title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งตรวจเชิงรุกหาผู้สัมผัสเพิ่ม | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
สธ. เร่งตรวจเชิงรุกหาผู้สัมผัสเพิ่ม
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศเพิ่ม 12 ราย เกี่ยวข้องกับกรณีตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร เร่งสอบสวนโรคและตรวจเชิงรุกในชุมชนเพิ่ม เพื่อประเมินขอบเขตการระบาด ขอให้คงมาตรการป้องกันโรค และร่วมมือทำให้ตลาดเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100%
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศเพิ่ม 12 ราย เกี่ยวข้องกับกรณีตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร เร่งสอบสวนโรคและตรวจเชิงรุกในชุมชนเพิ่ม เพื่อประเมินขอบเขตการระบาด ขอให้คงมาตรการป้องกันโรค และร่วมมือทำให้ตลาดเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100% ส่วนผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเข้ารับการกักกันมี 22 ราย
วันนี้ (19 ธันวาคม 2563) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ โดยนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 34 ราย หายป่วยเพิ่ม 19 ราย ยอดป่วยสะสมรวม 4,331 ราย หายป่วยสะสม 4,024 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล 247 ราย เสียชีวิตรวม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่แบ่งเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกัน 22 ราย ได้แก่ สหราชอาณาจักร 4 ราย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา บังกลาเทศ นามิเบีย และซาอุดิอาระเบีย ประเทศละ 2 ราย เคนยา บาห์เรน รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และอิตาลี ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 2 รายมีอาการไข้ หายใจลำบาก และจมูกไม่ได้กลิ่น
ส่วนผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีจำนวน 12 ราย เกี่ยวข้องกับกรณีหญิงไทยอายุ 67 ปี เจ้าของแพปลาในตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ทั้งหมดเข้ารับการรักษาแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 4 ราย ส่วนอีก 8 ราย มีอาการ ได้แก่ ไข้ ไอ ปวดศีรษะ มีน้ำมูก เสมหะ หายใจลำบาก ปวดกล้ามเนื้อ จมูกไม่ได้กลิ่น และลิ้นไม่ได้รับรส ทั้งนี้ ความเสี่ยงสำคัญคือการไม่สวมหน้ากาก ดังนั้น ผู้ที่ไปตลาดกลางกุ้งตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 หากสงสัยหรือกังวลสามารถขอเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือหากมีข้อสงสัยโทรสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ขอความร่วมมือประชาชนหากออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัย 100%
สำหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 76 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7.16 แสนราย เสียชีวิต 1.68 ล้านราย อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ 1. สหรัฐอเมริกา จำนวน 17.8 ล้านราย 2. อินเดีย จำนวน 10 ล้านราย 3. บราซิล จำนวน 7.16 ล้านราย 4. รัสเซีย จำนวน 2.79 ล้านราย และ 5. ฝรั่งเศส จำนวน 2.44 ล้านราย
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ทุกจังหวัดมีความปลอดภัย แต่ยังต้องระวังการลักลอบเข้าประเทศ ขอให้เข้ามาอย่างถูกต้องเข้าสู่ระบบกักกันโรค ส่วนกรณีตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ข้อมูลการระบาดยังเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อ คือ การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ซึ่งขณะนี้มีรถเก็บตัวอย่างตรวจเชื้อชีวนริภัยพระราชทาน 3 คัน ลงไปเก็บตัวอย่างแล้ว ตั้งเป้าอย่างต่ำให้ได้ 2-3 พันรายหรืออาจถึง 5 พันรายขึ้นกับสถานการณ์ โดยจะนำผลการตรวจทางห้องปฏิบัติและการสอบสวนโรค เพื่อตีวงและคำนวณขอบเขตการระบาด เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังในสถานพยาบาล คลินิก และร้านขายยา ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการสงสัยให้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทันที นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาครและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้มีข้อสั่งการให้จำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานบางกลุ่มในจังหวัด สำหรับประชาชนมาตรการหลักที่ต้องปฏิบัติ คือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสแกนไทยชนะ
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคกรณีหญิงไทยอายุ 67 ปี เจ้าของแพปลาในตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ได้ตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน ทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม 12 ราย ในรอบ 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในครอบครัว 4 ราย ได้แก่ มารดา พี่สาว น้องสะใภ้ และคนที่มาทำงานด้วย มีความเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง 6 ราย ได้แก่ ลูกจ้าง ภรรยาของลูกจ้าง คนทำงานแพปลาข้างๆ และผู้มาซื้อของ ส่วนอีก 3 ราย อาศัยอยู่ใกล้กับตลาดค้ากุ้ง 2 ราย อยู่ระหว่างการสอบสวน 1 ราย ทำให้ประเมินได้ว่ามีการติดเชื้อในคนที่ทำงานในตลาดเดียวกัน ตลาดข้างเคียง และคนในครอบครัว ส่วนการค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมในพื้นที่ตลาดกลางกุ้งและตลาดทะเลไทยระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2563 จำนวน 1,449 ราย ผลการตรวจจะทยอยออกมา
"สถานการณ์ขณะนี้คนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และจะไปใช้บริการ ต้องมีการป้องกันตนเอง สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง คือ การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก โดยพื้นที่ตลาดต้องเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100% และถอดเมื่อจำเป็นขณะรับประทานอาหาร และการล้างมือ โดยจัดจุดล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ทั้งหมดจะช่วยป้องกันความเสี่ยงทั้งป้องกันการรับเชื้อกรณีที่ยังไม่ติดเชื้อ หรือในรายที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการจะช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นๆ" นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า เหตุการณ์ตลาดกลางกุ้งมีความแตกต่างจากกรณีการระบาดของตลาดในเมืองอู่ฮั่น เนื่องจากขณะนี้เรารู้จักโรคโควิด 19 มากขึ้น และมีวิธีในการป้องกัน นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่โล่ง ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี การปิดทำความสะอาดทำให้ลดความเสี่ยงลงจนเป็นปกติ การไปใช้บริการไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่ แต่เกี่ยวกับบุคคลในสถานที่ที่ต้องร่วมกันป้องกันการแพร่เชื้อ ซึ่งเรารับมือได้ดีกว่าเหตุการณ์อู่ฮั่นในช่วงแรกที่ยังไม่มีการป้องกัน สำหรับอาหารทะเลสามารถรับประทานได้ตามปกติ เนื่องจากการป้องกันโรคที่สำคัญ คือ การปรุงสุกร้อนที่สามารถฆ่าเชื้อได้รวมถึงเชื้อก่อโรคโควิด 19 และคงมาตรการส่วนบุคคล คือ กินร้อนใช้ช้อนกลางส่วนตัว และใส่หน้ากากเมื่ออยู่พื้นที่สาธารณะ
********************************* 19 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวบแล้ว 5 สาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปทำงานแคนาดา | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
รวบแล้ว 5 สาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปทำงานแคนาดา
อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยความคืบหน้า หลังกรมการจัดหางานร่วมกับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ จับกุม 5 สาย/นายหน้าเถื่อน หลอกลวงคนงานไทย 40 คน ไปทำงานประเทศแคนาดา เสียหายกว่า 7 ล้านบาท
นายสุชาติฯ เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการสำนักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ เร่งตรวจสอบติดตามผลการติดตามตัวผู้กระทำความผิดในข้อหาร่วมกันหลอกลวงคนหางานไปทำงานประเทศแคนาดา ซึ่งล่าสุดสำนักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 5 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 3 คน ขณะนี้ถูกฝากขังอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป สำหรับสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อนกลุ่มนี้ มีเครือข่ายในหลายพื้นที่ และมีคนหางานร้องทุกข์ดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนเกิดการบูรณาการทำงานร่วมกัน นำไปสู่การขยายผลจับกุมได้ในที่สุด
อธิบดีกรมการจัดหางาน ยังกล่าวต่อไปว่า ขอให้คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินหรือโอนเงินให้กับผู้ใด โดยหากผู้มาชักชวนไปทำงานอ้างว่าเป็นตัวแทนบริษัทจัดหางาน สามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/prd/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท
“อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานมีพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 ที่เฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และขอเตือนผู้ที่คิดหลอกลวงคนหางานว่า การหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37748 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลชี้แจง การดำเนินคดี ม.112 เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
โฆษกรัฐบาลชี้แจง การดำเนินคดี ม.112 เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย
โฆษกรัฐบาลชี้แจง การดำเนินคดี ม.112 เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย
วันนี้ (19 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการใช้ ม. 112 ต่อผู้ชุมนุมในไทยนั้น ในเบื้องต้นได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อชี้แจงดังนี้
1.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การใช้เสรีภาพทางวิชาการ หรือการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ในฐานะสถาบัน กฎหมายนี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยก็เพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฎราชกุมาร หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับพลเมืองไทยทุกคน
2.สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกระบวนกฎหมายอาญาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งนี้หากมีการดำเนินการในกรณีดังกล่าวก็จะเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีจำนวนมากก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ
3.ต่อกรณีการตั้งข้อหาผู้ประท้วงวัย 16 ปีตามประมวลกฎหมายอาญาม. 112 ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาลเยาวชน ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปตามที่โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติที่ได้ระบุระหว่างการแถลงข่าวเองว่า ศาลได้ปฏิเสธคำขอให้มีการคุมขัง พร้อมกับอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข
4.ขอย้ำอีกครั้งว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ประท้วงไม่ได้ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ละเมิดกฏหมายอื่นๆ ของไทยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ
รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง
บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนำมาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37742 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เชิญชวนประชาชน ใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. 20 ธ.ค.นี้ พร้อมสั่งอำนวยความสะดวกการเดินทาง | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
นายกฯ เชิญชวนประชาชน ใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. 20 ธ.ค.นี้ พร้อมสั่งอำนวยความสะดวกการเดินทาง
นายกฯ เชิญชวนประชาชน ใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. 20 ธ.ค.นี้ พร้อมสั่งอำนวยความสะดวกการเดินทาง
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เชิญชวนประชาชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในวันอาทิตย์ที่ 20 ธ.ค. นี้ โดยขอให้ประชาชนได้พิจารณาเลือกคนดี มีความสามารถเข้าไปทำหน้าที่พัฒนาจังหวัดให้เกิดความเจริญก้าวหน้า เพราะ อบจ. มีความสำคัญในการพัฒนาจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การอาชีพ สาธารณูปโภคต่าง ๆ ฯลฯ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะถือเป็นกลไกการกระจายอำนาจ เพื่อพัฒนาในระดับพื้นที่อย่างตรงจุด ตรงตามความต้องการของประชาชน สำหรับการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในรอบหลายปี จัดขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ทั้งยังเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นประเภทแรก ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งระดับอื่นตามมาในปี 2564 จึงขอให้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อเลือกผู้บริหารมาพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังแสดงความห่วงใยการเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชน โดยย้ำว่าต้องสร้างความมั่นใจและความอุ่นใจต่อประชาชนในด้านการเดินทาง และยังขอให้ประชาชนเดินทางด้วยความระมัดระวัง มีสติ อย่าประมาท งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเองและผู้อื่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37744 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งปั้นบุคลากรสู่อีอีซี สร้างโอกาสแก่คนรุ่นใหม่ สี่แสนกว่าตำแหน่งงานรออยู่ | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
รัฐบาลเร่งปั้นบุคลากรสู่อีอีซี สร้างโอกาสแก่คนรุ่นใหม่ สี่แสนกว่าตำแหน่งงานรออยู่
รัฐบาลเร่งปั้นบุคลากรสู่อีอีซี สร้างโอกาสแก่คนรุ่นใหม่ สี่แสนกว่าตำแหน่งงานรออยู่
วันที่ 19 ธ.ค.63 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและติดตามการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของโครงการดังกล่าว ซึ่งกระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Center) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 จ.ชลบุรี โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วน ล่าสุด กระทรวงฯ รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ได้ให้บริการจัดหางานแก่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) (อาทิ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร) จากที่ตั้งเป้าไว้ 28,000 คน แต่เมื่อดำเนินงานจริงสามารถจัดหางานได้มากถึง 40,464 คน คิดเป็น 144.51 เปอร์เซ็นต์ ส่วนงานบริการแนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา ตั้งเป้าไว้ที่ 48,838 คน ผลการดำเนินงานเกินเป้าหมายเช่นกัน โดยมีจำนวน 70,401 คน คิดเป็น 144.15 เปอร์เซ็นต์
น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ประมาณการณ์ว่า ในระยะเวลา 5 ปี (2562-2566) จะมีสี่แสนกว่าอัตรา ทั้งในระดับอาชีวะและปริญญาตรี ที่เป็นความต้องการของภาคเอกชนต่อบุคลากรไทยในพื้นที่อีอีซี ที่ผ่านมา สกพอ. ได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สร้างหลักสูตรพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงความต้องการภาคเอกชน (EEC Model) ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจแก่เอกชนที่รับนักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้ คือจะได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย
ส่วนการเตรียมพร้อมในระยะยาว กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) ขับเคลื่อนการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) อย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดอบรมพัฒนาครูสำหรับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และการส่งเสริมเด็กให้เรียนภาษาคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ทั้งนี้ เป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลให้ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37741 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีไปยังสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ดังนี้
Office of the Prime Minister,
Government House,
BANGKOK.
19 December B.E. 2563 (2020)
Samdech Techo Prime Minister,
On the special occasion of the 70th anniversary of the establishment of our diplomatic relations on 19 December 2020, I am very pleased to affirm that the relationship between Thailand and Cambodia has never been stronger, with expanding cooperation and mutual benefit in all field.
As friendly neighbours, our border areas are now enjoying the fruits of enduring peace and stability, with flourishing cross-border trade continuously bringing more jobs and better livelihoods to the peoples. Remarkably, our bilateral trade has grown exponentially from around USD 300 million twenty years ago to well over USD 9 billion in 2019. Thai investments in Cambodia have been on the increase, contributing positively to Cambodia’s economy, while Thailand’s economy has also benefited greatly from Cambodia’s workforce and economic cooperation.
We have also made significant progress in enhancing our connectivity, exemplified by the first Thailand - Cambodia Friendship Bridge (Ban Nong Ian - Stung Bot) linking Sa Kaeo and Banteay Meanchey provinces, and the revival of a railway service that will soon connect many Thai and Cambodian communities and contribute to more efficient trade flows. In the area of education, both the Kampong Chheuteal Institute of Technology and the Kampong Speu Institute of Technology have been models of success for other vocational institutions, and provided Cambodian youths with many opportunities to succeed. More recently, we have also worked side by side to minimise the impacts of the COVID-19 pandemic on our economies and societies, which paves the way for even closer cooperation to address future regional and international challenges.
As we celebrate the 70thanniversary of our diplomatic relations and in the light of the remarkable progress we have made as good neighbours and regional partners, I would like to convey, on behalf of the Royal Thai Government and people of the Kingdom of Thailand, my warmest wishes to Your Excellency and the people of the Kingdom of Cambodia on this very special occasion. It is my firm belief that the friendship between Thailand and Cambodia is strong and enduring, and that our peoples, especially our new generation of young people, will continue to work together towards an even brighter future for our common peace, prosperity, and development.
Accept, Samdech Techo Prime Minister, the renewed assurances of my highest considerations.
General (Ret.)
(Prayut Chan-o-cha)
Prime Minister of the Kingdom of Thailand
His Excellency
Samdech Akka Moha Sena Padei Techo HUN SEN,
Prime Minister of the Kingdom of Cambodia,
PHNOM PENH.
คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน
เนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะขอยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกันเพิ่มขึ้นในทุกด้าน
ในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่ชายแดนของประเทศเราทั้งสองอยู่ในช่วงเวลาแห่งสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืน โดยการค้าชายแดนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและนำมาซึ่งการจ้างงานและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองประเทศ มูลค่าการค้าระหว่างกันได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ ๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อ ๒๐ ปีก่อน เป็นมากกว่า ๙ พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ๒๕๖๒ การลงทุนของไทยในกัมพูชา มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ในขณะที่เศรษฐกิจของไทยก็ได้รับประโยชน์จากกำลังแรงงานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับกัมพูชา
เราประสบความสำเร็จในการผลักดันความคืบหน้าในการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชาแห่งแรก ที่บ้านหนองเอี่ยน - สตึงบท ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดสระแก้วกับจังหวัดบันเตียเมียนเจย รวมทั้งการฟื้นฟูเส้นทางรถไฟที่จะเชื่อมโยงพี่น้องคนไทยและกัมพูชาเข้าด้วยกัน และจะช่วยให้การค้าชายแดนมีประสิทธิภาพและความคล่องตัวขึ้นในอนาคตในด้านการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีกำปงเฌอเตียลและสถาบันเทคโนโลยีกำปงสปือได้กลายเป็นต้นแบบความสำเร็จในการพัฒนาสถาบันอาชีวศึกษาที่เป็นประตูสู่ความสำเร็จให้แก่เยาวชนกัมพูชา ในช่วงที่ผ่านมา เราทั้งสองประเทศได้ทำงานเคียงข้างกันเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด - ๑๙ ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในการจัดการความท้าทายต่าง ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป
ในการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - กัมพูชา และด้วยคำนึงถึงความก้าวหน้าอย่างมากของความร่วมมือระหว่างกันในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้านและหุ้นส่วนในภูมิภาค ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีอย่างยิ่งในนามของรัฐบาลและประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทย มายังท่านนายกรัฐมนตรีและประชาชนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในโอกาสพิเศษนี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า มิตรภาพของเราทั้งสองประเทศจะมีแต่แน่นแฟ้นและเข้มแข็งยิ่งขึ้น และประชาชนของเรา โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่จะร่วมมือกันสานสัมพันธ์สองประเทศต่อไป เพื่ออนาคตที่สดใส และเพื่อความมั่นคง ความมั่งคั่ง และการพัฒนาร่วมกันสืบไป
ขอแสดงความนับถือ
ในโอกาสเดียวกันนี้สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีสารแสดงความยินดีมายัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดังนี้
Phnom Penh, 19 December 2020
His Excellency General Prayuth Chan-o-cha
Prime Minister of the Kingdom of Thailand
Bangkok
Excellency,
On behalf of the Royal Government and people of Cambodia, I would like to extend my cordial congratulations and best wishes to Your Excellency, the Government and people of Thailand on the auspicious occasion of the 70th Anniversary of the Establishment of Diplomatic Relations between the Kingdom of Cambodia and the Kingdom of Thailand.
I am delighted to note that our bilateral relations have developed tremendously since the establishment of diplomatic ties in 1950. Building on the solid foundation of traditional friendship, good neighborliness and mutual understanding, our two kingdoms have broadened cooperation that has encompassed many areas of shared interests, namely politics and security, economy, trade and investment, education, connectivity and people-to-people linkages.
On this note, I would like to reaffirm my unwavering commitment to working closely with Your Excellency to elevate our long-standing partnership to a new height, particularly to overcome the unprecedented COVID-19 crisis so as to bring about peace, stability and sustainable prosperity for our two nations, the ASEAN Community and beyond.
Please accept, Your Excellency, the renewed assurances of my highest consideration and best wishes for your good health and continued success in fulfilling your noble tasks for the sake of greater happiness and well-being of the people of Thailand.
HUN SEN
คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ในนามของรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีและขอส่งความปรารถนาดีมายังท่านนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและประชาชนไทยในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย
ข้าพเจ้ายินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมากตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ บนพื้นฐานของมิตรภาพอันยาวนาน ความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน เราทั้งสองประเทศได้ขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมหลากหลายด้านที่ให้ความสำคัญร่วมกัน ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ความเชื่อมโยง และความสัมพันธ์ระดับประชาชน
ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับท่านในการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่ยาวนานให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาชนะวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – ๑๙ เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งยั่งยืนของทั้งสองประเทศ ประชาคมอาเซียน และในภูมิภาคอื่นๆ ในวงกว้าง
ขอแสดงความนับถือและขอแสดงความปรารถนาดีมายังท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญเพื่อความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนไทย
สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37739 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มั่นใจ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ยินดี Bloomberg ยกไทยเป็นประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในปี 2564 | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
นายกฯ มั่นใจ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ยินดี Bloomberg ยกไทยเป็นประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในปี 2564
นายกฯ มั่นใจ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ยินดี Bloomberg ยกไทยเป็นประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในปี 2564
วันนี้ (วันที่ 19 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Bloomberg ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีภาพรวมทางเศรษฐกิจดีที่สุดในปี 2564 แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในเรื่องการค้าและการลงทุนในปี 2564
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานของสำนักข่าว Bloomberg หัวข้อ China Lags as Thailand, Russia Rank Top Emerging Market Picks เปิดเผยรายงานการศึกษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564 ของ 17 ประเทศ อาทิ ไทย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 ในฐานะประเทศที่มีเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพสูงจากการไหลเข้าของเงินลงทุน (Portfolio Inflows)
ทั้งนี้ แม้ในรายงานของสำนักข่าว Bloomberg จะมีความห่วงกังวลเรื่องการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ของประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยซึ่งพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้เตรียมการรับมือกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยทางด้านสาธารณสุข รัฐบาลส่งเสริมการดำเนินการควบคุมโรค ป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับส่งเสริมความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขกับหุ้นส่วนและมิตรประเทศ เพื่อวิจัยและพัฒนา รวมถึงเตรียมผลิตวัคซีนและยกระดับการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขไทย รวมทั้งส่งเสริมให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ และประชาชนสามารถได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง สำหรับด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เตรียมพร้อมและได้ดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 1 เฟส 2 เราเที่ยวด้วยกัน และ ช้อปดีมีคืน เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านการจัดการน้ำ ด้านการสื่อสาร รวมถึงการเร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นฤมล” เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมชาวใต้ | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
“นฤมล” เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมชาวใต้
- -
วันที่ 5 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเผยว่า หลังจากทราบข่าวน้ำท่วมภาคใต้ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสุราษฎร์ธานี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยเป็นอย่างมาก ได้กำชับให้หน่วยงานของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จัดเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเต็มกำลังความสามารถ เบื้องต้นได้รับรายงานจากหน่วยงานในพื้นที่ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี หน่วยงานทั้ง 5 เสือแรงงานได้ออกเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมให้ความช่วยเหลือแรงงานในสถานประกอบกิจการที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ได้แก่ บริษัท หลีเฮงโปรดักท์ฟู้ด จำกัด ม.3 ต.ท่าเรือ อ.บ้านาเดิม บ้านพักคนงานกว่า 90 ห้องลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนกว่า 200 คน บริษัท วาย.ที.รับเบอร์ จำกัด ม.1 ต.ท่าสะท้อน อ.พุนพิน และบริษัท ห้องเย็นเอเซี่ยนซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ม.4 ต.ท่าสะท้อน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน ฝนหยุดตกแล้ว ปริมาณน้ำจะค่อยๆ ลดลง แต่ทั้งนี้อาจจะมีบางพื้นที่รับน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช
รมช.แรงงานกล่าวต่อว่า ส่วนทางด้านของจังหวัดพัทลุง ได้รับรายงานจากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพัทลุงว่า ได้วางแผนออกสำรวจความเสียหายเพื่อรับฟังความต้องการความช่วยเหลือจากชาวบ้านหลังน้ำลด เบื้องต้นเตรียมแผนใช้ความช่วยเหลือในระยะที่ 2 และ 3 คือให้บริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสำรวจความต้องการฝึกอาชีพตามลำดับ เช่นเดียวกับจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง รับทราบว่าในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช มีน้ำไหลเข้าท่วมในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันขนย้ายสิ่งของ เครื่องจักรที่สามารถยกได้ขึ้นที่สูง ล่าสุดระดับน้ำเริ่มลดลงแล้วและยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย
“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก สั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ให้ความช่วยเหลือตามภารกิจเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จึงขอเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนและต้องดูแลตนเองให้ปลอดภัยด้วย และวันที่ 9 ธ.ค.นี้ จะลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานีด้วยตนเอง เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้สบภัยน้ำท่วม”รมช.แรงงานกล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดก.อุตฯ ร่วมทำบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563 | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ปลัดก.อุตฯ ร่วมทำบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563 ณ ท้องสนามหลวง
วันนี้ (5 ธันวาคม 2563) เวลา 07.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563 ณ ท้องสนามหลวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป
นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ในงานมหกรรม “ภูมิพลังแผ่นดิน” ระหว่างวันที่ 3 - 6 ธันวาคม 2563
วันเสาร์ที่5ธันวาคม2563นายประยูรอินสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.ทองเปลวกองจันทร์)ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2563โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรด้านการจัดการดินรวมทั้งมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ด้านการเกษตรการจำหน่ายสินค้าจากเกษตรกรให้แก่ผู้มาร่วมงานซึ่งงานมหกรรมฯนี้จัดขึ้นโดยสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจังหวัดปทุมธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37350 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรม “5 ธันวา รวมพลังจิตอาสา พัฒนา พม.” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
พม. จัดกิจกรรม “5 ธันวา รวมพลังจิตอาสา พัฒนา พม.” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9
พม. จัดกิจกรรม “5 ธันวา รวมพลังจิตอาสา พัฒนา พม.” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9
วันนี้ (5 ธ.ค. 63) เวลา 09.19 น. ที่บริเวณลานชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “5 ธันวา รวมพลังจิตอาสา พัฒนา พม.” ว่า เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 อีกทั้งยังสอดคล้องกับองค์การสหประชาชาติ ที่กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล ในวันนี้ (5 ธ.ค. 63) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้จัดโครงการ “5 ธันวา รวมพลังจิตอาสา พัฒนา พม.” เพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการสร้างความตระหนักถึงความมีจิตสาธารณะ ความเสียสละ เพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม โดยมีการปล่อยขบวนจิตอาสา ซึ่งประกอบด้วย คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จำนวน 300 คน แสดงพลังจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ร่วมกันทำกิจกรรมปรับปรุงภูมิทัศน์และทำความสะอาดบริเวณรอบกระทรวง พม. และชุมชนย่านตลาดสะพานขาวและตลาดโบ๊เบ๊ เพื่อความสะอาด สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมอบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมทั้งประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37347 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ เผย สปส.เร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตเหตุน้ำท่วมเมืองคอน | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ เผย สปส.เร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตเหตุน้ำท่วมเมืองคอน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สปส.เร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้ประกันตนทั้ง 4 ราย กรณีน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช ขณะที่หน่วยงานในสังกัดจัดทีมช่างออกให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า รถจักรยาน และซ่อมเครื่องยนต์เล็กทางการเกษ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและกำชับให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ล่าสุด นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมได้รับรายงานจากสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบติดตามสถานะความเป็นผู้ประกันตนของผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชทั้งสิ้น 12 รายแล้ว ในจำนวนนี้ พบว่า เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จำนวน 4 ราย ได้แก่ รายแรกคือ น.ส.วิภารัตน์ ไม้ค้าง เป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 จะได้รับค่าทำศพ เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต เงินชราภาพไม่รวมดอกผล เงินว่างงาน(คงเหลือ) รวมเป็นเงิน 104,561.37 บาท รายที่ 2 คือ นายโกมล แดงขาว สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อเดือนธันวาคม 2542 มีเงินสะสมกรณีชราภาพ จำนวน 703.80 บาท รายที่ 3 คือ นายสมบูรณ์ ภาษากล เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สิ้นสุดสภาพความเป็นผู้ประกันตน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 มีเงินสะสมกรณีชราภาพ จำนวน 3,798.80 บาท และรายที่ 4 คือ นางจิราพร วงศ์สวัสดิ์ เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีเงินสะสมกรณีชราภาพ จำนวน 53,478.36 บาท ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประสานผู้มีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแล้ว และจะดำเนินการมอบแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตต่อไป
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนภายหลังน้ำลดเพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งในวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคมนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะมีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อติดตามสถานการณ์ ให้ความช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ทั้งนี้ สำนักงานแรงงานจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประสาน สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่กำหนดแผนจัดทีมช่างออกให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า รถจักรยาน และซ่อมเครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร ณ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้บริการแก่ประชาชนในวันที่ 7 ธันวาคมนี้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.สั่งเปิดศูนย์ EOC โควิด 19 ทุกจังหวัด ประเมินสถานการณ์ พร้อมรับมือ | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ปลัด สธ.สั่งเปิดศูนย์ EOC โควิด 19 ทุกจังหวัด ประเมินสถานการณ์ พร้อมรับมือ
ปลัด สธ.สั่งเปิดศูนย์ EOC โควิด 19 ทุกจังหวัด ประเมินสถานการณ์ พร้อมรับมือ
ปลัด สธ.สั่งเปิดศูนย์ EOC โควิด 19 ทุกจังหวัด ประเมินสถานการณ์ พร้อมรับมือ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการทุกจังหวัดเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด 19 ประเมินสถานการณ์และเตรียมพร้อมรองรับทุกๆ ด้าน เฝ้าระวังผู้ป่วยปอดบวม โรคทางเดินหายใจ ส่ง อสม.เคาะประตูบ้านแจ้งข่าวและคัดกรองกลุ่มเสี่ยง พร้อมคุมเข้มสถานประกอบการทำตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมทางไกลศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ว่า โรคโควิด 19 ยังมีแนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น ไทยเราต้องเตรียมความพร้อมรับมือ ซึ่งขณะนี้เราพบผู้ป่วยโควิด 19 ที่ลักลอบข้ามพรมแดนธรรมชาติจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา แต่สามารถนำเข้ารับการกักตัว ดูแลรักษา ติดตามผู้สัมผัสได้ครบ พร้อมกำชับให้เข้มข้นมาตรการป้องกันควบคุมโรคพื้นที่ชายแดนรวมทั้งให้กรมควบคุมโรควิเคราะห์รูปแบบความเสี่ยงอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อป้องกันโอกาสการนำเชื้อเข้าประเทศ
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด 19 พร้อมปฎิบัติตามข้อสั่งการ ดังนี้ 1.ติดตามและประเมินสถานการณ์ภายในจังหวัด 2.เตรียมความพร้อมโรงพยาบาล เวชภัณฑ์ ห้องปฏิบัติการ และบุคลากรด้านการรักษาพยาบาล 3.เฝ้าระวังผู้ป่วยโรคปอดบวมและผู้ป่วยในคลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI) ตามเกณฑ์ของกองระบาดวิทยาอย่างเคร่งครัด 4.ส่ง อสม.เคาะประตูบ้านแจ้งข่าวประชาชนและคัดกรองกลุ่มเสี่ยง สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องไปยังประชาชนพร้อมขอความร่วมมือ 5.เปิดสายด่วน (Call Center)ให้กลุ่มเสี่ยงรายงานตัว 6.แนะนำมาตรการต่างๆ ต่อประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด รวมทั้งกำกับให้สถานประกอบการในพื้นที่ โดยเฉพาะสถานบันเทิง ต้องให้ความรู้และให้กำลังใจ เพื่อให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคได้ตามมาตรฐาน
“ขอให้กำลังใจทั้งประชาชนและบุคลากร อย่าประมาท การ์ดอย่าตก ส่วนกลางพร้อมสนับสนุนการทำงานทุกๆด้านให้แก่จังหวัด เราได้สำรองเวชภัณฑ์ เช่น หน้ากากอนามัย ชุด PPE ยา ฯลฯ ไว้สนับสนุนพื้นที่ หากสำรวจแล้วมีไม่เพียงพอ ให้ประสานขอรับการสนับสนุนที่กองสาธารณสุขฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
************************************** 5 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ลงพื้นที่สงขลา เยี่ยมให้กำลังใจ และมอบถุงยังชีพผู้ประสบอุทกภัย ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งประชาชน พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
รมต.อนุชา ลงพื้นที่สงขลา เยี่ยมให้กำลังใจ และมอบถุงยังชีพผู้ประสบอุทกภัย ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งประชาชน พร้อมช่วยเหลือเต็มที่
รมต.อนุชา ลงพื้นที่สงขลา เยี่ยมให้กำลังใจ และมอบถุงยังชีพผู้ประสบอุทกภัย ยืนยันรัฐบาลไม่ทอดทิ้งประชาชน พร้อมช่วยเหลือเต็มที่
วันนี้ (5 ธันวาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่หมู่ที่ 6 ตำบลระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจ รับฟังปัญหา ติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ผูประสบภัย และลงเรือเยี่ยมให้กำลังใจมอบถุงยังชีพแก่ผู้ป่วยติดเตียง
จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับผู้ประสบอุทกภัยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด มีความกังวลเป็นห่วงผู้ประสบภัย และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยได้สั่งการให้ทุกภาคส่วนลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้นอกจากนำความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีมามอบให้กับประชาชนแล้ว เพื่อต้องการมาดูให้เห็นถึงความเดือดร้อน รวมถึงรับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากพี่น้องประชาชน ไปรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้รับทราบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในนามตัวแทนของรัฐบาลขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนรวมถึงกำลังทหาร และ สส.ในพื้นที่ ที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคีเวลาที่เกิดอุทกภัย ทุกคนต่างแสดงความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนหากต้องการความช่วยเหลือในด้านใดขอให้แจ้งผ่านไปยังผู้นำท้องถิ่น หรือส่วนราชการในพื้นที่ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนำความเดือดร้อนของประชาชนไปแก้ไขปัญหา อะไรที่อยู่ในความรับผิดชอบที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา หากปัญหาไหนไม่สามารถแก้ไขได้ให้รวบรวมส่งไปยังส่วนกลางต่อไป ยืนยันรัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งประชาชน จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
-------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37346 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ร่วมวางพานพุ่ม เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 2563 | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ปลัด ก.อุตฯ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ร่วมวางพานพุ่ม เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 2563
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ร่วมวางพานพุ่มและพิธีถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563 ณ ท้องสนามหลวง
วันนี้ (5 ธันวาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ร่วมวางพานพุ่มและพิธีถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2563 โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ท้องสนามหลวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีทรงเป็นองค์ประธานพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีทรงเป็นองค์ประธานพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีจุดเทียนมหามงคล เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ
วันนี้ (5 ธ.ค.63) เวลา 19.52 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเจ้าคุณพระสีนีนาฏ พิลาสกัลยาณี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ท่ามกลางมหาสมาคมของประชาชนทุกหมู่เหล่า
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลขอพระกรุณาขอพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ความว่า
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ที่มาชุมนุม ณ ที่แห่งนี้ ล้วนมีความรู้สึกปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี มาทรงประกอบพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย ปวงข้าพระพุทธเจ้า จักน้อมนำพระราชปณิธานของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรม พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังสติปัญญาและความสามารถเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติตลอดไป โอกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอรับพระราชทานพระราชดำรัส เพื่อเทิดพระเกียรติคุณและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ต่อไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้าวหอมมะลิไทยได้แชมป์ข้าวโลก นายกฯ สั่งเดินหน้าเดินหน้ายุทธศาสตร์ข้าวไทย รายงานความคืบหน้าทุกสามเดือน | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ข้าวหอมมะลิไทยได้แชมป์ข้าวโลก นายกฯ สั่งเดินหน้าเดินหน้ายุทธศาสตร์ข้าวไทย รายงานความคืบหน้าทุกสามเดือน
ข้าวหอมมะลิไทยได้แชมป์ข้าวโลก นายกฯ สั่งเดินหน้าเดิ นหน้ายุทธศาสตร์ข้าวไทย รายงานความคืบหน้าทุกสามเดือน
วันที่ 5 ธ.ค.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบผลการประกวดข้าวไทย ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รายงานให้ทราบว่า ทุกปีจะมีจัดการประชุมผู้ค้าข้าวทั่วโลก ปีนี้จัดขึ้น วันที่ 1-3 ธันวาคม ซึ่งประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศเป็น World’s Best Rice Award 2020 ข้าวที่ดีที่สุดในโลกปี 2020 คือ ข้าวพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยการแข่งขันมีมาทั้งหมด 12 ครั้งแล้ว ประเทศไทยได้รางวัลครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 โดยปีนี้ ประเทศที่เข้ารอบสุดท้ายมีไทย เวียดนามและกัมพูชา
ท่านนายกฯ ได้กล่าวว่า ผลการประกวดเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันทำให้ข้าวไทยกลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง อีกทั้งเป็นเครื่องประกันถึงคุณภาพข้าวไทยในตลาดโลก ส่งผลบวกต่อโอกาสการส่งออกข้าวและรายได้เกษตรกรด้วย ที่สำคัญ เราจะต้องช่วยกันรักษาแชมป์ไว้ให้ได้ ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 2563-2567 ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยต้องพัฒนาสินค้าข้าวให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรและภาคส่วนอื่น ๆ ในห่วงโซ่อุปทาน และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าทุกสามเดือน ที่สำคัญต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ
รองโฆษกฯ กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเรื่องการเร่งสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด เพราะเป็นหัวใจหลักของการสร้างจุดแข็งของข้าวไทย ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์ฯ เฉพาะการพัฒนาพันธุ์ข้าว ได้กำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน คือ
1) ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ตรงตามความต้องการของตลาด อายุเก็บเกี่ยวสั้น ผลผลิตต่อไร่สูงมาก ไม่น้อยกว่า 12 พันธุ์ ในปี 2567 ดังนี้
- พันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่ม 4 พันธุ์ อายุสั้นไม่เกิน 100 วัน ผลผลิตต่อไร่ไม่ต่ำกว่า 1 ตัน
- พันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง 4 พันธุ์ อายุสั้นไม่เกิน 100 วัน ผลผลิตต่อไร่ไม่ต่ำกว่า 1.5 ตัน
- พันธุ์ข้าวหอมไทย ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 0.8 ตันต่อไร่ จำนวน 2 พันธุ์
- พันธุ์ข้าวโภชนาการสูง 2 พันธุ์ ผลผลิตต่อไร่ไม่ต่ำกว่า 0.8 ตัน
2) เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุนการผลิตข้าวและผลผลิตต่อไร่ ไม่น้อยกว่า 10 เทคโนโลยี ในปี 2567
มากไปกว่านั้น แผนยุทธศาสตร์ฯ ยังครอบคลุมการสร้างความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาข้าวกับต่างประเทศในเรื่องพันธุกรรมข้าว โดยการจัดงานประกวดข้าวพันธุ์ใหม่รองรับตลาดนำการผลิต ปีละ 1 ครั้ง โดยปี 2564 จะจัด 2 ครั้ง ในเดือนมกราคม และธันวาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
วันนี้ (5 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณท้องสนามหลวง โดยมีประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาและภริยา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและภริยา ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ร่วมในพิธี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้น นายกรัฐมนตรีวางพานพุ่ม จำนวน 2 พาน ในนามนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ภริยานายกรัฐมนตรีวางพานพุ่ม ในนามคณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ณ ด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ แล้วถวายความเคารพด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้ร่วมพิธีถวายบังคม 3 ครั้ง ภริยานายกรัฐมนตรี นำเหล่าสุภาพสตรี หมอบกราบ เสร็จพิธี
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ดีอีเอส พร้อมคณะผู้บริหารฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวง ร.9 | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
ปลัดฯ ดีอีเอส พร้อมคณะผู้บริหารฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวง ร.9
ปลัดฯ ดีอีเอส พร้อมคณะผู้บริหารฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวง ร.9
เมื่อวันที่5ธันวาคม2563นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยคณะผู้บริหารฯเข้าร่วมพิธีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรและต่อด้วยพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรวันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2563 โดยมีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมพร้อมนางนราพรจันทร์โอชาภริยาเป็นประธานในพิธีฯณท้องสนามหลวง โดยในพิธีนิมนต์พระสงฆ์ประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะจำนวน10รูปประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์หลังจากนั้นสมเด็จพระราชาคณะพระราชาคณะพระสงฆ์และสามเณรจำนวน189รูปรับบิณฑบาต
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37351 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 5 ธ.ค. 2563 | วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 5 ธ.ค. 2563
นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
วันนี้ (5 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 07.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาและภริยา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา หน่วยราชการในพระองค์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและภริยา ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ร่วมในพิธี ตามลำดับพิธีดังนี้
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึงปะรำพิธีบริเวณท้องสนามหลวง พระสงฆ์จำนวน 10 รูปขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล จบ สวดพระพุทธมนต์
จากนั้น ประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา นายกรัฐมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาและภริยา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา หน่วยราชการในพระองค์ ถวายเครื่องไทยธรรม แด่พระสงฆ์จำนวน 10 รูป แล้วนายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตรจำนวน 10 ไตร พระสงฆ์สดัปกรณ์ อนุโมทนา นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำรับพร กราบลาพระรัตนตรัย นายกรัฐมนตรีถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมผู้เข้าร่วมพิธี ร่วมตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 189 รูป เสร็จพิธี
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เปิดของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใช้แรงงาน 5 ชิ้น ชูแคมเปญ รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รมว.สุชาติ เปิดของขวัญปีใหม่ให้ผู้ใช้แรงงาน 5 ชิ้น ชูแคมเปญ รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ 2564 แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” ประกอบด้วย ลดเงินสมทบให้นายจ้างและผู้ประกันตน เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ลดดอกเบี้ยกู้ยืมกองทุนรับงาน
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมอบของขวัญให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เพราะแรงงานเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปี 2564 นี้ กระทรวงแรงงานได้เตรียมของขวัญปีใหม่ จำนวน 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” เพื่อมอบให้แก่แรงงานไทย ได้แก่
ชิ้นที่ 1 ลดเงินสมทบ โดยลดอัตราเงินสมทบให้กับนายจ้างและผู้ประกันตน โดยนำส่งในอัตราจากเดิมฝ่ายละ ร้อยละ 5 เป็นฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้าง เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือนายจ้าง จำนวน 486,192 แห่ง และผู้ประกันตน จำนวน 12.7 ล้านคน ซึ่งจะทำให้สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างและผู้ประกันตนในการจ่ายเงินสมทบลดลง รวมเป็นจำนวนกว่า 15,660 ล้านบาท
ชิ้นที่ 2 เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ฝากครรภ์ กรณีสงเคราะห์บุตรจากเดิม 600 เป็น 800 บาทต่อเดือนต่อคน (ไม่เกิน 3 คน) ซึ่งเคมเปญนี้จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์มากถึง 1.362 ล้านคน โดยใช้งบประมาณ 13,739 ล้านบาทต่อปี ส่วนกรณีคลอดบุตรและฝากครรภ์ค่าคลอดบุตร จากเดิม 13,000 บาท ปรับเพิ่มเป็น 15,000 บาท และค่าฝากครรภ์ จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท เป็น 5 ครั้ง 1,500 บาท
ชิ้นที่ 3 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี แก่แรงงานที่รับงานไปทำที่บ้าน งวดที่ 1 – 12 ร้อยละ 0 ต่อปี งวดที่ 13 ขึ้นไป ร้อยละ 3 ต่อปี ภายใต้กรอบวงเงินกู้ 7,000,000 บาท รายบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มไม่เกิน 300,000 บาท โดยผู้สนใจสามารถยื่นกู้ตั้งแต่ 1 ต.ค.2563 ไปจนถึง 31 ส.ค.2564 ผู้ที่สนใจสามารถยื่นกู้ ได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
ชิ้นที่ 4 ฟรีอบรมความปลอดภัย 10,000 คน โดยรับสมัครผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้การบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยจากการทำงานลดลง หรือไม่เกิดขึ้น มีหน่วยฝึกความปลอดภัยเข้าร่วมแคมเปญกว่า 180 หน่วย มีผู้ได้รับประโยชน์ 10,000 คน ฟรีค่าบริการฝึกอบรมตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564
ชิ้นที่ 5 ฟรีฝึกอบรมออนไลน์ โดยได้จัดให้มีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ ฝึกอบรมผ่านระบบ Online (Application Zoom Meeting) โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้ารับการฝึกอบรมบนเว็บไซต์ http://www.dsd.go.th/DSD/Intro/ List Training แจ้งผลการฝึกอบรมและพิมพ์วุฒิบัตรผ่านระบบ Online ฟรี ในช่วงเดือนมกราคม 2564 นี้
นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานยังคงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานต่างๆ ด้วยการส่งเสริมการมีงานทำ การพัฒนาทักษะฝีมือตามความต้องการของตลาดแรงงาน การคุ้มครองแรงงานในทุกกลุ่ม ทุกมิติให้มีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศได้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญขอให้พี่น้องแรงงานทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มุ่งหวังสิ่งใดสมความปรารถนาในทุกประการทั้งนี้ พี่น้องแรงงานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมการอภิปราย หัวข้อเรื่อง "ขอบฟ้าแห่งการเรียนรู้ : ชุมชนคือฐานของงานยาเสพติดไทย" ภายในงานการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๓ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ร่วมการอภิปราย หัวข้อเรื่อง "ขอบฟ้าแห่งการเรียนรู้ : ชุมชนคือฐานของงานยาเสพติดไทย" ภายในงานการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๓
นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรอภิปราย หัวข้อเรื่อง "ขอบฟ้าแห่งการเรียนรู้ : ชุมชนคือฐานของงานยาเสพติดไทย" ภายในงานการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นวิทยากรอภิปราย หัวข้อเรื่อง "ขอบฟ้าแห่งการเรียนรู้ : ชุมชนคือฐานของงานยาเสพติดไทย"ภายในงานการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑ ปี ๒๕๖๓เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้รับทราบสถานการณ์ปัญหายาเสพติดและทิศทางนโยบายในการดำเนินงาน รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้อันจะนำไปสู่การพัฒนางานและผลักดันนโยบายด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่สำคัญโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมประชุมฯ การจัดงานดังกล่าว จัดโดย สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญ ตอนหนึ่งว่า การ “ป้องกัน” ปัญหาการติดยาเสพติด เป็นกระบวนการที่สำคัญในการไม่ให้คนเข้าไปสู่การติดยาเสพติด โดยจะต้องมีการจำแนกการคัดกรองผู้ติดยาเสพติด และนำไปบำบัดรักษาอย่างเหมาะสมไม่ให้กลับไปสู่สภาพแวดล้อมเดิมที่ก่อให้เกิดปัญหาการติดยาเสพติดดังนั้น จึงต้องมีการ “ค้นหา” “รักษา” และ “เฝ้าระวัง”นอกจากนี้ “ชุมชน” มีส่วนสำคัญในการค้นหาผู้ติดยาเสพติดเนื่องจากมีความใกล้ชิด และจะทราบว่าบุคคลใดเป็นกลุ่มเสี่ยงและนำไปส่งต่อรักษาบำบัดได้อย่างถูกวิธี รวมทั้ง ให้มีการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการใช้ยาเสพติดเพราะการป้องกันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแต่ต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาเพราะหากกลับออกมาจากการบำบัดแล้วกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมเดิมอาจทำให้กลับเข้าสู่การใช้ยาเสพติดได้อีกครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37868 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง "ยกเครื่อง" กฎกระทรวงส่งเสริม สนับสนุน SMEs พัสดุ Made in Thailand และ Eco-Friendly | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลาง "ยกเครื่อง" กฎกระทรวงส่งเสริม สนับสนุน SMEs พัสดุ Made in Thailand และ Eco-Friendly
กรมบัญชีกลางออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 โดยแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ
กรมบัญชีกลางออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 โดยแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ เพิ่มเติมหมวด 7/1 พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ และหมวด 7/2 พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศและสอดคล้องทันสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (กวจ.) และการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 โดยกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ
กำหนดให้พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน โดยกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนี้
1) กรณีพัสดุตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ 6 (1) - (5) เช่น ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพในหมู่บ้านและตำบล ผลิตภัณฑ์ของร้านค้าสหกรณ์ หรือสถาบันเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นเองหรืองานจ้างให้บริการรักษาความปลอดภัยขององค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผลิตภัณฑ์ขององค์กรหรือมูลนิธิเพื่อคนพิการที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย และผลิตภัณฑ์จากเรือนจำ สถานกักกัน หรือสถานกักขัง ตามเงื่อนไขที่กำหนด ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หากหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์ จะใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป หรือวิธีคัดเลือกก็ได้
2) กรณีผลิตผล ชิ้นงาน หรือบริการที่ผลิต หรือจัดทำขึ้นจาก SMEs ตามข้อ 6 (6) ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ขึ้นบัญชีไว้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณ
เพิ่มเติมหมวด 7/1 พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
กำหนดให้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศตามที่ได้ขึ้นบัญชีรายการพัสดุและบัญชีรายชื่อไว้กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
1) การจัดซื้อ ให้จัดซื้อพัสดุส่งเสริมการผลิตในประเทศตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ ศ. 2560 แต่หากเป็นกรณีมีแต่ไม่พอเพียงต่อความต้องการ หรือมีจำนวนน้อยราย หรือมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุที่ผลิตหรือนำเข้าจากต่างประเทศ ให้เสนอผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นพิจารณาโดยมีข้อยกเว้นตามที่กำหนด
2) การจัดจ้างงานก่อสร้าง ให้ใช้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของพัสดุที่จะใช้ในงานก่อสร้าง โดยให้ดำเนินการตามที่กำหนด
3) การจัดจ้างที่มิใช่งานก่อสร้าง ให้ใช้พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของวัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะใช้ในงานจ้าง ทั้งนี้ การจัดจ้างทั้งงานก่อสร้างและมิใช่งานก่อสร้างข้างต้น ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญากำหนดวิธีปฏิบัติ เพื่อให้คู่สัญญารายงานมูลค่า หรือปริมาณการใช้พัสดุให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นคู่สัญญาทราบ
เพิ่มเติมหมวด 7/2 พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ ทั้งนี้ หากพัสดุที่จะจัดซื้อจัดจ้างมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการเพียงรายเดียวให้ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง แต่ถ้าหากมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการตั้งแต่สองรายขึ้นไป ให้ใช้วิธีคัดเลือก
"นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ปรึกษาที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน ให้ครอบคลุมถึงสถาบันอุดมศึกษา ของรัฐทุกแห่ง โดยการยกเลิกความใน (ก) ของ (1) ของข้อ 29 แห่งกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ ในครั้งนี้ เพื่อกำหนดให้พัสดุที่จัดทำขึ้น หรือจำหน่ายโดยผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ และพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ รายละเอียดสามารถติดตามเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์ www.cgd go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37841 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. มอบของขวัญปีใหม่สู้ภัยโควิด ลดเบี้ยปรับ 100% | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กยศ. มอบของขวัญปีใหม่สู้ภัยโควิด ลดเบี้ยปรับ 100%
กยศ.มอบของขวัญปีใหม่สู้ภัยโควิด ลดเบี้ยปรับ 80 - 100% และลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่ค้างชำระหนี้ รวมถึงลดเงินต้น 5% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียวสำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระ ระยะเวลา 6 เดือน
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มอบของขวัญปีใหม่สู้ภัยโควิด ลดเบี้ยปรับ 80 - 100% และลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่ค้างชำระหนี้ รวมถึงลดเงินต้น 5% เมื่อชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียวสำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระ ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “จากการที่กองทุนได้มีมาตรการช่วยเหลือและให้โอกาสผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มาอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงินและเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้
1. ลดเบี้ยปรับ 100% กรณีชำระหนี้ปิดบัญชี สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกรายที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดี ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ www.studentloan.or.th โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
2. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ
3. ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว
4. ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวเป็นของขวัญปีใหม่ที่กองทุนมอบให้แก่ผู้กู้ยืมเงิน โดยกองทุนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านร่วมกันสู้เพื่อให้ผ่านสถานการณ์โควิดไปด้วยกัน ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการดังกล่าวได้ที่ www.studentloan.or.th โดยตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. (Line Official Account กยศ.) หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37844 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย
ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงข่าวร่วมกับนายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการสายงานกิจการโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พร้อมด้วยผู้บริหารของผู้ให้บริการมือถือทั้ง 5 เครือข่าย ร่วมแถลงข่าวการแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านบริการเอสเอ็มเอส (SMS) ให้กับชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย และแรงงานต่างด้าว จำนวน 2,804,000 เลขหมาย ตามฐานข้อมูลที่มีการลงทะเบียนไว้กับดีแทค ทรู เอไอเอส ทีโอที และกสท โทรคมนาคม ณ ห้อง MDES 1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และสื่อสารข้อมูลถึงคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย โดยเนื้อหาหลักๆ เป็นการให้ความรู้ คำแนะนำในการปฏิบัติตัว รวมทั้งให้ข้อมูลเบอร์โทร 1422 สำหรับการติดต่อกรมควบคุมโรค กรณีที่ต้องการคำปรึกษา หรือความช่วยเหลือเมื่อมีอาการเจ็บป่วย โดยเบื้องต้นจะมีข้อความภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมา ภาษากัมพูชา เพื่อให้เจ้าของภาษาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37859 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู
องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยจาก 3 เดือนเหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป็นสมาร์ทฮอสปิทัล ใช้ปัญญาประดิษฐ์คัดกรองวัณโรคปอด
องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยจาก 3 เดือนเหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป็นสมาร์ทฮอสปิทัล ใช้ปัญญาประดิษฐ์คัดกรองวัณโรคปอด ใช้ Smart Ambulance สร้างความปลอดภัยรถพยาบาลนำส่งผู้ป่วย
วันนี้(23ธันวาคม 2563) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรและติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลำภู
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า โรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา ได้พัฒนาระบบบริการ เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่ 8 ดูแลผู้ป่วยในจังหวัดหนองบัวลำภู เลย อุดรธานี หนองคาย และเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ให้บริการผ่าตัดตาต้อกระจกแล้ว 6,129 ราย ต้อเนื้อ 1,203 ราย รวมผ่าตัดทั้งสิ้น 7,332 ราย ลดเวลารอคอยการผ่าตัดจากประมาณ 3 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ และลดผู้พิการตาบอดจากโรคตาต้อกระจกได้เป็นจำนวนมาก นับเป็นการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้รับบริการ และขยายบริการสู่ อำเภอสุขภาพตาดี โดยคัดกรองสายตาสั้น ยาว เอียง ในเด็กประถมวัยครอบคลุมร้อยละ 77 รวมทั้งเป็นโรงพยาบาล Smart Hospital นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้คัดกรองวัณโรคปอดร่วมกับกรมการแพทย์ และเพิ่มความปลอดภัยในการนำส่งผู้ป่วยระหว่างสถานบริการด้วยระบบ Smart ambulance ร่วมกับบริษัทเอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ให้บริการทันตกรรมที่ซับซ้อนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อาทิ การรักษารากฟัน ทำครอบฟัน ฟันปลอมเฉพาะส่วน และฟันปลอมทั้งปาก มีระบบการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ให้บริการวันละ 40-50 คนต่อวัน ช่วยลดการรอคอยจากเดิม 2-3 เดือน เหลือเพียง 3 สัปดาห์
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2562 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชทานสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูลก่อสร้างระบบเครื่องกรองน้ำบริสุทธิ์ (RO) สามารถผลิตน้ำได้วันละ 12,000 ลูกบาศก์ลิตรต่อวัน และระบบออกซิเจนทางการแพทย์ ( O2 PIPE line) ให้บริการผู้ป่วยมากกว่า 1,000 รายต่อปี และในปี 2563 ได้รับพระราชทานงบประมาณการก่อสร้างปรับปรุงอาคารและระบบบริการผู้ป่วยนอก (อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) งบประมาณ 2,810,000 บาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และจะแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างภายในเดือนมกราคม 2564
************************************* 23 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37860 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจับมือกระทรวงกลาโหม ยืนยันไม่ให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กระทรวงมหาดไทยจับมือกระทรวงกลาโหม ยืนยันไม่ให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ
กระทรวงมหาดไทยจับมือกระทรวงกลาโหม ยืนยันไม่ให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย
ชี้แจงตามที่ปรากฏข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดนปล่อยปละละเลยให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ มีการจ่ายเงินค่าหัว จนทำให้แรงงานที่เข้ามาเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น กระทรวงมหาดไทยขอชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย กำหนดมาตรการในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการลักลอบเดินทางเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน โดยแบ่งพื้นที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน ดังนี้ 1) จังหวัดชายแดน การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดน ให้เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น ส่วนการปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค เพื่อคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมือง คัดกรองรถขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งกำหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) ประจำช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออก ของบุคคล สินค้าและยานพาหนะที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน หากพบแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมาย ให้ประสานหน่วยงานความมั่นคงดำเนินการตามกฎหมายทันที 2) จังหวัดชั้นใน ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยให้ประสานการปฏิบัติกับตำรวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสกัดกั้นการเดินทางเข้าออกและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว
กรณีจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ให้ตรวจสอบสถานประกอบการทุกแห่งในพื้นที่ที่จ้างแรงงานต่างด้าว โดยให้ตรวจคัดกรองโรคและตรวจหาเชื้อโดยการสุ่มตรวจ รวมทั้ง ให้สถานประกอบการจัดทำแผนความปลอดภัยด้านสาธารณสุข และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กรณีพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข และหากพบแรงงานลักลอบเดินทางเข้าประเทศ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงทำความเข้าใจและเน้นย้ำกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามมิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง และไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยหรืออาญา สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป กระทรวงมหาดไทยจะดำรงความเข้มข้นในการปฏิบัติตามมาตรการ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการตรวจสอบและเฝ้าระวังในระดับพื้นที่
ขณะเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ย้ำกองทัพ เพิ่มน้ำหนักงานข่าวและเข้มเฝ้าระวังชายแดนป้องกันการลักลอบข้ามแดน ได้เสริมกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นและเฝ้าตรวจตามช่องทางต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีช่องทางธรรมชาติเป็นแนวยาว โดยได้ขยายผลติดตั้งไฟส่องสว่างและกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมกว่า 40 ตัว รวมทั้งการวางแนวลวดหนามกว่า 100 ช่องทาง ระยะทางกว่า 6,000 เมตร และได้เพิ่มกำลังชุดปฎิบัติการและเครื่องมือเสริมการลาดตระเวนกลางวันและกลางคืน ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจภายในหมู่บ้าน ร่วมกับ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองต่อเนื่องกันมา
พร้อมกันนี้ กองทัพได้ให้น้ำหนักกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มข้นงานด้านการข่าวเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฏหมาย พร้อมทั้งได้ประสานการทำงานร่วมกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีจุดผ่านแดนร่วมกัน ร่วมเฝ้าตรวจดูแลมาตรการเฝ้าระวังป้องกันร่วมกันมากขึ้นในภาพรวม
----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรแจ้งเตือนผู้ประกอบการยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านอินเทอร์เน็ต ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
สรรพากรแจ้งเตือนผู้ประกอบการยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ผ่านอินเทอร์เน็ต ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
กรมสรรพากรขอแจ้งให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมีรายได้ทั้งหมดตามงบการเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท ในรอบบัญชีปี 2562 ยื่นแบบรายงาน Disclosure Form พร้อมชำระค่าปรับผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ www.rd.go.th ภายใน 30 ธันวาคม 2563 นี้
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามมาตรา 71 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรและมีรายได้ทั้งหมดตามงบการเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2562 มีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งกรมสรรพากรพบว่ายังมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยังไม่ได้ยื่นแบบรายงานดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกและให้การทำธุรกรรมภาษีเป็นเรื่องง่าย จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ยื่นแบบรายงาน Disclosure Form ยื่นแบบรายงานพร้อมชำระค่าปรับ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37858 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส สรุปสถิติข่าวปลอมและเว็บ/สื่อโซเชียลผิดกฎหมายในรอบปี 63 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส สรุปสถิติข่าวปลอมและเว็บ/สื่อโซเชียลผิดกฎหมายในรอบปี 63
ดีอีเอส สรุปสถิติข่าวปลอมและเว็บ/สื่อโซเชียลผิดกฎหมายในรอบปี 63
“พุทธิพงษ์” สรุปตัวเลขข่าวปลอมส่งท้ายปี 63 พบจำนวนข่าวที่ต้องคัดกรองกว่า 39 ล้านข้อความ และเข้าเกณฑ์ตรวจสอบ 7,420 เรื่อง ขณะที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ ได้ใจประชาชนมีจำนวนแจ้งเบาะแสเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดย 3 อันดับแรกที่มีการแจ้งเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ความมั่นคง, ความมั่นคง/การเมือง และพนันออนไลน์ โชว์ผลงานไตรมาส 4 ปิดเว็บพนันแล้ว 299 ยูอาร์แอล เงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท ประกาศชวน 4 หน่วยงานในสังกัดเตรียมมอบบริการฟรี และส่วนลดค่าบริการเป็นของขวัญปี 64 สำหรับประชาชน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวแถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงฯ ในการปราบปรามข่าวปลอม และเว็บไซต์/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมาย วันนี้ (22 ธ.ค.63) ว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.62 – 18 ธ.ค. 63 พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 39,209,284 ข้อความ โดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 20,829 ข้อความ และหลังจากคัดกรองพบจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 7,420 เรื่อง
โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุดอันดับ 1 คือ ระบบดักจับการสนทนาบนโลกออนไลน์ (Social Listening Tools) พบจำนวน 38,956,319 ข้อความ คิดเป็นสัดส่วนถึง 99.35% รองลงมาคือ บัญชีไลน์ทางการ เฟซบุ๊กเพจ และเว็บไซต์ทางการของศูนย์ฯ ตามลำดับ
ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทข่าวที่ต้องตรวจสอบ 7,420 เรื่อง มากกว่าครึ่ง หรือ 56% เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ มีจำนวน 4,190 เรื่อง ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,809 เรื่อง คิดเป็น 38% หมวดเศรษฐกิจ 266 เรื่อง คิดเป็น 4% และหมวดภัยพิบัติ 155 เรื่อง หรือประมาณ 2% ขณะที่ สัดส่วนข่าวปลอม ข่าวจริง และข่าวบิดเบือนในรอบปี 63 อยู่ที่อัตรา 7 ต่อ 2 ต่อ 1
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ด้านเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” มีประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสเว็บ/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายเข้ามา ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.-17 ธ.ค. 63 รวมทั้งสิ้น 39,300 เรื่อง หรือเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูล มีการเก็บหลักฐานนำส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตวจสอบและดำเนินการ 16,048 เรื่อง คิดเป็น 41% ส่วนอีก 23,222 เรื่อง หรือ 59% การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบยูอาร์แอล/หลักฐาน โดยสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการลบโพสต์หรือยูอาร์แอลนั้นไปก่อนแล้วเนื่องจากเกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการเก็บหลักฐานและส่งดำเนินการตามกฎหมาย พบว่า เป็นประเภทความผิด ด้านความมั่นคง 42.72% จำนวน 6,855 เรื่อง ตามมาด้วย ความมั่นคง/การเมือง 26.43% จำนวน 4,241 เรื่อง, การพนันออนไลน์ 17.73% จำนวน 2,845 เรื่อง, อื่นๆ 10.94% จำนวน 1,756 เรื่อง , การหลอกลวง 1.19% จำนวน 191 เรื่อง, ข่าวปลอม 0.63% จำนวน 101 เรื่อง และลามก 0.37% จำนวน 59 เรื่อง
สำหรับการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มต่างๆ ตามมาตรา 27 แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 5,494 ยูอาร์แอล โดยปิดกั้นแล้ว 3,107 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 1,755 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 1,722 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 674 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 63 ยูอาร์แอล และอื่นๆ จำนวน 520 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 133 ยูอาร์แอล
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากระทรวงฯ ขานรับนโยบายรัฐบาลในการรุกกวาดล้างเครือข่ายการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 ถึงปัจจุบัน ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เร่งดำเนินการจนสามารถสืบสวน และดำเนินการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มีคำสั่งศาลให้ระงับการแพร่หลายข้อมูลการพนันแล้ว จำนวน 1,711 ยูอาร์แอล
ขณะที่ ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ผลการปฏิบัติการปิดกั้นเว็บการพนันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. – 17 ธ.ค. 63 ได้ดำเนินการปิดกั้นแล้ว 299 ยูอาร์แอล จับกุมผู้ต้องหาได้ 143 ราย คิดเป็นมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท
รมว.ดีอีเอส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 ที่จะมาถึงนี้ กระทรวงฯ ชวนให้ 4 หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา, บมจ.ทีโอที, บมจ.กสท โทรคมนาคม และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดเตรียมของขวัญจำนวน 9 โครงการ เพื่อมอบให้กับประชาชน โดยมีทั้ง บริการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านเอสเอ็มเอส/ข่าวสารอุตุฯ โปรฯฟรีค่าโทรและไวไฟ ส่วนลดเติมเงินมือถือ ส่ง ส.ค.ส.ฟรีทางไปรษณีย์ และส่วนลด 20% สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน www.thailandpostmart.com ครบทุก 500 บาท พร้อมส่งฟรีทั่วไทย เป็นต้น
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. 1 เผย 9 ของขวัญปีใหม่มหาดไทย 64 เพื่อคนไทย Happy เมืองไทย Healthy | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
มท. 1 เผย 9 ของขวัญปีใหม่มหาดไทย 64 เพื่อคนไทย Happy เมืองไทย Healthy
มท. 1 เผย 9 ของขวัญปีใหม่มหาดไทย 64 เพื่อคนไทย Happy เมืองไทย Healthy
วันนี้ (23 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่ 2564 ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจส่งมอบให้ประชาชนด้วย 9 ของขวัญ ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อคนไทย Happy เมืองไทย Healthy ปี 2564” ได้แก่ (1) สถานธนานุบาลทั่วไทยลดอัตราดอกเบี้ยตลอดปี โดยระหว่างเดือน ม.ค. – ก.พ. 64 กำหนดอัตราดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยกรณีเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท 2 เดือนแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อเดือน กรณีเงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน และสำหรับผู้มาใช้บริการตั้งแต่เดือน มี.ค. – ธ.ค. 64 กรณีเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อเดือน และกรณีเงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน (2) ส่งสุขภาพดี วิถีใหม่ (Healthcare Delivery in the New Normal) โดยกรุงเทพมหานคร ส่งเสริมการบริการทางการแพทย์เชิงรุกในโรงพยาบาลสังกัด กทม. 11 แห่ง ด้วยการพัฒนาระบบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Mobile lab การจัดยาไปมอบให้ที่บ้าน การให้คำปรึกษา และการรักษาพยาบาลผ่านระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) รองรับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) (3) รู้ง่าย เข้าใจไว กฎหมายอาคาร โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง จัดทำ Infographic เรื่อง พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ผ่าน E –book Application Line และสื่อต่าง ๆ (4) SmartLands : App เดียวครบเครื่องเรื่องที่ดิน โดยกรมที่ดิน พัฒนาแอปพลิเคชั่นให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลในการติดต่อ/ติดตามงานบริการ 15 ด้าน อาทิ การนัดจดทะเบียนล่วงหน้า การค้นหารูปแปลงที่ดิน ในแอปฯ เดียว เพื่อความสะดวก ลดขั้นตอน ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และตอบสนองการใช้ชีวิต New normal (5) มท. สร้างสุข (Happy Creation) โดยกรมการพัฒนาชุมชนช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และครัวเรือนตกเกณฑ์ จปฐ. ปี 2562 โดยรวมผลผลิตจากกิจกรรม “90 วัน ปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร” รวบรวมต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์ผักแบ่งปันไม่น้อยกว่า 150,000 ครัวเรือน พร้อมมอบทุนอุปการะเด็ก หรือของใช้จำเป็นสำหรับเด็กแรกเกิด – 6 ปี เดือนละ 10 ทุน/จังหวัด ระยะเวลา 3 เดือน และมอบอุปกรณ์การประกอบอาชีพ ให้กับครัวเรือนเป้าหมาย (6) ของถูก ขายฟรี ของดี พาส่งออก โดยองค์การตลาด ช่วยเหลือ สนับสนุน และพัฒนาช่องทางการกระจายสินค้า ให้ประชาชนจำหน่ายสินค้าฟรี ณ ตลาดน้ำสวนผัก คลองสองนครา เขตตลิ่งชัน พร้อมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวในชุมชน และเปิดคลินิกช่วยเหลือผู้ประกอบการ ส่งสินค้าไปจีนฟรี ผ่านเว็บไซต์ www.poomjaimarket.com และ China Post (7) ติดมิเตอร์ใหม่ลดราคา การประปาจัดให้ โดยการประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ลดค่าติดตั้งประปา ร้อยละ 10 ให้ผู้ใช้น้ารายใหม่ประเภทที่อยู่อาศัย ที่ชำระเงินค่าติดตั้งในเดือน ม.ค. –ก.พ. 64 (8) งานไฟในบ้าน หารคนละครึ่ง กับไฟฟ้านครหลวง ลดภาระค่าใช้จ่ายการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าร้อยละ 50 (ส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท ต่อหมายเลขเครื่องวัดจนครบ 10 ล้านบาท) อาทิ ระบบแสงสว่าง งานวงจรเต้ารับ เครื่องทาน้าอุ่น ให้กับประชาชนในเขตพื้นที่บริการของ กฟน. ที่ใช้บริการ เมื่อใช้บริการและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน MEA e-Fix ในเดือน ม.ค.–ก.พ. 64 และ (9) ติดมิเตอร์ทันใจกับไฟฟ้าภูมิภาค ด้วยการพัฒนาการบริการแบบ One Touch Service ในการขอใช้ไฟฟ้า และติดตั้งมิเตอร์รายใหม่ ที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ณ จุดเดียว ครั้งเดียว ทุกพื้นที่
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทย จะช่วยให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ลดภาระค่าใช้จ่าย พร้อมดูแลรักษาสุขภาพตามหลักชีวิตวิถีใหม่ ไปพร้อมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ใช้ชุมชนเป็นฐานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
สธ. ใช้ชุมชนเป็นฐานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
กระทรวงสาธารณสุข ยึดหลักผู้เสพติดคือผู้ป่วย ปรับระบบการทำงานในสถานการณ์โควิด 19 เชื่อมโยงการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติด ใช้ชุมชนเป็นโรงพยาบาล ใช้บ้านเป็นเตียงผู้ป่วย ผู้นำชุมชนและ อสม. เป็นแพทย์และพยาบาล เร่งสร้างความรอบรู้ประชาชน ใช้เทคโนโลยี ปรับระบบ
กระทรวงสาธารณสุข ยึดหลักผู้เสพติดคือผู้ป่วย ปรับระบบการทำงานในสถานการณ์โควิด 19 เชื่อมโยงการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติด ใช้ชุมชนเป็นโรงพยาบาล ใช้บ้านเป็นเตียงผู้ป่วย ผู้นำชุมชนและ อสม. เป็นแพทย์และพยาบาล เร่งสร้างความรอบรู้ประชาชน ใช้เทคโนโลยี ปรับระบบบริการให้ผู้ป่วย/ผู้ติดยาเข้าถึงการแพทย์วิถีใหม่ ลดการเดินทาง ลดแออัด ลดการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ที่อิมแพคฟอรัม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ นโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดในยุค COVID ในการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ปี 2563 จัดโดยสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ โดยมีผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศร่วมประชุมกว่า 1,900 คน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดให้การป้องกันปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยใช้การสาธารณสุขนำ เพื่อลดอันตราย ผลกระทบทั้งต่อตัวผู้เสพ ครอบครัว และสังคม ยึดหลักผู้เสพติดคือผู้ป่วย ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม เชื่อมโยงการทำงานบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง ใช้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม เน้นการค้นหากลุ่มเสี่ยงเพื่อนำเข้าสู่ระบบการบำบัดแบบสมัครใจ ให้ได้รับการดูแลช่วยเหลือ บำบัดฟื้นฟู ทางกาย จิต สังคม อย่างต่อเนื่อง และติดตามดูแลเมื่อกลับสู่ชุมชน เพื่อป้องกันการกลับมาเสพซ้ำ หลุดพ้นจากวงจรอันตรายของยาเสพติด ที่คาดประมาณว่ามีผู้เริ่มใช้ยาเสพและผู้ติดยามากกว่า 2 ล้านคน ส่งผลให้เกิดโรคติดต่อ โรคทางจิตเวช โดนไล่ออกจากงาน ตกงาน ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม ก่อคดีอาญา เมื่อออกจากเรือนจำ กลับไปใช้ยาและก่อคดีรุนแรงขึ้นวนเวียนเป็นวงจร
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับกรอบแนวคิดการดำเนินงานด้านยาเสพติด ประกอบด้วย การป้องกันการเสพ โดยการสร้างความรอบรู้ประชาชน ให้เท่าทัน ไม่ใช้ยาเสพติด นำเทคโนโลยีมาใช้ปรับระบบการทำงาน ปรับระบบบริการให้ผู้ป่วย/ผู้ติดยาเข้าถึงการแพทย์วิถีใหม่ เช่น การให้คำปรึกษาออนไลน์ มีระบบสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านสังคมที่สนับสนุนการบำบัดรักษา ที่สำคัญคือการใช้ชุมชนเป็นโรงพยาบาล ใช้บ้านเป็นเตียงนอนผู้ป่วย ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในชุมชนคือแพทย์และพยาบาล โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์เป็นที่ปรึกษา สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ดูแลกันเองได้ตามบริบทของพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ต้องลดการเดินทาง ลดแออัด ลดการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล ปัจจุบันมี อสม.ที่ผ่านการอบรมเป็นอสม.ด้านยาเสพติดบูรณาการแล้ว 14,763 คน ในปี 2564 จะอบรมเพิ่มให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เป้าหมาย 5,542 หมู่บ้าน
**************************** 23 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เผย รพ.สนาม พร้อมรักษาแรงงานติดเชื้อโควิด 19 ในตลาดกลางกุ้ง | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ปลัด สธ.เผย รพ.สนาม พร้อมรักษาแรงงานติดเชื้อโควิด 19 ในตลาดกลางกุ้ง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้ง พร้อมให้รักษาเบื้องต้นแรงงานติดเชื้อโควิด 19 หากมีอาการหนักจะส่งไปยังโรงพยาบาล ตามหลักมนุษยธรรม พร้อมส่งทีมเอ็มแคท ดูแลสภาพจิตใจ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้ง พร้อมให้รักษาเบื้องต้นแรงงานติดเชื้อโควิด 19 หากมีอาการหนักจะส่งไปยังโรงพยาบาล ตามหลักมนุษยธรรม พร้อมส่งทีมเอ็มแคท ดูแลสภาพจิตใจ
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ ผู้ติดเชื้อโควิด 19 และการตั้งโรงพยาบาลสนามในบริเวณตลาดกลางกุ้ง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นที่บริเวณตลาดกลางกุ้งซึ่งเป็นบริเวณที่มีผู้ติดเชื้อค่อนข้างมาก ลักษณะเป็นCohortward ให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย และให้การรักษาเบื้องต้นโรคทั่วไป วางแผนครอบครัว ฉีดยาคุมกำเนิด และสุขภาพจิต ตามหลักมนุษยธรรม ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล มีทีมแพทย์และพยาบาลประจำ หากมีอาการรุนแรงจะส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาผู้ป่วยแล้ว 75 คน
สำหรับการวางระบบโรงพยาบาลสนาม มีสถาบันบําราศนราดูร กรมควบคุมโรค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้ามาจัดการระบบวิศวกรรม ระบบกรองอากาศ และการกำจัดสิ่งปฏิกูล ตามมาตรฐานโรงพยาบาลสนาม โดยแบ่งโซนบริการเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนสีแดงคือบริเวณหอพัก โซนสีส้ม คือจุดรอรักษาและคัดกรอง และโซนสีเขียวคือจุดพยาบาลปฏิบัติการ ขณะนี้ให้บริการแล้ว 30 เตียง กำลังเพิ่มจำนวนโดยได้รับการสนับสนุนเตียงจากทหาร คาดว่าจะจัดเตียงรองรับได้สูงสุด 100 เตียง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า จากการประเมินการระบาด ขณะนี้เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว วางแผนว่าจะนำคนที่กักตัวครบ 14 วันออกมาเจาะเลือดตรวจหาภูมิต้านทาน ซึ่งหากมีภูมิต้านทานแล้วถือว่าหายป่วย จะย้ายออกไปอยู่ในบริเวณอื่นที่ภาครัฐจัดไว้ให้ การดูแลสุขภาพแรงงานในหอพักที่ตลาดกลางกุ้งแห่งนี้ จัดว่าเป็นCluster Quarantine เพื่อกักกันไม่ให้เกิดการเดินทางและเกิดการแพร่เชื้อ มีทีมอาสาสมัครแรงงานต่างด้าว(อสต.) ช่วยในการสื่อสารและให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ผู้ที่อยู่ภายในที่พัก มีการจัดส่งอาหารที่พอเพียงและระบบป้องกันโรค นอกจากนี้ยังมีทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงพื้นที่ดูแลด้านสุขภาพจิตด้วย
“ในวันนี้ได้นำอาหารและเจลแอลกอฮอล์มาแจกจ่าย เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้รับการดูแลเบื้องต้นหากมีอาการหนักจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาล การกักตัวในสถานที่แห่งนี้และการนำผู้ที่หายป่วยออกเป็นไปตามหลักการสาธารณสุข จากการสอบถามแรงงานที่อยู่ในหอพักพบว่ามีความเข้าใจกับมาตรการและจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ รักษามาตรการสวมหน้ากากล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง และช่วยกันดูแลหากพบเห็นแรงงานเล็ดลอดออกจากพื้นที่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อป้องกันการหลบหนีไปแพร่เชื้อบริเวณอื่น” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
************************************* 23 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37870 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการจ่ายชำระฯ สินเชื่อฉุกเฉินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส และ A-Mobile | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. เพิ่มช่องทางการจ่ายชำระฯ สินเชื่อฉุกเฉินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส และ A-Mobile
ธ.ก.ส. แนะช่องทางการจ่ายชำระฯ สินเชื่อฉุกเฉิน ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสและ A-Mobile เพิ่มเติมจากการชำระที่ ธ.ก.ส. สาขา เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตั้งแต่ 20 ธันวาคม เป็นต้นไป
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้เปิดให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปสมัครขอสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่เกษตรกร ครอบครัวเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ช่วยลดปัญหาและป้องกันการพึ่งพาหนี้นอกระบบที่มีภาระดอกเบี้ยสูง โดยมีผู้ยื่นขอสินเชื่อฉุกเฉินผ่าน LINE Official BAAC Family ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน จนถึง 15 ธันวาคม 2563 ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้อนุมัติสินเชื่อและจ่ายเงินแล้วไปแล้วทั้งสิ้น 873,081 ราย เป็นเงิน 8,675 ล้านบาท
สำหรับการชำระหนี้ในงวดแรก 30 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารกำหนดให้ชำระที่ ธ.ก.ส. สาขาเท่านั้น ซึ่งลูกค้าบางรายไม่ได้รับความสะดวก ธ.ก.ส. จึงได้พัฒนารูปแบบการชำระหนี้ โดยมีการแจ้งเตือนยอดหนี้ของลูกค้าทุกรายที่มีหนี้ถึงกำหนดชำระผ่านทาง SMS ทุกวันที่ 15 ของเดือน โดยการชำระหนี้สามารถ ทำได้ 2 วิธี คือ ชำระหนี้เป็นเงินสด ซึ่งเมื่อลูกค้าได้รับ SMS แจ้งเตือน ตัวอย่างเช่น “เรียน คุณเกษตรกร สบายดี สินเชื่อฉุกเฉินโควิดของท่านจะครบกำหนดชำระวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ชำระได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา รายละเอียดคลิก (แนบลิ้งก์ ใบแจ้งเตือนหนี้โดยกรอก OTP และเลขบัตรประชาชนเพื่อเปิดเอกสาร) ขออภัยหากท่านชำระแล้ว” ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเช็คข้อมูลเอกสารใบแจ้งหนี้ดังกล่าวผ่านลิ้งก์ที่แนบ จากนั้นให้ลูกค้านำไปชำระหนี้ที่สาขาหรือช่องทางที่ธนาคารกำหนด กรณีหักบัญชีเงินฝาก เมื่อได้ SMS แจ้งเตือน ให้ลูกค้านำเงินเข้าบัญชีเงินฝาก เพื่อที่ระบบจะหักชำระหนี้ต่อไป
นอกจากชำระผ่าน ธ.ก.ส. สาขาทั่วประเทศแล้ว ธนาคารได้พัฒนาช่องทางการชำระเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อฉุกเฉินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสใน 7-Eleven โดยลูกค้าสามารถแสดงเอกสารใบแจ้งเตือนที่ส่งมาพร้อม SMS ต่อพนักงานผู้ให้บริการ ค่าธรรมเนียม 10 บาท และช่องทางผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile โดยสแกน QR Code ที่อยู่ในใบแจ้งเตือน ระหว่างเวลา 00.30 ถึง 21.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งสามารถใช้บริการข้างต้นได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37842 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔๑/๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔๑/๒๕๖๓
โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับมาตรการของกระทรวงยุติธรรม
ที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด-19
โดยให้มีการปรับห้องทดลองของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้สามารถตรวจพิสูจน์หาเชื้อโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่
รวมถึงให้กรมราชทัณฑ์มีมาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยงดการเยี่ยมญาติของผู้ต้องขังในรูปแบบปกติ แต่ให้เยี่ยมผ่านระบบแอปพลิเคชั่นไลน์
เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และเตรียมความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอนาคต
นอกจากนี้ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อาทิ
เรื่องความคืบหน้าการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (JSOC)
และการจำหน่ายสินค้าราชทัณฑ์ในระบบออนไลน์ รวมถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณ
ของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37867 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา แถลงข่าวเตรียมจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รมช.มนัญญา แถลงข่าวเตรียมจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564
รมช.มนัญญา แถลงข่าวเตรียมจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 หนุนเกษตรกรโคนมไทยสู่วิถีอนาคตNEXT NORMAL ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผลักดันอุตสาหกรรมโคนมไทยมุ่งสู่ระดับสากล
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2564 ว่า งานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ดำเนินการโดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-17 มกราคม 2564 ซึ่งพิธีเปิดในวันที่ 8 มกราคม 2564 ได้รับเกียรติจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานพิธีเปิดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อส่งเสริม พัฒนา ยกระดับและผลักดันอุตสาหกรรมโคนมไทยมุ่งสู่ระดับสากล สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม และสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรตรกรโคนมไทยทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตลอดจนให้การส่งเสริมด้านความรู้แก่เกษตรกรโคนม โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนากระบวนผลิตให้ได้น้ำนมคุณภาพ เพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์นมจากเกษตรโคนมไทยสู่กลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคนม ให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์นมของคนไทยอย่างยั่งยืน
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และเป็นที่ทราบดีว่าความตกลงการค้าเสรีจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปต่างประเทศได้โดยไม่มีการกีดกันทางการค้า ซึ่งเราต้องยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นมไทยให้ได้คุณภาพ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์นมไทยให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล โดย อ.ส.ค. มีองค์ความรู้ด้านต่างๆ ถ่ายทอดให้เกษตรกรนำองค์ความรู้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์นมต่อไป" รมช.มนัญญา กล่าว
นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการแทนผู้อำนวยการ อ.ส.ค. กล่าวเพิ่มเติมว่า งานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2564 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีโคนมไทยสู่ NEXT NORMAL” โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมไทยที่ต้องมองไปข้างหน้าและกำลังเข้าสู่ Next Normal เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างแข็งแกร่ง และเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมโคนมไทยเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในอนาคตได้
ทั้งนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนภารกิจหลักด้านการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม พัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทยสู่ระดับนานาชาติ โดย อ.ส.ค. ให้การสนับสนุนองค์ความรู้การเลี้ยงโคนมแก่เกษตรกร เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่อาชีพ “โคนมพระราชทาน” น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณใน “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่9) ภายในงาน เทศกาลเทศกาลโคนมแห่งชาติ ยังเป็นโอกาสให้กลุ่มสหกรณ์โคนม และเกษตรกรโคนมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการเลี้ยงโคนม ด้านการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพอีกด้วย เกษตรกรโคนมสามารถนำองค์ความรู้ไปปรับใช้ในฟาร์มโคนมของตน ช่วยยกระดับมาตรฐานของน้ำนมดิบให้มีคุณภาพ และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงานและมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2564 ในการสัมมนา เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงานและมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2564 ในการสัมมนา เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 และแนวโน้มปี 2564
“เดินหน้าเกษตรวิถีใหม่ ขับเคลื่อนไทยอย่างยั่งยืน” เน้นย้ำต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนต่อภาคการเกษตร
นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานและมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี2564ในการสัมมนาเรื่องภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี2563และแนวโน้มปี2564 “เดินหน้าเกษตรวิถีใหม่ขับเคลื่อนไทยอย่างยั่งยืน”โดยมีนายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายธนาชีรวินิจเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯเข้าร่วมณโรงแรมรามาการ์เด้นส์ว่าภาคเกษตรถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทยเนื่องจากภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่เป็นรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติโดยประชากรประมาณร้อยละ40ของประเทศอยู่ในภาคเกษตรและจากการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภัยธรรมชาติที่รุนแรงการแพร่ระบาดของโควิด-19รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกสงครามทางการค้าระหว่างประเทศความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรของไทยซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯได้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรและภาคเกษตรของไทยโดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทอาทิการส่งเสริมสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นการทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์การพัฒนาสินค้าเกษตรจากฐานชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสู่เกษตรอัจฉริยะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรการจัดหาปัจจัยการผลิตรวมทั้งการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตร
สำหรับการดำเนินการในปี2564ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดวิธีการทำงานรวมทั้งนโยบายด้านการเกษตรให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศและทันต่อบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งแนวทางในการขับเคลื่อนภาคเกษตรภายใต้หลักตลาดนำการผลิตซึ่งจะให้ความสำคัญตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการของตลาดทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพเพื่อเชื่อมโยงกับการวางแผนการผลิตและนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมีการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารการตรวจสอบย้อนกลับตลอดจนส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้แนวทางการพัฒนาในทุกด้านจะยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลางและคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลักมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยได้ดำเนินการในเรื่องต่างๆได้แก่1)บริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบบริหารจัดการน้ำอย่างมีคุณค่า2)บริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ตรงตามศักยภาพของที่ดินและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากที่สุด3)ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.)เพื่อบ่มเพาะเกษตรกรให้เป็นSmart Farmer 4)ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC)เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการเกษตรสนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรการประดิษฐ์นวัตกรรมรวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละจังหวัด5)ส่งเสริมสถาบันเกษตรกรผู้ประกอบการและStart upเป็นหน่วยธุรกิจให้บริการทางการเกษตร(Agricultural Service Providers: ASP)เพื่อยกระดับสู่การให้บริการทางการเกษตรแบบครบวงจร6)พัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรเพื่อตอบสนองต่อโซ่อุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตรออนไลน์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง7)พัฒนาช่องทางการตลาดโดยเพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลายทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์และออฟไลน์8)เกษตรพันธสัญญา(Contract Farming)เพื่อสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพการผลิตอย่างยั่งยืนระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการและร่วมกันยกระดับคุณภาพผลผลิตและแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด9)การประกันภัยพืชผลให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียต่อพืชผลที่เอาประกันภัย10)ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร11)สร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก12)ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน13)การวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทยบนพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและผู้บริโภคและ14)ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลBig Dataในการเชื่อมโยงการทำการเกษตรร่วมกับหน่วยงานต่างๆ
“การที่จะดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวให้บรรลุตามเป้าหมายนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในระดับพื้นที่ระดับประเทศและระหว่างประเทศมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้องรวมถึงทูตเกษตรทูตพาณิชย์และองค์การระหว่างประเทศในการหาตลาดและแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคเพื่อให้เกษตรกรไทยได้ปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามอุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรการสัมมนาในวันนี้จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ทุกภาคส่วนได้ทราบถึงสถานการณ์เศรษฐกิจการเกษตรและปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบรวมทั้งแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี2564ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรข้อคิดเห็นต่างๆที่ได้แลกเปลี่ยนกันนี้จะสามารถนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อรองรับกับสถานการณ์หรือปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในระยะต่อไป”นายเฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมหารือเลขาธิการ APPU แผนงานจัดอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ปี 2564 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ร่วมหารือเลขาธิการ APPU แผนงานจัดอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ปี 2564
ดีอีเอส ร่วมหารือเลขาธิการ APPU แผนงานจัดอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ปี 2564
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิกวาระพิเศษ ผ่านระบบประชุมทางไกล (Online Conference) โดยมี Mr. LIN Hongliang เลขาธิการสหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก (APPU) ร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมได้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการฝึกอบรมและสถานะทางการเงินในปี 2020 พร้อมการเสนอร่างค่าธรรมเนียมฝึกอบรมหลักสูตรออนไลน์ฯ และที่ประชุมเห็นชอบนำเสนอแผนในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม/Workshop ใน 2021 โดยเสนอให้อบรมใน 2 รูปแบบ คือ จัดอบรมออนไลน์ในระหว่างเดือนมกราคม- มิถุนายน 2564 และจัดฝึกอบรมปกติ ณ APPC ในระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2564 แบบที่ 2 จัดฝึกอบรมออนไลน์ตลอดทั้งปี ทั้งนี้เพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก การประชุมครั้งนี้มีผู้เกี่ยวข้องจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสำนักงานใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก เข้าร่วม ณ ห้องประชุม auditorium ชั้น 2 สำนักงาน APPU ปณท.
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37840 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ เคาะกรอบงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 5 ม.ค.64 ย้ำพิจารณางบรายจ่ายประจำให้ลดลงเหมาะสม โดยคงการจัดสรรงบดูแลกลุ่มเปราะบาง | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
นายกฯ ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ เคาะกรอบงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 5 ม.ค.64 ย้ำพิจารณางบรายจ่ายประจำให้ลดลงเหมาะสม โดยคงการจัดสรรงบดูแลกลุ่มเปราะบาง
นายกฯ ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ เคาะกรอบงบประมาณปี 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 5 ม.ค.64 ย้ำพิจารณางบรายจ่ายประจำให้ลดลงเหมาะสม โดยคงการจัดสรรงบดูแลกลุ่มเปราะบางทั้งหมด
วันนี้ (23 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ร่วมกับ 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
การประชุมร่วม 4 หน่วยงานในวันนี้เป็นไปตามกฎหมายวิธีการงบประมาณเพื่อกำหนดวงเงินงบประมาณในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาวงเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2565 ในวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท โดยเป็นวงเงินที่ลดลงจากงบประมาณปี พ.ศ. 2564 จำนวน 185,900 ล้านบาทเศษ หรือลดลงร้อยละ 5.66 เป็นไปตามประมาณการด้านรายได้ที่กระทรวงการคลังประมาณการไว้ที่ 2.4 ล้านล้านบาท โดยจะเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 7 แสนล้านบาท ซึ่งมีสมมติฐานเศรษฐกิจและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ สศช. และ ธปท. ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปี 2565 ข้อมูลจาก สศช. ได้ประมาณการว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 3.5 โดยในปี 2564 ได้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4 ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี 2564 และปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ขณะที่มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ปี 2565 อยู่ที่ 17.328 ล้านบาท สำหรับงบลงทุนในปี 2565 จะลดลงจากปี 2564 ที่วงเงิน 649,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 ของวงเงินงบประมาณ โดยในปี 2565 ได้ตั้งงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ 620,000 ล้านบาท คงไว้ตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังฯ ที่ร้อยละ 20 ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้นำเสนอรายละเอียดอีกครั้งหลังจากนำผลการประชุมวันนี้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 5 มกราคม 2564
นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้สำนักงบประมาณไปพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำให้ลดลงอย่างเหมาะสม โดยให้คงไว้สำหรับการดูแลงานประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ บัตรสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มเปราะบางทั้งหมด คนพิการ คนชรา เด็กเล็ก ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมกำชับให้จัดสรรงบประมาณสำหรับการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำ ในปี 2564 ได้ตั้งไว้ที่ 2.537 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 77 ของวงเงินงบประมาณ ส่วนในปี 2565 ตั้งไว้ที่ 2.354 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 75 ของวงเงินงบประมาณ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณมีนโยบายในการที่จะลดงบประมาณรายจ่ายประจำมาโดยตลอด โดยจะขอให้ส่วนราชการทบทวน โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประสิทธิภาพในการใช้จ่าย และผลสัมฤทธิ์ของการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ทั้งงบลงทุนและงบประจำ กรณีที่เป็นงบรายจ่ายประจำก็ต้องพิจารณาตามเกณฑ์ สำหรับงบรายจ่ายประจำในปี 2565 ในส่วนของค่าใช้จ่ายในรายการที่เกี่ยวกับด้านสังคมยังคงไว้ตามเดิม ไม่ได้ปรับลด
ทั้งนี้ วงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินเบื้องต้นที่จะต้องพิจารณาความจำเป็นและคำขอของส่วนราชการต่าง ๆ อีกครั้ง โดยจะมีการหารือกับส่วนราชการถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประจำหรืองบลงทุน ว่าสามารถชะลอได้หรือไม่ สามารถใช้มาตรการอื่นจากเงินนอกงบประมาณ เงินกองทุนที่มีอยู่ เช่น กองทุน Thailand Future Fund เป็นต้น ได้หรือไม่ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน PPP ที่จะต้องออกเป็นมาตรการ โดยพยายามรักษาวงเงินงบลงทุนในระบบเศรษฐกิจโดยรวมทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้สูงกว่าในปีที่ผ่าน ๆ มา ต้องขอความร่วมมือให้ช่วยกัน ซึ่งเลขาธิการ สศช. ได้ขอให้รัฐวิสาหกิจมีการลงทุนเพิ่ม โดยกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจะไปพิจารณาว่ามีโครงใดที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะทำร่วมกันได้บ้าง ในภาพรวมแล้ววงเงินงบประมาณปี 2565 และอื่น ๆ ยังคงดีอยู่ เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ได้
สำหรับงบประมาณในส่วนที่เป็นสวัสดิการต่าง ๆ มีการตั้งงบประมาณไว้เพียงพออยู่แล้ว สำนักงบประมาณพยายามลดรายจ่ายประจำโดยต้องไม่กระทบต่อสังคม ยังมี พรก. กู้เงินฯ ที่สามารถนำมาช่วยดูแลด้านของสังคม สำหรับรายจ่ายประจำที่สามารถชะลอ ลดลงได้ เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ การประชุมสัมมนา New Normal ที่เป็นการประชุมทางไกล ที่ลดลงได้บางส่วน โดยส่วนที่จะลดลงได้คือ เงินที่จะสมทบรายการต่าง ๆ กองทุน ที่ส่วนราชการเสนอขอ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระทรวงการคลังจะขอคืนเงินกองทุนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ มาเก็บชะลอไว้ก่อน สำหรับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่อาจจะลดลง แต่รายได้ต่อหัว สวัสดิการเด็กนักเรียนยังครบถ้วนอยู่ จำนวนเด็กนักเรียนลดลงร้อยละ 5 – 6 ต่อปีอยู่แล้ว ฉะนั้นวงเงินของกระทรวงฯ อาจจะลดลง ด้านงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขก็อาจจะลดลงเพราะมีส่วนหนึ่งที่ไปเป็นค่าจ้างพนักงานและลูกจ้าง ที่ปีที่ผ่านมาได้ปรับสถานะเป็นข้าราชการ 45,000 อัตรา ทำให้ยกสถานะจากเงินกองทุนเป็นงบบุคลากร เป็นต้น ตามที่มีข่าวว่าอาจจะลด แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ลด ยังคงเหมือนเดิม ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้ลดลง ยืนยันว่าไม่กระทบในส่วนนี้
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37849 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย 4 พื้นที่เสี่ยง จ.สมุทรสาคร มีประวัติเดินทางต้องตรวจหาเชื้อโควิด 19 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
สธ. เผย 4 พื้นที่เสี่ยง จ.สมุทรสาคร มีประวัติเดินทางต้องตรวจหาเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลคัดกรองโควิด 19 เชิงรุก จ.สมุทรสาคร 9,451 ราย ผลแล็บออก 6,314 ราย พบติดเชื้อ 1,202 ราย คิดเป็นร้อยละ 19 ภาพรวมการติดเชื้อลดลง และผู้ติดเชื้อที่ตรวจในโรงพยาบาล 76 ราย ทำให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสมุทรสาครเป็น 1,278 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลคัดกรองโควิด 19 เชิงรุก จ.สมุทรสาคร 9,451 ราย ผลแล็บออก 6,314 ราย พบติดเชื้อ 1,202 ราย คิดเป็นร้อยละ 19 ภาพรวมการติดเชื้อลดลง และผู้ติดเชื้อที่ตรวจในโรงพยาบาล 76 ราย ทำให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสมุทรสาครเป็น 1,278 ราย และมีผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้งใน 22 จังหวัด รวม 65 ราย แนะประชาชนเคยเดินทางไป 4 พื้นที่เสี่ยง ได้แก่ ตลาดกลางกุ้ง ตลาดทะเลไทย ตลาดมหาชัย และชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13 ให้ไปรับการตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และแพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 จังหวัดสมุทรสาคร โดยนายแพทย์โสภณกล่าวว่า ผลคัดกรองเชิงรุกในจ.สมุทรสาคร จำนวน 9,451 ราย ออกแล้ว 6,314 ราย พบติดเชื้อ 1,202 ราย อัตราการติดเชื้อคิดเป็นร้อยละ 19 ถือว่าลดลงจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ประมาณร้อยละ 22.89 ผลไม่พบเชื้อ 5,112 ราย นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน จ.สมุทรสาครอีก 76 ราย เป็นคนไทย 72 ราย และเมียนมา 4 ราย ส่งผลให้การติดเชื้อโควิด 19 ใน จ.สมุทรสาคร รวมเป็น 1,278 ราย
สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่พบผู้ป่วยโควิด 19 และมีความเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร มีจำนวน 22 จังหวัด รวม 65 ราย ได้แก่ กทม. 16 ราย นครปฐม 10 ราย ฉะเชิงเทรา 6 ราย สมุทรปราการและสระบุรี จังหวัดละ 5 ราย ปทุมธานี 3 ราย กำแพงเพชร นนทบุรี ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา จังหวัดละ 2 ราย กระบี่ ขอนแก่น นครราชสีมา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ภูเก็ต สุพรรณบุรี อุตรดิตถ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ และชัยนาท จังหวัดละ 1 ราย โดยตัวเลขของแต่ละจังหวัดอาจเพิ่มขึ้น หากมีการสอบสวนค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังเชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง มีเพียง 1-2 รายที่ติดเชื้อจากการมีคนในครอบครัวไปตลาดกุ้งแล้วติดเชื้อ
ทั้งนี้ การติดเชื้อของ จ.สมุทรสาคร จุดศูนย์กลางยังอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง โดยตรวจคัดกรอง 2,052 ราย พบติดเชื้อ 901 ราย คิดเป็นร้อยละ 44 ชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13 ตรวจคัดกรอง 2,074 ราย พบติดเชื้อ 134 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.5 ตลาดทะเลไทย ตรวจคัดกรอง 963 ราย พบติดเชื้อ 137 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 สะพานปลา ตรวจคัดกรอง 491 ราย พบติดเชื้อ 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.4 และชุมชนท่าจีน ตรวจคัดกรอง 449 ราย พบติดเชื้อ 18 ราย คิดเป็นร้อยละ 4 ซึ่งผลดังกล่าวทำให้ทราบขอบเขตและขนาดของปัญหา คือ มีการติดเชื้อที่จุดแรกสูง แต่เมื่อห่างออกมาการติดเชื้อก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายชุมชนที่รอผลการตรวจ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับการดูแลสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่กักกันในอยู่หอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง มีการตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลรักษากรณีมีอาการเจ็บป่วยน้อย หากมีอาการมากจะส่งต่อรักษาในโรงพยาบาล โดยวันที่ 22 ธันวาคม 2563 มีแรงงานต่างด้าวมารับบริการ 75 ราย พบว่ามีอาการเล็กน้อย คือ ปวดเมื่อย ไข้ ปวดศีรษะ แต่ส่วนใหญ่ตรวจแล้วไม่ใช่โควิด 19 ส่วนวันที่ 23 ธันวาคม 2563 มารับบริการเพิ่ม 44 ราย พบ 1 ราย มีไข้ อาการทางเดินหายใจ และเหนื่อย จึงตรวจรักษาเบื้องต้นและส่งต่อโรงพยาบาลสมุทรสาคร ขณะนี้ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ จังหวัดอื่นมีการยกระดับการเฝ้าระวังคัดกรองผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนยังคงสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดจะช่วยป้องกันตนเองได้
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนประวัติการเดินทางของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในช่วง 14 วันก่อนเริ่มป่วย พบว่า ผู้ป่วยใน จ.สมุทรสาคร ร้อยละ 44 ไปตลาดกลางกุ้ง, ร้อยละ 14 ไปตลาดทะเลไทย, ร้อยละ 6 ไปตลาดมหาชัย, ร้อยละ 7 ไปชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13, ร้อยละ 1 ไปแพกุ้งมหาชัย และร้อยละ 1 ไปสะพานปลาไทย ส่วนผู้ป่วยนอก จ.สมุทรสาคร พบว่า ร้อยละ 60 ไปตลาดกลางกุ้ง, ร้อยละ 45 ไปตลาดทะเลไทย, ร้อยละ 10 ไปตลาดมหาชัย และร้อยละ 5 ไปแพกุ้งมหาชัย จากข้อมูลนี้ทำให้ระบุได้ว่า มี 4 พื้นที่เสี่ยงต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกคน ได้แก่ ตลาดกลางกุ้ง ตลาดทะเลไทย ตลาดมหาชัย และชุมชนซอยเศรษฐกิจ 13 ส่วนคนที่เดินทางไปยังสถานที่อื่นของ จ.สมุทรสาคร ขอให้สังเกตอาการตนเอง หากมีไข้ ปวดเมื่อย ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้มารับการตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำหรับผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร มี 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.เดินทางมารักษาเองที่โรงพยาบาลและสอบสวนติดตามผู้สัมผัส 2. การค้นหาในชุมชน ส่วนหลักอยู่ในหอพักศรีเมืองบริเวณตลาดกลางกุ้ง แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งที่พักอาศัยภายนอก จึงได้รวบรวมรายชื่อเพื่อติดตามให้มารับการตรวจหาเชื้อในจังหวัดที่อาศัย และ 3. คนที่อยู่ในหอพัก จังหวัดได้ส่งอาหารและน้ำดูแล แม้ความแออัดอาจทำให้มีการติดเชื้อเพิ่ม แต่มีทีมรักษาพยาบาลในพื้นที่ และได้ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนอยู่ในห้องและสวมหน้ากาก แม้จะคนติดเชื้อและไม่ติดเชื้อจะอยู่ร่วมห้อง แต่การไม่ไปสัมผัสกัน แยกกันรับประทานอาหาร และสวมหน้ากาก ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า จ.สมุทรสาครไม่ได้ห้ามคนไทยเดินทางเข้าออก เพียงแต่มีการตั้งด่านเพื่อตรวจวัดไข้ และให้ข้อมูลข่าวสาร ต้องปฏิบัติตัวเหมือนคนในชุมชน คือ เว้นระยะห่างจากคนอื่น สวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงสถานที่คนหนาแน่น
************************************** 23 ธันวาคม 2563
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37869 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ตั้ง ศบค.รง. เป็นวอรูมบริหารสถานการณ์โควิด ช่วยเหลือแรงงานทุกมิติ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รมว.สุชาติ ตั้ง ศบค.รง. เป็นวอรูมบริหารสถานการณ์โควิด ช่วยเหลือแรงงานทุกมิติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) อำนวยการดำเนินงานตามข้อสั่งการจาก ศบค.ชุดใหญ่ กำกับ ควบคุม ติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการในสังกัดทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานทุกคน ทุกสัญชาติที่ทำงานในประเทศไทย พร้อมห่วงใยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) ขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อเป็นศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับภาคแรงงาน
นายสุชาติยังกล่าวถึงโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) เป็นการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกกรม โดยมี ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ที่ปรึกษาฯ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นที่ปรึกษาศูนย์ฯ มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานอำนวยการฯ รองปลัดกระทรวง อธิบดีทุกกรมในสังกัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงร่วมเป็นคณะกรรรมการศูนย์ฯ ดังกล่าว เพื่ออำนวยการการดำเนินงานตามข้อสั่งการจาก ศบค. ชุดใหญ่ ในการกำกับ ควบคุม และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และสำนักงานแรงงานไทยในต่างประเทศ สำรวจข้อมูลและบูรณาการประสานงานกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง และออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ นายจ้าง ลูกจ้าง เช่น การหาตำแหน่งงานว่าง พัฒนาทักษะฝีมือ ให้สิทธิประโยชน์ และการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน เป็นต้น
“นายจ้าง ลูกจ้าง พี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถประสานความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงานได้ที่สายด่วน 1506 กด 5 โดยกระทรวงแรงงานจะมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านคอยบริการให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วนต่อไป”รมว.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ฯ นำทีมขอบคุณ ‘รมว.เกษตรฯ’ แก้ปัญหาราคาไข่ไก่ ผลักดันส่งออกในช่วงโควิด-19 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ฯ นำทีมขอบคุณ ‘รมว.เกษตรฯ’ แก้ปัญหาราคาไข่ไก่ ผลักดันส่งออกในช่วงโควิด-19
สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ฯ นำทีมขอบคุณ ‘รมว.เกษตรฯ’ แก้ปัญหาราคาไข่ไก่ ผลักดันส่งออกในช่วงโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ ผู้แทนจากสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อย สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี เชียงใหม่ ลำพูน และเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ เข้าพบ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่แก้ไขปัญหาราคาไก่ไข่ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 และได้มีการประชุมเร่งด่วนเพื่อผลักดันส่งออกไข่ไก่ เพื่อช่วยเหลือดูแลเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ไม่ให้ขาดทุน ตลอดจนเล็งเห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหาราคาไก่ไข่และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนทำให้ราคาไข่ไก่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งชื่นชมและเป็นกำลังใจให้เดินหน้าทำงานช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมให้ความช่วยเหลือ โดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ลดภาระต้นทุน และสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ให้แก่รองกรรมการผู้จัดการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ให้แก่รองกรรมการผู้จัดการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ชั้นที่ ๔ อันเป็นที่ชมเชยยิ่ง ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม
ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบเข็มเครื่องหมายยุติธรรมธำรง ชั้นที่ ๔ อันเป็นที่ชมเชยยิ่ง ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงยุติธรรม ให้แก่นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด รองกรรมการผู้จัดการ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ โดยมี พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องประชุม ๓-๐๒ ชั้น ๓ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีและขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ที่เห็นคุณค่าและให้โอกาสทางการศึกษา รวมทั้งโอกาสในการทำงานให้แก่เยาวชนในสถานพินิจฯ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมด้วยดีเสมอมา และหวังว่าจะได้ร่วมกันพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้กลับคืนเป็นคนดีของสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37865 |
รัฐบาลไทย-รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19 | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19
รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ให้สถานศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียงกับ จ.สมุทรสาคร ปิดเรียน 24 ธ.ค.2563 - 3 ม.ค.2564 สอนออนไลน์-บุคลากรปฏิบัติงานที่บ้าน 14 วัน
วันที่ 22 ธ.ค.2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นางนิภา โสภาสัมฤทธิ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ว่า สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ได้ประกาศเลื่อนการจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีการศึกษา 2562 ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ออกไปก่อน โดยวัน เวลา และกำหนดการที่ชัดเจนสบศ.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะเดียวกันวันนี้ (22 ธ.ค.) สบศ.ได้ออกประกาศ สบศ. เรื่องแนวปฏิบัติและมาตรการเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ฉบับที่ 6) โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามแถลงการณ์ของศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณีมีประชาชนติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จำนวนมากในพื้นที่จ.สมุทรสาคร และมีแนวโน้มการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ในจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งสบศ.มีสถานศึกษาและหน่วยงานในสังกัดที่มีความเสี่ยงสูงและต้องปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดต่างๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรค COVID-19 ในวงกว้างนั้น สบศ.จึงกำหนดแนวปฏิบัติและมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID-19 ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา บุคลากรและประชาชน อันเป็นการเฝ้าระวังการระบาดของโรค ฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ดังนี้
1.ให้สถานศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียงกับจ.สมุทรสาคร ได้แก่ วิทยาลัยนาฏศิลป คณะศิลปศึกษา คณะศิลปวิจิตร คณะศิลปนาฏดุริยางค์ วิทยาลัยช่างศิลป และโครงการบัณฑิตศึกษา ปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียน ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 โดยให้สถานศึกษาเป็นผู้กำหนดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์หรือเรียนรู้จากสื่อหรือเอกสารประกอบการเรียนตามที่ครูหรืออาจารย์ผู้สอนกำหนด ทั้งนี้ ในระหว่างปิดการเรียนการสอนให้สถานศึกษากำหนดรูปแบบการติดตาม กำกับ ดูแลนักเรียน นักศึกษาเพื่อสนับสนุนมิให้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการไม่ถือปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังของรัฐ
2.ให้คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย หัวหน้าโครงการบัณฑิตศึกษา และผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี มีอำนาจในการพิจารณาภาระงาน รูปแบบการทำงานของข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษา และบุคลากรอื่นในสังกัดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน
3.กรณีสถานศึกษาหรือหน่วยงานที่มีบุคลากรพักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จ.สมุทรสาครหรือเขตพื้นที่ที่ทางราชการประกาศต่อไป ให้หัวหน้าสถานศึกษาหรือหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาให้หยุดเป็นกรณีพิเศษโดยกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลา 14 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา และมอบหมายภาระงานให้ปฏิบัติที่บ้าน (work from home) ตามความเหมาะสม และขอความร่วมมือให้บุคลากรให้ข้อมูลด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานศึกษาใดมีนักเรียน นักศึกษาที่อยู่เขตพื้นที่ประกาศ ให้สถานศึกษาพิจารณาให้หยุดเรียนตามประกาศหรือคำสั่งที่หน่วยงานของรัฐที่กำหนด
และ 4.ให้ทุกสถานศึกษาและหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการป้องกันที่กระทรวงสาธารณสุขหรือที่เกี่ยวข้องกำหนดอย่างเคร่งครัด
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37836 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงานตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับ สตช. สตม.ออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
กระทรวงแรงงานตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับ สตช. สตม.ออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
กระทรวงแรงงานตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับ สตช. สตม.ออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมประมง กรุงเทพมหานคร ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนทางการเมียนมา เพื่อวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมสำหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในกลุ่มแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้สำนักงานประกันสังคมร่วมมือกับสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร บูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เพื่อให้ทราบผลภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มาตรการดังกล่าวกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ ในบอร์ดประกันสังคม เพื่อดำเนินการตรวจโควิด–19 ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการในเชิงรุกโดยลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ
กระทรวงแรงงานมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว อาทิ มาตรการชะลอการอนุมัตินำเข้าแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติการผ่อนปรนให้แรงานต่างด้าว MOU ที่ใบอนุญาตจะครบตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 - ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางซึ่งเสี่ยงต่อการรับเชื้อโควิด–19และการตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง (PIPO)
....................................................................................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เห็นชอบแก้กฎหมาย วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ต้องได้เรียนต่อ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
คกก.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เห็นชอบแก้กฎหมาย วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ต้องได้เรียนต่อ
คณะกรรมการป้องกันและแก้ไข้ปัญหาการตั้งครรภ์วัยรุ่น มีมติเห็นชอบให้เสนอแก้ไขกฎหมาย วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ต้องได้เรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ
ไม่ต้องออกจากสถานศึกษา จัดทำ Teenage Digital Platform เพิ่มช่องทางสื่อสารเข้าถึงวัยรุ่น ป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นครั้งที่ 2/2563 โดยมีนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดระบบการดูแล ช่วยเหลือและคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ ให้ได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ และกรมอนามัยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาของกฎกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2561 ที่ออกตาม พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ซึ่งระบุว่า “สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา” แก้ไขเป็น “สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษาตามเจตนารมณ์ของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์” และให้สถานศึกษาทุกแห่งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งจัดให้มีระบบดูแลตรวจสอบ เพื่อให้วัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ได้รับสิทธิในการรับการศึกษาภาคบังคับและภาคปกติอย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องออกจากสถานศึกษา นอกจากนี้สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยยังได้เสนอเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุ พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 เป็นหลักสูตรการเรียนรู้ในวิชาสุขศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีมติเห็นชอบให้การบูรณาการใช้เครื่องมือ Teenage Digital Platform สร้างความรอบรู้ ดูแลช่วยเหลือและส่งต่อ เพื่อให้วัยรุ่นได้รับบริการที่เหมาะสม ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการสังคม ซึ่งเทคโนโลยี สื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน เมื่อได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง จะช่วยให้วัยรุ่นตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยกระทรวงสาธารณสุข มี Line Official Account Teen Club ช่วยให้วัยรุ่นเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง ทันสมัย มีแบบคัดกรองประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพด้วยตนเอง เพื่อรับคำปรึกษา แนะนำช่องทางการช่วยเหลือที่สะดวก รวดเร็ว ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
“ขอให้หน่วยงานปรับบริการให้เหมาะสมกับสถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ ลดขั้นตอนการบริการ เพิ่มการใช้เทคโนโลยี เช่น Telemedicine เพื่อให้เข้าถึงการคุมกำเนิด การยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ที่ปลอดภัย รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ให้แก่ประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19” นายอนุทิน กล่าว
************************************* 23 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37866 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมั่นใจสถานการณ์ปี 2564 – 2565 ดีขึ้น พร้อมหนุนเอกชน-รัฐ ร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมั่นใจสถานการณ์ปี 2564 – 2565 ดีขึ้น พร้อมหนุนเอกชน-รัฐ ร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP
นายกรัฐมนตรีมั่นใจสถานการณ์ปี 2564 – 2565 ดีขึ้น พร้อมหนุนเอกชน-รัฐ ร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP
วันนี้ (23 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ ภายหลังการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการ พิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยได้นำทุกประเด็นมาหารือร่วมกัน เพื่อจะเดินหน้าต่อไป
นายกรัฐมนตรียอมรับว่ารายรับของรัฐลดลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว และมีการนำงบประมาณส่วนหนึ่งไปดูแลผู้ที่มีรายได้น้อย เรื่องของเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการทบทวนทั้งหมดทั้งรายจ่ายการลงทุน ภาครัฐทำอย่างเดียวคงไม่พอต้องมีภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนบางกิจกรรมในรูปแบบ Public Private Partnership หรือ PPP ซึ่งวันนี้ในที่ประชุมก็ได้มอบหมายให้ BOI ไปหาวิธีการดำเนินการเพื่อให้มีการสนับสนุนการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยรักษาค่าเงินบาทด้วย
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เสถียรภาพการเงินของประเทศไทยถือว่าแข็งแกร่งมากที่สุด เนื่องจากมีเงินอยู่ในระบบจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม วันนี้เรายังมีปัญหาสถานการณ์โควิด -19 อยู่ ทั้งข้อจำกัดในการเข้า-ออกประเทศ และมีการใช้วัคซีนจะทำให้สถานการณ์ปีหน้าดีขึ้น ดังนั้น ทุกคนต้องยึดมั่นดำรงไว้ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน
..............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเกษตรกรจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเกษตรกรจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน
ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืนวงเงินรวม 8,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ผ่าน 3 โครงการ
ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน วงเงินรวม 8,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อชำระดี มีวงเงิน Smart Cash เพื่อป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ และโครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ พร้อมวางกรอบสนับสนุนการเรียนรู้คู่เงินทุน โดยให้เกษตรกรเข้าอบรมพัฒนาทักษะอาชีพกับศูนย์เรียนรู้ ธ.ก.ส. หรือศูนย์พัฒนาของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายวรชัย ศรีสุวรรณวัฒนา นายอำเภอจอมพระ เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง 459 พร้อมแถลงนโยบายมาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน เพื่อเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรที่มีภาระหนี้นอกระบบอย่างครบวงจร โดยมีผู้บริหาร พนักงานและส่วนงานในท้องถิ่นเข้าร่วมงาน ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง 459 ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรและประชาชนในภาคชนบทมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยส่งเสริมทั้งด้านความรู้ในการประกอบอาชีพ และเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ประชาชนบางส่วนว่างงานหรือไม่สามารถขายผลผลิตได้ตามปกติ ทำให้ไม่มีรายได้ จนนำไปสู่ปัญหาการกู้เงินนอกระบบ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาดังกล่าว ธ.ก.ส. จึงได้ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย
1) โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน สำหรับชำระหนี้นอกระบบ วงเงินกู้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท เว้นแต่กรณีมีวัตถุประสงค์ในการสงวนที่ดินทำกินที่ลูกหนี้ใช้ที่ดินในการจำนองไม่เกินรายละ 150,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้ 10 ปี สูงสุดไม่เกิน 12 ปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองสินเชื่อกรณีเสียชีวิตรายละไม่เกิน 100,000 บาท และการคืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 30 ของดอกเบี้ยที่ชำระหนี้ 2) โครงการสินเชื่อวงเงินพร้อมใช้ Smart Cash สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบที่ชำระหนี้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนดและมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการก่อหนี้นอกระบบของลูกค้า โดยสนับสนุนเงินเครดิตหมุนเวียนผ่านบัตร ATM ตามต้นเงินกู้ที่ได้รับชำระหนี้ตามโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยตามชั้นลูกค้า ระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 12 เดือน นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์ผ่านการคุ้มครองสินเชื่อกรณีเสียชีวิต รายละไม่เกิน 50,000 บาท
และ 3) โครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับลูกค้าที่ได้รับการแก้ไขหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบธนาคารแล้ว ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการประกอบอาชีพเสริม วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ในช่วง 6 เดือนแรก และตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไปอัตราดอกเบี้ย MRR ระยะเวลาชำระหนี้ 10 ปี ในส่วนของหลักประกันสินเชื่อของทั้ง 3 โครงการ สามารถใช้ที่ดินจำนอง ได้จำนวนร้อยละ 95 ของวงเงิน กรณีบุคคล 2 คนค้ำประกัน วงเงินไม่เกิน 300,000 บาท และกรณีข้าราชการ 1 คนค้ำประกัน วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 8,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2566
นายภานิต กล่าวอีกว่า เพื่อให้การแก้ไขหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะใช้การพัฒนาเพิ่มทักษะอาชีพและความรู้ทางการเงินนำ แล้วจึงให้สินเชื่อตาม ธ.ก.ส. จึงได้สนับสนุนให้ลูกค้าผู้เข้าร่วมโครงการต้องเข้ารับการเสริมสร้างความรู้ การพัฒนาทักษะอาชีพต่าง ๆ กับศูนย์เรียนรู้ต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ธ.ก.ส. ศูนย์เรียนรู้ 459 ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ รวมถึงศูนย์พัฒนาความรู้ พัฒนาอาชีพของส่วนงานอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มศักยภาพของลูกค้า สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพหรือปรับเปลี่ยนการผลิต ทำให้เกษตรกรและบุคคลในครัวเรือนก้าวผ่านความยากจน สามารถสร้างอาชีพและรายได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ระยะที่ 1 - 3 ตั้งแต่ปี 2557 โดยมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการจำนวน 53,869 ราย เป็นเงิน 4,478 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดโครงการฯ ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37855 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงเปิดตัวของขวัญปีใหม่ 2564 งานพรปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม. พร้อมส่งมอบความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
พม. แถลงเปิดตัวของขวัญปีใหม่ 2564 งานพรปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม. พร้อมส่งมอบความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ
พม. แถลงเปิดตัวของขวัญปีใหม่ 2564 งานพรปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม. พร้อมส่งมอบความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ
วันนี้ (23 ธ.ค. 63) เวลา 13.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลงข่าว “งานพรปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม.” เพื่อเปิดตัวของขวัญปีใหม่ 2564 ที่จะมอบความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ยากไร้ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดยมีผู้แทนจาก 1. กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) 2. กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) 3. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) 4. กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) 5. สถาบันพัฒนาองค์การชุมชน(องค์การมหาชน) หรือ พอช. 6. การเคหะแห่งชาติ (กคช.) 7. กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) และ 8. สำนักงานปลัดกระทรวง พม. (สป.พม.) ร่วมการแถงข่าว พร้อมทั้งเปิดตัว “แอมบาสซาเดอร์” ของกระทรวง พม. ได้แก่ คุณปนัดดา วงศ์ผู้ดี (บุ๋ม) คุณเมทนี บุรณศิริ (นีโน่) คุณชาคริต แย้มนาม คุณฝน ธนสุนทร คุณสิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ (บิ๊นท์) และคุณสุพิชา กุญชร (ปีใหม่) ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า “งานพรปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม.” เป็นการมอบของขวัญปีใหม่ ปี 2564 เพื่อส่งความสุขให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ โดยได้คัดเลือกกิจกรรมสำคัญตามภารกิจกระทรวง พม.ประกอบด้วย
ของขวัญชิ้นที่ 1 คือ การพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ 1) โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย “บ้านเคหะสุขประชา” จำนวน 20,000 หน่วย โดยการสร้างบ้านเช่าราคาถูก สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้บุกรุกในที่สาธารณะ ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือข้าราชการเกษียณอายุ และประชาชนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 20,000 หน่วย ราคาเช่าหลังละ 999 ถึง 3,500 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ ดังนี้ แบบ (X) Studio เป็นบ้านสำหรับครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ/คนพิการ แบบ (A) Studio เป็นบ้านสำหรับผู้อาศัยอยู่ลำพัง แบบ (B) One Bed เป็นบ้านสำหรับผู้อาศัยอยู่ไม่เกิน 2 คน และแบบ (C) Two Bed เป็นบ้านสำหรับผู้อาศัยอยู่ 2-4 คนโดยกระจายโครงการในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งพิจารณาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สามารถเช่าบ้านได้ในราคาประหยัด
ของขวัญชิ้นที่ 2 คือ 1300 ทั่วไทย สายด่วน พม. “สายด่วนสังคม สร้างความอุ่นใจ อยู่ใกล้ประชาชน” ได้แก่ 1) ปรับปรุงรูปแบบการให้บริการสายด่วน 1300 ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว โดยกระจายการให้บริการสายด่วนครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 76 จังหวัด โดยตั้งอยู่ที่หน่วยงาน พม. ในจังหวัด (บ้านพักเด็กและครอบครัวประจำจังหวัด) 2) จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือ คุ้มครองสวัสดิภาพ ให้คำปรึกษา แนะนำ แก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคม ภายใน 24 ชม. โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ (ทีม One Home พม. จังหวัด) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3) ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดยทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาความครอบคลุมในทุกมิติ ผ่านกระบวนการจัดสวัสดิการสังคม สังคมสงเคราะห์และแผนการจัดการรายกรณี (Case Manager) โดยจัดทำแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 4) บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหา และ 5) ติดตามประเมินผลการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
ของขวัญชิ้นที่ 3 คือ พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ได้แก่ 1) นำฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ผู้ประสบปัญหาทางสังคม และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการวิเคราะห์สภาพปัญหารายครัวเรือน ก่อนวางแผนการให้ความช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม 2) จัดตั้งคณะทำงานในพื้นที่ ประกอบด้วย ทีมสหวิชาชีพ เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวางแผนการให้ความช่วยเหลือ ผ่านกระบวนการจัดสวัสดิการสังคม การสังคมสงเคราะห์และการจัดการรายกรณี (Case Manager) โดยจัดทำแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว 3) บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยยึดผู้ประสบปัญหาฯ เป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกมิติ ได้แก่ การจัดหาทุนการศึกษา การปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัย การดูแลสุขภาพ การพัฒนาทักษะ ความรู้ การสร้างอาชีพ ส่งเสริมให้มีงานทำ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ และ 4) ในปี 2564 มีเป้าหมายจำนวน 1,000 ครัวเรือน
ของขวัญชิ้นที่ 4 คือ พม. สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว จำนวน 1,000 ราย ได้แก่ 1) จัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้านอาหาร และการวางแผนธุรกิจเบื้องต้น ให้แก่ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ประสบปัญหาด้านการประกอบอาชีพ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 1,000 ราย 2) จัดบริการในการดูแลบุตรให้แก่ผู้รับการอบรมฯ 3) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ เทสโก้ โลตัส ในการจัดหาแหล่งทุนให้กับผู้ที่ผ่านการอบรมฯ และ 4) คัดเลือกครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ผ่านการอบรมฯ จากทั่วประเทศ เพื่อรับการสนับสนุนอุปกรณ์และทุนประกอบอาชีพ จากเทสโก้ โลตัส รวมมูลค่า 30,000 บาทต่อคน
ของขวัญชิ้นที่ 5 คือ รายการโทรทัศน์ สำหรับผู้สูงอายุ และคนพิการ ได้แก่ 1) จัดทำความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ อาทิ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เพื่อจัดทำรายการโทรทัศน์ที่เป็นมิตร สร้างกำลังใจ สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ และคนพิการ และ 2) มีรายการโทรทัศน์ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ และคนพิการ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการให้ความรู้ที่มีประโยชนเกี่ยวกับสวัสดิการและบริการสังคม การพัฒนาคุณภาพชีวิต การดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุและคนพิการ ของขวัญชิ้นที่ 6 คือ ร่วมสานพลัง มอบของขวัญแก่น้อง จำนวน 6,464 ชิ้น ได้แก่ 1) ประชาสัมพันธ์รับบริจาคของขวัญให้แก่เด็กในสถานรองรับของกระทรวง พม. ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเด็กที่ประสบปัญหาและขาดโอกาสทางสังคม ผ่านทางเว็บไซต์ของกระทรวง พม. และ ดย. 2) เปิดโอกาสให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการมอบของขวัญให้กับเด็กในสถานรองรับของกระทรวง พม. จำนวน 107 แห่ง เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใย ใส่ใจ และให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน และ 3)จัดกิจกรรมมอบของขวัญแก่เด็กในสถานรองรับ พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ม.ค. 64
ของขวัญชิ้นที่ 7 คือ ปรับปรุง/ซ่อมแซมบ้าน สำหรับกลุ่มเปราะบาง จำนวน 25,064 หลัง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส ในวงเงิน 20,000 – 40,000 บาทต่อหลัง (ตามระเบียบหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงาน) ดังนี้ พอช. จำนวน 15,000 หลัง ผส. จำนวน 4,000 หลัง พก. จำนวน 4,000 หลัง พส. จำนวน 2,000 หลัง กคช. จำนวน 64 หลังรวมจำนวนทั้งสิ้น 25,064 หลัง และของขวัญชิ้นที่ 8 คือ จัดบริการ “จิตอาสา” เพื่ออำนวยความสะดวกบริการรถเข็นวีลแชร์ให้แก่กลุ่มคนพิการที่ต้องการความช่วยเหลือระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีจุดบริการ ได้แก่ สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) สถานีขนส่งผู้โดยสารสายตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ถึง 3 มกราคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยัน หน้ากากอนามัย N95 ชุดPPE. ยา เวชภัณฑ์ เพียงพอ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
อนุทิน ยืนยัน หน้ากากอนามัย N95 ชุดPPE. ยา เวชภัณฑ์ เพียงพอ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันกระทรวงสาธารณสุข จัดเตรียมหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. สำหรับป้องกันบุคลากรทางแพทย์และอสม.ปฏิบัติงาน รวมทั้งยาและเวชภัณฑ์ รักษาผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันกระทรวงสาธารณสุข จัดเตรียมหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. สำหรับป้องกันบุคลากรทางแพทย์และอสม.ปฏิบัติงาน รวมทั้งยาและเวชภัณฑ์ รักษาผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอ
วันนี้ (23 ธันวาคม 2563 ) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งอุปกรณ์ป้องกัน เวชภัณฑ์สำหรับบุคลากรทางแพทย์และอสม.ลงพื้นที่ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้แจกจ่าย สำหรับการกระจายเวชภัณฑ์ต่างๆ ยืนยันว่าไม่ขาดแคลนแน่นอน ในระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้สำรองเวชภัณฑ์ ทั้งหน้ากากอนามัยมีถึง 50 ล้านชิ้น หน้ากาก N95 ประมาณ 5 ล้านชิ้นและยารักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 มีเพียงพอรองรับผู้ป่วยแน่นอน ในส่วนของเตียงและโรงพยาบาลที่จะใช้ในการดูแลรักษา ได้เตรียมการจัดระบบรับและส่งต่อตามระดับความรุนแรงของอาการป่วย รวมทั้งประสานส่งต่อโรงพยาบาลสังกัดอื่น ๆ สำหรับการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามมอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ ติดตามกำกับ เบื้องต้นเตรียมไว้ 100 เตียง โดยผู้ที่รับผิดชอบมีประสบการณ์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่เคยทำมาแล้ว เช่น จ.เชียงใหม่ จ.ภูเก็ต และอำเภอสะเดา จ.สงขลา สามารถจัดตั้งโรงพยาบาลสนามได้ในระยะเวลารวดเร็ว ขอให้ความมั่นใจ
สำหรับการดูแลแรงงานต่างด้าวในตลาดกลางกุ้งนั้น ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้ออกประกาศจังหวัด ห้ามมีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวหรือเข้าออกจากจังหวัด ให้แรงงานดังกล่าวยังคงอยู่ในหอพักเดิมที่เคยอาศัยอยู่ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร อส. เข้าไปควบคุมพื้นที่ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขจะทำการคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ เมื่อไม่มีอาการภายใน 5 -7 วัน ร่างกายจะค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกันโรค สำหรับผู้ที่ติดเชื้อมีอาการจะนำตัวออกมารักษาที่โรงพยาบาล แต่หากเจ็บป่วยเล็กน้อยก็สามารถรักษาที่ รพ.สนาม ที่จัดตั้งไว้
“ขอประชาชนมั่นใจว่าทางกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการอย่างรัดกุม เพื่อความปลอดภัยทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานบุคลากรทางการแพทย์ อสม. อสต. ที่ลงพื้นที่ให้คำแนะนำคนในชุมชน และประชาชน รวมทั้งผู้ติดเชื้อทุกคนจะได้รับการดูแลรักษาอย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว
**************************** 23 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทะลุเป้าแล้ว!! สินเชื่อปล่อยใหม่ ธอส. ปี 63 21 ธ.ค. 63 ปล่อยได้ 209,420 ล้านบาท คาดสิ้นปีเกินเป้ากว่า 12,000 ล้านบาท | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
ทะลุเป้าแล้ว!! สินเชื่อปล่อยใหม่ ธอส. ปี 63 21 ธ.ค. 63 ปล่อยได้ 209,420 ล้านบาท คาดสิ้นปีเกินเป้ากว่า 12,000 ล้านบาท
ธอส.สนับสนุนนโยบายรัฐบาลสร้างโอกาสทำให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” หลังวันจันทร์ที่ 21 ธ.ค.2563 เวลา 18.30 น. ธอส.ปล่อยสินเชื่อใหม่ในปี 2563 ได้จำนวน 209,420 ลบ. สูงกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ 209,360 ลบ.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าสนับสนุนนโยบายรัฐบาลสร้างโอกาสทำให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” หลังวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 เวลา 18.30 น. ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในปี 2563 ได้จำนวน 209,420 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ 209,360 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คาดถึงสิ้นปี 2563 สินเชื่อจะเกินเป้าประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนปี 2564 ตั้งเป้าสินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 3% พร้อมเร่งสานต่อนโยบายรัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ 2564 ให้ลูกค้าผ่อนดีสูงสุด 1,000 บาท ล่าสุดโอนแล้วกว่า 4,500 ราย
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 เวลา 18.30 น. ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในปี 2563 ได้จำนวน 209,420 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่ 209,360 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แม้จะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 แต่ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ยังคงสามารถสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม พร้อมลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน อาทิ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. มีวงเงินอนุมัติเต็มกรอบวงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท โครงการบ้านล้านหลัง มียอดอนุมัติแล้วจำนวน 29,747 ล้านบาท โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน มียอดอนุมัติแล้วจำนวน 29,285 ล้านบาท และโครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก มียอดอนุมัติ 19,220 ล้านบาท และแม้ว่าจะทำได้ตามเป้าหมายแล้ว แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ผู้ปฏิบัติงานของ ธอส. ทั้งหมดจะยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อทำให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้ได้มากที่สุด โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2563 สินเชื่อปล่อยใหม่ของธนาคารจะอยู่ที่ 222,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายประมาณ 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% ส่วนในปี 2564 ธอส. ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่จำนวน 215,641 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% ของเป้าหมายในปี 2563 เพราะได้ตระหนักในหน้าที่ทำให้คนไทยมีบ้าน และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการดูแลเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับ ธอส.จะมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ ๆ รองรับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ดี โดยยังคงให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเช่นเดิม
นอกจากนี้ ธอส. ยังพร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 และตอบแทนลูกค้าที่มีวินัยในการชำระเงินกู้ผ่าน Application : GHB ALL ธอส.จึงได้จัดทำ “โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)” โดยจะมอบเงิน Cashback ให้กับลูกค้าที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ 1,000 บาท สำหรับผู้มีเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีประวัติการชำระดี 48 เดือน และชำระเงินค่างวดผ่าน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563 กลุ่มที่ 2 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ 500 บาท จำนวนไม่เกิน 100,000 ราย สำหรับลูกค้าที่ไม่เป็นผู้รับสิทธิในกลุ่มที่ 1 มีการสมัครใช้งาน GHB ALL และผูกบัญชีเงินฝากในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2563 และชำระเงินค่างวดผ่าน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ธอส. จะโอนเงินให้แก่ลูกค้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564 และล่าสุดมีลูกค้าที่ได้รับเงินของขวัญปีใหม่แล้วกว่า 4,500 ราย สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือ ปชช. แจ้งเบาะแสกระบวนการลักลอบแรงงาน ส่งตรงมายังสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ การประชุม ศบค. เตรียมหารือมาตรการต่าง ๆ พรุ่งนี้ | วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือ ปชช. แจ้งเบาะแสกระบวนการลักลอบแรงงาน ส่งตรงมายังสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ การประชุม ศบค. เตรียมหารือมาตรการต่าง ๆ พรุ่งนี้
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือ ปชช. แจ้งเบาะแสกระบวนการลักลอบแรงงาน ส่งตรงมายังสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ การประชุม ศบค. เตรียมหารือมาตรการต่าง ๆ พรุ่งนี้
วันนี้ (23 ธ.ค. 63) เวลา 10.40 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด -19 ก็ได้รับรายงานสถิติสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อใหม่รายวันก็เริ่มจะลดลง เนื่องจากได้มีการตรวจสอบและควบคุมพื้นที่มากขึ้น
นายกรัฐมนตรียอมรับ จากการวิเคราะห์สาเหตุต้นทางมาจากแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีทั้งที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายที่อาศัยในประเทศไทยมานาน ซึ่งกลุ่มนี้ไม่มีปัญหา เว้นแต่ผู้ที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย มีการหลบเลี่ยง เป็นแรงงานที่ไมได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งขณะนี้ได้สั่งทุกหน่วยงาน ตรวจสอบกระบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งบางโรงงานใช้แรงงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นำแรงงานไปปล่อยในพื้นที่อื่น รวมทั้งมีการจ้างงานโดยไม่จ่ายค่าแรงตามกฎหมาย เมื่อเช้าได้สั่งการไปยัง ศบค. เร่งหามาตรการดำเนิน เพื่อเร่งแก้ปัญหานี้ด้วย รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการขึ้นทะเบียนแรงงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ วิธีการที่ดำเนินการอยู่ ขึ้นทะเบียนชั่วคราวบัตรสีชมพูว่า หากมีการดำเนินการอย่างเข้มข้นจะมีการนำแรงงานเหล่านี้ไปปล่อยที่อื่น ทั้งนี้ ในที่ประชุม ศบค. วันพรุ่งนี้ จะมีการวิเคราะห์จุดไหนที่มีการแพร่ระบาดมาก น้อยเพียงใดในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดจะระบุเป็นสีต่างๆ อาทิ สีเขียว สีส้ม สีแดง และจะมีการกำหนดมาตรการเฉพาะลงไปว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง รวมทั้งจะได้ข้อยุติเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ
นายกรัฐมนตรีย้ำสิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ คือความร่วมมือของพวกเราทุกคน ยังขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ถึงกระบวนการลักลอบแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งคนพื้นที่จะรู้มากที่สุด และสามารถส่งข้อมูลการทำผิดกฎหมาย การทุจริตของเจ้าหน้าที่ต่างๆ ตรงมาที่สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมฝากถึงสื่อขอให้เสนอเนื้อหาข้อมูล และให้ประชาชนรับฟังข่าวสารจากการแถลงข่าวของที่ประชุม ศบค. โดยอย่านำข้อมูลจากบุคคลอื่นที่เป็นข้อมูลบิดเบือนความจริง ข้อมูลที่พิสูจน์ไม่ได้ เผยแพร่ เพราะจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก และสร้างการรับรู้ต่างประเทศรับรู้อย่างผิดๆ กระทบต่อความเชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทย
นายกรัฐมนตรียืนยันวันนี้เรารู้ที่มาของการแพร่ระบาดและมีมาตรการเฉพาะต่าง ๆ และมาตรการทางสาธารณสุขยังสามารถรับมือได้ทั้งหมด ทั้งนี้ มั่นใจว่าประเทศไทยทำได้ดีกว่าประเทศอื่นหลายประเทศด้วยกัน ///
...............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ย้ำ นำนโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ย้ำ นำนโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำ บนเวทีประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย จ.ฉะเชิงเทรา นำนโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” ผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันวางแผน สร้างความเข้มแข็งให้สถานประกอบกิจการ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM) ณ ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อคนทำงาน ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 111/4 หมู่ 1 ซอยวัดบางเกลือ ต.บางเกลือ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ผมขอชื่นชมความสำเร็จของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย ที่มาจากการรวมกันของพี่น้องผู้ใช้แรงงานของ 3 สหพันธ์ คือ 1) สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย 2) สหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์แห่งประเทศไทย และ 3) สมาพันธ์แรงงานโลหะแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกรวมกันมากถึง 75,000 คน แสดงถึงความเข้มแข็งขององค์กรที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
นายสุชาติกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด -19 คลี่คลายลง โดยนำนโยบาย รวมไทยสร้างชาติ เข้ามาดำเนินการโดยกระทรวงแรงงานได้เร่งนำนโยบายที่สำคัญลงสู่ภาคปฏิบัติ ภายใต้ศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการเยียวยาสถานประกอบการ ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้จัดงาน Job Expo โครงการ Co – Payment ส่งเสริมการไปทำงานต่างประเทศ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมในหลายด้าน การพัฒนาทักษะฝีมือ การเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายแรงงาน ตลอดจนการสร้างความเข้มแข็งในสถานประกอบการต่างๆ ให้สามารถเผชิญวิกฤติฟันฝ่าอุปสรรคให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าว..
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดต่างๆ พร้อมให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์ EOC ร่วมเฝ้าระวัง หากผู้ติดเชื้อสมุทรสาครไม่เพิ่มขึ้นมาก คาดควบคุมโรคได้ใน 2-4 สัปดาห์ แนะประชาชนกลับมาจากตลาดกลางกุ้ง รายงานตัวเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประเมินความเสี่ยง รับคำแนะนำ
บ่ายวันนี้ (20 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 5 แถลงข่าวความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร เริ่มต้นจากวันที่ 17 ธันวาคม 2563 พบการติดเชื้อของผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 67 ปี ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นผู้นำเชื้อหรือต้นเชื้อคนแรก ทีมสอบสวนโรคได้ค้นหาสาเหตุของการติดเชื้อ และสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับแรงงานเมียนมา ซึ่งตลาดกลางกุ้งมีแรงงานเมียนมาจำนวนมาก เมื่อทำการตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่พบว่า มีการติดเชื้อจำนวนมาก ร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เนื่องจากมีการพักอาศัยในพื้นที่แออัดและอยู่ใกล้ชิดกันจากชีวิตประจำวัน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ควบคุมโรคให้อยู่ใน จ.สมุทรสาคร โดยล็อกดาวน์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ บริเวณตลาดกลางกุ้งและแหล่งระบาด ส่วนพื้นที่อื่นภายใน จ.สมุทรสาคร ก็ควบคุมไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้าออกพื้นที่ ทำให้การแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่จำกัด ส่วนผู้ที่มาซื้อขายในตลาดดังกล่าวแล้วออกไปสู่จังหวัดอื่นสามารถติดตามทุกราย ขณะนี้บางจังหวัดพบผู้ป่วยประมาณ 1-2 ราย แต่การควบคุมตรวจจับได้รวดเร็ว ทำให้สามารถสอบสวนโรคค้นหาผู้สัมผัสและควบคุมเฝ้าระวังอาการได้ หากพ้นระยะเฝ้าระวังก็จะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อของจ.สมุทรสาคร อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง แต่หากภายใน 1 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มนิ่ง คาดว่าจะสามารถควบคุมได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามมาตรการสำคัญที่ประชาชนต้องร่วมมือกัน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์
สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุข จะมีการค้นหา ตีวง เฝ้าระวัง สื่อสาร และสร้างความร่วมมือ โดย 1. ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดอื่น เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจาก จ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้ไปรับการตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้าน 2.เฝ้าระวังตรวจสอบผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจและปอดอักเสบทุกราย3. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมรับการระบาด ขณะนี้มียาและเวชภัณฑ์เพียงพอ โดยมียาฟาวิพิราเวียร์ 552,811 เม็ด รักษาได้ประมาณ 8 พันราย หน้ากากอนามัย 46 ล้านชิ้น ใช้ได้ 3-4 เดือน ผลิตได้วันละ 4 ล้านชิ้น หน้ากาก N 95 2.9 ล้านชิ้น ชุด PPE 2 ล้านกว่าชุด ผลิตเพิ่มได้วันละ 6 หมื่นชุด 4.จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาทุกจังหวัดหรือโทร.ปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 5. กำหนดผู้รับผิดชอบของทุกจังหวัด และตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC) เพื่อดูแลการระบาด และ 6.ตรวจสอบ ยกระดับการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาลทุกแห่ง สำหรับเทศกาลปีใหม่จะจัดงานได้หรือไม่นั้น จะมีการประเมินสถานการณ์ภายใน 1 สัปดาห์
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 กรณี จ.สมุทรสาคร จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกุ้ง และมีผู้ป่วยขยายวงใน จ.สมุทรสาคร และจังหวัดอื่น คือ นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับตลาดกุ้งทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 689 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและค้นหาผู้สัมผัส 32 ราย และการค้นหาในชุมชน 657 ราย จากการส่งตรวจทั้งหมด 1,443 ราย ส่วนใหญ่อยู่ที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ขณะนี้ปิดกั้นไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว ซึ่งตรวจไปแล้ว 2 พันกว่าราย และกำลังตรวจเพิ่มอีก 2 พันราย
ทั้งนี้ การสอบสวนโรคผู้ป่วยหญิงอายุ 33 ปี เขตคลองสามวา กทม. พบว่า วันที่ 12 ธันวาคม มีประวัติไปรับซื้ออาหารทะเลที่ตลาดกลางกุ้งมาขายที่ตลาดนวลจันทร์ เวลา 16.00 - 20.00 น. โดยซื้อกุ้งกับผู้ป่วยหญิงอายุ 67 ปี วันที่ 14 ธันวาคม เริ่มมีอาการจาม น้ำมูก ไม่ได้ไปขายของที่ตลาด วันที่ 16-17 ธันวาคม มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น วันที่ 18 ธันวาคม ไปตรวจที่โรงพยาบาลสินแพทย์ ผลพบเชื้อ วันที่ 19 ธันวาคม เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ คัดกรองผู้สัมผัสในครอบครัวพบ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย
สำหรับผู้ที่เคยไปยังพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง ขอแนะนำให้มาพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อประเมินความเสี่ยง และรับคำแนะนำ จะกักตัวเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงคือ ถูกผู้ติดเชื้อไอจามรด พูดคุยกับผู้ติดเชื้อระยะห่างไม่เกิน 1 เมตรนานเกิน 5 นาที โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ใส่หน้ากาก หากไม่ได้เป็นสัมผัสเสี่ยงสูงจะแนะนำให้สังเกตอาการ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ก็ให้มาตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนกรณีอาหารทะเลยืนยันว่ารับประทานได้ โดยเน้นสุกร้อน ส่วนที่ต่างประเทศเคยตรวจพบเชื้อโควิดในปลาแซลมอนหรืออาหารทะเลบางประเภท เป็นการพบสารพันธุกรรมในอาหาร แปลว่ามีการปนเปื้อน ไม่ได้แปลว่าเชื้อบนอาหารจะสามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจะทำให้ติดเชื้อและถ่ายทอดเชื้อได้
นายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่ 5 กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 5 ได้ตั้ง EOC ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัดทั้ง 8 จังหวัด และมีการระดมบุคลากรจาก 8 จังหวัดมาสนับสนุน จ.สมุทรสาครในการตรวจคัดกรองเชิงรุก ตั้งเป้าหมาย 10,000 ราย ใน 7 ชุมชนภายใน 3 วัน โดยมีรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน 7 คัน นอกจากนี้ ได้สำรองเตียงพร้อมรับผู้ป่วย 1,083 เตียง ระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยมีกรมการแพทย์เป็นศูนย์บริหารจัดการเตียง ร่วมกับสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานครและเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(UHOSNET) ซึ่งพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจะจำกัดพื้นที่ให้อยู่ในหอพัก พร้อมจัดหน่วยปฐมพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดูแลใกล้ชิด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม แจกหน้ากากอนามัย หากมีอาการป่วยจะส่งต่อรับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ และมีสถานกักกันโรค (Local Quarantine) รับได้ 600 คน และประสานหน่วยงานอื่น ๆ เตรียมสถานที่เพิ่มมีหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ป้องกัน และยารักษาโรค พร้อมใช้ได้ 3- 4 เดือน
********************************* 20 ธันวาคม 2563
****************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมอธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องกำชับหน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการทำงานควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน แจ้งนายจ้างในสถานประกอบการกำชับลูกจ้างปฏิ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่า ผมได้ติดตามสถานการณ์และมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปต่อการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมและประสานข้อมูลรายงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) อย่างใกล้ชิด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานประกอบการแต่ละแห่งก็ได้มีมาตรการป้องกันโควิด – 19 ที่เข้มงวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ไปยังหัวหน้าส่วนในสังกัดจังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามสถานการณ์ โดยได้กำชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย เครือข่ายภาคเอกชน และ NGOs เพื่อให้ทางการเมียนมาออกสื่อประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมาเพื่อให้ลูกจ้างเมียนมาที่มาทำงานในประเทศไทยรับทราบและปฏิบัติตัวในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวและสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค โดยประชาสัมพันธ์ในภาษาของแรงงานต่างด้าวตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมนี้ไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีแรงงานต่างด้าว จำนวน 275,782 คน (ข้อมูล 15 ธ.ค.63) เมียนมา 243,617 คน ลาว 13,200 คน กัมพูชา 9,648 คน และสัญชาติอื่นๆ 9,317 คน โดยส่วนใหญ่ทำงานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
นายสุชาติยังกล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวกระทรวงแรงงาน ด้านป้องกัน ได้แก่ 1) การชะลอการอนุมัตินำเข้แรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ 2) การผ่อนปรนให้แรงานต่างด้าว MOU ที่ใบอนุญาตจะครบตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 – ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อไปอีก 2 ปี 3) ตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง (PIPO) 4) ขอความร่วมมือสถานประกอบการทั่วประเทศ ประขาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ลูกจ้าและผู้ประกันตนในสถานประกอบการ เรื่องไวรัสโควิด-19 และการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข 5) แจ้งมาตรการให้นายจ้างในสถานประกอบการการคัดกรองลูกจ้างแรงานต่างด้าวและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-196) ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวโดยร่วมมือกับสภากาชาดไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโดยจัดทำเอกสารเผแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว สร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบ มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ มีกระบวนการคัดกรองและการกักตัว 14 วัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 7) รวบรวมรายชื่อสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวหรือสถานที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและจำนวนแรงงานต่างด้าวทุกจังหวัดทั่วประเทศ และแจ้งข้อมูลให้ ศบค.ทราบเพื่อใช้ในการวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการป้องกันเชิงรุกร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว (อสต.) ด้านเยียวยา ได้แก่ การให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย ได้แก่ 1) ส่งเสริมการจ้างานคนไทยให้เข้าสู่ระบบการจ้างงาน 2) จัดทำข้อมูลความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศ และ 3) การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37752 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ กำชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายก ฯ กำชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี กำชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
วันนี้(วันที่20ธันวาคม2563)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19เพิ่มขึ้นในประเทศพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับกระทรวงพาณิชย์ให้เข้มงวดเรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยโดยประชาชนควรหาซื้อได้ง่ายในราคาที่ไม่แพง
ทั้งนี้ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคารวมทั้งดูแลเรื่องการกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึงและให้ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนและลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามนายกฯขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขโดยให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ป่วยสามารถสวมใส่หน้ากากผ้าได้เพียงแต่ใช้แล้ว1วันต้องซักจึงควรมีหน้ากากผ้าสลับสับเปลี่ยนและสิ่งที่สำคัญสำหรับคนไม่ป่วยคือการล้างมือบ่อยๆเพราะเชื้อจะติดได้นั้นหลักๆคือการสัมผัสดังนั้นการล้างมือจะช่วยได้ไม่ว่าจะล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลและข้อสำคัญสุดท้ายคือการรักษาระยะห่างหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
วันนี้(20ธ.ค.63)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(18ธ.ค)ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีการติดตามความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีโดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าให้การพัฒนาในพื้นที่ตรงนี้เป็นต้นแบบการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศการดำเนินการยึดกรอบแนวคิดการตลาดนำการผลิตเน้นการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแก้ปัญหารากเหง้าของภาคเกษตรกรรมการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมพร้อมปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับคุณภาพดินและปริมาณน้ำประกอบด้วย5กลุ่มสินค้าเป้าหมายคือ1)ผลไม้พัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง2)ประมงเพาะเลี้ยงเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีการผลิต3)พืชสำหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ4)เพิ่มมูลค่าพืชสมุนไพร5)ปรับเปลี่ยนผลผลิตสินค้าเกษตรราคาต่ำไปสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูงเช่นปศุสัตว์พืชผักผลไม้เมืองหนาวดอกไม้ทดแทนกันนำเข้าและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมโครงการตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตรในอีอีซีให้พร้อมเพื่อเริ่มดำเนินการตามเป้าหมายซึ่งในแผนฯระยะ5ปี(2565-2570)ประกอบด้วยโครงการทั้งหมด91โครงการวงเงินรวม3.2พันล้านบาทและในปีงบประมาณ2565จะเริ่มดำเนินการ56โครงการอาทิโครงการแผนที่การเกษตร(Agri-Map)โครงการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรโครงการเพิ่มผลิตภาพการผลิตอ้อยโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกโครงการต้นแบบการสร้างนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ:มะม่วงข้าวสมุนไพรและสัตว์น้ำโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และการตลาดอาหารทะเลเขตอีอีซี
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่านายกฯต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตรในพื้นที่อีอีซีอย่างเป็นรูปธรรมโครงการต่างๆที่รัฐบาลตั้งเป้าดำเนินการในปีงบประมาณหน้าจะแก้ปัญหาสำคัญของภาคการเกษตรคือการผลิตโดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดการผลิตที่ใช้ทรัพยากรมากแต่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างน้อยและการแปรรูปที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่ามากนักอีกทั้งผลลัพธ์ของโครงการเหล่านั้นจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตมวลรวมภาคการเกษตรซึ่งปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ2.3ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งหมดในพื้นที่อีอีซีเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรถึง5.51ล้านไร่หรือร้อยละ66ของพื้นที่ทั้งหมดในอีอีซี
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37750 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว | วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
วันที่ 19 ธันวาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบสถานการณ์ล่าสุดของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดสมุทรสาคร และได้ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร โรงพยาบาลสมุทรสาคร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เฝ้าระวัง สอบสวน และเร่งดำเนินการตรวจค้นหาผู้ป่วยในจังหวัดสมุทรสาครในเชิงรุกต่อไป เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชน ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดสมุทรสาคร ให้ดำเนินการตามแนวทางที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายจังหวัด ได้แนะนำอย่างเคร่งครัด
ส่วนประชาชนที่เคยเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าระวัง สังเกตอาการตนเอง เป็นเวลา 14 วัน และให้สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยไม่ควรไปในที่ชุมชน หากเริ่มมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และขอให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะเดินทางตลอดเวลา
สำหรับประชาชนทั่วไป ให้ติดตามข้อมูลจาก ศบค. และใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงที่แออัด ล้างมือบ่อย ๆ สแกนไทยชนะเมื่อเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ ซึ่งจะเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการแพ่รระบาดโรคในที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดทางด้านสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นว่า จะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ โดยความร่วมมือของประชาชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการระบาดในพื้นที่จำกัด และไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
นายอนุชา กล่าวว่า หากประชาชนมีข้อสงสัย ให้ติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และติดต่อสอบถามได้เพิ่มเติมที่สายด่วนสมุทรสาคร หมายเลข 065-549-3322 และ 034-871-274 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563 | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (29 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. ....
3. เรื่อง การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับ ห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....)
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
5. เรื่อง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO)
ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
6. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
พ.ศ. 2562 – 2565
7. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
8. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548
9. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติ
ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองฯ
10. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 – 2564 ประจำปี พ.ศ. 2562
11. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนตุลาคม 2563
12. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนตุลาคม 2563
13. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ ปี 2564 (สำนักงาน ก.พ.ร. และ ศอ.บต.)
14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2563 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำ
เดือนตุลาคม 2563
15. เรื่อง โครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงการต่างประเทศ)
16. เรื่อง โครงการ/กิจกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 มอบให้แก่ประชาชน
17. เรื่อง แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
18. เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
19. เรื่อง ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง(ประเทศไทย) จำกัด
20. เรื่อง การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564
21. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม
ครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี)
และครั้งที่ 32/2563
ต่างประเทศ
22. เรื่อง การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน
23. เรื่อง ร่างเอกสารที่จะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
24. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
25. เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25
26. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
แต่งตั้ง
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
28. เรื่อง รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของรองนายกรัฐมนตรีและ
ส่วนราชการ (จำนวน 9 ราย)
29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
32. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การ
เภสัชกรรม
33. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับตามคำสั่งทางปกครอง โดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามิได้มีมติทักท้วง ให้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตสามารถชำระค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตที่กำหนดในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ (พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 พระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. 2533 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (เฉพาะกรณีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมประมง กรมปศุสัตว์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559
2. กำหนดให้การชำระค่าธรรมเนียมแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตให้ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ ณ สถานที่ทำการของผู้อนุญาตหรือผ่านช่องทางหนึ่งช่องทางใด ได้แก่ จุดบริการรับชำระค่าธรรมเนียม ธนาคาร ศูนย์บริการร่วม หรือศูนย์รับคำขออนุญาต ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่องทางอื่นใดที่เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
3. เรื่อง การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการปรับปรุงเพื่อขยายระยะเวลาและลดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่น ที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. 2563 ลงกึ่งหนึ่ง สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เนื่องจากกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. 2560 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
โดยมาตรการดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการลดอัตราค่าธรรมเนียม โดยพิจารณาจากอัตราค่าธรรมเนียมในช่วง ปี พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2563 จำนวน 8,503,830 บาท แต่จะเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล ช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับเป็นการส่งเสริมการลงทุนและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ (โครงการฯ) โดยขอขยายสถาบันฝ่ายผลิต จากเดิม “สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” (สกอ.) เป็น “สถาบันอุดมศึกษา” โดยจำนวนคนและจำนวนเงินงบประมาณอยู่ภายในกรอบของมติคณะรัฐมนตรีที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ทั้งนี้ ให้มีผลครอบคลุมถึงนักเรียนในโครงการฯ ที่เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา [สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ในปัจจุบัน] และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดำเนินโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ภายใต้แผนการดำเนินงานใน 5 ปีการศึกษา (ปีการศึกษา 2561 - 2565) เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - กีฬา และแผนการเรียนศิลป์ภาษา - กีฬา ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,519 คน จาก 12 โรงเรียน ได้ศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาสังกัด สป.อว. และระดับอาชีวศึกษาในสังกัด สอศ. ภายในกรอบวงเงิน 551.68 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 จนถึงปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 3 รุ่น เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 585 คน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่า มีนักเรียนในโครงการฯ ให้ความสนใจและมีความต้องการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาทางด้านกีฬาโดยตรงจากมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติแต่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติเป็นสถาบันอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เนื่องจากเป็นสถาบันการอุดมศึกษานอกสังกัด สป.อว. ทำให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินทุนการศึกษาได้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 จึงมีมติเห็นชอบให้ สป.อว. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 โดยขอขยายขอบเขตสถาบันฝ่ายผลิต จากเดิม “สถาบันอุดมศึกษาในสังกัด สกอ.” เป็น “สถาบันอุดมศึกษา**” เพื่อให้ครอบคลุมสถาบันอุดมศึกษาทั้งในและนอกสังกัด สป.อว. รวมถึงนักเรียนในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ที่เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กก. ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ด้วย ทั้งนี้ จำนวนนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาและวงเงินงบประมาณยังอยู่ภายในกรอบเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
__________________________________
หมายเหตุ : **พระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 มาตรา 3 บัญญัติให้ “สถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สถาบันที่จัดการอุดมศึกษาระดับปริญญาและระดับต่ำกว่าปริญญาทั้งที่เป็นของรัฐและของเอกชน
5. เรื่อง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอดังนี้
กรอบการค้า
ปริมาณในโควตา (ตันต่อปี)
อัตราภาษี
1) เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
3.15
- ในโควตา ร้อยละ 0
- นอกโควตา ร้อยละ 218
2) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ ปลื้ม!! ประชาชนพอใจผลงานกระทรวงแรงงาน ชื่นชมให้กำลังใจ ขรก.ช่วยขับเคลื่อนภารกิจ ก้าวผ่านโควิด -19 ไปให้ได้ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
‘รมว.สุชาติ’ ปลื้ม!! ประชาชนพอใจผลงานกระทรวงแรงงาน ชื่นชมให้กำลังใจ ขรก.ช่วยขับเคลื่อนภารกิจ ก้าวผ่านโควิด -19 ไปให้ได้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปลื้มใจ!! กรณีผล RIDC โพล ของศูนย์วิจัย นวัตกรรมและดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ ม.ราชภัฏสวนสุนันทา เปิดเผยว่า ประชาชนพอใจภาพรวมผลงานและการทำงานของรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานติด 1 ใน 5 อันดับแรก
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีผล RIDC โพล ของศูนย์วิจัย นวัตกรรมและดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อผลงานของรัฐบาล ประจำปี 2563 ระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลงานทั้งในภาพรวม และรายกระทรวงรวมถึงผลงานเด่นของรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยสุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปกระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศผ่านแบบสอบถามออนไลน์และสัมภาษณ์รวม 4,121 ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนพอใจภาพรวมผลงานและการทำงานของรัฐบาล 62.11 % และพอใจผลงานและการทำงานของแต่ละกระทรวง 5 อันดับ ได้แก่ 1) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 65.62 % 2) กระทรวงพาณิชย์ 65.51 % 3) กระทรวงสาธารณสุข 64.20 % 4) กระทรวงแรงงาน 62.98 % และ 5) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 60.01 %
นายสุชาติยังได้กล่าวถึงของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานจะมอบให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ ได้แก่ 1) ลดเงินสมทบให้กับนายจ้างและผู้ประกันตน จากเดิมฝ่ายละ 5 % เป็น 3 % ของค่าจ้าง เป็นเวลา 3 เดือน (ม.ค.– มี.ค.64) 2) เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร เดิม 600 เป็น 800 บาทต่อเดือนต่อคน (ไม่เกิน 3 คน) ค่าคลอดบุตรเดิม 13,000 บาท เพิ่มเป็น 15,000 บาท และค่าฝากครรภ์เดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท เป็น 5 ครั้ง 1,500 บาท 3) ลดดอกเบี้ยเงินกู้แก่แรงงานที่รับงานไปทำที่บ้าน งวดที่ 1 – 12 ร้อยละ 0 ต่อปี งวดที่ 13 ขึ้นไป ร้อยละ 3 ต่อปี ภายใต้กรอบวงเงินกู้ 7,000,000 บาท รายบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มไม่เกิน 300,000 บาท 4) ฟรีอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน 10,000 คน และ 5) ฟรีพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชย 50 % แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบโควิด – 19 กรณีรัฐสั่งปิดกิจการชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน เป็นต้น
“ผมขอชื่นชมและให้กำลังข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกคนที่ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง กระทรวงแรงงานจะมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานด้วยการส่งเสริมการมีงานทำ การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองแรงงาน และการเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและผ่านวิกฤตโควิด – 19 นี้ไปให้ได้”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฮ!! กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงิน 500 บาท ต่อเนื่อง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฮ!! กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงิน 500 บาท ต่อเนื่อง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 14 ล้านคน ให้เป็นค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัด
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 14 ล้านคน ให้เป็นค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2563
“กรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมการเพิ่มวงเงินดังกล่าว เพื่อให้ผู้ได้รับสิทธิได้ใช้สิทธิวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเพิ่มวงเงินจำนวน 500 บาท เข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในทุกวันที่ 1 ของเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (300+500) รวมเป็น 800 บาท/เดือน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (200+500) รวมเป็น 700 บาท/เดือน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ำว่า การขยายวงเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปอีก 3 เดือน ถือเป็นของขวัญ ปีใหม่ที่รัฐบาลมอบให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภค บริโภค และขอย้ำว่า วงเงินที่ได้รับไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ การใช้จ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่รับชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) หรือร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านแอพฯ ถุงเงินประชารัฐ หากมี ข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37980 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค
กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค เสริมความมั่นคง สร้างความมั่นใจ เป็นของขวัญปีใหม่ 2564
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า นโยบายด้านการประกันภัยภาคเกษตรเป็นนโยบายสำคัญภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับพี่น้องเกษตรกรทุกสาขาอาชีพ ปัจจุบันรัฐบาลมีเครื่องมือช่วยเหลือในยามฉุกเฉินแต่ก็ไม่เพียงพอกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้สนับสนุนให้มีการประกันภัยที่เป็นธรรม เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรโดยแท้จริง สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา ตนในฐานะกำกับดูแลกรมปศุสัตว์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ประสานทุกภาคส่วนเพื่อตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว โดยในส่วนที่ทำไปแล้วและกำลังได้รับความสนใจในขณะนี้ก็คือ “โคขุน” ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์ กับ ธ.ก.ส. (โคขุนกู้วิกฤต COVID-19) ที่ได้ผลักดันเรื่องการประกันภัยโคขุนเพื่อลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้หารือร่วมกับผู้แทนฟาร์มโคนม และบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด เพื่อหาแนวทางร่วมกันเพื่อเป็นช่วยเหลือดูแลเกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงโคนม ทำอย่างไรไม่ให้รับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคธุรกิจประกันภัย ในการดำเนินโครงการ “ประกันภัยโคนม” เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมยกระดับมาตรฐานธุรกิจโคนมในประเทศไทย ในฐานะสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังได้มอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 รวมไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก และหมู เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง ซึ่งประกันภัยจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานศึกษารายละเอียดต่อไป
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานการณ์การเลี้ยงโคนมของประเทศไทยในปัจจุบัน ปี 2563 ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจำนวน 20,174 ราย ผ่านมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (ฟาร์มโคนม GAP) 6,475 ฟาร์ม จำนวนโคนม 707,236 ตัว โดยเป็นแม่โครีดนม 320,613 ตัว ปริมาณน้ำนมดิบที่มีการทำข้อตกลงการซื้อขาย (MOU) ระหว่างศูนย์รวมนมและผู้ประกอบการจำนวน 3,547 ตัน/วัน ทั้งนี้ 1,000 ตัน ใช้ภายใต้โครงการ “อาหารเสริม (นม) โรงเรียน” ปริมาณนมส่วนที่เหลือเป็นนมพานิชย์ที่แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมให้คนไทยได้บริโภค นอกจากนี้ การจัดทำ MOU เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ และเป็นอาชีพพระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมของไทยนับเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน อีกด้วย
สำหรับความคุ้มครองที่เกษตรจะได้รับจากการทำประกันภัยโคนม ประกอบด้วย ความคุ้มครองที่เกิดจากการเจ็บป่วยของโคนม, ความคุ้มครองการตายจากการบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ, ความคุ้มครองการตายจากภัย เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า น้ำท่วม ลมพายุ ที่ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ โดยเกษตรกรที่ซื้อประกันภัยโคนมในโครงการจะได้รับค่าสินไหมทดแทนประมาณ 30,000 บาทต่อตัว (เงื่อนไขตามกรมธรรม์)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37992 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดเต็มของขวัญปีใหม่ 2564 ให้คนไทยทั่วประเทศ | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส จัดเต็มของขวัญปีใหม่ 2564 ให้คนไทยทั่วประเทศ
ดีอีเอส จัดเต็มของขวัญปีใหม่ 2564 ให้คนไทยทั่วประเทศ
ดีอีเอสชวน4หน่วยงานในสังกัดกรมอุตุนิยมวิทยา,ทีโอที,กสทโทรคมนาคมและไปรษณีย์ไทยมอบของขวัญปีใหม่ชุดใหญ่ให้คนไทยทั่วประเทศต้อนรับปี2564ทั้งโปรฟรีค่าโทร-ไวไฟเติมเงินมือถือครึ่งราคาเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนภัยธรรมชาติในพื้นที่บริการเช็คคุณภาพอากาศและค่าฝุ่นPM 2.5ผ่านเว็บไซต์เปิดให้เยี่ยมชมศูนย์อุตุฯทั่วประเทศพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักอุตุนิยมวิทยาและมอบส่วนลด20%ซื้อสินค้าบนเว็บไซต์Thailandpostmartจัดส่งฟรีทั่วไทย
นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่ากระทรวงฯพร้อม4หน่วยงานในสังกัดจัดเตรียมของขวัญชุดใหญ่เตรียมมอบให้กับประชาชนในโอกาสต้อนรับปีใหม่2564โดยครอบคลุมทั้งบริการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติในพื้นที่ผ่านเอสเอ็มเอสโปรฯฟรีค่าโทรและไวไฟส่วนลดเติมเงินมือถือส่งส.ค.ส.ฟรีทางไปรษณีย์และส่วนลด20%สำหรับการซื้อสินค้าผ่านwww.thailandpostmart.comครบทุก500บาทพร้อมส่งฟรีทั่วไทยเป็นต้น
โดยกรมอุตุนิยมวิทยาเตรียมบริการฟรีส่งข้อความสั้น(SMS)แจ้งเตือนภัยธรรมชาติที่จะเกิดกับผู้รับผลกระทบในพื้นที่นั้นๆโดยจะส่งข้อความไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้ง5รายเพื่อแจ้งต่อไปยังประชาชนหรือนักท่องเที่ยวในพื้นที่และเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคาดการณ์แนวโน้มดัชนีอากาศฟรีผ่านเว็บไซต์ozone.tmd.go.thบ่งชี้คุณภาพอากาศโดยเฉพาะPM 2.5ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ช่วงวันที่1-15ม.ค.64จะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อุตุนิยมวิทยารวมทั้งศูนย์อุตุนิยมวิทยา5แห่งที่จัดตั้งครอบคลุม5ภูมิภาคของประเทศได้แก่ที่จ.เชียงใหม่,ขอนแก่น,อุบลราชธานี,สงขลาและภูเก็ตผู้สนใจจะได้มีโอกาสเรียนรู้เครื่องมือในการทำงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ปฏิบัติงานด้านอุตุนิยมวิทยาอีกทั้งเปิดโลกทัศน์ด้านแผ่นดินไหวให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมผ่านเครื่องจำลองการสั่นไหวด้วย
ทางด้านบมจ.ทีโอทีจัดเตรียม2โครงการเป็นของขวัญเอาใจทั้งลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์ประจำที่(Fixed Line)และโทรศัพท์มือถือโดยลูกค้าบริการFixed Lineทุกเลขหมายจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นค่าโทรศัพท์ประจำที่ทั่วไทยและเบอร์TOT mobileทุกหมายเลขในช่วงวันที่30ธ.ค. 63 - 2ม.ค. 64
สำหรับลูกค้าบริการTOT mobileทั้งระบบรายเดือนและระบบเติมเงินทุกเลขหมายสามารถเลือกกดรับสิทธิ์voiceมูลค่า100บาทผ่านระบบUSSD *9020*1#กดโทรออกหรือกดรับสิทธิ์การใช้งานอินเทอร์เน็ต5GBผ่านระบบUSSD *9020*2#กดโทรออกโดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างวันที่28ธ.ค. 63 - 2ม.ค. 64และใช้งานได้จนถึงวันที่31ม.ค. 64
ขณะที่บมจ.กสทโทรคมนาคมเตรียม3โครงการให้บริการพิเศษในเทศกาลปีใหม่ได้แก่โทร009ฟรีช่วงวันปีใหม่ประชาชนสามารถใช้บริการCAT 009ฟรีทั่วโลกโทรศัพท์หาเพื่อนฝูงญาติมิตรในต่างประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายระยะเวลาตั้งแต่00.01น.วันที่31ธ.ค. 63 - 24.00น.วันที่1ม.ค. 64
นอกจากนี้ประชาชนสามารถใช้บริการไวไฟฟรีจากC internet by CATตั้งแต่วันที่30ธ.ค.63 - 2ม.ค. 64อีกทั้งจัดแคมเปญmy by CATโปรเติมเงินจ่ายครึ่งราคาช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้บริการmyแบบเติมเงินโดยลดราคาแพคเกจเติมเงิน50%สมัครใช้บริการตั้งแต่15ธ.ค. 63 - 15ม.ค. 64
ในส่วนของบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัดเตรียมอบของขวัญปีใหม่ผ่าน2โครงการได้แก่โครงการส่งการ์ดอวยพรโดยงดเว้นค่าตราไปรษณียากรช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมให้ประชาชนส่งความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ผ่านบริการไปรษณีย์คนละไม่เกิน10ชิ้น(บรรจุซองหรือไม่ก็ได้)ตั้งแต่วันที่25ธ.ค.63 - 5ม.ค.64และโครงการให้ส่วนลดร้อยละ20สำหรับการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์www.thailandpostmart.comสามารถเลือกซื้อสินค้าชุมชนทางออนไลน์โดยได้รับส่วนลดดังกล่าวสำหรับการซื้อสินค้า500บาทขึ้นไปต่อ1รายการสั่งซื้อพร้อมจัดส่งฟรีทุกรายการสินค้าผู้สนใจใช้สิทธิ์ส่วนลดได้โดยพิมพ์THP2021ลงในช่องโค้ดส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อสินค้าในช่วงวันที่12ธ.ค.63 - 12ม.ค.64จะช่วยให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าชุมชนที่นำสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางwww.thailandpostmart.comสามารถใช้โอกาสนี้เพิ่มยอดขายสินค้าซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดย่อมในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดสถิติ 10 ข่าวปลอมที่มีการแชร์มากสุดในปี 63 | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส เปิดสถิติ 10 ข่าวปลอมที่มีการแชร์มากสุดในปี 63
ดีอีเอส เปิดสถิติ 10 ข่าวปลอมที่มีการแชร์มากสุดในปี 63
กระทรวงดิจิทัลฯเผย10อันดับข่าวปลอมที่ถูกนำมาแชร์ซ้ำมากที่สุดในรอบปี63หมวดสุขภาพครองแชมป์3อันดับแรกขณะนี้สัดส่วนข่าวปลอมข่าวจริงและข่าวบิดเบือนบนเครือข่ายโซเชียลอยู่ในสัดส่วน7:2:1
นายภุชพงค์ โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯกล่าวว่าจากที่ได้รับมอบหมายจากนายพุทธิพงษ์ปุณณกันตน์รมว.ดีอีเอสในการเร่งแก้ไขปัญหาข่าวปลอมโดยมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเป็นกลไกสำคัญและถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลมุ่งเน้นการจัดการข้อมูลที่เป็นเท็จทางสื่อออนไลน์โดยเฉพาะข่าวปลอมที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนและสาธารณชนในวงกว้างล่าสุดศูนย์ฯได้รวบรวมข้อมูลจัดอันดับ10ข่าวปลอมที่มีการนำมาแชร์ซ้ำบ่อยสุดในรอบปี2563
โดยพบว่าสัดส่วนหลักอยู่ในหมวดสุขภาพรวมทั้ง3อันดันแรกได้แก่
อันดับ1ดื่มสไปรท์ใส่เกลือแก้ท่องร่วงท้องเสียได้
อันดับ2คลอรีนในน้ำประปาเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อถูกความร้อน
อันดับ3ใส่ผ้าอนามัยนานทำให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก
อันดับ4งดใช้ตู้ATMที่ไม่มีไฟกระพริบตรงที่เสียบบัตร
อันดับ5น้ำมันเบนซินมีสารระเหยดูดพิษจากแมลงกัดต่อยหายใน3-5นาที
อันดับ6จัดตั้งจังหวัดในประเทศไทยเพิ่มรวมเป็น83จังหวัด
อันดับ7ผู้ประกอบการที่ใช้ตราฮาลาลบนสินค้าไม่ต้องเสียภาษี
อันดับ8มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะรักษาโรคแก้ปวดเมื่อยช่วยให้ตาใสมองเห็นชัด
อันดับ9บริษัทชื่อดังฉลองวันพิเศษแจกบัตรกำนัลสินค้าและรางวัลต่างๆและ
อันดับ10กรอกแบบสอบถามจากหน่วยงานของรัฐลุ้นรับของรางวัลฟรี
“จากข้อมูลที่รวบรวมได้สอดคล้องกับภาพรวมของจำนวนข่าวที่ผ่านการคัดกรองเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในปีนี้ที่มีทั้งหมดกว่า7พันเรื่องในจำนวนนี้อยู่ในหมวดสุขภาพถึง56%หรือกว่า4พันเรื่อง”
นายภุชพงค์กล่าว
ปีนี้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วทั้งหมด4,198เรื่องพบสัดส่วนข่าวปลอม:ข่าวจริง:ข่าวบิดเบือนอยู่ที่7:2:1โดยดำเนินการเผยแพร่ข่าวที่ตรวจสอบไปแล้ว1,163เรื่องหมวดหมู่ที่ทำการประชาสัมพันธ์มากที่สุดคือหมวดหมู่สุขภาพคิดเป็น69%ตามด้วยหมวดหมู่นโยบายรัฐหมวดหมู่ภัยพิบัติและหมวดหมู่เศรษฐกิจ
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญชวนศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมศาสนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์เเละออนไลน์ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ขอเชิญชวนศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมศาสนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์เเละออนไลน์ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
ขอเชิญชวนศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมศาสนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์เเละออนไลน์ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา ขอเชิญชวนศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมศาสนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์เเละออนไลน์ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สวดมนต์ข้ามปีออนไลน์ ผ่านการถ่ายทอดสด ณ วัดยานนาวา ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก 5 HD1 สถานีโทรทัศน์Thai TV Global Network (TGN) และออนไลน์ทาง Facebook Live เพจ TV5HD1 และสถานีวิทยุโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ วัดยานนาวา (WBTV) ตั้งแต่เวลา 22.30 – 00.15 น. ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2564
รับชมพิธีการถ่ายทอดสดพิธีตักบาตร ออนไลน์ ณ วัดยานนาวา ทาง Facebook Live เพจ WBTV และกรมการศาสนา ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เป็นแบบอย่างกักตนเอง ตามมาตรการควบคุมโควิด 19 พร้อม Work From Home เข้ม | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
"อนุทิน" เป็นแบบอย่างกักตนเอง ตามมาตรการควบคุมโควิด 19 พร้อม Work From Home เข้ม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กักกันตนเองที่บ้านเป็นวันที่ 2 เป็นแบบอย่างตามมาตรการควบคุมโรค ภายหลังมีความเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 พร้อม Work From Home ประชุมผ่านระบบออนไลน์กำกับติดตามการทำงานด้านสาธารณสุข
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กักกันตนเองที่บ้านเป็นวันที่ 2 เป็นแบบอย่างตามมาตรการควบคุมโรค ภายหลังมีความเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 พร้อม Work From Home ประชุมผ่านระบบออนไลน์กำกับติดตามการทำงานด้านสาธารณสุข
วันนี้ (29 ธันวาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด 19 (ศปค.สธ.) ผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่งมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมีหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงกลาโหม กทม. เครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เนื่องจากยังอยู่ระหว่างดำเนินการกักกันตนเองที่บ้านเป็นวันที่ 2 ซึ่งตามมาตรการเฝ้าระวังควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ต้องกักกันเป็นเวลา 14 วัน ภายหลังมีความเสี่ยงจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด 19 และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นลบ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน รวมถึงการทำงานที่บ้าน (Work From Home) โดยยังคงปฏิบัติภารกิจกำกับติดตามการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขผ่านทางระบบออนไลน์อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น
ทั้งนี้ นายอนุทินได้แสดงความคิดเห็นภายในการประชุมหลายเรื่อง พร้อมกำกับติดตามและสั่งการหลายประเด็น เช่น การสำรองหน้ากากPPE.เวชภัณฑ์ วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 มาตรการควบคุมกลุ่มเสี่ยงและสถานที่เสี่ยง การตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
******************************* 29 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37984 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบหมาย ที่ปรึกษาฯ ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์โควิด-19 ใน 8 จังหวัด | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
รมว.สุชาติ มอบหมาย ที่ปรึกษาฯ ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์โควิด-19 ใน 8 จังหวัด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ประชุมทางไกล ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มอบนโยบายตามข้อสั่งการรัฐมนตรีฯ บริหารจัดการโควิด -19 พื้นที่ 8 จังหวัด
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เวลา 13.30 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conference) เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมอบนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการบริหารจัดการโควิด -19 ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร โดยมีนางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและอีกหลายพื้นที่ในขณะนี้ รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานทุกคนทุกกลุ่มต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้ดิฉันเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด 8 จังหวัดที่รับผิดชอบ เพื่อรับทราบคำสั่งแต่งตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) และการจัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน ระดับจังหวัด และมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอดจนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อสั่งการของ ศบค.รง.หรือข้อสั่งการในจังหวัด เป็นต้น
“ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดทุกคนที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งท่านขอส่งกำลังใจมายังพวกเราชาวกระทรวงแรงงานให้เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนภารกิจให้สามารถก้าวข้ามวิกฤตโควิด – 19 นี้ไปให้ได้”นางธิวัลรัตน์กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัวโครงการ “UD จิตอาสาเพื่อคนพิการในระบบขนส่ง” เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนพิการ ปี 2564 ก่อนขึ้นรถโดยสารสาธารณะกลับภูมิลำเนา | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
พม. เปิดตัวโครงการ “UD จิตอาสาเพื่อคนพิการในระบบขนส่ง” เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนพิการ ปี 2564 ก่อนขึ้นรถโดยสารสาธารณะกลับภูมิลำเนา
พม. เปิดตัวโครงการ “UD จิตอาสาเพื่อคนพิการในระบบขนส่ง” เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนพิการ ปี 2564 ก่อนขึ้นรถโดยสารสาธารณะกลับภูมิลำเนา
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 13.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว. พม.) มอบหมายให้ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “UD จิตอาสาเพื่อคนพิการในระบบขนส่ง” ซึ่งเป็นการส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 จากใจ กระทรวง พม. ให้แก่คนพิการ ด้วยการจัดบริการ "จิตอาสา" เพื่ออำนวยความสะดวกบริการให้แก่กลุ่มคนพิการ ผู้สูงอายุ และประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีนางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ รองปลัด พม. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัด พม. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ผู้ดูแลคนพิการ ประชาชน และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมงาน ณ สถานีรถไฟหัวลําโพง กรุงเทพฯ
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า รัฐบาล โดย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ในปี 2564 ให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 8 ชิ้น ได้แก่ 1) โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย “บ้านเคหะสุขประชา” โดยการสร้างบ้านเช่าราคาถูก สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้บุกรุกในที่สาธารณะ ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือข้าราชการเกษียณอายุ และประชาชนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 20,000 หน่วย ราคาเช่าหลังละ 999 ถึง 3,500 บาทต่อเดือน 2) 1300 ทั่วไทย สายด่วน พม. "สายด่วนสังคม สร้างความอุ่นใจ อยู่ใกล้ประชาชน" 3) พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน 4) พม.สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว จำนวน 1,000 ราย 5) รายการโทรทัศน์สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ 6) ร่วมสานพลังมอบของขวัญแด่น้อง จำนวน 6,464 ชิ้น 7) ปรับปรุง/ซ่อมแซมบ้าน สำหรับกลุ่มเปราะบาง จำนวน 25,064 หลัง และ 8) จัดบริการ "จิตอาสา" เพื่ออำนวยความสะดวกบริการให้แก่กลุ่มคนพิการ ผู้สูงอายุ และประชาชน ที่ต้องการความช่วยเหลือระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่
นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีความมุ่งมั่นที่จะส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนพิการ โดยได้มอบของขวัญชิ้นที่ 8 ด้วยการเปิดตัวโครงการ “UD จิตอาสาเพื่อคนพิการในระบบขนส่ง” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างเจตคติของจิตอาสา และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เชี่ยวชาญด้านคนพิการ (อพม. เชี่ยวชาญด้านคนพิการ) ในเรื่องการช่วยเหลือ ดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ในช่วงการเดินทางเทศกาลปีใหม่ อีกทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนพิการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ พก. ได้ดำเนินโครงการฯ ใน 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) กิจกรรมอบรมให้ความรู้ให้กับจิตอาสา หรือ อพม.เชี่ยวชาญด้านคนพิการ จำนวน 300 คน และ 2) จัดเวรผลัดลงพื้นที่อำนวยความสะดวกและให้บริการช่วยเหลือ ดูแล ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คนพิการ เด็ก และผู้สูงอายุให้เที่ยวปีใหม่ สบายใจ ปลอดภัย โดยให้บริการระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ถึง 3 มกราคม 2564 รวมทั้งสิ้น 6 วัน ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต (จตุจักร) และสถานีขนส่งผู้โดยสาร (เอกมัย) โดยแบ่งออกเป็น 3 ผลัด คือ ผลัดที่ 1 เวลา 05.00 - 11.00 น. ผลัดที่ 2 เวลา 11.00 - 17.00 น. และ ผลัดที่ 3 เวลา 17.00 - 21.00 น. ทั้งนี้ จะมีการมอบหน้ากากอนามัย การ์ดเบอร์ฉุกเฉิน พร้อมให้บริการคนพิการทั้ง 3 สถานีขนส่งด้วย เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19 | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19
คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลกระทบของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองถ่ายภาพยนตร์ โทรทัศน์ โฆษณา ทำให้บุคลากรในทุกห่วงโซ่ต้องหยุดงานและขาดรายได้ งานประกาศผลรางวัลและงานอีเว้นท์ด้านสื่อบันเทิงต้องถูกระงับ โรงภาพยนตร์ไม่สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ เป็นต้น ภาครัฐจึงเร่งออกมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ประกอบการ แรงงาน ลูกจ้าง เช่น มาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างโดยสำนักงานประกันสังคม โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น รวมถึงการผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยได้ หลังการผ่อนคลายมาตรการ มีกองถ่ายภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย 7 เรื่อง สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ 148.48 ล้านบาท และมาสำรวจสถานที่ถ่ายทำอีก 6 เรื่อง ซึ่งมีแผนถ่ายทำในปี 2564 คาดว่าจะทำรายได้อีกกว่า 1,000 ล้านบาท ในส่วนของภาคเอกชน ได้มี “กองทุนเยียวยาโควิด-19” โดย บริษัท เน็ตฟลิกซ์ และสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ มีแผนดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในพื้นที่เป้าหมาย เป็นต้น เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย
โอกาสนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับคณะทำงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยใช้มิติทางวัฒนธรรมและซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงของประเทศ โดยการนำคอนเทนท์เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยสอดแทรกในภาพยนตร์และสื่อต่าง ๆ เพื่อส่งออก เป็นการสร้างรายได้และฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีการเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ อาทิ สร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ในลักษณะ Single Agent ให้มีการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 10 - 20 ปี หาความร่วมมือของภาครัฐ และภาคเอกชนส่งเสริมการผลิต Soft Power ของทั้งเนื้อหาบริการต่าง ๆ ส่งเสริมการเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดกลุ่มประเทศเป้าหมายให้ชัดเจน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่าประเด็นนี้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันระดมในการทำคอนเทนต์หรือผลิตภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้มิติวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็งของไทยด้วย
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจัดพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จำนวน 3 ลำ ลงน้ำ เพื่อสนับสนุนภารกิจกรมศุลกากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
กรมศุลกากรจัดพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จำนวน 3 ลำ ลงน้ำ เพื่อสนับสนุนภารกิจกรมศุลกากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
อธิบดีกรมศุลกากรปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากรจำนวน 3 ลำ ลงน้ำ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจตรวจรับเรือค้าต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรและเรือค้าชายฝั่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องสังคม ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนในกรณีมีภัยพิบัติทางน้ำ
วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จำนวน 3 ลำ ลงน้ำ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านการตรวจรับเรือค้าต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรและเรือค้าชายฝั่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องสังคม ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนในกรณีมีภัยพิบัติทางน้ำ และทางทะเล ณ บริเวณขาออกริมน้ำ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรมีภารกิจหลักในการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากร และข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีหน้าที่ในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัย ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ประสบภัยทางน้ำ และทางทะเล รวมถึงการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในภาพรวมของประเทศ กรมศุลกากรจึงดำเนินการต่อเรือตรวจการณ์จำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือตรวจการณ์ศุลกากร 382 383 และ 384 เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ของกรมศุลกากร ทั้งด้านการป้องกันและปราบปราม การลักลอบนำสินค้าหลบหนีภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร การปกป้องสังคมจากสินค้าหรือกลุ่มขบวนการที่ทำลายความสงบสุขหรือเป็นภัยต่อสังคม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ พร้อมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติทางน้ำ และทางทะเล
ทั้งนี้ เรือตรวจการณ์ศุลกากรทั้ง 3 ลำ มีขนาดความยาว 30 ฟุต ต่อสร้างตามสัญญาจ้างเลขที่ 1/2563 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยบริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด ในงบประมาณ 19,500,000 บาท (สิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) โดยได้ประกอบพิธีวางกระดูกงู เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา
กรมศุลกากร จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อสนองนโยบายกรมศุลกากรในทุกภารกิจให้ประสบผลสำเร็จคุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ในการต่อสร้างเรือ พร้อมทั้งมุ่งส่งเสริมความยั่งยืนของเศรษฐกิจและระบบโลจิสติกส์ รวมทั้งเน้นย้ำนโยบายด้านการควบคุมทางศุลกากร เพื่อปกป้องสังคมควบคู่ไปกับการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กำลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปฯ หมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ำไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กำลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปฯ หมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ำไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง
นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กำลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปพลิเคชันหมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ำไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (29 ธ.ค.63) เวลา 15.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่ง จ.ระยอง กำหนดให้เป็นจุดคัดกรองเพื่อตรวจหาเชื้อสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 โดยโรงพยาบาลระยอง จัดเจ้าหน้าที่ชุดพิเศษ ตั้งเต็นท์ตรวจวัดอุณหภูมิ และคัดกรอง ตรวจสอบประวัติผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและตรวจหาเชื้อ พร้อมกับ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลจังหวัดระยอง และให้กำลังใจบุคลากรสาธารณสุข ณ โรงพยาบาลระยอง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ร่วมการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปกระบวนการตรวจคัดกรองและเยี่ยมชมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 27 ธ.ค. 63 เป็นต้นมา เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ของทุกวัน มีการแยกกลุ่มเสี่ยงสูง เสี่ยงกลาง และเสี่ยงต่ำ ซึ่งมีประชาชนมารับบริการประมาณวันละ 400 - 500 คน จนถึงขณะนี้มีประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองแล้วประมาณ 1,280 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เสียสละดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ดูแลป้องกันตนเองด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน และขอให้เชื่อฟังมาตรการของรัฐ ทั้งนี้ ทุกอย่างรัฐบาลทำเองทั้งหมดไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่าย ขออย่าได้โทษกันไปกันมา สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องดูแลตนเองให้ดีที่สุด เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ และให้สังเกตอาการตนเองหากพบว่าผิดปกติ หรือสงสัยจะติดเชื้อให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้อง ต้องใส่หน้ากากอยู่เสมอและเว้นระยะห่างทางสังคมด้วย โดยขอให้ประชาชนอย่ากลัวโควิด-19 แต่ขอให้ระมัดระวังไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกต้อง รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวระยองทุกคนมีความเชื่อมั่น และขอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังสรุปภาพรวมการควบคุมและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของ จ.ระยอง จากนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง โดย จ.ระยองพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจำนวน 56 ราย รวมกับผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 92 ราย รวมเป็นมีผู้ติดเชื้อสะสม 148 ราย ที่ได้กระจายไปยังอำเภอรอบนอก โดยติดเชื้อจากกลุ่มการพนัน และคนในครอบครัวที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นดังกล่าว คณะกรรมการโรคติดต่อ จ.ระยองจึงประกาศปิดพื้นที่เสี่ยงทั้งจังหวัด และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวทุกกรณี ขณะที่ นพ.ไชยสิทธิ์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง ได้รายงานถึงการดำเนินการด้านรักษาพยาบาลจากสถานการณ์โควิด -19 จ.ระยอง โดยมีการเตรียมการทั้งอุปกรณ์ บุคลากรทางการแพทย์ และสถานพยาบาลไว้รองรับ กรณีผู้ป่วยไม่เกิน 200 คน ใช้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขและเอกชน ผู้ป่วยไม่เกิน 500 คน ใช้โรงพยาบาลสนาม (Hospital) และผู้ป่วยเกินกว่า 500 คน ใช้โรงพยาบาลสนาม (อาคารที่มีเตียงรวมกัน) และมีสถานที่ตรวจโควิด -19 ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง เนินอุไร และโรงพยาบาลระยอง สาขาเกาะหวาย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมา จ.ระยองวันนี้ว่า เพื่อมาให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาว จ.ระยอง รวมทั้งติดตามการดำเนินการตามมาตรการ เช่น ที่หน่วยคัดกรองเนินอุไร โดยขณะนี้สถานการณ์ จ.ระยอง ยังสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังต้องอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก หากสามารถคลี่คลายลงไป ก็จะลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีแนะให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลแอปพลิเคชันหมอชนะ มาใช้ในการดูแลประชาชนป้องกันโควิด-19 ควบคู่กับการติดตามสถานการณ์ภายนอกพื้นที่และในพื้นที่รวมถึงสถานการณ์จากต่างประเทศ เพื่อปรับการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำให้ทุกฝ่ายสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกจนเกินไป รวมไปถึงการสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมไม่ให้เกิดการรังเกียจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ในส่วนของวัคซีนป้องกันโควิด-19 คาดว่าน่าจะสามารถใช้ได้ในปีหน้า ซึ่งขณะนี้ในบางประเทศก็เริ่มใช้แล้ว
สำหรับกรณีบ่อนการพนัน จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะมีการตรวจสอบ และหากพบกระทำผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนอย่าไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะแหล่งการพนันต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้มงวดดูแลแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศ
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ออก 4 มาตรการ แก้ปัญหาหนี้สินตำรวจ 4,000 ล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนผ่าน Application : GHB ALL มกราคม 2564 | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ธอส. ออก 4 มาตรการ แก้ปัญหาหนี้สินตำรวจ 4,000 ล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนผ่าน Application : GHB ALL มกราคม 2564
ธอส.ลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ พร้อมออก 4 มาตรการ ดูแลลูกหนี้ที่มีปัญหาในการผ่อนชำระ รวมถึงมีสถานะทางกฎหมายประมาณ 4,000 ล้านบาท เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL ในเดือนมกราคม 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ร่วมลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ร่วมกับ พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจัดทำขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีปัญหาหนี้สิน และป้องกันการมีภาระหนี้สินเพิ่มจนเกินกำลังความสามารถในการชำระหนี้ผ่านแนวทางต่าง ๆ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับข้าราชการตำรวจ ด้านสวัสดิการกำลังพล คือ โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินตำรวจ
โดย ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2563 ธอส. มีลูกค้าของธนาคารที่ใช้สิทธิสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 39,493 บัญชี เงินต้นคงเหลือประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเป็นลูกหนี้ที่มีปัญหาในการผ่อนชำระ รวมถึงมีสถานะทางกฎหมายประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ธอส. พร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับ สตช. พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือลูกค้าใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปรับโครงสร้างหนี้ 2.การลดดอกเบี้ย 3.การขยายเวลาชำระหนี้ และ 4.การผ่อนปรนการชำระหนี้ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL ในเดือนมกราคม 2564
ทั้งนี้ พิธีลงนามความร่วมมือดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอบถามรายละเอียดหรือติดต่อข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37993 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 11/2563
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยจำกัดครั้งที่11/2563โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยจำกัดชั้น32อาคารพญาไทพลาซ่าซึ่งที่ประชุมฯได้รับทราบประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการหารือข้อกฎหมายตามสัญญาการส่งมอบน้ำตาลทรายดิบเพื่อการส่งออกนอกราชอาณาจักรฯการเปิดประมูลขายน้ำตาลทรายดิบรายงานสรุปผลการทำราคาน้ำตาลทรายดิบส่งมอบให้อนท.ฤดูการผลิตปี2563/2564รายงานการส่งออกน้ำตาลของไทยเดือนมกราคม–พฤศจิกายน2563แนวโน้มราคาน้ำตาลทรายดิบ(Sugar#11)ภาวะตลาดเงินดอลล่าห์สหรัฐฯประกอบกับพิจารณาหารือในหลายประเด็นเช่นการดำเนินการรับซื้อและจำหน่ายน้ำตาลทรายของกลางจากกรมศุลกากรประมาณการค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุมกับประเทศสมาชิกกลุ่มพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการค้าน้ำตาลโลก(GSA)ประจำปีพ.ศ. 2565การจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการและพนักงานประจำปีพ.ศ. 2563รวมถึงการจัดทำงบประมาณของบริษัทประจำปีพ.ศ. 2564เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เปิดแผนปี 2564 มุ่งลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้ ลุยพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน-สร้างการศึกษาเท่าเทียม | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ศธ.เปิดแผนปี 2564 มุ่งลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้ ลุยพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน-สร้างการศึกษาเท่าเทียม
รมว.ศธ. เปิดแผนปี 2564 มุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้” พร้อมพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชนต่อเนื่องจากปีนี้ มั่นใจเห็นภาพชัดในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การยกระดับการศึกษาไทยเทียบเท่าสากล ลดความเหลื่อมล้ำ
รมว.ศธ. เปิดแผนปี 2564 มุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้” พร้อมพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชนต่อเนื่องจากปีนี้ มั่นใจเห็นภาพชัดในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การยกระดับการศึกษาไทยเทียบเท่าสากล ลดความเหลื่อมล้ำ
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแผนงานใน พ.ศ. 2564 ว่า เป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการต้องการทำให้เป็นเรื่องจริงจัง คือ เรื่องลดเวลาเรียน และเพิ่มเวลารู้ โดยต้องเร่งปรับหลักสูตรให้เกิดความเหมาะสม ในการนำเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพต่างๆ ให้แก่เด็กนักเรียน
ในปี 2563 เรามีภาพของการวางแผนที่ชัดเจน สำหรับการขับเคลื่อนของกระทรวงศึกษาธิการ ในอนาคต ซึ่งการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้เป็นเรื่องที่ตน และกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งความหวังไว้ในปี 2564 ต้องผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เช่นเดียวกันกับการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน ยังเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจาก ปี 2563 เพราะการมีโรงเรียนคุณภาพ ถือเป็นเรื่องสำคัญ นายณัฏฐพล กล่าว
นายณัฏฐพล กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่า เรื่องโรงเรียนคุณภาพของชุมชน จะเห็นแนวทางชัดเจนในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ และจะเห็นภาพของโรงเรียนคุณภาพของชุมชนที่เป็นรูปธรรม หลังจากที่มีงบประมาณปี 2565 หรือในช่วงปลายปี 2564 นี้”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การดำเนินการทุกเรื่อง ต้องคำนึงถึงความเชื่อมโยงของการขับเคลื่อนการศึกษาไทยในอนาคต รวมถึงการคำนึงถึงการใช้เงินงบประมาณที่เหมาะสม และต้องมีประสิทธิภาพ เช่น เรื่องของอาหารกลางที่ได้นำเสนอเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นของขวัญให้กับเด็กๆ เป็นการคิดคำนวณโดยพิจารณาถึงการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ หากในอนาคตมีการควบรวมโรงเรียน งบประมาณที่ให้กับโรงเรียนขนาดเล็กก็จะหายไป แต่จะไปรวมเข้ากันเป็นโรงเรียนขนาดกลาง และขนาดใหญ่
นายณัฏฐพล กล่าวว่า เช่นเดียวกับเรื่องการนำครูต่างชาติเข้ามาสอนนักเรียน ซึ่งช่วงระยะเวลาก่อนหน้ามีข้อจำกัดบางที่อย่างที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ตอนนี้ สามารถเห็นภาพได้ชัดแล้วว่าเราต้องอยู่กับโรคโควิด-19 อย่างไร ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการจะรีบผลักดันให้เกิดขึ้น รวมถึงโครงการการศึกษายกกำลังสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศูนย์ HCEC หรือว่าระบบแพลตฟอร์ม DEEP หรือว่า EIDP ซึ่งเป็นการประเมินในส่วนของสมุดพกของคุณครูและนักเรียน จะช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ มั่นใจว่า หากทุกคนเข้าใจแนวทางที่ดำเนินการ การการศึกษาไทยน่าจะมีการพัฒนาที่มากขึ้น
“ในปี 2563 มีข้อจำกัดบางอย่างที่เราไม่สามารถทำได้ ทุกๆ เรื่องที่เราทำงาน เป็นเรื่องที่เราต้องคำนึงถึงเรื่องของงบประมาณว่าเราใช้งบประมาณที่เหมาะสมหรือไม่ แล้วก็เรื่องกฎระเบียบต่างๆ เราก็มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดความซับซ้อน แล้วก็ยกเลิกในบางเรื่องที่อาจจะทำแล้วไม่ได้เป็นประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น พ.ร.บ.ของเตรียมอาชีวะศึกษา มีการดึงเรื่องกลับมา เพราะคิดว่าทาง สพฐ. สามารถบริหารจัดการการเตรียมอาชีวะในโรงเรียนได้เอง ซึ่งทุกเรื่องของการศึกษา เราไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องมีการวางแผนในระยะยาว ซึ่งวันนี้ผมคิดว่าทั้งกระทรวงศึกษาธิการ เรามีความเข้าใจตรงกันว่าเราต้องวางแผนอะไร เพื่อจะทำให้การศึกษาไทยมีคุณภาพมากขึ้น” นายณัฏฐพล กล่าว
ทั้งนี้ โครงการการศึกษายกกำลังสอง ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ Human Capital Excellence Center (HCEC) แพลตฟอร์มทางด้านการศึกษา หรือ Digital Education Excellence Platform (DEEP) และ แผนพัฒนารายบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ Excellence Individual Development Plan (EIDP)
นอกจากนี้ นายณัฏฐพล ยังได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ด้วยว่า ได้พิจารณาการจัดงานวันครูทางออนไลน์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งระบบเทคโนโลยีสามารถรองรับได้ รวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับหลักสูตรในการผลิตครูของมหาวิทยาลัย ที่จำเป็นต้องมีการวางแผน โดยนำข้อมูลของทุกหน่วยงานมาผสมผสานกัน และเชื่อมโยงถึงแนวโน้มในอนาคต เพื่อทราบความต้องการของจำนวนครูในแต่ละสาขาที่แท้จริงว่า ควรจะเป็นเท่าไหร่ ในสาขาอะไร
สำหรับการสรรหาตำแหน่งรองเลขาธิการคุรุสภา ในที่ประชุมเห็นควรให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการสรรหา เพื่อให้มีวาระดำรงตำแหน่งเท่ากับเลขาธิการ และปรับหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม ให้นำระบบเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความถูกต้องและเหมาะกับกระบวนการในการปฏิบัติงานจริง รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเชื่อมกับหน่วยงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.รับมอบบริการ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ศธ.รับมอบบริการ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบงาน โครงการติดตั้งบริการ Free Wifi by CAT Internet ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 สำนักงาน กศน.
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับมอบ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ โดยปลัด ศธ. “สุภัทร จำปาทอง” ย้ำความขอบคุณที่ช่วยให้ ศธ.มีแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย ทั้งในระบบและนอกระบบ สร้างทักษะ เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์การศึกษายกกำลังสอง
(29 ธันวาคม 2563) นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบงาน โครงการติดตั้งบริการ Free Wifi by CAT Internet ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 สำนักงาน กศน.
นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. กล่าวถึงความเป็นมาโครงการว่า สำนักงาน กศน.ได้ประสานความร่วมมือกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย หรือ WiFi ที่มีประสิทธิภาพความเร็วสูง และมีคุณภาพแก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีบรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านและการเรียนรู้ มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณ WiFi ที่เสถียร พร้อมสำหรับการให้บริการการอ่านและการเรียนรู้ในระบบดิจิทัล ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่มาใช้บริการ
ในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนการติดตั้งเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้ชื่อ Free WiFi by CAT ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน 107 แห่ง
ซึ่งในวันนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้มอบงานโครงการติดตั้งบริการ Free WiFi by CAT ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนที่มาใช้บริการ มีโอกาสที่ดียิ่งขึ้นในการใช้ประโยชน์จากห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต
พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการดำเนินงานครั้งนี้เกิดจากเจตนารมณ์ของ CAT ที่เล็งเห็นว่า ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในด้านการศึกษาของโลกยุคใหม่ เสมือนห้องสมุดโลกที่เต็มไปด้วยแหล่งความรู้มากมายให้ได้ค้นคว้า อีกทั้งการเรียนในทุกวันนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจัดการอย่างเป็นระบบ
ดังนั้น การให้บริการระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมให้การศึกษาของคนไทยสามารถพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น CAT จึงได้ให้การสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายภายใต้ชื่อ “Free WIFi by CAT” ด้วยความเร็ว 100 Mbps ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน 107 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการห้องสมุด สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล หรือติดต่อสื่อสารได้อย่างทั่วถึง ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวขอบคุณบริษัทฯ ที่ให้การสนับสนุนการติดตั้งบริการ Free WiFi by CAT ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ทั่วประเทศ สอดคล้องกับการขับเคลื่อนการศึกษาไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การศึกษายกกำลังสอง (Thailand Education Eco-System : TE2S) เพื่อให้เกิด “การศึกษาที่เป็นเลิศ” (Education for Excellence) ที่การศึกษาจะต้องมีความยืดหยุ่น เท่าทันกับบริบทภายนอก และกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพบุคคลสู่ความเป็นเลิศ โดยจะต้องพัฒนาสื่อการเรียนรู้ยกกำลังสอง จากตำราสู่การเรียนผ่านสื่อแบบผสมผสาน การใช้ดิจิทัลในการเรียนรู้และเรียนที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์
Free WiFi by CAT จึงทำให้เกิดแหล่งเรียนรู้ที่ดี มีความทันสมัย สร้างคุณลักษณะในการเรียนรู้ผ่านการศึกษาค้นคว้าจากเทคโนโลยีให้แก่นักเรียน นักศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ ตอบโจทย์ความรู้แบบไร้พรมแดน สร้างทักษะที่เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้อย่างไม่มีขีดจำกัด และสร้างความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
ปารัชญ์ ไชยเวช / สรุป กิตติกร แซ่หมู่ / ถ่ายภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำยังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
นายกฯ ย้ำยังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้
นายกรัฐมนตรี ย้ำยังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 13.10 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีการล็อคดาวน์ทั่วประเทศหลังปีใหม่จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของทุกคน หากทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นนั้น ไม่ต้องมีการล็อคดาวน์ ทั้งนี้ ภาครัฐและภาคประชาชนจะต้องมีศรัทธา ร่วมมือกัน ทำให้ประเทศไทยปลอดภัยสำหรับชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ต้องดูแลประชาชนไปด้วยกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วน ยืนยันจะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เพื่อให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้นในทุกมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การดูแลเกษตรกรและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการดูแลแรงงานต่างด้าว โดยมอบนโยบายให้มีการผ่อนผันการขึ้นบัญชี เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น พร้อมให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนที่ใช้แรงงานต่างด้าว อย่าปกปิดข้อมูล เพียงให้แจ้งจำนวนความต้องการแรงงาน ทั้งแรงมีฝีมือ/แรงงานไม่มีฝีมือ หลังจากนี้ หากพบแรงงานต่างด้าวที่ไม่ขึ้นทะเบียนหลังจากนี้ จะถือว่าผิดกฎหมาย รวมทั้งผู้ประกอบการจะต้องถูกขึ้นบัญชี Blacklist ต่อไป
สำหรับการเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดระยองในช่วงบ่ายวันนี้เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และในหัวหน้ารัฐบาลจะลงพื้นที่ดูการทำงานให้ครบถ้วน ยืนยันจะดูแลตนเองให้มากที่สุด โดยจะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการพูดคุยระยะใกล้ มีระยะห่าง และใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่เป็นระยะ ไม่ต้องเจ็บป่วย เพราะหากเจ็บป่วยจะทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง ย้ำให้ทุกคนอย่า “การ์ดตก”
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37990 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 ผลักดัน มาตรการผ่อนผันต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่และทำงานไม่ผิดกฎหมาย ผ่านมติครม. | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
จับกัง1 ผลักดัน มาตรการผ่อนผันต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่และทำงานไม่ผิดกฎหมาย ผ่านมติครม.
ครม.มีมติเห็นชอบ ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และเลี่ยงการนำเข้าแรงงานต่างด้าว
วันที่ 29 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในกลุ่มคนไทยและคนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลโดยการนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ทำงานอย่างถูกต้อง และมีการหลบหนีเนื่องจากเกรงกลัวความผิด จึงควรมีการกำหนดมาตรการตรวจสอบ คัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรการ เฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุม และป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรค จนส่งผลกระทบต่อชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชนคนไทยและแรงงานต่างด้าว
“ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบ เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุม และป้องกัน มิให้ส่งผลกระทบต่อชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชนคนไทย โดยการผ่อนผันให้ 1) คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน 2) คนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน และ 3) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายออกประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงาน และคนต่างด้าวทั้ง 3 ประเภทข้างต้น ต้องดำเนินการตามแนวทางที่ประกาศทั้ง 2 ฉบับกำหนด เพื่อให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนายจ้าง/สถานประกอบการ ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดเพื่อขอใบอนุญาตทำงาน และจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ดังนี้
1.คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
- นายจ้าง/สถานประกอบการ ดำเนินการแจ้งรายชื่อคนต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ โดยต้องยื่นเอกสารหลักฐานและรูปถ่ายคนต่างด้าว ตามที่กรมการจัดหางานกำหนด ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
- นายจ้าง/สถานประกอบการ พาคนต่างด้าวเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม กับโรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยต้องดำเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
- นายจ้าง/สถานประกอบการชำระค่าคำขอและค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงานผ่าน เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย จำนวน 1,900 บาท และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ให้กับคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้าม พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่กรมการจัดหางานกำหนด ภายในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน จะต้องไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรสีชมพู ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
2. คนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
- คนต่างด้าวต้องยื่นเอกสารหลักฐานและรูปถ่ายตามที่กรมการจัดหางานกำหนด ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมี 4 ภาษา คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวจะใช้แบบแจ้งข้อมูลบุคคล ในการเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม กับโรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยต้องดำเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค จะต้องไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดภายในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564 (คนต่างด้าวจะได้รับใบจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร 38/1) เป็นหลักฐาน โดยที่ยังไม่ได้รับบัตรสีชมพู)
- คนต่างด้าวหานายจ้าง และลงทะเบียนรายชื่อคนต่างด้าวกับกรมการจัดหางาน และใช้บัญชีรายชื่อที่ได้การอนุมัติจากกรมการจัดหางาน ชำระเงินค่าคำขอและค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงานผ่าน เคาน์เตอร์เซอร์วิส และ ธนาคารกรุงไทย จำนวน 1,900 บาท และให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ให้กับคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้าม พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ภายในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวไปปรับปรุงประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรสีชมพู ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในกิจการประมงทะเล จะต้องไปจัดทำหนังสือ คนประจำเรือ หรือ Seabook (เล่มสีเขียว) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีค่าธรรมเนียม 100 บาท และเมื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเรียบร้อยแล้วคนต่างด้าวจะได้รับหนังสือคนประจำเรือ หรือ Seabook (เล่มสีเขียว) เป็นหลักฐาน ใช้คู่กับบัตรสีชมพูในการอยู่และทำงานในประเทศ
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กรณีมีผู้แอบอ้างขอเลขบัญชีและบัตรประชาชนเพื่อโอนเงินโควิด-19 | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ธอส.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กรณีมีผู้แอบอ้างขอเลขบัญชีและบัตรประชาชนเพื่อโอนเงินโควิด-19
ธอส.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อกรณีที่มีผู้ใช้หมายเลข 082-946-4808 ติดต่อไปสอบถามเลขบัญชีธนาคาร และเลขบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 เข้าบัญชีให้คนละ 2,000 บาท โดยยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อกรณีที่มีผู้ใช้หมายเลข 082-946-4808 ติดต่อไปสอบถามเลขบัญชีธนาคาร และเลขบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 เข้าบัญชีให้คนละ 2,000 บาท โดยยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของ ธอส. หรือ ผู้ปฏิบัติงานของ ธอส. รวมทั้งไม่สามารถติดต่อไปที่หมายเลขดังกล่าวได้ และเคยมีการแชร์ข้อความในลักษณะคล้ายกันนี้มาตั้งแต่ปี 2562 โดยอ้างว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของกรมบัญชีกลาง และในปี 2563 ได้มีการปรับเพิ่มข้อความให้เข้ากับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ซึ่งกระทรวงการคลังเคยเตือนประชาชนในกรณีดังกล่าวมาแล้วว่าเป็นข่าวปลอม หรือ Fake News เช่นกัน
ทั้งนี้ หากลูกค้าประชาชนได้รับข้อความในลักษณะเดียวกันนี้ ขอความร่วมมือไม่ส่งต่อหรือแชร์ข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน สอบถามรายละเอียด หรือ ติดต่อข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ำใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ำใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ
นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ำใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 13.10 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายประจำปี พ.ศ. 2563 นี้ ได้มอบแนวทางการทำงานในปี พ.ศ. 2564 มุ่งทำงานเพื่อลดปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาในปัจจุบันตลอดจนที่คาดการณ์ในอนาคต โดยขอความร่วมมือจากคณะรัฐมนตรีให้ร่วมกันทำงานเชิงรุก บูรณาการงานระหว่างกระทรวง สอดคล้องกับกฎหมาย กฎกติกา ยึดหลักความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เสมอ เพราะสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องเตรียมความพร้อมที่ตัวเรา เพื่อรองรับสถานการณ์ ร่วมกันฟันฝ่า ต่อสู้ เดินหน้าไปด้วยกัน ทั้งรัฐบาลและภาคประชาชน ตามนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ”
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังอวยพรให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมถึงการเดินทางกลับมาทำงานหลังปีใหม่ เดินทางโดยสวัสดิภาพ พร้อมย้ำขอให้มีสติ ไม่ประมาท พร้อมย้ำให้ใช้ชีวิตแบบ New Normal ปฏิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างจริงจัง มีวินัย ทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง ล้างมือ ทั้งนี้ หากไม่มีความจำเป็น ก็ขอความร่วมมือไม่เดินทางข้ามจังหวัด หากต้องมีการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในแต่ละพื้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดสูง หากสงสัยว่าตนเองมีอาการป่วยหรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงก็ให้สังเกตอาการที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน ถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมและเพื่อให้มีความปลอดภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแก้ปัญหาบ่อนการพนันว่า รัฐบาลมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ในฐานะตนเองดูแลฝ่ายความมั่นคงได้สั่งการให้ลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นก็มีการลงโทษที่มีการปล่อยปะละเลยให้มีบ่อนการพนัน จากนี้จะต้องสืบสวนต่อว่าเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร พร้อมเตือนข้าราชการหากมีส่วนรู้เห็น ไม่แจ้งให้หน่วยงานรับทราบหรือแจ้งดำเนินคดี ไปเผยแพร่ผ่านออนไลน์ หรือกระทำทุจริตผิดกฎหมายนั้น ถือมีความผิดได้ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลป้องกันโควิด-19 หรือจับกุมบ่อนการพนันอย่างเข้มแข็งก็ขอชื่นชมเช่นกัน
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37989 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการร่วมลงทุนสำคัญ (High Priority PPP Project) เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมผลักดันโครงการในปี 2564 มูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านบาท | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
โครงการร่วมลงทุนสำคัญ (High Priority PPP Project) เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมผลักดันโครงการในปี 2564 มูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านบาท
ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการ PPP มอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัด หน่วยงานเจ้าของโครงการ และ สคร. ทำหน้าที่เร่งรัดโครงการที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน (High Priority PPP Project) ภายใต้แผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและแล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งนอกจากโครงการคมนาคมในด้านต่างๆ ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำแล้ว ยังรวมไปถึงโครงการในด้านสาธารณสุขด้วย เพื่อกระตุ้นการลงทุนของประเทศในภาพรวม และให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ตลอดจนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่างๆ ของรัฐ
2. คณะกรรมการ PPP ยังได้วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ตามมาตรา 20 (9) ตามที่มีหน่วยงานหารือในกรณีปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ของการประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38001 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอประชาชนฉลองปีใหม่กับครอบครัว งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ลดโอกาสแพร่เชื้อโควิด 19 | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
สธ.ขอประชาชนฉลองปีใหม่กับครอบครัว งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ลดโอกาสแพร่เชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เร่งควบคุมโรคโควิด 19 ลดโอกาสแพร่เชื้อช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอคนไทยงดเดินทางข้ามจังหวัด ฉลองปีใหม่ภายในครอบครัว ส่วนแรงงานต่างด้าวห้ามเดินทางทั้งหมด พื้นที่ควบคุมสูงสุดงดจัดกิจกรรมสาธารณะ เดินหน้าคัดแยกคนในชุมชนตลาดกุ้งเป็น 4 กลุ่ม
กระทรวงสาธารณสุข เร่งควบคุมโรคโควิด 19 ลดโอกาสแพร่เชื้อช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอคนไทยงดเดินทางข้ามจังหวัด ฉลองปีใหม่ภายในครอบครัว ส่วนแรงงานต่างด้าวห้ามเดินทางทั้งหมด พื้นที่ควบคุมสูงสุดงดจัดกิจกรรมสาธารณะ เดินหน้าคัดแยกคนในชุมชนตลาดกุ้งเป็น 4 กลุ่ม คือ หายแล้ว อยู่ในช่วงแพร่เชื้อ อยู่ในช่วงฟักตัว และไม่ติดเชื้อ ตั้งเป้าจบการระบาดใน 2-4 สัปดาห์
วันนี้ (29 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยนพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด 19 (ศปค.สธ.)มีมติให้ดำเนินการเพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อในเทศกาลปีใหม่ ดังนี้ 1. ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์จังหวัดของตนเอง และสอดคล้องกับมาตรการ ศบค. กำหนด เช่น การเข้าจังหวัดให้ตั้งจุดคัดกรองวัดไข้ ไม่ให้ผู้ป่วยเข้าจังหวัด 2.พื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัดกิจกรรมสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในพื้นที่เฝ้าระวังให้ลดการจัดกิจกรรมให้มากที่สุด หากจัดไม่ควรเกิน 100 คน เหมาะสมกับสถานที่เพื่อสร้างระยะห่าง กำหนด 1 คนต่อ 1 ตารางเมตร และต้องขออนุญาตจัดงาน
3. การจัดกิจกรรมเน้นผ่านระบบเสมือนจริง (Virtual) หรือระบบออนไลน์ 4. แรงงานต่างด้าวห้ามออกนอกพื้นที่ โดยขอให้อยู่ในที่พักในสถานประกอบการ 5. ให้ อสม. เคาะประตูบ้านให้ความรู้ประชาชน ดูแลจิตใจ ตรวจสอบคนแปลกหน้า แรงงานต่างด้าว และ 6.ขอประชาชนหลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยง เช่น สถานที่ลักลอบเล่นการพนัน
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดรอบใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อกระจายไปใน 45 จังหวัด บางจังหวัดพบผู้ติดเชื้อเพียง 1-2 ราย หรือ 5-10 ราย ไม่ได้ติดเชื้อทั้งจังหวัดและอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้ กรณี จ.สมุทรสาครจะควบคุมโรคให้การระบาดสิ้นสุดหรือเหลือน้อยที่สุดภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่ช่วงเวลาดังกล่าวคร่อมกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีการเดินทางจำนวนมาก มีการรวมตัวเฉลิมฉลอง ทำให้มีโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี จึงต้องมีมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ จะทำให้การควบคุมโรคยากขึ้น ขอให้คนไทยงดการเดินทางออกนอกจังหวัด พยายามอยู่บ้าน ฉลองปีใหม่กับคนในครอบครัว งดไปฉลองกับคนหมู่มาก การดื่มสุรา การละเล่นและตะโกนต่างๆ ทำให้มีโอกาสเกิดการแพร่กระจายเชื้อยากต่อการควบคุม
“อยากให้ประเทศไทยก้าวข้ามปีใหม่ด้วยความปลอดภัย ไม่มีผู้ใดติดเชื้อเพิ่ม ขอความร่วมมือทำตามมาตรการ คือ รักษาระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ ตรวจรักษาเร็ว และสแกนไทยชนะ ส่วนมาตรการของภาครัฐจะดำเนินการอย่างเหมาะสม ไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบในชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจ”นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดแยกคนในชุมชนศรีเมือง ตลาดกลางกุ้งจำนวน 4 พันรายที่กักกันโรคมาแล้ว 12 วัน โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม แยกพักใน 4 อาคาร ดังนี้ 1.ผู้ติดเชื้อที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ติดเชื้อเกิน 10 วัน ผลการตรวจเลือดพบมีภูมิคุ้มกันแล้ว กรมควบคุมโรคจะออกหนังสือรับรอง สามารถใช้ชีวิตตามปกติ 2.ผู้ติดเชื้อแต่ยังไม่ครบ 10 วัน ตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันถือว่ามีโอกาสแพร่เชื้อสู่คนอื่น 3.ผู้ที่ตรวจด้วยวิธี RT PCR ไม่พบเชื้อ ที่ยังอยู่ในระยะฟักตัวของโรค และ4.ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ
สำหรับผู้ป่วย 5 รายแรกของสมุทรสาคร ขณะนี้พ้นระยะ 10 วันแล้วสามารถกลับบ้านได้ โดยรายของหญิงอายุ 95 ปีที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงสามารถหายใจได้เอง ไม่ต้องให้ออกซิเจน ไม่มีอาการทางปอด ถือว่าปลอดภัยหายดีแล้วไม่พบเชื้อ ส่วนปัญหาการมีแผลกดทับจาการนอนติดเตียงหลายปี ได้ให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อาการดีขึ้น ไข้ลดลง ทั้งนี้ การตรวจพบผู้ติดเชื้อ 1 คน สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ ค้นหาผู้สัมผัสและแยกว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำ โดยสามีภรรยา มีโอกาสติดเชื้อ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นคนในครอบครัวมีโอกาสติดเชื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอื่นๆ มีโอกาสติดเชื้อ 3 เปอร์เซ็นต์ หากค้นหาผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้รวดเร็ว โอกาสที่จะเจอผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้ก็มีสูง การพบผู้สัมผัสมากและตรวจได้มาก จะลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อได้เร็ว
ด้านนพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมในกรุงเทพมหานคร พบผู้ติดเชื้อแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 มีความเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้ง สมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 70 ราย สูงสุดในเขตบางขุนเทียน 27 ราย เขตหนองแขม 7 ราย เขตบางแค 5 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่พื้นที่รอยต่อกับสมุทรสาคร กระจายตัวเป็นกลุ่มในชุมชน ร้อยละ 61.4 มีอาการเพียงเล็กน้อย กลุ่มที่ 2 โรงงานผลิตรองเท้าแห่งหนึ่งย่านพระราม 2 เขตบางขุนเทียน ตรวจคัดกรองไปกว่า 400 ราย พบผู้ติดเชื้อ 7 ราย เป็นชาวไทย 1 ราย และชาวเมียนมา 6 ราย ทั้งหมดเป็นพนักงานรายวันในสายการผลิตเดียวกัน ซึ่งผู้ติดเชื้อรายแรกคือชายชาวเมียนมา เริ่มป่วยวันที่ 17 ธันวาคม 2563 โดยตรวจพบเชื้อปนเปื้อนอยู่ในพื้นผิวก๊อกน้ำ อ่างน้ำ ปัจจัยเสี่ยงในการแพร่โรคเกิดจากการปฏิบัติงานในสายการผลิตเดียวกันและการใช้ห้องน้ำร่วมกัน และกลุ่มที่ 3 เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ได้รับรายงานพบผู้ติดเชื้อแล้ว 22 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกของกลุ่มเป็นนักเที่ยวจาก จ.นนทบุรี ที่ได้รายงานมาแล้วก่อนหน้านี้ เกี่ยวข้องกับร้านอาหาร 3 ร้าน ได้แก่ ร้านอาหารอีสานกรองแก้ว ย่านปิ่นเกล้า ร้านแซ่บอีสานคาราโอเกะ ย่านเทเวศร์ และร้านน้องใหม่พลาซ่า ย่านปิ่นเกล้า ซึ่งพบรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง
“กระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร ขอความร่วมมือนักเที่ยวทุกท่านที่ได้เข้าไปใน 3 ร้านดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 20ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเองและพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วันหากมีอาการสงสัยว่าป่วย ไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่นไม่ได้รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัย ใช้รถส่วนตัว และไปรับการตรวจได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่ง พร้อมแจ้งความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่ทราบ” นพ.วิชาญ กล่าว
**********************************29 ธันวาคม 2563
******************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ช่วยบรรเทาภาระหนี้สินข้าราชการตำรวจ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
ออมสิน ช่วยบรรเทาภาระหนี้สินข้าราชการตำรวจ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
วันนี้ (29 ธันวาคม 2563) ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ธนาคารออมสิน โดย นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาทางการเงินแก่ข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ เป็นการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาทางการเงิน/ลดภาระหนี้สินแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ เป็นการช่วยบรรเทาภาระ และป้องกันการมีภาระหนี้สินเพิ่มจนเกินความสามารถที่จะชำระ สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีความยั่งยืนทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำที่ใช้บริการสินเชื่อของธนาคารออมสินอยู่กว่า 42,700 ราย มียอดสินเชื่อคงเหลือ 25,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ สตช. ได้ประสานธนาคารออมสินและสถาบันการเงินอื่น เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินดังกล่าวร่วมกัน จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการให้สินเชื่อตามเจตนารมณ์ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สิน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของธนาคาร เช่น ขยายเวลาชำระหนี้ ผ่อนปรนการชำระหนี้ เป็นต้น ซึ่งธนาคารออมสินได้ให้บริการสินเชื่อแก่ข้าราชการตำรวจฯ ภายใต้บันทึกข้อตกลงการให้สินเชื่อแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ประเภทสินเชื่อที่ให้บริการ ได้แก่ สินเชื่อเคหะแก่ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และสินเชื่อสวัสดิการสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
สำหรับ โครงการนี้เป็นโครงการด้านสวัสดิการกำลังพล เป็น 1 ใน 6 โครงการที่ สตช. มอบเป็นของขวัญให้แก่พี่น้องประชาชนและข้าราชการตำรวจ เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 ภายใต้โครงการของขวัญปีใหม่ “จากใจตำรวจไทยแด่ประชาชน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38002 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กำลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ | วันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563
"อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กำลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์
"อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กำลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ซึ่งอยู่ในระหว่างการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการเฝ้าระวังของกระทรวงสาธารณสุข หลังตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ได้ร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์โควิด-19 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เพื่อติดตามการสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากกรณี พบผู้ป่วยยืนยันที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ติดตามด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 รอบนี้ได้ โดยเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบป้องกันโรคของไทย ที่มีความพร้อมทั้งระบบสาธารณสุข ความมือจากฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร รวมถึงประชาชนคนไทยต่างให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค จึงทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นภาวะวิกฤตได้ในช่วงที่ผ่านมา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน ยังให้กำลังใจผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม.ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้มีกำลังใจในการทำงาน ให้สามารถระงับยับยั้งการระบาดครั้งนี้ได้โดยเร็ว พร้อมกับให้กำลังใจ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โดยทราบดีว่านายวีระศักดิ์ มุ่งมั่น จริงจังในการทำงาน และที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อชาวสมุทรสาคร จึงขอให้ป่วยโดยเร็ว และขอเป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่ต่อไปอย่างสุดความสามารถ
..............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37979 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 ธันวาคม 2563 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 ธันวาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ ครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษีพ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะ พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จำนวน 5 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา 63/15 วรรคหกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ พ.ศ. ....
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
เศรษฐกิจ - สังคม
9. เรื่อง แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
10. เรื่อง ขอเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ
11. เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4
12. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563
13. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2563
14. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินการต่อรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีกรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
15. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อสร้างอาคารพักพยาบาล 32 หน่วย (4 ชั้น ใต้ถุนโล่ง) เป็นอาคาร คสล. 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,358 ตารางเมตร โรงพยาบาลทุ่งสง ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 1 หลัง และก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก – อุบัติเหตุ เป็นอาคาร คสล. 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 8,250 ตารางเมตร โรงพยาบาลศีขรภูมิ ตำบลระแงง อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 1 หลัง
16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563
17. เรื่อง ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
19. เรื่อง ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ...
20. เรื่อง ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และขออนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ไทย-เมียนมา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2569
21. เรื่อง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย
22. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน - สหภาพยุโรป ครั้งที่ 23
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
24. เรื่อง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 13
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 7 รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
แต่งตั้ง
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
27. เรื่อง การบรรจุและแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน)
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
30. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
32. เรื่อง การเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ 3. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ รวม 3 ฉบับ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ หรือให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบบางกรณีในศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก่อนดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัว กรณี (1) ออกตามวาระ หรือ (2) ตาย หรือ (4) มีอายุครบเจ็ดสิบห้าปีบริบูรณ์ หรือ (6) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตามเวรปฏิบัติการที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือกระทำการใด ๆ ซึ่งถ้าเป็นข้าราชการตุลาการแล้วจะต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะถูกลงโทษ ไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ และการพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัว กรณี (3) ลาออก หรือ (5) ขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 25 หรือ (7) ไม่ผ่านการประเมินผลงานความรู้และความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่หรือการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 25/1 ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
1.2 กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัว กรณี (5) ขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 25 หรือ (6) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตามเวรปฏิบัติการที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือกระทำการใด ๆ ซึ่งถ้าเป็นข้าราชการตุลาการแล้วจะต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม หรือ (7) ไม่ผ่านการประเมินผลงานความรู้และความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ หรือการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 25/1 ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก่อนดำเนินการต่อไป
2. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2.1 แก้ไขเพิ่มเติมให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน กรณี (1) ออกตามวาระ หรือ (2) ตาย หรือ (6) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ และการพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน กรณี (3) ลาออก หรือ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 14/1 หรือ (5) ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้จำคุก หรือ (7) ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้พิพากษาสมทบ ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
2.2 กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงาน กรณี (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 14/1 หรือ (5) ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้จำคุก หรือ (6) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือ (7) ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้พิพากษาสมทบ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก่อนดำเนินการต่อไป
3. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3.1 แก้ไขเพิ่มเติมให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ กรณี (1) ออกตามวาระ หรือ (2) ตาย หรือ (5) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ และการพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ กรณี (3) ลาออก หรือ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 15 หรือ (6) ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้พิพากษาสมทบ ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
3.2 กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ กรณี (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 15 หรือ (5) ขาดการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดถึงสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันควร หรือ (6) ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้พิพากษาสมทบ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก่อนดำเนินการต่อไป
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการทั่วไปและมาตรการพิเศษในการคุ้มครองพยาน หน้าที่และอำนาจของสำนักงานคุ้มครองพยานและอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการคุ้มครองความปลอดภัยของพยานและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่พยาน เพื่อให้พยานเกิดความเชื่อมั่น ได้รับความคุ้มครอง และได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ “พยาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งจะมาให้หรือได้ให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญา หรือศาล ในการดำเนินคดีอาญา รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ
2. กำหนดให้พยานในคดีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้อาจได้รับการคุ้มครองตามมาตรการพิเศษได้
2.1 คดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือคดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
2.2 คดีความผิดตามมาตรา 282 มาตรา 283 มาตรา 317 มาตรา 318 หรือมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์หรือตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
3. กำหนดให้สำนักงานคุ้มครองพยานดำเนินการเพื่อคุ้มครองพยานตามมาตรการพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
3.1 ย้ายที่อยู่หรือจัดหาที่พักอันเหมาะสม
3.2 จ่ายค่าเลี้ยงชีพที่สมควรแก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยาน
3.3 ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล และหลักฐานทางทะเบียนที่สามารถระบุตัวพยาน รวมทั้งการดำเนินการเพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามคำขอของพยานด้วย
3.4 ดำเนินการเพื่อให้มีอาชีพ ให้มีการศึกษาอบรม หรือดำเนินการใดเพื่อให้พยานสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามที่เหมาะสม
3.5 ช่วยเหลือในการเรียกร้องสิทธิที่พยานพึงได้รับ
3.6 ดำเนินการให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยในระยะเวลาที่จำเป็น
3.7 ดำเนินการอื่นใดให้พยานได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับความคุ้มครองตามที่เห็นสมควร
ในกรณีตามข้อ 3. เมื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร กฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้รับแจ้งจากสำนักงานคุ้มครองพยาน ให้หน่วยงานดังกล่าวมีหน้าที่และอำนาจดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่หน่วยงานนั้นกำหนด
4. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายอาจสั่งให้การคุ้มครองพยานตามมาตรการพิเศษสิ้นสุดลงเมื่อมีเหตุอื่นใดตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและการดำรงชีวิตตามปกติของพยาน
5. เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยของพยาน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจค้นตัวบุคคลหรือยานพาหนะที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะก่อภัยอันตราย หรือคุกคามพยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยาน รวมทั้งมีอำนาจยึดสิ่งของหรือทรัพย์สินที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่พยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยาน ในกรณีที่เป็นความผิดทางอาญา ให้มีอำนาจจับกุมและแจ้งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแห่งท้องที่ที่จับเพื่อดำเนินการต่อไป
6. เมื่อพยานได้ให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา หรือพนักงานผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญา หรือเบิกความต่อศาลแล้ว พยานพึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควร ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ ยธ. กำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง (กค.) แต่ในกรณีที่เป็นพยานโจทก์ในคดีความผิดต่อส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายเป็นโจทก์หรือเป็นพยานจำเลย ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งให้มีการจ่ายค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายดังกล่าว แต่ไม่เกินอัตราตามระเบียบที่ ยธ. กำหนด โดยความเห็นชอบของ กค.
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. 2524 มาตรา 18 บัญญัติให้กรมศุลกากรจ่ายเงินชดเชยค่าภาษีอากรเป็นบัตรภาษี เพื่อให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยนำไปชำระเงินค่าภาษีอากร ดังต่อไปนี้ (1) ภาษีอากรที่กรมศุลกากร กรมสรรพากร หรือกรมสรรพสามิตจัดเก็บ ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยมีหน้าที่ต้องเสีย (2) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยมีหน้าที่ต้องนำส่งตามประมวลรัษฎากร (3) ภาษีอากรที่กรมศุลกากร กรมสรรพากร หรือกรมสรรพสามิตจัดเก็บแทนราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยมีหน้าที่ต้องเสีย (4) ภาษีอากรอื่นที่คณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักรเห็นสมควรให้นำบัตรภาษีไปชำระได้ มาตรา 19 วรรคสอง บัญญัติให้แบบ ลักษณะ ราคาและรายละเอียดของบัตรภาษีให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และมาตรา 34 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
2. คณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการและแนวทางการปรับปรุงวิธีการจ่ายเงินชดเชยจากรูปแบบกระดาษในปัจจุบันเป็นรูปแบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับชำระค่าภาษีอากร
3. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการใช้บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ชำระเงินค่าภาษีอากร ลดภาระในการบริการจัดการบัตรภาษีในรูปแบบกระดาษปัจจุบัน เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงได้ปรับปรุงรูปแบบบัตรภาษีดังกล่าวให้เป็นบัตรภาษีรูปแบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้บัตรภาษีมีแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กำหนดในระบบชำระภาษีอากรด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC) ของกรมศุลกากร
2. กำหนดให้บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์มีรายละเอียด ได้แก่
2.1 ชื่อและเลขทะเบียนผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าภาษีอากร
2.2 เลขที่บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
2.3 จำนวนเงินชดเชยค่าภาษีอากร
2.4 วันที่ออกบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
2.5 วันที่บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์หมดอายุ
2.6 รายละเอียดอื่นตามที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด
3. กำหนดให้บัตรภาษีที่ออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ ผู้มีชื่อในบัตรภาษีอาจยื่นความจำนงขอเปลี่ยนเป็นบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ ตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
4. กำหนดให้บัตรภาษีตามข้อ 2. ให้มีราคาและอายุการใช้เพียงเท่าที่มีอยู่ในบัตรภาษีเดิม
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ คค. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. ให้ คค. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า ได้มีนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์ทุกประเภทบนถนนที่มีช่องจราจรตั้งแต่ 4 ช่องขึ้นไป จากความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยได้มีการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการให้เกิดแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และไม่เกิดผลกระทบกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ และกำหนดมาตรการที่ถูกต้องเหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้ อีกทั้งได้มีการจัดประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านทางเว็บไซต์ของกรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรแล้ว ซึ่งประชาชนส่วนมากเห็นด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะ พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดความเร็วในการขับรถในทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถ มีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น (Barrier Median) และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน รวมทั้งกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับการขับรถในช่องเดินรถช่องทางขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวง ดังนี้
1. กำหนดให้ความเร็วขั้นสูงสำหรับการขับรถในทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ที่มีทางเดินรถที่จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถ มีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น (Barrier Median) และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ให้ขับรถแต่ละประเภทในทางเดินรถโดยใช้ความเร็วไม่เกิน ดังนี้
1.1 รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม รถบรรทุกคนโดยสารที่บรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1.2 รถในขณะที่ลากจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1.3 รถจักรยานยนต์ ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไป หรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ลูกบาศก์เซนติเมตรขึ้นไป ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1.4 รถโรงเรียน หรือรถรับส่งนักเรียน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1.5 รถบรรทุกคนโดยสาร เกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1.6 รถยนต์อื่น ให้ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
2. กำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับการขับรถในช่องเดินรถช่องทางขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวง ซึ่งจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป โดยให้รถยนต์อื่นนอกจากรถยนต์ตามข้อ 1.1, ข้อ 1.2, ข้อ 1.4 และข้อ 1.5 ขับในช่องทางเดินรถช่องขวาสุด โดยใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
3. กำหนดให้ในเขตทางที่มีป้ายหรือเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตราย หรือเขตให้ขับรถ ช้า ๆ ให้ลดความเร็วลงและเพิ่มความระมัดระวังขึ้นตามสมควร
4. กำหนดให้ในกรณีที่มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วขั้นสูงต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ 1. ในทางเดินรถใด ไม่ว่าตลอดทางเดินรถหรือกำหนดในช่วงใดช่วงหนึ่งของทางเดินรถ ให้ผู้ขับขี่รถทุกประเภทขับไม่เกินอัตราความเร็วขั้นสูงที่กำหนดไว้ในเครื่องหมายจราจรนั้น ตลอดทางเดินรถหรือในช่วงที่กำหนดดังกล่าว ยกเว้นกรณีไม่สามารถปฏิบัติได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณรถในทางเดินรถ หรือเหตุขัดข้องอื่นใดอันมีเหตุผลสมควรแก่กรณี
5. กำหนดให้เครื่องหมายจราจรตามข้อ 4. ต้องแสดงให้ผู้ขับขี่เห็นได้ชัดเจนก่อนถึงทางเดินรถ หรือช่วงที่กำหนดของทางเดินรถนั้น ในระยะเพียงพอที่ผู้ขับขี่จะสามารถลดความเร็วเพื่อปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรนั้นได้ และต้องแสดงเครื่องหมายจราจรดังกล่าวเป็นระยะตลอดจนสิ้นสุดทางเดินรถ หรือสิ้นสุดช่วงที่กำหนด โดยให้หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทางเดินรถนั้น ๆ ดำเนินการจัดทำเครื่องหมายจราจร และมีหน้าที่ควบคุมกำหนดความเร็วในเครื่องหมายจราจรประเภทที่สามารถปรับเปลี่ยน รูปภาพ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ได้
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 5 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... 4. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... และ 5. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงจำนวน 5 ฉบับให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดังนี้ (1) สำนักงานรัฐมนตรี (2) สำนักงานปลัดกระทรวง (3) กรมวิทยาศาสตร์บริการ (4) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ (5) สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการเดิม
การแบ่งส่วนราชการใหม่
หมายเหตุ
1. สำนักงานรัฐมนตรี ใน (วท.)
(1) งานบริหารทั่วไป
(2) กลุ่มประสานการเมือง
(3) กลุ่มงานสนับสนุนวิชาการ
สำนักงานรัฐมนตรี
(1) งานบริหารทั่วไป
(2) กลุ่มประสานการเมือง
(3) กลุ่มงานสนับสนุนวิชาการ
คงเดิม
คงเดิม
คงเดิม
คงเดิม
2.
สำนักงานปลัดกระทรวง (สป.) ใน วท.
สำนักบริหารกลาง
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
สำนักอำนวยการ
สำนักงานปลัดกระทรวง
(1) กองกลาง
เปลี่ยนชื่อ
สป. ในวท.
กลุ่มงานกฎหมายในสำนักบริหารกลาง
สกอ. ใน ศธ.
กลุ่มงานกฎหมายในสำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร
(2) กองกฎหมาย
เปลี่ยนชื่อ
สกอ. ใน ศธ.
สำนักยุทธศาสตร์อุดมศึกษาต่างประเทศ
(3) กองการต่างประเทศ
เปลี่ยนชื่อ
สกอ. ใน ศธ.
- สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร
(4) กองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เปลี่ยนชื่อ
สกอ. ในศธ.
สำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา
(5) กองยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา
เปลี่ยนชื่อ
สป. ใน วท.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
สกอ. ใน ศธ.
สำนักนโยบายและแผนการอุดมศึกษา
(6) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน
เปลี่ยนชื่อ
สป. ใน วท.
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สกอ. ใน ศธ.
ศูนย์สารสนเทศอุดมศึกษาในสำนักอำนวยการ
(7) กองระบบและบริหารข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เปลี่ยนชื่อ
สป. ใน วท.
สำนักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี
สกอ. ใน ศธ.
สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา
(8) กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
เปลี่ยนชื่อ
สป. ใน วท.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
สกอ. ใน ศธ.
- สำนักนโยบายและแผนการอุดมศึกษา
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา
(9) กองส่งเสริมและพัฒนากำลังคน
เปลี่ยนชื่อ
สกอ. ใน ศธ.
สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร
(10) กองส่งเสริมและพัฒนาทุนทางปัญญา
เปลี่ยนชื่อ
3. กรมวิทยาศาสตร์บริการ (ใน วท.)
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) สำนักเทคโนโลยีชุมชน
(3) สำนักบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการ
(4) สำนักพัฒนาศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ห้องปฏิบัติการ
(5) สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กรมวิทยาศาสตร์บริการ
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) สำนักเทคโนโลยีชุมชน
(3) กองบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการ
(4) กองพัฒนาศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ห้องปฏิบัติการ
(5) กองหอสมุดและศูนย์สารสนเทศ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
คงเดิม
เปลี่ยนชื่อสำนัก เป็น กอง
เปลี่ยนชื่อสำนัก เป็น กอง
เปลี่ยนชื่อสำนัก เป็น กอง
4. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (ตาม พ.ร.บ. สภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2502)
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) กองการต่างประเทศ
(3) กองนโยบายและแผนการวิจัย
(4) กองบริหารแผนและงบประมาณการวิจัย
(5) กองประเมินผลและการจัดการความรู้การวิจัย
(6) กองมาตรฐานการวิจัย
(7) ศูนย์สารสนเทศการวิจัย
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) กองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1
(3) กองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2
(4) กองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 3
(5) กองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม
(6) กองมาตรฐานการวิจัยและสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
(7) กองระบบและบริหารข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เปลี่ยนชื่อ
คงเดิม
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
5. สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ใน วท.)
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) สำนักกำกับดูความปลอดภัยทางนิวเคลียร์
(3) สำนักกำกับดูความปลอดภัยทางรังสี
(4) สำนักบริหารจัดการด้านพลังงานปรมาณู
(5) สำนักสนับสนุนการกำกับดูแลความปลอดภัยจากพลังงานปรมาณู
สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
(1) สำนักงานเลขานุการกรม
(2) กองตรวจสอบทางนิวเคลียร์และรังสี
(3) กองอนุญาตทางนิวเคลียร์และรังสี
(4) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน
(5) กองพัฒนาระบบและมาตรฐานกำกับดูแลความปลอดภัย
คงเดิม
คงเดิม
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
เปลี่ยนชื่อ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. เห็นชอบให้เพิ่มเติมกรณีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการ แต่ไม่มีฐานะเป็นกรม เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ดังนั้น เพื่อให้การบังคับตามคำสั่งทางปกครองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานในกำกับ อว. เป็นหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดี ดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต่อไปนี้เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
1. สถาบันอุดมศึกษาของรัฐในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
2. หน่วยงานในกำกับ อว. ซึ่งประกอบด้วย
2.1 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
2.2 องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
2.3 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
2.4 สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
2.5 สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
2.6 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
2.7 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
2.8 สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
2.9 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
2.10 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
2.11 สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
2.12 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
2.13 ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ ให้เป็นไปตามมาตรฐาสากล และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อรักษาความปลอดภัยในการประกอบกิจการน้ำมันและป้องกันมิให้เกิดอัคคีภัยหรืออันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดหลักเกณฑ์การประกอบกิจการระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ
2. กำหนดลักษณะของแผนผัง แบบก่อสร้างและคุณสมบัติของท่อขนส่งน้ำมัน โดยแสดงรายละเอียดแผนผังโดยสังเขป แผนผังบริเวณแสดงแนวท่อ แบบก่อสร้างแบบแสดงการเชื่อมต่อของระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อกับระบบท่อน้ำมันอื่น แบบก่อสร้างเครื่องหมายแสดงในเขตระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ แบบก่อสร้างลิ้นปิดเปิดควบคุมการไหลของน้ำมัน สถานีสูบน้ำมัน และรายการคำนวณความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัยของระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ
3. กำหนดมาตรฐานการออกแบบ การก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบและตรวจสอบกำหนดลักษณะการติดตั้งท่อขนส่งน้ำมัน กำหนดเครื่องหมายแสดงในบริเวณเขตระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ กำหนดการตรวจสอบพื้นที่แนวท่อส่งน้ำมัน การตรวจสอบการป้องกันการกัดกร่อนด้วยไฟฟ้า การตรวจสอบระบบควบคุมการขนส่ง ระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย การตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์ควบคุมและเครื่องมือวัด การทดสอบและตรวจสอบการรั่วซึมและความมั่นคงแข็งแรงของระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อตามระยะเวลาที่กำหนด
4. กำหนดมาตรการเพื่อการป้องกันและระงับอัคคีภัย เช่น ห้ามทำการใด ๆ ที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดเปลวไฟ บริเวณสถานีสูบน้ำมันต้องติดตั้งเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง หรือน้ำยาดับเพลิงอย่างน้อยสองเครื่องต่อเครื่องสูบน้ำมันหนึ่งเครื่องและตรวจสอบเครื่องดับเพลิงทุกหกเดือน จัดทำแผนฉุกเฉิน ป้องกัน และระงับอัคคีภัย พร้อมดำเนินการฝึกซ้อมอย่างน้อยปีละครั้ง
5. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและมาตรการ ก่อนการเลิกใช้งานระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยผู้ประกอบกิจการควบคุมต้องแจ้งต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานภายในหกสิบวันก่อนวันที่เลิกใช้งานระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ
6. กำหนดบทเฉพาะกาลให้ระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อที่ได้รับใบอนุญาต หรือได้รับความเห็นชอบแบบแปลนและแบบก่อสร้าง ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติ หรือต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ) แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า เนื่องจากกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบรับรอง ใบแทนใบอนุญาต หรือใบแทนใบรับรอง ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมการตรวจแบบแปลนก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร และการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการตรวจแบบแปลนก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้นโดยไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยคณะกรรมการควบคุมอาคาร ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบรับรอง ใบแทนใบอนุญาต หรือใบแทนใบรับรอง ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมการตรวจแบบแปลนก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร และการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการตรวจแบบแปลนก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร ดังนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ 1 ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ดังนี้
(1) อาคารดังต่อไปนี้ให้เก็บค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตตาม (2)
(ก) อาคารอยู่อาศัยไม่เกินสองชั้นและมีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันรวมกันไม่เกิน 150 ตารางเมตร
(ข) อาคารเก็บผลิตผลทางการเกษตรที่มีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันรวมไม่เกิน 100 ตารางเมตร
(ค) อาคารเลี้ยงสัตว์ที่มีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันไม่เกิน 100 ตารางเมตร
(ง) รั้ว กำแพง ประตู เพิงหรือแผงลอย
(จ) หอถังน้ำที่มีความสูงไม่เกิน 6 เมตร
(2) ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตตาม (1)
(ก) ใบอนุญาตก่อสร้าง ฉบับละ 20 บาท
(ข) ใบอนุญาตดัดแปลง ฉบับละ 10 บาท
(ค) ใบอนุญาตรื้อถอน ฉบับละ 10 บาท
(ง) ใบอนุญาตเคลื่อนย้าย ฉบับละ 10 บาท
(จ) ใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้ ฉบับละ 20 บาท
(ฉ) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 5 บาท
(3) ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตอาคารอื่นนอกจากอาคารตาม (1)
(ก) ใบอนุญาตก่อสร้าง ฉบับละ 200 บาท
(ข) ใบอนุญาตดัดแปลง ฉบับละ 100 บาท
(ค) ใบอนุญาตรื้อถอน ฉบับละ 50 บาท
(ง) ใบอนุญาตเคลื่อนย้าย ฉบับละ 50 บาท
(จ) ใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้ ฉบับละ 200 บาท
(ฉ) ใบรับรอง ฉบับละ 100 บาท
(ช) ใบแทนใบอนุญาตหรือใบแทนใบรับรอง ฉบับละ 10 บาท
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ 2 ให้กำหนดค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต ดังนี้
(1) อาคารดังต่อไปนี้ให้เก็บค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตตาม (2)
(ก) อาคารอยู่อาศัยไม่เกินสองชั้นและมีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันรวมกันไม่เกิน 150 ตารางเมตร
(ข) อาคารเก็บผลิตผลทางการเกษตรที่มีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันรวมไม่เกิน 100 ตารางเมตร
(ค) อาคารเลี้ยงสัตว์ที่มีพื้นที่ทุกชั้นในหลังเดียวกันไม่เกิน 100 ตารางเมตร
(ง) รั้ว กำแพง ประตู เพิงหรือแผงลอย
(จ) หอถังน้ำที่มีความสูงไม่เกิน 6 เมตร
(2) ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตอาคารตาม (1)
(ก) ใบอนุญาตก่อสร้าง ฉบับละ 20 บาท
(ข) ใบอนุญาตดัดแปลง ฉบับละ 10 บาท
(ค) ใบอนุญาตรื้อถอน ฉบับละ 10 บาท
(ง) ใบอนุญาตเคลื่อนย้าย ฉบับละ 10 บาท
(3) ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตอาคารอื่นนอกจากอาคารตาม (1)
(ก) ใบอนุญาตก่อสร้าง ฉบับละ 200 บาท
(ข) ใบอนุญาตดัดแปลง ฉบับละ 100 บาท
(ค) ใบอนุญาตรื้อถอน ฉบับละ 50 บาท
(ง) ใบอนุญาตเคลื่อนย้าย ฉบับละ 50 บาท
เศรษฐกิจ - สังคม
9. เรื่อง แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
2. เห็นชอบแผนงบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงินงบประมาณรายจ่าย 892.379 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 932.419 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า
1. ผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น
รายละเอียด
ผลการดำเนินงาน
ตัวอย่างผลการดำเนินงานของสำนักงาน กกพ. เช่น
1) ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เช่น ลดค่าไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (22 ล้านครัวเรือน) ตั้งแต่เดือนเมษายน - มิถุนายน 2563
2) ออกมาตรการแก้ไขภัยแล้ง และจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
3) ปรับปรุงระบบการอนุญาตแบบครบวงจรตามแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
4) กำกับอัตราค่าบริการพลังงาน โดยออกประกาศว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า และกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าปี พ.ศ. 2563 - 2564
5) ตรึงค่าไฟฟ้าแปรผัน (Ft) ที่เรียกเก็บเดือนมกราคม - สิงหาคม 2563 และปรับลดค่า Ft ที่เรียกเก็บเดือนกันยายน -ธันวาคม 2563
6) พัฒนางานกำกับกิจการพลังงานรองรับเทคโนโลยีด้านพลังงานและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ
7) ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน
การจัดเก็บรายได้
จำนวน 947.764 ล้านบาท (ณ วันที่ 30 กันยายน 2563)
ต่ำกว่ารายได้ที่ประมาณการไว้ จำนวน 0.986 ล้านบาท
การใช้จ่ายงบประมาณ
คาดว่าจะเบิกจ่าย จำนวน 868.191 ล้านบาท
ต่ำกว่ากรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 จำนวน 80.224 ล้านบาท (กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 948.415 ล้านบาท)
หมายเหตุ เพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 สำนักงาน กกพ. ได้นำเงินส่งคลังในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 80 ล้านบาท
2. แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 แผนการดำเนินงาน
วัตถุประสงค์
ตัวอย่างการดำเนินการ
1. ส่งเสริมให้บริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ มีความมั่นคง และมีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต
- ศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการกำกับเพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าจากนวัตกรรมใหม่
- พัฒนาระบบการอนุญาตออนไลน์กิจการพลังงานที่ได้รับการจดแจ้งยกเว้นโดยไม่ต้องขอรับใบอนุญาต
2. ปกป้องประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานทั้งด้านอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ
ออกประกาศกำหนดแบบรายงานการบัญชีและการเงินกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติตามมาตรฐานสากล
3. ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบในการประกอบกิจการพลังงาน
วิเคราะห์การพัฒนาตลาดอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติและจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการกำกับกิจการก๊าซธรรมชาติในอนาคต
4. ส่งเสริมให้การบริการของระบบโครงข่ายพลังงานเป็นไปด้วยความเป็นธรรม
ทบทวนข้อกำหนดการเชื่อมต่อระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
5. ส่งเสริมให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม
ตรวจติดตามการประกอบกิจการพลังงาน และออกหลักเกณฑ์การกำกับการสั่งจ่ายของศูนย์ควบคุมระบบโครงข่ายพลังงาน
6. ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงานชุมชนท้องถิ่น ประชาชน และผู้รับใบอนุญาตในการมีส่วนร่วม เข้าถึงใช้ และจัดการด้านพลังงาน
- พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อจัดตั้งศูนย์การจัดการข้อร้องเรียน
- ยกระดับการรับรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชนในเรื่องสิทธิ และการเข้าถึงประโยชน์จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
7. ส่งเสริมการใช้พลังงานและทรัพยากรในการประกอบกิจการพลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
สนับสนุนการศึกษา วิจัย และพัฒนาการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ และมีผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
8. ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานศึกษา/สาธารณสุขของรัฐ
9. บริหารจัดการองค์กรที่สมัย มีประสิทธิและพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ
- พัฒนาระบบบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001 : 2015
- จัดทำแผนเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพ
2.2 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
รายการ
จำนวนเงิน (ล้านบาท)
1. รายจ่ายด้านบุคลากร
266.122
2. รายจ่ายในการจัดการและบริหารสำนักงาน เช่น เงินสมทบประกันสังคม ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าวัสดุสำนักงาน และค่าสาธารณูปโภค
405.451
3. รายจ่ายที่เป็นงบลงทุน เช่น ค่าครุภัณฑ์ต่าง ๆ
81.027
4. รายจ่ายที่เป็นเงินอุดหนุน เช่น เงินให้การสนับสนุนกิจกรรมภาคสังคม
2.500
5. รายจ่ายอื่น ๆ เช่น โครงการตามกลยุทธ์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานฝึกอบรม สัมมนา และศึกษาดูงานในต่างประเทศ
137.278
รวมทั้งสิ้น
892.379
ทั้งนี้ กรณีที่จะต้องดำเนินการตามภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนหรือดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของสำนักงาน กกพ. หรือตามนโยบายรัฐบาลระหว่างปีงบประมาณ สำนักงาน กกพ. จะถัวจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
2.3 ประมาณการรายได้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
รายการ
จำนวนเงิน (ล้านบาท)
1. ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
1.030
2. ค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี
930.440
3. รายได้อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร
0.949
รวมทั้งสิ้น
932.419
10. เรื่อง ขอเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ข้อ 7 (3) โดยการโอนวงเงินจากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบจำนวน จำนวน 92,185,500 บาท (ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564) ไปสมทบรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 92,185,500 บาท และให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ตั้งงบประมาณคืนให้แก่รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ต่อไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศย. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (6 สิงหาคม 2559) อนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิต 1 หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบจำนวน 92,185,500 บาท โดยให้ ศย. เสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นแล้วแต่กรณี นั้น ศย. ได้ทำความตกลงกับ สงป. เพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 โดยโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จากรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 92,185,500 บาท ไปสมทบเบิกจ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิต 1 หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 90,600,000 บาท และค่าควบคุมงาน จำนวน 1,585,500 บาท รวมจำนวน 92,185,500 บาท (ซึ่งตามหลักเกณฑ์การบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายเป็นการนำวงเงินไปใช้ชั่วคราว ซึ่งจะต้องมีการนำวงเงินงบประมาณของปีงบประมาณถัดไปของรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิตฯ คืนไปยังรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9)
2. ต่อมาเมื่อศาลจังหวัดดุสิตฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จก็ยังมิได้มีการโอนงบประมาณจากรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิตฯ คืนไปยังรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 แต่อย่างใด เนื่องจากรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิตฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นปีสุดท้าย อีกทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ก็มิได้มีการตั้งงบประมาณรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิตฯ รองรับไว้ จึงส่งผลให้รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
3. ศย. ได้ขอทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอโอนวงเงินงบประมาณจากรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการ ศย. พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 92,185,500 บาท ไปตั้งจ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำนวน 92,185,500 บาท และขอให้ สงป. จัดสรรงบประมาณคืนให้กับรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการ ศย. พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ต่อไป
11. เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMES) ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 (โครงการ PGS ระยะที่ 9) และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 (โครงการ Micro 'Entrepreneurs ระยะที่ 4) พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน 24,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ 9 และอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน 5,750 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 (รวม 2 โครงการ ขออนุมัติงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น 29,750 ล้านบาท) จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กค. รายงานว่า
1. จากการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มบรรเทาลง รวมไปถึงการดำเนินมาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ส่งผลให้ภาคธุรกิจบางสาขาเริ่มส่งสัญญาณกลับมาฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 และยังไม่สามารถข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอโดยสาเหตุสำคัญมาจากสถาบันการเงินยังไม่มั่นใจการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเห็นว่าผู้ประกอบการดังกล่าว ยังมีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืน กค. โดย บสย. จึงเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการ PGS ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
หัวข้อ
โครงการ PGS ระยะที่ 9
โครงการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4
วัตถุประสงค์
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไปผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการให้สินเชื่อ รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพที่ต้องการสินเชื่อแต่หลักประกันไม่เพียงพอให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้หรือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องให้สามารถประกอบธุรกิจจ่อไปได้
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย
ผู้ประกอบอาชีพอื่นที่มีสถานประกอบการชัดเจนและประกอบธุรกิจจริง ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเป็นการลดต้นทุนการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการรายย่อยและช่วยแก้ไขปัญหาการกู้ยิมเงินนอกระบบ
วงเงินค้ำประกันโครงการรวม
150,000 ล้านบาท
25,000 ล้านบาท
บสย. สามารถกำหนดเงื่อนไขและวงเงินค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อยแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละสถาบันการเงิน หรือโครงการย่อยแต่ละโครงการได้ตามความเหมาะสม
วงเงินค้ำประกันต่อราย
ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย (รวมทุกสถาบันการเงิน) ทั้งนี้ อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของหลักเกณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อต่อรายและต่อกลุ่มลูกค้า (Single Guarantee Limit : SGL) ของ บสย.
การยื่นขอให้ค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
ไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย (รวมทุกสถาบันการเงิน) ทั้งนี้ อยู่ภายใต้ข้อกำหนด SGL ของ บสย.
การยื่นคำขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท
ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน
2 ปี นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
อายุการค้ำประกัน
ไม่เกิน 10 ปี
ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน
อัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อในแต่ละปีให้เป็นไปตามที่ บสย. กำหนด
รัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ปีละไม่เกินร้อยละ 1.75 เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือไม่เกินร้อยละ 3.5 ตลอดอายุการค้ำประกัน
ไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปีตลอดอายุการค้ำประกันโครงการ
รัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการรายย่อยปีละไม่เกินร้อยละ 1.5 เป็นะระยะเวลา 2 ปี หรือไม่เกินร้อยละ 3 ตลอดอายุการค้ำประกัน
บสย. สามารถจัดสรรอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่รัฐบาลจ่ายแทนผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย
ในแต่ละกลุ่มได้ตามความเหมาะสม
การจ่ายค่าประกันชดเชย
บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมรับตลอดอายุการค้ำประกันของโครงการบวกงบประมาณการจ่าย ชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาลไม่เกินร้อยละ 12.5 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันโครงการ เช่น หาก บสย. ได้รับค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ต่อปีเป็นระยะเวลา 10 ปี ค่าประกันชดเชยที่ บสย. จะจ่ายได้ตลอดโครงการจะไม่เกินร้อยละ 30 (ร้อยละ 1.75 * 10 ปี บวกเงินชดเชยจากรัฐบาลไม่เกินร้อยละ 12.5) เป็นต้น โดย บสย. สามารถจัดสรรเงินสำหรับการจ่ายค่าประกันชดเชย
ในแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ได้ตามความเหมาะสมภายใต้งบประมาณจากภาครัฐเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 12.5 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันโครงการ
บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมรับตลอดอายุการค้ำประกันของโครงการบวกเงินสมทบที่ได้รับจากรัฐบาลไม่เกินร้อยละ 20 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันโครงการ เช่น หาก บสย. ได้รับค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี ค่าประกันชดเชยที่ บสย. จะจ่ายได้ตลอดโครงการจะไม่เกินร้อยละ 35
(ร้อยละ 1.5 * 10 ปี บวกเงินชดเชยจากรัฐบาลไม่เกินร้อยละ 20) เป็นต้น โดย บสย.สามารถจัดสรรเงินสำหรับการจ่ายค่าประกันชดเชยในแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยได้ตามความเหมาะสมภายใต้งบประมาณจากภาครัฐเฉลี่ยไม่เกิน ร้อยละ 20 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันโครงการ
การขอรับการชดเชย
บสย. ขอรับเงินงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เป็นเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 24,000 ล้านบาท (ร้อยละ 16* 150,000 ล้านบาท) แบ่งเป็น
1) เงินชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยจากรัฐบาลอัตราร้อยละ 12.5 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันจำนวนไม่เกิน 18,750 ล้านบาท (ร้อยละ 12.5 * 150,000 ล้านบาท)
2) เงินชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่เกิน 5,250 ล้านบาท (ร้อยละ 35 * 150,000 ล้านบาท)
บสย. ขอรับเงินงบประมาณชดเชยจากรัฐบาลเป็นเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 5,750 ล้านบาท (ร้อยละ 23 *25,000 ล้านบาท) แบ่งเป็น
1) เงินสมทบการจ่ายค่าประกันชดเชยจากรัฐบาลอัตราร้อยละ 20 ของวงเงินอนุมัติค้ำประกันจำนวนไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (ร้อยละ 20 * 25,000 ล้านบาท)
2) เงินชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย จำนวนไม่เกิน 750 ล้านบาท (ร้อยละ 3 * 25,000 ล้านบาท)
เงื่อนไขอื่น ๆ
กค. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะกำหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดในการติดตาม
การดำเนินงานของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยอาจปรับปรุงรายละเอียดของโครงการได้ตามสมควรต่อไป
-
ผลเชิงเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับ
มีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 42,500 ราย (เฉลี่ย 3.5 ล้านบาทต่อราย)
ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินไม่ต่ำกว่า 225,000 ล้านบาท (1.5 เท่าของวงเงินค้ำประกันโครงการ)
มีสัดส่วนผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อไม่ต่ำกว่าร้อยละ 35
ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย (เฉลี่ย 250,000 บาทต่อราย
ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 25,000 ล้านบาท (1 เท่าของวงเงินวงเงินค้ำประกันโครงการ)
2. กค.ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการดังกล่าว บสย.จะจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 มียอดคงค้างจำนวน 862,792.119 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 26.26 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 (วงเงิน 3,285,962.4797 ล้านบาท) ทั้งนี้ หากรวมภาระทางการคลังที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี วงเงินจำนวน 3,778.993 ล้านบาท จะส่งผลให้ยอดคงค้างทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 866,571.112 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ 9 จำนวน 24,000 บาท และโครงการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 จำนวน 5,750 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 29,750 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยมียอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 896,321.112 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 27.28 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 30 ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้
12. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563 [ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 28/7 ที่บัญญัติให้ กนง. รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีทุกหกเดือน] โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ
สาระสำคัญ
เป้าหมายนโยบายการเงิน
กนง. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น โดยให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางเป็นเป้าหมายหลักควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี 2563
การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม
1. ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม
- ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง (ไตรมาสที่ 1 หดตัวร้อยละ 2 ส่วนไตรมาสที่ 2 หดตัวร้อยละ 12.2 จากระยะเดียวกันของปีก่อน) โดยปริมาณการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) และภาคการผลิตหดตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่ปรับลดลงมาก การส่งออกบริการหดตัวแรงจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวตามรายได้แรงงานที่ลดลงและความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแอลงมาก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
- ประมาณการเศรษฐกิจ ณ เดือนมิถุนายน 2563 คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวที่ร้อยละ 8.1 ใน 2563 และจะกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.0 ในปี 2564
2. ภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้ม
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เฉลี่ยติดลบร้อยละ 1.13 ลดลงจากช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ที่ร้อยละ 0.50 และต่ำกว่าขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงินจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และส่วนหนึ่งจากมาตรการลดค่าสาธารณูปโภคเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล โดย กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบร้อยละ 1.7 ในปี 2563 แต่ไม่ได้แสดงว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะเงินฝืดเนื่องจากราคาสินค้าและบริการไม่ได้มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องยาวนาน โดยปรับลดเฉพาะบางรายการ รวมถึง การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสาธารณชนในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564
3. เสถียรภาพระบบการเงิน
ระบบการเงินไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัวโดยต้องติดตามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในจุดต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น (1) ความเสี่ยงในตลาดการเงินเนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกอาจปรับลดลงรุนแรง โดยตลาดการเงินไทยเกิดความผันผวนหลังจากนักลงทุนรายใหญ่เร่งไถ่ถอนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวม (2) ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ที่ด้อยลงมาก
การดำเนินนโยบายการเงิน
1. การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย
- กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้ง จากร้อยละ 1.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จากร้อยละ 0.46 เหลือร้อยละ 0.23 ของฐานเงินฝาก เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงเพิ่มเติมเพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจอีกทางหนึ่ง
2. การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
กนง. เห็นว่าควรติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์ตลาดการเงิน ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ และระบบสถาบันการเงิน ทั้งนี้ มาตรการที่ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เช่น (1) เข้าดูแลสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (2) จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (3) ลดเพดานดอกเบี้ย ค่าบริการ ต่าง ๆ และเบี้ยปรับสำหรับลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
3. การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
กนง. ให้ความสำคัญกับการติดตามและดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนเกินไปจนกระทบต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเห็นควรติดตาม
(1) สถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
(2) ผลของมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้ายขาออกที่ได้ดำเนินการไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม
4. การสื่อสารนโยบายการเงิน
กนง. เน้นการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหตุผลประกอบการตัดสิน
นโยบายการเงิน รวมทั้งประเด็นการหารือต่าง ๆ ของ กนง. ที่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจมุมมองการตัดสินใจของ กนง. โดยมีการสื่อสารผ่านการแถลงผลการประชุม รายงานนโยบายการเงินและจดหมายเปิดผนึกชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อ อินโฟกราฟิก เป็นต้น
13. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกันยายน 2563 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2563 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ขยายตัวร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า)
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนกันยายน 2563 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. รถยนต์ และเครื่องยนต์ หดตัวร้อยละ 13.1 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 กระทบต่อความต้องการใช้รถยนต์ลดลง โดยสินค้าหลักที่ลดลงได้แก่ รถบรรทุกปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล
2. น้ำมันปิโตรเลียม หดตัวร้อยละ 9.1 จกน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตาและน้ำมันเเก๊สโซฮอล 91 เป็นหลัก จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ที่ยังส่งผลกระทบกับการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงกว่าช่วงปกติ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
3. น้ำตาล หดตัวร้อยละ 63.8 เนื่องจากผลผลิตอ้อยในปีนี้มีน้อย ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลทรายดิบที่มีอยู่นำมาแปรสภาพเป็นน้ำตาลทรายได้น้อยกว่าปีก่อน
อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนกันยายน 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
1. เภสัชภัณฑ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 เนื่องจากปีก่อนผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตเพื่อเตรียมย้ายโรงงานไปยังสถานที่ตั้งแห่งใหม่และกลับมาผลิตปกติแล้วในปีนี้ รวมถึงได้รับคำสั่งซื้อต่อเนื่องจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ
2. เครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 จากตู้เย็นที่มีความต้องการจากตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเครื่องซักผ้าที่มีการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ๆ และมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากมาเลเซียและญี่ปุ่น
14. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินการต่อรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีกรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการต่อรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนขอให้ตรวจสอบ กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดกัญญาภัทรการโยธา ได้ก่อสร้างบ่อกำจัดมูลฝอยโดยวิธีการฝังกลบในพื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านคลองทราย ตำบลบางหิน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ว่า ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 โดยไม่ได้รับฟังความเห็นของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบและผู้มีส่วนได้เสีย
2. กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ได้ขุดดินถมดินเพื่อก่อสร้างบ่อฝังกลบมูลฝอยโดยฝ่าฝืนมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 ประกอบกิจการรับขนและกำจัดมูลฝอยโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และองค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน เป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตตามกฎหมาย ทราบการกระทำโดยฝ่าฝืนกฎหมายของห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ แล้ว กลับละเลยมิได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเหมาะสม จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่ง กสม. ได้มีข้อเสนอแนะไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินว่า ควรเร่งออกข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพิจารณาดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ฐานฝ่าฝืนมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 แต่องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. ดังกล่าว ดังนี้
2.1 กรณีที่ให้เร่งออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้เสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ต่อที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว จำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2559 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 แล้ว แต่เมื่อองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้รับทราบข้อเสนอแนะของ กสม. แล้ว ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้เสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินอีก จึงเห็นว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
2.2 กรณีที่ให้ดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ฐานฝ่าฝืนมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2553 และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินอ้างว่าไม่ได้ดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เนื่องจากพื้นที่ร้องเรียนอยู่ในความครอบครองของเอกชน และพื้นที่ไม่มีสภาพเป็นบ่อฝังกลบมูลฝอยแล้ว เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินยกเว้นไม่ต้องดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ได้กระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 แล้ว องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินจึงไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะมาตรการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
กสม. ได้รายงานกรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรต่อคณะรัฐมนตรี
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งมอบหมายให้ มท. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานในเรื่องดังกล่าว โดยให้ มท. สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. มท. ได้ แจ้งให้ ทส. สธ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และจังหวัดระนองพิจารณาดำเนินการต่อข้อเสนอแนะของ กสม. ตามคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม)ตามข้อ 2.3 และรายงานผลให้ มท. ทราบ เพื่อประมวลผลแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวได้แจ้งผลการดำเนินการ ดังนี้
1.1 ทส. แจ้งว่า หน่วยงานในสังกัด ทส. ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. ในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาในกรณีการก่อสร้างบ่อกำจัดมูลฝอยโดยวิธีการฝังกลบ ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านคลองทราย ตำบลบางหิน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนองแล้ว โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า จังหวัดระนองควรเร่งจัดหาพื้นที่ก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยทั่วไป และดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฏหมายว่าด้วยการสาธารณสุข รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนตามระเบียบกฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดการคัดค้านจากประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ กรณีจังหวัดระนอง หรือองค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ดังกล่าว สามารถปรึกษาขอคำแนะนำทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระนอง และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 15 (ภูเก็ต) ต่อไปได้
1.2 สธ. แจ้งว่า สธ. โดยกรมอนามัยได้จัดทำแนวทางการบังคับใช้กฎหมายและการออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามบทบาทอำนาจหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่น ขอความร่วมมือศูนย์อนามัยที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้คำแนะนำ ปรึกษา หรือสนับสนุนการดำเนินงานตามบทบาทอำนาจหน้าที่แก่สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดระนอง และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสาธารณสุข ได้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ในฐานะประธานคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดระนอง ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 17/3 เพื่อดำเนินการ (1) เร่งรัดให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินออกข้อบัญญัติท้องถิ่น เรื่อง การจัดการมูลฝอยทั่วไป เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสะอาดและจัดระเบียบในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (2) กำกับดูแลให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด (3) ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินการตามข้อ (1) และ (2) และรายงานต่อคณะกรรมการสาธารณสุขโดยเร็ว
1.3 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแจ้งว่า ได้ขอความร่วมมือจังหวัดระนอง พิจารณาให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินเร่งออกข้อบัญญัติท้องถิ่นและให้ดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญาภัทรการโยธา รวมทั้งพิจารณาแก้ไขปัญหามูลฝอยในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน ให้เป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารจัดการมูลฝอยของจังหวัดระนอง
1.4 จังหวัดระนองแจ้งว่า ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้ดำเนินการออกข้อบัญญัติตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 โดยได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินในการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินสมัยสามัญ สมัยที่ 3 ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2563เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 และอยู่ในขั้นตอนการขอความเห็นชอบจากนายอำเภอกะเปอร์ ทั้งนี้ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญาภัทรการโยธา แล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563
2. มท. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าว มท. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทส. สธ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และจังหวัดระนอง พิจารณาดำเนินการตามรายงานฯ โดยได้กำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. ตามอำนาจหน้าที่เรียบร้อยแล้ว สรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะของ กสม.
สรุปผลการพิจารณา
1. ให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินควรเร่งออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
1. องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้ดำเนินการออกข้อบัญญัติตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 แล้ว โดยได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางหิน ในการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางหินสมัยสามัญ สมัยที่ 3 ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563
2. ให้องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญาภัทรการโยธา ฐานฝ่าฝืนมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการขุดดินถมดิน พ.ศ. 2543 และมาตรา 19 แห่ง พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
2. องค์การบริหารส่วนตำบลบางหินได้แจ้งความดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด กัญญาภัทรการโยธา แล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563
15. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อสร้างอาคารพักพยาบาล 32 หน่วย (4 ชั้น ใต้ถุนโล่ง) เป็นอาคาร คสล. 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,358 ตารางเมตร โรงพยาบาลทุ่งสง ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 1 หลัง และก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก – อุบัติเหตุ เป็นอาคาร คสล. 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 8,250 ตารางเมตร โรงพยาบาลศีขรภูมิ ตำบลระแงง อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 1 หลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. โรงพยาบาลทุ่งสง ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช (รพ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช)
1.1 อนุมัติเพิ่มวงเงินรายการก่อสร้างอาคารพักพยาบาล 32 หน่วย (4 ชั้น ใต้ถุนโล่ง) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,358 ตารางเมตร รพ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช 1 หลัง จากเดิมวงเงิน 27,090,000 บาท เป็นวงเงิน 27,931,292 บาท โดยงานส่วนที่เหลือใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2564 (เพิ่ม 841,292 บาท) ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้เห็นชอบความเหมาะสมของวงเงินค่าก่อสร้างแล้ว
1.2 อนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 – พ.ศ. 2555 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 – พ.ศ. 2564
2. โรงพยาบาลศีขรภูมิ ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ (รพ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์)
2.1 อนุมัติเพิ่มวงเงินรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก – อุบัติเหตุ เป็นอาคาร คสล. 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 8,250 ตารางเมตร รพ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ 1 หลัง จากเดิมวงเงิน 184,077,390 บาท เป็นวงเงิน 185,126,866.78 บาท (เพิ่ม 1,049,476.78 บาท) ตามที่ สงป. ได้เห็นชอบความเหมาะสมของวงเงินค่าก่อสร้างแล้ว
2.2 อนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – พ.ศ. 2560 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – พ.ศ. 2564
16. ผลการพิจารณาของคณะกรรมกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการเพิ่มศักยภาพและปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.11 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) กรอบวงเงิน 1,601,4304 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมการข้าว กษ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ พร้อมทั้งรับประเด็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปดำเนินการต่อไปด้วย
2. อนุมัติโครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (Community Cultural Product of Thailand : CCPOT) ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ กรอบวงเงิน 176.57953 ล้านบาท และมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วธ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ พร้อมทั้งรับประเด็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปดำเนินการต่อไปด้วย
3. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ ตามข้อ 1 และ 2 ดำเนินการ ดังนี้
3.1 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
3.2 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหาอุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลัง (กค.) กำหนด ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
3.3 ประสานกับ กค. ในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
4. อนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับปรุงรายละเอียดวิธีดำเนินโครงการคนละครึ่ง ตามที่ กค. เสนอ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สศค. รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปดำเนินการต่อไปด้วย
________________________
1 แผนงานหรือโครงการลงทุนและกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพและยกระดับการค้า การผลิต และการบริการในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยครอบคลุมภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน ท่องเที่ยวและบริการ
สาระสำคัญของเรื่อง
คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 มีมติ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มศักยภาพและปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ของกรมการข้าว กษ.
1.1 สาระสำคัญของโครงการ
รายการ
รายละเอียด
1. วัตถุประสงค์
1.1 เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ จัดหาชุดเครื่องชั่งบรรจุพร้อมระบบจัดเรียงแบบอัตโนมัติประจำโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ โรงงาน A2 จำนวน 20 ศูนย์ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจากเดิม 5 ตัน/ชั่วโมง เป็น 7 - 10 ตันต่อชั่วโมง
1.2 เพื่อปรับปรุงเพิ่มเติมระบบไฟฟ้าควบคุมเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์โรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ จำนวน 18 ศูนย์ ให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องจักรอุปกรณ์ได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับการติดตั้งเครื่องชั่งบรรจุและระบบจัดเรียงแบบอัตโนมัติได้
1.3 เพิ่มศักยภาพการปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว โดยจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ทดแทนของเดิมซึ่งติดตั้งในโรงงาน A1 ที่ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2529 จำนวน 5 ศูนย์ ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
1.4 ก่อสร้างอาคารพร้อมติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อการปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ประจำโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ โรงงานใหม่ รวม 4 ศูนย์ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
1.5 เพื่อรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ถูกเลิกจ้างและกลับไปภูมิลำเนา มีอาชีพเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ประมาณ 5,383 ราย ทำให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพิ่มขึ้นจำนวน 34,000 ตัน
2. กลุ่มเป้าหมาย
โรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ทั้ง 20 ศูนย์ ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วไปมีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีเพียงพอต่อความต้องการ
3. กิจกรรม
3.1 การปรับปรุงเครื่องจักรปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ โดยเพิ่มเติมชุดเครื่องชั่งบรรจุพร้อมระบบจัดเรียงแบบอัตโนมัติ จำนวน 20 ชุด และระบบไฟฟ้าควบคุมเครื่องจักร จำนวน 18 ชุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชั่งบรรจุ จัดเรียงให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (โรงงาน A2)
3.2 การเพิ่มศักยภาพโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว โดยการจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ทดแทนของเดิมของโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ (โรงงาน A1) จำนวน 5 ศูนย์ และก่อสร้างอาคารพร้อมติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อการปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ประจำโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์โรงงานใหม่รวม 4 ศูนย์ ที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2519 ให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น
4. งบประมาณ
1,601.4304 ล้านบาท
5. กรอบระยะเวลา
1 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564)
1.2 มติ คกง.
เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงการฯ โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ กรอบวงเงิน 1,601.4304 ล้านบาท พร้อมทั้งเห็นควรมอบหมายให้กรมการข้าวเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ และดำเนินการตามข้อ 3.1 – 3.3
2. โครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (Community Cultural Product of Thailand : CCPOT) ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วธ.
2.1 สาระสำคัญของโครงการ
รายการ
รายละเอียด
1. วัตถุประสงค์
1.1 เพื่อสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล
1.2 เพื่อลดต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชน เนื่องจากผลิตเท่าเดิมระบบเดิมโดยใช้ทุนชุมชนที่มีราคาต่ำแต่ขายได้ในราคาสูงขึ้น
1.3 เพื่อสร้างสินค้าและบริการของชุมชนรูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม มีความต้องการของตลาดมากขึ้น เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้
2. กลุ่มเป้าหมาย
ประชาชน จำนวน 200,000 คน และผู้ประกอบการ จำนวน 3,530 ราย
3. กิจกรรม
เช่น
3.1 พัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนโดยใช้ทุนชุมชน สำหรับประชาชนทั่วไป (CCPOT ระดับโท) 5,000 รายการ สำหรับตลาดระดับพรีเมียม (CCPOT ระดับเอก) 76 รายการ
3.2 ศึกษาข้อมูลทุติยภูมิและลงพื้นที่เก็บข้อมูลปฐมภูมิชุมชนมรดกวัฒนธรรม 30 ชุมชน เพื่อพัฒนาคุณค่าวัฒนธรรม (abstract value) เป็นผลิตภัณฑ์ศิลปะมรดกวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage Art Made Product: ICHAMP)
3.3 คัดเลือกคุณค่าวัฒนธรรมจาก 30 ชุมชนมรดกวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ICHAMP ระดับเพชร รวม 10 รายการ และระดับทอง 240 รายการ
3.4 พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนมรดกวัฒนธรรมโดยกิจกรรมประกวด 30 ชุมชนมรดกวัฒนธรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ ICHAMP ระดับเพชร รวม 10 รายการ
3.5 พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนมรดกวัฒนธรรมโดยผู้เชี่ยวชาญพิเศษสู่ ICHAMP ระดับทอง รวม 240 รายการ
4. งบประมาณ
176.57953 ล้านบาท
5. กรอบระยะเวลา
1 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564)
2.2 มติ คกง.
เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงการฯ โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ กรอบวงเงิน 176.57953 ล้านบาท พร้อมทั้งเห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นและข้อสังเกตของ คกง. เช่น ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มช่องทางการตลาดโดยการประสานงานและบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมจัดทำแผนการตลาดของโครงการฯ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ ไปดำเนินการ และให้ดำเนินการตามข้อ 3.1 – 3.3 ด้วย
3. โครงการคนละครึ่ง
3.1 กค. โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอปรับปรุงรายละเอียดวิธีดำเนินโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ดังนี้
หัวข้อ
รายละเอียดตามมติคณะรัฐมนตรี
(29 กันยายน 2563)
ขอปรับปรุงรายละเอียดในครั้งนี้
1. ขยายขอบเขตประเภทร้านค้า
ผู้ประกอบการร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ร้านทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์
ผู้ประกอบการร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ร้านค้าทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 หรือวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องไม่ใช่ร้านค้าสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ (โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เพื่อให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยที่มีความสำคัญต่อวงจรเศรษฐกิจฐานราก ได้แก่ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และร้านค้าชุมชน และเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายไปยังชุมชนเพิ่มขึ้นและบรรลุ
วัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก)
2. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย
เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ จำนวน 30,000 ล้านบาท
เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ จำนวน 30,000 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายงบประมาณดำเนินโครงการคนละครึ่งถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 [เพื่อให้ระยะเวลาการเบิกจ่ายครอบคลุมการดำเนินการโอนเงินซ้ำ (Retry)]
ทั้งนี้ รายละเอียดเงื่อนไขอื่นคงเดิม ซึ่งไม่กระทบต่อวงเงินรวม 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ และไม่กระทบวงเงินงบประมาณรวมของโครงการ จำนวน 30,000 ล้านบาท
3.2 มติ คกง.
เห็นควรให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดวิธีดำเนินโครงการฯ ตามที่ กค. เสนอ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สศค. รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น เห็นควรให้ สศค. ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณสมบัติของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงสถานะบัญชีของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความถูกต้องและชัดเจนตรงตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการโอนเงินซ้ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
17. เรื่อง ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711.29 ล้านบาท เป็น 46,807.35 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเห็นชอบแล้ว โดยจำแนกเป็น
1. ค่าดำเนินการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโดยใช้แหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน 17,676.54 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก จำนวน 28,078.44 ล้านบาท เป็น 45,754.98 ล้านบาท
2. ค่าใช้จ่ายในการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. (ชดเชยต้นทุนเงินในอัตราร้อยละ 2.250) จำนวน 397.72 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก 631.76 ล้านบาท เป็น 1,029.49 ล้านบาท
3. ค่าบริหารจัดการ ธ.ก.ส. จำนวน 21.80 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก 1.09 ล้านบาท เป็น 22.88 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
นบข. ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 โดยที่ประชุมมีมติรับทราบการประมาณการวงเงินชดเชยโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 รวมทั้งสิ้น 46,807.35 ล้านบาท ซึ่งเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์จะขอวงเงินเพิ่มเติมอีก จำนวน 28,711.29 ล้านบาท
2. รับทราบผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งได้กำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงแล้ว จำนวน 4 งวด สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 ครอบคลุมเกษตรกรรวมทั้งสิ้น 4,334,178 ครัวเรือน ประมาณการวงเงินงบประมาณจำนวน 41,866.16 ล้านบาท และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนเพาะปลูก ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตรที่แจ้งวันคาดว่าเก็บเกี่ยวหลังวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 (งวดที่ 5 เป็นต้นไป) คงเหลืออีกจำนวน 487,370 ครัวเรือน ผลผลิต 2,894,905 ตัน ซึ่งหากใช้ส่วนต่างราคาที่เกษตรกรได้รับชดเชยในงวดที่ 4 เพื่อประมาณการวงเงินคาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 3,888.82 ล้านบาท รวมประมาณการวงเงินชดเชยทั้งสิ้น 45,754,98 ล้านบาท ซึ่งเกินวงเงินชดเชยที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 17,676.54 ล้านบาท
3. เห็นชอบปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก จำนวน 28,711.29 ล้านบาท เป็น 46,807.35 ล้านบาท จำแนกเป็น 1) ค่าดำเนินการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง โดยใช้แหล่งเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน 17,676.54 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก จำนวน 28,078.44 ล้านบาท เป็น 45,754.98 ล้านบาท 2) ค่าใช้จ่ายในการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส.(ชดเชยต้นทุนเงินในอัตราร้อยละ 2.250) จำนวน 397.72 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก 631.76ล้านบาท เป็น 1,029.49 ล้านบาท 3) ค่าบริหารจัดการ ธ.ก.ส. จำนวน 21.80 ล้านบาท ขอวงเงินเพิ่มเติมอีก 1.09 ล้านบาท เป็น 22.88 ล้านบาท
4. มอบหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และกระทรวงพาณิชย์จัดทำรายละเอียดโครงการฯ และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอคณะรัฐมนตรีตามระเบียบต่อไป
5. มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบในการตรวจสอบตัวเลขการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ประมาณการณ์วงเงินที่ใช้ ตลอดจนกำกับดูแลการจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่ตรวจสอบความถูกต้องของการจ่ายเงินและการรับเงินของเกษตรกรอีกทางหนึ่ง กรณีพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดต่อไป
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. วงเงิน 1,500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีเคยมีมติ (12 พฤศจิกายน 2557) อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา – บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชรแขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว (โครงการฯ) จำนวนไม่เกิน 1,977 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินให้เปล่า (ร้อยละ 20) จำนวนไม่เกิน 395.40 ล้านบาท และเงินกู้ (ร้อยละ 80) จำนวนไม่เกิน 1,581.60 ล้านบาท อายุสัญญา 30 ปี (ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2557-20 พฤศจิกายน 2587 ขณะนี้อายุสัญญาเงินให้กู้ยืมคงเหลือ 24 ปี) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.50 ต่อปี ต่อมา สพพ. ได้กู้เงินระยะสั้นสำหรับการดำเนินโครงการฯ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,549.21 ล้านบาท อายุสัญญา 5 ปี (ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2560 - 25 มษายน 2565 อายุสัญญาเงินกู้คงเหลือประมาณ 2 ปี) อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 2.90 ต่อปี แต่เนื่องจากปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอายุเงินกู้และอายุเงินให้กู้ยืมไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่สอดคล้องดังกล่าวและลดความผันผวนของต้นทุนในระยะยาว สพพ. จึงเห็นควรปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. สำหรับโครงการฯ โดยการออกพันธบัตรระยะยาวภายใต้กรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ (ร้อยละต่อปี) โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และสำหรับเงินกู้ที่เหลือจำนวน 49.21 ล้านบาท สพพ. จะนำเงินสะสมมาสมทบเพื่อชำระเงินคืน ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 มีมติเห็นชอบด้วย
2. กระทรวงการคลังแจ้งว่า สำนักงบประมาณพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า หาก สพพ. พิจารณาแล้วเห็นว่าการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวมีความเหมาะสม สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินได้ โดยอยู่ภายในกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบไว้ และคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านได้มีมติเห็นชอบแผนปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ภายใต้กรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาท แล้ว ก็เห็นสมควรที่ สพพ. จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว ให้ สพพ. จัดทำแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และหาก สพพ. มีเงินสะสมเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการอื่น เห็นสมควรให้นำเงินสะสมดังกล่าวมาชำระหนี้เงินกู้ เพื่อลดภาระงบประมาณและดอกเบี้ยเป็นลำดับแรก
19. เรื่อง ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ...
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี [Chiang Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) Agreement] ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ... ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงความตกลง CMIM ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
2. อนุมัติการลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และมอบหมายให้
2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
2.2 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือยืนยันการสมทบเงิน (Schedule 3 – Commitment Letter) ในวงเงิน 9.104 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือ (Schedule 5 – Letter of Acknowledgement) และหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความ ตกลง (Schedule 6 – Letter of Undertaking) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
2.4 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมาย (Schedule 7 – Legal Opinion) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ร่างความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
สาระสำคัญ
การแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง CMIM ฉบับปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 โดยสาระสำคัญของการแก้ไขในครั้งนี้ (1) การเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของวงเงินขอรับความช่วยเหลือสูงสุด (2) การยินยอมให้สามารถเลือกสมทบหรือขอรับความช่วยเหลือภายใต้กลไก CMIM เป็นเงินสกุลท้องถิ่นตามหลักความสมัครใจ และ (3) การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เนื่องจากจะยกเลิกการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงกรุงลอนดอน (London Interbank Offered Rate: LIBOR) ในสิ้นปี 2564 และการแก้ไขประเด็นเชิงเทคนิคเพื่อให้การดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ภายใต้กลไก CMIM มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 มีมติเห็นชอบร่างความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมด้วย โดยร่างความตกลง CMIM ฉบับนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของวงเงินความช่วยเหลือซึ่งมีจำนวน 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของประเทศไทยจำนวน 9.104 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อสมทบในกลไก CMIM ไว้แล้ว และปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ได้ลงนามในร่างความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำนวน 12 ภาคี จาก 27 ภาคี โดยร่างความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ 7 วันหลังจากวันที่ภาคีทั้งหมดลงนามครบแล้ว
นอกจากนี้ หนังสือแนบท้ายที่ต้องมีการลงนามเพิ่มเติมเมื่อมีการขอรับความช่วยเหลือ รวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย (1) หนังสือยืนยันการสมทบเงิน (Schedule 3 – Commitment Letter) ตามวงเงินที่ผูกพันของแต่ละประเทศสมาชิกลงนามโดยผู้ว่าการธนาคารกลาง (2) หนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือ (Schedule 5 – Letter of Acknowledgement) (3) หนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลง (Schedule 6 – Letter of Undertaking) ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (กรณีประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือ) และ (4) หนังสือให้ความเห็นทางกฎหมาย (Schedule 7 – Legal Opinion) ลงนามโดยเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรณีประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือ)
20. เรื่อง ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และขออนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ไทย-เมียนมา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2569
คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (เมียนมา) ว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทยก่อนมีการลงนาม อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. มอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
4. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน (โครงการฯ) ไทย-เมียนมา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2569 ในกรอบวงเงิน จำนวน 320 ล้านบาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อสานต่อและยืนยันความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการบรรลุเป้าหมายอาเซียนปลอดยาเสพติด พ.ศ. 2568 และการแก้ไขปัญหาการปลูกพืชเสพติด การลักลอบผลิตและค้ายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย โดย (1) สร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกับส่วนราชการในท้องถิ่นและชุมชน (2) ดำเนินกิจกรรมพัฒนาระบบน้ำ และ (3) สนับสนุนองค์ความรู้ในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินโครงการฯ ใน 2 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองยี รัฐฉานใต้ และพื้นที่ตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 ปี (พ.ศ. 2564-2569) งบประมาณรวมทั้งสิ้น 320 ล้านบาท
21. เรื่อง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย (บันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ สธ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญ
บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายจีน ให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนอย่างสูงสุด โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หลักการเบื้องต้น 1. มุ่งให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งในอนาคตต่อสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง
2. ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ในการปรึกษาหารือ การร่วมมือกัน การช่วยเหลือกันและมีผลประโยชน์ร่วมกัน 3. เคารพกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศไทยและจีน 4. ร่วมกันติดตามประเมินโครงการและการใช้งบประมาณจากกองทุนฯ
โครงการ : Strengthening on HIV/AIDS Cooperation in the CCLM (Cambodia, China, Lao PDR, Myanmar) Countries วัตถุประสงค์ : (1) พัฒนาแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและจัดการ เอชไอวีและเอดส์ (HIV/AIDS) ระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (2) เสริมสร้างความสามารถ/ศักยภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยและของประเทศเพื่อนบ้านในการบรรเทาผลกระทบของ HIV/AIDS (3) สนับสนุนการนำแผนสุขภาพชายแดน (Border Health Plan) ของ สธ. ไปปฏิบัติจริง วงเงิน : 198,300 ดอลลาร์สหรัฐ (5.9807 ล้านบาท) หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค สธ.
22.เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ 23
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-สหภาพยุโรปว่าด้วยความเชื่อมโยง (Draft ASEAN-EU Joint Ministerial Statement on Connectivity) หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-สหภาพยุโรปว่าด้วยความเชื่อมโยงเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและสหภาพยุโรปในการส่งเสริมความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงซึ่งครอบคลุมใน 3 มิติ ทั้งในทางกายภาพ สถาบัน และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ตลอดจนเน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความประสานสอดคล้องระหว่างแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 กับยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงของสหภาพยุโรป ทั้งในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง การค้าการลงทุน ความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และการเชื่อมโยงระดับประชาชนผ่านการศึกษาและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
2. ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็งจากผลกระทบของโควิด-19 และนำไปสู่ “การฟื้นฟูให้ดีกว่าเดิม” อย่างยั่งยืน ครอบคลุม และเข้มแข็งกว่าเดิม รวมทั้งจะส่งเสริมการหารือกับสหภาพยุโรป เพื่อแบ่งปันความก้าวหน้าในการวิจัยเรื่องโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการทำให้วัคซีนมีเพียงพอในราคาที่สมเหตุสมผลในฐานะสินค้าสาธารณะ
3. นอกจากนี้ ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือเกี่ยวกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 ซึ่งรวมถึงความยั่งยืนด้านพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ความสำคัญกับสภาพภูมิอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรมดิจิทัล และการส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุม ตามที่กระทรวง การต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การสร้างประชาคมอาเซียน ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลัง ค.ศ. 2025 และการทบทวนแผนงานประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสา รวมทั้งย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน การส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการดำเนินความสำพันธ์กับภาคีภายนอก การลดการเผชิญหน้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของภูมิภาคในระยะยาว
2. ความร่วมมือเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
2.1 ที่ประชุมได้ย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส การจัดทำมาตรฐานวิธีปฏิบัติของอาเซียนสำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และการใช้ประโยชน์จากกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 โดยที่ประชุมแสดงความชื่นชมที่ไทยบริจาคเงินจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสมทบกองทุนดังกล่าว ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินบริจาครวมมากกว่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ
2.2 รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้เห็นชอบเอกสารแนวคิดการจัดตั้งคลังสำรองระดับภูมิภาคสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและจัดทำกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียนเพื่อเสนอให้ผู้นำอาเซียนรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งไทยได้เสนอให้อาเซียนจัดตั้งกลไก “ASEAN SME Recovery Facility” ภายใต้กรอบการฟื้นฟูฯ เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและฟื้นตัวจากโควิด-19
2.3 ประเทศคู่เจรจาทุกประเทศแสดงความพร้อมในการสนับสนุนอาเซียนโดยเฉพาะด้านการพัฒนาและการผลิตยาและวัคซีน โดยประเทศต่าง ๆ ได้ประกาศสนับสนุนเงินเพื่อสมทบกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับ โควิด-19 และการสนับสนุนความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจัดตั้งคลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์ในกรอบอาเซียนบวกสาม การจัดตั้งศูนย์ ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases การมอบอุปกรณ์ป้องกันโรคและเวชภัณฑ์และการยกระดับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามให้เป็นสำนักงานระดับภูมิภาค
3. ความร่วมมือด้านการพัฒนาในอนุภูมิภาค ได้มีการหารือเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนในการสนับสนุนการพัฒนาในอนุภูมิภาคต่าง ๆ ในอาเซียน ตลอดจนการสนับสนุนกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง โดยที่ประชุมฯ ย้ำความสำคัญของการลดช่องว่างการพัฒนา การพัฒนาที่ยั่งยืนและการพัฒนาทุนมนุษย์
4. สถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
สถานการณ์ในทะเลจีนใต้
- ที่ประชุมย้ำความสำคัญของเสรีภาพในการเดินเรือและบินผ่านทะเลจีนใต้ การปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ การเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้แล้วเสร็จ การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี
- ไทยสามารถผลักดันเอกสาร “Best Practices and Non-Binding Guideline for Cooperative Activities on Marine Environment Protection in the South China Sea” ให้ที่ประชุมอาเซียน-จีนรับทราบได้เป็นผลสำเร็จ
สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี
- ที่ประชุมย้ำความสำคัญของการหารือระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ และระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ ตลอดจนการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์
สถานการณ์ในรัฐยะไข่
- ที่ประชุมยืนยันสนับสนุนเมียนมาในการดำเนินการตามรายงานประเมินความต้องการเบื้องต้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับของผู้พลัดถิ่นชาวโรฮีนจา
- ไทยได้แจ้งการดำเนินการของไทยเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และโครงการพัฒนาด้านสาธารณสุขแก่รัฐบาลเมียนมา รวมทั้งการสนับสนุนการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้บุคลากรด้านสาธารณสุขในรัฐยะไข่
ทั้งนี้ไทยได้เสนอให้ที่ประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกพิจารณากลไกหารือวาระพิเศษเพื่อให้ประเทศมหาอำนาจได้หารือประเด็นความมั่นคงอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเพื่อแก้ไขปัญหาความหวาดระแวงและการเผชิญหน้าทางทหาร ซึ่งที่ผ่านมา กลไกหารือปกติยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจในปัจจุบัน
5. ความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกอาเซียน รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นชอบให้สถานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาแก่สาธารณรัฐฝรั่งเศสและสาธารณรัฐอิตาลี และเห็นชอบให้สาธารณรัฐโคลอมเบียเข้าเป็นอัครภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ไทยได้เป็นประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-อินเดีย ซึ่งที่ประชุมได้ย้ำความสำคัญของการรักษาห่วงโซ่อุปทาน การเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคผ่านโครงการถนนสามฝ่ายไทย-เมียนมา-อินเดีย และการส่งเสริมการค้า โดยฝ่ายอาเซียนย้ำความพร้อมที่จะให้อินเดียกลับมาเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
เพื่อให้มีการนำผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น การจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลัง ค.ศ. 2025 การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับโควิด-19 การยกระดับความร่วมมือทางดิจิทัล และการสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
24. เรื่อง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 13
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 13 และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ภาพรวมของถ้อยแถลงร่วมของการประชุมฯ สาระสำคัญของถ้อยแถลงร่วมฯ ไม่แตกต่างจากร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 แต่มีประเด็นเพิ่มเติมดังนี้
-การแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และชื่นชมความร่วมมือของประชาคมระหว่างประเทศ
-ประเทศญี่ปุ่นได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินช่วยเหลือจากเดิม 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการขยายความร่วมมือด้านวิชาการแก่บุคลากรทางการแพทย์และการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์อื่น ๆ ในประเทศลุ่มน้ำโขง
-อาเซียนได้มีข้อริเริ่มในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรับมือกับโควิด-19 และสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ในอนาคต และการจัดตั้งคลังสำรองระดับภูมิภาคสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์และมาตรการดำเนินการที่มีมาตรฐานในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
-ประเทศไทยมีข้อเสนอเรื่อง “Project sharing experiences and knowledge transfer through cross-border medical networking system” เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้และการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือกับโรคระบาด
-การยืนยันความมุ่งมั่นในการบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อกลุ่มผู้เปราะบาง การส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาคเอกชนและภาคนวัตกรรมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพตามหลักการ G20 ว่าด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ
-ญี่ปุ่นได้มีข้อริเริ่ม KUSANONE Mekong SDGs Initiative โดยจะสมทบเงิน 1,000 ล้านเยน สำหรับปี ค.ศ. 2020 (ประมาณ 300 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับ รากหญ้าในอนุภูมิภาค
เพื่อให้มีการนำผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 13 ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) นำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคระบาดบนพื้นฐานของความพยายามในการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและเพื่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างบูรณาการผ่านความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดชองโรคโควิด-19
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 และร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 7 รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมฯ และร่างเอกสารความร่วมมือฯ จำนวน 7 ฉบับ ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศเพื่อความแน่นแฟ้นและพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน (Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Defence Cooperation for a Cohesive and Responsive ASEAN)
2. ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาว่าด้วยวิสัยทัศน์ด้านความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ ภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (Joint Declaration by the ADMM-Plus Defence Ministers on Strategic Security Vision of the ADMM-Plus)
3. ร่างระเบียบปฏิบัติประจำกองกำลังเตรียมพร้อมอาเซียน ด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (Standard Operating Procedures of ASEAN Militaries Ready Group (AMRG) on Humanitarian Assistance and Disaster Relief (HADR))
4. ร่างระเบียบปฏิบัติประจำในการแลกเปลี่ยนข่าวสารทางยุทธศาสตร์ของเอกสารแนวความคิดอาเซียนอาวเวอร์อาย (ASEAN Our Eyes Standard Operating Procedure for Strategic Information Exchange)
5. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการประดับธงอาเซียนร่วมกับธงประจำชาติของหน่วยทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ที่เข้าปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (Concept Paper on the ASEAN Flag to be Displayed next to the Nation Flag at the Compound of ASEAN Member State’s Military Units Participating in United Nations Peacekeeping Operation)
6. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดอาเซียน (Concept Paper on Developing the Linkage between the ASEAN Defence Ministers’ Meeting (ADMM) and the ASEAN Chiefs of Defence Forces Meeting (ACDFM))
7. ร่างเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการส่งเสริมบทบาทตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน (Concept Paper on Enhancing the Defence Attache Posts among ASEAN Member States)
โดยมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ และร่วมรับรองร่างเอกสารความร่วมมือฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างฏิญญาร่วมฯ และร่างเอกสารความร่วมมือฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างปฏิญญาร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการส่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนองของอาเซียน ต่อการเปลี่ยนแปลงด้านยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค โดยร่างเอกสารความร่วมมือฯ เป็นการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือให้อาเซียนสามารถรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงของภูมิภาคในปัจจุบัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกมิติ รวมทั้งร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาให้ความเห็นต่อร่างเอกสารดังกล่าวแล้ว ไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างเอกสารฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เพื่อรับมือภัยคุกคามและส่งเสริมความมั่นคงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค หาก กห. ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนเป็นไปตามพันธกรณีของไทยภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องรวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว
แต่งตั้ง
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งนางสาวภาสพร สังฆสุบรรณ์ เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
27. เรื่อง การบรรจุและแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอบรรจุและแต่งตั้ง นายจุฬา สุขมานพ ผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นางสาวชนานัญ บัวเขียว รองผู้อำนวยการสำนักงาน (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายณัฐพงษ์ นวลมาก รองเลขาธิการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายวัลลพ สงวนนาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายไพศาล วุทฒิลานนท์ รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 13 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายชัยณรงค์ ป้องบ้านเรือ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 7 สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายชาตรี ม่วงสว่าง รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 17 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายอรรถพล สังขวาสี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง พันเอก (พิเศษ) เจียรนัย วงศ์สอาด เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ จำนวน 3 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาชญาวิทยา
2. ศาสตราจารย์อุดม รัฐอมฤต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
3. ว่าที่พันตรี สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานยุติธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
32. เรื่อง การเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอแต่งตั้ง นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
..............
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37197 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ออกประกาศคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ต้อนรับ “วันเอดส์โลก” 2020 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ก.แรงงาน ออกประกาศคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ต้อนรับ “วันเอดส์โลก” 2020
ก.แรงงาน ออกประกาศเรื่อง การป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ต้อนรับวันเอดส์โลก 2020 หวังส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยเอดส์ เข้าถึงการจ้างงานและมีงานทำโดยไม่เลือกปฏิบัติจากนายจ้าง สร้างการยอมยอมรับและอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงนามในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ พร้อมเปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยให้เน้นการทำงานเชิงรุก พัฒนาปรับปรุงข้อกำหนด หรือระเบียบแนวปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อดูแลแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพอย่างทั่วถึง เสมอภาคเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ มีความปลอดภัย มีสุขภาพอนามัยที่ดีในการทำงาน โดยให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน และเพื่อเป็นการรณรงค์ให้นายจ้าง ลูกจ้างมีความเห็นใจต่อผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์ เนื่องในวันเอดส์โลก กระทรวงแรงงาน จึงได้ออกประกาศ เรื่อง การป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานประกอบกิจการ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน เพื่อหวังขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ได้รับผลกระทบจากเอดส์ให้สามารถเข้าถึงการจ้างงาน และมีงานทำ โดยให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำกับ ดูแล ส่งเสริม สนับสนุนสถานประกอบกิจการให้ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเสริมว่า ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับดังกล่าว ได้กำหนดสาระสำคัญไว้ 3 ประการคือ 1) กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการคุ้มครองและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบกิจการอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่การรับสมัครงาน สนับสนุนให้มีความก้าวหน้าในการทำงาน รวมถึงการรักษาความลับส่วนบุคคล 2) ให้นายจ้างดำเนินการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ HIV และเอดส์ ได้แก่ การสร้างความรู้ที่ถูกต้อง การส่งเสริมการตรวจเลือด และจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้ลูกจ้างเข้าถึงได้ง่ายและเพียงพอ 3) กำหนดให้นายจ้างช่วยเหลือดูแลผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยให้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานกองทุนประกันสังคม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วิทยาการทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยเอดส์ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก หากได้รับการปฏิบัติ และการดูแลที่เหมาะสมโดยนำแนวคิดการรณรงค์วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2563 “WALK TOGETHER : เอดส์อยู่ร่วมกันได้ ไม่ตีตรา” ก็จะสามารถดำเนินชีวิตและทำงานร่วมกันได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของประกาศฯ ได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หมายเลขโทรศัพท์ 0 2246 0383, 0 2246 0080
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37189 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอความร่วมมือร้านค้าโครงการคนละครึ่งอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ขอความร่วมมือร้านค้าโครงการคนละครึ่งอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า
กระทรวงการคลังขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้ร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือดำเนินการด้วยวิธีการอื่นๆ ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้ขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้ร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือดำเนินการด้วยวิธีการอื่นๆ ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบประชาชนและทำลายบรรยากาศของการจับจ่ายใช้สอยอีกทั้งเป็นการดำเนินการที่ผิดเงื่อนไขของโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ตลอดจนช่วยให้ร้านค้ามีรายได้เพิ่มมากขึ้น
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากท่านพบพฤติกรรมการขึ้นราคาสินค้าหรือมีการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ อาทิ การรวมค่าบริการอินเตอร์เน็ตมือถือของร้านค้าอยู่ในราคาสินค้า ท่านสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการสามารถส่งข้อมูลมาที่ [email protected] หรือติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 (เวลาราชการ) หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง) ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและตรวจสอบประเด็นดังกล่าวด้วยแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชันตลอดจนการจ่ายเงินของร้านค้าทันที และอาจจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอความร่วมมือร้านค้าให้ซื่อสัตย์ต่อประชาชนและขอให้ประชาชนรักษาสิทธิของตัวเองด้วย โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการอย่างเคร่งครัด
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.7 แสนร้านค้า และผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,515,956 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 31,777 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 16,226 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 15,551 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 184 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชลบุรี ตามลำดับ
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37186 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและกระตุ้นให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและกระตุ้นให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินกว่า 28,000 ล้านบาท เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงแล้ววันนี้ (1 ธ.ค. 63) จำนวน กว่า 400,000 ครัวเรือน จำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี เพื่อที่จะมีโอกาสขายข้าวในราคาที่สูงและมีรายได้มากขึ้น
โดยสนับสนุนเงินให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 28,046.82 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกรจำนวน 4.56 ล้านครัวเรือน โดยในวันนี้ (1 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรงแล้วกว่า 400,000 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท และจะทยอยโอนจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37188 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากร วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
รมว.มท. นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากร วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ
รมว.มท. นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากร วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ
วันนี้ (1 ธ.ค. 63) เวลา 06.59 น. ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประจำปี 2563 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันดำรงราชานุภาพ” โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย สมาชิกราชสกุลดิศกุล และผู้แทนหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมวางพวงมาลา
ในการนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้กล่าวสดุดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีใจความตอนหนึ่งว่า “ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทย และทำนุบำรุงแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ ทรงเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการปฏิรูป การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทรงวางรากฐานการปกครองแบบเทศาภิบาล และสุขาภิบาล อันเป็นรากเหง้าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ งานตำรวจภูบาลและภูธร และทรงกำหนดความหมายของงานมหาดไทยให้ชัดเจนว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า “กรมดำรงฯ มอบดวงใจให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทย คือ ผู้ดูแลประเทศชาติ ชาวไทย ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข” และทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างสูง ดั่งปรากฏพระนามว่า ทรงเป็นอัจฉริยะบุรุษแก่มหาชนในทุกสมัยจนเป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และในปี พ.ศ. 2505 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO จึงถวายการสดุดีให้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” พระองค์แรกของประเทศไทย ซึ่งนับเป็นเวลาถึง 127 ปี ที่คนมหาดไทยได้ตระหนักในภาระหน้าที่และได้ร่วมปฏิบัติงานอำนวยประโยชน์สุขให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด และเต็มกำลังความสามารถ เพื่อนำบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขดั่งปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ตามเจตนารมณ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตราบจนปัจจุบัน”
จากนั้นในเวลา 08.09 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ นำคณะผู้บริหารระดับสูงประกอบพิธีสงฆ์ ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตลอดจนผู้มีพระคุณ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยที่ล่วงลับไปแล้ว
และในเวลา 09.00 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณ โครงการนายอำเภอแหวนเพชร โครงการปลัดอำเภอแหวนทองคำ และโครงการประกวดหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทางแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง (หมู่บ้านอยู่เย็น) ประจำปี 2563 ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าว กรมการปกครอง ได้จัดทำขึ้นเพื่อพิจารณาคัดเลือกนายอำเภอ และปลัดอำเภอ ผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมจริยธรรม และมีผลการปฏิบัติงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ และเพื่อสร้างแรงจูงใจและให้รางวัลแก่คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ สามารถเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงานให้แก่หมู่บ้านอื่น ๆ จำนวนรวม 38 รางวัล โดยผู้ได้รับรางวัลนายอำเภอแหวนเพชร (ชนะเลิศ) ได้แก่ 1. นายวิทยา เขียวรอด นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช 2. นายกองโท เชษฐา ขาวประเสริฐ นายอำเภอปากชม จังหวัดเลย 3. นายณฐพล วิถี นายอำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี 4. นายพงษ์พีระ ชูชื่น นายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ 5. ว่าที่ร้อยตรี จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37213 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"คูคลองเมืองเดิม" | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
"คูคลองเมืองเดิม"
จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37198 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบผู้ป่วยโควิดอีก 1 รายที่ จ.เชียงราย มีผู้สัมผัสน้อย สถานการณ์ควบคุมได้ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
สธ.พบผู้ป่วยโควิดอีก 1 รายที่ จ.เชียงราย มีผู้สัมผัสน้อย สถานการณ์ควบคุมได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงเพิ่ม 1ราย ที่ จ.เชียงราย อายุ 25 ปี ลักลอบเข้าประเทศเช่นกัน แต่ใส่หน้ากากและอยู่ในโรงแรมที่พักทำให้มีผู้สัมผัสน้อย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว ชี้เชียงใหม่และเชียงรายอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงเพิ่ม 1ราย ที่ จ.เชียงราย อายุ 25 ปี ลักลอบเข้าประเทศเช่นกัน แต่ใส่หน้ากากและอยู่ในโรงแรมที่พักทำให้มีผู้สัมผัสน้อย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว ชี้เชียงใหม่และเชียงรายอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ เหตุติดตามผู้สัมผัสได้เร็ว ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ แจงผู้เดินทางเข้าประเทศทุกราย ต้องเข้ารับการกักตัว 14 วัน เฉลี่ยวันละ 700-800 ราย ถือว่ามีความปลอดภัย
บ่ายวันนี้ (1 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุภาพที่ 1 และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เราพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย และเชียงราย 2 ราย เป็นการเดินทางลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดพบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 1 รายที่จังหวัดเชียงราย ลักลอบเดินทางเข้าประเทศเช่นกัน เป็นหญิงไทยอายุ 25 ปี และเป็นเพื่อนร่วมงานในสถานบันเทิงประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตาม เราสามารถตรวจจับ ควบคุมโรคและติดตามผู้สัมผัสได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยที่เกิดจากการสัมผัสผู้ป่วยทั้ง 4 ราย สถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ คือ มีผู้ป่วยนำเข้าเป็นรายๆ (Spike) สามารถติดตามควบคุมโรคได้รวดเร็ว และยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นจากผู้ป่วย 3 รายที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากเมื่อทราบข่าวของรายที่เชียงใหม่จึงมีการใส่หน้ากาก ป้องกันตนเองอย่างดี และหลีกเลี่ยงไปสถานที่ชุมชน
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะทางยาว แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะพยายามติดตามอย่างเข้มงวด และอสม. อสต. ช่วยเฝ้าระวังในชุมชน ก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นบุคคลไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติ ที่ไม่ได้ผ่านการกักตัว ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจโดยเร็ว และขอให้คนไทยที่ต้องการกลับบ้านเดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับการคัดกรอง หากติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ครอบครัว คนใกล้ชิด และชุมชน ส่วนประชาชนในพื้นที่เชียงใหม่และเชียงรายยังสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เนื่องจากมาตรการสาธารณสุขยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี บางอำเภอก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้น ประชาชนยังสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ แต่ขอให้คงมาตรการการป้องกันส่วนบุคคล คือ การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหมั่นล้างมือ เป็นวัคซีนช่วยป้องกันโรคได้
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เชียงใหม่ขณะนี้อาการดีขึ้น ไม่มีอาการรุนแรง ส่วนผู้ป่วย 2 รายที่เชียงราย มีผู้สัมผัสทั้งหมด 27 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 23 ราย ขณะที่ผู้ป่วยรายที่ 3 ของเชียงรายเป็นหญิงไทยอายุ 25 ปี มีภูมิลำเนาที่จังหวัดพะเยา โดยต้นเดือนพฤศจิกายนไปทำงานที่ท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อน 2 คน, วันที่ 24 พฤศจิกายนเดินทางมาตามช่องทางธรรมชาติพร้อมเพื่อน 2 คน ที่อำเภอแม่สาย โดยใส่หน้ากากตลอด, วันที่ 24-27 พฤศจิกายนเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สาย ไม่ได้ออกจากห้องไปไหน, วันที่ 28-30 พฤศจิกายนเข้าพักโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองเชียงราย และประสานเจ้าหน้าที่ขอรับการตรวจ, วันที่ 30 พฤศจิกายน เข้ารับการกักตัวที่กองร้อย อส. ทำการตรวจหาเชื้อแล้วพบเชื้อโควิด 19 ส่งเข้ารับการรักษาที่ห้องแยกโรค โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 ราย คือเพื่อนที่เดินทางกลับมาด้วยกัน แต่ผลการตรวจเป็นลบ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำมีไม่มาก จะเฝ้าระวังจนครบ 14 วัน
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า จากการประเมินความเสี่ยงของการระบาดในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตามการประเมินความเสี่ยงผลกระทบจากการระบาด (Outbreak Impact Risk) โดยประเมินจากผู้ป่วย เชื้อ และสิ่งแวดล้อม พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 3 ราย มีอาการน้อย เข้าสู่การรักษาอย่างรวดเร็ว แม้จะพบเชื้อในทางเดินหายใจปริมาณมาก แต่ทั้ง 3 ราย กังวลว่าจะติดโรคโควิด 19 จึงสวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงพบคนจำนวนมาก โดยอยู่แต่ในที่พัก ทำให้ลดความเสี่ยง โอกาสแพร่เชื้อสู่คนอื่นจึงน้อย ขณะที่หน่วยงานในพื้นที่ติดตามผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ร้านค้าผู้ประกอบการร่วมมือป้องกันโรค ฝ่ายปกครองและความมั่นคงตรวจตราป้องกันการเข้าเมืองผิดกฎหมาย สถานการณ์นี้จะป้องกันการแพร่เชื้อต่อในพื้นที่ได้อย่างดี ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ตระหนักมากขึ้น สวมหน้ากากเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 50เป็นร้อยละ 80
นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับคนไทยกลับประเทศ ทำให้มีคนไทยทยอยเดินทางเข้าในประเทศ โดยทุกคนต้องเข้ารับการกักตัว 14 วันในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้และรัฐกำหนดทุกประเภท และเมื่อประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงได้เปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและรับการรักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่โควิด 19 และท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa : STV) เพื่อสร้างความสมดุลของระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ภาครัฐกำหนด ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน - 1 ธันวาคม 2563 มีผู้เดินทางเข้าประเทศ 163,735 คน ทุกคนเข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันที่รัฐระบุไว้ (SQ, LQ, ASQ, ALQ, OQ และ AHQ) ในจำนวนนี้ตรวจพบเชื้อโควิด 19 จำนวน 1,044 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของผู้ที่เดินทางทั้งหมด โดยเป็นคนไทย 826 ราย ต่างชาติ 218 ราย กลับบ้านได้ 910 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย
ปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้าประเทศประมาณวันละ 700 – 800 คน เมื่อเทียบกับในอดีตที่เดินทางเข้ามาวันละประมาณแสนคน ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม อนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น หากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในต่างประเทศและในประเทศไทย จึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางที่มากขึ้น โดยการเดินทางเข้ามาในช่องทางที่ถูกต้อง มีระบบกักกันโรคและตรวจหาเชื้อ แต่การลักลอบเข้าทางพรมแดนธรรมชาติทำให้มีความเสี่ยงได้ จึงต้องขอให้ช่วยกันป้องกัน สอดส่องการเข้ามาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุภาพที่ 1 กล่าวว่า การดำเนินงานสอบสวนและควบคุมโรคของ จ.เชียงใหม่ และเชียงราย สามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐาน สำหรับการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงที่เชียงใหม่ ขณะนี้เพิ่มเป็น 336 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 112 ราย โดย 90 รายผลตรวจไม่พบเชื้อ ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลการตรวจและติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 152 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ 79 ราย ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลตรวจและติดตาม และผู้สัมผัสอื่นๆ 72 ราย ผลตรวจไม่พบเชื้อ 47 ราย โดยภายใน 1-2 วัน จะมีการเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 และเฝ้าระวังให้ครบ 14 วัน อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำเรื่องการใส่หน้ากากและเว้นระยะห่าง จะช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ และทำให้ควบคุมโรคได้อย่างเต็มที่ สำหรับด่านพรมแดนได้มีการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจหาเชื้อเป็นระยะ และขอให้คนที่เดินทางกลับเข้ามาและมีความเสี่ยง เข้ามารับการตรวจทุกราย
************************************* 1 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37209 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ่งให้ยิ่งได้! กลาโหมฯ ชวนแบ่งปันโลหิต ต่อชีวิตผู้ป่วยภาวะวิกฤต | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ยิ่งให้ยิ่งได้! กลาโหมฯ ชวนแบ่งปันโลหิต ต่อชีวิตผู้ป่วยภาวะวิกฤต
ยิ่งให้ยิ่งได้! กลาโหมฯ ชวนแบ่งปันโลหิต ต่อชีวิตผู้ป่วยภาวะวิกฤต
ถึงเวลาแล้ว...ที่ทุกคนต้องช่วยกันบริจาคโลหิต อย่ารอให้ถึงวันที่ผู้ป่วยไม่มีโลหิตในการรักษา ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ชวนกำลังพลร่วมต่อชีวิตผู้ป่วยโดยการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ (5 ธ.ค 63) ณ ห้องพินิตประชานาถ ใน ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำไปมอบให้กับโรงพยาบาลทหารของแต่ละเหล่าทัพ สภากาชาดไทย เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และเพิ่มเติมภาวะขาดแคนโลหิตในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป
โดยมีคุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาตรวจเยี่ยมและขอบคุณกำลังพลที่ร่วมบริจาค โอกาสนี้
พลเรือเอก สมประสงค์
นิลสมัย รองปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอก ชูชาติ บัวขาว รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พลตรี ชูเลิศ จิระรัตนเมธากร เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตลอดจนกำลังพลกว่า 300 นาย ได้ร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการประกอบคุณงามความดีในวาระโอกาสมหามงคล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37199 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ทูบีนัมเบอร์วัน” ประจำปี 2564 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ทูบีนัมเบอร์วัน” ประจำปี 2564
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563 เวลา 15.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จไปยังห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563 เวลา 15.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จไปยังห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ทูบีนัมเบอร์วัน” ประจำปี 2564 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เฝ้ารับเสด็จ
ในการนี้พระราชทานเข็มที่ระลึกแก่คณะกรรมการอำนวยการโครงการ ฯ และคณะอนุกรรมการบูรณาการโครงการ ฯ ที่ได้รับตำแหน่งใหม่ และทรงติดตามผลการดำเนินงานโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ปี 2563 แผนการดำเนินงานปี 2564 โดยกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานครและ
กรมประชาสัมพันธ์ ได้บูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งในปี 2563 ครบรอบ 18 ปี โครงการ TO BE NUMBER ONE กระทรวงสาธารณสุข กรมสุขภาพจิต ได้รวบรวมและเผยแพร่ “เรื่องดีดี 18 ปี TO BE NUMBER ONE” จากผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน สมาชิก TO BE NUMBER ONE และประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่สมาชิกและเครือข่ายทั่วประเทศ และจัดงานมหกรรมเฉลิมฉลองเพื่อเทิดพระเกียรติและระลึกถึงพระกรุณาธิคุณขององค์ประธานโครงการฯ ที่ทรงมีต่อเยาวชนไทย มุ่งเน้นกิจกรรมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฝึกทักษะ การดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ โดยมีสมาชิกจากทั่วประเทศเข้าร่วมมากกว่า 15,000 คน
สำหรับผลสำเร็จของโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา มีการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนและประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ ปลุกกระแสการต่อต้านยาเสพติด ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และองค์ประธานโครงการได้ทรงให้เพิ่มช่องทางติดต่อผ่านสื่อโซเซียลมีเดียทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ “TO BE NUMBER ONE CHANNEL” เพื่อให้สมาชิกและประชาชนเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเป็นช่องทางพระราชทานคำปรึกษาปัญหาแก่สมาชิก แนวทางการแก้ไขและขวัญกำลังใจจากองค์ประธานโดยตรง ปัจจุบันมีสมาชิก TO BE NUMBER ONE และสมาชิกใครติดยายกมือขึ้นทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 29,492,936 คน และในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 แพร่ระบาด โครงการฯ ได้ปรับรูปแบบการให้ความรู้ต่างๆ โดยผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เผยแพร่ให้กับแกนนำและสมาชิกนำไปศึกษาด้วยตนเองที่บ้าน อาทิ คู่มือการดำเนินงาน คู่มือการจัดกิจกรรม และองค์ความรู้ต่างๆ สำหรับวัยรุ่นและเยาวชนเพิ่มเติม มีการจัดตั้งอำเภอ TO BE NUMBER ONE 622 อำเภอ คิดเป็นร้อยละ 70.8 ของอำเภอทั่วประเทศ, ขยายเครือข่ายชมรม TO BE NUMBER ONE ในสถานศึกษา ชุมชน สถานประกอบการ สถานพินิจฯ เรือนจำ/ทัณฑสถาน และสำนักงานคุมประพฤติ 73,321 แห่ง, ให้บริการศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE ตามแนวคิด “ปรับทุกข์ สร้างสุข แก้ปัญหา พัฒนา EQ” 10,735 แห่ง รวมทั้งจัดกิจกรรมการประกวดต่างๆ เพื่อให้เยาวชนได้แสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ สร้างความสามัคคี มุ่งมั่น ทุ่มเท ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เกิดความภาคภูมิใจ มองเห็นคุณค่าของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติด รวมทั้งทรงห่วงใยสมาชิกและครอบครัว ได้พระราชทานทุนการศึกษาแก่สมาชิก จำนวน 4 ทุน ปีการศึกษาละ 72,000 บาท ต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
ทั้งนี้ ในปี 2564 มีแผนการดำเนินงานในเรื่องการจัดทำฐานข้อมูลโครงการ TO BE NUMBER ONE และทดลองใช้ในทุกจังหวัด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะประกอบด้วย ฐานข้อมูลชมรมและศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE, ข้อมูลสมาชิกชมรมและสมาชิกทั่วไป และข้อมูลสมาชิกใครติดยายกมือขึ้น พร้อมสนับสนุนการจัดตั้งอำเภอ TO BE NUMBER ONE ขยายให้ครบทุกอำเภอทั่วประเทศ
**************************************** 1 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เดนมาร์ก พร้อมกระชับความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงพลังงานในภูมิภาค | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ไทย-เดนมาร์ก พร้อมกระชับความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงพลังงานในภูมิภาค
ไทย-เดนมาร์ก พร้อมกระชับความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงพลังงานในภูมิภาค
วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายยอน ทัวร์กอร์ด (H.E. Mr. Jon Thorgaard) เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ต่างยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างใกล้ชิด พร้อมหวังว่า รัฐบาลไทยและเดนมาร์กจะพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ในอนาคต โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือทางด้านพลังงาน โดยเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ยินดีที่ทราบว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสีเขียว (Green Energy) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มากยิ่งขึ้น ขณะนี้มีบริษัทของเดนมาร์กที่ลงทุนในไทยหลายบริษัทมีความสนใจในเรื่องการลงทุนทางด้านพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนในไทย ด้านรองนายกรัฐมนตรีฯ ชื่นชมความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของเดนมาร์กต่อเรื่องดังกล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการลงทุนด้านพลังงาน โดยประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาค จึงสามารถเป็นศูนย์กลางและจุดเชื่อมโยงในการส่งออกพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคได้ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังมีมาตรการและสิทธิพิเศษสำหรับบริษัทที่สนใจในการลงทุนทางด้านพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงความท้าทายของไทยในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นในอนาคต โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ไทยกำลังพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรทางด้านพลังงานให้มีเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้นในสาขาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ไทยประสงค์ร่วมมือและเรียนรู้จากนานาประเทศ รวมทั้งเดนมาร์ก ซึ่งมีเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ ในโอกาสนี้เอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ชื่นชมรัฐบาลไทยที่มีวิสัยทัศน์ และความตั้งใจที่ดีในการผลักดันพลังงานสะอาดในประเทศซึ่งเดนมาร์กพร้อมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37206 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ขยายเวลาให้ลูกค้าชำระเงินกู้ งวดเดือนพฤศจิกายน 2563 เพิ่มอีก 4 วัน | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ธอส. ขยายเวลาให้ลูกค้าชำระเงินกู้ งวดเดือนพฤศจิกายน 2563 เพิ่มอีก 4 วัน
ธอส.อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ประสบปัญหาการทำธุรกรรมชำระหนี้เงินกู้ หลังจากที่พบว่าวันที่ 30 พ.ย.2563 Mobile Application ของสถาบันการเงินบางแห่งไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเกิดความล่าช้า จึงประกาศขยายเวลาเพิ่มขึ้นอีก 4 วัน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ประสบปัญหาการทำธุรกรรมชำระหนี้เงินกู้ หลังจากที่พบว่าในวันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) Mobile Application ของสถาบันการเงินบางแห่งไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเกิดความล่าช้า จึงทำให้ลูกค้าของธนาคารส่วนหนึ่งไม่สามารถโอนเงินเข้ามาชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารได้ทันภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ธอส. จึงประกาศขยายเวลาให้ลูกค้าสามารถชำระเงินกู้ตามจำนวนที่ต้องชำระรายเดือน สำหรับงวดเดือนพฤศจิกายน 2563 เพิ่มขึ้นอีก 4 วัน คือ ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2563 โดย ธอส. จะไม่นับว่าเป็นการชำระล่าช้าแต่อย่างใด สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การยกระดับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามมาตรฐานสากล" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
พิธีเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การยกระดับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามมาตรฐานสากล" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การยกระดับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามมาตรฐานสากล" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การยกระดับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามมาตรฐานสากล" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งมอบนโยบาย เป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ให้แก่บุคลากรอุตสาหกรรมจังหวัด มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับการผลิตสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งก่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันขับเคลื่อนงานรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนระหว่างสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมี นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 ธันวาคม 2563 เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ในการนำหลักการมาตรฐาน ISO/IEC 17065: 2012 ไปใช้ในการดำเนินงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายและเป้าประสงค์ในการยกระดับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค สร้างความเชื่อมั่นในการรับรองผลิตภัณฑ์ ตลอดจนมีองค์ความรู้เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคการปฏิบัติงาน เกิดทักษะและมีศักยภาพในการพัฒนางานอย่างสร้างสรรค์ และเป็นโอกาสอันดีในการทบทวนและซักซ้อมความเข้าใจในการดำเนินงาน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็น ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”เสนอประกันรายได้ข้าว เข้า ครม. เคาะจ่ายเงินส่วนต่างงวด 5 วันที่ 7 ธ.ค.พร้อมประกาศดีเดย์โอนเงินมันสำปะหลังงวดแรก 1 ธ.ค.นี้ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
“จุรินทร์”เสนอประกันรายได้ข้าว เข้า ครม. เคาะจ่ายเงินส่วนต่างงวด 5 วันที่ 7 ธ.ค.พร้อมประกาศดีเดย์โอนเงินมันสำปะหลังงวดแรก 1 ธ.ค.นี้
วันที่ 1 ธันวาคม2563 เวลา 9.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ลงนามนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้โดยขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที1
โดยกระทรวงพาณิชย์จะขอวงเงินเพิ่มเติมอีก จำนวน 28,711 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้จ่ายให้กับชาวนาไปแล้วจำนวน 18,096 ล้านบาท เริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.2563 เป็นต้นมาแล้วสำหรับงวดแรกและงวดต่อไปก็จะจ่ายทุกสัปดาห์ดังนั้นรอบต่อไปจะเป็นวันที่ 7 ธันวาคม 2563 ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยเกษตรกรจะได้ส่วนต่างสูงสุดคือ 40,000 บาท จากการปลูกข้าวหอมมะลิ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนเงินช่วยสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาทสูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ ซึ่งเกษตรกรจะได้สูงสุดรายละ 20,000 บาทนั้น จะจ่ายให้ครึ่งหนึ่งก่อนซึ่งเป็นเงินไร่ละ 500 บาทโดยจะเริ่มจ่ายวันที่ 1-5 ธ.ค. นี้ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวที่รออยู่ได้รับทราบ สำหรับโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนั้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 63 วงเงิน 28,046 ล้านบาท โดยจะจ่ายผ่านบัญชีชาวนาโดยตรงตั้งแต่วันที่ 1-5 ธ.ค. 2563 จำนวนเกษตรกรได้รับประโยชน์ประมาณ 4.35 ล้านครัวเรือน
" โครงการนี้เป็นมาตรการเสริมและคู่ขนานกับโครงการประกันรายได้เกษตรกร ซึ่งนอกเหนือจากโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพข้าวนี้แล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการคู่ขนานอย่างอื่น เช่น โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก เป็นต้น " นายจุรินทร์ กล่าว
ส่วนเรื่องมันสำปะหลัง นายจุรินทร์ ระบุว่า จะจ่ายเงินส่วนต่างวันแรกคือวันนี้(วันนี้ 1 ธ.ค. 2563 ) เป็นวันจ่ายเงินโอนเข้าบัญชีให้เกษตรกรมันสำปะหลังโดยตรง ซึ่งเงินส่วนต่างงวดนี้จะได้ 26 สตางค์ต่อกิโลกรัม และเกษตรกรที่ได้สูงสุดคือประมาณ 26,000 บาท เนื่องจากประกันรายได้ไว้ที่กิโลกรัมละ 2.50 บาทไม่เกิน 100 ตัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37196 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กนกวรรณ ปลื้ม กศน.ประจวบคีรีขันธ์ ศักยภาพสูง-นำนโยบายสู่การปฏิบัติยอดเยี่ยม ชูหลักสูตรท้องถิ่นร่อนทอง-อนุรักษ์สายแร่ทอง ร่วมสืบสานภูมิปัญญาเป็นเลิศ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
รมช.กนกวรรณ ปลื้ม กศน.ประจวบคีรีขันธ์ ศักยภาพสูง-นำนโยบายสู่การปฏิบัติยอดเยี่ยม ชูหลักสูตรท้องถิ่นร่อนทอง-อนุรักษ์สายแร่ทอง ร่วมสืบสานภูมิปัญญาเป็นเลิศ
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ของสํานักงาน กศน.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมมอบนโยบายด้านการศึกษา
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เวลา 08.30 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ของสํานักงาน กศน.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมมอบนโยบายด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของ กศน. สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมี นางสาวชไมพร อำไพจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. นางเรียงตะวัน สิทธิเชนทร์ ผอ.สำนักงาน กศน.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นักศึกษา ประชาชน เข้าร่วมและให้การต้อนรับ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมุ่งสร้างพื้นฐานการเป็นสมาชิกที่ดี สามารถพึ่งพาตนเอง รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน โดยมีความโดดเด่นด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ กศน. ONIE ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีชีวิตชาวบ้าน ตลอดจนวัฒนธรรมที่ดีงามของการเรียนรู้ เน้นงานฝีมือที่สามารถพัฒนาและเพิ่มคุณค่าของวัสดุท้องถิ่น และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
สำหรับการเรียนการสอน กศน.ในปัจจุบัน ได้ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของผู้เรียน โดยนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนทั้งการศึกษาพื้นฐานและในเรื่องของอาชีพที่สอดคล้องกับความก้าวหน้ากับโลกยุคดิจิทัล โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผน มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยให้มีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสม ทั้งด้านเวลา สาระการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงจากสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ พร้อมส่งเสริมให้ครู ได้รับการพัฒนาวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอย่างหลากหลายด้วย
“สำหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือว่าเป็นจังหวัดสำคัญมากอีกจังหวัดหนึ่ง เป็นที่ตั้งของพระราชวังไกลกังวล เสมือนเป็นบ้านอีกหลังของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพมากมาย ภายใต้ความร่วมมือของ กศน.จังหวัด และ ผอ.กศน.อำเภอ ทุกอำเภอจังหวัด ที่ได้พัฒนาหลักสูตรหน้าที่พลเมือง ตามรอยพระยุคลบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมีการสืบสานรักษาต่อยอดของรัชกาลที่ 10 เพื่อครองแผ่นดินโดยธรรม เป็นหลักสูตรที่สำคัญช่วยสร้างเสริมความรัก ความอบอุ่น ความเป็นปึกแผ่นของประเทศ
สำหรับการต่อยอดผลิตภัณฑ์แบรนด์ กศน. ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีพื้นที่วางขายในสถานที่ท้องเที่ยวเพื่อเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่าย พร้อมทั้งการจัดหาสถานที่เพื่อสร้างอาคารของ กศน.จังหวัดและอำเภอเอง ซึ่งพบว่ายังมีความขาดแคลนสถานที่และงบประมาณอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้โดยมอบเลขาธิการ หารือและวางแผนถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการ
ทั้งยังสร้างสรรค์ศิลปะ วัฒนธรรม และอนุรักษ์ประเพณี ตลอดจนอาชีพท้องถิ่น อาทิ หลักสูตรท้องถิ่นรายวิชาเมืองทองเนื้อเก้า ของ กศน.อ.บางสะพาน มีความโดดเด่นด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาเก่าแก่ในท้องถิ่น โดยเปิดสอนมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งนักศึกษาที่จบออกไปสามารถนำไปเป็นอาชีพเสริม เพราะมีมูลค่าสูงกว่าทองคำปกติเป็นเท่าตัว ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงวัฒนธรรมในการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น "สายแร่ทอง" คลองทองบางสะพาน ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร จากตำบลร่อนทองถึงตำบลทองมงคล ทั้งนี้ได้ย้ำกับเลขาธิการ กศน. และบุคลากร ในการรักษา และต่อยอด โดยเน้นการสร้างสรรค์และสร้างเสริมอัตลักษณ์พิเศษของประจวบคีรีขันธ์ เพื่อร่วมสร้าง
สำหรับการสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของ กศน.ที่นี่ ได้รับประเด็นต่าง ๆ ไว้ กศน.เพื่อนำไปสู่การแก้ไขอย่างเป็นระบบ หากเรื่องใดสามารถแก้ไขได้เลย ก็จะดำเนินการให้ทันที เพื่อทลายทุกข้อจำกัดทางการศึกษา โดยเฉพาะการขาดบุคลากรทางการศึกษา 38 ค (2) , ความขาดแคลนงบประมาณซ่อมบำรุงรถโมบาย หรือรถห้องสมุดเคลื่อนที่ เป็นต้น ซึ่งทุกปัญหาที่ครูพี่โอ๊ะได้รับรายงาน จะทำการรวบรวมนำเสนอต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อดำเนินการแก้ไข ต่อไป
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายพงษ์พันธ์ เผ่าประทาน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทับสะแก, นางสาวสุวรรณ จุลมั่ง นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่ ศึกษาธิการภาค 4, นางกัลยาณี ศิวธรรมปัญญา รองศึกษาธิการจังหวัด รักษาการในตำแหน่ง ศึกษาธิการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, นายธีระชัย รัตนรังษี รอง สพม. เขต 10 และนางสาวอาภรรัตน์ แสงเทียนทอง ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมต้อนรับ
จันทนา เชียงทอง: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน, สถาพร ถาวรสุข : ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37203 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. ยกระดับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สู่ระบบ AR ให้เด็กเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ สนุกสนาน ทันสมัย และรักความเป็นไทย | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ศธ. ยกระดับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สู่ระบบ AR ให้เด็กเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ สนุกสนาน ทันสมัย และรักความเป็นไทย
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกิจกรรมโครงการพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารร่วมสมัยเพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” สำหรับใช้ประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกิจกรรมโครงการพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารร่วมสมัยเพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” สำหรับใช้ประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความสำคัญของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมเยาวชนให้เป็นพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตย มีความรับผิดชอบ มีความเป็นไทย รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงมุ่งหวังให้ครูปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์อย่างสนุกสนาน ทันสมัย จึงได้จัดตั้งโครงการพัฒนาสื่อเสมือนจริง (AR) และโครงการ การอ่าน การเขียน เรียนประวัติศาสตร์ผ่านการสื่อสารร่วมสมัย เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สำหรับใช้ประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้สาหรับนักเรียน ภายใต้แนวคิด ภูมิใจภักดิ์ รักความเป็นไทย เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยขึ้น ซึ่งเป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อเสมือนจริง AR (Augmented Reality) ที่นำภาพเสมือนที่เป็นรูปแบบ 3 มิติ จำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้องและการประมวลผลที่จะนำวัตถุมาทับซ้อนเข้าเป็นภาพเดียวกัน สามารถมองผ่านกล้องได้โดยตรงได้ เพื่อการจำลองทำให้ระบบการเรียนการสอนมีความสนุก ท้าทาย ทันสมัย และน่าสนใจ
สำหรับสื่อวีดีทัศน์เสริมสร้างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ตามนโยบายการอ่าน การเขียน เรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านการสื่อสารร่วมสมัย โดยมีการดำเนินเรื่องโดยศิลปินนักแสดงที่เป็นขวัญใจของเด็กเยาวชนในปัจจุบัน มีการถ่ายทอดเรื่องราวและสอดแทรกเนื้อหาสาระเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว และถ่ายทำจากสถานที่จริง นำเสนอในประเด็น “พัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์” มีจำนวน 10 เรื่อง เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาอย่างเข้าใจ สนุกสนาน และเพลิดเพลิน อาทิ การพัฒนารถไฟไทย, พัฒนาการการสื่อสาร, พัฒนาการถนน, การบิน, ชุดราชปะแตน, การปฏิรูปการศึกษา, การศึกษาเพื่อความทันสมัย, ละครพันทางสู่ภาพยนตร์, วัฒนธรรมการรับประทานอาหารริมทาง (street food) และการเข้ามาของน้าแข็ง เป็นต้น
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่จ.สมุทรสงคราม ขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โฮมสเตย์วิถีท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากระดับชุมชน รองรับดำเนินชีวิต New Normal | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่จ.สมุทรสงคราม ขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โฮมสเตย์วิถีท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากระดับชุมชน รองรับดำเนินชีวิต New Normal
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่จ.สมุทรสงคราม ขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โฮมสเตย์วิถีท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากระดับชุมชน รองรับดำเนินชีวิต New Normal
วันนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสมุทรสงครามในวันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2563 มีเป้าหมายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของชุมชนในท้องถิ่น การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ต่อยอดศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งของชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจระดับพื้นที่ สร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ภายใต้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนแบบมาตรฐานใหม่ (New Normal) รองรับการเปลี่ยนแปลงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต
นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเยี่ยมชมการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจ 2 แห่ง ได้ แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ ต.บ้านปรก อ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อติดตามการเที่ยวชุมชน กิจการภายใต้โคกหนองนาโมเดล ชมฐานการเรียนรู้การปลูกผักปลอดสารพิษ กิจกรรมทำเกลือสปา การทำน้ำหวานจากดอกมะพร้าว (SYRUP) การบริหารจัดการน้ำสะอาดคลองผีหลอก บ้านริมคลองโฮมสเตย์ จักสานทางมะพร้าวและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ฟื้นฟู มะพร้าวครบวงจร ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา ซึ่งเป็นหมู่บ้านรางวัลพระราชทานหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ฟื้นฟูมะพร้าวครบวงจร ได้แก่ การแปรรูปกล้วยหักมุก การทำน้ำมันมะพร้าวอโวคาโด การเพาะเลี้ยงชันโรง การทำมะพร้าวแปรรูปครบวงจร โดยนายกรัฐมนตรี จะได้กล่าวกับประชาชนผ่านหอกระจายข่าว ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ระดับชุมชนด้วย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลง มีทรัพยากรทางธรรมชาติและการท่องเที่ยวหลายรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การท่องเที่ยวป่าชายเลนคลองโคลน รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เชิงอนุรักษ์ เชิงวัฒนธรรม การบริการที่พักในรูปแบบโฮมสเตย์ที่ได้มาตรฐาน เช่น วิสาหกิจชุมชนริมคลองโฮมสเตย์ ซึ่งได้รับรางวัลมาตรฐานโฮมสเตย์ รางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 8 และได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 20 ชุมชนสร้างสรรค์ของประเทศ โดยหนังสือ Creative Tourism มีผลผลิตทางการเกษตรขึ้นชื่อเช่น ส้มโอขาวใหญ่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม มะพร้าวน้ำหอม เป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลและการเกษตรปลอดภัย และมีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37200 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เช็ก หารือร่วมกันด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
ไทย-เช็ก หารือร่วมกันด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ไทย-เช็ก หารือร่วมกันด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
วันอังคารที่ 1 ธ.ค.63 เวลา1030 ณ ศาลาว่าการกลาโหม พล.อ.ชูชาติ บัวขาว รอง ปล.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาย มาเร็ก ลิบชิตชกี้(Marek Libricky) ออท. สาธารณะรัฐเช็ก/ไทย
ทั้งสองฝ่ายหารือร่วมกันในความร่วมมือของทั้งสองประเทศด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศโดยกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และเทคโนโลยี เพื่อมุ่งสู่การพึ่งพาตนเองและผลิตเชิงธุรกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
โดย รอง ปล.กห.ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศและความสัมพันธ์ด้านการทหาร โดยเฉพาะระหว่างกองทัพอากาศที่มีการแลกเปลี่ยนการเยือนและความร่วมมือในหลายระดับอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคณะกรรมการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างไทยกับเช็ก จะอำนวยการ ประสานงานและติดตามความคืบหน้าด้านความร่วมมือของทั้งสองประเทศ
ทางด้าน ผชท.ทหาร สาธารณรัฐเช็ก/ไทย ได้ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ และชื่นชมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ในส่วนทางด้านการทหารนั้น กองทัพอากาศได้มีการฝึกร่วมและพัฒนายุทโธปกรณ์ร่วมกันและเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างไทยกับเช็ก ที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างไทยกับเช็ก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37207 |
Subsets and Splits