question_id
int32
1
4k
article_id
int32
665
954k
context
stringlengths
75
87.2k
question
stringlengths
11
135
answers
sequence
3,245
232,009
จอห์น ไทเลอร์ จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์ () (29 มีนาคม ค.ศ. 1790 18 มกราคม ค.ศ. 1862) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 10ประวัติ ประวัติ. จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1790 ในเมืองชาร์ลส์ County, Virginia (เขตเดียวกับที่วิลเลียมเฮนรีแฮร์ริสันเกิด). พ่อของไทเลอร์ คือ จอห์น ไทเลอร์ ซีเนียร์ และแม่ของเขาคือ มาร์รี อาร์มมิสทิด ไทเลอร์ ไทเลอร์ ได้รับการเลี้ยงดูพร้อมกับเจ็ดพี่น้องเป็นส่วนหนึ่งของพวกผู้ดีชั้นยอดของภูมิภาค, ได้รับการศึกษาเป็นพิเศษ เขาถูกนำมาขึ้นเชื่อว่ารัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาคือการถูกตีความอย่างเคร่งครัดและรายงานไม่เคยหายไปนี้ การลงโทษ ในขณะที่ไทเลอร์มีการเติบโตขึ้น, พ่อ, เพื่อนของโทมัสเจฟเฟอร์สันของเขาเป็นเจ้าของสวนยาสูบกว่า 1,000 ไร่ (4 ตารางกิโลเมตร) ให้บริการโดยนับสิบทาสและทำงานเป็นผู้พิพากษาที่ศาลสหรัฐวงจรที่ริชมอนด์รัฐเวอร์จิเนีย ผู้สูงอายุ ไทเลอร์สนับสนุนของรัฐสิทธิ'รักษาอำนาจของเขา เมื่อไทเลอร์ อายุได้ 7 ปีแม่ของเขาได้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง เมื่ออายุ 12 ปีเขาได้เข้าสาขาเตรียมการของวิทยาลัยวิลเลียมและแมรี และได้สมัครเรียนเข้าสู่โปรแกรมเกี่ยวกับวิทยาลัยเมื่อสามปีต่อมา ไทเลอร์จบการศึกษาจากวิทยาลัยใน ค.ศ. 1807 ในอายุสิบเจ็ดช่วงเริ่มต้นอาชีพทางการเมือง
ใครคือประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 10
{ "answer": [ "จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์" ], "answer_begin_position": [ 102 ], "answer_end_position": [ 124 ] }
3,246
232,009
จอห์น ไทเลอร์ จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์ () (29 มีนาคม ค.ศ. 1790 18 มกราคม ค.ศ. 1862) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 10ประวัติ ประวัติ. จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1790 ในเมืองชาร์ลส์ County, Virginia (เขตเดียวกับที่วิลเลียมเฮนรีแฮร์ริสันเกิด). พ่อของไทเลอร์ คือ จอห์น ไทเลอร์ ซีเนียร์ และแม่ของเขาคือ มาร์รี อาร์มมิสทิด ไทเลอร์ ไทเลอร์ ได้รับการเลี้ยงดูพร้อมกับเจ็ดพี่น้องเป็นส่วนหนึ่งของพวกผู้ดีชั้นยอดของภูมิภาค, ได้รับการศึกษาเป็นพิเศษ เขาถูกนำมาขึ้นเชื่อว่ารัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาคือการถูกตีความอย่างเคร่งครัดและรายงานไม่เคยหายไปนี้ การลงโทษ ในขณะที่ไทเลอร์มีการเติบโตขึ้น, พ่อ, เพื่อนของโทมัสเจฟเฟอร์สันของเขาเป็นเจ้าของสวนยาสูบกว่า 1,000 ไร่ (4 ตารางกิโลเมตร) ให้บริการโดยนับสิบทาสและทำงานเป็นผู้พิพากษาที่ศาลสหรัฐวงจรที่ริชมอนด์รัฐเวอร์จิเนีย ผู้สูงอายุ ไทเลอร์สนับสนุนของรัฐสิทธิ'รักษาอำนาจของเขา เมื่อไทเลอร์ อายุได้ 7 ปีแม่ของเขาได้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง เมื่ออายุ 12 ปีเขาได้เข้าสาขาเตรียมการของวิทยาลัยวิลเลียมและแมรี และได้สมัครเรียนเข้าสู่โปรแกรมเกี่ยวกับวิทยาลัยเมื่อสามปีต่อมา ไทเลอร์จบการศึกษาจากวิทยาลัยใน ค.ศ. 1807 ในอายุสิบเจ็ดช่วงเริ่มต้นอาชีพทางการเมือง
จอห์น ไทเลอร์ จูเนียร์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 10 เกิดเมื่อใด
{ "answer": [ "29 มีนาคม ค.ศ. 1790" ], "answer_begin_position": [ 263 ], "answer_end_position": [ 282 ] }
3,247
712,393
นคร เวชสุภาพร นคร เวชสุภาพร เป็นหัวหน้าวงสตริงคอมโบแกรนด์เอ็กซ์ และเป็นบิดาแท้ๆ ของศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร นักร้องชื่อดังประวัติ ประวัติ. นครเกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2493 เข้าศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม และ วิทยาลัยบพิตรภิมุข ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตอน ม.ศ. 5 เมื่อนครได้ก่อตั้งวงสตริงคอมโบแกรนด์เอ็กซ์ ขึ้นมาและเข้าประกวดวงสตริงคอมโบชิงแชมป์ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2512, พ.ศ. 2513 และ พ.ศ. 2515 ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และขวัญใจสื่อมวลชนด้วยแนวทางการแต่งตัวที่เข้าตาสื่อ คือแม้จะเล่นเพลงร็อคดุๆ แต่พวกเขาแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ใส่กางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนคไทซึ่งสวนทางกับวงอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน ส่วนรองชนะเลิศอันดับ 1 คือวงมัมมี่ และชนะเลิศคือวงดิอิมพอสซิเบิ้ลของเศรษฐา ศิระฉายา หลังการประกวด สมาชิกในวงแกรนด์เอ็กซ์บางคนเรียนจบ โดยแต่ละคนแยกย้ายกันไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แต่นครยังคงหาสมาชิกวง โดยลงทุนถึงขนาดสละสิทธิ์ไม่เรียนในมหาวิทยาลัยที่สอบเข้าติด แต่เลือกที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดที่เพื่อนนักดนตรีส่วนใหญ่กันอยู่ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการซ้อมดนตรีและการทำวง ด้านชีวิตส่วนตัว นครนับถือศาสนาคริสต์ สมรสกับ ธนภรณ์ เวชสุภาพร มีบุตร 2 คน คือ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร (โต๋) ซึ่งได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากนคร และพรรศักดิ์ เวชสุภาพร (เต๋) น้องชายของโต๋ผลงานสตูดิโออัลบั้มผลงานสตูดิโออัลบั้ม. 1. ลูกทุ่งดิสโก้ ชุดที่ 1 2. ลูกทุ่งดิสโก ชุดที่ 2 3. เขิน 4. ผู้หญิง 5. แกรนด์เอ็กซ์ โอ 6. บุพเพสันนิวาส 7. นิจนิรันดร์ 8. พรหมลิขิต 9. เพชร 10. บริสุทธิ์ 11. ดวงเดือน 12. หัวใจสีชมพู 13. สายใย 14. ขวดโหล 1 15. ขวดโหล 2 16. นิรันดร์กาล 17. อยากให้ความรัก (แก่คนทั้งโลก) 18. ได้ไหม
ใครคือหัวหน้าวงสตริงคอมโบแกรนด์เอ็กซ์
{ "answer": [ "นคร เวชสุภาพร" ], "answer_begin_position": [ 102 ], "answer_end_position": [ 115 ] }
3,250
592,307
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา หรือ พระองค์เจ้าบุพภาวดี หรือออกพระนามว่า เจ้าครอกบุปผา (พ.ศ. 2334 - พ.ศ. 2364) พระราชธิดาพระองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสีพระประวัติ พระประวัติ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา ประสูติเมื่อพ.ศ. 2334 เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสี ธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) มีพระเชษฐภคินีร่วมเจ้าจอมมารดา 1 พระองค์คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรจั่น พระองค์ประสูติในขณะที่พระราชบิดายังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อแรกประสูติจึงดำรงพระยศเป็น หม่อมเจ้าบุบผา หลังจากพระราชบิดาได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแล้วจึงเลื่อนเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าบุบผา เมื่อพระราชบิดาครองราชย์จึงได้เลื่อนเป็น พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าบุบผา ในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสวนขวา โดยมีพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นแม่กองจัดการสร้าง โปรดฯ ให้ขยายสระที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ออกไป และโปรดให้สร้างเก๋งแพขึ้นในสระ พระราชทานให้เจ้านายฝ่ายในตกแต่งประกวดประขันกันถึง 27 หลัง ในครั้งนั้นพระองค์เจ้าบุบผาทรงได้รับพระราชทานด้วย ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 เรื่องสร้างสวนขวา ว่า "...การสร้างสวนขวาครั้งนั้น สร้างพระมหามณเฑียรที่ประทับในสวน... แลให้ขุดสระใหญ่ในสวนนั้นยาว ๓ เส้น ๔ วา กว้าง ๒ เส้น ๘ วา... ทำเก๋งแลก่อภูเขาไว้ริมเกาะ ๆ ละ ๒ เก๋งบ้าง ๓ เก๋งบ้าง ขอบสระใหญ่นั้นให้ก่อภูเขาทำเก๋งลงที่ลาด ๆ ท่วงทีเหมือนอย่างแพจอดไว้รอบสระ เรียกว่าแพ หลังเก๋งแพให้ปลูกต้นไม้ใหญ่ ๆ มีผลต่าง ๆ... แล้วมอบให้พระราชวงษานุวงษ์ฝ่ายน่าฝ่ายใน แลท้าวนางผู้ใหญ่ในพระราชวังที่สมควรจะแต่งเก๋งแต่งแพได้ ให้เปนเจ้าของแต่งแพพระองค์ละแพ... พระองค์เจ้าบุบผา ๑... รวมพระองค์เจ้ายี่สิบเจ็ดหลัง..." พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 2 เมื่อพ.ศ. 2364 พระชันษา 31 ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดระฆังโฆสิตาราม วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2364 พระอัฐบรรจุไว้ที่หอพระนาก ที่วิมานพระอัฐ บนพระเบญจาชั้นที่ 3พระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - หม่อมเจ้าบุบผา (พ.ศ. 2334 - พ.ศ. 2349) - พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าบุบผา (พ.ศ. 2349 - 7 กันยายน พ.ศ. 2352) - พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าบุบผา (7 กันยายน พ.ศ. 2352 - พ.ศ. 2364) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา (พระนามหลังการสิ้นพระชนม์)พงศาวลี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา เป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ไทยองค์ใด
{ "answer": [ "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" ], "answer_begin_position": [ 284 ], "answer_end_position": [ 317 ] }
3,251
23,256
เอะมิ ชิโนะฮะระ เอะมิ ชิโนะฮะระ (คันจิ:篠原恵美; ฮิรางานะ:しのはら えみ; คำอ่าน: ชิโนะฮะระ เอะมิ) เป็นนักพากย์หญิงของประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในวงการมานาน แต่เพิ่งมาแจ้งเกิดในบทของ มาโกโตะ หรือ เซเลอร์จูปิเตอร์ แห่ง เซเลอร์มูน และหลังจากนั้นก็มีงานพากย์อย่างต่อเนื่องมาตลอด ชิโนะฮะระเป็นเพื่อนสนิทที่เกิดวันเดือนปีเดียวกับ ริกะ ฟุกะมิ ผู้พากย์เสียงเซเลอร์วีนัส และเคยออกอัลบั้มร่วมกันในนามของ FUNKY TWINS ด้วย ปัจจุบันชิโนะฮะระแต่งงานแล้ว กับ ฮิโรชิ วาตาริ พระเอกภาพยนตร์แนวเมทัลฮีโร่เรื่อง ชาลีบัน และ สปิลบันประวัติ ประวัติ. ชื่อจริง : เอะมิโกะ วะตะนะเบะ (นามสกุลเดิม : ชิโนะฮะระ) วันเกิด : 8 สิงหาคม พ.ศ. 2506 บ้านเกิด : นะงะโนะ ประเทศญี่ปุ่น สังกัด : 81 Produceผลงานงานแอนิเมชันผลงาน. งานแอนิเมชัน. - คุณพ่อ ย. โย่ง (Daddy Long Legs) รับบทเป็น แคทเธอรีน - โปรเจกต์ A โกะ รับบทเป็น ไดโทคุจิ บีโกะ (B โกะ) - วิคตอรี่กันดั้ม รับบทเป็น มาเรีย - ปริศนาพิทักษ์โลก (Please Save My Earth) รับบทเป็น โมคุเรน - เซเลอร์มูน รับบทเป็น คิโนะ มาโกโตะ หรือ เซเลอร์จูปิเตอร์ - เมจิกไนท์เรย์เอิร์ธ รับบทเป็น เปรเซีย - การ์ดแค็ปเตอร์ซากุระ รับบทเป็น มิสึกิ คาโฮะ - เซเบอร์มาริโอเน็ต J อะเกน (OVA) รับบทเป็น แพนเธอร์ - จอมขมังเวทย์ออร์เฟน รับบทเป็น อาซารี่ - ก้าวแรกสู่สังเวียน รับบทเป็น อีมูระ มาริ - กันพาเหรดมาร์ช รับบทเป็น ฮาระ ยาสุโกะ - แวมไพร์ฮันเตอร์D รับบทเป็น ชาร์ล็อต - สงครามเวหา ฟาฟเนอร์ รับบทเป็น โทมิ จิซึรุ - Maria-sama ga Miteru รับบทเป็นมิซุโนะ โยโกะ - นารูโตะ รับบทเป็นคูชินะ ยูซึมากิงานเกมงานเกม. - VIRUS รับบทเป็น เคลลี่ - พาวเวอร์ดอลส์ 2 รับบทเป็น เฟธ สมอลเล็ต - การ์เดี้ยน รีคอล รับบทเป็น ไคฮาระ มิซาโตะ - เน็กซ์คิง รับบทเป็น ดิลล์ - ปริซึมคอร์ท รับบทเป็น อายุคาวะ โคซึเอะ - สตาร์ โอเชี่ยน ทิล เดอะ เอ็น ออฟ ทาม รับบทเป็น มิราจ ครอซ
เอะมิ ชิโนะฮะระ เป็นนักพากย์หญิงชาวญี่ปุ่นที่พากย์เสียงตัวละครใดในเรื่องเซเลอร์มูน
{ "answer": [ "เซเลอร์จูปิเตอร์" ], "answer_begin_position": [ 267 ], "answer_end_position": [ 283 ] }
3,252
19,912
กระท่อม (พืช) กระท่อม เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งการใช้และความปลอดภัย การใช้และความปลอดภัย. สารสำคัญที่พบในใบกระท่อมคือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน เช่น psilocybin LSD และ ยาบ้า ทำให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงานทำให้สามารถทำงานได้นานและทนมากขึ้น และทนต่อความร้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ใช้ใบกระท่อม สามารถทำงานกลางแจ้ง ได้ทนนานขึ้น กระท่อมออกฤทธิ์ประเภทกระตุ้นประสาท การเสพใบกระท่อมมาก ๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ถุงท่อม" ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้ บางรายจะมีอาการโรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง สมัยโบราณ กระท่อมเป็นพืชที่ใช้เข้าเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย ในสูตรยาของหมอพื้นบ้านหรือหมอแผนโบราณ เช่น ตำรับยาประสะกระท่อม และบางพื้นที่ก็กล่าวต่อ ๆ กันมาว่า สามารถรักษา บรรเทา โรคเบาหวานได้การควบคุม การควบคุม. กระท่อมจัดเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามความใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งสิ่งเสพติดในประเภท 5 ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม
ในอดีต หมอแผนโบราณมักใช้ใบกระท่อมเป็นส่วนหนึ่งของยาแก้อาการใด
{ "answer": [ "ท้องเสีย" ], "answer_begin_position": [ 1163 ], "answer_end_position": [ 1171 ] }
3,253
19,912
กระท่อม (พืช) กระท่อม เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งการใช้และความปลอดภัย การใช้และความปลอดภัย. สารสำคัญที่พบในใบกระท่อมคือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน เช่น psilocybin LSD และ ยาบ้า ทำให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงานทำให้สามารถทำงานได้นานและทนมากขึ้น และทนต่อความร้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ใช้ใบกระท่อม สามารถทำงานกลางแจ้ง ได้ทนนานขึ้น กระท่อมออกฤทธิ์ประเภทกระตุ้นประสาท การเสพใบกระท่อมมาก ๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ถุงท่อม" ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้ บางรายจะมีอาการโรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง สมัยโบราณ กระท่อมเป็นพืชที่ใช้เข้าเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย ในสูตรยาของหมอพื้นบ้านหรือหมอแผนโบราณ เช่น ตำรับยาประสะกระท่อม และบางพื้นที่ก็กล่าวต่อ ๆ กันมาว่า สามารถรักษา บรรเทา โรคเบาหวานได้การควบคุม การควบคุม. กระท่อมจัดเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามความใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งสิ่งเสพติดในประเภท 5 ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม
สารจำพวกอัลคาลอยด์ที่พบในใบกระท่อมคือสารใด
{ "answer": [ "ไมทราไจนีน" ], "answer_begin_position": [ 201 ], "answer_end_position": [ 211 ] }
3,254
66,636
พระพุทธไตรรัตนนายก (วัดพนัญเชิง) พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ 20 เมตร สูง 19 เมตร เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนซึ่งขนานนามหลวงพ่อโตองค์นี้ว่า "ซำปอกง" (三寶公/三宝公) หรือ "ซำ​ปอฮุดกง​" พระพุทธไตรรัตนนายกประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดพนัญเชิง ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก ตรงข้ามกับมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาประวัติ ประวัติ. ตามตำนานกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงสร้างขึ้น ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และตามพระศาวดารกล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1867 ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 26 ปี ครั้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้บูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีมาโดยตลอด กล่าวกันว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฏมีน้ำพระเนตรไหลออกมาจากพระเนตรทั้งสองข้างเป็นที่น่าอัศจรรย์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบูรณะองค์พระพุทธรูปใหม่ทั้งองค์และถวายพระนามว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก"
พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปที่มีความสูงกี่เมตร
{ "answer": [ "19" ], "answer_begin_position": [ 247 ], "answer_end_position": [ 249 ] }
3,255
66,636
พระพุทธไตรรัตนนายก (วัดพนัญเชิง) พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ 20 เมตร สูง 19 เมตร เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนซึ่งขนานนามหลวงพ่อโตองค์นี้ว่า "ซำปอกง" (三寶公/三宝公) หรือ "ซำ​ปอฮุดกง​" พระพุทธไตรรัตนนายกประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดพนัญเชิง ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก ตรงข้ามกับมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาประวัติ ประวัติ. ตามตำนานกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงสร้างขึ้น ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และตามพระศาวดารกล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1867 ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 26 ปี ครั้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้บูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีมาโดยตลอด กล่าวกันว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฏมีน้ำพระเนตรไหลออกมาจากพระเนตรทั้งสองข้างเป็นที่น่าอัศจรรย์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบูรณะองค์พระพุทธรูปใหม่ทั้งองค์และถวายพระนามว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก"
ชาวจีนเรียกพระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง ว่าอะไร
{ "answer": [ "ซำปอกง" ], "answer_begin_position": [ 359 ], "answer_end_position": [ 365 ] }
3,256
140,268
ปลาไหลนา ปลาไหลนา หรือ ปลาไหลบึง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monopterus albus อยู่ในวงศ์ปลาไหลนา (Synbranchidae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงู ตามีขนาดเล็ก คอป่องออก มีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ในคอหอยเป็นเส้นเลือดฝอย ซึ่งช่วยให้หายใจได้โดยไม่ต้องผ่านซี่กรองเหงือกเหมือนปลาทั่วไป และยังสามารถขุดรูในดินเพื่อจำศีลในช่วงฤดูร้อนได้ด้วย ไม่มีครีบใด ๆ ยกเว้นบริเวณปลายหางแบนยาวคล้ายใบพาย เมื่อยังเล็กมีครีบอก แต่โตขึ้นจะหายไป กระดูกเหงือกมีทั้งหมด 3 คู่ ลำตัวลื่นมาก สีลำตัวปกติเป็นสีเหลืองทอง ใต้ท้องสีขาว ในบางตัวอาจมีจุดกระสีน้ำตาล แต่ก็มีพบมากที่สีจะกลายไป เป็นสีเผือก สีทองทั้งตัว หรือสีด่าง มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1.01 เมตร ปลาไหลนา จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาไหลนาที่พบมากที่สุดในประเทศไทยและเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย โดยพบได้ทุกภาค ทุกแหล่งน้ำ พบชุกชุมทั่วไป สำหรับในต่างประเทศพบกว้างขวางมาก ตั้งแต่อเมริกากลาง, ทวีปอเมริกาใต้, ทวีปแอฟริกา, ประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย ไปจนถึงโอเชียเนีย เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร โดยกินได้แม้กระทั่งซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย มีพฤติกรรมชอบรวมตัวกันหาอาหาร เมื่อยังเล็กจะเป็นตัวเมีย และจะกลายเป็นตัวผู้เมื่อโตขึ้น ผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายน และมีความสมบูรณ์สูงสุดในการวางไข่ คือ เดือนสิงหาคม โดยไข่จะมีเพียง 1 ฝัก เป็นลักษณะไข่จมไม่สัมผัสกับวัสสุใด ๆ ใต้น้ำ เมื่อสัมผัส จะมีความยืดหยุ่นมาก มีลักษณะสีเหลืองสดใส ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร ไข่ที่ได้รับการผสมมีลักษณะกลม สีเหลืองทอง ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะมีสีขาวใส ไข่จะใช้เวลาในการฟักประมาณ 3 วัน ลูกปลาเมื่อฟักออกใหม่ ๆ มีความยาว 2.5 เซนติเมตร มีถุงไข่แดง 2 ใน 3 ส่วน และมีครีบอกเมื่ออายุได้ 5 - 6 วัน ถุงไข่แดงยุบพร้อมครีบอกหายไป และเริ่มกินอาหารได้ เป็นปลาที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะนิยมบริโภคกันมาแต่โบราณ อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกว่า หากปล่อยปลาไหลนาแล้วจะช่วยให้ทุกข์โศกไหลไปตามชื่อ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์ โดยนิยมเลี้ยงในบ่อปูน ในปลาที่มีสีกลายออกไป นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามรูปภาพ
ปลาไหลนามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไร
{ "answer": [ "Monopterus albus" ], "answer_begin_position": [ 160 ], "answer_end_position": [ 176 ] }
3,257
445,952
การยึดกรุงไซ่ง่อน การยึดกรุงไซ่ง่อน (หรือเรียกว่า การเสียกรุงไซ่ง่อน โดยผู้สนับสนุนเวียดนามใต้ หรือ การปลดปล่อยไซ่ง่อน โดยผู้สนับสนุนเวียดนามเหนือ) คือการยึดเมืองหลวงของเวียดนามใต้ กรุงไซ่ง่อน โดยกองทัพประชาชนเวียดนาม (PAVN) และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เหตุการณ์นี้ทำให้สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง และทำให้ช่วงถ่ายโอนอำนาจไปยังรัฐบาลเวียดนามเหนือเริ่มต้นขึ้น ทำให้เวียดนามทั้งสองฝ่ายกลับมารวมประเทศกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ภายใต้รัฐระบอบคอมมิวนิสต์ กองกำลังเวียดนามเหนือที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพลเอกอาวุโสหวั่น เตี๋ยง จุ๋ง เริ่มดำเนินการโจมตีกรุงไซ่ง่อนเป็นครั้งสุดท้าย โดยเริ่มจากการเปิดฉากระดมยิงอย่างหนักจากกองปืนใหญ่ของพลเอกเหวียน วัน ต่วนในวันที่ 29 เมษายน ในตอนบ่าย ทหารเวียดนามเหนือก็สามารถยึดจุดสำคัญๆ ภายในเมือง และเชิญธงชาติเวียดนามเหนือขึ้นเหนือทำเนียบประธานาธิบดีแห่งเวียดนามใต้ได้สำเร็จ หลังจากนั้นไม่นานเวียดนามใต้ก็ยอมจำนน กรุงไซ่ง่อนถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนครโฮจิมินห์ ตามชื่อผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์ โดยก่อนที่เมืองจะถูกยึด มีการอพยพบุคลากรอเมริกันแทบทั้งหมด ทั้งพลเรือนและทหารออกจากไซ่ง่อน อีกทั้งยังอพยพพลเรือนเวียดนามใต้อีกหลายหมื่นคนที่ทำงานให้กับรัฐบาลเวียดนามใต้ออกจากกรุงไปด้วย การอพยพครั้งนี้ริเริ่มปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์ (Operation Frequent Wind) ซึ่งเป็นการอพยพทางเฮลิคอปเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อสิ้นสุดสงคราม หลังจากที่มีผู้อพยพลี้ภัยเป็นจำนวนมาก รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ทำให้จำนวนประชากรของเมืองลดน้อยลงไปอีก ด้วยการให้ประชากรบางส่วนให้ไปอยู่นอกเมือง โดยการบังคับหรือเพื่อแลกกับอาหารการใช้คำ การใช้คำ. มีการตั้งชื่อเหตุการณ์นี้อย่างหลากหลาย รัฐบาลเวียดนามมักจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่าการปลดปล่อยไซ่ง่อน หรือการปลดแอกภาคใต้ (Giải phóng miền Nam) แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลเก่ามักจะเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าการเสียกรุงไซ่ง่อน นอกจากนี้มันยังถูกเรียกว่าเหตุการณ์วันที่ 30 เมษาฯ (Sự kiện 30 tháng 4) โดยรัฐบาลเวียดนามปัจจุบัน และบางครั้งก็ถูกเรียกว่าวันเสียชาติ (Ngày mất nước), วันแห่งความเกลียดชังแห่งชาติ (Ngày Quốc Hận) หรือเมษาฯ ทมิฬ (Tháng Tư Đen) โดยชาวเวียดนามผู้ลี้ภัยไปยังประเทศอื่นการรุกคืบของเวียดนามเหนือ การรุกคืบของเวียดนามเหนือ. การที่ฐานที่ตั้งของเวียดนามใต้ถูกทำลายติดต่อกันอย่างรวดเร็วใน พ.ศ. 2518 ทำให้ผู้สังเกตการณ์ชาวอเมริกันและเวียดนามใต้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง และแม้แต่ฝ่ายเวียดนามเหนือและแนวร่วมเองก็ยังประหลาดใจ จากบันทึกข้อความที่เขียนโดยหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) กับหน่วยข่าวกรองของกองทัพบกที่ตีพิมพ์ในวันที่ 5 มีนาคมแจ้งว่าเวียดนามใต้จะยังสามารถรักษาอธิปไตยไว้ได้ไปตลอดฤดูแล้งฝน คือจนถึงอย่างน้อย พ.ศ. 2519 การคาดการณ์นี้ผิดพลาดไปมาก เพราะในขณะที่บันทึกข้อความถูกปล่อยออกมา พลเอกจุ๋งก็กำลังเตรียมการรุกครั้งใหญ่ตรงบริเวณภูมิภาคที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนามอยู่แล้ว ซึ่งการรุกครั้งนี้เริ่มขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม และนำไปสู่การยึดเมืองบานเมทวด ทำให้กองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) หรือกองทัพเวียดนามใต้ต้องล่าถอยไปอย่างวุ่นวายและได้รับความเสียหายมาก โดยตั้งใจที่จะวางกำลังใหม่ที่ทางตอนใต้สุดของเวียดนาม ซึ่งอาจเป็นดินแดนเวียดนามที่เหลือที่อยู่ทางใต้ของเส้นแวงที่ 13 ด้วยการสนับสนุนจากปืนใหญ่และยานเกราะ ฝ่ายเวียดนามเหนือจึงสามารถเคลื่อนทัพรุกคืบมายังไซ่ง่อน โดยทำการยึดเอาหัวเมืองหลักๆ ของเวียดนามใต้ทางตอนเหนือไว้ได้ในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม โดยสามารถยึดเมืองเว้ได้ในวันที่ 25 และเมืองดานังได้ในวันที่ 28 การรุกคืบหน้าทำให้ฝ่ายเวียดนามใต้ทัพแตกและทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพ ซึ่งที่หนีมาจากดานังเมืองเดียวก็มีมากกว่า 300,000 คนแล้ว โอกาสที่จะพลิกโอกาสตีโต้ของเวียดนามใต้จึงลดถอยลงไปทุกวัน และเมื่อหลังจากการเสียเมืองดานังแล้ว โอกาสเหล่านั้นก็แทบจะไม่เหลือเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่ CIA ในเวียดนามก็เห็นเป็นเช่นนั้น และคิดว่าคงไม่มีอะไรนอกจากการใช้เครื่องบิน B-52 ทิ้งระเบิดใส่กรุงฮานอย ที่จะทำให้การบุกของเวียดนามเหนือชะงักลงได้ ในวันที่ 8 เมษายน คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามเหนือ ที่แนะนำให้จุ๋งใช้ความระมัดระวังในเดือนมีนาคม ได้ส่งโทรเลขไปหาเขาเพื่อขอให้เขา "ทำการโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งจนกว่าจะถึงใจกลางของไซ่ง่อน" ในวันที่ 14 เมษายน ฝ่ายเวียดนามเหนือก็เปลี่ยนชื่อการทัพเป็น "การทัพโฮจิมินห์" ตามชื่อของผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์ โดยตั้งใจว่าจะบรรลุเป้าหมายก่อนวันเกิดของโฮจิมินห์ในวันที่ 19 พฤษภาคม ขณะเดียวกัน เวียดนามใต้ก็ล้มเหลวในการหาการสนับสนุนเพิ่มเติมทางทหารจากสหรัฐฯ ในระดับที่มีความสำคัญ ดับความหวังของประธานาธิบดีเหวียน วัน เตี่ยวที่จะได้รับการสนับสนุนอีกครั้งจากอเมริกา ในวันที่ 9 เมษายน กองทัพเวียดนามเหนือก็มาถึงเขตซวนลค แนวป้องกันสุดท้ายก่อนจะถึงไซ่ง่อน ที่ๆ กองพลเวียดนามใต้ที่ 18 ยืนหยัดต่อสู้ทหารเวียดนามเหนืออย่างดุเดือดในยุทธการซวนลค อยู่หลายวันจนกระทั่งกองทัพเวียดนามเหนือสามารถใช้กำลังที่มีอยู่มหาศาล ยึดซวนลคได้สำเร็จในวันที่ 20 เมษายน และในวันที่ 21 เมษายน ประธานาธิบดีเตี่ยวแถลงการณ์ลาออกทางโทรทัศน์ทั้งน้ำตา พร้อมกับตำหนิสหรัฐฯ ที่ไม่ยอมมาช่วยเหลือเวียดนามใต้ แนวหน้าของฝ่ายเวียดนามเหนือในตอนนี้อยู่ห่างใจกลางกรุงไซ่ง่อนไปเพียง 42 กิโลเมตร และชัยชนะที่ซวนลค ทำให้ทหารเวียดนามใต้เป็นจำนวนมากถอนกำลังออกไปจากพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เปิดทางให้กองทัพเวียดนามเหนือปิดล้อมกรุงไซ่ง่อน และในเวลาไม่นานพวกเขาก็ทำเช่นนั้น ด้วยการเคลื่อนกำลังพล 100,000 นายไปยังตำแหน่งรอบๆ เมืองในวันที่ 27 เมษายน ในเมื่อกองทัพเวียดนามใต้เองเหลือผู้ป้องกันเมืองหลวงเพียงเล็กน้อย อนาคตที่อยู่ข้างหน้าเมืองนี้ก็ชัดเจนการอพยพออกจากเมือง การอพยพออกจากเมือง. การรุกคืบอย่างรวดเร็วของเวียดนามเหนือในเดือนมีนาคมและต้นเมษายนทำให้เกิดความวิตกในไซง่อน ซึ่งเป็นเมืองที่เงียบสงบมาตลอดสงคราม และไม่ค่อยความลำบากใดๆ กับชาวเมือง กลับกลายเป็นเมืองที่กำลังจะถูกโจมตีโดยตรง คนจำนวนมากกลัวว่าเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดครองเมืองแล้ว จะเกิดการล้างแค้นด้วยเลือด เมื่อปี พ.ศ. 2511 กองกำลังผสมระหว่างกองทัพเวียดนามเหนือ และแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ (เวียดกง) สามารถยึดครองเมืองเว้มาได้เกือบเดือน หลังจากที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกตีโต้ออกไปจากเมือง กองกำลังอเมริกันและเวียดนามใต้ก็พบสุสานขนาดใหญ่ การศึกษาเพื่อเตรียมภารกิจของสหรัฐฯ ในเวียดนามระบุว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์พุ่งเป้าไปที่นายทหารเวียดนามใต้, ชาวแคทอลิก, ปัญญาชน, นักธุรกิจและผู้ที่ต้องสงสัยเป็นนักต่อต้านการปฏิวัติคนอื่นๆ และก่อนการบุกไม่นาน ก็มีชาวอเมริกาแปดนายถูกจับตัวไปในเมืองบานเมอถวก พวกเขาหายตัวไปและมีข่าวมาถึงเมืองเว้และดานังว่าพวกเขาถูกตัดศีรษะหรือถูกประหารด้วยวิธีการอื่นๆ แต่รายงานดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธโดยโฆษณาสงครามของรัฐบาลเวียดนามใต้ ชาวอเมริกันและชาวตะวันตกเป็นจำนวนมากต้องการอพยพออกจากไซ่ง่อน ก่อนที่กรุงจะแตก ในขณะที่ชาวเวียดนามใต้ส่วนใหญ่ก็ต้องหนีออกจากเมืองเช่นกัน เมื่อถึงตอนปลายเดือนมีนาคม ก็เริ่มมีชาวอเมริกันบางส่วนหนีออกจากเมืองบ้างแล้ว อย่างในวันที่ 31 มีนาคม ก็มีกว่าสิบครอบครัวที่ออกจากเมือง เที่ยวบินออกจากไซ่ง่อน ซึ่งปกติมักจะไม่มีคนจองนั้นเต็มหมด ตลอดเดือนเมษายน การอพยพเป็นไปอย่างเร่งรีบยิ่งขึ้น เมื่อสำนักงานประสานงานกลาโหม (DAO) เริ่มที่จะส่งบุคลากรที่ไม่สำคัญออกไปทางเครื่องบิน ชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากที่เป็นผู้ประสานงานให้กับ DAO ปฏิเสธที่จะออกจากเมือง ถ้าไม่ได้นำเพื่อนและบริวารชาวเวียดนาม ซึ่งรวมไปถึงภรรยาตามกฎหมายและลูก การจะนำบุคคลเหล่านี้เข้าไปในสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้ DAO ไม่สามารถยินยอมตามข้อเรียกร้อง และทำให้อัตราการออกเมืองช้าลงไปเล็กในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อ DAO ก็เริ่มส่งชาวเวียดนามที่ไม่มีเอกสารเข้าเมืองอย่างเหมะสมไปยังฐานทัพอากาศคลาร์คในฟิลิปปินส์อย่างผิดกฎหมาย ในวันที่ 3 เมษายน ประธานาธิบดีเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศให้เริ่มปฏิบัติการเบบีลิฟท์ ซึ่งเป็นการอพยพเด็กกำพร้าประมาณ 2,000 คนออกมาจากประเทศ แต่เครื่องบิน C-5A กาแลคซีลำหนึ่งที่เข้าร่วมปฏิบัติการเกิดตก ทำให้ผู้โดยสาย 138 คนเสียชีวิต และบั่นทอนกำลังใจของเจ้าหน้าที่อเมริกันอย่างมาก นอกจากเด็กกำพร้า 2,000 คนที่ถูกอพยพในปฏิบัติการเบบีลิฟท์แล้ว ปฏิบัติการนิวไลฟ์ยังทำการอพยพชาวเวียดนามอีกกว่า 110,000 คนแผนของรัฐบาลอเมริกันสำหรับการอพยพครั้งสุดท้าย แผนของรัฐบาลอเมริกันสำหรับการอพยพครั้งสุดท้าย. เมื่อรัฐบาลของ ปธน. ฟอร์ดเริ่มวางแผนที่จะอพยพบุคลากรอเมริกันทั้งหมดออกจากเวียดนาม ก็ต้องประสบกับความยุ่งยากในด้านการนำแผนไปปฏิบัติงาน อีกทั้งยังมีความกังวลเกี่ยวปัญหาทางยุทธศาสตร์และทางกฎหมาย คนในรัฐบาลเห็นไม่ตรงกันว่าควรจะดำเนินการอพยพเร็วแค่ไหน กระทรวงกลาโหมต้องการให้อพยพคนออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความเสียงที่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุอื่นๆ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนามใต้ แกรห์ม มาร์ติน ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะต้องเป็นผู้ควบคุมการอพยพใดๆ ในภาคสนาม เนื่องจากการอพยพนั้นตกอยู่ในขอบเขตอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ มาร์ตินดึงดูดเสียงตำหนิจำนวนมากจากคนในกระทรวงกลาโหมเนื่องจากเขาต้องการให้การอพยพเป็นไปอย่างสงบและเป็นระเบียบมากที่สุด เพื่อป้องการไม่ให้เกิดความโกลาหล และลดความเป็นไปได้ของการที่ชาวเวียดนามใต้จะหันมาต่อต้านชาวอเมริกัน และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดอย่างไม่ยั้งมือ ปธน. ฟอร์ดอนุมัติแผนที่เป็นทางสายกลาง โดยชาวอเมริกันทั้งหมด ลบ 1,250 คน (จำนวนที่ถูกลบคือจำนวนคนที่น้อยพอที่จะอพยพทางเฮลิคอปเตอร์ได้ภายในวันเดียว) จะถูกอพยพอย่างเร่งด่วน ส่วนอีก 1,250 คนทีเหลือจะอพยพก็ต่อเมื่อสนามบินถูกคุมคาม ระหว่างนั้น จะทำการอพยพชาวเวียดนามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกัน มาร์ตินเริ่มทยอยปล่อยวีซ่าออกนอกประเทศมาเพื่ออนุญาตให้ทุกคนที่ต้องการจะออกจากกรุงไซ่ง่อน สามารถทำได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ นอกจากนี้ มาร์ตินกับรองเอกอัครราชทูต วูลฟ์แกง เลห์แมน ยังเริ่มปล่อยให้ชาวเวียดนามใต้ออกนอกประเทศโดยไม่แจ้งกระทรวงกลาโหม แผนการอพยพของอเมริกามีขึ้นทั้งที่ขัดแย้งกับนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาล ปธน. ฟอร์ดยังหวังที่จะขอความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมให้กับเวียดนามใต้ได้ ตลอดทั้งเดือนเมษายน เขาพยายามที่จะขอให้รัฐสภาคองเกรสอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ 722 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในการฟื้นฟูกองกำลังเวียดนามใต้บางส่วนที่ถูกทำลายไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฮนรี คิสซินเจอร์คัดค้านการอพยพเต็มรูปแบบตราบใดที่ตัวเลือกที่จะส่งความช่วยเหลือยังอยู่บนโต๊ะเจรจา เนื่องจากการถอนกำลังอเมริกันออกจะส่งสัญญาณออกไปว่า ปธน. เตี่ยวเสียความไว้วางใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้อำนาจทางการเมืองของเขาอ่อนแอลงอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเกิดความกังวลภายในรัฐบาลว่าการใช้กำลังทหารเพื่อสนับสนุนการอพยพนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ ภายใต้ข้อมติอำนาจยามสงครามที่เพิ่งผ่านเป็นกฎหมายออกมา ในที่สุด นักกฎหมายของรัฐบาลก็ตีความข้อกฎหมายออกมาได้ว่าการใช้กำลังทหารอเมริกันในการช่วยเหลือพลเรือนในยามฉุกเฉินนั้นไม่น่าจะฝ่าฝืนข้อกฎหมาย แต่ประเด็นว่าด้วยการใช้ทรัพยากรทางทหารเพื่ออพยพผู้ลี้ภัยนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าผิดกฎหมายหรือไม่ การอพยพออกจากกรุงไซ่ง่อนยังต้องแย่งทรัพยากรกับการอพยพที่กำลังเกิดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งถูกยึดครองในวันที่ 17 เมษายนผู้อพยพ ผู้อพยพ. ในขณะที่พลเมืองอเมริกันได้รับการรับรองว่าจะออกจากประเทศได้อย่างง่ายดาย แค่เพียงรายงานตัวที่ศูนย์อพยพ ชาวเวียดนามใต้ที่ต้องการออกจากไซ่ง่อนก่อนที่เมืองจะถูกยึด จำเป็นต้องไปหาทางกันเอาเอง การใช้เงินใต้โต๊ะเพื่อขอหนังสือเดินทางและวีซ่าออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นถึงหกเท่าตัว และราคาของค่าขึ้นเรือออกทะเลเพิ่มขึ้นสามเท่า ผู้ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในเมืองถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ในราคาที่ขาดทุนจากเดิมมา หรือไม่ก็ต้องทิ้งที่ดินไปเลย ราคาสอบถามของบ้านสวยหลังหนึ่งถูกหั่นลงไปร้อยละ 75 ภายในระยะเวลาสองสัปดาห์ วีซ่าอเมริกันมีมูลค่ามหาศาล และคนเวียดนามที่ต้องการได้ผู้อนุเคราะห์ชาวอเมริกันต่างก็ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ นี่คือข้อความตัวอย่างจากโฆษณาเหล่านี้อันหนึ่ง "หาพ่อแม่บุญธรรม เด็กนักเรียนยากไร้ใจขยัน" ตามด้วยชื่อ, วันเกิดและเลขบัตรประจำตัวประชาชนความเคลื่อนไหวทางการเมือง และความพยายามที่จะเจรจา ความเคลื่อนไหวทางการเมือง และความพยายามที่จะเจรจา. ในขณะที่เวียดนามเหนือรุกคืบเข้ามาในเวียดนามใต้เรื่อยๆ การต่อต้านปธน. เตี่ยวจากในประเทศก็เริ่มสะสม อย่างในเดือนเมษายน เมื่อวุฒิสภาลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์เพื่อแสดงท่าทีเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ และผู้บัญชาการทหารระดับสูงสุดบางคนกดดันให้มีการก่อรัฐประหาร เพื่อลดแรงกดดัน ปธน. เตี่ยนจึงทำการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเติ่น เตียน เฟียมก็ประกาศลาออก การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ค่อยช่วยลดแรงต่อต้านต่อปธน. เตี่ยวสักเท่าไรนัก และในวันที่ 8 เมษายน นักบินชาวเวียดนามใต้ และสายลับให้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เหวน ตันห์ ตรุง ได้ทำการลอบวางระเบิดทำเนียบประธานาธิบดี และหลบหนีไปทางลานบินของกองทัพเวียดนามเหนือ ปธน.เตี่ยนไม่ได้รับบาดเจ็บ คนจำนวนมากในคณะทูตของอเมริกา โดยเฉพาะมาร์ติน และบุคลากรสำคัญบางคนจากวอชิงตัน เชื่อว่าการเจรจากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ยังเป็นไปได้ โดยเฉพาะถ้าไซ่ง่อนยังสามารถรักษาเสถียรภาพทางการทหารเอาไว้ได้ ท่านทูตมาร์ตินยังหวังไว้ว่าผู้นำของเวียดนามเหนือจะยินยอมให้ทหารอเมริกันค่อยๆ ถอนกำลังออกไปเป็นระยะๆ ซึ่งรวมไปถึงการอพยพชาวอเมริกันทั้งหมด และชาวเวียดนามที่มีประโยชน์ออกไป และถอนกำลังทหารทั้งหมดออกไป ภายในระยะเวลาหลายเดือน มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับผลที่เตี่ยวในฐานะผู้นำรัฐบาลมีต่อการแก้ปัญหาทางการเมือง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลกล่าวในวันที่ 2 เมษายน ว่ารัฐบาลเฉพาะกาลอาจจะยอมเจรจากับรัฐบาลไซง่อนถ้ารัฐบาลนั้นไม่มีเตี่ยวอยู่ ทำให้แรงกดดันที่จะขับไล่เตี่ยวออกจากตำแหน่งเพิ่มขึ้น แม้แต่ในเหล่าผู้สนับสนุนของเตี่ยวเอง ประธานาธิบดีเตี่ยวประกาศลาออกในวันที่ 21 เมษายน โดยถ้อยแถลงลาออกของเขานั้นมีท่าทีที่ตำหนิรัฐบาลสหรัฐฯ มากเป็นพิเศษ โดยโทษสหรัฐฯ ที่บีบให้เวียดนามใต้ยอมลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส และล้มเหลวในการสนับสนุนเวียดนามใต้ หลังจากที่เวียดนามใต้ยอมรับข้อตกลง ในขณะที่เรียกร้องให้เวียดนามใต้ "ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนให้เอาหินไปถมทะเล" ตำแหน่งประธานาธิบดีถูกส่งต่อไปให้กับรองประธานาธิบดีตรัน วัน เฮือง ความเห็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการกระจายเสียงผ่านวิทยุฮานอยกล่าวว่ารัฐบาลใหม่ก็แค่รัฐบาลหุ่นกระบอกอีกชุดหนึ่งเท่านั้นช่วงสุดท้าย ช่วงสุดท้าย. ในวันที่ 27 เมษายน ไซง่อนถูกโจมตีจากจรวดของกองทัพเวียดนามเหนือ 3 ลูก เป็นจรวดชุดแรกในระยะกว่า 40 เดือนปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์ ปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์. ก่อนรุ่งสางของวันที่ 29 เมษายน ท่าอากาศยานเตินเซินเญิ้ตถูกโจมตีจากจรวดและกระสุดปืนใหญ่หนัก ในการระดมยิงชุดแรก เครื่องบิน C-130R แห่งกองบินขนส่งทางอากาศเชิงกลยุทธที่ 314 ที่ถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่จากกองบินขนส่งทางอากาศเชิงกลยุทธที่ 374 ที่บินมาจากฐานทัพอากาศคลาร์คในฟิลิปปินส์ถูกจรวดทำลายในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ไปบนลานบินเพื่อรับผู้อพยพ นักบินและเจ้าหน้าที่สามารถอพยพออกมาจากเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ได้ทันเวลา และขึ้นเครื่องบิน C-130 อีกลำหนึ่งที่ลงจอดก่อนหน้านี้ออกจากสนามบิน การระดมยิงจรวดอย่างต่อเนื่องและเศษซากบนลานบินทำให้พลเอกโฮเมอร์ ดี. สมิธ ผู้ประสานงานกลาโหมในไซ่ง่อน แนะนำให้ท่านทูตมาร์ตินทราบว่าลานบินไม่เหมาะกับการใช้ และให้ดำเนินการอพยพฉุกเฉินทางเฮลิคอปเตอร์แทน ก่อนหน้านี้ ท่านทูตมาร์ตินตั้งใจเต็มที่ ที่จะใช้เครื่องบินปีกตรึงในการอพยพออกจากฐานทัพ แผนนี้ต้องเปลี่ยนอย่างกะทันหันระหว่างช่วงเวลาวิกฤต เมื่อนักบินเวียดนามใต้คนหนึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนฝ่าย และทิ้งระเบิดลงมาบนทางขึ้นเครื่องบินที่ยังไม่ถูกทำลายจากการระดมยิง ภายใต้แรงกดดันจากคิสซิงเจอร์ มาร์ตินสั่งบังคับให้นาวิกโยธินที่คุ้มกันเขาอยู่พาเขาไปยังฐานทัพอากาศระหว่างที่มีการระดมยิงอยู่ เพื่อที่เขาสืบให้แน่ใจด้วยตนเอง หลังจากที่เห็นแล้วว่าการอพยพโดยใช้เครื่องบินปีกตรึงไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม (เป็นสิ่งที่มาร์ตินไม่อยากตัดสินใจ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงเสียก่อน ในกรณีที่การอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์ล้มเหลว) มาร์ตินจึงอนุญาตให้การอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง มีรายงานเข้ามาจากรอบนอกเมืองว่าฝ่ายเวียดนามกำลังเคลื่อนทัพเข้ามา ในเวลา 10.48 น. มาร์ตินชี้แจงกับคิสซิงเจอร์ว่าเขาต้องการให้เริ่มดำเนินตามแผนอพยพฟรีเควียนท์วินด์ อีก 3 นาที คิสซิงเจอร์จึงออกคำสั่ง สถานีวิทยุอเมริกันเริ่มเล่นเพลงไวท์คริสต์มาส ของเออร์วิง เบอร์ลินต่อเนื่องกัน เพื่อเป็นสัญญาณให้บุคลากรอเมริกันเดินทางไปยังจุดอพยพในทันที ในแผนนี้ เฮลิคอปเตอร์รุ่น CH-53 และ CH-46 จะถูกใช้ในการอพยพคนอเมริกันและคนเวียดนามที่เป็นมิตรไปยังเรือ ซึ่งรวมไปถึงเรือในกองเรือรบที่ 7 ที่อยู่ในทะเลจีนใต้ ศูนย์อพยพหลักอยู่ที่สำนักงาน DAO ที่เตินเซินเญิ้ต รถโดยสารวิ่งตัดเมืองเพื่อรับผู้โดยสารและพาผู้โดยสารไปยังสนามบิน รถโดยสารชุดแรกมาถึงเตินเซินเญิ้ตก่อนเที่ยงตรงไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ CH-53 ลำแรกลงจอดที่สำนักงาน DAO ในตอนบ่าย และเมื่อถึงตอนเย็น ชาวอเมริกัน 395 คน และชาวเวียดนามกว่า 4,000 คนได้รับการอพยพ เมื่อถึงเวลา 23.00 น. นาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ให้การคุ้มกัน เริ่มถอนกำลังออกและจัดการเตรียมระเบิดทะลายสำนักงาน DAO รวมไปถึงอุปกรณ์, เอกสาร, และเงินของฝ่ายอเมริกัน เฮลิคอปเตอร์ UH-1 ของสายการบินแอร์อเมริกายังมีส่วนร่วมในการอพยพอีกด้วย. แผนการอพยพดั้งเดิมนั้นไม่ได้รวมการอพยพขนานใหญ่ที่สถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงไซ่ง่อน แต่มอบหมายให้เฮลิคอปเตอร์และรถโดยสารขนย้ายคนจากสถานทูตไปยังสำนักงาน DAO อย่างไรก็ตาม ระหว่างการอพยพ มีคนติดอยู่สถานทูตอยู่หลายพันคน ซึ่งมีรวมไปถึงชาวเวียดนามเป็นจำนวนมาก และยังมีพลเรือนชาวเวียดนามที่อยู่ข้างนอกสถานทูตพยายามปีนกำแพงเข้ามา โดยหวังที่จะได้สถานะผู้ลี้ภัย พายุฝนที่กระหน่ำลงทำให้ปฏิบัติการโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ยุ่งยากขึ้นไปอีก แต่การอพยพคนจากสถานทูตก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเย็นและกลางคืน ในเวลา 3.45 น. ของวันที่ 30 เมษายน การอพยพผู้ลี้ภัยหยุดชะงักลง ก่อนหน้านี้ท่านทูตมาร์ตินยังคงสั่งให้ชาวเวียดนามใต้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับคนอเมริกัน แต่คิสซิงเจอร์และฟอร์ดสั่งให้มาร์ตินอพยพเฉพาะคนอเมริกันเท่านั้นจากจุดนี้ไป มาร์ตินประกาศอย่างไม่เต็มใจว่าให้อพยพเฉพาะคนอเมริกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เนื่องจากกังวลว่าฝ่ายเวียดนามเหนือจะยึดเมืองได้เสียก่อน และเนื่องจากรัฐบาล ปธน. ฟอร์ดต้องการให้ดำเนินการอพยพชาวอเมริกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ฟอร์ดยังสั่งให้มาร์ตินขึ้นเฮลิคอปเตอร์อพยพด้วย รหัสเรียกเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นคือ "เลดี้เอซ 09" โดยเจรี เบอร์รี นักบินเฮลิคอปเตอร์ได้รับคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดีฟอร์ด ให้พาเอกอัครราชทูตมาร์ตินขึ้นมาบนเครื่องให้ได้ โดโรธี ภรรยาของท่านทูตมาร์ตินถูกอพยพไปก่อนหน้านี้แล้ว และทิ้งกระเป๋าเอกสารส่วนตัวของเธอเพื่อให้ผู้หญิงชาวเวียดนามใต้เบียดขึ้นมาบนเครื่องได้ เลดี้เอซ 09 จากกองบินโรเตอร์เอียงขนาดกลางแห่งนาวิกโยธินที่ 165 ที่มีเบอร์รีเป็นนักบิน ออกบินเวลาประมาณ 5.00 น. ถ้ามาร์ตินปฏิเสธที่จะขึ้นเครื่อง ทหารนาวิกโยธินได้รับคำสั่งพิเศษให้จับกุมเขาและพาเขาออกไปเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะปลอดภัย การอพยพสถานทูตสามารถอพยพชาวอเมริกัน 978 คน และชาวเวียดนามอีก 1,100 คน นาวิกโยธินที่คุ้มกันสถานทูตตามออกมาเมื่อรุ่งสาง โดยเฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้ายออกมาตอน 7.53 น. มีคนเวียดนาม 420 คนถูกทิ้งไว้ในสถานทูต และยังมีฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่นอกกำแพงอีก ชาวอเมริกันและผู้ลี้ภัยที่ถูกพาออกไป สามารถอพยพออกไปได้โดยไม่ถูกแทรกแซงจากทั้งเวียดนามเหนือและใต้ นักบินเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเตินเซินเญิ้ตทราบดีว่าปืนต่อสู้อากาศยานของกองทัพเวียดนามเหนือกำลังจับเป้าอยู่แต่ไม่ยิง เนื่องจากฝ่ายบริหารจากฮานอยรู้ว่าความสำเร็จของการอพยพจะช่วยลดความเสี่ยงที่ฝ่ายอเมริกันจะกลับมาแทรกแซง และได้ให้คำสั่งกับจุ๋งอย่างชัดเจนว่าไม่ให้โจมตีการอพยพทางอากาศ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในไซ่ง่อนได้รับการสัญญาว่าจะถูกอพยพออกเพื่อแลกเปลี่ยนกับการคุ้มกันรถโดยสารที่ขนผู้อพยพของอเมริกา และควบคุมฝูงชนภายในเมืองระหว่างการอพยพ แม้ว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของปฏิบัติการอพยพของอเมริกา ชาวเวียดนามยังคงพยายามออกนอกประเทศทางเรือและทางอากาศถ้าเป็นไปได้ นักบินชาวเวียดนามใต้ที่สามารถเข้าถึงเฮลิคอปเตอร์ได้บินออกนอกชายฝั่งไปยังกองเรือรบอเมริกัน ที่ๆ เขาสามารถลงจอดได้ คนที่หนีออกจากเวียดนามใต้ยังด้วยวิธีนี้รวมไปถึงพลเอกเหวน เกา เก่ เฮลิคอปเตอร์ของเวียดนามใต้ส่วนใหญ่ที่ลงจอดบนเรืออเมริกันถูกทิ้งลงทะเลเพื่อเปิดทางบนดาดฟ้าเรือให้กับเฮลิคอปเตอร์ลำอื่น นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินขนาดเล็กอื่นๆ ที่ลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันอีกด้วย ท่านทูตมาร์ตินบินออกจากสถานทูตไปยังเรือ ยูเอสเอส บลูริดจ์ ที่ซึ่งเขาขอร้องให้เฮลิคอปเตอร์กลับไปยังสถานทูตเพื่อรับผู้ที่ยังหวังจะลี้ภัยอีกสองสามร้อยคน แต่คำร้องของเขาถูกประธานาธิบดีฟอร์ดปฏิเสธ ถึงกระนั้น มาร์ตินยังสามารถโน้มน้าวให้กองเรือรบที่เจ็ดอยู่กับที่อีกหลายวันเพื่อรอคนเวียดนามที่อาจหนีมาได้ทางเรือหรือเครื่องบิน เพื่อให้ทหารอเมริกันที่รออยู่ช่วยเหลือ ชาวเวียดนามเป็นจำนวนมากที่อพยพออกมาได้รับอนุญาตให้เข้ามาอาศัยในสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบัญญัติช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและการอพยพจากอินโดจีน หลายทศวรรษต่อมา เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังมาสานความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามอีกครั้ง สถานทูตประจำกรุงไซ่ง่อนก็ถูกส่งคืนให้กับสหรัฐฯ ขั้นบนไดที่นำไปสู่เฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าถือเป็นวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และถูกนำไปจัดแสดงอย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์ประธานาธิบดีเจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ดในเมืองแกรนด์แรพิดส์ รัฐมิชิแกนการยอมจำนนของฝ่ายเวียดนามใต้ การยอมจำนนของฝ่ายเวียดนามใต้. ในเวลา 6.00 น. ของวันที่ 29 เมษายน พลเอกจุ๋งได้รับคำสั่งจากคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ (โพลิตบูโร) "ให้โจมตีด้วยความมุมานะสูงสุดเพื่อเข้าไปสู่ฐานที่มั่นสุดท้ายของศัตรู" ในตอนเช้าของวันที่ 29 เมษายน ยังมีเฮลิคอปเตอร์ของสายการบินแอร์อเมริกาเป็นจำนวนมากที่ยังอยู่ในเตินเซินเญิ้ต หลังเวลา 7.35 น. ไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ UH-1 เป็นจำนวนเริ่มบินออกจากลานจอดบนดาดฟ้ารอบเมือง ไปยังเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่อยู่นอกชายฝั่ง เครื่องบินปีกตรึงแต่ละลำมีนักบินประจำเครื่อง แต่เพราะเกิดความสับสน นักบินเป็นจำนวนมากจึงไม่สามารถเดินไปถึงสนามบินได้ เรืออากาศเอกอี.จี. อะดัมส์ได้รับมอบหมายให้เป็นนักบินของเครื่องบินที่ชื่อว่าโวลพาร์ บีช และจะเป็นนักบินคนที่สุดท้ายที่จะออกจากลานจอดของแอร์อเมริกา (บุคลากรคนอื่นอพยพไปยังศูนย์บัญชาการช่วยเหลือทางทหารหมดแล้ว) และยังมีเครื่องบิน C-46 ที่เต็มไปด้วยผู้อพยพจอดอยู่ อะดัมส์ขึ้นเครื่องบินและเป็นเครื่องบินปีกตรึงลำสุดท้ายที่บินออกจากไซ่ง่อนในการอพยพ หลังจากทำการยิงถล่มและค่อยๆ รุกคืบเข้าไปเป็นเวลาหนึ่งวัน ฝ่ายเวียดนามเหนือก็พร้อมที่จะทำการบุกตะลุยครั้งใหญ่เข้าไปในเมือง ในช่วงเช้าของวันที่ 30 เมษายน จุ๋งได้รับคำสั่งจากโพลิตบูโรให้โจมตี เขาจึงสั่งให้ผู้บัญชาการภาคสนามเคลื่อนทัพตรงไปยังสาธารณูปโภคสำคัญและจุดยุทธศาสตร์ในเมือง หน่วยของกองทัพเวียดนามเหนือหน่วยแรกที่เข้าไปในเมืองคือกองร้อยที่ 324 ประธานาธิบดีดูง วัน มินห์แห่งเวียดนามใต้ ที่เพิ่งดำรงตำแหน่งมาได้สามวัน ออกแถลงการณ์ยอมจำนนเมื่อเวลา 10.24 น. และขอให้กองกำลังเวียดนามใต้ "หยุดต่อสู้ อยู่ในความสงบ และไม่เคลื่อนพลไปไหน" และเชิญรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลมาร่วม "พิธีถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นระเบียบเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อของประชากรอย่างไม่จำเป็น" อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเวียดนามเหนือไม่สนใจที่จะเจรจาเพื่อครอบครองเมืองอย่างสันติ และใช้กำลังเข้ายึดเมือง และจับกุมมินห์ ประตูทำเนียบอิสรภาพถูกทำลายโดยรถถังของกองทัพเวียดนามเหนือขณะที่กำลังเข้าไป และธงเวียดกงถูกเชิญขึ้นเหนือทำเนียบในเวลา 11.30 น. ในเวลา 15.30 น. มินห์กระจายเสียงไปทางวิทยุ โดยแถลงว่า "ข้าพเจ้าประกาศรัฐบาลไซ่ง่อนสิ้นสุดลงในทุกระดับขั้น" การล่มสลายของรัฐบาลเวียดนามใต้จึงถือเป็นการยุติสงครามเวียดนามอย่างมีประสิทธิผลหลังการยึดไซ่ง่อนเปลี่ยนมือ หลังการยึด. ไซ่ง่อนเปลี่ยนมือ. ฝ่ายคอมมิวนิสต์เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นนครโฮจิมินห์ ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ แต่ตัวชื่อเองไม่ค่อยถูกใช้นัก นอกจากในธุระทางการ ความสงบค่อยๆ กลับคืนมา แม้ว่ากิจการและธุรกิจเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงสถานทูตสหรัฐฯ ที่ถูกทิ้งร้างจะถูกปล้นไปหมดแล้ว ในขณะการติดต่อสื่อสารสู่โลกภายนอกถูกตัด ฝ่ายคอมมิวนิสต์พบว่า กลไกของพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้นั้นอ่อนแอลงไป ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากโครงการฟีนิกซ์ของ CIA ที่กำจัดเวียดกงไปเป็นจำนวนมาก กองทัพเวียดนามเหนือจึงทำหน้าที่ในการรักษาความสงบแทน พลเอกเตรียน วัน ตรา รองของพลเอกจุ๋ง ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการชั่วคราว ทางการคอมมิวนิสต์ใหม่จัดงานเดินขบวนฉลองชัยชนะในวันที่ 7 พฤษภาคม ตามข้อมูลของรัฐบาลฮานอย ชาวเวียดนามใต้มากกว่า 200,000 คน ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐและทหารถูกส่งไปยัง "ค่ายอบรมใหม่" ที่ๆ พวกเขาต้องเผชิญกับทารุณกรรม, โรคภัยไข้เจ็บและความอดอยาก จุดมุ่งหมายอีกข้อหนึ่งของรัฐบาลคอมมิวนิสต์คือการลดจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในไซ่ง่อน ซึ่งกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคนที่เพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ระหว่างช่วงสงครามเป็นจำนวนมาก ทำให้มีมีปัญหาประชากรหนาแน่นเกินไปและมีอัตราการว่างงานสูง รัฐบาลทำการจัดตั้งชั้นเรียนเพื่ออบรมใหม่ให้กับอดีตทหารเวียดนามใต้ ที่ระบุให้นักเรียนย้ายออกจากเมืองไปทำกสิกรรมเพื่อแลกกับการได้รับสถานะพลเมืองของสังคมคืนมา มีการแจกข้าวให้กับคนยากจนเพื่อแลกกับสัญญาที่จะออกจากไซ่ง่อนไปยังชนบท ตามข้อมูลของรัฐบาล ภายในสองปีของการยึดเมือง มีคนย้ายออกจากไซ่ง่อนหนึ่งล้านคน วันที่ 30 เมษายนถูกจัดให้เป็นวันรวมประเทศ หรือวันปลดแอก (Ngày Giải Phóng) ซึ่งถือเป็นวันนักขัตฤกษ์ในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม วันที่เวียดนามรวมประเทศกันอย่างเป็นทางการคือวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519การประเมินผลการอพยพ การประเมินผลการอพยพ. มีการถกเถียงกันว่าการอพยพถือเป็นความสำเร็จหรือไม่ หลังจากสิ้นสุดสงคราม ปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์ได้รับการประเมินโดยทั่วว่าเป็นความสำเร็จในระดับน่าพึงพอใจ แม้แต่หวั่น เตี๋ยง จุ๋งยังยอมรับในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขา และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สกล่าวว่าการอพยพถูกจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและกล้าหาญ แต่ก็มีการตำหนิว่าการอพยพทางอากาศนั้นช้าเกินไปและไม่เด็ดขาด ทำให้อพยพประชาชนและทหารชาวเวียดนาม ที่ร่วมงานกับสหรัฐฯ ได้ไม่มากพอ เอกอัครราชทูตมาร์ตินไม่สนใจคำตำหนิและกล่าวโทษ และไม่อธิบายแรงจูงใจใดๆ ของสิ่งที่เขาทำไปให้สื่อรับฟัง การกระทำของมาร์ตินสามารถตีผลออกได้สองด้าน ด้านหนึ่งเขาคือคนที่ยอมให้คนเวียดนามใต้ที่อาจจะหนีไม่พ้น หนีไปได้ แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่ทิ้งให้อีกชาวเวียดนามอีกหลายพันคนที่เหลือไม่สามารถหนีรอดไปได้ การอพยพอาจทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งอาจทำให้ต้องสูญเสียชีวิตคนอเมริกัน หรืออาจเป็นไปในทางตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ตอนเริ่มการอพยพ ประธานาธิบดีฟอร์ดและเฮนรี คิสซิงเจอร์คำนึงถึงเพียงแค่การอพยพบุคลากรอเมริกันที่สำคัญอยู่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประมาณการว่ามีลูกจ้างชาวเวียดนามที่ทำงานให้กับสถานทูตสหรัฐฯ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยรวมครอบครัวของพวกเขาไปด้วย มีจำนวนถึง 90,000 คน ในคำให้การของมาร์ตินต่อรัฐสภา เขายืนยันว่ามีการอพยพลูกจ้างเหล่านั้นออกไปเพียง 22,294 คนเท่านั้นในช่วงปลายเดือนเมษายน มีผู้ร่วมงานชาวเวียดนามเป็นหมื่นๆ คน ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ, CIA, กองทัพ รวมไปถึงนายทหารอีกจำนวนมากที่เสี่ยงต่อการล้างแค้น และชะตากรรมของพวกเขานั้น ไม่มีผู้ใดทราบการรำลึก การรำลึก. วันที่ 30 เมษายน เป็นวันปลดแอก หรือ วันรวมประเทศ และถือเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในเวียดนาม โดยผู้ทำงานจะได้หยุดควบกับวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันแรงงานสากล และจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองทั่วประเทศ แต่สำหรับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ แล้ว สัปดาห์ของวันที่ 30 ถูกเรียกว่าเมษาฯ ทมิฬ และถือว่าวันนี้เป็นรำลึกถึงการเสียกรุงไซ่ง่อน มีการตีความเมษาฯ ทมิฬในหลายรูปแบบ บ้างก็บอกว่าเป็นวันที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการทอดทิ้งของชาวอเมริกัน หรือเป็นวันที่เป็นอนุสรณ์แห่งสงครามและการอพยพครั้งใหญ่ที่ตามมา
การยึดกรุงไซ่ง่อนโดยกองทัพประชาชนเวียดนามและแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติที่ทำให้สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2518" ], "answer_begin_position": [ 368 ], "answer_end_position": [ 372 ] }
3,258
114,504
รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ (ชื่อเล่น: ฟิล์ม เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527) ที่จังหวัดสระบุรี เป็น ประธานบริษัท เพย์ออล กรุ๊ป นักร้องและนักแสดงชาวไทย ผลงานสร้างชื่อจาก โฆษณาฮอนด้า คู่กับ พัชราภา ไชยเชื้อ และมีผลงานเพลงอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายอาร์เอสประวัติ ประวัติ. รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นบุตรของนางโคมมนต์ ทองมั่ง กับนายเสริมศักดิ์ โตคงทรัพย์ จบการศึกษาระดับอนุบาล และระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนอำนวยพิทยา ระดับมัธยมจาก โรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ และระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์สื่อดิจิตอล วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ฟิล์ม เคยถูกวางตัวให้เป็นนักร้องในวงบอยแบนด์ ชื่อ G-BOYZ สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ร่วมกับ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร และ แบงค์-พิสิษฐ คำยอด มีผลงานถึง 2 เพลงด้วยกัน คือเพลง "ยิ้ม ยิ้ม" (ต้นฉบับ:ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) และเพลง "ไม่รู้จะเลือกใคร" (ต้นฉบับ:ชาคริต แย้มนาม) โดยได้ออกมิวสิกวีดีโอเพลงเปิดตัวคือเพลง "ยิ้ม ยิ้ม" แต่ไม่ได้โปรโมทมากนัก จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ภายหลังจึงย้ายมาเป็นนักร้องเดี่ยวในสังกัดบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ฟิล์มเป็นตัวแทนในโครงการที่สำคัญต่างๆ อาทิ ได้รับคัดเลือกให้เป็น Brand Ambassador ของมูลนิธิที่อยู่อาศัย (Habitat For Humanity) Thailand โดยจะทำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2008 ทั้งในและนอกประเทศ และเข้าร่วมโครงการ เรียนรู้ศิลปะทางการแสดง ที่พัฒนาการการร้องและเต้น ผ่านทางการทำ FILM: The Series, พรีเซ็นเตอร์ งดเหล้าเข้าพรรษา วันพักผ่อน ปลอดเหล้า จัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้นกรณีเป็นข่าวฮือฮา กรณีเป็นข่าวฮือฮา. เมื่อกลางปี พ.ศ. 2553 ได้ตกเป็นข่าวฮือฮาว่าทำ แอนนี่ บรู๊ค อดีตนักแสดงและนางแบบตั้งครรภ์ จนได้คลอดบุตรชายออกมาคนหนึ่ง โดยไม่รับผิดชอบใด ๆ ซึ่งทางแอนนี่กล่าวว่า ฟิล์ม ได้ตั้งชื่อเล่นให้กับลูกชายคนนี้ว่า "น้องสตาร์" ซึ่งทางฟิล์มได้แถลงข่าวยอมรับว่าเคยคบหากับแอนนี่จริง แต่ปฏิเสธที่จะรับเป็นลูก โดยยืนยันให้ทางแอนนี่ตรวจดีเอ็นเอเสียก่อน แต่ทางแอนนี่ไม่ยอม ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวทางสังคมที่ฮือฮาข่าวหนึ่งในปีนั้น ท้ายที่สุด ฟิล์มได้ลาบวช ยุติการแสดง และเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อพ.ศ. 2557 ฟิล์ม รัฐภูมิ ได้ถูกจับในประเทศเกาหลีเนื่องจากเล่น #ICEBUCKEKETCHALLENGE กลางถนน - มีคนแจ้งตำรวจว่ามีคนบ้ามาตะโกนกลางถนนและถอดเสื้อ ไม่ถูกจับเข้าคุก แต่ปรับเงินเป็นจำนวน 4 พันบาท ในปี พ.ศ. 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าร้องเรียนต่อกองปราบปราม เนื่องจากเขาทำกิจการบริษัทโดยไม่ได้รับขออนุญาตและดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาผลงานผลงานเพลงงานเพลง อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มพิเศษผลงาน. ผลงานเพลง. อัลบั้มพิเศษ. - อัลบั้มพิเศษ คิดถึงแม่ - อัลบั้มพิเศษ Thank Youซิงเกิ้ลผลงานการแสดงละครภาพยนตร์ผลงานการแสดง. ภาพยนตร์. - ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก (พ.ศ. 2546) - ปล้นนะยะ (พ.ศ. 2547) - รักจัง (พ.ศ. 2549) - รักนะ 24 ชั่วโมง (พ.ศ. 2550) - Super แหบ-แสบ-สะบัด (พ.ศ. 2551) - รักเอาอยู่ (พ.ศ. 2555) - ปล้นนะยะ 2 (พ.ศ. 2555) - เพลงของพ่อ (ผลิตในโครงการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ "เทิดเกล้า") (2555) - สตรีเหล็กตบโลกแตก (พ.ศ. 2557) - ตุ๊ดตุ่กู้ชาติ (พ.ศ. 2560)มิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - เพลง "น้ำใจถูกๆ" (ศิลปิน วงไอน้ำ) - เพลง "ช่องว่างในหัวใจ" (ศิลปิน เสือ ธนพล) - เพลง "ที่รักของฉันคนเดียว" ของ ฟิล์ม และ หวิว - เพลง "ด้วยมือคู่นี้" ของ คาราเมล - เพลง "ไม่มีใครเหมือนเธอ" ของ หวิวโฆษณาโฆษณา. - นาฬิกา โอเรียนท์ - โทรศัพท์เคลื่อนที่ Motorola - โลชั่นตราซิตร้า - ลูกอมฮาร์ทบีท - มันฝรั่งตราเทสโต้ - รถจักรยานยนต์ Honda - น้ำส้ม/น้ำเขียวตรามิรินด้า - เนสกาแฟ - ครีมแต่งผม แกสบี้ - สถาบันภาษาต่างประเทศ Wall street - เครื่องปรับอากาศ Star Airงานเขียนงานเขียน. - หนังสือ Say Hi! By Film - หนังสือ Chill out - หนังสือ Film's moment of truthพิธีกรพิธีกร. - รายการ Musica - รายการ ท่องโลกวัยมันส์ (มกราคม - มีนาคม 2551) - รายการ chill out เพื่อนเดินทาง - รายการ ดาวประจำเมืองคอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - Film Where are you ? Concert - คอนเสิร์ต Film ยากูซ่า...ท้าดวล - Action Drama Concert"Film Mission Possible Live"ผู้จัดละครผู้จัดละคร. - 2558 แม้เลือกเกิดได้ - 2558 เจ้าสาวเฉพาะกิจ - 2559 มนต์รักอสูร - 2559 เกมพยาบาท - 2560 พ่อปลาไหลรางวัลรางวัลที่ได้รับรางวัล. รางวัลที่ได้รับ. - รางวัลลูกกตัญญูประจำปี 2552 เนื่องใน วันแม่แห่งชาติ - Star Entertainment Awards 2008 รางวัลขวัญใจนักข่าวฝ่ายชาย - OHO Awards 2008 ครบรอบ 1 ปีนิตยสาร OHO รางวัลนักร้องขวัญใจวัยรุ่น - Star Party 20 ปี ทีวีพูล รางวัลพระเอกนักสังคมสงเคราะห์ประจำปี 2552 - Star Entertainment Awards 2005 รางวัลนักแสดงดาวรุ่งฝ่ายชายยอดเยี่ยม - Top Awards 2005 รางวัลดาวรุ่งชายยอดเยี่ยม จากละคร "หัวใจลัดฟ้า"รางวัลที่เสนอเข้าชิงรางวัลที่เสนอเข้าชิง. - Sudsapda Young & Smart Vote 2010 รางวัลนักแสดงชายยอดนิยม จากละคร "สวย เริ่ด เชิ่ด โสด" - Channel V Thailand Music Video Awards 2009 รางวัลศิลปินไทยชายยอดนิยม - TV INSIDE Hot Awards 2009 รางวัลศิลปินชายฮอต แห่งปี - Sudsapda Young & Smart Vote 2009 รางวัลศิลปินเดี่ยวยอดนิยม - Star Party 19 ปี ทีวีพูล รางวัลนักร้องขวัญใจประชาชน - Top Awards 2006 รางวัลนักร้องยอดเยี่ยม
ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เคยตกเป็นข่าวว่าทำดาราคนใดตั้งครรภ์
{ "answer": [ "แอนนี่ บรู๊ค" ], "answer_begin_position": [ 1626 ], "answer_end_position": [ 1638 ] }
3,259
114,504
รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ (ชื่อเล่น: ฟิล์ม เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527) ที่จังหวัดสระบุรี เป็น ประธานบริษัท เพย์ออล กรุ๊ป นักร้องและนักแสดงชาวไทย ผลงานสร้างชื่อจาก โฆษณาฮอนด้า คู่กับ พัชราภา ไชยเชื้อ และมีผลงานเพลงอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายอาร์เอสประวัติ ประวัติ. รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นบุตรของนางโคมมนต์ ทองมั่ง กับนายเสริมศักดิ์ โตคงทรัพย์ จบการศึกษาระดับอนุบาล และระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนอำนวยพิทยา ระดับมัธยมจาก โรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ และระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์สื่อดิจิตอล วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ฟิล์ม เคยถูกวางตัวให้เป็นนักร้องในวงบอยแบนด์ ชื่อ G-BOYZ สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ร่วมกับ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร และ แบงค์-พิสิษฐ คำยอด มีผลงานถึง 2 เพลงด้วยกัน คือเพลง "ยิ้ม ยิ้ม" (ต้นฉบับ:ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) และเพลง "ไม่รู้จะเลือกใคร" (ต้นฉบับ:ชาคริต แย้มนาม) โดยได้ออกมิวสิกวีดีโอเพลงเปิดตัวคือเพลง "ยิ้ม ยิ้ม" แต่ไม่ได้โปรโมทมากนัก จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ภายหลังจึงย้ายมาเป็นนักร้องเดี่ยวในสังกัดบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ฟิล์มเป็นตัวแทนในโครงการที่สำคัญต่างๆ อาทิ ได้รับคัดเลือกให้เป็น Brand Ambassador ของมูลนิธิที่อยู่อาศัย (Habitat For Humanity) Thailand โดยจะทำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2008 ทั้งในและนอกประเทศ และเข้าร่วมโครงการ เรียนรู้ศิลปะทางการแสดง ที่พัฒนาการการร้องและเต้น ผ่านทางการทำ FILM: The Series, พรีเซ็นเตอร์ งดเหล้าเข้าพรรษา วันพักผ่อน ปลอดเหล้า จัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้นกรณีเป็นข่าวฮือฮา กรณีเป็นข่าวฮือฮา. เมื่อกลางปี พ.ศ. 2553 ได้ตกเป็นข่าวฮือฮาว่าทำ แอนนี่ บรู๊ค อดีตนักแสดงและนางแบบตั้งครรภ์ จนได้คลอดบุตรชายออกมาคนหนึ่ง โดยไม่รับผิดชอบใด ๆ ซึ่งทางแอนนี่กล่าวว่า ฟิล์ม ได้ตั้งชื่อเล่นให้กับลูกชายคนนี้ว่า "น้องสตาร์" ซึ่งทางฟิล์มได้แถลงข่าวยอมรับว่าเคยคบหากับแอนนี่จริง แต่ปฏิเสธที่จะรับเป็นลูก โดยยืนยันให้ทางแอนนี่ตรวจดีเอ็นเอเสียก่อน แต่ทางแอนนี่ไม่ยอม ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวทางสังคมที่ฮือฮาข่าวหนึ่งในปีนั้น ท้ายที่สุด ฟิล์มได้ลาบวช ยุติการแสดง และเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อพ.ศ. 2557 ฟิล์ม รัฐภูมิ ได้ถูกจับในประเทศเกาหลีเนื่องจากเล่น #ICEBUCKEKETCHALLENGE กลางถนน - มีคนแจ้งตำรวจว่ามีคนบ้ามาตะโกนกลางถนนและถอดเสื้อ ไม่ถูกจับเข้าคุก แต่ปรับเงินเป็นจำนวน 4 พันบาท ในปี พ.ศ. 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าร้องเรียนต่อกองปราบปราม เนื่องจากเขาทำกิจการบริษัทโดยไม่ได้รับขออนุญาตและดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาผลงานผลงานเพลงงานเพลง อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มพิเศษผลงาน. ผลงานเพลง. อัลบั้มพิเศษ. - อัลบั้มพิเศษ คิดถึงแม่ - อัลบั้มพิเศษ Thank Youซิงเกิ้ลผลงานการแสดงละครภาพยนตร์ผลงานการแสดง. ภาพยนตร์. - ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก (พ.ศ. 2546) - ปล้นนะยะ (พ.ศ. 2547) - รักจัง (พ.ศ. 2549) - รักนะ 24 ชั่วโมง (พ.ศ. 2550) - Super แหบ-แสบ-สะบัด (พ.ศ. 2551) - รักเอาอยู่ (พ.ศ. 2555) - ปล้นนะยะ 2 (พ.ศ. 2555) - เพลงของพ่อ (ผลิตในโครงการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ "เทิดเกล้า") (2555) - สตรีเหล็กตบโลกแตก (พ.ศ. 2557) - ตุ๊ดตุ่กู้ชาติ (พ.ศ. 2560)มิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - เพลง "น้ำใจถูกๆ" (ศิลปิน วงไอน้ำ) - เพลง "ช่องว่างในหัวใจ" (ศิลปิน เสือ ธนพล) - เพลง "ที่รักของฉันคนเดียว" ของ ฟิล์ม และ หวิว - เพลง "ด้วยมือคู่นี้" ของ คาราเมล - เพลง "ไม่มีใครเหมือนเธอ" ของ หวิวโฆษณาโฆษณา. - นาฬิกา โอเรียนท์ - โทรศัพท์เคลื่อนที่ Motorola - โลชั่นตราซิตร้า - ลูกอมฮาร์ทบีท - มันฝรั่งตราเทสโต้ - รถจักรยานยนต์ Honda - น้ำส้ม/น้ำเขียวตรามิรินด้า - เนสกาแฟ - ครีมแต่งผม แกสบี้ - สถาบันภาษาต่างประเทศ Wall street - เครื่องปรับอากาศ Star Airงานเขียนงานเขียน. - หนังสือ Say Hi! By Film - หนังสือ Chill out - หนังสือ Film's moment of truthพิธีกรพิธีกร. - รายการ Musica - รายการ ท่องโลกวัยมันส์ (มกราคม - มีนาคม 2551) - รายการ chill out เพื่อนเดินทาง - รายการ ดาวประจำเมืองคอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - Film Where are you ? Concert - คอนเสิร์ต Film ยากูซ่า...ท้าดวล - Action Drama Concert"Film Mission Possible Live"ผู้จัดละครผู้จัดละคร. - 2558 แม้เลือกเกิดได้ - 2558 เจ้าสาวเฉพาะกิจ - 2559 มนต์รักอสูร - 2559 เกมพยาบาท - 2560 พ่อปลาไหลรางวัลรางวัลที่ได้รับรางวัล. รางวัลที่ได้รับ. - รางวัลลูกกตัญญูประจำปี 2552 เนื่องใน วันแม่แห่งชาติ - Star Entertainment Awards 2008 รางวัลขวัญใจนักข่าวฝ่ายชาย - OHO Awards 2008 ครบรอบ 1 ปีนิตยสาร OHO รางวัลนักร้องขวัญใจวัยรุ่น - Star Party 20 ปี ทีวีพูล รางวัลพระเอกนักสังคมสงเคราะห์ประจำปี 2552 - Star Entertainment Awards 2005 รางวัลนักแสดงดาวรุ่งฝ่ายชายยอดเยี่ยม - Top Awards 2005 รางวัลดาวรุ่งชายยอดเยี่ยม จากละคร "หัวใจลัดฟ้า"รางวัลที่เสนอเข้าชิงรางวัลที่เสนอเข้าชิง. - Sudsapda Young & Smart Vote 2010 รางวัลนักแสดงชายยอดนิยม จากละคร "สวย เริ่ด เชิ่ด โสด" - Channel V Thailand Music Video Awards 2009 รางวัลศิลปินไทยชายยอดนิยม - TV INSIDE Hot Awards 2009 รางวัลศิลปินชายฮอต แห่งปี - Sudsapda Young & Smart Vote 2009 รางวัลศิลปินเดี่ยวยอดนิยม - Star Party 19 ปี ทีวีพูล รางวัลนักร้องขวัญใจประชาชน - Top Awards 2006 รางวัลนักร้องยอดเยี่ยม
ใครที่ได้รับรางวัลลูกกตัญญูประจำปี 2552 เนื่องในวันแม่แห่งชาติ
{ "answer": [ "รัฐภูมิ โตคงทรัพย์" ], "answer_begin_position": [ 112 ], "answer_end_position": [ 130 ] }
3,260
872,632
ปลาคิเมียรา ปลาคิเมียรา () หรือมีอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักคือ ฉลามผี เป็นปลากระดูกอ่อนในลำดับ Chimaeriformes โดยปลาคิเมียรานั้นเป็นญาติห่างจากปลาฉลามเนื่องจากการวิวัฒนการของพวกมันนั้นแยกตัวออกมาจากฉลามตั้งแต่400ล้านปีที่แล้วในปัจจุบันนี้สามารถพบได้ตามทะเลลึกลักษณะและอุปนิสัย ลักษณะและอุปนิสัย. ปลาคิเมียราอาศัยอยู่ในทะเลลึกโดยอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 2600 เมตร ยกเว้นสกุล Callorhinchusซึ่งจะอาศัยอยู่บริเวณน้ำลึก 200 เมตร จึงทำให้พวกมันสามารถถูกจับมาแสดงโชว์ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกมันมีลำตัวยาวและมีหัวขนาดใหญ่และมีช่องปิดเหงือกช่องเดียวเมื่อโดเต็มวัยอาจมีความยาวถึง150ซ.ม.พวกมันเป็นปลากระดูกอ่อนมีผิวหนังที่เรียบเนียนมีสีน้ำตาลถึงเทาและมีครีบหลังเป็นกระดูกอ่อน พวกมันมีลักษณะบางประการคล้ายปลาฉลามเช่นการปฏิสนธิภายในของเพศเมีย,การวางไข่แบบมีถุงหุ้มไข่และยังมีการใช้ประสาทสัมผัสทางไฟฟ้าในการหาเหยือเหมือนกัน ถึงจะมีลักษณะคล้ายปลาฉลามแต่มันมีสิ่งทีแตกต่างและแปลงออกไปคือปลาคิเมียราเพศผู้นั้นจะมีอวัยวะสืบพันธุ์ที่สามารถยืดหดได้อยู่บนหน้าผากของมันอีกทั้งพวกมันยังมีครีบเอว และยังมีสิ่งที่แตกต่างจากฉลามอีกเช่นขากรรไกรรวมกับกระโหลกศีรษะ,มีการแยกกันระหว่างทวารหนักและอวัยวะเพศ,ไม่มีฟันที่แหลมคมและมีแผ่นปิดเหงือเหมือนปลากระดูกแข็งการจัดหมวดหมู่ การจัดหมวดหมู่. ในการจัดหมวดหมู่ของปลาคิเมียรานั้นถือว่าเป็นปลากระดูกอ่อนแต่พวกมันก็มีลักษณะบางประการเหมือนปลากระดูกแข็งอยู่ในกลุ่มHolocephali จากการสำรวจทะเลลึกนั้นทำให้มีการวิเคราะห์และจัดอนุกรมวิธานใหม่ๆขึ้นเนื่องจากมีการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ พวกมันมี50สายพันธุ์ใน6สกุลในทั้งหมด3อันดับ (ซึ่งรวมสกุล Ischyodusที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย) และอีกสองอันดับที่เป็นที่รู้จักแค่ฟอสซิลเท่านั้น- อันดับ Callorhinchidae- สกุล Callorhinchus- Callorhinchus callorynchus (ploughnose chimaera) - Callorhinchus capensis (Cape elephantfish) - Callorhinchus milii (Australian ghost shark) - อันดับ Chimaeridae- สกุล Chimaera- Chimaera argiloba (whitefin chimaera) - Chimaera bahamaensis (Bahamas ghost shark) - Chimaera cubana - Chimaera fulva (southern chimaera) - Chimaera jordani (Jordan's chimaera) - Chimaera lignaria (carpenter's chimaera) - Chimaera macrospina (longspine chimaera) - Chimaera monstrosa (rabbit fish) - Chimaera notafricana Cape chimaera - Chimaera obscura (shortspine chimaera) - Chimaera opalescens - Chimaera owstoni (Owston's chimaera) - Chimaera panthera (leopard chimaera) - Chimaera phantasma (silver chimaera) - สกุล Hydrolagus- Hydrolagus affinis (smalleyed rabbitfish) - Hydrolagus africanus (African chimaera) - Hydrolagus alberti - Hydrolagus alphus - Hydrolagus barbouri - Hydrolagus bemisi (pale ghost shark) - Hydrolagus colliei (spotted ratfish) - Hydrolagus deani (Philippine chimaera) - Hydrolagus eidolon - Hydrolagus homonycteris (black ghostshark) - Hydrolagus lemures (blackfin ghostshark) - Hydrolagus lusitanicus - Hydrolagus macrophthalmus - Hydrolagus marmoratus marbled ghostshark - Hydrolagus matallanasi (striped rabbitfish) - Hydrolagus mccoskeri (Galápagos ghostshark) - Hydrolagus melanophasma (Eastern Pacific black ghostshark) - Hydrolagus mirabilis (large-eyed rabbitfish) - Hydrolagus mitsukurii (spookfish) - Hydrolagus novaezealandiae (dark ghostshark) - Hydrolagus ogilbyi - Hydrolagus pallidus - Hydrolagus purpurescens (purple chimaera) - Hydrolagus trolli (pointy-nosed blue chimaera) - Hydrolagus waitei - อันดับ Rhinochimaeridae- สกุล Harriotta- Harriotta haeckeli (smallspine spookfish) - Harriotta raleighana (Pacific longnose chimaera) - สกุล Neoharriotta- Neoharriotta carri (dwarf sicklefin chimaera) - Neoharriotta pinnata (sicklefin chimaera) - Neoharriotta pumila (Arabian sicklefin chimaera) - สกุล Rhinochimaera- Rhinochimaera africana (paddle-nose chimaera) - Rhinochimaera atlantica (straightnose rabbitfish) - Rhinochimaera pacifica (Pacific spookfish)
ปลาคิเมียรามีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
{ "answer": [ "ฉลามผี" ], "answer_begin_position": [ 146 ], "answer_end_position": [ 152 ] }
3,261
872,632
ปลาคิเมียรา ปลาคิเมียรา () หรือมีอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักคือ ฉลามผี เป็นปลากระดูกอ่อนในลำดับ Chimaeriformes โดยปลาคิเมียรานั้นเป็นญาติห่างจากปลาฉลามเนื่องจากการวิวัฒนการของพวกมันนั้นแยกตัวออกมาจากฉลามตั้งแต่400ล้านปีที่แล้วในปัจจุบันนี้สามารถพบได้ตามทะเลลึกลักษณะและอุปนิสัย ลักษณะและอุปนิสัย. ปลาคิเมียราอาศัยอยู่ในทะเลลึกโดยอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 2600 เมตร ยกเว้นสกุล Callorhinchusซึ่งจะอาศัยอยู่บริเวณน้ำลึก 200 เมตร จึงทำให้พวกมันสามารถถูกจับมาแสดงโชว์ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกมันมีลำตัวยาวและมีหัวขนาดใหญ่และมีช่องปิดเหงือกช่องเดียวเมื่อโดเต็มวัยอาจมีความยาวถึง150ซ.ม.พวกมันเป็นปลากระดูกอ่อนมีผิวหนังที่เรียบเนียนมีสีน้ำตาลถึงเทาและมีครีบหลังเป็นกระดูกอ่อน พวกมันมีลักษณะบางประการคล้ายปลาฉลามเช่นการปฏิสนธิภายในของเพศเมีย,การวางไข่แบบมีถุงหุ้มไข่และยังมีการใช้ประสาทสัมผัสทางไฟฟ้าในการหาเหยือเหมือนกัน ถึงจะมีลักษณะคล้ายปลาฉลามแต่มันมีสิ่งทีแตกต่างและแปลงออกไปคือปลาคิเมียราเพศผู้นั้นจะมีอวัยวะสืบพันธุ์ที่สามารถยืดหดได้อยู่บนหน้าผากของมันอีกทั้งพวกมันยังมีครีบเอว และยังมีสิ่งที่แตกต่างจากฉลามอีกเช่นขากรรไกรรวมกับกระโหลกศีรษะ,มีการแยกกันระหว่างทวารหนักและอวัยวะเพศ,ไม่มีฟันที่แหลมคมและมีแผ่นปิดเหงือเหมือนปลากระดูกแข็งการจัดหมวดหมู่ การจัดหมวดหมู่. ในการจัดหมวดหมู่ของปลาคิเมียรานั้นถือว่าเป็นปลากระดูกอ่อนแต่พวกมันก็มีลักษณะบางประการเหมือนปลากระดูกแข็งอยู่ในกลุ่มHolocephali จากการสำรวจทะเลลึกนั้นทำให้มีการวิเคราะห์และจัดอนุกรมวิธานใหม่ๆขึ้นเนื่องจากมีการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ พวกมันมี50สายพันธุ์ใน6สกุลในทั้งหมด3อันดับ (ซึ่งรวมสกุล Ischyodusที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย) และอีกสองอันดับที่เป็นที่รู้จักแค่ฟอสซิลเท่านั้น- อันดับ Callorhinchidae- สกุล Callorhinchus- Callorhinchus callorynchus (ploughnose chimaera) - Callorhinchus capensis (Cape elephantfish) - Callorhinchus milii (Australian ghost shark) - อันดับ Chimaeridae- สกุล Chimaera- Chimaera argiloba (whitefin chimaera) - Chimaera bahamaensis (Bahamas ghost shark) - Chimaera cubana - Chimaera fulva (southern chimaera) - Chimaera jordani (Jordan's chimaera) - Chimaera lignaria (carpenter's chimaera) - Chimaera macrospina (longspine chimaera) - Chimaera monstrosa (rabbit fish) - Chimaera notafricana Cape chimaera - Chimaera obscura (shortspine chimaera) - Chimaera opalescens - Chimaera owstoni (Owston's chimaera) - Chimaera panthera (leopard chimaera) - Chimaera phantasma (silver chimaera) - สกุล Hydrolagus- Hydrolagus affinis (smalleyed rabbitfish) - Hydrolagus africanus (African chimaera) - Hydrolagus alberti - Hydrolagus alphus - Hydrolagus barbouri - Hydrolagus bemisi (pale ghost shark) - Hydrolagus colliei (spotted ratfish) - Hydrolagus deani (Philippine chimaera) - Hydrolagus eidolon - Hydrolagus homonycteris (black ghostshark) - Hydrolagus lemures (blackfin ghostshark) - Hydrolagus lusitanicus - Hydrolagus macrophthalmus - Hydrolagus marmoratus marbled ghostshark - Hydrolagus matallanasi (striped rabbitfish) - Hydrolagus mccoskeri (Galápagos ghostshark) - Hydrolagus melanophasma (Eastern Pacific black ghostshark) - Hydrolagus mirabilis (large-eyed rabbitfish) - Hydrolagus mitsukurii (spookfish) - Hydrolagus novaezealandiae (dark ghostshark) - Hydrolagus ogilbyi - Hydrolagus pallidus - Hydrolagus purpurescens (purple chimaera) - Hydrolagus trolli (pointy-nosed blue chimaera) - Hydrolagus waitei - อันดับ Rhinochimaeridae- สกุล Harriotta- Harriotta haeckeli (smallspine spookfish) - Harriotta raleighana (Pacific longnose chimaera) - สกุล Neoharriotta- Neoharriotta carri (dwarf sicklefin chimaera) - Neoharriotta pinnata (sicklefin chimaera) - Neoharriotta pumila (Arabian sicklefin chimaera) - สกุล Rhinochimaera- Rhinochimaera africana (paddle-nose chimaera) - Rhinochimaera atlantica (straightnose rabbitfish) - Rhinochimaera pacifica (Pacific spookfish)
ปลาคิเมียราอาศัยอยู่ในทะเลที่ระดับความลึกประมาณกี่เมตร
{ "answer": [ "2600" ], "answer_begin_position": [ 437 ], "answer_end_position": [ 441 ] }
3,262
515,698
รีวา สทีนคัมพ์ รีวา สทีนคัมพ์ (; 19 สิงหาคม ค.ศ. 1983 — 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013) เป็นนางแบบชาวแอฟริกาใต้ เธอได้รับการพบว่าถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านของแฟนหนุ่มชื่อออสการ์ พิสโตริอุส ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ซึ่งช่วงที่เธอเสียชีวิต เธอได้ลงนามที่จะปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์เรียลลิตีชีวิตในวัยเด็ก ชีวิตในวัยเด็ก. สทีนคัมพ์เติบโตขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ที่เคปทาวน์ และได้ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอในช่วงเด็กที่พอร์ตเอลิซาเบท หลังจากนั้น เธอเริ่มศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยพอร์ตเอลิซาเบท เธอสำเร็จการศึกษาและได้ทำงานในขั้นต้นในฐานะผู้ช่วยทนายอาชีพ อาชีพ. ในฐานะนางแบบ สทีนคัมพ์ได้ปรากฏตัวในนิตยสาร FHM และเป็นนางแบบให้กับเครื่องสำอางเอวอนที่ประเทศแอฟริกาใต้ เธอได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 45 ของนางแบบนิตยสาร FHM แอฟริกาใต้ที่เซ็กซี่ที่สุดใน ค.ศ. 2012 ในช่วงที่เธอเสียชีวิต เธอได้เซ็นสัญญาที่จะปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์เรียลลิตีซึ่งเป็นตอนที่มีการถ่ายทำในประเทศจาเมกาในฤดูกาลที่ห้าของรายการ Tropika Island of Treasure สทีนคัมพ์ได้เป็นนางแบบให้แก่บริษัทเครื่องประดับชื่อซิลวานาไดมอนส์ สทีนคัมพ์ยังได้ร่วมลงนามร่วมกับบริษัทเครื่องสำอางเอวอนสำหรับการปรากฏตัวเชิงพาณิชย์ในแอฟริกาใต้การเสียชีวิตของรีวา การเสียชีวิตของรีวา. ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สทีนคัมพ์ถูกยิงสี่ครั้งที่บ้านแฟนของเธอที่ชื่อออสการ์ พิสโตริอุส และเขาได้ถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม เพื่อนบ้านของออสการ์ พิสโตริอุส กล่าวว่าได้ยินเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องจากบ้านของเขา พวกเขาได้แจ้งว่าได้มีการยิงเกิดขึ้น แพทย์พยายามที่จะช่วยชีวิตเธอ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ โฆษกตำรวจได้รายงานว่าได้มีการเรียกพวกเขาไปที่บ้านในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากที่มีการรายงานว่าได้เกิดเรื่องขึ้นภายในบ้าน
รีวา สทีนคัมพ์ เป็นนางแบบชนชาติใด
{ "answer": [ "แอฟริกาใต้" ], "answer_begin_position": [ 183 ], "answer_end_position": [ 193 ] }
3,263
12,813
อาคารใบหยก 2 ตึกใบหยก 2 () เป็นตึกระฟ้าในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเป็นตึกที่สูงเป็นลำดับที่ 4ของประเทศไทย และเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยระหว่างพ.ศ. 2540 ถึง 2559 ตั้งอยู่ในย่าน ประตูน้ำ ซอยราชปรารภ 3 ถนนราชปรารภ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานครประวัติ ประวัติ. ตึกใบหยก 2 เป็นอาคารในเครือใบหยก ซึ่งมี พันธ์เลิศ ใบหยก เป็นประธานและกรรมการผู้จัดการ ก่อสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2540 โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการใน เดือนมกราคม พ.ศ. 2541 และในปีเดียวกันมีการติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่อง ไอทีวี ออกอากาศระบบยูเอชเอฟ ช่อง 29 ความสูง 54 เมตร (150 ฟุต) บนยอดตึก และหลังจากนั้น สทท. กรมประชาสัมพันธ์ ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 11 / เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 โมเดิร์นไนน์ทีวี (ชื่อในขณะนั้นของ ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 9 / เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ช่อง 3 ได้เปลี่ยนระบบการส่งเป็นระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ออกอากาศรวมกันโดยใช้เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่องไอทีวีออกอากาศ (ต่อมาใช้ชื่อว่า ทีไอทีวี และปัจจุบันใช้ชื่อว่า ไทยพีบีเอส) ซึ่งตึกใบหยก 2 นับว่าเป็น ตึกระฟ้า หลังแรกของ ประเทศไทย ที่มีความสูงเกิน 300 เมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการทดลองการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน จึงมีรายละเอียดการออกอากาศดังนี้ ททบ. ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 36 (ใช้โครงข่ายที่ 2) / บมจ. อสมท (หรือช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 40 (ใช้โครงข่ายที่ 3) และในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นปีที่มีการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินอย่างเป็นทางการ จึงได้มีการเริ่มออกอากาศช่องความถี่โครงข่ายโทรทัศน์เพิ่มเติมคือ กรมประชาสัมพันธ์ (หรือ สทท.) ช่อง 26 (ใช้โครงข่ายที่ 1) / ไทยพีบีเอส ช่อง 44 (ใช้โครงข่ายที่ 4) / ททบ. ช่อง 52 (ใช้โครงข่ายที่ 5) เพราะด้วยความสูงของอาคาร ทำให้เสาส่งสัญญาณสามารถทำหน้าที่แพร่กระจายสัญญาณโทรทัศน์ได้ทั่วถึงในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงทำให้อาคารฯ กลายเป็นที่ตั้งของสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์หลักของ กรุงเทพมหานครรายละเอียดของอาคาร รายละเอียดของอาคาร. อาคารมีความสูง 304 เมตร (994 ฟุต) มีทั้งสิ้น 88 ชั้น (ถ้าไม่นับชั้นใต้ดินจะมี 85 ชั้น) พื้นที่ใช้สอยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่ชื่อใบหยก สกาย- ชั้น 18 เป็นโถง โรงแรม - ตั้งแต่ชั้น 22 ถึง 74 เป็นห้องพักโรงแรม มีทั้งหมด 673 ห้อง - ชั้น 18, 76, 78, 79, 81 และ 82 เป็นห้องอาหาร ชั้น 83 เป็นบาร์ดาดฟ้า - ชั้น 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมทิวทัศน์ โดยที่ชั้น 84 เป็น ดาดฟ้า หมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 11.00 ถึง 23.00 น. - ลิฟต์โดยสารอาคารนี้มีความเร็วสูงสุด 4.0 เมตร/วินาที (ส่วนพื้นที่โรงแรม) ความเร็วสูงสุด 2.1 เมตร/วินาที (ส่วนพื้นที่พลาซาและลานจอดรถ) - ลิฟต์และบันไดเลื่อน ภายในอาคารส่วนใหญ่จะเป็นของยี่ห้อ Hitachi(ฮิตาชิ) จากประเทศญี่ปุ่น บำรุงรักษาและตรวจเช็คสภาพ โดย บริษัท สยามฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ จำกัด บริษัทในเครือสยามกลการอุบัติเหตุ อุบัติเหตุ. วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เกิดอุบัติเหตุกับพนักงานติดป้ายโฆษณาของบริษัทโตชิบากำลังปฏิบัติงานอยู่ที่ชั้น 68 ของตึกใบหยก 2 จนทำให้พนักงานตกลงมาเสียชีวิตทันที 3 รายและบาดเจ็บอีก 2 รายตึกใบหยก 1 ตึกใบหยก 1. ตึกใบหยก 1 ตั้งอยู่เลขที่ 130 ถนนราชปรารภ มีชั้นทั้งหมด 43 ชั้น มีความสูง 151 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2530 และกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดใน ประเทศไทย แทนที่ตึกสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพช่วงปี พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2536 ก่อนจะถูกตึก สินสาธร ทาวเวอร์ ทำลายสถิติในปี พ.ศ. 2536 ตัวตึกมีจุดเด่นคือยอดตึกมีลักษณะเป็นโครงสามเหลี่ยมคล้ายหลังคาบ้าน ตัวตึกทาสีไล่เฉดเป็นสีรุ้ง เป็นที่ตั้งของโรงแรมใบหยกสวีทและมีร้านอาหารบนยอดตึกชื่อสกายเลาจน์
อาคารใบหยก 2 ตั้งอยู่ที่เขตใดในกรุงเทพมหานคร
{ "answer": [ "ราชเทวี" ], "answer_begin_position": [ 316 ], "answer_end_position": [ 323 ] }
3,264
12,813
อาคารใบหยก 2 ตึกใบหยก 2 () เป็นตึกระฟ้าในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเป็นตึกที่สูงเป็นลำดับที่ 4ของประเทศไทย และเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยระหว่างพ.ศ. 2540 ถึง 2559 ตั้งอยู่ในย่าน ประตูน้ำ ซอยราชปรารภ 3 ถนนราชปรารภ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานครประวัติ ประวัติ. ตึกใบหยก 2 เป็นอาคารในเครือใบหยก ซึ่งมี พันธ์เลิศ ใบหยก เป็นประธานและกรรมการผู้จัดการ ก่อสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2540 โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการใน เดือนมกราคม พ.ศ. 2541 และในปีเดียวกันมีการติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่อง ไอทีวี ออกอากาศระบบยูเอชเอฟ ช่อง 29 ความสูง 54 เมตร (150 ฟุต) บนยอดตึก และหลังจากนั้น สทท. กรมประชาสัมพันธ์ ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 11 / เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 โมเดิร์นไนน์ทีวี (ชื่อในขณะนั้นของ ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบวีเอชเอฟ ช่อง 9 / เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 ช่อง 3 ได้เปลี่ยนระบบการส่งเป็นระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ออกอากาศรวมกันโดยใช้เสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่องไอทีวีออกอากาศ (ต่อมาใช้ชื่อว่า ทีไอทีวี และปัจจุบันใช้ชื่อว่า ไทยพีบีเอส) ซึ่งตึกใบหยก 2 นับว่าเป็น ตึกระฟ้า หลังแรกของ ประเทศไทย ที่มีความสูงเกิน 300 เมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการทดลองการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน จึงมีรายละเอียดการออกอากาศดังนี้ ททบ. ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 36 (ใช้โครงข่ายที่ 2) / บมจ. อสมท (หรือช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี) ระบบยูเอชเอฟ ช่อง 40 (ใช้โครงข่ายที่ 3) และในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นปีที่มีการออกอากาศทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินอย่างเป็นทางการ จึงได้มีการเริ่มออกอากาศช่องความถี่โครงข่ายโทรทัศน์เพิ่มเติมคือ กรมประชาสัมพันธ์ (หรือ สทท.) ช่อง 26 (ใช้โครงข่ายที่ 1) / ไทยพีบีเอส ช่อง 44 (ใช้โครงข่ายที่ 4) / ททบ. ช่อง 52 (ใช้โครงข่ายที่ 5) เพราะด้วยความสูงของอาคาร ทำให้เสาส่งสัญญาณสามารถทำหน้าที่แพร่กระจายสัญญาณโทรทัศน์ได้ทั่วถึงในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงทำให้อาคารฯ กลายเป็นที่ตั้งของสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์หลักของ กรุงเทพมหานครรายละเอียดของอาคาร รายละเอียดของอาคาร. อาคารมีความสูง 304 เมตร (994 ฟุต) มีทั้งสิ้น 88 ชั้น (ถ้าไม่นับชั้นใต้ดินจะมี 85 ชั้น) พื้นที่ใช้สอยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่ชื่อใบหยก สกาย- ชั้น 18 เป็นโถง โรงแรม - ตั้งแต่ชั้น 22 ถึง 74 เป็นห้องพักโรงแรม มีทั้งหมด 673 ห้อง - ชั้น 18, 76, 78, 79, 81 และ 82 เป็นห้องอาหาร ชั้น 83 เป็นบาร์ดาดฟ้า - ชั้น 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมทิวทัศน์ โดยที่ชั้น 84 เป็น ดาดฟ้า หมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 11.00 ถึง 23.00 น. - ลิฟต์โดยสารอาคารนี้มีความเร็วสูงสุด 4.0 เมตร/วินาที (ส่วนพื้นที่โรงแรม) ความเร็วสูงสุด 2.1 เมตร/วินาที (ส่วนพื้นที่พลาซาและลานจอดรถ) - ลิฟต์และบันไดเลื่อน ภายในอาคารส่วนใหญ่จะเป็นของยี่ห้อ Hitachi(ฮิตาชิ) จากประเทศญี่ปุ่น บำรุงรักษาและตรวจเช็คสภาพ โดย บริษัท สยามฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ จำกัด บริษัทในเครือสยามกลการอุบัติเหตุ อุบัติเหตุ. วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เกิดอุบัติเหตุกับพนักงานติดป้ายโฆษณาของบริษัทโตชิบากำลังปฏิบัติงานอยู่ที่ชั้น 68 ของตึกใบหยก 2 จนทำให้พนักงานตกลงมาเสียชีวิตทันที 3 รายและบาดเจ็บอีก 2 รายตึกใบหยก 1 ตึกใบหยก 1. ตึกใบหยก 1 ตั้งอยู่เลขที่ 130 ถนนราชปรารภ มีชั้นทั้งหมด 43 ชั้น มีความสูง 151 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2530 และกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดใน ประเทศไทย แทนที่ตึกสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพช่วงปี พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2536 ก่อนจะถูกตึก สินสาธร ทาวเวอร์ ทำลายสถิติในปี พ.ศ. 2536 ตัวตึกมีจุดเด่นคือยอดตึกมีลักษณะเป็นโครงสามเหลี่ยมคล้ายหลังคาบ้าน ตัวตึกทาสีไล่เฉดเป็นสีรุ้ง เป็นที่ตั้งของโรงแรมใบหยกสวีทและมีร้านอาหารบนยอดตึกชื่อสกายเลาจน์
อาคารใบหยก 2 ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2540" ], "answer_begin_position": [ 461 ], "answer_end_position": [ 465 ] }
3,265
290,677
เหล็กไหล เหล็กไหล เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนื่งในความเชื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในมาเลเซียมีชื่อเรียกว่า บือซีรีเละ) มีมากมายหลายชนิดแต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั้นจะฝังตัวอยู่ในถ้ำมีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลนั้นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลถึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟด้วย แล้วก็ลนไฟไปกระทั่งทั้งเหล็กไหลยืดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งบางเท่าเส้นด้ายถึงจะตัดขาด (ทั้งนี้ในการไปตัดเหล็กไหลนั้นกล่าวกันว่าคนธรรมดานั้นไม่สามารถตัดเหล็กไหลเองได้เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาคหรือยักษ์รักษาอยู่และพร้อมจะเข้าทำร้ายผู้เข้าไปเอาได้ถ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีมีบุญหรือมีวิชาอาคมแกร่งกล้าพอ และตัวเหล็กไหลนั้นก็มีฤทธิ์ขัดขืนคนที่เข้าไปเอาได้ด้วยเช่นกล่าวว่าเคยมีคนเข้าไปตัดเหล็กไหลแล้วเอามือไปจับเหล็กไหลแล้วมีอาการคล้ายถูกฟ้าผ่าหรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูดเป็นต้น) เหล็กไหลที่ได้นี้กล่าวกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากมักฝังไว้ตามตัวผู้ที่ครอบครองกล่าวกันว่าจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายผู้ที่ครอบครองตัวเหล็กไหลได้ทั้งมีด ปืน หรือแม้กระทั่งระเบิด ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่ ในความเชื่อนี้กล่าวอีกว่าเหล็กไหลยังแบ่งเป็นสามระดับหรือสามชนิด คือ- ระดับแรก ตัวเหล็กไหลเอง แวววาว เป็นส่วนที่ลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่มีอิทฤทธิ์มากที่สุด เช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับหรือเหล็กไหลโกฐปี เหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลเพชรดำ เหล็กไหลท้องปลาไหล - ระดับสอง รังเหล็กไหล มีลักษณะแวววาวรองจากตัวเหล็กไหล ไม่สามารถลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มตัวเหล็กไหลไว้เป็นฐานรองเหล็กไหลแข็งแน่นติดกับผนังถ้ำ เช่น โคตรเหล็กไหล แร่เกาะล้าน แร่เม็ดมะขาม เหล็กไหลทรหด - ระดับสาม ขี้เหล็กไหล มีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน ดำด้าน แข็งแต่ทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลเคลื่อนผ่านทางนั้นแล้วเกิดขี้เหล็กไหลขึ้นมากล่าวว่าแทบไม่มีฤทธิ์ใดๆ ในแง่วิทยาศาสตร์ เหล็กไหลก็คือโลหะหรือวัสดุอื่นที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเช่นอุกกาบาตจากนอกโลก ซิลิเกตจากใต้โลก และที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเช่นปรอท แกลเลียม ซึ่งสามารถหลอมเหลวได้ในอุณหภูมิห้อง หรือโลหะผสมอื่น ๆ สีสันที่ดูเหมือนสีรุ้งเกิดขึ้นจากการแทรกสอดในฟิล์มบาง (thin-film interference) คือการแทรกสอดของแสงที่สะท้อนออกมาจากเนื้อวัตถุ
เหล็กไหลมีสีอะไร
{ "answer": [ "ดำ" ], "answer_begin_position": [ 279 ], "answer_end_position": [ 281 ] }
3,266
290,677
เหล็กไหล เหล็กไหล เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนื่งในความเชื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในมาเลเซียมีชื่อเรียกว่า บือซีรีเละ) มีมากมายหลายชนิดแต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั้นจะฝังตัวอยู่ในถ้ำมีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลนั้นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลถึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟด้วย แล้วก็ลนไฟไปกระทั่งทั้งเหล็กไหลยืดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งบางเท่าเส้นด้ายถึงจะตัดขาด (ทั้งนี้ในการไปตัดเหล็กไหลนั้นกล่าวกันว่าคนธรรมดานั้นไม่สามารถตัดเหล็กไหลเองได้เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาคหรือยักษ์รักษาอยู่และพร้อมจะเข้าทำร้ายผู้เข้าไปเอาได้ถ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีมีบุญหรือมีวิชาอาคมแกร่งกล้าพอ และตัวเหล็กไหลนั้นก็มีฤทธิ์ขัดขืนคนที่เข้าไปเอาได้ด้วยเช่นกล่าวว่าเคยมีคนเข้าไปตัดเหล็กไหลแล้วเอามือไปจับเหล็กไหลแล้วมีอาการคล้ายถูกฟ้าผ่าหรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูดเป็นต้น) เหล็กไหลที่ได้นี้กล่าวกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากมักฝังไว้ตามตัวผู้ที่ครอบครองกล่าวกันว่าจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายผู้ที่ครอบครองตัวเหล็กไหลได้ทั้งมีด ปืน หรือแม้กระทั่งระเบิด ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่ ในความเชื่อนี้กล่าวอีกว่าเหล็กไหลยังแบ่งเป็นสามระดับหรือสามชนิด คือ- ระดับแรก ตัวเหล็กไหลเอง แวววาว เป็นส่วนที่ลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่มีอิทฤทธิ์มากที่สุด เช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับหรือเหล็กไหลโกฐปี เหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลเพชรดำ เหล็กไหลท้องปลาไหล - ระดับสอง รังเหล็กไหล มีลักษณะแวววาวรองจากตัวเหล็กไหล ไม่สามารถลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มตัวเหล็กไหลไว้เป็นฐานรองเหล็กไหลแข็งแน่นติดกับผนังถ้ำ เช่น โคตรเหล็กไหล แร่เกาะล้าน แร่เม็ดมะขาม เหล็กไหลทรหด - ระดับสาม ขี้เหล็กไหล มีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน ดำด้าน แข็งแต่ทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลเคลื่อนผ่านทางนั้นแล้วเกิดขี้เหล็กไหลขึ้นมากล่าวว่าแทบไม่มีฤทธิ์ใดๆ ในแง่วิทยาศาสตร์ เหล็กไหลก็คือโลหะหรือวัสดุอื่นที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเช่นอุกกาบาตจากนอกโลก ซิลิเกตจากใต้โลก และที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเช่นปรอท แกลเลียม ซึ่งสามารถหลอมเหลวได้ในอุณหภูมิห้อง หรือโลหะผสมอื่น ๆ สีสันที่ดูเหมือนสีรุ้งเกิดขึ้นจากการแทรกสอดในฟิล์มบาง (thin-film interference) คือการแทรกสอดของแสงที่สะท้อนออกมาจากเนื้อวัตถุ
เหล็กไหลชนิดใดที่เชื่อกันว่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทฤทธิ์ต่ำที่สุด
{ "answer": [ "ขี้เหล็กไหล" ], "answer_begin_position": [ 1617 ], "answer_end_position": [ 1628 ] }
3,267
498,758
โลมาแม่น้ำโบลิเวีย โลมาแม่น้ำโบลิเวีย (; ; การออกเสียง: /อิน-เนีย-จี-โอฟ-เฟรน-สิส-โบ-ลิ-เวียน-ซิส/) เป็นโลมาแม่น้ำชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์โลมาแม่น้ำอเมซอน (Iniidae) โลมาแม่น้ำโบลิเวีย เป็นชนิดย่อยของโลมาแม่น้ำอเมซอน หรือโลมาสีชมพู (I. geoffrensis) มีลักษณะทั่วไปเหมือนกัน คือ มีสีผิวขาวอมชมพู จะงอยปากเรียวยาว มีฟันแหลมคมอยู่ในปาก แต่มีความแตกต่างกันที่ โลมาแม่น้ำโบลิเวียจะพบได้เฉพาะในแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศโบลิเวีย มีจำนวนฟันที่มากกว่า มีส่วนหัวเล็กกว่า และลำตัวมีความกลมกว้างมากกว่า ในปี ค.ศ. 2012 สมาคมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยทะเลได้ยอมรับให้เป็นชนิดใหม่ต่างหากโดยเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตามโลมาชนิดนี้มักไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน ประธานาธิบดีเอโบ โมราเลส แห่งโบลิเวีย ได้ออกกฎหมายคุ้มครองโลมาแม่น้ำโบลิเวียให้เป็นสมบัติของชาติ
โลมาแม่น้ำโบลิเวียมีผิวสีอะไร
{ "answer": [ "ขาวอมชมพู" ], "answer_begin_position": [ 375 ], "answer_end_position": [ 384 ] }
3,268
408,688
บุพเพสันนิวาส บุพเพสันนิวาส เป็นละครโทรทัศน์แนวย้อนยุค ออกฉายครั้งแรกทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เขียนบทโทรทัศน์โดย ศัลยา ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ รอมแพง กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ นำแสดงโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, หลุยส์ สก๊อต, สุษิรา แอนจิลีน่า แน่นหนา, ปรมะ อิ่มอโนทัย และ กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกลเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. เกศสุรางค์นักโบราณคดีสาววัย 25 ปี มีความรู้ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอย่างดี เธอมีเพื่อนสนิทที่แอบชอบอยู่คือเรืองฤทธิ์ วันหนึ่งทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ภายหลังจากต้องหนีวิญญาณของหญิงสาวคนหนึ่ง ขณะเดียวกันในรัชกาล สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม่หญิงการะเกดซึ่งเป็นคู่หมั้นคู่หมายของพ่อเดชรู้สึกอิจฉาริษยาต่อแม่หญิงจันทร์วาด บุตรสาวของโกษาเหล็ก เธอจึงสั่งให้บ่าวคนสนิทอย่างนางผินและนางแย้มไปล่มเรือแต่คนที่เสียชีวิตครั้งนี้คือนางแดง บ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดส่วนแม่หญิงจันทร์วาดรอดชีวิต ออกญาโหราธิบดีซึ่งเป็นบิดาของพ่อเดชไม่เชื่อในคำกล่าวหาของลูกชายจึงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่หญิงการะเกดด้วยการร่ายมนต์กฤษณะกาลี ผู้ใดที่คิดร้ายจะสิ้นใจตายซึ่งก็มีผลทำให้แม่หญิงการะเกดสิ้นใจตาย วิญญาณของแม่หญิงการะเกดหลุดออกจากร่างไปพบกับวิญญาณของเกศสุรางค์ แม่หญิงการะเกดสำนึกตัวเอง ขอให้เกศสุรางค์ทำความดีเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าแม่หญิงการะเกดก็ทำความดีได้และกลับไปเข้าร่างแม่หญิงการะเกด พอเกศสุรางค์ตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในร่างแม่หญิงการะเกด เกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกดได้ทำความคุ้นเคยกับพ่อเดช ทำให้พ่อเดชเริ่มคลายความเกลียดชัง ต่อมาแม่หญิงการะเกดได้พบกับหมื่นเรืองราชภักดีซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับเรืองฤทธิ์เพื่อนสนิทในยุคปัจจุบันที่เธอแอบชอบและเกศสุรางค์ยังได้รู้จักกับ "แม่มะลิ" (มารี กีมาร์ / ท้าวทองกีบม้า) ขณะที่คุณพ่อของเธอคือฟานิก ถูกคนของออกหลวงสุรสาคร ข้าราชการชาวกรีกรังแกเพราะหวังจะให้ยกลูกสาวให้ เกศสุรางค์ช่วยโต้เถียงเป็นภาษาฝรั่งเศสจนเป็นที่เป็นเรื่องฮือฮาแต่ในที่สุดแม่มะลิก็ต้องแต่งงานกับออกหลวงสุรสาครหรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน ด้วยความจำใจ จากนั้นเกศสุรางค์ได้กระทำหลายสิ่งหลายอย่างจนเป็นที่โจษจันในหมู่ชาวบ้าน ขณะเดียวกันเกศสุรางค์ยังได้พบกับบุคคลในประวัติศาสตร์อีกหลายท่านอาทิ (ออกหลวงสรศักดิ์ / พระเจ้าเสือ), (ออกพระเพทราชา / สมเด็จพระเพทราชา), (โกษาปาน / พระยาวิสูตรสุนทร), (โกษาเหล็ก) เป็นต้น ต่อมาหมื่นสุนทรเทวาได้อวยยศขึ้นเป็น "ขุนศรีวิสารวาจา" ก็ได้กราบเรียนออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปาผู้เป็นมารดาว่าจะแต่งงานกับเกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกด ทำให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดเสียใจมากและมาตัดพ้อกับเกศสุรางค์ว่าจะแย่งพ่อเดชไปจากตน ทำให้เกศสุรางค์ต้องรับปากแม่หญิงการะเกดด้วยการปฏิเสธไปทั้งๆ ที่รักพ่อเดชแต่ในที่สุดความดีที่เกศสุรางค์ได้ทำไว้ก็ส่งผลให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดจะได้ไปเกิดใหม่ ทำให้แม่หญิงการะเกดตัดสินใจยกพ่อเดชให้เกศสุรางค์ ต่อมาขุนศรีวิสารวาจาต้องเป็นตรีทูตไปฝรั่งเศส เกศสุรางค์จึงยกหมอนที่ตัวเองหนุนนอนให้ออกขุนศรีไว้ดูต่างหน้ากระทั่งออกขุนศรีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับการอวยยศเป็น "พระศรีวิสารสุนทร" อีกด้านยศหมื่นเรืองราชภักดีได้อวยยศเป็น "ขุนเรืองอภัยภักดี" ก็พยายามจะสานสัมพันธ์กับแม่หญิงจันทร์วาดหลังจากที่โกษาเหล็ก ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหมและควบตำแหน่งเจ้ากรมคลังถูกโบยจนเสียชีวิตเนื่องจากคดีรับสินบนตามคำทูลฟ้องของออกหลวงสุรสาคร ซึ่งต่อมาได้รับการอวยยศเป็น "ออกพระฤทธิ์กำแหง" จนถูกริบทรัพย์แต่คุณหญิงนิ่มภรรยาของโกษาเหล็กและเป็นมารดาของแม่หญิงจันทร์วาดไม่ชอบใจเพราะขุนเรืองเป็นบุตรชายของคุณพระเรือนแพไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน ขุนเรืองจึงขอความช่วยเหลือจากเกศสุรางค์ เธอจึงให้ขุนเรืองหาสิ่งของไปกำนันเพื่อเอาชนะใจคุณหญิงนิ่มจนในที่สุดคุณหญิงนิ่มก็ใจอ่อนยอมยกแม่หญิงจันทร์วาดให้กับขุนเรือง จากนั้นไม่นานขุนเรืองอภัยภักดีก็ได้รับการอวยยศเป็น "ขุนเรืองณรงค์เดชา" วันหนึ่งเกศสุรางค์พบบทสวดมนต์กฤษณะกาลีในห้องทำงานของออกญาโหราธิบดีแต่เมื่อเธอแตะมือลง ทำให้วิญญาณออกจากร่าง พ่อเดชเข้ามาพอดีและเห็นร่างไร้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดก็อุ้มนางเข้าไปทำพิธีร่ายมนต์กฤษณะกาลีส่วนวิญญาณของเกศสุรางค์ล่องลอยอยู่ไร้จุดหมาย อาจารย์ชีปะขาวก็อธิบายให้วิญญาณของเกศสุรางค์จนได้รู้ว่าตนเองนั้นมีฝาแฝดและส่งเธอกลับมายังยุคปัจจุบันจนได้พบว่าเรืองฤทธิ์ขอบวชตลอดชีวิต เกศสุรางค์เห็นเงาของพ่อเดชในร่างของเรืองฤทธิ์จึงรู้ว่าเรืองฤทธิ์คือพ่อเดชมาเกิดใหม่ เกศสุรางค์ได้ยินมนต์กฤษณะกาลีอีกครั้ง เธอรู้ว่าไม่สามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้แล้วจึงกราบลาคุณแม่และคุณยายกลับไปยังร่างแม่หญิงการะเกดอีกครั้ง พอฟื้นขึ้นมาในอดีตชาติพบว่าพ่อเดชนั่งท่องมนต์มาหลายวันก็สวมกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น พ่อเดชไม่สนใจว่าเธอเป็นใครมาจากไหนและบอกว่าจะรักเธอตลอดไปนักแสดงงานสร้าง งานสร้าง. บุพเพสันนิวาส เป็นละครรักที่อิงประวัติศาสตร์ ช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ สร้างจากบทประพันธ์ของรอมแพง ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 สร้างโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ผู้สร้างละครเห็นว่า นวนิยาย เนื้อเรื่องโดดเด่น สนุกสนาน ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างยุค ยังมีเรื่องรักโรแมนติก บวกกับการได้เจอประวัติศาสตร์มีชีวิต ผ่านการใช้ชีวิตกับบุคคลในประวัติศาสตร์ยุคนั้น และยังได้เปิดลงโหวตว่า อยากให้นำนวนิยายเรื่องใดมาสร้างเป็นละคร ผลปรากฏว่าเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นได้ผู้เขียนบทคือ ศัลยาหรือ ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ที่เคยเขียนบทละครดังอาทิ นางทาส, คู่กรรม, ดอกส้มสีทอง, ดอกโศก, แค้นเสน่หา, ภาพอาถรรพณ์ และ ทรายสีเพลิง นอกจากนั้นยังเคยเขียนบทละครย้อนยุคอย่าง รัตนโกสินทร์ และ สายโลหิต ศัลยาออกปากว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะถึงจะมีโครงบทประพันธ์ แต่ผู้เขียนบทต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งบทสนทนา ทำให้ละครมีเนื้อเรื่องที่ยาวกว่าหนังสือเสียอีก หลายตัวละครในเรื่อง มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ก็มีเพียงเค้าโครงเท่านั้น ศัลยาจึงกำหนดขึ้นเองให้สอดคล้อง ตราบเท่าที่มีข้อมูล ส่วนที่ยากอีกส่วนคือ ในการเขียนบทละครคือ การวางฉาก คำพูด การแก้ปัญหาความขัดแย้งในละคร กว่าจะเป็นบทละครเรื่องนี้ ต้องเขียนถึงร่างที่ 7 ซึ่งเป็นร่างสุดท้าย โดยใช้เวลาเขียนบทละครนาน 2 ปี และใช้เวลาถ่ายทำนาน 2 ปี และเพื่อความสมจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาคือ เผ่าทอง ทองเจือ และ วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร บรอดคาซท์เลือกผู้กำกับการแสดงคือ ภวัต พนังคศิริ เพราะเห็นว่ากำกับละครได้หลายแนว และยังเคยทำละครย้อนยุคอย่าง บ่วง ภวัตมีความละเอียดในการถ่ายทำซึ่งเหมาะกับ บุพเพสันนิวาส ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยรายล้อมมากมาย สำหรับการคัดเลือกนักแสดงนั้น การเลือก ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาเป็น หมื่นสุนทรเทวา เพราะเห็นว่า มีบุคลิกดูอบอุ่นเข้ากับบุคลิกพระเอก สำหรับบทนี้ เคยวางไว้ว่าเป็น เจษฎาภรณ์ ผลดี ขณะที่ราณี แคมเปน มารับบทเกศสุรางค์และแม่หญิงการะเกด เพราะมองว่าน่าจะเล่นบทบาทเป็นหลายคน หลายบุคลิกได้ แต่ก่อนหน้านั้น บทนี้เคยวางตัวให้อารยา เอ ฮาร์เก็ต เป็นผู้แสดง แต่ปฏิเสธไป เนื่องจากโตเกินบท ต่อมาผู้สร้างทาบทาม ณฐพร เตมีรักษ์ แต่ท้ายสุดบทนี้ตกเป็นของ ราณี แคมเปน ในการถ่ายทอดละครจากบทประพันธ์และบทละครมาเป็นละคร ผู้กำกับยังหาข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทละคร สิ่งที่ภวัต ว่ายากคือการตีความความรู้สึกและเป็นกลางที่สุดในฉากประวัติศาสตร์ โดยตนตั้งใจที่สร้างคาแร็กเตอร์ในตัวละคร ให้คนดูจำและสัมผัสได้ ถึงแม้ว่าจะมาเพียงนิดเดียว เช่น ฉากที่พระเพทราชาและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เถียงกันกลางท้องพระโรง หรือ อย่างฉากที่คลังสินค้าของอังกฤษถูกเผา ซึ่งในนวนิยายเขียนว่า ขุนเรือง หลวงสรศักดิ์ เป็นคนไปเผา จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทำไมเผา ใครเป็นคนเผา ถึงแม้ในข้อมูลจะไม่ได้บอกว่าใครเผา แต่ก็ต้องหาเหตุผลให้คนดูยอมรับได้ ในการเนรมิตฉากต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา มีการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างหนัก ทำเป็นสตอรีบอร์ดก่อนถ่ายทำ โดยสถานที่ถ่ายทำที่มีอยู่จริง เช่น กำแพงเมือง หรือวัดไชยวัฒนาราม ก็เก่าแก่ ต้องทำขึ้นใหม่ให้เหมือนบทประพันธ์ ส่วนฉากที่ไม่หลงเหลือแล้ว ก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคการสร้างภาพ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากที่ต้องสวยและถูกต้องตามประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เรือนไทย ที่เป็นฉากหลักก็ดูหรูหราเหมาะกับตำแหน่งของครอบครัวพระเอก มีข้าวของ ตามแบบยุคอยุธยาวางอยู่ นอกจากนั้น ในฉากที่สะท้อนวัฒนธรรม เช่น ฉากการทำขนมหวาน ก็เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการทำขนมไทยโบราณมาทำให้ หรือฉากคุณหญิงจำปาสอนการเรือนการะเกด ก็ได้เห็นผักแกะสลักอลังการ นอกจากนั้นยังมีฉากที่ลงทุนแรงงานสร้างอย่างมากเช่น ฉากตลาดจีน ที่สร้างทั้งตลาดขึ้นมาเพื่อการถ่ายทำจริงฉากเดียว ใช้เวลาถ่ายในสตูดิโอ 2 วัน แต่ออกมาเพียง 2 นาที รวมถึงฉากท้องพระโรงที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ที่ทางค่ายตั้งใจสร้างออกมาให้สวยเหมือนภาพในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เรียนกัน สถานที่ถ่ายทำในเรื่องฉากอื่น เช่น เมืองโบราณ ฉากในเรือ พายเรือ มีการสร้างท่าน้ำขึ้นมาใหม่ในช่อง 3 หนองแขม ส่วนเครื่องแต่งกายตัวละคร ผู้ออกแบบชุดแต่งกายคือ กิจจา ลาโพธิ์ ที่เคยออกแบบให้ละครเรื่อง ขุนศึก, ลูกทาส, ข้าบดินทร์ กิจจาที่ได้ออกแบบจากการค้นคว้าข้อมูลจากบันทึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม พงศาวดาร ภาพเขียนจิตรกรรม สมุดข่อย สมุดไทย หรือแม้แต่ตู้พระธรรมเขียนลายทองเก็บหนังสือใบลาน โดยได้ออกแบบใหม่หมดตั้งแต่สี ลายผ้า เครื่องประดับจนถึงหัวเข็มขัด ตามบุคลิกตัวละครและตามยศศักดิ์ ผู้หญิงใส่สไบ ใส่เครื่องทอง มีทั้งโจงกระเบน เสื้อคอตั้ง เสื้อแขนกระบอก การแต่งกายในวาระต่าง ๆ ด้วย มีการออกแบบลายผ้าขึ้นมาใหม่ และชุดแต่งงานเครื่องทอง นอกจากนี้ ทรงผมแต่ละคนก็อ้างอิงจากทรงผมจริงสมัยอยุธยา ดนตรีประกอบมีทั้งขลุ่ย ซออู้ ขิม ซึ่งได้ผู้เล่นดนตรีไทยฝีมือระดับครูมาทำดนตรีประกอบให้ เนื่องจาก บุพเพสันนิวาส ประสบความสำเร็จอย่างสูงทำให้ช่อง 3 ประกาศทำ บุพเพสันนิวาส ฉบับพิเศษ ออกอากาศต่อเนื่องในวันที่ 12, 18 และ 19 เมษายน 2561 จำนวน 3 ตอน สำหรับฉบับพิเศษนี้เป็นการตัดต่อย่อจากฉบับเดิม เล่าเรื่องราวความรักที่เริ่มจากความเกลียดชังจนกลายเป็นความรักในมุมมองของการะเกดและพ่อเดช และเพิ่มภาพเบื้องหลังการถ่ายทำนานขึ้นกว่าเดิมด้วย หลังจากนั้น 1 เดือน สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็นำ บุพเพสันนิวาส มารีรันซ้ำอีกครั้งในช่วงละครเย็น วันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.05-20.05 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45-19.45 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป การออกอากาศครั้งนี้ได้มีการตัดต่อเนื้อหาใหม่ทั้งหมดโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เปลี่ยนไตเติลเป็นคอนเซ็ปต์ สุริยัน-จันทรา พร้อมเรียบเรียงซาวน์ประกอบและเพิ่มฉากที่ถูกตัดออกไปในการออกอากาศครั้งแรก จนกลายเป็นฉบับสมบูรณ์ที่สุด ใช้ชื่อว่า บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cutเพลงประกอบ เพลงประกอบ. เพลงประกอบละคร "บุพเพสันนิวาส" มี 4 เพลงคือเพลง "เพียงสบตา" ขับร้องโดย ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ แต่งเพลงโดย ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ เพลงนี้ลิเดียได้ออกแบบการร้องผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปในเพลงด้วย อีก 3 เพลงคือเพลง "ออเจ้าเอย" ขับร้องโดย พีท พล, เพลง "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา, เพลง "บุพเพสันนิวาส" ขับร้องโดย ไอซ์ ศรัณยู วินัยพานิช แต่งเพลงโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ โดยเพลง "บุพเพสันนิวาส" เป็นเพลงหลักของเรื่องที่สื่อเนื้อหาถึงสายใยความรัก ความผูกพันของคู่รักที่เกิดมาเคียงคู่กันเปรียบดั่งเป็นบุพเพสันนิวาส ส่วนเพลง "ออเจ้าเอย" ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ผู้บริหารค่ายเพลง Chanderlier Music ให้ วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ แต่งหลังจากคำว่า "ออเจ้า" เป็นคำพูดติดปากกันทั่วเมือง มีรูปแบบการร้องที่มีการเอื้อนเอ่ยแบบเพลงไทยเดิม ภาคดนตรีที่มีท่วงทำนองแบบไทยร่วมสมัยและมีเสียงซอสีคลอไปตลอดทั้งเพลง เพลงประกอบละครบุพเพสันนิวาสนอกจากจะโด่งดังใน ประเทศไทย แล้ว ใน ประเทศกัมพูชา เพลง "ออเจ้าเอย" ยังขึ้นอันดับที่ 1 บน ไอจูนส์ ตามมาด้วยเพลง "บุพเพสันนิวาส" อยู่อันดับที่ 2 และเพลง "เพียงสบตา" อยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561 และเพลงที่ 4 "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของแม่หญิงการะเกดที่มีต่อคุณพี่เดช สำหรับบทเพลง "จันทร์" ที่ขับร้องโดย โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา ในสังกัดของ อาร์เอส ที่ปรากฏในนิยาย แต่ไม่ปรากฏในละครเนื่องจากติดลิขสิทธิ์จากค่ายต้นสังกัด ทำให้ในละครเปลี่ยนจากร้องเพลง "จันทร์" มาร้องเพลง "ออเจ้าเอย" แทน นอกจากนี้ยังมีเพลง "ออเจ้าเอย" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ "เธอหนอเธอ" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ราณี แคมเปน เพิ่มมาในบุพเพสันนิวาสฉบับพิเศษอีกด้วยดีวีดีและซีดี ดีวีดีและซีดี. ดีวีดีของละคร บุพเพสันนิวาส ออกวางจำหน่าย วันที่ 11 เมษายน ดีวีดี 1 ชุดมี 11 แผ่น ประกอบด้วยละคร เบื้องหลังการถ่ายทำ เปิดกองละคร มิวสิกวิดีโอ 4 เพลง รายการ บุพเพสันนิวาสวันละคำ และสมุดภาพ 16 หน้า ส่วนซีดีเพลงประกอบละคร นอกเหนือจากเพลง 4 เพลงที่ประกอบละครแล้วยังมีเพลงบรรเลงพิเศษและแบ็กกิงแทร็ก (backing track) พร้อมรูปภาพนักแสดง Photobook และโปสการ์ดสุ่มรูปนักแสดงนำ 6 แบบการตอบรับคำวิจารณ์และความสมจริง การตอบรับ. คำวิจารณ์และความสมจริง. แม้ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จะสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของผู้ชมเป็นหลัก แต่ก็ยังมีผู้ให้ข้อติติงไว้ ทั้งในเรื่องความสมจริงทางการเมืองและด้านศิลปะวัฒนธรรม วรรษชล ศิริจันทนันท์ นักเขียนจากเดอะโมเมนตัม เอาแนวคิดประวัติศาสตร์การเมืองฝ่ายซ้ายวิเคราะห์ละครเรื่องนี้ไว้ว่า เป็นละครหลังข่าวที่แม้จะยังคงความสนุกและความบันเทิง "แต่ก็ยังมี 'คราบ' ของอุดมการณ์ชาตินิยมและการชื่นชมความสงบสุขของอยุธยาแทรกเข้ามาอยู่เป็นระยะ จนผู้ชมเกิดอารมณ์โหยหาอดีต" โดยวรรษชลโต้แย้งว่า บุพเพสันนิวาส นำเสนอภาพในอดีตที่มองข้ามความขัดแย้งของคนไทยในราชสำนัก โดยนำเสนอว่าสังคมและวัฒนธรรมของอยุธยาเป็นสังคมที่ "สงบสุข ไม่มีการคอรัปชั่น และมีฝรั่งเป็นส่วนเกิน" เพื่อสนองความปรารถนาของผู้ชมบางส่วนซึ่ง "ไม่พอใจในปัจจุบันอันแสนจะวุ่นวาย เต็มไปด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และไร้ซึ่งความปรองดอง จนเกิดความโหยหาอดีต" นฤเบศ กูโน ผู้กำกับและนักเขียนบทละคร แสดงความเห็นว่าเพราะความสำเร็จของละครเกิดจากบทละครที่ดีและเคมีของนักแสดงที่เข้ากัน ขณะที่วัฒนธรรมการดูละครของคนไทยมีความคล้ายคลึงกับคนเกาหลี คือ ชื่นชอบละครตลก พระนางไม่ถูกกัน มีบทพูดเชือดเฉือน แต่แอบแสดงออกเล็กน้อยว่ารัก ส่วนเว็บไซต์สนุก.คอม วิเคราะห์ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ว่า "สะท้อนให้เห็นสูตรสำเร็จของละคร และการนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยผ่านละครแนวใหม่ ที่มีความเข้ากันของพระนางเป็นตัวชูโรง จนสร้างความน่าสนใจในประวัติศาสตร์ไทยให้กับคนรุ่นใหม่ให้หันกลับมามองมากขึ้น" ด้านงานออกแบบงานสร้าง มติชน วิจารณ์ว่า "อยู่ในมาตรฐานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากที่นำเสนอฉากสมเด็จพระนารายณ์ทรงโน้มกายรับพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จากเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศส ตามรอยภาพวาดโบราณซึ่งหลายคนคุ้นตาเป็นอย่างดี" เนื่องจากเป็นละครที่มีฉากหลังอิงประวัติศาสตร์ จึงได้รับคำวิจารณ์เรื่องความสมจริง ลุพธ์ อุตมะ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย วิจารณ์ว่า "เครื่องนุ่งห่มในเรื่องนี้ ในส่วนของชาวสยามมีการวิจัยและจัดทำได้สวยงามเหมาะสม แม้ว่าจะมีการใช้ผ้านุ่งจากประเทศราช และหัวเมืองทางเหนือมาใช้ร่วมด้วย เป็นการสื่อสารได้อย่างดีถึงความสัมพันธ์ของผู้คนและชาติพันธุ์ในสมัยนั้น ทว่าตัวละครที่ไม่ใช่คนสยามนั้นกลับพบว่ามีข้อบกพร่อง เรื่องการออกแบบ การตัดเย็บและการใช้ผ้าที่ถูกลักษณะ" โดยเขาชี้ข้อบกพร่อง อย่างเช่น คอนสแตนติน ฟอลคอน และมาเรีย กีมาร์ เนื่องจากรูปแบบหรือ แพทเทิร์นเป็นแบบสมัยใหม่และผิดสัดส่วนเป็นอย่างมาก กิจจา ลาโพธิ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายในละคร ชี้แจงว่า เสื้อผ้าชาวต่างชาติในละครเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง การออกแบบพัฒนาขึ้นจากข้อมูลที่ค้นคว้า และพยายามที่จะทำให้ใกล้เคียงกับความเป็นข้อเท็จจริงมากที่สุด แต่ก็ได้เพิ่มรายละเอียดเพื่อความสวยงามและให้เหมาะสมกับตัวนักแสดง นอกจากนี้ทางสถานีที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครเอกให้ดูแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น จึงเป็นเหตุให้ตัวละครเหล่านี้ฟันไม่ดำ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบข้อผิดพลาดในด้านรายละเอียด ชี้ว่า อย่างฉากที่เห็นป้อมเพชร พิจารณาในช่วงเวลาในบทประพันธ์ และดูหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ สภาพของป้อมน่าจะทรุดโทรมมาก หรือไม่ก็ กำลังได้รับการปรับปรุงโดยนายช่างฝรั่งเศสชื่อ เดอ ลามาร์การสำรวจความเห็น การสำรวจความเห็น. จากการสำรวจแบบสอบถามสวนดุสิตโพล จำนวนทั้งสิ้น 1,272 คนระหว่างวันที่ 10-14 เมษายน 2561 สำรวจเรื่อง "ละคร บุพเพสันนิวาส ในทัศนะประชาชน" จากหัวข้อประชาชนคิดอย่างไร กับละคร บุพเพสันนิวาส โดยอันดับ 1 เห็นว่าละคร สนุกสนาน ให้ทั้งข้อคิดและความบันเทิง จากการสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล จำนวนทั้งสิ้น 1,185 คน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10-16 มีนาคม เมื่อสอบถามถึงตัวละคร บุพเพสันนิวาส ที่แสดงได้ดีที่สุด พบว่า ร้อยละ 54.4 ระบุราณี รองลงมาคือร้อยละ 21.1 ระบุธนวรรธน์กระแสตอบรับในต่างประเทศ กระแสตอบรับในต่างประเทศ. นอกจากจะได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยแล้ว ละคร บุพเพสันนิวาส ยังโด่งดังใน weibo หรือสื่อสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนอีกด้วย โดยมีการกล่าวถึง บุพเพสันนิวาส ในแฮชแท็ก 泰剧天生一对 จนขึ้นเทรนด์อันดับ 1 มียอดผู้ชมชาวจีนดูละคร บุพเพสันนิวาส แบบสดออนไลน์ผ่านทางช่อง HBO กว่า 100,000 คน และมีการทำซับไตเติลภาษาจีนให้ละครเรื่องนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ซื้อขายลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการและไม่มีการโปรโมตแบบเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นหลังละคร บุพเพสันนิวาส จบไปสามสัปดาห์ แฮชแท็ก 泰剧天生一对 ก็ยังคงทะยานขึ้นอันดับ 1 ใน weibo อีกครั้งด้วยยอดวิวสูงกว่า 900 ล้านครั้ง ประเทศกัมพูชาได้ซื้อลิขสิทธิ์ละคร บุพเพสันนิวาส ไปแพร่ภาพแล้ว โดยจะออกอากาศทางช่อง PNN TV ใช้ชื่อเรื่องว่า បុព្វេសន្និវាស เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2561 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 2 รอบ เวลา 18.00-19.00 น. และ 22.00-23.00 น.ผลสืบเนื่อง ผลสืบเนื่อง. จากความโด่งดังของละคร ทำให้มีการจัดทัวร์การท่องเที่ยว เช่น ที่วัดไชยวัฒนาราม รวมถึงโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ก่อนละครออกอากาศ วันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว 800-900 คนต่อวัน แต่หลังละครออกอากาศ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นเฉลี่ยวันละ 4,000 คน ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ เดิมมีนักท่องเที่ยวราว 3,300 คน เมื่อละครออกอากาศ เพิ่มขึ้นเป็น 18,300 คน นักท่องเที่ยวยังนิยมแต่งชุดไทยมายังสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึงวันละ 2,000-3,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ยังมีการจัดการท่องเที่ยวในสถานที่เป็นฉากของละคร เช่น อยุธยา ลพบุรี โดยมีมัคคุเทศก์เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อยุธยา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ในช่วงที่ละครออกอากาศ เศรษฐกิจพระนครศรีอยุธยาขยายตัว 33% มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศถึง 2% ของจีดีพี หรือราว 300,000 ล้านบาท จากผลผลิตมวลรวมที่ 15 ล้านล้านบาท ทางด้านการตลาด ตราสินค้าต่าง ๆ อาศัยเนื้อหาในละครเชื่อมโยงกับตราสินค้า ดังจะเห็นได้จากตราสินค้าและเพจบนเฟซบุ๊กต่าง ๆ เล่นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับละคร แบบการตลาดแบบทันกาล (real-time marketing) เช่นประเด็น หมูกระทะ, กุ้งย่าง, มะม่วงน้ำปลาหวาน, หมูสร่ง, ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง, ออเจ้า ฯลฯเรตติ้ง เรตติ้ง. สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ลงผัง บุพเพสันนิวาส คืนวันพุธและพฤหัส ในช่วงไพรม์ไทม์ เวลา 20.20-22.50 น. กลยุทธ์ที่ช่อง 3 นำมาใช้คือ เนื้อหาละครช่วงแรกมีความยาว 25 นาที เพื่อให้ลงโฆษณาได้อย่างเต็มที่ และค่อย ๆ ลดช่วงละครลงจนเบรกที่ 9 เบรกสุดท้าย ลดเวลาเหลือเพียง 6 นาที เพื่อยึดให้คนดูไว้ให้นานที่สุด ออกอากาศวันแรก เรตติ้งทั่วประเทศจากการสำรวจของ AGB Nielsen ในช่วงละครหลังข่าว เป็นอันดับ 3 มีเรตติ้ง 3.4 เป็นรองอันดับ 1 มือปราบเหยี่ยวดำ ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นละครบู๊ มีเรตติ้ง 5.5 และอันดับ 2 เรือนเบญจพิษ ทางช่องวัน ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของละคร มีเรตติ้ง 3.7 ต่อมาในตอนที่ 2 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศขึ้นมาอันดับ 2 ยังคงเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ แต่เรตติ้งเรื่องดังกล่าวลดลงจาก 5.5 มายัง 4.9 แต่เรตติ้งของ บุพเพสันนิวาส ในกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดเป็นอันดับ 1 แต่พื้นที่เขตนอกเมืองเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ จนในตอนที่ 3 เรตติ้งทั่วประเทศ บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้ง 7.3 แซง มือปราบเหยี่ยวดำ ที่มีเรตติ้ง 5.4 เรตติ้งตอนที่ 4 เรตติ้งทั่วประเทศคือ 8.2 มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรก 5.964 เป็นรองเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรกของ นาคี ในปี 2559 ที่ 7.713 เรตติ้งเฉลี่ย 4 ตอนของ บุพเพสันนิวาส มีผู้ชมผู้หญิงถึง 7.707 ส่วนผู้ชาย 4.136 จาก 6 ตอนแรก มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 8.005 โดยกลุ่มอายุผู้ชม ที่รับชมมากที่สุดใน 6 ตอนแรกคือ 35-39 ปี รองลงมาคือ 40-49 ปี ตอนที่ 7 บุพเพสันนิวาส ยังคงมีเรตติ้งทั่วประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ 14.8 ขณะเดียวกันช่อง 7 มีละครเรื่องใหม่ออกฉายวันแรกเรื่อง ชาติลำชี ซึ่งเป็นละครเพลงแนวบู๊ เปิดตัวที่ 3.6 ในตอนที่ 10 ยังมีเรตติ้งทั่วประเทศดีอยู่ที่ 16.0 แม้ทางช่องไทยรัฐทีวีจะถ่ายทอดสดฟุตบอลคิงส์คัพ นัดฟุตบอลทีมชาติกาบองพบฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มีเรตติ้ง 3.0 ในตอนที่ 11 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศ 17.4 ได้สร้างสถิติละครที่มีเรตติ้งสุงสุดนับตั้งแต่มีทีวีดิจิตัลในปี 2557 หลังจากนั้นเรตติ้งทั่วประเทศหยุดนิ่งอยู่ที่ 17.4 ในตอนที่ 12 และ 13 รวมสามตอนติดต่อกัน ก่อนจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 17.9 ในตอนที่ 14 และสำหรับตอนจบ ตอนที่ 15 นั้น มีเรตติ้งทั่วประเทศสูงสุดกว่าทุกตอน ที่ 18.6 หรือมีคนดูเฉลี่ย 12.2 ล้านคน และเรตติ้งเฉลี่ยทุกตอนอยู่ที่ 13.247 หรือมีคนดูเฉลี่ย 8.8 ล้านคนต่อตอน ซึ่งเอาชนะเรตติ้งเฉลี่ยละคร นางชฎา ในปี 2558 ของช่อง 7 ที่ 11.465 และ นาคี ในปี 2559 ของช่อง 3 ที่ 10.927 ทำให้ บุพเพสันนิวาส เป็นละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดนับตั้งแต่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลเมื่อปี 2558 บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut เรตติ้งเปิดตัวในตอนแรกสูงถึง 6.0รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง
นวนิยายเรื่องบุพเพสันนิวาสของรอมแพงตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2552" ], "answer_begin_position": [ 4367 ], "answer_end_position": [ 4371 ] }
3,269
408,688
บุพเพสันนิวาส บุพเพสันนิวาส เป็นละครโทรทัศน์แนวย้อนยุค ออกฉายครั้งแรกทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เขียนบทโทรทัศน์โดย ศัลยา ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ รอมแพง กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ นำแสดงโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, หลุยส์ สก๊อต, สุษิรา แอนจิลีน่า แน่นหนา, ปรมะ อิ่มอโนทัย และ กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกลเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่อง. เกศสุรางค์นักโบราณคดีสาววัย 25 ปี มีความรู้ ภาษาฝรั่งเศส เป็นอย่างดี เธอมีเพื่อนสนิทที่แอบชอบอยู่คือเรืองฤทธิ์ วันหนึ่งทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ภายหลังจากต้องหนีวิญญาณของหญิงสาวคนหนึ่ง ขณะเดียวกันในรัชกาล สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม่หญิงการะเกดซึ่งเป็นคู่หมั้นคู่หมายของพ่อเดชรู้สึกอิจฉาริษยาต่อแม่หญิงจันทร์วาด บุตรสาวของโกษาเหล็ก เธอจึงสั่งให้บ่าวคนสนิทอย่างนางผินและนางแย้มไปล่มเรือแต่คนที่เสียชีวิตครั้งนี้คือนางแดง บ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดส่วนแม่หญิงจันทร์วาดรอดชีวิต ออกญาโหราธิบดีซึ่งเป็นบิดาของพ่อเดชไม่เชื่อในคำกล่าวหาของลูกชายจึงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่หญิงการะเกดด้วยการร่ายมนต์กฤษณะกาลี ผู้ใดที่คิดร้ายจะสิ้นใจตายซึ่งก็มีผลทำให้แม่หญิงการะเกดสิ้นใจตาย วิญญาณของแม่หญิงการะเกดหลุดออกจากร่างไปพบกับวิญญาณของเกศสุรางค์ แม่หญิงการะเกดสำนึกตัวเอง ขอให้เกศสุรางค์ทำความดีเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าแม่หญิงการะเกดก็ทำความดีได้และกลับไปเข้าร่างแม่หญิงการะเกด พอเกศสุรางค์ตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในร่างแม่หญิงการะเกด เกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกดได้ทำความคุ้นเคยกับพ่อเดช ทำให้พ่อเดชเริ่มคลายความเกลียดชัง ต่อมาแม่หญิงการะเกดได้พบกับหมื่นเรืองราชภักดีซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับเรืองฤทธิ์เพื่อนสนิทในยุคปัจจุบันที่เธอแอบชอบและเกศสุรางค์ยังได้รู้จักกับ "แม่มะลิ" (มารี กีมาร์ / ท้าวทองกีบม้า) ขณะที่คุณพ่อของเธอคือฟานิก ถูกคนของออกหลวงสุรสาคร ข้าราชการชาวกรีกรังแกเพราะหวังจะให้ยกลูกสาวให้ เกศสุรางค์ช่วยโต้เถียงเป็นภาษาฝรั่งเศสจนเป็นที่เป็นเรื่องฮือฮาแต่ในที่สุดแม่มะลิก็ต้องแต่งงานกับออกหลวงสุรสาครหรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน ด้วยความจำใจ จากนั้นเกศสุรางค์ได้กระทำหลายสิ่งหลายอย่างจนเป็นที่โจษจันในหมู่ชาวบ้าน ขณะเดียวกันเกศสุรางค์ยังได้พบกับบุคคลในประวัติศาสตร์อีกหลายท่านอาทิ (ออกหลวงสรศักดิ์ / พระเจ้าเสือ), (ออกพระเพทราชา / สมเด็จพระเพทราชา), (โกษาปาน / พระยาวิสูตรสุนทร), (โกษาเหล็ก) เป็นต้น ต่อมาหมื่นสุนทรเทวาได้อวยยศขึ้นเป็น "ขุนศรีวิสารวาจา" ก็ได้กราบเรียนออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปาผู้เป็นมารดาว่าจะแต่งงานกับเกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกด ทำให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดเสียใจมากและมาตัดพ้อกับเกศสุรางค์ว่าจะแย่งพ่อเดชไปจากตน ทำให้เกศสุรางค์ต้องรับปากแม่หญิงการะเกดด้วยการปฏิเสธไปทั้งๆ ที่รักพ่อเดชแต่ในที่สุดความดีที่เกศสุรางค์ได้ทำไว้ก็ส่งผลให้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดจะได้ไปเกิดใหม่ ทำให้แม่หญิงการะเกดตัดสินใจยกพ่อเดชให้เกศสุรางค์ ต่อมาขุนศรีวิสารวาจาต้องเป็นตรีทูตไปฝรั่งเศส เกศสุรางค์จึงยกหมอนที่ตัวเองหนุนนอนให้ออกขุนศรีไว้ดูต่างหน้ากระทั่งออกขุนศรีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับการอวยยศเป็น "พระศรีวิสารสุนทร" อีกด้านยศหมื่นเรืองราชภักดีได้อวยยศเป็น "ขุนเรืองอภัยภักดี" ก็พยายามจะสานสัมพันธ์กับแม่หญิงจันทร์วาดหลังจากที่โกษาเหล็ก ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหมและควบตำแหน่งเจ้ากรมคลังถูกโบยจนเสียชีวิตเนื่องจากคดีรับสินบนตามคำทูลฟ้องของออกหลวงสุรสาคร ซึ่งต่อมาได้รับการอวยยศเป็น "ออกพระฤทธิ์กำแหง" จนถูกริบทรัพย์แต่คุณหญิงนิ่มภรรยาของโกษาเหล็กและเป็นมารดาของแม่หญิงจันทร์วาดไม่ชอบใจเพราะขุนเรืองเป็นบุตรชายของคุณพระเรือนแพไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน ขุนเรืองจึงขอความช่วยเหลือจากเกศสุรางค์ เธอจึงให้ขุนเรืองหาสิ่งของไปกำนันเพื่อเอาชนะใจคุณหญิงนิ่มจนในที่สุดคุณหญิงนิ่มก็ใจอ่อนยอมยกแม่หญิงจันทร์วาดให้กับขุนเรือง จากนั้นไม่นานขุนเรืองอภัยภักดีก็ได้รับการอวยยศเป็น "ขุนเรืองณรงค์เดชา" วันหนึ่งเกศสุรางค์พบบทสวดมนต์กฤษณะกาลีในห้องทำงานของออกญาโหราธิบดีแต่เมื่อเธอแตะมือลง ทำให้วิญญาณออกจากร่าง พ่อเดชเข้ามาพอดีและเห็นร่างไร้วิญญาณของแม่หญิงการะเกดก็อุ้มนางเข้าไปทำพิธีร่ายมนต์กฤษณะกาลีส่วนวิญญาณของเกศสุรางค์ล่องลอยอยู่ไร้จุดหมาย อาจารย์ชีปะขาวก็อธิบายให้วิญญาณของเกศสุรางค์จนได้รู้ว่าตนเองนั้นมีฝาแฝดและส่งเธอกลับมายังยุคปัจจุบันจนได้พบว่าเรืองฤทธิ์ขอบวชตลอดชีวิต เกศสุรางค์เห็นเงาของพ่อเดชในร่างของเรืองฤทธิ์จึงรู้ว่าเรืองฤทธิ์คือพ่อเดชมาเกิดใหม่ เกศสุรางค์ได้ยินมนต์กฤษณะกาลีอีกครั้ง เธอรู้ว่าไม่สามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้แล้วจึงกราบลาคุณแม่และคุณยายกลับไปยังร่างแม่หญิงการะเกดอีกครั้ง พอฟื้นขึ้นมาในอดีตชาติพบว่าพ่อเดชนั่งท่องมนต์มาหลายวันก็สวมกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น พ่อเดชไม่สนใจว่าเธอเป็นใครมาจากไหนและบอกว่าจะรักเธอตลอดไปนักแสดงงานสร้าง งานสร้าง. บุพเพสันนิวาส เป็นละครรักที่อิงประวัติศาสตร์ ช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ สร้างจากบทประพันธ์ของรอมแพง ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 สร้างโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ผู้สร้างละครเห็นว่า นวนิยาย เนื้อเรื่องโดดเด่น สนุกสนาน ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างยุค ยังมีเรื่องรักโรแมนติก บวกกับการได้เจอประวัติศาสตร์มีชีวิต ผ่านการใช้ชีวิตกับบุคคลในประวัติศาสตร์ยุคนั้น และยังได้เปิดลงโหวตว่า อยากให้นำนวนิยายเรื่องใดมาสร้างเป็นละคร ผลปรากฏว่าเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นได้ผู้เขียนบทคือ ศัลยาหรือ ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ที่เคยเขียนบทละครดังอาทิ นางทาส, คู่กรรม, ดอกส้มสีทอง, ดอกโศก, แค้นเสน่หา, ภาพอาถรรพณ์ และ ทรายสีเพลิง นอกจากนั้นยังเคยเขียนบทละครย้อนยุคอย่าง รัตนโกสินทร์ และ สายโลหิต ศัลยาออกปากว่าเป็นบทที่ยากมาก เพราะถึงจะมีโครงบทประพันธ์ แต่ผู้เขียนบทต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งบทสนทนา ทำให้ละครมีเนื้อเรื่องที่ยาวกว่าหนังสือเสียอีก หลายตัวละครในเรื่อง มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ก็มีเพียงเค้าโครงเท่านั้น ศัลยาจึงกำหนดขึ้นเองให้สอดคล้อง ตราบเท่าที่มีข้อมูล ส่วนที่ยากอีกส่วนคือ ในการเขียนบทละครคือ การวางฉาก คำพูด การแก้ปัญหาความขัดแย้งในละคร กว่าจะเป็นบทละครเรื่องนี้ ต้องเขียนถึงร่างที่ 7 ซึ่งเป็นร่างสุดท้าย โดยใช้เวลาเขียนบทละครนาน 2 ปี และใช้เวลาถ่ายทำนาน 2 ปี และเพื่อความสมจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาคือ เผ่าทอง ทองเจือ และ วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร บรอดคาซท์เลือกผู้กำกับการแสดงคือ ภวัต พนังคศิริ เพราะเห็นว่ากำกับละครได้หลายแนว และยังเคยทำละครย้อนยุคอย่าง บ่วง ภวัตมีความละเอียดในการถ่ายทำซึ่งเหมาะกับ บุพเพสันนิวาส ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยรายล้อมมากมาย สำหรับการคัดเลือกนักแสดงนั้น การเลือก ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาเป็น หมื่นสุนทรเทวา เพราะเห็นว่า มีบุคลิกดูอบอุ่นเข้ากับบุคลิกพระเอก สำหรับบทนี้ เคยวางไว้ว่าเป็น เจษฎาภรณ์ ผลดี ขณะที่ราณี แคมเปน มารับบทเกศสุรางค์และแม่หญิงการะเกด เพราะมองว่าน่าจะเล่นบทบาทเป็นหลายคน หลายบุคลิกได้ แต่ก่อนหน้านั้น บทนี้เคยวางตัวให้อารยา เอ ฮาร์เก็ต เป็นผู้แสดง แต่ปฏิเสธไป เนื่องจากโตเกินบท ต่อมาผู้สร้างทาบทาม ณฐพร เตมีรักษ์ แต่ท้ายสุดบทนี้ตกเป็นของ ราณี แคมเปน ในการถ่ายทอดละครจากบทประพันธ์และบทละครมาเป็นละคร ผู้กำกับยังหาข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทละคร สิ่งที่ภวัต ว่ายากคือการตีความความรู้สึกและเป็นกลางที่สุดในฉากประวัติศาสตร์ โดยตนตั้งใจที่สร้างคาแร็กเตอร์ในตัวละคร ให้คนดูจำและสัมผัสได้ ถึงแม้ว่าจะมาเพียงนิดเดียว เช่น ฉากที่พระเพทราชาและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เถียงกันกลางท้องพระโรง หรือ อย่างฉากที่คลังสินค้าของอังกฤษถูกเผา ซึ่งในนวนิยายเขียนว่า ขุนเรือง หลวงสรศักดิ์ เป็นคนไปเผา จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทำไมเผา ใครเป็นคนเผา ถึงแม้ในข้อมูลจะไม่ได้บอกว่าใครเผา แต่ก็ต้องหาเหตุผลให้คนดูยอมรับได้ ในการเนรมิตฉากต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา มีการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างหนัก ทำเป็นสตอรีบอร์ดก่อนถ่ายทำ โดยสถานที่ถ่ายทำที่มีอยู่จริง เช่น กำแพงเมือง หรือวัดไชยวัฒนาราม ก็เก่าแก่ ต้องทำขึ้นใหม่ให้เหมือนบทประพันธ์ ส่วนฉากที่ไม่หลงเหลือแล้ว ก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคการสร้างภาพ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากที่ต้องสวยและถูกต้องตามประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เรือนไทย ที่เป็นฉากหลักก็ดูหรูหราเหมาะกับตำแหน่งของครอบครัวพระเอก มีข้าวของ ตามแบบยุคอยุธยาวางอยู่ นอกจากนั้น ในฉากที่สะท้อนวัฒนธรรม เช่น ฉากการทำขนมหวาน ก็เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการทำขนมไทยโบราณมาทำให้ หรือฉากคุณหญิงจำปาสอนการเรือนการะเกด ก็ได้เห็นผักแกะสลักอลังการ นอกจากนั้นยังมีฉากที่ลงทุนแรงงานสร้างอย่างมากเช่น ฉากตลาดจีน ที่สร้างทั้งตลาดขึ้นมาเพื่อการถ่ายทำจริงฉากเดียว ใช้เวลาถ่ายในสตูดิโอ 2 วัน แต่ออกมาเพียง 2 นาที รวมถึงฉากท้องพระโรงที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ที่ทางค่ายตั้งใจสร้างออกมาให้สวยเหมือนภาพในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เรียนกัน สถานที่ถ่ายทำในเรื่องฉากอื่น เช่น เมืองโบราณ ฉากในเรือ พายเรือ มีการสร้างท่าน้ำขึ้นมาใหม่ในช่อง 3 หนองแขม ส่วนเครื่องแต่งกายตัวละคร ผู้ออกแบบชุดแต่งกายคือ กิจจา ลาโพธิ์ ที่เคยออกแบบให้ละครเรื่อง ขุนศึก, ลูกทาส, ข้าบดินทร์ กิจจาที่ได้ออกแบบจากการค้นคว้าข้อมูลจากบันทึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม พงศาวดาร ภาพเขียนจิตรกรรม สมุดข่อย สมุดไทย หรือแม้แต่ตู้พระธรรมเขียนลายทองเก็บหนังสือใบลาน โดยได้ออกแบบใหม่หมดตั้งแต่สี ลายผ้า เครื่องประดับจนถึงหัวเข็มขัด ตามบุคลิกตัวละครและตามยศศักดิ์ ผู้หญิงใส่สไบ ใส่เครื่องทอง มีทั้งโจงกระเบน เสื้อคอตั้ง เสื้อแขนกระบอก การแต่งกายในวาระต่าง ๆ ด้วย มีการออกแบบลายผ้าขึ้นมาใหม่ และชุดแต่งงานเครื่องทอง นอกจากนี้ ทรงผมแต่ละคนก็อ้างอิงจากทรงผมจริงสมัยอยุธยา ดนตรีประกอบมีทั้งขลุ่ย ซออู้ ขิม ซึ่งได้ผู้เล่นดนตรีไทยฝีมือระดับครูมาทำดนตรีประกอบให้ เนื่องจาก บุพเพสันนิวาส ประสบความสำเร็จอย่างสูงทำให้ช่อง 3 ประกาศทำ บุพเพสันนิวาส ฉบับพิเศษ ออกอากาศต่อเนื่องในวันที่ 12, 18 และ 19 เมษายน 2561 จำนวน 3 ตอน สำหรับฉบับพิเศษนี้เป็นการตัดต่อย่อจากฉบับเดิม เล่าเรื่องราวความรักที่เริ่มจากความเกลียดชังจนกลายเป็นความรักในมุมมองของการะเกดและพ่อเดช และเพิ่มภาพเบื้องหลังการถ่ายทำนานขึ้นกว่าเดิมด้วย หลังจากนั้น 1 เดือน สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็นำ บุพเพสันนิวาส มารีรันซ้ำอีกครั้งในช่วงละครเย็น วันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.05-20.05 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45-19.45 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป การออกอากาศครั้งนี้ได้มีการตัดต่อเนื้อหาใหม่ทั้งหมดโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เปลี่ยนไตเติลเป็นคอนเซ็ปต์ สุริยัน-จันทรา พร้อมเรียบเรียงซาวน์ประกอบและเพิ่มฉากที่ถูกตัดออกไปในการออกอากาศครั้งแรก จนกลายเป็นฉบับสมบูรณ์ที่สุด ใช้ชื่อว่า บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cutเพลงประกอบ เพลงประกอบ. เพลงประกอบละคร "บุพเพสันนิวาส" มี 4 เพลงคือเพลง "เพียงสบตา" ขับร้องโดย ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ แต่งเพลงโดย ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ เพลงนี้ลิเดียได้ออกแบบการร้องผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปในเพลงด้วย อีก 3 เพลงคือเพลง "ออเจ้าเอย" ขับร้องโดย พีท พล, เพลง "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา, เพลง "บุพเพสันนิวาส" ขับร้องโดย ไอซ์ ศรัณยู วินัยพานิช แต่งเพลงโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ โดยเพลง "บุพเพสันนิวาส" เป็นเพลงหลักของเรื่องที่สื่อเนื้อหาถึงสายใยความรัก ความผูกพันของคู่รักที่เกิดมาเคียงคู่กันเปรียบดั่งเป็นบุพเพสันนิวาส ส่วนเพลง "ออเจ้าเอย" ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ผู้บริหารค่ายเพลง Chanderlier Music ให้ วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ แต่งหลังจากคำว่า "ออเจ้า" เป็นคำพูดติดปากกันทั่วเมือง มีรูปแบบการร้องที่มีการเอื้อนเอ่ยแบบเพลงไทยเดิม ภาคดนตรีที่มีท่วงทำนองแบบไทยร่วมสมัยและมีเสียงซอสีคลอไปตลอดทั้งเพลง เพลงประกอบละครบุพเพสันนิวาสนอกจากจะโด่งดังใน ประเทศไทย แล้ว ใน ประเทศกัมพูชา เพลง "ออเจ้าเอย" ยังขึ้นอันดับที่ 1 บน ไอจูนส์ ตามมาด้วยเพลง "บุพเพสันนิวาส" อยู่อันดับที่ 2 และเพลง "เพียงสบตา" อยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561 และเพลงที่ 4 "เธอหนอเธอ" ขับร้องโดย แนน วาทิยา ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของแม่หญิงการะเกดที่มีต่อคุณพี่เดช สำหรับบทเพลง "จันทร์" ที่ขับร้องโดย โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา ในสังกัดของ อาร์เอส ที่ปรากฏในนิยาย แต่ไม่ปรากฏในละครเนื่องจากติดลิขสิทธิ์จากค่ายต้นสังกัด ทำให้ในละครเปลี่ยนจากร้องเพลง "จันทร์" มาร้องเพลง "ออเจ้าเอย" แทน นอกจากนี้ยังมีเพลง "ออเจ้าเอย" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ "เธอหนอเธอ" เวอร์ชันพิเศษที่ขับร้องโดย ราณี แคมเปน เพิ่มมาในบุพเพสันนิวาสฉบับพิเศษอีกด้วยดีวีดีและซีดี ดีวีดีและซีดี. ดีวีดีของละคร บุพเพสันนิวาส ออกวางจำหน่าย วันที่ 11 เมษายน ดีวีดี 1 ชุดมี 11 แผ่น ประกอบด้วยละคร เบื้องหลังการถ่ายทำ เปิดกองละคร มิวสิกวิดีโอ 4 เพลง รายการ บุพเพสันนิวาสวันละคำ และสมุดภาพ 16 หน้า ส่วนซีดีเพลงประกอบละคร นอกเหนือจากเพลง 4 เพลงที่ประกอบละครแล้วยังมีเพลงบรรเลงพิเศษและแบ็กกิงแทร็ก (backing track) พร้อมรูปภาพนักแสดง Photobook และโปสการ์ดสุ่มรูปนักแสดงนำ 6 แบบการตอบรับคำวิจารณ์และความสมจริง การตอบรับ. คำวิจารณ์และความสมจริง. แม้ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จะสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของผู้ชมเป็นหลัก แต่ก็ยังมีผู้ให้ข้อติติงไว้ ทั้งในเรื่องความสมจริงทางการเมืองและด้านศิลปะวัฒนธรรม วรรษชล ศิริจันทนันท์ นักเขียนจากเดอะโมเมนตัม เอาแนวคิดประวัติศาสตร์การเมืองฝ่ายซ้ายวิเคราะห์ละครเรื่องนี้ไว้ว่า เป็นละครหลังข่าวที่แม้จะยังคงความสนุกและความบันเทิง "แต่ก็ยังมี 'คราบ' ของอุดมการณ์ชาตินิยมและการชื่นชมความสงบสุขของอยุธยาแทรกเข้ามาอยู่เป็นระยะ จนผู้ชมเกิดอารมณ์โหยหาอดีต" โดยวรรษชลโต้แย้งว่า บุพเพสันนิวาส นำเสนอภาพในอดีตที่มองข้ามความขัดแย้งของคนไทยในราชสำนัก โดยนำเสนอว่าสังคมและวัฒนธรรมของอยุธยาเป็นสังคมที่ "สงบสุข ไม่มีการคอรัปชั่น และมีฝรั่งเป็นส่วนเกิน" เพื่อสนองความปรารถนาของผู้ชมบางส่วนซึ่ง "ไม่พอใจในปัจจุบันอันแสนจะวุ่นวาย เต็มไปด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และไร้ซึ่งความปรองดอง จนเกิดความโหยหาอดีต" นฤเบศ กูโน ผู้กำกับและนักเขียนบทละคร แสดงความเห็นว่าเพราะความสำเร็จของละครเกิดจากบทละครที่ดีและเคมีของนักแสดงที่เข้ากัน ขณะที่วัฒนธรรมการดูละครของคนไทยมีความคล้ายคลึงกับคนเกาหลี คือ ชื่นชอบละครตลก พระนางไม่ถูกกัน มีบทพูดเชือดเฉือน แต่แอบแสดงออกเล็กน้อยว่ารัก ส่วนเว็บไซต์สนุก.คอม วิเคราะห์ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ว่า "สะท้อนให้เห็นสูตรสำเร็จของละคร และการนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยผ่านละครแนวใหม่ ที่มีความเข้ากันของพระนางเป็นตัวชูโรง จนสร้างความน่าสนใจในประวัติศาสตร์ไทยให้กับคนรุ่นใหม่ให้หันกลับมามองมากขึ้น" ด้านงานออกแบบงานสร้าง มติชน วิจารณ์ว่า "อยู่ในมาตรฐานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากที่นำเสนอฉากสมเด็จพระนารายณ์ทรงโน้มกายรับพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จากเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศส ตามรอยภาพวาดโบราณซึ่งหลายคนคุ้นตาเป็นอย่างดี" เนื่องจากเป็นละครที่มีฉากหลังอิงประวัติศาสตร์ จึงได้รับคำวิจารณ์เรื่องความสมจริง ลุพธ์ อุตมะ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย วิจารณ์ว่า "เครื่องนุ่งห่มในเรื่องนี้ ในส่วนของชาวสยามมีการวิจัยและจัดทำได้สวยงามเหมาะสม แม้ว่าจะมีการใช้ผ้านุ่งจากประเทศราช และหัวเมืองทางเหนือมาใช้ร่วมด้วย เป็นการสื่อสารได้อย่างดีถึงความสัมพันธ์ของผู้คนและชาติพันธุ์ในสมัยนั้น ทว่าตัวละครที่ไม่ใช่คนสยามนั้นกลับพบว่ามีข้อบกพร่อง เรื่องการออกแบบ การตัดเย็บและการใช้ผ้าที่ถูกลักษณะ" โดยเขาชี้ข้อบกพร่อง อย่างเช่น คอนสแตนติน ฟอลคอน และมาเรีย กีมาร์ เนื่องจากรูปแบบหรือ แพทเทิร์นเป็นแบบสมัยใหม่และผิดสัดส่วนเป็นอย่างมาก กิจจา ลาโพธิ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายในละคร ชี้แจงว่า เสื้อผ้าชาวต่างชาติในละครเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง การออกแบบพัฒนาขึ้นจากข้อมูลที่ค้นคว้า และพยายามที่จะทำให้ใกล้เคียงกับความเป็นข้อเท็จจริงมากที่สุด แต่ก็ได้เพิ่มรายละเอียดเพื่อความสวยงามและให้เหมาะสมกับตัวนักแสดง นอกจากนี้ทางสถานีที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครเอกให้ดูแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น จึงเป็นเหตุให้ตัวละครเหล่านี้ฟันไม่ดำ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบข้อผิดพลาดในด้านรายละเอียด ชี้ว่า อย่างฉากที่เห็นป้อมเพชร พิจารณาในช่วงเวลาในบทประพันธ์ และดูหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ สภาพของป้อมน่าจะทรุดโทรมมาก หรือไม่ก็ กำลังได้รับการปรับปรุงโดยนายช่างฝรั่งเศสชื่อ เดอ ลามาร์การสำรวจความเห็น การสำรวจความเห็น. จากการสำรวจแบบสอบถามสวนดุสิตโพล จำนวนทั้งสิ้น 1,272 คนระหว่างวันที่ 10-14 เมษายน 2561 สำรวจเรื่อง "ละคร บุพเพสันนิวาส ในทัศนะประชาชน" จากหัวข้อประชาชนคิดอย่างไร กับละคร บุพเพสันนิวาส โดยอันดับ 1 เห็นว่าละคร สนุกสนาน ให้ทั้งข้อคิดและความบันเทิง จากการสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล จำนวนทั้งสิ้น 1,185 คน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10-16 มีนาคม เมื่อสอบถามถึงตัวละคร บุพเพสันนิวาส ที่แสดงได้ดีที่สุด พบว่า ร้อยละ 54.4 ระบุราณี รองลงมาคือร้อยละ 21.1 ระบุธนวรรธน์กระแสตอบรับในต่างประเทศ กระแสตอบรับในต่างประเทศ. นอกจากจะได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยแล้ว ละคร บุพเพสันนิวาส ยังโด่งดังใน weibo หรือสื่อสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนอีกด้วย โดยมีการกล่าวถึง บุพเพสันนิวาส ในแฮชแท็ก 泰剧天生一对 จนขึ้นเทรนด์อันดับ 1 มียอดผู้ชมชาวจีนดูละคร บุพเพสันนิวาส แบบสดออนไลน์ผ่านทางช่อง HBO กว่า 100,000 คน และมีการทำซับไตเติลภาษาจีนให้ละครเรื่องนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ซื้อขายลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการและไม่มีการโปรโมตแบบเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นหลังละคร บุพเพสันนิวาส จบไปสามสัปดาห์ แฮชแท็ก 泰剧天生一对 ก็ยังคงทะยานขึ้นอันดับ 1 ใน weibo อีกครั้งด้วยยอดวิวสูงกว่า 900 ล้านครั้ง ประเทศกัมพูชาได้ซื้อลิขสิทธิ์ละคร บุพเพสันนิวาส ไปแพร่ภาพแล้ว โดยจะออกอากาศทางช่อง PNN TV ใช้ชื่อเรื่องว่า បុព្វេសន្និវាស เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2561 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 2 รอบ เวลา 18.00-19.00 น. และ 22.00-23.00 น.ผลสืบเนื่อง ผลสืบเนื่อง. จากความโด่งดังของละคร ทำให้มีการจัดทัวร์การท่องเที่ยว เช่น ที่วัดไชยวัฒนาราม รวมถึงโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ก่อนละครออกอากาศ วันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว 800-900 คนต่อวัน แต่หลังละครออกอากาศ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นเฉลี่ยวันละ 4,000 คน ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ เดิมมีนักท่องเที่ยวราว 3,300 คน เมื่อละครออกอากาศ เพิ่มขึ้นเป็น 18,300 คน นักท่องเที่ยวยังนิยมแต่งชุดไทยมายังสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึงวันละ 2,000-3,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ยังมีการจัดการท่องเที่ยวในสถานที่เป็นฉากของละคร เช่น อยุธยา ลพบุรี โดยมีมัคคุเทศก์เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อยุธยา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ในช่วงที่ละครออกอากาศ เศรษฐกิจพระนครศรีอยุธยาขยายตัว 33% มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศถึง 2% ของจีดีพี หรือราว 300,000 ล้านบาท จากผลผลิตมวลรวมที่ 15 ล้านล้านบาท ทางด้านการตลาด ตราสินค้าต่าง ๆ อาศัยเนื้อหาในละครเชื่อมโยงกับตราสินค้า ดังจะเห็นได้จากตราสินค้าและเพจบนเฟซบุ๊กต่าง ๆ เล่นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับละคร แบบการตลาดแบบทันกาล (real-time marketing) เช่นประเด็น หมูกระทะ, กุ้งย่าง, มะม่วงน้ำปลาหวาน, หมูสร่ง, ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง, ออเจ้า ฯลฯเรตติ้ง เรตติ้ง. สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ลงผัง บุพเพสันนิวาส คืนวันพุธและพฤหัส ในช่วงไพรม์ไทม์ เวลา 20.20-22.50 น. กลยุทธ์ที่ช่อง 3 นำมาใช้คือ เนื้อหาละครช่วงแรกมีความยาว 25 นาที เพื่อให้ลงโฆษณาได้อย่างเต็มที่ และค่อย ๆ ลดช่วงละครลงจนเบรกที่ 9 เบรกสุดท้าย ลดเวลาเหลือเพียง 6 นาที เพื่อยึดให้คนดูไว้ให้นานที่สุด ออกอากาศวันแรก เรตติ้งทั่วประเทศจากการสำรวจของ AGB Nielsen ในช่วงละครหลังข่าว เป็นอันดับ 3 มีเรตติ้ง 3.4 เป็นรองอันดับ 1 มือปราบเหยี่ยวดำ ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นละครบู๊ มีเรตติ้ง 5.5 และอันดับ 2 เรือนเบญจพิษ ทางช่องวัน ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของละคร มีเรตติ้ง 3.7 ต่อมาในตอนที่ 2 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศขึ้นมาอันดับ 2 ยังคงเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ แต่เรตติ้งเรื่องดังกล่าวลดลงจาก 5.5 มายัง 4.9 แต่เรตติ้งของ บุพเพสันนิวาส ในกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดเป็นอันดับ 1 แต่พื้นที่เขตนอกเมืองเป็นรอง มือปราบเหยี่ยวดำ จนในตอนที่ 3 เรตติ้งทั่วประเทศ บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้ง 7.3 แซง มือปราบเหยี่ยวดำ ที่มีเรตติ้ง 5.4 เรตติ้งตอนที่ 4 เรตติ้งทั่วประเทศคือ 8.2 มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรก 5.964 เป็นรองเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 4 ตอนแรกของ นาคี ในปี 2559 ที่ 7.713 เรตติ้งเฉลี่ย 4 ตอนของ บุพเพสันนิวาส มีผู้ชมผู้หญิงถึง 7.707 ส่วนผู้ชาย 4.136 จาก 6 ตอนแรก มีเรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ 8.005 โดยกลุ่มอายุผู้ชม ที่รับชมมากที่สุดใน 6 ตอนแรกคือ 35-39 ปี รองลงมาคือ 40-49 ปี ตอนที่ 7 บุพเพสันนิวาส ยังคงมีเรตติ้งทั่วประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ 14.8 ขณะเดียวกันช่อง 7 มีละครเรื่องใหม่ออกฉายวันแรกเรื่อง ชาติลำชี ซึ่งเป็นละครเพลงแนวบู๊ เปิดตัวที่ 3.6 ในตอนที่ 10 ยังมีเรตติ้งทั่วประเทศดีอยู่ที่ 16.0 แม้ทางช่องไทยรัฐทีวีจะถ่ายทอดสดฟุตบอลคิงส์คัพ นัดฟุตบอลทีมชาติกาบองพบฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มีเรตติ้ง 3.0 ในตอนที่ 11 บุพเพสันนิวาส มีเรตติ้งทั่วประเทศ 17.4 ได้สร้างสถิติละครที่มีเรตติ้งสุงสุดนับตั้งแต่มีทีวีดิจิตัลในปี 2557 หลังจากนั้นเรตติ้งทั่วประเทศหยุดนิ่งอยู่ที่ 17.4 ในตอนที่ 12 และ 13 รวมสามตอนติดต่อกัน ก่อนจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 17.9 ในตอนที่ 14 และสำหรับตอนจบ ตอนที่ 15 นั้น มีเรตติ้งทั่วประเทศสูงสุดกว่าทุกตอน ที่ 18.6 หรือมีคนดูเฉลี่ย 12.2 ล้านคน และเรตติ้งเฉลี่ยทุกตอนอยู่ที่ 13.247 หรือมีคนดูเฉลี่ย 8.8 ล้านคนต่อตอน ซึ่งเอาชนะเรตติ้งเฉลี่ยละคร นางชฎา ในปี 2558 ของช่อง 7 ที่ 11.465 และ นาคี ในปี 2559 ของช่อง 3 ที่ 10.927 ทำให้ บุพเพสันนิวาส เป็นละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดนับตั้งแต่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลเมื่อปี 2558 บุพเพสันนิวาส ฉบับจัดเต็ม หรือ บุพเพสันนิวาส ฉบับ Director's Cut เรตติ้งเปิดตัวในตอนแรกสูงถึง 6.0รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิง
นวนิยายเรื่องบุพเพสันนิวาสของรอมแพงเป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องในยุคกษัตริย์ไทยองค์ใด
{ "answer": [ "สมเด็จพระนารายณ์" ], "answer_begin_position": [ 4294 ], "answer_end_position": [ 4310 ] }
3,270
105,038
ประเพณีวิ่งควาย ทุกๆปีพอถึงช่วงใกล้วันออกพรรษา จังหวัดชลบุรีจะจัดงานประเพณีวิ่งควายขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดชลบุรีที่มีการจัดมากว่า 100 ปีมานานกว่าทีาจะคิด อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000124780
ประเพณีวิ่งควายเป็นประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดใดในประเทศไทย
{ "answer": [ "ชลบุรี" ], "answer_begin_position": [ 226 ], "answer_end_position": [ 232 ] }
3,271
200,873
กุ้งกุลาดำ กุ้งกุลาดำ หรือ กุ้งม้าลาย (; ) เป็นกุ้งทะเล ขนาดประมาณ 18 - 25 เซนติเมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์ Penaeidae อาศัยอยู่ในเขตร้อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์แตกต่างกันหลายชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ แต่ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป คือ Penaeus monodon Frabricius และมีชื่อภาษาอังกฤษที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ใช้อยู่คือ Giant Tiger Prawn ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึก ห่างออกจากฝั่งและชอบพื้นทะเลที่เป็นดินทราย สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงและความเค็มต่ำ เช่น บริเวณป่าชายเลนได้ดี และหาอาหารจำพวกแพลงก์ตอน, หนอน, แมลงน้ำลักษณะทั่วไป ลักษณะทั่วไป. กุ้งกุลาดำมีหนวดลายจางมากไม่เด่นชัด แก้มอยู่ในแนวระนาบ และสันที่อยู่สองข้างโคนกรี ยาวเกือบถึงฟันกรีอันหลังสุด ซึ่งมีสันแนวข้างเฉียงชี้ไปทางนัยน์ตา นอกจากนี้มีลักษณะอื่น ๆ ที่เด่นชัดคือ ลำตัวสีแดงอมน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม เป็นเปลือกเกลี้ยงไม่มีขน มีลายพาดขวางด้านหลังประมาณ 9 ลาย และสีออกน้ำตาลเข้มข้างแถบสีขาว ด้านบนของกรีมีฟัน 6-8 ซี่ ด้านล่างมี 2-4 ซี่ ขอบปลายหางและขาว่ายน้ำมีขนสีแดง และมีขนาดตัวประมาณ 18 - 25 เซนติเมตร สันกรียาวเกือบถึงคาราเปสมีสันตับ (Hepatic Crest) ยาวตรงขนานไปกับลำตัว หนวดยาวสีดำไม่มีลายชัดเจน ขาเดินมีสีแดงปนดำ ขาว่ายน้ำมีสีน้ำตาลปนน้ำเงิน โคนสีขาว ขาเดินคู่ที่ห้าไม่มี exopod มี ลักษณะสำคัญในการจำแนกชนิด ดังนี้ 1. ลำตัว มีแถบสีพาดขวาง แบ่งเป็นข้อปล้องชัดเจน สันที่ส่วนหลังของกรี (Postrostral Ridge) ไม่มีร่องกลาง สันที่เฮพพาติดยาวโค้ง 2. สี ขณะที่มีชีวิต กุ้งกุลาดำโตเต็มวัย ลำตัวสีเข้ม (น้ำตาลเข้ม) ส่วนของเปลือกคลุมหัวและลำตัวด้านบน มีแถบสีอ่อนพาดขวางสลับกับแถบสีน้ำตาลเข้มเกือบดำตลอดตัว ส่วนที่เหลือสีน้ำตาลอ่อนสลับกัน ในวัยรุ่นหรือยังไม่โตเต็มที่อาจเป็นสีฟ้าอมน้ำเงิน หรือมีลายขวางตลอดลำตัว 3. การแพร่กระจาย กุ้งกุลาดำพบแพร่กระจายทั่วไปในเขต Indo-west Pacific ตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถานถึงประเทศญี่ปุ่น หมู่เกาะมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย นิวกีนีถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย ออสเตรเลียถึงตอนเหนือของอ่าวมอริตัน ประเทศ ควีนสแลนด์ และประเทศไทย 4. ที่อยู่อาศัย (Habitat) กุ้งกุลาดำโตเต็มวัยชอบอาศัยพื้นดินโคลน โคลนปนทรายในทะเลลึก วัยอ่อนเป็นแพลงก์ตอนว่ายน้ำได้อย่างอิสระ วัยรุ่นเคลื่อนย้ายเข้าสู่ชายฝั่งเพื่อเลี้ยงตัว และเดินทางกลับสู่ทะเลเมื่อโตเต็มวัย เพื่อผสมพันธุ์ 5. ขนาด กุ้งกุลาดำ เป็นกุ้งที่มีขนาดโตมากที่สุดยาวถึง 36.3 เซนติเมตร (363 มิลลิเมตร) จึงได้สมญานาม จัมโบ้ หรือ ไทเกอร์ ตามปรกติกุ้งเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้ถิ่นอาศัย ถิ่นอาศัย. กุ้งกุลาดำอาศัยอยู่ทั่วไปในทวีปเอเชีย ในประเทศไทยพบแพร่กระจายทั่วไปในอ่าวไทย แต่จะพบมากบริเวณเกาะช้าง บริเวณนอกฝั่งจังหวัดชุมพรถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชและทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย (ทะเลอันดามัน) บริเวณนอกฝั่งของจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดระนอง ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีพื้นดินเป็นทรายปนโคน ส่วนแหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทะเลแถบอินโดแปซิกฟิกตะวันตก อัฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ และคาบสมุทรอินเดีย ลักษณะของกุ้งกุลาดำวัยรุ่นอาศัยตามปากแม่น้ำ และเมื่อเต็มวัยชอบอาศัยในทะเลที่มีพื้นที่มีโคลนปนทราย ระดับความลึกไม่เกิน 110 เมตร กุ้งกุลาดำชอบฝังตัวในเวลากลางวันและหากินในเวลาคืน วางไข่ได้ตลอดทั้งปี แต่วางไข่ชุกชุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ในแถบน้ำกร่อยกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์มีความแข็งแรงและทนทานประโยชน์ ประโยชน์. เพาะเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้บริโภคในประเทศ และส่งไปจำหน่ายต่างประเทศการสืบพันธุ์ การคัดพันธุ์ และพันธุศาสตร์ของกุ้ง การสืบพันธุ์ การคัดพันธุ์ และพันธุศาสตร์ของกุ้ง. กุ้งมีอวัยวะเพศภายนอกมองเห็นได้ชัดเจน และสามารถใช้ลักษณะความแตกต่างของอวัยวะเพศในการจำแนกชนิดได้ อวัยวะเพศผู้ เรียก พีแตสม่า (Ptasma) เกิดจากการเปลี่ยนแขนงอันในของขาว่ายน้ำคู่แรก ทั้ง 2 ข้างเชื่อมติดกัน เพื่อทำหน้าที่เป็นอวัยวะเพศผู้ อวัยวะเพศเมียเรียกทีไลคัม (Phelycum) เกิดจากการเปลี่ยนผนังด้านท้อง (Sternal Plate) ของระยางค์ส่วนอกปล้องที่ 7 และ 8 หรือตรงกับขาเดินคู่ที่ 4 ถึง 5 พัฒนาเป็นถุงสำหรับรับน้ำเชื้อ วัยเจริญพันธุ์ (Maturation) หมายถึง รังไข่หรืออวัยวะที่ใช้ในการผสมพันธุ์พัฒนาเต็มที่ในการผลิตไข่ (Egg) หรือน้ำเชื้อ (Sperm) พร้อมที่จะผสมพันธุ์ โดยใช้อวัยวะภายนอกในพวก "Penaeids" เพศผู้ (Petasma) และเพศเมีย (Thelycum) เมื่อลอกคราบเพื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์อวัยวะเพศทั้ง 2 เพศ เจริญดีแล้วการผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นภายหลังจากตัวเมียลอกคราบใหม่ ในการคัดพันธุ์กุ้ง แม้ว่าการทำ Individual Selection หรือ Mass Selection จะทำได้ง่าย ต้นทุนต่ำ ทดสอบและบันทึกผลได้ง่าย แต่การคัดพันธุ์แบบนี้ไม่สามารถหา "Interval" ระหว่าง Generation ได้ จึงควรใช้วิธีการคัดพันธุ์แบบ Family Selection ควบคู่ไปกับการทดสอบ Progeny อย่างต่อเนื่องทั้งแบบ Full Sib และ Half Sib ในการศึกษาพันธุศาสตร์ประชากรกุ้ง กระทำโดย มีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกกลุ่มประชาการตามความถี่ของยีน (Gene Frequency) และมีการเปลี่ยน แปลงความถี่เนื่องจากสาเหตุต่างๆ ข้อมูลที่ได้เหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น การจัดการเพื่อการอนุรักษ์ การปรับปรุงพันธุ์ การศึกษาอนุกรมวิธานและวิวัฒนาการ เป็นต้น การศึกษาพันธุศาสตร์ประชากรกุ้งกุลาดำจะทำให้ทราบว่ากุ้งกุลาดำในธรรมชาติ แต่ละแหล่งประกอบด้วยประชากรที่กลุ่มเพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการจัดการ ผสมพันธุ์ป้องกันการผสมเลือดชิด และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์สำหรับการสร้าง Domesticated Broodstock ต่อไปตลาดกุ้ง ตลาดกุ้ง. ตลาดกุ้งกุลาดำในปัจจุบันเป็นตลาดที่นับว่าดีมาก เนื่องจากความต้องการของทั้งตลาดภายในประเทศและภายนอกประเทศมีมาก ประกอบกับผลผลิตที่น้อยลง ทำให้ราคากุ้งกุลาดำมีราคาค่อนข้างสูง ตลาดกุ้งที่สำคัญได้แก่ 1. ห้องเย็น เป็นตลาดที่ต้องการกุ้งทะเลที่มีขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศในยุโรป 2. สะพานปลา เป็นตลาดกุ้งภายในประเทศ โดยใช้วิธีประมูลราคาซึ่งราคากุ้งจะขึ้นอยู่กับปริมาณกุ้งที่เข้ามาในแต่ละวัน นอกจากตลาดทั้ง 2 แห่งแล้วยังมีภัตตาคารหรือห้องอาหารที่ต้องการกุ้งเป็นๆ โดยจะออกรับซื้อตามปากบ่อ ซึ่งจะให้ราคาสูงแต่ปริมาณความต้องการไม่มากนักและไม่แน่นอนในแต่ละวันการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ. การเลือกสถานที่ การเลือกสถานที่นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมความสำเร็จ ประกอบด้วยปัจจัยหลายประการซึ่งเป็นองค์ประกอบในการตัดสินว่าพื้นที่ใดเหมาะสมต่อการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทั้งยังเป็นส่วนช่วยในการเพิ่มมาตรการป้องกันความเสียหายในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ปัจจัยซึ่งจะช่วยพิจารณามีดังนี้ 1.คุณภาพดิน โดย บ่อกุ้งกุลาดำที่ดีควรจะเป็นดินปนทรายและมีสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 6.5-8.5 มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำได้ดี และคันดินไม่พังทลายง่าย 2.คุณภาพน้ำ แหล่งน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงควรมีคุณภาพดี สะอาด ปราศจากสารเคมี สารพิษ ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และแหล่งชุมชน ยาฆ่าแมลง และของเสียจากโรงเลี้ยงสัตว์อื่นๆ ซึ่งมีสารอินทรีย์เน่าเปื่อยจากพืชและสัตว์ ซึ่งจะทำให้ออกซิเจนซึ่งจำเป็นต่อการหายใจในน้ำลดต่ำลง กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อที่ไม่ต้องการอีกด้วย แหล่งน้ำที่ใช้ควรมีปริมาณเพียงพอต่อการสูบใช้ตลอดทั้งปีและมีความเค็มที่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการส่งน้ำเข้าบ่อเลี้ยงได้โดยไม่ต้องสูบน้ำจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี 3.แหล่งพันธุ์กุ้ง พื้นที่เลี้ยงควรอยู่ใกล้หรือไม่ห่างจากแหล่งพันธุ์กุ้งกุลาดำ ทำให้สะดวกในการจัดหาลูกพันธุ์และการลำเลียงขนส่งซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกกุ้งด้วย 4.สาธารณูปโภค หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่จำเป็นอย่างมากต่อการเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี เช่น ถนน ไฟฟ้า เพื่อสะดวกในการขนส่งอาหาร ผลผลิต การเตรียมอาหารหรือการเพิ่มออกซิเจนในบ่อเลี้ยงโดยการใช้เครื่องตีน้ำ 5.ตลาด ใน ปัจจุบันมีพ่อค้ามารับซื้อกุ้งกุลาดำถึงปากบ่ออยู่มากพอสมควร หรือทำการติดต่อห้องเย็นให้มาซื้อกุ้ง การเตรียมบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 1. บ่อเลี้ยงที่ขุดใหม่ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ความลาดชันของบ่อ บ่อที่มีความลาดชันมากจะเกิดปัญหามากกว่าบ่อที่มีความลาดชันน้อยเนื่องจากส่วนที่มีความลาดชันมากๆมีพื้นที่บ่อที่รับแสงมาก จะทำให้เกิดขี้แดดและตะไคร่น้ำอย่างรวดเร็วจึงก่อให้เกิดปัญหาพื้นบ่อเสื่อมโทรมได้เร็วกว่าบ่อที่มีความลาดชันน้อย ตรวจความเป็นกรด-ด่างของดิน พื้นบ่อที่มีความลึก 30-50 ซม.ถ้ามีค่าความเป็นกรด-ด่างต่ำกว่า 8.0 ให้โรยปูนมาร์ล 50 กิโลกรัมต่อไร่ ตากไว้ให้แห้งประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะล้างบ่อหรือไม่ล้างก็ได้ แล้วจึงปล่อยน้ำจากบ่อพักเข้ามาในบ่อเลี้ยงที่สอง บ่อเก่าหรือบ่อที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้ว การกำจัดศัตรูในบ่อเลี้ยง ในกรณีที่บ่อไม่สามารถตากให้แห้งได้อาจเป็นเพราะบ่อมีการรั่วซึมจะใช้กากชาโรยบริเวณที่มีน้ำขังอยู่ในปริมาณ 20 กิโลกรัมต่อไร่ ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จึงใช้ไดรโว่หรือท่อพญานาคดูดน้ำบริเวณนั้นทิ้ง ไม่จำเป็นต้องล้างบ่ออีกตะแกรงที่ประตูน้ำควรใช้ตาถี่มากๆ ขนาด 500-600 ไมครอน หรืออาจใช้มุ้งไนลอนเขียวอย่างดี 2 ถึง 3 ชิ้น ถ้าใช้เครื่องสูบน้ำแบบท่อพญานาคจะใช้ถุงอวนทำด้วยมุ้งเขียวที่ปลายอีกชั้นเพื่อป้องกันศัตรูกุ้งที่อาจเข้ามากับน้ำ การเตรียมน้ำในบ่อเลี้ยง น้ำในบ่อเลี้ยงควรมีความลึกประมาณ 1-1.5 เมตร เพื่อช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของความเค็มและอุณหภูมิ เพราะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมากๆ หากอุณหภูมิสูงเกินไปในช่วงที่ร้อนจัด กุ้งจะเกิดอาการงอตัวและการเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้ช็อคตายในที่สุด อีกทั้งระดับน้ำต่ำมากๆ แสงแดดสามารถส่องไปถึงพื้นก้นบ่อจึงเกิดการบลูมของแพลงก์ตอนพืชอย่างรวดเร็ว แพลงก์ตอนเหล่านี้จะแย่งใช้ออกซิเจนไปจากบ่อเลี้ยงกุ้งในช่วงกลางคืนเกิดเป็นตะไคร่น้ำและขี้แดดในเวลากลางวันและในที่สุดเมื่อแพลงก์ตอนตายลงจะเกิดการสลายตัวทำให้พื้นบ่อเน่าเสียเกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ อันเป็นผลเสียต่อกุ้ง ดังนั้นระดับน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกุ้งแบบหนาแน่นควรให้ระดับน้ำสูงอย่างน้อย 1.50 เมตร และควรมีเครื่องสูบน้ำแบบท่อพญานาคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16-24 นิ้ว ในอัตรา 1 เครื่องต่อ 2 บ่อ สำหรับช่วยเพิ่มระดับน้ำในบ่อเลี้ยงได้รวดเร็วทันกับความต้องการการคัดเลือกพันธุ์ลูกกุ้งกุลาดำ การคัดเลือกพันธุ์ลูกกุ้งกุลาดำ. ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อลูกพันธุ์กุ้งกุลาดำ 1. เลือกจากโรงเพาะฟักที่เชื่อถือได้ ถ้ามีโอกาสควรไปดูโรงเพาะฟักแห่งนั้น ดูการจัดการ วิธีการมาตรฐานในการผลิต สิ่งเหล่านี้จะช่วยในการตัดสินใจเพราะถ้าแหล่งผลิตลูกกุ้งทำถูกต้องตามหลักวิชาการ มีการควบคุมคุณภาพทำให้มาตรฐานการผลิตสูง จะทำให้เราแน่ใจว่าลูกกุ้งที่ได้นั้นแข็งแรงและปลอดโรค 2. พิจารณาสภาพของลุกกุ้ง ปกติผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์จะมารถบอกถึงความแข็งแรงหรือสมบูรณ์ของลุกกุ้งได้ ในกรณีที่ไม่คุ้นเคยอาจใช้หลักต่อไปนี้ในการพิจารณาซึ่ง ลูกกุ้งที่แข็งแรงควรจะมีลักษณะดังนี้ ลำตัวโปร่งใส ว่ายทวนกระแสน้ำ ลักษณะภายนอกต้องปกติสมบูรณ์ 1. ความเค็ม กุ้งกุลาดำเป็นกุ้งที่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของความเค็มได้ในช่วงกว้าง และถ้าความเค็มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ สามารถปรับตัวอยู่ที่ความเค็มเกือบศูนย์เป็นเวลานานพอสมควรหรือความเค็มที่เพิ่มขึ้นจนถึง 45 ppt. แต่ความเค็มที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10-15 ppt. 2. ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) pH ของน้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของกุ้งกุลาดำมาก เนื่องจาก pH ของน้ำนั้นมีผลต่อคุณสมบัติของน้ำตัวอื่นๆ เช่นความเป็นพิษของแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ เป็นต้น pH ที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงกุ้งควรอยู่ระหว่าง 7.5-8.5 แต่การเจริญเติบโตที่ดีที่สุดในบ่อจะอยู่ที่ pH ของน้ำระหว่าง 8.0-8.5 การเปลี่ยนแปลง pH ของน้ำในบ่อขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น คุณสมบัติของดิน ค่าความเป็นด่างของน้ำ การผลิตและการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับปริมาณแพลงก์ตอนพืช 3. ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ 4. แอมโมเนียและไนไตรท์ 5.ไฮโดรเจนซัลไฟด์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำ การรักษาและฟื้นฟูสภาพพื้นบ่อระหว่างเลี้ยง สารอินทรีย์ต่างๆ เช่น เศษอาหารที่เหลือ ขี้กุ้ง ขี้แดด ตลอดจนซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในบ่อเลี้ยงกุ้งจะตกทับถมลงสู่ก้นบ่อ ดังนั้นก่อนที่น้ำในบ่อจะเน่าเสียมักพบว่าพื้นบ่อเน่าเสียก่อนเสมอ ซึ่งกุ้งเป็นสัตว์ที่หากินตามพื้น เมื่อสภาพพื้นบ่อเริ่มเสียย่อมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กุ้งเป็นโรคดังนั้นหลังจากปล่อยกุ้งลงเลี้ยงแล้วประมาณ 1/2 เดือน ควรตรวจสภาพพื้นบ่ออย่างสม่ำเสมอย่างน้อย 7-15 วันต่อครั้ง เมื่อพบว่าของเสียต่างๆ ถูกกระแสน้ำพัดพาไปรวมที่ใดก็ควรจะกำจัดออกโดยเร็วก่อนที่พื้นบ่อจะเน่าเสีย ทั้งนี้การรักษาและฟื้นฟูสภาพพื้นโดยรอบชานและพื้นบ่อ นอกจากจะช่วยรักษาและฟื้นฟูสภาวะแวดล้อมภายในให้เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของกุ้งแล้วยังเป็นการป้องกันไม่ให้กุ้งเกิดโรคอีกด้วยอาหารกุ้ง อาหารกุ้ง. 1. อาหารธรรมชาติ หมายถึง พืชน้ำ สัตว์น้ำเล็กๆ เช่นแพลงก์ตอน สัตว์หน้าดินที่มีอยู่ในบ่อหรือติดมากับน้ำทะเลที่ใช่ถ่ายเทน้ำเข้าสู่บ่อ กุ้งที่เลี้ยงจะได้รับอาหารนี้ส่วนหนึ่งเพื่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตในสภาพปกติ 2. อาหารสด หมายถึง อาหารที่ผู้เลี้ยงนำมาให้กุ้งในบ่อกินโดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ เป็นอาหารดิบ เช่น ปลาสด หอย หมึก กากถั่ว แป้ง วิตามินและแร่ธาตุอาหารชนิดต่างๆ แล้วผ่านขบวนการอัดเป็นเม็ดให้มีขนาดพอเหมาะกับวัยและขนาดของกุ้ง เนื่องจากอาหารเป็นต้นทุนที่สูงที่สุดในการเลี้ยงกุ้งแบบพัฒนาดังนั้นผู้เลี้ยงควรให้ความสนใจในการควบคุมปริมาณอาหารเพื่อลดการสูญเสียอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ให้น้อยที่สุด ปัจจัยที่ทำให้อาหารสูญเสีย มีดังนี้ 1. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันทำให้กุ้งกินอาหารได้น้อยลง อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตคือ 25-30 องศาเซลเซียสถ้าอุณหภูมิต่ำลงกุ้งจะไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า กินอาหารได้น้อย เจริญเติบโตช้า ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส กุ้งจะไม่กินอาหาร ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิลดต่ำก็ควรลดปริมาณอาหารที่ให้ลงหรืองดอาหารในมื้อเช้า 2. กุ้งที่เป็นโรคหรือสุขภาพไม่ดี ทำให้การใช้อาหารไม่เต็มประสิทธิภาพ 3. มีการให้อาหารมากเกินไป 4. ถูกสัตว์อื่นๆแย่งกินไป 5. อาหารเสื่อมคุณภาพ เนื่องจากเก็บไว้นานเกินไป 6. อาหารมีคุณค่าสูงเกินความจำเป็น 7. อาหารตกหล่นระหว่างตักและลำเลียง ข้อควรปฏิบัติในการให้อาหารกุ้ง 1.ผู้เลี้ยงควรบันทึกจำนวนและราคาอาหารเพื่อทำให้รู้ปริมาณอาหารและต้นทุนที่ใช้ในการผลิตกุ้งแต่ละรุ่น 2.การให้อาหารควรจำกัดปริมาณ พึงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อกุ้งมีขนาดโตขึ้นอัตราการกินอาหารจะลดน้อยลง (หลังจาก 6 สัปดาห์ไม่ควรเกิน 3-5 ของน้ำหนักตัวต่อวันหรือไม่ควรเกินความจุของกระเพาะลำไส้ต่อมื้อ) ควรแบ่งให้ในอัตราส่วนที่เหมาะสมครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งอย่างน้อย 4-6 มื้อต่อวันเพื่อให้กุ้งมีอาหารกินอย่างต่อเนื่องในกรณีที่มีอาหารเหลือควรชะลอการให้อาหารในมื้อถัดไปไว้ก่อนจนกว่าอาหารที่เหลือจะหมด 3.การเลี้ยงกุ้งกุลาดำบริษัทผู้ผลิตอาหารมักจะกำหนดปริมาณอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งแต่ละวัยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงถือปฏิบัติ เกษตรกรพึงระลึกไว้เสมอว่า ในทางปฏิบัตินั้น ควรให้อาหารน้อยกว่าปริมาณที่กำหนดไว้แต่จะมากน้อยเพียงใดจึงจะเหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของกุ้งและอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในบ่อเลี้ยงนั้นด้วยและต้องคำนึงถึงเสมอว่า เมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปการกินอาหารของกุ้งย่อมเพิ่มหรือลดตามไปด้วย 4.การเปลี่ยนแปลงอาหารแต่ละชนิดแต่ละเบอร์ ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำแต่ละระยะต้องปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างน้อย 5-7 วัน 5.ควรให้อาหารที่พอดีกับความต้องการของกุ้งและต้องมีการตรวจสอบประสิทธิภาพการให้อาหารของกุ้งเสมอ ก่อนที่จะให้อาหารมื้อต่อไป 6.นอกจากจะทำการหว่านอาหารให้ทั่วบ่อแล้ว ต้องทำยอใส่อาหารอย่างน้อยไร่ละ 1 ยอเพื่อตรวจสอบว่ากุ้งกินอาหารหมดหรือไม่ ถ้ากินอาหารหมดแสดงว่าอาหารไม่พอ ต้องเพิ่มอาหารที่หว่านอีกหน่อย หากอาหารเหลือในยอก็ให้ลดปริมาณ ควรทำการตรวจสอบทุกมื้อหลังจากการให้อาหารแล้ว 2 ชั่วโมง 7.ถ้าพบกุ้งในยอสีดำ ผิวหยาบ ก็ควรมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และอาหาร 8.ถ้าพบกุ้งลอกคราบ ก็ลดอาหารลงประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็เพิ่มอาหารมากขึ้นเพราะช่วงนี้กุ้งกินอาหารมาก การคำนวณอาหารและหว่านอาหาร เมื่อนำน้ำหนักเฉลี่ยมาคูณปริมาณกุ้งที่เหลือในบ่อก็จะได้น้ำหนักที่มีอยู่ทั้งหมด จากนั้นจึงไปคำนวณหาปริมาณอาหารที่กุ้งควรจะกินในช่วงนั้นโดยเทียบจากตารางเปอร์เซ็นต์การกินอาหารของกุ้งในช่วงอายุนั้นๆการจับกุ้ง การจับกุ้ง. ระยะเวลาการเลี้ยงกุ้งจนจับจำหน่ายได้ ถ้าเลี้ยงจากลูกกุ้ง p 15 ใช้เวลาการเลี้ยงประมาณ 4 เดือน ถ้าเลี้ยงจากลูกกุ้ง p 30 ใช้ระยะเวลาเพียง 3 เดือนครึ่ง โดยทั่วไปจะได้ขนาด 25-35 ตัวต่อกิโลกรัม ต้องจับกุ้งหลังลอกคราบแล้ว 2-3 วัน กุ้งเปลือกจะแข็ง ขณะจับกุ้งควรให้อาหาร กุ้งจะได้ไม่เพลีย และจะว่ายน้ำเล่น สามารถจับได้ง่าย 1. จับกุ้งโดยใช้อวนเปลหรือถุงรองรับที่หน้าประตูบ่อกุ้ง โดยเปิดลิ้นชักด้านบน น้ำลึกประมาณ 15-20 ซม. ค่อยทยอยลงไปควรแง้มลิ้นประตูชั้นบนให้น้ำไหลออกก่อนประมาณ 30 นาที แต่ก่อนการจับจะจับด้วยวิธีนี้ 2. จับโดยใช้อวนลากไฟฟ้า โดยปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไปกับโซ่ตีนอวน เมื่อลากพื้นบ่อกุ้งจะได้รับกระแสไฟฟ้าจึงกระโดดเข้าถุงอวนเอง 3. จับโดยใช้อวนลากกุ้งธรรมดา เหมาะสำหรับบ่อที่เป็นสี่เหลี่ยม 4. จับโดยใช้แหเหวี่ยง เหมาะสำหรับจับกุ้งขายเป็นครั้งๆละไม่มาก 5. จับโดยใช้คนเดินเก็บ เพราะจะมีกุ้งบางส่วนเหลือตกค้างอยู่ในบ่อเมื่อน้ำแห้ง 6. กุ้งที่จับมาได้ควรรีบนำมาแช่ในถังน้ำที่มีน้ำแข็งอยู่ที่อุณหภูมิ 10-15 องศาเพื่อน็อคกุ้งและทำความสะอาดกุ้ง เพื่อจะได้กุ้งที่สดและสะอาด
กุ้งกุลาดำมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร
{ "answer": [ "Giant Tiger Prawn" ], "answer_begin_position": [ 421 ], "answer_end_position": [ 438 ] }
3,272
609,023
ปลาซิวใบไผ่ ปลาซิวใบไผ่ หรือ ปลาจุกกี (ภาษาใต้ ) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Danio (/แดน-อิ-โอ/) จัดเป็นปลาซิวสกุลหนึ่ง ปลาในสกุลนี้ มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นปลาขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ตามน้ำตกและลำธารที่มีกระแสน้ำไหลแรง มีลำตัวที่สั้นและแบนข้าง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ ช่วงท้องกลม บริเวณหน้านัยน์ตามีกระดูกที่เป็นเงี่ยงแหลม 1 ชิ้น ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 11-15 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 11-18 ก้าน มีหนวดสั้นหรือบางชนิดไม่มี มีด้วยกันหลายชนิด พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, ภูมิภาคอินโดจีน, แหลมมลายู จนถึงเกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซียชนิดชนิด. - Danio aesculapii - Danio albolineatus - Danio choprae - Danio dangila - Danio erythromicron - Danio feegradei - Danio jaintianensis - Danio kerri - Danio kyathit - Danio kysonensis - Danio margaritatus - Danio meghalayensis - Danio muongthanhensis - Danio nigrofasciatus - Danio quagga - Danio quangbinhensis - Danio rerio - Danio roseus - Danio tinwini - Danio trangi
ปลาซิวใบไผ่มีชื่อเป็นภาษาใต้ว่าอะไร
{ "answer": [ "ปลาจุกกี" ], "answer_begin_position": [ 115 ], "answer_end_position": [ 123 ] }
3,273
44,642
พราว พราว ศิลปินวงดนตรีเพลงสัญชาติไทยแนวออลเทอร์นาทิฟร็อก ซึ่งอยู่ในช่วงที่ดนตรีออลเทอร์นาทิฟกำลังรุ่งเรืองประวัติ ประวัติ. เริ่มจากนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประกอบด้วย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ (พิซซ่า) นิตินาท สุขสุมิตร (แจ๊ค) เจตมนต์ มละโยธา (เจ) สุรชัย กิจเกษมสิน (เล็ก) ซึ่งถือมีความสนิทสนมกันอย่างดีและมักจะขึ้นแสดงดนตรีเป็นประจำภายในคณะ กระทั่งวันหนึ่ง รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ (หัวหน้าและมือเบสวง ที่ปัจจุบันเป็นผู้บริหารสูงสุดของสมอลล์รูม) ซึ่งในช่วงต่างจบการศึกษาไปกันหมด ก่อตั้งวงดนตรีแนวบริทป็อป และได้รับการยอมรับว่าเป็นวงดนตรีที่มีความก้าวหน้า ในยุคสมัยนั้นมาก โดยมีชื่อวง วงครับ ทำการบันทึกเสียงอัลบั้มและนำผลงานเดโม่ ส่งไปยังรายการ Radio Active โดยคุณ วาสนา วีรชาติพลี ผู้ดำเนินรายการวิทยุ (ถือเป็นผู้มีอิทธิพลต่อดนตรีออลเทอร์นาทิฟของไทยในยุคนั้น) จากการเริ่มจากการชักชวนกันของ พิซซ่าและแจ๊ค กับติ๊ก นิวัติ คูณผล (มือเบสคนแรกของวง) เริ่มทำเดโม่เพลงขึ้นมาและเป็นที่น่าสนใจภายในคณะ ซึ่งต้อมาได้พบเจ ซึ่งตกลงร่วมกันได้ไม่ยาก (แต่เดิมเจถูกวางตำแหน่งภายในวงเป็นกลอง ภายหลังเจมีตำแหน่งมือลีดกีต้าร์ และแต่งเพลงเธอคือความฝัน) การทำเดโม่หรือเพลงต้นแบบจึงมีความก้าวหน้ามากขึ้น จนท้ายที่สุดก็ได้ เล็ก นักดนตรีฝีมือเยี่ยม ซึ่งมีความสนิทสนมกันแก่สมาชิกภายในวงก็ได้เข้ามาร่วมงานในฐานะนักร้องนำ จากการนำเดโม่เพลงเหรียญสลึง และ Sleepless ถูกนำมาเปิดในวิทยุ Radio Active โดยคุณ วาสนา วีรชาติพลี และรายการ Hotwave โดยคุณยุทธนา บุญอ้อม ทำให้วงพราวเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก โดยจากการแนะนำของเพื่อนนักดนตรีที่มีความสนิทสนมกันเป็นดีจากวง สี่เต่าเธอ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเรียนรุ่นน้องสาธิตประสานมิตรของ คุณศุภสิทธิ์ วิบูลลาภ (เจ้าของบริษัทอีสเทอร์นสกายเรคคอร์ดส์) และเกิดการตกลงใจและเซ็นสัญญาร่วมงานกันทันทีเมื่อผู้บริหารค่ายที่ประกอบด้วย โจ้ ศุภสิทธิ์ วิบูลย์ลาภ , เต๊าะ จามร วัฒฑกานนท์ และ เคนนี่ Kenny Jackel ได้ฟังเพลงตัวอย่างซึ่งในขณะนั้นมีเพียง 6 เพลง ประกอบด้วย1. เหรียญสลึง 2. เปิดใจ 3. ละคร 4. เพราะ(ฉัน)มีเพียงเธอ 5. อย่ามองกลับหลัง 6. Sleepless และในขณะที่ทำการบันทึกเสียงทั้ง 6 ซิงเกิ้ลดังกล่าว ก็เริ่มมีการทำเพลงอื่นๆในอัลบั้มในส่วนที่เหลือทยอยออกมาอีก4 เพลงประกอบด้วย1. Where 2. เธอคือความฝัน 3. วันไร้สมอง 4. เส้นทาง พ โดยเพลงเธอคือความฝันมักใช้ประกอบในภาพยนตร์อยู่หลายครั้งอาทิ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ปี 2551 รวมไปถึงปรากฏในตัวอย่างของ Only God Forgives ปี 2556สมาชิก สมาชิก. สมาชิก ประกอบด้วย- สุรชัย กิจเกษมสิน (เล็ก) - ร้องนำ / กีต้าร์ - เจตมนต์ มละโยธา (เจ) - กีตาร์ - ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ (พิซซ่า) - เบส - นิตินาท สุขสุมิตร (แจ๊ค) - กีตาร์ผลงานอัลบั้ม ผลงาน. อัลบั้ม. รายชื่อเพลงใน อัลบั้ม1. เพราะ(ฉัน)มีเพียงเธอ (คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 2. ละคร (คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 3. เปิดใจ (คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 4. Sleepless (คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 5. วันไร้สมอง (คำร้อง,ทำนอง โดย สุรชัย กิจเกษมสิน / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 6. เธอคือความฝัน (คำร้อง โดย สุรชัย กิจเกษมสิน,ทำนอง โดย เจตมนต์ มละโยธา / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 7. เหรียญสลึง "(คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 8. Where "(คำร้อง,ทำนอง โดย สุรชัย กิจเกษมสิน / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 9. อย่ามองกลับหลัง (คำร้อง,ทำนอง โดย ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว ) 10. เส้นทาง (คำร้อง,ทำนอง โดย สุรชัย กิจเกษมสิน / เรียบเรียง,ดนตรี โดย พราว )อีพีและซิงเกิล อีพีและซิงเกิล. 2. Single พิเศษสำหรับนิตยสาร DDT ฉบับสุดท้าย เพียงสบตา DDT Versionเพลงประกอบละครและภาพยนตร์เพลงประกอบละครและภาพยนตร์. - ไม่เคยเปลี่ยน (ประกอบภาพยนตร์ ซิงเกิลเลดี้ เพราะเคยมีแฟน)ข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลเพิ่มเติม. หลังจาก พราว หยุดการทำเพลงลง สมาชิกแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง- ชัยบรรฑิต พืชผลทรัพย์ เคยก่อตั้งค่ายเพลง ชื่อ แลมด้า เรคคอร์ดส (Lambda Records) มีศิลปินในสังกัดอย่าง ซีเอดี (C.A.D.), ลูซี่ ซุยไซด์ (Lucy Suicide) , โซลิด สเตท (Solid State), สี่เต่าเธอ และ กรู๊ฟวี่ แอร์ไลน์ (Groovy Airline) - นิตินาท สุขสุมิตร เป็นสมาชิกของกลุ่ม กรู๊ฟวี่ แอร์ไลน์ ที่มีผลงานออกมาเป็นระยะ - สุรชัย กิจเกษมสิน ออกผลงานอัลบั้มเดี่ยว โดยใช้ชื่อ "เล็ก แอนด์ เฟรนด์" ในชุดแรกและ "สุรชัย กิจเกษมสิน" ในชุดต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน - เจตมนต์ มละโยธา ร่วมกับ รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ และ เชาวเลข สร่างทุกข์ ก่อตั้งค่ายเพลง สมอลล์รูม ที่มีผลงานเพลงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และใช้ชื่อ "เพนกวินวิลล่า" เป็นชื่อเรียกตัวเองในตลาดดนตรีแทนชื่อจริงในการออกอัลบั้มใหม่
สมาชิกคนใดในวงพราวที่เป็นผู้แต่งเพลงเธอคือความฝัน
{ "answer": [ "เจตมนต์ มละโยธา" ], "answer_begin_position": [ 352 ], "answer_end_position": [ 367 ] }
3,274
146,016
เกาะเกร็ด เกาะเกร็ด เป็นเกาะแม่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และมีฐานะเป็นตำบลหนึ่งในท้องที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 4.2 ตารางกิโลเมตรหรือ 2,625 ไร่ เป็นที่อยู่ของชาวไทยเชื้อสายมอญที่มีอาชีพปั้นเครื่องปั้นดินเผาเป็นส่วนใหญ่ เกาะเกร็ดเกิดจากการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปี พ.ศ. 2265 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ คลองลัดดังกล่าวเรียกว่า "คลองลัดเกร็ดน้อย" หรือ "คลองเตร็ดน้อย" ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมตอนหนึ่งว่า "...ในปีขาล จัตวาศก ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กอง เกณฑ์พลนิกายคนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อย ลัดคุ้งบางบัวทองนั้นคดอ้อมนัก ขุดลัดตัดให้ตรง พระธนบุรีรับสั่งแล้วถวายบังคมลามา ให้เกณฑ์พลนิกายในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อยนั้นลึก ๖ ศอก กว้าง ๓ วา ยาวทางไกลได้ ๒๙ เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึ่งแล้ว..." ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศเนื่องจากไหลทางตรงได้สะดวกกว่าและกัดเซาะตลิ่งทำให้คลองสายนี้ขยายเป็นแม่น้ำลัดเกร็ด แผ่นดินตรงแหลมจึงกลายเป็นเกาะกลางแม่น้ำ ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุในโฉนดชื่อว่า เกาะศาลากุล ตามชื่อวัดศาลากุลที่สร้างโดยเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน รัตนกุล) ตั้งแต่สมัยธนบุรี ต่อมาเมื่อตั้งอำเภอปากเกร็ด จึงเรียกเป็น เกาะเกร็ดประวัติ ประวัติ. เกาะเกร็ดเป็นย่านชุมชนที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นทั้งชุมชนค้าขายและเป็นที่ตั้งด่านตรวจเรือต่าง ๆ ที่จะเดินทางผ่านไปยังอยุธยา เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ จึงพิจารณาเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องขุดคลองลัดตามลำน้ำเจ้าพระยาเพิ่มเติม เพื่อลดระยะทางย่นระยะเวลาในการคมนาคมขนส่งทางน้ำและแก้ปัญหาที่ทำให้การเดินเรือสำเภาชักช้าและเกิดเหตุขัดข้อง รวมถึงเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของอยุธยาในสมัยนั้น จึงทรงมีพระราชดำริให้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นบริเวณที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลโค้งอ้อมไปทางทิศตะวันตก แล้วไหลวกกลับมาทางทิศตะวันออก ในปี พ.ศ. 2265 ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า ในปีขาล จัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กองเกณฑ์ไพร่พล คนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คนหมื่นเศษให้ขุดคลองเกร็ดน้อยลัดคุ้งบางบัวทองนั้นอ้อมนัก ขุดลัดให้ตรง พระธนบุรีรับคำสั่งแล้วถวายบังคมลามาเกณฑ์ไพร่พลบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คนหมื่นเศษ ให้ขุดคลองเกร็ดน้อยลึก 6 ศอก กว้าง 6 วา ทางไกลได้ 29 เส้นเศษ(1 เส้น 80 เมตรหรือ 40 วา) ขุดเดือนเศษจึงแล้ว พระธนบุรีนั้นจึงกลับมากราบทูลให้ทราบทุกประการ เมื่อทำการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาได้แล้ว ทำให้เกิดการเดินเรือลัดได้เร็วขึ้น เรียกคลองในสมัยนั้นว่า คลองลัดเกร็ดน้อย ต่อมานิยมเรียกว่า คลองลัดเกร็ด ต้นคลองหรือปากคลองเรียกว่า ปากเกร็ด ต่อมาคลองลัดเกร็ดได้ถูกความแรงของกระแสน้ำเซาะตลิ่งพัง จนกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแม่น้ำไป ที่ดินบริเวณที่เป็นแหลมยื่นออกไปจึงมีลักษณะเป็น เกาะ เรียกกันว่า เกาะเกร็ด ในสมัยโบราณเรียกเกาะเกร็ดที่เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กนี้ว่า เกร็ดน้อย (ที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี เรียกว่า เกร็ดใหญ่ เพราะมีการขุดคลองลัดแล้วกลายเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่าเกาะเกร็ด) อาจเป็นไปได้ว่าคนสมัยโบราณนิยมเรียกเกาะที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ว่า เกร็ด ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตรงกับพ.ศ. 2317 ได้โปรดเกล้าให้ข้าหลวงไปรับครอบครัวมอญมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่ปากเกร็ด (รวมทั้งในเกาะเกร็ด) และสามโคก จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากมอญแพ้สงครามกับพม่า เมื่อมอญสู้พม่าไม่ได้จึงอพยพครอบครัวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลือกพื้นที่ช่วงเกาะเกร็ดและปากเกร็ดเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบาง ที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ โดยทรงพระกรุณโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์เสด็จล่วงหน้าขึ้นไปในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 3 ครั้นถึงวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 จึงเสด็จไปรับที่พระตำหนักบางธรณีด้วยพระองค์เอง สำหรับพระราชพิธีอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางครั้งนี้นับเป็นพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ที่ใช้บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาในท้องที่ปากเกร็ดและเกาะเกร็ด มีการจัดกระบวนเรือเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค และกระบวนเรืออัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางที่ยิ่งใหญ่ ปี พ.ศ. 2358 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตน์โกสินทร์ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าให้เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4) ไปรับครอบครัวมอญ ซึ่งหนีภัยสงครามมาจากพม่ามาอาศัยอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี และได้โปรดเกล้าฯให้พระยาอภัยภูธร สมุหนายก ไปรับครอบครัวมอญเหล่านั้นมาอยู่ที่เมืองนนทบุรีบ้าง ปทุมธานีบ้าง เมืองเขื่อนขันธ์(พระประแดง) บ้างดังนั้นจึงมีชาวมอญอาศัยอยู่ในเกาะเกร็ดและหลายท้องที่หลายตำบลในอำเภอปากเกร็ด เนื่องจากมีชาวมอญอพยพเข้ามา 2 ครั้ง คือ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินปี พ.ศ. 2317 และสมัยรัตน์โกสินทร์ปี พ.ศ. 2358 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มักจะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานยังพระราชวังบางปะอินเสมอ กล่าวกันว่าทรงแวะพักเรือพระที่นั่งตามวัดต่างๆ บริเวณปากเกร็ดและเกาะเกร็ดนี้ทุกวัด และพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดปากอ่าว (วัดปรมัยยิกาวาส) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลร่วมกับพระเจ้าบรมมไหยิกาเธอ กรมเสด็จพระสุดารัตนราชประยูร และพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ที่ทรงอภิบาลทำนุบำรุงสมเด็จพระเทพศิรินทรพระบรมราชชนนีและพระองค์มาตั้งแต่ครั้นทรงพระเยาว์ ต่อมาเมื่อมีการยกฐานะปากเกร็ดเป็นชื่อของอำเภอ เกาะเกร็ดจึงได้ยกฐานะเป็นตำบลเกาะเกร็ดด้วยจนถึงปัจจุบัน สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงหลังจากพ.ศ. 2475 และช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หมู่บ้านในตำบลย่านเกาะเกร็ดและปากเกร็ดริมแม่น้ำเจ้าพระยา กลายเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวเพื่อเตรียมรับสภาวะวิกฤตในกรุงเทพมหานคร มีนักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่านได้มาสร้างบ้านสำรองไว้ยามฉุกเฉิน ซึ่งต่อมาทางราชการได้เข้ายึดบ้านดังกล่าวภูมิศาสตร์อาณาเขตภูมิศาสตร์. อาณาเขต. - ทิศเหนือ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและตำบลคลองพระอุดม - ทิศใต้ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและตำบลท่าอิฐ - ทิศตะวันออก ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและตำบลปากเกร็ด - ทิศตะวันตก ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและตำบลอ้อมเกร็ดภูมิประเทศ ภูมิประเทศ. ลักษณะภูมิประเทศของเกาะเกร็ด มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำล้อมรอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพื้นที่ริมน้ำเป็นที่ลุ่มมากกว่าตอนกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง ทำให้พื้นที่ทั่วทั้งเกาะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตรกรรม ดังจะเห็นได้ว่ามีการทำสวนไม้ผลไม้ยืนต้นอยู่ทั่วไป ผลไม้ที่นิยมปลูกได้แก่ กล้วย มะม่วง มะพร้าว ส้มโอ บริเวณส่วนกลางของเกาะเกร็ดแต่เดิมเป็นพื้นที่ปลูกข้าวเจ้า แต่ไม่มีการทำนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เนื่องจากบริเวณกลางเกาะเป็นที่ดอนสูงกว่าบริเวณริมเกาะ การดึงน้ำเข้าสู่พื้นที่นาต้องอาศัยเครื่องสูบน้ำอีกทั้งสภาพคูคลองภายในเกาะเกร็ดปัจจุบันตื้นเขินไม่มีการขุดลอกมาเป็นระยะเวลานาน การทำนาจึงไม่คุ้มกับการลงทุน ทำให้พื้นที่นาในอดีตกลายมาเป็นพื้นที่รกร้างเป็นผืนใหญ่ติดต่อกัน ส่วนพื้นที่ริมเกาะเป็นพื้นที่ลุ่มจึงทำให้เกิดน้ำท่วมได้ง่าย เกาะเกร็ดจึงประสบปัญหาเรื่องน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลากเป็นประจำทุกปี คือ ช่วงระหว่างเดือนกันยายน และเดือนพฤศจิกายน ประกอบกับพื้นที่มีลักษณะเป็นดินเหนียวอุ้มน้ำได้ดี ทำให้การระบายน้ำค่อนข้างล่าช้าจึงเกิดน้ำท่วมขังภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. ลักษณะภูมิอากาศของบริเวณเกาะเกร็ด มีลักษณะคล้ายคลึงกับภูมิอากาศโดยทั่วไปของอำเภอปากเกร็ด และจังหวัดนนทบุรี คือ เขตอากาศร้อนชื้นหรือมรสุมเมืองร้อน ฝนจะตกชุกในช่วงฤดูฝน และตกมากที่สุดในเดือนกันยายน บางปีเกิดพายุดีเปรสชั่นหรือฝนตกหนาแน่นติดต่อกันเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทั้งบริเวณเกาะเกร็ด ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบปีของบริเวณเกาะเกร็ด ประมาณ 1,225 มิลลิเมตร หรือ 50.20 นิ้ว/ปี โดยมีการกระจายตัวของฝนในช่วงแต่ละเดือนมากกว่า 110 มิลลิเมตร อยู่ 1 ช่วง คือ ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม เดือนที่ฝนตกมากที่สุดคือ เดือนกันยายน สำหรับในฤดูแล้งสภาพของพื้นดินไม่แห้งแล้งมากนัก เพราะพื้นที่เกาะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสวนไม้ผล ไม้ยืนต้น และยังล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ตลอดทั้งปีเขตการปกครอง เขตการปกครอง. ตำบลเกาะเกร็ดมีเขตการปกครองทั้งหมด 7 หมู่บ้าน ได้แก่- หมู่ที่ 1 บ้านบนบ้านล่าง หรือบ้านมอญ - หมู่ที่ 2 บ้านคลองศาลากุล - หมู่ที่ 3 บ้านศาลากุล - หมู่ที่ 4 บ้านคลองสระน้ำอ้อย - หมู่ที่ 5 บ้านท่าน้ำ - หมู่ที่ 6 บ้านวัดเสาธงทอง - หมู่ที่ 7 บ้านโอ่งอ่างจำนวนประชากร จำนวนประชากร. เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2559 ตำบลเกาะเกร็ดมีจำนวนประชากรทั้งหมด 5,755 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 1,370.24 คนต่อตารางกิโลเมตร จากจำนวนประชากรทั้งหมดของตำบล แยกตามการตั้งถิ่นฐานและเชื้อชาติได้ดังนี้- หมู่ที่ 1, 6, 7 มีประชากรเชื้อชาติมอญร้อยละ 35 ของประชากรทั้งตำบล - หมู่ที่ 2,3 ประชากรซึ่งอาศัยบริเวณริมแม่น้ำ มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 15 ของประชากรทั้งตำบล - หมู่ที่ 2, 3, 4, 5 เป็นประชากรเชื้อชาติไทย, ไทย-จีน บางส่วนร้อยละ 50 ของประชากรทั้งตำบล
เกาะเกร็ดอยู่ในจังหวัดอะไร
{ "answer": [ "นนทบุรี" ], "answer_begin_position": [ 195 ], "answer_end_position": [ 202 ] }
3,275
548,679
นฤชาติ บุญสุวรรณ นฤชาติ บุญสุวรรณ (เกิด 11 มกราคม พ.ศ. 2489) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา 2 สมัยประวัติ ประวัติ. นฤชาติ บุญสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2489 เป็นบุตรของนายมุ่น กับนางเลียน บุญสุวรรณ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการทำงาน การทำงาน. นฤชาติ เคยเป็นนักวิชาการสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถึง 7 ปี ก่อนที่จะย้ายประจำที่ อำเภอหาดใหญ่ นฤชาติ ได้รับการชักชวนจาก นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ให้ลงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2526 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกติดต่อกันรวม 2 ครั้ง เขาเคยเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาชน ในปี พ.ศ. 2531 หลังจากนั้นก็ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเรื่อยมา แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเลยสักครั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร. นฤชาติ บุญสุวรรณ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 สมัย คือ1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2526 จังหวัดสงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2529 จังหวัดสงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
นฤชาติ บุญสุวรรณ เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใด
{ "answer": [ "สงขลา" ], "answer_begin_position": [ 183 ], "answer_end_position": [ 188 ] }
3,276
405,783
เพชรโฮป เพชรโฮป () เป็นเพชรขนาดใหญ่ หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) สีน้ำเงินเข้ม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพชรโฮปมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีน้ำเงินเพราะมีธาตุโบรอนปริมาณเล็กน้อยอยู่ในโครงสร้างผลึก แต่จะเรืองแสงสีแดงเมื่ออาบแสงอัลตราไวโอเล็ต เพชรดังกล่าวจัดเป็นเพชรประเภท 2 บี และดังกระฉ่อนเพราะเล่าว่าเป็นเพชรต้องคำสาป มันมีประวัติศาสตร์บันทึกยาวนานโดยมีช่องว่างอยู่บ้างเมื่อมันได้เปลี่ยนมือหลายครั้งระหว่างทางจากอินเดียไปฝรั่งเศส ไปอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพชรโฮปได้รับการอธิบายว่าเป็น "เพชรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" และเป็นงานศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากภาพโมนาลิซาคุณสมบัติทางกายภาพคุณสมบัติทางกายภาพ. - น้ำหนัก เดือนธันวาคม ค.ศ. 1988 ห้องทดสอบพลอยของสถาบันอัญมณีวิทยาแห่งอเมริกาพิจารณาว่า เพชรนี้หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) - ขนาดและรูปทรง เพชรนี้ได้รับการเปรียบเทียบขนาดและรูปทรงกับไข่นกพิราบ, ลูกวอลนัต, "ฮอสเชสนัต (horse chestnut) ขนาดดี" ที่มี "ทรงลูกแพร์" มิติในแง่ความยาว ความกว้างและความลึกเป็น 25.60 มม. × 21.78 มม. × 12.00 มม. (1 นิ้ว × 7/8 นิ้ว × 15/32 นิ้ว) - สี ถูกอธิบายว่ามี "สีน้ำเงินออกเทาเข้มสวยงาม" (fancy dark greyish-blue) เช่นเดียวกับมี "สีน้ำเงินเข้ม" หรือสี "น้ำเงินเหล็กกล้า" (steely-blue) ตามที่ผู้เชี่ยวชาญเพชรสี สตีเฟน โฮเฟอร์ ชี้ เพชรสีน้ำเงินคล้ายกับโฮปสามารถแสดงโดยการวัดปริมาณสีให้ผลว่าสีเทากว่าไพลินสีน้ำเงิน (คือ มีความอิ่มตัวสีน้อยกว่า) ใน ค.ศ. 1996 ห้องทดสอบพลอยของสถาบันอัญมณีวิทยาแห่งอเมริกาตรวจสอบเพชร และ โดยใช้ระบบการวัดของตน จัดว่ามันเป็น สีน้ำเงินออกเทาเข้มสวยงาม โดยการมองเห็น ตัวดัดแปรสีเทา (มาสก์) นั้นเข้มมาก (สีคราม) เสียจนมันเกิดปรากฏการณ์ "เปื้อนหมึก" (inky) ปรากฏเป็นสีน้ำเงินออกดำในหลอดความร้อน ภาพถ่ายปัจจุบันของเพชรโฮปซึ่งอาศัยแหล่งแสงความเข้มสูงนั้นมีแนวโน้มจะทำให้ความสุกใสของอัญมณีมีมากที่สุด - ปลดปล่อยแสงเปล่งสีแดง เพชรนี้แสดงประเภทการเปล่งแสงแรงและสีเข้มผิดปกติ หลังอาบแสงอัลตราไวโอเล็ตคลื่นสั้น เพชรจะเรืองแสงสีแดงโชติช่วง (ปรากฏการณ์เปล่งแสงในความมืด) ซึ่งยังคงอยู่ขณะหนึ่งหลังปิดแหล่งแสง และคุณภาพแปลกอันนี้อาจช่วยโหมกระพือ "ชื่อเสียงการต้องสาปของมัน" แสงเปล่งสีแดงนั้นช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ "พิมพ์ลายนิ้วมือ" เพชรสีน้ำเงิน ทำให้พวกเขา "แยกแยะของจริงออกจากของทำเลียนแบบ" แสงเปล่งสีแดงนั้นชี้ว่า มีของผสมโบรอนและไนโตรเจนแตกต่างกันอยู่ภายใต้เพชร - องค์ประกอบทางเคมี ใน ค.ศ. 2010 เพชรถูกนำออกจากชั้นแสดงเพื่อวัดองค์ประกอบทางเคมีอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ หลังจากเจาะรูลึกหนึ่งนาโนเมตรแล้ว ผลขั้นต้นพบโบรอน ไฮโดรเจนและอาจมีไนโตรเจน ความเข้มข้นของโบรอนนั้นอยู่ในช่วงตั้งแต่ศูนย์ถึงแปดส่วนในล้านส่วน ตามข้อมูลของภัณฑารักษ์สมิธโซเนียน ดร. เจ็ฟฟรี โพสต์ ธาตุโบรอนอาจเป็นเหตุให้เพชรมีสีน้ำเงินหลังการทดสอบโดยใช้แสดงอินฟราเรดตรวจพบสเปกตรัมเคมีของเพชร
ในปัจจุบัน เพชรโฮป ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ใด
{ "answer": [ "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน" ], "answer_begin_position": [ 183 ], "answer_end_position": [ 217 ] }
3,277
405,783
เพชรโฮป เพชรโฮป () เป็นเพชรขนาดใหญ่ หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) สีน้ำเงินเข้ม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพชรโฮปมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีน้ำเงินเพราะมีธาตุโบรอนปริมาณเล็กน้อยอยู่ในโครงสร้างผลึก แต่จะเรืองแสงสีแดงเมื่ออาบแสงอัลตราไวโอเล็ต เพชรดังกล่าวจัดเป็นเพชรประเภท 2 บี และดังกระฉ่อนเพราะเล่าว่าเป็นเพชรต้องคำสาป มันมีประวัติศาสตร์บันทึกยาวนานโดยมีช่องว่างอยู่บ้างเมื่อมันได้เปลี่ยนมือหลายครั้งระหว่างทางจากอินเดียไปฝรั่งเศส ไปอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพชรโฮปได้รับการอธิบายว่าเป็น "เพชรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" และเป็นงานศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากภาพโมนาลิซาคุณสมบัติทางกายภาพคุณสมบัติทางกายภาพ. - น้ำหนัก เดือนธันวาคม ค.ศ. 1988 ห้องทดสอบพลอยของสถาบันอัญมณีวิทยาแห่งอเมริกาพิจารณาว่า เพชรนี้หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) - ขนาดและรูปทรง เพชรนี้ได้รับการเปรียบเทียบขนาดและรูปทรงกับไข่นกพิราบ, ลูกวอลนัต, "ฮอสเชสนัต (horse chestnut) ขนาดดี" ที่มี "ทรงลูกแพร์" มิติในแง่ความยาว ความกว้างและความลึกเป็น 25.60 มม. × 21.78 มม. × 12.00 มม. (1 นิ้ว × 7/8 นิ้ว × 15/32 นิ้ว) - สี ถูกอธิบายว่ามี "สีน้ำเงินออกเทาเข้มสวยงาม" (fancy dark greyish-blue) เช่นเดียวกับมี "สีน้ำเงินเข้ม" หรือสี "น้ำเงินเหล็กกล้า" (steely-blue) ตามที่ผู้เชี่ยวชาญเพชรสี สตีเฟน โฮเฟอร์ ชี้ เพชรสีน้ำเงินคล้ายกับโฮปสามารถแสดงโดยการวัดปริมาณสีให้ผลว่าสีเทากว่าไพลินสีน้ำเงิน (คือ มีความอิ่มตัวสีน้อยกว่า) ใน ค.ศ. 1996 ห้องทดสอบพลอยของสถาบันอัญมณีวิทยาแห่งอเมริกาตรวจสอบเพชร และ โดยใช้ระบบการวัดของตน จัดว่ามันเป็น สีน้ำเงินออกเทาเข้มสวยงาม โดยการมองเห็น ตัวดัดแปรสีเทา (มาสก์) นั้นเข้มมาก (สีคราม) เสียจนมันเกิดปรากฏการณ์ "เปื้อนหมึก" (inky) ปรากฏเป็นสีน้ำเงินออกดำในหลอดความร้อน ภาพถ่ายปัจจุบันของเพชรโฮปซึ่งอาศัยแหล่งแสงความเข้มสูงนั้นมีแนวโน้มจะทำให้ความสุกใสของอัญมณีมีมากที่สุด - ปลดปล่อยแสงเปล่งสีแดง เพชรนี้แสดงประเภทการเปล่งแสงแรงและสีเข้มผิดปกติ หลังอาบแสงอัลตราไวโอเล็ตคลื่นสั้น เพชรจะเรืองแสงสีแดงโชติช่วง (ปรากฏการณ์เปล่งแสงในความมืด) ซึ่งยังคงอยู่ขณะหนึ่งหลังปิดแหล่งแสง และคุณภาพแปลกอันนี้อาจช่วยโหมกระพือ "ชื่อเสียงการต้องสาปของมัน" แสงเปล่งสีแดงนั้นช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ "พิมพ์ลายนิ้วมือ" เพชรสีน้ำเงิน ทำให้พวกเขา "แยกแยะของจริงออกจากของทำเลียนแบบ" แสงเปล่งสีแดงนั้นชี้ว่า มีของผสมโบรอนและไนโตรเจนแตกต่างกันอยู่ภายใต้เพชร - องค์ประกอบทางเคมี ใน ค.ศ. 2010 เพชรถูกนำออกจากชั้นแสดงเพื่อวัดองค์ประกอบทางเคมีอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ หลังจากเจาะรูลึกหนึ่งนาโนเมตรแล้ว ผลขั้นต้นพบโบรอน ไฮโดรเจนและอาจมีไนโตรเจน ความเข้มข้นของโบรอนนั้นอยู่ในช่วงตั้งแต่ศูนย์ถึงแปดส่วนในล้านส่วน ตามข้อมูลของภัณฑารักษ์สมิธโซเนียน ดร. เจ็ฟฟรี โพสต์ ธาตุโบรอนอาจเป็นเหตุให้เพชรมีสีน้ำเงินหลังการทดสอบโดยใช้แสดงอินฟราเรดตรวจพบสเปกตรัมเคมีของเพชร
เพชรโฮปมีกี่กะรัต
{ "answer": [ "45.52" ], "answer_begin_position": [ 860 ], "answer_end_position": [ 865 ] }
3,278
296,788
สโมสรฟุตบอลปราจีนบุรี ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลปราจีนบุรี ยูไนเต็ด เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากจังหวัดปราจีนบุรี ปัจจุบันเล่นใน ลีก ดิวิชั่น 2ประวัติสโมสร ประวัติสโมสร. สโมสรฟุตบอลปราจีนบุรี ยูไนเต็ด ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันลีกภูมิภาคในปี พ.ศ. 2553 เป็นปีแรก โดยเข้าร่วมในการแข่งขันลีกภูมิภาคดิวิชั่น 2 ภาคกลางและตะวันออก โดยงบประมาณในการทำทีมมี 2 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาคมกีฬาจังหวัดปราจีนบุรี อบจ.ปราจีนบุรี และได้รับการสนับสนุนชุดแข่งขันและชุดฝึกซ้อม จากบ.ตาบูโด้ เป็นเงินประมาณ 5 แสนบาท โดยจุดประสงค์ในการก่อตั้งสโมสรนั้น เพื่อให้เด็กเยาวชนในจังหวัดปราจีนบุรัได้มีเวทีทดสอบฝีเท้า เพื่อหาประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอล และพัฒนาไปสู่การเล่นฟุตบอลระดับอาชีพในอนาคต และเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนในจังหวัดได้หันมาเล่นกีฬาฟุตบอล และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สนามแข่งขัน สนามแข่งขัน. สนามกีฬากลางจังหวัดปราจีนบุรี มีการปรับปรุงพื้นสนามและติดแอร์ห้องพักนักเตะและนักกีฬา รวมทั้งห้องพักผู้ตัดสิน ถือว่าเป็นสนามแข่งในแถบภาคกลางที่ได้มาตรฐานและพร้อมที่จะรองรับการแข่งขันฟุตบอลในระดับอาชีพผู้เล่นชุดปัจจุบัน ผู้เล่นชุดปัจจุบัน. ยูโรเค้ก ไทยลีก 4 ปี 2560 1. ชนะเกียรติ นิ่มมา (GK) 25.ภาสกร สมทอง (GK) 45.ศุภโชค ภูคำ (GK) 3.มานพ เซมรัมย์ (DF) 4.WILLIAM KAMANDE (DF) 6.ธนกฤต ปันจันทร์ (DF) 15.ณัฐวุฒิ แสงชมพู (DF) 19.ผดุงศักดิ์ นาคพงษ์ (DF) 21.ทศพล ชัยคุ้ม (DF) 22.รัฐกรณ์ ทรัพย์ประสาท (DF) 30.ไพรัช สุขแสวง (DF) 33.พงศธร วงษ์รัตน์ (DF) 7.ปิยะกิตติ์ เอียงประยูร (MF) 10.กิตติธัช เปรมแจ่ม (MF) 11.วุฒิพงษ์ ศรีกสิกิจ (MF) 14.อภิสิทธิ์ อำนาจ (MF) 16.ชัยอนันต์ ลำเจียก (MF) 27.ธนากร พลชามาตร์ (MF) 29.ธนากร อุดมลาภ (MF) 31.ศุภรัตน์ อนันตกูล (MF) 32.ปกเกล้า ลิ้มวัฒนะ (MF) 34.พลางกรู แสนกล้า (MF) 8.AKIRA NIIHO (ST) 9.MUSTAFA KASOLO (ST) 12.พีรวัฒน์ มั่นสัมฤทธิ์ (ST) 13.จิระพงศ์ ไชยแสง (ST) 17.BOATENG KWABENA (ST) 20.เกียรติคุณ วัดล้อม (ST) 28.ธนากรณ์ ดอนลาดลี (ST) 35.สุขสันต์โชติ สาสุข (ST) 36.รัชพล อุดมศักดิ์ (ST)ตารางคะแนนฤดูกาล 2555 ตารางคะแนนฤดูกาล 2555. หมายเหตุ ทีมอันดับที่ 1และ 2 ของแต่ละภาค รวม 10 ทีม และอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 2 ทีมจากโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ /ภาคเหนือ / ภาคกลางและตะวันออก อีก 2 ทีม รวมเป็น 12 ทีม เข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแชมเปี้ยนส์ลีก แบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่มๆละ 6 ทีม แข่งแบบพบกันหมดในกลุ่ม เหย้า-เยือน ทีมอันดับที่ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่มเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1สถิติต่างๆของสโมสร
สโมสรฟุตบอลปราจีนบุรี ยูไนเต็ด เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาคครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ใด
{ "answer": [ "2553" ], "answer_begin_position": [ 360 ], "answer_end_position": [ 364 ] }
3,279
189,835
โจฮันเนสเบิร์ก โจฮันเนสเบิร์ก () เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเกาเทง (Gauteng) อันเป็นเขตที่มั่งคั่งและเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดของแอฟริกาใต้ เป็นเขตเมืองใหญ่ติดอันดับ 40 ของโลก และเป็นหนึ่งในสองเมืองระดับโลกของแอฟริกาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนอกจากนี้โจฮันเนสเบิร์กยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บนดินแดนที่ไม่ถูกแวดล้อมด้วยทะเลสาบ แม่น้ำ และแหล่งน้ำอื่น ๆ อันเนื่องมาจากการอยู่บนที่สูงจึงมีหิมะตกเหมือนกับกรุงพริทอเรีย ซอกเกอร์ซิตี () เป็นสนามกีฬาประจำเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2010 ในนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศอีกด้วยเมืองพี่น้องเมืองพี่น้อง. - เบอร์มิงแฮม, อังกฤษ - นิวยอร์ก, รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เซาเปาลู, บราซิล - ซีอาน, จีน - นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแอฟริกาใต้คือเมืองใด
{ "answer": [ "โจฮันเนสเบิร์ก" ], "answer_begin_position": [ 104 ], "answer_end_position": [ 118 ] }
3,280
189,835
โจฮันเนสเบิร์ก โจฮันเนสเบิร์ก () เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเกาเทง (Gauteng) อันเป็นเขตที่มั่งคั่งและเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดของแอฟริกาใต้ เป็นเขตเมืองใหญ่ติดอันดับ 40 ของโลก และเป็นหนึ่งในสองเมืองระดับโลกของแอฟริกาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนอกจากนี้โจฮันเนสเบิร์กยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บนดินแดนที่ไม่ถูกแวดล้อมด้วยทะเลสาบ แม่น้ำ และแหล่งน้ำอื่น ๆ อันเนื่องมาจากการอยู่บนที่สูงจึงมีหิมะตกเหมือนกับกรุงพริทอเรีย ซอกเกอร์ซิตี () เป็นสนามกีฬาประจำเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2010 ในนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศอีกด้วยเมืองพี่น้องเมืองพี่น้อง. - เบอร์มิงแฮม, อังกฤษ - นิวยอร์ก, รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เซาเปาลู, บราซิล - ซีอาน, จีน - นครโฮจิมินห์, เวียดนาม
สนามกีฬาประจำเมืองโจฮันเนสเบิร์กที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2010 มีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "ซอกเกอร์ซิตี" ], "answer_begin_position": [ 552 ], "answer_end_position": [ 564 ] }
3,281
73,864
ทะเลสาบวิกตอเรีย ทะเลสาบวิกตอเรีย () อยู่ในเขตติดต่อสามประเทศได้แก่ เคนยา แทนซาเนีย และยูกันดา เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา มีเนื้อที่ 68,800 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบวิกตอเรียเป็นทะเลสาบที่มีอายุน้อยที่สุดในแถบนี้ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาทรุดเกรตริฟต์แวลลีย์ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของทวีปแอฟริกา ทะเลสาบวิกตอเรียเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ โดยมีแม่น้ำคาเกรา ไหลเข้ามายังทะเลสาบ
ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาคือทะเลสาบใด
{ "answer": [ "วิกตอเรีย" ], "answer_begin_position": [ 113 ], "answer_end_position": [ 122 ] }
3,282
17,099
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ เป็นวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ ส่วนใหญ่เป็นกาพย์ฉบังและกาพย์สุรางคนางค์ สันนิษฐานว่าพระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินท์แต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ระหว่างที่พระยาราชสุภาวดีไปรับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช พราะยาราชสุภาวดีแต่งก่อนในตอนต้นแล้วอาราธนาพระภิกษุอินท์แต่งต่อตอนท้าย กฤษณาสอนน้องคำฉันท์มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนกุลสตรีในสมัยนั้น มีเค้าโครงเรื่องมาจากมหาภารตะของอินเดีย เป็นเรื่องที่แต่งมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ต้นฉบับคงจะสูญหายไป พระยาราชสุภาวดี และพระภิกษุอินท์จึงแต่งขึ้นใหม่ ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า แม่คิงต๋ายตัวอย่างตัวอย่าง. - ความสัตย์และการมีกิริยาอัชฌาสัย - พระคุณของบิดามารดาต่อบุตร- สัตว์ตายเหลือเขาหนังคนตายเหลือความดีความชั่วสำนวนโวหาร สำนวนโวหาร. ถ้อยคำเป็นคำพื้นๆ จึงอ่านเข้าใจได้ง่ายคุณค่าของหนังสือคุณค่าของหนังสือ. - ด้านวรรณคดี หนังสือเรื่องนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่งภายหลัง มีใจความคล้ายกัน - ด้านสังคม หนังสือกฤษณาสอนน้องคำฉันท์เป็นวรรณคดีประเภทสอนใจเช่นเดียวกับสุภาษิต และเป็นเรื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมของไทยที่สอนความประพฤติของสตรีและหน้าที่ของภรรยาที่ดี หนังสือเล่มนี้นับว่ามีอิทธิพลต่างความคิดของคนไทยมาก
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของไทยเป็นวรรณกรรมประเภทใด
{ "answer": [ "คำฉันท์" ], "answer_begin_position": [ 150 ], "answer_end_position": [ 157 ] }
3,283
18,577
คาราเต้ คาราเต้ () หรือ คาราเต้โด () เป็นศิลปะการต่อสู้ถือกำเนิดที่โอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของชาวโอะกินะวะและชาวจีน คาราเต้ได้เผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เมื่อชาวโอะกินะวะอพยพเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น คาราเต้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการต่อสู้ด้วยการฟันอิฐ แต่ที่จริงแล้ว คือการต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น แต่เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วเหลือเพียงมือและเท้าประวัติ ประวัติ. สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 โอะกินะวะได้มีการติดต่อการค้ากับทางจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีมานานมากตั้งแต่สมัยอดีต ในขณะนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิชาการความรู้แขนงต่างๆ รวมถึงศิลปะการป้องกันตัว โอะกินะวะได้มีศิลปะการต่อสู้ประจำอยู่แล้ว และได้ผสมผสานกับทักษะที่ได้รับมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก็คือมวยใต้ จนสามารถเรียกไดว่าญี่ปุ่นเป็นต้นป้นกำเนิดของคาราเต้ โดยโอะกินะวะจะเรียกศิลปะป้องกันตัวของตนเองว่า โทเต้ (唐手Tode) ในภาษาโอะกินะวะ หรือในภาษาญี่ปุ่นจะเรียก โอะกินะวะเต้ (沖縄手 Okinawa Te) โดย โอะกินะวะเต้ จะมีวิชาที่สามารถแยกเป็นจุดเด่นของแต่ละสำนัก หลักๆ ได้แก่ 3 สำนักหลัก ซึ่งชื่อสำนักได้ตั้งตามชื่อเมืองใหญ่ที่วิชานั้นๆ อาศัยอยู่ ได้แก่ ชูริเต้(Shuri Te) นาฮาเต้(Naha Te) และโทมาริเต้(Tomari Te)ชูริเต้ มวยแห่งเมืองชูริ (Shuri-Te 首里手) ชูริเต้ มวยแห่งเมืองชูริ (Shuri-Te 首里手). โซคอน มัทสุมูระ (Sokon Mutsumura) ผู้เชี่ยวชาญแห่งชูริเต้ได้เดินทางไปจีนเพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมความรู้ของตนและนำกลับมาพัฒนาชูริเต้ ความรู้ใหม่ที่โซคอนนำมาก็คือ ทักษะของมวยสิงอี้ฉวน ต่อมา โชกิ โมโตบุ Shoki Motobu ผู้เชี่ยวชาญแห่งชูริเต้ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับ T'ung Gee Hsing (ผู้สืบทอดวิชาสิงอี้ และปากั้ว ซึ่งอพยพมาอยู่ที่โอะกินะวะ) ต่อมาปีค.ศ. 1922 ฟูนาโกชิ กิชิน ลูกศิษย์ของ อังโก อิโตสึ (Anko Itosu) แห่งชูริเต้ ได้พัฒนาคาราเต้ และเผยแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการที่โตเกียวโดยได้รับการสนับสนุนของ จิกาโร่ คาโน (Jikaro Kano) ผู้ก่อตั้งยูโดโคโดกัน Kodokan Judo และต่อมา บรรดาศิษย์ของฟูนาโกชิ ได้เรียกรูปแบบการสอนของฟูนาโกชิว่า โชโต (Shoto 松涛) ตามนามปากกาของท่าน และได้เรียกโรงฝึกแห่งแรกของท่านว่า โชโตกัน (松涛館)นาฮาเต้ มวยแห่งเมืองนาฮา (Naha-Te 那覇手) นาฮาเต้ มวยแห่งเมืองนาฮา (Naha-Te 那覇手). คันเรียว ฮิกาอนนะ (Kanryo Higaonna) ลูกศิษย์ของ อาราคากิ เซย์โช (Arakagi Seisho) ผู้เชี่ยวชาญนาฮาเต้ ได้เดินทางสู่ฟูเจี้ยนเพื่อหาประสบการณ์และศึกษาวิชาการต่อสู้ของจีน ได้เรียนกับ เซี่ยจงเสียง ( 谢崇祥Xie zongxiang 1852-1930) หรืออีกชื่อหนึ่ง ริวริวโก (如如哥 Ryu Ryu Ko) ผู้เชี่ยวชาญมวยกระเรียนหมิงเฮ่อฉวน (鸣鹤拳 Minghe Quan) และเดินทางกลับมาพัฒนานาฮาเต้ ต่อมา โชจุน มิยากิ (宮城 長順 Miyagi Chojun, 1888-1953) ผู้สืบทอดนาฮาเต้ของคันเรียว ได้เปลี่ยนชื่อสำนักนาฮาเต้ เป็น โกจูริวคาราเต้ (剛柔流空手) เพื่อพัฒนาให้ทันสมัย และได้เข้ามาในญี่ปุ่นและเริ่มทำการสอนคาราเต้ (แต่เดิมสอนอยู่ในโอะกินะวะ) เป็นเวลาไม่นานนักหลังจาก ฟูนาโกชิ แห่งโชโตกัน หลังจากที่ มิยากิ ได้ทำการสอนในญี่ปุ่นและโอะกินะวะ ท่านได้ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อกราบเซี่ยจงเสียงเป็นอาจารย์ ศึกษาในด้านของมวยจีนตามแบบอาจารย์ของตน และได้กลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อเรียบเรียงตำราการฝึกสอนของสำนักโกจูริวขึ้นใหม่ ให้เหมาะสมกับที่ท่านได้เรียนรู้มา ปัจจุบันประวัติศาสตร์ส่วนนี้มีประเด็นถกเถียงกันว่า เซี่ยจงเสียง กับ ริวริวโก เป็นคนละคนกัน เนื่องจากบันทึกของ มิยากิโชจุน กล่าวไว้ว่า ตอนที่เดินทางไปฟุเจี้ยนกราบ ริวริวโก เป็นอาจารย์ถึงได้ทราบว่า ริวริวโกเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้กราบ เซี่ยจงเสียงเป็นอาจารย์แทน(ขณะนั้น เซี่ยจงเสียงได้รับสมญานามว่า หรูเกอ หรือ ริวโก ซึ่งแปลว่าเหมือนดั่งพี่ชาย หรือเหมือนดั่งครู ไม่ใช่ หรูหรูเกอ หรือ ริวริวโก) และจากประวัติที่ คันเรียว ฮิกาอนนะไปกราบ ริวริวโกเป็นอาจารย์ ขณะนั้น เซี่ยจงเสียงยังเป็นเพียงเด็กอายุ13ปี(คันเรียว ฮิกาอนนะ อายุมากกว่า เซี่ยจงเสียง1ปี) ซึ่งในขณะนั้น ริวริวโกได้รับ นากาอิมะ โนริซาโต้(仲井間憲里 Nakaima Norisato )ผู้ก่อตั้งสำนักริวเอริว(劉衛流) เป็นศิษย์มานานกว่าสิบปีแล้ว ในขณะที่ มิยากิ เดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่ หนึ่งในนักเรียนที่ดีที่สุดของ มิยากิ ที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่นก็คือ โกเกน ยามากูจิ (剛玄 山口 Gogen Yamaguchi, 1909-1989) ฉายา THE CAT ผู้ได้รับสายดำระดับ 10 ดั้งจากมิยากิ ได้ทำการสอนต่อไปในญี่ปุ่น โดยยึดหลักการสอนแบบดั้งเดิมที่ได้เรียนรู้จากมิยากิ ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่จีน ภายหลังจึงเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกสำนักโกจูริว เป็น 2 พวก คือ โกจูริว ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงท่าใหม่ ซึ่งผสมผสานศิลปะของมวยจีน โดย โชจุน มิยากิ และ โกจูไก พวกที่มีการสอนในญี่ปุ่นตั้งแต่แรกเริ่ม โดย โกเกน ยามากูจิความหมายคำว่า คาราเต้ ความหมายคำว่า คาราเต้. คำว่า "คาราเต้" เดิมทีมาจากการออกเสียงแบบชาวโอะกินะวะ ตัว "คารา" 唐 ในภาษาจีน หมายถึง "ประเทศจีน" หรือ "ราชวงศ์ถัง" ส่วน "เต้" 手 หมายถึง มือ คาราเต้ หมายความว่า "ฝ่ามือจีน" หรือ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" หรือ "กำปั้นจีน" หรือ "ทักษะการต่อสู้แบบจีน" ในรูปแบบการเขียนแบบนี้ "ฝ่ามือราชวงศ์ถัง" จึงหมายถึง การต่อยมวยแบบถัง หรือ "ฝ่ามือจีน" ก็บ่งบอกถึงอิทธิพลที่รับมาจากลักษณะการต่อสู้ของชาวจีน ในปีค.ศ. 1933 หลังจากสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 2 กิชิน ฟุนาโคชิ (船越義珍 Funakoshi Gichin, 1868-1957) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ บิดาแห่งคาราเต้สมัยใหม่ ได้เปลี่ยนตัวอักษร "คารา" ไปเป็นตัวอักษรที่มีเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายว่า "ความว่างเปล่า" 空 แทน เมื่อปีค.ศ. 1936 หนังสือเล่มที่สองของฟุนาโคชิใช้ตัวอักษร "คารา" ที่มีความหมายว่าความว่างเปล่า และในการชุมนุมบรรดาอาจารย์ชาวโอะกินะวะก็ใช้ตัวอักษรเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาคำว่า "คาราเต้" (ซึ่งออกเสียงเหมือนเดิม แต่ใช้ตัวอักษรใหม่) จึงหมายถึง "มือเปล่า" คำว่า "มือเปล่า" ไม่เพียงแต่นักคาราเต้จะต่อสู้โดยปราศจากอาวุธแล้ว ยังซ่อนความหมายตามความเชื่อแบบเซ็นไว้ด้วย เพราะตามวิถีแห่งเซ็นการพัฒนาความสามารถ และศิลปะของแต่ละบุคคล จะต้องทำจิตใจให้ว่างเปล่า ละเว้นจากความปรารถนา ความมีทิฐิและกิเลสต่างๆ คาราเต้ แปลว่า วิถีแห่งการใช้มือ (ร่างกาย) ต่อสู้โดยปราศจากอาวุธ วิถีแห่งคาราเต้เป็นวิธีการดึงพลังจากทั้งร่างมารวมให้เป็นหนึ่งในการต่อสู้โจมตี ซึ่งความรุนแรงของการโจมตีนั้นมีคำกล่าวถึงว่า "อิคเคน ฮิซัทสึ"(一拳必殺) หรือ "พิชิตในหมัดเดียว" สิ่งที่สำคัญของคาราเต้คือการต่อสู้กับตนเอง เช่นการฝึกยั้งแรงการโจมตี โดยใช้ในการหยุดโจมตีเมื่อสัมผัสร่างกายคู่ต่อสู้แม้เพียงเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บไม่มากและป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการฝึกการกำหนดความรุนแรงของการโจมตี เมื่อผู้ฝึกสามารถยั้งแรงได้ เขาก็จะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีได้จนถึงขีดความสามารถเช่นเดียวกัน คำว่า โด แปลว่า วิถีทาง ลู่ทาง ศาสตร์ อีกทั้งยังหมายถึงปรัชญาเต๋าอีกด้วย โด เป็นคำต่อท้ายที่ใช้สำหรับศิลปะหลายชนิด ให้ความหมายว่า นอกจากจะศิลปะเหล่านั้นจะเป็นทักษะแล้ว ยังต้องมีพื้นฐานของจิตวิญญาณอยู่ด้วย สำหรับในความหมายที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ อาจจะแปลได้ว่า "วิถีแห่ง..." เช่น ใน ไอคิโด ยูโด เคนโด ดังนั้น "คาราเต้โด" จึงหมายถึง "วิถีแห่งมือเปล่า" "โด" อาจมองได้ 2 แบบ คือ แบบปรัชญา และแบบกีฬา "โด" แบบปรัชญา ด้วยความหมายที่แปลว่า วิถีทาง และเป็นชื่อศาสนาเต๋าของศาสดาเหล่าจื๊อ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในด้านปรัชญาพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่น การตีความหมายคำนี้ จึงอาจมองได้ว่า วิถีทางการดำเนินชีวิต จิตวิญญาณของนักคาราเต้ เป็นต้น ซึ่งนักคาราเต้บางท่าน อาจใช้ คาราเต้ เป็นวิถีแห่งการเข้าถึง จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ(เต๋า เซน) ได้ ดังนั้น คำว่า "โด" ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละคนจำมีวิธีการในการเดินแตกต่างกัน "โด" แบบกีฬา จริง ๆ ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีทั้งคำว่า คาราเต้ และ คาราเต้โด ทำไมต้องเพิ่มคำว่า โด คำว่า "โด" เริ่มใช้ครั้งแรกในศิลปะป้องกันตัว ยูโด โดยปรมาจารย์จิกาโร่ คาโน แห่งโคโดกันยูโด เพื่อเปลี่ยนแปลง และแบ่งแยกวิชาใหม่ โดยแยกตัวออกจากวิชา ยูยิทสุ ซึ่งยูโดได้ตัดทอนกระบวนท่าที่อันตรายออกไป เพื่อการฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ และสามารถจัดการแข่งขันได้ คาราเต้ แต่เดิมไม่มีคำว่าโด เช่นกัน แต่ก่อนจะเรียกว่า คาราเต้จิทสุ หรือว่า คาราเต้ แต่เริ่มใช้คำว่า "โด" เมื่อมีการจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศ ซึ่งต้องรวมนักคาราเต้จากทั้ง 4 สำนักใหญ่เข้าไว้ จึงต้องบัญญัติกฎการแข่งขันใหม่ ลดทอนการจู่โจมที่อันตราย และสามารถแข่งขันกันได้อย่างเต็มที่ และเป็นกลางที่สุด คำว่า "โด" ในคาราเต้จึงเกิดขึ้น และมีความหมายว่า วิถีทางการต่อสู้ในรูปแบบของคาราเต้ ซึ่งคำว่าคาราเต้โด โดยมากจะใช้ในการแข่งขันการฝึกฝน การฝึกฝน. ขั้นตอนการฝึกของคาราเต้โด จะเริ่มต้นที่การสอนธรรมเนียมปฏิบัติ เช่นท่าเคารพต่าง ๆ การปฏิบัติตนต่อเซนเซ (อาจารย์) เซมไป (รุ่นพี่) มารยาทในโดโจ (โรงฝึก) ระเบียบในการฝึกต่างๆ แล้วจึงสอนหลักในวิชาคาราเต้ โดยจะเริ่มต้นที่การยืนในท่าชิเซนไต (ท่ายืนธรรมชาติ), ซึกิ (ท่าชก), อุเกะ (ท่าปัดป้อง), เกริ (ท่าเตะ), ดาจิ (ท่ายืนและการย่างก้าว) และนำท่าชกปัดหรือเตะมารวมกับท่าย่างก้าว จนเป็นท่ากิฮ้อง (พื้นฐาน) ต่างๆ เมื่อนำท่าพื้นฐานมาฝึกเข้าคู่กัน โดยให้ฝ่ายหนึ่งบุกฝ่ายหนึ่งรับ ก็จะเป็นการฝึกเพื่อเพิ่มทักษะคูมิเต้ (การต่อสู้) และที่การรวมท่าพื้นฐานต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นเพลงมวยไว้รำ หรือที่เรียกว่ากาต้า เพื่อใช้ฝึกสมาธิ และเทคนิครูปแบบในการต่อสู้ต่างๆ สิ่งสำคัญที่จะรวมเป็นนักคาราเต้ที่ดีได้ต้องมีทั้งความเป็น "คาราเต้" และต้องมี "โด" ในจิตใจ โดย คาราเต้ ต้องประกอบด้วย 3K คือ Kihon (基本 กิฮ้อง) เป็นท่าพื้นฐาน Kumite (組手 คุมิเต้) เป็นการต่อสู้ Kata (型 คาตะ) เป็นท่าเพลงมวย รวมแล้วเป็น KARATE ( 空手 คาราเต้ ) เป็นการฝึกเพื่อให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และสามารถต่อสู้ป้องกันตัว ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ในยามคับขัน และสิ่งสุดท้ายคือ DO (道 โด) ในคำว่า คาราเต้โด คือการฝึกตนเองให้มีระเบียบวินัยต่อตนเองและผู้อื่น มารยาทกาลเทศะ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และหลักปรัชญาพุทธนิกายเซน โดย โด เป็นสิ่งที่ควบคุมจิตใจไม่ให้นักคาราเต้ไปทำร้ายผู้อื่นได้เหมือนดาบในฝัก ดังนั้นนักคาราเต้จึงไม่เป็นแค่นักสู้เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีงามอีกด้วยคาตะ Kata 型,形 คาตะ Kata 型,形. ในคาราเต้ คาตะมีความสำคัญมาก คาตะสามารถบ่งบอกถึงลักษณะเด่นของในคาราเต้แต่ละสำนักได้ว่า สำนักนั้น ๆมีจุดเด่นในการต่อสู้อย่างไร รวมไปถึงระดับความสามารถของบุคคลที่ร่ายคาตะออกมาด้วยว่าอยู่ในระดับไหน มีความรู้ในด้านคาราเต้อย่างไร ในปัจจุบันมีสำนักคาราเต้มากมาย และในแต่ละสำนักก็จะมีคาตะที่ไม่เหมือนกัน ตามแต่ว่าคาราเต้ในสายนั้น ๆ จะสืบทอดต่อกันมาใน โอะกินะวะ-เต้ ชนิดใด โชโตกันริว Shotokan-Ryu 松涛館流 โกจูริว Goju-Ryu 剛柔流 วาโดริว Wado-Ryu 和道流 ชิโตริว Shito-Ryu 糸東流 และคาตะที่ไม่มี * หมายถึง คาตะที่สามารถใช้ในการแข่งขันได้ที่ใช้กฎ WKF ได้การแข่งขัน คาตะ Kata 型การแข่งขัน คาตะ Kata 型. 1. การแข่งขัน kata แบ่งออกเป็นประเภททีมและประเภทบุคคล โดยการแข่งขันประเภททีมจะมีสมาชิกในทีม ทั้งหมด 3 คนเป็นผู้หญิงล้วนหรือชายล้วน การแข่งขันประเภทบุคคลก็แบ่งออกเป็นการแข่งขันเดี่ยว ประเภทบุคคลหญิงและประเภทบุคคลชาย 2. ระบบการคัดออกแบบการชิงตำแหน่งที่ 3 (Reprechage) จะถูกนำมาใช้ 3. ผู้แข่งขันต้องใช้ทั้งท่าบังคับ(SHITEI) และท่าอิสระ(TOKUI) โดยท่าที่ใช้ในการแข่ง kata ซึ่งจะต้อง ได้รับการยอมรับจากสถานที่ฝึกคาราเต้-โด ที่ถูกยอมรับจากสหพันธ์คาราเต้แห่งโลก (WKF) ยึดตามระบบ Goju, Shito, Shoto และWado ใน 2 รอบแรกจะไม่อนุญาตให้ใช้ท่าอื่นเลย ตารางท่าบังคับของท่า KATA จะอยู่ในภาคผนวกที่ 6 และรายการของ KATA ที่เป็นที่ยอมรับจะอยู่ในภาคผนวกที่ 7 4. ใน 2 รอบแรกผู้แข่งสามารถเลือกจากรายชื่อ shitei kata เท่านั้น ไม่อนุญาตให้แสดงท่าอื่นที่แตกต่างไปได้ 5. ในรอบต่อมาผู้แข่งขันสามารถเลือกท่าจากรายชื่อ TOKUI KATA ในภาคผนวกที่ 7 โดยท่าที่แข่งเหล่านี้เป็นท่า ที่ถูกสอนจากสถานฝึกของผู้แข่งจะถูกนำมาแข่งได้ 6. ท่าที่จะใช้ในการแข่งขันจะต้องเขียนถูกแจ้งไว้ที่โต๊ะคะแนนก่อนเริ่มการแข่งขัน 7. ผู้แข่งขันจะต้องแสดง KATA ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละรอบ เมื่อแสดง KATA ใดไปแล้วห้ามแสดงซ้ำอีก อย่างไรก็ตามถ้ามีการแข่งขันรอบคัดเลือก เนื่องจากมีผู้แข่งขันมากท่า tokui KATA ที่ใช้ในการแข่งรอบคัดเลือก ซึ่งเลือกขึ้น จะสามารถนำมาใช้ได้อีกในรอบอื่นที่เหมาะสม 8. ในรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขัน KATA แบบทีม ใน 2 ทีมที่เข้าแข่งจะแสดง KATA จากรายชื่อ TOKUI KATA ในภาคผนวกที่ 7 ในแบบปกติและพวกเขาจะต้องทำการแสดงความหมายของท่า bunkai KATA ซึ่งมีระยะเวลา 3 นาทีในการแสดงหลักการตัดสิน หลักการตัดสิน. 1. การแสดง KATA จะต้องแสดงด้วยความสมบูรณ์ และต้องแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความหมายของแต่ละท่า ในการประเมิน ความสามารถ ของผู้แข่งขันกรรมการ จะดูจาก A.) ท่าตามความเป็นจริงตามความหมายของ KATA B.) ความเข้าใจในเทคนิคที่นำมาใช้ (BUNKAI) C.) ความเหมาะสมของเวลา, จังหวะ, ความเร็ว, การทรงตัว และการรวมพลัง (KIME) D.) ความถูกต้องและการใช้ลมหายใจอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยใน KIME E.) ความถูกต้องในการรวบรวมความตั้งใจ (CHAKUGAN) และสมาธิ F.) ความถูกต้องของท่ายืน (DACHI) ด้วยขาที่เกร็งอย่างเหมาะสมและเท้าแบนเรียบที่พื้น G.) ท้องที่เกร็งอย่างเหมาะสม (HARA) และไม่มีการกระดกขึ้นลงของสะโพกเวลาเคลื่อนตัว H.) รูปแบบที่ถูกต้อง (KIHON) ของท่าทางที่แสดง I.) การแสดงท่าทางจะถูกประเมิน ด้วยการวิเคราะห์จุดอื่นๆ ด้วย J.) ในการแข่งขัน KATA แบบทีมจะดูความกลมกลืนและพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ใช้การบอกใบ้ จากการใช้ท่าทางภายนอกมาเป็นปัจจัยในการตัดสินด้วย 2. ใน 2 รอบแรก ผู้แข่งขันที่ใช้ท่าอื่นนอกเหนือจากท่าที่กำหนดจะถูกตัดสิทธิ และผู้แข่งขันที่หยุดชะงักในระหว่าง การแสดง KATA หรือ ผู้ที่แสดง KATA นอกเหนือจากที่ได้ประกาศไว้ จะต้องถูกตัดสิทธิด้วย คำอธิบายเพิ่มเติม I. KATA ไม่ใช่การเต้นรำหรือการแสดงละคร ดังนั้นจะต้องยึดมั่นในคุณค่าของเก่าและหลักการดั้งเดิมไว้ จะต้องจริงจังเหมือนในการต่อสู้จริง และแสดงสมาธิ, พลัง, และประสิทธิภาพในการปะทะในเทคนิคของมัน และจะต้องแสดงความแข็งแกร่ง, พลัง, และความเร็ว เช่นเดียวกับท่วงท่าลีลาที่สวยงาม, จังหวะ, และการทรงตัว II. ใน KATA แบบทีม ผู้ร่วมทีมทั้ง 3 คนจะต้องเริ่ม KATA โดยหันหน้าไปทางเดียวกันให้กรรมการผู้ชี้ขาด III. สมาชิกในทีมจะต้องแสดงท่าทางในหลักเกณฑ์ของการแสดง KATA โดยพร้อมเพรียงกัน IV. คำสั่งให้เริ่มและหยุดการแสดง, การกระทืบเท้า, การตบอก แขน หรือเสื้อ, และการหายใจออกอย่างไม่เหมาะสม เป็นตัวอย่างการบอกใบ้จากภายนอก และจะนำมาพิจารณาในการตัดสินด้วยการแข่งขัน คุมิเต้ Kumite 組手 การแข่งขัน คุมิเต้ Kumite 組手. การแข่งขันของคาราเต้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ตามการต่อสู้ของแต่ละสำนัก และวัตถุประสงค์ของการแข่งขัน ซึ่งการต่อสู้ของแต่สำนักนั้นย่อมไม่เหมือนกัน จึงมีทั้งรูปแบบการแข่งของสำนัก และแบบสากลที่ได้รับการยอมรับกัน รูปแบบของ JKA (Japan Karate Association) เป็นรูปแบบเฉพาะของสำนักโชโตกัน เอาไว้ใช้แข่งขันกันภายในสำนัก โดยจะเก็บแค่ 1 คะแนน หรือ อิป้งโชบุ ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ต้องอาศัยจิตใจ และความสามารถทางด้านคาราเต้อย่างสูง เพราะแค่ประมาทเพียงนิดเดียวสามารถเสียแต้มได้ ซึ่งทางโชโตกันจะมองว่า การโจมตีเพียงหนึ่งหมัดก็สามารถปลิดชีพได้แล้ว ดังนั้นในการแข่งถ้าพลาดแม้แต่หมัดเดียวก็ถือว่าพ่ายแพ้แล้ว ในการตัดสินแต้มนั้นจะต้องเกิดจากความเร็ว รุนแรง ความถูกต้องของคาราเต้ จังหวะ ระยะ และจิตใจที่มุ่งโจมตี ทั้งหมดจะต้องทำให้สมบูรณ์มากที่สุด ถึงจะสามารถสั่งหยุดการแข่งขัน และตัดสินให้แต้มได้ โดยมากการแข่งประเภทนี้ จะนิยมออกอาวุธเพียงหมัดเดียวเพื่อตัดสินแพ้ชนะกัน ดังนั้นการต่อสู้จึงเน้นที่จะ ทำจังหวะ ระยะ ที่ดีที่สุด ไม่เน้นการโจมตีหลายครั้งเนื่องจากถ้าเคลื่อนไหวมากเกินไป หรือโจมตีด้วยความประมาทอาจจะทำให้เกิดความเพลี้ยงพล้ำได้ ซึ่งรูปแบบการแข่งนี้เป็นต้นแบบการแข่งขันคาราเต้ ซึ่งนำมาใช้ในการแข่งขันคาราเต้ครั้งแรก ที่ประเทศญี่ปุ่น และสำนักอื่นๆ ได้นำรูปแบบกติกานี้ไปประยุกต์ใช้ในสำนักของตน รูปแบบสากล WKF(World Karate Federation) ที่ใช้ในการแข่งขันระดับชาติเช่น ซีเกมส์ เอเซี่ยนเกมส์ ชิงแชมป์โลก ซึ่งกฎกติกานั้น ทางสหพันธ์คาราเต้โลก ได้กำหนดไว้เพื่อเป็นมาตรฐาน โดยการแข่งขันจะเก็บคะแนนที่ 8แต้ม ใครสามารถทำแต้มได้สูงกว่าในกำหนดเวลา หรือว่าสามารถชิงได้ 8แต้มก่อนถือว่าเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งการแข่งนี้ ได้นำเอาการแข่งขันของ JKA มาเป็นต้นแบบ แต่ปรับเรื่องการให้คะแนน จำนวนคะแนนในการตัดสิน และบทลงโทษของการแข่งขัน เพื่อพัฒนาคาราเต้ให้เป็นกีฬาสากล รูปแบบฟูลคอนแทค เป็นรูปแบบการแข่งขันของคาราเต้ สำนักเคียวคุชิน และสำนักอื่นๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบกติกานี้จะนิยมใช้กันในหมู่สำนักที่มาจากเคียวคุชินคาราเต้ การแข่งแบบฟูลคอนแทคนั้น จะไม่สามารถโจมตีใบหน้าด้วยเทคนิคการใช้มือ-แขน หรือศอกได้ การโจมตีใบหน้าสามารถทำได้แค่การเตะ หรือเข่าเท่านั้น ระบบการให้คะแนนจะเป็นรูปแบบที่ว่าชกโดนคู่ต่อสู้กี่ครั้ง คล้ายๆมวยสากล และถ้าสามารถโจมตีเพียงหมัดเดียวให้คู่ต่อสู้น๊อคดาวน์ หรือโจมตีจนกว่าคู่ต่อสู้จะแสดงอาการบาดเจ็บได้ ก็จะเป็นฝ่ายชนะทันที การแข่งขันในระดับสากล เช่นการแข่ง เอเซี่ยนเกมส์ ซีเกมส์ หรือแข่งชิงแชมป์โลก หรือชิงแชมป์ทวีป ประเทศ จังหวัด หรือเขต จะต้องควบคุมการแข่งขันกับสมาคมที่ควบคุมดูแลโดยสหพันธ์คาราเต้โลก(WKF) และใช้กฎการแข่งสากล หรือที่เรียกกันว่า กฎ WKF แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายน้ำเงิน (อาโอะ) และแดง (อากะ) มีกรรมการธง 3 คนรอบขอบสนาม กรรมการชี้ขาด 1 คนในสนาม กรรมการจดบันทึกอีก 1 คนที่หน้าโต๊ะกรรมการ ซึ่งกรรมการทั้งหมดนี้ จะอยู่ในการควบคุมดูแลโดยกรรมการชุดใหญ่อีกทีหนึ่ง ซึ่งกรรมการชุดใหญ่นี้จะเป็นชุดที่คอยควบคุมดูแลการแข่งขันทั้งหมด ในการแข่ง Kumite การแข่งขันของฝ่ายชายไม่ว่าจะเป็นการแข่งประเภททีมหรือบุคคลใช้เวลา 3 นาที ส่วนการแข่ง ของผู้หญิง, เด็ก, หรือผู้ฝึกใหม่ใช้เวลา 2 นาที เวลาในการแข่งเริ่มต้นเมื่อกรรมการผู้ชี้ขาดให้สัญญาณเริ่ม และการแข่งขันจบลงเมื่อกรรมการผู้ชี้ขาดสั่งว่า “YAME (หยุด)” ผู้รักษาเวลาควรให้สัญญาณหรือกดออดที่เสียงดังชัดเจน เพื่อบอกว่าเหลือเวลา 30 วินาที และ เมื่อหมดเวลาการแข่ง การให้คะแนน 1. การให้คะแนนสามารถให้ได้ตามระดับต่อไปนี้ : a.) IPPON 3 คะแนน b.) WAZARI 2 คะแนน c.) YUKO 1 คะแนน 2. คะแนนจะถูกให้ได้ต่อเมื่อการจู่โจมนั้นมีคุณสมบัติ ดังนี้ a.) Good Form : การจู่โจมด้วยท่าทางที่ดี b.) Sporting Attitude : ทัศนคติทางกีฬา c.) Vigorous Application : การใช้พลังและความเร็ว d.) Awareness (Zanshin) : การระวังการจู่โจมกลับ e.) Good Timing : จังหวะการจู่โจม f.) Correct Distance : ระยะของการจู่โจม 3. การให้คะแนน SANBON เกิดจากการที่นักกีฬา a.) เตะสูง หรือ (JODAN KICK) b.) กวาดขา หรือเหวี่ยงคู่ต่อสู้ล้มลง และตามด้วยการจู่โจมที่ทำคะแนน 4. การให้คะแนน NIHON เกิดจากการที่นักกีฬา a.) การเตะระดับลำตัว (CHUDAN KICKS) b.) ชกด้านหลังของคู่ต่อสู้ c.) ใช้เทคนิคการต่อสู้ด้วยมือเป็นชุดซึ่งแต่ละเทคนิคสามารถทำคะแนนได้ d.) ทำให้คู่ต่อสู้เสียหลัก แล้วจึงทำคะแนน 5. การให้คะแนน IPPON เกิดจากการที่นักกีฬา a.) ใช้การต่อยระดับลำตัว(CHUDAN) หรือระดับสูง( JODAN) b.) ใช้หลังมือ (UCHI) 6. ผู้แข่งขันสามารถโจมตีส่วนต่าง ๆ ของคู่ต่อสู้ได้เฉพาะบริเวณดังต่อไปนี้ คือ a.) ศีรษะ b.) หน้า c.) คอ d.) ท้อง e.) อก f.) หลัง g.) ข้างลำตัว 7. การใช้เทคนิคหรือโจมตีคู่ต่อสู้เสร็จสมบูรณ์ในขณะหมดเวลาพอดีถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าผู้แข่งขันยังโจมตีหลังจาก หมดเวลาการแข่งขันแล้ว หรือหลังจากคำสั่งหยุดของกรรมการผู้ชี้ขาดถือว่าไม่ได้คะแนน และอาจถูกลงโทษ ได้เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้ 8. กรณีผู้แข่งขันทั้งสองทำการต่อสู้นอกพื้นที่แข่ง ทั้งสองจะไม่ได้คะแนนถึงแม้ว่าสามารถใช้เทคนิคโจมตีได้อย่าง สมบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีคนใดคนหนึ่ง ใช้เทคนิคการโจมตีอย่างสมบูรณ์ขณะอยู่ในพื้นที่แข่ง และ กรรมการผู้ชี้ขาด ยังมิได้ประกาศ “YAME” เพื่อหยุดการแข่งขันกรรมการผู้ชี้ขาดสามารถพิจารณาให้คะแนน ผู้แข่งขันคนนั้นได้ 9. ถ้าผู้แข่งขันทั้งสองสามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ในเวลาเดียวกัน(Aiuchi) ผู้แข่งขันทั้งสองก็จะไม่ได้คะแนนคำอธิบายเพิ่มเติม คำอธิบายเพิ่มเติม. I. การจับตัวคู่ต่อสู้และทุ่มนั้น สามารถทำได้ต่อเมื่อกระทำหลังจากการใช้เทคนิคจู่โจมของคาราเต้ก่อน หรือคู่ต่อสู้ ได้ทำการจู่โจมและพยายามทุ่มหรือจับตัว II. เพื่อความปลอดภัย การทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ในลักษณะต่อไปนี้ ห้ามกระทำและจะถูกเตือนหรือปรับโทษ การทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้โดยมิได้ยึดเหนี่ยว, อันตราย, หรือแกนการหมุนอยู่เหนือระดับสะโพก แต่มีข้อยกเว้น ในการทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ที่สามารถใช้ได้คือ เทคนิคการปัดเท้าคาราเต้แบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ต้องมีการจับยึดคู่ต่อสู้ (De Ashi-barai, Ko uchi gari, Kaui waza, etc) การทำคะแนนหลังจากทุ่มหรือโยนคู่ต่อสู้ : กรรมการผู้ชี้ขาดจะให้เวลาประมาณ 2-3 วินาที หลังจากการทุ่มหรือโยน เพื่อให้โอกาสเข้าทำคะแนน III. การจู่โจมด้วยท่าทางที่ดี (Good Form) หมายถึง การจู่โจมที่มีลักษณะตรงตามบรรทัดฐานของคาราเต้ดั้งเดิม IV. ทัศนคติทางกีฬา (Sport Attitude) หมายถึง การจู่โจมด้วยท่าทางที่ดี และไม่มีความตั้งใจที่ จะปองร้ายหรือมุ่งร้าย ต่อคู่ต่อสู้ในขณะที่ใช้เทคนิคจู่โจมทำคะแนน V. การใช้พลังและความเร็ว (Vigorous Application) หมายถึง การแสดงให้เห็นถึงพลังและความเร็ว ในการใช้เทคนิคจู่โจมและแสดงความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่ต้องการให้การจู่โจมสำเร็จ VI. การระวังการจู่โจมกลับ Awareness (Zanshin) เป็นบรรทัดฐานหนึ่งที่ไม่ค่อย ได้นำมาประกอบการให้คะแนน ซึ่งจะเป็นสภาวะต่อเนื่องจากการโจมตี โดยที่นักกีฬาต้องรักษาระดับสมาธิ, การสังเกตคู่ต่อสู้, และการระวัง ความเป็นไปได้ของการถูกโจมตีกลับจากคู่ต่อสู้ขณะที่ตนเองเข้าทำการจู่โจม เช่น ไม่หันหน้าหนีจากคู่ต่อสู้ ขณะที่ทำการจู่โจมคู่ต่อสู้ VII. จังหวะการจู่โจม (Good Timing) หมายถึง ได้ทำการจู่โจมคู่ต่อสู้ ณ ช่วงเวลาที่มีโอกาสมากที่สุด VIII. ระยะการจู่โจม (Correct Distance) หมายถึง การจู่โจมคู่ต่อสู้ในระยะที่เหมาะสม ทำให้การจู่โจม มีประสิทธิผลสูงสุด หากทำการจู่โจมขณะคู่ต่อสู้กำลังถอยหลังอย่างเร็วนั้น ผลการจู่โจมก็จะลดลง IX. ระยะหยุด (Distancing) หมายถึง เมื่อสิ้นสุดการจู่โจมอวัยวะที่ใช้ในการจู่โจม เช่นการเตะหรือชกใบหน้า ควรหยุดลงเมื่อสัมผัสผิวเป้าหมาย หรืออาจมีระยะห่างประมาณ 2-3 เซนติเมตรจากเป้าหมายแต่หากเป็น การต่อยแบบ(Jodan Punch) ซึ่งมีระยะการหยุดที่เหมาะสมและคู่ต่อสู้ไม่ได้แสดงถึงความพยายามที่จะปัด หรือหยุด หรือหลบหลีกใดๆ คะแนนสามารถให้ได้ ทั้งนี้การจู่โจมต้องได้มาตรฐานการจู่โจมในข้ออื่นด้วย X. เทคนิคการจู่โจมที่ไร้ค่า คือการใช้เทคนิคการจู่โจมที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการให้คะแนน จะไม่ได้รับ คะแนน ไม่ว่าการจู่โจมนั้นจะกระทำในรูปแบบใดหรือถูกเป้าหมายใด เช่น การจู่โจมที่ขาดท่าทางที่ดี หรือขาดพลังและความเร็ว XI. การโจมตีที่ต่ำกว่าสายคาดเอวยังอาจได้คะแนน ถ้าการโจมตีนั้นกระทำบริเวณที่สูงกว่ากระดูกบริเวณหัวเหน่า, คอ และคอหอยก็เป็นเป้าหนึ่งถ้าผู้แข่งขันสามารถโจมตีไปยังจุดดังกล่าวได้ โดยไม่โดนหรือสัมผัสก็จะได้คะแนน XII. การโจมตีคู่ต่อสู้อย่างสวยงามบริเวณเหนือบ่าอาจทำให้ผู้โจมตีได้คะแนน จุดโจมตีที่จะไม่ได้คะแนนคือตำแหน่ง บริเวณช่วงต่อระหว่างกระดูกแขนกับหัวไหล่ และกระดูกไหปลาร้า XIII. สัญญาณกระดิ่งดังขึ้นหมายถึงว่าความเป็นไปได้ที่จะทำคะแนนจบลง แม้ว่ากรรมการผู้ชี้ขาดยังไม่ยุติการแข่งโดย ไม่ตั้งใจในทันทีก็ตาม การที่เวลาหมดไม่ได้หมายความว่าการลงโทษจะไม่สามารถให้ได้ แต่การลงโทษ ยังสามารถให้ได้จากคณะกรรมการผู้ชี้ขาดจนกว่าจะถึงจุดที่ผู้แข่งขันทั้งสองออกจากพื้นที่การแข่งขัน แต่การให้ โทษก็ยังสามารถให้เกินจากจุดนั้นได้อีกโดยจะได้จากคณะกรรมการควบคุมการตัดสิน XIV. การเข้าโจมตีพร้อมกัน(Aiuchi) จะเป็นไปได้น้อยมาก ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะโจมตีพร้อมกันแต่ต้องใช้เทคนิค ทำคะแนนอย่างสมบูรณ์ ทั้งสองเทคนิคอาจจะทำพร้อมกันแต่น้อยมากที่จะมีประสิทธิภาพต่อการทำคะแนน เท่าเทียมกัน หัวข้อที่ 7: หลักการตัดสินผู้ชนะการแข่งขัน กรรมการผู้ชี้ขาดจะต้องห้ามไม่สั่ง “AIUCHI” ในกรณีที่มีเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ทำคะแนนได้ที่แท้จริง พฤติกรรมต้องห้ามแบ่งเป็น 2 ประเภท (ที่ทำให้เสียโทษ) ประเภทที่ 1 (CATEGORY 1) 1. การจู่โจมซึ่งมีการสัมผัสรุนแรงเกินไป และการจู่โจมที่สัมผัสบริเวณคอหอยคู่ต่อสู้ 2. การจู่โจมที่ แขน, ขา, ขาหนีบ, ข้อต่อ, หลังเท้า 3. การจู่โจมที่ ใบหน้า โดยใช้เทคนิค แบมือ 4. การทุ่มที่อันตรายและถูกห้ามซึ่งอาจทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บ ประเภทที่ 2 (CATEGORY 2) 1. เสแสร้งการบาดเจ็บ, แสดงการบาดเจ็บเกินความจริง 2. ออกนอกบริเวณพื้นที่ แข่งขัน (Jogai) บ่อยครั้งเกินไป 3. ต่อสู้โดยขาดการระมัดระวัง หรือขาดการป้องกันตนเองซึ่งอาจนำไปถึงอันตรายต่อตนเองได้ (Mubobi) 4. หลีกเลี่ยงการต่อสู้ เพื่อมิให้คู่ต่อสู้มีโอกาสทำคะแนน 5. การจับและพยายามทุ่มคู่ต่อสู้โดยมิได้ใช้เทคนิคการจู่โจมที่แท้จริงก่อน ยกเว้นคู่ต่อสู้พยายามทุ่มก่อน, และเมื่อ แกนหมุนของการทุ่มอยู่เหนือระดับสะโพก 6. การหน่วงเหนี่ยว, การปล้ำ, การผลัก, การจับยึด โดยไม่มีความพยายามที่จะใช้การจู่โจมตามมา 7. การใช้เทคนิคจู่โจมที่ไม่สามารถควบคุมความปลอดภัย หรืออันตรายให้แก่คู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะจู่โจมถูกเป้าหมายหรือไม่ 8. การจู่โจมโดยใช้ ศีรษะ, หัวเข่า, และข้อศอก 9. ใช้คำพูดยั่วยุต่อสู้, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรรมการผู้ชี้ขาด, ไม่สุภาพต่อกรรมการอื่น, หรือการไร้มารยาทอื่นๆ- การเสียโทษ CHUKOKU(การเตือน) กรรมการจะเตือนผู้แข่งในกรณีที่เป็นความผิดพลาดครั้งแรกและผิดพลาดเพียงเล็กน้อย KEIKOKU การลงโทษโดยฝ่ายตรงข้ามได้คะแนน IPPON(1 คะแนน) และเป็นการตักเตือนสำหรับ ความผิดพลาดเล็กน้อย ซึ่งกรรมการได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว ในยกแข่งขันนี้ หรือกรณีที่ความผิดพลาดดังกล่าวไม่รุนแรงพอที่จะสั่งลงโทษ HANSOKU CHUI ได้ HANSOKU-CHUI การลงโทษโดยที่ฝ่ายตรงข้ามได้คะแนน NIHON (2 คะแนน) และมักเกิดเมื่อ กรรมการได้กล่าวตักเตือนและลงโทษแบบ KEIKOKU ไปแล้วในการแข่งที่ผ่านมาหรือ สามารถใช้ปรับโทษดังกล่าว โดยขั้นการกระทำผิดที่รุนแรงแต่ไม่ถึงขั้น HANSOKU HANSOKU การลงโทษในความผิดที่รุนแรงมากหรือเมื่อมีการลงโทษ HANSOKU-CHUI มาก่อน ซึ่งมีผลให้ผู้แข่งขันถูกตัดสิทธิการแข่งขันทันที ในกรณีแข่งขันประเภททีม ผู้แข่งขันที่ บาดเจ็บจะได้คะแนนเพิ่ม 8 คะแนนบวกด้วยคะแนนของคู่ต่อสู้ ถ้าคะแนนของคู่ต่อสู้ สูงกว่าของตน SHIKKAKU การลงโทษโดยการตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันตลอดรายการ หรือแค่การแข่งประเภท นั้น หรือคณะกรรมการตัดสินจะต้องร่วมปรึกษาและกำหนดขอบเขตของ SHIKKAKU การลงโทษ SHIKKAKU ซึ่งมักใช้ลงโทษกรณีผู้แข่งขันมุ่งร้าย, ไม่เชื่อฟัง กรรมการผู้ชี้ขาด หรือละเมิดกฎการแข่งและทำให้เสียเกียรติของกีฬาคาราเต้ หากเป็น การแข่งประเภททีม ถ้าสมาชิกของทีมได้รับ SHIKKAKU คู่ต่อสู้จะได้รับคะแนน 8 คะแนน บวกกับคะแนนของผู้กระทำผิดถ้าคะแนนของผู้กระทำผิดสูงกว่าของตน ในการแข่งขันนอกเหนือจากนี้คือ การแข่งขันภายในสมาคม หรือ สำนัก เช่น การแข่งขันชิงชนะเลิศโกจูไก หรือ การแข่งขันโชโตกันชิงชนะเลิศ และสำนักอื่นๆ ทั้งในระดับประเทศ ทวีป หรือระดับโลก ก็จะใช้กฎการแข่งตามแต่ละสำนักจะตั้งกฎระเบียบการแข่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปรัชญาของแต่ละสำนักมากที่สุด ซึ่งบางสำนักยังคงรักษารูปแบบการแข่งแบบโบราณไว้ เช่น ใช้นวมบางอย่างเดียว หรือไม่ใช้นวมระดับของสาย ระดับของสาย. การแบ่งระดับของคาราเต้ด้วยการคาดสายนั้น(Obi) จะเรียกว่า คิว(Kyu) ใช้ในระดับสายสี และดั้ง (Dan) ใช้ในระดับสายดำ มาตรฐานระดับสายคาดเอว สมาคมไทย-ญี่ปุ่น โชโตกันคาราเต้ (ประเทศไทย) 10kyu ขาว 9kyu ขาว 8kyu ขาว 7kyu เหลือง 6kyu เหลือง 5kyu เขียว 4kyu ฟ้า 3kyu น้ำตาล 2kyu น้ำตาล 1kyu น้ำตาล 1-10Dan ดำ มาตรฐานระดับสายคาดเอว สมาคมคาราเต้โดโกจูไก (ประเทศไทย) 10kyu ขาวปลายเหลือง 9kyu เหลือง 8kyu เหลืองปลายเขียว 7kyu เขียว 6kyu เขียวปลายฟ้า 5kyu ฟ้า 4kyu ฟ้าปลายน้ำตาล 3kyu น้ำตาล 2kyu น้ำตาลปลายดำหนึ่ง 1kyu น้ำตาลปลายดำสอง 1-10Dan ดำ ซึ่งในบางสำนักจะใช้ระดับมาตรฐาน(รวมถึงสายของสี) จะใช้ไม่เหมือนกันตามแต่ละสำนัก ถึงแม้นว่าจะสำนักเดียวกัน แต่คนละประเทศก็สามารถแตกต่างกันได้
ประเทศใดเป็นต้นกำเนิดของศิลปะการต่อสู้ชนิดคาราเต้หรือคาราเต้โด
{ "answer": [ "ญี่ปุ่น" ], "answer_begin_position": [ 163 ], "answer_end_position": [ 170 ] }
3,284
19,452
กัวลาลัมเปอร์ กัวลาลัมเปอร์ (, อักษรยาวี: , ออกเสียงตามภาษามลายูว่า กัวลาลุมปูร์) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วย ภายในมาเลเซียเอง กัวลาลัมเปอร์มักจะเรียกย่อ ๆ ว่า KL กัวลาลัมเปอร์เป็นหนึ่งในสามดินแดนสหพันธ์ของมาเลเซีย (Malaysian Federal Territories) ล้อมรอบด้วยรัฐเซอลาโงร์บนชายฝั่งตะวันตกตอนกลางของคาบสมุทรมลายู ฝ่ายบริหารของรัฐบาลมาเลเซียได้ย้ายไปที่เมืองใหม่คือ ปูตราจายา อย่างไรก็ดี พระราชฐานของกษัตริย์ของมาเลเซีย รัฐสภามาเลเซีย และฝ่ายนิติบัญญัติยังคงอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ประวัติภูมิศาสตร์ภูมิอากาศเขตการปกครองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวศาสนาสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของเมืองกัวลาลัมเปอร์ ได้แก่ หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (Menara Kuala Lumpur) อาคารเปโตรนาสทาวเวอร์ (Petronas Towers) ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของเมือง ที่แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และส่วนอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (KLCC) อาคารเปโตรนาส เคยเป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดในโลกในช่วง ค.ศ. 1998-2004 จนกระทั่งอาคารไทเป 101 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ใน ค.ศ. 2004 แต่ยังคงเป็นอาคารแฝดที่มีความสูงที่สุดในโลก อาคารเปโตรนาสมี 2 อาคาร นับเป็นอาคารที่สูงที่สุดอันดับ 8 และ 9 ของโลกการศึกษาวัฒนธรรมการคมนาคมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เมืองหลวงของประเทศมาเลเซียมีชื่อว่าอะไร
{ "answer": [ "กัวลาลัมเปอร์" ], "answer_begin_position": [ 100 ], "answer_end_position": [ 113 ] }
3,286
234,763
ค่าปฏิกรรมสงคราม ค่าปฏิกรรมสงคราม () หมายถึง ของมีค่าที่ต้องจ่ายเป็นค่าชดเชยเพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายระหว่างสงคราม โดยทั่วไปแล้ว ค่าปฏิกรรมสงคราม หมายถึงเงินหรือสินค้าเปลี่ยนมือ มากกว่าการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ อย่างเช่น การผนวกดินแดนการวิพากษ์วิจารณ์ การวิพากษ์วิจารณ์. ข้อวิพากษ์วิจารณ์หลักของการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในประวัติศาสตร์ประกอบด้วย:- เป็นการกระทำที่ใช้ลงโทษประชาชนของฝ่ายแพ้สงคราม มากกว่าจะเป็นการกระทำอย่างเท่าเทียมระห่วางคู่สงครามทั้งสองฝ่าย - ในหลายกรณี จากผลของการจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม รัฐบาลของฝ่ายที่แพ้สงครามมาก่อนมักจะเป็นผู้เริ่มสงครามในภายหลัง โดยที่ประชาชนของประเทศมีบทบาทน้อยมากต่อการตัดสินใจทำสงครามดังกล่าว รวมไปถึงโทษของค่าปฏิกรรมสงครามส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ - หลังจากสงครามยุติ ประชาชนของฝ่ายแพ้สงครามมักจะประสบกับความยากจนและความขัดสน โทษของค่าปฏิกรรมสงครามจะทำให้ประชาชนยากจนลงไปอีก ซึ่งจะเป็นปัญหาเรื้อรังและอาจเป็นชนวนในระยะยาวของผู้ชนะ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกจะนำไปสู่ความหายนะ และยังได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ค่าปฏิกรรมสงครามนั้นเป็นสาเหตุหลักของสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามของเยอรมนีตามผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักในเยอรมนี ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในสาธารณรัฐไวมาร์ และนำไปสู่การก้าวขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซี ประสบการณ์จากการกำหนดค่าปฏิกรรมสงครามภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งประเทศผู้ชนะสงครามเรียกเก็บเครื่องจักรและสังหาริมทรัพย์แทนที่จะเป็นเงินการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในปัจจุบัน การจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในปัจจุบัน. หลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย อิรักได้ยอมรับมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 687 ซึ่งเป็นการประกาศจำนวนเงินที่อิรักจะต้องรับผิดชอบจากการรุกรานคูเวต คณะกรรมการจ่ายค่าชดเชยแห่งสหประชาชาติ (UNCC) ถูกจัดตั้งขึ้น และมีเงินทุนกว่า 350,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล องค์กรและเอกชน ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าว 30% ได้มาจากมูลค่าของน้ำมันที่อิรักมอบให้ตามโครงการน้ำมันแลกอาหาร
ค่าปฏิกรรมสงครามหมายถึงอะไร
{ "answer": [ "ของมีค่าที่ต้องจ่ายเป็นค่าชดเชยเพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายระหว่างสงคราม" ], "answer_begin_position": [ 136 ], "answer_end_position": [ 207 ] }
3,287
7,612
รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐแคลิฟอร์เนีย (, , แคลึฟอรฺนยะ) เป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีพื้นที่ใหญ่สุดเป็นอันดับสาม ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตก (ติดมหาสมุทรแปซิฟิก) ของสหรัฐอเมริกา มีชายแดนติดกับรัฐแอริโซนา รัฐเนวาดาและรัฐออริกอน และมีชายแดนระหว่างประเทศติดต่อกับรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียของประเทศเม็กซิโก เมืองหลวงรัฐ คือ แซคราเมนโต ลอสแอนเจลิสเป็นนครที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นนครใหญ่สุดอันดับสองของประเทศรองจากนครนิวยอร์ก รัฐแคลิฟอร์เนียยังมีเคาน์ตีที่มีประชากรที่สุดของประเทศ คือ ลอสแอนเจลิสเคาน์ตี และมีพื้นที่มากที่สุด คือ แซนเบอร์นาร์ดีโนเคาน์ตี ภูมิศาสตร์หลากหลายของรัฐแคลิฟอร์เนียมีตั้งแต่ชายฝั่งแปซิฟิกทางทิศตะวันตกถึงเทือกเขาเซียร์ราเนวาดาทางทิศตะวันออก และตั้งแต่ป่าเรดวูด–สนดักลาสทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงทะเลทรายโมฮาวีทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เซ็นทรัลแวลลี พื้นที่เกษตรกรรมหลัก กินพื้นที่ตอนกลางส่วนใหญ่ของรัฐ แม้รัฐแคลิฟอร์เนียจะขึ้นชื่อด้านภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนอบอุ่น แต่ขนาดที่ใหญ่หมายความว่าภูมิอากาศมีหลากหลายตั้งแต่ป่าฝนเขตอบอุ่นชื้นทางทิศเหนือ ถึงทะเลทรายแห้งแล้งด้านใน ตลอดจนแบบแอลป์หิมะในเขตภูเขา ทีแรกพื้นที่รัฐแคลิฟอร์เนียปัจจุบันมีชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนมีการสำรวจของชาวยุโรปจำนวนหนึ่งระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ต่อมาจักรวรรดิสเปนอ้างสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของอัลตาแคลิฟอร์เนียในอาณานิคมนิวสเปน พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโกใน ค.ศ. 1821 หลังสงครามประกาศอิสรภาพสัมฤทธิ์ผล แต่ถูกยกให้สหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1848 หลังสงครามเม็กซิโก–อเมริกา มีการจัดระเบียบส่วนตะวันตกของอัลตาแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแคลิฟอร์เนีย และเข้าเป็นรัฐที่ 31 เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1850 การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียซึ่งเริ่มใน ค.ศ. 1848 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและประชากรศาสตร์อยอ่างสำคัญ โดยมีการเข้าเมืองขนานใหญ่จากทิศตะวันออกและต่างประเทศโดยมีการเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจร่วมด้วย หากเป็นประเทศ รัฐแคลิฟอร์เนียจะมีเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 35 ของโลก ถือเป็นผู้นำกระแสโลกทั้งด้านวัฒนธรรมสมัยนิยมและการเมือง และเป็นถิ่นกำเนิดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ วัฒนธรรมสวนกลับฮิปปี้ อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เป็นต้น ร้อยละ 58 ของเศรษฐกิจรัฐมีศูนย์กลางอยู่ที่บริการการเงิน ภาครัฐ บริการอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีและบริการธุรกิจอาชีพ วิทยาศาสตร์และเทคนิค พื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกมีรายได้ครัวเรือนมัชมิมสูงสุดของประเทศโดยเรียงตามพื้นที่มหานคร และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีรายได้สูงสุดของโลก 20 บริษัทจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ เชฟรอน แอปเปิลและแม็กเคสซัน แม้อุตสาหกรรมเกษตรสร้างรายได้คิดเป็นเพียงร้อยละ 1.5 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ก็ให้ผลผลิตสูงยิ่งกว่ารัฐอื่นใดของสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. แคลิฟอร์เนียรัฐเดียวผลิตผลิตภัณฑ์มวลรวมจำนวนถึง 14% ของประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด และยังเป็นรัฐที่ผลิตได้มากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าลองมองแคลิฟอร์เนียแยกเป็นประเทศอิสระ จะเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ถัดจากประเทศฝรั่งเศส ภาคเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่สำคัญที่สุด ตามมาด้วยอวกาศยาน และธุรกิจบันเทิง และธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในย่านซิลิคอนแวลลีย์เมืองสำคัญเมืองสำคัญ. - ลอสแอนเจลิส - แซคราแมนโต (เมืองหลวงของรัฐ) - แซนดีเอโก - แซนแฟรนซิสโก - แซนโฮเซสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง. สถานที่ที่นักท่องเที่ยวส่วนมากรู้จักได้แก่- ฮอลลีวูด (Hollywood) - ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) - ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) - อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) - ทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) - สวนสัตว์แซนดีเอโก (San Diego Zoo) นอกจากนี้ ในส่วนของใจกลางเมืองลอสแอนเจลิส และ แซนแฟรนซิสโกยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเช่นกันสถานศึกษาที่เป็นที่รู้จักสถานศึกษาที่เป็นที่รู้จัก. - มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (ระบบมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำของโลก) - มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ - มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (ยูซีแอลเอ) - มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก (ยูซีเอสดี) - มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด - สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) - มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย - Academy of Motion Picture Arts and Sciences - CalArts Institute - University of San Francisco
รัฐใดเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
{ "answer": [ "รัฐแคลิฟอร์เนีย" ], "answer_begin_position": [ 102 ], "answer_end_position": [ 117 ] }
3,288
346,619
เลอศักดิ์ สมบัติศิริ ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 — 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553) อดีตประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด, อดีตเจ้าของโรงแรมสวิสโซเทลปาร์คนายเลิศ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหญิงคนแรกของไทยประวัติการทำงาน ประวัติการทำงาน. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริเป็นบุตรของพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ผู้สร้างโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ และโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ผู้ริเริ่มรถโดยสารประจำทางขึ้นในเมืองไทย (รถเมล์นายเลิศ) และผู้สร้างโรงแรมปาร์คนายเลิศ ซึ่งปัจจุบันคือโรงแรมสวิสโฮเต็ลปาร์คนายเลิศ ถนนวิทยุ และคุณหญิงสิน ภักดีนรเศรษฐ ภายหลังจบการศึกษาด้านคหกรรมศาสตร์ จากวิทยาลัยเคียวลิตสุ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2484 ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ได้เข้าทำงานครั้งแรกที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ต่อมาจึงเข้าดำเนินกิจการรถเมล์ขาว ของบริษัท นายเลิศ จำกัด และธุรกิจอย่างอื่นของพระยาภักดีนรเศรษฐ ผู้เป็นบิดา จนกระทั่งสิ้นบุญบิดาจึงได้ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการบริษัท นายเลิศ จำกัด เรื่อยมา จากนั้นได้ก่อตั้งบริษัท นายเลิศพัฒนา จำกัด เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม ด้านการเมือง ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ. 2519 มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นับว่าเป็นรัฐมนตรีหญิงสองคนแรกของประเทศไทย (ได้รับแต่งตั้งพร้อมกับ วิมลศิริ ชำนาญเวช)ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ สมรสกับนายพินิจ สมบัติศิริ บุตรพระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ) และคุณหญิงถวิล มีธิดา 2 คน คือ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ และนางสัณหพิศ โพธิรัตนังกูรถึงแก่อนิจกรรม ถึงแก่อนิจกรรม. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อเช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ด้วยโรคปอดอักเสบ ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวม 91 ปี ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 17.00 น. ณ บ้านปาร์คนายเลิศ เลขที่ 2/4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-16 พฤศจิกายน จากนั้นจะมีพิธีสวดอภิธรรมทุกวันอังคารเวลา 19.00 น. จนกระทั่งครบ 100 วัน ทั้งนี้กำหนดให้มีการทำบุญครบ 50 วัน และ 100 วันด้วย และในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานเพลิงศพ ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เวลา 17 นาฬิกา โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาโดยเสด็จไปในการนี้ด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2534 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ เคยเป็นเจ้าของโรงแรมอะไร
{ "answer": [ "โรงแรมสวิสโซเทลปาร์คนายเลิศ" ], "answer_begin_position": [ 266 ], "answer_end_position": [ 293 ] }
3,289
346,619
เลอศักดิ์ สมบัติศิริ ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 — 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553) อดีตประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด, อดีตเจ้าของโรงแรมสวิสโซเทลปาร์คนายเลิศ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหญิงคนแรกของไทยประวัติการทำงาน ประวัติการทำงาน. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริเป็นบุตรของพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ผู้สร้างโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ และโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ผู้ริเริ่มรถโดยสารประจำทางขึ้นในเมืองไทย (รถเมล์นายเลิศ) และผู้สร้างโรงแรมปาร์คนายเลิศ ซึ่งปัจจุบันคือโรงแรมสวิสโฮเต็ลปาร์คนายเลิศ ถนนวิทยุ และคุณหญิงสิน ภักดีนรเศรษฐ ภายหลังจบการศึกษาด้านคหกรรมศาสตร์ จากวิทยาลัยเคียวลิตสุ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2484 ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ได้เข้าทำงานครั้งแรกที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ต่อมาจึงเข้าดำเนินกิจการรถเมล์ขาว ของบริษัท นายเลิศ จำกัด และธุรกิจอย่างอื่นของพระยาภักดีนรเศรษฐ ผู้เป็นบิดา จนกระทั่งสิ้นบุญบิดาจึงได้ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการบริษัท นายเลิศ จำกัด เรื่อยมา จากนั้นได้ก่อตั้งบริษัท นายเลิศพัฒนา จำกัด เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม ด้านการเมือง ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ. 2519 มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นับว่าเป็นรัฐมนตรีหญิงสองคนแรกของประเทศไทย (ได้รับแต่งตั้งพร้อมกับ วิมลศิริ ชำนาญเวช)ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ สมรสกับนายพินิจ สมบัติศิริ บุตรพระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ) และคุณหญิงถวิล มีธิดา 2 คน คือ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ และนางสัณหพิศ โพธิรัตนังกูรถึงแก่อนิจกรรม ถึงแก่อนิจกรรม. ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อเช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ด้วยโรคปอดอักเสบ ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวม 91 ปี ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 17.00 น. ณ บ้านปาร์คนายเลิศ เลขที่ 2/4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-16 พฤศจิกายน จากนั้นจะมีพิธีสวดอภิธรรมทุกวันอังคารเวลา 19.00 น. จนกระทั่งครบ 100 วัน ทั้งนี้กำหนดให้มีการทำบุญครบ 50 วัน และ 100 วันด้วย และในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานเพลิงศพ ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เวลา 17 นาฬิกา โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาโดยเสด็จไปในการนี้ด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2534 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
ท่านผู้หญิง เลอศักดิ์ สมบัติศิริ มีบุตรกี่คน
{ "answer": [ "2" ], "answer_begin_position": [ 1592 ], "answer_end_position": [ 1593 ] }
3,290
159,840
มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551 มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551 เป็นการประกวด มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปีที่ 9 นับจากการจัดครั้งแรกในปี 2543 ที่สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7 ได้ดำเนินการจัดขึ้น เพื่อสรรหาสาวไทยที่มีความงาม มีกริยามารยาทที่งดงามแบบไทย มีความคิดอ่านเฉลียวฉลาด ทันสมัย มั่นใจในตนเอง และเหมาะสมที่จะรับหน้าที่ในนามตัวแทนประเทศไทย ไปสู่การประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณอันดีงามให้กับประเทศ ทั้งนี้ทางฝ่ายจัดได้เลื่อนกำหนดการเดิมจากปกติทุกๆ ปี จะมีการประกวดในช่วงเดือนมีนาคม แต่ในปีนี้เลื่อนออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม เพื่อรอให้พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 100 วัน พระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสร็จสิ้นเสียก่อน และปีนี้ได้ย้ายสถานที่จัดการประกวด จากโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพ เป็นโรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะจัดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2551 โดยผู้ได้รับตำแหน่งจะได้เป็นตัวแทนสาวไทย เดินทางไปประกวดนางงามจักรวาลหรือมิสยูนิเวิร์ส ปี 2008 ณ ประเทศเวียดนาม โดยมี ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2550 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ กวินตรา โพธิจักรผลการประกวดผลการประกวด. - มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551: กวินตรา โพธิจักร - รองอันดับ 1: ปิยะภรณ์ ดีจริง - รองอันดับ 2 (3 ตำแหน่ง):- ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล - ภีรดา ขจรมาลี - อนัญญา ชินแสงชัย - รองชนะเลิศ (12 คนสุดท้าย)- อรวี จันทนสุรคน - วรรณธณี เบียดขุนทด - ชนัดดา วคินเดชา - ณัฐอร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา - พัชรวรัมอร สิงห์สมบุญ - อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล - กัลย์ธิดา ทาดะ กัลยาณมิตรตำแหน่งต่างๆตำแหน่งต่างๆ. - ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน:อนัญญา ชินแสงชัย - มิสป๊อปปูลาร์:อรวี จันทนสุรคน - งามอย่างไทย: ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล - รักษ์ความเป็นไทย: อนัญญา ชินแสงชัย - นางงามผิวสวย: สิริพักตร์ อารีย์ประเสริฐกิจ - มิส บี อิ้ง เฮลตี้: ทอปัด คำนึงการ - หุ่นสวยสุขภาพดี บาย ซีเล็ค ทูน่า: กวินตรา โพธิจักรผู้เข้าประกวดผู้เข้าประกวด. - (1) ทอปัด คำนึงการ (สมุทรปราการ) - (2) อรวี จันทนสุรคน (สมุทรปราการ) - (3) ภัคสุภัสส์ เพชรวิวรรธน์ (ราชบุรี) - (4) วรมณ ศานติคคนานต์ (ปทุมธานี) - (5) ภีรุกา ประมูล (แพร่) - (6) ทัตชญา สอนมี (ราชบุรี) - (7) จีรัญญา บรรจงเกียรติ (กรุงเทพ) - (8) ทิพย์สุดา อินทร์พรหม (กรุงเทพ) - (9) อรพรรณ สัมมาชีพวิศวกุล (กรุงเทพ) - (10) กรกนก กาญจนอุดม (นครศรีธรรมราช) - (11) วรรณธณี เบียดขุนทด (นครราชสีมา) - (12) ภีรดา ขจรมาลี (สมุทรปราการ) - (13) กวินตรา โพธิจักร (หนองคาย) - (14) ศรัญญา แจ่มคล้าย (สมุทรปราการ) - (15) หฤหรรถ กองเมือง (กระบี่) - (16) ชนัดดา วคินเดชา (กรุงเทพ) - (17) เบญจรัตน์ ซ้ายสุวรรณ (สงขลา) - (18) วรรณพร เจริญวัฒนะ (เชียงใหม่) - (19) ปาริชาติ หาญเวช (นครราชสีมา) - (20) อรพรรณ รัดดี (แพร่) - (21) สิริพักตร์ อารีย์ประเสริฐกิจ (กรุงเทพ) - (22) พรพรรณ อายุวะศรี (พระนครศรีอยุธยา)- (23) งามเนตร หิรัญชนะโชค (กรุงเทพ) - (24) นิษฐกานต์ สาธร (นครศรีธรรมราช) - (25) พัชนิดา ไชยยาศรี (เชียงใหม่) - (26) ณัฐอร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา (กรุงเทพ) - (27) ฐานิตชยา สุทธิภักดี (กรุงเทพ) - (28) ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล (สงขลา) - (29) พิมพ์ จันทรางกูร (กรุงเทพ) - (30) ปิยะภรณ์ ดีจริง (นครราชสีมา) - (31) นัทชา วรจรรยากุล (ปทุมธานี) - (32) ซาบรีน่า เชเฟอร์ (ภูเก็ต) - (33) พีรญา วงศ์สุรเศรษฐ์ (นครปฐม) - (34) พัชรวรัมอร สิงห์สมบุญ (กรุงเทพ) - (35) อาภัสพร แสงทอง (กรุงเทพ) - (36) อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล (พะเยา) - (37) กัลย์ธิดา ทาดะ กัลยาณมิตร (กรุงเทพ) - (38) จิรสุดา คุณชน (นครศรีธรรมราช) - (39) ระพีพรรณ พรรณะ (ขอนแก่น) - (40) กัญญาพัชร เทือกศิริ (เชียงราย) - (41) รัตน์ระวี ศุภนคร (สิงห์บุรี) - (42) สุพนิตา เกษะโกมล (กรุงเทพ) - (43) เมทินี สิริภัทรกมล (ภูเก็ต) - (44) อนัญญา ชินแสงชัย (กรุงเทพ)
นางงามคนใดคือผู้ที่ได้รับตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2551
{ "answer": [ "กวินตรา โพธิจักร" ], "answer_begin_position": [ 1127 ], "answer_end_position": [ 1143 ] }
3,291
159,840
มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551 มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551 เป็นการประกวด มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปีที่ 9 นับจากการจัดครั้งแรกในปี 2543 ที่สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7 ได้ดำเนินการจัดขึ้น เพื่อสรรหาสาวไทยที่มีความงาม มีกริยามารยาทที่งดงามแบบไทย มีความคิดอ่านเฉลียวฉลาด ทันสมัย มั่นใจในตนเอง และเหมาะสมที่จะรับหน้าที่ในนามตัวแทนประเทศไทย ไปสู่การประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณอันดีงามให้กับประเทศ ทั้งนี้ทางฝ่ายจัดได้เลื่อนกำหนดการเดิมจากปกติทุกๆ ปี จะมีการประกวดในช่วงเดือนมีนาคม แต่ในปีนี้เลื่อนออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม เพื่อรอให้พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 100 วัน พระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสร็จสิ้นเสียก่อน และปีนี้ได้ย้ายสถานที่จัดการประกวด จากโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพ เป็นโรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะจัดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2551 โดยผู้ได้รับตำแหน่งจะได้เป็นตัวแทนสาวไทย เดินทางไปประกวดนางงามจักรวาลหรือมิสยูนิเวิร์ส ปี 2008 ณ ประเทศเวียดนาม โดยมี ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2550 เป็นผู้มอบมงกุฏให้กับ กวินตรา โพธิจักรผลการประกวดผลการประกวด. - มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2551: กวินตรา โพธิจักร - รองอันดับ 1: ปิยะภรณ์ ดีจริง - รองอันดับ 2 (3 ตำแหน่ง):- ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล - ภีรดา ขจรมาลี - อนัญญา ชินแสงชัย - รองชนะเลิศ (12 คนสุดท้าย)- อรวี จันทนสุรคน - วรรณธณี เบียดขุนทด - ชนัดดา วคินเดชา - ณัฐอร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา - พัชรวรัมอร สิงห์สมบุญ - อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล - กัลย์ธิดา ทาดะ กัลยาณมิตรตำแหน่งต่างๆตำแหน่งต่างๆ. - ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน:อนัญญา ชินแสงชัย - มิสป๊อปปูลาร์:อรวี จันทนสุรคน - งามอย่างไทย: ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล - รักษ์ความเป็นไทย: อนัญญา ชินแสงชัย - นางงามผิวสวย: สิริพักตร์ อารีย์ประเสริฐกิจ - มิส บี อิ้ง เฮลตี้: ทอปัด คำนึงการ - หุ่นสวยสุขภาพดี บาย ซีเล็ค ทูน่า: กวินตรา โพธิจักรผู้เข้าประกวดผู้เข้าประกวด. - (1) ทอปัด คำนึงการ (สมุทรปราการ) - (2) อรวี จันทนสุรคน (สมุทรปราการ) - (3) ภัคสุภัสส์ เพชรวิวรรธน์ (ราชบุรี) - (4) วรมณ ศานติคคนานต์ (ปทุมธานี) - (5) ภีรุกา ประมูล (แพร่) - (6) ทัตชญา สอนมี (ราชบุรี) - (7) จีรัญญา บรรจงเกียรติ (กรุงเทพ) - (8) ทิพย์สุดา อินทร์พรหม (กรุงเทพ) - (9) อรพรรณ สัมมาชีพวิศวกุล (กรุงเทพ) - (10) กรกนก กาญจนอุดม (นครศรีธรรมราช) - (11) วรรณธณี เบียดขุนทด (นครราชสีมา) - (12) ภีรดา ขจรมาลี (สมุทรปราการ) - (13) กวินตรา โพธิจักร (หนองคาย) - (14) ศรัญญา แจ่มคล้าย (สมุทรปราการ) - (15) หฤหรรถ กองเมือง (กระบี่) - (16) ชนัดดา วคินเดชา (กรุงเทพ) - (17) เบญจรัตน์ ซ้ายสุวรรณ (สงขลา) - (18) วรรณพร เจริญวัฒนะ (เชียงใหม่) - (19) ปาริชาติ หาญเวช (นครราชสีมา) - (20) อรพรรณ รัดดี (แพร่) - (21) สิริพักตร์ อารีย์ประเสริฐกิจ (กรุงเทพ) - (22) พรพรรณ อายุวะศรี (พระนครศรีอยุธยา)- (23) งามเนตร หิรัญชนะโชค (กรุงเทพ) - (24) นิษฐกานต์ สาธร (นครศรีธรรมราช) - (25) พัชนิดา ไชยยาศรี (เชียงใหม่) - (26) ณัฐอร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา (กรุงเทพ) - (27) ฐานิตชยา สุทธิภักดี (กรุงเทพ) - (28) ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล (สงขลา) - (29) พิมพ์ จันทรางกูร (กรุงเทพ) - (30) ปิยะภรณ์ ดีจริง (นครราชสีมา) - (31) นัทชา วรจรรยากุล (ปทุมธานี) - (32) ซาบรีน่า เชเฟอร์ (ภูเก็ต) - (33) พีรญา วงศ์สุรเศรษฐ์ (นครปฐม) - (34) พัชรวรัมอร สิงห์สมบุญ (กรุงเทพ) - (35) อาภัสพร แสงทอง (กรุงเทพ) - (36) อัจฉราภรณ์ อินทรสกุล (พะเยา) - (37) กัลย์ธิดา ทาดะ กัลยาณมิตร (กรุงเทพ) - (38) จิรสุดา คุณชน (นครศรีธรรมราช) - (39) ระพีพรรณ พรรณะ (ขอนแก่น) - (40) กัญญาพัชร เทือกศิริ (เชียงราย) - (41) รัตน์ระวี ศุภนคร (สิงห์บุรี) - (42) สุพนิตา เกษะโกมล (กรุงเทพ) - (43) เมทินี สิริภัทรกมล (ภูเก็ต) - (44) อนัญญา ชินแสงชัย (กรุงเทพ)
นางงามคนใดคือผู้ที่ได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชนในการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2551
{ "answer": [ "อนัญญา ชินแสงชัย" ], "answer_begin_position": [ 1565 ], "answer_end_position": [ 1581 ] }
3,292
9,117
ปราบดา หยุ่น ปราบดา หยุ่น (เกิด 2 สิงหาคม พ.ศ. 2516) เป็นนักเขียน ได้รับรางวัลซีไรต์ จากเรื่องความน่าจะเป็น เมื่อ พ.ศ. 2545ประวัติ ประวัติ. ปราบดาเป็นบุตรชายของสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการของเครือเนชั่น และนันทวัน หยุ่น อดีตบรรณาธิการนิตยสารลลนา มีชื่อเล่นว่า คุ่น สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจาก Cooper Union School for Advancemet of Science and Art ในปี พ.ศ. 2540 โดยปราบดาได้ทำงานด้านการออกแบบกราฟิกอยู่ที่แมนฮัตตัน ก่อนจะกลับมาเกณฑ์ทหารในประเทศไทย หลังจากนั้น ปราบดาได้ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ และเป็นคนเขียนบทให้กับรายการโทรทัศน์เรื่องปมไหม (Silk Knot) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของจิม ทอมป์สัน ผู้ผลิตผ้าไหมรายใหญ่ของไทย ผลงานของปราบดาเช่น บทภาพยนตร์เรื่อง เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (พ.ศ. 2546) และเรื่องคำพิพากษาของมหาสมุทร (พ.ศ. 2549) กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง ปราบดาได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. 2545 เมื่อเขามีอายุได้ 29 ปี จากเรื่องความน่าจะเป็น ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปราบดา หยุ่น และ วาด รวี เสนอ "จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทย เรื่องขอเชิญร่วมลงชื่อเรียกร้องแก้ไขมาตรา 112" (ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550) ซึ่งท้าทายกระแสสังคมเป็นอย่างยิ่งผลงานเรื่องสั้นผลงาน. เรื่องสั้น. - เมืองมุมฉาก (2543) (City of Right-Angles, 2000) - ความน่าจะเป็น (2543) (Probability, 2000) - อุทกภัยในดวงตา (2544) (Flood in the Eyes, 2001) - ส่วนที่เคลื่อนไหว (2544) (The Parts That Move, 2001) - เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง (2545) (The Story Really Happened, 2002) - กระทบไหล่เขา (2547) (Crashing Into Shoulders of Mountains, 2004) - ความสะอาดของผู้ตาย (2548) (Cleaning the Dead, 2005) - ดาวดึกดำบรรพ์ (2554) (Ancient Planet, 2011)เรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องสั้นขนาดยาว. - แสงสลาย (2552) - พาไรโดเลียรำลึกนวนิยายนวนิยาย. - ชิทแตก! (2545) (Chit-tak!, 2002) - แพนด้า (2547) (Panda, 2004) - ฝนตกตลอดเวลา (2548) (Rain Lessons, 2005) - นอนใต้ละอองหนาว (2549) (Under the Snow, 2006)อัลบั้มประกอบละครอัลบั้มประกอบละคร. - ชิทแตก (ในนามวงบัวหิมะ ; ร่วมกับ เจตมนต์ มละโยธา (2545)รวมบทความและความเรียงรวมบทความและความเรียง. - ภาพไม่นิ่ง (2544) (Unstill Pictures, 2001) - น้ำใส่กะโหลก (2545) (Water For the Skull, 2002) - อย่าอ่านเลย ก็แล้วกัน (2545) (Please Don't Read, Carefully, 2002) - เป็น: เรียงความว่าด้วยลมหายใจในตัวหนังสือ (2546) (Be: About the Breath of Words, 2003) - สมมุติสถาน (2548) (Imagined Landscape, 2005) - (เปิดไป) หน้าศูนย์ (2549) - เรื่องตบตา (2549) - เขียนถึงญี่ปุ่น (2550) - ดนตรีที่มีน้ำตา (2551)วินทร์ เลียววาริณวินทร์ เลียววาริณ. - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 1 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2545) (Parallel Probability Vol. 1, with Win Leowarin, 2002) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 2 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2547) (Parallel Probability Vol. 2, with Win Leowarin, 2004) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 3 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2548) (Parallel Probability Vol. 3, with Win Leowarin, 2005) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 4 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2549) (Parallel Probability Vol. 4, with Win Leowarin, 2006) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 5 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 5, with Win Leowarin, 2007) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 6 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 6, with Win Leowarin, 2008) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 7 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 7, with Win Leowarin, 2009)บทภาพยนตร์บทภาพยนตร์. - เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (2546) (Last Life in the Universe, with Pen-ek Rattanaruang, 2003) - คำพิพากษาของมหาสมุทร (2549) (Invisible Waves, 2006)หนังสือแปลหนังสือแปล. - คนหัวหมา (2546) (Dogwalker โดย Arthur Bradford, 2003) - จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น (2552) (The Catcher in the Rye โดย เจ. ดี. แซลินเจอร์, 1951) - ห.ส.ร. (หุ่นยนต์สากลราวี) (2553) (R.U.R. (Rossum's Universal Robots) โดย กาเรล ชาเปก, 1921) - คนไขลาน (2554) (A Clockwork Orange โดย Anthony Burgess, 1962) - เก้าเรื่องสั้น (2556) (Nine stories โดย เจ. ดี. แซลินเจอร์, 1953)
ปราบดา หยุ่น ได้รับรางวัลซีไรต์เมื่อ พ.ศ. 2545 จากบทประพันธ์เรื่องอะไร
{ "answer": [ "ความน่าจะเป็น" ], "answer_begin_position": [ 177 ], "answer_end_position": [ 190 ] }
3,295
9,117
ปราบดา หยุ่น ปราบดา หยุ่น (เกิด 2 สิงหาคม พ.ศ. 2516) เป็นนักเขียน ได้รับรางวัลซีไรต์ จากเรื่องความน่าจะเป็น เมื่อ พ.ศ. 2545ประวัติ ประวัติ. ปราบดาเป็นบุตรชายของสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการของเครือเนชั่น และนันทวัน หยุ่น อดีตบรรณาธิการนิตยสารลลนา มีชื่อเล่นว่า คุ่น สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจาก Cooper Union School for Advancemet of Science and Art ในปี พ.ศ. 2540 โดยปราบดาได้ทำงานด้านการออกแบบกราฟิกอยู่ที่แมนฮัตตัน ก่อนจะกลับมาเกณฑ์ทหารในประเทศไทย หลังจากนั้น ปราบดาได้ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ และเป็นคนเขียนบทให้กับรายการโทรทัศน์เรื่องปมไหม (Silk Knot) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของจิม ทอมป์สัน ผู้ผลิตผ้าไหมรายใหญ่ของไทย ผลงานของปราบดาเช่น บทภาพยนตร์เรื่อง เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (พ.ศ. 2546) และเรื่องคำพิพากษาของมหาสมุทร (พ.ศ. 2549) กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง ปราบดาได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. 2545 เมื่อเขามีอายุได้ 29 ปี จากเรื่องความน่าจะเป็น ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปราบดา หยุ่น และ วาด รวี เสนอ "จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทย เรื่องขอเชิญร่วมลงชื่อเรียกร้องแก้ไขมาตรา 112" (ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550) ซึ่งท้าทายกระแสสังคมเป็นอย่างยิ่งผลงานเรื่องสั้นผลงาน. เรื่องสั้น. - เมืองมุมฉาก (2543) (City of Right-Angles, 2000) - ความน่าจะเป็น (2543) (Probability, 2000) - อุทกภัยในดวงตา (2544) (Flood in the Eyes, 2001) - ส่วนที่เคลื่อนไหว (2544) (The Parts That Move, 2001) - เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง (2545) (The Story Really Happened, 2002) - กระทบไหล่เขา (2547) (Crashing Into Shoulders of Mountains, 2004) - ความสะอาดของผู้ตาย (2548) (Cleaning the Dead, 2005) - ดาวดึกดำบรรพ์ (2554) (Ancient Planet, 2011)เรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องสั้นขนาดยาว. - แสงสลาย (2552) - พาไรโดเลียรำลึกนวนิยายนวนิยาย. - ชิทแตก! (2545) (Chit-tak!, 2002) - แพนด้า (2547) (Panda, 2004) - ฝนตกตลอดเวลา (2548) (Rain Lessons, 2005) - นอนใต้ละอองหนาว (2549) (Under the Snow, 2006)อัลบั้มประกอบละครอัลบั้มประกอบละคร. - ชิทแตก (ในนามวงบัวหิมะ ; ร่วมกับ เจตมนต์ มละโยธา (2545)รวมบทความและความเรียงรวมบทความและความเรียง. - ภาพไม่นิ่ง (2544) (Unstill Pictures, 2001) - น้ำใส่กะโหลก (2545) (Water For the Skull, 2002) - อย่าอ่านเลย ก็แล้วกัน (2545) (Please Don't Read, Carefully, 2002) - เป็น: เรียงความว่าด้วยลมหายใจในตัวหนังสือ (2546) (Be: About the Breath of Words, 2003) - สมมุติสถาน (2548) (Imagined Landscape, 2005) - (เปิดไป) หน้าศูนย์ (2549) - เรื่องตบตา (2549) - เขียนถึงญี่ปุ่น (2550) - ดนตรีที่มีน้ำตา (2551)วินทร์ เลียววาริณวินทร์ เลียววาริณ. - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 1 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2545) (Parallel Probability Vol. 1, with Win Leowarin, 2002) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 2 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2547) (Parallel Probability Vol. 2, with Win Leowarin, 2004) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 3 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2548) (Parallel Probability Vol. 3, with Win Leowarin, 2005) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 4 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2549) (Parallel Probability Vol. 4, with Win Leowarin, 2006) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 5 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 5, with Win Leowarin, 2007) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 6 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 6, with Win Leowarin, 2008) - ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 7 (กับ วินทร์ เลียววาริณ) (2550) (Parallel Probability Vol. 7, with Win Leowarin, 2009)บทภาพยนตร์บทภาพยนตร์. - เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (2546) (Last Life in the Universe, with Pen-ek Rattanaruang, 2003) - คำพิพากษาของมหาสมุทร (2549) (Invisible Waves, 2006)หนังสือแปลหนังสือแปล. - คนหัวหมา (2546) (Dogwalker โดย Arthur Bradford, 2003) - จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น (2552) (The Catcher in the Rye โดย เจ. ดี. แซลินเจอร์, 1951) - ห.ส.ร. (หุ่นยนต์สากลราวี) (2553) (R.U.R. (Rossum's Universal Robots) โดย กาเรล ชาเปก, 1921) - คนไขลาน (2554) (A Clockwork Orange โดย Anthony Burgess, 1962) - เก้าเรื่องสั้น (2556) (Nine stories โดย เจ. ดี. แซลินเจอร์, 1953)
ใครเป็นผู้ประพันธ์บทภาพยนตร์เรื่องคำพิพากษาของมหาสมุทรที่ออกฉายเมื่อปี 2549
{ "answer": [ "ปราบดา หยุ่น" ], "answer_begin_position": [ 96 ], "answer_end_position": [ 108 ] }
3,293
170,177
ศพ ศพ คือ ร่างของมนุษย์ที่ตายแล้ว สำหรับร่างของสัตว์ที่ตายแล้ว เรียก "ซาก"
ร่างของสัตว์ที่ตายแล้วเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ซาก" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 150 ] }
3,294
170,177
ศพ ศพ คือ ร่างของมนุษย์ที่ตายแล้ว สำหรับร่างของสัตว์ที่ตายแล้ว เรียก "ซาก"
ร่างของมนุษย์ที่ตายแล้วเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ศพ" ], "answer_begin_position": [ 80 ], "answer_end_position": [ 82 ] }
3,296
352,473
ปุ๋ย ปุ๋ย เป็นผลผลิตทางการเกษตรทีเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรให้สูงขึ้น ปุ๋ย หมายถึง สารที่ใส่ลงในดินเพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช พืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน ในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน(โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม หรือเรียกว่าธาตุอาหารหลัก) พืชได้รับจากน้ำและอากาศ ส่วนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พืชต้องการในปริมาณมากเมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ (ซึ่งถูกจัดเป็นธาตุอาหารหลักหรือธาตุปุ๋ย) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุเหล่านี้โดยการให้ปุ๋ย ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ 1. ปุ๋ยเคมี หรือ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ คือ ปุ๋ยที่เป็นอนินทรียสาร อาจเป็นปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงผสม และปุ๋ยเชิงประกอบ ตัวอย่างปุ๋ยเคมีเช่น ยูเรีย, ปุ๋ยเม็ด 16-20-0 แต่ไม่รวมถึงสารที่ใช้สำหรับปรับปรุงดิน เช่น ซีโอไลต์, ภูไมท์ และ สารต่างๆ ที่มีคุณสมบัติโครงสร้างทางฟิสิกส์ของดินให้ดีขึ้น ปุ๋ยเคมีแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 2. ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้มาจากการเน่าเปื่อยของซากสิ่งมีชีวิต ธาตุอาหารที่ได้ส่วนใหญ่ต้องเกิดจากการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ก่อน เป็นกระบวนการผลิตสารอาหารจากธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพดิน เมื่อใส่ลงไปในดินซากสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆสลายตัวและปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชช่วยให้ดินร่วยซุย แต่มีข้อเสียคือมีธาตุอาหารน้อยและสัดส่วนไม่แน่นอนต้องใช้ปริมาณมากจึงจะเพียงพอกับความต้องการของพืช ได้แก่1. 2.1 ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยที่เกิดจากเศษพืชต่างๆ เช่น หญ้าและใบไม้ ต้นถั่ว ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด เปลือกถั่วต่างๆ ใบจามจุรี ฟางข้าว ผักตบชวา เมื่อนำมากองหมักไว้จนเน่าเปื่อยก็ใช้เป็นหมักได้ 2.2 ปุ๋ยคอก คือ ปุ๋ยที่ได้จากสิ่งที่สัตว์ขับถ่ายออกมา เช่น อุจาจาระ ปัสสาวะของสัตว์ต่างๆ ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน ช่วยลดอัตราการพังทลายของดิน เพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เป็นต้น 2.3 ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยที่ได้จากการปลูกพืชบำรุงดิน เช่น พวกพืชตระกูลถั่ว เมื่อพืชเจริญเติบโตถึงระยะหนึ่ง เราก็ไถกลบในขณะที่พืชยังเขียวและสดอยู่ ซึ่งมักจะไถกลบในช่วงที่พืชกำลังออกดอก เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การให้ธาตุอาหารแก่พืชมากที่สุด 2.4 ปุ๋ยชีวภาพ คือ การนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตมาใช้เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหาร หรือเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารในดิน ปุ๋ยชีวภาพอาจมีบทบาทในการปรับปรุงบำรุงดินทางชีวภาพ ทางกายภาพ และทางชีวเคมี และปุ๋ยชีวภาพยังหมายความรวมถึงหัวเชื้อจุลินทรีย์ 2.5 ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ คือ การนำข้อดีของปุ๋ย 2 ชนิด มาผสมกัน โดยนำปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการควมคุมคุณภาพการผลิต โดยนำปุ๋ยอินทรีย์และแร่ธาตุต่างๆ เช่น คีเลต ธาตุอาหารเสริม สารบำรุงดินมาผ่านการฆ่าเชื้อและเพาะเชื้อจุลินทรีที่เหมาะสม นำมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์และหมักเพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่ผสมลงไปจนถึงระยะเวลาที่พอเหมาะจึงสามารถนำไปใช้งานได้ เป็นปุ๋ยที่เหมาะแก่การทำเกษตรอินทรีย์ความหมายของปุ๋ย ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย ความหมายของปุ๋ย ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย. พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ปุ๋ยละลายช้าช่วยทำให้พืชได้รับสารอาหารอย่างสม่ำเสมอ แบบค่อยเป็นค่อยไปลดความเสี่ยงจากภาวะที่เรียกว่า "จุกหรืออด" (feast or famine) ที่พืชอาจได้รับปุ๋ยมากเกินไปในช่วงแรกแล้วหลังจากสารอาหารถูกชะล้างไปหมด ก็จะขาดสารอาหารได้ นอกจากนั้น ปุ๋ยละลายช้า ยังมีข้อดีในแง่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะมันยังช่วยลดปริมาณสารเคมีที่ถูกชะล้างจากแหล่งเพาะปลูกลงไปสู่แหล่ง ที่มีน้ำธรรมชาติอีกด้วย ปุ๋ยที่พวกชาวบ้านชาวสวนชอบใช้กัน คือ ปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยคอก แต่ปุ๋ยที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ คือ ปุ๋ยเคมี ซึ่งมีราคาแพง และมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย ((((ปุ๋ยเคมี เป็นธาตุอาหารพืช สามารถปล่อยธาตุอาหารให้พืชใช้ได้โดยใส่ปุ๋ยเคมีทางดินหรือฉีดพ่นทางใบ))))บทความที่เกี่ยวข้องบทความที่เกี่ยวข้อง. - สารอาหารสำหรับพืช
ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยประเภทใด
{ "answer": [ "ปุ๋ยเคมี" ], "answer_begin_position": [ 771 ], "answer_end_position": [ 779 ] }
3,297
352,473
ปุ๋ย ปุ๋ย เป็นผลผลิตทางการเกษตรทีเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรให้สูงขึ้น ปุ๋ย หมายถึง สารที่ใส่ลงในดินเพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช พืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน ในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน(โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม หรือเรียกว่าธาตุอาหารหลัก) พืชได้รับจากน้ำและอากาศ ส่วนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พืชต้องการในปริมาณมากเมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ (ซึ่งถูกจัดเป็นธาตุอาหารหลักหรือธาตุปุ๋ย) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุเหล่านี้โดยการให้ปุ๋ย ปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ 1. ปุ๋ยเคมี หรือ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ คือ ปุ๋ยที่เป็นอนินทรียสาร อาจเป็นปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงผสม และปุ๋ยเชิงประกอบ ตัวอย่างปุ๋ยเคมีเช่น ยูเรีย, ปุ๋ยเม็ด 16-20-0 แต่ไม่รวมถึงสารที่ใช้สำหรับปรับปรุงดิน เช่น ซีโอไลต์, ภูไมท์ และ สารต่างๆ ที่มีคุณสมบัติโครงสร้างทางฟิสิกส์ของดินให้ดีขึ้น ปุ๋ยเคมีแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 2. ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้มาจากการเน่าเปื่อยของซากสิ่งมีชีวิต ธาตุอาหารที่ได้ส่วนใหญ่ต้องเกิดจากการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ก่อน เป็นกระบวนการผลิตสารอาหารจากธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพดิน เมื่อใส่ลงไปในดินซากสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆสลายตัวและปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชช่วยให้ดินร่วยซุย แต่มีข้อเสียคือมีธาตุอาหารน้อยและสัดส่วนไม่แน่นอนต้องใช้ปริมาณมากจึงจะเพียงพอกับความต้องการของพืช ได้แก่1. 2.1 ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยที่เกิดจากเศษพืชต่างๆ เช่น หญ้าและใบไม้ ต้นถั่ว ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด เปลือกถั่วต่างๆ ใบจามจุรี ฟางข้าว ผักตบชวา เมื่อนำมากองหมักไว้จนเน่าเปื่อยก็ใช้เป็นหมักได้ 2.2 ปุ๋ยคอก คือ ปุ๋ยที่ได้จากสิ่งที่สัตว์ขับถ่ายออกมา เช่น อุจาจาระ ปัสสาวะของสัตว์ต่างๆ ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน ช่วยลดอัตราการพังทลายของดิน เพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เป็นต้น 2.3 ปุ๋ยพืชสด คือ ปุ๋ยที่ได้จากการปลูกพืชบำรุงดิน เช่น พวกพืชตระกูลถั่ว เมื่อพืชเจริญเติบโตถึงระยะหนึ่ง เราก็ไถกลบในขณะที่พืชยังเขียวและสดอยู่ ซึ่งมักจะไถกลบในช่วงที่พืชกำลังออกดอก เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การให้ธาตุอาหารแก่พืชมากที่สุด 2.4 ปุ๋ยชีวภาพ คือ การนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตมาใช้เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหาร หรือเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารในดิน ปุ๋ยชีวภาพอาจมีบทบาทในการปรับปรุงบำรุงดินทางชีวภาพ ทางกายภาพ และทางชีวเคมี และปุ๋ยชีวภาพยังหมายความรวมถึงหัวเชื้อจุลินทรีย์ 2.5 ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ คือ การนำข้อดีของปุ๋ย 2 ชนิด มาผสมกัน โดยนำปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการควมคุมคุณภาพการผลิต โดยนำปุ๋ยอินทรีย์และแร่ธาตุต่างๆ เช่น คีเลต ธาตุอาหารเสริม สารบำรุงดินมาผ่านการฆ่าเชื้อและเพาะเชื้อจุลินทรีที่เหมาะสม นำมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์และหมักเพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่ผสมลงไปจนถึงระยะเวลาที่พอเหมาะจึงสามารถนำไปใช้งานได้ เป็นปุ๋ยที่เหมาะแก่การทำเกษตรอินทรีย์ความหมายของปุ๋ย ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย ความหมายของปุ๋ย ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย. พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ปุ๋ยละลายช้าช่วยทำให้พืชได้รับสารอาหารอย่างสม่ำเสมอ แบบค่อยเป็นค่อยไปลดความเสี่ยงจากภาวะที่เรียกว่า "จุกหรืออด" (feast or famine) ที่พืชอาจได้รับปุ๋ยมากเกินไปในช่วงแรกแล้วหลังจากสารอาหารถูกชะล้างไปหมด ก็จะขาดสารอาหารได้ นอกจากนั้น ปุ๋ยละลายช้า ยังมีข้อดีในแง่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะมันยังช่วยลดปริมาณสารเคมีที่ถูกชะล้างจากแหล่งเพาะปลูกลงไปสู่แหล่ง ที่มีน้ำธรรมชาติอีกด้วย ปุ๋ยที่พวกชาวบ้านชาวสวนชอบใช้กัน คือ ปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยคอก แต่ปุ๋ยที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ คือ ปุ๋ยเคมี ซึ่งมีราคาแพง และมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย ((((ปุ๋ยเคมี เป็นธาตุอาหารพืช สามารถปล่อยธาตุอาหารให้พืชใช้ได้โดยใส่ปุ๋ยเคมีทางดินหรือฉีดพ่นทางใบ))))บทความที่เกี่ยวข้องบทความที่เกี่ยวข้อง. - สารอาหารสำหรับพืช
ปุ๋ยคืออะไร
{ "answer": [ "สารที่ใส่ลงในดินเพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช" ], "answer_begin_position": [ 177 ], "answer_end_position": [ 216 ] }
3,298
56,896
เรคยาวิก เรคยาวิก (, IPA: ˈreiːcaˌviːk) เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก ทำเลที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ด้านมุมล่างของอ่าว Faxaflói ซึ่ง Ingolfur Arnarson ชาวนอร์ดิค เป็นผู้อพยพคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี พ.ศ. 1413 เมื่อเรคยาวิกกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมง จึงได้มีการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 2329 ปัจจุบันเขตเมืองมีประชากรประมาณ 120,000 คน ประกอบด้วย 7 เทศบาลนครซึ่งรวมเทศบาลนครเรคยาวิกด้วย
เมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุดคือเมืองใด
{ "answer": [ "เรคยาวิก" ], "answer_begin_position": [ 90 ], "answer_end_position": [ 98 ] }
3,299
323,066
กกรังกา กกรังกา (, ชื่อสามัญ: Umbrella plant, Flatsedge) เป็นกกขนาดใหญ่ในสกุล Cyperus มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาดากัสการ์ ถูกนำไปปลูกเลี้ยงเป็นไม้ประดับทั่วโลก กกรังกามีชื่อสามัญอื่น ๆ อีกคือ กกต้นกลม, กกขนาก, หญ้าลังดา, กกดอกแดง และ กกราชินี พบกระจายอยู่ทั่วโลก มีประมาณ 4,000 ชนิด ชอบที่ชื้นแฉะ ขึ้นในที่ระดับต่ำ ตามหนอง บึง ทางระบาย มีรูปร่างลักษณะและนิเวศวิทยาเหมือนหญ้ามากลักษณะทั่วไป ลักษณะทั่วไป. กกรังกาเป็นพืชที่มีลำต้นออกเป็นกอมีหัวอยู่ใต้ดิน คล้ายจำพวกขิงหรือเร่ว ลำต้นมีความสูงประมาณ 100-150 ซม. ลักษณะของลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นกลมมีสีเขียว ใบจะออกแผ่ซ้อน ๆ กัน อยู่ปลายยอดของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปยาว ปลายใบแหลม กว้างประมาณ 1 ซม. ยาวประมาณ 18-19 ซม. ใบมีสีเขียว ริมขอบ ใบเรียบใต้ท้องใบสาก ลำต้นหนึ่งจะมีใบประมาณ 18-25 ใบ ดอกออกเป็นกระจุก อยู่รวมกันเป็นใบ ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีขาวแกมเขียว ก้านดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ สีเขียว ยาวประมาณ 6-7 ซม. ดอกแก่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ผล (Fruit) ผลแห้ง รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 0.4-0.5 มิลลิเมตร ยาว 0.9-1 มิลลิเมตร สีน้ำตาล เปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียวถิ่นอาศัย และการขยายพันธุ์ ถิ่นอาศัย และการขยายพันธุ์. กกรังกาเป็นพันธุ์ไม้มักจะขึ้นตามบริเวณที่ ๆ เป็นโคลนหรือน้ำ เช่นข้างแม่น้ำ ลำคลอง สระ หรือบ่อน้ำ และที่ลุ่มทั่วไปอยู่ในทวีปแอฟริกา มีการขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อและใช้เมล็ด
กกรังกามีรูปร่างลักษณะและนิเวศวิทยาเหมือนพืชชนิดใด
{ "answer": [ "หญ้า" ], "answer_begin_position": [ 448 ], "answer_end_position": [ 452 ] }
3,300
431,469
ชาอูหลง ชาอูหลง ( แปลว่า ชามังกรดำ) เป็นชากึ่งหมัก ผ่านกระบวนการนวดเล็กน้อย ใช้เวลาไม่มากนัก มีกลิ่นหอม รสชาดชุ่มคอ ถ้าเป็นชาน้ำร้อนจะเห็นสีเขียวของใบชาอยู่ รสชาติจะจืดกว่าชาเขียว น้ำชามีสีแดงเข้ม หมักใบสดระหว่างผลิตบางส่วน ต้นกำเนิดของชาอูหลงอยู่ที่ประเทศจีน ในจังหวัดฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ซึ่งภาษาจีนใช้ว่า “วูหลงฉา” อันแปลความหมายได้ว่า มังกรดำ ตำนานเกี่ยวกับชาอู่หลงนั้นมีมากมายแต่ที่เห็นจะตรงกันหลายตำรากล่าวถึงในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดชาแห่งตำนานชาอูหลงกระบวนการผลิต กระบวนการผลิต. กระบวนการผลิต นำยอดชามาผึ่งแดดให้อุณหภูมิในยอดชาสูงขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นหอม นำมาผึ่งในที่ร่ม พร้อมเขย่าเพื่อกระตุ้นให้ใบชาตื่นตัว เข้ากระบวนการเร่งการหมัก ทำให้น้ำชามีสีเข้มขึ้นสรรพคุณ สรรพคุณ. ประโยชน์ของใบชา น้ำชามีสาร tannin ช่วยสลายไขมันในลำไส้ใหญ่ ช่วยทำให้สดชื่น กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและหมุนเวียนโลหิต ชาอู่หลงขึ้นชื่อในเรื่องการช่วยในการดูดซึมไขมันและควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้สรรพคุณชาอู่หลงยังช่วยลดการเกิดโรคต่างๆ อาทิ- โรคหัวใจและหลอดเลือด - ลดอาการปวดบวมอักเสบ - ลดคลอเลสเตอรอล - มีสารต้านอนุมูลอิสระ - ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งและการแก่ก่อนวัย - ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
จุดกำเนิดของชาอูหลงคือสมัยใดในประวัติศาสตร์จีน
{ "answer": [ "ราชวงศ์ชิง" ], "answer_begin_position": [ 502 ], "answer_end_position": [ 512 ] }
3,301
104,897
บ้านผีปอบ บ้านผีปอบ เป็นภาพยนตร์ไทย ประเภทหนังผีประเภทผสมความตลกขบขัน ที่มีการสร้างถึง 14 ภาคตั้งแต่ปี 2532 – 2554 เป็นหนังที่นำเอาตัวละครผีปอบมาจากนิยายเรื่องของ เหม เวชกร ความประสบความสำเร็จในภาคแรก ๆ ทำให้มีการสร้างภาคต่อ ๆ มา และกลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญผสมเบาสมอง โดยเน้นความตลกเบาสมองเสียมากกว่า แต่ก็ทำให้ ปอบหยิบ โด่งดังและเป็นที่รู้จัก อย่างดี ในภาพยนตร์จะมีวิธีการหนีผีแปลกๆ แบบหนีลงตุ่ม วิ่งหนีขึ้นต้นไม้ เหาะข้ามคลอง หรือแม้กระทั่ง แกล้งผีปอบต่างๆนาๆ เช่น ทาสีทำเป็นประตูลวง เป็นต้น หรือตัวผีปอบเองก็มีวิธีวิ่งไล่จับคนแปลกๆเช่น เช่น ขี่บั้งไฟ ขี่มอเตอร์ไซค์ ใช้พัดสันกำแพงเป็นต้น โดยมีณัฐนี สิทธิสมาน ที่ได้ฉายานามว่า เจ้าแม่ผีปอบ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ซีรี่ยส์ภาพยนตร์เรื่อง บ้านผีปอบ ในภาคแรกผู้รับบทผีปอบคือ สุชาดา อีแอม และ ตัวละคร ปอบหยิบ เริ่มมีตั้งแต่ภาคที่ 2 รับบทด้วย ณัฐนี สิทธิสมาน บ้านผีปอบภาคที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น พันธุ์ผีปอบ 34 เนื่องจากมีปัญหาบางประการ เนื่องจากภาคนี้ ณัฐนี สิทธิสมาน ไม่ได้เล่น และบ้านผีปอบข้ามภาค 12 ไป เนื่องจากถือเคล็ดว่าไม่เป็นหนังโหล กลายเป็นภาคที่ 13 ภาพยนตร์เรื่อง บ้านผีปอบ 2 (ปี 2533) ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี 2558งานสร้างที่มา งานสร้าง. ที่มา. ในช่วงที่ตลาดหนังไทยยังพอไปได้ แต่ยังไม่ค่อยดี บริษัทกรุ๊ฟโฟร์ ที่มีทีมงานอยู่ไม่กี่คนได้รวมตัวกันเพื่อจะสร้างหนัง ซึ่งคิดว่าหนังผีน่าจะเป็นทางออกที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ มีความเสี่ยงน้อยที่สุด โดยช่วยกันหาเงินมาทำหนัง เรื่องหนึ่งใช้เงินประมาณ 4 แสนกว่าบาท โดยประเด็นที่เลือกคือผีปอบ เพราะเคยมีหนังผี กระสือ หรือ แม่นาคพระโขนง และคิดว่าการนำเสนอเรื่องผีปอบที่ชาวบ้านเล่าลือกันมากในแถบภาคอีสานเป็นสิ่งใหม่และไม่มีใครทำมาก่อนการถ่ายทำ การถ่ายทำ. ในภาคแรกได้งบประมาณในการสร้างน้อยมาก ใช้เวลาถ่ายทำที่สุพรรณบุรีเพียง 7 วัน และใช้นักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมด ในภาคต่อมาเริ่มมีเงินทุนมากขึ้น มีเวลาถ่ายทำมากขึ้น ตั้งแต่ 10-20 วัน จนภาค 13 ใช้เวลาถ่ายทำถึง 2 เดือนเนื้อหา เนื้อหา. โครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง บ้านผีปอบ จะคงโครงเรื่องเดิม ๆ ไว้ คล้ายๆ กันทุกภาค แต่จะเปลี่ยนมุกตลกต่างๆ เนื้อเรื่องหลักคือ กลุ่มแพทย์จากกรุงเทพฯ ที่มารักษาชาวบ้าน เจอเหตุการณ์แปลกๆในหมู่บ้าน อันเนื่องมาจากการอาละวาดของผีปอบ ชาวบ้านก็ต่างหาวิธีจับผีปอบ แต่สุดท้ายก็โดนผีปอบอาละวาดกลับ โดยลักษณะจุดเด่นของบ้านผีปอบคือ การวิ่ง ไล่หนีกันระหว่าง ผีปอบ และ ตัวละครในเรื่องปอบ ปอบ. ในแต่ละภาคจะมีผีปอบอย่างน้อย 1 คนที่คอยปั่นป่วนชาวบ้านเสมอ ในภาคแรกปอบคือ ยายทองคำ (รับบทโดย สุชาดา อีแอม) มีเอกลักษณ์ตรงใบหน้าที่ดุร้าย ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันมากนักสำหรับภาคแรก (ยายทองคำกลับมาอีกครั้งในภาค 11) คนต่อมาคือ ยายหยิบ หมอผีประจำหมู่บ้าน ผู้เล่นของและคุณไสย จนกลายเป็น ปอบหยิบ (รับบทโดย ณัฐนี สิทธิสมาน) ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในภาค 2 ลักษณะท่าทางยังคงความน่ากลัวอยู่ จนภาค 3 ที่ปรับให้เพิ่มความตลกขบขันจนได้รับเสียงตอบรับที่ดี ปอบหยิบมีเอกลักษณ์คือ ท่าหยิบ ที่ได้แรงบันดาลใจจากไก่ต้มที่โดนสับคอแล้วปีกจะกระดกขึ้นมา ส่วนในภาค 8 ปอบหยิบจะหายไป และมีปอบคนใหม่ คือ ผีปอบฝรั่งชื่อ แอน (รับบทโดย วิกกี้ สาริกบุตร) เนื่องจากเปลี่ยนผู้กำกับจาก ศรีสวัสดิ์ ที่กำกับมาตลอด 7 ภาค มาเป็น ธงทอง แต่ก็ล้มเหลว จนปอบหยิบต้องกลับมาอีกครั้งในภาค 9 เป็นต้นมาภาคการตอบรับความนิยม การตอบรับ. ความนิยม. บ้านผีปอบ เป็นภาพยนตร์เกรดบี ในภาคแรกเวลาฉายจะไม่ค่อยได้รอบพิเศษเหมือนภาพยนตร์เกรดเอ จนในภาคสอง มีบางโรงภาพยนตร์ฉายเพิ่มรอบเที่ยงคืน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาคสามและก็ทำเรื่อยมา ซึ่งจากรายได้ที่ฉาย ในกรุงเทพจะได้ไม่มากนัก แต่ในต่างจังหวัดอย่างในภาคอีสานและภาคเหนือหนังประสบความสำเร็จทุกภาค ครั้งหนึ่งขณะถ่ายทำภาค 7 ที่เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ มีคนมามุงดูการถ่ายทำอยู่มาก และมีคนมาขอลายเซ็นณัฐนี สิทธิสมาน, เกียรติ กิจเจริญ, ธงชัย ประสงค์สันติ สามดารานำในเรื่อง ทั้งคนไทยและกัมพูชากันแน่นขนัดสิ่งสืบเนื่อง สิ่งสืบเนื่อง. บ้านผีปอบ มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์ในรุ่นหลัง ๆ ที่มักมีสไตล์ที่เลียนแบบหรือล้อเลียนมา อย่างเช่น ในปี 2551 มีภาพยนตร์เรื่องบ้านผีเปิบ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากบ้านผีปอบ แต่มีเนื้อเรื่องและสไตล์ที่ต่างกัน ตามยุคตามสมัย ในปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่อง ว้อ ... หมาบ้ามหาสนุก ที่มีภาพลักษณะชาวบ้านวิ่งหนีหมาบ้า คล้ายๆ กับบ้านผีปอบ
ภาพยนตร์ไทยเรื่องบ้านผีปอบมีทั้งหมดกี่ภาค
{ "answer": [ "14" ], "answer_begin_position": [ 171 ], "answer_end_position": [ 173 ] }
3,302
87,995
กลีเซอ 581 กลีเซอ 581 (, กฺลี-เสอะ) เป็นดาวแคระแดงในกลุ่มดาวคันชั่ง อยู่ห่างจากโลก 20.3 ปีแสง มีชนิดสเปกตรัมเป็น M3V ดาวดวงนี้จัดเป็นดาวแปรแสงชนิด เอชโอ ไลเบร ค้นพบเป็นครั้งแรกโดย เฟรดริค วิลเฮล์ม ออกุสต์ อาร์เจแลนเดอร์ ในปี ค.ศ. 1863 และตีพิมพ์ลงในแค็ตตาล็อกดาว บีดี ในชื่อ บีดี-07° 4003 กลีเซอ 581 มีมวลประมาณหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ของเรา และเชื่อว่ามีดาวเคราะห์อย่างน้อย 3 ดวงโคจรอยู่รอบๆ ดวงแรกคือ กลีเซอ 581 บี มีขนาดใกล้เคียงกับดาวเนปจูน ค้นพบในปี พ.ศ. 2549 ดวงที่สองคือ กลีเซอ 581 ซี มีขนาด 1.5 เท่าของโลก ค้นพบในปี พ.ศ. 2550 มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบหินแข็งดวงแรก นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ดวงที่สาม กลีเซอ 581 ดี ซึ่งมีมวลประมาณ 8 เท่าของโลกและมีคาบการโคจร 84 วัน
กลีเซอ 581 เป็นดาวแคระแดงในกลุ่มดาวใด
{ "answer": [ "คันชั่ง" ], "answer_begin_position": [ 143 ], "answer_end_position": [ 150 ] }
3,303
87,995
กลีเซอ 581 กลีเซอ 581 (, กฺลี-เสอะ) เป็นดาวแคระแดงในกลุ่มดาวคันชั่ง อยู่ห่างจากโลก 20.3 ปีแสง มีชนิดสเปกตรัมเป็น M3V ดาวดวงนี้จัดเป็นดาวแปรแสงชนิด เอชโอ ไลเบร ค้นพบเป็นครั้งแรกโดย เฟรดริค วิลเฮล์ม ออกุสต์ อาร์เจแลนเดอร์ ในปี ค.ศ. 1863 และตีพิมพ์ลงในแค็ตตาล็อกดาว บีดี ในชื่อ บีดี-07° 4003 กลีเซอ 581 มีมวลประมาณหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ของเรา และเชื่อว่ามีดาวเคราะห์อย่างน้อย 3 ดวงโคจรอยู่รอบๆ ดวงแรกคือ กลีเซอ 581 บี มีขนาดใกล้เคียงกับดาวเนปจูน ค้นพบในปี พ.ศ. 2549 ดวงที่สองคือ กลีเซอ 581 ซี มีขนาด 1.5 เท่าของโลก ค้นพบในปี พ.ศ. 2550 มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบหินแข็งดวงแรก นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ดวงที่สาม กลีเซอ 581 ดี ซึ่งมีมวลประมาณ 8 เท่าของโลกและมีคาบการโคจร 84 วัน
ดาวแคระแดงในกลุ่มดาวคันชั่งชื่อว่า กลีเซอ 581 อยู่ห่างจากโลกกี่ปีแสง
{ "answer": [ "20.3" ], "answer_begin_position": [ 166 ], "answer_end_position": [ 170 ] }
3,304
181,921
สโตนเฮนจ์ สโตนเฮนจ์ () เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้น นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย
อนุสรณ์สถานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ชื่อว่า สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่ที่ประเทศใด
{ "answer": [ "อังกฤษ" ], "answer_begin_position": [ 220 ], "answer_end_position": [ 226 ] }
3,305
181,921
สโตนเฮนจ์ สโตนเฮนจ์ () เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้น นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย
อนุสรณ์สถานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ชื่อว่า สโตนเฮนจ์ ประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์จำนวนกี่ก้อน
{ "answer": [ "112" ], "answer_begin_position": [ 268 ], "answer_end_position": [ 271 ] }
3,306
5,763
จังหวัดสระบุรี จังหวัดสระบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของภาคกลาง นับเป็นเสมือนด่านผ่านระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย สภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดสระบุรี นับว่าเป็นทำเลแห่งการเพาะปลูก ได้รับความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำสายหลัก คือแม่น้ำป่าสัก และสภาพโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. สระบุรีเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งแต่โบราณ สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2092 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ การตั้งเมืองนี้สันนิษฐานว่า พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตพื้นที่บางส่วนของเมืองลพบุรี เมืองนครนายก และเมืองนครราชสีมา มารวมกันตั้งขึ้นเป็นเมืองสระบุรี ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เป็นศูนย์ระดมพลเมืองในยามศึกสงคราม เพราะฉะนั้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา จึงมักพบเรื่องราวของจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับการศึกสงครามอยู่เสมอชื่อจังหวัด ชื่อจังหวัด. สำหรับที่มาของคำว่า "สระบุรี" สันนิษฐานว่า เพราะเหตุที่ทำเลที่ตั้งครั้งแรกมีบึงอยู่ใกล้ คือ "บึงหนองโง้ง" เมื่อตั้งเมืองขึ้นจึงได้นำเอาคำว่า "สระ" มารวมเข้ากันกับคำว่า "บุรี" เป็นชื่อเมือง "สระบุรี"ภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ภูมิประเทศ. สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปมีลักษณะ ดังนี้ ตอนเหนือ ตะวันออก และตอนกลางของจังหวัดเป็นป่ามีเนินเขาสลับที่ราบสูง ซึ่งเหมาะในการปลูกพืชไร่ ตอนใต้และตะวันตกส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบเหมาะในการทำนา แม่น้ำที่สำคัญมีเพียงสายเดียว คือ แม่น้ำป่าสัก ซึ่งนับว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของจังหวัดสระบุรี โดยอาศัยน้ำใช้ในการเกษตร และประโยชน์อย่างอื่น แม่น้ำป่าสักไหลผ่านอำเภอมวกเหล็ก อำเภอแก่งคอย อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอเสาไห้ ไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คิดเป็นความยาวประมาณ 105 กิโลเมตร นอกจากนั้นสระบุรียังมีคลองที่สำคัญ ๆ หลายสาย เช่น คลองรพีพัฒน์ คลองเริงราง คลองวิหารแดง และคลองเพรียว เป็นต้นภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. สภาพโดยทั่วไปมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และยังได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชันและพายุไต้ฝุ่นอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนมีอุณหภูมิเฉลี่ย 28.3 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละประมาณ 1147.6 มิลลิเมตร มีฤดูต่าง ๆ 3 ฤดูคือ1. ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อากาศร้อนและแห้งแล้ง 2. ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม อากาศจะชุ่มชื้นในเดือนกันยายน 3. ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวเย็นสลับกับอากาศร้อนอุทยานแห่งชาติอุทยานแห่งชาติ. - อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย - อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดสัญลักษณ์ประจำจังหวัด. - คำขวัญประจำจังหวัด: พระพุทธบาทสูงค่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฐานผลิตอุตสาหกรรม เกษตรนำล้ำแหล่งเที่ยว หนึ่งเดียวกะหรี่ปั๊บนมดี ประเพณีตักบาตรดอกไม้งาม เหลืองอร่ามทุ่งทานตะวัน ลือลั่นเมืองชุมทาง - คำขวัญประจำจังหวัด (เดิม): พระพุทธบาทลือนาม แหล่งน้ำอุดม นมเนื้อมากมาย หลากหลายโรงงาน ถิ่นข้าวสารพันธุ์ดี มีมะม่วงรสเลิศ งามบรรเจิดธรรมชาติ - ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นตะแบกนา () - ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกสุพรรณิการ์ () - สัตว์น้ำประจำจังหวัด: ปูน้ำตกสระบุรีหรือปูหิน ()การเมืองการปกครองรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดการปกครองส่วนภูมิภาค การเมืองการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. การปกครองแบ่งออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 965 หมู่บ้าน1. อำเภอเมืองสระบุรี 2. อำเภอแก่งคอย 3. อำเภอหนองแค 4. อำเภอวิหารแดง 5. อำเภอหนองแซง 6. อำเภอบ้านหมอ 7. อำเภอดอนพุด 8. อำเภอหนองโดน 9. อำเภอพระพุทธบาท 10. อำเภอเสาไห้ 11. อำเภอมวกเหล็ก 12. อำเภอวังม่วง 13. อำเภอเฉลิมพระเกียรติการปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. จังหวัดสระบุรีมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนทั้งสิ้น 109 แห่ง แบ่งออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี, เทศบาลเมือง 4 แห่ง, เทศบาลตำบล 34 แห่ง, และ องค์การบริหารส่วนตำบล 71 แห่ง โดยเทศบาลสามารถจำแนกได้ตามพื้นที่ดังนี้ อำเภอเมืองสระบุรี- เทศบาลเมืองสระบุรี - เทศบาลตำบลกุดนกเปล้า - เทศบาลตำบลตะกุด - เทศบาลตำบลป๊อกแป๊ก อำเภอแก่งคอย- เทศบาลเมืองแก่งคอย - เทศบาลเมืองทับกวาง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ- เทศบาลตำบลหน้าพระลาน อำเภอดอนพุด- เทศบาลตำบลดอนพุด อำเภอบ้านหมอ- เทศบาลตำบลท่าลาน - เทศบาลตำบลบ้านหมอ - เทศบาลตำบลตลาดน้อย - เทศบาลตำบลบางโขมด - เทศบาลตำบลสร่างโศก - เทศบาลตำบลหนองบัว อำเภอพระพุทธบาท- เทศบาลเมืองพระพุทธบาท - เทศบาลตำบลพุกร่าง - เทศบาลตำบลธารเกษม - เทศบาลตำบลห้วยป่าหวาย - เทศบาลตำบลหนองแก - เทศบาลตำบลนายาว อำเภอมวกเหล็ก- เทศบาลตำบลมวกเหล็ก อำเภอวังม่วง- เทศบาลตำบลวังม่วง - เทศบาลตำบลคำพราน - เทศบาลตำบลแสลงพัน อำเภอวิหารแดง- เทศบาลตำบลวิหารแดง - เทศบาลตำบลหนองหมู อำเภอเสาไห้- เทศบาลตำบลเสาไห้ - เทศบาลตำบลสวนดอกไม้ - เทศบาลตำบลบ้านยาง - เทศบาลตำบลเมืองเก่า - เทศบาลตำบลต้นตาล-พระยาทด - เทศบาลตำบลหัวปลวก อำเภอหนองแค- เทศบาลตำบลหนองแค - เทศบาลตำบลหินกอง - เทศบาลตำบลคชสิทธิ์ - เทศบาลตำบลไผ่ต่ำ อำเภอหนองแซง- เทศบาลตำบลหนองแซง อำเภอหนองโดน- เทศบาลตำบลหนองโดนการศึกษาการศึกษา. - ระดับอุดมศึกษา- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์การศึกษาสระบุรี อำเภอแก่งคอย - มหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก (เดิมชื่อ วิทยาลัยมิชชั่น) - มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาสระบุรี - โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช(แห่งใหม่) อำเภอมวกเหล็ก - วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี - วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พระพุทธบาท - วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี - วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี - วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก - วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ - วิทยาลัยการอาชีพสระบุรี - วิทยาลัยการอาชีพหนองแค - วิทยาลัยสารพัดช่างสระบุรี - วิทยาลัยชื่นชมไทย-เยอรมัน สระบุรีสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยว. - สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์- วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร - วัดพระพุทธฉาย - วัดเขาแก้ววรวิหาร - วัดศรีบุรีรัตนาราม - วัดศาลาแดง - พระบวรราชวังสีทา - สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ - เขาพระพุทธบาทน้อย - ถ้ำพระธาตุเจริญธรรม หรือ ถ้ำบ่อปลา - ถ้ำดาวเขาแก้ว - ถ้ำศรีวิไล - ถ้ำพระโพธิสัตว์ - ทุ่งทานตะวัน อำเภอมวกเหล็กและวังม่วง - น้ำตกโกรกอีดก - สวนรุกขชาติมวกเหล็กและพุแค - อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย - น้ำตกมวกเหล็ก - น้ำตกเหวน้อย - ไร่สุกุมาการขนส่ง การขนส่ง. เส้นทางคมนาคมทางถนนที่สำคัญของจังหวัดสระบุรี คือ- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดเชียงราย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดหนองคาย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 (ถนนสระบุรี-หล่มสัก-เลย) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดเลย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคตะวันตก, ภาคกลาง และภาคตะวันออกของประเทศไทย สายทางเริ่มต้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสิ้นสุดเส้นทางที่ชายแดนประเทศกัมพูชา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 362 (ถนนวงแหวนรอบเมืองสระบุรี) จากกรุงเทพมหานครมีรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศของ บริษัท ขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 วันละ 28 เที่ยว ส่วนการขนส่งทางราง จากสถานีรถไฟกรุงเทพ มีบริการเดินรถไฟไปจังหวัดสระบุรีทุกวัน วันละหลายขบวน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และบางขบวนยังสามารถแวะลงได้ที่สถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย และสถานีรถไฟมวกเหล็กได้ด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงบุคคลที่มีชื่อเสียง. - ด้านศาสนา - พระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) – พระราชาคณะชั้นธรรม เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร - ธงชัย สุขโข - อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าคณะภาค 10 อดีตประธานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ถูกถอดถอนสมณศักดิ์ 30 พฤษภาคม 2561 - ด้านวงการบันเทิง - แจ๊ค แฟนฉัน – นักแสดง - กฤษณะ ไชยรัตน์ – พิธีกรทางช่อง เนชั่นทีวี ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ผู้จัดการโครงการทูตอารยสถาปัตย์ และประธานคณะทำงานอารยสถาปัตย์ไทยสู่ประชาคมอาเซียน - จีรนันท์ มะโนแจ่ม – นักแสดง - รินรดา อินทร์ไธสง (เปี่ยม) – ไอดอลวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต- ด้านกีฬา - บิ๊ก สระบุรี อดีตนักสนุกเกอร์อาชีพชาวไทย- ด้านการเมือง - พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และอดีตผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย - ปองพล อดิเรกสาร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง
จังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใดของประเทศไทย
{ "answer": [ "กลาง" ], "answer_begin_position": [ 136 ], "answer_end_position": [ 140 ] }
3,307
5,763
จังหวัดสระบุรี จังหวัดสระบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของภาคกลาง นับเป็นเสมือนด่านผ่านระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย สภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดสระบุรี นับว่าเป็นทำเลแห่งการเพาะปลูก ได้รับความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำสายหลัก คือแม่น้ำป่าสัก และสภาพโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. สระบุรีเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งแต่โบราณ สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2092 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ การตั้งเมืองนี้สันนิษฐานว่า พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเขตพื้นที่บางส่วนของเมืองลพบุรี เมืองนครนายก และเมืองนครราชสีมา มารวมกันตั้งขึ้นเป็นเมืองสระบุรี ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เป็นศูนย์ระดมพลเมืองในยามศึกสงคราม เพราะฉะนั้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา จึงมักพบเรื่องราวของจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับการศึกสงครามอยู่เสมอชื่อจังหวัด ชื่อจังหวัด. สำหรับที่มาของคำว่า "สระบุรี" สันนิษฐานว่า เพราะเหตุที่ทำเลที่ตั้งครั้งแรกมีบึงอยู่ใกล้ คือ "บึงหนองโง้ง" เมื่อตั้งเมืองขึ้นจึงได้นำเอาคำว่า "สระ" มารวมเข้ากันกับคำว่า "บุรี" เป็นชื่อเมือง "สระบุรี"ภูมิศาสตร์ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์. ภูมิประเทศ. สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปมีลักษณะ ดังนี้ ตอนเหนือ ตะวันออก และตอนกลางของจังหวัดเป็นป่ามีเนินเขาสลับที่ราบสูง ซึ่งเหมาะในการปลูกพืชไร่ ตอนใต้และตะวันตกส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบเหมาะในการทำนา แม่น้ำที่สำคัญมีเพียงสายเดียว คือ แม่น้ำป่าสัก ซึ่งนับว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของจังหวัดสระบุรี โดยอาศัยน้ำใช้ในการเกษตร และประโยชน์อย่างอื่น แม่น้ำป่าสักไหลผ่านอำเภอมวกเหล็ก อำเภอแก่งคอย อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอเสาไห้ ไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คิดเป็นความยาวประมาณ 105 กิโลเมตร นอกจากนั้นสระบุรียังมีคลองที่สำคัญ ๆ หลายสาย เช่น คลองรพีพัฒน์ คลองเริงราง คลองวิหารแดง และคลองเพรียว เป็นต้นภูมิอากาศ ภูมิอากาศ. สภาพโดยทั่วไปมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และยังได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชันและพายุไต้ฝุ่นอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนมีอุณหภูมิเฉลี่ย 28.3 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละประมาณ 1147.6 มิลลิเมตร มีฤดูต่าง ๆ 3 ฤดูคือ1. ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อากาศร้อนและแห้งแล้ง 2. ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม อากาศจะชุ่มชื้นในเดือนกันยายน 3. ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวเย็นสลับกับอากาศร้อนอุทยานแห่งชาติอุทยานแห่งชาติ. - อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย - อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดสัญลักษณ์ประจำจังหวัด. - คำขวัญประจำจังหวัด: พระพุทธบาทสูงค่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฐานผลิตอุตสาหกรรม เกษตรนำล้ำแหล่งเที่ยว หนึ่งเดียวกะหรี่ปั๊บนมดี ประเพณีตักบาตรดอกไม้งาม เหลืองอร่ามทุ่งทานตะวัน ลือลั่นเมืองชุมทาง - คำขวัญประจำจังหวัด (เดิม): พระพุทธบาทลือนาม แหล่งน้ำอุดม นมเนื้อมากมาย หลากหลายโรงงาน ถิ่นข้าวสารพันธุ์ดี มีมะม่วงรสเลิศ งามบรรเจิดธรรมชาติ - ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นตะแบกนา () - ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกสุพรรณิการ์ () - สัตว์น้ำประจำจังหวัด: ปูน้ำตกสระบุรีหรือปูหิน ()การเมืองการปกครองรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดการปกครองส่วนภูมิภาค การเมืองการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. การปกครองแบ่งออกเป็น 13 อำเภอ 111 ตำบล 965 หมู่บ้าน1. อำเภอเมืองสระบุรี 2. อำเภอแก่งคอย 3. อำเภอหนองแค 4. อำเภอวิหารแดง 5. อำเภอหนองแซง 6. อำเภอบ้านหมอ 7. อำเภอดอนพุด 8. อำเภอหนองโดน 9. อำเภอพระพุทธบาท 10. อำเภอเสาไห้ 11. อำเภอมวกเหล็ก 12. อำเภอวังม่วง 13. อำเภอเฉลิมพระเกียรติการปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. จังหวัดสระบุรีมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนทั้งสิ้น 109 แห่ง แบ่งออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี, เทศบาลเมือง 4 แห่ง, เทศบาลตำบล 34 แห่ง, และ องค์การบริหารส่วนตำบล 71 แห่ง โดยเทศบาลสามารถจำแนกได้ตามพื้นที่ดังนี้ อำเภอเมืองสระบุรี- เทศบาลเมืองสระบุรี - เทศบาลตำบลกุดนกเปล้า - เทศบาลตำบลตะกุด - เทศบาลตำบลป๊อกแป๊ก อำเภอแก่งคอย- เทศบาลเมืองแก่งคอย - เทศบาลเมืองทับกวาง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ- เทศบาลตำบลหน้าพระลาน อำเภอดอนพุด- เทศบาลตำบลดอนพุด อำเภอบ้านหมอ- เทศบาลตำบลท่าลาน - เทศบาลตำบลบ้านหมอ - เทศบาลตำบลตลาดน้อย - เทศบาลตำบลบางโขมด - เทศบาลตำบลสร่างโศก - เทศบาลตำบลหนองบัว อำเภอพระพุทธบาท- เทศบาลเมืองพระพุทธบาท - เทศบาลตำบลพุกร่าง - เทศบาลตำบลธารเกษม - เทศบาลตำบลห้วยป่าหวาย - เทศบาลตำบลหนองแก - เทศบาลตำบลนายาว อำเภอมวกเหล็ก- เทศบาลตำบลมวกเหล็ก อำเภอวังม่วง- เทศบาลตำบลวังม่วง - เทศบาลตำบลคำพราน - เทศบาลตำบลแสลงพัน อำเภอวิหารแดง- เทศบาลตำบลวิหารแดง - เทศบาลตำบลหนองหมู อำเภอเสาไห้- เทศบาลตำบลเสาไห้ - เทศบาลตำบลสวนดอกไม้ - เทศบาลตำบลบ้านยาง - เทศบาลตำบลเมืองเก่า - เทศบาลตำบลต้นตาล-พระยาทด - เทศบาลตำบลหัวปลวก อำเภอหนองแค- เทศบาลตำบลหนองแค - เทศบาลตำบลหินกอง - เทศบาลตำบลคชสิทธิ์ - เทศบาลตำบลไผ่ต่ำ อำเภอหนองแซง- เทศบาลตำบลหนองแซง อำเภอหนองโดน- เทศบาลตำบลหนองโดนการศึกษาการศึกษา. - ระดับอุดมศึกษา- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์การศึกษาสระบุรี อำเภอแก่งคอย - มหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก (เดิมชื่อ วิทยาลัยมิชชั่น) - มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาสระบุรี - โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช(แห่งใหม่) อำเภอมวกเหล็ก - วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี - วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พระพุทธบาท - วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี - วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี - วิทยาลัยเทคนิคมวกเหล็ก - วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ - วิทยาลัยการอาชีพสระบุรี - วิทยาลัยการอาชีพหนองแค - วิทยาลัยสารพัดช่างสระบุรี - วิทยาลัยชื่นชมไทย-เยอรมัน สระบุรีสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยว. - สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์- วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร - วัดพระพุทธฉาย - วัดเขาแก้ววรวิหาร - วัดศรีบุรีรัตนาราม - วัดศาลาแดง - พระบวรราชวังสีทา - สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ - เขาพระพุทธบาทน้อย - ถ้ำพระธาตุเจริญธรรม หรือ ถ้ำบ่อปลา - ถ้ำดาวเขาแก้ว - ถ้ำศรีวิไล - ถ้ำพระโพธิสัตว์ - ทุ่งทานตะวัน อำเภอมวกเหล็กและวังม่วง - น้ำตกโกรกอีดก - สวนรุกขชาติมวกเหล็กและพุแค - อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย - น้ำตกมวกเหล็ก - น้ำตกเหวน้อย - ไร่สุกุมาการขนส่ง การขนส่ง. เส้นทางคมนาคมทางถนนที่สำคัญของจังหวัดสระบุรี คือ- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดเชียงราย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดหนองคาย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 (ถนนสระบุรี-หล่มสัก-เลย) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ้นสุดเส้นทางที่จังหวัดเลย - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคตะวันตก, ภาคกลาง และภาคตะวันออกของประเทศไทย สายทางเริ่มต้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสิ้นสุดเส้นทางที่ชายแดนประเทศกัมพูชา อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว - ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 362 (ถนนวงแหวนรอบเมืองสระบุรี) จากกรุงเทพมหานครมีรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศของ บริษัท ขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 วันละ 28 เที่ยว ส่วนการขนส่งทางราง จากสถานีรถไฟกรุงเทพ มีบริการเดินรถไฟไปจังหวัดสระบุรีทุกวัน วันละหลายขบวน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และบางขบวนยังสามารถแวะลงได้ที่สถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย และสถานีรถไฟมวกเหล็กได้ด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงบุคคลที่มีชื่อเสียง. - ด้านศาสนา - พระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) – พระราชาคณะชั้นธรรม เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร - ธงชัย สุขโข - อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าคณะภาค 10 อดีตประธานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ถูกถอดถอนสมณศักดิ์ 30 พฤษภาคม 2561 - ด้านวงการบันเทิง - แจ๊ค แฟนฉัน – นักแสดง - กฤษณะ ไชยรัตน์ – พิธีกรทางช่อง เนชั่นทีวี ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ผู้จัดการโครงการทูตอารยสถาปัตย์ และประธานคณะทำงานอารยสถาปัตย์ไทยสู่ประชาคมอาเซียน - จีรนันท์ มะโนแจ่ม – นักแสดง - รินรดา อินทร์ไธสง (เปี่ยม) – ไอดอลวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต- ด้านกีฬา - บิ๊ก สระบุรี อดีตนักสนุกเกอร์อาชีพชาวไทย- ด้านการเมือง - พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และอดีตผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย - ปองพล อดิเรกสาร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง
ต้นไม้ใดคือต้นไม้ประจำจังหวัดสระบุรีในประเทศไทย
{ "answer": [ "ต้นตะแบกนา" ], "answer_begin_position": [ 2872 ], "answer_end_position": [ 2882 ] }
3,308
351,179
เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ เป็นเขื่อนดิน อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 86 กิโลเมตร เขื่อนตาเกาว์ใหม่สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2528 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้ ปิดกั้นห้วยทับทันและห้วยสำราญที่บ้านตาเกาว์ ที่รับน้ำมาจากน้ำตก 5 แห่งสร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ เขื่อนตาเกาว์ใหม่มีความสูงจากท้องน้ำ 21 เมตร สันเขื่อนยาว 600 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 10.20 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบัน เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อยใจ และมีร้านอาหารริมเขื่อนอยู่มากมาย ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนชาวสุรินทร์ และในฤดูร้อน น้ำจะลดและมีหาดทรายเหมือนทะเล ลงเล่นน้ำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแหล่งข้อมูลแหล่งข้อมูล. - http://www.safetydam.net/dam.php?QDam_ID=14332&QMode=E&QList=1
เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ในประเทศไทยเป็นเขื่อนชนิดใด
{ "answer": [ "ดิน" ], "answer_begin_position": [ 150 ], "answer_end_position": [ 153 ] }
3,309
351,179
เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ เป็นเขื่อนดิน อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 86 กิโลเมตร เขื่อนตาเกาว์ใหม่สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2528 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้ ปิดกั้นห้วยทับทันและห้วยสำราญที่บ้านตาเกาว์ ที่รับน้ำมาจากน้ำตก 5 แห่งสร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ เขื่อนตาเกาว์ใหม่มีความสูงจากท้องน้ำ 21 เมตร สันเขื่อนยาว 600 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 10.20 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบัน เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อยใจ และมีร้านอาหารริมเขื่อนอยู่มากมาย ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนชาวสุรินทร์ และในฤดูร้อน น้ำจะลดและมีหาดทรายเหมือนทะเล ลงเล่นน้ำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแหล่งข้อมูลแหล่งข้อมูล. - http://www.safetydam.net/dam.php?QDam_ID=14332&QMode=E&QList=1
เขื่อนห้วยตาเกาว์ใหม่ในประเทศไทยตั้งอยู่ที่จังหวัดใด
{ "answer": [ "สุรินทร์" ], "answer_begin_position": [ 222 ], "answer_end_position": [ 230 ] }
3,310
413,822
ซิมโฟนีหมายเลข 2 (มาห์เลอร์) ซิมโฟนีหมายเลข 2 ผลงานประพันธ์ของกุสตาฟ มาห์เลอร์ เป็นที่รู้จักในชื่อ "การฟื้นคืนชีพ" (Resurrection) ประพันธ์ขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1888 ถึง ค.ศ. 1894 จัดแสดงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1894 เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จและได้รับคำชื่นชมในขณะที่มาห์เลอร์ยังมีชีวิตอยู่ รองมาจากซิมโฟนีหมายเลข 8 ของเขา ในปี ค.ศ. 1888 มาห์เลอร์ได้แต่งซิมโฟนิกโพเอ็มขึ้นมาบทหนึ่ง ใช้ชื่อว่า Totenfeier (Funeral Rites, งานศพ) พร้อมกับร่างบทร่างของมูฟเมนต์ที่สอง จากนั้นได้ละทิ้งงานชิ้นนี้ไปถึงห้าปี จนถึงปี 1893 จึงกลับมาเขียนมูฟเมนต์ที่สองและสามต่อ มาห์เลอร์ใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานหลายเดือน ว่าจะจบซิมโฟนีของเขาอย่างไร และเลือกจะใช้การร้องประสานเสียง ในรูปแบบเดียวกับซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟน ในขณะนั้นมาห์เลอร์ร่วมงานและสนิทสนมกับฮานส์ ฟอน บือโลว์ (1830–1894) เมื่อบือโลว์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1894 มาห์เลอร์ไปร่วมพิธีศพและได้ฟังบทเพลงฮิมน์ของฟรีดิช ก็อตเลียบ คล็อปสต็อก (1724–1803) ชื่อ "Die Auferstehung" (The Resurrection, การฟื้นคืนชีพ) ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการประพันธ์ท่อนจบของซิมโฟนี มาห์เลอร์นำผลงานของคล็อปสต็อกมาตัดแปลง และเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการไถ่บาป (redemption),การฟื้นคืนชีพ (resurrection) และชีวิตหลังความตาย ซิมโฟนีหมายเลข 2 ของมาห์เลอร์ มีความยาวประมาณ 80 ถึง 90 นาที ประกอบด้วย 5 มูฟเมนต์1. Allegro maestoso (C minor) 2. Andante moderato (A-flat major) 3. In ruhig fließender Bewegung (With quietly flowing movement) (C minor) 4. Urlicht (Primeval Light). Sehr feierlich, aber schlicht ขับร้องด้วยเสียงอัลโต 5. Im Tempo des Scherzos มูฟเมนต์สุดท้ายนี้มีความยาวถึงครึ่งชั่วโมง โดยลงท้ายด้วยการร้องประสานเสียง
ซิมโฟนีหมายเลข 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อการฟื้นคืนชีพ เป็นผลงานประพันธ์ของใคร
{ "answer": [ "กุสตาฟ มาห์เลอร์" ], "answer_begin_position": [ 165 ], "answer_end_position": [ 181 ] }
3,311
812,340
อักษรเบรลล์ภาษาอาหรับ อักษรเบรลล์ภาษาอาหรับ (, birēl ʻarabīyah / birayl ) เป็นตัวอักษรเบรลล์ของภาษาอาหรับ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี คริสตศตวรรษ 1950แผนภูมิอักษรเบรลล์ภาษาอาหรับตัวอักษรเครื่องหมายวรรคตอนและการจัดรูปแบบแผนภูมิอักษรเบรลล์ภาษาอาหรับ. เครื่องหมายวรรคตอนและการจัดรูปแบบ. - เครื่องหมายวรรคตอนทั่วไป- เครื่องหมายคำพูด- เครื่องหมายวรรคตอนแบบครบวงจรอาหรับ
การใช้อักษรเบรลล์ภาษาอาหรับเริ่มตั้งแต่ปีค.ศ.ใด
{ "answer": [ "1950" ], "answer_begin_position": [ 239 ], "answer_end_position": [ 243 ] }
3,312
143,524
ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน () หมายถึงผู้ประพันธ์พระวรสารสี่เล่มซึ่งเป็นเอกสารส่วนหนึ่งของพันธสัญญาใหม่ในคัมภีร์ไบเบิล วรสาร แปลว่า ข่าวประเสริฐ ซึ่งหมายถึงข่าวการเสด็จมาของพระเยซู หรือชีวประวัติของพระองค์นั่นเอง อย่างไรก็ดีพระวรสารเขียนขึ้นประมาณหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้วเกือบหนึ่งร้อยปีพระวรสารทั้งสี่เล่ม พระวรสารทั้งสี่เล่ม. พระวรสารสี่เล่มหลักของคริสต์ศาสนาที่ถือว่าเป็นพระวรสารในสารบบ ได้แก่- พระวรสารนักบุญมัทธิว (; ), - พระวรสารนักบุญมาระโก (; ), - พระวรสารนักบุญลูกา (; ), - พระวรสารนักบุญยอห์น (; ). หลักฐานว่าใครเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่จริงๆ ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาจนทุกวันนี้ ผู้นิพนธ์พระวรสารมักจะไม่แนะนำตัวเองในพระวรสารและไม่มีหลักฐานอะไรที่กล่าวว่าโดยตรงถึงนักบุญทั้งสี่ว่าเป็นผู้ประพันธ์ นักวิชาการสมัยใหม่จีงสรุปว่าเป็นผู้ประพันธ์นิรนาม และการให้ชื่อผู้ประพันธ์ภายหลังเป็นเหตุผลที่นอกเหนือจากการทราบผู้ประพันธ์ที่แท้จริงผู้ประกาศทั้งสี่ผู้ประกาศทั้งสี่. - มัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสาร – เดิมเป็นผู้เก็บภาษีที่ถูกเรียกตัวโดย พระเยซู เพื่อให้มาเป็นหนึ่งในอัครทูต - มาระโกผู้นิพนธ์พระวรสาร – ผู้ติดตามนักบุญเปโตร จึงเรียกว่า “คนของอัครทูต” (Apostolic man) - ลูกาผู้นิพนธ์พระวรสาร – เดิมเป็นแพทย์นอกจากพระวรสารก็ยังเป็นผู้เขียน “หนังสือลูกา” ถึงเพื่อนชื่อทีโอฟิลุส (Theophilus) และ “หนังสือกิจการของอัครทูต” ถึง นักบุญเปาโล - ยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร – สาวกของพระเยซู และอาจจะเป็นสาวกที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาอัครทูตสัญลักษณ์ของผู้นิพนธ์พระวรสาร สัญลักษณ์ของผู้นิพนธ์พระวรสาร. ในการวาดภาพผู้ผู้นิพนธ์พระวรสารแต่ละท่านจะมีสัญลักษณ์ต่างๆ กันซึ่งมาจากหนังสือเอเสเคียล บทที่ 1 และหนังสือวิวรณ์ (4.6-9 และต่อมา) แต่หนังสือทั้งสองก็มิได้บ่งบอกแน่นอนถึงสิ่งที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของผู้ผู้นิพนธ์พระวรสาร สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นสิ่งที่วิวัฒนาการขึ้นมาจนกระทั่งมาถึง ราบานุส มอรุส (Rabanus Maurus) ผู้บรรยายถึงความหมายของสิ่งที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ว่ามีความหมายเป็นสามขั้นตอน ขั้นแรกสัญลักษณ์ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระเยซู ขั้นที่สองเป็นสัญลักษณ์แทนการกระทำของพระองค์ และขั้นที่สามเป็นสัญลักษณ์สำหรับสำหรับคริสต์ศาสนิกชนผู้ซึ่งต้องได้รับการไถ่บาป
ผู้ประพันธ์พระวรสารสี่เล่มซึ่งเป็นเอกสารส่วนหนึ่งของพันธสัญญาใหม่ในคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน" ], "answer_begin_position": [ 124 ], "answer_end_position": [ 148 ] }
3,313
26,871
ลานพระราชวังดุสิต พระลานพระราชวังดุสิต หรือที่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นลานกว้างอยู่ด้านหน้าของพระที่นั่งอนันตสมาคมและสวนอัมพร ในเขตพระราชวังดุสิต ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ "พระบรมรูปทรงม้า" และหมุด 24 มิถุนายน 2475 ที่ระลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครองประวัติ ประวัติ. พระบรมรูปทรงม้า สร้างขึ้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยนำแบบอย่างมาจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์แห่งฝรั่งเศส ที่กรุงปารีส ด้วยฝีมือนายช่างชาวฝรั่งเศส บริษัท ซุซเซอร์ เฟรสฟอร์เดอร์ ในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2450 พระองค์เสด็จประทับ ให้ช่างปั้น เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2450 พระบรมรูปสำเร็จเรียบร้อยส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อ วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 อันเป็น เวลาพอดีกับงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในโอกาสเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ 40 ปี เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้าขึ้นประดิษฐานบนแท่นรองหน้าพระราชวังดุสิต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง พระบรมรูปทรงม้า หล่อด้วยโลหะทองบรอนซ์ ยึดติดกับแท่นทองบรอนซ์ เป็นที่ม้ายืน หนาประมาณ 25 เซนติเมตร ประดิษฐานบนแท่นรอง ทำด้วยหินอ่อน สูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร พระบรมรูปทรงม้าสร้างขึ้นด้วยเงินที่ประชาชนได้เรี่ยไรสมทบทุน ส่วนเงินที่เหลือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำไปสร้างมหาวิทยาลัยขึ้น มีนามตามพระปรมาภิไธยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหมุดคณะราษฎร หมุดคณะราษฎร. บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า มีหมุดทองเหลืองฝังอยู่บนพื้นถนน จุดนี้คือบริเวณที่พระยาพหลพลพยุหเสนาได้อ่าน เพื่อประกาศยึดอำนาจการปกครอง นิยมเรียกกันว่า หมุดคณะราษฎรกิจกรรม กิจกรรม. งานพิธีการ ที่จัดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า- 18 มกราคม - พิธีสวนสนาม และพิธีกระทำสัตย์ปฏิญานตนต่อธงชัยเฉลิมพล ของทหาร 3 เหล่าทัพ เนื่องในวันกองทัพไทย ปัจจุบันแต่ละเหล่าทัพแยกย้ายไปกระทำพิธีภายในหน่วยทหาร โดย- กองบัญชาการกองทัพไทย ทำพิธีที่กองพันทหารสื่อสาร กองบัญชาการกองทัพไทย - กองทัพบก ทำพิธีที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ - กองทัพเรือ ทำพิธีที่โรงเรียนนายเรือ - กองทัพอากาศ ทำพิธีที่โรงเรียนนายเรืออากาศ - 23 ตุลาคม - พิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันปิยมหาราช - 2 ธันวาคม - พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระลานพระราชวังดุสิต หรือลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ของกษัตริย์ไทยองค์ใด
{ "answer": [ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ], "answer_begin_position": [ 335 ], "answer_end_position": [ 372 ] }
3,314
14,039
ไทเทเนียม ไทเทเนียม (; ; ) เป็นธาตุเคมี มีสัญลักษณ์เป็น Ti มีเลขอะตอมเท่ากับ 22 มีความหนาแน่นต่ำ แข็ง ทนการกัดกร่อน (น้ำทะเล , น้ำประสานทอง (aqua regia) และ คลอรีน) เป็นโลหะทรานซิชันสีเงิน ไทเทเนียมได้รับการค้นพบในคอร์นวอลล์ บริเตนใหญ่ โดย วิลเลียม เกรเกอร์ (William Gregor) ในปี ค.ศ. 1791 ได้รับการตั้งชื่อโดย มาร์ทิน ไฮนริช คลาพรอท (Martin Heinrich Klaproth) ตามไททันในเทพปกรณัมกรีก ธาตุนี้พบในชั้นที่ทับถมกันของแร่ที่กระจายอยู่ทั่วไปในเปลือกโลกและธรณีภาค ส่วนใหญ่จะเป็นรูไทล์และอิลเมไนต์ และยังพบในสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด หิน แหล่งน้ำ และดิน ไทเทเนียมสามารถสกัดจากสินแร่ด้วยกระบวนการครอลล์ (Kroll process) หรือกระบวนการฮันเตอร์ (Hunter process) ในรูปของสารประกอบที่พบส่วนมากจะเป็นไทเทเนียมไดออกไซต์ ซึ่งเป็นสารเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง (photocatalyst) ที่นิยมและใช้ในการสร้างสารสี (pigment) ขาว ส่วนรูปสารประกอบอื่น ได้แก่ ไทเทเนียมเตตระคลอไรด์ (TiCl) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของหมอกควันและตัวเร่งปฏิกิริยา และไทเทเนียมไตรคลอไรด์ (TiCl) ซึ่งใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการผลิตโพลิโพรพิลีน ไทเทเนียมสามารถผลิตเป็นโลหะเจือ ด้วยการผสมกับเหล็ก อะลูมิเนียม วาเนเดียม โมลิบดีนัม และธาตุอื่นๆ เพื่อผลิตโลหะเจือที่แข็งแรงแต่น้ำหนักเบาสำหรับใช้ในยานอวกาศหรืออากาศยาน (เครื่องยนต์เจ็ต ขีปนาวุธ และยานอวกาศ) การทหาร กระบวนการทางอุตสาหกรรม (สารเคมี สารเคมีจากปิโตรเลียม ระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (desalination plant) เยื่อกระดาษ และกระดาษ) ยานยนต์ อาหารจากเกษตรกรรม กายอุปกรณ์ทางการแพทย์ กระดูกเทียม เครื่องมือทางทันตกรรม ฟันปลอมรากเทียม สินค้าทางการกีฬา อัญมณี โทรศัพท์มือถือ และการประยุกต์ใช้อื่นๆ สองคุณสมบัติที่มีประโยชน์มากที่สุดของรูปโลหะคือมีความต้านทานการกัดกร่อนและมีอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักสูงกว่าโลหะชนิดใด ๆ ในสภาวะบริสุทธิ์ ไทเทเนียมมีความแข็งเท่ากับเหล็กกล้าบางชนิด แต่เบากว่า 45% มีด้วยกันสองอัญรูป และห้าไอโซโทปที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คือ Ti ถึง Ti ซึ่ง Ti มีจำนวนมากที่สุด (73.8%) คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของไทเทเนียมคล้ายกับเซอร์โคเนียม เพราะทั้งสองมีเลขเวเลนซ์อิเล็กตรอนเลขเดียวกันและอยู่ในหมู่เดียวกันในตารางธาตุลักษณะคุณสมบัติทางฟิสิกส์ ลักษณะ. คุณสมบัติทางฟิสิกส์. ธาตุโลหะไทเทเนียมเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นธาตุที่มีอัตราความแข็งแรงต่อน้ำหนักสูง เป็นโลหะที่แข็งแรงแต่มีความหนาแน่นต่ำสามารถทำให้เป็นแผ่นบางๆ ได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจน), มันวาว, และมีสีขาวโลหะ มีจุดหลอมเหลวสูง (มากกว่า 1,650 °C หรือ 3,000 °F) จึงมักนำไปใช้เป็นโลหะทนไฟ ไทเทเนียมเป็นพาราแมกเนติกมีสภาพนำไฟฟ้าและสภาพนำความร้อนต่ำ เกรดของไทเทเนียมในเชิงการค้า (บริสุทธิ์ 99.2%) มีความทนแรงเค้นดึงสูงสุดประมาณ 63,000 psi (434 MPa) เท่ากับโละผสมเกรดต่ำทั่วไป แต่เบากว่า 45% ไทเทเนียมมีความหนาแน่นมากกว่าอะลูมิเนียม 60% แต่แข็งกว่าสองเท่า ของโลหะผสมอะลูมิเนียม 6061-T6 ที่นิยมใช้กันทั่วไป โลหะผสมไทเทเนียมบางชนิด (เช่น บีตาซี ,Beta C) ทนแรงเค้นดึงสูงกว่า 200,000 psi (1,400 MPa) อย่างไรก็ตาม ไทเทเนียมจะสูญเสียความแข็งเมื่อได้รับความร้อนสูงกว่า 430 °C (806 °F) ไทเทเนียมนั้นแข็งพอใช้ (แม้ว่าจะไม่แข็งเท่ากับเหล็กกล้าอบชุบบางเกรด) ไม่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก และเป็นตัวนำไฟฟ้าและความร้อนที่คุณภาพเลว การใช้กับเครื่องจักรต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะวัสดุจะอ่อนตัวและถูกครูดเป็นรอยถ้าเครื่องมือมีความแหลมคมและไม่ได้ใช้วิธีการระบายความร้อนที่เหมาะสม เครื่องมือที่ทำจากไทเทเนียมคล้ายกับเครื่องมือที่ทำจากเหล็ก โครงสร้างของไทเทเนียมนั้นมีขีดจำกัดความล้าซึ่งจะกำหนดช่วงชีวิตของการนำไปใช้งานบางประเภท คุณสมบัติความแข็งตึง (stiffness) ของโลหะผสมไทเทเนียม ปกติแล้วไม่ดีเท่าวัสดุอื่น เช่น โลหะผสมอะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ดังนั้น จึงไม่ค่อยจะมีการนำไทเทเนียมไปใช้ในโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแกร่งสูง ไทเทเนียมมีสองอัญรูปคือรูปแบบแอลฟาหกเหลี่ยมที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบบีตาแบบลูกบาศก์กลางตัว (body-centered cubic, แลตทิซ) ที่ 882 °C (1,620 °F) ความร้อนจำเพาะของรูปแบบแอลฟาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับความร้อนเพื่อส่งผ่านระดับความร้อนนี้แต่จะตกลงและเกือบจะคงที่ในรูปแบบบีตาโดยไม่คำนึงถึงอุณหภูมิ ส่วนรูปแบบโอเมกาที่เพิ่มขึ้นมาจะคงอยู่และเสถียรทางเทอร์โมไดนามิกส์ที่ความดันสูงคล้ายกับเซอร์โคเนียมและแฮฟเนียม แต่จะอุปเสถียร (metastable) ที่ความดันบรรยากาศ รูปแบบนี้ปกติจะเป็นรูปหกเหลี่ยม (อุดมคติ) หรือสามเหลี่ยม (บิดเบี้ยว)คุณสมบัติทางเคมีสารประกอบการปรากฏขึ้นไอโซโทป ไอโซโทป. ไทเทเนียมที่เกิดขึ้นในธรรมชาติมีอยู่ด้วยกัน 5 ไอโซโทปที่เสถียร ได้แก่ Ti, Ti, Ti, Ti, และ Ti ซึ่ง Ti มีจำนวนมากที่สุด (73.8%) มี 11 ไอโซโทปกัมมันตรังสี ที่เสถียรที่สุด คือ Ti ซึ่งมีครึ่งชีวิต 63 ปี Ti มีครึ่งชีวิต 184.8 นาที Ti มีครึ่งชีวิต 5.76 นาที และ Ti มีครึ่งชีวิต 1.7 นาที ที่เหลือเป็นไอโซโทปกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตน้อยกว่า 33 วินาทีและส่วนใหญ่มีครึ่งชีวิตน้อยกว่า 0.5 วินาที ไอโซโทปของไทเทเนียมมีน้ำหนักอะตอมอยู่ในช่วง 39.99 u (Ti) ถึง 57.966 u (Ti) รูปแบบการสลายกัมมันตรังสีขั้นต้นก่อนจะกลายเป็นไอโซโทปที่เสถียรและมีจำนวนมากที่สุด Ti คือการจับยึดอิเล็กตรอนและรูปแบบการสลายหลังจากนั้นคือการสลายให้อนุภาคบีตา ผลิตภัณฑ์จากการสลายกัมมันตรังสีขั้นต้นก่อนจะเป็น Ti คือไอโซโทปธาตุที่ 21 (สแกนเดียม) และผลิตภัณฑ์จากการสลายกัมมันตรังสีหลังจากนั้นคือไอโซโทปธาตุที่ 23 (วาเนเดียม)
สัญลักษณ์ธาตุเคมีของไทเทเนียมคืออะไร
{ "answer": [ "Ti" ], "answer_begin_position": [ 138 ], "answer_end_position": [ 140 ] }
3,315
503,066
หมึกฮัมโบลต์ หมึกฮัมโบลต์, หมึกจัมโบ หรือ หมึกบินจัมโบ () หรือ เดียโบลโรโค (, "ปีศาจแดง"); ) เป็นหมึกประเภทหมึกกล้วยชนิดหนึ่ง เป็นหมึกกล้วยที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมึกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Dosidicus หมึกฮัมโบลต์มีความยาวได้ถึง 9 ฟุต มีน้ำหนักได้ถึง 150 ปอนด์ มีรูปร่างเพรียวยาว อ้วนป้อมออกด้านข้าง มีหนวดทั้งสิ้น 8 หนวด โดยมี 2 เส้นยาว ที่มีอวัยวะเหมือนฟันแหลมคมข้าง ๆ ปุ่มดูด ซึ่งมีไว้สำหรับจับและฉีกอาหาร มีดวงตากลมโตขนาดใหญ่ หมึกฮัมโบลต์กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออก ตั้งแต่อเมริกาเหนือ เช่น ออริกอน, วอชิงตัน, บริติชโคลัมเบีย และอะแลสกา จนถึงอเมริกากลาง เช่น ทะเลกอร์เตซ จนถึงอเมริกาใต้ เช่น เปรู ชิลี หมึกฮัมโบลต์สามารถว่ายน้ำได้เร็ว 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยวิธีการพ่นน้ำและใช้ครีบ สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ อีกทั้งสามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตลอดเวลาตั้งแต่สีขาวจนถึงแดงเข้ม และดำน้ำได้ลึกถึง 1,000 ฟุต เพื่อพักผ่อน ย่อยอาหาร และหลบเลี่ยงสัตว์นักล่า มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ออกหากินบริเวณกลางน้ำทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ออกหากินตลอดเวลา จะกินอาหารทุกที่เมื่อสบโอกาส ถือเป็นสัตว์ที่ต้องการแคลอรีมากที่สุดชนิดหนึ่งในทะเล มีพฤติกรรมแย่งอาหาร และกินแม้แต่พวกเดียวกันเอง เมื่อชาวประมงจับหมึกฮัมโบลต์ได้ ตัวแรกจะถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนลงทะเล เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อหมึกตัวอื่น ๆ ให้ตามมา เมื่อหมึกตัวหนึ่งจับอาหารได้จะพ่นหมึกออกมา หมึกตัวอื่น ๆ ก็จะเข้ามารุมล้อมแย่งกิน และเมื่อจับอาหารได้ชิ้นใหญ่กว่าปากของตัวเอง จะใช้หนวดดูดและใช้ปากที่แหลมคมเหมือนปากนกแก้ว ฉีกอาหารเป็นชิ้น ๆ ให้พอกับคำ หมึกฮัมโบลต์เมื่อแรกเกิดมีความยาวเพียง 1.8 นิ้ว แต่สามารถโตได้ถึง 7 ฟุต ด้วยเวลาเพียง 2 ปี นับว่าเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมากชนิดหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหมด แต่อายุขัยยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด คาดว่าประมาณ 1-2 ปี หมึกฮัมโบลต์นับว่าเป็นสัตว์นักล่าที่สมบูรณ์แบบมากชนิดหนึ่งในทะเล เป็นสัตว์ที่ฉลาดและคล่องแคล่วว่องไว อีกทั้งมีหนวดที่แข็งแรงและแหลมคมเป็นอาวุธ ถือเป็นสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่งที่สามารถทำร้ายโจมตีมนุษย์ได้ สามารถใช้หนวดดึงบ่าของนักประดาน้ำให้หลุดและลากลงไปในที่ลึกได้ หากสวมชุดประดาน้ำแบบธรรมดาไม่มีเครื่องป้องกันแบบเดียวกับเครื่องป้องกันปลาฉลาม จะถูกทำอันตรายจากปากและหนวดได้เหมือนกับการกัดของสุนัขขนาดใหญ่อย่างเยอรมันเชเพิร์ด จนมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวประมงแถบทะเลกอร์เตซว่าหมึกฮัมโบลต์ทำร้ายและกินมนุษย์เป็นอาหาร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 มีนักประดาน้ำ 3 คน เสียชีวิตในทะเลกอร์เตซ โดยศพถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งพบว่าชุดประดาน้ำฉีกขาด และเปื้อนไปด้วยหมึก และภายหลังพิสูจน์ว่าเป็นหมึกจากหมึกฮัมโบลต์ หมึกฮัมโบลต์จัดเป็นหมึกอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานและบริโภคกันอย่างมากเช่นเดียวกับหมึกและมอลลัสคาชนิดอื่น ๆ มีมูลค่าในการตลาดสูงมาก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย มีอัตราการส่งออกสูงถึง 500,000 ตัน ในแต่ละปี
หมึกฮัมโบลต์อยู่ในสกุลใด
{ "answer": [ "Dosidicus" ], "answer_begin_position": [ 296 ], "answer_end_position": [ 305 ] }
3,316
546,550
แมงมุมทารันทูล่า แมงมุมทารันทูล่า ( ; ภาษาไทยถิ่นอีสาน: เบิ้ง) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Theraphosidae เป็นแมงมุมที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณกว่า 350 ล้านปีมาแล้ว โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างร่างกายน้อยมาก มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับแมงมุมท้องปล้อง แต่ทารันทูล่าจะไม่เหลือปล้องบริเวณท้องอีกแล้ว ทารันทูล่าทั่วไปเป็นแมงมุมขนาดใหญ่ มีขายาว และมีลักษณะเด่นคือ มีเส้นขนจำนวนมากขึ้นอยู่ตามตัวและขา เห็นได้ชัดเจน ส่วนมากมีสีสันหรือลวดลายที่สดใส พบได้ทั่วไปทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ทะเลทราย, ทุ่งหญ้า หรือในถ้ำที่มืดมิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบร้อนชื้น หรืออุณหภูมิแบบป่าดิบชื้น ยกเว้นขั้วโลกเท่านั้นลักษณะ ลักษณะ. ทารันทูล่ามีขนาดแตกต่างหลากหลายออกไป ตั้งแต่ 2.5 เซนติเมตร จนถึง 33 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 160 กรัม (แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 6 นิ้ว หรือ 15 เซนติเมตร) จัดเป็นแมงมุมที่มีอายุขัยยาวนานกว่าแมงมุมจำพวกอื่น โดยมีอายุยาวนานถึง 15-20 ปี โดยทั่วไปแล้ว ทารันทูล่า มีประสาทสายตาที่ไม่ค่อยจะดี จึงใช้ขนตามตัวเป็นตัวจับแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถทำให้ทารันทูล่ารับรู้ได้แม้กระทั่งทิศทาง หรือระยะห่างของวัตถุการแบ่งประเภท การแบ่งประเภท. ทารันทูล่า แบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกใหญ่ ๆ ตามประเภทของการอยู่อาศัย คือ อาศัยอยู่บนต้นไม้ กับขุดรูอาศัยอยู่ในดิน ประเภทที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้จะสร้างใยอย่างหนาแน่น หรืออาศัยอยู่ตามโพรงหรือซอกหลืบของต้นไม้ หรือแม้กระทั่งสร้างใยไว้ระหว่างกิ่งไม้ รูปร่างลักษณะของทารันทูล่าประเภทนี้จะแตกต่างจากทารันทูล่าที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน คือ มีลำตัวไม่ใหญ่หรืออ้วนเทอะทะมากนัก แต่จะมีรูปร่างเพรียวยาว มีขาที่ยาว และปลายขาจะมีแบนใหญ่กว่า เพราะต้องการพื้นผิวสัมผัสที่มากกว่าเพื่อประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว ซึ่งทาทันทูล่าที่อาศัยบนต้นไม้จะมีการเคลื่อนที่ที่ว่องไวปราดเปรียวกว่าที่อยู่อาศัย ที่อยู่อาศัย. ส่วนประเภทที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน จะขุดดินเป็นรูลึกประมาณ 30-45 เซนติเมตร หรือเสาะแสวงหาโพรง ภายในรูมีใยฉาบอยู่โดยรอบ เพื่อป้องกันดินรอบ ๆ พังทลายลงมา ซึ่งใยรอบ ๆ ปากรูนี้จะไม่มีความเหนียวหรือเหมาะแก่การจับเหยื่อเลย แต่มีไว้เพื่อป้องกันการพังทลายของรูมากกว่า และช่วยป้องกันมิให้มีสัตว์หรือสิ่งใด ๆ มารบกวน ภายนอกของรูก็มักมีใยอยู่บริเวณรอบ ๆ ด้วย บางชนิดจะสร้างใยจนล้นออกมานอกบริเวณปากรู และปากรูมักจะสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ หากใยขาดก็จะซ่อมแซมใหม่ทันที โดยปกติแล้ว ทารันทูล่าเป็นแมงมุมที่รักความสะอาด หากมีเศษชิ้นส่วนต่าง ๆ ตกลงไปในรู หรือเศษอาหารที่กินเหลือ ก็จะคาบมาทิ้งไว้ข้างนอกทันทีชนิด ชนิด. ปัจจุบัน มีการค้นพบทารันทูล่าแล้วกว่า 900 ชนิด และก็ยังมีชนิดที่ค้นพบใหม่อยู่เรื่อย ๆ สำหรับในประเทศไทยก็มีทารันทูล่าอาศัยอยู่ประมาณ 4 ชนิด คือ บึ้งดำ (Haplopelma minax) จัดเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าว, บึ้งสีน้ำเงิน (H. lividum) มีขนาดย่อมลงมา มีสีน้ำเงินเข้มตลอดทั้งตัว มีสีสันสวยงาม มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวเช่นเดียวกัน, บึ้งลาย หรือ บึ้งม้าลาย (H. albostriatum) เป็นชนิดที่พบได้น้อยที่สุด มีลวดลายตามขาอันเป็นที่มาของชื่อ มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว แต่น้อยกว่า 2 ชนิดแรก และบึ้งสีน้ำตาล (Chilobrachys huahini) มีสีน้ำตาลอมแดง มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าว เช่นเดียวกัน และยังมีอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้มีการค้นพบหรือระบุชื่อทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ในประเทศไทย. ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เช่น ภาคกลาง หรือภาคอีสาน รวมถึงในประเทศใกล้เคียง เช่น กัมพูชา จะนิยมจับทารันทูล่ามารับประทานกัน หรือนำมาแกล้มสุรา โดยถือเป็นอาหารพื้นบ้าน โดยมักจะนำมาปิ้งหรือย่าง ด้วยการขุดรู มีรสชาติคล้ายกับกุ้งหรือปู มีความหอมมัน แต่ทว่าไม่มีเปลือกแข็ง และทารันทูล่าในอีกหลายชนิดก็นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆวัฒนธรรม วัฒนธรรม. ในวรรณกรรม หรือวัฒนธรรมร่วมสมัย มีทารันทูล่า หรือบึ้ง อ้างอิงถึงเป็นจำนวนมาก อาทิ Wild Wild West ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดแนวไซไฟแฟนตาซี ในปี ค.ศ. 1999, The Lord of the Rings ตอน The Return Of The King หรือในวรรณกรรมเรื่อง ลูกอีสาน ที่กล่าวถึงความแร้นแค้นของคนในชนบทอีสาน ที่ต้องขุดบึ้งกิน เอามาทำลาบ โดยเชื่อว่าหากบึ้งตัวไหนมี 10 ขา จะเรียกว่า "บึ้งบ้า" ไม่สามารถนำมากินได้ เพราะจะทำให้เป็นบ้า เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อของไทยอีก เช่น ถ้าบึ้งขึ้นบ้านจะถือว่าโชคร้าย คนในบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ หรือเชื่อว่า หากพบเห็นรูบึ้งหันไปทางทิศตะวันออก จะนำมาซึ่งโชคลาภ เป็นต้น
แมงมุมทารันทูล่าในภาษาไทยถิ่นอีสานเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "เบิ้ง" ], "answer_begin_position": [ 147 ], "answer_end_position": [ 152 ] }
3,317
102,842
ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์) ต้มยำกุ้ง () เป็นภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ที่นำแสดงโดย ทัชชกร ยีรัมย์ หรือ จา พนม ผลงานการกำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว ออกฉายในวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2548 ในประเทศไทย ภาพยนตร์ทำรายได้ในประเทศไทย 183.35 ล้านบาทเรื่องย่อ เรื่องย่อ. การเดินทางข้ามโลกของ ขาม (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและพ่อของเขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก จ่ามาร์ค (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและปลา (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งค์มาเฟียที่นำโดย มาดามโรส (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง จอห์นนี่ (จอห์นนี่ เหงียน) และ ทีเค (นาธาน โจนส์) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ "แม่ไม้มวยไทยโบราณ" ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ "ตำนานมวยคชสาร"นักแสดงนักแสดง. - ทัชชกร ยีรัมย์ รับบทเป็น ขาม - เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา รับบทเป็น จ่ามาร์ค - จิน ซิง รับบทเป็น มาดามโรส - จอห์นนี่ เหงียน รับบทเป็น จอห์นนี่ - นาธาน โจนส์ รับบทเป็น ทีเค - บงกช คงมาลัย รับบทเป็น ปลา - เดวิด อัศวนนท์ รับบทเป็น ริค - ลาธีฟ คราวเดอร์ รับบทเป็น นักสู้คาโปเอร่า - สิริลภัส กองตระการ รับบทเป็น กุ้ง - จอน ฟู รับบทเป็น นักสู้วูซูรางวัลในประเทศไทย รางวัลในประเทศไทย. ตารางสาขารางวัลที่ได้เข้าชิงรางวัล สีเขียวคือได้รับรางวัล สีแดงคือได้รับการเสนอชื่อแต่พลาดรางวัลไปเกี่ยวกับภาพยนตร์เกี่ยวกับภาพยนตร์. - The Protector เป็นชื่อในสหรัฐอเมริกา ส่วน Warrior King เป็นชื่อใน สหราชอาณาจักร
ภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้เรื่องต้มยำกุ้งนำแสดงโดยใคร
{ "answer": [ "จา พนม" ], "answer_begin_position": [ 189 ], "answer_end_position": [ 195 ] }
3,318
102,842
ต้มยำกุ้ง (ภาพยนตร์) ต้มยำกุ้ง () เป็นภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ที่นำแสดงโดย ทัชชกร ยีรัมย์ หรือ จา พนม ผลงานการกำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว ออกฉายในวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2548 ในประเทศไทย ภาพยนตร์ทำรายได้ในประเทศไทย 183.35 ล้านบาทเรื่องย่อ เรื่องย่อ. การเดินทางข้ามโลกของ ขาม (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและพ่อของเขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก จ่ามาร์ค (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและปลา (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งค์มาเฟียที่นำโดย มาดามโรส (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง จอห์นนี่ (จอห์นนี่ เหงียน) และ ทีเค (นาธาน โจนส์) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ "แม่ไม้มวยไทยโบราณ" ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ "ตำนานมวยคชสาร"นักแสดงนักแสดง. - ทัชชกร ยีรัมย์ รับบทเป็น ขาม - เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา รับบทเป็น จ่ามาร์ค - จิน ซิง รับบทเป็น มาดามโรส - จอห์นนี่ เหงียน รับบทเป็น จอห์นนี่ - นาธาน โจนส์ รับบทเป็น ทีเค - บงกช คงมาลัย รับบทเป็น ปลา - เดวิด อัศวนนท์ รับบทเป็น ริค - ลาธีฟ คราวเดอร์ รับบทเป็น นักสู้คาโปเอร่า - สิริลภัส กองตระการ รับบทเป็น กุ้ง - จอน ฟู รับบทเป็น นักสู้วูซูรางวัลในประเทศไทย รางวัลในประเทศไทย. ตารางสาขารางวัลที่ได้เข้าชิงรางวัล สีเขียวคือได้รับรางวัล สีแดงคือได้รับการเสนอชื่อแต่พลาดรางวัลไปเกี่ยวกับภาพยนตร์เกี่ยวกับภาพยนตร์. - The Protector เป็นชื่อในสหรัฐอเมริกา ส่วน Warrior King เป็นชื่อใน สหราชอาณาจักร
ใครคือผู้กำกับภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้เรื่องต้มยำกุ้ง
{ "answer": [ "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" ], "answer_begin_position": [ 213 ], "answer_end_position": [ 228 ] }
3,319
342,618
มนต์ชัย ศิริลัทพร มนต์ชัย ศิริลัทพร เป็นเจ้าของนามปากกา ซ่อนกลิ่น นักเขียนโรมานซ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2514 ที่กรุงเทพมหานคร จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มเขียนเรื่อง หิมพานต์ เป็นเรื่องแรก และไปโพสต์ลงในเว็บเด็กดี ในปี พ.ศ. 2547 มีผลงานเล่มแรกคือ 615 รหัสมรณะ โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ มีผลงานที่สร้างเป็นละครโทรทัศน์ คือ ดวงใจอัคนี เคยทำงานเป็นวิศวกรบริษัท แต่ปัจจุบันลาออกมารับงานเป็นวิศวกร ฟรีแลนซ์ที่มาของนามปากกา ที่มาของนามปากกา. เดิมใช้ชื่อจริงเป็นนามปากกา แต่เมื่อได้เขียนนิยายแนวโรแมนซ์ จึงเปลี่ยนเป็น ซ่อนกลิ่น โดยคิดว่าจะหานามปากกาที่มันออกแนวๆดอกไม้ จึงนึกขึ้นได้ว่าเคยเขียนดอกไม้ดอกหนึ่งเป็นปริศนาในหนังสือเรื่องแรกคือ ดอกซ่อนกลิ่น และนำมาเป็นนามปากกาผลงานผลงาน. 1. 615 รหัสมรณะ 2. ลิขิตรัก ทะเลทรายเลือด 3. เชลยแค้น 4. ทาสรักทะเลทราย 5. เงาพิศวาสทะเลทราย 6. ชี้คหัวใจเถื่อน 7. ป่ามรณะ 8. เพลิงแค้นซ่อนรัก 9. เจ้าหญิงทะเลทราย 10. คลื่นร้างพรางรัก 11. ซีรีส์ชุดบ้านไร่ปลายฝัน เรื่อง ดวงใจอัคนี 12. จุมพิตฟาโรห์ 13. ทรายเลื่อมมุก 14. ซีรีส์ชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เรื่อง เล่ห์บ่วงมนตรา 15. ทายาทบัลลังก์อสูร 16. โจรกรรมรัก คดีมงกุฎเพชร 17. ตราบาปสามหัวใจ 18. ซีรีส์ชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ เรื่อง คุณชายรัชชานนท์ 19. ซีรีส์ชุด แวมไพร์บาร์เทอรส์ เรื่อง เจ้าเวหา 20. แสงตะวันพระจันทร์แรม เขียนร่วมกับ ณารา 21. จอมโจรแดนเถื่อน 22. องครักษ์แดนเถื่อน 23. โจรกรรมรัก เล่ม 2 ตอน ตะลุยโลกมหัศจรรย์ เขียนร่วมกับ วาริส, อุมาริการ์, นภาสรร, อิสย่าห์, เก้าแต้ม,แพรณัฐ, ร่มแก้ว 24. ซีรีส์นิยายชุด The Cupids บริษัทรักอุตลุด เรื่อง ซ่อนรักกามเทพ 25. 30 วันเพื่อรัก 30 ปีเพื่อรอ 26. เดิมพันหัวใจเจ้าชายชีค 27. ต่างขั้วหัวใจเดียว เขียนร่วมกับ ณารา 28. ปาฏิหาริย์รักไม่เคยเลือน 29. ซีรีส์นิยายชุด ดวงใจเทวพรหม เรื่อง ลออจันทร์ผลงานที่ผลิตเป็นละครโทรทัศน์ผลงานที่ผลิตเป็นละครโทรทัศน์. 1. ซีรีส์ชุด บ้านไร่ปลายฝัน เรื่อง ดวงใจอัคนี 2. ซีรีส์ชุด The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เรื่อง เล่ห์บ่วงมนตรา 3. ซีรีส์ชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ เรื่อง คุณชายรัชชานนท์ 4. ซีรีส์ชุด The Cupids บริษัทรักอุตลุด เรื่อง ซ่อนรักกามเทพ
มนต์ชัย ศิริลัทพร ผู้เขียนนวนิยายเรื่องดวงใจอัคนี มีนามปากกาว่าอะไร
{ "answer": [ "ซ่อนกลิ่น" ], "answer_begin_position": [ 148 ], "answer_end_position": [ 157 ] }
3,320
411,982
วงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง วงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง () เป็นวงศ์ของงูมีพิษวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colubridae นับเป็นวงศ์ของงูที่มีปริมาณสมาชิกในวงศ์มากที่สุด ด้วยมีมากมายถึงเกือบ 300 สกุล และมีทั้งหมดในปัจจุบัน (ค.ศ. 2014) 1,938 ชนิด และจำแนกออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 12 วงศ์ (ดูในตาราง) โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Colubridae รูปร่างโดยรวมของงูในวงศ์นี้คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟันชนิดที่ต่างกันไป แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ aplyph, opisthoglyph, proteroglyph ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัล-กระดูกพาไรทัล-กระดูกพาราสฟีนอยด์ ขากรรไกรล่างไม่มีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟัน ไม่มีกระดูกเชิงกราน ไม่มีปิดข้างซ้ายหรือมีแต่ก็น้อยมาก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน โดยรวมแล้วพิษของงูในวงศ์นี้เมื่อเทียบกับงูพิษวงศ์อื่นแล้ว เช่น วงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) หรือวงศ์งูหางกระดิ่ง (Viperidae) นับว่ามีพิษร้ายแรงน้อยกว่ามาก หรือบางชนิดก็ไม่มีพิษเลย คำว่า "Colubridae" ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้น มาจากภาษาละตินว่า "" แปลว่า "งู"
วงศ์ของงูที่มีปริมาณสกุลงูมากที่สุดคือวงศ์ใด
{ "answer": [ "งูพิษเขี้ยวหลัง" ], "answer_begin_position": [ 118 ], "answer_end_position": [ 133 ] }
3,321
97,353
เด่นชัย สายสุพรรณ เด่นชัย สายสุพรรณ เป็นนักร้องลูกทุ่งชายชาวสุพรรณที่สร้างนักร้องลูกทุ่งชื่อดังมามากมาย เด่นชัยอยู่ในวงการเพลงมานานกว่า 20 ปี มีผลงานเพลงดังมากมายประวัติ ประวัติ. เด่นชัย สายสุพรรณ ชื่อจริงของเขาคือ ชินพรรธน์ ธันยวิโรจน์ เป็นชาวบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2507 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม เป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เล็ก ชอบไปร้องเพลงในงานบวชงานแต่ง แต่ค่อนข้างขี้อาย หลังจากเรียนจบก็ทำงานรับราชการ ในช่วงวันหยุดดูรายการประกวดการขับร้องเพลง 4 ภูมิภาคของศูนย์ดนตรีวาทินี ทางช่อง 11 จึงลองส่งเทปบันทึกเสียงไป ปรากฏว่าถูกเรียกตัวเข้ามาแข่ง และก็กวาดชัยชนะเรื่อยมา และเป็นผู้ชนะเลิศในปี 2536 ทั้งประเภทคะแนนกรรมการ และคะแนนจากการโหวตของผู้ชม โดยเพลงที่เขาใช้ประกวดจนได้รับรางวัลในวันนั้น คือเพลง คาถามหานิยม ของยอดรัก สลักใจ หลังจากนั้น เด่นชัยได้ถูกทาบทามให้มาเป็นนักร้องคนแรกในสังกัดของวอเนอร์มิวสิก ซึ่งเพิ่งมาเป็นสาขาในประเทศไทย และผลงานเพลงแรกของเจา คือเพลง พี่ไม่ดังนางไม่มอง และได้ออกผลงานกับทางวอเนอร์ มิวสิกอยู่ 4 ชุด เมื่อหมดสัญญา ก็ย้ายมาอยู่กับ บ็อกซิ่งซาวด์ ซึ่งตอนนั้นก็มีอาภาพร นครสวรรค์ อยู่ด้วย บวกกับความที่เด่นชัยมีบุคลิกที่ทะเล้นน่ารัก เด่นชัยจึงหันมาดังกับ แนวกุ๊กกิ๊ก เพลงแนวผัวเมีย แนวเอาใจคนมีอายุ เป็นต้น เมื่อเริ่มร้องเพลง "ดีแล้วครับ" แก้กับเพลง "เลิกแล้วค่ะ" ของอาภาพรที่กำลังดังอย่างสุด ๆ ในตอนนั้น เด่นชัยออกงานเพลงกับต้นสังกัดใหม่อยู่ราว 4 ชุด ก่อนจะย้ายมาออกกำลังค่ายนพพรโปรโมชั่นอีก 1 ชุด และสร้างชื่อเสียงให้กับเด่นชัยด้วยเพลงน่ารักๆ อย่าง เพลง จังหวัดขาดรัก และยังมีเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่ติดหูคนฟังอีกมากมาย รวมไปถึงค่ายโฟร์เอสและมีผลงานกับสังกัดชวนชม โปรโมชั่น อาทิ อัลบั้มชุด เด่นดำทำดี ลำนำรักสลักใจ ซึ่งมีการนำเพลงของยอดขุนพลเพลงลูกทุ่งอย่าง ยอดรัก สลักใจมาขบร้องใหม่ โดยมีความพิเศษ คือการแต่งกลอนเกริ่นไปในตอนต้นของบทเพลงด้วย และล่าสุดมีเด่นชัยมีผลงานเป็นซิงเกิ้ลออกมาให้หายคิดถึงกัน คือเพลง จังหวัดไม่ขาดรัก ทำไมถึงแก่ยังงี้ และมีรักมีทุกข์ ที่ประพันธ์ขึ้นโดยเทวดาเพลงอย่างครชลธี ธารทอง และปัจจุบันเด่นชัย ได้มีการทำวงรำวงย้อนยุค โดยใช้ชื่อว่า รำวงร่วมสมัย เด่นชัย สายสุพรรณ ประกอบไปด้วยเพลงสนุกสนาน อาทิ ตบให้ตาย คนกินแดด ผัวหัวหงอก พี่ไม่ดังนางไม่มอง กลองยาวเด่นชัย อิจฉาตายาย ไม่มีดีกว่า เสี่ยวอีสาน ไอ้หนุ่มเรืออวน และ ลอยลมบน ให้แฟนๆหายคิดถึงกันอีกด้วยผลงานเพลงผลงานเพลง. - พี่ไม่ดังนางไม่มอง (2537) - เกิดมาหล่อ (2540) - ดีแล้วครับ (2541) - โห่ทั้งน้ำตา (ตุลาคม 2545) - มีเมียตอนแก่ (2548)ผลงานเพลงดังผลงานเพลงดัง. - จังหวัดขาดรัก - ไม่หย่าก็บ้าแล้ว - สุขสันต์วันเศร้า - ดีแล้วครับ - พี่ไม่ดังนางไม่มอง
เด่นชัย สายสุพรรณ มีชื่อจริงว่าอะไร
{ "answer": [ "ชินพรรธน์ ธันยวิโรจน์" ], "answer_begin_position": [ 305 ], "answer_end_position": [ 326 ] }
3,322
97,353
เด่นชัย สายสุพรรณ เด่นชัย สายสุพรรณ เป็นนักร้องลูกทุ่งชายชาวสุพรรณที่สร้างนักร้องลูกทุ่งชื่อดังมามากมาย เด่นชัยอยู่ในวงการเพลงมานานกว่า 20 ปี มีผลงานเพลงดังมากมายประวัติ ประวัติ. เด่นชัย สายสุพรรณ ชื่อจริงของเขาคือ ชินพรรธน์ ธันยวิโรจน์ เป็นชาวบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2507 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม เป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เล็ก ชอบไปร้องเพลงในงานบวชงานแต่ง แต่ค่อนข้างขี้อาย หลังจากเรียนจบก็ทำงานรับราชการ ในช่วงวันหยุดดูรายการประกวดการขับร้องเพลง 4 ภูมิภาคของศูนย์ดนตรีวาทินี ทางช่อง 11 จึงลองส่งเทปบันทึกเสียงไป ปรากฏว่าถูกเรียกตัวเข้ามาแข่ง และก็กวาดชัยชนะเรื่อยมา และเป็นผู้ชนะเลิศในปี 2536 ทั้งประเภทคะแนนกรรมการ และคะแนนจากการโหวตของผู้ชม โดยเพลงที่เขาใช้ประกวดจนได้รับรางวัลในวันนั้น คือเพลง คาถามหานิยม ของยอดรัก สลักใจ หลังจากนั้น เด่นชัยได้ถูกทาบทามให้มาเป็นนักร้องคนแรกในสังกัดของวอเนอร์มิวสิก ซึ่งเพิ่งมาเป็นสาขาในประเทศไทย และผลงานเพลงแรกของเจา คือเพลง พี่ไม่ดังนางไม่มอง และได้ออกผลงานกับทางวอเนอร์ มิวสิกอยู่ 4 ชุด เมื่อหมดสัญญา ก็ย้ายมาอยู่กับ บ็อกซิ่งซาวด์ ซึ่งตอนนั้นก็มีอาภาพร นครสวรรค์ อยู่ด้วย บวกกับความที่เด่นชัยมีบุคลิกที่ทะเล้นน่ารัก เด่นชัยจึงหันมาดังกับ แนวกุ๊กกิ๊ก เพลงแนวผัวเมีย แนวเอาใจคนมีอายุ เป็นต้น เมื่อเริ่มร้องเพลง "ดีแล้วครับ" แก้กับเพลง "เลิกแล้วค่ะ" ของอาภาพรที่กำลังดังอย่างสุด ๆ ในตอนนั้น เด่นชัยออกงานเพลงกับต้นสังกัดใหม่อยู่ราว 4 ชุด ก่อนจะย้ายมาออกกำลังค่ายนพพรโปรโมชั่นอีก 1 ชุด และสร้างชื่อเสียงให้กับเด่นชัยด้วยเพลงน่ารักๆ อย่าง เพลง จังหวัดขาดรัก และยังมีเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่ติดหูคนฟังอีกมากมาย รวมไปถึงค่ายโฟร์เอสและมีผลงานกับสังกัดชวนชม โปรโมชั่น อาทิ อัลบั้มชุด เด่นดำทำดี ลำนำรักสลักใจ ซึ่งมีการนำเพลงของยอดขุนพลเพลงลูกทุ่งอย่าง ยอดรัก สลักใจมาขบร้องใหม่ โดยมีความพิเศษ คือการแต่งกลอนเกริ่นไปในตอนต้นของบทเพลงด้วย และล่าสุดมีเด่นชัยมีผลงานเป็นซิงเกิ้ลออกมาให้หายคิดถึงกัน คือเพลง จังหวัดไม่ขาดรัก ทำไมถึงแก่ยังงี้ และมีรักมีทุกข์ ที่ประพันธ์ขึ้นโดยเทวดาเพลงอย่างครชลธี ธารทอง และปัจจุบันเด่นชัย ได้มีการทำวงรำวงย้อนยุค โดยใช้ชื่อว่า รำวงร่วมสมัย เด่นชัย สายสุพรรณ ประกอบไปด้วยเพลงสนุกสนาน อาทิ ตบให้ตาย คนกินแดด ผัวหัวหงอก พี่ไม่ดังนางไม่มอง กลองยาวเด่นชัย อิจฉาตายาย ไม่มีดีกว่า เสี่ยวอีสาน ไอ้หนุ่มเรืออวน และ ลอยลมบน ให้แฟนๆหายคิดถึงกันอีกด้วยผลงานเพลงผลงานเพลง. - พี่ไม่ดังนางไม่มอง (2537) - เกิดมาหล่อ (2540) - ดีแล้วครับ (2541) - โห่ทั้งน้ำตา (ตุลาคม 2545) - มีเมียตอนแก่ (2548)ผลงานเพลงดังผลงานเพลงดัง. - จังหวัดขาดรัก - ไม่หย่าก็บ้าแล้ว - สุขสันต์วันเศร้า - ดีแล้วครับ - พี่ไม่ดังนางไม่มอง
ใครคือผู้ร้องเพลงลูกทุ่งที่มีชื่อว่า ดีแล้วครับ ซึ่งเป็นเพลงแก้ของเพลง เลิกแล้วค่ะ ของอาภาพร นครสวรรค์
{ "answer": [ "เด่นชัย สายสุพรรณ" ], "answer_begin_position": [ 108 ], "answer_end_position": [ 125 ] }
3,323
8,257
อาณาจักร อาณาจักร () หมายถึง เขตแดนที่อยู่ในอำนาจปกครองของประเทศหนึ่ง อาจจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ฝ่ายอาณาจักรฝ่ายอาณาจักร. - จักรวรรดิ เขตปกครองที่มีจักรพรรดิเป็นประมุข เช่น จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ - รัฐร่วมประมุข (ไม่ใช่ United Kingdom) คือรัฐอิสระมากกว่าสองรัฐขึ้นไปที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันพรมแดน กฎหมาย และนโยบายของแต่ละอาณาจักรในกลุ่มยังคงเป็นอิสระต่อกัน จึงมิใช่การรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน เช่น สหราชอาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนีย หรือสหราชอาณาจักรคาลมาร์ - ราชอาณาจักร - อาณาบริเวณที่ปกครองโดยประมุขที่เป็นพระราชา - อาณาจักรซาร์ (Tsardom) - อาณาบริเวณที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “ซาร์” เช่น “อาณาจักรซาร์รัสเซีย” ที่มี “ซาร์แห่งรัสเซีย” เป็นประมุข - ประเทศราช สามนตราช เมืองขึ้น รัฐบรรณาการ หรืออาณาจักรในเครือ (Vassal) - เช่น เคาน์ตีตริโปลีที่ขึ้นกับราชอาณาจักรเยรูซาเลม - นครรัฐ (City state) - เมืองหรือนครที่มีฐานะเป็นรัฐอิสระ มีประมุขของตนเอง เช่นนครรัฐวาติกัน หรือนครรัฐอันสบาค ซึ่งเป็นนครรัฐในเครือรัฐภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ - จักรพรรดินครอิสระ (Free imperial city) - นครที่ปกครองโดยจักรพรรดิอย่างเป็นทางการโดยตรง แทนที่จะปกครองโดย “เจ้าชายแห่งจักรวรรดิ” () ที่อาจจะเป็นดยุก หรือเจ้าชายมุขนายก - อาร์ชดัชชี (archduchy) - อาณาเขตในการปกครองของอาร์ชดยุก - แกรนด์ดัชชี (Grand duchy) - อาณาเขตที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “แกรนด์ดยุก” หรือ “แกรนด์ดัชเชส” เช่น “แกรนด์ดัชชีเมคเลนบูร์ก-ชเตรลิทซ์” ที่มี “แกรนด์ดยุกแห่งเมคเลนบูร์ก” เป็นประมุข - พรินซิพาลิตี (principality) - อาณาเขตในปกครองของเจ้าชายหรือเจ้าหญิง เช่น ราชรัฐแอนติออก - ดัชชี (Duchy) - อาณาเขตที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “ดยุก” เช่น “ดัชชีเบอร์กันดี” ที่มี “ดยุกแห่งเบอร์กันดี” เป็นประมุข - ราชรัฐ เป็นคำที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติให้ใช้เรียกชื่อรัฐเอกราชที่ในปัจจุบันมีฐานะเป็น "แกนด์ดัชชี" (ประเทศลักเซมเบิร์ก) และ "พรินซิพาลิตี" (ประเทศลิกเตนสไตน์และประเทศโมนาโก) (ดูเพิ่มเติม) รวมถึง "อาร์ชดัชชี" และ "ดัชชี" () - อาณาจักรชายแดน หรืออาณาจักรมาร์ช หรือรัฐมาร์เกรฟ (March หรือ Margrave) - อาณาเขตที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “มาร์ควิส” หรือ “มาร์เกรฟ” เช่น รัฐมาร์เกรฟโมราเวีย (March of Moravia) หรือ รัฐมาร์เกรฟไมเซิน (Margraviate of Meissen) รัฐมาร์เกรฟมีฐานะสูงกว่าเคาน์ตีแต่ต่ำกว่าดัชชี หรืออาจจะหมายถึงอาณาเขตแดนเช่นภูมิภาคชายแดนเวลส์ (Welsh Marches) หรือ ภูมิภาคชายแดนฮิสปาเนีย (Marca Hispanica) - อาณาจักรเอิร์ล (Earldom) - อาณาบริเวณที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “เอิร์ล” เช่น “อาณาจักรเอิร์ลแห่งอารันเดล” ที่มี “เอิร์ลแห่งอารันเดล” เป็นประมุขเช่นจอห์น ฟิทซแอแลนที่ 7 เอิร์ลแห่งอารันเดล - เคาน์ตี (County) - (โบราณ) อาณาเขตที่ปกครองโดย “เคานต์” เช่น “เคาน์ตีเอเดสซา” ที่มี “เคานต์แห่งเอเดสซา” เป็นประมุข เช่น บอลวินด์ที่ 1 เคานต์แห่งเอเดสซา - รัฐเคาะลีฟะฮ์ (Caliphate) - อาณาบริเวณระดับอาณาจักรที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “เคาะลีฟะฮ์” เช่น “รัฐเคาะลีฟะฮ์กอร์โดบา - รัฐสุลต่าน (Sultanate) - อาณาบริเวณที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “สุลต่าน” เช่น “รัฐสุลต่านรูม” - รัฐข่าน (Khanate) - อาณาบริเวณที่ปกครองโดยประมุขที่มีตำแหน่งเป็น “ข่าน” เช่น “รัฐข่านอาวาร์” - รัฐเดสปอต (Despotate) - อาณาจักรระดับหนึ่งที่ใช้กันในจักรวรรดิไบแซนไทน์ เช่น “รัฐเดสปอตเอพิรอส”ฝ่ายคริสตจักรฝ่ายคริสตจักร. - เขตมุขนายก (Bishopric) - ปกครองโดย “มุขนายก” (Bishop) - เขตอัครมุขนายก (Archbishopric) - ปกครองโดย “อัครมุขนายก” (Archbishop) - เขตมุขนายกผู้ครองนคร (Prince-Bishopric) - ปกครองโดย “เจ้าชายมุขนายก” (Prince-Bishop)ความหมายอื่นความหมายอื่น. - ประเทศในเครือจักรภพ (dominion) - ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน - รัฐ - เขตแดนที่อยู่ในอำนาจปกครองของประเทศ - อาณาจักร (ชีววิทยา) (kingdom) - อาณาจักรเป็นหมวดหมู่ที่กว้างที่สุดในการศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต
เมืองหรือนครที่มีฐานะเป็นรัฐอิสระและมีประมุขของตนเองเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "นครรัฐ" ], "answer_begin_position": [ 914 ], "answer_end_position": [ 920 ] }
3,324
809,864
ขี้ไก่ย่าน ขี้ไก่ย่าน เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง แสงส่องถึง และมีความอุดมสมบูรณ์ของดินมาก สามารถปรับตัวได้แม้ว่าดินจะมีความอุดมสมบูรณ์น้อย เมล็ดสามารถกระจายได้ไกลโดยอาศัยลม ในการออกดอกหนึ่งครั้งสามารถผลิตเมล็ดได้จำนวนมากกว่า 20,000 - 40,000 เมล็ดโดยประมาณประวัติ ประวัติ. ขี้ไก่ย่าน มีถิ่นกำเนิดทางอเมริกาใต้ ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าได้แพร่ระบาดเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใดลักษณะลักษณะ. - ต้น ไม้ล้มลุกเลื้อย ลำต้นสูง 7 ม. มีขน เกลี้ยง หรือมีขนนุ่มเล็กน้อย - ใบ จะออกตรงข้ามกัน รูปไข่แกมสามเหลี่ยม กว้าง 1.5-6 ซ.ม. ยาว 3-10 ซ.ม. ตรงปลาย ใบจะแหลมเรียว โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบจัก เป็นซี่ฟันหยาบๆ ผิวเกลี้ยง - ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นกระจุก ริ้วประดับ บาง ค่อนข้างจะโปร่งใส กลีบดอกสีขาว แกมเขียว ยาว 4-5 มม. โคนเชื่อมติดกัน ตรงปลายแยกออกเป็น 5 แฉก อับเรณูสี เทาอมน้ำเงินอ่อน หรือสีดำอมเทา ท่อเกสร ตัวเมียสีขาว - ผล ถ้าแห้ง จะมีสีน้ำตาลเข้ม มีต่อมระยางค์แข็งจำนวนมากยาว 3-4 มม. ผลอ่อนสีขาว ถ้าแห้งเป็นสีแดงการรุกรานสถานการณ์การรุกรานในไทย การรุกราน. สถานการณ์การรุกรานในไทย. ขี้ไก่ย่านเป็นวัชพืชประเภทใบกว้างอายุหลายปี ลำต้นเป็นเถายาวเลื้อยคลุมพันธุ์ไม้อื่น พบขึ้นทั่วไปในสภาพดินชื้น แพร่กระจายในแหล่งปลูกพืชยืนต้นและที่รกร้างว่างเปล่า ลักษณะของความเสียหาย แก่งแย่งธาตุอาหารและน้ำ กับพืชปลูกและปกคลุมไม้ต้นหรือไม้พุ่มจนขาดแสงแดดและตายไป พบขี้ไก่ย่านได้ทั่วประเทศ ยังไม่มีการระบาดรุนแรง แต่พบมีการระบาดเล็กน้อย ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้สถานการณ์การรุกรานในต่างประเทศ สถานการณ์การรุกรานในต่างประเทศ. ขี้ไก่ย่าน เป็นวัชพืชที่แพร่กระจายในเขตร้อน เติบโตอย่างรวดเร็ว และปกคลุมพืชชนิดอื่นๆ ในประเทศเนปาล ขี้ไก่ย่านบุกรุกเข้าไปในอุทยานแห่งชาติชิดวัน( Chitwan National Park) โดยขี้ไก่ย่านปกคลุมมากกว่า 20% ของพื้นที่อุทยาน ทำให้เกิดปัญหาต่อพืชชนิดอื่นในพื้นที่มีการต่อต้านการแพร่กระจายของขี้ไก่ย่านในหลายๆประเทศ โดยการใช้ herbicides 2,4-D 2,4,5-T และ paraquat นอกจากนี้ยังมีการใช้ศัตรูตามธรรมชาติของขี้ไก่ย่านในรัฐอัสสัมและศรีลังกา เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของขี้ไก่ย่านสาเหตุที่ถูกจัดเป็นสายพันธุ์รุกรานร้ายแรง สาเหตุที่ถูกจัดเป็นสายพันธุ์รุกรานร้ายแรง. เนื่องจากย่านขี้ไก่มักการแพร่กระจายพบขึ้นทั่วไปในสภาพดินชื้น และยังขึ้นเลื้อยคลุมพรรณไม้อื่นทำให้ไม้ได้รับผลกระทบจากการ ขาดแสงสว่างในการสังเคราะห์ด้วยแสง
ต้นขี้ไก่ย่านมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปใด
{ "answer": [ "อเมริกาใต้" ], "answer_begin_position": [ 458 ], "answer_end_position": [ 468 ] }
3,325
809,864
ขี้ไก่ย่าน ขี้ไก่ย่าน เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง แสงส่องถึง และมีความอุดมสมบูรณ์ของดินมาก สามารถปรับตัวได้แม้ว่าดินจะมีความอุดมสมบูรณ์น้อย เมล็ดสามารถกระจายได้ไกลโดยอาศัยลม ในการออกดอกหนึ่งครั้งสามารถผลิตเมล็ดได้จำนวนมากกว่า 20,000 - 40,000 เมล็ดโดยประมาณประวัติ ประวัติ. ขี้ไก่ย่าน มีถิ่นกำเนิดทางอเมริกาใต้ ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าได้แพร่ระบาดเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใดลักษณะลักษณะ. - ต้น ไม้ล้มลุกเลื้อย ลำต้นสูง 7 ม. มีขน เกลี้ยง หรือมีขนนุ่มเล็กน้อย - ใบ จะออกตรงข้ามกัน รูปไข่แกมสามเหลี่ยม กว้าง 1.5-6 ซ.ม. ยาว 3-10 ซ.ม. ตรงปลาย ใบจะแหลมเรียว โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบจัก เป็นซี่ฟันหยาบๆ ผิวเกลี้ยง - ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นกระจุก ริ้วประดับ บาง ค่อนข้างจะโปร่งใส กลีบดอกสีขาว แกมเขียว ยาว 4-5 มม. โคนเชื่อมติดกัน ตรงปลายแยกออกเป็น 5 แฉก อับเรณูสี เทาอมน้ำเงินอ่อน หรือสีดำอมเทา ท่อเกสร ตัวเมียสีขาว - ผล ถ้าแห้ง จะมีสีน้ำตาลเข้ม มีต่อมระยางค์แข็งจำนวนมากยาว 3-4 มม. ผลอ่อนสีขาว ถ้าแห้งเป็นสีแดงการรุกรานสถานการณ์การรุกรานในไทย การรุกราน. สถานการณ์การรุกรานในไทย. ขี้ไก่ย่านเป็นวัชพืชประเภทใบกว้างอายุหลายปี ลำต้นเป็นเถายาวเลื้อยคลุมพันธุ์ไม้อื่น พบขึ้นทั่วไปในสภาพดินชื้น แพร่กระจายในแหล่งปลูกพืชยืนต้นและที่รกร้างว่างเปล่า ลักษณะของความเสียหาย แก่งแย่งธาตุอาหารและน้ำ กับพืชปลูกและปกคลุมไม้ต้นหรือไม้พุ่มจนขาดแสงแดดและตายไป พบขี้ไก่ย่านได้ทั่วประเทศ ยังไม่มีการระบาดรุนแรง แต่พบมีการระบาดเล็กน้อย ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้สถานการณ์การรุกรานในต่างประเทศ สถานการณ์การรุกรานในต่างประเทศ. ขี้ไก่ย่าน เป็นวัชพืชที่แพร่กระจายในเขตร้อน เติบโตอย่างรวดเร็ว และปกคลุมพืชชนิดอื่นๆ ในประเทศเนปาล ขี้ไก่ย่านบุกรุกเข้าไปในอุทยานแห่งชาติชิดวัน( Chitwan National Park) โดยขี้ไก่ย่านปกคลุมมากกว่า 20% ของพื้นที่อุทยาน ทำให้เกิดปัญหาต่อพืชชนิดอื่นในพื้นที่มีการต่อต้านการแพร่กระจายของขี้ไก่ย่านในหลายๆประเทศ โดยการใช้ herbicides 2,4-D 2,4,5-T และ paraquat นอกจากนี้ยังมีการใช้ศัตรูตามธรรมชาติของขี้ไก่ย่านในรัฐอัสสัมและศรีลังกา เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของขี้ไก่ย่านสาเหตุที่ถูกจัดเป็นสายพันธุ์รุกรานร้ายแรง สาเหตุที่ถูกจัดเป็นสายพันธุ์รุกรานร้ายแรง. เนื่องจากย่านขี้ไก่มักการแพร่กระจายพบขึ้นทั่วไปในสภาพดินชื้น และยังขึ้นเลื้อยคลุมพรรณไม้อื่นทำให้ไม้ได้รับผลกระทบจากการ ขาดแสงสว่างในการสังเคราะห์ด้วยแสง
ผลอ่อนของต้นขี้ไก่ย่านมีสีอะไร
{ "answer": [ "ขาว" ], "answer_begin_position": [ 1033 ], "answer_end_position": [ 1036 ] }
3,326
891,276
ธนาณัติ ธนาณัติ () เป็นเอกสารหรือตราสารซึ่งที่ทำการไปรษณีย์ต้นทาง หรือธนาคารในบางประเทศ ออกเป็นสำคัญว่าได้รับเงินพร้อมค่าธรรมเนียมแล้ว ผู้ขอออกสามารถส่งให้ผู้รับนำไปขึ้นเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางหรือธนาคารได้ การส่งธนาณัติจะกระทำด้วยวิธีไปรษณีย์ภาคพื้น วิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่นที่ปลอดภัยก็ได้ ธนาณัติมีลักษณะคล้ายตั๋วสัญญาใช้เงิน เว้นแต่แทนที่สัญญาจะจ่ายเงิน ก็จะเป็นบังคับให้ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดตราบที่ธนาณัตินั้นยังไม่สิ้นสภาพ ธนาณัติมีความคล้ายคลึงกับเช็คที่ออกโดยธนาคารหรือแคชเชียร์เช็ค ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รูปแบบของธนาณัติที่ออกโดยไปรษณีย์จะคล้ายคลึงกับเช็ค คือสามารถจ่ายให้แก่ผู้รับที่มีชื่ออยู่ หรือตัวผู้ฝากเองก็ได้หากต้องการไถ่ถอน นอกจากนี้สามารถสั่งมิให้จ่ายเป็นเงินสดโดยการขีดเส้นขนานไว้บนธนาณัตินั้น ธนาณัติฉบับใดมีเส้นขนานขีดไว้ ต้องโอนเงินเข้าสู่บัญชีเงินฝากของผู้รับหรือใช้ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคที่ไปรษณีย์ก็ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีตัวเลือกนี้ในประเทศไทยเนื่องจากความซับซ้อนของการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ธนาณัติมักจำกัดจำนวนเงินฝากส่งอย่างสูงไว้เพื่อความปลอดภัย ตามไปรษณียนิเทศ จำนวนนี้เป็นไปตามที่บริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด (ปณท.) กำหนดไว้ คือ 50,000 บาท ในขณะที่บริษัทไปรษณีย์อังกฤษกำหนดไว้ที่ 250 ปอนด์สเตอร์ลิง ส่วนบริษัทไปรษณีย์สหรัฐกำหนดไว้ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ธนาณัติไทยมีข้อกำหนดในเรื่องอายุของธนาณัติที่จะนำไปขึ้นเงินได้ คือ ธนาณัติที่มีอายุไม่เกิน 4 เดือน นับถัดจากเดือนที่ออก สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที หากเกินกว่านั้น ปณท. จะประกาศให้ผู้รับหรือผู้ฝากมาติดต่อขอรับเงินโดยยื่นคำร้องตามที่กำหนด หากพ้นจากนั้น 1 ปี ธนาณัตินั้นก็จะสิ้นสภาพไม่สามารถนำมาขึ้นเงินได้อีก ในขณะที่ธนาณัติของสหรัฐอเมริกาจะไม่มีการสิ้นสภาพตราบที่ไม่มีการขูดลบหรือยกเลิก
ตราสารซึ่งที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางออกเพื่อให้ผู้รับนำไปขึ้นเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "ธนาณัติ" ], "answer_begin_position": [ 90 ], "answer_end_position": [ 97 ] }
3,327
149,802
ฝ้า ฝ้า เป็นสภาพผิวหนังของใบหน้าที่มีปื้นเป็นสีคล้ำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนเม็ดสีที่ผิวหนังซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเป็นฝ้าแต่ผู้ชายก็เป็นฝ้าได้หากตากแดดมากเกินไป วัยที่เริ่มเป็นฝ้า ได้แก่ วัยกลางคน พบเป็นกันมากในประเทศเขตร้อนเพราะได้รับแสงแดดมากกว่าที่อื่น ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน คือฝ้าที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์หรือในช่วงที่กินยาคุมกำเนิด เมื่อหมดการกระตุ้นจากฮอร์โมนตามที่กล่าวมาฝ้าที่เป็นอยู่ก็จะหายขาดไปเอง รวมถึงการแพ้เครื่องสำอางบางอย่างอาจทำให้เกิดฝ้าดำขึ้นได้ ฝ้าที่เกิดใหม่มักเป็นชนิดตื้น เกิดจากการที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้ามีจำนวนเม็ดสีเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเป็นไปนาน ๆ ก็มีโอกาสกลายเป็นฝ้าลึก ซึ่งเกิดจากการเพิ่มของเม็ดสีในชั้นหนังแท้ สีฝ้าจะคล้ำเข้มมากขึ้น และรักษาให้หายยากการรักษา การรักษา. การทายาที่มีตัวยาไฮโดรควิโนน หรือกรดวิตามินเอ พวกนี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี สารในกลุ่มไวเทนนิ่ง เช่น กรดโคจิก ชาเขียว ชาขาว ซึ่งจะมีพิษน้อยกว่าในกลุ่มที่เป็นยา แต่ประสิทธิภาพในการรักษายังไม่แน่นอน เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุนชัดเจน การรักษาด้วยเทคโนโลยี เช่น การทำเลเซอร์ด้วย คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ต้องระวัง เพราะมีผลข้างเคียงสูงบางคนทำแล้วหายก็จริง แต่ผิวที่ขึ้นใหม่จะคล้ำเป็นรอยดำ ซึ่งเกิดจากรอยแผลของการทำเลเซอร์ ส่วนการรักษาฝ้าด้วยวิธีไอออนโตหรือโฟโตนั้นยังไม่เป็นการรักษาที่ยอมรับในระดับสากล หากจะใช้วิธีการักษาดังกล่าวต้องใช้ควบคู่กับการทายาด้วยจึงจะได้ผล
ฝ้าเกิดจากการเพิ่มจำนวนเม็ดสีที่ผิวหนังซึ่งถูกกระตุ้นด้วยอะไร
{ "answer": [ "แสงแดด" ], "answer_begin_position": [ 184 ], "answer_end_position": [ 190 ] }
3,328
54,117
สะพานติณสูลานนท์ สะพานติณสูลานนท์ เป็นสะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทย อยู่ในอำเภอเมืองสงขลา และอำเภอสิงหนคร โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำกระจาย อำเภอเมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อำเภอสิงหนคร ความยาวของสะพาน 2 ช่วงแรก 940 เมตร และ 1,700 เมตร ตามลำดับ รวมเป็น 2,640 เมตร ก่อสร้างขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จุดประสงค์ของการสร้างสะพานแห่งนี้ คือ การรองรับการคมนาคมทางรถยนต์ โดยไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์ซึ่งมีไม่เพียงพอกับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การเดินทางต้องใช้เวลานาน ทั้งเมื่อข้ามฝั่งมาแล้วก็ยังทำให้การจราจรติดขัดในตัวเมืองอีกด้วย ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลจึงมีนโยบายจะพัฒนาจังหวัดสงขลา และอำเภอหาดใหญ่ให้เป็นเมืองหลัก โดยกรมทางหลวงเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัทจากประเทศไต้หวันเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง เปิดให้ใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2527 สะพานติณสูลานนท์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 408 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 414 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 407 (สงขลา-หาดใหญ่) ชาวจังหวัดสงขลานิยมเรียกสะพานนี้ติดปากว่า "สะพานป๋าเปรม" "สะพานติณ" หรือ "สะพานเปรม" และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัด
สะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทยคือสะพานใด
{ "answer": [ "ติณสูลานนท์" ], "answer_begin_position": [ 111 ], "answer_end_position": [ 122 ] }
3,329
650,293
เมแกน เทรนเนอร์ เมแกน อลิซาเบธ เทรนเนอร์ () เป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เริ่มต้นการแสดงดนตรีครั้งแรกให้กับวงท้องถิ่น และเป็นนักแต่งเพลงกับค่ายบิ๊กเยลโลด็อกมิวสิค ก่อนที่เธอจะมาจดสัญญากับค่ายเพลงอีพิกเรเคิดส์ พร้อมกับปล่อยซิงเกิล "All About That Bass" ที่สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 จนเธอกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายประวัติชีวิตในวัยเด็กและเริ่มต้นสู่อาชีพศิลปิน ประวัติ. ชีวิตในวัยเด็กและเริ่มต้นสู่อาชีพศิลปิน. เทรนเนอร์เกิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1993 ที่เกาะแนนทัคเก็ต ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรสาวคนโต มีบิดาชื่อแกรี และมารดาชื่อเคลลี่ เทรนเนอร์ เธอมีน้องชาย 2 คนคือ ไรอัน และจัสติน เทรนเนอร์เริ่มต้นสร้างเพลงตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และหัดแต่งเพลงแรกตอนอายุ 11 ขวบ โดยพ่อแม่ของเธอได้ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ตอนอายุ 13 ปี และสร้างสตูดิโอในบ้านไว้ให้เธอได้อัดเพลง เทรนเนอร์เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในแนนทัคเก็ต จนกระทั่งครอบครัวของเธอย้ายมาที่เคปค้อด เธอจึงจำเป็นต้องเข้าเรียนที่เนาเซตไฮสกูล (Nauset Regional High School) ที่ไฮสกูลเธอได้เรียนรู้ทั้งการร้องเพลง การเล่นกีตาร์ และเล่นทรัมเป็ตในวงแจ๊ส นอกจากนี้เธอยังได้เรียนกับจอห์นนี สปามปินาโต สมาชิกวงเดอะสปามปินาโตบราเธอร์ เธอได้เริ่มแสดงดนตรีโดยเป็นนักกีตาร์ คียบอร์ด และร้องให้กับวงท้องถิ่นชื่อ "ไอแลนด์ ฟิวชัน" เป็นเวลา 4 ปี เมื่อเทรนเนอร์มีอายุครบ 17 ปี เธอได้ถูกแนะนำโดยอัล แอนเดอร์สัน สมาชิกวงเอ็นอาร์บีคิว ให้คาร์ลา วอลเลซ เจ้าของร่วมและผู้จัดการทั่วไปของค่ายบิ๊กเยลโลด็อกมิวสิค รู้จัก จนเธอได้เข้ามาเซ็นสัญญาเป็นนักแต่งเพลงกับค่ายของวอลเลซหลังจากวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 18 ปีของเทรนเนอร์ได้ไม่นาน ต่อมาในปี ค.ศ. 2011 ระหว่างที่เธอยังเรียนอยู่ที่ไฮสกูล เทรนเนอร์ได้เขียนเพลงและได้ปล่อยอัลบั้มแรกของเธอ "I'll Sing With You" ในวันที่ 31 มกราคม และอัลบั้ม "Only 17" ในวันที่ 14 กันยายน หลังจากนั้นเธอเดินทางไปกับทริปเขียนเพลงที่ลอสแอนเจลิส, นครนิวยอร์ก และแนชวิลล์ และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แนชวิลล์ตอนอายุ 19 ปี เทรนเนอร์มีผลงานเขียนเพลงให้กับ ซาบรีนา คาร์เพนเตอร์, แรสคอล แพลตส์, อาร์ไฟฟ์ และศิลปินอีกมากมายAll About That Bass และ Title All About That Bass และ Title. ระหว่างทริปของเทรนเนอร์ เธอได้พบกับเควิน คาดิช ผู้เคยได้เข้ารับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ทั้งสองได้ร่วมกันเขียนเพลง "All About That Bass" ในปี ค.ศ. 2014 โดยทางค่ายบิ๊กเยลโลด็อกมิวสิคบอกกับเธอว่า "มันคือเพลงที่ดีและมีศิลปินน้อยคนนักที่จะร้องเพลงนี้ได้" จนเมื่อแอล.เอ. เรด ประธานกรรมการและซีอีโอของค่ายอีพิกเรเคิดส์ ได้ยินดีโมของเพลงนี้จากเธอ จึงได้พาไปเซ็นสัญญากับค่ายของเขา และได้ปล่อยซิงเกิลนี้ในฐานะศิลปินเดี่ยว ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2014 "All About That Bass" เป็นเพลงแรกของเทรนเนอร์ที่สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และชาร์ตอีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย, แคนาดา, เดนมาร์ก และนิวซีแลนด์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสร้างประวัติศาสตร์บนชาร์ตของสหราชอาณาจักร โดยเป็นเพลงแรกที่ทำสตรีมส์อะโลนสู่ Official Singles Chart Top 40 ในยอดขาย 1.17 ล้านสตรีมส์ ต่อมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2014 เทรนเนอร์ได้ปล่อยอีพีแรกของเธอชื่อว่า "Title" ซึ่งสามารถทำยอดขาย 21,000 แผ่น ในวีคแรกบนชาร์ตบิลบอร์ด 200ผลงานอัลบั้มสตูดิโออัลบั้มผลงานอัลบั้ม. สตูดิโออัลบั้ม. - I'll Sing with You (2011) - Only 17 (2011)อีพีอีพี. - Title (2014) - Thank You(2015)
เมแกน เทรนเนอร์ กับเควิน คาดิช สองนักร้องชาวอเมริกันร่วมกันเขียนเพลงอะไรในปี 2014
{ "answer": [ "All About That Bass" ], "answer_begin_position": [ 2191 ], "answer_end_position": [ 2210 ] }
3,330
155,928
พระเจ้าฮโยจง พระเจ้าฮโยจง ( ; พ.ศ. 2162 ถึง พ.ศ. 2202) เป็นกษัตริย์องค์ที่ 17 (พ.ศ. 2192 ถึง พ.ศ. 2202) แห่งราชวงศ์โชซอน ในรัชสมัยของพระองค์โชซอนต้องทำสงครามกับรัสเซียตามคำขอของราชวงศ์ชิง และทรงมีแผนการที่จะบุกจีนแก้แค้นสงครามกับแมนจูแต่สิ้นพระชนม์เสียก่อนองค์ประกันของราชวงศ์ชิง องค์ประกันของราชวงศ์ชิง. เมื่อองค์ชายนึงยางพระบิดาได้รับบัลลังก์ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอินโจในพ.ศ. 2166 ด้วยการยึดอำนาจของฝ่ายตะวันตก พระโอรสทั้งสองก็ได้เข้าวังและได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาทโซฮย็อนและองค์ชายพงนิม แต่นโยบายที่เข้าข้างราชวงศ์หมิงของฝ่ายตะวันตกทำให้โชซอนต้องทำสงครามกับราชวงศ์ชิง ในพ.ศ. 2170 ถึง พ.ศ. 2179 ผลคือโชซอนตกเป็นเมืองขึ้นของแมนจูต้องส่งบรรณาการให้ และองค์ชายทั้งสองต้องไปเป็นตัวประกันที่เมืองเสิ่นหยาง บ่อยครั้งที่หวงไท่จี๋สั่งให้องค์ชายทั้งสองช่วยรบกับมองโกล แต่องค์ชายพงนิมทรงเห็นว่าพระชนม์ชีพขององค์ชายโซฮย็อนนั้นสำคัญ เพราะจะต้องทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป องค์ชายพงนิมจึงออกรบแทนพระเชษฐาอยู่หลายครั้ง พ.ศ. 2187 ราชวงศ์ชิงยึดปักกิ่งได้ องค์ชายทั้งสองก็ได้เดินทางไปประทับทับที่ปักกิ่ง ซึ่งองค์ชายโซฮย็อนได้พบกับอดัมส์ แชล มิชชันนารีชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการเผยแพร่อารยธรรมตะวันตกในจีน องค์ชายโซฮย็อนทรงประทับใจในวิทยาการตะวันตกต่างๆ เมื่อทรงกลับไปยังโชซอนในพ.ศ. 2188 ก็ทรงขัดแย้งกับพระเจ้าอินโจ ซึ่งทรงมีความคิดอนุรักษนิยม จนองค์ชายโซฮย็อนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอินโจทรงรับสั่งให้จัดการพิธีศพอย่างรวดเร็วและกล่าวหาชายาขององค์ชายโซฮย็อนว่าเป็นฆาตกรและสั่งประหาร นักประวัติศาสตร์คาดว่าพระเจ้าอินโจน่าจะทรงเป็นผู้สังหารเอง เมื่อพระเจ้าอินโจสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2192 องค์ชายพงนิมจึงกลับมาโชซอน ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าฮโยจงอิทธิพลของซงชียอล อิทธิพลของซงชียอล. การเป็นองค์ประกันในจีนทำให้พระเจ้าฮโยจงทรงคิดแค้นพวกแมนจู จึงทรงวางแผนที่จะบุกราชวงศ์ชิงโดยเริ่มจากการสะสมกำลังทัพและอาวุธต่างๆ สร้างป้อมปราการตามริมแม่น้ำยาลู ทรงเรียงพระอาจารย์ซงชียอลจากฝ่ายตะวันตก ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการบุกราชวงศ์ชิงมารับราชการ ซงชียอลยึดมั่นในหลักการขงจื้อของจูจื่อ ปราชญ์สมัยราชวงศ์ซ่ง ว่าเป็นหลักการที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว หากใครกล้าติเตียนหรือขัดแย้งกับหลักการของจูจื่อ จะถูกปลดจากต่ำแหน่งและเนรเทศ อิทธิพลของซงชียอลทำให้จูจื่อเป็นปราชญ์หนึ่งเดียวของโชซอนไปหลายร้อยปี และได้รับการนับถือมากกว่าตัวขงจื้อเองเสียอีก แต่ก็มีขุนนางฝ่ายใต้ที่เห็นว่าซงชียอลงมงายกับหลักการของจูจื่อมากเกินไป ภายใต้การนำของยุนฮยู ต่อต้านอำนาจของซงชียอลและฝ่ายตะวันตกแฮ็นดริก ฮาเมิล แฮ็นดริก ฮาเมิล. ในพ.ศ. 2196 แฮ็นดริก ฮาเมิล (Hendrick Hamel) พนักงานบัญชีบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา และลูกเรืออีก 30 กว่าคนถูกพายุพัดมาเกยฝั่งที่เกาะเชจูขณะกำลังเดินทางไปญี่ปุ่น ชาวโชซ็อนที่เห็นชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกต่างพากันหวาดกลัว ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายฮาเมิลน่าจะเป็นคนที่หวาดกลัวมากกว่า ขณะของฮาเมิลถูกพระเจ้าฮโยจงจับขังเป็นทาส และบังคับให้สร้างปืนเพื่อใช้รบกับแมนจู จนไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการปล่อยตัว ในพ.ศ. 2206 หลังจากถูกขังมา 13 ปี ฮาเมิลก็หลบหนีออกมาจากอาณาจักรฤๅษีนี้ได้สงครามกับรัสเซีย สงครามกับรัสเซีย. ในพ.ศ. 2197 ราชวงศ์ชิงขอให้โชซอนส่งทัพไปช่วยรบกับรัสเซีย กองทัพผสมจีนโชซอนชนะทัพรัสเซียในการรบที่ฮูตง และในพ.ศ. 2201 ชนะรัสเซียที่แม่น้ำซุงการี สงครามกับรัสเซียเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่ใช้กำลังพลเป็นจำนวนมากตลอดช่วงเวลาที่เหลือของราชวงศ์โชซอน พระเจ้าฮโยจงทรงวางแผนที่จะบุกจีน เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดในพระชนม์ชีพของพระองค์ แต่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อนในพ.ศ. 2202พระนามเต็ม พระนามเต็ม. สมเด็จพระราชา ฮโยจง แทโจ ฮุมชอน ดัลโด ควางก๊ก ฮงยอล ซอนมุน จางมู ซินซอง ฮโยนิน มยองอึย จองด็อก แห่งเกาหลีพระบรมวงศานุวงศ์พระบรมวงศานุวงศ์. - พระราชบิดา : พระเจ้าอินโจ - พระราชมารดา: สมเด็จพระราชินีอินรยอล ตระกูลฮัน แห่งชองจู (인렬왕후 한씨) - พระมเหสี- สมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู (인선왕후 장씨) - พระสนม- พระสนมอันบิน ตระกูลลี แห่งคยองจู (안빈 이씨) - พระสนมซุกอึย ตระกูลคิม(숙의 김씨) - พระสนมซุกวอน ตระกูลจอง (숙원 정씨) - พระราชโอรส- องค์ชายลียอน มกุฎราชกุมารแห่งโชซอน พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - พระราชธิดา- องค์หญิงซุกชิน (숙신공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกอัน (숙안공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกมยอง (숙명공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกฮวี (숙휘공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกจอง (숙정공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกคยอง (숙경공주) พระราชธิดาของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู - องค์หญิงซุกนยอง (숙녕옹주) พระราชธิดาของพระสนมอันบิน ตระกูลลี แห่งคยองจู - องค์หญิงอึยซุน (의순공주) พระธิดาบุญธรรมของสมเด็จพระราชินีอินซอน ตระกูลจาง แห่งท็อกซู
กษัตริย์องค์ที่ 17 แห่งราชวงศ์โชซอนของเกาหลีในอดีตมีพระนามว่าอะไร
{ "answer": [ "พระเจ้าฮโยจง" ], "answer_begin_position": [ 100 ], "answer_end_position": [ 112 ] }
3,331
795,492
สุสานหลวงหมิงเซี่ยว สุสานหลวงหมิงเซี่ยว ( Míng Xiào Líng; ) เป็นที่ฝังพระศพจักรพรรดิหงอู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง เริ่มก่อสร้างในรัชสมัยจักรพรรดิหงอู่ เมื่อปี ค.ศ. 1381 และมาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1405 ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ รวมเวลาทั้งสิ้น 24 ปี ใช้แรงงานในการก่อสร้างกว่า 100,000 คนและมีสิ่งสำคัญคือป้ายศิลาจารึกที่จักรพรรดิหย่งเล่อโปรดเกล้า ฯ ให้จารึกคำสรรเสริญพระเกียรติยศของจักรพรรดิหงอู่พระราชบิดากว่า 2,746 ตัวอักษร สุสานหลวงแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการสมัยที่ 24 ของยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2000 และได้มีการขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมเมื่อปี ค.ศ. 2003 และ ค.ศ. 2004
พระศพของจักรพรรดิหงอู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงฝังอยู่ที่ใดในจีน
{ "answer": [ "สุสานหลวงหมิงเซี่ยว" ], "answer_begin_position": [ 114 ], "answer_end_position": [ 133 ] }
3,332
120,590
วัดป่าดาราภิรมย์ วัดป่าดาราภิรมย์ ตั้งอยู่ที่ 514 ต.ริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับพระบรมราชานุญาตยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ นับได้ว่าเป็นพระอารามหลวงแห่งที่ 7 ในจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ด้านหลังที่ว่าการอำเภอแม่ริมและค่ายดารารัศมี นามของวัดนี้ถูกตั้งขึ้นตามพระนามของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาประวัติ ประวัติ. พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ได้ออกจาริกธุดงค์มาทางภาคเหนือและได้พำนัก ณ ป่าช้าร้างติดกับสวนเจ้าสบาย พระตำหนักดาราภิรมย์ของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นสถานที่สงบ เป็นสปายะในการบำเพ็ญกรรมฐาน และมีพระสงฆ์ได้เข้ามาบำเพ็ญกรรมฐาน ณ ที่แห่งนี้ เมื่อชาวบ้านในละแวกเห็นแล้วได้เกิดศรัทธาจึงได้ร่วมกันสร้างเสนาสนะต่างๆ ถวายเพื่อให้คณะสงฆ์ได้ใช้ในกิจการสงฆ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 เจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่ ทายาทของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ได้ถวายที่ดินดังกล่าวซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานพระตำหนักเจ้าดารารัศมีให้แก่วัด วัดป่าดาราภิรมย์ ได้ประกาศตั้งเป็นวัดวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2522 ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ปัจจุบัน พระราชวิสุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน (ธ.) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรม. - พระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปสุโขทัย พระนามว่า “พระสยัมภูโลกนาถ” - พระธาตุเจดีย์พระพุทธบาทสี่รอย ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง ศิลปสุโขทัยประยุกต์ พระนามว่า “พระพุทธการุญกิตติคุณขจร” - มณฑปพระเจ้าทันใจ มณฑปเป็นศิลปล้านนาแบบเชียงตุง ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปเชียงแสนสิงห์ - หอกิตติคุณ จัดสร้างในการฉลองชนมายุ 80 ปี พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมดิลก ภายในได้รวบรวมเกียรติประวัติ ของพระเดชพระคุณเจ้า - พระวิหารหลวง - หอพระแก้ว - หอพระกรรมฐาน
วัดป่าดาราภิรมย์ นับว่าเป็นพระอารามหลวงแห่งที่เท่าไรของจังหวัดเชียงใหม่
{ "answer": [ "7" ], "answer_begin_position": [ 276 ], "answer_end_position": [ 277 ] }
3,333
120,590
วัดป่าดาราภิรมย์ วัดป่าดาราภิรมย์ ตั้งอยู่ที่ 514 ต.ริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับพระบรมราชานุญาตยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ นับได้ว่าเป็นพระอารามหลวงแห่งที่ 7 ในจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ด้านหลังที่ว่าการอำเภอแม่ริมและค่ายดารารัศมี นามของวัดนี้ถูกตั้งขึ้นตามพระนามของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาประวัติ ประวัติ. พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ได้ออกจาริกธุดงค์มาทางภาคเหนือและได้พำนัก ณ ป่าช้าร้างติดกับสวนเจ้าสบาย พระตำหนักดาราภิรมย์ของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นสถานที่สงบ เป็นสปายะในการบำเพ็ญกรรมฐาน และมีพระสงฆ์ได้เข้ามาบำเพ็ญกรรมฐาน ณ ที่แห่งนี้ เมื่อชาวบ้านในละแวกเห็นแล้วได้เกิดศรัทธาจึงได้ร่วมกันสร้างเสนาสนะต่างๆ ถวายเพื่อให้คณะสงฆ์ได้ใช้ในกิจการสงฆ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 เจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่ ทายาทของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ได้ถวายที่ดินดังกล่าวซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานพระตำหนักเจ้าดารารัศมีให้แก่วัด วัดป่าดาราภิรมย์ ได้ประกาศตั้งเป็นวัดวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2522 ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ปัจจุบัน พระราชวิสุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน (ธ.) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรม. - พระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปสุโขทัย พระนามว่า “พระสยัมภูโลกนาถ” - พระธาตุเจดีย์พระพุทธบาทสี่รอย ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง ศิลปสุโขทัยประยุกต์ พระนามว่า “พระพุทธการุญกิตติคุณขจร” - มณฑปพระเจ้าทันใจ มณฑปเป็นศิลปล้านนาแบบเชียงตุง ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปเชียงแสนสิงห์ - หอกิตติคุณ จัดสร้างในการฉลองชนมายุ 80 ปี พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมดิลก ภายในได้รวบรวมเกียรติประวัติ ของพระเดชพระคุณเจ้า - พระวิหารหลวง - หอพระแก้ว - หอพระกรรมฐาน
ชื่อของวัดป่าดาราภิรมย์ ในจังหวัดเชียงใหม่ ถูกตั้งขึ้นตามพระนามของพระราชชายาในรัชกาลที่ 5 องค์ใด
{ "answer": [ "เจ้าดารารัศมี" ], "answer_begin_position": [ 381 ], "answer_end_position": [ 394 ] }
3,334
523,780
ชบา ชบา () เป็นพืชมีดอกในสกุล Hibisceae วงศ์ Malvaceae เป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออก ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประก์ มาเลเซีย ใช้เปลือกรากแช่ในน้ำข้ามคืนและดื่มขณะท้องว่างเพื่อรักษาฝีในวรรณกรรม ในวรรณกรรม. ชบาปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนพระรามลาสระภังคฤๅษ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1
ต้นชบาเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปใด
{ "answer": [ "เอเชียตะวันออก" ], "answer_begin_position": [ 151 ], "answer_end_position": [ 165 ] }
3,335
943,731
ภูริตา สุปินชุมภู ภูริตา สุปินชุมภู (ชื่อเล่น : น้ำหวาน) เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ปัจจุบันภูริตาเป็นนักแสดงในสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3ประวัติ ประวัติ. ภูริตา สุปินชุมภู ชื่อเดิม พิไลพร สุปินชุมภู เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 (ชื่อเล่น : น้ำหวาน) เป็นนักแสดงชาวไทย จบการศึกษาจาก สาขาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เริ่มต้นเข้าวงการบันเทิงจากการถ่ายโฆษณาและมีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อเรื่อง Love on the Rock รักหมดแก้ว รับบทเป็น ไฟเลี้ยว สาวสวย บุคคลิกเปรี้ยวจี๊ด ต่อมาในปี 2559 ภูริตาได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์ เรื่อง From Bangkok To Mandalay ถึงคน... ไม่คิดถึง เป็นภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่างไทย-เมียนมาร์ ถือเป็นผลงานโกอินเตอร์ของภูริตาทีเดียว จนกระทั่งล่าสุดภูริตามีผลงานละครเรื่องแแรกทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 คือเรื่อง Mister Merman แฟนฉันเป็นเงือกโดยรับบทเป็น ฟ้าฝน สาวสวยวัย 23 ปี ที่บังเอิญประสบอุบัติเหตุตกเรือกลางทะเลเข้า แต่เหมือนโชคชะตานำพาให้ 'ทะเล' เงือกหนุ่มเจ้าระเบียบเข้ามาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ และเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อฟ้าฝนพบว่าจู่ๆ ตนเองก็ได้กลายเป็นเงือกซะอย่างนั้น ทุกอย่างไม่ได้สวยหรูเหมือนนิทานที่เธอเคยเล่าให้เด็กๆ ฟัง เมื่อชีวิตการเป็นเงือกมันไม่ปลอดภัย นายเงือกมืออาชีพอย่างทะเลจึงก้าวเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับนางเงือกมือใหม่อย่างฟ้าฝน พ่วงด้วยภารกิจการสืบหาแล็บทดลองลับ และหาวิธีการทำให้ฟ้าฝนกลับไปเป็นมนุษย์ก่อนที่เธอจะสลายเป็นฟองไปภายในเวลา 2 เดือน... แสดงร่วมกับ ธารา ทิพา , วัทธิกร เพิ่มทรัพย์หิรัญ , วิชยุตม์ ลิ่มรัตนะมงคลผลงานละครโทรทัศน์ผลงาน. ละครโทรทัศน์. - ละครโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3ซีรีส์ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - (2557) Love on the Rocks รักหมดแก้ว รับบท ไฟเลี้ยว - (2559) From Bangkok to Mandalay ถึงคน...ไม่คิดถึง รับบท ปิ่นหนังสั้นหนังสั้น. - (2559) TEASER 15 นาที ประกอบมิวสิกวิดีโอเพลง หลุมรัก รับบท แอน - (2559) หนังสั้น โฆษณา Samsung Note 5 เลิกดีกว่าไหม? ถ้ามีแฟนแบบนี้ รับบท พิมพ์ - (2561) Love At First Sip the Movie รับบท มิลล์ (ภาพยนตร์สั้นประกอบโฆษณา Coffee mate Milky)มิวสิกวิดีโอเพลงเพลง. - ตัวลอย (Delight)
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ภูริตา สุปินชุมภู แสดงคือเรื่องใด
{ "answer": [ "Love on the Rock" ], "answer_begin_position": [ 552 ], "answer_end_position": [ 568 ] }
3,336
767,471
มณฑล (แบบจำลองทางรัฐศาสตร์) มณฑล () มีความหมายตามรากศัพท์ว่า "วงกลม" นักรัฐศาสตร์เลือกใช้คำว่ามณฑลเพื่ออธิบายลักษณะของอำนาจทางรัฐศาสตร์ในประวัติศาสตร์โบราณบนพื้นที่อุษาคเนย์ในยุคสมัยที่อำนาจท้องถิ่นมีความสำคัญหลักในการปกครอง ซึ่งมีจุดศูนย์กลางของอำนาจอยู่ที่เมืองหรือเกอดาตวน และแผ่กระจายสู่บริเวณโดยรอบ ทั้งนี้เพื่อให้ต่างออกไปจากกรอบคิดของคนในยุคปัจจุบันซึ่งให้ความสำคัญกับความเป็นเอกภาพของรัฐอย่างเช่นการปกครองแบบราชอาณาจักรรวมศูนย์ หรือรัฐสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากเทคโนโลยีแผนที่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 แนวคิดเรื่องมณฑลได้รับความสนใจจากวอลเตอร์ (1982) ซึ่งได้ให้คำจำกัดความไว้ว่าThe map of earlier Southeast Asia which evolved from the prehistoric networks of small settlements and reveals itself in historical records was a patchwork of often overlapping mandalas. แนวคิดนี้ถูกริเริ่มขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจกับรูปแบบการสร้างรัฐอำนาจบนดินแดนอุษาคเนย์ ตัวอย่างเช่น รูปแบบของสหพันธราชอาณาจักรอันมีอำนาจหลัก ณ ศูนย์กลางการปกครอง แนวคิดนี้พัฒนาขึ้นจากแนวคิดด้านการปกครองของอินเดียเพื่อเลี่ยงการใช้คำว่ารัฐในความหมายของรัฐสมัยใหม่ซึ่งมีพื้นฐานจากขนบการปกครองของจีนหรือยุโรปซึ่งมองว่าแผ่นดินเป็นจุดกำหนดรัฐและมีอาณาบริเวณที่กำหนดแน่นอนตายตัวโดยที่ทุกเขตการปกครองขึ้นตรงต่อส่วนกลาง ต่างจากแนวคิดของมณฑลที่มองว่าอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นถูกกำหนดโดยศูนย์กลางหลักเป็นสำคัญ ขอบเขตของอธิปไตยอาจครอบคลุมอาณาเขตของเมืองประเทศราชอื่นในลักษณะของการแผ่อำนาจ แต่จะไม่เข้าไปควบคุมดูแลกิจการภายในของเมืองประเทศราชนั้น ระบบอำนาจแบบมณฑลอาจเทียบได้กับระบบเจ้าขุนมูลนายของยุโรปในลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านครกับเมืองประเทศราช อย่างไรก็ดี หัวเมืองประเทศราชภายใต้ระบบอำนาจแบบมณฑลมีความเป็นเอกเทศมากกว่าในระบบเจ้าขุนมูลนาย ความสัมพันธ์เป็นไปในลักษณะส่วนตัวมากกว่าทางการ หัวเมืองที่เป็นประเทศราชหนึ่ง ๆ อาจอยู่ใต้อำนาจของหลายขั้วอำนาจใหญ่ในเวลาเดียวกันได้
ความหมายตามรากศัพท์ของคำว่า มณฑล คืออะไร
{ "answer": [ "วงกลม" ], "answer_begin_position": [ 164 ], "answer_end_position": [ 169 ] }
3,337
391,897
ปลาเกล็ดถี่ ปลาเกล็ดถี่ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thynnichthys thynnoides จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาลิ่นหรือปลาหัวโต (Hypophthalmichthys molitrix) ที่มีขนาดเล็ก กล่าวคือ หัวโต ตากลมโต ลำตัวเพรียวแบนข้างเล็กน้อย ไม่มีหนวด ปากเล็กอยู่ปลายสุดของส่วนหัว ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียดมาก มีสีเงินแวววาวเมื่อถูกแสงและหลุดร่วงได้ง่าย ที่บริเวณเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 58-65 เกล็ด ข้อหางคอด ปลายครีบหางเว้าลึก ครีบทุกครีบสีจางใส ที่ฝาปิดแผ่นเหงืออกมีจุดสีคล้ำ ส่วนท้องสีขาวจาง มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ชุกชุมอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย ไม่พบในลุ่มแม่น้ำสาละวิน และพบได้จนถึงคาบสมุทรมลายูและเกาะบอร์เนียว บางครั้งอาจพบปะปนอยู่กับกลุ่มปลาสร้อยด้วย โดยเฉพาะปลาสร้อยขาว (Henicorhynchus siamensis) อาจจะจำสับสนกันได้ เพราะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ปลาสร้อยขาวมีเกล็ดขนาดใหญ่กว่ามาก ปลาเกล็ดถี่เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น โดยมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น สร้อยเกล็ดถี่, นางเกล็ด, เรียงเกล็ด, ลิง, พรม เป็นต้น
ปลาเกล็ดถี่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไร
{ "answer": [ "Thynnichthys thynnoides" ], "answer_begin_position": [ 154 ], "answer_end_position": [ 177 ] }
3,338
2,892
ภาษาฮินดี ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่พูด ส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียเหนือและกลาง เป็นภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน อยู่ในกลุ่มย่อย อินโด-อิหร่าน มีวิวัฒนาการมาจากภาษาปรากฤต ในสาขาอินโด-อารยันกลาง ของยุคกลาง และมีวิวัฒนาการทางอ้อมจากภาษาสันสกฤต ภาษาฮินดีได้นำคำศัพท์ชั้นสูงส่วนใหญ่มาจากภาษาสันสกฤต นอกจากนี้ เนื่องจากอิทธิพลของชาวมุสลิมในอินเดียเหนือ ภาษาฮินดียังมีคำที่ยืมมาจากภาษาเปอร์เซีย ภาษาอาหรับ และ ภาษาตุรกี เป็นจำนวนมาก และในที่สุดได้ก่อให้เกิดภาษาอูรดูขึ้น สำหรับภาษา"ฮินดีมาตรฐาน" หรือ "ฮินดีแท้" นั้น มีใช้เฉพะการสื่อสารที่เป็นทางการ ขณะที่ภาษาซึ่งใช้ในชีวิตประจำวันในพื้นที่ส่วนใหญ่นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในภาษาถิ่นย่อย ของภาษาฮินดูสตานี ในแง่ความสัมพันธ์ทางภาษาศาสตร์นั้น ภาษาฮินดีและภาษาอูรดู ถือว่าเป็นภาษาเดียวกัน แตกต่างตรงที่ ภาษาฮินดีนั้นเขียนด้วยอักษรเทวนาครี (Devanāgarī) ขณะที่ภาษาอูรดูนั้น เขียนด้วยอักษรเปอร์เซียและอาหรับประวัติพัฒนาการของภาษาในอินเดียก่อนภาษาฮินดี ประวัติ. พัฒนาการของภาษาในอินเดียก่อนภาษาฮินดี. รูปภาษาโบราณของภาษาตระกูลอินโด-ยุโรป ในอินเดียนั้น พบอยู่ในภาษาสันสกฤตพระเวท ต่อมาปาณินิได้ตั้งกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ และจัดให้อยู่ในลักษณะแบบแผน สมัยอารยะของภาษายุคกลาง (500 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 1000) เริ่มขึ้นหลังจากสมัยอารยะของภาษายุคโบราณ (1500-500 ปีก่อนคริสตกาล) ในระยะที่หนึ่งของยุคนี้ภาษาบาลีได้พัฒนาขึ้นมา ในระยะที่สองภาษาปรากฤตได้พัฒนาขึ้น ในระยะสุดท้ายนั้นเรียกว่าระยะของภาษาอัปภรัญศ์(เศารเสนี มาคธี มหาราษฏรี) ภาษาในอินเดียปัจจุบันพัฒนาขึ้นจากภาษาอัปภรัญศ์นี้เอง เหตุที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาสันสกฤต ทำให้ในทางทฤษฎีของเสียง คำศัพท์ และไวยากรณ์ของภาษาในปัจจุบันเช่น ภาษาฮินดี ภาษามราฐี ภาษาคุชราต ภาษาเบงกาลี เป็นต้น มีความคล้ายคลึงกันมาก และภาษาสันสกฤตยังมีอิทธิพลต่อภาษากลุ่มดราวิเดียนด้วย อันมีสาเหตุจากความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมและการติดต่อสัมพันธ์กันมานับศตวรรษ และจะเห็นได้ว่าภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์เซีย และภาษาอังกฤษที่มาในรูปภาษาของผู้ปกครองนั้นมีอิทธิพลโดยทั่วไปต่อทุกภาษาในอินเดียการก่อตัวของภาษาฮินดี การก่อตัวของภาษาฮินดี. ภาษาฮินดีในรูปมาตรฐาน พัฒนาออกมาจากภาษาขาริโพลี ภาษาขาริโพลีนั้นยอมรับกันว่าคือภาษาท้องถิ่นภาษาหนึ่งของกลุ่มภาษาฮินดีตะวันตก ซึ่งพูดอยู่ในบริเวณเมืองนิวเดลฮี เมรัฐ บิชเนาร์ และสฮารันปุร รูปวรรณกรรมที่สละสลวยในภาษาขาริโพลีนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาฮินดียุคใหม่ การใช้ภาษาขาริโพลีในสมัยโบราณ พบในศตวรรษที่ 10 ใช้อย่างแพร่หลาย และมีระบบในงานวรรณกรรมของอมีร ขุสโร (ค.ศ. 1253-1325) รูปหนึ่งของภาษาขาริโพลีที่พัฒนาออกมาในศตวรรษที่ 16-17 ปรากฏในภาคใต้ เรียกว่า ภาษาทักขินี ในราชสำนักแห่งโมกุลนั้นใช้ภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซีย ในขณะที่การใช้ภาษาผสมผสานระหว่างภาษาขาริโพลี กับ ภาษาเปอร์เซีย ของเหล่าทหารและประชาชนทำให้เกิดภาษาอูรดู ภาษาและวรรณกรรมฮินดีพัฒนาขึ้นอย่างสำคัญในสมัยศตวรรษที่ 19 ในขบวนการเรียกร้องอิสรภาพ เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของชนทั้งประเทศ จึงยอมรับภาษาฮินดีหรือฮินดุสตานีในรูปภาษาของการสื่อสารระหว่างประชาชน ผู้นำทั้งหลายได้ใช้ภาษาฮินดีเพื่อสร้างความเข้าใจแก่มวลชน ก่อนหน้ายุคนี้ ในวรรณคดีภาษาฮินดีพบแต่วรรณกรรมประเภทร้อยกรองที่เขียนด้วย ภาษาพรัช และ ภาษาอวธี เท่านั้น แต่ในยุคนี้ ภารเตนดุ หริศจันดระ, อาจารยะ มหาวีร ประสาท ดวิเวดี, ดร.ศยามสุนดัร ดาส, เปรมจันด และประสาท เป็นต้น คือผู้จัดมาตรฐานให้แก่ภาษาฮินดีและแก่วรรณกรรมทั้งร้อยกรองและร้อยแก้วภาษาฮินดีในฐานะภาษาประจำชาติ ภาษาฮินดีในฐานะภาษาประจำชาติ. ภาษาฮินดีในรูปที่ได้รับการจัดมาตรฐานในปัจจุบัน นอกจากใช้ในงานวรรณกรรมแล้ว ยังใช้ในด้านการศึกษา วิทยาการ เทคโนโลยี และการปกครอง ภาษาฮินดีในรูปดังกล่าวจึงมีการออกเสียง การเขียนและโครงสร้างไวยากรณ์ที่เป็นแบบอย่างมาตรฐาน และในกรอบของรูปมาตรฐานนี้จึงมีความแตกต่างจากภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดกันในประเทศ ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2492 ภาษาฮินดีได้รับการยอมรับเป็นภาษาประจำชาติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดียส่วนที่ 17 หมวดที่ 1 มาตรา 343 บัญญัติให้ภาษาฮินดีเป็นภาษาประจำชาติและใช้อักษรเทวนาครี ในปัจจุบันภาษาฮินดีเป็นภาษาราชการของรัฐอุตตรประเทศ พิหาร มัธยประเทศ ราชสถาน หรยาณา หิมาจัลประเทศและกรุงเดลี สำหรับในรัฐปัญจาบ คุชราต มหาราษฏระ และหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ให้ภาษาฮินดีอยู่ในสถานะภาษาที่สองสำเนียงและการแพร่กระจายของภาษาฮินดี สำเนียงและการแพร่กระจายของภาษาฮินดี. ในสถานการณ์ของภาษาในประเทศอินเดียนั้น หนึ่งปัจเจกบุคคลสามารถพูดได้อย่างน้อยสองภาษาหรือหลายภาษา ก่อนอื่นในภูมิภาคที่พูดภาษาฮินดีนั้นในระดับต่างๆ พบภาษาพูด 4 รูปแบบ ดังนี้1. ภาษาสันสกฤตและภาษาอาหรับในพิธีการทางศาสนา 2. ภาษาฮินดี อังกฤษ และภาษาอูรดู ในการสื่อสารที่เป็นทางการ 3. ภาษาพรัช ภาษาอวธี ภาษาโภชปุรี ภาษาราชสถาน เป็นต้น ในการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการและในระดับครอบครัว 4. ภาษากัลกะติยา ภาษาบัมบะอิยา ภาษาไฮดราบะดี เป็นต้น ในระดับภาษาชาวบ้านสำหรับการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นกันเอง ผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาฮินดีแต่อาศัยอยู่ในภูมิภาคของภาษาฮินดี นอกจากการพูดภาษาแม่ของตนแล้ว อาจใช้ภาษาในลักษณะข้อที่ 2 และ 4 ประการเดียวกันนี้ผู้ที่พูดภาษาฮินดีแต่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่ไม่พูดภาษาฮินดี โดยทั่วไปแล้วอาจใช้ภาษาในลักษณะข้อที่ 2, 3 และ 4 ในเขตภูมิภาคของภาษาฮินดีนั้น ภาษาฮินดีใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันมากที่สุด เขตภูมิภาคของภาษาฮินดีคือในรัฐอุตระประเทศ พิหาร หริยาณา มัธยะประเทศ ราชัสถาน นิวเดลฮี และแผ่ไปจนถึงหิมาจัลประเทศ ในรัฐต่างๆ ที่กล่าวถึงนี้ มีภาษาท้องถิ่นใช้สื่อสารในระดับไม่เป็นทางการอีกด้วย ภาษาท้องถิ่นของภาษาฮินดีที่กำลังกล่าวถึง แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้- ฮินดีตะวันตก ในกลุ่มนี้มี 5 ภาษาท้องถิ่นคือ ภาษาบรัช, ภาษาขรีโบลี, ภาษาหริยนวี (บางกะรู), ภาษาบุนเดลี และภาษากันเนาจี - ฮินดีตะวันออก ในกลุ่มนี้มี 3 ภาษาท้องถิ่นคือ ภาษาอวธี ภาษาบเฆลี ภาษาฉัตตีสครห์ - ภาษาพิหาร ในกลุ่มนี้มี 3 ภาษาท้องถิ่นคือ ภาษาโภชปุรี ภาษามคธี ภาษาไมถิลี - ราชสถานี ในกลุ่มนี้มี ภาษาเมวรี ภาษามาร์วารี ภาษาหาเราตี ภาษาเมวาตี เป็นต้น - ปหารี ในกลุ่มนี้มี ภาษามัณฑิยาลี ภาษาคัรฮะวาลี ภาษากุมาอูนนี เป็นต้น ภาษาฮินดีไม่เพียงใช้พูดแต่ในรัฐที่เจ้าของภาษาฮินดีอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ยังใช้พูดทั่วทั้งประเทศอินเดีย ภาษาหลักและภาษาท้องถิ่นของภูมิภาคที่ต่างๆ กันนั้นจึงปรากฏอิทธิพลในภาษาฮินดี ด้วยเหตุนี้สำเนียงการออกเสียง การเขียน โครงสร้างและการใช้ จึงทำให้ภาษาฮินดีเริ่มพัฒนารูปที่ต่างออกไปมากมาย และเกิดปัญหายุ่งยากในการทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ในความหลากหลายนั้น หากพิจารณาลักษณะการใช้ จุดประสงค์ และภูมิภาคแล้ว ไม่ว่าภาษาใดๆจะปรากฏความหลากหลายของรูปแบบให้เห็น ในประเด็นทางภูมิภาคจะพบภาษาท้องถิ่นมากมาย ในประเด็นของจุดประสงค์พบรูปแบบภาษาที่หลากหลาย เช่นภาษาที่ใช้ในการติดต่อธนาคาร ในการกีฬา ในธุรกิจการค้าหรือในกิจการต่างๆ ในส่วนของลักษณะการใช้นั้นแบ่งออกได้เป็นแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ภาษาที่ประชาชนทั่วไปใช้ในการติดต่อสื่อสารกันเองคือตัวอย่างของภาษาที่ไม่เป็นทางการซึ่งมีเป็นร้อยๆ ชนิด และโดยทั่วไปในเมืองต่างๆ ก็มีการผสมกับอิทธิพลจากภาษาพูดหรือภาษาท้องถิ่นของเมืองนั้นๆ เช่น ภาษาฮินดีแบบเมืองนิวเดลฮี ภาษาฮินดีแบบเมืองมุมไบ(บัมบะอิยา) ภาษาฮินดีแบบเมืองกัลกัตตา(กัลกะติยา) ภาษาฮินดีแบบเมืองไฮดราบัด(ไฮดราบะดี) เป็นต้น รูปแบบภาษาที่นำไปใช้โดยทั่วไปแล้วจึงอยู่ในขอบเขตของลักษณะการใช้ จุดประสงค์และเขตภูมิภาคดังกล่าวมา ดังนั้นเมื่อเราจะกล่าวถึงภาษาในระดับชาติของอินเดียซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นรูปแบบที่แสดงความเป็นชาติแล้ว ภาษาในรูปที่เรากำลังกล่าวถึงนั้นเรียกว่าภาษามาตรฐานหรือภาษาที่เป็นทางการ ภาษาฮินดีมาตรฐานก็ได้รับความพยายามกระทำให้ถึงซึ่งเกียรติยศอันนั้นด้วยกระบวนการจัดมาตรฐาน ภาษาฮินดีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในรูปแบบเดียวกันตั้งแต่เหนือจดใต้ ตะวันออกจดตะวันตก ในประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายอย่างอินเดีย กระบวนการชำระและเปลี่ยนแปลงจึงยังคงดำเนินเรื่อยมาพร้อมๆ กับกาลเวลาที่ดำเนินไป เพื่อทำให้ภาษาฮินดีเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศอินเดียอีกทั้งทรงพละกำลังยิ่งขึ้น ทรงสิทธิโดยสมบูรณ์ และเป็นวิทยาการไวยากรณ์ ไวยากรณ์. ไวยากรณ์ของภาษาฮินดีมีความซับซ้อนมากกว่าภาษาอังกฤษมาก การเรียงประโยคเป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา ไม่มีคำบุพบทแต่ใช้คำปรบทแทนเพศ เพศ. คำนามในภาษาฮินดีแบ่งเป็น 2 เพศ คือ บุรุษลึงค์ และสตรีลึงค์ การกำหนดเพศนี้ใช้กับนามที่ไม่มีชีวิตด้วย เสียงสระท้ายคำจะช่วยบอกเพศของคำ คำยืมจากภาษาสันสกฤตจะกำหนดเพศเช่นเดียวกับภาษาสันสกฤต คำยืมจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซียจะถูกกำหนดเพศด้วย คำยืมจากภาษาอังกฤษมีการระบุเพศเหมือนกันแต่ไม่แน่นอนคำถาม คำถาม. คำสรรพนามแสดงคำถามโดยทั่วไปคือ ใคร (कौन) อะไร (क्या) ทำไม (क्यों) เมื่อใด (कब) ที่ไหน (कहां) อย่างไร (कैसे) มากเท่าใด (कितना) ชนิดใด (कैसा) คำว่า क्या ใช้เป็นตัวบ่งชี้คำถามในคำถามแบบใช่/ไม่ใช่ ได้ด้วยสรรพนาม สรรพนาม. คำสรรพนามทั้งสามบุรุษเป็นเพศเดียวกันหมด โดยการระบุเพศจะแสดงที่คำกริยา มีการกสำหรับคำสรรพนามสองการกคือประธานและความเป็นเจ้าของ คำสรรพนามบุรุษที่สองในภาษาฮินดี แบ่งตามระดับความสุภาพได้สามระดับคือ- आप เป็นทางการและแสดงความนับถือ ใช้เหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ - तुम ไม่เป็นทางการ ใช้กับผู้มีอายุหรือตำแหน่งต่ำกว่า - तूँ ไม่เป็นทางการอย่างมาก ใช้กับเพื่อนสนิท ภาษาฮินดีไม่มีคำนำหน้านามอย่างคำว่า the ในภาษาอังกฤษ ส่วน a/an ภาษาฮินดีใช้คำว่า एकแทนการเรียงคำ การเรียงคำ. การเรียงคำในประโยคเป็น ประธาน-กริยาวิเศษณ์-กรรมรองและคำขยาย-กรรมตรงและคำขยาย-คำแสดงคำถามหรือปฏิเสธ-กริยาและกริยาช่วย รูปปฏิเสธแสดงโดยการเติม नहीं(ไม่) ลงในประโยค หรือเติมคำนำหน้า ता ในบางการก คำคุณศัพท์มาก่อนคำนาม กริยาช่วยตามหลังกริยาหลักกาล กาล. กาลในภาษาฮินดีได้แก่ ปัจจุบันกาลไม่สมบูรณ์ ใช้กับเหตุการณ์ทั่วไปหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่พูด ปัจจุบันกำลังกระทำ อดีตกาลกำลังกระทำ อดีตกาลไม่สมบูรณ์ อดีตกาลสัมบูรณ์ นอกจากนี้มีประโยคในรูปคำสั่ง มีเงื่อนไข หรือเหตุการณ์สมมติ โดยปกติแล้วกาลและรูปแบบต่างๆแสดงในรูปกริยาช่วย ส่วนกริยาหลักแสดงจำนวนและเพศของคำนามการก การก. ภาษาฮินดีมีการผันคำน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างคำนามในประโยคแสดงด้วยปรบท คำนามมีสามการกคือการกตรง ไม่ใช้ปรบท มักเป็นประธานของประโยค การกรองใช้กับนามที่มีปรบทต่างๆกัน นามบางคำมีการกเรียกขานด้วย คำคุณศัพท์จะผันไปในทิศทางเดียวกับคำนาม
ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ในประเทศใดใช้สื่อสารกัน
{ "answer": [ "อินเดีย" ], "answer_begin_position": [ 130 ], "answer_end_position": [ 137 ] }
3,339
10,838
8 สิงหาคม วันที่ 8 สิงหาคม เป็นวันที่ 220 ของปี (วันที่ 221 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 145 วันในปีนั้นเหตุการณ์เหตุการณ์. - พ.ศ. 2329 (ค.ศ. 1786) - ดร. มิเชล กาเบรียล แพกการ์ด และ ฌาคส์ บัลมาต์ พิชิตยอดเขามองต์บลังค์บนเทือกเขาแอลป์ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก - พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สงครามโลกครั้งที่สอง: เยอรมันเริ่มยุทธการแห่งบริเตน โดยส่งฝูงบินไปทิ้งระเบิดเกาะอังกฤษ - พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - ประเทศภูฏานได้รับเอกราช - พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - พิธีวางศิลาฤกษ์วิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ สังกัด กระทรวงศึกษาธิการ ณ จังหวัดเชียงใหม่ - พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) - โทมัส เอดิสัน จดสิทธิบัตรเครื่องพิมพ์ปรุไข - พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ก่อตั้งขึ้นที่กรุงเทพมหานคร - พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - การก่อการกำเริบ 8888 ที่ประเทศพม่า - พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - พระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกาชาวไทยถูกฆ่าที่วัดพรหมคุณาราม เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา - พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - วันเปิดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 24 ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ณ ราชมังคลากีฬาสถาน - พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - วันเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงเป่ย์จิง ประเทศจีน ณ สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (สนามรังนก) - พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) - เกิตุเหตุจลาจลที่กรุงลอนดอนมีผู้ร่วมชุมนุม 500 คน ตำรวจบาดเจ็บ 35 นาย - พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - แบล็กพิงก์เปิดตัวครั้งแรกกับอัลบั้ม สแควร์วันวันเกิดวันเกิด. - พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) - จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย (สวรรคต 3 มิถุนายน พ.ศ. 2423) - พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) - เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2501) - พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - พอล ดิแรก นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 20 ตุลาคม พ.ศ. 2527) - พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) - จิมมี เมอร์ฟี นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวเวลส์ (ถึงแก่กรรม 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532) - พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) - ดิโน เดอ ลอเรนติส ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวอิตาลี (ถึงแก่กรรม 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553) - พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - อัลเบร์โต กรานาโด นักประพันธ์และนักวิทยาศาสตร์ชาวคิวบา (ถึงแก่กรรม 5 มีนาคม พ.ศ. 2554) - พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) - ละติฟา อัลซัยยัต นักเขียนชาวอียิปต์ (เกิด 10 กันยายน พ.ศ. 2539) - พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - ดัสติน ฮอฟฟ์แมน นักแสดงชาวอเมริกัน - พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช อดีตผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 (ถึงแก่กรรม 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2528) - พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - ลูวี ฟัน คาล ผู้จัดการทีมชาวเนเธอร์แลนด์ - พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - ลีโอ กาเมซ แชมป์โลกมวยสากลชาวเวเนซุเอลา - พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - แดนนี แกบบิดอน นักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ - พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) -- คะโอะริ อีดะ นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น - โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสชาวสวิส - พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - แคที เลียง นักแสดงหญิงชาวสกอต - พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) -- เจ้าหญิงเบียทริซแห่งยอร์ก พระธิดาพระองค์ใหญ่ใน เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก กับ ซาราห์ ดัชเชสแห่งยอร์ก อดีตพระชายา - อีกอร์ สมอลนีคอฟ นักฟุตบอลชาวรัสเซีย - พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - วรางคณา เงื่อนตะคุ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงชาวไทย - พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง (มิ้นต์) นักแสดงหญิงชาวไทย - พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดชาวไทย - พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ชอว์น เมนเดส นักร้องชาวแคนาดาวันถึงแก่กรรมวันถึงแก่กรรม. - พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เจมส์ เออร์วิน นักบินอวกาศชาวอเมริกัน (เกิด พ.ศ. 2473) - พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - แพตทริเซีย นีล นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน (เกิด ค.ศ. 1926)วันสำคัญและวันหยุดเทศกาลวันสำคัญและวันหยุดเทศกาล. - โรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญดอมินิก - ไต้หวัน - วันพ่อ - วันอาเซียน - วันก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศภูฏานได้รับเอกราชเมื่อปีพ.ศ.ใด
{ "answer": [ "2492" ], "answer_begin_position": [ 513 ], "answer_end_position": [ 517 ] }
3,340
205,327
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ อาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ () ก่อสร้างขึ้นบนที่ดินใกล้แม่น้ำอีสต์ในรัฐนิวยอร์ก นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อพ.ศ. 2492-2493 บริจาคโดยจอห์น ดี. รอกกีเฟลเลอร์ จูเนียร์ ด้วยมูลค่า 8.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และออกแบบโดยออสการ์ นีไมเออร์ สถาปนิกชาวบราซิล สำนักงานใหญ่สหประชาชาติเปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2493 นอกจากนี้ยังมีสำนักงานตัวแทนที่สำคัญตั้งอยู่ในนครเจนีวา นครเฮก กรุงเวียนนา กรุงโคเปนเฮเกน กรุงเทพมหานคร ฯลฯ
อาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติตั้งอยู่ในรัฐใดของประเทศสหรัฐอเมริกา
{ "answer": [ "นิวยอร์ก" ], "answer_begin_position": [ 194 ], "answer_end_position": [ 202 ] }
3,341
205,327
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ อาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ () ก่อสร้างขึ้นบนที่ดินใกล้แม่น้ำอีสต์ในรัฐนิวยอร์ก นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อพ.ศ. 2492-2493 บริจาคโดยจอห์น ดี. รอกกีเฟลเลอร์ จูเนียร์ ด้วยมูลค่า 8.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และออกแบบโดยออสการ์ นีไมเออร์ สถาปนิกชาวบราซิล สำนักงานใหญ่สหประชาชาติเปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2493 นอกจากนี้ยังมีสำนักงานตัวแทนที่สำคัญตั้งอยู่ในนครเจนีวา นครเฮก กรุงเวียนนา กรุงโคเปนเฮเกน กรุงเทพมหานคร ฯลฯ
ใครคือผู้ออกแบบอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา
{ "answer": [ "ออสการ์ นีไมเออร์" ], "answer_begin_position": [ 339 ], "answer_end_position": [ 356 ] }
3,342
315,258
มะโย่ง มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง (รูมี: Mak Yong, Mak Yung) เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยเชื้อสายมลายูในแถบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางส่วนของจังหวัดสงขลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงมะโย่งใน รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู รัฐเกดะห์ และรัฐปะลิส ในประเทศมาเลเซีย และหมู่เกาะริเยา ในประเทศอินโดนีเซีย โดยการแสดงมะโย่ง เป็นศิลปะการร่ายรำที่ผสมผสานทางพิธีกรรม ความเชื่อ การละคร นาฏศิลป์ และดนตรีเข้าด้วยกัน ปัจจุบันการแสดงมะโย่งกำลังขาดผู้สืบทอด ในมาเลเซียมะโย่งเป็นการแสดงที่ถูกห้ามโดยพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย เพราะความที่แฝงความเชื่องของลัทธิวิญญาณนิยม (animism) และรากเหง้าความเชื่อฮินดู-พุทธดั้งเดิมของชาวมลายู ก่อนที่จะเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม นอกจากนี้การเข้ามาของสื่อวิทยุโทรทัศน์ก็ทำให้การแสดงมะโย่งหมดความสำคัญลงไป อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของการแสดงมะโย่งในฐานะศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยมลายู ทางมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลาจึงได้มีการฟื้นฟู และให้นักศึกษาได้ศึกษาและค้นหาความรู้และค้นหาความรู้ เพื่อนำมาปฏิบัติจริง โดย มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มีลีลาคล้ายคลึงกับมโนราห์มาก แสดงเพื่อความบันเทิง และเพื่อใช้แก้บนหรือสะเดาะเคราะห์ ในปี ค.ศ. 2005, องค์กรยูเนสโกประกาศรับรองให้มะโย่งเป็น "หนึ่งในศิลปะชั้นเอกในทางมุขปาถะ และสมบัติที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ"ประวัติ ประวัติ. ความเป็นมาของมะโย่งนั้นคงได้รับการถ่ายทอดวิธีการเล่นจาก แหล่งเดียวกันกับละครรำของไทย ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า “ละครรำไทยมี 3 อย่าง ละครชาตรีหรือมโนรา 1 ละครใน 1 ละครนอก 1 ไทยได้รับมาจากอินเดียเช่นเดียวกับพม่า ละครพม่าที่เล่นกันในพื้นเมือง (ปี พ.ศ. 2434) กระบวน การเล่นเป็นอย่างเดียวกับละคร (มโนรา) ชาตรีของไทยเรา คือ ตัวละครมีแต่นายโรง 1 นางตัว 1 จำอวดตัว 1 ตัวละครขับร้องเอง มีลูกคู่และปี่พาทย์รับ” ที่รัฐเกรละทางตอนใต้ของประเทศอินเดียยังมีการแสดงละครเร่อยู่แบบหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ยาตรี หรือ ชาตรี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของโนราและมะโย่ง โดยสำหรับในประเทศไทย เรื่องราวเกี่ยวกับมะโย่ง โดยเชื่อว่าต้นกำเนิดของมะโย่งอยู่ที่ปัตตานี โดยมีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันไป ดังนี้- เชื่อกันว่ามะโย่งเป็นการแสดงที่เกิดจากในเมืองปัตตานี ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์ เนื่องจากเป็นการแสดงออกของวัฒธรรมความเชื่อดั้งเดิมของชาวปัตตานี โดยไม่มีอิทธิพลภายนอกของอิสลามเข้ามาปะปน ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เชื่อว่ามะโย่งน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 800 ปี โดยเกิดขึ้นในปัตตานีก่อน จากนั้นจึงแพร่หลายไปทางกลันตัน ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นระบำในพิธีบูชาข้าว - พิจารณาจากรูปศัพท์ ซึ่งกล่าวว่า คำว่า มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มาจากคำว่า มัคฮียัง (MAKHIANG) แปลว่า พระแม่โพสพ เนื่องจากพิธิทำขวัญข้าวในนาของชาวมุสลิมในสมัยโบราณนั้น จะมีหมอผู้ทำพิธีทรงวิญญาณพระแม่โพสพเป็นการแสดงความกตัญญูที่พระแม่โพสพมีเมตตาประทานน้ำนมมาให้เป็นเมล็ดข้าว เพื่อเป็นโภชนาหารของมนุษย์ ตลอดทั้งเพื่อขอความสมบูรณ์พูนสุข ความสวัสดิมงคลให้บังเกิดแก่ชาวบ้านทั้งหลาย ในพิธีจะมีการร้องรำบวงสรวงด้วย ซึ่งในภายหลังได้วิฒนาการมาเป็นละครที่เรียกว่า มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มีการร้องรำและมีดนตรีประกอบ - เมาะโย่งเป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วเป็นที่นิยม จนแพร่หลายในหมู่ชาวไทยมุสลิมในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้อธิบายเพิ่มเติมโดยกล่าวถึงที่มาของคำว่ามะโย่ง คำว่า มะ หรือ เมาะ แปลว่า แม่ ส่วน โย่ง หรือโยง เป็นพระนามของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งชวา จึงชวนให้สันนิษฐานต่อไปได้ว่า เหตุที่เรียกละครประเภทนี้ว่า มะโย่ง อาจเป็นตัวพระ จึงเรียกกันโดยใช้คำว่า มะ หรือ เมาะนำหน้าเครื่องดนตรี นิยมใช้กันอยู่ 3 ชนิด คือ รือบับ จำนวน 1-2 คน กลองแขก 3 หน้า จำนวน 2 ใบ และฆ้องใหญ่เสียงทุ้มแหลมอย่างละใบ มะโย่งบางคณะยังมีเครื่องดนตรีอีก 2 ชิ้น คือ กอเลาะ (กรับ) จำนวน 1 คู่ และจือแระ จำนวน 3-4 อัน (จือแระ ทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ 16–18 นิ้วใช้ตี) อย่างไรก็ตาม การแสดงมะโย่งได้ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2155 ความว่า “เมื่อปี 2155 ชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ ฟลอเรส ได้รับเชิญจากนางพญาตานี หรือเจ้าเมืองปัตตานีสมัยนั้นให้ไปร่วมเป็น เกียรติในงานเลี้ยงต้อนรับสุลต่านรัฐปาหัง งานดังกล่าวปีเตอร์เล่าว่า มีการละเล่นอย่างหนึ่ง ลักษณะการแสดงคล้ายนาฏศิลป์ชวา ผู้แสดงแต่งกายแปลกน่าดูมาก ศิลปะดังกล่าวคงหมายถึงมะโย่ง ซึ่งส่วนใหญ่จัดแสดงในงานเพื่อให้อาคันตุกะ ได้ชม” มะโย่งเข้าไปเล่นในกรุงเทพฯ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอยู่โรงหนึ่งแสดงดีเป็นที่นิยมของผู้ดู เรียกกันว่า ละครตาเสือ ตัวตาเสือเป็นนายโรง เล่นตามแบบละครมายง แต่งตัวเป็นมลายู ร้องเป็นภาษามลายู แต่เจรจาเป็นภาษาไทย ชอบเล่นเรื่องอิเหนาใหญ่ ละครตาเสือเล่นมาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตัวละคร ตัวละคร. ผู้แสดงมะโย่งคณะหนึ่งมีประมาณ 20-30 คน เป็นลูกคู่เล่นดนตรี 5-7 คน นอกนั้นเป็นผู้แสดงและเป็นผู้ช่วยผู้แสดงบ้าง ผู้แสดงหรือตัวละครสำคัญมีอยู่ 4 ตัวคือ1. ปะโย่ง หรือ เปาะโย่ง แสดงเป็นพระเอกในฐานะเป็นกษัตริย์หรือเจ้าชาย ใช้ผู้หญิงรูปร่างนางแบบ หน้าตาสะสวย ขับกลอนเก่ง น้ำเสียงดีเป็นผู้แสดงแต่งกายด้วยกางเกงขายาว นุ่งโสร่งพับครึ่งท่อนความยาวเหนือเข่า สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น สวมมงกุฏ (กอฏอ) กรองคอ (ลา) เหน็บกริช และถือมีดทวายหรือไม้เรียวอันหนึ่งเพื่อไว้ตีหัวเสนา 2. มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง แสดงเป็นนางเอกมีฐานะเป็นเจ้าหญิงหรือสาวชาวบ้าน การแต่งกายจะเปลี่ยนไปตามฐานะ ถ้าเป็นสาวชาวบ้านจะนุ่งผ้าโสร่งยาวกรอมเท้า สวมเสื้อเข้ารูป ถ้ามีฐานะเป็นเจ้าหญิงจะสวมมงกุฏ มีสร้อยข้อมือ กำไลเท้าและสวมแหวนหลายวง 3. ปืนรันมูดอ แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 1 มีฐานะเป็นเสนาหนุ่มคนสนิทของเปาะโย่ง 4. ปืนรันตูวอ แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 2 มีฐานะเป็นเสนาอาวุโส คนสนิทตัวรองของเปาะโย่ง สนิทสนมกับปือรันมูดอ และเป็นตัวคอยที่คอยสนับสนุนให้ปีรันมูดอสามารถตลกจี้เส้นได้มากขึ้น การแต่งกายของปือรันมูดอและปืนรันตูวอ คือนุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อแขนยาวคอตั้ง นุ่งผ้าทับแค่เข่าโพกศีรษะหรือสวมหมากซอเกาะองค์ประกอบในการแสดงเวลาที่ใช้แสดง องค์ประกอบในการแสดง. เวลาที่ใช้แสดง. เมาะโย่งเป็นละครของชาวไทยมุสลิมภาคใต้นิยมกันมากในอดีตจัดแสดงเมื่อมีงานมงคลต่างๆ ของชาวพื้นเมืองเช่น งานมงคลสมรส (มาแกปูโละ) เข้าสุนัต (มะโซะยาวี) เมาลิด ฮารีรายอ การแก้บน (บายากาโอล) การสะเดาะเคราะห์ และพิธีกรรมบูชาขวัญข้าว (ปูยอมือแน) หรือบางครั้งแม้ไม่มีงานบุญก็อาจจะหามาเล่นเพื่อความบันเทิงในหมู่บ้านก็ได้ หรือตามที่เจ้างานรับไปแสดง ปกติแสดงในเวลากลางคืนโดยเริ่มแสดงราว 19 นาฬิกา เลิกเวลาประมาณ 1 นาฬิกาโรงแสดง โรงแสดง. โรงหรือเวทีแสดง (ปาฆง) ปัจจุบันโรงมะโย่งปลูกยกพื้นเตี้ยๆเป็นเพิงหมาแหงน (บาไล) ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 5-6 เมตร ยาว 8 -10 เมตร จากท้ายโรงประมาณ 1-2 เมตร จะกั้นฝา 3 ด้าน คือ ด้านท้ายกับด้านข้างทั้งสอง ด้านหน้าใช้ฉากปิดกั้นให้มีช่องออกหน้าโรงได้ เนื้อที่ด้านท้ายโรงใช้เป็นที่แต่งกายเก็บของและพักผ่อนนอนหลับ ด้านหน้าโรงเป็นโล่งทั้ง 3 ด้าน จากพื้นถึงหลังคาด้านหน้าสูงประมาณ 3.5 เมตร ชายหลังด้านหน้านี้จะมีระบายป้ายชื่อคณะอย่างโรงลิเกหรือโนรา ส่วนใต้ถุนโรงใช้เป็นที่พักหลับนอนไปด้วยการแต่งกาย การแต่งกาย. ตัวพระนุ่งกางเกงคล้ายสนับเพลา แบบเดียวกับโนรา มีผ้าโสร่งนุ่งทับบน สูงเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ศีรษะโพกผ้าสาปูตางัน สวมเสื้อแขนสั้นรัดรูป นิยมใช้ผ้าแพรสีหรือผ้ากำมะหยี่เป็นพื้น เหน็บกริชไว้ข้างสะเอว มือถือมัดหวาย ส่วนตัวนางนุ่งผ้าปาเต๊ะ ลวดลายหลากสี สวมเสื้อกะบายอแขนยาว ใช้ผ้าสีดอกดวงเด่นๆ และมีผ้าสไบคล้องคอห้อยชายลงมาข้างแขน ผมเกล้ามวย มีดอกไม้ทัดหูและสอดแซมผม ส่วนตัวตลก หรือ พราน นุ่งโสร่งไม่สวมเสื้อ ใช้ผ้าขาวม้าคาดท้องและพาดบ่า มีมีด (ปีซาโกล้ด) เหน็บสะเอว สวมหน้ากากหรือตอแปง ส่วนตัวพี่เลี้ยง นางกำนัล นุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมเสื้อกะบายอแขนยาวเป็นผ้าธรรมดาเครื่องดนตรี เครื่องดนตรี. เครื่องดนตรีของมะโย่งนั้นมีกลองแขกหรือกลองมลายู 2 ใบ ฆ้องใหญ่ (ตาเวาะ)เสียงทุ้มและแหลมอย่างละใบ ซองา (รือบะ) สำหรับสีคลอเสียงร้องของเมาะโย่ง 1 คัน ปี่ (ซูนู) 1 เลา บางคณะมีเครื่องคนตรีอีก 2 ชนิด คือ กรับ (กอเลาะ) และท่อนไม้ไผ่ยาวประมาณ 16-18 นิ้ว (จือเระ) ใช้ตีธรรมเนียมการแสดง ธรรมเนียมการแสดง. ก่อนเริ่มแสดงจะมีพิธีเบิกโรง เรียกว่า บูกอปาฆง มะโย่งแต่ละคณะจะมี บอมอ หรือ หมอ ประจำอย่างน้อยคณะละ 1 คน บอมอเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางไสยศาสตร์ไว้ป้องกันและแก้เวทมนตร์คาถาที่คู่ต่อสู้ส่งมาทำลายเวลาเล่นประชันโรง และไว้ทำพิธีไหว้ครูบูชาเทพาอารักษ์ วันแรกของการแสดง ผู้จัดงานต้องจัดเครื่องบัตรพลี มีหมาก พลู บุหรี่ ด้ายดิบ ข้าวสาร กำยาน น้ำ เทียน และกล้วยตานี พร้อมด้วยเงินค่ากำนัลจำนวน 30 บาท มามอบให้นายโรงมะโย่งเพื่อทำพิธีเบิกโรง พิธีเริ่มด้วยผู้แสดงและคนเล่นดนตรีเข้ามานั่งล้อมกันเป็นวงกลม หมอผู้ทำพิธีนั่งกลางวงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หยิบผงกำยานพโรยลงในภาชนะที่บรรจุถ่านไฟซึ่งกำลังคุอยู่จนกลิ่นและควันกำยานพุ่งขึ้น หมอยกภาชนะที่บรรจุเครื่องบัตรพลีเวียนไปรอบๆ เปลวควัน 3 รอบ แล้วกล่าวคาถาบวงสรวงพระภูมิเทวา จบแล้วจุดเทียนนำไปติดที่เสาโรงด้านทิศตะวันออกและเสากลางโรง ตลอดถึงเครื่องประโคมอื่นๆ เฉพาะซอและฆ้อง นอกจากติดเทียนบูชาแล้ว จะต้องนำกล้วยตานีไปเซ่นบวงสรวงด้วย มะโย่งถือว่าซอและฆ้องเป็นหลัก เป็นประธานของดนตรี จากนั้นก็บรรเลงเพลงโหมโรง เสร็จจากเบิกโรง คนซอจะออกมานั่งกลางเวที ตัวพระ ตัวนาง และพี่เลี้ยง นั่งเป็นแถวครึ่งวงกลมหันหน้าเข้าหาคนซอ และขับร้องคลอกับเสียงซอ แล้วลุกขึ้นเดินร่ายรำและร้องเพลงไปรอบๆ เวที ทำนองการรำเบิกโรง หลังจากนั้นตัวละครก็จะกลับไปนั่งรอคอยบทบาทที่ตนจะต้องแสดงอยู่ข้างขอบเวที คงเหลือแต่ตัวมะโย่งยืนขับร้องและเจรจาแนะนำตัวให้ผู้ชมทราบว่าเป็นผู้ใด อยู่ทีไหน กำลังจะทำอะไรในท้องเรื่อง จากนั้นตัวมะโย่งเรียกตัวตลกหรือเสนาให้ออกมา แล้วพูดจาเรื่อยเปื่อยไปด้วยถ้อยคำที่ขบขัน จากนั้นก็แสดงนิยายที่ได้เตรียมมาเรื่องที่ทำการแสดง เรื่องที่ทำการแสดง. เรื่องที่มะโย่งนิยมแสดง มักเป็นนิยายเก่าแก่ เกี่ยวกับความรักของชายหนุ่ม-หญิงสาว เช่น รายอมูดอ ลือแมะ, รอยอ ซันแซนา, รายอดอละเวง, รายอมูดอ ปีแน, มาโวะ แดวอ ปีเจ, รายอ กอแน, แดแว มูดอ, อาเนาะรายอ กันตัง, บงซู สตี, กาเด็ง บูเวาะ ตีฆัง, ปุตรีตีมุง เป็นต้น
มะโย่งหรือเมาะโย่งเป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยเชื้อสายใด
{ "answer": [ "มลายู" ], "answer_begin_position": [ 172 ], "answer_end_position": [ 177 ] }
3,343
315,258
มะโย่ง มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง (รูมี: Mak Yong, Mak Yung) เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยเชื้อสายมลายูในแถบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางส่วนของจังหวัดสงขลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงมะโย่งใน รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู รัฐเกดะห์ และรัฐปะลิส ในประเทศมาเลเซีย และหมู่เกาะริเยา ในประเทศอินโดนีเซีย โดยการแสดงมะโย่ง เป็นศิลปะการร่ายรำที่ผสมผสานทางพิธีกรรม ความเชื่อ การละคร นาฏศิลป์ และดนตรีเข้าด้วยกัน ปัจจุบันการแสดงมะโย่งกำลังขาดผู้สืบทอด ในมาเลเซียมะโย่งเป็นการแสดงที่ถูกห้ามโดยพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย เพราะความที่แฝงความเชื่องของลัทธิวิญญาณนิยม (animism) และรากเหง้าความเชื่อฮินดู-พุทธดั้งเดิมของชาวมลายู ก่อนที่จะเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม นอกจากนี้การเข้ามาของสื่อวิทยุโทรทัศน์ก็ทำให้การแสดงมะโย่งหมดความสำคัญลงไป อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของการแสดงมะโย่งในฐานะศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยมลายู ทางมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลาจึงได้มีการฟื้นฟู และให้นักศึกษาได้ศึกษาและค้นหาความรู้และค้นหาความรู้ เพื่อนำมาปฏิบัติจริง โดย มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มีลีลาคล้ายคลึงกับมโนราห์มาก แสดงเพื่อความบันเทิง และเพื่อใช้แก้บนหรือสะเดาะเคราะห์ ในปี ค.ศ. 2005, องค์กรยูเนสโกประกาศรับรองให้มะโย่งเป็น "หนึ่งในศิลปะชั้นเอกในทางมุขปาถะ และสมบัติที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ"ประวัติ ประวัติ. ความเป็นมาของมะโย่งนั้นคงได้รับการถ่ายทอดวิธีการเล่นจาก แหล่งเดียวกันกับละครรำของไทย ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า “ละครรำไทยมี 3 อย่าง ละครชาตรีหรือมโนรา 1 ละครใน 1 ละครนอก 1 ไทยได้รับมาจากอินเดียเช่นเดียวกับพม่า ละครพม่าที่เล่นกันในพื้นเมือง (ปี พ.ศ. 2434) กระบวน การเล่นเป็นอย่างเดียวกับละคร (มโนรา) ชาตรีของไทยเรา คือ ตัวละครมีแต่นายโรง 1 นางตัว 1 จำอวดตัว 1 ตัวละครขับร้องเอง มีลูกคู่และปี่พาทย์รับ” ที่รัฐเกรละทางตอนใต้ของประเทศอินเดียยังมีการแสดงละครเร่อยู่แบบหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ยาตรี หรือ ชาตรี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของโนราและมะโย่ง โดยสำหรับในประเทศไทย เรื่องราวเกี่ยวกับมะโย่ง โดยเชื่อว่าต้นกำเนิดของมะโย่งอยู่ที่ปัตตานี โดยมีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันไป ดังนี้- เชื่อกันว่ามะโย่งเป็นการแสดงที่เกิดจากในเมืองปัตตานี ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์ เนื่องจากเป็นการแสดงออกของวัฒธรรมความเชื่อดั้งเดิมของชาวปัตตานี โดยไม่มีอิทธิพลภายนอกของอิสลามเข้ามาปะปน ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เชื่อว่ามะโย่งน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 800 ปี โดยเกิดขึ้นในปัตตานีก่อน จากนั้นจึงแพร่หลายไปทางกลันตัน ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นระบำในพิธีบูชาข้าว - พิจารณาจากรูปศัพท์ ซึ่งกล่าวว่า คำว่า มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มาจากคำว่า มัคฮียัง (MAKHIANG) แปลว่า พระแม่โพสพ เนื่องจากพิธิทำขวัญข้าวในนาของชาวมุสลิมในสมัยโบราณนั้น จะมีหมอผู้ทำพิธีทรงวิญญาณพระแม่โพสพเป็นการแสดงความกตัญญูที่พระแม่โพสพมีเมตตาประทานน้ำนมมาให้เป็นเมล็ดข้าว เพื่อเป็นโภชนาหารของมนุษย์ ตลอดทั้งเพื่อขอความสมบูรณ์พูนสุข ความสวัสดิมงคลให้บังเกิดแก่ชาวบ้านทั้งหลาย ในพิธีจะมีการร้องรำบวงสรวงด้วย ซึ่งในภายหลังได้วิฒนาการมาเป็นละครที่เรียกว่า มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง มีการร้องรำและมีดนตรีประกอบ - เมาะโย่งเป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วเป็นที่นิยม จนแพร่หลายในหมู่ชาวไทยมุสลิมในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้อธิบายเพิ่มเติมโดยกล่าวถึงที่มาของคำว่ามะโย่ง คำว่า มะ หรือ เมาะ แปลว่า แม่ ส่วน โย่ง หรือโยง เป็นพระนามของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งชวา จึงชวนให้สันนิษฐานต่อไปได้ว่า เหตุที่เรียกละครประเภทนี้ว่า มะโย่ง อาจเป็นตัวพระ จึงเรียกกันโดยใช้คำว่า มะ หรือ เมาะนำหน้าเครื่องดนตรี นิยมใช้กันอยู่ 3 ชนิด คือ รือบับ จำนวน 1-2 คน กลองแขก 3 หน้า จำนวน 2 ใบ และฆ้องใหญ่เสียงทุ้มแหลมอย่างละใบ มะโย่งบางคณะยังมีเครื่องดนตรีอีก 2 ชิ้น คือ กอเลาะ (กรับ) จำนวน 1 คู่ และจือแระ จำนวน 3-4 อัน (จือแระ ทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ 16–18 นิ้วใช้ตี) อย่างไรก็ตาม การแสดงมะโย่งได้ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2155 ความว่า “เมื่อปี 2155 ชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ ฟลอเรส ได้รับเชิญจากนางพญาตานี หรือเจ้าเมืองปัตตานีสมัยนั้นให้ไปร่วมเป็น เกียรติในงานเลี้ยงต้อนรับสุลต่านรัฐปาหัง งานดังกล่าวปีเตอร์เล่าว่า มีการละเล่นอย่างหนึ่ง ลักษณะการแสดงคล้ายนาฏศิลป์ชวา ผู้แสดงแต่งกายแปลกน่าดูมาก ศิลปะดังกล่าวคงหมายถึงมะโย่ง ซึ่งส่วนใหญ่จัดแสดงในงานเพื่อให้อาคันตุกะ ได้ชม” มะโย่งเข้าไปเล่นในกรุงเทพฯ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอยู่โรงหนึ่งแสดงดีเป็นที่นิยมของผู้ดู เรียกกันว่า ละครตาเสือ ตัวตาเสือเป็นนายโรง เล่นตามแบบละครมายง แต่งตัวเป็นมลายู ร้องเป็นภาษามลายู แต่เจรจาเป็นภาษาไทย ชอบเล่นเรื่องอิเหนาใหญ่ ละครตาเสือเล่นมาจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตัวละคร ตัวละคร. ผู้แสดงมะโย่งคณะหนึ่งมีประมาณ 20-30 คน เป็นลูกคู่เล่นดนตรี 5-7 คน นอกนั้นเป็นผู้แสดงและเป็นผู้ช่วยผู้แสดงบ้าง ผู้แสดงหรือตัวละครสำคัญมีอยู่ 4 ตัวคือ1. ปะโย่ง หรือ เปาะโย่ง แสดงเป็นพระเอกในฐานะเป็นกษัตริย์หรือเจ้าชาย ใช้ผู้หญิงรูปร่างนางแบบ หน้าตาสะสวย ขับกลอนเก่ง น้ำเสียงดีเป็นผู้แสดงแต่งกายด้วยกางเกงขายาว นุ่งโสร่งพับครึ่งท่อนความยาวเหนือเข่า สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น สวมมงกุฏ (กอฏอ) กรองคอ (ลา) เหน็บกริช และถือมีดทวายหรือไม้เรียวอันหนึ่งเพื่อไว้ตีหัวเสนา 2. มะโย่ง หรือ เมาะโย่ง แสดงเป็นนางเอกมีฐานะเป็นเจ้าหญิงหรือสาวชาวบ้าน การแต่งกายจะเปลี่ยนไปตามฐานะ ถ้าเป็นสาวชาวบ้านจะนุ่งผ้าโสร่งยาวกรอมเท้า สวมเสื้อเข้ารูป ถ้ามีฐานะเป็นเจ้าหญิงจะสวมมงกุฏ มีสร้อยข้อมือ กำไลเท้าและสวมแหวนหลายวง 3. ปืนรันมูดอ แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 1 มีฐานะเป็นเสนาหนุ่มคนสนิทของเปาะโย่ง 4. ปืนรันตูวอ แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 2 มีฐานะเป็นเสนาอาวุโส คนสนิทตัวรองของเปาะโย่ง สนิทสนมกับปือรันมูดอ และเป็นตัวคอยที่คอยสนับสนุนให้ปีรันมูดอสามารถตลกจี้เส้นได้มากขึ้น การแต่งกายของปือรันมูดอและปืนรันตูวอ คือนุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อแขนยาวคอตั้ง นุ่งผ้าทับแค่เข่าโพกศีรษะหรือสวมหมากซอเกาะองค์ประกอบในการแสดงเวลาที่ใช้แสดง องค์ประกอบในการแสดง. เวลาที่ใช้แสดง. เมาะโย่งเป็นละครของชาวไทยมุสลิมภาคใต้นิยมกันมากในอดีตจัดแสดงเมื่อมีงานมงคลต่างๆ ของชาวพื้นเมืองเช่น งานมงคลสมรส (มาแกปูโละ) เข้าสุนัต (มะโซะยาวี) เมาลิด ฮารีรายอ การแก้บน (บายากาโอล) การสะเดาะเคราะห์ และพิธีกรรมบูชาขวัญข้าว (ปูยอมือแน) หรือบางครั้งแม้ไม่มีงานบุญก็อาจจะหามาเล่นเพื่อความบันเทิงในหมู่บ้านก็ได้ หรือตามที่เจ้างานรับไปแสดง ปกติแสดงในเวลากลางคืนโดยเริ่มแสดงราว 19 นาฬิกา เลิกเวลาประมาณ 1 นาฬิกาโรงแสดง โรงแสดง. โรงหรือเวทีแสดง (ปาฆง) ปัจจุบันโรงมะโย่งปลูกยกพื้นเตี้ยๆเป็นเพิงหมาแหงน (บาไล) ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 5-6 เมตร ยาว 8 -10 เมตร จากท้ายโรงประมาณ 1-2 เมตร จะกั้นฝา 3 ด้าน คือ ด้านท้ายกับด้านข้างทั้งสอง ด้านหน้าใช้ฉากปิดกั้นให้มีช่องออกหน้าโรงได้ เนื้อที่ด้านท้ายโรงใช้เป็นที่แต่งกายเก็บของและพักผ่อนนอนหลับ ด้านหน้าโรงเป็นโล่งทั้ง 3 ด้าน จากพื้นถึงหลังคาด้านหน้าสูงประมาณ 3.5 เมตร ชายหลังด้านหน้านี้จะมีระบายป้ายชื่อคณะอย่างโรงลิเกหรือโนรา ส่วนใต้ถุนโรงใช้เป็นที่พักหลับนอนไปด้วยการแต่งกาย การแต่งกาย. ตัวพระนุ่งกางเกงคล้ายสนับเพลา แบบเดียวกับโนรา มีผ้าโสร่งนุ่งทับบน สูงเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ศีรษะโพกผ้าสาปูตางัน สวมเสื้อแขนสั้นรัดรูป นิยมใช้ผ้าแพรสีหรือผ้ากำมะหยี่เป็นพื้น เหน็บกริชไว้ข้างสะเอว มือถือมัดหวาย ส่วนตัวนางนุ่งผ้าปาเต๊ะ ลวดลายหลากสี สวมเสื้อกะบายอแขนยาว ใช้ผ้าสีดอกดวงเด่นๆ และมีผ้าสไบคล้องคอห้อยชายลงมาข้างแขน ผมเกล้ามวย มีดอกไม้ทัดหูและสอดแซมผม ส่วนตัวตลก หรือ พราน นุ่งโสร่งไม่สวมเสื้อ ใช้ผ้าขาวม้าคาดท้องและพาดบ่า มีมีด (ปีซาโกล้ด) เหน็บสะเอว สวมหน้ากากหรือตอแปง ส่วนตัวพี่เลี้ยง นางกำนัล นุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมเสื้อกะบายอแขนยาวเป็นผ้าธรรมดาเครื่องดนตรี เครื่องดนตรี. เครื่องดนตรีของมะโย่งนั้นมีกลองแขกหรือกลองมลายู 2 ใบ ฆ้องใหญ่ (ตาเวาะ)เสียงทุ้มและแหลมอย่างละใบ ซองา (รือบะ) สำหรับสีคลอเสียงร้องของเมาะโย่ง 1 คัน ปี่ (ซูนู) 1 เลา บางคณะมีเครื่องคนตรีอีก 2 ชนิด คือ กรับ (กอเลาะ) และท่อนไม้ไผ่ยาวประมาณ 16-18 นิ้ว (จือเระ) ใช้ตีธรรมเนียมการแสดง ธรรมเนียมการแสดง. ก่อนเริ่มแสดงจะมีพิธีเบิกโรง เรียกว่า บูกอปาฆง มะโย่งแต่ละคณะจะมี บอมอ หรือ หมอ ประจำอย่างน้อยคณะละ 1 คน บอมอเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางไสยศาสตร์ไว้ป้องกันและแก้เวทมนตร์คาถาที่คู่ต่อสู้ส่งมาทำลายเวลาเล่นประชันโรง และไว้ทำพิธีไหว้ครูบูชาเทพาอารักษ์ วันแรกของการแสดง ผู้จัดงานต้องจัดเครื่องบัตรพลี มีหมาก พลู บุหรี่ ด้ายดิบ ข้าวสาร กำยาน น้ำ เทียน และกล้วยตานี พร้อมด้วยเงินค่ากำนัลจำนวน 30 บาท มามอบให้นายโรงมะโย่งเพื่อทำพิธีเบิกโรง พิธีเริ่มด้วยผู้แสดงและคนเล่นดนตรีเข้ามานั่งล้อมกันเป็นวงกลม หมอผู้ทำพิธีนั่งกลางวงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หยิบผงกำยานพโรยลงในภาชนะที่บรรจุถ่านไฟซึ่งกำลังคุอยู่จนกลิ่นและควันกำยานพุ่งขึ้น หมอยกภาชนะที่บรรจุเครื่องบัตรพลีเวียนไปรอบๆ เปลวควัน 3 รอบ แล้วกล่าวคาถาบวงสรวงพระภูมิเทวา จบแล้วจุดเทียนนำไปติดที่เสาโรงด้านทิศตะวันออกและเสากลางโรง ตลอดถึงเครื่องประโคมอื่นๆ เฉพาะซอและฆ้อง นอกจากติดเทียนบูชาแล้ว จะต้องนำกล้วยตานีไปเซ่นบวงสรวงด้วย มะโย่งถือว่าซอและฆ้องเป็นหลัก เป็นประธานของดนตรี จากนั้นก็บรรเลงเพลงโหมโรง เสร็จจากเบิกโรง คนซอจะออกมานั่งกลางเวที ตัวพระ ตัวนาง และพี่เลี้ยง นั่งเป็นแถวครึ่งวงกลมหันหน้าเข้าหาคนซอ และขับร้องคลอกับเสียงซอ แล้วลุกขึ้นเดินร่ายรำและร้องเพลงไปรอบๆ เวที ทำนองการรำเบิกโรง หลังจากนั้นตัวละครก็จะกลับไปนั่งรอคอยบทบาทที่ตนจะต้องแสดงอยู่ข้างขอบเวที คงเหลือแต่ตัวมะโย่งยืนขับร้องและเจรจาแนะนำตัวให้ผู้ชมทราบว่าเป็นผู้ใด อยู่ทีไหน กำลังจะทำอะไรในท้องเรื่อง จากนั้นตัวมะโย่งเรียกตัวตลกหรือเสนาให้ออกมา แล้วพูดจาเรื่อยเปื่อยไปด้วยถ้อยคำที่ขบขัน จากนั้นก็แสดงนิยายที่ได้เตรียมมาเรื่องที่ทำการแสดง เรื่องที่ทำการแสดง. เรื่องที่มะโย่งนิยมแสดง มักเป็นนิยายเก่าแก่ เกี่ยวกับความรักของชายหนุ่ม-หญิงสาว เช่น รายอมูดอ ลือแมะ, รอยอ ซันแซนา, รายอดอละเวง, รายอมูดอ ปีแน, มาโวะ แดวอ ปีเจ, รายอ กอแน, แดแว มูดอ, อาเนาะรายอ กันตัง, บงซู สตี, กาเด็ง บูเวาะ ตีฆัง, ปุตรีตีมุง เป็นต้น
พิธีเบิกโรงของการแสดงพื้นบ้านชื่อว่ามะโย่งของชาวไทยเชื้อสายมลายูเรียกว่าอะไร
{ "answer": [ "บูกอปาฆง" ], "answer_begin_position": [ 7215 ], "answer_end_position": [ 7223 ] }
3,344
308,242
สหพันธ์สาธารณรัฐอิรักในโอลิมปิกฤดูร้อน 1968 สหพันธ์สาธารณรัฐอิรัก เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 19 ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม – 27 ตุลาคม พ.ศ. 2511
ประเทศอิรักเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 19 ณ ประเทศใด
{ "answer": [ "ญี่ปุ่น" ], "answer_begin_position": [ 272 ], "answer_end_position": [ 279 ] }
3,345
315,792
องค์การอวกาศแคนาดา องค์การอวกาศแคนาดา ( หรือ CSA; หรือ ASC) เป็นหน่วยงานด้านกิจการอวกาศของรัฐบาลแคนาดา รับผิดชอบโครงการอวกาศของประเทศแคนาดา ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1989 ภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยองค์การอวกาศแคนาดา อนุมัติใช้งานเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1990 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์การจะรายงานโดยตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานใหญ่ของ CSA ตั้งอยู่ที่ศูนย์อวกาศจอห์น เอช. แชปแมน ที่เมืองเซนต์-ฮิวเบิร์ต รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา และยังมีสำนักงานอยู่ในออตตาวา ออนตาริโอ ที่ศูนย์ปฏิบัติการเดวิด ฟลอริดา และมีสำนักงานเล็กๆ อยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี., กรุงปารีส ฝรั่งเศส, แหลมคานาเวอรัล ฟลอริดา และที่ฮูสตัน รัฐเท็กซัส องค์การมีพนักงานเพียง 575 คน และนักศึกษาฝึกงานที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละฤดูร้อนราว 100 คน พนักงานส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่ศูนย์แชปแมน
องค์การอวกาศแคนาดาก่อตั้งขึ้นเมื่อใด
{ "answer": [ "มีนาคม ค.ศ. 1989" ], "answer_begin_position": [ 251 ], "answer_end_position": [ 267 ] }
3,346
19,453
เซลล์ เป็นสิ่งสวยงามเซล เซลล์ เซลส์ หรือ เซลล์ส เป็นคำที่เขียนทับศัพท์มาจากคำในภาษาอังกฤษ cell, cel, Cells, sale หรือ Zales- cell : หมายถึงหน่วยย่อยที่มีการกั้นขอบเขต (หรือห้อง) โดยทั่วไปเซลล์จะเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่า ความหมายขึ้นอยู่กับบริบท - เซลล์ (ชีววิทยา) เป็นโครงสร้างหน่วยและหน่วยทำงานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต - เซลล์ ตัวละครในการ์ตูนเรื่องดราก้อนบอล - ภาพยนตร์เดอะเซลล์ - เซลล์ส (Cells) วงดนตรีในประเทศลาว- cel - เซล (cel) ย่อมาจากเซลลูลอยด์ (celluloid) เป็นแผ่นพลาสติกใสใช้ในการทำแอนิเมชัน - เซล (cel) ชื่อของโทนสีตามลักษณะของการวาดการ์ตูน- sale - การขายของลดราคา - พนักงานขาย (salesman)- Zales - เซลส์ (เครื่องประดับ) บริษัทขายเครื่องประดับขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาสำนักงานอยู่ที่เทกซัส
โครงสร้างหน่วยและหน่วยทำงานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตคืออะไร
{ "answer": [ "เซลล์" ], "answer_begin_position": [ 343 ], "answer_end_position": [ 348 ] }
3,347
389,946
ปลาหมอช้างเหยียบ สำหรับปลาตะกรับอย่างอื่น ดูที่: ปลาตะกรับ ปลาหมอช้างเหยียบ () ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristolepis fasciata ในวงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ (Pristolepididae) มีรูปร่างป้อม ลำตัวด้านข้างแบนพื้นลำตัวสีเขียวหรือสีน้ำตาลปนเหลือง มีเกล็ดแบบสากและขอบหยักปกคลุมทั่วตัวมีแถบสีดำพาดขวางลำตัวประมาณ 8-12 แถบ หัวเล็กจะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กยืดหดได้เล็กน้อย มีฟันซี่เล็ก ๆ เป็นแถวอยู่บนขากรรไกรบนและล่าง รูจมูกแยกจากกันอย่างเด่นชัดและอยู่ชิดกับตา ครีบหลังมีสองส่วนเชื่อมติดกันเป็นแนวยาว ส่วนหน้าเป็นด้านเดียวเป็นหนามแหลมคม ส่วนหลังเป็นครีบอ่อน ครีบก้นใหญ่มีก้านครีบแข็งและแหลมคม ครีบหางใหญ่ปลายหางมนกลม มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 5-10 เซนติเมตร พบได้ใหญ่ที่สุด 20 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ เป็นปลาที่พบได้ทุกสภาพของแหล่งน้ำทั้งแหล่งน้ำนิ่งและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค รวมถึงในแหล่งที่เป็นน้ำกร่อยด้วย ในต่างประเทศพบได้ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฤดูวางไข่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนสิงหาคม ไข่มีลักษณะเม็ดกลมสีเหลืองเข้มเป็นไข่ลอย เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร นิยมตกกันเป็นเกมกีฬาและรับประทานเป็นอาหาร มีการเพาะเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจ ปลาหมอช้างเหยียบยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ปลาหมอโค้ว, ปลาปาตอง, ปลาหมอน้ำ, ปลาตะกรับ, ปลากระตรับ, ปลาหน้านวล, ปลาก๋า หรือ ปลาอีก๋า เป็นต้น ในขณะที่ภาษาใต้เรียกว่า ปลาหมอโพรก
ปลาหมอช้างเหยียบมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไร
{ "answer": [ "Pristolepis fasciata" ], "answer_begin_position": [ 210 ], "answer_end_position": [ 230 ] }