title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ลุย “เชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัด จัดสรรให้ถูก” | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ ลุย “เชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัด จัดสรรให้ถูก”
ปลัดเกษตรฯ ลุย “เชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัด จัดสรรให้ถูก” มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินงานกระทรวงเกษตรฯ สู่การปฏิรูปภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบแนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ ว่า แนวทางการขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด “Agri Challenge” จะมุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้บรรลุเป้าหมาย แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร วางรากฐานการทำงานของกระทรวงรองรับความปกติใหม่ (New Normal) และสร้างเอกภาพในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย “เชื่อมโยงการบริหาร แปลงสารให้ชัด จัดสรรให้ถูก” คือการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์กับพันธกิจของกระทรวง สร้างการสื่อสารนโยบายของกระทรวงไปยังผู้ปฏิบัติ และบริหารจัดการให้สอดคล้องกับภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้ง 8 ข้อ คือ 1) เกษตรกรรมยั่งยืน 2) แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า 3) ข้อมูลด้านการเกษตร 4) การประมงยั่งยืน 5) ตลาดนำการผลิต 6) ลดต้นทุนการผลิต 7) พัฒนา ศพก. และ 8) บริหารจัดการแหล่งน้ำ
ส่วนเป้าหมายการขับเคลื่อนภาคเกษตรภายในปี 2565 มุ่งเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสาขาเกษตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.8 ต่อปี 2) ผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.2 ต่อปี 3) เกษตรกรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี และ 4) พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 350,000 ไร่
“สำหรับภารกิจเร่งด่วน ที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายให้บรรลุเป้าหมาย แบ่งเป็น
3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ภารกิจเร่งด่วน เช่น งานโครงการพระราชดำริ โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ โครงการ Smart Farmer เป็นต้น 2) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร เช่น ภัยแล้ง ภัยพิบัติ ฝุ่น การรับเรื่องร้องทุกข์ เป็นต้น และ 3) การวางรากฐานการทำงานของกระทรวงรองรับความปกติใหม่ (New Normal) เช่น การกำหนดตัวชี้วัดร่วม การติดตามระบบการทำงานต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ทุกภารกิจจะมีการมอบหมายผู้บริหารและหน่วยงานเจ้าภาพที่ชัดเจน เพื่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการ และสำหรับภารกิจใดที่ยังไม่ชัดเจน ต้องเร่งหารือกำหนดแนวทางให้ชัดเจน โดยจะกำหนดให้มีการประชุมผู้บริหารของกระทรวงเป็นประจำทุกเดือน ในคณะกรรมการบริหารการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร รวมทั้งให้สื่อสารไปยังทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและจังหวัดทันทีหลังจากการประชุม เพื่อความเข้าใจและการปฏิบัติงานอย่างเป็นเอกภาพ” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37208 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมเยี่ยมชมการซักซ้อมการแสดงริ้วขบวน “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ปลัดวธ.ร่วมเยี่ยมชมการซักซ้อมการแสดงริ้วขบวน “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
ปลัดวธ.ร่วมเยี่ยมชมการซักซ้อมการแสดงริ้วขบวน “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร”
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๒๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเยี่ยมชมการซักซ้อมการแสดงริ้วขบวน “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ซึ่งรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดกิจกรรมขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ และนักแสดงเข้าร่วม ณ บริเวณถนนสนามไชย กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37191 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญประชาชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เสาร์ที่ 5 ธันวาคม ด้วย “บทพระธรรมเทศนา : รู้รัก สามัคคี” น้อมรำลึก ในหลวง ร.9 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
รัฐบาลเชิญประชาชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เสาร์ที่ 5 ธันวาคม ด้วย “บทพระธรรมเทศนา : รู้รัก สามัคคี” น้อมรำลึก ในหลวง ร.9
รัฐบาลเชิญประชาชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เสาร์ที่ 5 ธันวาคม ด้วย “บทพระธรรมเทศนา : รู้รัก สามัคคี” น้อมรำลึก ในหลวง ร.9
วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมถึงศิลปินดารา อาทิ คุณอุ้ย รวิวรรณ จินดา และ เก่ง ธชย ร่วมต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในกิจกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลทุกวันเสาร์ ซึ่งเป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม ที่เห็นชอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดขึ้น เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลของประเทศ โดยมี
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เป็นการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปเป็นกรอบและทิศทางในการดำรงชีวิตและดำรงตนอย่างมีสติ เพื่อให้วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขณะเดียวกันในวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันสำคัญที่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศทราบกันดี รัฐบาลจึงได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ตามมติของมหาเถรสมาคม ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคมเป็นต้นมา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถวายเป็นพระราชกุศลแด่บูรพกษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติไทย
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีประชาชนทยอยเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันเสาร์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าในวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม นี้ ประชาชนทั่วประเทศจะเข้าร่วมพิธีกว่า 4 ล้านคน ซึ่งที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีความเห็นว่าคณะสงฆ์ควรมีส่วนร่วมกับประชาชนและสังคม จึงได้มอบหมายให้ พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แต่งบทคำฉันท์ ที่เรียกว่า บทพระธรรมเทศนา ซึ่งมีเนื้อหาที่นำเอาพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่อง “รู้รัก สามัคคี” มาใช้ โดยสอดแทรกหลักธรรมคำสอนให้ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี และเคารพ ศรัทธา ในสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึงการรู้บุญคุณแผ่นดิน และการดำรงชีวิตอย่างมีสติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ บทพระธรรมเทศนานี้ จะนำไปใช้ทั่วประเทศครั้งแรกในพิธีเจริญพุทธมนต์ วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563 ซึ่งประชาชนส่วนกลาง สามารถเข้าร่วมพิธี ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ส่วนภูมิภาค สามารถเข้าร่วมพิธี ณ วัดที่เป็นศูนย์กลางของจังหวัดหรือสถานที่ที่ทางจังหวัดเห็นสมควร จึงขอเชิญประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37193 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เริ่มบรรเทาลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจบางสาขาเริ่มส่งสัญญาณกลับมาฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอ โดยสาเหตุสำคัญมาจากสถาบันการเงินยังไม่มั่นใจการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมองว่าผู้ประกอบการดังกล่าวยังมีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืน
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างทั่วถึงและมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 (PGS9) วงเงินโครงการ 150,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อย (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาท ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อเป็นไปตามที่ บสย. กำหนด โดยรัฐบาลจะรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการ SMEs ปีละไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 42,500 ราย
2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 (Micro 4) วงเงินโครงการ 25,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 500,000 บาทรวมทุกสถาบันการเงิน ค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยรัฐบาลจะรับภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการรายย่อยปีละไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายย่อยได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย
กระทรวงการคลังมั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น มีสภาพคล่องที่เพียงพอและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป
สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3235 โทรสาร 02 618 3374
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37210 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64
ธ.ก.ส.เริ่มจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 63/64 เพื่อช่วยเหลือและสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยประกันรายได้หัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 เพื่อช่วยเหลือและสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยประกันรายได้หัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน วงเงินกว่า 9,500 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 524,000 ครัวเรือน ดีเดย์ 1 ธันวาคมนี้ โดยวันแรกได้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรที่เปิดไว้กับ ธ.ก.ส. จำนวน 752 ครัวเรือน เป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้เสนอ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการ “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64” เพื่อช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังให้มีรายได้ที่แน่นอน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำและสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 524,000 ครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 9,570 ล้านบาท โดยประกันรายได้หัวมันสำปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน และต้องไม่ซ้ำแปลง ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยในวันนี้ (1 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินประกันรายได้เป็นวันแรกแก่เกษตรกรจำนวน 752 ครัวเรือน เป็นเงิน 10.19 ล้านบาท
สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องขึ้นทะเบียนเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยแจ้งเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 และแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตรนับจากวันที่เพาะปลูกไม่น้อยกว่า 8 เดือน เกษตรกรสามารถใช้สิทธิได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวที่ระบุไว้ในทะเบียนเกษตรกร โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินส่วนต่างครั้งแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 สำหรับเกษตรกรที่เพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 และระบุวันคาดว่าเก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2563 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 1 ของเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน (ถึงเดือนพฤศจิกายน 2564)
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรจะทำการตรวจสอบข้อมูล แล้วส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินประกันรายได้ดังกล่าวเป็นส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงที่กำหนดโดยคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ณ ช่วงเวลาในแต่ละงวดการโอนเงิน โดยใช้ราคาเฉลี่ยรับซื้อหัวมันสด เชื้อแป้ง 25% ที่มีการซื้อขายจริงในตลาดจากจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ครอบคลุมทุกภูมิภาค ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37211 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์ทุกวันเสาร์ เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติและเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมชมสื่อเสมือนจริง (AR) เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์ทุกวันเสาร์ เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติและเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมชมสื่อเสมือนจริง (AR) เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยร่วมสวดมนต์ทุกวันเสาร์ เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติและเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมชมสื่อเสมือนจริง (AR) เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และ E - learning : พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารภาครัฐ
วันนี้ (1 ธ.ค. 63) เวลา 08.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภารกิจก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ : พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540” พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการพระบารมีปกเกล้า ร.9 (คนไทยกับในหลวง) เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมเชิญชวนประชาชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกวันเสาร์ และเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการพัฒนาสื่อเสมือนจริง (AR) เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และโครงการพัฒนานวัตกรรมสื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยกระทรวงศึกษาธิการ โอกาสนี้ นายอนุชานาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะ นำเสนอวิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์ “E - learning : พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540” เพื่อประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างกว้างขวาง ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างถูกต้อง โดยไม่จำกัดสถานที่และเวลา ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนว่าเป็นสิ่งที่ดีและขอให้ดำเนินการต่อไป
จากนั้น คณะผู้บริหารผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำนายกรัฐมนตรี ชมนิทรรศการพระบารมีปกเกล้า ร.9 (คนไทยกับในหลวง) เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกวันเสาร์ เนื่องในโอกาสวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร และวัดในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีร่วมรับฟังขับเสภาเชิญชวนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากศิลปิน พร้อมขอบคุณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมหาเถรสมาคมที่จัดกิจกรรมดังกล่าว เพราะเห็นว่าการสวดมนต์ถือว่าการสร้างความเป็นสิริมงคล และเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมพูดคุยกับเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลสามเสน โรงเรียนพญาไทและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในโครงการพัฒนาสื่อเสมือนจริง (AR) เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และโครงการพัฒนานวัตกรรมสื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย การอ่าน การเขียน เรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย โดยใช้เทคโนโลยีประยุกต์เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน ให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา เกิดความสุข ความสนุก ในการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ผ่านสื่อเสมือนจริง (AR) ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ว่า เป็นการถ่ายทอดให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ เกิดความรักและความกตัญญูต่อประเทศชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นของประเทศเพราะเยาวชนคืออนาคตสำคัญของชาติ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเครื่องแบบนักเรียนว่า มีวัตถุประสงค์หลายประการ ส่วนหนึ่ง คือ เครื่องแบบนักเรียนยังช่วยน้องๆนักเรียน ทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่าย หากเกิดเหตุอันตรายในที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังสิ้นเปลืองน้อยกว่าการแต่งชุดไปรเวทที่อาจจะต้องมีหลายชุดด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมถ่ายรูปเซลฟี่ร่วมกับนักเรียน พร้อมชูสัญลักษณ์ ไอเลิฟยู ให้กำลังใจให้ทุกคน “สู้ สู้”
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37192 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงสาวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เสี่ยงต่ออันตรายรอบด้าน ที่ย่านประชาสงเคราะห์ กรุงเทพฯ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงสาวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เสี่ยงต่ออันตรายรอบด้าน ที่ย่านประชาสงเคราะห์ กรุงเทพฯ
พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงสาวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เสี่ยงต่ออันตรายรอบด้าน ที่ย่านประชาสงเคราะห์ กรุงเทพฯ
วันนี้ (14 ธ.ค. 63) เวลา 13.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวขอความช่วยเหลือหญิงสาววัย 21 ปี มีลูกวัย 1 ขวบ ซึ่งสามีแยกทางกัน ทำให้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และมีปัญหาด้านสุขภาพจิต มีพฤติกรรมชอบใช้ชีวิตนอกบ้าน และไปอาศัยอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่างๆ ที่ย่านประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กรุงเทพฯ ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าว วันนี้ตนได้มอบหมายให้ นายสนองวิชญ์ ภูวันทมาตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม.
นางพัชรี กล่าวว่า จากการตรวจสอบขอเท็จจริงพบว่า หญิงสาวคนดังกล่าวได้แยกทางกับสามี และมีพฤติกรรมชอบใช้ชีวิตนอกบ้าน อาศัยนอนบ้านร้าง มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ ต้องให้ตากับยายช่วยเลี้ยงดู ซึ่งศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. ได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการมอบนมผงและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็ก ส่วนผู้เป็นแม่ได้นำตัวไปตรวจรักษาด้านสุขภาพจิตที่โรงพยาบาล อีกทั้งได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในระยะยาวทั้งเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การประกอบอาชีพ และนำกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ช่วยในการเยียวยาจิตใจเพื่อให้หญิงรายดังกล่าวได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติต่อไป
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37598 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปล่อยคาราวานฟางอัดฟ่อน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปล่อยคาราวานฟางอัดฟ่อน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้
‘รมช.ประภัตร’ ปล่อยคาราวานฟางอัดฟ่อน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ เคลื่อนขบวนกว่า 30 คัน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถบริจาคฟางอัดฟ่อนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ณ สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด จ.ราชบุรี ว่า จากเหตุการณ์อุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดของภาคใต้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากประสบกับปัญหาความเดือดร้อน รวมไปถึงกลุ่มเกษตรกรที่ประกอบอาชีพการเลี้ยงโคนม โคเนื้อ แพะ และแกะ ในพื้นที่ภาคใต้ก็ประสบปัญหาความเดือดร้อน จากการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงอาหารที่ใช้สำหรับการเลี้ยงสัตว์
รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ได้เห็นถึงน้ำใจของชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด และสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) พร้อมด้วยสมาชิก องค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม สมาชิกกว่า 5,000 ราย และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ได้ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว จึงร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคฟางอัดฟ่อน รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือ พี่น้องเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมจำนวน 30 คันรถ ซึ่งเป็นฟางอัดฟ่อน จำนวน 20,000 ฟ่อน โดยมอบให้กับกรมปศุสัตว์เพื่อทำการส่งมอบให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ต่อไป
ทั้งนี้ รมช.เกษตรฯ ได้ประชาสัมพันธ์ชี้แจงโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และเกี่ยวกับกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯ (โคขุน กู้วิกฤต Covid-19) ให้กับเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้รับทราบ ซึ่งเป็นโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มีตลาดรองรับที่แน่นอน มีการประกันราคา สำหรับการสนับสนุนเงินทุน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเลี้ยงสัตว์ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย 100 บาท/ปี ถือเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำและไม่ต้องนำทรัพย์สินมาค้ำประกัน เพียงรวมเป็นกลุ่มและสมาชิก 7 คนขึ้นไป ยื่นจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกับเกษตรอำเภอ ดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อผ่านความเห็นชอบต่อไป ซึ่งจะสามารถเป็นแหล่งเงินทุนที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนอีก
จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ ให้แก่ผู้ร่วมบริจาค สิ่งของและฟางอัดฟ่อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดของภาคใต้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37600 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมพร้อมกับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 เริ่มลงทะเบียนวันที่ 16 ธันวาคม 2563 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
เตรียมพร้อมกับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 เริ่มลงทะเบียนวันที่ 16 ธันวาคม 2563
ระบบการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 พร้อมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 5 ล้านคน ในวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 23.00 น. จนกว่าจะครบ 5 ล้านสิทธิ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ระบบการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 พร้อมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 5 ล้านคน ในวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่ใช่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 23.00 น. จนกว่าจะครบ 5 ล้านสิทธิ โดยผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากการไม่ใช่สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะแรกสามารถลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้ สำหรับผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งกลุ่มเดิมสามารถกดปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้มีขั้นตอนเช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่งระยะแรก คือ 1) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยกรอกข้อมูลชื่อ - สกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 2) รอรับ SMS แจ้งผลการลงทะเบียน และ 3) ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตน และเมื่อดำเนินการครบก็สามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อรับสิทธิเงินร่วมจ่ายจากรัฐร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิหรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก
สำหรับผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งกลุ่มเดิมสามารถกดปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยจะใช้จ่ายวงเงิน 3,000 บาทเดิม ได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 และใช้จ่ายวงเงินเพิ่มอีก 500 บาท ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564 ซึ่งปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 จะปรากฏเตือนบนหน้าแอปพลิเคชันทุกครั้งจนกว่าผู้ได้รับสิทธิเดิมจะกดยืนยันรับสิทธิ และปุ่มดังกล่าวจะไม่มีวันหมดอายุ (แผนภาพตัวอย่างปุ่มยืนยันการเข้าร่วมโครงการสำหรับผู้ได้รับสิทธิเดิมปรากฏตามด้านล่าง)
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าผู้ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะแรกและระยะที่ 2 จะไม่สามารถใช้สิทธิมาตรการช้อปดีมีคืนได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่จำแนกกลุ่มเป้าหมายของโครงการและมาตรการต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนไม่ให้ซ้ำซ้อนลักลั่นกัน สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของโครงการคนละครึ่ง ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 9.7 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,537,093 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 43,330.80 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 22,156.50 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 21,174.3 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ตามลำดับ
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน ) โทร. 02-111-1144
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37595 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทำงาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) และครอบครัว เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทำงาน จำนวน 1,851,643.67 บาท เงินช่วยพิเศษ 290,464.22 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพสำหรับครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศซาอุดีอาระเบียในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 จำนวน 100,000 บาท จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับมอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,242,107.89 บาท เพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจแก่ครอบครัว ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน นายปรีดา เชื้อผู้ดี ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีและนายกองค์การบริหารสวนตำบลท่าอิฐ นายประสิทธิ์ มะหะหมัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 19 พรรคพลังประชารัฐ นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า โรงพยาบาลกรุงเทพ นางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน และบุตรชายอีก 2 คน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ได้เสียชีวิตเนื่องจากปอดติดเชื้อและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานดินไปในการฝังศพเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ณ มัสยิดบุสตานุ้ลอารีฟีน ในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยต่อครอบครัวของนายหมัด มะมิน ล่ามประจำสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่ได้สูญเสียเสาหลักของครอบครัว จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งในวันนี้จึงได้มอบเงินเป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทำงาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2 ล้าน 2 แสนบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้กำลังใจแก่ครอบครัวของนายหมัดฯ
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า นายหมัด มะมิน เป็นล่ามให้กระทรวงแรงงานมากว่า 20 ปี ถือเป็นผู้เสียสละที่ได้ช่วยเหลือแรงงานไทยทั้งใน ซาอุดีอาระเบีย และพื้นที่อาณาทั้งในคูเวต บาห์เรน เลบานอน มามากมาย โดยได้ออกไปทำงานเพื่อช่วยให้คนไทยที่เจ็บป่วยได้เดินทางกลับบ้านในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 และได้ดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง จนทำให้ตัวเองต้องล้มป่วยจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา และกลับมารักษาตัวจนต้องมาเสียชีวิตที่ประเทศไทยในที่สุด สำหรับการให้ความช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน ผมและท่านปลัดกระทรวงได้มอบหมายให้สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือครอบครัวนายหมัด ได้แก่ การรับพระราชทานดินในการฝังศพ การมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน จำนวน 50,000 บาท การขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่ำกว่าสายสะพาย เป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้วายชนม์ ชั้นตรา เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่นายหมัดฯ การทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเรื่อง ขออนุมัติจ่ายเงินช่วยพิเศษและเงินค่าตอบแทนสิ้นสุดการทำงานให้แก่นายหมัดฯ โดยได้รับอนุมัติแล้ว รวม 2,142,107.89 บาท และการทำหนังสือถึงสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอสนับสนุนเงินบริจาคบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อบริจาคสนับสนุนแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 โดยได้รับเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพฯ 100,000 บาท เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เรียนประวัติศาสตร์ผ่านสื่อร่วมสมัย | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
เรียนประวัติศาสตร์ผ่านสื่อร่วมสมัย
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาโครงการอ่าน เขียน เรียนประวัติศาสตร์ โดยใช้การสื่อสารร่วมสมัยและเทคโนโลยีสื่อเสมือนจริง หรือ AR นำภาพเสมือนที่เป็นรูปแบบ 3 มิติ จำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้องและการประมวลผลที่นำวัตถุมาซ้อนทับเป็นภาพเดียวกันให้สามารถมองผ่านกล้องได้โดยตรง นอกจากนี้ยังมีวีดีทัศน์เรื่องราวเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทำจากสถานที่จริงดำเนินเรื่องโดยศิลปินที่เป็นขวัญใจของเยาวชน เช่น การพัฒนารถไฟไทย พัฒนาการสื่อสาร ชุดราชปะแตน การปฏิรูปการศึกษา พัฒนาการถนน ละครพันทางสู่ภาพยนตร์ วัฒนธรรมการรับประทานอาหารริมทาง และการเข้ามาของน้ำแข็ง เป็นต้น โดยมุ่งหวังให้ครูนำไปใช้ปรับวิธีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนให้มีความน่าสนใจมากขึ้น
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37583 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบ 3 มาตราเข้ม “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 64 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบ 3 มาตราเข้ม “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 64
คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เน้น 3 มาตรการ ห้ามขายอายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่ลดแลกแจกแถม และห้ามโฆษณา ตั้งด่านชุมชนให้ อสม. คัดกรองสกัดคนเมาในชุมชน
คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เน้น 3 มาตรการ ห้ามขายอายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่ลดแลกแจกแถม และห้ามโฆษณา ตั้งด่านชุมชนให้ อสม. คัดกรองสกัดคนเมาในชุมชน ส่วนจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทำได้ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันโควิด 19 คัดกรองวัดไข้และคนเมา ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ
วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยเน้นรณรงค์ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เข้มงวดใน 3 มาตรการ คือ ห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ห้ามขายลักษณะการลด แลก แจก แถม ชิงโชค และห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แสดงชื่อหรือเครื่องหมายที่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ดื่ม โดยจะมีการตั้งด่านชุมชน ให้ อสม.ประเมิน และคัดกรองคนเมาเบื้องต้น เพื่อสกัดกั้นผู้ดื่มในชุมชนไม่ให้ขับขี่พาหนะ หากเกิดอุบัติเหตุจะมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทุกราย หากเป็นเด็กและเยาวชนดื่มแล้วขับ จะเอาผิดถึงผู้ขายด้วย และนำไปสู่การคุมประพฤติและบำบัดรักษาตามที่ศาลสั่ง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าช่วงปีใหม่จัดงานรื่นเริงได้ แต่ต้องขออนุญาตและเสนอแผนมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา หากมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมีใบอนุญาตขายจากกรมสรรพสามิต การจัดงานต้องปฏิบัติตามมาตรการที่เสนอ ทั้งการคัดกรองวัดไข้ และคนเมาไม่ให้เข้าร่วมงานการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง และลงทะเบียนไทยชนะ หากพบว่าไม่ดำเนินการตามมาตรการจะสั่งระงับการจัดงาน ส่วนนักดื่มต้องระวังโรคโควิด 19 เนื่องจากความมึนเมาอาจทำให้หยิบแก้วปะปนกันหรือสัมผัสละอองฝอยจากการพูดคุยตะโกนใส่กัน
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2564 – 2570 โดยมีเป้าหมายป้องกันและควบคุมปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบ 7 กลยุทธ์ คือ 1.ควบคุมและจำกัดการเข้าถึง 2.ควบคุมพฤติกรรมการขับขี่หลังการดื่ม 3.คัดกรองและบำบัดรักษาผู้มีปัญหาจากสุรา 4.ควบคุมการโฆษณาส่งเสริมการขาย และการให้ทุนอุปถัมภ์ 5.ขึ้นราคาผ่านระบบภาษี 6.สร้างค่านิยมเพื่อลดการดื่ม เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของสินค้าแอลกอฮอล์ เป็นสินค้าเสพติด ทำลายสุขภาพทำร้ายสังคม และ7.พัฒนากลไกการขับเคลื่อนนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกระดับ และการบริหารจัดการที่ดี โดยแต่ละกลยุทธ์จะมีโครงการและกิจกรรมรับรอง เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง สามารถจัดการปัญหาแอลกอฮอล์และขยายผลได้
************************************ 14 ธันวาคม 2563
**********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2
ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยประกันราคายางพาราแผ่นดิบ 60 บาท/กก. น้ำยางสด 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย 23 บาท/กก. เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย วงเงินกว่า 9,700 ล้านบาท ดีเดย์โอนเงินรอบแรก 10 ธันวาคมนี้ เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงกว่า 9 แสนราย เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้ที่แน่นอนจากการประกันรายได้ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ำ อันเนื่องมากจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย พื้นที่สวนยางกว่า 18.28 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณ 9,717 ล้านบาท โดยประกันรายได้ตามการผลิตแต่ละประเภท ได้แก่ ยางพาราแผ่นดิบคุณภาพดี ประกันราคา 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) ประกันราคา 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ประกันราคา 23 บาท/กิโลกรัม กำหนดระยะเวลาประกันรายได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564) โดยในวันนี้ (10 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินประกันรายได้ดังกล่าวไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท แก่เกษตรกรจำนวนกว่า 9 แสนราย
สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรชาวสวนยางต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่การปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยเป็นสวนยางพาราอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จำนวน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยจะทำการตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ พร้อมทั้งประมวลผล ส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินค่าประกันรายได้ในแต่ละเดือน = (ราคายางที่ประกันรายได้-ราคาอ้างอิงการขาย) X ปริมาณผลผลิตยางตามเนื้อที่กรีดยาง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ หากเจ้าของสวนกรีดเองจะได้รับส่วนต่างประกันรายได้ทั้งจำนวน กรณีจ้างกรีดยาง เจ้าของสวนยางจะได้ร้อยละ 60 และคนกรีดจะได้ร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด โดยมีการประกาศราคากลางอ้างอิงทุกเดือน และจะมีการจ่ายเงิน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 – กันยายน 2564 ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37558 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
ผู้มีเกียรติทุกท่าน
องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ประเทศไทยจึงได้จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลขึ้น เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงพลังความร่วมมือและเจตนารมณ์ร่วมกันของคนไทยในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
ในวันนี้ รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ โดยดำเนินการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ให้ครอบคลุมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเป็นระบบ ก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์ ผลประโยชน์ทับซ้อน ตลอดจนเร่งรัดให้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในด้านวินัยและอาญาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และสร้างวัฒนธรรมการทำงานอย่างมีคุณธรรมและความโปร่งใสในสังคมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือกันดูแลปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และทุกหน่วยงานที่ได้ทุ่มเท เสียสละแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ขอให้พลังแห่งคุณความดี จงปกป้องคุ้มครองท่าน และนำพาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง
ในโอกาสนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยและทุกภาคส่วนร่วมแสดงเจตนารมณ์ที่จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อสร้างสังคมไทยให้ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชันตลอดไป
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จัดงานออกรางวัลออมทรัพย์ทวีโชคระดับประเทศ ประจำปี 2563 ลุ้นของรางวัลรวม 125 รางวัล มูลค่ากว่า 19 ล้านบาท 23 ธันวาคมนี้ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส.จัดงานออกรางวัลออมทรัพย์ทวีโชคระดับประเทศ ประจำปี 2563 ลุ้นของรางวัลรวม 125 รางวัล มูลค่ากว่า 19 ล้านบาท 23 ธันวาคมนี้
ธ.ก.ส.ออกรางวัลออมทรัพย์ทวีโชคระดับประเทศให้แก่ลูกค้าที่ฝากเงินสะสมต่อเนื่อง จัดเต็มแจกรถยนต์ 25 คัน และทองคำแท่ง หนัก 1 บาท 100 รางวัล รวม 125 รางวัล มูลค่ากว่า 19 ลบ. พร้อมชมโชว์สุดพิเศษจากตุ้ย AF3 ณ ห้องโถงชั้น 2 อาคารทาวเวอร์ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่
ธ.ก.ส. ออกรางวัลออมทรัพย์ทวีโชคระดับประเทศให้แก่ลูกค้าที่ฝากเงินสะสมต่อเนื่อง จัดเต็มแจกรถยนต์ 25 คัน และทองคำแท่ง หนัก 1 บาท 100 รางวัล รวม 125 รางวัล มูลค่ากว่า 19 ล้านบาท พร้อมชมโชว์สุดพิเศษจากตุ้ย AF3 ณ ห้องโถงชั้น 2 อาคารทาวเวอร์ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ ในวันพุธที่ 23 ธันวาคมนี้ เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. จัดงานออกรางวัลออมทรัพย์ทวีโชคระดับประเทศ ประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิด “ธ.ก.ส. ยิ่งออม ยิ่งดี ทวีโชค แจกใหญ่ทุกปี” ให้ลูกค้าผู้ฝากเงินกับบัญชีออมทรัพย์ทวีโชค หรือเงินฝาก สมุดเล่มแดง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ ธ.ก.ส. จัดทำเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไป และเกษตรกรลูกค้าได้ออมเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิตโดยการฝากเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล โดยยอดคงเหลือในบัญชีทุกๆ 2,000 บาท และฝากติดต่อกัน 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นจับรางวัลระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง และจับรางวัลในระดับประเทศปีละ 1 ครั้ง และพิเศษ เมื่อยอดเงินฝากคงเหลือทุก 10,000 บาท ติดต่อกัน 7 เดือน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล 1 สิทธิ์ และหากฝากต่อเนื่อง 10 เดือน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล 2 สิทธิ์ (เพิ่มอีก 1 สิทธิ์) ทั้งนี้ มีเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปได้ฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ทวีโชคกับ ธ.ก.ส. แล้วจำนวน 18.77 ล้านบัญชี เป็นเงิน 395,553 ล้านบาท ซึ่งเงินทุกบาท ธ.ก.ส. จะนำไปพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนและเสริมความแข็งแกร่งของภาคชนบทต่อไป
นายกษาปณ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการออกรางวัลฯ ระดับประเทศ ประจำปี 2563 จะมอบให้กับผู้ที่ฝากเงินระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2563 โดยรางวัลในกิจกรรมมอบโชคในครั้งนี้ ประกอบด้วย รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ นิสสัน เทอร์ร่า จำนวน 5 รางวัล รถกระบะ นิสสัน นาวารา จำนวน 5 รางวัล รถยนต์นิสสัน อัลเมร่า จำนวน 15 รางวัล และรางวัลทองคำแท่ง หนัก 1 บาท จำนวน 100 รางวัล รวมทั้งสิ้น 125 รางวัล มูลค่ากว่า 19 ล้านบาท นอกจากนี้ ภายในงานยังมีโชว์สุดพิเศษจากศิลปินนักแสดง ชื่อดัง “ตุ้ย AF3” ที่จะมานำทีมสร้างสีสัน พร้อมร่วมลุ้นรางวัลส่งท้ายปีไปกับผู้โชคดี ในวันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563 ณ ห้องโถงชั้น 2 ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ โดยสามารถติดตามการถ่ายทอดสดการออกรางวัลฯ ได้ทาง Facebook LIVE ที่ Page ธกส BAAC Thailand ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง
ธอส.จัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจำเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) จำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจำเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้(12 ธันวาคม 2563) จำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ครองแชมป์ประเภททรัพย์ที่ขายได้มากที่สุด พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลห้ามพลาดส่วนลดราคาพิเศษเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจำเดือนธันวาคม 2563 เปิดประมูลทรัพย์ NPA พร้อมกัน 111 รายการ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งผลปรากฏว่าธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ถึง 42 รายการ คิดเป็นมูลค่าที่จำหน่ายได้รวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ โดยทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ถือเป็นประเภททรัพย์ที่ลูกค้าประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งธนาคารสามารถจำหน่ายได้ประเภทละ 16 รายการเท่ากัน ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น หมู่บ้านพาทิโอศรีนครินทร์-พระราม 9 เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายการทรัพย์เด่นทำเลดีใจกลางเมืองเดินทางสะดวกที่ธนาคารนำมาออกประมูลในครั้งนี้ จากราคาเริ่มต้น 4,240,000 บาท จำหน่ายได้ในราคาปิดประมูล 4,360,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ประเภทห้องชุดขนาด 37.53 ตารางเมตร ในโครงการไอ-เซนคอนโดมิเนียมเอกมัย-รามอินทรา ถนนนาคนิวาส เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เป็นอีกรายการที่เดินทางสะดวก ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทางขึ้น-ลงทางด่วน สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้างสรรพสินค้า และโรงเรียน ปิดประมูลขายได้ในราคาเพียง 1,695,000 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาเริ่มต้นประมูลจำนวน 10,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ที่ดินเปล่า ขนาด 60 ตารางวา ในโครงการหาดเพชรแลนด์ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เปิดประมูลในราคาเริ่มต้น 75,000 บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลมากที่สุดถึง 10 ราย ก่อนที่จะปิดประมูลไปในราคา 320,000 บาท
“ธอส. เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่เริ่มเปิดประมูลบ้านมือสองออนไลน์มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ซึ่งนับว่าลูกค้าประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลการประมูลทั้ง 6 ครั้งในปีนี้ ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้รวมกันมากกว่า 120 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 190 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้านในรูปแบบที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ในขณะเดียวกันยังเป็นผลมาจากทรัพย์ NPA ของ ธอส. ที่นำออกประมูลถือเป็นรายการที่น่าสนใจ มีสภาพดี เดินทางสะดวก คุ้มค่ากับราคา และผู้ซื้อยังสามารถเลือกใช้บริการโปรโมชั่นสินเชื่อหรือผ่อนดาวน์ อัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งจัดทำขึ้นพิเศษสำหรับผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ได้อีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2564 ธนาคารจะยังจัดมหกรรมประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เช่นเดิม โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์เพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันที หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “TMF Power Fusion” กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ ๕ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “TMF Power Fusion” กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ ๕
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “TMF Power Fusion” กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ ๕
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “TMF Power Fusion” กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ ๕ และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์กับการมีส่วนร่วมของประชาชน” ซึ่งเป็นโครงการจัดเวทีส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ๕ ภูมิภาค (ภาคกลาง) จัดโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนใน ๕ ภูมิภาคของประเทศไทย ในการพัฒนาและสร้างทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงการส่งเสริมการใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.ธนกร ศรีสุกใส ผู้อำนวยการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการฯ สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร วัฒนธรรมจังหวัด ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37577 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เข้าช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุพิการ ป่วยติดเตียงในโครงการของ กคช. ที่ จ.นครศรีธรรมราช | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. เข้าช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุพิการ ป่วยติดเตียงในโครงการของ กคช. ที่ จ.นครศรีธรรมราช
ปลัด พม. เข้าช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุพิการ ป่วยติดเตียงในโครงการของ กคช. ที่ จ.นครศรีธรรมราช
วันที่ 11 ธ.ค. 63 เวลา 09.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อพบปะเยี่ยมและให้กำลังใจชาวชุมชนโครงการเคหะชุมชนนครศรีธรรมราช 1 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น 660 ราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จากนั้น เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น 412 ราย ให้กับชาวชุมชนโครงการบ้านเอื้ออาทรนครศรีธรรมราช 2 (โพธิ์เสด็จ) ซึ่งได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน อีกทั้งในชุมชนนี้ ยังมีผู้สูงอายุ 3 คน ที่พิการทางการเคลื่อนไหว เป็นผู้ป่วยติดเตียง จึงเดินไปเยี่ยมบ้านเพื่อพูดคุยให้กำลังใจ พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ ได้แก่ มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น การต่อบัตรและทำบัตรใหม่สำหรับคนพิการ และการเปลี่ยนผู้ดูแล รวมทั้งได้ให้ ทีม พม. One Home จังหวัดนครศรีธรรมราชและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ติดตามความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ได้เดินทางไปช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม ซึ่งผู้เป็นยายมีความพิการทางสายตา (เลือนลาง) ต้องรับภาระเลี้ยงดูหลาน จำนวน 7 คน อายุระหว่าง 2-13 ปี แทนผู้เป็นแม่ที่ถูกจับดำเนินคดี ทำให้ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมและส่งผลต่อพัฒนาการสมวัยของเด็ก อีกทั้งครอบครัวมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 5,000 บาท นอกเหนือจากที่ได้รับเบี้ยความพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประจำเดือน ชุดนักเรียน และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อีกทั้งได้กำชับทีม พม. One Home จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องทั้งชีวิตความเป็นอยู่และการเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการศึกษาอย่างสม่ำเสมอของเด็ก เนื่องจากการศึกษาจะทำให้เด็กสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวในอนาคต และหลุดพ้นจากความยากจนได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37572 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เร่งช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม และครอบครัวยากจน ที่ จ.นครศรีธรรมราช | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. เร่งช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม และครอบครัวยากจน ที่ จ.นครศรีธรรมราช
ปลัด พม. เร่งช่วยเหลือเด็ก 7 พี่น้อง เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม และครอบครัวยากจน ที่ จ.นครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 63 เวลา 11.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม โดยครอบครัวดังกล่าวมีผู้เป็นยายที่มีความพิการทางสายตา (เลือนลาง) ต้องรับภาระเลี้ยงดูหลาน จำนวน 7 คน อายุระหว่าง 2-13 ปี แทนผู้เป็นแม่ที่ถูกจับดำเนินคดี ทำให้ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมและส่งผลต่อพัฒนาการสมวัยของเด็ก อีกทั้งครอบครัวมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 5,000 บาท นอกเหนือจากที่ได้รับเบี้ยความพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประจำเดือน ชุดนักเรียน และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อีกทั้งได้กำชับทีม พม. One Home จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องทั้งชีวิตความเป็นอยู่และการเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการศึกษาอย่างสม่ำเสมอของเด็ก เนื่องจากการศึกษาจะทำให้เด็กสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวในอนาคต และหลุดพ้นจากความยากจนได้
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับครอบครัวนี้ มีปัญหาที่สลับซับซ้อน มีทั้งลูกต่างบิดา หลากหลายช่วงอายุ กระทรวง พม. จะเข้ามาดูแลและประเมินการเลี้ยงดู สภาพความเป็นอยู่ที่อาศัยที่เหมาะสม โดยทีมงานนักสังคม และทีมสหวิชาชีพ ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างละเอียดอ่อน ดูแลสภาวะจิตใจของเด็ก และผู้ปกครองโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งในทางกฏหมาย เด็กจะต้องได้รับปกป้องคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่สามารถดูแลได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งประสบปัญหาทางสังคม ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งหรือดูแลอย่างไม่เหมาะสม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37573 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบระงับข้อพิพาททรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ระบบระงับข้อพิพาททรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาระบบระงับข้อพิพาทออนไลน์ หรือ Online Dispute Resolution เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง โดยระบบนี้เป็นการนำขั้นตอนกระบวนการอนุญาโตตุลาการและกระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทมาให้บริการ ซึ่งถ้าหากผลการเจรจาเป็นไปด้วยดีจะช่วยลดจำนวนคดีที่จะขึ้นสู่ชั้นศาล ช่วยให้คู่กรณีประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งลดการเผชิญหน้าของคู่กรณีอีกด้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้ารับบริการระบบระงับข้อพิพาทออนไลน์ได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 เป็นต้นไปทางเว็บไซต์ https://thac.go.th โดยสามารถศึกษาขั้นตอนการดำเนินการได้ที่เว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37584 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงแบบเรียนชื่อ “ชีวิตกับสังคมไทย” | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงแบบเรียนชื่อ “ชีวิตกับสังคมไทย”
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงแบบเรียนชื่อ “ชีวิตกับสังคมไทย”
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการวิจารณ์แบบเรียนชื่อ “ชีวิตกับสังคมไทย” เป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) ปี 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ว่า หลักสูตรดังกล่าวอยู่ในหลักสูตรกลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ ที่มีจุดประสงค์รายวิชา และสมรรถนะ แกนกลาง ประกอบด้วย ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคม ศิลปวัฒนธรรมประเพณี และภูมิปัญญาของไทย สามารถวิเคราะห์และประเมิน การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและวัฒนธรรมไทยตระหนักและเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาของไทย โดยครูผู้สอนสามารถเลือกใช้หนังสือต่าง ๆ ประกอบการเรียนได้ โดยให้มีวัตถุประสงค์และสามารถสร้างสมรรถนะได้ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ โดยบางเนื้อหาที่มีความไม่ถูกต้อง เหมาะสม ก็มิได้นำมาเป็นบทเรียน ทั้งนี้ก็จะอยู่ในดุลยพินิจของผู้สอน โดยเชื่อมโยงกับแผนการสอน และในแต่ละรายวิชาของหลักสูตร ปวส. จะมีหนังสือเรียนที่หลากหลาย และแต่ละบทเรียน ก็มิได้บังคับหรือจำเป็นจะต้องใช้หนังสือเรียนเพียงเล่มเดียว สามารถใช้หนังสือหลายเล่มประกอบกัน รวมถึงสามารถนำบริบท ชุมชนมาร่วมในการจัดการเรียนการสอนด้วย สอศ.จะกำหนดการหารือร่วมกับบริษัทผู้พิมพ์ผู้โฆษณา กองบรรณาธิการ และผู้เขียน พร้อมทั้งจะให้มีการทบทวนในเรื่องของการใช้หนังสือเรียนในหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) นำแนวคิดและกระบวนการในการคัดเลือกหนังสือเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้ใช้หลักสูตร เป็นผู้ตรวจประเมิน และผ่านการกลั่นกรองจากคณะภาคี 4 ฝ่าย (ผู้แทนนักเรียน นักศึกษา ครู ผู้ปกครอง และชุมชน) เป็นผู้คัดเลือกหนังสือสำหรับใช้ในการเรียน มาปรับใช้ในการคัดเลือกหนังสือเรียนในระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37565 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงดอยอินทนนท์ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงดอยอินทนนท์
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ อาหารปลอดภัย พร้อมเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงดอยอินทนนท์ จำกัด ณ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ว่าเป็นสหกรณ์ที่อยู่ในพื้นที่โครงการหลวง ก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรโดยเฉพาะชาวไทยภูเขาให้มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ต่อมาได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม และยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้มีความกินดีอยู่ดี ทั้งภายในชุมชนและนอกชุมชน จึงได้มีการจัดตั้งและจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2536 สมาชิกประกอบด้วยชนเผ่าม้งและกระเหรี่ยง ทั้งนี้ กิจกรรมที่สหกรณ์ฯ ดำเนินร่วมกัน เช่น รวบรวมผลผลิตทางการเกษตร การซื้อขายผลผลิตเพื่อจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น ตลาดเกษตรกร และมีช่องทางการจำหน่ายอื่นด้วย อาทิ โครงการหลวง อีกทั้งยังจัดตั้งตลาดสินค้าชุมชน เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มสตรีและกลุ่มเยาวชนของบ้านขุนกลางให้มีอาชีพและรายได้เพิ่มขึ้น โดยนำสินค้าที่ระลึกและผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาลมาจำหน่าย เช่น กะหล่ำปลี สลัด มะเขือเทศ ผักกาดขาวปลี หัวไชเท้า ซูกินี หอมญี่ปุ่น เซเลอรี่ เบบี้ฮ่องเต้ เป็นต้น ทั้งนี้ ผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์ฯ เป็นสินค้าที่ผ่านมาตรฐานและรับรองให้เป็นสินค้าเกษตรปลอดภัย จึงทำให้ได้รับการเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการทำอาชีพการเกษตร พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยมีการดำเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ส่งเสริมให้เกษตรกรลดละเลิกการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชศัตรูพืช
ส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทำเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีการยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชนในการรวบรวมจัดเก็บแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในระดับพื้นที่ รวมทั้งจัดหาตลาดโดยการจัดทำโครงการซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ เพื่อให้เป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าของสมาชิกที่มีคุณภาพ และเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดระหว่างขบวนการสหกรณ์กับภาคเอกชน เพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังได้ริเริ่มโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อให้ลูกหลานเกษตรกรได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ใช้ความรู้และประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมและบริการ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ มาพัฒนาการเกษตรของครอบครัว เป็นการสร้างงานการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมตลาดเกษตรกร ตลาดแม่บ้านและเยาวชนบ้านขุนกลาง ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ส่งเสริมกลุ่มสตรีซึ่งเป็นแม่บ้านและเยาวชน ของบ้านขุนกลางให้มีอาชีพและเพิ่มรายได้โดยการตั้งตลาดขายสินค้าชุมชน เพื่อจำหน่ายของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์การเกษตรตามฤดูกาล ปัจจุบันมีสมาชิก 80 คน มีทุนหมุนเวียนมากกว่า 5 แสนบาท สมาชิกกลุ่มสตรีมีรายได้เฉลี่ย 30,000 - 100,000 บาท/ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37590 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆรวาส ในพิธีเปิดงานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ๒ แผ่นดิน พุทธภูมิ - สุวรรณภูมิ ครั้งที่ ๔ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆรวาส ในพิธีเปิดงานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ๒ แผ่นดิน พุทธภูมิ - สุวรรณภูมิ ครั้งที่ ๔
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆรวาส ในพิธีเปิดงานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ๒ แผ่นดิน พุทธภูมิ - สุวรรณภูมิ ครั้งที่ ๔
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆรวาส ในพิธีเปิดงานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ๒ แผ่นดิน พุทธภูมิ - สุวรรณภูมิ ครั้งที่ ๔ โดยมี พระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าสายธรรมทูตประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมี นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภิกษุ ภิกษุณี และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธี ณ วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี ๙๘๙ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ทั้งนี้ โครงการ “งานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ๒ แผ่นดิน พุทธภูมิ - สุวรรณภูมิ ครั้งที่ ๔” จัดโดยวัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี ๙๘๙ เพื่อยกย่องเชิดชูพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สูงสุดที่รวบรวมหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วมสาธยายพระไตรปิฎก รวมทั้งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้อ่านพระไตรปิฎกในรูปแบบของภาษาบาลี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37576 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางประสบภัยน้ำท่วม | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางประสบภัยน้ำท่วม
ปลัด พม. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางประสบภัยน้ำท่วม
วันที่ 10 ธ.ค. 63 เวลา 09.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยตนเป็นประธานเปิดโครงการ มหกรรม พม. เคลื่อนที่สร้างสุขสู่ชุมชน ณ เทศบาลตำบลปากนคร อำเภอเมือง ซึ่งมีนายสมพงษ์ มากมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จากนั้น ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 100 ครอบครัว เงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 98 ราย รถสามล้อชนิดโยกสำหรับคนพิการ จำนวน 8 คัน เงินซ่อมแซมบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และอาหารปรุงสุก สด สะอาด จำนวน 500 กล่อง นอกจากนี้ ทีม พม. One Home จังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันออกหน่วยบริการเคลื่อนที่สำหรับประชาชนในพื้นที่ ได้แก่ การให้คำปรึกษาแก่ผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม การสาธิตอาชีพ การบริการซ่อมจักรยานยนต์ การบริการตัดผมฟรี กิจกรรมเรียนรู้สำหรับเด็ก และการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด
นางพัชรี กล่าวว่า ด้วย รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงสั่งการทุกหน่วยงานลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเร่งรวดเร็ว สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ขณะนี้ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สินในทุกพื้นที่จำนวน 23 อำเภอ โดยมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 919,003 คน 323,536 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต จำนวน 21 ราย อีกทั้งมีบ้านที่พังเสียหายบางส่วน จำนวน 4,216 หลัง และบ้านพังเสียหายทั้งหลัง จำนวน 29 หลัง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงเร่งดำเนินภารกิจตามแผนการฟื้นฟูและพัฒนาผู้ประสบอุทกภัย 4 ด้าน คือ 1) ด้านชีวิต ด้วยการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และคนพิการ เป็นต้น 2) ด้านที่อยู่อาศัย ด้วยการช่วยหลือปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ 3) ด้านอาชีพ ด้วยการฟื้นฟูผู้ประสบภัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว และ 4) ด้านสาธารณประโยชน์ ด้วยการพื้นฟูวิถีชุมชนและสภาพแวดล้อมของผู้ประสบภัย โดยทำความสะอาดบ้าน วัด มัสยิด และโรงเรียน รวมทั้งการประสานให้ความช่วยเหลือร่วมกับภาคเอกชน
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37569 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ลุยน้ำท่วมแจกอาหารปรุงสุกจากครัวกลางชุมชนให้ผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. ลุยน้ำท่วมแจกอาหารปรุงสุกจากครัวกลางชุมชนให้ผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
ปลัด พม. ลุยน้ำท่วมแจกอาหารปรุงสุกจากครัวกลางชุมชนให้ผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
วันที่ 10 ธ.ค. 63 เวลา 12.00 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และทีม พม. One Home ลงพื้นที่ ณ ชุมชนบ้านช้าง หมู่ 7 ตำบลท่าเรืออำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมทั้งเดินลุยน้ำและนั่งเรือเพื่อนำอาหารปรุงสุก สด สะอาดจากครัวกลางชุมชน และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ไปแจกจ่ายให้ชาวชุมชนที่บ้านยังคงถูกน้ำท่วมและเดินทางออกมาภายนอกด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
นางพัชรี กล่าวว่า ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37570 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 10/2563 โดยมีนายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบ VDO Conference จากห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้นำเสนอความก้าวหน้าการดำเนินงานต่าง ๆ ดังนี้
- การกระจายเกลือทะเล ซึ่งดำเนินการผ่านเครือข่ายสหกรณ์และร้านธงฟ้า
- การแก้ไขปัญหาการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบภายในการพัฒนาเกลือทะเลไทยควบคู่กับการทำความเข้าใจไม่ให้กระทบต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ
- การพัฒนางานวิจัยเกลือทะเล เช่น การพัฒนาเกลือดำที่ใช้ในการเพิ่มแร่ธาตุในดินให้เป็นเกลือสตุ ที่สามารถรับประทานได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าได้ 3 - 6 เท่า
- การจัดทำมรดกทางการเกษตรโลกเกลือทะเลไทย ให้จัดทำทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ รวมทั้งการนำข้อมูลการทำเกลือทะเลไทยเพื่อนำไปพัฒนาข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตร
- การดำเนินการด้านมาตรฐานเกลือทะเลไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์ และการเสนอระเบียบกระทรวงเกษตรฯ ว่าด้วยการขอและออกใบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี สำหรับการทำนาเกลือทะเล
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการประชุมคณะกรรมการฯ และแผนการตรวจเยี่ยมฯ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37593 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่วมประชุม | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ร่วมประชุม
การประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจสาขาเกษตรและสาขาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อพิจารณาร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (Pre-Position Paper : PPP) ประจำปี 2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจสาขาเกษตรและสาขาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อพิจารณาร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ(Pre-Position Paper : PPP)ประจำปี2564โดยมีนางพัลลภาเรืองรองเป็นประธานณห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)อาคารธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
จากนั้นได้เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการฯในส่วนขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.)โดยหารือถึงประเด็นสำคัญในการดำเนินงานโดยเฉพาะด้านการเงินเป็นหลักทบทวนยุทธศาสตร์เป้าหมาย/ตัวชี้วัดความท้าทายที่สามารถทำได้จริงและตอบสนองต่อความต้องการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและลูกค้ารวมถึงพิจารณาเกณฑ์ประเมินผลรัฐวิสาหกิจแบบใหม่(Core business Enablers)เพื่อให้อ.ต.ก.เป็นศูนย์กลางและช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีความโดดเด่นน่าเชื่อถือด้านคุณภาพเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ยังเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการฯขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายแผนการดำเนินงานแนวทางการส่งเสริมด้านการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และด้านการบริหารต้นทุนประกอบกับร่วมพิจารณาเกณฑ์ประเมินผลรัฐวิสาหกิจแบบใหม่(Core business Enablers)เพื่อให้อ.ส.ค.บรรลุวิสัยทัศน์“นมแห่งชาติ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้
กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จำนวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทำตามมาตรการ
กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จำนวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทำตามมาตรการ New Normal ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต้องร่วมมือปฏิบัติตาม
วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยและการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ในคอนเสิร์ต
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 28 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันทุกประเภท27 ราย และติดเชื้อในประเทศ 1 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 17 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,237 ราย รักษาหายสะสม 3,940 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล 237 ราย และเสียชีวิต 60 ราย
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 27 ราย ประกอบด้วย บาห์เรน 7 ราย เมียนมา 6 ราย สหราชอาณาจักร 3 ราย ฝรั่งเศส และโปแลนด์ ประเทศละ 2 ราย สวีเดน ยูเครน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อาเซอร์ไบจาน เยอรมนี และจอร์แดน ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 23 ราย และคนต่างชาติ 4 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 27 ปี อาชีพบุคลากรทางการแพทย์ เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชนที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 6 ราย
สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5.39 แสนราย ยอดสะสมรวม 72.6 ล้านราย อาการรุนแรง 106,189 ราย รักษาหายแล้ว 50.8 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 7.6 พันราย เสียชีวิตสะสม 1.6 ล้านราย
5 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.7 ล้านราย อินเดีย 9.88 ล้านราย บราซิล 6.9 ล้านราย รัสเซีย 2.65 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.37 ล้านราย สำหรับประเทศเมียนมา ผู้ป่วยรายใหม่ 1,127 ราย ผู้ป่วยสะสม 108,342 ราย และมาเลเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 1,229 ราย ผู้ป่วยสะสมรวม 83,475 ราย
นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการจัดคอนเสิร์ตนั้น การรวมกันของคนจำนวนมากถือว่ามีความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด จึงต้องอยู่ในวิถีของ New Normal ดังนั้น คอนเสิร์ตสามารถจัดได้ โดยต้องมี New Normal คือการสร้างระยะห่าง ผู้จัดงานต้องทำตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดี อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวางแผนเอาไว้อย่างดี แต่หน้างานที่มีคนเรือนหมื่นมาอยู่รวมกัน อาจมีความยากลำบากในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนการที่กำหนด โดยเฉพาะประตูทางเข้าที่อาจทำให้เกิดความแออัดได้ จึงขอให้ผู้จัดงานประมาณการณ์จำนวนคนเข้าร่วมงาน และพิจารณาเรื่องของการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป การขอความร่วมมือจึงยากมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น การจัดงานคอนเสิร์ตหรืองานใดก็ตาม ต้องอาศัยความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวถึง บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 รายที่ 7 นี้ เป็นเพื่อนร่วมห้องพักของผู้ป่วยบุคลากรทางการแพทย์รายที่ 6 ดังนั้นผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเริ่มจากการมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากการปฏิบัติงานภายในสถานกักกันที่รัฐกำหนด (ASQ) และนำมาติดเพื่อนบุคลากรจากการมีกิจกรรมร่วมกันนอกเวลางาน ใช้ชีวิตด้วยกัน พักด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน จากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 7 มีความเกี่ยวข้อง โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ทำงานร่วม Ward กับผู้ป่วยรายที่ 4 ที่เริ่มป่วยเป็นคนแรก, พักอาศัยร่วมห้องกับผู้ป่วยรายที่ 6 เมื่อวันที่ 5-7 ธันวาคม 2563 ก่อนที่จะทราบว่าผู้ป่วยรายที่ 6 ติดเชื้อ, วันที่ 8 ธันวาคม 2563 เก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อครั้งแรก ผลไม่พบเชื้อ และเข้ารับการกักกันในโรงพยาบาลเอกชนวันที่ 9-11 ธันวาคม 2563 ระหว่างนี้ไม่มีอาการ กระทั่งวันที่
12 ธันวาคม 2563 มีอาการเจ็บคอ แน่นจมูก ผลตรวจแล้วพบเชื้อ ขณะนี้อยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์
“ผู้ป่วยรายที่ 7 อยู่ในสถานที่กักกันโรคตั้งแต่วันที่ 8-12 ธันวาคม จึงไม่มีการสัมผัสกับผู้อื่น ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ผู้ที่พักในคอนโดเดียวกัน หากไม่มีอาการป่วย ไม่มีอาการผิดปกติ ถือเป็นกลุ่มที่ไม่เสี่ยง ส่วนกรณีสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วยเนื่องจากมีความใกล้ชิดช่วงก่อนหน้านี้ เช่น มีอาการทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก ไม่ได้กลิ่น ไม่รับรส สามารถไปตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนพบว่าเป็นการติดเชื้อภายในกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น และขอให้ประชาชนยังคงตระหนักป้องกันโรคด้วยการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่ใช้ร่วมกัน” นายแพทย์โสภณกล่าว
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เดินทางมาจากเมียนมา 6 ราย เดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องและเข้ารับการกักกันในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) จ.เชียงราย แล้วจึงตรวจพบเชื้อ ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดย 4 รายติดเชื้อไม่มีอาการ อีก 2 รายมีอาการเล็กน้อย จึงไม่ต้องตระหนก เนื่องจากไม่ได้มีการสัมผัสกับผู้อื่นภายนอก
************************************ 14 ธันวาคม 2563
*************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37594 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ
ธอส.ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นำโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นำโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.99% ต่อปีเท่านั้น ฟรี! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พร้อมเอาใจคนรักการออมด้วยสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน และเงินฝากออมทรัพย์ New Flexi For Welfare and Corporate รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.10% ต่อปี เฉพาะที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่าเพื่อเป็นการมอบโอกาสดี ๆให้แก่ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคารได้สะดวกยิ่งขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 โดยนำผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคารไปให้บริการลูกค้านำโดย สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการเท่ากับ MRR ลบ 1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป MOU เท่ากับ MRR ลบ 0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไปเท่ากับ MRR ลบ 0.50% ต่อปี วัตถุประสงค์การให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร ทั้งนี้ เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.สมุทรปราการเท่านั้น พิเศษ! ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคำขอกู้ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2563 – 15 มกราคม 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อที่มีวงเงินทำนิติกรรมสูงสุด 5 อันดับแรก ยังมีสิทธิ์ได้ของสมนาคุณพิเศษจากธนาคารอีกด้วย
สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท จำหน่ายหมวดละ 1 ล้านหน่วย อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนดรับผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือนรวม 24 ครั้ง ได้ลุ้นรางวัลมากมาย แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 รางวัลละ 50,000 บาท 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 รางวัลละ 5,000 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 รางวัลละ 500 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน พิเศษสำหรับผู้ที่จองสิทธิ์ และซื้อสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาวภายในงานหรือภายในระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับกระเป๋าผ้าลดโลกร้อน 1 ราย ต่อ 1 ใบ เงินฝากออมทรัพย์ New Flexi for Welfare and Corporate สำหรับลูกค้าที่มีเงินเดือนประจำจากหน่วยงานหรือบริษัท หากเปิดบัญชีและมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อปี พิเศษ!! หากเดือนใดไม่มีการถอนจะได้รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 1.10% ต่อปี) เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีตามระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับตุ๊กตาหมี 1 ตัว ต่อ 1 ราย
ทั้งนี้ งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37559 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Immersive Art of Thawan Duchanee" | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Immersive Art of Thawan Duchanee"
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Immersive Art of Thawan Duchanee"
วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานพิธีเปิดงาน "Immersive Art of Thawan Duchanee" การแสดงผลงานศิลปะของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๔๔ ผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีครั้งแรกของโลก ระหว่างวันที่ ๑๑ ธ.ค. ๖๓ – ๑๑ ม.ค. ๖๔ โดยมี ดร.ดอยธิเบศร์ ดัชนี ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บ้านดำให้การต้อนรับ และมีศาสตราจารย์ ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๕๒ อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด บริษัท ฟูลโดม โปร จำกัด ศิลปิน แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ไอคอนสยามพาร์ค ชั้น ๒ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37580 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บก.เพิ่มเติมรายการยาในระบบ OCPA สำหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
บก.เพิ่มเติมรายการยาในระบบ OCPA สำหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้
กรมบัญชีกลางห่วงใย ใส่ใจคุณภาพชีวิตผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มเติมรายการยา Erlotinib ในระบบ OCPA ซึ่งใช้รักษาโรคมะเร็งปอดระยะลุกลามถึงแพร่กระจาย ให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้
กรมบัญชีกลางห่วงใย ใส่ใจคุณภาพชีวิตผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มเติมรายการยา Erlotinib ในระบบ OCPA ซึ่งใช้รักษาโรคมะเร็งปอดระยะลุกลามถึงแพร่กระจาย ให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้ เพื่อลดภาระให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว เริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 63
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา และจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งยาบางชนิดไม่สามารถเบิกจ่ายตรงได้ ทำให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน กรมบัญชีกลางโดยคณะทำงานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งได้ดำเนินโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา (ระบบ OCPA) มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ดำเนินการเพิ่มเติมรายการยาในระบบ OCPA อีก 1 รายการ ได้แก่ ยา Erlotinib เพื่อใช้สำหรับการรักษาโรคมะเร็งปอด ชนิด Non-small cell lung carcinoma (NSCLC) ระยะลุกลามถึงแพร่กระจายที่มีผลตรวจการกลายพันธ์ของยีน Epidermal growth factor receptor (EGFR) เป็นบวก เพื่อบรรเทาภาระให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้ โดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน เริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป
“สถานพยาบาลจะต้องดำเนินการลงทะเบียนแพทย์ผู้ทำการรักษาและผู้ป่วย พร้อมทั้งส่งข้อมูลการใช้ยาในระบบ OCPA เพื่อขออนุมัติเบิกค่ายา ขอต่ออายุการเบิกค่ายา ขอหยุดการใช้ยาและต้องได้รับอนุมัติจากระบบ OCPA ก่อน จึงจะสามารถเบิกจ่ายจากทางราชการได้ ซึ่งปัจจุบันระบบ OCPA มีรายการยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาที่เบิกจ่ายตรงได้ จำนวนทั้งสิ้น 23 รายการ และ 36 เงื่อนไขข้อบ่งชี้ ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางยังคงปรับปรุงแนวทางการรักษาโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา สามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนั่นพังงา! "จุรินทร์"เคาะจ่ายประกันรายได้ยางพาราทั่วประเทศวันนี้ ชาวสวนยาง"ยิ้มรับเงินส่วนต่างถ้วนหน้า" ทั้งบัตรเขียว-บัตรชมพู | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สนั่นพังงา! "จุรินทร์"เคาะจ่ายประกันรายได้ยางพาราทั่วประเทศวันนี้ ชาวสวนยาง"ยิ้มรับเงินส่วนต่างถ้วนหน้า" ทั้งบัตรเขียว-บัตรชมพู
สนั่นพังงา! "จุรินทร์"เคาะจ่ายประกันรายได้ยางพาราทั่วประเทศวันนี้ ชาวสวนยาง"ยิ้มรับเงินส่วนต่างถ้วนหน้า" ทั้งบัตรเขียว-บัตรชมพู
11 ธ.ค.2563 เวลา 10.30 น.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน Kick off หรือกดปุ่มจ่ายโอนเงินส่วนต่างประกันรายได้ชาวสวนยางพาราปีที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบเรื่องที่นายจุรินทร์เสนอเรื่องเข้าจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้เกษตรกรได้รับเงินส่วนต่างจะมีทั้งเกษตรกรชาวสวนยางที่ถือบัตรสีเขียวหรือผู้มีเอกสารสิทธิและที่ถือบัตรสีชมพูหรือเกษตรกรกลุ่มด้อยโอกาสที่แจ้งปลูก โดยผู้ถือบัตรสีเขียวมีประมาณ 9.6 แสนราย ส่วนผู้ถือบัตรสีชมพูจะมีประมาณ 3.4 แสนราย รวมแล้วจะมีเกษตรกรชาวสวนยางที่จะได้รับสิทธิเงินส่วนต่างประมาณ 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ แต่ด้วยการประกาศราคาเกณฑ์กลางงวดนี้จะได้รับการชดเชย 2 ชนิดคือยางก้อนถ้วย น้ำยางสดเท่านั้น เพราะน้ำยางดิบได้ประโยชน์จากราคายางที่สูงทะลุราคาประกันรายได้ไปแล้ว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เกษตรกรชาวสวนยางพาราจะได้รับส่วนต่างพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งนายจุรินทร์ระบุว่าโครงการประกันรายได้เกิดจากนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้าร่วมรัฐบาลและให้หลักประกันความมั่นคงทางอาชีพเกษตรกรและแถลงต่อรัฐสภามาแล้วและได้ดำเนินการสำเร็จมาแล้ว 1 ปีขณะนี้เดินหน้าปีที่2 โครงการนี้มีหลักคือถ้าราคายางตกต่ำเกษตรกรจะได้ส่วนต่างมาชดเชย เกษตรกรจะได้เงิน 2 กระเป๋านั่นเอง และการจ่ายเงินส่วนต่างโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 หรือประกันรายได้ยางพาราปี2 สำหรับโครงการดังกล่าวนี้ทั่วประเทศจะครอบคลุมเกษตรกรชาวสวนยางพื้นที่ปลูกยางพารากว่า 18 ล้านไร่ โดยยึดหลักเกณฑ์เดิมตามโครงการระยะที่ 1 ประกันรายได้ยาง 3 ชนิด
คือ 1)ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม 2)น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม และ3)ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาทต่อกิโลกรัม โดยกำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จำนวนไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวนไม่เกิน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดยางไปแล้วรายละไม่เกิน 25 ไร่ มีสัดส่วนแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของ 60% และคนกรีดยาง 40% ส่วนระยะเวลาโครงการ เดือนกันยายน 2563 – กันยายน 2564
รายงานข่าวการยางแห่งประเทศไทย ระบุว่าสำหรับจังหวัดพังงา ข้อมูลโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดพังงาพื้นที่สวนยางทั้งหมด 734,430 ไร่ชาวสวนยางขึ้นทะเบียนและแจ้งพื้นที่ปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทยจำนวน 34,095 รายเนื้อที่สวนยางบัตรสีเขียว 20,694 ราย พื้นที่ 302,904 ไร่ บัตรสีชมพู 13,401 รายพื้นที่ 214,509 ราย โดยเมื่อปีก่อนเกษตรกรชาวสวนยางได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้วจำนวน 20,600 ราย ส่วนปีนี้โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่2 จ่ายเงินรอบที่หนึ่งในวันที่ 11 ธันวาคม 2563 เกษตรกรพังงาได้รับเงินช่วยเหลือ 16,421 ราย แบ่งเป็นบัตรเขียวจำนวน 13,652 ราย บัตรชมพูจำนวน 4179 รายแต่งวดนี้ชดเชยเฉพาะยางก้อนถ้วยและน้ำยางสดเนื่องจากราคายางแผ่นดิบสูงกว่าราคาประกัน
ด้านนายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย ระบุว่า ส่วนมาตรการเสริมที่นายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และดูแลกระทรวงเกษตรฯผลักดันให้รัฐบาลอนุมัติซึ่งเป็นมาตรการคู่ขนานที่เป็นปัจจัยกระตุ้นราคาที่สำคัญคือ 1. มาตรการกำกับดูแลด้านปริมาณ ผู้ประกอบกิจการยางที่มีปริมาณการรับซื้อตั้งแต่เดือนละ 5,000 กก.ขึ้นไป แจ้งปริมาณการซื้อ ปริมาณการจำหน่าย ปริมาณการใช้ไป ปริมาณคงเหลือ และ สถานที่เก็บสินค้ายางพารา ตลอดจนให้จัดทำบัญชีคุมรายวัน 2. ส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ระหว่าง ต.ค. 62 - ก.ย. 65 3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อ 5 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ 1 เม.ย. 63 - 31 มี.ค. 64 โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา วงเงิน 5,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 1 ก.ย. 57 - 31 ธ.ค. 67 โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (20,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินงาน ม.ค. 63 – ธ.ค. 64 โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ปี 59 – 69 โดยสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราร้อยละ 3 ไม่เกิน 600 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37567 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมชมการแสดงดนตรีไทยจีนสร้างสรรค์ฉลองความสัมพันธ์ ๔๕ ปี ไทย-จีน “The Dawn of Spring” รุ่งอรุณ ฤดูใบไม้ผลิ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.ร่วมชมการแสดงดนตรีไทยจีนสร้างสรรค์ฉลองความสัมพันธ์ ๔๕ ปี ไทย-จีน “The Dawn of Spring” รุ่งอรุณ ฤดูใบไม้ผลิ
รมว.วธ.ร่วมชมการแสดงดนตรีไทยจีนสร้างสรรค์ฉลองความสัมพันธ์ ๔๕ ปี ไทย-จีน “The Dawn of Spring” รุ่งอรุณ ฤดูใบไม้ผลิ
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมการแสดงดนตรีไทยจีนสร้างสรรค์ฉลองความสัมพันธ์ ๔๕ ปี ไทย-จีน “The Dawn of Spring” รุ่งอรุณ ฤดูใบไม้ผลิ โดยมี รศ.นราพร จันทร์โอชา ประธานกรรมการส่งเสริมกิจการสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา และนายหยางซิน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นประธาน และมี รศ.คุณหญิงวงจันทร์ พินัยนิติศาสตร์ อธิการบดีสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา กรรมการฯ ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ศิลปิน นักดนตรี อาจารย์ นักศึกษา และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมชมการแสดง ณ โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37579 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกำลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกำลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคโควิด 19 จากใบพืช ในประเทศโดยคนไทยเพื่อคนไทย
วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงนามความร่วมมือ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคจากเชื้อโควิด 19 (Covid-19) พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม โดยนายอนุทินกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ถือเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงและความปลอดภัยด้านสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่รัดกุมในระดับสูงสุด ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สิ่งที่ดำเนินการควบคู่กันคือการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาตรฐานมาฉีดให้กับคนไทย ขณะนี้ได้จองซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ไว้แล้วจำนวน 26 ล้านโดส สำหรับคนไทยกลุ่มแรก
13 ล้านคน และยังได้วางแผนจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น และให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ โดยได้ผนึกกำลังเป็น “ทีมไทยแลนด์” ถือเป็นความหวัง ความภูมิใจ และเป็นขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทยที่จะผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นน้ำ ลดการพึ่งพาต่างชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงการวัคซีนเพื่อคนไทยสำเร็จลุล่วง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า “ทีมไทยแลนด์” ประกอบด้วย องค์การเภสัชกรรม บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และ บริษัท คินเจน ไบโอเทค จำกัด ที่ได้ร่วมมือกัน ค้นคว้า วิจัย พัฒนา วัคซีนป้องกันโควิด 19 จากใบพืชได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม
ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (Covid-19 vaccine) เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเร็วที่สุด ครั้งนี้เป็นการผลิตวัคซีนโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง โดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงาน โดยได้ร่วมมือจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย คือ บริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม เป็นผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา ผลิตวัคซีนตั้งต้น บริษัท คินเจน ไบโอเทค เป็นผู้ทำวัคซีนให้บริสุทธิ์ และองค์การเภสัชกรรมจะทำหน้าที่ตั้งตำรับและบรรจุวัคซีนสำเร็จรูป สำหรับการทดสอบทางคลินิกเฟส 1-2 ในมนุษย์
ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมได้มีบทบาทในการพัฒนาและจัดหาวัคซีน 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาจากต้นน้ำ ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ไก่ฟัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง และจะศึกษาประสิทธิภาพในมนุษย์ต่อไป 2) โครงการนำเข้าวัคซีนมาแบ่งบรรจุ โดยได้ร่วมมือกับบริษัท Sinopharm ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือ และเตรียมความพร้อมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 3)ให้ทุนกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคโควิด 19 อาทิ วัคซีน Subunit จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัคซีน Virus-like particle จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 4)ร่วมมือกับบริษัทวิจัยในประเทศไทย ในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช ซึ่งได้ทำการลงนามความร่วมมือในวันนี้
********************* 14 ธันวาคม 2563
*******************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37592 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีเปิดงานลานวัฒนธรรม ในงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ประจำปี ๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีเปิดงานลานวัฒนธรรม ในงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ประจำปี ๒๕๖๓
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีเปิดงานลานวัฒนธรรม ในงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ประจำปี ๒๕๖๓
วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานลานวัฒนธรรม ในงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ประจำปี ๒๕๖๓ และร่วมชมการแสดงโขนรามเกียรติ์ ชุด "พระรามราชสุริยวงศ์" โดยมี นางสรัลพัชร ประโมทะกะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดร.จิระพันธุ์ พิพพันธุ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เครือข่ายวัฒนธรรม ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ บริเวณลานวัฒนธรรม หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ สภาวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการจัดกิจกรรม "ลานวัฒนธรรม" ภายในงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ระหว่างวันที่ ๑๑ -๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การจำลองบรรยากาศย้อนรอยวิถีชีวิตอยุธยา การละเล่นของเด็กไทย การสาธิตและจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม การแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทย และการสาธิตศิลปหัตถกรรม เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37582 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ คิกออฟเปิดแปลงนาอัจฉริยะ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ควบคุมคุณภาพและรายได้อย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
‘รมช.ประภัตร’ คิกออฟเปิดแปลงนาอัจฉริยะ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ควบคุมคุณภาพและรายได้อย่างยั่งยืน
‘รมช.ประภัตร’ คิกออฟเปิดแปลงนาอัจฉริยะ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ควบคุมคุณภาพและรายได้อย่างยั่งยืน หนุนถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกร เผยปลูกข้าว 1 ไร่ ทุนไม่เกิน 3 พันบาท
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิด “วันถ่ายทอดเทคโนโลยีแปลงนาอัจฉริยะ” ภายใต้โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ปี 2564 ณ แปลงเรียนรู้ ต.นางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต โดยการดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การทำนาโดยใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงานภาคการเกษตร การเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรที่มีประสิทธิภาพ และเกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับการบูรณาการกับทุกหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันการผลิตทางการเกษตรมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัย สามารถนำมาใช้ในไร่นาได้ผลดีและจะส่งผลให้การผลิตในภาพรวมของประเทศมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ร่วมกันพัฒนา โดยกรมการข้าว ได้มอบหมายให้สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ ทำการศึกษาทดลองซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าว โดยใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ พัฒนาเมล็ดพันธุ์ จนได้ชุดเทคโนโลยีที่เหมาะสมและพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวไปสู่เกษตรกร ได้รับความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งเกษตรกร จัดทำแปลงเรียนรู้ด้านข้าว พื้นที่แปลงนากว่า 138 ไร่ ซึ่งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพ ลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ จากการศึกษาและการทดลองเทคโนโลยีแปลงนาอัจฉริยะ พบว่า ต้นทุนในการปลูกข้าว ไม่เกิน 3,000 บาท/ไร่ และหวังอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบและเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรทั่วประเทศ
ทั้งนี้ แนวทางเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะชุดนี้ มี 6 ประเด็นสำคัญ ตั้งแต่ 1.การเตรียมดิน โดยใช้เครื่องปรับดินเลเซอร์ (Laser land levelling) เพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง ปรับระดับผิวดินให้เรียบ สม่ำเสมอ 2.การจัดระบบน้ำ ใช้ท่อวัดน้ำอัจฉริยะ แสดงผลปริมาณระดับน้ำทุกชั่วโมงผ่าน Line Application บนมือถือของเกษตรกร โดยใช้ Solar Cell เป็นแหล่งให้พลังงาน เมื่อน้ำต่ำกว่าระดับผิวดิน จึงจะปล่อยน้ำเข้าแปลงนา สามารถลดปริมาณการให้น้ำได้ 46% 3.การติดตามสภาพแวดล้อม สถานีตรวจวัดอากาศ เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ต่างๆ แบบ real time เข้าระบบ IOT 4.การจัดการปุ๋ย ด้วยเครื่องวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารในใบพืช (Crop Space) เพื่อเป็นการให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการของข้าว 5.การอารักขาพืช โดยการใช้โดรนติดกล้องถ่ายภาพบินตรวจการทำลายของโรค และแมลง รวมทั้งข้าวปนและวัชพืชในข้าว และ 6. มีระบบช่วยตัดสินใจด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (IOT Platform) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลไปยังมือถือเกษตรกร ได้ตลอดเวลา ครอบคลุมรัศมี 2 กิโลเมตร หรือประมาณ 1 หมื่นไร่เศษ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37586 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม อนุกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37578 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ เป็นประธานสักขีพยาน mou ระหว่างกนอ.กับ บ.ทีโอที และเป็นประธานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานวันสถาปนา กนอ. ครบรอบ 48 ปี | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมว.สุริยะ เป็นประธานสักขีพยาน mou ระหว่างกนอ.กับ บ.ทีโอที และเป็นประธานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานวันสถาปนา กนอ. ครบรอบ 48 ปี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานสักขีพยาน mou ระหว่างกนอ.กับ บ.ทีโอที และเป็นประธานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานวันสถาปนา กนอ. ครบรอบ 48 ปี ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรม เดอะ แอทธินี โฮเตล กทม.
วันนี้ (14 ธ.ค. 63) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการวางระบบสื่อสารความเร็วสูง (Fiber to The Factory) ระหว่าง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยนางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยนายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการพัฒนาและเตรียมให้บริการด้านระบบโครงข่ายโทรคมนาคมในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G สำหรับเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการ และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการ-นักลงทุนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม
จากนั้นนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานวันสถาปนาการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย( กนอ.) ครบรอบ 48 ปี "The Journey of Sustainable Partnership" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร และเครือข่ายพันธมิตร โดยมีนางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ และมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรม เดอะ แอทธินี โฮเตล กทม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในโอกาสพิธีเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญา OECD | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในโอกาสพิธีเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญา OECD
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในโอกาสพิธีเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญา OECD
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี
ในโอกาสพิธีเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญา OECD
-----------------------------
ท่านประธานาธิบดี นายเอมานูว์แอล มาครง แห่งฝรั่งเศส
ท่านนายกรัฐมนตรี นายเปโดร ซานเซซ แห่งสเปน
ท่านเลขาธิการ OECD (โออีซีดี)
ผมขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญา OECD และขอชื่นชม OECD ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกมีความก้าวหน้า ภายใต้กฎระเบียบที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานเป็นสากล
ไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับ OECD ตลอดมา โดยเฉพาะในโครงการ Country Programme ที่ได้ช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย ควบคู่กับการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทั้งนี้ ไทยจะต่อยอดโครงการ Country Programme กับ OECD เพื่อเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมถึงพลเมืองไทยรุ่นต่อ ๆ ไป
ปี 2563 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ เป็นปีที่เราทุกคนต่างต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวางในทุกมิติ ในการนี้ ผมจึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกประเทศ สามารถฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน และขอเสนอประเด็นที่เราควรผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม ดังนี้
ประการแรก ประชากรโลกต้องสามารถเข้าถึงยาและวัคซีนต้าน COVID-19 ตลอดจนได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์กับนานาประเทศ รวมทั้งพร้อมที่จะเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนดังกล่าว ให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคใกล้เคียง
ประการที่สอง การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ผ่านพ้นวิกฤติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ Micro SMEs แรงงานภาคบริการ และสตรี ซึ่งรัฐบาลไทยมีโครงการช่วยเหลือเป็นการเฉพาะ เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน และโครงการคนละครึ่ง ขณะที่ในระดับภูมิภาค ไทยกำลังพัฒนาข้อริเริ่ม ASEAN SMEs Recovery Facility เพื่อการนี้ด้วย
ประการที่สาม ในวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายประเทศย่อมประสบภาวะการคลังและหนี้สินตึงตัว ผมจึงหวังว่าประชาคมโลกจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน โดยเฉพาะต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ผ่านการบริหารจัดการหนี้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวอย่างทั่วถึง
สุดท้ายนี้ ผมปรารถนาที่จะเห็นความร่วมมือฉันท์หุ้นส่วนระหว่าง OECD กับไทยและภูมิภาคนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของเรา
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
*****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37606 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020) | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
พิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
พิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 เพื่อให้กำลังใจและประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความวิริยะอุตสาหะในการพัฒนาการประกอบการให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนด พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการของบริษัทที่ได้รับรางวัล โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และผู้ประกอบการธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต
สำหรับพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมาซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 28 โดยรางวัลอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการได้รับ ถือเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการคงคุณภาพ และพัฒนาการประกอบการให้มีประสิทธิภาพ แม้ในสภาวะวิกฤติได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งนี้ผลการพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 มีผู้ประกอบการได้รับการพิจารณาคัดเลือก จำนวน 79 รางวัล พร้อมรางวัลชมเชย 5 รางวัล แบ่งออกเป็น รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ซึ่งถือเป็นรางวัลอันสูงสุดในปีนี้ จำนวน 1 รางวัล โดยบริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทผลิตภัณฑ์นมและผลิตภัณฑ์ครีมต่างๆ ภายใต้ตราสินค้า คาร์เนชัน ทีพอท ตราหมี ฯลฯ เป็นผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จำนวน 48 รางวัล และรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น จำนวน 30 รางวัล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 ให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนไม่ต้องเร่งขายข้าวในช่วงราคาตกต่ำ โดยให้สินเชื่อข้าวเปลือกที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 แก่เกษตรกรรายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท วิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ – 28 ก.พ. 2564 ภาคใต้เริ่มเดือน มี.ค. – 31 ก.ค. 2564 นอกจากนี้ยังให้สินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ – 30 ก.ย. 2564 สอบถามรายละเอียดได้ที่ธนาคาร ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37585 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.แจงไม่ห้ามนำท่ารำไทยไปใช้ในเกม แนะพิจารณาบริบท - ความเหมาะสม ส่งเสริมผู้ผลิตผู้ประกอบการ นำวัฒนธรรม - ภาพลักษณ์ไทย สู่สากล | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
วธ.แจงไม่ห้ามนำท่ารำไทยไปใช้ในเกม แนะพิจารณาบริบท - ความเหมาะสม ส่งเสริมผู้ผลิตผู้ประกอบการ นำวัฒนธรรม - ภาพลักษณ์ไทย สู่สากล
วธ.แจงไม่ห้ามนำท่ารำไทยไปใช้ในเกม แนะพิจารณาบริบท - ความเหมาะสม ส่งเสริมผู้ผลิตผู้ประกอบการ นำวัฒนธรรม - ภาพลักษณ์ไทย สู่สากล ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กรณีมีประเด็นข่าวจากทวิตเตอร์“Kid Puvaphat”ของ นายคิด ภูวพัฒน์ ชนะสกล ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการศึกษาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมและอีสปอร์ต สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความกล่าวอ้างว่ากระทรวงวัฒนธรรมห้ามใช้ท่ารำไทยต่างๆ ใส่ประกอบในเกม“Home Sweet Home” เนื่องจากอาจทำให้คนกลัวการรำไทยได้ เพราะเกมดังกล่าวเป็นเกมผีสยองขวัญ ทำให้ผู้ผลิตเกมต้องคิดท่ารำใหม่หมด”รวมถึง นายศรุต ทับลอยDirectorเกม“Home Sweet Home” ของบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาทวิตข้อความไปในทางเดียวกัน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกสังคมออนไลน์ต่อการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบริษัทฯ ได้เคยมีการติดต่อขอข้อมูลจากบุคคลหรือ หน่วยงานใด ตนขอเรียนว่ากระทรวงวัฒนธรรมและคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) โดยส่งเสริมสนับสนุนการนำศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทย แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของไทยสอดแทรกในสื่อต่างๆ อาทิ ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ละคร เกม แคแร็คเตอร์โฆษณา ฯลฯ จะทำงานลักษณะบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิด“Content Thailand”ที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจประเทศ กรณีการนำการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมการแสดงนาฏศิลป์ไทยท่ารำ การแต่งกาย เครื่องดนตรีไทยเหล่านี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆหรือการนำวัฒนธรรมไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ ก็ตาม อยากให้ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการคำนึงถึงบริบทและความเหมาะสมโดยกระทรวงวัฒนธรรมยินดีให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ประกอบการและสนับสนุน หากเป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสมถูกกาลเทศะ และหากเพื่อการเผยแพร่เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ รักษา พัฒนาต่อยอด ก็จะควรสนับสนุน ส่งเสริม ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวตลอดมา โดยเฉพาะการนำเสนอผ่านสื่อสมัยใหม่ หรือสื่อที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เช่น ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ละคร เช่น โหมโรง เทริด หัวใจทองคำ 9 ศาสตรา ยักษ์ บุพเพสันนิวาส รามาวตารฯลฯ
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลจากแหล่งต่างๆ แล้ว เบื้องต้นได้รับรายงานจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อภาพยนตร์และเกม ทราบว่าเกมดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาไปแล้วเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา การพิจารณาขณะนั้นก็ไม่ได้มีการสั่งตัดท่ารำแต่อย่างใดและได้ผ่านการอนุญาตจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับประเด็นกระทรวงวัฒนธรรมห้ามใช้ท่ารำไทยต่างๆ ใส่ประกอบเข้าไปในเกม“Home Sweet Home” อาจเป็นการเข้าใจผิดหรือการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน และปัจจุบันเกม“Home Sweet Home” ได้รับการอนุญาตเผยแพร่จากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจแนวทางการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงวัฒนธรรมจะเชิญผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ร่วมประชุมหารือ และบูรณาการแนวทางการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมเร็วๆ นี้ด้วย
..............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37575 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจับมือ BCI เป็นหน่วยงานราชการแห่งแรก ที่ให้บริการขอหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเทคโนโลยี Blockchain | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลางจับมือ BCI เป็นหน่วยงานราชการแห่งแรก ที่ให้บริการขอหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเทคโนโลยี Blockchain
กรมบัญชีกลางลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับ บจ.บีซีไอ (ประเทศไทย) หรือ Thailand Blockchain Community Initiative (BCI) โดยร่วมให้บริการขอหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเทคโนโลยี Blockchain เพื่อยกระดับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในวันนี้ (14 ธ.ค. 63) กรมบัญชีกลางได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับบริษัท บีซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Thailand Blockchain Community Initiative (BCI) โดยร่วมกันให้บริการขอหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (e-LG) ผ่านเทคโนโลยี Blockchain เพื่อยกระดับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของหน่วยงานราชการที่มีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาประกอบใช้ในการให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นการพลิกบทบาทสู่การให้บริการภาคเอกชนและประชาชนโดยตรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานราชการแห่งแรกที่มุ่งเน้นพัฒนาการให้บริการขอหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (e-LG) ผ่านเทคโนโลยี Blockchain เพื่อช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการข้อมูลมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การบริการมีความสะดวก รวดเร็ว สามารถอนุมัติรายการได้เร็วสุดภายในไม่เกิน 10 นาที ตอกย้ำการให้บริการด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทาง Cyber ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และยังช่วยลดการใช้กระดาษ ลด Carbon Footprint เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอีกด้วย” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้มีธนาคารที่พร้อมให้บริการ e-LG ผ่านเทคโนโลยี Blockchain ของ BCI Platform ร่วมกับกรมบัญชีกลางมากกว่า 16 ธนาคาร โดยในปี พ.ศ.2564 จะขยายให้รองรับบริการได้มากกว่า 22 ธนาคาร เพื่อยกระดับการให้บริการก้าวทันโลกในยุคดิจิทัล ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ยืนยันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ยืนยันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ยืนยันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลัง
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะชี้แจงประเด็นข่าว : เพจ “วิชชั่นใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” เผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่า ธนาคารโลกรายงานประเด็นเศรษฐกิจไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดคือ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP ถือว่ามากสุดในภูมิภาคอาเซียน ว่า ไม่เป็นความจริง
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรง รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท และ 3) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พ.ร.ก. 2) และ 3) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนำไปดำเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รัฐบาลจะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง 1 ล้านล้านบาท มิใช่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจำนวน 348,761 ล้านบาท
สำหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.53 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDPสูงสุดเท่ากับ ร้อยละ 59.98 เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) พบว่า รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 44.37) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries)ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.89 (IMF, 2563) นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN และประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบงบประมาณ และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating)ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายเล็ก วงเงิน 5,700 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงิน ช่วยเสริมสภาพคล่องและช่วยแก้ไขปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบ โดยใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อ วงเงินค้ำประกันต่อราย ไม่เกิน 500,000 บาท โดยรัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อแทนปีละไม่เกินร้อยละ 1.5 เป็นเวลา 2 ปี หรือไม่เกินร้อยละ 3 ตลอดอายุการค้ำประกัน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือมีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืน ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37562 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยการยกเลิกการงาน บิ๊กเมาน์เท่น ยึดสุขภาพประชาชนเป็นหลัก | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
อนุทิน เผยการยกเลิกการงาน บิ๊กเมาน์เท่น ยึดสุขภาพประชาชนเป็นหลัก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยการยกเลิกการจัดเทศกาลดนตรี บิ๊กเมาน์เท่น เฟสติวัล 2020 ผ่านมติคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา ยึดสุขภาพประชาชนเป็นหลัก ไม่มีการกักตัวผู้ร่วมงาน ย้ำใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือ เว้นระยะห่าง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยการยกเลิกการจัดเทศกาลดนตรี บิ๊กเมาน์เท่น เฟสติวัล 2020 ผ่านมติคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครราชสีมา ยึดสุขภาพประชาชนเป็นหลัก ไม่มีการกักตัวผู้ร่วมงาน ย้ำใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสังเกตอาการตนเอง 14 วัน หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบพบแพทย์
วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการมีคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาให้ยกเลิกการจัดเทศกาลดนตรี บิ๊กเมาน์เท่น เฟสติวัล 2020 (Big Mountain Music Festival 2020) ในวันที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่สนามกอล์ฟ ดิโอเชียน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ว่า คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ดังนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงไปแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งการยกเลิกการจัดงาน ในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง รัฐบาลต้องใช้มาตรการกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะไม่ต้องการปล่อยให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อจากคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ในเบื้องต้นไม่พบผู้ป่วยโควิด 19 เข้าไปในงานคอนเสิร์ตดังกล่าว จึงไม่ต้องมีการกักตัวผู้มาร่วมงานคอนเสิร์ต ขอให้ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันควบคุมโรคใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือ และเว้นระยะห่าง สังเกตอาการตนเอง 14 วัน สังเกตอาการตัวเอง หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูกจมูกได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หรือหายใจเหนื่อย หากเกิดอาการคัดจมูก ไอจาม จมูกไม่ได้กลิ่นลิ้นไม่รับรส ขอให้รีบพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติเสี่ยง หากมีข้อสงสัยโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการจัดเทศกาลปีใหม่ การจัดกิจกรรมทุกอย่างต้องขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด และปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดงานของกระทรวงสาธารณสุข คือ จะต้องจำกัดผู้เข้าร่วมงาน วัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากอนามัย มีทางเข้าทางเดียว มีจุดวางเจลล้างมือให้พอเพียง ผู้จัดงานต้องแจ้งให้ประชาชนทราบ ว่าต้องใส่หน้ากากอนามัย หากทำตามมาตรการต่างๆ จะช่วยลดการติดเชื้อได้
“ย้ำอีกครั้งความสำเร็จในการป้องกันโควิด 19 ของประเทศเกิดจากความร่วมมือของประชาชนทำตามคำแนะนำของบุคลลากรทางการแพทย์ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ต้องร่วมมือกัน รัฐต้องพร้อมให้ความรู้ ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐจึงจะประสบความสำเร็จ” นายอนุทินกล่าว
*************************** 14 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37591 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดยิ่งใหญ่ “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมแก่พสกนิกรชาวไทย | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดยิ่งใหญ่ “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมแก่พสกนิกรชาวไทย
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดยิ่งใหญ่ “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมแก่พสกนิกรชาวไทย
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เตรียมจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 8 – 17 มกราคม 2564 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดงานในวันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564
“เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 จัดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2530 ซึ่งกำหนดให้วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็น “วันโคนมแห่งชาติ” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมแก่พสกนิกรชาวไทย โดยร่วมกับพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ก ทรงประกอบพิธีเปิดฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ในวันที่ 16 มกราคม 2505 ซึ่งองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) หรือฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ถือเป็นฟาร์มโคนมแห่งแรกของประเทศไทยที่เป็นต้นแบบในการเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมอย่างเป็นระบบ เกษตรกรสามารถนำไปประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง ทั้งยังส่งเสริมการบริโภคนมเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อ.ส.ค. จึงได้ถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ที่จะให้มีการจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ณ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นประจำทุกปี
สำหรับการจัดงานในปีนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เกี่ยวข้องในวงการโคนมและอุตสาหกรรมนมจะได้พบปะ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ความรู้ ทัศนคติ การเลี้ยง การผลิต ระหว่างเกษตรกรด้วยกัน รวมทั้งเป็นเวทีในการแสดงความก้าวหน้าเกี่ยวกับวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมของประเทศ นอกจากนี้ยัง เป็นศูนย์กลางการหาแนวทางในการพัฒนาโคนมในภูมิภาคอาเซียน โดยมีการจัดประชุมระดับนานาชาติภายในงาน ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการทางวิชาการของหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน การสัมมนาทางวิชาการ การประกวดโคนม รวมทั้งการออกร้านจำหน่ายสินค้าปัจจัยการเลี้ยงโคนม และสินค้าอุปโภคบริโภคอีกด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37597 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส MOU ผู้รับทุนกองทุนดิจิทัล ปี 2563 ครั้งที่ 2 จำนวน 41 โครงการ วงเงิน 588 ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส MOU ผู้รับทุนกองทุนดิจิทัล ปี 2563 ครั้งที่ 2 จำนวน 41 โครงการ วงเงิน 588 ล้านบาท
ดีอีเอส MOU ผู้รับทุนกองทุนดิจิทัล ปี 2563 ครั้งที่ 2 จำนวน 41 โครงการ วงเงิน 588 ล้านบาท
นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานพิธีลงนามสัญญารับทุนกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2563ครั้งที่2โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมพิธี และนางวรรณพรเทพหัสดินณอยุธยาเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้การต้อนรับณห้องวีนัสชั้น3โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่นถนนแจ้งวัฒนะเขตหลักสี่กรุงเทพฯ และในวันนี้ได้มีการรับทุนกองทุนฯจำนวน41โครงการวงเงินกว่า588ล้านบาทซึ่งโครงการดังกล่าวฯจะเริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคมนี้เมื่อโครงการที่กองทุนได้ให้การส่งเสริมสนับสนุนแล้วเสร็จจะส่งผลดีต่อประชาชนในภาพรวมในหลายด้าน ด้านการค้า/ธุรกิจ/บริการด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการสาธารณสุขด้านการเกษตรพร้อมกันนี้ขอเชิญชวนผู้สนใจเตรียมยื่นข้อเสนอโครงการซึ่งคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอได้ต้นปี2564 นี้
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันไทยพร้อมร่วมมือ OECD เร่งฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจโลก หลังวิกฤตโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
นายกฯ ยืนยันไทยพร้อมร่วมมือ OECD เร่งฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจโลก หลังวิกฤตโควิด-19
นายกฯ ยืนยันไทยพร้อมร่วมมือ OECD เร่งฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจโลก หลังวิกฤตโควิด-19
วันนี้ (วันที่ 14 ธันวาคม 2563) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถ้อยแถลงผ่านวีดิทัศน์ในพิธีเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี การลงนามในอนุสัญญาขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศ และเป็นเวทีเจรจาเพื่อพัฒนาและกลั่นกรองนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก รวมทั้งประสานงานและช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในการจัดการแก้ไขปัญหาตามบริบทแวดล้อมในปัจจุบัน โดยเป็นการจัดพิธีผ่านเว็ปไซต์ของ OECDสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดี และชื่นชม OECD ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกมีความก้าวหน้าภายใต้กฎระเบียบที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานเป็นสากล ซึ่งไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับ OECD ตลอดมา โดยเฉพาะโครงการ Country Programme ที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย พร้อมจะต่อยอดโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมถึงพลเมืองไทยรุ่นต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีปรารถนาที่จะเห็นความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนระหว่าง OECD กับไทยและภูมิภาคให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม เป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ในปี 2563 ถือเป็นปีที่ทุกประเทศต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยนำเสนอ 3 ประเด็นสำคัญที่ควรผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหา ดังนี้
ประชากรโลกต้องสามารถเข้าถึงยาและวัคซีนต้านโควิด-19 ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงโดยเท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์
การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ผ่านพ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ Micro SMEs แรงงานภาคบริการและสตรี เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง และในระดับภูมิภาค ไทยกำลังพัฒนาข้อริเริ่ม ASEAN SMEs Recovery Facility
การบริหารจัดการหนี้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวอย่างทั่วถึง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระตุ้นเศรษฐกิจภูเก็ต! จุรินทร์ ยกขบวนพาณิชย์ ลุยฟื้นช่วยเศรษฐกิจภูเก็ต กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเต็มเหนี่ยว | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
กระตุ้นเศรษฐกิจภูเก็ต! จุรินทร์ ยกขบวนพาณิชย์ ลุยฟื้นช่วยเศรษฐกิจภูเก็ต กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเต็มเหนี่ยว
กระตุ้นเศรษฐกิจภูเก็ต! จุรินทร์ ยกขบวนพาณิชย์ ลุยฟื้นช่วยเศรษฐกิจภูเก็ต กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเต็มเหนี่ยว
11 ธ.ค.2563 เวลา 16.30 น.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “ธงฟ้า on the beach & Seafood festival หรอยริมเล @ป่าตอง" ณ บริเวณชายหาดป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์
อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ พร้อมรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตพึ่งพาเศรษฐกิจขาเดียวคือการท่องเที่ยวทำให้กระทบมากในเรื่องเศรษกิจหดตัวและซ้ำกับโควิด-19 ถ้าเทียบกับจังหวัดรอบข้างพึ่งพา 2 ขาคือท่องเที่ยวและการเกษตรด้วย เมื่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศหายแต่ยังเหลือคนเที่ยวในประเทศ รัฐบาลเห็นใจอยากเปิดประเทศให้เร็วที่สุดแต่ต้องคำนึงถึงทั้งเรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจไปด้วยต้องตอบโจทก์ทั้ง 2 ข้อ ดังนั้นเวลานี้จึงต้องกระตุ้นให้ไทยเที่ยวไทย โดยรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อให้ฟื้นจากผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งจังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดที่พึ่งพาการท่องเที่ยว จากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้ประกอบการ และชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ในการนี้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ มีภารกิจสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจและช่องทางการกระจายสินค้า สำหรับเกษตรกร และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ผ่านการจัดกิจกรรมงานแสดงสินค้า ซึ่งในขณะเดียวกัน จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดี ในราคาเป็นธรรมได้อีกด้วย จับมือกับหลายฝ่ายเพื่อต่อลมหายใจให้ชาวป่าตองและภูเก็ต
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้การจัดงาน “ธงฟ้า on the beach & Seafood festival หรอยริมเล @ป่าตอง” โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ถือว่าเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายและศักยภาพของประเทศข้างต้น มีสินค้าราคาย่อมเยามาขายให้ประชาชนเสริมไปด้วยในช่วง 3 วันคือ 11-13 ธ.ค. 2563 ซึ่งถือโอกาสดีที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจะได้ไปร่วมซื้อหาสินค้าและลิ้มรสอาหารอร่อยและคุณภาพดี รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคราคาเป็นธรรมภายในงาน โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดงานอาหารทะเลมาแล้ว 5 ครั้ง ที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต พังงา และสงขลา ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
" สำหรับการจัดงานในวันนี้ ผมขอขอบคุณจังหวัดภูเก็ตที่อนุเคราะห์สถานที่จัดงาน เพื่อให้เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า รวมถึงวิสาหกิจชุมชน (OTOP) นำสินค้าอาหารทะเล ผลไม้ อาหารท้องถิ่น และสินค้าอุปโภคบริโภค มาจำหน่ายให้แก่พี่น้องชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยว และขอบคุณนักช้อปทุกท่านที่มาอุดหนุนสินค้าและเลือกชิมอาหารรสเลิศในวันนี้ รวมทั้งขอบคุณกรมการค้าภายใน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่ร่วมกันจัดงานในวันนี้ขึ้น และในโอกาสนี้ ขออวยพรให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ บัดนี้ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน “ธงฟ้า on the beach & Seafood festival หรอยริมเล @ป่าตอง” อย่างเป็นทางการ ขอบคุณครับ "
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37587 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จัดงานใหญ่ ‘SME D SHOPPING มหกรรมส่งต่อความสุข’ เชิญช้อปสินค้าดีเอสเอ็มอีไทย พาเปิดตลาดออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มดังระดับโลก | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
SME D Bank จัดงานใหญ่ ‘SME D SHOPPING มหกรรมส่งต่อความสุข’ เชิญช้อปสินค้าดีเอสเอ็มอีไทย พาเปิดตลาดออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มดังระดับโลก
SME D Bank สนับสนุน SMEs ไทยยกระดับธุรกิจสู่โลกออนไลน์ จัดงานยิ่งใหญ่ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ “SME D SHOPPING มหกรรมส่งต่อความสุข” ต่อเนื่อง 3 วัน ระหว่างวันที่ 23-25 ธันวาคม 2563 พร้อมติดอาวุธผู้ประกอบการ รับยุค New Normal
SME D Bank สนับสนุนเอสเอ็มไทยยกระดับธุรกิจสู่โลกออนไลน์ จัดงานยิ่งใหญ่ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ “SME D SHOPPING มหกรรมส่งต่อความสุข” ต่อเนื่อง 3 วัน ระหว่างวันที่ 23-25 ธันวาคม 2563 พร้อมติดอาวุธผู้ประกอบการ รับยุค New Normal พาเปิดตลาดบนแพลตฟอร์ม E-commerce ชั้นนำ ห้ามพลาด! รับสิทธิพิเศษฟรีเฉพาะงานนี้เท่านั้น
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank เตรียมจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 “SME D SHOPPING มหกรรมส่งต่อความสุข” 3 วันต่อเนื่อง ระหว่างวันที่23-25 ธันวาคม 2563 ณ สำนักงานใหญ่ SME D Bank สนับสนุนลูกค้าธนาคาร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพิ่มยอดขาย สร้างรายได้ พร้อมยกระดับธุรกิจสู่โลกออนไลน์ ขยายตลาดบนแพลตฟอร์ม E-commerce และสัมมนารับฟังแนวคิดทำธุรกิจจากผู้ประกอบการที่พลิกวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาสได้
สำหรับงานมหกรรมส่งต่อความสุขครั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคของดี ของเด่นจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศกว่า 40 ร้านค้า ยกขบวนสินค้ามาวางจำหน่ายในราคาสุดพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นที่แต่ละร้าน มานำเสนอส่งท้ายปีเก่า 2563 ต้อนรับปีใหม่ เพื่อจูงใจผู้บริโภคแบบลด แลก แถมกันเต็มที่ตลอดทั้ง 3 วัน เช่น กาแฟสด ซาวบาทคอฟฟี่ จ.เชียงใหม่, น้ำมันมะพร้าวสกัด พร้าวไทย By สวนลุงสงค์ จ.สุราษฏร์ธานี, ขาหมู อ.อินดี้บุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์, ขนมหม้อแกงและขนมหวาน แม่กิมไล้ จ.เพชรบุรี เป็นต้น พิเศษสุดทุกเวลา 12.12 น. ยังมีกิจกรรม Flash sale นาทีทองของนักช้อปที่มีสินค้ามาจัดรายการลดราคาสุดพิเศษ ห้ามพลาดของมีจำนวนจำกัด
“สินค้าที่วางจำหน่ายภายในงาน นอกจากจะมีการจัดโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแล้ว ผู้บริโภคยังใช้สิทธิผ่านโครงการคนละครึ่งได้ด้วย ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการจับจ่ายใช้สอย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมียอดขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้น” นางสาวนารถนารี กล่าว
ทั้งนี้ ไฮไลท์งาน วันที่ 23 ธันวาคม 2563 ร่วมฟังสัมมนา SME D Seminar จากวิทยากรชื่อดัง หัวข้อ “เศรษฐกิจไทยไปต่อ” โดยนายพิเชฐ ด่านไทยนำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank และ “SMEs ยุคใหม่ทำไมต้อง Transform” โดยนายโอฬาร วีระนนท์ ประธานสมาคมฟินเทคประเทศไทย และCEO and Co-Founder บริษัท ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน จำกัด มาร่วมถ่ายทอดแนวคิดปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
วันที่ 24 ธันวาคม 2563 สัมมนารวบรวมผู้นำแพลตฟอร์ม E-commerce ชื่อดังมาครบจบในที่เดียว เช่น Lazada, Thailandpostmart.com, Alibaba.com, JD Central เป็นต้น นำเสนอและบรรยายพิเศษตอบโจทย์โดนใจธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น เทคนิคการขาย เพิ่มรายได้ สร้างการแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการขยายตลาดออนไลน์สู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง พร้อมมอบสิทธิพิเศษสุด ๆ มากมายภายในงานนี้เท่านั้น เช่น ฟรี ค่าสมัครเป็นผู้ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์, ฟรี บริการตกแต่งหน้าร้านค้าออนไลน์ และ ฟรี ออกแบบ Artwork และ Content เป็นต้น
ปิดท้ายวันที่ 25 ธันวาคม 2563 พบกับสัมมนา SME D Show ถ่ายทอดประสบการณ์โดยตรงจากผู้ประกอบการตัวจริงเสียงจริง หัวข้อ “พลิกวิกฤต Covid-19 อย่างไรให้เป็นโอกาส” โดยนายธวัชชัย สหัสสพาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซดาพริ้นติ้ง จำกัด ผู้ปรับมุมธุรกิจพัฒนาสินค้าคืนรายได้สู่ชุมชนกว่า 100 ครัวเรือน และนายกฤษดา รัตนแสงศรี เจ้าของธุรกิจไกด์ไก่บาร์บีคิว พลิกชีวิตชนะวิกฤต Covid-19 จากไกด์นำเที่ยวสู่เจ้าของธุรกิจขายไก่หลักล้านบาท
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมสัมมนาฟรีได้ที่หน้าแรกเว็บไซต์ www.powersmethai.com หรือกดเข้าลิงค์ที่ https://bit.ly/37dnY4A สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-265-3192, 02-265-3775 หรือ Facebook : powersmethai (ศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี) LINE OA : @powersmethai
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดพิธีประทานรางวัล ประชาบดี ประจำปี 2563 เชิดชูเกียรติบุคคลต้นแบบความดี ช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
พม. จัดพิธีประทานรางวัล ประชาบดี ประจำปี 2563 เชิดชูเกียรติบุคคลต้นแบบความดี ช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
พม. จัดพิธีประทานรางวัล ประชาบดี ประจำปี 2563 เชิดชูเกียรติบุคคลต้นแบบความดี ช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 63เวลา 15.00 น.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถโปรดให้หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นผู้แทนพระองค์ประทานรางวัลประชาบดี ประจำปี 2563ในโครงการเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก และผู้อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ประพฤติตนดีเด่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ที่ดูแลช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก อีกทั้งส่งเสริมเจตคติเชิงบวกในการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร เห็นคุณค่า และศักดิ์ศรีของผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)กล่าวรายงาน และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ร่วมงาน ณ ห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
นางพัชรีกล่าวว่าพระประชาบดีเทพผู้เป็นที่พึ่งและสงเคราะห์ประชาชน ด้วยพลังแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากสภาวะยากลำบาก ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้นำชื่อ ประชาบดี มาเป็นชื่อรางวัลแห่งเกียรติยศ อันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของต้นแบบความดี เพื่อช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ให้ได้รับการยกย่องและเชิดชูคุณความดีให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม ซึ่งตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่ผ่านมา ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ได้เสด็จมาประทาน หรือทรงโปรดให้ผู้แทนพระองค์ มาประทานรางวัลประชาบดีเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง
นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้ดำเนินโครงการเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก และผู้อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ประพฤติตนดีเด่น อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2550 - 2562 โดยมีผู้ได้รับรางวัลแล้ว จำนวน 838 สำหรับปี 2563 มีผู้ได้รับรางวัล ประชาบดี จำนวน 36 ราย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ 9 ราย อาทิ นางจินดา ศรีนุรัตน์ ซึ่งลงพื้นที่ในชุมชนต่างๆ พร้อมประสานหน่วยงานและเครือข่าย เพื่อร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนในทุกๆ ด้าน 2) ประเภทองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ 4 องค์กร อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลเสม็ดใต้ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งประสานเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนในชุมชน เพื่อร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนในรูปแบบ Social Smart City 3) ประเภทสื่อสร้างสรรค์ 7 ราย อาทิ รายการวันใหม่ วาไรตี้ ช่วงร้องทุก(ข์) ลงป้ายนี้ สถานีโทรทัศน์ ช่อง ThaiPBS ซึ่งให้ประชาชนได้นำเสนอความทุกข์ยาก ทั้งส่วนรวมและปัจเจกบุคคล พร้อมทั้งหาแนวทางช่วยเหลือ และ 4) ประเภทต้นแบบคนสู้ชีวิต 16 คน อาทิ นางวันเพ็ญ สมบัน ซึ่งมีความยากลำบากในชีวิต แต่ไม่เคยยอมแพ้ ด้วยการหาความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาตนเอง จนมีความสามารถด้านอาชีพที่หลากหลาย และยังอุทิศตนไปช่วยสอนคนอื่นๆ
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติกับทุกท่านและทุกองค์กรที่ได้รับรางวัลในวันนี้ และขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เป็นกลไกหนุนเสริมภารกิจของกระทรวง พม. เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37574 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานงานเปิดตัวหนังสือและเสวนาวิชาการ การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล ประจำปี ๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานงานเปิดตัวหนังสือและเสวนาวิชาการ การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล ประจำปี ๒๕๖๓
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานงานเปิดตัวหนังสือและเสวนาวิชาการ การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล ประจำปี ๒๕๖๓
วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานงานเปิดตัวหนังสือและเสวนาวิชาการ การส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ดีไซเนอร์ และแขกผู้มีเกียรติ เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ ไอคอนสยาม อาร์ต สเปซ ชั้น ๘ ไอคอนสยาม ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล จัดขึ้น เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้านศิลปะการออกแบบเครื่องแต่งกายและสิ่งทอ พร้อมทั้งเผยแพร่หนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย “Thai Textiles Trend Book Spring/Summer 2022” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพิจารณาเนื้อหาต้นฉบับและพระราชทานคำแนะนำพร้อมแก้ไขรายละเอียดต่างๆ โดยมีกิจกรรมการจัดแสดงนิทรรศการ “แนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย” พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องแต่งกายที่ออกแบบโดย ๑๒ ดีไซเนอร์ชั้นนำ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ ธันวาคมนี้ ณ ไอคอนสยาม อาร์ต สเปซ ชั้น ๘ ไอคอนสยาม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37581 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานงานเปิดตัวหนังสือ “Sri Lanka Charika Kavya : A Thai Niras by Khun Ballobh Kritayanavaj” ในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและศรีลังกา | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานงานเปิดตัวหนังสือ “Sri Lanka Charika Kavya : A Thai Niras by Khun Ballobh Kritayanavaj” ในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและศรีลังกา
รมว.วธ.เป็นประธานงานเปิดตัวหนังสือ “Sri Lanka Charika Kavya : A Thai Niras by Khun Ballobh Kritayanavaj” ในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและศรีลังกา
วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานเปิดตัวหนังสือ “Sri Lanka Charika Kavya : A Thai Niras by Khun Ballobh Kritayanavaj” ในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและศรีลังกา โดยมี นางสมันตา เค ชยสุริยะ (H.E. Mrs. Samantha K. Jayasuriya) เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับ และมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตฯ พระภิกษุสงฆ์ พุทธศาสนิกชน แขกผู้มีเกียรติ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่บ้านถูกไฟไหม้ ขณะประสบภัยน้ำท่วม | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่บ้านถูกไฟไหม้ ขณะประสบภัยน้ำท่วม
ปลัด พม. ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่บ้านถูกไฟไหม้ ขณะประสบภัยน้ำท่วม
วันที่ 10 ธ.ค. 63 เวลา 15.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และทีม พม. One Home เดินทางไปลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจชาย อายุ 55 ปี ที่บ้านเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ไฟไหม้บ้านเสียหายเกือบทั้งหลังในพื้นที่ตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดศรีธรรมราช พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ เงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน 10,000 บาท และเงินช่วยเหลือตามระเบียบของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานภาคใต้ 18,000 บาท จากนั้น เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจหญิงชรา อายุ 89 ปี พิการตาบอดและทางการเคลื่อนไหว ที่บ้านเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ไฟไหม้บ้านจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ในพื้นที่ตำบลกะหรอ อำเภอนบพิตำ พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ เงินปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านในโครงการปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้สูงอายุให้เหมาะสมและปลอดภัย 40,000 บาท เงินปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้พิการให้เหมาะสมและปลอดภัย 20,000 บาท และเงินช่วยเหลือตามระเบียบของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานภาคใต้ 18,000 บาท นอกจากนี้ ได้มอบรถเข็นสำหรับคนพิการ จากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จำนวน 1 คัน
นายพัชรี กล่าวว่า ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหรือประสบภัยพิบัติต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37571 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์ | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
นโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์
วันศูกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติร่างกฎหมายปรับอัตราความเร็วของรถยนต์ทุกประเภทบนถนนที่มีช่องจราจรตั้งแต่ 4 ช่องขึ้นไป ให้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กม./ชม. เพื่อประโยชน์ต่อการขนส่งของประเทศ และช่วยให้การจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยกำหนดให้รถแต่ละประเภทใช้ความเร็วที่แตกต่างกัน เช่น รถบรรทุกที่มีผู้โดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม. รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนรถจักรยานยนต์ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. หรือรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์สูงให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. รถรับส่งนักเรียนให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เป็นต้น
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37563 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ชาวนา! จุรินทร์ จี้ ตรวจการโอนเงินส่วนต่างชาวนางวดที่5 ให้ชาวนาได้เฮ! รับปีใหม่ เงินออกวันนี้ 14 ธ.ค.63 | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
ของขวัญปีใหม่ชาวนา! จุรินทร์ จี้ ตรวจการโอนเงินส่วนต่างชาวนางวดที่5 ให้ชาวนาได้เฮ! รับปีใหม่ เงินออกวันนี้ 14 ธ.ค.63
ของขวัญปีใหม่ชาวนา! จุรินทร์ จี้ ตรวจการโอนเงินส่วนต่างชาวนางวดที่5 ให้ชาวนาได้เฮ! รับปีใหม่ เงินออกวันนี้ 14 ธ.ค.63
14 ธันวาคม 2563 เวลา 9.30 น.นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงความเป็นห่วงชาวนาซึ่งจะต้องได้รับส่วนต่างประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวงวดที่ 5 ในวันนี้ (14ธันวาคม2563) จึงให้ประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส.ทั้งนี้เพื่อการติดตามการกดปุ่มโอนเงินให้ถึงมือชาวนาที่จะได้รับส่วนต่างงวดที่ 5 ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ที่รออยู่
นางมัลลิกา กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมอนุเกณฑ์กลางอ้างอิง กระทรวงพาณิชย์ประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 แล้วตามระเบียบทางธ.ก.ส.จะโอนเงินใน 3 วันทำการหลังจากประชุมแต่ด้วยติดวันหยุดต่อเนื่องจึงคาดว่าสามารถดำเนินการได้วันนี้ โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563 / 2564 งวดที่5 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 6 ธันวาคม 2563 ราคาเกณฑ์กลางต่อตัน คือ ข้าวหอมมะลิ 12,232.86 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,726 .91 บาท ข้าวเปลือกจ้าว 9,189.93 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 10,079.73 บาทข้าวเปลือกเหนียว 11,213.54 บาท
เนื่องจากข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกันรายได้ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน จะได้ส่วนต่างตันละ 2,767 บาท จึงได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 38,739 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ประกันรายได้ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,273 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 36,369 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 810 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 24,302 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ประกันรายได้ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 920 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 23,006 บาท และ ข้าวเหนียวประกันรายได้ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 786 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 12,583 บาท
ทั้งนี้ชาวนาจะได้ส่วนต่างจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณการแจ้งปลูกตามจริงไว้ตอนขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเกษตรตำบล-เกษตรอำเภอ กรมส่งเสริมการเกษตร คอยดูแลการขึ้นทะเบียนมาก่อนหน้านี้และการจ่ายเงินก็ไม่เกินจำนวนตันที่รัฐระบุไว้ ในส่วนของงวดที่5 เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหรือชาวนาประมาณ 300,000 กว่าราย ซึ่งเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงนี้ สำหรับการประกันรายได้ชาวนาหรือประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวปี2 นั้นนายจุรินทร์ให้ความสำคัญมากเพราะชาวนาเกิดปัญหาหลายสภาพเมื่อราคาข้าวไม่ถึงราคาเป้าหมายประกันรายได้จึงให้ติดตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องแทนชาวนาอย่างใกล้ชิดและรีบจ่ายเงินเป็นของขวัญปีใหม่ให้ชาวนาเหมือนเกษตรกรชาวสวนยาง ข้าวโพด มันสำปะหลัง ส่วนชาวสวนปาล์มนั้นปัจจุบันนี้ด้วยมาตรการเสริมของรัฐทำให้ปาล์มราคาดีมากทะลุเป้าหมายราคาประกันรายได้ไปมากแล้ว
"สำหรับข้าว เราเริ่มจ่ายส่วนต่างมาร่วมเดือนแล้วโดยงวดที่1จ่ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 จากนั้นทะยอยจ่ายทุกสัปดาห์ตามการอ้างอิงราคากลางและจ่ายหลังจากการเก็บเกี่ยวตามเวลาเก็บเกี่ยวที่ชาวนาแจ้งตอนลงทะเบียนไว้ จึงอยากให้พี่น้องเกษตรกรชาวนาติดตามข่าวสารที่เกี่ยวกับตัวอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะประกาศกระทรวงพาณิชย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ผลักดันนโยบายประกันรายได้และทำงานอย่างใส่ใจมาตลอดแม้บางจังหวะอาจมีปัญหาทางเทคนิคด้านงบประมาณบ้างแต่ก็ผลักดันการแก้ไขเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รวดเร็วอย่างล่าสุดส่วนต่างข้าวงวดนี้เป็นงบประมาณตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 63 คือการอนุมัติให้ปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากที่อนุมัติไว้เบื้องต้น จำนวน 18,096 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711 ล้านบาท รวมเป็น 46,807 ล้านบาท ดังนั้นสำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 15 - 29 พ.ย.2563 หมายถึงงวดที่ 2 บางส่วน และงวดที่ 3 งวดที่4 ซึ่งตกค้างอยู่จำนวน 2.22 ล้านครัวเรือน ทางธ.ก.ส.รายงานว่าได้โอนให้ไปตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2563 แล้วจึงขอแจ้งย้ำให้ทราบว่า ธ.ก.ส.โอนเงินให้เกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นเงินรวมจำนวน 20,218 ล้านบาทแล้ว ดังนั้นพี่น้องเกษตรกรชาวนาท่านใดยังไม่ได้ตรวจสอบบัญชีก็ให้ไปตรวจสอบบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส.ใกล้บ้านได้เลย ส่วนเกษตรกรในงวดที่5 ก็สามารถตรวจสอบบัญชีได้หลังจากนี้ " นางมัลลิกา กล่าว
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุด้วยว่าหลังจากนี้อยากให้ชาวนาพัฒนาคุณภาพข้าวโดยเฉพาะให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวเพราะมันเป็นมูลค่าเพิ่มและสืบเนื่องจากปีนี้ไทยเราได้รับรางวัลชนะเลิศ World’s Best Rice Award 2020 ข้าวที่ดีที่สุดในโลกปี 2020 คือ ข้าวพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ ยืนยันได้ว่าคุณภาพของข้าวไทยไม่เป็นรองใครในโลก ถ้าเราสามารถช่วยกันพัฒนาและเดินตามนโยบายของท่านรองนายกฯจุรินทร์ที่กำลังทำยุทธศาสตร์นโยบายข้าว รางวัลนี้จึงเป็นรูปธรรมของการประกาศยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 2563-2567 ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลแล้วมีการตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าใน 5 ปีนี้เราจะทำให้ไทยเป็นผู้นำการผลิต ผู้นำการตลาดข้าว และผู้นำผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก รางวัลนี้เป็นการยกระดับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพข้าวของไทยในตลาดโลก ส่งผลดีกับทั้งตัวเกษตรกรและการส่งออกข้าวของประเทศไทยต่อไปในอนาคตด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37588 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 พร้อมจับมือเอกชนขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG เศรษฐกิจชีวภาพ / เศรษฐกิจหมุนเวียน / เศรษฐกิจสีเขียว | วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 พร้อมจับมือเอกชนขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG เศรษฐกิจชีวภาพ / เศรษฐกิจหมุนเวียน / เศรษฐกิจสีเขียว
นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 พร้อมจับมือเอกชนขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG เศรษฐกิจชีวภาพ / เศรษฐกิจหมุนเวียน / เศรษฐกิจสีเขียว
วันนี้ (14 ธ.ค. 63) เวลา 13.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำ 2563 โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุค 4.0 จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจึงต้องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มเข็ง พร้อม ๆ ไปกับนำรายได้ให้กับประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย
รัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve จากเดิมที่มี 5 ประเภทเพิ่มอีก 7 ประเภท เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมไทยสู่สากล ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่ในเชิงสร้างสรรค์ เพิ่มศักยภาพ SMEs และผู้ประกอบการชุมชน เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในระดับภาค มุ่งยกระดับสถานประกอบการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย พลังงาน และบูรณาการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแบบครบวงจร ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่จะพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green
economy) ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ การเชื่อมโยงและพัฒนาระบบฐานข้อมูล หรือ BIG DATA สู่อุตสาหกรรม 4.0 การบริหารข้อมูลที่ทันสมัย ด้วยการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยถึง 300 รายการที่ขึ้นทะเบียน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำถึงหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยว่า จะต้องช่วยกันดูแลผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ยกระดับภาคธุรกิจรายย่อยมีความแข็งแรง เติบโตควบคู่ไปกับการใช้หลักสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ “เคารพ คุ้มครอง เยียวยา” รวมไปถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งจะต้องร่วมมือช่วยกันทุกฝ่ายด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการ ทั้งสิ้น 79 รางวัล โดยรางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม (The Prime Minister’s Best Industry Award) ในปีนี้ ได้แก่ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด และเยี่ยมชมนิทรรศการของบริษัทที่ได้รับรางวัล ก่อนเดินทางกลับ
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุต ฯ จัดเตรียมจัดงาน OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน 22-25 ธ.ค. นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ก.อุต ฯ จัดเตรียมจัดงาน OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน 22-25 ธ.ค. นี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการแถลงข่าว การจัดงาน OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สปอ.
วันนี้ (17 ธันวาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการแถลงข่าว การจัดงาน OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นของขวัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งหวังที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ และเป็นการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 นี้ด้วย โดยจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 22-25 ธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าใน 4 วันนี้ คาดว่าในงานจะทำเงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาทและในปี 2564 กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการจัดงานขยายไป ในส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าว และมีผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สปอ.
“งาน OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน แบ่งเป็น 7 โซน ได้แก่ โซนเครื่องใช้ไฟฟ้า /โซนสินค้าอุปโภคบริโภคจากอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ โซนสินค้าอุปโภคบริโภคจากโรงงานและอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ /โซนสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรม /โซนสินค้า SME OTOP และ FOOD TRUCK /โซนสินค้าจากเครือสหพัฒน์ และโซนจำหน่ายรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และยังมีน้ำตาลทรายกว่า 1.3 ตัน จากราคา 22 บาท มาจำหน่ายให้ประชาชนในราคาราคาพิเศษกิโลกรัมละ 18 บาท และในช่วงนาทีทองราคา เพียง 10 บาทเท่านั้น พร้อมทั้งยังมี บูธให้คำปรึกษาบริการสินเชื่อต่างๆ ให้คำปรึกษาเพื่อขอรับการรับรอง มอก. มผช และบริการ จดทะเบียนเครื่องจักรกลาง (งดเว้นค่าธรรมเนียม) การออกแบบผลิตภัณฑ์จากศูนย์ Thai-IDC อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เผย 5 มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ภายใต้ชื่อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เข้มบังคับใช้กฎหมาย วอนประชาชนตระหนักด้านความปลอดภั | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
มท.1 เผย 5 มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ภายใต้ชื่อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เข้มบังคับใช้กฎหมาย วอนประชาชนตระหนักด้านความปลอดภั
มท.1 เผย 5 มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ภายใต้ชื่อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เข้มบังคับใช้กฎหมาย วอนประชาชนตระหนักด้านความปลอดภัย
วันนี้ (17 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ที่ประชุมมีมติรับทราบตามที่ ศปถ. เสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน มุ่งเน้นการบริหารจัดการในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่การดำเนินการตามมาตรการและแนวทางเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ ดำเนินงานอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง รวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ชุมชน หมู่บ้าน อาสาสมัครต่าง ๆ และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้ อปท.เป็นเจ้าภาพการดำเนินการ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุให้เหลือน้อยที่สุดและดูแลความปลอดภัยการเดินทางของประขาชนครอบคลุมทุกมิติ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสุขใจกับชีวิตวิถีใหม่ที่ห่างไกลจากอุบัติเหตุตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 สอดคล้องตามแผนบูรณาการฯ ดังกล่าว จึงได้กำหนดการรณรงค์ภายใต้ชื่อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” มีเป้าหมายลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับสถิติช่วงเทศกาลปีใหม่เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง และจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุในระดับจังหวัดและอำเภอเสี่ยงที่เป็นสีแดงลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงเดียวกันย้อนหลัง 3 ปี แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น วันที่ 22 - 28 ธ.ค. 63 ช่วงควบคุมเข้มข้น วันที่ 29 ธ.ค. 63 - 4 ม.ค. 64 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น วันที่ 5-11 ม.ค. 64 โดยมีมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการบริหารจัดการ อาทิ จัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 ทั้งส่วนกลาง ระดับจังหวัด อำเภอ กทม. และอปท. การลดปัจจัยเสี่ยง โดยใช้กลไกท้องที่ควบคุมและดำเนินการมาตรการเชิงรุก “เคาะประตูบ้าน” เพื่อสอดส่อง ดูแล ป้องปราม และตักเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในพื้นที่ 2) ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม ด้วยการตรวจสอบลักษณะกายภาพถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ และปรับปรุงแก้ไขให้มีความปลอดภัย และกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัยในการสัญจร เป็นต้น 3) ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ ด้วยการกำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถ และพนักงานประจำรถ ถือปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกหยุดประกอบกิจการหรือหลีกเลี่ยงการใช้รถบรรทุกในการประกอบกิจการช่วงเทศกาลปีใหม่ 4) ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้ง “ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์” อย่างเข้มข้นภายใต้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ 5) ด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ โดยจัดเตรียมความพร้อมโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย และแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบ การติดต่อประสานงาน ให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันที
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้ความสำคัญในการดำเนินงานเชิงรุกและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เคร่งครัดและต่อเนื่อง ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความตระหนักด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัยและสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเยี่ยมเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเยี่ยมเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเยี่ยมเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเยี่ยมเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำเป้าหมายในระยะที่ ๒ ของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยมี พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ประธานกรรมการบริหารโครงการฯ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าหน่วยราชการในจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมรับเสด็จ
เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี ปัจจุบันมีผู้ต้องขังทั้งสิ้น ๗๙๙ คน แยกเป็นผู้ต้องขังหญิงจำนวน ๗๓ คน ผู้ต้องขังชายจำนวน ๗๒๖ คน ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาทอดพระเนตรนิทรรศการโรงพยาบาลเครือข่ายร่วมกับโรงพยาบาลเครือข่าย ด้านหน้าแดนชาย เสด็จเข้าแดนพยาบาล (ในแดนชาย) ทอดพระเนตรห้องคัดกรอง การรักษาผู้ป่วย พระราชทานของเยี่ยมให้ผู้ต้องขังป่วยชาย จำนวน ๕ ราย เสด็จไปยังสถานกักขัง ทรงทอดพระเนตรห้องกักตัวโควิด-19 ผู้ต้องขังแรกเข้า ทอดพระเนตรห้องสมุด ทอดพระเนตรศูนย์การเรียนรู้และห้องเรียนหนังสือ ทอดพระเนตรร้านค้าสงเคราะห์ผู้ต้องขัง เสด็จไปแดนสูทกรรม ทอดพระเนตรโรงประกอบเลี้ยงอาหาร บ่อดักไขมันและการบำบัดน้ำเสีย ทอดพระเนตรศูนย์ฝึกวิชาชีพ เสด็จไปยังลานกีฬา พระราชทานขนมให้ผู้แทนผู้ต้องขังชายในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เสด็จออกจากลานกีฬา จากนั้นเสด็จไปยังแดนหญิง พระราชทานของเยี่ยมให้ผู้ต้องขังป่วยหญิง คนชราและพิการ จำนวน ๕ ราย พระราชทานของให้แม่และเด็ก จำนวน ๑ ราย พระราชทานขนมให้ผู้แทนผู้ต้องขังหญิงในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เสด็จออกจากเรือนจำไปยังร้านกาแฟ (ภายนอกเรือนจำ) ทอดพระเนตรภายในร้านกาแฟของเรือนจำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37675 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วยชาวนา ! "จุรินทร์" ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวด 6 เคาะจ่ายส่วนต่างชาวนาวันนี้อีกกว่า 7 หมื่นราย ใกล้ปีใหม่จ่ายชาวนาทะลุกว่า 4 ล้านรายแล้ว | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ช่วยชาวนา ! "จุรินทร์" ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวด 6 เคาะจ่ายส่วนต่างชาวนาวันนี้อีกกว่า 7 หมื่นราย ใกล้ปีใหม่จ่ายชาวนาทะลุกว่า 4 ล้านรายแล้ว
ช่วยชาวนา ! "จุรินทร์" ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวด 6 เคาะจ่ายส่วนต่างชาวนาวันนี้อีกกว่า 7 หมื่นราย ใกล้ปีใหม่จ่ายชาวนาทะลุกว่า 4 ล้านรายแล้ว
17 ธันวาคม 2563 เวลา 8.00 น.นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563/64 งวดที่ 6 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว หรือโครงการประกันรายได้ชาวนาปี2 โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563/64 งวดที่ 6 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 7-13 ธันวาคม 2563 ดังนี้คือ
1.ข้าวเปลือกหอมมะลิ เกณฑ์กลางตันละ 12,212.42 บาท ชดเชยตันละ 2,727.58 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 38,186.12 บาท
2.ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ เกณฑ์กลางตันละ 11,800.74 บาทชดเชยตันละ 2,199.26 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 35,188.14 บาท
3. ข้าวเปลือกเจ้า เกณฑ์กลางตันละ 9,215.15 บาท ชดเชยตันละ 784.85 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 23,545.50 บาท
4.ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี เกณฑ์กลางตันละ 10,182.17 บาท ชดเชยตันละ 817.83 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 20,445.75 บาท
5.ข้าวเปลือกเหนียว เกณฑ์กลางตันละ 11,246.87 บาท ชดเชยตันละ 753.13 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 12,050.080 บาท
นางมัลลิกา กล่าวว่า จากประกาศนี้นายจุรินทร์ให้แจ้งเกษตรกรทราบทั่วกัน ทั้งนี้ขั้นตอนจากนี้คือกรมส่งเสริมเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. จะประสานงานกันโดยขั้นตอนสุดท้ายคือ ธ.ก.ส.มีหน้าที่โอนเงินส่วนต่างให้กับบัญชีเกษตรกรโดยตรงซึ่งจะต้องภายใน 3 วันทำการจะตรงกับวันนี้ วันที่ 17 ธันวาคม 2563 โดยมีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตร งวดนี้จำนวน 74,497 ครัวเรือน ทั้งนี้เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถตรวจสอบบัญชีหลังวันนี้ที่ 17 ได้เลย
" อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมาเราได้จ่ายเงินประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวไปช่วยเกษตรกรชาวนาแล้วเกือบ 4 ล้านราย ขณะนี้ยังคงเหลือชาวนาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวอีกไม่กี่หมื่นรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาภาคอีสาน โดยสัปดาห์หน้าก็จะประกาศราคาเกณฑ์กลางอีกและจ่ายเงินในกลุ่มต่อไปให้ทันได้ใช้เงินส่งท้ายปีจากนั้นจะเป็นต้นปีหน้า เป็นงวดชาวนาบางส่วนในพื้นที่ภาคใต้กว่า 3 แสนรายเท่านั้น และเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้สูงขึ้นจึงมีการพิจารณาราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกสัปดาห์ โครงการประกันรายได้เกษตรกรมีเงินส่วนต่างถึงมือเกษตรกรเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่หายหกตกหล่นเพราะผ่านบัญชีโดยตรงของเกษตรกรเองจึงเป็นโครงการที่ชาวนาประทับใจรัฐบาลอย่างยิ่งขณะนี้เรายังเดินหน้าโครงการต่อไป" นางมัลลิกา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คํากล่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
คํากล่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร
ท่านรองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม
แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนทุกท่าน
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้ได้มีโอกาสนำคณะรัฐมนตรีมาเยี่ยมชมความพร้อมของสถานีกลางบางซื่อ และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ - รังสิต ซึ่งเป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนสายหนึ่งที่สำคัญ เพื่อเติมเต็มการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มความสะดวดกรวดเร็วในการเดินทางให้แก่พี่น้องประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการประชาชนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 นี้
รัฐบาลได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และความมั่นคงของประเทศ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนา “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน รัฐบาลจึงได้ส่งเสริม ติดตาม และมุ่งมั่นผลักดันเพื่อให้ระบบคมนาคมทางรางเป็นรูปแบบการเดินทางหลักของประเทศ
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งพัฒนาระบบคมนาคมทางรางอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตเมือง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีชมพู สายสีเหลือง และสายสีส้ม ซึ่งจะช่วยยกระดับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ยิ่งขึ้น
ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศรวมถึงพัฒนาโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อเชื่อมต่อทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพิ่มประสิทธิภาพด้านการเดินทาง ขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสนใจ เร่งรัด และติดตามความก้าวหน้าของทุกโครงการมาโดยตลอด
สำหรับสถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถไฟยุคใหม่ ซึ่งมีศักยภาพเทียบเท่าสถานีรถไฟชั้นนำของโลก และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง นอกจากจะเป็นทางเลือกให้ประชาชนสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ปริมณฑลและทั่วทุกภูมิภาคของประเทศได้โดยสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยแล้ว ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมโอกาสด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงสนับสนุนการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทาง
นอกจากนี้ ในระยะยาว จะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมและการขนส่งทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน นับเป็นก้าวย่างสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของการพัฒนาระบบรางและการพัฒนาประเทศตามเป้าหมายของรัฐบาล
ในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการ ที่ได้เร่งรัดการดำเนินโครงการให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ซึ่งเป็น “กำลังสำคัญ” ในการผลักดันให้โครงการสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้บริการสถานีกลางบางซื่อและรถไฟชานเมืองสายสีแดง ในอนาคตอันใกล้ และเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ขอบคุณครับ
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตร 'เฉลิมชัย' เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานภาคใต้และตะวันตกครั้งที่ 21 | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตร 'เฉลิมชัย' เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานภาคใต้และตะวันตกครั้งที่ 21
รัฐมนตรีเกษตร 'เฉลิมชัย' เปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานภาคใต้และตะวันตกครั้งที่ 21 พร้อมรักษาสืบสานและต่อยอดให้อาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมคงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป
นายเฉลิมชัยศรี อ่อนรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานประกวดโคนมเทิดพระเกียรติชิงถ้วยพระราชทานภาคใต้และตะวันตก ครั้งที่ 21 โดยมีนายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตร และสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ โครงการเลี้ยงวัวนมทดแทนในระบบชีวภาพ (วัวหลุม) ตำบลหนองตาแต้ม อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระบิดาแห่งโคนมไทยที่พระองค์ได้พระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทย ตลอดจนเป็นการส่งเสริมพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ ที่ตั้งอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันตกของประเทศ รวมถึงพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังเป็นการกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาเกษตรกรให้มีการพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์โคนมให้ดียิ่งขึ้น และเป็นสถานที่พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเกษตรกร นักส่งเสริม นักวิชาการและผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
"ปัจจุบัน มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ต้องช่วยกันพัฒนาให้พี่น้องเกษตรกรดำเนินชีวิตอยู่ได้ ซึ่งหากข้อตกลง FTA และประเทศคู่ค้ามีผลบังคับใช้ จะทำให้เกิดการค้าเสรีและจะมีผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอย่างแน่นอน ทุกภาคส่วนจึงต้องช่วยกันพัฒนาและปรับตัวเพื่อพร้อมรองรับกับการค้าเสรีในตลาดโลกให้ได้ สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีส่วนสำคัญที่จะต้องเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องต่างๆ ทั้งการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้สามารถผลิตน้ำนมที่มีปริมาณและมีคุณภาพมากที่สุดการพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณธ์ให้มีความหลากหลาย การลดต้นทุนการผลิตและการหาช่องทางการตลาดเป็นต้น อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ พร้อมเดินเคียงข้างพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในวันนี้จะเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ และถือเป็นการสืบสานสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ โดยเฉพาะอาชีพการเลี้ยงโคนมนี้เป็นอาชีพพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงต้องช่วยกันรักษาสืบสานและต่อยอดให้อาชีพนี้คงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป" นายเฉลิมชัยกล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “พล.อ. ประวิตร ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 2/63 โดย กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมพิจารณา เมืองศรีเทพ เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย” | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
“พล.อ. ประวิตร ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 2/63 โดย กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมพิจารณา เมืองศรีเทพ เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย”
“พล.อ. ประวิตร ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 2/63 โดย กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมพิจารณา เมืองศรีเทพ เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย”
วันที่ 17 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เลขาธิการ สผ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบและพิจารณาแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม
โดยที่ประชุมได้ร่วมหารือในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านมรดกโลกหลายประเด็น อาทิ การพิจารณาผลกระทบในการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงในบริเวณพื้นที่ให้แหล่งโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกต่อการใช้งานของพี่น้องประชาชน โดยที่ประชุมให้มีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบในการศึกษาให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
อีกทั้ง ยังได้มีการพิจารณาอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเสนอขึ้นเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่ รวมถึงมีการพิจารณาคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในการดำรงตำแหน่งกรรมการมรดกโลกวาระปี พ.ศ.2561-2566 อีกด้วย
นอกจากนั้น รมว.ทส. “ได้กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. จะมีคณะทำงานติดตามการดำเนินงาน เพื่อให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่าง ๆ นั้น จะให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37695 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ร่วมพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” จำนวน 210 หลัง ส่วนหนึ่งในการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองเปรมประชากร | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
มท.1 ร่วมพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” จำนวน 210 หลัง ส่วนหนึ่งในการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองเปรมประชากร
มท.1 ร่วมพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” จำนวน 210 หลัง ส่วนหนึ่งในการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองเปรมประชากร
วันนี้ (17 ธ.ค. 63) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณหมู่ที่ 7 ต.หลักหก อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” ในงาน “บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง” โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย นายไมตรี อินทุสุต ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พลโท เจริญชัย หินเธาว์ แม่ทัพภาคที่ 1 นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และชาวชุมชนริมคลองเปรมประชากรร่วมงานกว่า 600 คน
โอกาสนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ เยี่ยมชมนิทรรศการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ และมอบใบอนุญาตก่อสร้างให้กับประธานและคณะกรรมการสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด และมอบนโยบายและพบปะประชาชน มอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับชาวบ้านชุมชนวัดรังสิต และประกอบพิธียกเสาเอก วางไม้มงคล ผูกผ้าสีและโปรยดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคล
การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากรเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 มีกรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของเมือง 2) การพัฒนาชุมชนริมคลอง 3) การสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และ 4) กฎหมายและการขับเคลื่อนงาน โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เทศบาลตําบลหลักหก อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี จำนวน 6 หมู่ ระยะความยาวคลองประมาณ 17 กิโลเมตรจากความยาวทั้งหมด 58 กิโลเมตร โดยการรื้อย้ายบ้านหมู่ 7 ในวันนี้ ชุมชนได้เช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ระยะเวลาเช่า 30 ปี เนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา ซึ่งได้ดำเนินการรื้อย้ายบ้านเดิมแล้ว 98 หลัง ระยะทางตามแนวคลอง 628 เมตร สามารถก่อสร้างบ้านใหม่ให้กับสมาชิกได้ 210 หลัง มีรูปแบบบ้าน 2 แบบ คือ บ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 x 7 เมตร จำนวน 200 หลัง และบ้านแถวชั้นเดียว ขนาด 4 x 7 เมตร จำนวน 10 หลัง แผนก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2564 และในระยะต่อไป จะดำเนินการรื้อย้ายบ้านเดิมประมาณ 116 หลัง และก่อสร้างบ้านใหม่เฟส 2 ประมาณ 144 หลังในบริเวณหมู่ที่ 5 ในช่วงกลางปี 2564
สำหรับการพัฒนาชุมชุมชนริมคลองเปรมประชากรในส่วนพื้นที่ตำบลหลักหก ผ่านการรับรองสิทธิในที่อยู่อาศัยตามกระบวนการโครงการบ้านมั่นคง จำนวน 485 ครัวเรือน โดยชุมชนหมู่ที่ 7 ร่วมกับชุมชนหมู่ที่ 5 ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหกรณ์ในนาม “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” เป็นกลไกในการขับเคลื่อนและบริหารโครงการ ปัจจุบันมีสมาชิกชุมชนสมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์แล้วจำนวน 377 ครัวเรือน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด” ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด” ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงรายงานผลปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด” ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
แถลงรายงานผลปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด”
ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
โดยมี นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด
พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส.
พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พร้อมด้วยนายวีรภัทร ลำปาง นักตรวจสอบภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร ร่วมแถลงข่าว
เพื่อแถลงผลการยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ค้ายาเสพติด
ของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.)
ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม - ๑๕ ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น ๘๖๖.๒ ล้านบาท จำแนกเป็น
จับกุมและยึดทรัพย์ชั่วคราว ๔๖๕.๕ ล้านบาท
อยู่ระหว่างเสนอยึดอาญัติ ๒๔๐.๗ ล้านบาท
และกรมสอบสวนคดีพิเศษจับกุมและยึดทรัพย์ได้ ๑๖๐ ล้านบาท
และส่วนหนึ่งที่เป็นคดีค้างเก่ากรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
วินิจฉัยยึดทรัพย์ จำนวน ๒๗๖.๕ ล้านบาท
ตกกองทุนยาเสพติด จำนวน ๑๔๑.๗ ล้านบาท บังคับโทษปรับตามวิธีพิจารณายาเสพติด ๓.๗ ล้านบาท
และยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.การฟอกเงินฯ ๕๕.๖ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๔๗๗.๕ ล้านบาท
พร้อมทั้งกล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ในชั้นของกรรมาธิการ ซึ่งหากการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับดังกล่าวสำเร็จ
จะเอื้ออำนวยให้การดำเนินคดียาเสพติดให้ดียิ่งขึ้น
โดยในปี ๒๕๖๔ ได้กำหนดเป้าหมายการขยายผลและยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดเพิ่มขึ้นจากเดิม ๑๐ เท่า
หรือคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินประมาณ ๖,๐๐๐ ล้านบาท
โดยเน้นความร่วมมือบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อยึดทรัพย์สินเครือข่ายการค้ายาเสพติดทุกระดับและตัดวงจรทางการเงินกลุ่มการค้ายาเสพติด
มิให้นำเงินมาเป็นทุนในการค้ายาเสพติดหรือขยายธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ
พร้อมทั้งจะเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจในการแก้ไขและปราบปรามยาเสพติดในสังคมต่อไป
************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เพิ่ม 4 บริการใหม่ ผ่านแอป GHB ALL ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ธอส.เพิ่ม 4 บริการใหม่ ผ่านแอป GHB ALL ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส
ธอส.พัฒนาฟังก์ชั่นบริการบน Mobile Application : GHB ALL เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ธอส. ได้สะดวกสบาย ง่าย แค่ปลายนิ้วสัมผัสยิ่งขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล ตามโครงการ “G H Bank New Normal Services” ด้วย 4 บริการใหม่
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พัฒนาฟังก์ชั่นบริการบน Mobile Application : GHB ALL เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ธอส. ได้สะดวกสบาย ง่าย แค่ปลายนิ้วสัมผัสยิ่งขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล ตามโครงการ “G H Bank New Normal Services” ด้วย 4 บริการใหม่ ประกอบด้วย 1.เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพียงเลือกเมนูเปิดบัญชีเงินฝาก จากนั้นยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัลเปลี่ยนเงินงวดใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีการเปรียบเทียบใบหน้า (Facial Recognition) ที่มีการจัดเก็บภาพถ่ายไว้กับธนาคารแล้ว (ซึ่งอยู่ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย) จากนั้นจะสามารถเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา พิเศษ!! สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ตามที่ธนาคารกำหนดผ่าน GHB ALL และซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาวผ่าน GHB ALL จำนวน 2 หน่วยขึ้นไปต่อครั้ง ภายในวันที่ 16 มีนาคม 2564 จะได้รับหูฟังบูทูธฟรี!!(1 ราย ต่อ 1 ชิ้น) 2.หนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้ สำหรับนำไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ 3.หนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อใช้เป็นหลักฐานการทำธุรกรรมต่าง ๆ หรือยื่นภาษีประจำปี ทั้ง 2 บริการเพียงเข้าไปที่เมนูบริการอื่นๆ แล้วเลือกหนังสือที่ต้องการ ยอมรับข้อกำหนดการใช้งาน และเลือกบัญชีที่ต้องการขอหนังสือแล้วให้ระบุ E-Mail เพื่อให้ระบบจัดส่งไฟล์หนังสือไปยัง E-Mail ที่แจ้งไว้ และ 4.หนังสือรับรองเพื่อเบิกค่าเช่าบ้าน เพียงกรอกรายละเอียดของบัญชีเงินกู้ที่ต้องการเบิกและ ระบุ E-Mail เพื่อให้ระบบจัดส่งหนังสือทาง E-Mail ต่อไป โดยลูกค้าสามารถใช้ทั้ง 4 บริการได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลการปฏิบัติการยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลการปฏิบัติการยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงผลการปฏิบัติการยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม TOC อาคาร ๒ ชั้น ๔ สำนักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดน กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย
พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส.
นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงิน (ป.ป.ง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมสรรพากร กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานเสนาธิการทหารบก เปิดปฏิบัติการยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด
ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ โดยร่วมผนึกกำลังเครือข่าย ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่ ๑๕ จุดทั่วประเทศ
โดยมีการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์รายงานผลปฏิบัติการและการเข้าจับกุมเครือข่ายเป้าหมายจากเจ้าหน้าที่
ชุดปฏิบัติการจากทุกพื้นที่ รวมทั้งตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการในสำนักงาน ป.ป.ส. ด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินการในมิติด้านการปราบปราม และยึดทรัพย์สินเครือข่ายรายสำคัญ
เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ปราบปรามเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด โดยเฉพาะนายทุนระดับผู้สั่งการและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนเน้นการยึดอายัดทรัพย์สิน ทำลายโครงสร้างและตัดวงจรทางการเงิน
ของเครือข่ายยาเสพติดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง
ภายใต้คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๖๓
เรื่อง จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด
โดยกำหนดแผนยุทธการฯ เข้าปฏิบัติการใน ๖ จังหวัด รวมพื้นที่ปฏิบัติการ ๑๕ จุดปฏิบัติการ
ประกอบด้วย จ.ขอนแก่น ๗ จุดปฏิบัติการ, จ.อุบลราชธานี ๒ จุดปฏิบัติการ, จ.นนทบุรี ๑ จุดปฏิบัติการ
จ.ชลบุรี ๑ จุดปฏิบัติการ, จ.ฉะเชิงเทรา ๑ จุดปฏิบัติการ และ จ.ปราจีนบุรี ๓ จุดปฏิบัติการ
สำหรับผลการปฏิบัติ เลขาธิการ ป.ป.ส. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินไว้แล้ว มูลค่า ๑๖,๓๔๘,๐๘๐ บาท
ประกอบด้วย ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ๓ แปลง, อาคารห้องชุด ๕ ห้อง และยานพาหนะ ๑ คัน
ทั้งนี้ ยุทธการดังกล่าว นับเป็นการบูรณาการความร่วมมือครั้งสำคัญของหลายหน่วยงาน
และเป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๓๔ (มาตรการสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือ) โดยขยายผลจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องและยึดทรัพย์สิน
เพื่อทำลายเครือข่ายและโครงสร้างการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก
ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมฯ วัดเหนืออุดรชัยสิทธิ์ ตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรมว.วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมฯ วัดเหนืออุดรชัยสิทธิ์ ตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้ช่วยรมว.วธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมฯ วัดเหนืออุดรชัยสิทธิ์ ตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นายพิกิฎ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนคุณธรรมฯ วัดเหนืออุดรชัยสิทธิ์ ตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร (บวs On Tour) มาจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน มาเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนชุมชน สร้างรายได้จากสินค้า และบริการทางวัฒนธรรม ชุมชนอยู่ดีมีสุข
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37707 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ขับเคลื่อนงานสุขศาลาตามแนวพระราชดำริ ดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ดร.สาธิต ขับเคลื่อนงานสุขศาลาตามแนวพระราชดำริ ดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนงานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริ ติดตามการทำงานสุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋-แสนคำลือ จ.แม่ฮ่องสอน ดูแลประชาชนขั้นพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ให้เข้าถึงการรักษาในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนงานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริ ติดตามการทำงานสุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋-แสนคำลือ จ.แม่ฮ่องสอน ดูแลประชาชนขั้นพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ให้เข้าถึงการรักษาในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน
วันนี้ (17 ธันวาคม 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋ –แสนคำลือ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ติดตามการดำเนินงานการดูแลสุขภาพประชาชนในถิ่นทุรกันดาร
ดร.สาธิตกล่าวว่า การพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสนองพระราชปณิธานพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่มุ่งหวังให้คนไทยมีสุขภาพอนามัยที่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารเข้าถึงบริการสุขภาพ จึงได้จัดตั้งสุขศาลาพระราชทานขึ้น ปัจจุบันมีสุขศาลาพระราชทานที่กระทรวงสาธารณสุขดูแล 22 แห่งทั่วประเทศ การลงพื้นที่สุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋ –แสนคำลือ จ.แม่ฮ่องสอนในวันนี้ เพื่อติดตามการดำเนินงานดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชนในพื้นที่ภูเขาสูง ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติลาหู่ ใช้ภาษาลาหู่ (มูเซอแดง) ในการสื่อสาร มีฐานะความเป็นอยู่ยากจน ส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งปัญหาเรื่องฝุ่นควันจากไฟป่า จากข้อมูลผู้รับบริการรักษาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563 ให้การดูแลรักษา 1,534 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ 500 ครั้ง, ระบบทางเดินอาหาร 383 ครั้ง, ระบบกล้ามเนื้อ 218 ครั้ง, ระบบไหลเวียนโลหิต 20 ครั้ง, ตา หู คอ จมูก 61 ครั้ง, โรคผิวหนัง 97 ครั้ง, หนอนพยาธิ 22 ครั้ง, ทำแผล 174 ครั้ง, ฉีดยา 11 ครั้ง, วางแผนครอบครัว 55 ครั้ง, ส่งต่อผู้ป่วย 10 ครั้ง และอื่นๆ 10 ครั้ง
“การมีสุขศาลาพระราชทานเพื่อช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่สูง ห่างไกลทุรกันดาร ซึ่งเดินทางไปโรงพยาบาล/ สถานพยาบาลเพื่อพบแพทย์มีความยากลำบาก ได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ รับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันได้มากขึ้น” ดร.สาธิตกล่าว
ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ กล่าวว่า สุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋ –แสนคำลือ มีหมู่บ้านที่อยู่ในการให้บริการ จำนวน 1 แห่ง คือ บ้านแอโก๋-แสนคำลือ มีจำนวนประชากร 869 คน 144 หลังคาเรือน เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2550 มีเครือข่ายการดำเนินงานในพื้นที่ ประกอบ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอปางมะผ้า โรงพยาบาลปางมะผ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถ้ำลอด และอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนประจำหมู่บ้านในพื้นที่ ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การเบิกจ่ายยา และการส่งต่อผู้ป่วย, งานโภชนาการและพัฒนาการเด็ก เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ให้นักเรียนและคัดกรองภาวะโภชนาการเด็ก 0-5 ปี, งานอนามัยแม่และเด็ก ติดตามเยี่ยมหลังคลอด แนะนำหญิงตั้งครรภ์ให้ฝากครรภ์ตามนัด, งานวางแผนครอบครัว เช่น จ่ายยาเม็ดคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด, งานทันตสาธารณสุข เช่น ให้ความรู้เรื่องการแปรงฟันที่ถูกวิธี, งานสุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อม และงานผู้สูงอายุและผู้พิการ เช่น ติดตามเยี่ยมบ้านให้ความรู้
********************** 17 ธันวาคม 2563
************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37698 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กห.ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กห.ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. มอบหมายให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.เป็นผู้แทนให้การต้อนรับ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานคณะกรรมาธิการทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมคณะ
เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจการปฏิบัติงานภารกิจความมั่นคงทางทหาร ณ ศาลาว่าการกลาโหม
โดย กห.ได้บรรยายสรุปถึงสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย รวมทั้งแนวความคิดและความคืบหน้าการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง แผนแม่บทประเด็นความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับ กห. และแนวความคิดการบูรณาการความร่วมมือในการพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ต่อจากนั้น ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นความมั่นคงและให้คำแนะนำถึงสถานการณ์แวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปจากการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะ COVID-19 และความคืบหน้าในการขับเคลื่อนจัดทำแผนย่อยด้านต่างๆรองรับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยจำเป็นต้องจัดทำแผนให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมตามความมั่นคงที่เปลี่ยนไปให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแผนระดับ 3 และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (Area Base) มากขึ้น โดยเฉพาะระดับตำบล
นอกจากนั้น ยังได้หารือถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จชต. ซึ่งสถานการณ์ในภาพรวมดีขึ้น มีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น การใช้ความรุนแรงลดลง โดยพิจารณาให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการศึกษา และการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของสภาสันติสุขตำบลมากขึ้น รวมทั้งยังได้หารือถึงแนวทางการปฏิรูปกองทัพในระบบกำลังสำรอง พร้อมทั้ง เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนในทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมรับผิดชอบและสนับสนุนในการดูแลความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศร่วมกันมากขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37689 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร สร้างบ้านมั่นคง สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง) | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
พม. จับมือภาคีเครือข่าย เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร สร้างบ้านมั่นคง สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง)
พม. จับมือภาคีเครือข่าย เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร สร้างบ้านมั่นคง สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง)
วันนี้ (17 ธ.ค. 63) เวลา 14.30 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคงสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง)หมู่ 7 ถนนเลียบคลองเปรมประชากร ตำบลหลักหก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)กล่าวรายงาน พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชาวชุมชนริมคลองเปรมประชากร จำนวน 600 คน เข้าร่วมงาน
นายจุติกล่าวว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลอง และการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน คือ 1) ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมของเมือง อาทิ การสร้างเขื่อนริมคลองและระบบรวบรวมน้ำเสีย 2) ด้านการพัฒนาชุมชนริมคลอง ซึ่งมีเป้าหมายที่การพัฒนาที่อยู่อาศัยของทุกครัวเรือนที่อยู่ริมคลอง โดยมอบหมายให้กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. รับผิดชอบดำเนินการ 3) ด้านการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และ 4) ด้านกฎหมายและการขับเคลื่อนงาน ทั้งนี้ ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร มีกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 6,386 ครัวเรือน ใน 2 พื้นที่ ดังนี้ 1) พื้นที่กรุงเทพมหานคร มี 3 เขต คือ ดอนเมือง หลักสี่ และจตุจักร จำนวน 32 ชุมชน และ 2) พื้นที่เทศบาลตำบลหลักหก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 6 หมู่ โดยมีระยะความยาวคลองประมาณ 17 กิโลเมตร จากความยาวทั้งหมด 50.8 กิโลเมตร
นายจุติกล่าวต่อไปว่า วันนี้ มีการจัดพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง) โดยมีการรื้อย้ายบ้านหมู่ 7 ซึ่งเป็นชุมชนที่ 2 ของการพัฒนาคลองเปรมประชากร โดยชุมชนได้เช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์แล้วในนามสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด ระยะเวลาการเช่า 30 ปี ขนาดเนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา อัตราค่าเช่าตารางวาละ 2.25 บาทต่อเดือน ได้ดำเนินการรื้อย้ายบ้านเดิมแล้ว 98 หลัง ระยะทางตามแนวคลอง 628 เมตร ซึ่งจะสามารถก่อสร้างบ้านใหม่ให้กับสมาชิกได้ 210 หลัง ไปพร้อมกับการก่อสร้างเขื่อนของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านประมาณ 8 เดือนโดยรูปแบบบ้านจะมี 2 แบบ ตามความสามารถในการรับภาระของแต่ละครัวเรือน คือ บ้านแถวสองชั้นขนาด 4x7 เมตร จำนวน 200 หลัง ผ่อนเดือนละ 2,579 บาท และบ้านแถวชั้นเดียวขนาด 4x7 เมตร จำนวน 10 หลัง ผ่อนเดือนละ 1,493 บาท ระยะเวลา 20 ปี โดยมีแผนก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564 ส่วนการสร้างบ้านระยะต่อไปของตำบลหลักหก จังหวัดปทุมธานีจะเป็นการวางแผนงานร่วมกับการก่อสร้างเขื่อนของกรมโยธาธิการและผังเมืองในช่วงปี 2564 - 2566
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการพัฒนาชุมชนริมคลองระยะต่อไป ในช่วงต้นปี 2564 มีแผนดำเนินการอีกหลายชุมชนในเขตจตุจักร เขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง โดยเป็นการรื้อย้ายบ้านเดิมและสร้างบ้านมั่นคงใหม่พร้อมกับการก่อสร้างเขื่อนของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการในปี 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37706 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานเปิดการจัดแสดงผลงาน โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานเปิดการจัดแสดงผลงาน โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการจัดแสดงผลงาน โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (17 ธันวาคม 3563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการจัดแสดงผลงานพร้อมมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาวิสาหกิจสู่ตลาด 4.0 (OPOAI + Mini ITC) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยมี นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับโครงการ ดังกล่าวฯ จัดโดย สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด จากกลุ่มส่งเสริมประสิทธิภาพที่ 1 และ ที่2 ประกอบด้วย 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งได้จัดทำโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาวิสาหกิจสู่ตลาด 4.0 (OPOAI + Mini ITC) ขึ้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการเกษตร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ต้นแบบพร้อมแผนธุรกิจให้กับสถานประกอบการ SMEs โดยได้รับการอนุมัติช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37699 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมมือ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ร่วมมือ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาร่วมระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Webinar : Japan-Thailand Joint Seminar on Business and Human Rights)
ในวันพุธที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดการสัมมนาร่วมระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Webinar : Japan-Thailand Joint Seminar on Business and Human Rights)
จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference)
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เข้าร่วม
เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
(National Action Plan on Business and Human Rights)
ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ของประเทศไทย
การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนปฏิบัติการฯ
ข้อท้าทาย และแผนการดำเนินงานของประเทศไทยในปี ๒๕๖๔
นอกจากนี้ ได้รับเกียรติจาก Mr. Mikito Tomiyama ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม
กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติ
ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศญี่ปุ่น
รวมทั้งประเด็นด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่จำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศญี่ปุ่นต้องดำเนินการแก้ไข
และได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ Shotaro Hamamoto คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
บรรยายถึงทิศทางโลกและข้อท้าทายสำคัญของสังคมระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่องค์กรธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
และองค์กรธุรกิจสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น
เกี่ยวกับทิศทางโลกในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเคารพสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ได้ชื่นชมพัฒนาการของทั้ง ๒ ประเทศ และให้ความสนใจสอบถามในหลายประเด็น
อาทิ บทบาทขององค์กรอิสระต่อกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ การกำหนดประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ควรแก้ไข
และผลกระทบของภาคธุรกิจต่อการมีแผนปฏิบัติการฯ เป็นต้น
ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการที่สำคัญ
และเป็นโอกาสในการต่อยอดกิจกรรมและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ โรงแรมซาเทรียม กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมี เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่รับขึ้นทะเบียนฯ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ เข้ารับการอบรม เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการรับขึ้นทะเบียน และต่ออายุบัตรผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ฯ ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์
ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ผู้ผ่านการอบรมฯ โครงการดังกล่าวจะสามารถตรวจสอบเอกสารการรับขึ้นทะเบียน หรือต่ออายุบัตรผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ฯ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการขอเอกสารเพิ่มเติม และสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ฯ ได้ถูกต้อง รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ฯ ที่ยื่นเอกสารรับขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานยุติธรรมจังหวัด เพื่อให้การบริการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงเสาเอกบ้านมั่นคง | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีลงเสาเอกบ้านมั่นคง
นายกรัฐมนตรีลงเสาเอกบ้านมั่นคง "สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด" เดินหน้า 38 ชุมชนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
วันนี้ (17 ธ.ค. 63) เวลา 14.30 น. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงเสาเอกบ้านมั่นคง "สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด" (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง) ณ หมู่ 7 ถนนเลียบคลองเปรมประชากร ตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พร้อมมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ (เนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา) และใบอนุญาตก่อสร้างของสหกรณ์ฯ ให้แก่ประธานและกรรมการสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และชาวชุมชนริมคลองเปรมประชากร เข้าร่วมงานประมาณ 600 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธียกเสาเอก บ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จำกัด” (บ้านสวย คลองใส วิถีใหม่ ชุมชนริมคลอง) และมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ และใบอนุญาตก่อสร้างให้กับหมู่ 7 ตำบลหลักหก ซึ่งเป็นชุมชนที่ 2 ของการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากรต่อจากชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร ซึ่งตนเองมีโอกาสร่วมพิธีลงเสาเอกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และทราบว่าปัจจุบันได้ก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ 193 หลัง ประชาชนได้อยู่บ้านใหม่ มีสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมคลองช่วยกันรณรงค์และปลูกสร้างจิตสำนึกร่วมกันดูแลรักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำ คู คลอง ลดปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการคุณภาพน้ำ ฟื้นฟู และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมฝั่งแม่น้ำให้มีความสะอาดสวยงาม ปรับทัศนียภาพให้สวยงาม เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ อีกทั้งสามารถใช้เป็นทางสัญจรสาธารณะได้ด้วย การพัฒนาที่อยู่อาศัยของประชาชนริมคลองให้มีสุขภาวะที่ดี เพื่อ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี ที่มุ่งหวังให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายในปี 2579 โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยควรได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเป้าหมายการขับเคลื่อนแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การทำงานจากรุ่นสู่รุ่น สู่ลูกหลานคนไทยที่สำคัญคนไทยอย่าเกลียดกัน อย่าแตกแยกอย่าขัดแย้งกัน ต้องร่วมใจไทยสร้างชาติ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้าย ขอบคุณการทำงานของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ท้องถิ่น และและประชาชนซึ่งเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ หวังให้โครงการนี้ดำเนินการกันอย่างต่อเนื่องไปยังชุมชนริมคลองเปรมประชากรอีกกว่า 38 ชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นชุมชนที่เข้มแข็งตามเป้าหมายของการดำเนินงานของรัฐบาล
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีวางไม้มงคล ผูกผ้าสี และโปรยดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคล ณ บริเวณจุดยกเสาเอก และมอบข้าวสารให้แก่ตัวแทนชุมชน ก่อนเดินทางกลับโดยรถยนต์
………………………………………….
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37701 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศ
บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศ
บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี (ที่ 8 จากขวาแถวหน้า) เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย จำนวน 35 ราย จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยมีนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 7 จากขวาแถวหน้า) ร่วมประชุมหารือเพื่อรับฟังข้อเสนอะแนะเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของนักลงทุนที่เกิดขึ้น
หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดย สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดการอบรมหลักสูตร เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม โดย สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดการอบรมหลักสูตร เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์คดียาเสพติดให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในวันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร เพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์คดียาเสพติดให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดที่เกิดขึ้น เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงการสืบสวนขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดให้เกิดประสิทธิภาพ โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.อ. มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส. รวมกว่า ๑๒๕ คน เข้าร่วมฯ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร
การอบรมดังกล่าว สืบเนื่องจากนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มุ่งเน้นการดำเนินคดีกับนายทุนหรือผู้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยใช้มาตรการสมคบหรือสนับสนุนช่วยเหลือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า มาตรการการริบทรัพย์สิน รัฐบาลกำหนดให้ในปี พ.ศ. 2564 ต้องริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดให้ได้จำนวนมากขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า คือ 6,000 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย เพื่อเป็นการลิดรอนศักยภาพของนักค้ายาเสพติด โดยการดำเนินการดังกล่าวจะไม่สัมฤทธิ์ผล ถ้าหากขาดการบูรณาการการทำงาน การบูรณาการทางกฎหมาย และเทคโนโลยีระหว่างหน่วยงาน ซึ่งการทำงานต้องเชื่อมโยงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องต้องมีความรอบรู้ และมองเห็นความเชื่อมโยงในกระบวนการสืบสวน การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนคดียาเสพติด และการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการขยายผลและยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด ประกอบกับปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลอย่างแท้จริงและเทคโนโลยีส่งผลให้อาชญากรรมในยุคดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งรูปแบบและวิธีการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องอัพเดทหรือพัฒนาความรู้ของตนเพื่อให้เท่าทันกลุ่มอาชญากรยาเสพติด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Monthly Customs Press 3/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
Monthly Customs Press 3/2564
อธิบดีกรมศุลกากรมีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่างๆ โดยคณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมดำเนินการแถลงข่าวเป็นประจำทุกเดือน
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่าง ๆ โดยคณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมดำเนินการแถลงข่าวเป็นประจำทุกเดือน และสำหรับประเด็นที่น่าสนใจในการแถลงข่าวประจำเดือนธันวาคม 2563 ได้แก่ ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนพฤศจิกายน 2563
ตามที่อธิบดีกรมศุลกากรมีนโยบายให้การเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทหาร กอ.รมน. ป.ป.ส. บช.ปส. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล (Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน สำหรับเดือนพฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร จำนวน 3,037 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 198.86 ล้านบาท
ผลงานที่น่าสนใจในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 มีดังนี้
1.1 การจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภทโคคาอีน
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรเฝ้าสืบสวนติดตามกลุ่มผู้ลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยร่วมกับชุดปฏิบัติการ Airport Interdiction Task Force หรือ AITF (ศุลกากร ป.ป.ส. บช.ปส. และ ศรภ.) ทำการตรวจสอบพัสดุที่มาจากต่างประเทศ ผลการตรวจสอบพบ ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ซุกซ่อนอยู่ในกล่อง น้ำหนักประมาณ 606 กรัม มูลค่าประมาณ 1.8 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนพฤศจิกายน 2563 มีจำนวน 10 คดี มูลค่ากว่า 79.21 ล้านบาท
1.2 การจับกุมสินค้าเกษตร
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรได้ทำการตรวจค้น บริเวณท่ามูโน๊ะริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ผลการตรวจพบเป็นน้ำมันปาล์มที่มีเมืองกำเนิดจากต่างประเทศไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร จำนวน 260 ลัง มูลค่าประมาณ 82,764 บาท ทั้งนี้ สถิติการตรวจยึดสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน 2563 มีจำนวนคดี ทั้งสิ้น 42 คดี มูลค่ากว่า 1.24 ล้านบาท
1.3 การจับกุมเนื้อกระบือ
- เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรทำการตรวจค้นรถยนต์กระบะ บริเวณถนนชยางกูร ตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ผลการตรวจค้น พบเนื้อกระบือแช่แข็งบรรจุกล่องกระดาษ ระบุมีเมืองกำเนิดต่างประเทศ โดยไม่พบเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 400 กล่อง กล่องละ 10 กิโลกรัม น้ำหนักรวม 4,000 กิโลกรัม จึงได้ยึดสินค้าเนื้อกระบือแช่แข็งจำนวนดังกล่าว รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 800,000 บาท ซึ่งเนื้อกระบือแช่แข็งดังกล่าว ได้นำไปการทำลายโดยการฝังกลบจนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ บริเวณด่านกักกันสัตว์มุกดาหาร ตำบลคำอาฮวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563
- เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรทำการตรวจค้นรถยนต์กระบะ บริเวณถนนชยางกูร บ้านหนองลำดวน ตำบลร่มเกล้า จังหวัดมุกดาหาร ผลการตรวจค้น พบเนื้อกระบือแช่แข็งบรรจุกล่องกระดาษ ระบุมีเมืองกำเนิดต่างประเทศ โดยไม่พบเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 140 กล่อง กล่องละ 28 กิโลกรัม น้ำหนักรวม 3,920 กิโลกรัม จึงได้ยึดสินค้าเนื้อกระบือแช่แข็งจำนวนดังกล่าว รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 980,000 บาท ซึ่งเนื้อกระบือแช่แข็งดังกล่าว ได้นำไปการทำลายโดยการฝังกลบจนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ บริเวณด่านกักกันสัตว์มุกดาหาร ตำบลคำอาฮวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563
1.4 การจับกุมไม้พะยูง
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 กรมศุลกากรได้ทำการตรวจค้นรถตู้ต้องสงสัยว่าจะมีการลักลอบขนไม้พะยูงข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณด่านพรมแดนหนองคายฯ ฝั่งขาออก ผลการตรวจค้น พบไม้พะยูง (ไม้หวงห้าม) ซุกซ่อนอยู่ จำนวน 21 ท่อน น้ำหนักประมาณ 2,050 กิโลกรัม ปริมาตร 1.87 ลบ.ม. มูลค่าการซื้อขายกว่า 10,000,000 บาท ซึ่งการกระทำดังกล่าว มีลักษณะปิดบังอำพรางโดยชัดแจ้ง จึงแจ้งความผิดฐานพยายามลักลอบส่งออก ไม้หวงห้าม ตามมาตรา 242 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 และตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48,69 และ 70 จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองหนองคาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37686 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชี้ 3 เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ นำไทยสู่ Medical Hub เต็มรูปแบบ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กรุงไทยชี้ 3 เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ นำไทยสู่ Medical Hub เต็มรูปแบบ
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้ “3 เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่” หนุนไทยก้าวเข้าสู่การเป็น Medical Hub เต็มรูปแบบ ทั้งการแพทย์แม่นยำ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ช่วยสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมการแพทย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้ “3 เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่” หนุนไทยก้าวเข้าสู่การเป็น Medical Hub เต็มรูปแบบ ทั้งการแพทย์แม่นยำ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ช่วยสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมการแพทย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย คาดมูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยแตะระดับ 5 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.7% เป็นโอกาสการเติบโตของกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ และกลุ่มธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤติการระบาดของ Covid-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ไทยได้แสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพด้านการแพทย์ ตอกย้ำความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มการจ้างงานและดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังส่งผลบวกเชื่อมโยงไปยังหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้อีกมาก โดยองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเป็น Medical Hub ของไทย คือ 1. ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ (Medical Service Hub) 2. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) 3. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ (Product Hub) และ 4. ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)
“เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บริการทางการแพทย์ของไทย มีความพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมการเป็น Medical Hub สะท้อนจากความมีชื่อเสียงด้านคุณภาพการรักษาจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ซึ่งหากผนวกเข้ากับเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการรักษาของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศที่มีวิทยาการด้านการแพทย์ชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป”
น.ส. สุจิตรา อันโน นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ที่จะส่งเสริมให้ไทยเข้าใกล้ความฝันการเป็น Medical Hub ประกอบด้วย 1. การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) หรือการแพทย์เฉพาะเจาะจง เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถนำข้อมูลทางพันธุกรรมมาใช้ในการตรวจวินิจฉัย การรักษา การเลือกใช้ยา การทำนายผลการรักษา เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึง 4.77 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.7% 2. เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) หรือการแพทย์เชิงฟื้นฟู เป็นการแพทย์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการทดแทน การซ่อมเสริม การฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมถอยจากอายุที่มากขึ้น คาดว่าภายในปี 2564 จะมีมูลค่าในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากปี 2562 แตะระดับ 7.68 หมื่นล้านเหรียญฯ เติบโตเฉลี่ยถึง 19.8% ต่อปี และ 3. เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ (Reproductive Medicine) เป็นการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อาทิ IVF, ICSI, IUI ซึ่งคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าตลาดโลกกว่า 2.29 หมื่นล้านเหรียญฯ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ การทำเด็กหลอดแก้ว โดยไทยมีชื่อเสียงด้านนี้อยู่พอสมควร
Krungthai COMPASS มองว่าไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดในการให้บริการทางการแพทย์ทั้ง 3 ด้านนี้ไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาการแพทย์ทั้ง 3 ด้านดังกล่าวให้ทัดเทียมประเทศชั้นนำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการรักษา และใช้ประโยชน์จากความมีชื่อเสียงและการเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั่วโลก ในการดึงดูดเม็ดเงินจากการบริการด้านการแพทย์ให้เข้าสู่ประเทศมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์แล้ว ยังช่วยสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องอีกด้วย และคาดว่าจะช่วยผลักดันให้มูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยแตะระดับ 5 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.7%
ทีม Marketing Strategy
โทร. 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37688 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสมา 2 ส่งมอบรถยนต์พระราชทาน แก่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี ให้ครูและบุคลากรใช้เดินทางไปบำบัดฟื้นฟูช่วยเหลือเด็กพิการรุนแรงตามบ้าน | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
เสมา 2 ส่งมอบรถยนต์พระราชทาน แก่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี ให้ครูและบุคลากรใช้เดินทางไปบำบัดฟื้นฟูช่วยเหลือเด็กพิการรุนแรงตามบ้าน
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบรถยนต์พระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งน้อมเกล้าฯ ถวายโดยสโมสรไลออนส์
(16 ธันวาคม 2563) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบรถยนต์พระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งน้อมเกล้าฯ ถวายโดยสโมสรไลออนส์ องค์กรบำเพ็ญประโยชน์ระดับโลก และมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี และเป็นประธานพิธีเปิดอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี โดยมีนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี คณะสโมสรไลออนส์ องค์กรบำเพ็ญประโยชน์ระดับโลก, นายอรรถพล บัวชุม ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี, นายพงศ์ศักดิ์ เกตุสวัสดิ์วงศ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทาน เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตย์ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ และรถยนต์พระราชทานให้กับศูนย์การศึกษาพิเศษ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น คณะครูและนักเรียน ร่วมพิธี
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับชาวเพชรบุรี และศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี ที่ได้รับรถยนต์พระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้ครูและบุคลากรนำไปบำบัดฟื้นฟูช่วยเหลือเด็กพิการรุนแรงตามบ้าน เนื่องจากพระองค์ท่านทรงมองเห็นถึงความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลเด็กพิการ โดยเฉพาะการออกพื้นที่ไปดูแลเด็กพิการตามบ้านหรือในพื้นที่ทุรกันดาร
จึงขอให้นำรถยนต์พระราชทานคันนี้ พร้อมกับการใช้ความรู้ ความสามารถของคุณครูที่มีอยู่ ช่วยกันพัฒนาเด็กพิการให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุดตามศักยภาพของแต่ละบุคคลต่อไป
“กระทรวงศึกษาธิการ มุ่งมั่นจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กด้อยโอกาสทุกช่วงชั้นปี ทุกประเภท ในทุกพื้นที่ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการที่ต้องมีการส่งเสริมด้านการศึกษารูปแบบพิเศษ ซึ่งจะต้องมีนโยบายเพื่อรองรับการศึกษาพิเศษเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริหาร ครู บุคลากรของการศึกษาพิเศษล้วนเป็นผู้ที่มีความเสียสละสูง ในการทุ่มเทความสามารถและเวลาในการดูแลเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการซ้ำซ้อนเหล่านี้ ที่ต้องการการเติมเต็มทำให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะที่เด็กบางคนมีความสามารถหลายด้าน เพียงแต่เข้าสังคมไม่ได้ จึงต้องผสมผสานความต้องการและความช่วยเหลือที่แตกต่างกันในแต่ละคน และแต่ละกลุ่ม ดังนั้น นอกจากการเรียนการสอนโดยทั่วไปแล้ว ครูก็ต้องมีความพิเศษกว่าครูทั่วไป คือ ครูมีความใจเย็น มีเทคนิคสอนให้เด็กกลุ่มนี้ได้เกิดการเรียนรู้ ให้มีชีวิตตามปกติได้” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
สำหรับศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี มีบทบาทหน้าที่จัดและส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) และเตรียมความพร้อมของคนพิการ เพื่อเข้าสู่ศูนย์ พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนเรียนร่วม โรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งพัฒนา และฝึกอบรมผู้ดูแลคนพิการ บุคลากรที่จัดการศึกษาสำหรับคนพิการ บริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยครอบครัวและชุมชน ด้วยกระบวนการทางการศึกษา โดยดำเนินงานเป็นลักษณะให้บริการในรูปแบบเด็กพิการเดินทางมารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดเพชรบุรี และให้บริการที่บ้าน สำหรับเด็กพิการที่มีความพิการรุนแรงหรือติดเตียงไม่สามารถเดินทางไปรับบริการได้
อิชยา กัปปา/สรุป อธิชนม์ สล้างสิงห์/ภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37697 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ติดตามการแก้ปัญหา PM2.5 ห่วงใยกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและเด็ก ให้ใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5 | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี ติดตามการแก้ปัญหา PM2.5 ห่วงใยกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและเด็ก ให้ใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามการแก้ปัญหา PM2.5 ห่วงใยกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและเด็ก ให้ใส่หน้ากากป้องกัน PM2.5
วันนี้ (17 ธ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)(ฉบับปรับปรุง) ว่า การผลักดันแผนฟื้นฟูมีหลายอย่างที่ต้องดำเนินการทั้งเรื่องทุน รถ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเชื่อมั่นว่าทุกแผนถ้าทุกคนช่วยกันก็สามารถทำได้ แต่ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกันและขัดแย้งทุกแผนก็ไปไม่ได้ จึงขอให้ช่วยกันลดความขัดแย้งตรงนี้ไปให้ได้โดยยึดผลประโยชน์โดยรวมเป็นที่ตั้ง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างใกล้ชิด โดยมีจะมาตรการเข้มในการดูแลในช่วงที่สภาพอากาศมีปัญหาซึ่งเชื่อว่าจากหลังนี้สภาพอากาศดีขึ้น แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องไปพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสม เช่น อาจจะให้มีการ work from home หรือให้เรียนหนังสือที่บ้านหรือไม่ โดยขณะนี้กำลังหารือเพื่อเร่งดำเนินการโดยเร็ว พร้อมย้ำเตือนความห่วงใยไปยังกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจาก PM2.5 คือ ผู้สูงอายุและเด็ก ให้สวมใส่หน้ากากอยู่เสมอซึ่งจะช่วยป้องกัน PM2.5 ได้พอสมควร
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของรัฐบาล ว่าขณะนี้สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมผลการดำเนินงานและความก้าวหน้าต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว ซึ่งการดำเนินการทุกอย่าง รัฐบาลคำนึงถึงประชาชนต้องได้รับประโยชน์สูงสุดและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้งผู้ประกอบการด้วย
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37685 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบ กกจ. จับมือ ป.ป.ส. ลุยตรวจยาเสพติดแรงงานไทยก่อนบินทำงานอิสราเอล | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
รมว.แรงงาน มอบ กกจ. จับมือ ป.ป.ส. ลุยตรวจยาเสพติดแรงงานไทยก่อนบินทำงานอิสราเอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยปัญหายาเสพติดในแรงงานภาคเกษตร ที่เดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอล มอบกรมการจัดหางานให้ความรู้เรื่องโทษของยาเสพติด และประสานความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กองกำกับการสุนัขตำรวจ
กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกรุงเทพมหานคร (ปปส.กทม.) ตรวจสอบสัมภาระแรงงานไทยฯก่อนเดินทาง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่เหนี่ยวรั้งความเจริญของประเทศ หากประชากรวัยแรงงานอันเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศ หลงผิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติโดยรวม รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นความสำคัญและมีแผนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแรงงานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศซึ่งนอกจากสามารถสร้างรายได้ส่งกลับมาแล้ว ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยหากตั้งใจทำงาน รักษาวินัยในตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานกลับมาใช้ในประกอบอาชีพของตนเองได้
" ผมได้มอบหมายกรมการจัดหางานให้ความรู้เพิ่มเติมแก่แรงงานไทยเกี่ยวกับโทษของยาเสพติด ในการอบรมเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระของแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติด และให้ความสำคัญภาพลักษณ์ของประเทศไทย " รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เพื่อป้องกันและป้องปรามไม่ให้แรงงานไทยไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 กรมการจัดหางาน ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ( ป.ป.ส.) กองกำกับการสุนัขตำรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกรุงเทพมหานคร (ปปส.กทม.) ตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระของแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานประเทศอิสราเอล จำนวน 260 คน ณ อาคารสำนักงานประกันสังคมพื้นที่ 3 กระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นแรงงานที่จะเดินทางวันที่ 17 ธันวาคม 2563 โดยทำการตรวจสอบด้วยการสุ่มตรวจของใช้และอาหาร ที่มีลักษณะคล้ายกับที่เจ้าหน้าที่เคยตรวจยึดได้ เช่น อาหารเสริม กาแฟ ครีมเทียม และ เกลือแร่แบบผง ตรวจสอบ 3 วิธี คือมีสุนัขตำรวจดมตรวจสอบกลิ่น ตรวจสอบด้วยเครื่องตรวจไอออน และตรวจค้นโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งในขณะทำการตรวจค้นได้มีการสอบถามเพื่อดูพฤติกรรมบุคคลต้องสงสัย ผลการปฏิบัติงานไม่พบยาเสพติดหรือวัตถุต้องสงสัย
“การเดินทางไปทำงานต่างประเทศ แรงงานไทยต้องไม่มีประวัติอาชญากรรม ประวัติการกระทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยแรงงานไทยต้องใช้เอกสารผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นเอกสารสำคัญประกอบการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศ ที่ผ่านมากรมการจัดหางานมีการติดตามดูแล ตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่แรงงานไทยในต่างประเทศอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เพื่อสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่แรงงานไทยในต่างประเทศต่อโทษภัยยาเสพติด ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ติดตามการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ เน้นย้ำการลดความแออัดของเรือนจำทุกแห่ง | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม ติดตามการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ เน้นย้ำการลดความแออัดของเรือนจำทุกแห่ง
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์
ในวันพุธที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งผู้บัญชาการเรือนจำ/ทัณฑสถาน ทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำในเรื่องการบริหารจัดการความจุของผู้ต้องขังในเรือนจำ ผ่านการอภัยโทษ การพักการลงโทษกรณีพิเศษ เป็นต้น โดยมีการควบคุมด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ซึ่งให้กรมคุมประพฤติร่วมบูรณาการความร่วมมือสอดส่องในขณะพักการลงโทษ เพื่อแก้ไขปัญหานักโทษล้นคุก
นอกจากนี้ ได้ให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามมาตรการป้องกันลักลอบซื้อ-ขาย ยาเสพติดในเรือนจำ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ ครม. ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ออกมาตรการ พัก-ให้-ฟรี-ยกเว้น ช่วยลูกค้าประสบอุทกภัยทั้งทางตรงและทางอ้อม | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ไอแบงก์ ออกมาตรการ พัก-ให้-ฟรี-ยกเว้น ช่วยลูกค้าประสบอุทกภัยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไอแบงก์ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประสบภัยจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2563 ทั้งพักชำระหนี้ ให้วงเงินเพิ่ม ฟรีค่าธรรมเนียม และยกเว้นการประเมินราคาหลักประกัน และบุคลค้ำประกัน เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายหลังน้ำลด
ไอแบงก์ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประสบภัยจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2563 นี้ เพื่อแบ่งเบาภาระของลูกค้าเดิมของธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรง เช่น ที่อยู่อาศัย หรือสถานประกอบการได้รับความเสียหาย และลูกค้าเดิมของธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม เช่น คู่ค้าทางธุรกิจได้รับความเสียหายจากอุทกภัยส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องความเป็นอยู่ของลูกค้าธนาคาร โดยธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือดังนี้
มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประสบภัยจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2563
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรง ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม
• พัก ชำระเงินต้นและกำไร ระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นพักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะกำไรอีก 6 เดือน • พัก ชำระเงินต้น และชำระเฉพาะกำไรระยะเวลา 6 เดือน
• ให้ วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม
- สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภค อัตรากำไร SPRR – 3.5% ต่อปี
- สำหรับสินเชื่อธุรกิจ อัตรากำไร SPRL – 2.75% ต่อปี
- ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี
• ฟรี
- ค่าธรรมเนียม Front end Fee
- ค่าธรรมเนียมจัดทำนิติกรรมสัญญา
• ยกเว้น
- การประเมินราคาหลักประกัน
- บุคคลค้ำประกัน
* หมายเหตุ เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามประกาศธนาคาร
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมมาตรการจะต้องเป็นลูกค้าเดิมของธนาคารที่เป็นบุคคลธรรมดาและมีสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน หรือนิติบุคคลที่มีสินเชื่อธุรกิจแบบกำหนดระยะเวลากับธนาคาร โดยมีที่อยู่อาศัย หรือสถานประกอบการ หรือ คู่ค้าทางธุรกิจ อยู่ในพื้นที่ประสบภัยตามพื้นที่ประกาศของราชการ ( คลิก http://portal.disaster.go.th/portal/public/index.do;jsessionid=142F64F78C1C3CBA1605E96098FA77C9#dataTable ) และมีสถานะการชำระหนี้เป็นปกติ
ผู้สนใจ สามารถติดต่อสอบถามการเข้าร่วมมาตรการได้ที่ ไอแบงก์ สาขาที่ใช้บริการ ตั้งแต่วันนี้ – 15 มกราคม 2564 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call Center 1302
วิธีตรวจสอบพื้นที่ประสบอุทกภัย ปี 2563 ตามประกาศราชการ
1. เข้าสู่เว็บไซต์ http://portal.disaster.go.th/portal/public/index.do;jsessionid=142F64F78C1C3CBA1605E96098FA77C9#dataTable
2. เลือกจังหวัดที่ต้องการค้นหา
3. เลือกประเภทภัย เลือก อุทกภัย
4. เลือกสถานะ เลือก ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย
5. กดค้นหา
*หมายเหตุ:
1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม"
2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปราม
ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕
โดยมี พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบทรัพย์สินรายงานผลการดำเนินการของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
รวมทั้งพิจารณาการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน จำนวน ๓๕ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๒๑,๓๓๓,๘๑๕.๒๙ บาท
โดยแยกเป็นคดีที่มีมูลค่าเกิน ๑ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๑๕,๓๐๑,๗๘๗.๕๓ บาท
และเป็นคดีที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑ ล้านบาท จำนวน ๓๑ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๖,๐๓๒,๐๒๗.๗๖ บาท
สำหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายการริบทรัพย์
เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ
และไม่ให้ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด
นำมาซึ่งการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ประชาชนจากปัญหายาเสพติด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานไฟพระฤกษ์ให้แก่กระทรวงวัฒนธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานไฟพระฤกษ์ให้แก่กระทรวงวัฒนธรรม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานไฟพระฤกษ์ให้แก่กระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานไฟพระฤกษ์ให้แก่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเชิญไปถวายเจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับจุดประกอบในพิธีสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ.๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้แทนเข้ารับการประทาน พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และพุทธศาสนิกชน ร่วมรับเสด็จ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะหารือสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน พร้อมร่วมมือลงทุนสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนนโยบายอุตฯ 4.0 และศก.หมุนเวียน เพื่อจูงใจการลงทุนในไทย | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
สุริยะหารือสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน พร้อมร่วมมือลงทุนสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนนโยบายอุตฯ 4.0 และศก.หมุนเวียน เพื่อจูงใจการลงทุนในไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือ สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน พร้อมร่วมมือลงทุนสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนนโยบายอุตฯ 4.0 และศก.หมุนเวียน เพื่อจูงใจการลงทุนในไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ร่วมหารือคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council: USABC) พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งยกภาคอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนในไทยต่อไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council: USABC) นำโดยนายไมเคิล มิคาลัก รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการภูมิภาค สภาธุรกิจ USABC พร้อมด้วยนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯ และผู้แทนจากบริษัท รวม 38 บริษัท ได้เข้าหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมแบบกึ่งออนไลน์ โดยพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนรัฐบาลไทยเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 อีกทั้งส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการใช้วัตถุดิบหมุนเวียนมากขึ้น
ทั้งนี้การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 จำเป็นต้องสร้างปัจจัยแวดล้อมเพื่อรับรองการทำธุรกิจยุคดิจิทัล โดยรัฐบาลได้เดินหน้าเปิดประมูลคลื่น 5 จี และเร่งพัฒนาโครงข่าย 5G ในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลได้ ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ยกระดับการทำงานสู่ระบบออนไลน์ โดยได้ผลักดันการใช้ระบบฐานข้อมูล ประมวลผล และสนับสนุนอุตสาหกรรม (I-industry) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้เกิดการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ (online service) อำนวยความสะดวกในการให้บริการกับผู้ประกอบการผ่านระบบดิจิทัล โดยจะเชื่อมข้อมูลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละภาคส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน ประกอบกับเพื่อเป็นการแก้ปัญหาทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชน รัฐบาลไทยมีนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย โดยส่งเสริมการผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (xEV) ในไทย รวมถึงสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยตามนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิตที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริโภค การจัดการของเสียและการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการใช้พลาสติกที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable Plastic) ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตคนไทยดีขึ้น
นายสุริยะ กล่าวว่า นอกจากนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้าง ประเทศไทยได้พยายามควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างดีที่สุด และได้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการเพื่อรักษาตำแหน่งงาน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องเห็นได้จากข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2564 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะนำข้อเสนอจากการหารือครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยและพร้อมสนับสนุนเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจในไทยให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเป็นแรงจูงใจในการลงทุนในไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37702 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
เกษตรฯ จัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’
เกษตรฯ จัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ ชวน เฉลิม ฉลอง ปีฉลู 64 ผนึกพันธมิตร ออกบูธสินค้าเกษตรผ่านแพลตฟอร์ม มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการบริโภคในปะเทศ
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 23 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการบริโภคในประเทศ ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อจัดงานและกิจกรรม หรือหาของขวัญปีใหม่มอบให้แก่กัน โดยแคมเปญ ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ กระทรวงเกษตรฯ ได้จับมือกับพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค, บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย), บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ มาร่วมกันจัดแคมเปญในครั้งนี้
"ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการพัฒนาและขยายตลาดออนไลน์ให้เกษตรกรอย่างต่อเนื่องด้วยแนวทางการตลาดนำการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีก้าวสู่ Digital Marketing เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาตนเองและเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ตลาดออนไลน์สามารถทำได้โดยง่ายและไม่ยากอย่างที่คิด ซึ่งทุกแพลตฟอร์มได้รับความนิยมและกระแสตอบรับเป็นอย่างดี และจากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด - 19 ที่เกิดขึ้น ทุกคนต้องปรับตัวเข้าสู่บริบทสังคม และวิถีชีวิตใหม่ New Normal ผู้บริโภคมีการสั่งซื้อเพื่อบริโภคเอง หรือส่งมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญและเทศกาลต่าง ๆ ดังนั้น ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ เป็นช่วงที่ผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายใช้สอย กระทรวงเกษตรฯ จึงมุ่งหวังที่จะร่วมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านเกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยร่วมกันส่งเสริมการบริโภคในประเทศ ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มจากการขยายช่องทางการตลาด ขณะที่ผู้บริโภคเองก็สะดวกสบาย สามารถเลือกชมตัวอย่างสินค้าและชิมฟรีได้ตลอดทั้งงาน ที่สำคัญ กระทรวงเกษตรฯ ยังการันตีสินค้าและการจัดส่ง ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลผลิตและสินค้าเกษตรคุณภาพดีได้มาตรฐานและยังคงความสดใหม่อย่างแน่นอน” นายนราพัฒน์ กล่าว
นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในนามของพาราไดซ์ พาร์ค ศูนย์การค้าในเครือเอ็ม บี เค ขอขอบคุณกระทรวงเกษตรฯ ที่ให้โอกาส พาราไดซ์ พาร์ค ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดงาน ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน เพื่อมอบสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้าในช่วงท้ายปี สำหรับความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ ในครั้งนี้ ทางเราได้สนับสนุนพื้นที่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ตรงบริเวณชั้น 1 ลานรอยัลพาร์ค พลาซ่า และบริเวณ Fashion Zone 2 เพื่อให้เกษตรกรมาร่วมออกบูธ ได้พบปะกับผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งยังช่วยให้กลุ่มเกษตรกรและเกษตรกรรุ่นใหม่ ได้ใช้ทักษะด้านตลาดการค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมสินค้าเกษตรจากฝีมือเกษตรไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรากฐาน ที่สำคัญยังพบกับมิติใหม่กับการซื้อสินค้าเกษตรไทยบนโลกออนไลน์อีกด้วย
นางสาวภารดี สินธวณรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า ลาซาด้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพดีจากพี่น้องเกษตรกรไทยสู่ผู้บริโภค ผ่านแพลตฟอร์มลาซาด้าที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายให้กับเกษตรกรไทย ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ปรับวันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เข้ากักตัวโดยตรวจ 3 ครั้ง นายกฯ ย้ำ เพิ่มความเข้มงวด ปฏิบัติการตามมาตรการสาธารณสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
ศบค. ปรับวันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เข้ากักตัวโดยตรวจ 3 ครั้ง นายกฯ ย้ำ เพิ่มความเข้มงวด ปฏิบัติการตามมาตรการสาธารณสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่
ศบค. ปรับวันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เข้ากักตัวโดยตรวจ 3 ครั้ง นายกฯ ย้ำ เพิ่มความเข้มงวด ปฏิบัติการตามมาตรการสาธารณสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่
วันนี้ (17 ธ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค. สถานการณ์ประจำวัน และความก้าวหน้าในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. รายงานผลการประชุม ศบค. ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเข้มงวดกับการปฏิบัติการตามมาตรการสาธารณสุข โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้เพิ่มความเข้มงวด และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะผู้กระทำความผิดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในการทำให้เกิดการแพร่ระบาด หรือผู้ที่ฝ่าฝืนให้ได้รับโทษตามกฎหมาย โดย ผอ.ศบค. ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจกับภาคประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยรวมและควบคุมการตื่นตระหนก ให้ประชาชนมั่นใจว่าสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ สามารถท่องเที่ยวในประเทศได้ หากปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญเน้นย้ำให้บันทึกข้อมูลลงใน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง โดยสามารถดำเนินการสอดคล้องไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐได้จัดขึ้น เช่น มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือพี่น้องภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 20 ราย มาจาก State Quarantine หรือสถานที่กักกันของรัฐจัดให้ทั้งหมด ทำให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,281 ราย (ติดเชื้อในประเทศ 2,463 ราย) รักษาหายป่วยแล้ว 3,989 ราย รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย และผู้เสียชีวิตยังคงที่อยู่ที่ 60 ราย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 74,526,806 ราย เพิ่มขึ้น 714,908 ราย มีผู้ป่วยเสียชีวิต 1,655,044 ราย เพิ่มขึ้น 13,446 ราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ตามลำดับ ส่วนประเทศไทยขณะนี้อยู่ลำดับที่ 152 ของโลกต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 จากทั้งหมด 216 ประเทศ
มาตรการการดูแลสาธารณสุขตามแนวชายแดน พบผู้ติดเชื้อในกรณีท่าขี้เหล็กจำนวน 67 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเชียงราย และทุกรายตอนนี้อยู่ใน Local Quarantine โดย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงร่วมกับกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจข้อเท็จจริง และสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างชายแดน ในการจับกุม ดูแล คนที่ผ่านเข้ามา ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้ซักซ้อมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เพื่อวางมาตรการการปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน พื้นที่ตอนใน และพื้นที่ระดับหมู่บ้าน/ชุมชนอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนให้เป็นหูเป็นตาผู้ที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดย ผอ.ศบค. ได้ชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง มั่นใจว่าจะปกป้องแนวชายแดนได้เป็นอย่างดี สำหรับการจัดงานรื่นเริง คอนเสิร์ต ดนตรี นาฏศิลป์ การแสดง เพื่อการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลปีใหม่ สามารถจัดงานได้ โดยผู้จัดงานและผู้ร่วมงานควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
ด้านการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโลก การทดลองจากบริษัทต่าง ๆ มีความพร้อมของวัคซีนที่ก้าวหน้าร้อยละ 62-95 โดยในส่วนของประเทศไทยได้มีแผนการจัดหาร้อยละ 50 ของจำนวนประชากร (ประมาณ 33 ล้านคน) เป็นการจัดซื้อจัดหาและร่วมผลิตกับแอสตราเซเนกาประมาณ 26 ล้านโดส และมีการร่วมมือกับ COVAX Facility โดยมี WHO เป็นแกนกลาง พร้อมสนับสนุนการวิจัยของประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ที่ประชุมรับทราบการปรับวันตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เข้ากักตัวในสถานกักกันตามที่ราชการกำหนด โดยการตรวจเพื่อยืนยันหาเชื้อ (Swab) 3 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 ช่วงวันที่ 0 – 1 ครั้งที่ 2 ช่วงวันที่ 9 – 10 และครั้งที่ 3 ช่วงวันที่ 13 – 14 เริ่มดำเนินการวันที่ 1 – 31 ธ.ค. 63 และจะวิเคราะห์และประเมินผลในวันที่ 1 – 15 ม.ค. 64 พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแนวทางลดค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโควิด–19 ของโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับ ASQ นอกจากนี้ยังรับทราบการปรับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้เรือยอร์ชเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยขยายระยะเวลาการอนุญาตเพิ่มเติมอีก 15 วัน เป็นเวลา 30 วัน จนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ขณะเดียวกันได้พิจารณาขยายเวลาการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับชาวต่างชาติ CoE (Certificate of Entry) กรณีไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ทันในระยะเวลาที่กำหนด โดยสามารถขยายระยะเวลาออกไปอีกอย่างน้อย 24 ชม. ไม่แต่เกิน 72 ชม. โดยแบ่งเป็น 1. สิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.30 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกิน 30 วัน 2. ตามสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผผ.30 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกิน 30 วัน และ 3. สิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.90 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกิน 90 วัน
นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อคงมาตรการยกเลิกการอนุญาตให้คนต่างด้าวยื่นขอตรวจลงตรา Visa on Arrival : VOA ออกไปจนกว่าสถานการณ์โควิด–19 จะคลี่คลาย และให้คงการยกเลิกให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่เกิน 14 วัน ประเภท ผผ.14 สำหรับกัมพูชาและเมียนมา อีกทั้งขยายระยะเวลาการอนุญาตให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพิ่มเติมอีก 15 วัน ได้แก่ 1. Transit Visa 2. Tourist Visa ประเภท ผ.30 (56 ประเทศ) และ 3. บุคคลเดินทางเพื่อการประชุมหรือแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศซึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพ หรือได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการ รวมทั้งได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนนำบุคคลต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเข้ารับการกักกันใน OQ และสามารถปฏิบัติงานได้ทันที โดยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด สำหรับการจัดการแข่งขันกอลฟ์รายการ Honda LPGA Thailand 2021 ณ ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการการจัดการแข่งขันฯ วันที่ 3 – 9 พ.ค. 2564 ทั้งนี้ จำนวนของผู้เข้าชมต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ในห้วงเวลาดังกล่าวด้วย
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีแนวทางการลดระยะเวลากักตัว และเพิ่มการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จาก 2 ครั้งเป็น 3 ครั้ง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะนำผลการทดลองประเมินผลในช่วง 1 เดือนไปพิจารณาเพื่อหาทิศทางเพิ่มเติม และในส่วนของการปฏิบัติใช้ก็จะต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากที่ประชุม ศบค. ก่อน โดยจะมีการติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีบุคลากรทางสาธารณสุขติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งข้อมูลจากทีมสอบสวนโรคเมื่อเข้าไปสำรวจในพื้นที่พร้อมเก็บตัวอย่าง พบว่าอาจมีการติดเชื้อจากการสัมผัสลูกบิดประตู การพูดคุยบนโต๊ะอาหารซึ่งละอองฝอยจากน้ำลายสามารถกระจายได้ถึง 2 เมตร จึงฝากให้ช่วยกันทำความสะอาดลูกบิดประตู ราวบันได และจุดสัมผัสอื่น ๆ ด้วย
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เผยผลวิจัยโครงการ GPF Most Admired Brands ประจำปี 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กบข. เผยผลวิจัยโครงการ GPF Most Admired Brands ประจำปี 2563
กบข. ร่วมกับนิตยสารแบรนด์เอจ จัดโครงการ GPF Most Admired Brands ประจำปี 2563 เผยผลสำรวจความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการที่สมาชิกชื่นชอบ พร้อมขยายผลโครงการ ต่อยอดพัฒนาสิทธิพิเศษสวัสดิการเพื่อให้สมาชิกได้รับสิทธิประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ร่วมกับนิตยสารแบรนด์เอจ (BrandAge) จัดโครงการวิจัยทัศนคติ ความพึงพอใจ และความชื่นชอบของสมาชิก กบข. ที่มีต่อสินค้าและบริการ ประจำปี 2563 (GPF Most Admired Brands 2020) เพื่อศึกษาความคิดเห็น ทัศนคติ และความพึงพอใจของสมาชิกที่มีต่อแบรนด์ในมุมมองต่างๆ โดยสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกจำนวน 7,530 คน ครอบคลุมสวัสดิการ 6 หมวดยอดนิยม ได้แก่ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ ประกันชีวิต ประกันภัย ร้านหนังสือ และบริการเครือข่ายโทรศัพท์
จากผลสำรวจพบว่า 5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่ กบข. นำมาจัดสิทธิพิเศษให้ ได้แก่ 1. การโปรโมทสิทธิพิเศษผ่าน My GPF Application 2. แบรนด์มีนวัตกรรมหรือสินค้าใหม่อยู่เสมอ 3. สมาชิกรู้สึกว่าแบรนด์นั้นเหมาะสมกับตนเอง 4. แบรนด์ให้ราคาถูกและส่วนลดพิเศษ และ 5. แบรนด์มีการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ทีมวิจัยของนิตยสารแบรนด์เอจยังได้วิเคราะห์ประมวลผลสำรวจ และจัดอันดับรางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและความพึงพอใจของสมาชิกที่มีต่อสินค้าและบริการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ดังนี้
ประเภทที่ 1 รางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดและสมาชิก กบข. ใช้บริการมากที่สุด คือ ทิพยประกันภัย
ประเภทที่ 2 รางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด ตามหมวดสวัสดิการยอดนิยม ได้แก่ หมวดเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ คือ เอไอเอส, หมวดร้านหนังสือ คือ ซีเอ็ด, หมวดสินเชื่อบุคคล คือ ธนาคารกรุงไทย, หมวดประกันชีวิต คือ เอไอเอ และหมวดสินเชื่อรถยนต์ คือ กรุงศรีออโต้
ประเภทที่ 3 รางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ตามปัจจัยความไว้วางใจของสมาชิกตามหมวดสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่น่าเชื่อถือและมีความคุ้มค่ามากที่สุด คือ ทรูมูฟเอช, หมวดสินเชื่อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือและสมาชิก กบข. มีความคุ้นเคยมากที่สุด คือ ธนชาต DRIVE, หมวดประกันชีวิตที่น่าเชื่อถือและเป็นแบรนด์ที่เหมาะสมกับสมาชิก กบข. มากที่สุด คือ ไทยประกันชีวิต และหมวดประกันชีวิตที่น่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุด คือ เมืองไทยประกันชีวิต
ทั้งนี้ การทำโครงการวิจัยดังกล่าวจะช่วยทำให้ กบข. เข้าใจสมาชิกมากยิ่งขึ้น โดย กบข. จะนำผลวิจัยเข้าหารือกับพันธมิตรสวัสดิการ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาสินค้า บริการ สิทธิพิเศษต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของสมาชิกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเจรจาคัดสรรผลิตภัณฑ์บริการร่วมกับพันธมิตรสวัสดิการรายใหม่ เพื่อมอบสิทธิพิเศษสวัสดิการที่หลากหลายและเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับสมาชิก กบข. อย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 พ.ย.. 2563)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37692 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบูรพา จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการตรวจประเมินผลโภชนาการอาหารสำหรับผู้ต้องขัง | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรมร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบูรพา จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการตรวจประเมินผลโภชนาการอาหารสำหรับผู้ต้องขัง
นายวิทยา สุริยะวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการตรวจประเมินผลโภชนาการอาหารสำหรับผู้ต้องขัง
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๖ ชั้น ๕ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ นายวิทยา สุริยะวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการตรวจประเมินผลโภชนาการอาหารสำหรับผู้ต้องขัง ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงยุติธรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานข้อค้นพบใหม่เกี่ยวกับระบบและกลไกการบริหารงานสูทกรรม คุณภาพของอาหาร และสุขภาวะของผู้ต้องขัง พร้อมทั้งระดมข้อคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านคุณภาพโภชนาการอาหารของผู้ต้องขังในทุก ๆ ภาคส่วน โดยมี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วศิน ยุวนะเตมีย์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง โดยเน้นย้ำเรื่องของคุณภาพโภชนาการอาหารสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานทั่วประเทศ จัดอาหารให้มีความเหมาะสมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการดูแลด้านอาหารตามหลักสิทธิมนุษยชนที่พึงมี และให้เป็นไปตามมาตรฐานความโปร่งใสของเรือนจำ ๕ ด้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37679 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ ปูพรมตรวจเข้มโรงงาน กทม.คุมค่ามาตรฐานฝุ่นภาคอุตสาหกรรม รับลูกรัฐบาลร่วมแก้วิกฤต PM2.5 | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
สุริยะ ปูพรมตรวจเข้มโรงงาน กทม.คุมค่ามาตรฐานฝุ่นภาคอุตสาหกรรม รับลูกรัฐบาลร่วมแก้วิกฤต PM2.5
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปูพรมตรวจเข้มโรงงาน กทม.คุมค่ามาตรฐานฝุ่นภาคอุตสาหกรรม รับลูกรัฐบาลร่วมแก้วิกฤต PM2.5
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเร่งหามาตรการในการลดปัญหามลพิษอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 ที่เป็นวิกฤตในขณะนี้ เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้มีการตรวจสอบและติดตามโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงปล่อยฝุ่น PM2.5 ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5,480 โรงงาน รวมทั้งได้ส่งหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว กองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป
นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า ได้จัดรถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 จุด ได้แก่จุดที่ 1 บริเวณพื้นที่วัดม่วง แขวงหลักสอง เขตบางแค จุดที่ 2 บริเวณบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด แขวงยานนาวา เขตสาธร และจุดที่ 3 บริเวณฝ่ายโรงงานและอะไหล่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานหนองจอก แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป พบฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) โดยค่าที่วัดได้ไม่เกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
กรอ.ได้วางมาตรการระยะสั้น ด้วยการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องระบายอย่างต่อเนื่องอัตโนมัติ (Continuous Emission Monitoring System : CEMS) ซึ่งรายงานผลแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์มาที่ กรอ. ในเขตกรุงเทพมหานครมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ติดตั้งเครื่องดังกล่าว จำนวน 4 โรงงาน 15 ปล่อง ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นละออง และเตาเผาขยะหนองแขม ใช้ขยะชุมชนเป็นเชื้อเพลิง ผลการตรวจวัดฝุ่นรวม (TSP) อยู่ในช่วง 7.3 - 13.1 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ไม่เกินมาตรฐาน (ค่ามาตรฐาน 320 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) โดยวางมาตรการระยะยาวมีแผนปรับปรุงกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องในการตรวจวัดมลพิษทางอากาศระยะไกล ซึ่งเดิมกำหนดให้ติดตั้งและส่งข้อมูลเฉพาะโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดระยองให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าประกาศใช้ได้ภายในปี 2564
ทั้งนี้ได้มีมาตรการบรรเทาสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างเร่งด่วน ดังนี้ 1) ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองลง 2) ควบคุมการระบายมลพิษอากาศให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2549 3) ขอความร่วมมือโรงงานติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ และเชื่อมต่อข้อมูลแบบออนไลน์รายงานคุณภาพอากาศมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม 4) ตรวจสอบและเฝ้าระวังโรงงานที่มีเคยมีปัญหาร้องเรียนซ้ำซากด้านฝุ่นละออง โดยกำหนดเป็นแผนดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2564 5) กำกับดูแลให้โรงงานตรวจสอบระบบบำบัดอากาศให้มีประสิทธิภาพ 6) ส่งเสริมให้โรงงานใช้เทคโนโลยีสะอาด ให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคในการปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด)
นายประกอบ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กรอ.ได้มีการจัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้สำหรับหม้อน้ำและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและลดฝุ่นละออง PM2.5 ของโรงงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งการปรับแต่งการเผาไหม้นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแล้วยังช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองแก่โรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันได้กำชับให้โรงงานดำเนินการตรวจสอบและซ่อมบำรุงการเผาไหม้เชื้อเพลิงของหม้อน้ำให้เผาไหม้อย่างสมบูรณ์ และออกมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมลดการปล่อยมลพิษรวมถึงฝุ่น PM2.5 ให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ร่วมกันกับโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37694 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มงวดการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือให้สะอาด ป้องกันโควิด -19 เพื่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข | วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มงวดการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือให้สะอาด ป้องกันโควิด -19 เพื่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
นายกรัฐมนตรีสั่งเข้มงวดการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ ใส่หน้ากากอนามัย กินร้อนช้อนกลาง และล้างมือให้สะอาด ป้องกันโควิด -19 เพื่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน
วันนี้ (17 ธ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ที่ประชุม ศบค. เตรียมมาตรการล่วงหน้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ ได้กำชับทุกหน่วยงาน และทหาร ตำรวจให้เพิ่มความระมัดระวัง เข้มงวดตรวจสอบทุกเส้นทางให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตามแนวชายแดน รวมถึงการจัดงานและกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยต้องมีมาตรการที่รัดกุมให้เกิดความปลอดภัยเพื่อให้ทุกคนมีความสุข และไม่เกิดความทุกข์จากการติดเชื้อโควิด-19 ภายหลังปีใหม่ผ่านไปแล้ว จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนดทั้งการใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าอยู่เสมอ กินร้อนช้อนกลาง หมั่นล้างมือให้สะอาด ตลอดจนผู้ประกอบการร่วมกันใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ซึ่งจะทำให้ประเทศปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระยะที่ 2 และสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น พร้อมย้ำถึงการดำเนินการทุกอย่างรัฐบาลทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในประเทศและคนต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อประกอบการธุรกิจต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาสถานการณ์ โควิด-19 โดยขออย่านำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งนี้ในส่วนกรณีที่การทุจริตโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชน ทั้งโครงการคนละครึ่งและ "เราเที่ยวด้วยกัน" นั้น ได้สั่งให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่กระการทุจริตหรือโกงทั้งหมดแล้ว ซึ่งขณะนี้พบว่ามีจำนวนกว่า 200 ราย อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาการทุจริตไม่ใช่ให้รัฐทำฝ่ายเดียวแต่ทุกคนต้องร่วมมือกันทั้งผู้ให้ ผู้รับ และผู้อำนวยความสะดวก โดยต้องให้ข้อมูลมาเพื่อจะได้จับกุมได้ถูกต้อง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเดินหน้าทำให้บ้านเมืองสงบปลอดภัยในช่วงปีใหม่ เพื่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกันของทุกคนทั้งรัฐบาลและประชาชน ซึ่งในช่วงปีใหม่เจ้าหน้าที่และข้าราชการทุกคนก็ทำงานอย่างเต็มที่ไม่มีวันหยุดเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางให้มีความปลอดภัย
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน | วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน
“สุชาติ” รมว.แรงงาน มอบ กสร. มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแสดงความมุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานโดยนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ เพื่อแสดงให้นานาชาติรับรู้ว่า ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงานสร้างความเข้มแข็งและจุดเด่นทางธุรกิจ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย โดยการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน เพื่อให้นานาชาติรับรู้ว่าผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน เพราะปัจจุบันในเวทีการค้าโลกให้ความสำคัญอย่างมาก ในเรื่องของการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ ไม่มีการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และยังเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ประเทศคู่ค้านำมาพิจารณาในการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของสถานประกอบกิจการไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงได้ สั่งการให้ กสร. มุ่งส่งเสริมให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการ นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสภาพการทำงานที่เป็นธรรม ป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในทุกรูปแบบ อันจะทำให้สถานประกอบกิจการไทยมีความเข้มแข็ง และสร้างจุดเด่นทางธุรกิจได้
อธิบดี กสร. กล่าวเสริมว่า แนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices) หรือที่เรียกว่า GLP นั้น เป็นแนวทางพื้นฐานเบื้องต้นก่อนเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย (มรท.8001-2563) ในการปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานด้วยความสมัครใจ เพื่อให้สถานประกอบกิจการมีการจ้างแรงงานสอดคล้องกับกฎหมายเทียบได้กับมาตรฐานแรงงานสากล โดยใช้หลักการ 4 ไม่ 6 มี มาเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่ ไม่มีการใช้แรงงานเด็ก, ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ, ไม่มีการเลือกปฏิบัติ, ไม่มีการค้ามนุษย์ และ มีระบบจัดการและการบริหารแรงงาน, มีเสรีภาพในการสมาคม, มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับนายจ้าง, มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย, มีการจัดการสุขอนามัยและของเสีย และมีสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนามาตรฐานแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 0 22468370, 0 2246 8294 หรือโทร.1506 กด 3 หรือ 1546 http://tls.labour.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37711 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) | วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE)
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ณ บริษัท ไทยเสกสรร จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ
วันนี้ (17 ธันวาคม 2563) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมและศึกษาดูงานนวัตกรรมเทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญ และเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ด้วยกรรมวิธีพิเศษเฉพาะของ ABH Genesis พร้อมเยี่ยมโรงงานผลิตของบริษัท เอเชีย ไบโอฮีลลิ่ง จำกัด เพื่อยกระดับคุณภาพของสารสกัดต้นน้ำที่ต่ำกว่ามาตรฐานให้เป็นสารที่สกัดจากชีววัตถุที่มีประสิทธิภาพที่ดี อีกทั้งสามารถเพิ่มศักยภาพในการดูดซึมสารสำคัญ รวมทั้งปรับลด/จำกัด สารที่ไม่ต้องการ เพิ่มคุณภาพของสินค้า และการแปรรูปต่าง ๆ ผลักดันให้เกิดผลประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเชิงอุตสาหกรรม และระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมด้วย ณ บริษัท ไทยเสกสรร จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37709 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ | วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอก ควันไฟ และปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานโครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอกและควันไฟในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ ณ บ้านตุ้มเหนือ ต.ท่าจำปี จ.พะเยา ว่า ปัญหาหมอกและควัน ที่เกิดจากไฟป่า และการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ก่อให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน รวมทั้งยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงได้มีการกําหนดนโยบาย และมาตรการต่างๆในการป้องกันและบรรเทาปัญหาเหล่านี้ สําหรับสถานการณ์ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นทุกๆปีในพื้นที่จังหวัดพะเยานั้น จะพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยในปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม มีพื้นที่เผาไหม้ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 9,483 จุด มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก กว่า 10 ไมครอน หรือ PM10 ในอากาศเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ สาเหตุของการเผาเศษวัสดุในพื้นที่ เกษตร เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกเหตุผลหนึ่งของการที่เกษตรกรเลือกใช้วิธีการจํากัดเศษวัสดุโดยวิธีการเผา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทุนในการกําจัดเศษวัสดุในวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“การเผาเศษวัสดุนั้น เป็นการสร้างก๊าซเรือนกระจก สร้างมลพิษทางอากาศ พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม สูญเสียธาตุอาหารในดิน ทําลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม ทําลายห่วงโซ่อาหาร และการไถเตรียมพื้นที่ปลูกด้วยรถแทรกเตอร์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ปัญหาเร่งด่วนที่จะเกิดขึ้น จึงส่งเสริมและกระตุ้นให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผา และดําเนินการไถกลบเศษวัสดุทาง การเกษตร ในพื้นที่ 6,660 ไร่ ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในการปลูก ข้าว ข้าวโพด และอื่นๆ พร้อมส่งเสริมและบริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรตามหลักวิชาการ นํามาผลิตปุ๋ยหมัก เพื่อการปรับปรุงบํารุงดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ําให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน และป้องกันการเกิดจุดความร้อน (Hotspot) และลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเผา” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ สถานีพัฒนาที่ดินพะเยา เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทาง การเกษตร จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ซึ่งหากสามารถทราบถึงพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเผาเศษพืช เศษวัสดุทางการเกษตร จะทําให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดําเนินการการรณรงค์ ส่งเสริม ลด ละ เลิก การเผา บริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และเข้าถึงเกษตรกรได้อย่างถูกต้องตรงกับพื้นที่เป้าหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37722 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว | วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงโรคโควิด-19 ระบาดซ้ำ มอบกรมการจัดหางาน แนะนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว พูดคุยทำความเข้าใจป้องกันการลักลอบ ออก-เข้าประเทศ พร้อมย้ำฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) และนายจ้าง/สถานประกอบการ หวั่นแรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางร่วมงาน เทศกาลคริสมาสต์-ปีใหม่ กิจกรรมเฉลิมฉลองตามประเพณี ที่ประเทศภูมิลำเนา จนเกิดการลักลอบออก-เข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ กำชับกรมการจัดหางาน แนะนายจ้างพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกจ้างเพื่อสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยร่วมกัน หากจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันหลายคน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิว วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ ดูแลตนเอง ตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง และคนรอบข้างให้มาก
“ หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบแรงงานต่างด้าวลักลอบเดินทางออกจากประเทศไทย และเดินทางกลับเข้ามาใหม่จะถูกดำเนินคดี และผลักดันส่งกลับประเทศ หรือหากมีเหตุอันควรสงสัยว่าแรงงานต่างด้าวดังกล่าว น่าจะเดินทางกลับเข้าไปในพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และลักลอบเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยจะถูกส่งตัวไปยังสถานที่กักกันตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยนายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวและตรวจหาเชื้อดังกล่าว ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเตือน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37732 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่” | วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ำระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ำระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมความพร้อมดูแลประชาชนในสถานการณ์โรคโควิด 19 จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ดร.สาธิตกล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในพื้นที่กว่า 261 วัน และได้มีการเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้มีการเฝ้าระวังตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้วรวมกว่า 700 ราย อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขัง พนักงานขับรถ พนักงานประจำรถ และกลุ่มอื่นตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา รวมทั้งแรงงานต่างด้าว การตรวจก่อนการทำหัตถการในโรงพยาบาล ทั้งหมดไม่พบการติดเชื้อ และในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564 ได้วางแผนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อเฝ้าระวังในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานต่างด้าวในระบบ/ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามแนวชายแดน, เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำ และกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว สำหรับความพร้อมของโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ ขณะนี้ปรับระบบบริการรักษาพยาบาลแบบ New Normal มีคลินิกตรวจเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ได้ 32 ตัวอย่างต่อวัน มีห้องแยก/ ห้องความดันลบ/ หอผู้ป่วยเฉพาะโรคโควิด 19 มีระบบรักษาทางไกลสำหรับผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล เพื่อลดแออัด ลดความเสี่ยงการรับและแพร่กระจายเชื้อ
“ขอเชิญชวนคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” มั่นใจได้ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีหลายหน่วยงานร่วมกันสอดส่อง และมี อสม. เจ้าหน้าที่รพ.สต. เป็นกำลังสำคัญดูแลในชุมชน” ดร.สาธิตกล่าว
นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้กำหนด 6 มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 โดยคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ด่าน สถานพยาบาล และในชุมชน, เตรียมความพร้อมระบบดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อ ทั้งห้องแยกโรค เครื่องช่วยหายใจ เตียง หอผู้ป่วยแยกโรค ห้องแล็บ บุคลากร และเตรียมสถานที่กักกันโรค (Local Quarantine) 2 แห่ง, ติดตามสถานการณ์ ดำเนินการเฝ้าระวังสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสโรค, การสื่อสารความเสี่ยงสถานการณ์รายวันทางไลน์กลุ่มและเฟสบุ๊คศูนย์ข้อมูลโควิด 19 แม่ฮ่องสอน ให้ข้อมูล คำแนะนำประชาชนทางโทรศัพท์, ใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย โดยออกคำสั่ง/ประกาศจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและควบคุมโรค เช่นการสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าชั่วคราว 5 แห่งที่ยังมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ และมีระบบการประสานงานและจัดการข้อมูลโควิด 19 รายงานผลการดำเนินงานทุกวัน
*************************************** 18 ธันวาคม 2563
********************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37728 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.