรื่อง คุณสมบัติของข้าราชการฝ่ายศาลปกครองที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้มีอํานาจหน้าที่ปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง และระเบียบนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่กรณีในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา หรือคําสั่ง และให้หมายความรวมถึงเอกชนหรือบุคคลอื่นที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ปฏิบัติการแทนภายใต้การกํากับดูแลของเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย
“เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา” หมายความว่า คู่กรณีหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ได้รับชําระหนี้หรือบุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคําพิพากษา หรือคําสั่ง และให้หมายความรวมถึงคู่กรณีฝ่ายที่ชนะคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) (๕) หรือ (๖) ด้วย
“ลูกหนี้ตามคําพิพากษา” หมายความว่า คู่กรณีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ชําระหนี้ และให้หมายความรวมถึงคู่กรณีหรือบุคคลที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ข้อ ๔ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ กับให้มีอํานาจออกประกาศหรือคําสั่งเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ภาค ภาค ๑
บททั่วไป
ข้อ ๕ วิธีพิจารณาคดีปกครองเป็นวิธีพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวนตามที่กําหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองและระเบียบนี้
ในกรณีที่กฎหมายหรือระเบียบตามวรรคหนึ่งมิได้กําหนดเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ ให้ดําเนินการตามหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ข้อ ๖ ระยะเวลาตามที่กําหนดไว้ในระเบียบนี้หรือตามที่ศาลกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีมีคําขอ ศาลมีอํานาจย่นหรือขยายได้ตามความจําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ข้อ ๗ ในกรณีที่มิได้มีการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองหรือระเบียบนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาในการเสนอคําฟ้องและตรวจคําฟ้อง การแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปสํานวน การรับฟังพยานหลักฐาน หรือในการดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นก่อนมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีฝ่ายที่เสียหาย
เนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นมีคําขอ ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคําสั่งในเรื่องนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควร
ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบตามวรรคหนึ่ง คู่กรณีฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆก่อนมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ทราบถึงเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ คู่กรณีที่ยื่นคําขอจะต้องไม่ดําเนินการอื่นใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น
การที่ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบใดอันมิใช่เรื่องที่คู่กรณีละเลยไม่ดําเนินกระบวนพิจารณาเรื่องนั้นภายในระยะเวลาที่กฎหมาย ระเบียบนี้ หรือที่ศาลกําหนดไว้ ไม่ตัดสิทธิคู่กรณีนั้นในอันที่จะดําเนินกระบวนพิจารณานั้นใหม่ให้ถูกต้องได้
ข้อ ๘ ศาลมีอํานาจออกข้อกําหนดใด ๆ แก่คู่กรณีหรือแก่บุคคลใดที่อยู่ต่อหน้าศาลตามที่เห็นจําเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล หรือเพื่อให้การดําเนินคดีปกครองเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรมและรวดเร็ว อํานาจเช่นว่านี้ให้รวมถึงการสั่งห้ามคู่กรณีมิให้ดําเนินคดีปกครองในทางก่อความรําคาญในทางประวิงให้ล่าช้า หรือในทางฟุ่มเฟือยเกินสมควร
การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดตามวรรคหนึ่ง เป็นการละเมิดอํานาจศาลและศาลมีอํานาจสั่งลงโทษตามมาตรา ๖๔
ข้อ ๙ บรรดากระบวนพิจารณาตลอดจนการพิพากษาหรือการมีคําสั่งในคดีปกครอง ซึ่งศาลเป็นผู้ทํานั้น ให้ทําเป็นภาษาไทย
บรรดาเอกสารหรือพยานหลักฐานของคู่กรณีหรือของบุคคลใด ๆ หรือที่ศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลได้ทําขึ้น ซึ่งประกอบเป็นสํานวนคดีนั้น ให้ทําเป็นภาษาไทย
ในกรณีที่เอกสารหรือพยานหลักฐานที่ส่งต่อศาลได้ทําขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ ให้ศาลสั่งให้คู่กรณีหรือบุคคลที่ส่ง จัดทําคําแปลทั้งฉบับหรือเฉพาะแต่ส่วนสําคัญ โดยมีคํารับรองมายื่นเพื่อแนบไว้กับเอกสารหรือพยานหลักฐานนั้น
ในกรณีที่คู่กรณีหรือบุคคลที่มาศาลไม่เข้าใจภาษาไทย หรือเป็นใบ้หรือหูหนวกและอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ให้คู่กรณีฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดหาล่าม
ข้อ ๑๐ การทําคําขอหรือคําร้องต่อศาลในกระบวนพิจารณา ให้ทําเป็นหนังสือ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตให้ทําด้วยวาจา ในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลพิจารณาจดแจ้งข้อความนั้นไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา
ข้อ ๑๑ ให้ศาลจดแจ้งรายงานการไต่สวน การนั่งพิจารณา หรือการดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไว้ในรายงานกระบวนพิจารณารวมไว้ในสํานวนคดีทุกครั้ง
รายงานกระบวนพิจารณานั้น ให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับเลขคดี ชื่อศาล ชื่อคู่กรณี สถานที่ วันและเวลาที่ดําเนินการ ข้อความโดยย่อเกี่ยวด้วยเรื่องที่กระทํา และลายมือชื่อตุลาการศาลปกครองในกรณีที่กระบวนพิจารณาใดกระทําต่อหน้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือพยาน ให้คู่กรณีหรือพยานดังกล่าวลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาด้วย
ข้อ ๑๒ ถ้าคู่กรณี พยาน หรือบุคคลใดจะต้องลงลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได หรือเครื่องหมายอย่างอื่นแทนการลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา บันทึก หรือเอกสารใด เพื่อแสดงการรับรู้รายงานหรือบันทึกนั้น หรือเพื่อรับรองการอ่านหรือส่งเอกสารนั้น หากกระทําโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้ว ให้ถือเสมอกับการลงลายมือชื่อ แต่ถ้ากระทําต่อหน้าศาล ไม่จําต้องมีลายมือชื่อ
ของพยานสองคนรับรอง
ถ้าคู่กรณี พยาน หรือบุคคลที่จะต้องลงลายมือชื่อในรายงาน บันทึก หรือเอกสารดังกล่าว ลงลายมือชื่อไม่ได้หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้ศาลจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อเช่นว่านั้นไว้
ข้อ ๑๓ การยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐานต่อศาล คู่กรณีจะยื่นด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นยื่นต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล หรือจะทําโดยวิธีส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ ในกรณีที่ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ให้ถือว่าวันที่ส่งเอกสารหรือพยานหลักฐานแก่เจ้าพนักงานไปรษณีย์เป็นวันที่ยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐานต่อศาล
การมอบฉันทะให้ผู้อื่นยื่นเอกสารหรือพยานหลักฐาน ให้ทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้มอบ ผู้รับมอบ และพยาน
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลต้องแจ้งข้อความหรือต้องส่งเอกสารใดให้แก่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าผู้นั้นหรือผู้แทนของผู้นั้นมิได้รับทราบข้อความหรือมิได้รับเอกสารจากศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล ให้แจ้งข้อความเป็นหนังสือหรือส่งเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งให้แจ้งข้อความหรือส่งเอกสารโดยวิธีอื่น
ในกรณีที่คู่กรณีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องยื่นคําขอต่อศาลเพื่อขอให้มีการแจ้งข้อความ หรือส่งเอกสารโดยวิธีอื่น คู่กรณีหรือบุคคลซึ่งยื่นคําขอต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการแจ้งข้อความหรือส่งเอกสารโดยวิธีดังกล่าว
ข้อ ๑๕ การแจ้งข้อความเป็นหนังสือหรือส่งเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้ถือว่าวันที่ระบุในใบตอบรับเป็นวันที่ได้รับแจ้ง หากไม่ปรากฏวันที่ในใบตอบรับ ให้ถือว่าวันที่ครบกําหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งเป็นวันที่ได้รับแจ้ง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าได้รับก่อนหรือหลังจากวันนั้นหรือไม่ได้รับ
การแจ้งข้อความหรือส่งเอกสารโดยวิธีอื่นตามคําสั่งศาล ให้ศาลกําหนดวันที่ถือว่าผู้รับได้รับแจ้งไว้ด้วย
ข้อ ๑๖ การแจ้งข้อความเป็นหนังสือหรือส่งเอกสารโดยวิธีให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลอื่นนําไปส่ง ถ้าผู้รับไม่ยอมรับหรือถ้าในขณะนําไปส่งไม่พบผู้รับ ให้วางหรือปิดหนังสือหรือเอกสารนั้นไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สถานที่นั้นต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจ ข้าราชการอื่น พนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน แพทย์ประจําตําบล สารวัตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและให้ถือว่าผู้รับได้รับแจ้งในวันที่วางหรือปิดหนังสือหรือเอกสารนั้น
ในกรณีที่ไม่พบผู้รับ จะส่งหนังสือหรือเอกสารแก่บุคคลอื่นซึ่งบรรลุนิติภาวะที่อยู่หรือทํางานในสถานที่นั้นก็ได้ และให้ถือว่าผู้รับได้รับแจ้งในวันที่ได้ส่งหนังสือหรือเอกสารให้แก่บุคคลนั้น
การดําเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ส่ง วาง หรือปิดหนังสือหรือเอกสารในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลผู้นําไปส่ง มอบใบรับลงลายมือชื่อผู้รับ หรือมอบรายงานการส่งหนังสือหรือเอกสารลงลายมือชื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลผู้นําไปส่ง แล้วแต่กรณี ต่อศาล เพื่อรวมไว้ในสํานวนคดี
ใบรับหรือรายงานตามวรรคสามต้องระบุวิธีส่ง เวลา วัน เดือน ปี ที่ส่งหนังสือหรือเอกสาร รวมทั้งชื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลผู้นําไปส่ง ใบรับหรือรายงานดังกล่าว จะทําโดยวิธีจดลงไว้ที่หนังสือหรือเอกสารต้นฉบับซึ่งยื่นต่อศาลก็ได้
ข้อ ๑๗ เอกสารหรือพยานหลักฐานที่คู่กรณียื่นต่อศาลหรือที่ศาลได้มา ให้เปิดโอกาสให้คู่กรณีขอตรวจดู ทราบ คัดสําเนา หรือขอสําเนาอันรับรองถูกต้อง และศาลอาจส่งสําเนาให้คู่กรณีตามระเบียบนี้ เว้นแต่กรณีที่มีกฎหมายคุ้มครองให้ไม่ต้องเปิดเผย หรือกรณีที่ศาลเห็นว่าจําเป็นต้องไม่เปิดเผยเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่การดําเนินงานของรัฐ
ในกรณีที่เอกสารหรือพยานหลักฐานมีการกําหนดชั้นความลับไว้ มีข้อความที่ไม่เหมาะสม หรือมีข้อความที่อาจเป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบุคคลใด ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีขอตรวจดู ทราบ คัดสําเนา ขอสําเนาอันรับรองถูกต้อง หรือไม่ส่งสําเนาให้คู่กรณี ทั้งนี้ ไม่เป็นการตัดอํานาจศาลที่จะจัดให้มีการทําสรุปเรื่องและเปิดโอกาสให้คู่กรณีขอตรวจดู ทราบหรือคัดสําเนาสรุปเรื่อง หรือขอสําเนาอันรับรองถูกต้องของสรุปเรื่อง หรือส่งสําเนาสรุปเรื่องดังกล่าวให้คู่กรณี
ข้อ ๑๘ พยานเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ถ้อยคําของตนในคดี หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคําขอต่อศาล เพื่อขอตรวจดูเอกสารทั้งหมดหรือบางฉบับในสํานวนคดี หรือขอคัดสําเนาหรือขอสําเนาอันรับรองถูกต้องก็ได้ แต่ทั้งนี้ ห้ามอนุญาตเช่นว่านั้นแก่
(๑) บุคคลภายนอก ในคดีที่พิจารณาโดยไม่เปิดเผย
(๒) พยานหรือบุคคลภายนอก ในคดีที่ศาลห้ามการตรวจหรือคัดสําเนาเอกสารในสํานวนคดีทั้งหมดหรือบางฉบับเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือประโยชน์สาธารณะ
(๓) พยานหรือบุคคลภายนอก ในกรณีที่มีกฎหมายคุ้มครองให้ไม่ต้องเปิดเผยหรือกรณีที่ศาลเห็นว่าจําเป็นต้องไม่เปิดเผยเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่การดําเนินงานของรัฐ
ข้อ ๑๙ คู่กรณี พยาน หรือบุคคลภายนอกไม่อาจขอตรวจดูหรือขอคัดสําเนาเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล พนักงานคดีปกครอง ตุลาการเจ้าของสํานวน ตุลาการผู้แถลงคดี หรือศาลจัดทําขึ้นเพื่อใช้เป็นการภายใน ทั้งไม่อาจขอสําเนาอันรับรองถูกต้องของเอกสารนั้น
ข้อ ๒๐ การตรวจดูหรือการคัดสําเนาเอกสารในสํานวนคดี ให้ผู้ขอตามข้อ ๑๗ หรือข้อ ๑๘ หรือบุคคลซึ่งได้รับมอบอํานาจจากผู้ขอเป็นผู้ตรวจดูหรือคัด ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นหรือประธานศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี กําหนด เพื่อความสะดวกของศาลหรือเพื่อความปลอดภัยของเอกสารนั้น
ห้ามคัดสําเนาคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีก่อนที่ศาลจะได้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น และก่อนที่จะได้ลงทะเบียนในสารบบคําพิพากษา
การรับรองสําเนาเอกสาร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลตามที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้น หรือประธานศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี กําหนด เป็นผู้รับรอง
ข้อ ๒๑ ถ้าสํานวนคดี เอกสารของคู่กรณี พยานหลักฐาน รายงานกระบวนพิจารณาคําพิพากษา คําสั่ง หรือเอกสารอื่นใดที่รวมไว้ในสํานวนคดีซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา หรือรอการบังคับคดีสูญหายไป หรือบุบสลายทั้งหมดหรือแต่บางส่วน และกรณีดังกล่าวเป็นการขัดข้องต่อการพิจารณาพิพากษา การมีคําสั่ง หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีคําขอ ให้ศาลสั่งให้คู่กรณีหรือบุคคลผู้ถือเอกสารนั้นนําสําเนาที่รับรองถูกต้องมาส่งต่อศาล ถ้าสําเนาเช่นว่านั้นทั้งหมดหรือบางส่วนหาไม่ได้ ศาลอาจมีคําสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่หรือมีคําสั่งอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ข้อ ๒๒ เพื่อให้กระบวนพิจารณาเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม ศาลอาจมีคําสั่งให้การติดต่อสื่อสารระหว่างศาลด้วยกันกระทําโดยโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น แทนการติดต่อโดยทางไปรษณีย์หรือประกอบกันก็ได้ โดยคํานึงถึงความจําเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมแก่ลักษณะเนื้อหาของเรื่องที่ทําการติดต่อ รวมทั้งจํานวนและลักษณะของเอกสารหรือวัตถุอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่ออํานวยความสะดวกแก่คู่กรณี พยาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ศาลอาจมีคําสั่งให้การแจ้งข้อความหรือการส่งเอกสารระหว่างศาลกับคู่กรณี พยาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง กระทําโดยวิธีการตามวรรคหนึ่งก็ได้ โดยให้ศาลกําหนดวันที่ถือว่าได้รับแจ้งข้อความหรือเอกสารไว้ด้วย
ข้อ ๒๓ สํานวนคดี เอกสารของคู่กรณี พยานหลักฐาน รายงานกระบวนพิจารณา คําพิพากษาคําสั่ง หรือเอกสารอื่นใดที่รวมไว้ในสํานวนคดี ไม่ว่าจะเป็นเอกสารต้นฉบับหรือสําเนาคู่ฉบับ ถ้าศาลเห็นสมควร จะมีคําสั่งให้เก็บรักษาหรือนําเสนอในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้
ข้อ ๒๔ ให้ศาลมีอํานาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการแจ้งข้อความหรือส่งเอกสาร การคัดสําเนา หรือการรับรองเอกสารตามระเบียบนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนด
ภาค ภาค ๒
วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นต้น
หมวด หมวด ๑
การเสนอคําฟ้องและตรวจคําฟ้อง
ข้อ ๒๕ ผู้ฟ้องคดีปกครองต้องเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามมาตรา ๔๒
ข้อ ๒๖ บุคคลผู้ไร้ความสามารถจะฟ้องคดีปกครองได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยความสามารถ
ในกรณีที่กฎหมายกําหนดให้ต้องมีการอนุญาตหรือต้องได้รับความยินยอมก่อน ให้แนบหนังสืออนุญาตหรือหนังสือแสดงความยินยอมมาพร้อมกับคําฟ้องด้วย
ข้อ ๒๗ ในกรณีที่ผู้เยาว์ซึ่งมีอายุไม่ต่ํากว่าสิบห้าปีบริบูรณ์ประสงค์จะฟ้องคดีปกครองด้วยตนเองถ้าศาลเห็นสมควร จะอนุญาตให้ฟ้องคดีปกครองด้วยตนเองก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลแจ้งให้ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ดังกล่าวทราบ และศาลอาจมีคําสั่งให้ผู้แทนโดยชอบธรรมนั้นหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องให้ข้อเท็จจริงต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาได้
ข้อ ๒๘ การเสนอเรื่องพร้อมความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาต่อศาล ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่ากฎหรือการกระทําใดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๓ ให้ทําเป็นคําฟ้องมีรายการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๕
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาจะมอบอํานาจให้เจ้าหน้าที่สํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นผู้ฟ้องคดีปกครองและดําเนินคดีปกครองแทนก็ได้
ข้อ ๒๙ การฟ้องคดีปกครองต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองที่มีเขตอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๗
คําฟ้องซึ่งอาจยื่นต่อศาลได้สองศาลหรือหลายศาล ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลําเนาของผู้ฟ้องคดีเพราะสถานที่ที่มูลคดีเกิด หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อ ถ้ามูลคดีมีความเกี่ยวเนื่องกัน ผู้ฟ้องคดีจะยื่นคําฟ้องต่อศาลหนึ่งศาลใดก็ได้
การฟ้องคดีปกครองที่มูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสัญชาติไทยและไม่มีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง
ข้อ ๓๐ การฟ้องคดีต่อศาลปกครองต้องยื่นฟ้องภายในกําหนดระยะเวลาและตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒
คําฟ้องที่ยื่นเมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีแล้ว ให้ศาลมีคําสั่งไม่รับไว้พิจารณาและสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคดีนั้นเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจําเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่กรณีมีคําขอ ศาลจะรับไว้พิจารณาก็ได้ คําสั่งรับคําฟ้องไว้พิจารณาให้เป็นที่สุด
ข้อ ๓๑ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีปกครองต่อศาลอื่นซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ถ้าปรากฏว่าศาลนั้นไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาเพราะไม่มีอํานาจพิจารณาคดีนั้น หรือผู้ฟ้องคดีถอนคําฟ้องจากศาลนั้นเพื่อฟ้องคดีใหม่ต่อศาลปกครอง ให้ถือว่ากําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีสะดุดหยุดอยู่เท่าระยะเวลาตั้งแต่วันยื่นคําฟ้องจนถึงวันที่คดีของศาลอื่นนั้นถึงที่สุด
ข้อ ๓๒ คําฟ้องต้องทําเป็นหนังสือและมีรายการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๕ กับให้แนบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีที่ไม่อาจแนบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้เพราะพยานหลักฐานอยู่ในความครอบครองของหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลอื่น หรือเพราะเหตุอื่นใดให้ระบุเหตุที่ไม่อาจแนบพยานหลักฐานไว้ด้วย
ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีมิใช่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ระบุชื่อและที่อยู่ของบุคคลซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีไว้ด้วย
ข้อ ๓๓ ให้ผู้ฟ้องคดีจัดทําสําเนาคําฟ้องและสําเนาพยานหลักฐานที่ผู้ฟ้องคดีรับรองสําเนาถูกต้องตามจํานวนของผู้ถูกฟ้องคดียื่นมาพร้อมกับคําฟ้องด้วย
ในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีไม่จัดทําสําเนาคําฟ้องและสําเนาพยานหลักฐานให้ครบถ้วน หรือในกรณีที่จํานวนผู้ถูกฟ้องคดีเพิ่มขึ้น ศาลมีอํานาจแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีจัดทําสําเนาเพิ่มภายในระยะเวลาที่กําหนดถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ดําเนินการภายในระยะเวลาที่กําหนด ศาลจะสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาและสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความก็ได้
ข้อ ๓๔ คําฟ้องที่ขอให้ศาลสั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ให้ชําระค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์เป็นเงินสด เช็คซึ่งธนาคารรับรองหรือเช็คซึ่งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้สั่งจ่าย โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลออกใบรับให้หรือชําระค่าธรรมเนียมศาลโดยวิธีการอื่นดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอย่างอื่นในการเรียกเก็บเงินตามวิธีการดังกล่าว ถ้ามี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนด
(๑)บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
(๒) หักบัญชีธนาคาร หรือชําระผ่านธนาคาร สถาบันการเงิน นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจการบริการรับชําระหนี้แทนหรือด้วยเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM)
(๓) ทางอินเทอร์เน็ต
(๔) วิธีการอื่นตามที่ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนด[[1]](#_ftn1)
ในกรณีตามวรรคหนึ่งที่ผู้ฟ้องคดีหลายคนร่วมกันยื่นคําฟ้องเป็นฉบับเดียวกัน หากเป็นกรณีที่อาจแบ่งแยกได้ว่าทุนทรัพย์ของผู้ฟ้องคดีแต่ละคนเป็นจํานวนเท่าใด ให้ผู้ฟ้องคดีแต่ละคนชําระค่าธรรมเนียมศาลตามส่วนของตน
ในการคํานวณทุนทรัพย์ ถ้าทุนทรัพย์ไม่ถึงหนึ่งร้อยบาทให้นับเป็นหนึ่งร้อยบาท เศษของหนึ่งร้อยบาท ถ้าถึงห้าสิบบาทให้นับเป็นหนึ่งร้อยบาท ถ้าต่ํากว่าห้าสิบบาท ให้ปัดทิ้ง
เมื่อได้ชําระค่าธรรมเนียมศาลแล้ว ถ้าทุนทรัพย์แห่งคําฟ้องเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะโดยการยื่นคําฟ้องเพิ่มเติมหรือโดยประการอื่น ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชําระค่าธรรมเนียมศาลเพิ่มภายในระยะเวลาที่กําหนด ถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ดําเนินการตามคําสั่งศาลภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้ศาลมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา
ข้อ ๓๕ คําฟ้องที่ยื่นต่อศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลลงทะเบียนคดีในสารบบความและออกใบรับให้ผู้ฟ้องคดี แล้วตรวจคําฟ้องในเบื้องต้น ถ้าเห็นว่าเป็นคําฟ้องที่สมบูรณ์ครบถ้วนให้เสนอคําฟ้องดังกล่าวต่ออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อดําเนินการต่อไป ถ้าเห็นว่าคําฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ หรือผู้ฟ้องคดีชําระค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบถ้วน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลแนะนําให้ผู้ฟ้องคดีแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนดถ้าเห็นว่าข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หรือเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครอง หรือผู้ฟ้องคดีไม่แก้ไขคําฟ้องหรือไม่ชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้บันทึกไว้แล้วเสนอคําฟ้องดังกล่าวต่ออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อดําเนินการต่อไป
ข้อ ๓๖ นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคําฟ้องต่อศาลแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และผลแห่งการนี้
(๑) ห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดียื่นคําฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นอีก และ
(๒) ถ้ามีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพฤติการณ์อันเกี่ยวด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอํานาจศาลเหนือคดีนั้น เช่น การเปลี่ยนแปลงเขตอํานาจศาลหรือการเปลี่ยนแปลงภูมิลําเนาของผู้ฟ้องคดีการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้นหาตัดอํานาจศาลที่รับคําฟ้องไว้ในอันที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นไม่
ข้อ ๓๗ เมื่อได้รับคําฟ้องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นจ่ายสํานวนคดีให้แก่องค์คณะพิจารณาพิพากษาโดยเร็ว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๖
ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งตั้งตุลาการในองค์คณะคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสํานวน แล้วให้ตุลาการเจ้าของสํานวนตรวจคําฟ้อง ถ้าเห็นว่าเป็นคําฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนซึ่งผู้ฟ้องคดีอาจแก้ไขได้หรือผู้ฟ้องคดีชําระค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบถ้วน ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนมีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หรือเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครอง ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนเสนอองค์คณะสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาและสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ข้อ ๓๘ ในกรณีที่ศาลสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ให้ศาลมีอํานาจสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ข้อ ๓๙ ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นอยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด ให้เสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อพิจารณาสั่งให้ส่งคําฟ้องนั้นไปยังประธานศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาดําเนินการ
ถ้าประธานศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นด้วยกับคําสั่งของอธิบดีศาลปกครองชั้นต้น ให้ส่งคําฟ้องนั้นคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้น และให้ศาลปกครองชั้นต้นนั้นพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป
ถ้าประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นด้วยกับคําสั่งดังกล่าวและศาลปกครองสูงสุดได้รับคําฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้ถือว่ามีการฟ้องคดีนั้นต่อศาลปกครองสูงสุดตั้งแต่วันที่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น
ข้อ ๔๐ ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่น ให้เสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อมีคําสั่งให้ส่งคําฟ้องนั้นไปยังศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มีเขตอํานาจเพื่อพิจารณาดําเนินการ และเมื่อศาลปกครองชั้นต้นอื่นได้รับคําฟ้องนั้นไว้พิจารณาแล้ว ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นที่ส่งคําฟ้องไปสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้ถือว่ามีการฟ้องคดีนั้นต่อศาลปกครองชั้นต้นอื่นตั้งแต่วันที่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นแห่งแรก
ในกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งได้รับคําฟ้องที่ส่งมาเห็นว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นที่ส่งคําฟ้องมาหรือศาลปกครองชั้นต้นอื่น ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นนั้นเสนอความเห็นต่อประธานศาลปกครองสูงสุดเพื่อมีคําสั่งในเรื่องเขตอํานาจศาล
ในกรณีที่ประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นแห่งแรก ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นนั้นสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ และให้ศาลปกครองชั้นต้นที่ประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอํานาจดําเนินการลงทะเบียนคดีในสารบบความ และให้ถือว่ามีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้นนั้นตั้งแต่วันที่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นแห่งแรก
ข้อ ๔๑ ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหนึ่งข้อหาใดเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นนั้น ไม่ว่าจะโดยเหตุที่ข้อหาดังกล่าวอยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่น ศาลปกครองสูงสุด หรือศาลอื่นซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ให้สั่งไม่รับข้อหาที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาที่อยู่ในอํานาจและเขตอํานาจต่อไป แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าข้อหาที่สั่งไม่รับไว้พิจารณาจะมีผลต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองชั้นต้นนั้น องค์คณะอาจมีคําสั่งให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้จนกว่าข้อหาที่สั่งไม่รับไว้พิจารณาจะได้มีการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีโดยศาลที่มีอํานาจหรือเขตอํานาจ และคดีถึงที่สุดแล้ว
ในกรณีที่คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นข้อหาใดมีหลายประเด็นเกี่ยวพันกัน และปรากฏว่ามีประเด็นที่จําเป็นต้องวินิจฉัยก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่นหรือศาลอื่นซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งรับคดีไว้ มีอํานาจวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันกันที่ต้องวินิจฉัยก่อนนั้นเพื่อให้ศาลสามารถวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้
ในกรณีที่คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นข้อหาใดมีหลายประเด็นเกี่ยวพันกัน และปรากฏว่ามีประเด็นที่จําเป็นต้องวินิจฉัยก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุดและประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนนั้นเป็นประเด็นที่ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่ากฎหรือคําสั่งทางปกครองใดน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ศาลปกครองชั้นต้นสั่งไม่รับประเด็นนั้นไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของประเด็นที่อยู่ในอํานาจต่อไป แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าประเด็นที่สั่งไม่รับไว้พิจารณาจะมีผลต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองชั้นต้น องค์คณะอาจมีคําสั่งให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้จนกว่าประเด็นที่สั่งไม่รับไว้พิจารณาจะได้มีการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีโดยศาลปกครองสูงสุดแล้ว
หมวด หมวด ๑/๑
การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ข้อ ๔๑/๑ คู่กรณีซึ่งไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะ ของคู่กรณีนั้น ถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร อาจยื่นคําขอต่อศาล ขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องคดีหรือการอุทธรณ์ได้
ข้อ ๔๑/๒ คู่กรณีใดมีความจํานงจะดําเนินคดีโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ให้ยื่นคําขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลปกครองชั้นต้นพร้อมกับคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ในการนี้ ให้คู่กรณีผู้ยื่นคําขอเสนอพยานหลักฐานเท่าที่จะทําได้ไปพร้อมคําขอว่าไม่มีทรัพย์สิน เพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะของตนถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับ
ความเดือดร้อนเกินสมควร
ถ้าคู่กรณีมิได้ยื่นคําขอพร้อมคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง คู่กรณีอาจยื่นคําขอให้ยกเว้น ค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลปกครองชั้นต้นในภายหลังได้
ข้อ ๔๑/๓ ให้ศาลปกครองชั้นต้นแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนหรือโดยวิธีอื่น ถ้าคําฟ้อง หรือคําอุทธรณ์ของคู่กรณีที่ยื่นคําขอมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณี และเห็นว่าคู่กรณีนั้นไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ก็ให้ศาลปกครองชั้นต้นอนุญาตให้คู่กรณีที่ยื่นคําขอดําเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือเฉพาะบางส่วน หากเห็นว่าไม่มีเหตุตามคําขอจริง ให้ศาลมีคําสั่งยกคําขอนั้นเสีย คําสั่งให้ยกเว้น ค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้เป็นที่สุด
ข้อ ๔๑/๔ ถ้าศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะบางส่วนหรือมีคําสั่งให้ยกคําขอ ผู้ยื่นคําขอมีสิทธิดําเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่ง
(๑) ยื่นคําร้องขอให้พิจารณาคําขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้นําพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอ ถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ทั้งนี้ เฉพาะคดีที่ศาลเห็นว่ามีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณี
โดยยื่นคําร้องขอต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น เมื่อศาลมีคําสั่งเป็นประการใดแล้วให้เป็นที่สุด หรือ
(๒) อุทธรณ์คําสั่งนั้นต่อศาลปกครองสูงสุด โดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น
ในกรณีที่คู่กรณีใช้สิทธิตาม (๑) หรือ (๒) อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะใช้สิทธิอีกประการหนึ่งมิได้
ข้อ ๔๑/๕ เมื่อคู่กรณีใดได้รับอนุญาตให้ดําเนินคดีในศาลปกครองชั้นต้นโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้ว หากต่อมายื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ ให้ถือว่าคู่กรณีนั้นยังเป็นผู้ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรอยู่ เว้นแต่จะปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่น
ข้อ ๔๑/๖ เมื่อศาลอนุญาตให้คู่กรณีใดฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลคู่กรณีนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลที่ได้รับยกเว้นในการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น
ถ้าปรากฏต่อศาลว่าคู่กรณีที่ฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลมีทรัพย์สินเพียงพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้โดยมีอยู่แล้วในเวลาที่ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของคู่กรณีในขณะยื่นคําขอ แม้ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน และมีคําสั่งให้คู่กรณีนั้นนําค่าธรรมเนียมศาลมาชําระภายในเวลาที่ศาลกําหนด หากไม่ชําระภายในเวลาดังกล่าว ให้ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
หมวด หมวด ๒
การแสวงหาข้อเท็จจริง
ส่วน ส่วนที่ ๑
การแสวงหาข้อเท็จจริงจากคําฟ้อง คําให้การ คําคัดค้านคําให้การ และคําให้การเพิ่มเติม
ข้อ ๔๒ เมื่อตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคําฟ้องใดเป็นคําฟ้องที่สมบูรณ์ครบถ้วน ให้มีคําสั่งรับคําฟ้องและมีคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทําคําให้การ โดยส่งสําเนาคําฟ้องและสําเนาพยานหลักฐานไปด้วยในกรณีที่เห็นสมควร จะกําหนดประเด็นที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องให้การ หรือให้จัดส่งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องหรือที่จะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลด้วยก็ได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่กําหนดไว้ในข้อ ๖๑
ในกรณีที่พยานหลักฐานประกอบคําฟ้องมีปริมาณหรือสภาพที่ทําให้การส่งสําเนาให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นภาระแก่ศาลเป็นอย่างมาก ให้ส่งสําเนาคําฟ้องไปพร้อมกับรายการพยานหลักฐานที่ผู้ถูกฟ้องคดีอาจขอดูหรือขอรับได้ที่ศาล
ข้อ ๔๓ ให้ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคําให้การโดยชัดแจ้งแสดงการปฏิเสธหรือยอมรับข้อหาที่ปรากฏในคําฟ้องและคําขอท้ายฟ้อง และเหตุแห่งการนั้น พร้อมส่งพยานหลักฐานตามที่ตุลาการเจ้าของสํานวนกําหนดโดยจัดทําสําเนาคําให้การและสําเนาพยานหลักฐานดังกล่าวที่รับรองถูกต้องหนึ่งชุดหรือตามจํานวนที่ตุลาการเจ้าของสํานวนกําหนดยื่นมาพร้อมกับคําให้การด้วย ทั้งนี้ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับ
สําเนาคําฟ้อง หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ข้อ ๔๔ ผู้ถูกฟ้องคดีจะฟ้องแย้งมาในคําให้การก็ได้ คําฟ้องแย้งนั้นให้ถือเสมือนเป็นคําฟ้องใหม่
ในกรณีที่คําฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคําฟ้องเดิม ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนสั่งไม่รับคําฟ้องแย้ง คําสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด
ข้อ ๔๕ ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคําให้การของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ครบถ้วน หรือชัดเจนเพียงพอ จะสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดําเนินการแก้ไขหรือจัดทําคําให้การส่งมาใหม่ก็ได้
ข้อ ๔๖ ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้จัดทําคําให้การพร้อมทั้งพยานหลักฐานยื่นต่อศาลภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดียอมรับข้อเท็จจริงตามข้อหาของผู้ฟ้องคดี และให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปตามที่เห็นเป็นการยุติธรรม
ข้อ ๔๗ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดียื่นคําให้การแล้ว ให้ศาลส่งสําเนาคําให้การพร้อมทั้งสําเนาพยานหลักฐานไปยังผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีคัดค้านหรือยอมรับคําให้การหรือพยานหลักฐานที่ผู้ถูกฟ้องคดียื่นต่อศาล ในการนี้ ตุลาการเจ้าของสํานวนจะกําหนดประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีต้องชี้แจง หรือให้จัดส่งพยานหลักฐานใด ๆ ก็ได้
ถ้าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะคัดค้านคําให้การ ให้ทําคําคัดค้านคําให้การยื่นต่อศาลพร้อมสําเนาหนึ่งชุดหรือตามจํานวนที่ศาลกําหนด ทั้งนี้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสําเนาคําให้การ หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ประสงค์จะทําคําคัดค้านคําให้การ แต่ประสงค์จะให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปให้ผู้ฟ้องคดีแจ้งเป็นหนังสือให้ศาลทราบภายในกําหนดระยะเวลาตามวรรคสอง
ถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ดําเนินการตามวรรคสองหรือวรรคสาม ศาลจะสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความก็ได้
ข้อ ๔๘ คําคัดค้านคําให้การของผู้ฟ้องคดีให้มีได้เฉพาะในประเด็นที่ได้ยกขึ้นกล่าวในคําฟ้องคําให้การ หรือที่ศาลกําหนด
ถ้าผู้ฟ้องคดีทําคําคัดค้านคําให้การโดยมีประเด็นหรือคําขอเพิ่มขึ้นใหม่ต่างจากคําฟ้อง คําให้การหรือที่ศาลกําหนด ให้ศาลสั่งไม่รับประเด็นหรือคําขอใหม่นั้นไว้พิจารณา
ข้อ ๔๙ ให้ศาลส่งสําเนาคําคัดค้านคําให้การของผู้ฟ้องคดีให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อยื่นคําให้การเพิ่มเติมต่อศาลพร้อมสําเนาหนึ่งชุดหรือตามจํานวนที่ศาลกําหนด ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสําเนาคําคัดค้านคําให้การ หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด เมื่อศาลได้รับคําให้การเพิ่มเติมจากผู้ถูกฟ้องคดีแล้ว ให้ส่งสําเนาคําให้การเพิ่มเติมนั้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี
เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อผู้ถูกฟ้องคดียื่นคําให้การเพิ่มเติมแล้ว หากตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีได้แล้วให้ตุลาการเจ้าของสํานวนมีอํานาจจัดทําบันทึกตามข้อ ๖๐ เสนอองค์คณะเพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป
ข้อ ๔๙/๑ คําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา คําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยไม่มีการวินิจฉัยชี้ขาดคดี คําสั่งลงโทษฐานละเมิดอํานาจศาลตามมาตรา ๖๔ หรือคําสั่งอื่นใดซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาตามข้อ ๑๐๐ วรรคสอง ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดภายในกําหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่ง
ของศาลปกครองชั้นต้นนั้น
คําร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นและเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้อง และมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น หรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นแล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล
ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นต่างไปจากคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ศาลปกครองชั้นต้นดําเนินการต่อไปตามขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบนี้กําหนดไว้
ข้อ ๔๙/๒ ภายใต้บังคับข้อ ๖๑ ในกรณีตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคําฟ้องใดเป็นคําฟ้อง ที่สมบูรณ์ครบถ้วน และเป็นเรื่องที่ศาลจําต้องพิจารณาพิพากษาโดยเร่งด่วน เพราะมีกฎหมายกําหนดเวลาในการพิจารณาพิพากษาไว้เป็นการเฉพาะหรือเพราะเหตุอื่นใด ซึ่งหากจะดําเนินกระบวนพิจารณาในชั้นการแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปสํานวน และการนั่งพิจารณาคดีและการพิพากษาคดีตามขั้นตอน
ปกติอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรืออาจเป็น อุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อตุลาการเจ้าของสํานวนรับคําฟ้องไว้พิจารณาตามข้อ ๔๒ แล้วให้เสนอองค์คณะโดยด่วนเพื่อหารืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณามีคําสั่งโดยไม่ชักช้าให้ดําเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน
ในกรณีที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งให้ดําเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนให้ตุลาการ เจ้าของสํานวนใช้อํานาจตามมาตรา ๖๑ หรือตามส่วนที่ ๑ หรือส่วนที่ ๒ ของหมวด ๒ โดยแจ้งให้คู่กรณีและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบ เพื่อทําการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนหรือโดยวิธีการอื่นใดให้เสร็จสิ้นในวันเดียวหรือต่อเนื่องกันไป ทั้งนี้ ให้แจ้งให้ตุลาการผู้แถลงคดีทราบเพื่อเข้าร่วมในการไต่สวน หรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใด และให้ถือว่าวันที่เสร็จสิ้นการแสวงหาข้อเท็จจริงตามวรรคนี้ เป็นวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงตามข้อ ๖๒ โดยไม่ต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบตามข้อ ๖๒ วรรคสอง อีก
คู่กรณีทุกฝ่ายซึ่งได้รับทราบหรือถือว่าได้รับทราบคําสั่งศาลตามวรรคสองให้มาศาลแล้วไม่มา ในวันไต่สวน ให้ถือว่ารับทราบกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดําเนินไปในครั้งนั้น และรับทราบกําหนด วันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกหรือกําหนดนัดอื่นที่ศาลแจ้งคู่กรณีที่มาศาลในขณะทําการไต่สวน
ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนจัดทําบันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนตามข้อ ๖๐ และเสนอ บันทึกดังกล่าวพร้อมสํานวนคดีให้องค์คณะเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า และให้ตุลาการผู้แถลงคดี จัดทําบันทึกคําแถลงการณ์ด้วยวาจาตามข้อ ๖๓ ให้เสร็จสิ้นก่อนวันนั่งพิจารณาครั้งแรก
ให้องค์คณะกําหนดวันใดวันหนึ่งเป็นวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ทั้งนี้ ต้องไม่เกินเจ็ดวัน หลังจากวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงตามวรรคสอง และให้แจ้งกําหนดวันนั่งพิจารณาครั้งแรก พร้อมสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวนให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าเป็นเวลาตามที่เห็นสมควร
ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงการณ์ด้วยวาจาของตุลาการผู้แถลงคดีแล้ว ให้ตุลาการหัวหน้าคณะนัดประชุมปรึกษาเพื่อพิพากษาหรือมีคําสั่งในวันเดียวกันนั้นหรือวันอื่นตามที่ เห็นสมควร
ส่วน ส่วนที่ ๒
การแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล
ข้อ ๕๐ ในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลมีอํานาจแสวงหาข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสมในการนี้ศาลอาจแสวงหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากพยานหลักฐานของคู่กรณีที่ปรากฏในคําฟ้อง คําให้การ
คําคัดค้าน คําให้การหรือคําให้การเพิ่มเติม ในการแสวงหาข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น ศาลอาจดําเนินการตามที่กําหนดในส่วนนี้หรือตามที่ศาลเห็นสมควร
ในการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล ถ้าต้องมีการให้ถ้อยคําของคู่กรณี พยาน หรือบุคคลใด ๆ ให้ศาลเป็นผู้ซักถาม
ข้อ ๕๑ ศาลมีอํานาจออกคําสั่งเรียกคู่กรณีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคําได้ตามที่เห็นสมควร
คําสั่งของศาลตามวรรคหนึ่งจะกําหนดประเด็นข้อเท็จจริงที่จะทําการไต่สวนไว้ด้วยก็ได้
ศาลต้องแจ้งกําหนดการไต่สวนให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าเพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีนั้นคัดค้านหรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้ แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่จะทําการไต่สวนเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีผลกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดี หรือคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงนั้นมาก่อนแล้ว ศาลจะไม่แจ้งกําหนดการไต่สวนให้คู่กรณีนั้นทราบก็ได้
พยานที่ศาลมีคําสั่งเรียกมาให้ถ้อยคําอาจเสนอพยานหลักฐานใด ๆ เพื่อประกอบการให้ถ้อยคําของตนได้ ถ้าพยานหลักฐานนั้นอยู่ในประเด็นที่ศาลมีคําสั่งให้มีการไต่สวน
ข้อ ๕๒ ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคําของบุคคลใดและเป็นกรณีที่ต้องใช้ล่ามให้ศาลจัดหาล่ามโดยให้ล่ามได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับการมาให้ถ้อยคําของพยานผู้เชี่ยวชาญ
ข้อ ๕๓ ก่อนให้ถ้อยคําต่อศาล คู่กรณีหรือพยานต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้ถ้อยคําตามสัตย์จริง
ให้คู่กรณีหรือพยานแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ อายุ และอาชีพ และในกรณีที่พยานมีความเกี่ยวพันกับคู่กรณีคนหนึ่งคนใดให้แจ้งด้วยว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร
ในขณะที่พยานคนหนึ่งกําลังให้ถ้อยคําต่อศาล คู่กรณีจะอยู่ด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่ห้ามมิให้พยานคนอื่นอยู่ในสถานที่นั้น เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น หรือเป็นกรณีที่กําหนดไว้ในวรรคสี่
พยานที่ให้ถ้อยคําแล้วอาจถูกเรียกมาให้ถ้อยคําอีกในวันเดียวกันหรือวันอื่น และอาจถูกเรียกมาให้ถ้อยคําพร้อมพยานคนอื่นในเรื่องเดียวกันได้
เมื่อคู่กรณีหรือพยานให้ถ้อยคําเสร็จแล้ว ให้ศาลอ่านบันทึกการให้ถ้อยคําดังกล่าวให้คู่กรณีหรือพยานฟังและให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่คู่กรณีหรือพยานลงลายมือชื่อไม่ได้หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้ศาลจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อเช่นว่านั้นไว้
ข้อ ๕๔ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีมีคําขอ ศาลมีอํานาจออกคําสั่งเรียกให้คู่กรณีหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องส่งเอกสารหรือพยานหลักฐานใด ๆ ให้แก่ศาล
ข้อ ๕๕ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีมีคําขอ ศาลอาจมีคําสั่งตั้งพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อศึกษา ตรวจสอบ หรือวิเคราะห์ในเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับคดี อันมิใช่เป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมาย แล้วให้ทํารายงานหรือให้ถ้อยคําต่อศาลได้
รายงานหรือบันทึกการให้ถ้อยคําของพยานผู้เชี่ยวชาญ ให้ส่งสําเนาให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องเพื่อทําข้อสังเกตเสนอต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ศาลอาจมีคําสั่งให้พยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ถ้อยคําต่อศาลประกอบรายงานของตนได้
ศาลต้องแจ้งกําหนดการให้ถ้อยคําของพยานผู้เชี่ยวชาญให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าเพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีคัดค้านหรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้
ข้อ ๕๖ ศาลหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากศาลมีอํานาจไปตรวจสอบสถานที่ บุคคล หรือสิ่งอื่นใดเพื่อประกอบการพิจารณาได้
ให้ศาลแจ้งวัน เวลา และสถานที่ที่จะไปตรวจสอบให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าเพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีคัดค้านหรือชี้แจงข้อเท็จจริงได้ โดยคู่กรณีจะไปร่วมในการตรวจสอบดังกล่าวหรือไม่ก็ได้
ศาลหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากศาลต้องบันทึกการตรวจสอบและการให้ถ้อยคําของบุคคลหรือพยานในการตรวจสอบรวมไว้ในสํานวนคดีด้วย
ข้อ ๕๗ ถ้าบุคคลใดเกรงว่าพยานหลักฐานซึ่งตนอาจต้องอ้างอิงในภายหน้าจะสูญหายหรือยากแก่การนํามา หรือถ้าคู่กรณีฝ่ายใดในคดีเกรงว่าพยานหลักฐานซึ่งตนจะอ้างอิงอาจสูญหายเสียก่อนที่จะมีการไต่สวน หรือเป็นการยากที่จะนํามาไต่สวนในภายหลัง บุคคลนั้นหรือคู่กรณีฝ่ายนั้นอาจยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งให้ไต่สวนพยานหลักฐานนั้นไว้ทันที
เมื่อศาลได้รับคําขอแล้ว ให้ศาลมีคําสั่งเรียกผู้ขอและคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมายังศาล และเมื่อได้ฟังบุคคลเหล่านั้นแล้ว ให้ศาลสั่งคําขอตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลสั่งอนุญาตให้ไต่สวนพยานไปตามระเบียบนี้ ส่วนรายงานและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนั้นให้ศาลเก็บรักษาไว้
ในกรณีที่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องไม่มีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักรและยังมิได้เข้ามาในคดีนั้น เมื่อศาลได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลสั่งคําขอตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลสั่งอนุญาต ให้ไต่สวนพยานไปฝ่ายเดียว
ข้อ ๕๘ เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดี ศาลอาจแต่งตั้งให้ศาลปกครองชั้นต้นอื่นช่วยแสวงหาข้อเท็จจริงในประเด็นใดก็ได้ แล้วให้ศาลปกครองที่ได้รับแต่งตั้งส่งรายงานผลการแสวงหาข้อเท็จจริง บันทึกการให้ถ้อยคําของพยาน และเอกสารหรือพยานหลักฐานไปยังศาลที่แต่งตั้ง
ข้อ ๕๙ ในการแสวงหาข้อเท็จจริงตามส่วนนี้ ศาลจะออกคําสั่งให้มีการบันทึกเสียง ภาพหรือเสียงและภาพ ตลอดเวลาหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของการดําเนินการนั้นเพื่อเป็นหลักฐานประกอบสํานวนคดีก็ได้
หมวด หมวด ๓
การสรุปสํานวน
ข้อ ๖๐ เมื่อตุลาการเจ้าของสํานวนได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคําฟ้อง คําชี้แจงของคู่กรณี รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่นที่ศาลได้มาตามหมวด ๒ แล้ว เห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีได้แล้ว ให้จัดทําบันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนและเสนอบันทึกดังกล่าวพร้อมสํานวนคดีให้องค์คณะเพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป
บันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนประกอบด้วย
(๑) สรุปข้อเท็จจริงที่ได้จากคําฟ้องและเอกสารอื่น ๆ ของคู่กรณี รวมทั้งพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ปรากฏในสํานวนคดี และสรุปคําขอของผู้ฟ้องคดี
(๒) ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ซึ่งประกอบด้วยประเด็นเกี่ยวกับอํานาจศาล ประเด็นเกี่ยวกับเงื่อนไขในการฟ้องคดีปกครอง และประเด็นที่เป็นเนื้อหาของคดี ตามลําดับ
(๓) ความเห็นของตุลาการเจ้าของสํานวนเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยและคําขอของผู้ฟ้องคดี
สรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวนตาม (๑) ให้ส่งให้แก่คู่กรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๙ วรรคสอง
ข้อ ๖๑ เมื่อศาลมีคําสั่งรับคําฟ้องตามข้อ ๔๒ แล้ว หากตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าสามารถจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีดังกล่าวได้จากข้อเท็จจริงในคําฟ้องนั้น โดยไม่ต้องดําเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงอีก หรือเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้จากคําชี้แจงของคู่กรณีและหรือจากการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลในภายหลังไม่ว่าในขณะใดเพียงพอที่จะพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีนั้นได้โดยไม่ต้องดําเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงจนครบทุกขั้นตอนตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๔๗ ถึงข้อ ๔๙ ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนมีอํานาจจัดทําบันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนเสนอองค์คณะเพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป
ข้อ ๖๒ เมื่อองค์คณะได้รับสํานวนคดีจากตุลาการเจ้าของสํานวนแล้ว หากเห็นว่าไม่มีกรณีที่จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ให้ตุลาการหัวหน้าคณะมีคําสั่งกําหนดวันหนึ่งวันใดเป็นวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนั้น
ให้ศาลแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน
บรรดาคําฟ้องเพิ่มเติม คําให้การ คําคัดค้านคําให้การ คําให้การเพิ่มเติม รวมทั้งพยานหลักฐานอื่น ๆที่ยื่นต่อศาลหลังวันสิ้นสุด
การแสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ให้ศาลรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของสํานวนคดี และไม่ต้องส่งสําเนาให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๖๓ เมื่อกําหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ให้ตุลาการหัวหน้าคณะส่งสํานวนคดีให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณา หากอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นมิได้สั่งการเป็นอย่างอื่น ให้ส่งสํานวนคดีนั้นให้ตุลาการผู้แถลงคดีเพื่อจัดทําคําแถลงการณ์โดยเร็ว
คําแถลงการณ์ให้จัดทําเป็นหนังสือ เว้นแต่คดีใดเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ยุ่งยาก หรือเป็นคําแถลงการณ์ในคําขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามข้อ ๗๒ หรือข้อ ๗๖ ตุลาการผู้แถลงคดีจะเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาแทนคําแถลงการณ์เป็นหนังสือหลังจากที่ได้หารือกับอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นและตุลาการหัวหน้าคณะแล้วก็ได้ ในการแถลงการณ์ด้วยวาจาตุลาการผู้แถลงคดีต้องจัดทําบันทึกคําแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นหนังสือกล่าวถึงข้อสาระสําคัญในคําแถลงการณ์ติดไว้ในสํานวนคดีด้วย โดยจะจัดทําก่อนหรือหลังการเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้
เมื่อตุลาการผู้แถลงคดีได้จัดทําคําแถลงการณ์เป็นหนังสือหรือสามารถเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาได้แล้ว ให้องค์คณะกําหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกหลังจากที่ได้หารือกับอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแล้ว
หมวด หมวด ๔
การรับฟังพยานหลักฐาน
ข้อ ๖๔ คู่กรณีฝ่ายที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนมีหน้าที่เสนอพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวในเบื้องต้น เว้นแต่ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปหรือซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือซึ่งศาลเห็นว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว หรือพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความครอบครองของหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลอื่น
ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายใด คู่กรณีฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว
ข้อ ๖๕ ศาลมีดุลพินิจที่จะรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาตามกระบวนพิจารณาโดยไม่จํากัดเฉพาะที่เสนอโดยคู่กรณี แต่พยานหลักฐานนั้นจะต้องเป็นพยานหลักฐานที่คู่กรณีผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสขอตรวจดู ทราบ และแสดงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักล้าง
ข้อ ๖๖ ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นที่อ้างเป็นพยานได้ ถ้าหาต้นฉบับไม่ได้ สําเนาที่รับรองว่าถูกต้องหรือพยานบุคคลที่รู้ข้อความก็อ้างเป็นพยานได้
การอ้างหนังสือราชการเป็นพยาน แม้ต้นฉบับยังมีอยู่ จะส่งสําเนาที่เจ้าหน้าที่รับรองว่าถูกต้องก็ได้เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ข้อ ๖๗ ศาลอาจรับฟังข้อมูลที่บันทึกสําหรับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ แต่การบันทึกและการประมวลผลนั้นต้องเป็นไปโดยถูกต้องและต้องมีคํารับรองของบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือดําเนินการนั้น
ให้นําความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่การรับฟังข้อมูลที่บันทึกไว้ในหรือได้มาจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นโดยอนุโลม
ข้อ ๖๘ ศาลอาจรับฟังพยานบอกเล่าเป็นพยานหลักฐานประกอบพยานหลักฐานอื่นได้เมื่อศาลเห็นว่า
(๑) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมการบอกเล่า พยานบอกเล่านั้นมีความน่าเชื่อถือ หรือ
(๒) มีเหตุจําเป็นเนื่องจากไม่สามารถนําบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาให้ถ้อยคําเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
หมวด หมวด ๕
วิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา
ส่วน ส่วนที่ ๑
การทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง
ข้อ ๖๙ การฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้น เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ฟ้องคดีอาจขอมาในคําฟ้องหรือยื่นคําขอในเวลาใด ๆ ก่อนศาลจะพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดี เพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง อันจะมีผลเป็นการชะลอหรือระงับการบังคับตามผลของกฎหรือคําสั่งทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราว
คําขอของผู้ฟ้องคดีตามวรรคสอง ต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าประสงค์จะขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองใด และการให้กฎหรือคําสั่งดังกล่าวมีผลบังคับต่อไป จะทําให้เกิดความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังอย่างไร
ข้อ ๗๐ ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองใดยื่นโดยไม่มีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอ หรือไม่มีเหตุผลหรือสาระอันควรได้รับการพิจารณา หรือเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าไม่สมควรมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง หรือเป็นกรณีที่ศาลจะสั่งไม่รับคําฟ้องคดีนั้นไว้พิจารณาและจะสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว ให้มีอํานาจสั่งไม่รับคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้น คําสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด
ข้อ ๗๑ เมื่อได้รับคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสอง และเป็นกรณีที่ศาลมิได้มีคําสั่งตามข้อ ๗๐ ให้ศาลส่งสําเนาคําขอให้คู่กรณีทําคําชี้แจงคัดค้านคําขอและแสดงพยานหลักฐานโดยเร็ว และหากเห็นสมควรศาลจะนัดไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ให้ศาลมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่ไม่มีคําขอตามข้อ ๖๙ แต่ศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะทุเลาการบังคับตามกฎ หรือคําสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี ให้ศาลมีอํานาจสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้น โดยจะไต่สวนก่อนหรือไม่ก็ได้
ข้อ ๗๒ การมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้กระทําโดยองค์คณะหลังจากตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอคําแถลงการณ์แล้ว แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่ามีเหตุจําเป็นที่จะต้องมีคําสั่งเกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นเป็นการด่วนองค์คณะจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอ โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้องค์คณะบันทึกเหตุจําเป็นดังกล่าวไว้ด้วย
คําแถลงการณ์ตามข้อนี้จะกระทําด้วยวาจาก็ได้
ในกรณีที่ศาลเห็นว่ากฎหรือคําสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนั้นน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้กฎหรือคําสั่งทางปกครองดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจะทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ทั้งการทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ศาลมีอํานาจสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองได้ตามที่เห็นสมควร
ให้ศาลแจ้งคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองให้คู่กรณีและผู้ออกกฎ หรือคําสั่งดังกล่าวทราบโดยพลัน และให้คําสั่งศาลมีผลเมื่อผู้ออกกฎหรือคําสั่งได้รับแจ้งคําสั่งนั้นแล้ว
ข้อ ๗๒/๑ ในกรณีที่คําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสอง โดยผู้ขอได้ยื่นคําร้องรวมมาด้วยเพื่อให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน และศาลมิได้มีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคําขอและพยานหลักฐานประกอบคําขอ หรือจากคําแถลงของผู้ขอหรือจากพยานหลักฐานที่ผู้ขอนํามาสืบหรือที่ศาลแสวงหามาเอง ว่าคําขอนั้นเป็นคําขอที่ต้องมีคําสั่งโดยเร่งด่วน และมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอได้แล้ว ให้ศาลมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองหรือยกคําขอ ตามแต่จะเห็นสมควร โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ คําสั่งศาลที่ยกคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสองให้เป็นที่สุด
ผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคําร้องโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นเสีย และให้นําบทบัญญัติ
ในวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าศาลมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง คําสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ โดยให้นําความในข้อ ๗๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียได้ใช้สิทธิดําเนินการตามวรรคนี้แล้ว จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามข้อ ๗๓ อีกไม่ได้
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสองโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวต่อไป
ข้อ ๗๓ คําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รับแจ้งหรือทราบคําสั่งศาล โดยผู้อุทธรณ์อาจมีคําขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งระงับคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่สั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยอุทธรณ์ก็ได้
คําสั่งยกคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองให้เป็นที่สุด
การอุทธรณ์คําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําโดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง สํานวนการไต่สวนคําขอ คําแถลงการณ์หรือบันทึกคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี และเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้อง โดยให้นําความในข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง และข้อ ๗๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่องค์คณะจะไม่นัดไต่สวนก็ได้แล้วมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นหรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น และส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล
ข้อ ๗๔ ในกรณีที่คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีของศาลมิได้กล่าวถึงคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองที่ศาลได้สั่งไว้ระหว่างการพิจารณา ให้คําสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ในกรณีที่ไม่มีการอุทธรณ์ หรือจนกว่าศาลมีคําสั่งถึงที่สุดไม่รับอุทธรณ์ในกรณีที่มีการอุทธรณ์ หากศาลมีคําสั่งรับอุทธรณ์ ให้คําสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ส่วน ส่วนที่ ๒
การบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
ข้อ ๗๕ นอกจากกรณีที่กล่าวในข้อ ๖๙ ในเวลาใด ๆ ก่อนศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีผู้ฟ้องคดีอาจยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือคู่กรณีอาจยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งกําหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษาได้
ข้อ ๗๖ คําสั่งของศาลในการกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา ให้กระทําโดยองค์คณะ โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการ ผู้แถลงคดี เว้นแต่ องค์คณะจะเห็นสมควรให้มีคําแถลงการณ์ ในกรณีดังกล่าวคําแถลงการณ์นั้นจะกระทําด้วยวาจาก็ได้
คําสั่งไม่รับหรือยกคําขอของผู้ฟ้องคดีหรือคู่กรณีให้เป็นที่สุด
ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์คําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา ต่อศาลปกครองสูงสุดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นได้รับแจ้งหรือทราบคําสั่งศาล
การอุทธรณ์คําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําโดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น คําขอกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาหรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา สํานวนการไต่สวนคําขอ บันทึกคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี และเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้องโดยให้นําความในข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง และวรรคหนึ่งของข้อนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่องค์คณะจะไม่นัดไต่สวนก็ได้ แล้วมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นหรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น แล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล
ข้อ ๗๖/๑ ในกรณีที่คําขอตามข้อ ๗๕ โดยผู้ยื่นคําขอได้ยื่นคําร้องรวมมาด้วยเพื่อให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน และศาลมิได้มีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคําขอและพยานหลักฐานประกอบคําขอ หรือจากคําแถลงของผู้ขอหรือจากพยานหลักฐานที่ผู้ขอนํามาสืบหรือที่ศาลแสวงหามาเอง ว่าคําขอนั้นเป็นคําขอที่ต้องมีคําสั่งโดยเร่งด่วน และมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอได้แล้ว ให้ศาลมีคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา หรือยกคําขอ ตามแต่จะเห็นสมควร โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ คําสั่งศาลที่ยกคําขอตามข้อ ๗๕ ให้เป็นที่สุด
ผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคําร้องโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษานั้นเสีย และให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าศาลมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษาคําสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้อง ให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้โดยให้นําความในข้อ ๗๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียได้ใช้สิทธิดําเนินการตามวรรคนี้แล้ว จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามข้อ ๗๖ อีกไม่ได้
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอตามข้อ ๗๕ โดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวต่อไป
ข้อ ๗๗ ให้นําความในลักษณะ ๑ ของภาค ๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคําขอเงื่อนไขในการออกคําสั่งของศาลและผลของคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษาโดยอนุโลม เท่าที่สภาพของเรื่องจะเปิดช่องให้กระทําได้ และโดยไม่ขัดต่อระเบียบนี้และหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
หมวด หมวด ๖
การร้องสอด การรวมคดี การแยกคดี การโอนคดี และการถอนคําฟ้อง
ข้อ ๗๘ บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่กรณีอาจเข้ามาเป็นคู่กรณีได้ด้วยการร้องสอด ทั้งนี้ ให้นําความในมาตรา ๕๗ และมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๗๙ ถ้าคดีสองเรื่องหรือกว่านั้นขึ้นไปมีข้อหาอย่างเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกันหรือมีคู่กรณีเดียวกันหรือร่วมกัน ถ้าตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จะเสนอความเห็นต่อองค์คณะเพื่อเสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาสั่งรวมคดีเข้าด้วยกัน แล้วพิจารณาพิพากษารวมกันไปก็ได้
ในกรณีที่คดีดังกล่าวอยู่ในศาลปกครองชั้นต้นต่างศาลกัน ให้โอนคดีไปยังศาลที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเห็นชอบร่วมกัน หากตกลงกันไม่ได้ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด และเมื่อมีการโอนคดีแล้วให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นของศาลที่โอนคดีสั่งจําหน่ายคดีนั้นออกจากสารบบความ
ข้อ ๘๐ ในคดีที่มีหลายข้อหาและข้อหาหนึ่งข้อหาใดไม่เกี่ยวข้องกับข้อหาอื่น ๆ ถ้าตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จะเสนอความเห็นต่อองค์คณะ เพื่อเสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาสั่งให้แยกคดีดังกล่าวออกเป็นหลายคดี แล้วพิจารณาพิพากษาแต่ละคดีแยกกันไปก็ได้
ในคดีที่มีผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีหลายคน ถ้าตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จะเสนอความเห็นต่อองค์คณะเพื่อเสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาสั่งให้แยกคดีดังกล่าวออกเป็นหลายคดี แล้วพิจารณาพิพากษาแต่ละคดีแยกกันไปก็ได้
ข้อ ๘๑ ก่อนศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี หากผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่าการพิจารณาคดีต่อไปในศาลนั้นจะไม่สะดวกหรือผู้ถูกฟ้องคดีอาจไม่ได้รับความยุติธรรม ผู้ถูกฟ้องคดีอาจยื่นคําขอพร้อมแสดงเหตุผลต่อศาลที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคําฟ้องไว้ ขอให้โอนคดีไปยังศาลปกครองอื่นที่มีเขตอํานาจได้เมื่ออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเห็นสมควร จะมีคําสั่งอนุญาตตามคําขอนั้นก็ได้
ห้ามมิให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นออกคําสั่งอนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นที่จะรับโอนคดีนั้นยินยอมแล้ว ถ้าอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นที่จะรับโอนคดีไม่ยินยอม ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นที่จะโอนคดีเสนอเรื่องให้ประธานศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด
เมื่อมีการโอนคดีตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้ว ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นของศาลที่โอนคดีสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ข้อ ๘๒ ผู้ฟ้องคดีอาจถอนคําฟ้องในเวลาใด ๆ ก่อนศาลพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีได้การถอนคําฟ้องจะถอนเฉพาะบางข้อหาหรือบางส่วนของข้อหาก็ได้
การถอนคําฟ้องต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้ฟ้องคดี แต่ถ้าผู้ฟ้องคดีถอนคําฟ้องด้วยวาจาต่อหน้าศาลในระหว่างการไต่สวนหรือการนั่งพิจารณาคดี ให้ศาลบันทึกไว้และให้ผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ในกรณีที่มีผู้ฟ้องคดีหลายคน ผู้ฟ้องคดีแต่ละคนอาจถอนคําฟ้องของตนได้ การถอนคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวให้มีผลเฉพาะผู้ฟ้องคดีที่ถอนคําฟ้องนั้น เว้นแต่กรณีที่ผู้ถอนคําฟ้องเป็นผู้แทนของผู้ฟ้องคดีทุกคน การถอนคําฟ้องให้มีผลเป็นการถอนคําฟ้องทั้งคดี ในการนี้ ศาลจะไต่สวนเพื่อให้ได้ความเป็นที่ยุติว่าการถอนคําฟ้องของผู้แทนดังกล่าวเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีทุกคนก่อนมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนคําฟ้องก็ได้
เมื่อมีการถอนคําฟ้อง ให้ศาลอนุญาตและสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ กับคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่ผู้ฟ้องคดี แต่ในคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือคดีที่การพิจารณาต่อไปจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม หรือการถอนคําฟ้องเกิดจากการสมยอมกันโดยไม่เหมาะสมศาลจะมีคําสั่งไม่อนุญาตให้ถอนคําฟ้องก็ได้ คําสั่งไม่อนุญาตให้ถอนคําฟ้องให้เป็นที่สุด
หมวด หมวด ๗
การนั่งพิจารณาคดีและการพิพากษาคดี
ส่วน ส่วนที่ ๑
การนั่งพิจารณาคดี
ข้อ ๘๓ ในการพิจารณาคดี ให้ศาลจัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสมาแถลงด้วยวาจาต่อหน้าศาล เว้นแต่คดีที่ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ศาลต้องแจ้งกําหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
ข้อ ๘๔ ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก หากคู่กรณีประสงค์จะยื่นคําแถลงเป็นหนังสือ ตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง ให้ยื่นต่อศาลก่อนวันนั่งพิจารณาคดีหรืออย่างช้าที่สุดในระหว่างการนั่งพิจารณาคดี
คําแถลงตามวรรคหนึ่งจะยกข้อเท็จจริงที่ไม่เคยยกขึ้นอ้างไว้แล้วไม่ได้ เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นสําคัญในคดีซึ่งคู่กรณีผู้ยื่นสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุจําเป็นหรือพฤติการณ์พิเศษที่ทําให้ไม่อาจเสนอต่อศาลได้ก่อนหน้านั้น แต่ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ต่อเมื่อได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งแสดงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักล้างแล้ว
คู่กรณีมีสิทธินําพยานหลักฐานมาสืบประกอบคําแถลงที่ยื่นตามวรรคหนึ่งได้ โดยให้ศาลพิจารณาสั่งอนุญาตเท่าที่เกี่ยวข้องกับคําแถลงและจําเป็นแก่คดีเท่านั้น คําสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด
ในวันนั่งพิจารณาคดี คู่กรณีจะไม่มาศาลก็ได้ แต่ความในข้อนี้ไม่ตัดอํานาจศาลที่จะออกคําสั่งเรียกให้คู่กรณี หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคํา ให้ความเห็นเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร หรือพยานหลักฐานใด ๆ ให้แก่ศาล
ข้อ ๘๕ เมื่อเริ่มการนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนเสนอสรุปข้อเท็จจริงและประเด็นของคดีนั้น แล้วให้คู่กรณีแถลงด้วยวาจาประกอบคําแถลงเป็นหนังสือที่ได้ยื่น ตามข้อ ๘๔ โดยให้ผู้ฟ้องคดีแถลงก่อน
คําแถลงด้วยวาจาของคู่กรณีต้องกระชับและอยู่ในประเด็น โดยไม่อาจยกข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายอื่นนอกจากที่ปรากฏในคําแถลงเป็นหนังสือ
ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายใดไม่ยื่นคําแถลงเป็นหนังสือ แต่มาอยู่ในศาลในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกคู่กรณีฝ่ายนั้นจะแถลงด้วยวาจาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาล หรือศาลสั่งให้แถลง
ข้อ ๘๖ ในการนั่งพิจารณาคดี ให้ศาลเป็นผู้ซักถามคู่กรณีและพยาน และให้นําความในข้อ ๕๒ข้อ ๕๓ และข้อ ๕๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๘๗ ในการนั่งพิจารณาคดี ถ้าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฝ่าฝืนข้อกําหนดของศาลที่กําหนดไว้เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และศาลได้มีคําสั่งให้คู่กรณีฝ่ายนั้นออกไปเสียจากบริเวณศาลศาลจะนั่งพิจารณาคดีต่อไปลับหลังคู่กรณีฝ่ายนั้นก็ได้
ส่วน ส่วนที่ ๒
การแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
ข้อ ๘๘ ในวันนั่งพิจารณาคดี เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงและการนําพยานหลักฐานมาสืบประกอบคําแถลงของคู่กรณีแล้ว ให้ตุลาการผู้แถลงคดีชี้แจงด้วยวาจาต่อองค์คณะเพื่อประกอบคําแถลงการณ์เป็นหนังสือที่ได้เสนอไว้แล้วหรือเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๖๓ วรรคสองโดยบุคคลซึ่งมิได้รับอนุญาตจากศาลจะอยู่ในห้องพิจารณาในขณะตุลาการผู้แถลงคดีชี้แจง หรือเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาไม่ได้
ในกรณีที่ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า จากคําแถลงและการนําพยานหลักฐานมาสืบประกอบคําแถลงของคู่กรณีทําให้ข้อเท็จจริงในการพิจารณาคดีเปลี่ยนแปลงไปและมีผลกระทบต่อคําแถลงการณ์เป็นหนังสือที่เสนอไว้แล้ว หรือต่อคําแถลงการณ์ด้วยวาจาที่จะเสนอ ตุลาการผู้แถลงคดีจะจัดทําคําแถลงการณ์เป็นหนังสือขึ้นใหม่หรือเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อองค์คณะเพื่อพิจารณาในวันอื่นก็ได้
ส่วน ส่วนที่ ๓
การทําคําพิพากษาและคําสั่ง
ข้อ ๘๙ เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีแล้ว ให้ตุลาการหัวหน้าคณะนัดประชุมปรึกษาเพื่อพิพากษาหรือมีคําสั่งในวันเดียวกันนั้นหรือวันอื่น
ข้อ ๙๐ คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี นอกจากจะต้องระบุรายการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง และจํานวนค่าธรรมเนียมศาลที่คู่กรณีจะได้รับคืนแล้ว ให้ระบุชื่อตุลาการเจ้าของสํานวนและตุลาการผู้แถลงคดีด้วย
ข้อ ๙๑ คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีของศาลในคดีที่ศาลได้มีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง หรือคําสั่งเกี่ยวกับการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ให้ศาลกําหนดด้วยว่าจะให้คําสั่งดังกล่าวมีผลต่อไปหรือไม่ เพียงใด
ข้อ ๙๒ ในการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดี ศาลจะยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัย แล้วพิพากษาหรือมีคําสั่งไปก็ได้
ข้อ ๙๓ เมื่อคดีสองเรื่องหรือกว่านั้นขึ้นไปได้พิจารณารวมกันเพื่อสะดวกแก่การพิจารณาศาลจะพิพากษาหรือมีคําสั่งคดีเหล่านั้นเรื่องใดซึ่งเสร็จการพิจารณาแล้วจึงพิพากษาหรือมีคําสั่งเรื่องอื่น ๆต่อไปภายหลังก็ได้
ข้อ ๙๔ ในคดีที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดดังต่อไปนี้ อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาหรือคดีใดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นนั้นก็ได้
(๑) คดีที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นจํานวนมากหรือประโยชน์สาธารณะที่สําคัญ
(๒) คดีที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับหลักกฎหมายปกครองที่สําคัญ
(๓) คดีที่อาจมีผลเป็นการกลับหรือแก้ไขแนวคําพิพากษาเดิมของศาลปกครองชั้นต้น หรือศาลปกครองสูงสุด
(๔) คดีที่มีทุนทรัพย์สูง
ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นให้ประกอบด้วยตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นนั้นทุกคนที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมิใช่ผู้ที่ถูกคัดค้านหรือต้องถอนตัวเพราะมีเหตุอันอาจถูกคัดค้าน ตามมาตรา ๖๓ แต่ต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นนั้น และให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเป็นประธานที่ประชุมใหญ่
คําวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ ๙๕ ถ้าในคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีใดมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย เมื่อศาลเห็นเองหรือเมื่อคู่กรณีมีคําขอและมิได้มีการอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น ศาลจะมีคําสั่งแก้ไขเพิ่มเติมข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยนั้นให้ถูกก็ได้ แต่ถ้าได้มีการอุทธรณ์ อํานาจในการแก้ไขให้เป็นของศาลปกครองสูงสุด
การทําคําสั่งเพิ่มเติมตามข้อนี้ จะต้องไม่เป็นการกลับหรือแก้คําวินิจฉัยในคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม
เมื่อได้ทําคําสั่งเช่นว่านั้นแล้ว ห้ามมิให้คัดสําเนาคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม เว้นแต่จะได้คัดสําเนาคําสั่งเพิ่มเติมนั้นรวมไปด้วย
ข้อ ๙๖ เมื่อศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีหรือประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เว้นแต่
(๑) การแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามข้อ ๙๕
(๒) การพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีใหม่ตามมาตรา ๗๕
(๓) การพิจารณาใหม่แห่งคดีที่สํานวนคดีหรือเอกสารในสํานวนคดีสูญหายหรือบุบสลายตามข้อ ๒๑
(๔) การยื่น การรับ หรือไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา ๗๓
(๕) การดําเนินการเกี่ยวกับการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวในระหว่างการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งคําอุทธรณ์อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นตามข้อ ๑๐๔ หรือข้อ ๑๐๖
(๖) การที่ศาลปกครองสูงสุดส่งคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้นที่ได้พิจารณาและพิพากษาหรือมีคําสั่งคดีนั้นเพื่อให้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่หรือพิจารณาและพิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ ตามข้อ ๑๑๒
(๗) การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ข้อ ๙๗ คดีที่ได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่กรณีเดียวกันฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
ภาค ภาค ๓
วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองสูงสุด
ข้อ ๙๘ การฟ้องคดีตามมาตรา ๑๑ (๑) (๒) และ (๓) ให้ยื่นคําฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดและให้นําวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นต้นตามที่กําหนดไว้ในภาค ๒ มาใช้บังคับกับคดีที่ฟ้องตามข้อนี้โดยอนุโลม
ข้อ ๙๙ ในกรณีที่องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดอยู่ในอํานาจของศาลปกครองชั้นต้น ให้เสนอประธานศาลปกครองสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งให้ส่งคําฟ้องนั้นไปยังศาลปกครองชั้นต้นที่คดีนั้นอยู่ในเขตอํานาจ แล้วให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยให้ถือว่ามีการฟ้องคดีนั้นต่อศาลปกครองชั้นต้นตั้งแต่วันที่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด
ข้อ ๑๐๐ คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่กฎหมายหรือระเบียบนี้มิได้กําหนดให้ถึงที่สุด ให้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
คําสั่งระหว่างพิจารณาที่ระเบียบนี้มิได้กําหนดให้อุทธรณ์ระหว่างพิจารณาได้ ให้อุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวพร้อมกับการอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งที่ทําให้คดีเสร็จเด็ดขาดจากศาล
ข้อ ๑๐๑ คําอุทธรณ์ให้ทําเป็นหนังสือและอย่างน้อยต้องระบุ
(๑) ชื่อผู้อุทธรณ์และคู่กรณีในอุทธรณ์
(๒) ข้อคัดค้านคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
(๓) คําขอของผู้อุทธรณ์
(๔) ลายมือชื่อผู้อุทธรณ์
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นคําอุทธรณ์นั้น ผู้อุทธรณ์จะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในคําอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าปัญหาข้อใดเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือปัญหาเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะผู้อุทธรณ์จะยกปัญหาข้อนั้นขึ้นกล่าวในคําอุทธรณ์หรือในชั้นอุทธรณ์ก็ได้
ข้อ ๑๐๒ คําอุทธรณ์ให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลออกใบรับให้ผู้อุทธรณ์ แล้วตรวจคําอุทธรณ์ในเบื้องต้น ถ้าเห็นว่าเป็นคําอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ให้เสนอคําอุทธรณ์ดังกล่าวต่ออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อดําเนินการต่อไปตามข้อ ๑๐๔ ถ้าเห็นว่าคําอุทธรณ์นั้นไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ หรือผู้อุทธรณ์ชําระค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบถ้วน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลแนะนําให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนดถ้าเห็นว่าข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หรือคําอุทธรณ์นั้นต้องห้ามตามกฎหมายหรือยื่นโดยผิดระเบียบนี้ หรือผู้อุทธรณ์ไม่แก้ไขคําอุทธรณ์หรือไม่ชําระค่าธรรมเนียม
ศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้บันทึกไว้แล้วเสนอคําอุทธรณ์ดังกล่าวต่ออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อดําเนินการต่อไป
ข้อ ๑๐๓ ค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์นั้น ถ้าทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์เป็นอย่างเดียวกับในศาลปกครองชั้นต้น ให้ผู้อุทธรณ์เสียตามทุนทรัพย์เช่นเดียวกับในศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าผู้อุทธรณ์ได้รับความพอใจบางส่วนตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นแล้ว และทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ต่ํากว่าในศาลปกครองชั้นต้น ให้ผู้อุทธรณ์เสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่ต่ํานั้น
ข้อ ๑๐๔ เมื่อได้รับคําอุทธรณ์จากพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นส่งคําอุทธรณ์นั้นให้องค์คณะดําเนินการต่อไป
ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งตั้งตุลาการในองค์คณะคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสํานวน แล้วให้ตุลาการเจ้าของสํานวนตรวจคําอุทธรณ์ ถ้าเห็นว่าเป็นคําอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ก็ให้ดําเนินการต่อไปตามข้อ ๑๐๖ ถ้าเห็นว่าคําอุทธรณ์นั้นไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจแก้ไขได้ หรือผู้อุทธรณ์ชําระค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบถ้วน ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนมีคําสั่งให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้หรือเป็นคําอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือยื่นโดยผิดระเบียบนี้ ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนเสนอ
องค์คณะสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว
ข้อ ๑๐๕ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ตามข้อ ๑๐๔ ต่อศาลปกครองสูงสุดภายในกําหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
คําร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น คําอุทธรณ์ และคําสั่งไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะเพื่อพิจารณาคําร้องและมีคําสั่งยืนตามคําสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลปกครองชั้นต้น หรือมีคําสั่งให้รับอุทธรณ์ แล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่านเมื่อศาลปกครองชั้นต้นได้อ่านคําสั่งดังกล่าวแล้ว ให้แจ้งให้ศาลปกครองสูงสุดทราบ ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้รับอุทธรณ์ ให้ถือว่าวันที่ได้รับแจ้งนั้นเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้รับคําอุทธรณ์จากศาลปกครองชั้นต้นเพื่อดําเนินการต่อไปตามข้อ ๑๐๗
ในการพิจารณาคําร้องขององค์คณะตามวรรคสาม ถ้าองค์คณะเห็นเป็นการจําเป็นที่จะต้องตรวจสํานวน ให้มีคําสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นส่งสํานวนคดีไปยังศาลปกครองสูงสุดได้
ข้อ ๑๐๖ ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสํานวนในศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่าคําอุทธรณ์นั้นเป็นคําอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ให้เสนอองค์คณะมีคําสั่งรับอุทธรณ์ แล้วเสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเพื่อส่งคําอุทธรณ์นั้นให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาต่อไป
ข้อ ๑๐๗ เมื่อได้รับคําอุทธรณ์จากศาลปกครองชั้นต้นแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลปกครองสูงสุดลงทะเบียนคดีในสารบบความ แล้วเสนอคําอุทธรณ์ต่อประธานศาลปกครองสูงสุด เพื่อจ่ายสํานวนคดีแก่องค์คณะต่อไป
ข้อ ๑๐๘ ให้ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้งตุลาการในองค์คณะคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสํานวน แล้วให้ตุลาการเจ้าของสํานวนตรวจคําอุทธรณ์ ถ้าเห็นว่าคําอุทธรณ์ที่ศาลปกครองชั้นต้นสั่งรับไว้พิจารณาเป็นคําอุทธรณ์ที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนซึ่งผู้อุทธรณ์อาจแก้ไขได้ หรือผู้อุทธรณ์ชําระค่าธรรมเนียมศาลไม่ครบถ้วน ให้สั่งให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หรือเป็นคําอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือยื่นโดยผิดระเบียบนี้ ให้เสนอองค์คณะสั่งยกอุทธรณ์นั้น
ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าอุทธรณ์นั้นมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ให้เสนอองค์คณะเพื่อมีคําสั่งไม่รับอุทธรณ์และสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ข้อ ๑๐๙ เมื่อตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคําอุทธรณ์นั้นเป็นคําอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ครบถ้วนให้ส่งสําเนาคําอุทธรณ์ให้คู่กรณีในอุทธรณ์ทําคําแก้อุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําอุทธรณ์หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในคําแก้อุทธรณ์นั้น จะต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าปัญหาข้อใดเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือปัญหาเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ คู่กรณีในอุทธรณ์จะยกปัญหาข้อนั้นขึ้นกล่าวในคําแก้อุทธรณ์หรือในชั้นอุทธรณ์ก็ได้
ข้อ ๑๑๐ เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามข้อ ๑๐๙ วรรคหนึ่ง หรือเมื่อคู่กรณีในอุทธรณ์ได้ยื่นคําแก้อุทธรณ์แล้ว หากตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งอุทธรณ์ได้แล้ว ให้จัดทําบันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนเสนอองค์คณะ เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าข้อเท็จจริงจากสํานวนคดี คําอุทธรณ์ และคําแก้อุทธรณ์ยังไม่เพียงพอที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งอุทธรณ์ ให้มีอํานาจดําเนินกระบวนพิจารณาตามอํานาจหน้าที่ต่อไป
ข้อ ๑๑๐/๑ ในการพิจารณาคดีอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น หากองค์คณะ เห็นว่าคดีนั้นมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเห็นว่าการไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีจะไม่ทําให้เสียความยุติธรรม องค์คณะอาจไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีก็ได้
ให้ศาลแจ้งการไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีไปพร้อมส่งสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวนให้คู่กรณีทราบ ในการนี้ให้คู่กรณีมีสิทธิยื่นคําแถลงเป็นหนังสือต่อองค์คณะภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และหากคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดประสงค์จะขอให้มีการนั่งพิจารณาคดี ให้ยื่นคําขอภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ศาลจัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีต่อไป
ในกรณีที่องค์คณะไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีในคดีใด ให้ตุลาการผู้แถลงคดีมาชี้แจง ด้วยวาจาประกอบคําแถลงการณ์เป็นหนังสือหรือมาแถลงการณ์ด้วยวาจาในการประชุมปรึกษา เพื่อพิพากษาหรือมีคําสั่งในคดีนั้น
ข้อ ๑๑๑ ในการพิจารณาอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจพิพากษาหรือมีคําสั่งดังต่อไปนี้
(๑) หากเห็นว่าคําอุทธรณ์นั้นไม่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้หรือเป็นคําอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือยื่นโดยผิดระเบียบนี้ ให้พิพากษายกอุทธรณ์นั้น โดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งอุทธรณ์
(๒) หากเห็นว่าคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นถูกต้อง ไม่ว่าด้วยเหตุเดียวกันหรือเหตุอื่น ให้พิพากษาหรือมีคําสั่งยืนตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
(๓) หากเห็นว่าคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นไม่ถูกต้อง ให้พิพากษาหรือมีคําสั่งกลับคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น และพิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่
(๔) หากเห็นว่าคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นถูกบางส่วนและผิดบางส่วนให้พิพากษาหรือมีคําสั่งแก้คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นโดยพิพากษาหรือมีคําสั่งยืนบางส่วนกลับบางส่วน และพิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ในส่วนที่กลับนั้น
ข้อ ๑๑๒ อํานาจในการพิจารณาอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยศาลปกครองสูงสุดให้รวมถึง
(๑) เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบนี้ในส่วนที่ว่าด้วยการทําคําพิพากษาและคําสั่ง และศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ให้มีอํานาจสั่งยกคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นนั้น แล้วส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้น เพื่อให้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ ในกรณีเช่นนี้ศาลปกครองชั้นต้นอาจประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองอื่นนอกจากที่ได้พิพากษาหรือมีคําสั่งมาแล้ว และคําพิพากษาหรือคําสั่งใหม่นี้อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีเป็นอย่างอื่นนอกจากคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ถูกยกได้
(๒) เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบนี้ในส่วนที่ว่าด้วยการแสวงหาข้อเท็จจริง หรือมีเหตุที่ศาลได้ปฏิเสธการไต่สวนพยานตามที่ผู้อุทธรณ์มีคําขอ และศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ให้มีอํานาจสั่งยกคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นนั้นแล้วกําหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครององค์คณะเดิมหรือตุลาการศาลปกครองอื่น หรือศาลปกครองชั้นต้นอื่นใดตามที่เห็นสมควร พิจารณาคดีนั้นใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน และพิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่
(๓) เมื่อคดีปรากฏเหตุว่าข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีและศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ให้มีอํานาจสั่งยกคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นนั้น แล้วกําหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครอง องค์คณะเดิมหรือตุลาการศาลปกครองอื่นพิจารณาคดีนั้นใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน โดยดําเนินการตามคําชี้ขาดของศาลปกครองสูงสุด แล้วพิพากษาหรือมีคําสั่งไปตามรูปคดี
ในคดีทั้งปวงที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ตามข้อนี้ ให้อุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งใหม่เช่นว่านั้นได้
ข้อ ๑๑๓ ถ้าศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้ส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้น เพื่อดําเนินกระบวนพิจารณาหรือพิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๑๑๒ ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจที่จะยกเว้นมิให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาหรือคําสั่งใหม่ของศาลปกครองชั้นต้นได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๑๑๔ เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดอุทธรณ์แล้ว จะอ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นเอง หรือจะส่งคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่านก็ได้
ข้อ ๑๑๕ ในกรณีที่มีการอุทธรณ์คําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองของศาลปกครองชั้นต้นตามข้อ ๗๓ และผู้อุทธรณ์มีคําขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งระงับคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองของศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว ถ้าศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นทําให้หรือจะทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะหรือต่อสิทธิของผู้อุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจสั่งระงับคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองของศาลปกครองชั้นต้นไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคําสั่งอุทธรณ์นั้น
ข้อ ๑๑๖ นอกจากวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองสูงสุดที่กําหนดไว้โดยเฉพาะในภาคนี้ให้นําวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นต้นมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ภาค ภาค ๔
การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
หมวด หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ ๑๑๗ การบังคับคดีปกครองเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาโดยศาล และสํานักงาน หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคําสั่งศาล
ข้อ ๑๑๘ ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนหรือตุลาการศาลปกครองคนหนึ่งคนใดซึ่งได้รับมอบหมาย จากองค์คณะมีอํานาจดําเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการบังคับคดีปกครองทั้งปวง เว้นแต่ในระเบียบนี้ จะกําหนดให้ดําเนินการโดยองค์คณะ
ข้อ ๑๑๙ ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ตามมาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้คําบังคับมีผลนับแต่วันที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว
ข้อ ๑๒๐ การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลให้ดําเนินการได้จนกว่าจะมีการปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นแล้วเสร็จ เว้นแต่การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล ที่ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาชําระหนี้โดยให้ใช้เงิน ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ ให้ดําเนินการภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งในชั้นที่สุด แต่ถ้าได้มีการออกหมายบังคับคดีภายในกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดําเนินการบังคับคดีในเรื่องใดไว้แล้ว ก็ให้ดําเนินการบังคับคดีในส่วนนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ถ้าคําพิพากษาหรือคําสั่งกําหนดให้ชําระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือกําหนดให้ชําระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลาสิบปีตั้งแต่วันที่หนี้ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น อาจบังคับให้ชําระได้
ข้อ ๑๒๑ ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งโดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง (๘) ให้สํานักงานติดตามว่าได้มีการดําเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวหรือไม่ แล้วรายงานต่อศาล
ข้อ ๑๒๒ ในคดีที่ฟ้องขอให้ใช้เงิน เมื่อศาลมีคําพิพากษาแล้ว หากลูกหนี้ตามคําพิพากษา ยอมปฏิบัติตามคําพิพากษาและต้องการชําระหนี้ตามคําพิพากษาโดยไม่อุทธรณ์คําพิพากษาและนําเงินมาวางชําระหนี้ตามคําพิพากษา ให้ศาลสั่งรับเงินที่วางศาลและสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลออกใบรับเงิน และแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามารับเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ในกรณีนี้ ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษามารับเงินไปแล้ว ลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินดังกล่าวนับแต่วันที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้มารับเงิน หากคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของศาลปกครองสูงสุดให้แจ้งศาลปกครองสูงสุดให้ทราบถึงการชําระเงินดังกล่าวด้วย
ข้อ ๑๒๓ เมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี มีอํานาจดําเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามที่ศาลกําหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และให้มีอํานาจในฐานะเป็นผู้แทนของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในอันที่จะรับชําระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอกนํามาวางและออกใบรับให้
ให้นําความตามวรรคหนึ่งมาใช้บังคับในกรณีที่สํานักงานดําเนินการบังคับคดีในระหว่างที่ศาล ยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือกรณีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาล โดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีด้วย
การดําเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองให้รายงานศาลและแจ้งคู่กรณีทราบ หากมีข้อโต้แย้งว่าการปฏิบัติตามคําพิพากษายังไม่ถูกต้องครบถ้วน ให้ศาลพิจารณาและมีคําสั่งโดยองค์คณะ
ข้อ ๑๒๔ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจสั่งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาให้ความช่วยเหลือ และวางเงินค่าใช้จ่ายเพื่อปฏิบัติตามวิธีการเพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่กรณีในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งได้ตามจํานวนที่เห็นจําเป็น ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าจํานวนเงินที่วางไว้นั้นจะไม่พอ ก็ให้แจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาวางเงินเพิ่มขึ้นอีกได้
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเห็นว่า การวางเงินค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีไม่จําเป็นหรือมากเกินไป ก็อาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งได้ คําสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาลตามวรรคสองให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้จนกว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะได้ปฏิบัติตามคําสั่ง ของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือศาล แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๒๕ ในกรณีที่ศาลมีคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) (๓) เฉพาะที่ให้ หน่วยงานทางปกครองใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ และ (๔) ซึ่งเป็นคดีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ศาลมีคําสั่งไปยังสํานักงานเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการให้เป็นไปตามคําบังคับของศาลดังกล่าว
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีมีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) ดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
(๒) ส่งเอกสารเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
(๓) ติดตามผลการปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล เพื่อรายงานและเสนอความเห็น ต่อศาลประกอบการพิจารณาและมีคําสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดี
(๔) สอบถามหรือแจ้งให้คู่กรณี พยานบุคคล หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงข้อเท็จจริงหรือ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบังคับคดี และบันทึกถ้อยคําของบุคคลดังกล่าวรวมไว้ในสํานวนการบังคับคดี
(๕) แจ้งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบังคับคดี
(๖) ออกตรวจสอบสถานที่ บุคคล หรือสิ่งอื่นใดอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดี และมีอํานาจ บันทึกภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว พร้อมทั้งบันทึกเหตุการณ์หรือพฤติการณ์รวมไว้ในสํานวนการบังคับคดี
(๗) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามคําสั่งศาล
ข้อ ๑๒๖ ในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง และเป็นเรื่อง ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือตามกฎหมายอื่น ไม่ว่าโดยบุคคลใด ให้อยู่ในอํานาจของศาลปกครอง
ข้อ ๑๒๗ ให้ศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจเรียกเก็บค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีตามระเบียบนี้
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดโดยความเห็นชอบของ ก.บ.ศป. มีอํานาจออกประกาศกําหนดหลักเกณฑ์และอัตราค่าฤชาธรรมเนียม นอกจากที่ระบุไว้ในตาราง ๑ และตาราง ๕ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกาศนี้เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ข้อ ๑๒๘ ให้เลขาธิการสํานักงานศาลปกครองมีอํานาจออกประกาศ ระเบียบ หรือข้อบังคับทางธุรการเกี่ยวกับการดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําบังคับของศาลปกครอง ประกาศ ระเบียบ หรือข้อบังคับดังกล่าว เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ส่วน ส่วนที่ ๑
ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี
ข้อ ๑๒๙ ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีซึ่งมีอํานาจออกหมายบังคับคดี หรือสั่งจับกุมและ กักขัง หรือปรับ หรือมีอํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีเพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งหรือทําคําวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น หรือตามที่มีกฎหมายบัญญัติ
ถ้าศาลปกครองสูงสุดได้ส่งคดีไปยังศาลปกครองชั้นต้นแห่งอื่นที่มิได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง ที่อุทธรณ์นั้นเพื่อการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๒) ให้ศาลที่มีคําพิพากษา หรือคําสั่งใหม่นั้นเป็นศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี เว้นแต่ศาลปกครองสูงสุดจะได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่จะต้องบังคับคดีนอกเขตศาล ให้ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีมีอํานาจตั้งให้ศาลอื่น บังคับคดีแทนได้ ถ้าเป็นการบังคับตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนมีคําสั่งไปยังสํานักงานของศาลนั้นเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการให้เป็นไปตามคําบังคับของศาล ถ้าการบังคับคดีต้องทําโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีและศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําแถลง หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนทราบพร้อมด้วยสําเนาหมายบังคับคดี หรือสําเนาคําสั่งกําหนดวิธีการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลดังกล่าวแจ้งให้ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีทราบโดยไม่ชักช้า และให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือมีคําสั่งอื่นใดเพื่อดําเนินการบังคับคดีต่อไป
ถ้าเป็นการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง ให้ศาลที่บังคับคดีแทนส่งทรัพย์สินที่ได้จากการยึดหรืออายัดหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินนั้น แล้วแต่กรณี ไปยังศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีเพื่อดําเนินการไปตามกฎหมาย
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนอกเขตศาลโดยบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ศาลที่บังคับคดีแทนมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับคดีใดๆ โดยเฉพาะ หรือมีคําสั่งกําหนดวิธีการอย่างใดแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้น รวมถึงดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่เกี่ยวเนื่องได้ เว้นแต่เมื่อการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นและแจ้งผลการบังคับคดีไปยังศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีแล้ว ให้เป็นอํานาจของศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีเท่านั้น
ส่วน ส่วนที่ ๒
การแจ้งคําบังคับ
ข้อ ๑๓๐ คดีที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือคดีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้บังคับคดีตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ลูกหนี้ตามคําพิพากษา มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งเมื่อทราบคําพิพากษาหรือคําสั่งโดยชอบแล้ว เพื่อประโยชน์แก่คู่กรณีในการบังคับคดี ให้ศาลออกหมายแจ้งคําบังคับไปยังลูกหนี้ตามคําพิพากษา โดยให้ระบุในหมายแจ้งคําบังคับด้วยว่า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนอาจถูกยึดทรัพย์สิน หรืออายัดสิทธิเรียกร้อง หรือถูกจับกุมและกักขัง แล้วแต่กรณี
ในกรณีผู้ที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลให้ถูกต้องครบถ้วน หรือปฏิบัติล่าช้าเป็นไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจมีคําสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นชําระค่าปรับต่อศาลตามจํานวนที่สมควร หรืออาจแจ้งผู้บังคับบัญชา ผู้กํากับดูแล ผู้ควบคุม หรือนายกรัฐมนตรี เพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ หรือสั่งการ หรือลงโทษทางวินัยต่อไปก็ได้
ลูกหนี้ตามคําพิพากษาจะได้รับหมายแจ้งคําบังคับตามวรรคหนึ่งหรือไม่ก็ตาม ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ส่วน ส่วนที่ ๓
การงดการบังคับคดี
ข้อ ๑๓๑ ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดี ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเพราะเหตุที่ศาลมีคําสั่งรับคําขอให้พิจารณาคดีใหม่ และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ
(๒) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเพราะเหตุที่คู่กรณีหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบ โดยตรงจากคําพิพากษาหรือคําสั่ง ยื่นคําร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลเนื่องจากคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ
(๓) เมื่อลูกหนี้ตามคําพิพากษายื่นคําร้องต่อศาลว่าได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นคดี เรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้นไว้แล้ว ซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และถ้าหากตนเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการยึด อายัด ขายทอดตลาด หรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษาโดยวิธีอื่น เพราะสามารถจะหักกลบลบหนี้กันได้ ถ้าศาลเห็นว่า ข้ออ้างของลูกหนี้ตามคําพิพากษามีเหตุฟังได้ ศาลอาจมีคําสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ คําสั่งนี้อาจอยู่ภายใต้บังคับเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ หรือไม่ก็ได้ และศาลจะมีคําสั่งให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจํานวนที่เห็นสมควรภายในระยะเวลาที่กําหนดเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้ตามคําพิพากษาและค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา สําหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดจากการยื่นคําร้องนั้นด้วยก็ได้และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ คําสั่งของศาลในกรณีนี้ให้กระทําโดยองค์คณะและให้เป็นที่สุด
(๔) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดี และได้ส่งคําสั่งนั้นไปให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงาน บังคับคดีทราบ ในกรณีเช่นนี้ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้ภายในระยะเวลา หรือเงื่อนไขตามที่ศาลกําหนด
(๕) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี ว่าตนตกลงงดการบังคับคดีไว้ชั่วระยะเวลาที่กําหนดไว้หรือภายในเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกหนี้ตามคําพิพากษาและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
(๖) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๒๔
(๗) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเนื่องจากสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามารับเงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้วางไว้ต่อศาล สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อชําระหนี้ตามคําพิพากษาโดยชอบแล้ว แต่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่มารับเงินดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนด
ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการงดการบังคับคดีให้คู่กรณีและบุคคลภายนอก ผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยไม่ชักช้า และรายงานให้ศาลทราบ
ข้อ ๑๓๒ ในกรณีที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการบังคับคดีไว้ตามคําสั่งของศาล ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อได้รับคําสั่งจากศาลโดยศาลเป็นผู้ออกคําสั่งนั้นเอง หรือโดยเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้ยื่นคําขอให้ศาลออกคําสั่ง เนื่องจากระยะเวลาที่ให้งดการบังคับคดีนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ศาลได้กําหนดไว้ หรือไม่มีความจําเป็น ที่จะต้องงดการบังคับคดีอีกต่อไปแล้ว
ถ้าได้งดการบังคับคดีตามข้อ ๑๓๑ (๕) หรือ (๖) ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี ดําเนินการบังคับคดีต่อไป
เมื่อระยะเวลาที่ให้งดการบังคับคดีได้ล่วงพ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้กําหนดไว้ หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้วางเงินค่าใช้จ่าย ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนดหรือตามคําสั่งศาลแล้ว
ส่วน ส่วนที่ ๔
การถอนการบังคับคดี
ข้อ ๑๓๓ ให้ศาลมีคําสั่งถอนการบังคับคดี ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) กรณีการบังคับคดีตามคําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่อนุญาตให้บังคับคดีตามคําพิพากษาของ ศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ต่อมาในระหว่างการบังคับคดีนั้นคําพิพากษาดังกล่าวได้ถูกกลับหรือถูกยก หรือหมายบังคับคดีได้ถูกเพิกถอน แต่ถ้าคําพิพากษาในระหว่างบังคับคดีนั้นได้ถูกกลับแต่เพียงบางส่วน การบังคับคดีอาจดําเนินการต่อไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครบถ้วน
(๒) เมื่อสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลขอให้สั่งถอนการบังคับคดีเนื่องจาก เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพิกเฉยไม่ดําเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี กําหนด
(๓) เมื่อลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ปฏิบัติตามคําพิพากษาครบถ้วนพร้อมทั้งได้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี (ถ้ามี)
(๔) เมื่อสํานักงานรายงานศาลขอให้สั่งถอนการบังคับคดีเนื่องจากได้ดําเนินการบังคับ ตามคําบังคับของศาลถูกต้องครบถ้วนแล้ว หรือไม่มีกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลอีกต่อไป
(๕) เมื่อสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็น หนังสือไปยังสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตนขอสละสิทธิในการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้ เจ้าหนี้ตามคําพิพากษานั้นจะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่ตนได้สละสิทธินั้นอีกมิได้
(๖) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตนขอถอนการบังคับคดี
(๗) เมื่อสํานักงานรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสํานักงาน ว่าตนไม่ประสงค์ให้มีการบังคับคดีต่อไป
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง (๕) หากเป็นคดีที่มีเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหลายคน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา แต่ละคนอาจแสดงความประสงค์ในส่วนของตนได้ การถอนการบังคับคดีในกรณีนี้ให้มีผลเฉพาะเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาที่ขอสละสิทธิ หากเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาที่แสดงความประสงค์ดังกล่าวเป็นผู้แทนของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาทุกคนและการแสดงความประสงค์ดังกล่าวจะมีผลเป็นการถอนการบังคับคดีทั้งคดีให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลเพื่อพิจารณา ในการนี้ ศาลจะไต่สวนหรือแสวงหา ข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อให้ได้ความเป็นที่ยุติว่า
การแสดงความประสงค์ของผู้แทนดังกล่าวเป็นไปตาม ความประสงค์ของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาทุกคนก่อนมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนการบังคับคดีก็ได้ แต่ทั้งนี้ ในคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือคดีที่การบังคับคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม หรือการถอนการบังคับคดีเกิดจากการสมยอมกันโดยไม่เหมาะสม ศาลจะมีคําสั่งไม่อนุญาตให้ถอนการบังคับคดีก็ได้คําสั่งศาลตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) ให้กระทําโดยองค์คณะ ให้ศาลแจ้งการถอนการบังคับคดีให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ และให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการถอนการบังคับคดีให้คู่กรณีและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยไม่ชักช้า และรายงานให้ศาลทราบด้วย
ส่วน ส่วนที่ ๕
การเพิกถอนหรือแก้ไขการบังคับคดีที่ผิดระเบียบ
ข้อ ๑๓๔ ในกรณีที่หมายบังคับคดี หรือคําสั่งศาลในชั้นบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจําเป็นจะต้องเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดี หรือคําสั่งดังกล่าวนั้น เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง หรือเมื่อสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาล หรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคําร้องต่อศาล ให้ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดี หรือคําสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน หรือมีคําสั่งอย่างใดตามที่ศาลเห็นสมควร
ในกรณีที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง หรือเมื่อเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคําร้องต่อศาล ให้ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคําสั่งกําหนดวิธีการอย่างใดแก่สํานักงาน หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร เว้นแต่การคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์สิน หรือสิทธิเรียกร้องเพราะเหตุที่ราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจํานวนต่ําเกินสมควร
การยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทําได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดี ได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นคําร้องต้องมิได้ดําเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทํานั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคําร้องจะขอต่อศาลในขณะเดียวกันนั้นให้มีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เพื่อประโยชน์แห่งข้อนี้ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเมื่อได้มีการดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่คําบังคับกําหนดให้ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการอย่างใด เมื่อได้มีการปฏิบัติตามคําบังคับที่ให้ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการอย่างนั้นแล้ว แต่ถ้าการปฏิบัติตามคําบังคับดังกล่าวอาจแยกเป็นส่วน ๆ ได้ เมื่อได้มีการปฏิบัติตามคําบังคับในส่วนใดแล้วให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะในส่วนนั้น
(๒) ในกรณีที่คําบังคับกําหนดให้ใช้เงิน เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดหรือจําหน่ายโดยวิธีอื่นและจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีหรือเมื่อได้จ่ายเงินจํานวนสุทธิหรือส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอกที่ทรัพย์สินของตนถูกจําหน่ายไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาแล้ว แต่ถ้าทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีมีหลายรายการ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายการใดแล้ว ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะทรัพย์สินรายการนั้น
(๓) ในกรณีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดี เมื่อสํานักงาน แจ้งให้ทราบว่าศาลมีคําสั่งให้ถอนการบังคับคดี
ในการยื่นคําร้องต่อศาลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรเพื่อเป็นประกันการชําระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลนั้นสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคําร้องนั้น ถ้าผู้ยื่นคําร้อง ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล ให้ศาลมีคําสั่งยกคําร้องนั้นเสีย ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่า ไม่มีความจําเป็นต่อไป จะสั่งคืนหรือยกเลิกประกันนั้นก็ได้ คําสั่งของศาลที่ออกตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลได้มีคําสั่งยกคําร้องที่ยื่นไว้ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าบุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคําร้องดังกล่าวเห็นว่าคําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคําสั่งยกคําร้อง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป็นสํานวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาลไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดแล้วเห็นว่า คําร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายดังกล่าวตามจํานวนที่ศาลเห็นสมควร ถ้าผู้ยื่นคําร้องนั้นไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล บุคคลที่ได้รับความเสียหายอาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่ผู้ยื่นคําร้องนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หมวด หมวด ๒
การไต่สวนและมีคําสั่งกําหนดวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ข้อ ๑๓๕ ในการบังคับคดี ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังไม่ปฏิบัติตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาลหรือมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติ ตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาล เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจยื่นคําขอหรือรายงานต่อศาล แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้ศาลพิจารณามีคําสั่งหรือไต่สวน
เมื่อมีคําขอหรือรายงานตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่การบังคับคดี ศาลมีอํานาจแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการออกหมายเรียกลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่เชื่อว่าอยู่ในฐานะที่จะให้ถ้อยคําอันจะเป็นประโยชน์มาศาลด้วยตนเองเพื่อการไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นและมีอํานาจสั่งให้บุคคลนั้น ๆ ส่งเอกสารหรือวัตถุพยานซึ่งอยู่ในความยึดถือหรืออํานาจของผู้นั้นอันเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ทั้งนี้ ตามกําหนดและเงื่อนไขใด ๆ ที่เห็นสมควร และมีคําสั่งกําหนดวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง หรือมีคําสั่งใด ๆ เพื่อให้การบังคับคดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว
ให้นําความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่กรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเห็นว่าการปฏิบัติตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาลมีข้อขัดข้องด้วยโดยอนุโลม
หมวด หมวด ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)
ส่วน ส่วนที่ ๑
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนกฎ
ข้อ ๑๓๖ ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนกฎ ให้สํานักงานเสนอประกาศผล แห่งคําพิพากษาที่ให้เพิกถอนกฎดังกล่าวต่อศาลเพื่อลงนาม และให้สํานักงานศาลปกครองส่งประกาศนั้น ไปยังสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว
ให้สํานักงานแจ้งผลการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวให้คู่กรณีและรายงานศาลทราบ
ส่วน ส่วนที่ ๒
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําสั่ง
ข้อ ๑๓๗ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําสั่ง ย่อมมีผลให้คําสั่งนั้น ถูกเพิกถอนโดยไม่ต้องมีการบังคับคดี
ส่วน ส่วนที่ ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับห้ามการกระทํา
ข้อ ๑๓๘ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับห้ามการกระทําของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลหรือไม่ และจัดทําบันทึกผลการตรวจสอบ แล้วรายงานต่อศาล
หมวด หมวด ๔
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๒)
ข้อ ๑๓๙ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลกําหนด เมื่อครบกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่าหัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐนั้น ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามคําบังคับของศาลหรือไม่ และจัดทําบันทึกผลการตรวจสอบ แล้วรายงานต่อศาล
ในกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่ปฏิบัติตาม คําบังคับภายในเวลาที่ศาลกําหนดหรือมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ให้สํานักงานรายงานศาลเพื่อดําเนินการตามข้อ ๑๓๕
หากปรากฏว่าหัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตาม คําบังคับภายในเวลาที่ศาลกําหนดให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร ให้สํานักงาน รายงานศาลเพื่อดําเนินการตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปรับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร
หมวด หมวด ๕
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓)
ส่วน ส่วนที่ ๑
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ใช้เงิน
ข้อ ๑๔๐ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองใช้เงินให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่าหน่วยงานทางปกครองนั้นได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือไม่ แล้วรายงานต่อศาล
ในกรณีที่หน่วยงานทางปกครองยังไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลภายในเวลาที่ศาลกําหนดหรือมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ให้สํานักงานรายงานศาลเพื่อดําเนินการตามข้อ ๑๓๕
หากปรากฏว่าหน่วยงานทางปกครองไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลภายในเวลาที่ศาลกําหนด ให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร ให้สํานักงานรายงานศาลเพื่อดําเนินการตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการปรับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลให้ถูกต้อง ครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร
ข้อ ๑๔๑ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่มิใช่หน่วยงานทางปกครองหรือเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ทรัพย์สินอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีใช้เงิน ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้นไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลทั้งหมดหรือบางส่วนภายใน ระยะเวลาที่ศาลกําหนด เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามที่กฎหมายกําหนด โดยระบุจํานวนหนี้ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ชําระตามคําบังคับของศาล
ส่วน ส่วนที่ ๒
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ข้อ ๑๔๒ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืน ทรัพย์เฉพาะสิ่งแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งเพื่อชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าหนี้ ตามคําพิพากษา ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ใช้เงินตามข้อ ๑๔๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ ในการร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สินหรืออายัด สิทธิเรียกร้องนั้น ให้ระบุทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ยังมิได้รับคืนหรือรับมอบและพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย
ข้อ ๑๔๓ ถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งของลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา เพื่อชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องได้ถูกยึดหรืออายัดไว้เพื่อเอาชําระหนี้เงินในคดีอื่นแล้ว เจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาชอบที่จะยื่นคําร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีในคดีนั้นก่อนมีการขายทอดตลาดหรือจําหน่ายโดยวิธีอื่นขอให้มีคําสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบทรัพย์นั้นให้แก่ตน โดยต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์ในคดีดังกล่าวสามารถบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้เพียงพอ ทั้งนี้ ให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบและอาจมีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการยึดหรืออายัดทรัพย์แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์ในคดีอื่นนั้น และให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอื่นนั้นได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่สามารถแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีคําสั่งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามีสิทธิเข้าเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอื่นนั้นตามวิธีการที่กฎหมายกําหนด
ข้อ ๑๔๔ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบ ทรัพย์เฉพาะสิ่งที่มีทะเบียนกรรมสิทธิ์หรือมีหนังสือรับรองการทําประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนดําเนินการจดทะเบียนต่อไป
การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์เฉพาะสิ่ง ถ้ามีเหตุขัดขวางหรือเหตุขัดข้องในการส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์นั้นแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ขับไล่ที่กําหนดไว้ในส่วนที่ ๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๔๕ การบังคับคดีที่ขอให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รับผิดแทน
ส่วน ส่วนที่ ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
ข้อ ๑๔๖ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการหรืองดเว้นกระทําการ ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษา และกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามข้อ ๑๓๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หากศาลเห็นว่าวิธีการบังคับคดีตามที่กําหนดในส่วนนี้ ไม่อาจบรรลุผลตามคําพิพากษาของศาลได้ ให้ศาลมีอํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรเท่าที่สภาพแห่งการบังคับคดีจะเปิดช่องให้กระทําได้
ส่วน ส่วนที่ ๔
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
โดยให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
(ขับไล่)
ข้อ ๑๔๗ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยระบุถึง พฤติการณ์ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๔๘ ถึงข้อ ๑๕๐
ข้อ ๑๔๘ ถ้าปรากฏว่าอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์นั้นไม่มีบุคคลใดอยู่แล้วให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจส่งมอบทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเข้าครอบครองได้ทันที ถ้ามีสิ่งกีดขวางอันเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจทําลายสิ่งกีดขวางดังกล่าวได้ตามความจําเป็น
ถ้ายังมีสิ่งของของลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือของบุคคลใดอยู่ในทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทําบัญชีสิ่งของนั้นไว้ และมีอํานาจดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าสิ่งของนั้นมีสภาพเป็นของสดของเสียได้ หรือมีสภาพอันจะก่อให้เกิดอันตรายได้หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของสิ่งของนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจจําหน่ายสิ่งของนั้นได้ทันทีโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นที่เห็นสมควร และเก็บรักษาเงินสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายไว้แทนสิ่งของนั้น หรือทําลายสิ่งของนั้น หรือดําเนินการอื่นใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ทั้งนี้ ให้คํานึงถึงสภาพแห่งสิ่งของ ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย และประโยชน์สาธารณะ
(๒) ถ้าสิ่งของนั้นมิใช่สิ่งของตามที่ระบุไว้ใน (๑) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจนําสิ่งของนั้นมาเก็บรักษาไว้ หรือมอบให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รักษา หรือฝากไว้ ณ สถานที่ใด หรือแก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร แล้วแจ้งหรือประกาศให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของมารับคืนไปภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนด ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มารับหรือไม่ยอมรับสิ่งของนั้นคืนไปภายในเวลาที่กําหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตาม (๑) โดยอนุโลม
เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มาจากการจําหน่ายสิ่งของตามวรรคสอง (๑) หรือ (๒) ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มาขอรับคืนภายในกําหนดห้าปีนับแต่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ในกรณีที่สิ่งของตามวรรคสองถูกยึด อายัด หรือห้ามโอน ยักย้าย หรือจําหน่ายตามวิธีการ ชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือเพื่อการบังคับคดีในคดีอื่น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจย้ายสิ่งของดังกล่าวไปเก็บไว้ ณ สถานที่อื่นได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่นนั้นทราบด้วย
ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดําเนินการตามข้อนี้ และให้ถือว่า เป็นหนี้ตามคําพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป
ข้อ ๑๔๙ ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารไม่ออกไปจากทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) รายงานต่อศาลเพื่อมีคําสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวาร และให้ ศาลมีอํานาจสั่งจับกุมและกักขังได้ทันที ในกรณีเช่นว่านี้ ให้นําข้อ ๑๕๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) ปิดประกาศให้บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นซึ่งอ้างว่ามิได้เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคําพิพากษา ยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันปิดประกาศแสดงว่าตนมีอํานาจพิเศษในการอยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้น
เมื่อมีการจับกุมลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารตาม (๑) แล้ว หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าว หลบหนีไปจากทรัพย์นั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๔๘
ข้อ ๑๕๐ เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในส่วนนี้ ให้ถือว่าบุคคลดังต่อไปนี้ เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
(๑) บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นและมิได้ยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลา ตามข้อ ๑๔๙ หรือยื่นคําร้องต่อศาลแล้วแต่แสดงต่อศาลไม่ได้ว่าตนมีอํานาจพิเศษในการอยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้น
(๒) บุคคลที่เข้ามาอยู่ในทรัพย์นั้นในระหว่างเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการให้เจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์นั้น
ส่วน ส่วนที่ ๕
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
โดยให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ
หรือขนย้ายทรัพย์สิน ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
(รื้อถอน)
ข้อ ๑๕๑ กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษารื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ หรือขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลทั้งหมด หรือบางส่วน ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยระบุถึงพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจดําเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากทรัพย์นั้นได้ โดยให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น และให้ถือว่าเป็นหนี้ตามคําพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป
กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกําหนดการรื้อถอนหรือขนย้าย ทรัพย์สินไว้ ณ บริเวณนั้นไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น
ในการจัดการกับวัสดุที่ถูกรื้อถอนและทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครองนั้น ให้นําข้อ ๑๔๘ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
หมวด หมวด ๖
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔)
ข้อ ๑๕๒ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษา และกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามข้อ ๑๓๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด หมวด ๗
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕)
ข้อ ๑๕๓ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้บุคคลกระทําหรือละเว้นการกระทําอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ให้นําวิธีการบังคับคดีที่กําหนดไว้ในส่วนที่ ๓ ส่วนที่ ๔ และส่วนที่ ๕ ของหมวด ๕ แห่งภาคนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แล้วแต่กรณี
หมวด หมวด ๘
การบังคับคดีในกรณีที่ขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ข้อ ๑๕๔ ภายใต้บังคับหมวด ๕ ส่วนที่ ๔ กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับ ให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการโดยให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง (ขับไล่) ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ และไม่มีวิธีการบังคับอื่นใดที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะใช้บังคับได้ เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจมีคําขอฝ่ายเดียวให้ศาลมีคําสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาก็ได้
เมื่อได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาคําขอโดยเร็ว หากเป็นที่พอใจจากพยานหลักฐาน ที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเสนอต่อศาลหรือที่ศาลไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดแล้วได้ความว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาสามารถที่จะปฏิบัติตามคําบังคับได้ถ้าได้กระทําการโดยสุจริต และเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่มีวิธีการบังคับอื่นใดที่จะใช้บังคับได้ให้ศาลออกหมายจับลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามาศาลหรือถูกจับตัวมา แต่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่อาจแสดงเหตุ อันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับได้ ศาลมีอํานาจสั่งกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาทันทีหรือในวันหนึ่งวันใดที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังคงขัดขืนอยู่ก็ได้ หากลูกหนี้ตามคําพิพากษาแสดงเหตุอันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับได้ หรือตกลงที่จะปฏิบัติตามคําบังคับทุกประการ ศาลจะมีคําสั่งให้ยกคําขอ หรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๑๕๕ เมื่อศาลได้ออกหมายจับลูกหนี้ตามคําพิพากษาตามข้อ ๑๕๔ แล้ว ถ้าลูกหนี้ ตามคําพิพากษามาศาลหรือถูกจับกุมตัวมา ให้ศาลมีอํานาจกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้นไว้ในระหว่างการพิจารณาคําขอจนกว่าจะมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร
ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ศาลมีอํานาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือตามจํานวนเงินที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้องผู้ทําสัญญาประกันเป็นคดีใหม่
ข้อ ๑๕๖ ในกรณีที่ศาลสั่งกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลใดตามข้อ ๑๔๙ หรือข้อ ๑๕๔ บุคคลนั้นจะต้องถูกกักขังไว้จนกว่าจะมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันตามจํานวนที่ศาลเห็นสมควรกําหนดว่าตนยินยอมที่จะปฏิบัติตามคําบังคับทุกประการ แต่ทั้งนี้ ห้ามไม่ให้กักขังแต่ละครั้งเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันจับกุมหรือวันเริ่มกักขัง แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ให้นําข้อ ๑๕๕ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕๗ ในกรณีที่ศาลยอมรับบุคคลเป็นประกัน และบุคคลนั้นจงใจขัดขวางการบังคับคดี หรือร่วมกับลูกหนี้ตามคําพิพากษาขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ ให้นําข้อ ๑๕๔ ข้อ ๑๕๕ และข้อ ๑๕๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕๘ การจับกุมและควบคุมตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามบทบัญญัติในภาคนี้ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีหน้าที่ปฏิบัติตามคําสั่งหรือ หมายของศาล หรือตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
การจับกุม ควบคุมตัว หรือกักขังบุคคลหนึ่งบุคคลใด ในกรณีที่มีบุคคลสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายกับเงินหรือทรัพย์สินหรือเอกสารที่ได้มาตามอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีในกรณีที่มีผู้ขัดขวางหรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีผู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีและในกรณีตามข้อ ๑๔๙ ข้อ ๑๕๔ และข้อ ๑๕๗ ไม่ตัดสิทธิที่จะดําเนินคดีในความผิดอาญา
หมวด หมวด ๙
การบังคับคดีตามคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ
เพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี
ส่วน ส่วนที่ ๑
การบังคับคดีตามคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง
ข้อ ๑๕๙ เมื่อศาลได้มีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองและได้แจ้งคําสั่งให้คู่กรณีและผู้ออกกฎ หรือคําสั่งทางปกครองดังกล่าวทราบตามข้อ ๗๒ วรรคสี่ แล้ว หากศาลเห็นว่า มีกรณีที่จะต้องบังคับหรือติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามคําสั่งของศาล ให้ศาลมีคําสั่งไปยังสํานักงาน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๒๕ โดยอนุโลม
ส่วน ส่วนที่ ๒
การบังคับคดีตามคําสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
ข้อ ๑๖๐ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ให้นําวิธีการบังคับคดีตามที่กําหนดในหมวด ๔ ถึงหมวด ๗ แห่งภาคนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แล้วแต่กรณี
หมวด หมวด ๑๐
คําร้องในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๑ คําร้องในชั้นบังคับคดี ได้แก่ คําร้องทั้งหลายที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ ตามคําพิพากษา คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล หรือตามกฎหมาย
คําร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาล ถ้าศาลเห็นว่าคําร้องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะทําคําสั่งได้โดยไม่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ให้ศาลมีคําสั่งตามที่เห็นสมควร แต่หากเห็นว่ามีผลต่อการบังคับคดี ก็ให้ส่งสําเนาคําร้องแก่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๖๒ คําร้องขอรับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย ให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี เมื่อศาลเห็นว่าคําร้องนั้นเป็นคําร้องที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้ ให้ศาลมีคําสั่งรับคําร้องและส่งสําเนาคําร้องแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือคู่กรณี และเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือคู่กรณีทําคําชี้แจงคัดค้านคําร้องและแสดงพยานหลักฐานโดยเร็ว หากเห็นเป็นการสมควรศาลจะนัดไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อมีคําสั่งเกี่ยวกับคําร้องดังกล่าวด้วยก็ได้
ข้อ ๑๖๓ คําร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินจากการยึดหรืออายัด ให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีและดําเนินการเช่นเดียวกับข้อ ๑๖๒
ข้อ ๑๖๔ คําสั่งคําร้องตามข้อ ๑๖๒ และข้อ ๑๖๓ ให้กระทําโดยองค์คณะ แต่ไม่ต้องจัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีและไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
ข้อ ๑๖๕ คําร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี เมื่อศาลสั่งรับคําร้องไว้แล้ว ให้ส่งสําเนาคําร้องแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือคู่กรณี และเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับคําร้องดังกล่าวให้งดการขายทอดตลาดหรือจําหน่ายทรัพย์สินนั้นไว้ในระหว่างรอคําวินิจฉัยชี้ขาด เว้นแต่ทรัพย์สินที่ยึดนั้นมีสภาพเป็นของสดของเสียได้ หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของทรัพย์สินนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายหรือจําหน่ายได้ทันทีโดยวิธีขายทอดตลาด หรือวิธีอื่นที่สมควร
ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีตามวรรคหนึ่งเหมือนอย่างคดีธรรมดา
หมวด หมวด ๑๑
ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ข้อ ๑๖๖ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ได้แก่ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี และค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้ชําระตามอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือตามข้อ ๑๒๗ แห่งระเบียบนี้
การบังคับคดีโดยสํานักงานตามคําสั่งศาลหรือโดยที่ศาลไม่มีหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ส่วน ส่วนที่ ๑
ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๗ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี ได้แก่ ค่าธรรมเนียมศาลค่าสืบพยานหลักฐานนอกศาล ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพยาน ผู้เชี่ยวชาญ ล่าม และเจ้าพนักงานศาล ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดี ตลอดจนค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บรรดาที่กฎหมายบังคับ ให้ชําระในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๘ คําร้องที่ยื่นต่อศาลในชั้นบังคับคดี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่คําร้อง ตามข้อ ๑๖๒ และข้อ ๑๖๕ ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ข้อ ๑๖๙ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากค่าธรรมเนียมศาล ให้คู่กรณีผู้ดําเนินกระบวน พิจารณาเป็นผู้ชําระเมื่อมีการดําเนินกระบวนพิจารณานั้นหรือภายในเวลาที่กฎหมายกําหนดหรือที่ศาลมีคําสั่ง ถ้าศาลเป็นผู้สั่งให้ดําเนินกระบวนพิจารณาใด ให้ศาลกําหนดผู้ซึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมในการดําเนินกระบวนพิจารณานั้น รวมทั้งระยะเวลาที่ต้องชําระไว้ด้วย
ถ้าผู้ซึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งไม่ชําระ ศาลจะสั่งให้งดหรือเพิกถอน กระบวนพิจารณานั้น หรือจะสั่งให้คู่กรณีฝ่ายอื่นเป็นผู้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวก็ได้หากคู่กรณี ฝ่ายนั้นยินยอม
ส่วน ส่วนที่ ๒
ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ข้อ ๑๗๐ ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ได้แก่ ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบังคับคดีบรรดาที่กฎหมายบังคับให้ชําระ
ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาที่ร้องขอให้บังคับคดี เป็นผู้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกใบรับให้
ส่วน ส่วนที่ ๓
ความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ข้อ ๑๗๑ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี ในคดีขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงาน บังคับคดียึดไว้ตามข้อ ๑๖๕ หรือคดีที่ร้องขอรับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้น ตามกฎหมายตามข้อ ๑๖๒ ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รับผิดในชั้นที่สุดสําหรับค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี แต่ไม่ว่าคู่กรณีฝ่ายใดจะชนะคดีเต็มตามที่ร้องขอหรือแต่บางส่วน ศาลมีอํานาจที่จะสั่งให้คู่กรณีฝ่ายที่ชนะคดีนั้นรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดีทั้งหมด หรือให้คู่กรณีแต่ละฝ่ายรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตนหรือตามส่วนแห่งค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งคู่กรณีทุกฝ่ายได้เสียไปก่อนได้ตามที่ศาลจะใช้ดุลพินิจ โดยคํานึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดําเนินคดี
ข้อ ๑๗๒ ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่กรณีฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี ในคําสั่งชี้ขาดคดีหรือในคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ แล้วแต่กรณี ไม่ว่าคู่กรณีทั้งปวงหรือแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีคําขอหรือไม่
ข้อ ๑๗๓ ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยให้หักออกจากเงินที่ได้จากการยึด อายัด ขาย หรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือจากเงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้วางไว้ เว้นแต่เป็นกรณีตามข้อ ๑๗๔
ในกรณีที่มีการบังคับคดีแก่ผู้ค้ําประกันในศาล ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในส่วนนั้น ให้หักออกจากเงินที่ได้จากการบังคับคดีตามสัญญาประกัน
การถอนการบังคับคดีในกรณีที่มีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องไว้ ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ข้อ ๑๗๔ บุคคลใดทําให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีส่วนใดโดยไม่จําเป็น หรือมีลักษณะประวิงการบังคับคดี หรือที่ต้องดําเนินไปเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเพราะบังคับคดีไปโดยไม่สุจริต ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง ผู้ที่ได้รับความเสียหาย หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษา แล้วแต่กรณี อาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันทราบพฤติการณ์ อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น เพื่อให้ศาลมีคําสั่งให้บุคคลเช่นว่านั้นรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าว
ข้อ ๑๗๕ ถ้าผู้ที่ต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียม ต่อศาลก็ดี หรือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ดี หรือต่อบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาก็ดี ศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลเช่นว่านั้นอาจบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้นั้นเสมือนหนึ่งเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวได้
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาล ให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน บังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของผู้นั้น
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี รายงานศาลขอให้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของผู้นั้น
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ให้บุคคลนั้น ร้องขอต่อศาลขอให้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของผู้นั้น
กรณีตามวรรคสองและวรรคสาม ให้ถือว่าสํานักงานศาลปกครองเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา และเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการบังคับคดีจนแล้วเสร็จ
กรณีตามวรรคสี่ ให้บุคคลที่มีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
การบังคับคดีตามข้อนี้ ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีทั้งปวง แต่หากยังมี เงินที่ได้จากการบังคับคดีคงเหลือภายหลังชําระให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับ ให้หักค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้น ดังกล่าวไว้จากเงินนั้น
ข้อ ๑๗๖ กรณีตามข้อ ๑๗๕ วรรคสองและวรรคสาม เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว ให้แจ้งไปยังสํานักงานศาลปกครองในฐานะเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อทราบ
ให้สํานักงานศาลปกครองตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมจากที่อยู่ ตามทะเบียนบ้านและตามหลักฐานทางทะเบียน หากพบว่ามีทรัพย์สินที่สามารถยึดหรืออายัดมาชําระ ค่าฤชาธรรมเนียมได้ ให้สํานักงานศาลปกครองยื่นคําแถลงพร้อมรายละเอียดของทรัพย์สินดังกล่าว ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น หากไม่สามารถตรวจพบทรัพย์สินของผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมผู้นั้น ให้สํานักงานศาลปกครองรายงานต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมแล้ว ไม่พอชําระค่าฤชาธรรมเนียมและไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะยึดหรืออายัดได้หรือมีเหตุอื่นที่ไม่สามารถบังคับคดีได้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ภายในระยะเวลาหรือเงื่อนไข ตามที่ศาลกําหนด
หมวด หมวด ๑๒
เงินค้างจ่าย
ข้อ ๑๗๗ บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าผู้มีสิทธิ มิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
อื่นๆ **ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘**
โดยที่มาตรา ๔๕/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติว่า การยื่นคําขอ การพิจารณาคําขอ การขอให้พิจารณาใหม่ การอุทธรณ์และการดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่เกี่ยวกับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๙**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๐**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
**ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๒**
โดยที่มาตรา ๗๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ บัญญัติให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง และบทบัญญัติว่าด้วยค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีท้ายประมวลกฎหมายดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลมกับการบังคับคดีปกครอง ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้และหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง และให้ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจออกระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว และเพื่อบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง
ฯลฯ ฯลฯ
ข้อ ๕ ระเบียบนี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาล และกระบวนวิธีการบังคับคดี ของสํานักงาน หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้กระทําไปแล้วก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
บรรดาคดีที่อยู่ระหว่างการบังคับคดีหรืออยู่ในระหว่างการดําเนินการของสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่แล้วในวันก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดําเนินการต่อไปได้ตามระเบียบนี้
ข้อ ๖ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ กับให้มีอํานาจออกประกาศหรือคําสั่งเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ฯลฯ ฯลฯ | 10,838 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 | ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
===============================================
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๒)
---------------------------------------
พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔๙/๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ข้อ ๔๙/๑ คําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา คําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยไม่มีการวินิจฉัยชี้ขาดคดี คําสั่งลงโทษฐานละเมิดอํานาจศาลตามมาตรา ๖๔ หรือคําสั่งอื่นใดซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาตามข้อ ๑๐๐ วรรคสอง ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดภายในกําหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นนั้น
คําร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นและเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้องและมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น หรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นแล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล
ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นต่างไปจากคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ศาลปกครองชั้นต้นดําเนินการต่อไปตามขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบนี้กําหนดไว้”
ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า ของข้อ ๗๓ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“การอุทธรณ์คําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําโดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง สํานวนการไต่สวนคําขอ คําแถลงการณ์หรือบันทึกคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี และเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้อง โดยให้นําความในข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง และข้อ ๗๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่องค์คณะจะไม่นัดไต่สวนก็ได้แล้วมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นหรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น และส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล”
ข้อ ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ วรรคห้า และวรรคหก ของข้อ ๗๖ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“การอุทธรณ์คําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําโดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลรีบส่งคําร้องพร้อมด้วยคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นคําขอกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาหรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา สํานวนการไต่สวนคําขอ บันทึกคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี และเอกสารหรือสําเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปยังศาลปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคําร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดเพื่อพิจารณาคําร้องโดยให้นําความในข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง และวรรคหนึ่งของข้อนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่องค์คณะจะไม่นัดไต่สวนก็ได้ แล้วมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นหรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น แล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคําสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกําหนดวันอ่านคําสั่งเป็นการล่วงหน้าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคําสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและบันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคําสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือบางส่วนที่มิได้มาศาล”
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---
1. | 10,839 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2548
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓)
---------------------------------------
พ.ศ. ๒๕๔๘
---------
โดยที่มาตรา ๔๕/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติว่า การยื่นคําขอ การพิจารณาคําขอ การขอให้พิจารณาใหม่การอุทธรณ์และการดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่เกี่ยวกับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๔๕/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๑/๑ การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ข้อ ๔๑/๑ถึงข้อ ๔๑/๖ ของภาค ๒ วิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นต้น แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“หมวด ๑/๑
การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ข้อ ๔๑/๑ ถ้าคู่กรณีใดอ้างว่า ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร เมื่อศาลได้ไต่สวนแล้วเป็นที่เชื่อได้ว่า คู่กรณีนั้นไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรก็ให้ศาลอนุญาตให้คู่กรณีนั้นดําเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ แต่การขอเช่นว่านี้ ผู้ขอจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของผู้ขอมีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณาหรือในกรณีอุทธรณ์ศาลเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๔๑/๒ คู่กรณีใดมีความจํานงจะดําเนินคดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลปกครองชั้นต้นพร้อมกับคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ในการนี้ให้คู่กรณีที่ยื่นคําขอสาบานตัวให้คําชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของตนถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร
ถ้าคู่กรณีมิได้ยื่นคําขอพร้อมกับคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง คู่กรณีอาจยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลปกครองชั้นต้นในภายหลังได้
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้บันทึกถ้อยคําสาบานตัวให้คําชี้แจงของผู้ขอดําเนินคดีที่ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้ว ให้ศาลที่รับคําขอเป็นผู้พิจารณาและไต่สวนคําขอนั้น หากเห็นว่าคดีของคู่กรณีที่ยื่นคําขอไม่มีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ให้ศาลนั้นมีคําสั่งยกคําขอโดยไม่ต้องไต่สวนคําขอ
กรณีที่ศาลเห็นว่าคดีของคู่กรณีที่ยื่นคําขอมีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ให้ศาลจัดส่งสําเนาถ้อยคําเช่นว่านั้นไปให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง พร้อมด้วยสําเนาคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและสําเนาคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๔๑/๓ เมื่อศาลปกครองชั้นต้นได้ฟังคู่กรณีทุกฝ่ายและทําการไต่สวนตามที่เห็นสมควรแล้วเห็นว่ามีเหตุตามคําขอจริง ให้ศาลปกครองชั้นต้นอนุญาตให้คู่กรณีที่ยื่นคําขอดําเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือเฉพาะบางส่วน หากเห็นว่าไม่มีเหตุตามคําขอจริง ให้ศาลมีคําสั่งยกคําขอนั้นเสีย
ถ้าคู่กรณีฝ่ายที่มิได้ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่มีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้ศาลมีอํานาจไต่สวนผู้ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแต่ฝ่ายเดียว แล้วมีคําสั่งตามวรรคหนึ่งได้
คําสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้เป็นที่สุด
ข้อ ๔๑/๔ ถ้าศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะบางส่วนหรือมีคําสั่งให้ยกคําขอ ผู้ยื่นคําขอมีสิทธิดําเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่ง
(๑) ยื่นคําร้องขอให้พิจารณาคําขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้นําพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอ ถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ทั้งนี้ เฉพาะคดีที่ศาลเห็นว่ามีข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณีโดยยื่นคําร้องขอต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น เมื่อศาลมีคําสั่งเป็นประการใดแล้วให้เป็นที่สุด หรือ
(๒) อุทธรณ์คําสั่งนั้นต่อศาลปกครองสูงสุด โดยยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคําสั่งนั้น
ในกรณีที่คู่กรณีใช้สิทธิตาม (๑) หรือ (๒) อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะใช้สิทธิอีกประการหนึ่งมิได้
ข้อ ๔๑/๕ เมื่อคู่กรณีใดได้รับอนุญาตให้ดําเนินคดีในศาลปกครองชั้นต้นโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้ว หากต่อมายื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ ให้ถือว่าคู่กรณีนั้นยังเป็นผู้ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรอยู่ เว้นแต่จะปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่น
ข้อ ๔๑/๖ เมื่อศาลอนุญาตให้คู่กรณีใดฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลคู่กรณีนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลที่ได้รับยกเว้นในการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น
ถ้าปรากฏต่อศาลว่าคู่กรณีที่ฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลนั้นมีทรัพย์สินเพียงพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ โดยมีอยู่แล้วในเวลาที่ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้จนกว่าคู่กรณีนั้นจะนําค่าธรรมเนียมศาลมาชําระภายในเวลาที่ศาลกําหนดหากไม่ชําระภายในเวลาดังกล่าว ให้ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ”
ประกาศ ณ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---
1. | 10,840 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2548 | ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
===============================================
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๔)
---------------------------------------
พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๔๕/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของข้อ ๔๑/๖ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ถ้าปรากฏต่อศาลว่าคู่กรณีที่ฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลมีทรัพย์สินเพียงพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้โดยมีอยู่แล้วในเวลาที่ยื่นคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของคู่กรณีในขณะยื่นคําขอ แม้ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ก่อน และมีคําสั่งให้คู่กรณีนั้นนําค่าธรรมเนียมศาลมาชําระภายในเวลาที่ศาลกําหนด หากไม่ชําระภายในเวลาดังกล่าว ให้ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ”
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---
1. | 10,841 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 | ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ และมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๙”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของข้อ ๗๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๗๑ เมื่อได้รับคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสอง และเป็นกรณีที่ศาลมิได้มีคําสั่งตามข้อ ๗๐ให้ศาลส่งสําเนาคําขอให้คู่กรณีทําคําชี้แจงคัดค้านคําขอและแสดงพยานหลักฐานโดยเร็ว และหากเห็นสมควรศาลจะนัดไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ให้ศาลมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวโดยไม่ชักช้า”
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของข้อ ๗๒ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๗๒ การมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้กระทําโดยองค์คณะหลังจากตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอคําแถลงการณ์แล้ว แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่ามีเหตุจําเป็นที่จะต้องมีคําสั่งเกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นเป็นการด่วน องค์คณะจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอ โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้องค์คณะบันทึกเหตุจําเป็นดังกล่าวไว้ด้วย”
ข้อ ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๗๒/๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ข้อ ๗๒/๑ ในกรณีที่คําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสอง โดยผู้ขอได้ยื่นคําร้องรวมมาด้วยเพื่อให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน และศาลมิได้มีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคําขอและพยานหลักฐานประกอบคําขอ หรือจากคําแถลงของผู้ขอหรือจากพยานหลักฐานที่ผู้ขอนํามาสืบหรือที่ศาลแสวงหามาเอง ว่าคําขอนั้นเป็นคําขอที่ต้องมีคําสั่งโดยเร่งด่วน และมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอได้แล้ว ให้ศาลมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองหรือยกคําขอตามแต่จะเห็นสมควร โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ คําสั่งศาลที่ยกคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสองให้เป็นที่สุด
ผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคําร้องโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้นเสีย และให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าศาลมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง คําสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ โดยให้นําความในข้อ ๗๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียได้ใช้สิทธิดําเนินการตามวรรคนี้แล้ว จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามข้อ ๗๓ อีกไม่ได้
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอตามข้อ ๖๙ วรรคสองโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวต่อไป”
ข้อ ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๗๖/๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ข้อ ๗๖/๑ ในกรณีที่คําขอตามข้อ ๗๕ โดยผู้ยื่นคําขอได้ยื่นคําร้องรวมมาด้วยเพื่อให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน และศาลมิได้มีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอโดยเร่งด่วน ให้ศาลพิจารณาคําขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคําขอและพยานหลักฐานประกอบคําขอ หรือจากคําแถลงของผู้ขอหรือจากพยานหลักฐานที่ผู้ขอนํามาสืบหรือที่ศาลแสวงหามาเอง ว่าคําขอนั้นเป็นคําขอที่ต้องมีคําสั่งโดยเร่งด่วน และมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอได้แล้ว ให้ศาลมีคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา หรือยกคําขอ ตามแต่จะเห็นสมควร โดยไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีก็ได้ คําสั่งศาลที่ยกคําขอตามข้อ ๗๕ ให้เป็นที่สุด
ผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคําร้องโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษานั้นเสีย และให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าศาลมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาหรือวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษาคําสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้อง ให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้โดยให้นําความในข้อ ๗๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียได้ใช้สิทธิดําเนินการตามวรรคนี้แล้วจะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามข้อ ๗๖ อีกไม่ได้
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องให้พิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอตามข้อ ๗๕ โดยเร่งด่วนให้ศาลพิจารณาคําขอและมีคําสั่งเกี่ยวกับคําขอดังกล่าวต่อไป”
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ปิยะ ปะทังตา
รองประธานศาลปกครองสูงสุดคนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่แทน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---
1. | 10,842 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๖)
พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๐”
ข้อ ๒[[1]](#footnote-1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๓๔ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๓๔ คําฟ้องที่ขอให้ศาลสั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ให้ชําระค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์เป็นเงินสด เช็คซึ่งธนาคารรับรอง
หรือเช็คซึ่งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้สั่งจ่าย โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลออกใบรับให้
หรือชําระค่าธรรมเนียมศาลโดยวิธีการอื่นดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอย่างอื่น
ในการเรียกเก็บเงินตามวิธีการดังกล่าว ถ้ามี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประธาน
ศาลปกครองสูงสุดกําหนด
(๑) บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
(๒) หักบัญชีธนาคาร หรือชําระผ่านธนาคาร สถาบันการเงิน นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจ
การบริการรับชําระหนี้แทนหรือด้วยเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM)
(๓)[[2]](#footnote-2) ทางอินเทอร์เน็ต
(๔) วิธีการอื่นตามที่ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนด”
ประกาศ ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ปิยะ ปะตังทา
ประธานศาลปกครองสูงสุด
1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๗๓ ก/หน้า ๑/๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [↑](#footnote-ref-1)
2. ข้อ ๓๔ (๓) แก้คําผิดจาก “ทางอินเตอร์เน็ต” เป็น “ทางอินเทอร์เน็ต” โดยราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๘๗ ก/หน้า ๖๑/๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ [↑](#footnote-ref-2) | 10,843 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๗)
พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒”
ข้อ ๒[[1]](#footnote-1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔๑/๑ ข้อ ๔๑/๒ และข้อ ๔๑/๓ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๔๑/๑ คู่กรณีซึ่งไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะ
ของคู่กรณีนั้น ถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร อาจยื่นคําขอต่อศาล ขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องคดีหรือการอุทธรณ์ได้
ข้อ ๔๑/๒ คู่กรณีใดมีความจํานงจะดําเนินคดีโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ให้ยื่นคําขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลปกครองชั้นต้นพร้อมกับคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี
ในการนี้ ให้คู่กรณีผู้ยื่นคําขอเสนอพยานหลักฐานเท่าที่จะทําได้ไปพร้อมคําขอว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอ
ที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะของตนถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร
ถ้าคู่กรณีมิได้ยื่นคําขอพร้อมคําฟ้องหรือคําอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง คู่กรณีอาจยื่นคําขอให้ยกเว้น ค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลปกครองชั้นต้นในภายหลังได้
ข้อ ๔๑/๓ ให้ศาลปกครองชั้นต้นแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนหรือโดยวิธีอื่น ถ้าคําฟ้อง
หรือคําอุทธรณ์ของคู่กรณีที่ยื่นคําขอมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคําฟ้องไว้พิจารณา หรือมีเหตุผล
อันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณี และเห็นว่าคู่กรณีนั้นไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร
ก็ให้ศาลปกครองชั้นต้นอนุญาตให้คู่กรณีที่ยื่นคําขอดําเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด
หรือเฉพาะบางส่วน หากเห็นว่าไม่มีเหตุตามคําขอจริง ให้ศาลมีคําสั่งยกคําขอนั้นเสีย คําสั่งให้ยกเว้น
ค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้เป็นที่สุด”
ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔๙/๒ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ข้อ ๔๙/๒ ภายใต้บังคับข้อ ๖๑ ในกรณีตุลาการเจ้าของสํานวนเห็นว่าคําฟ้องใดเป็นคําฟ้อง
ที่สมบูรณ์ครบถ้วน และเป็นเรื่องที่ศาลจําต้องพิจารณาพิพากษาโดยเร่งด่วน เพราะมีกฎหมายกําหนด
เวลาในการพิจารณาพิพากษาไว้เป็นการเฉพาะหรือเพราะเหตุอื่นใด ซึ่งหากจะดําเนินกระบวนพิจารณา
ในชั้นการแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปสํานวน และการนั่งพิจารณาคดีและการพิพากษาคดีตามขั้นตอนปกติ
อาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังหรืออาจเป็น
อุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อตุลาการเจ้าของสํานวน
รับคําฟ้องไว้พิจารณาตามข้อ ๔๒ แล้วให้เสนอองค์คณะโดยด่วนเพื่อหารืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้น
เพื่อให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณามีคําสั่งโดยไม่ชักช้าให้ดําเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน
ในกรณีที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งให้ดําเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนให้ตุลาการ
เจ้าของสํานวนใช้อํานาจตามมาตรา ๖๑ หรือตามส่วนที่ ๑ หรือส่วนที่ ๒ ของหมวด ๒ โดยแจ้งให้
คู่กรณีและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทราบ เพื่อทําการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนหรือโดยวิธีการอื่นใด
ให้เสร็จสิ้นในวันเดียวหรือต่อเนื่องกันไป ทั้งนี้ ให้แจ้งให้ตุลาการผู้แถลงคดีทราบเพื่อเข้าร่วมในการไต่สวน
หรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใด และให้ถือว่าวันที่เสร็จสิ้นการแสวงหาข้อเท็จจริงตามวรรคนี้
เป็นวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงตามข้อ ๖๒ โดยไม่ต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบตามข้อ ๖๒ วรรคสอง อีก
คู่กรณีทุกฝ่ายซึ่งได้รับทราบหรือถือว่าได้รับทราบคําสั่งศาลตามวรรคสองให้มาศาลแล้วไม่มา
ในวันไต่สวน ให้ถือว่ารับทราบกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดําเนินไปในครั้งนั้น และรับทราบกําหนด
วันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกหรือกําหนดนัดอื่นที่ศาลแจ้งคู่กรณีที่มาศาลในขณะทําการไต่สวน
ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนจัดทําบันทึกของตุลาการเจ้าของสํานวนตามข้อ ๖๐ และเสนอ
บันทึกดังกล่าวพร้อมสํานวนคดีให้องค์คณะเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า และให้ตุลาการผู้แถลงคดี
จัดทําบันทึกคําแถลงการณ์ด้วยวาจาตามข้อ ๖๓ ให้เสร็จสิ้นก่อนวันนั่งพิจารณาครั้งแรก
ให้องค์คณะกําหนดวันใดวันหนึ่งเป็นวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ทั้งนี้ ต้องไม่เกินเจ็ดวัน
หลังจากวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงตามวรรคสอง และให้แจ้งกําหนดวันนั่งพิจารณาครั้งแรก
พร้อมสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวนให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าเป็นเวลาตามที่เห็นสมควร
ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงการณ์ด้วยวาจาของตุลาการผู้แถลงคดีแล้ว
ให้ตุลาการหัวหน้าคณะนัดประชุมปรึกษาเพื่อพิพากษาหรือมีคําสั่งในวันเดียวกันนั้นหรือวันอื่นตามที่
เห็นสมควร”
ข้อ ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๑๐/๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“ข้อ ๑๑๐/๑ ในการพิจารณาคดีอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น หากองค์คณะ
เห็นว่าคดีนั้นมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเห็นว่าการไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดี
จะไม่ทําให้เสียความยุติธรรม องค์คณะอาจไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีก็ได้
ให้ศาลแจ้งการไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีไปพร้อมส่งสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวน
ให้คู่กรณีทราบ ในการนี้ให้คู่กรณีมีสิทธิยื่นคําแถลงเป็นหนังสือต่อองค์คณะภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่
ได้รับแจ้ง และหากคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดประสงค์จะขอให้มีการนั่งพิจารณาคดี ให้ยื่นคําขอภายใน
เจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ศาลจัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีต่อไป
ในกรณีที่องค์คณะไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีในคดีใด ให้ตุลาการผู้แถลงคดีมาชี้แจง
ด้วยวาจาประกอบคําแถลงการณ์เป็นหนังสือหรือมาแถลงการณ์ด้วยวาจาในการประชุมปรึกษา
เพื่อพิพากษาหรือมีคําสั่งในคดีนั้น”
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ปิยะ ปะตังทา
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---------------------------------------------------
นางสาววิชิดา วิสมิตะนันท์ /จัดทํา
นางวรรณพร สุฐาปัญณกุล /ตรวจ
นางสาวพิมพนัส สายสุด รกน. ผอ.กลุ่ม ขก.
วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๑๕ ก/หน้า ๑๐/๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ [↑](#footnote-ref-1) | 10,844 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘)
พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยที่มาตรา ๗๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
(ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ บัญญัติให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง
ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง และบทบัญญัติว่าด้วยค่าฤชาธรรมเนียม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีท้ายประมวล
กฎหมายดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลมกับการบังคับคดีปกครอง ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ
พระราชบัญญัตินี้และหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง และให้ที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจออกระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อปฏิบัติการ
ให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว และเพื่อบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ มาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๗๕/๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
จึงออกระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๒”
ข้อ ๒[[1]](#footnote-1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มบทนิยามคําว่า “สํานักงาน” “เจ้าพนักงานบังคับคดี” “เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา”
และ “ลูกหนี้ตามคําพิพากษา” ต่อท้ายบทนิยามคําว่า “คําแถลงการณ์” ในข้อ ๓ แห่งระเบียบของ
ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักบังคับคดีปกครอง หรือสํานักงานศาลปกครองในภูมิภาค
และให้หมายความรวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดี
“เจ้าพนักงานบังคับคดี” หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองที่มีคุณสมบัติตามประกาศ
ก.ศป. เรื่อง คุณสมบัติของข้าราชการฝ่ายศาลปกครองที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้มีอํานาจหน้าที่ปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง และระเบียบนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่กรณีในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา
หรือคําสั่ง และให้หมายความรวมถึงเอกชนหรือบุคคลอื่นที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
ให้ปฏิบัติการแทนภายใต้การกํากับดูแลของเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย
“เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา” หมายความว่า คู่กรณีหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคล
ที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ได้รับชําระหนี้หรือบุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคําพิพากษา
หรือคําสั่ง และให้หมายความรวมถึงคู่กรณีฝ่ายที่ชนะคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) (๕)
หรือ (๖) ด้วย
“ลูกหนี้ตามคําพิพากษา” หมายความว่า คู่กรณีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ชําระหนี้
และให้หมายความรวมถึงคู่กรณีหรือบุคคลที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ข้อ ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นภาค ๔ การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ข้อ ๑๑๗
ถึงข้อ ๑๗๗ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓
“ภาค ๔
การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ ๑๑๗ การบังคับคดีปกครองเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาโดยศาล และสํานักงาน
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคําสั่งศาล
ข้อ ๑๑๘ ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนหรือตุลาการศาลปกครองคนหนึ่งคนใดซึ่งได้รับมอบหมาย
จากองค์คณะมีอํานาจดําเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการบังคับคดีปกครองทั้งปวง เว้นแต่ในระเบียบนี้
จะกําหนดให้ดําเนินการโดยองค์คณะ
ข้อ ๑๑๙ ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลปกครองชั้นต้น
โดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ตามมาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้คําบังคับมีผลนับแต่วันที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว
ข้อ ๑๒๐ การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลให้ดําเนินการได้จนกว่าจะมีการปฏิบัติ
ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นแล้วเสร็จ เว้นแต่การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ที่ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาชําระหนี้โดยให้ใช้เงิน ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
ให้ดําเนินการภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งในชั้นที่สุด แต่ถ้าได้มีการออกหมายบังคับคดีภายในกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
ดําเนินการบังคับคดีหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดําเนินการบังคับคดีในเรื่องใดไว้แล้ว ก็ให้ดําเนินการบังคับคดีในส่วนนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ถ้าคําพิพากษาหรือคําสั่งกําหนดให้ชําระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี
หรือกําหนดให้ชําระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลาสิบปีตั้งแต่วันที่หนี้ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น อาจบังคับให้ชําระได้
ข้อ ๑๒๑ ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งโดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการ
ดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง (๘) ให้สํานักงานติดตามว่าได้มี
การดําเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวหรือไม่ แล้วรายงานต่อศาล
ข้อ ๑๒๒ ในคดีที่ฟ้องขอให้ใช้เงิน เมื่อศาลมีคําพิพากษาแล้ว หากลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ยอมปฏิบัติตามคําพิพากษาและต้องการชําระหนี้ตามคําพิพากษาโดยไม่อุทธรณ์คําพิพากษาและนําเงิน
มาวางชําระหนี้ตามคําพิพากษา ให้ศาลสั่งรับเงินที่วางศาลและสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลออกใบรับเงิน
และแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามารับเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ในกรณีนี้ ถ้าเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษามารับเงินไปแล้ว ลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินดังกล่าวนับแต่
วันที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้มารับเงิน หากคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของศาลปกครองสูงสุด
ให้แจ้งศาลปกครองสูงสุดให้ทราบถึงการชําระเงินดังกล่าวด้วย
ข้อ ๑๒๓ เมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
มีอํานาจดําเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามที่ศาลกําหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และให้มีอํานาจในฐานะเป็นผู้แทนของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในอันที่จะรับชําระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้
ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอกนํามาวางและออกใบรับให้
ให้นําความตามวรรคหนึ่งมาใช้บังคับในกรณีที่สํานักงานดําเนินการบังคับคดีในระหว่างที่ศาล
ยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือกรณีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาล
โดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีด้วย
การดําเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองให้รายงานศาลและแจ้งคู่กรณีทราบ หากมีข้อโต้แย้งว่า การปฏิบัติตามคําพิพากษายังไม่ถูกต้องครบถ้วน ให้ศาลพิจารณาและมีคําสั่งโดยองค์คณะ
ข้อ ๑๒๔ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจสั่งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาให้ความช่วยเหลือ
และวางเงินค่าใช้จ่ายเพื่อปฏิบัติตามวิธีการเพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่กรณีในระหว่างการพิจารณา
หรือเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งได้ตามจํานวนที่เห็นจําเป็น ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดี
เห็นว่าจํานวนเงินที่วางไว้นั้นจะไม่พอ ก็ให้แจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาวางเงินเพิ่มขึ้นอีกได้
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเห็นว่า การวางเงินค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีไม่จําเป็นหรือมากเกินไป
ก็อาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งได้ คําสั่งดังกล่าว
ให้เป็นที่สุด
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาลตามวรรคสอง
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้จนกว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะได้ปฏิบัติตามคําสั่ง
ของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือศาล แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๒๕ ในกรณีที่ศาลมีคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) (๓) เฉพาะที่ให้
หน่วยงานทางปกครองใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ และ (๔)
ซึ่งเป็นคดีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ให้ศาลมีคําสั่งไปยังสํานักงานเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการให้เป็นไป
ตามคําบังคับของศาลดังกล่าว
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีมีอํานาจหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) ดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
(๒) ส่งเอกสารเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
(๓) ติดตามผลการปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล เพื่อรายงานและเสนอความเห็น
ต่อศาลประกอบการพิจารณาและมีคําสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดี
(๔) สอบถามหรือแจ้งให้คู่กรณี พยานบุคคล หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ ชี้แจงข้อเท็จจริงหรือ
แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบังคับคดี และบันทึกถ้อยคําของบุคคลดังกล่าวรวมไว้ในสํานวนการบังคับคดี
(๕) แจ้งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงหรือ
ให้ความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบังคับคดี
(๖) ออกตรวจสอบสถานที่ บุคคล หรือสิ่งอื่นใดอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดี และมีอํานาจ
บันทึกภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว พร้อมทั้งบันทึกเหตุการณ์หรือพฤติการณ์รวมไว้ในสํานวนการบังคับคดี
(๗) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามคําสั่งศาล
ข้อ ๑๒๖ ในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครอง และเป็นเรื่อง
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมาย
ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือตามกฎหมายอื่น ไม่ว่าโดยบุคคลใด ให้อยู่ในอํานาจของ
ศาลปกครอง
ข้อ ๑๒๗ ให้ศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจเรียกเก็บค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ตามระเบียบนี้
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดโดยความเห็นชอบของ ก.บ.ศป. มีอํานาจออกประกาศกําหนด หลักเกณฑ์และอัตราค่าฤชาธรรมเนียม นอกจากที่ระบุไว้ในตาราง ๑ และตาราง ๕ ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกาศนี้เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ข้อ ๑๒๘ ให้เลขาธิการสํานักงานศาลปกครองมีอํานาจออกประกาศ ระเบียบ หรือข้อบังคับ
ทางธุรการเกี่ยวกับการดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําบังคับของศาลปกครอง ประกาศ ระเบียบ หรือ ข้อบังคับดังกล่าว เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ส่วนที่ ๑
ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี
ข้อ ๑๒๙ ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีซึ่งมีอํานาจออกหมายบังคับคดี หรือสั่งจับกุมและ
กักขัง หรือปรับ หรือมีอํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีเพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
หรือทําคําวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง คือศาล
ที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น หรือตามที่มีกฎหมายบัญญัติ
ถ้าศาลปกครองสูงสุดได้ส่งคดีไปยังศาลปกครองชั้นต้นแห่งอื่นที่มิได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ที่อุทธรณ์นั้นเพื่อการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๒) ให้ศาลที่มีคําพิพากษา
หรือคําสั่งใหม่นั้นเป็นศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี เว้นแต่ศาลปกครองสูงสุดจะได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่จะต้องบังคับคดีนอกเขตศาล ให้ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีมีอํานาจตั้งให้ศาลอื่น
บังคับคดีแทนได้ ถ้าเป็นการบังคับตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน
บังคับคดี ให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนมีคําสั่งไปยังสํานักงานของศาลนั้นเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่
ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการให้เป็นไปตามคําบังคับของศาล ถ้าการบังคับคดีต้องทําโดยทางเจ้าพนักงาน บังคับคดีและศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําแถลง
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนทราบพร้อมด้วยสําเนาหมายบังคับคดี
หรือสําเนาคําสั่งกําหนดวิธีการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลดังกล่าวแจ้งให้ศาลที่มีอํานาจ
ในการบังคับคดีทราบโดยไม่ชักช้า และให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
หรือมีคําสั่งอื่นใดเพื่อดําเนินการบังคับคดีต่อไป
ถ้าเป็นการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง ให้ศาลที่บังคับคดีแทนส่งทรัพย์สินที่ได้จาก
การยึดหรืออายัดหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินนั้น แล้วแต่กรณี ไปยังศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี
เพื่อดําเนินการไปตามกฎหมาย
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนอกเขตศาลโดยบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ศาล
ที่บังคับคดีแทนมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับคดีใด ๆ โดยเฉพาะ หรือมีคําสั่งกําหนดวิธีการอย่างใดแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีหรือ
เจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้น รวมถึงดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่เกี่ยวเนื่องได้ เว้นแต่เมื่อการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นและแจ้งผลการบังคับคดีไปยังศาลที่มีอํานาจ
ในการบังคับคดีแล้ว ให้เป็นอํานาจของศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีเท่านั้น
ส่วนที่ ๒
การแจ้งคําบังคับ
ข้อ ๑๓๐ คดีที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือคดีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้บังคับคดีตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งเมื่อทราบคําพิพากษาหรือคําสั่งโดยชอบแล้ว เพื่อประโยชน์
แก่คู่กรณีในการบังคับคดี ให้ศาลออกหมายแจ้งคําบังคับไปยังลูกหนี้ตามคําพิพากษา โดยให้ระบุ
ในหมายแจ้งคําบังคับด้วยว่า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนอาจถูกยึดทรัพย์สิน
หรืออายัดสิทธิเรียกร้อง หรือถูกจับกุมและกักขัง แล้วแต่กรณี
ในกรณีผู้ที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลให้ถูกต้องครบถ้วน
หรือปฏิบัติล่าช้าเป็นไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจมีคําสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐนั้นชําระค่าปรับต่อศาลตามจํานวนที่สมควร หรืออาจแจ้งผู้บังคับบัญชา ผู้กํากับดูแล ผู้ควบคุม
หรือนายกรัฐมนตรี เพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ หรือสั่งการ หรือลงโทษทางวินัยต่อไปก็ได้
ลูกหนี้ตามคําพิพากษาจะได้รับหมายแจ้งคําบังคับตามวรรคหนึ่งหรือไม่ก็ตาม ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ส่วนที่ ๓
การงดบังคับคดี
ข้อ ๑๓๑ ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดี ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเพราะเหตุที่ศาลมีคําสั่งรับคําขอให้พิจารณาคดีใหม่
และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ
(๒) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเพราะเหตุที่คู่กรณีหรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบ
โดยตรงจากคําพิพากษาหรือคําสั่ง ยื่นคําร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล
เนื่องจากคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน
และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ
(๓) เมื่อลูกหนี้ตามคําพิพากษายื่นคําร้องต่อศาลว่าได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นคดี
เรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้นไว้แล้ว ซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาด และถ้าหากตนเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการยึด
อายัด ขายทอดตลาด หรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษาโดยวิธีอื่น เพราะสามารถ
จะหักกลบลบหนี้กันได้ ถ้าศาลเห็นว่า ข้ออ้างของลูกหนี้ตามคําพิพากษามีเหตุฟังได้ ศาลอาจมีคําสั่ง
ให้งดการบังคับคดีไว้ คําสั่งนี้อาจอยู่ภายใต้บังคับเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ หรือไม่ก็ได้ และศาลจะมีคําสั่ง
ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจํานวนที่เห็นสมควรภายในระยะเวลา
ที่กําหนดเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้ตามคําพิพากษาและค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
สําหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดจากการยื่นคําร้องนั้นด้วยก็ได้
และได้แจ้งคําสั่งงดการบังคับคดีให้ทราบ คําสั่งของศาลในกรณีนี้ให้กระทําโดยองค์คณะและให้เป็นที่สุด
(๔) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดี และได้ส่งคําสั่งนั้นไปให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงาน
บังคับคดีทราบ ในกรณีเช่นนี้ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้ภายในระยะเวลา
หรือเงื่อนไขตามที่ศาลกําหนด
(๕) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
ว่าตนตกลงงดการบังคับคดีไว้ชั่วระยะเวลาที่กําหนดไว้หรือภายในเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งโดยได้รับ
ความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกหนี้ตามคําพิพากษาและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
(๖) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๒๔
(๗) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้งดการบังคับคดีเนื่องจากสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงาน
ศาลว่าสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามารับเงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ได้วางไว้ต่อศาล สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อชําระหนี้ตามคําพิพากษาโดยชอบแล้ว
แต่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่มารับเงินดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนด
ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการงดการบังคับคดีให้คู่กรณีและบุคคลภายนอก
ผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยไม่ชักช้า และรายงานให้ศาลทราบ
ข้อ ๑๓๒ ในกรณีที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการบังคับคดีไว้ตามคําสั่งของศาล
ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อได้รับคําสั่งจากศาลโดยศาลเป็นผู้ออก
คําสั่งนั้นเอง หรือโดยเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้ยื่นคําขอให้ศาลออกคําสั่ง เนื่องจากระยะเวลา
ที่ให้งดการบังคับคดีนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ศาลได้กําหนดไว้ หรือไม่มีความจําเป็น
ที่จะต้องงดการบังคับคดีอีกต่อไปแล้ว
ถ้าได้งดการบังคับคดีตามข้อ ๑๓๑ (๕) หรือ (๖) ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
ดําเนินการบังคับคดีต่อไป เมื่อระยะเวลาที่ให้งดการบังคับคดีได้ล่วงพ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไป
ตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้กําหนดไว้ หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้วางเงินค่าใช้จ่าย
ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนดหรือตามคําสั่งศาลแล้ว
ส่วนที่ ๔
การถอนการบังคับคดี
ข้อ ๑๓๓ ให้ศาลมีคําสั่งถอนการบังคับคดี ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) กรณีการบังคับคดีตามคําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่อนุญาตให้บังคับคดีตามคําพิพากษาของ
ศาลปกครองชั้นต้นโดยไม่ต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ต่อมาในระหว่างการบังคับคดีนั้นคําพิพากษา
ดังกล่าวได้ถูกกลับหรือถูกยก หรือหมายบังคับคดีได้ถูกเพิกถอน แต่ถ้าคําพิพากษาในระหว่างบังคับคดีนั้น
ได้ถูกกลับแต่เพียงบางส่วน การบังคับคดีอาจดําเนินการต่อไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคําพิพากษาของ
ศาลปกครองสูงสุดครบถ้วน
(๒) เมื่อสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลขอให้สั่งถอนการบังคับคดีเนื่องจาก
เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพิกเฉยไม่ดําเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
กําหนด
(๓) เมื่อลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ปฏิบัติตามคําพิพากษาครบถ้วนพร้อมทั้งได้ชําระค่าฤชาธรรมเนียม
ในการบังคับคดี (ถ้ามี)
(๔) เมื่อสํานักงานรายงานศาลขอให้สั่งถอนการบังคับคดีเนื่องจากได้ดําเนินการบังคับ
ตามคําบังคับของศาลถูกต้องครบถ้วนแล้ว หรือไม่มีกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลอีกต่อไป
(๕) เมื่อสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็น
หนังสือไปยังสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตนขอสละสิทธิในการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้
เจ้าหนี้ตามคําพิพากษานั้นจะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่ตนได้สละสิทธินั้นอีกมิได้
(๖) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือ
ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตนขอถอนการบังคับคดี
(๗) เมื่อสํานักงานรายงานศาลว่าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสํานักงาน
ว่าตนไม่ประสงค์ให้มีการบังคับคดีต่อไป
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง (๕) หากเป็นคดีที่มีเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหลายคน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
แต่ละคนอาจแสดงความประสงค์ในส่วนของตนได้ การถอนการบังคับคดีในกรณีนี้ให้มีผลเฉพาะเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาที่ขอสละสิทธิ หากเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาที่แสดงความประสงค์ดังกล่าวเป็นผู้แทนของ
เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาทุกคนและการแสดงความประสงค์ดังกล่าวจะมีผลเป็นการถอนการบังคับคดีทั้งคดี
ให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลเพื่อพิจารณา ในการนี้ ศาลจะไต่สวนหรือแสวงหา ข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อให้ได้ความเป็นที่ยุติว่า การแสดงความประสงค์ของผู้แทนดังกล่าวเป็นไปตาม
ความประสงค์ของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาทุกคนก่อนมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนการบังคับคดีก็ได้ แต่ทั้งนี้
ในคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือคดีที่การบังคับคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์
แก่ส่วนรวม หรือการถอนการบังคับคดีเกิดจากการสมยอมกันโดยไม่เหมาะสม ศาลจะมีคําสั่งไม่อนุญาต
ให้ถอนการบังคับคดีก็ได้
คําสั่งศาลตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) ให้กระทําโดยองค์คณะ
ให้ศาลแจ้งการถอนการบังคับคดีให้สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ และให้สํานักงาน
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการถอนการบังคับคดีให้คู่กรณีและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียทราบ
โดยไม่ชักช้า และรายงานให้ศาลทราบด้วย
ส่วนที่ ๕
การเพิกถอนหรือแก้ไขการบังคับคดีที่ผิดระเบียบ
ข้อ ๑๓๔ ในกรณีที่หมายบังคับคดี หรือคําสั่งศาลในชั้นบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด
หรือฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจําเป็นจะต้องเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดี
หรือคําสั่งดังกล่าวนั้น เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง หรือเมื่อสํานักงาน
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาล หรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคําร้องต่อศาล
ให้ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดี หรือคําสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน หรือมีคําสั่ง
อย่างใดตามที่ศาลเห็นสมควร
ในกรณีที่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือ
ฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง หรือเมื่อเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้อง
เสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคําร้องต่อศาล ให้ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการ
บังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคําสั่งกําหนดวิธีการอย่างใดแก่สํานักงาน
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร เว้นแต่การคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์สิน
หรือสิทธิเรียกร้องเพราะเหตุที่ราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจํานวนต่ําเกินสมควร
การยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอาจกระทําได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดี
ได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
ทั้งนี้ ผู้ยื่นคําร้องต้องมิได้ดําเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืน
กฎหมายนั้นแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทํานั้น และในกรณีเช่นว่านี้ผู้ยื่นคําร้องจะขอต่อศาล
ในขณะเดียวกันนั้นให้มีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้
เพื่อประโยชน์แห่งข้อนี้ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเมื่อได้มีการดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่คําบังคับกําหนดให้ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการอย่างใด
เมื่อได้มีการปฏิบัติตามคําบังคับที่ให้ส่งมอบทรัพย์สิน กระทําการ หรืองดเว้นกระทําการอย่างนั้นแล้ว
แต่ถ้าการปฏิบัติตามคําบังคับดังกล่าวอาจแยกเป็นส่วน ๆ ได้ เมื่อได้มีการปฏิบัติตามคําบังคับในส่วนใดแล้ว
ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะในส่วนนั้น
(๒) ในกรณีที่คําบังคับกําหนดให้ใช้เงิน เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาด
หรือจําหน่ายโดยวิธีอื่นและจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
หรือเมื่อได้จ่ายเงินจํานวนสุทธิหรือส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอกที่ทรัพย์สิน
ของตนถูกจําหน่ายไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาแล้ว แต่ถ้าทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี
มีหลายรายการ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายการใดแล้ว
ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะทรัพย์สินรายการนั้น
(๓) ในกรณีที่ต้องปฏิบัติตามคําบังคับของศาลโดยไม่ต้องออกหมายบังคับคดี เมื่อสํานักงาน
แจ้งให้ทราบว่าศาลมีคําสั่งให้ถอนการบังคับคดี
ในการยื่นคําร้องต่อศาลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่า
คําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องวางเงินหรือหาประกัน
ต่อศาลตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรเพื่อเป็นประกันการชําระค่าสินไหมทดแทน
แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลนั้นสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคําร้องนั้น ถ้าผู้ยื่นคําร้อง
ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล ให้ศาลมีคําสั่งยกคําร้องนั้นเสีย ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว
เมื่อศาลเห็นว่า ไม่มีความจําเป็นต่อไป จะสั่งคืนหรือยกเลิกประกันนั้นก็ได้ คําสั่งของศาลที่ออก
ตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลได้มีคําสั่งยกคําร้องที่ยื่นไว้ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าบุคคลที่ได้รับ
ความเสียหายเนื่องจากการยื่นคําร้องดังกล่าวเห็นว่าคําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า
บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคําสั่งยกคําร้อง เพื่อขอให้ศาลสั่ง
ให้ผู้ยื่นคําร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้แยกการพิจารณา
เป็นสํานวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาลไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดแล้วเห็นว่า
คําร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหาย ดังกล่าวตามจํานวนที่ศาลเห็นสมควร ถ้าผู้ยื่นคําร้องนั้นไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล บุคคลที่ได้รับ
ความเสียหายอาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่ผู้ยื่นคําร้องนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หมวด ๒
การไต่สวนและมีคําสั่งกําหนดวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ข้อ ๑๓๕ ในการบังคับคดี ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
เห็นว่า ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังไม่ปฏิบัติตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาลหรือมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติ
ตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาล เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือสํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจยื่น
คําขอหรือรายงานต่อศาล แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้ศาลพิจารณามีคําสั่งหรือไต่สวน
เมื่อมีคําขอหรือรายงานตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่การบังคับคดี
ศาลมีอํานาจแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการออกหมายเรียกลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่เชื่อว่า
อยู่ในฐานะที่จะให้ถ้อยคําอันจะเป็นประโยชน์มาศาลด้วยตนเองเพื่อการไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริง
โดยวิธีอื่นและมีอํานาจสั่งให้บุคคลนั้น ๆ ส่งเอกสารหรือวัตถุพยานซึ่งอยู่ในความยึดถือหรืออํานาจของ
ผู้นั้นอันเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ทั้งนี้ ตามกําหนดและเงื่อนไขใด ๆ
ที่เห็นสมควร และมีคําสั่งกําหนดวิธีการดําเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง หรือมีคําสั่งใด ๆ
เพื่อให้การบังคับคดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว
ให้นําความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่กรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเห็นว่าการปฏิบัติ
ตามคําสั่งหรือคําบังคับของศาลมีข้อขัดข้องด้วยโดยอนุโลม
หมวด ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)
ส่วนที่ ๑
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนกฎ
ข้อ ๑๓๖ ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนกฎ ให้สํานักงานเสนอประกาศผล
แห่งคําพิพากษาที่ให้เพิกถอนกฎดังกล่าวต่อศาลเพื่อลงนาม และให้สํานักงานศาลปกครองส่งประกาศนั้น
ไปยังสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว
ให้สํานักงานแจ้งผลการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวให้คู่กรณีและรายงานศาลทราบ
ส่วนที่ ๒
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําสั่ง
ข้อ ๑๓๗ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําสั่ง ย่อมมีผลให้คําสั่งนั้น
ถูกเพิกถอนโดยไม่ต้องมีการบังคับคดี
ส่วนที่ ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับห้ามการกระทํา
ข้อ ๑๓๘ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับห้ามการกระทําของหน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่า
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลหรือไม่ และจัดทําบันทึก
ผลการตรวจสอบ แล้วรายงานต่อศาล
หมวด ๔
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๒)
ข้อ ๑๓๙ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลกําหนด เมื่อครบกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว
ให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่าหัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐนั้น ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามคําบังคับของศาลหรือไม่ และจัดทําบันทึก
ผลการตรวจสอบ แล้วรายงานต่อศาล
ในกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่ปฏิบัติตาม
คําบังคับภายในเวลาที่ศาลกําหนดหรือมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ให้สํานักงาน
รายงานศาลเพื่อดําเนินการตามข้อ ๑๓๕
หากปรากฏว่าหัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตาม
คําบังคับภายในเวลาที่ศาลกําหนดให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร ให้สํานักงาน
รายงานศาลเพื่อดําเนินการตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการปรับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาล
ให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร
หมวด ๕
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓)
ส่วนที่ ๑
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ใช้เงิน
ข้อ ๑๔๐ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองใช้เงิน
ให้สํานักงานดําเนินการบังคับคดีโดยติดตามและตรวจสอบว่าหน่วยงานทางปกครองนั้นได้ปฏิบัติตาม
คําบังคับของศาลถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือไม่ แล้วรายงานต่อศาล
ในกรณีที่หน่วยงานทางปกครองยังไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลภายในเวลาที่ศาลกําหนดหรือ
มีข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ให้สํานักงานรายงานศาลเพื่อดําเนินการตามข้อ ๑๓๕
หากปรากฏว่าหน่วยงานทางปกครองไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลภายในเวลาที่ศาลกําหนด
ให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าโดยไม่มีเหตุอันควร ให้สํานักงานรายงานศาลเพื่อดําเนินการ
ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ในการปรับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลให้ถูกต้อง
ครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร
ข้อ ๑๔๑ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่มิใช่หน่วยงาน
ทางปกครองหรือเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ทรัพย์สินอยู่ในความรับผิดแห่ง
การบังคับคดีใช้เงิน ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้นไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลทั้งหมดหรือบางส่วนภายใน
ระยะเวลาที่ศาลกําหนด เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยวิธี
ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามที่กฎหมายกําหนด โดยระบุจํานวนหนี้
ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ชําระตามคําบังคับของศาล
ส่วนที่ ๒
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ข้อ ๑๔๒ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืน
ทรัพย์เฉพาะสิ่งแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งเพื่อชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษา ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ใช้เงินตามข้อ ๑๔๑
มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ ในการร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สินหรืออายัด
สิทธิเรียกร้องนั้น ให้ระบุทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ยังมิได้รับคืนหรือรับมอบและพฤติการณ์ที่ลูกหนี้
ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย
ข้อ ๑๔๓ ถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งของลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
เพื่อชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องได้ถูกยึดหรืออายัดไว้เพื่อเอาชําระหนี้เงินในคดีอื่นแล้ว เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาชอบที่จะยื่นคําร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีในคดีนั้นก่อนมีการขายทอดตลาด
หรือจําหน่ายโดยวิธีอื่นขอให้มีคําสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบทรัพย์นั้นให้แก่ตน โดยต้องแสดง
ให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์ในคดีดังกล่าวสามารถบังคับคดี
เอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้เพียงพอ ทั้งนี้ ให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
ทราบและอาจมีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการยึดหรืออายัดทรัพย์แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์
ในคดีอื่นนั้น และให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอื่นนั้นได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงาน
บังคับคดี
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่สามารถแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ตามวรรคหนึ่ง ให้ศาล
มีคําสั่งให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษามีสิทธิเข้าเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้
ตามคําพิพากษาในคดีอื่นนั้นตามวิธีการที่กฎหมายกําหนด
ข้อ ๑๔๔ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบ
ทรัพย์เฉพาะสิ่งที่มีทะเบียนกรรมสิทธิ์หรือมีหนังสือรับรองการทําประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษานั้น
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียนดําเนินการจดทะเบียนต่อไป
การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์
เฉพาะสิ่ง ถ้ามีเหตุขัดขวางหรือเหตุขัดข้องในการส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์นั้นแก่เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษา ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ขับไล่ที่กําหนดไว้
ในส่วนที่ ๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๔๕ การบังคับคดีที่ขอให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
เป็นผู้รับผิดแทน
ส่วนที่ ๓
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
ข้อ ๑๔๖ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการหรืองดเว้นกระทําการ ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษา
และกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่
ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามข้อ ๑๓๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หากศาลเห็นว่าวิธีการบังคับคดีตามที่กําหนดในส่วนนี้ ไม่อาจบรรลุผลตามคําพิพากษาของศาลได้
ให้ศาลมีอํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควรเท่าที่สภาพแห่งการบังคับคดีจะเปิดช่อง
ให้กระทําได้
ส่วนที่ ๔
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
โดยให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
(ขับไล่)
ข้อ ๑๔๗ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาออกไป
จากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามิได้ปฏิบัติตาม
คําบังคับของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยระบุถึง
พฤติการณ์ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย เมื่อศาลออกหมายบังคับคดี
ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๔๘ ถึงข้อ ๑๕๐
ข้อ ๑๔๘ ถ้าปรากฏว่าอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์นั้นไม่มีบุคคลใดอยู่แล้ว
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจส่งมอบทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
เข้าครอบครองได้ทันที ถ้ามีสิ่งกีดขวางอันเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจ
ทําลายสิ่งกีดขวางดังกล่าวได้ตามความจําเป็น
ถ้ายังมีสิ่งของของลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือของบุคคลใดอยู่ในทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
ทําบัญชีสิ่งของนั้นไว้ และมีอํานาจดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าสิ่งของนั้นมีสภาพเป็นของสดของเสียได้ หรือมีสภาพอันจะก่อให้เกิดอันตรายได้
หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของสิ่งของนั้น
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจจําหน่ายสิ่งของนั้นได้ทันทีโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นที่เห็นสมควร
และเก็บรักษาเงินสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายไว้แทนสิ่งของนั้น หรือทําลายสิ่งของนั้น หรือดําเนินการอื่นใด
ตามที่เห็นสมควรก็ได้ ทั้งนี้ ให้คํานึงถึงสภาพแห่งสิ่งของ ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย และประโยชน์สาธารณะ (๒) ถ้าสิ่งของนั้นมิใช่สิ่งของตามที่ระบุไว้ใน (๑) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจนําสิ่งของนั้น
มาเก็บรักษาไว้ หรือมอบให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รักษา หรือฝากไว้ ณ สถานที่ใด หรือ
แก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร แล้วแจ้งหรือประกาศให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของมารับคืนไป
ภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนด ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มารับ
หรือไม่ยอมรับสิ่งของนั้นคืนไปภายในเวลาที่กําหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตาม (๑) โดยอนุโลม เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มาจากการจําหน่ายสิ่งของตามวรรคสอง (๑) หรือ (๒)
ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มาขอรับคืนภายในกําหนดห้าปีนับแต่ได้รับแจ้งจาก
เจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ในกรณีที่สิ่งของตามวรรคสองถูกยึด อายัด หรือห้ามโอน ยักย้าย หรือจําหน่ายตามวิธีการ
ชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือเพื่อการบังคับคดีในคดีอื่น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจย้ายสิ่งของ
ดังกล่าวไปเก็บไว้ ณ สถานที่อื่นได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งศาลหรือ
เจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่นนั้นทราบด้วย
ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดําเนินการตามข้อนี้ และให้ถือว่า
เป็นหนี้ตามคําพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป
ข้อ ๑๔๙ ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารไม่ออกไปจากทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงาน
บังคับคดีดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) รายงานต่อศาลเพื่อมีคําสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวาร และให้
ศาลมีอํานาจสั่งจับกุมและกักขังได้ทันที ในกรณีเช่นว่านี้ ให้นําข้อ ๑๕๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) ปิดประกาศให้บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นซึ่งอ้างว่ามิได้เป็นบริวาร
ของลูกหนี้ตามคําพิพากษา ยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันปิดประกาศแสดงว่า
ตนมีอํานาจพิเศษในการอยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้น
เมื่อมีการจับกุมลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารตาม (๑) แล้ว หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าว
หลบหนีไปจากทรัพย์นั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๔๘
ข้อ ๑๕๐ เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในส่วนนี้ ให้ถือว่าบุคคลดังต่อไปนี้
เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
(๑) บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองทรัพย์นั้นและมิได้ยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลา
ตามข้อ ๑๔๙ หรือยื่นคําร้องต่อศาลแล้วแต่แสดงต่อศาลไม่ได้ว่าตนมีอํานาจพิเศษในการอยู่อาศัย
หรือครอบครองทรัพย์นั้น
(๒) บุคคลที่เข้ามาอยู่ในทรัพย์นั้นในระหว่างเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการให้เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์นั้น
ส่วนที่ ๕
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
โดยให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ
หรือขนย้ายทรัพย์สิน ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
(รื้อถอน)
ข้อ ๑๕๑ กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษารื้อถอน
สิ่งปลูกสร้าง ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ หรือขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอสังหาริมทรัพย์
ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลทั้งหมด
หรือบางส่วน ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาร้องขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีโดยระบุถึงพฤติการณ์ที่ลูกหนี้
ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลด้วย เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน
บังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจดําเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากทรัพย์นั้นได้
โดยให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น และให้ถือว่า
เป็นหนี้ตามคําพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป
กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกําหนดการรื้อถอนหรือขนย้าย
ทรัพย์สินไว้ ณ บริเวณนั้นไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีใช้ความระมัดระวัง
ตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น
ในการจัดการกับวัสดุที่ถูกรื้อถอนและทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายออกจากอสังหาริมทรัพย์
ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครองนั้น ให้นําข้อ ๑๔๘ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
หมวด ๖
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๔)
ข้อ ๑๕๒ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้นําวิธีการบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษา
และกําหนดคําบังคับให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่
ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามข้อ ๑๓๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๗
กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๕)
ข้อ ๑๕๓ ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกําหนดคําบังคับให้บุคคลกระทําหรือละเว้น
การกระทําอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ให้นําวิธีการบังคับคดีที่กําหนดไว้ในส่วนที่ ๓
ส่วนที่ ๔ และส่วนที่ ๕ ของหมวด ๕ แห่งภาคนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แล้วแต่กรณี
หมวด ๘
การบังคับคดีในกรณีที่ขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ข้อ ๑๕๔ ภายใต้บังคับหมวด ๕ ส่วนที่ ๔ กรณีที่ศาลมีคําพิพากษาและกําหนดคําบังคับ
ให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการโดยให้ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์
ที่ครอบครอง (ขับไล่) ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ และไม่มีวิธีการ
บังคับอื่นใดที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะใช้บังคับได้ เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจมีคําขอฝ่ายเดียว
ให้ศาลมีคําสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาก็ได้
เมื่อได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาคําขอโดยเร็ว หากเป็นที่พอใจจากพยานหลักฐาน
ที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเสนอต่อศาลหรือที่ศาลไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดแล้วได้ความว่า
ลูกหนี้ตามคําพิพากษาสามารถที่จะปฏิบัติตามคําบังคับได้ถ้าได้กระทําการโดยสุจริต และเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาไม่มีวิธีการบังคับอื่นใดที่จะใช้บังคับได้ให้ศาลออกหมายจับลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามาศาลหรือถูกจับตัวมา แต่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่อาจแสดงเหตุ
อันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับได้ ศาลมีอํานาจสั่งกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาทันทีหรือ
ในวันหนึ่งวันใดที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังคงขัดขืนอยู่ก็ได้ หากลูกหนี้ตามคําพิพากษาแสดงเหตุ
อันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคําบังคับได้ หรือตกลงที่จะปฏิบัติตามคําบังคับทุกประการ
ศาลจะมีคําสั่งให้ยกคําขอ หรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๑๕๕ เมื่อศาลได้ออกหมายจับลูกหนี้ตามคําพิพากษาตามข้อ ๑๕๔ แล้ว ถ้าลูกหนี้
ตามคําพิพากษามาศาลหรือถูกจับกุมตัวมา ให้ศาลมีอํานาจกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้นไว้ในระหว่าง
การพิจารณาคําขอจนกว่าจะมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร
ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ศาลมีอํานาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือ
ตามจํานวนเงินที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้องผู้ทําสัญญาประกันเป็นคดีใหม่
ข้อ ๑๕๖ ในกรณีที่ศาลสั่งกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลใดตามข้อ ๑๔๙
หรือข้อ ๑๕๔ บุคคลนั้นจะต้องถูกกักขังไว้จนกว่าจะมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันตามจํานวน
ที่ศาลเห็นสมควรกําหนดว่าตนยินยอมที่จะปฏิบัติตามคําบังคับทุกประการ แต่ทั้งนี้ ห้ามไม่ให้กักขัง
แต่ละครั้งเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันจับกุมหรือวันเริ่มกักขัง แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ให้นําข้อ ๑๕๕ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕๗ ในกรณีที่ศาลยอมรับบุคคลเป็นประกัน และบุคคลนั้นจงใจขัดขวางการบังคับคดี
หรือร่วมกับลูกหนี้ตามคําพิพากษาขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ ให้นําข้อ ๑๕๔ ข้อ ๑๕๕ และข้อ ๑๕๖
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑๕๘ การจับกุมและควบคุมตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามบทบัญญัติในภาคนี้ ให้พนักงาน
ฝ่ายปกครองหรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีหน้าที่ปฏิบัติตามคําสั่งหรือ
หมายของศาล หรือตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
การจับกุม ควบคุมตัว หรือกักขังบุคคลหนึ่งบุคคลใด ในกรณีที่มีบุคคลสอดเข้าเกี่ยวข้อง
โดยมิชอบด้วยกฎหมายกับเงินหรือทรัพย์สินหรือเอกสารที่ได้มาตามอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ในกรณีที่มีผู้ขัดขวางหรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีผู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี
และในกรณีตามข้อ ๑๔๙ ข้อ ๑๕๔ และข้อ ๑๕๗ ไม่ตัดสิทธิที่จะดําเนินคดีในความผิดอาญา
หมวด ๙
การบังคับคดีตามคําสั่งกําหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ
เพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี
ส่วนที่ ๑
การบังคับคดีตามคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครอง
ข้อ ๑๕๙ เมื่อศาลได้มีคําสั่งทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองและได้แจ้งคําสั่ง
ให้คู่กรณีและผู้ออกกฎ หรือคําสั่งทางปกครองดังกล่าวทราบตามข้อ ๗๒ วรรคสี่ แล้ว หากศาลเห็นว่า
มีกรณีที่จะต้องบังคับหรือติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามคําสั่งของศาล ให้ศาลมีคําสั่งไปยังสํานักงาน
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบังคับคดีดําเนินการตามข้อ ๑๒๕ โดยอนุโลม
ส่วนที่ ๒
การบังคับคดีตามคําสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
ข้อ ๑๖๐ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลมีคําสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ให้นําวิธีการบังคับคดีตามที่
กําหนดในหมวด ๔ ถึงหมวด ๗ แห่งภาคนี้ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แล้วแต่กรณี
หมวด ๑๐
คําร้องในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๑ คําร้องในชั้นบังคับคดี ได้แก่ คําร้องทั้งหลายที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้
ตามคําพิพากษา คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
หรือตามกฎหมาย
คําร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาล ถ้าศาลเห็นว่าคําร้องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะทํา
คําสั่งได้โดยไม่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ให้ศาลมีคําสั่งตามที่เห็นสมควร แต่หากเห็นว่ามีผลต่อ
การบังคับคดี ก็ให้ส่งสําเนาคําร้องแก่สํานักงานหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ แล้วแต่กรณี
ข้อ ๑๖๒ คําร้องขอรับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง
หรือสิทธิอื่นซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย
ให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี เมื่อศาลเห็นว่าคําร้องนั้นเป็นคําร้องที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้
ให้ศาลมีคําสั่งรับคําร้องและส่งสําเนาคําร้องแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือคู่กรณี และเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือคู่กรณีทําคําชี้แจงคัดค้านคําร้องและแสดงพยานหลักฐานโดยเร็ว หากเห็นเป็นการสมควร
ศาลจะนัดไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่นใดเพื่อมีคําสั่งเกี่ยวกับคําร้องดังกล่าวด้วยก็ได้
ข้อ ๑๖๓ คําร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจําหน่ายทรัพย์สิน
จากการยึดหรืออายัด ให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีและดําเนินการเช่นเดียวกับข้อ ๑๖๒
ข้อ ๑๖๔ คําสั่งคําร้องตามข้อ ๑๖๒ และข้อ ๑๖๓ ให้กระทําโดยองค์คณะ แต่ไม่ต้อง
จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีและไม่ต้องมีคําแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
ข้อ ๑๖๕ คําร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ให้ยื่นต่อศาล
ที่ออกหมายบังคับคดี เมื่อศาลสั่งรับคําร้องไว้แล้ว ให้ส่งสําเนาคําร้องแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้
ตามคําพิพากษา หรือคู่กรณี และเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับคําร้องดังกล่าว
ให้งดการขายทอดตลาดหรือจําหน่ายทรัพย์สินนั้นไว้ในระหว่างรอคําวินิจฉัยชี้ขาด เว้นแต่ทรัพย์สิน
ที่ยึดนั้นมีสภาพเป็นของสดของเสียได้ หรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงความเสียหาย หรือค่าใช้จ่าย
จะเกินส่วนแห่งค่าของทรัพย์สินนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายหรือจําหน่ายได้ทันทีโดยวิธีขายทอดตลาด
หรือวิธีอื่นที่สมควร
ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีตามวรรคหนึ่งเหมือนอย่างคดีธรรมดา
หมวด ๑๑
ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ข้อ ๑๖๖ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ได้แก่ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี
และค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้ชําระตามอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่งหรือตามข้อ ๑๒๗ แห่งระเบียบนี้
การบังคับคดีโดยสํานักงานตามคําสั่งศาลหรือโดยที่ศาลไม่มีหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ส่วนที่ ๑
ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๗ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี ได้แก่ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าสืบพยานหลักฐาน
นอกศาล ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพยาน ผู้เชี่ยวชาญ ล่าม และเจ้าพนักงานศาล
ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดี ตลอดจนค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บรรดาที่กฎหมายบังคับ
ให้ชําระในชั้นบังคับคดี
ข้อ ๑๖๘ คําร้องที่ยื่นต่อศาลในชั้นบังคับคดี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่คําร้อง
ตามข้อ ๑๖๒ และข้อ ๑๖๕ ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง
ข้อ ๑๖๙ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากค่าธรรมเนียมศาล ให้คู่กรณีผู้ดําเนินกระบวน
พิจารณาเป็นผู้ชําระเมื่อมีการดําเนินกระบวนพิจารณานั้นหรือภายในเวลาที่กฎหมายกําหนดหรือที่ศาล
มีคําสั่ง ถ้าศาลเป็นผู้สั่งให้ดําเนินกระบวนพิจารณาใด ให้ศาลกําหนดผู้ซึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียม
ในการดําเนินกระบวนพิจารณานั้น รวมทั้งระยะเวลาที่ต้องชําระไว้ด้วย
ถ้าผู้ซึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งไม่ชําระ ศาลจะสั่งให้งดหรือเพิกถอน
กระบวนพิจารณานั้น หรือจะสั่งให้คู่กรณีฝ่ายอื่นเป็นผู้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวก็ได้หากคู่กรณี
ฝ่ายนั้นยินยอม
ส่วนที่ ๒
ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ข้อ ๑๗๐ ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ได้แก่ ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ในการบังคับคดีบรรดาที่กฎหมายบังคับให้ชําระ
ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาที่ร้องขอให้บังคับคดี เป็นผู้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกใบรับให้
ส่วนที่ ๓
ความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ข้อ ๑๗๑ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี ในคดีขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงาน
บังคับคดียึดไว้ตามข้อ ๑๖๕ หรือคดีที่ร้องขอรับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิ บุริมสิทธิ
สิทธิยึดหน่วง หรือสิทธิอื่นซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้น
ตามกฎหมายตามข้อ ๑๖๒ ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รับผิดในชั้นที่สุดสําหรับค่าฤชาธรรมเนียม
ศาลในชั้นบังคับคดี แต่ไม่ว่าคู่กรณีฝ่ายใดจะชนะคดีเต็มตามที่ร้องขอหรือแต่บางส่วน ศาลมีอํานาจ
ที่จะสั่งให้คู่กรณีฝ่ายที่ชนะคดีนั้นรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดีทั้งหมด หรือให้คู่กรณี
แต่ละฝ่ายรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตนหรือตามส่วนแห่งค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งคู่กรณีทุกฝ่าย
ได้เสียไปก่อนได้ตามที่ศาลจะใช้ดุลพินิจ โดยคํานึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดําเนินคดี
ข้อ ๑๗๒ ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่กรณีฝ่ายใดเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นบังคับคดี
ในคําสั่งชี้ขาดคดีหรือในคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ แล้วแต่กรณี ไม่ว่าคู่กรณีทั้งปวงหรือ
แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีคําขอหรือไม่
ข้อ ๑๗๓ ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
โดยให้หักออกจากเงินที่ได้จากการยึด อายัด ขาย หรือจําหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือจากเงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้วางไว้ เว้นแต่เป็นกรณีตามข้อ ๑๗๔
ในกรณีที่มีการบังคับคดีแก่ผู้ค้ําประกันในศาล ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในส่วนนั้น
ให้หักออกจากเงินที่ได้จากการบังคับคดีตามสัญญาประกัน
การถอนการบังคับคดีในกรณีที่มีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องไว้ ให้เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
ข้อ ๑๗๔ บุคคลใดทําให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีส่วนใดโดยไม่จําเป็น
หรือมีลักษณะประวิงการบังคับคดี หรือที่ต้องดําเนินไปเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรง หรือเพราะบังคับคดีไปโดยไม่สุจริต ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง ผู้ที่ได้รับความเสียหาย
หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษา แล้วแต่กรณี อาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันทราบพฤติการณ์
อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น เพื่อให้ศาลมีคําสั่งให้บุคคลเช่นว่านั้นรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าว
ข้อ ๑๗๕ ถ้าผู้ที่ต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียม
ต่อศาลก็ดี หรือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ดี หรือต่อบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาก็ดี ศาล
เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลเช่นว่านั้นอาจบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้นั้นเสมือนหนึ่งเป็นลูกหนี้
ตามคําพิพากษาเพื่อชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวได้
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาล ให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน
บังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของผู้นั้น
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
รายงานศาลขอให้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง
ของผู้นั้น
ในกรณีที่มีผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อบุคคลอื่นที่มิใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ให้บุคคลนั้น
ร้องขอต่อศาลขอให้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิ
เรียกร้องของผู้นั้น
กรณีตามวรรคสองและวรรคสาม ให้ถือว่าสํานักงานศาลปกครองเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
และเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการบังคับคดีจนแล้วเสร็จ
กรณีตามวรรคสี่ ให้บุคคลที่มีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
การบังคับคดีตามข้อนี้ ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีทั้งปวง แต่หากยังมี
เงินที่ได้จากการบังคับคดีคงเหลือภายหลังชําระให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับ ให้หักค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้น
ดังกล่าวไว้จากเงินนั้น
ข้อ ๑๗๖ กรณีตามข้อ ๑๗๕ วรรคสองและวรรคสาม เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว
ให้แจ้งไปยังสํานักงานศาลปกครองในฐานะเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อทราบ
ให้สํานักงานศาลปกครองตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมจากที่อยู่
ตามทะเบียนบ้านและตามหลักฐานทางทะเบียน หากพบว่ามีทรัพย์สินที่สามารถยึดหรืออายัดมาชําระ
ค่าฤชาธรรมเนียมได้ ให้สํานักงานศาลปกครองยื่นคําแถลงพร้อมรายละเอียดของทรัพย์สินดังกล่าว
ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น หากไม่สามารถตรวจพบทรัพย์สินของ
ผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมผู้นั้น ให้สํานักงานศาลปกครองรายงานต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี
เพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมแล้ว
ไม่พอชําระค่าฤชาธรรมเนียมและไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะยึดหรืออายัดได้หรือมีเหตุอื่นที่ไม่สามารถบังคับคดีได้
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ภายในระยะเวลาหรือเงื่อนไข
ตามที่ศาลกําหนด
หมวด ๑๒
เงินค้างจ่าย
ข้อ ๑๗๗ บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าผู้มีสิทธิ
มิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน”
ข้อ ๕ ระเบียบนี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาล และกระบวนวิธีการบังคับคดี
ของสํานักงาน หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้กระทําไปแล้วก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
บรรดาคดีที่อยู่ระหว่างการบังคับคดีหรืออยู่ในระหว่างการดําเนินการของสํานักงาน
หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่แล้วในวันก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดําเนินการต่อไปได้ตามระเบียบนี้
ข้อ ๖ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาด
ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ กับให้มีอํานาจออกประกาศหรือคําสั่งเพื่อประโยชน์
ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ปิยะ ปะตังทา
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---------------------------------------------------
นางสาววิชิดา วิสมิตะนันท์ /จัดทํา
นางวรรณพร สุฐาปัญณกุล /ตรวจ
นางสาวพิมพนัส สายสุด รกน. ผอ.กลุ่ม ขก.
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓
1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๓๓ ก/หน้า ๑/๑๘ มีนาคม ๒๕๖๒ [↑](#footnote-ref-1) | 10,845 |
ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการ
ฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ. 2553 | ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
พ.ศ. ๒๕๕๓
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้าย ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๕๓”
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานศาลปกครอง
“เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการสํานักงานศาลปกครอง
“ข้าราชการ” หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
“การย้าย” หมายความว่า การแต่งตั้งข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งหนึ่งให้ไปดํารงตําแหน่งอื่นในตําแหน่งประเภทเดียวกันและในระดับที่ไม่สูงกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในสายงานเดียวกันหรือต่างสายงาน หรือการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดํารงตําแหน่งในตําแหน่งต่างประเภทกัน
“ผู้มีอํานาจสั่งย้าย” หมายความว่า ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการทุกตําแหน่งนอกจากตําแหน่งเลขาธิการและรองเลขาธิการสํานักงานศาลปกครอง
ข้อ ๕ การย้ายข้าราชการจะกระทําได้ต่อเมื่อผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตามที่กําหนดในมาตรฐานกําหนดตําแหน่งสําหรับตําแหน่งนั้น และผู้มีอํานาจสั่งย้ายจะต้องพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ สมรรถนะ ความประพฤติ ประวัติการรับราชการ ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กร ตลอดจนลักษณะของงานและเหตุผลความจําเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
ในกรณีที่ข้าราชการผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตามที่กําหนดในมาตรฐานกําหนดตําแหน่งสําหรับตําแหน่งนั้น ถ้าเลขาธิการเห็นสมควร จะสั่งให้ย้ายได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ข้อ ๖ การย้ายข้าราชการจะสั่งให้มีผลย้อนหลังได้ต่อเมื่อผู้นั้นได้รักษาราชการแทนรักษาการในตําแหน่ง หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งนั้นอยู่ก่อนแล้ว โดยจะสั่งให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่รักษาราชการแทน รักษาการในตําแหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งนั้นก็ได้
ข้อ ๗ การย้ายข้าราชการให้ย้ายได้ในระดับที่ไม่สูงกว่าเดิมการย้ายข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่ต่ํากว่าเดิม ให้กระทําได้ต่อเมื่อผู้นั้นยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งระบุเหตุผลและความจําเป็นเพื่อประกอบการพิจารณาของผู้มีอํานาจสั่งย้าย
ข้อ ๘ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไปตําแหน่งหนึ่ง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไปตําแหน่งอื่นในสายงานเดียวกันหรือต่างสายงานกัน ให้เป็นดุลพินิจของผู้มีอํานาจสั่งย้าย สําหรับการย้ายให้ไปดํารงตําแหน่งอื่นในต่างสายงานนั้น ผู้มีอํานาจสั่งย้ายอาจกําหนดให้มีการทดลองปฏิบัติราชการก่อนการแต่งตั้งก็ได้
ข้อ ๙ ซึ่งมีวุฒิระดับปริญญาตรีและไม่เคยดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ จะย้ายได้ต่อเมื่อผู้นั้นผ่านการสอบคัดเลือกและจะต้องทดลองปฏิบัติราชการในตําแหน่งนั้นเป็นระยะเวลาหกเดือน และจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติราชการจากผู้บังคับบัญชา โดยพิจารณาประเมินจากผลการปฏิบัติราชการที่จัดทําขึ้นในระหว่างที่ได้รับ
มอบหมายให้ปฏิบัติราชการในตําแหน่งที่จะแต่งตั้ง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ที่โอนมาจากส่วนราชการอื่น การย้ายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง จะกระทําได้ต่อเมื่อผู้นั้นได้โอนมารับราชการที่สํานักงานมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
ข้อ ๑๐ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการตําแหน่งหนึ่ง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการตําแหน่งอื่นในสายงานเดียวกัน ให้เป็นดุลพินิจของผู้มีอํานาจสั่งย้ายแต่ถ้าเป็นการย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการตําแหน่งหนึ่ง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการตําแหน่งอื่นต่างสายงานกันและมิใช่ตําแหน่งพนักงานคดีปกครอง จะย้ายได้ต่อเมื่อผู้นั้นผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด ในการนี้ อาจกําหนดให้มีการทดลองปฏิบัติราชการก่อนการแต่งตั้งก็ได้
ข้อ ๑๑ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือการย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ผู้นั้นจะต้องผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญตามวรรคหนึ่ง หากผู้นั้นเป็นผู้ที่เคยดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญแล้ว ให้เป็นดุลพินิจของผู้มีอํานาจสั่งย้ายโดยไม่ต้องดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ให้คํานึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลักประกอบกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้นั้นเคยได้รับอยู่เดิมด้วย
การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ (พนักงานคดีปกครอง) ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง (เจ้าหน้าที่บริหารงานศาลปกครอง) ในหน่วยงานด้านคดีปกครอง ผู้นั้นจะต้องผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกหรือมีแต่ไม่ผ่านการคัดเลือก ตามที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง และวรรคสาม ให้สํานักงานพิจารณาคัดเลือกผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงได้ตามความเหมาะสม โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสําคัญ
ข้อ ๑๒ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือประเภทบริหารระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ผู้นั้นจะต้องได้รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิและผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่ง หากผู้นั้นเป็นผู้ที่เคยดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิแล้ว ให้เป็นดุลพินิจของผู้มีอํานาจสั่งย้ายโดยไม่ต้องดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ให้คํานึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลักประกอบกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้นั้นเคยได้รับอยู่เดิมด้วย
ข้อ ๑๓ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือประเภทอํานวยการระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ผู้นั้นจะต้องผ่านการคัดเลือกจากประธานศาลปกครองสูงสุดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
ข้อ ๑๔ ข้าราชการตําแหน่งหนึ่งที่ถูกย้ายไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและในระดับเดิม หรือในระดับที่ต่ํากว่าเดิม หรือต่างประเภทกัน ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมเว้นแต่ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น แต่ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าขั้นต่ําของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นต่ําของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น
ในกรณีการย้ายข้าราชการตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิแรกบรรจุของตําแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิแรกบรรจุในตําแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น
ในกรณีที่อัตราเงินเดือนขั้นต่ําชั่วคราวยังมีผลใช้บังคับ การย้ายข้าราชการตามวรรคหนึ่งถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าขั้นต่ําของระดับที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมและไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําชั่วคราว
ข้อ ๑๕ ภายใต้บังคับข้อ ๑๓ ในกรณีที่มีความจําเป็นหรือมีเหตุพิเศษเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการของศาลปกครองหรือสํานักงาน ประธานกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองอาจอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามข้อหนึ่งข้อใดในระเบียบนี้ แล้วรายงานให้คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองทราบก็ได้
ข้อ ๑๖ เพื่อประโยชน์ในการย้ายข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ให้ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ซึ่งเคยดํารงตําแหน่ง ระดับ ๘ อยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ ที่มีระยะเวลาการดํารงตําแหน่งดังกล่าวรวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่าสองปี และได้รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่า ๓๒,๐๗๐ บาท เป็นผู้ที่มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกได้เฉพาะในการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงในครั้งแรกนับแต่วันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับเท่านั้น
ข้อ ๑๗ ในวาระเริ่มแรก เพื่อรับรองสิทธิของข้าราชการที่มีอยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ ให้ย้ายผู้ซึ่งผ่านการคัดเลือกเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาสํานักงานศาลปกครอง (เจ้าหน้าที่ศาลปกครอง ๑๐ ชช.) ตามบัญชีรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกแนบท้ายประกาศสํานักงานศาลปกครอง เรื่อง รายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาสํานักงานศาลปกครอง (เจ้าหน้าที่ศาลปกครอง ๑๐ ชช.) ลงวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๒ ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาสํานักงานศาลปกครอง (ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ)ตามหลักเกณฑ์การแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งตามแนบท้ายประกาศสํานักงานศาลปกครอง เรื่อง การคัดเลือกข้าราชการฝ่ายศาลปกครองเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาสํานักงานศาลปกครอง(เจ้าหน้าที่ศาลปกครอง ๑๐ ชช.) ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ได้ จนกว่าจะมีการยกเลิกบัญชีตามประกาศดังกล่าวหรือจนกว่าจะมีการคัดเลือกใหม่
ข้อ ๑๘ ให้เลขาธิการรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจออกประกาศ คําสั่งตลอดจนหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
ประธานกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง | 10,846 |
ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556
| ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๖
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง เพื่อให้การดําเนินการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครองมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๘๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองจึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๔ แห่งระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๑๔ ข้าราชการตําแหน่งหนึ่งที่ถูกย้ายไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและในระดับเดิม หรือในระดับที่ต่ํากว่าเดิม หรือต่างประเภทกัน ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมเว้นแต่ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น แต่ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าขั้นต่ําของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นต่ําของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของระดับที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น
ในกรณีการย้ายข้าราชการตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิแรกบรรจุของตําแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิแรกบรรจุในตําแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น
ในกรณีที่อัตราเงินเดือนขั้นต่ําชั่วคราวยังมีผลใช้บังคับ การย้ายข้าราชการตามวรรคหนึ่งถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนต่ํากว่าขั้นต่ําของระดับที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมและไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําชั่วคราว”
ประกาศ ณ วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล
ประธานศาลปกครองสูงสุด
ประธานกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
---
1. | 10,847 |
ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564
| ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง เพื่อให้การดําเนินการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๘๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๔”
ข้อ ๒[[1]](#footnote-1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ ของระเบียบคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ว่าด้วยการย้ายข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง พ.ศ. ๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๑๑ การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ไปแต่งตั้ง
ให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือการย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ผู้นั้นจะต้องผ่านการคัดเลือก
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง
ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญตามวรรคหนึ่ง หากผู้นั้นเป็นผู้ที่เคยดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญแล้ว ให้เป็นดุลพินิจของผู้มีอํานาจสั่งย้ายโดยไม่ต้องดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้
ให้คํานึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลักประกอบกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้นั้นเคยได้รับอยู่เดิมด้วย
การย้ายข้าราชการผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ (พนักงานคดีปกครอง)
ไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง (เจ้าหน้าที่บริหารงานศาลปกครอง) ในหน่วยงาน
ด้านคดีปกครอง ผู้นั้นจะต้องผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สํานักงานกําหนด
ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกหรือมีแต่ไม่ผ่านการคัดเลือก ตามที่กําหนดไว้ใน
วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ให้สํานักงานพิจารณาคัดเลือกผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ
ให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงได้ตามความเหมาะสม โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการ
จะได้รับเป็นสําคัญ”
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ปิยะ ปะตังทา
ประธานศาลปกครองสูงสุด
ประธานกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๘/ตอนที่ ๒๔ ก/หน้า ๒๘/๕ เมษายน ๒๕๖๔ [↑](#footnote-ref-1) | 10,848 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 119) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 119)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (542) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(542) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท กุลธรวิจัยและพัฒนา จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,849 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสำนวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ
ในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของ
พนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน
พ.ศ. ๒๕๔๔
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๕ วรรคห้า มาตรา ๕๖ วรรคสาม มาตรา ๕๗ วรรคห้า มาตรา ๕๘ วรรคห้าและวรรคหก มาตรา ๖๑ (๕) และมาตรา ๖๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔”
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้
“ศาล” หมายความว่า ศาลปกครอง หรือตุลาการศาลปกครอง
“ศาลปกครอง” หมายความว่า ศาลปกครองชั้นต้น หรือศาลปกครองสูงสุด
“สํานักงานศาล” หมายความว่า สํานักงานศาลปกครองสูงสุด สํานักงานศาลปกครองกลางหรือสํานักงานศาลปกครองในภูมิภาค
“ตุลาการหัวหน้าคณะ” หมายความว่า ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น หรือตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด
“ตุลาการเจ้าของสํานวน” หมายความว่า ตุลาการศาลปกครองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการเจ้าของสํานวน
“ตุลาการผู้แถลงคดี” หมายความว่า ตุลาการศาลปกครองซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แถลงคดีปกครอง
“เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการสํานักงานศาลปกครอง
“คําแถลงการณ์” หมายความว่า สรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีที่เสนอต่อองค์คณะพิจารณาพิพากษา
ข้อ ๔ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ กับให้มีอํานาจออกประกาศหรือคําสั่งเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
หมวด ๑ องค์คณะ
ข้อ ๕ ในศาลปกครองสูงสุด ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดประกาศจัดแบ่งตุลาการศาลปกครองออกเป็นองค์คณะโดยระบุเป็นหมายเลของค์คณะ และจะกําหนดให้องค์คณะใดเป็นองค์คณะที่มีความเชี่ยวชาญในคดีประเภทใด หรือรับผิดชอบคดีที่มูลคดีเกิดในพื้นที่ใด ก็ได้
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคนหนึ่งอาจทําหน้าที่ในองค์คณะหลายองค์คณะพร้อมกันได้
ข้อ ๖ ในศาลปกครองชั้นต้น ให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นประกาศจัดแบ่งตุลาการศาลปกครองออกเป็นองค์คณะโดยระบุเป็นหมายเลของค์คณะ และจะกําหนดให้องค์คณะใดเป็นองค์คณะที่มีความเชี่ยวชาญในคดีประเภทใด หรือรับผิดชอบคดีที่มูลคดีเกิดในพื้นที่ใด ก็ได้
ตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นคนหนึ่งอาจทําหน้าที่ในองค์คณะหลายองค์คณะพร้อมกันได้
ข้อ ๗ ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทําให้ตุลาการศาลปกครองซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจนั่งพิจารณาคดีหรือทําคําพิพากษาได้ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้น หรือตุลาการในศาลปกครองสูงสุดหรือตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นซึ่งประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแต่งตั้ง มีอํานาจนั่งพิจารณาคดีนั้นหรือประชุมลงมติพิพากษาหรือมีคําสั่งหรือลงลายมือชื่อในคําพิพากษาหรือคําสั่งแทนได้เหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามวรรคหนึ่งหมายถึงกรณีที่ตุลาการศาลปกครองซึ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ ถูกพักราชการ ได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งอื่น เจ็บป่วย ถูกคัดค้านและถอนตัวไปหรือได้รับคําสั่งให้งดการปฏิบัติหน้าที่ในคดีนั้น หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณาหรือทําคําพิพากษาหรือคําสั่งในคดีนั้นได้และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ตุลาการศาลปกครองในองค์คณะมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้ด้วย
หมวด ๒ การจ่ายสํานวนและการโอนคดี
ข้อ ๘ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเป็นผู้จ่ายสํานวนให้แก่องค์คณะโดยกําหนดให้ตุลาการผู้แถลงคดีคนหนึ่งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีสําหรับคดีนั้นการกําหนดให้ตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุดคนใดเป็นตุลาการผู้แถลงคดีในคดีใดจะต้อง
ไม่ปรากฏว่าตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุดคนนั้นเป็นหรือเคยเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาหรือเป็นหรือเคยเป็นตุลาการผู้แถลงคดีสําหรับคดีนั้นในศาลปกครองชั้นต้น
เมื่อองค์คณะได้รับสํานวนแล้ว ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองคนหนึ่งในองค์คณะนั้นเป็นตุลาการเจ้าของสํานวน ทั้งนี้ ตุลาการหัวหน้าคณะจะแต่งตั้งตนเองเป็นตุลาการเจ้าของสํานวนก็ได้
ในกรณีที่ประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นสมควรจะจ่ายสํานวนคดีให้องค์คณะพิเศษ ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะในศาลปกครองสูงสุดสองหรือหลายองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดก็ได้ ในกรณีดังกล่าวให้ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนดให้ตุลาการหัวหน้าคณะคนหนึ่งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะขององค์คณะดังกล่าว
ในกรณีที่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นเห็นสมควรจะจ่ายสํานวนคดีให้องค์คณะพิเศษ ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะในศาลปกครองชั้นต้นสองหรือหลายองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดก็ได้ ในกรณีดังกล่าวให้อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นกําหนดให้ตุลาการหัวหน้าคณะคนหนึ่งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะขององค์คณะดังกล่าว
ข้อ ๙ เมื่อได้จ่ายสํานวนคดีให้แก่องค์คณะใดหรือมอบสํานวนคดีให้แก่ตุลาการเจ้าของสํานวนคนใดแล้ว นอกจากกรณีตามมาตรา ๕๖ วรรคสาม (๒) และ (๓) ห้ามมิให้มีการเรียกคืนสํานวนคดีหรือโอนสํานวนคดี เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อปรากฏเหตุใด ๆ อันเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนั้น และประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นสั่งเรียกคืนสํานวนคดีหรือโอนสํานวนคดี
(๒) เมื่อมีการโอนคดีตามข้อ ๗๙ หรือข้อ ๘๑ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยการวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
หมวด ๓ การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง
ข้อ ๑๐ ให้ตุลาการศาลปกครองซึ่งได้รับมอบหมายจากองค์คณะมีอํานาจไต่สวนหรือมีคําสั่งในเรื่องที่มิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้
ข้อ ๑๑ ในการดําเนินการเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวน ให้ถือว่าตุลาการเจ้าของสํานวนเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากองค์คณะให้ใช้อํานาจตามมาตรา ๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน
นอกจากกรณีที่กําหนดไว้โดยเฉพาะในข้อ ๑๐ และในวรรคหนึ่งแล้ว ให้ตุลาการเจ้าของสํานวนใช้อํานาจตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง หรือตามกฎหมายหรือระเบียบอื่นกําหนดให้เป็นอํานาจของศาล เว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดําเนินกระบวนพิจารณา การพิพากษาหรือมีคําสั่งที่โดยสภาพต้องกระทําเป็นองค์คณะ หรือเป็นเรื่องที่อยู่ในอํานาจของประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้น
ข้อ ๑๒ การแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุดหรือในศาลปกครองชั้นต้นศาลใด ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นนั้น แล้วแต่กรณี ประกาศแต่งตั้งเป็นระยะเวลาแน่นอน
ตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุด โดยปกติให้แต่งตั้งจากตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งอาจเป็นผู้ดํารงตําแหน่งรองประธานศาลปกครองสูงสุด ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด หรือจะแต่งตั้งจากตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นผู้ดํารงตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดก็ได้
ตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นคนหนึ่งอาจได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุดและในศาลปกครองชั้นต้นในขณะเดียวกันได้
การแต่งตั้งตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองสูงสุดจากตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นใด ประธานศาลปกครองสูงสุดจะแต่งตั้งได้หลังจากได้หารือกับอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นนั้นแล้ว
ตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองชั้นต้น โดยปกติให้แต่งตั้งจากตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นซึ่งอาจเป็นผู้ดํารงตําแหน่งอธิบดีศาลปกครองชั้นต้น รองอธิบดีศาลปกครองชั้นต้น หรือตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นก็ได้
ในระหว่างที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีในคดีใดตุลาการศาลปกครองผู้นั้นจะทําหน้าที่ใด ๆ ในองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเดียวกันนั้นไม่ได้ แต่อาจเข้าร่วมประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดหรือศาลปกครองชั้นต้น แล้วแต่กรณี โดยไม่มีสิทธิออกเสียงในการวินิจฉัยคดีนั้น
ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นมิอาจก้าวล่วงได้ตามที่กล่าวในข้อ ๗ วรรคสองทําให้ตุลาการผู้แถลงคดีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ตุลาการผู้แถลงคดีซึ่งประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นกําหนด เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน และให้ตุลาการผู้แถลงคดีซึ่งเข้ามาแทนที่มีอํานาจหน้าที่เช่นเดียวกับตุลาการผู้แถลงคดีเดิม
ข้อ ๑๓ คําแถลงการณ์ให้จัดทําเป็นหนังสือ เว้นแต่คดีใดเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ยุ่งยาก หรือเป็นคําแถลงการณ์ในคําขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามข้อ ๗๒ หรือข้อ ๗๖ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ตุลาการผู้แถลงคดีจะแถลงการณ์ด้วยวาจาแทนคําแถลงการณ์เป็นหนังสือหลังจากที่ได้หารือกับประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแล้วแต่กรณีและตุลาการหัวหน้าคณะแล้วก็ได้ ในการแถลงการณ์ด้วยวาจา ตุลาการผู้แถลงคดีต้องจัดทําบันทึกคําแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นหนังสือกล่าวถึงข้อสาระสําคัญในคําแถลงการณ์ติดไว้ในสํานวนคดีด้วย โดยจะจัดทําก่อนหรือหลังการเสนอคําแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้ แต่ต้องก่อนมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
หมวด ๔ การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง
ข้อ ๑๔ ตุลาการศาลปกครองในองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีหรือที่เป็นตุลาการผู้แถลงคดีอาจถูกคัดค้านได้ตามเหตุแห่งการคัดค้านผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งรวมทั้งเหตุอื่นใดอันมีสภาพร้ายแรง ซึ่งอาจทําให้การพิจารณาพิพากษาคดีเสียความยุติธรรม
เมื่อมีเหตุที่จะคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดดังที่กล่าวในวรรคแรกเกิดขึ้นแก่ตุลาการศาลปกครองคนใดตุลาการศาลปกครองนั้นเองจะยื่นคําบอกกล่าวต่อประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแสดงเหตุที่ตนอาจถูกคัดค้าน แล้วขอถอนตัวออกจากคดีนั้นก็ได้
ข้อ ๑๕ เมื่อมีเหตุที่ตุลาการศาลปกครองอาจถูกคัดค้านได้ตามข้อ ๑๔ วรรคหนึ่ง คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจยกข้อคัดค้านขึ้นอ้างโดยทําเป็นคําร้องยื่นต่อศาลได้ ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดี แต่ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่คู่กรณีนั้นทราบถึงเหตุที่จะคัดค้าน
เมื่อได้มีการยื่นคําคัดค้านตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ตุลาการศาลปกครองซึ่งถูกคัดค้านงดการปฏิบัติหน้าที่ไว้จนกว่าจะได้มีการชี้ขาดในเรื่องที่คัดค้านนั้นแล้ว แต่ความในข้อนี้มิให้ใช้แก่การดําเนินคดีปกครองซึ่งต้องดําเนินการต่อเนื่องหรือจะต้องดําเนินการโดยมิชักช้า
ข้อ ๑๖ การที่ตุลาการศาลปกครองผู้ถูกคัดค้านถูกสั่งให้งดการปฏิบัติหน้าที่หรือตุลาการศาลปกครองถอนตัวเพราะมีเหตุที่อาจถูกคัดค้านนั้น ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงการกระทําใด ๆ ของตุลาการศาลปกครองคนนั้นที่ได้กระทําไปแล้ว รวมทั้งการดําเนินคดีปกครองทั้งหลายในคดีปกครองที่ต้องดําเนินการต่อเนื่องหรือจะต้องดําเนินการโดยไม่ชักช้า แม้ว่าจะได้ดําเนินการหลังจากที่ได้มีการยื่นคําคัดค้านการดําเนินคดีปกครองดังกล่าวย่อมสมบูรณ์ไม่เสียไปเพราะเหตุที่ศาลมีคําสั่งยอมรับคําคัดค้าน เว้นแต่ศาลจะได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ข้อ ๑๗ การพิจารณาคําคัดค้านตุลาการศาลปกครองนั้น ในกรณีที่ตุลาการศาลปกครองซึ่งมิได้ถูกคัดค้านในศาลใดมีจํานวนครบที่จะเป็นองค์คณะ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองซึ่งมิได้ถูกคัดค้านขึ้นเป็นองค์คณะเพื่อเป็นผู้ชี้ขาดคําคัดค้าน
ในกรณีที่ตุลาการศาลปกครองทั้งหมดในศาลปกครองชั้นต้นใดถูกคัดค้าน หรือตุลาการศาลปกครองที่เหลืออยู่ในศาลปกครองชั้นต้นนั้นไม่เพียงพอจะเป็นองค์คณะได้ ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดกําหนดให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดคณะหนึ่งคณะใดเป็นผู้ชี้ขาดคําคัดค้านดังกล่าว
ในกรณีที่ตุลาการศาลปกครองทั้งหมดในศาลปกครองสูงสุดถูกคัดค้าน หรือตุลาการศาลปกครองที่เหลือในศาลปกครองสูงสุดไม่เพียงพอที่จะเป็นองค์คณะได้ ให้ปรานศาลปกครองสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดคําคัดค้านนั้น
ข้อ ๑๘ เมื่อมีการยื่นคําคัดค้านตุลาการศาลปกครองคนใด และตุลาการศาลปกครองที่ถูกคัดค้านไม่ขอถอนตัวออกจากคดีนั้น ให้องค์คณะที่พิจารณาคําคัดค้านนั้นพิจารณาคําคัดค้านและบันทึกคําชี้แจงของตุลาการศาลปกครองที่ถูกคัดค้าน โดยอาจฟังคําแถลงของคู่กรณีเกี่ยวข้องและตุลาการศาลปกครองที่ถูกคัดค้าน รวมทั้งพยานอื่นตามที่เห็นสมควร แล้วออกคําสั่งยอมรับหรือยกเสียซึ่งคําคัดค้านนั้น คําสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด
ถ้าตุลาการศาลปกครองคนใดได้รับอนุญาตให้ถอนตัวออกจากคดีก็ดี หรือองค์คณะที่พิจารณาคําคัดค้านได้ยอมรับคําคัดค้านตุลาการศาลปกครองคนใดก็ดี ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้นแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองหรือตุลาการผู้แถลงคดีอื่นแล้วแต่กรณี ในศาลนั้นหรือศาลอื่นหรือตนเองปฏิบัติหน้าที่แทน
หมวด หมวด ๕
การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง
ข้อ ๑๙ เมื่อได้เปิดทําการศาลปกครองแห่งใดแล้ว ให้เลขาธิการจัดให้มีพนักงานคดีปกครองจํานวนหนึ่งทําหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการในศาลปกครองดังกล่าว
ให้ผู้อํานวยการสํานักงานศาลปกครองแต่ละแห่ง โดยคําแนะนําของประธานศาลปกครองสูงสุดหรืออธิบดีศาลปกครองชั้นต้น กําหนดให้พนักงานคดีปกครองคนหนึ่งหรือหลายคนทําหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการศาลปกครองคนใด
การทําหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการศาลปกครองของพนักงานคดีปกครองตามวรรคหนึ่งและวรรคสองเป็นการช่วยเหลือการดําเนินคดีปกครองตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง ระเบียบนี้และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตามที่ได้รับมอบหมายจากตุลาการศาลปกครองและต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ในการนี้ ประธานศาลปกครองสูงสุดโดยข้อเสนอแนะของเลขาธิการอาจประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครองและการมอบหมายงานระหว่างตุลาการศาลปกครองกับพนักงานคดีปกครองได้
เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของสํานักงานศาลปกครอง ให้เลขาธิการพิจารณาโดยคํานึงถึงความเห็นของตุลาการศาลปกครองเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของพนักงานคดีปกครองด้วย
หมวด หมวด ๖
การมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน
ข้อ ๒๐ คู่กรณีในคดีปกครองอาจมอบอํานาจให้ทนายความหรือบุคคลอื่นซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและมีความรู้ความสามารถที่อาจดําเนินการแทนผู้มอบอํานาจได้ ฟ้องคดีหรือดําเนินคดีปกครองแทนคู่กรณีได้
คู่กรณีซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจมอบอํานาจให้ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างแล้วแต่กรณีของหน่วยงานทางปกครองนั้น หรือของหน่วยงานทางปกครองที่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นสังกัดอยู่ หรือพนักงานอัยการฟ้องคดีหรือดําเนินคดีปกครองแทนได้
บทเฉพาะกาล บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒๑ ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่ระเบียบฉบับนี้ใช้บังคับ การประกาศจัดแบ่งตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นออกเป็นองค์คณะให้กระทําหลังจากที่ได้หารือกับประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว
ข้อ ๒๒ ในระยะเริ่มแรกที่คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองยังไม่ครบตามที่กฎหมายกําหนดเป็นก.ศป. หรือในกรณีที่สํานักงานศาลปกครองยังไม่อาจแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดสํานักงานศาลปกครองเป็นพนักงานคดีปกครองได้เพียงพอ เลขาธิการหรือผู้อํานวยการสํานักงานศาลปกครองอาจกําหนดได้ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองจํานวนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ช่วยตุลาการศาลปกครองในการดําเนินคดีปกครองเป็นการชั่วคราวได้ และให้ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองดังกล่าวซึ่งได้รับมอบหมายจากตุลาการศาลปกครองทําหน้าที่ในกระบวนพิจารณาคดีปกครองเช่นเดียวกับพนักงานคดีปกครอง
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
หมายเหตุ **ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖**
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ | 10,850 |
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสำนวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖
| ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
===============================================
ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ
-----------------------------------------------------------------
ในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของ
พนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๖
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๕๘ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖”
ข้อ ๒[1](#fn1) ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคหกและวรรคเจ็ด ของข้อ ๑๒ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสํานวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครองและการมอบอํานาจให้ดําเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ในระหว่างที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีในคดีใดตุลาการศาลปกครองผู้นั้นจะทําหน้าที่ใดๆ ในองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเดียวกันนั้นไม่ได้ แต่อาจเข้าร่วมประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดหรือศาลปกครองชั้นต้น แล้วแต่กรณี โดยไม่มีสิทธิออกเสียงในการวินิจฉัยคดีนั้น”
ประกาศ ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
---
1. | 10,851 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 118) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 118)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (541) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(541) แผนกวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี่ บริษัท ยูเนี่ยน บัททึน คอร์ปอเรชั่น จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,852 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 117) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 117)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (540) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559
“(540) บริษัท บางกอก อินโนเวชั่น เฮ้าส์ จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2561
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,853 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 116) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 116)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (539) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(539) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท เบฟเทค จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,854 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 115) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 115)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (538) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(538) ฝ่ายวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จํากัด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,855 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 114) | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 114)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นคําขอเป็นผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลงวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2559 อธิบดีกรมสรรพากรประกาศดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (537) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง รายชื่อผู้รับทําการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2559
“(537) สํานักการออกแบบผลิตภัณฑ์และโซลูชั่น บริษัท ไทยคม จํากัด (มหาชน)”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม ประกาศ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2561
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร | 10,856 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.